peamchery
19th June 2012, 18:44
http://uc.exteenblog.com/bonff/images/564259_3016217570564_249294556_n_resize.jpg
ศาสตราจารย์ : เธอเป็นชาวคริสต์ใช่มั้ย อัลเบิร์ต?
นักศึกษา : ใช่ครับ
ศาสตราจารย์: แล้วเธอเชื่อใน พระเจ้า รึเปล่า?
นักศึกษา : แน่นอนครับ
ศาสตราจารย์ : พระเจ้าเป็นผู้ดีงามใช่หรือไม่?
นักศึกษา : แน่สิครับ
ศาสตราจารย์: พระเจ้าทรงอำนาจที่สุดใช่มั้ย?
นักศึกษา : ครับ
ศาสตราจารย์: น้องชายของอาจารย์เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็ง ทั้งที่เขาวิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยรักษาเขา มนุษย์เราล้วนพยายามช่วยเหลือผู้อื่นที่ป่วยไข้ แต่พระองค์ท่านกลับไม่ช่วยอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพระเจ้าจะเป็นผู้ดีงามได้อย่างไรล่ะ?
(นักศึกษาเงียบ...)
ศาสตราจารย์: ตอบไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ? งั้นเรามาเริ่มกันใหม่อีกครั้งนะพ่อหนุ่ม พระเจ้าเป็นผู้ดีงามใช่หรือไม่?
นักศึกษา : ใช่
ศาสตราจารย์: งั้น ซาตาน เป็นผู้ดีงามใช่หรือไม่?
นักศึกษา : ไม่ใช่
ศาสตราจารย์: ซาตานมาจากไหนล่ะ?
นักศึกษา : จาก.... พระผู้เป็นเจ้า...
ศาสตราจารย์: ถูกต้อง ไหนตอบมาสิ ในโลกนี้มีความชั่วร้ายอยู่ใช่มั้ย?
นักศึกษา : ใช่
ศาสตราจารย์: ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เต็มไปด้วยความชั่วร้ายใช่มั้ย? แล้วพระเจ้าก็เป็นผู้สร้างทุกอย่าง ถูกมั้ย?
นักศึกษา : ถูก
ศาสตราจารย์: งั้นใครคือผู้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา?
(นักศึกษาไม่ตอบอะไรออกมา...)
ศาสตราจารย์: ความป่วยไข้ ไร้มนุษยธรรม ความชิงชัง ความน่ารังเกียจ โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่เลวร้ายเหล่านี้ใช่มั้ย?
นักศึกษา : ใช่ครับ
ศาสตราจารย์: งั้นใครสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา?
(นักศึกษาไม่มีคำตอบให้)
ศาสตราจารย์: ในทางวิทยาศาสตร์นั้น คนเรามีประสาทสัมผัสทั้ง 5 เอาไว้สังเกตและเรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไหนลองบอกอาจารย์สิว่า เธอเคยเห็นพระเจ้ารึเปล่า?
นักศึกษา : ไม่เคยครับ
ศาสตราจารย์: เธอเคยได้ยินเสียงของพระเจ้ารึเปล่า?
นักศึกษา : ก็ไม่เคยครับ
ศาสตราจารย์: เธอเคยสัมผัสพระเจ้า ลิ้มรสพระเจ้า ได้กลิ่นของพระเจ้ารึเปล่า? เคยมีประสาทสัมผัสใดๆ ของเธอรับรู้ถึงตัวตนของพระเจ้าบ้างมั้ย?
นักศึกษา : ไม่นะครับ ผมว่าผมไม่เคย
ศาสตราจารย์: แล้วเธอยังจะเชื่อในพระองค์ท่านอีกงั้นรึ?
นักศึกษา : ใช่
ศาสตราจารย์ : ตามหลักการสังเกต ขั้นตอนการทดลอง กระบวนการพิสูจน์ และวิทยาศาสตร์ ล้วนสรุปได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แล้วทำไมเธอถึงยังพูดแบบนั้นล่ะ?
นักศึกษา : ไม่เลยครับ เพียงเพราะผมมีความเชื่อ
ศาสตราจารย์: ช่าย... ความเชื่อเนี่ยแหละที่เป็นตัวปัญหาของวิทยาศาสตร์
นักศึกษา : อาจารย์ครับ โลกนี้มีความร้อนอยู่มั้ย?
ศาสตราจารย์: มีสิ
นักศึกษา : แล้วโลกนี้มีความเย็นอยู่มั้ย?
ศาสตราจารย์: แน่นอน
นักศึกษา : ผิดครับ ความเย็นไม่มีอยู่จริง
(ห้องเรียนถึงกับเงียบสงัดเมื่ออาจารย์โดนนักศึกษาคนนี้ดักเข้าให้)
นักศึกษา : อาจารย์ครับ เราสามารถมีความร้อนเท่าใดก็ได้ ยิ่งร้อน โคตรร้อน ร้อนสุดๆ ร้อนจนสูญสลาย หรือจะมีความร้อนเล็กน้อย จนกระทั่งไม่มีความร้อนเลย แต่เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเย็นอยู่ครับ เราสามารถสร้างสภาวะติดลบ 458 องศาฟาเรนไฮต์ที่ไร้ซึ่งความร้อนอยู่เลยได้ แต่เราไม่สามารถลบไปได้มากกว่านั้น ความเย็นไม่มีอยู่จริงครับ มันก็แค่คำที่เราใช้เรียกภาวะที่มีความร้อนน้อย เราไม่สามารถวัดค่าความเย็นได้ ความร้อนเป็นพลังงานครับ แต่ความเย็นไม่ใช่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความร้อนหรอกครับ มันก็แค่การปราศจากความร้อนเท่านั้นเอง
(เสียงหมุดเล่มหนึ่งตกลงท่ามกลางความเงียบงันของห้องเรียนรวม)
นักศึกษา : แล้วความมืดล่ะครับอาจารย์? ความมืดมีอยู่จริงมั้ย?
ศาสตราจารย์: จริงสิ ถ้าไม่มีความมืด แล้วจะเกิดกลางคืนได้อย่างไร?
นักศึกษา : ผิดอีกครับ ความมืดก็คือภาวะที่ปราศจากบางสิ่งบางอย่าง เราสามารถหรี่แสง ทำแสงปกติ ทำแสงจ้า ทำแสงสว่างวาบ แต่ถ้าไม่มีแสงอยู่เลย ก็จะไม่มีสิ่งใด และเราก็เรียกมันว่าความมืดไม่ใช่เหรอครับ? ความมืดน่ะไม่มีอยู่ในความเป็นจริง เพราะหากมันมีอยู่จริงแล้ว เราก็ต้องสร้างภาวะที่มืดมิดขึ้นไปเรื่อยๆ ได้สิครับ?
ศาสตราจารย์: ประเด็นของเธอคืออะไรกันแน่?
นักศึกษา : อาจารย์ครับ ประเด็นของผมคือแนวคิดในสมมติฐานของอาจารย์บกพร่อง
ศาสตราจารย์: บกพร่อง? ไหนลองว่ามาสิ?
นักศึกษา : อาจารย์คิดอยู่บนแนวคิดคู่ขนาน อาจารย์อภิปรายว่าเมื่อมีชีวิตแล้วก็ย่อมมีความตาย มีพระเจ้าที่ดีและพระเจ้าที่ร้าย อาจารย์มีมโนคติสำหรับพระเจ้าในฐานะสิ่งที่มีขอบเขตจำกัดตายตัว สิ่งที่เราสามารถวัดได้ อาจารย์ครับ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายความคิดได้ด้วยซ้ำ มันมีกระแสไฟฟ้าและอำนาจแม่เหล็ก แต่เราก็ไม่เคยเห็นมัน เราแทบไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ การมองว่าความตายคือด้านตรงข้ามของการมีชีวิต ก็คือการมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าความตายไม่สามารถดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศได้ครับ ความตายไม่ใช่ด้านตรงข้ามของการมีชีวิต ก็แค่ภาวะปราศจากชีวิตเท่านั้น ตอนนี้บอกผมหน่อยสิครับอาจารย์ คุณสอนพวกผมว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงใช่มั้ย?
ศาสตราจารย์: ถ้าเธอกำลังพูดถึงในแง่วิวัฒนาการตามธรรมชาติ มันก็ใช่แน่นอน ฉันสอนแบบนั้น
นักศึกษา : อาจารย์เคยเห็นวิวัฒนาการที่ว่านั้น กับตาตัวเองรึเปล่าครับ?
(ศาสตราจารย์ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาเริ่มรู้ตัวว่ากระแสการสนทนาจะไปในทิศทางใด)
นักศึกษา : ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นขั้นตอนการวิวัฒนาการ และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำว่าขั้นตอนเหล่านี้มันยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หรือไม่ แล้วอาจารย์จะไม่สอนแนวคิดของอาจารย์หน่อยเหรอครับ? ที่จริงแล้วอาจารย์ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นนักบวชรึเปล่า?
(เสียงโห่ร้องระทึกขึ้นมากลางชั้นเรียนทันที)
นักศึกษา : ในห้องนี้มีใครเคยเห็นสมองของอาจารย์บ้างครับ?
(ทุกคนในห้องพากันหัวเราะขบขัน )
นักศึกษา : มีใครเคยได้ยินเสียงสมองของอาจารย์บ้าง มีใครเคยเห็น สัมผัส หรือได้กลิ่นมันบ้าง? ดูเหมือนว่าไม่มีใครเคยเห็นนะครับ ดังนั้นถ้าว่ากันตามหลักการสังเกต ขั้นตอนการทดลอง กระบวนการพิสูจน์ และวิทยาศาสตร์ ก็แปลว่าอาจารย์ไม่มีสมองครับ ดังนั้นแล้วด้วยความเคารพครับ เราจะเชื่อในสิ่งที่อาจารย์สอนได้อย่างไร?
(ความเงียบเข้าปกคลุมห้องเรียนอีกครั้ง แล้วอาจารย์ก็จ้องมองไปยังนักศึกษาคนนั้น ด้วยสีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจความนึกคิดได้)
ศาสตราจารย์: อาจารย์ว่า ก็คงต้องทำให้พวกเขาเชื่อถือให้ได้ล่ะ
นักศึกษา : ใช่แล้วครับ.... ถูกต้องแล้ว! สิ่งที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ก็คือความเชื่อ และนั่นก็สิ่งที่ทำให้ทุกชีวิต ดำเนินต่อไปได้
ป.ล. ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงสนุกกับบทสนทนาเหล่านี้ และถ้าคุณรู้สึกแบบนั้น คุณอาจจะอยากจะส่งให้เพื่อนร่วมเรียน หรือเพื่อนร่วมงานของคุณอ่านด้วยใช่มั้ย? ลองส่งไปเพิ่มพูนความรู้ ....หรือความเชื่อให้เขาสิ
อ่อ เกือบจะลืม นักศึกษาคนนั้นชื่อเต็มๆ ว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ผมก็อปมาครับ อ่านแล้วได้แง่ดี เลยอยากแบ่งปัน
ศาสตราจารย์ : เธอเป็นชาวคริสต์ใช่มั้ย อัลเบิร์ต?
นักศึกษา : ใช่ครับ
ศาสตราจารย์: แล้วเธอเชื่อใน พระเจ้า รึเปล่า?
นักศึกษา : แน่นอนครับ
ศาสตราจารย์ : พระเจ้าเป็นผู้ดีงามใช่หรือไม่?
นักศึกษา : แน่สิครับ
ศาสตราจารย์: พระเจ้าทรงอำนาจที่สุดใช่มั้ย?
นักศึกษา : ครับ
ศาสตราจารย์: น้องชายของอาจารย์เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็ง ทั้งที่เขาวิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยรักษาเขา มนุษย์เราล้วนพยายามช่วยเหลือผู้อื่นที่ป่วยไข้ แต่พระองค์ท่านกลับไม่ช่วยอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพระเจ้าจะเป็นผู้ดีงามได้อย่างไรล่ะ?
(นักศึกษาเงียบ...)
ศาสตราจารย์: ตอบไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ? งั้นเรามาเริ่มกันใหม่อีกครั้งนะพ่อหนุ่ม พระเจ้าเป็นผู้ดีงามใช่หรือไม่?
นักศึกษา : ใช่
ศาสตราจารย์: งั้น ซาตาน เป็นผู้ดีงามใช่หรือไม่?
นักศึกษา : ไม่ใช่
ศาสตราจารย์: ซาตานมาจากไหนล่ะ?
นักศึกษา : จาก.... พระผู้เป็นเจ้า...
ศาสตราจารย์: ถูกต้อง ไหนตอบมาสิ ในโลกนี้มีความชั่วร้ายอยู่ใช่มั้ย?
นักศึกษา : ใช่
ศาสตราจารย์: ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เต็มไปด้วยความชั่วร้ายใช่มั้ย? แล้วพระเจ้าก็เป็นผู้สร้างทุกอย่าง ถูกมั้ย?
นักศึกษา : ถูก
ศาสตราจารย์: งั้นใครคือผู้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา?
(นักศึกษาไม่ตอบอะไรออกมา...)
ศาสตราจารย์: ความป่วยไข้ ไร้มนุษยธรรม ความชิงชัง ความน่ารังเกียจ โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่เลวร้ายเหล่านี้ใช่มั้ย?
นักศึกษา : ใช่ครับ
ศาสตราจารย์: งั้นใครสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา?
(นักศึกษาไม่มีคำตอบให้)
ศาสตราจารย์: ในทางวิทยาศาสตร์นั้น คนเรามีประสาทสัมผัสทั้ง 5 เอาไว้สังเกตและเรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไหนลองบอกอาจารย์สิว่า เธอเคยเห็นพระเจ้ารึเปล่า?
นักศึกษา : ไม่เคยครับ
ศาสตราจารย์: เธอเคยได้ยินเสียงของพระเจ้ารึเปล่า?
นักศึกษา : ก็ไม่เคยครับ
ศาสตราจารย์: เธอเคยสัมผัสพระเจ้า ลิ้มรสพระเจ้า ได้กลิ่นของพระเจ้ารึเปล่า? เคยมีประสาทสัมผัสใดๆ ของเธอรับรู้ถึงตัวตนของพระเจ้าบ้างมั้ย?
นักศึกษา : ไม่นะครับ ผมว่าผมไม่เคย
ศาสตราจารย์: แล้วเธอยังจะเชื่อในพระองค์ท่านอีกงั้นรึ?
นักศึกษา : ใช่
ศาสตราจารย์ : ตามหลักการสังเกต ขั้นตอนการทดลอง กระบวนการพิสูจน์ และวิทยาศาสตร์ ล้วนสรุปได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แล้วทำไมเธอถึงยังพูดแบบนั้นล่ะ?
นักศึกษา : ไม่เลยครับ เพียงเพราะผมมีความเชื่อ
ศาสตราจารย์: ช่าย... ความเชื่อเนี่ยแหละที่เป็นตัวปัญหาของวิทยาศาสตร์
นักศึกษา : อาจารย์ครับ โลกนี้มีความร้อนอยู่มั้ย?
ศาสตราจารย์: มีสิ
นักศึกษา : แล้วโลกนี้มีความเย็นอยู่มั้ย?
ศาสตราจารย์: แน่นอน
นักศึกษา : ผิดครับ ความเย็นไม่มีอยู่จริง
(ห้องเรียนถึงกับเงียบสงัดเมื่ออาจารย์โดนนักศึกษาคนนี้ดักเข้าให้)
นักศึกษา : อาจารย์ครับ เราสามารถมีความร้อนเท่าใดก็ได้ ยิ่งร้อน โคตรร้อน ร้อนสุดๆ ร้อนจนสูญสลาย หรือจะมีความร้อนเล็กน้อย จนกระทั่งไม่มีความร้อนเลย แต่เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเย็นอยู่ครับ เราสามารถสร้างสภาวะติดลบ 458 องศาฟาเรนไฮต์ที่ไร้ซึ่งความร้อนอยู่เลยได้ แต่เราไม่สามารถลบไปได้มากกว่านั้น ความเย็นไม่มีอยู่จริงครับ มันก็แค่คำที่เราใช้เรียกภาวะที่มีความร้อนน้อย เราไม่สามารถวัดค่าความเย็นได้ ความร้อนเป็นพลังงานครับ แต่ความเย็นไม่ใช่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความร้อนหรอกครับ มันก็แค่การปราศจากความร้อนเท่านั้นเอง
(เสียงหมุดเล่มหนึ่งตกลงท่ามกลางความเงียบงันของห้องเรียนรวม)
นักศึกษา : แล้วความมืดล่ะครับอาจารย์? ความมืดมีอยู่จริงมั้ย?
ศาสตราจารย์: จริงสิ ถ้าไม่มีความมืด แล้วจะเกิดกลางคืนได้อย่างไร?
นักศึกษา : ผิดอีกครับ ความมืดก็คือภาวะที่ปราศจากบางสิ่งบางอย่าง เราสามารถหรี่แสง ทำแสงปกติ ทำแสงจ้า ทำแสงสว่างวาบ แต่ถ้าไม่มีแสงอยู่เลย ก็จะไม่มีสิ่งใด และเราก็เรียกมันว่าความมืดไม่ใช่เหรอครับ? ความมืดน่ะไม่มีอยู่ในความเป็นจริง เพราะหากมันมีอยู่จริงแล้ว เราก็ต้องสร้างภาวะที่มืดมิดขึ้นไปเรื่อยๆ ได้สิครับ?
ศาสตราจารย์: ประเด็นของเธอคืออะไรกันแน่?
นักศึกษา : อาจารย์ครับ ประเด็นของผมคือแนวคิดในสมมติฐานของอาจารย์บกพร่อง
ศาสตราจารย์: บกพร่อง? ไหนลองว่ามาสิ?
นักศึกษา : อาจารย์คิดอยู่บนแนวคิดคู่ขนาน อาจารย์อภิปรายว่าเมื่อมีชีวิตแล้วก็ย่อมมีความตาย มีพระเจ้าที่ดีและพระเจ้าที่ร้าย อาจารย์มีมโนคติสำหรับพระเจ้าในฐานะสิ่งที่มีขอบเขตจำกัดตายตัว สิ่งที่เราสามารถวัดได้ อาจารย์ครับ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายความคิดได้ด้วยซ้ำ มันมีกระแสไฟฟ้าและอำนาจแม่เหล็ก แต่เราก็ไม่เคยเห็นมัน เราแทบไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ การมองว่าความตายคือด้านตรงข้ามของการมีชีวิต ก็คือการมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าความตายไม่สามารถดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศได้ครับ ความตายไม่ใช่ด้านตรงข้ามของการมีชีวิต ก็แค่ภาวะปราศจากชีวิตเท่านั้น ตอนนี้บอกผมหน่อยสิครับอาจารย์ คุณสอนพวกผมว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงใช่มั้ย?
ศาสตราจารย์: ถ้าเธอกำลังพูดถึงในแง่วิวัฒนาการตามธรรมชาติ มันก็ใช่แน่นอน ฉันสอนแบบนั้น
นักศึกษา : อาจารย์เคยเห็นวิวัฒนาการที่ว่านั้น กับตาตัวเองรึเปล่าครับ?
(ศาสตราจารย์ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาเริ่มรู้ตัวว่ากระแสการสนทนาจะไปในทิศทางใด)
นักศึกษา : ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นขั้นตอนการวิวัฒนาการ และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำว่าขั้นตอนเหล่านี้มันยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หรือไม่ แล้วอาจารย์จะไม่สอนแนวคิดของอาจารย์หน่อยเหรอครับ? ที่จริงแล้วอาจารย์ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นนักบวชรึเปล่า?
(เสียงโห่ร้องระทึกขึ้นมากลางชั้นเรียนทันที)
นักศึกษา : ในห้องนี้มีใครเคยเห็นสมองของอาจารย์บ้างครับ?
(ทุกคนในห้องพากันหัวเราะขบขัน )
นักศึกษา : มีใครเคยได้ยินเสียงสมองของอาจารย์บ้าง มีใครเคยเห็น สัมผัส หรือได้กลิ่นมันบ้าง? ดูเหมือนว่าไม่มีใครเคยเห็นนะครับ ดังนั้นถ้าว่ากันตามหลักการสังเกต ขั้นตอนการทดลอง กระบวนการพิสูจน์ และวิทยาศาสตร์ ก็แปลว่าอาจารย์ไม่มีสมองครับ ดังนั้นแล้วด้วยความเคารพครับ เราจะเชื่อในสิ่งที่อาจารย์สอนได้อย่างไร?
(ความเงียบเข้าปกคลุมห้องเรียนอีกครั้ง แล้วอาจารย์ก็จ้องมองไปยังนักศึกษาคนนั้น ด้วยสีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจความนึกคิดได้)
ศาสตราจารย์: อาจารย์ว่า ก็คงต้องทำให้พวกเขาเชื่อถือให้ได้ล่ะ
นักศึกษา : ใช่แล้วครับ.... ถูกต้องแล้ว! สิ่งที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ก็คือความเชื่อ และนั่นก็สิ่งที่ทำให้ทุกชีวิต ดำเนินต่อไปได้
ป.ล. ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงสนุกกับบทสนทนาเหล่านี้ และถ้าคุณรู้สึกแบบนั้น คุณอาจจะอยากจะส่งให้เพื่อนร่วมเรียน หรือเพื่อนร่วมงานของคุณอ่านด้วยใช่มั้ย? ลองส่งไปเพิ่มพูนความรู้ ....หรือความเชื่อให้เขาสิ
อ่อ เกือบจะลืม นักศึกษาคนนั้นชื่อเต็มๆ ว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ผมก็อปมาครับ อ่านแล้วได้แง่ดี เลยอยากแบ่งปัน