PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : บันทึก...จากไททานิค และผู้คนที่มีอยู่จริง (มีสาระ)



ChrisBVB22
8th July 2012, 16:37
http://www.pattayadailynews.com/th/wp-content/uploads/2010/03/887912.jpg




บันทึกเดินทางสู่หายนะ


การเดินทางของไททานิกครั้งแรก เริ่มการเดินทางที่ เซาแธมทัน, อิงแลนด์ (Southampton, England) ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมโดยกัปตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ (Edward J. Smith) เพื่อเดินทางไปยังนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางครั้งนั้น มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2217 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขั้น 1, ผู้โดยสารชั้น 2, ผู้โดยสารชั้น 3 และลูกเรือ

ในระหว่างการเดินทางนับตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน เป็นต้นมา เรือ "ไททานิก" ได้รับสัญญาณวิทยุเตือนภัยให้ระวังเรื่องภูเขาและกลุ่มก้อนน้ำแข็งที่ปรากฏลอยอยู่เกลื่อนกลาด ทั่วไปในเส้นทางการเดินทางจากเรือลำอื่นๆ มาโดยตลอด

คืนวันที่14 เมษายนฯ เวลา 22.30 น.พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" ซึ่งกำลังติดอยู่ในกลุ่มก้อนน้ำแข็งห่างจากเรือ "ไททานิก" ประมาณ 19 ไมล์ทางเหนือ ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้แก่เรืออื่นๆ ซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางที่ใกล้เคียงให้ระมัดระวังภัยพิบัติที่อาจจะเกิดจากการชนภูเขาน้ำแข็งภายในบริเวณนี้ได้ ขณะที่ กำลังเรียกขานเรือ "ไททานิก" เพื่อแจ้งให้ระมัดระวังเหตุภัยพิบัตินี้เช่นกัน ก็ได้รับสัญญาณตอบกลับมาในลักษณะที่ไม่ค่อยสุภาพว่า "...ให้หยุดเตือนเสียที เพราะสัญญาณเข้าไปรบกวนการทำงาน(ของเขา)กับ Cape Race..." พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" จึงเลิกทำการติดต่อ


เมื่อเวลาประมาณ 23.40 น. ด้วยความเร็ว 25 น็อตครึ่ง เรือ "ไททานิก" ได้พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งซึ่งมีความสูงพ้นระดับน้ำ 55-60 ฟิต ที่ Longitude 50o 14' W Lattitude 41o 27' N ทำให้ตัวเรือแตกน้ำทะเลไหลท่วมท้นเข้ามาในตัวเรือมีระดับสูงกว่ากระดูกงู14 ฟิต ภายใน 10 นาที แล้วไหลทะลักเข้าไปสู่ห้องต่างๆ อย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้เรือเริ่มอับปาง


เรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งทางกราบขวาหัวเรือ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ และห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรกก็เกิดรอยรั่ว แต่หัวเรือรับได้เพียง 4 ห้อง ทำให้น้ำจะท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้นF เริ่มไหลขึ้นชั้นE น้ำจึงเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ

พนักงานวิทยุประจำเรือฯ ได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งเหตุร้ายขอความช่วยเหลือไปยังเรือและสถานีฝั่งในอาณาบริเวณ เรือหลายลำที่ได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือจากเรือ "ไททานิก" จึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุโดยเร็ว

วันที่ 15 เมษายน เวลา 00.04 น. กัปตันเรือ "ไททานิก" ได้สั่งสละเรือใหญ่ เรือลำนี้ถึงแม้ว่า จะได้เตรียมเรือชูชีพไว้จำนวนมากแต่ก็สามารถจุได้เพียง 1178 คนในจำนวนผู้โดยสารและพนักงานประจำเรือทั้งหมด ๒,๒๑๗ คน เท่านั้น อีกทั้ง ลูกเรือก็คิดว่าเรือคงจะจมเร็วมาก จึงปล่อยเรือบดออกทั้งๆที่ยังใส่คนไม่เต็มลำ ทำให้คนอื่นรอดน้อยไปอีก

เวลาประมาณ 04.20 น. เรือโดยสารขนาดใหญ่ชื่อ "อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย" (RMS Carpathia) ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือบดทั้งหมด และพาสู่นิวยอร์ก ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1912 จากนั้น ในเดือนกันยายน

ถึงแม้ว่า จะมีเรือหลายลำเข้าไปช่วยเหลือได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่การอับปางของเรือ "ไททานิค" ครั้งนี้ก็ยังเป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่จากผู้โดยสารและลูกเรือ 2217 ชีวิต รอดชีวิตเพียง 704 ชีวิต เสียชีวิตทั้งหมด 1513 ราย ในจำนวนนี้มีมหาเศรษฐีอเมริกันรวมอยู่ด้วยถึง 3 คน คือ John Jacob Astor, Benjamin Gugenheim และ Isidor Straus

ค.ศ. 1985 ซากเรือไททานิคได้ถูกค้นพบอีกครั้ง

และนี้คือบันทึกการหายนะคราวๆ ของไททานิกครับ เออ..............ยังไม่หมดครับหลังจากเหตุการณ์ไททานิกจมแล้ว ก็เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้าง และเรื่องประหลาดของไททานิกตามมาอีกมากมายเลยครับ เช่น




เบื้องหลังของปริศนาไททานิกอาจจมเพราะ คำสาปมัมมี่อาเมน รา


ว่ากันว่าตอนที่เจ้าหญิงอาเมนรา มีชีวิตอยู่ ทรงโหด*****มมาก พระองค์มีคำสั่งให้นำชายฉกรรจ์กว่า 100 คน ขายเป็นทาส มิฉะนั้นจะถูกประหารอย่างทารุณ จนกระทั้งถูกชู้รักคนหนึ่งแทงจนสิ้นพระชนม์เมื่อ 1500 ปีก่อนคริสตกาล ตามธรรมเนียมของอียิปต์พระศพของพระองค์จะต้องถูกนำไปทำเป็นมัมมี่

การทำมันมีขั้นแรกจะดองเกลือจนแห้งพันด้วยผ้า และมีคำสาปและมนตจารึกไว้บนผ้ารอบกาย โดยอาจเป็นมนตราของคำสาปแช่งที่มันผู้ใดก็ตามที่บังอาจรบกวนมันต้องตาย

พระวรกายของอาเมนราถูกเก็บไว้พีระมิดในโลงหิน พร้อมทรัพย์สมบัติ แต่ท้ายสุดโจรขโมยสุสานได้ขโมยสมบัติจนหมดเกลี้ยง เหลือทิ้งไว้แต่มัมมี่ของเจ้าหญิงที่ไร้ค่าเท่านั้น

เว้นแต่อีก 3000 ปีต่อมา ในสมัยวิกตอเรียนมัมมี่กำลังกลายเป็นที่นิยม ผู้คนที่ร่ำรวยต่างซื้อมัมมี่ไปไว้เป็นเครื่องประดับบ้าน.....................................

ปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง เมื่อทั้ง 4 เห็น แล้วก็เกิดความละโมบ อยากได้ จนต้องมีการจับฉลาก ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันๆปอนด์

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก็มีคนเห็นชายคนนั้นแหละ เดินตรงไปยังทะเลทรายเขาบอกว่า "ผมจะออกไปเดินเล่น" แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย

วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนทีเหลือก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง เพื่อช่วยชีวิต

ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย

ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้าย ได้เกิดเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน

ปี 1920 นักโบราณคดีชาวอเมริกันผู้หญิงเดินทางไปพบกับนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อดักลาส เมอร์เรย์ ที่บ้านพักในกรุงไคโรประเทศอียิปต์ จุดประสงค์ของเขามีเพียง ต้องการติดต่อขายสินค้าชิ้นหนึ่งให้ เมอร์เรย์ และสินค้าที่ว่านี้คือหีบพระศพของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณองค์หนึ่งซึ่งก็คือ เจ้าหญิง "อาเมน-รา"

เมอร์เรย์ต้อนรับ นักโบราณคดีชาวอเมริกันคนนี้ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเท่าไหร่ ก็สารรูปของเขาซิครับ ดูซูบซีดเหมือนขี้ยาทั้งแต่งเนื้อแต่งตัวก็สกปรก เขาก็เลยไม่ค่อยศรัทธาใน "สินค้า" ที่ได้รับการเสนอขาย แต่ก็เอ่ยปากขอดู "สินค้า" ก่อนจะตัดสินใจ กะว่าถ้าไอ้เจ้าหมอที่อ้างว่าเป็นนักโบราณคดีคนนี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ เขาจะได้ไม่หลงกล เสียเงินฟรี

แต่นักโบราณคดีที่เมอร์เรย์หมายหัว กลับยินดีที่จะพาเขาไปดูสิ่งที่เสนอขายอย่างเต็มใจเสียด้วย และทันทีที่เมอร์เรย์เห็นหีบพระศพเคลือบด้วยทองคำเหลืองอร่ามตระการตาเข้าเท่านั้น เขาก็ถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าจะพบสิ่งมีค่ามหาศาลเช่นนี้ต่อหน้าต่อตา ทั้งมันยังจะทำท่าจะตกอยู่ในความครอบครองของเขาอย่างง่ายดายเสียอีกนักโบราณคดีอเมริกันเล่าว่าหีบพระศพใบนี้ ค้นพบที่วิหารอะมอนรา ในธีบีส ซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บพระศพของบรรดาเจ้าหญิงอียิปต์โบราณมากมาย สำหรับโลงพระศพที่อยู่ต่อหน้าเมอร์เรย์ คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 1,600 ปีก่อนคริสตศักราช

"ตกลง ผมรับซื้อ" เมอร์เรย์กล่าวด้วยสีหน้าที่ซ่อนความปิติไว้มิดชิด

"จะจ่ายเช็คให้ตามที่คุณต้องการ"

"แต่มันมีอาถรรพณ์หน่อยนะ เพราะมีคำสาปแช่งจารึกไว้ด้วย" นักโบราณคดีอเมริกันบอกเสียงอ่อยๆ

"ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก" เมอร์เรย์ว่า

สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับลวดลายข้างหีบอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันสังเกตว่า นักโบราณคดีอเมริกันถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะโล่งอก

เมอร์เรย์ไม่ได้นึกเสียดายเงินก้อนใหญ่ที่เขาจ่ายให้นักโบราณคดีผู้นั้นแม้แต่น้อยเลย ด้วยว่ามูลค่าของหีบพระศพที่เขาได้มามีค่ามากกว่ามากนัก แม้คำสาปแช่งที่นักโบราณคดีอเมริกาบันทึกไว้ให้ก็ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน คำสาปแช่งนั้นมีความว่า

"มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์ มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติอันน่าสยดสยองทุกวัน มันต้องตายทุกคน"

ความที่เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องคำสาปอย่างที่เขาว่าไว้ ทำให้เขานำหีบพระศพของเจ้าหญิงโบราณไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดีในกรุงไคโรอีกหลายท่านพิสูจน์ว่า เป็นหีบพระศพสมัยไหน? ของเจ้าหญิงองค์ใด? แม้ว่าคำตอบที่เขาได้รับจะไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด แต่คำชมว่าเขามีสายตาเฉียบคม สามารถซื้อหีบพระศพโบราณได้ในราคาที่นับว่าถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง ก็ทำให้เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจไปนานหลายวัน

แต่ว่า ในท่ามกลางความภูมิใจนั้น มีข่าวๆ หนึ่งแทรกเข้ามารบกวนความรู้สึกของเขาไม่น้อย นั่นคือ นักโบราณคดีอเมริกันที่เพิ่งขายหีบพระศพใบนี้ให้ หลังจากที่รับเช็คเงินสดจากเขาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เสียชีวิตอย่างลึกลับ...!

หรือว่าคำสาปจะเป็นจริง?เมอร์เรย์ตัดความรู้สึกฉงนใจทิ้ง เขาไม่เชื่อว่าจะมีความเร้นลับอะไรในศตวรรษที่ 20 ได้อีก สิ่งหนึ่งที่เขาต้องรีบกระทำขณะนี้ คือการส่งหีบพระศพไปเก็บไว้ที่บ้านในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรียบร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทางแต่ว่าสามวันหลังจากนั้น ก็มีเหตุให้เขาออกไปซ้อมยิงปืนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ จู่ๆ ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุถูกเข้าที่แขนของเมอร์เรย์เป็นแผลเหวอะหวะ

แพทย์ต้องตัดแขนเขาทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงไป เมอร์เรย์กลายเป็นคนพิการอย่างที่ไม่น่าจะเป็น ด้วยสาเหตุบังเอิญที่น่าพิศวงยิ่ง

อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องปล่อยหีบพระศพเดินทางไปล่วงหน้า ส่วนตัวเขาจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นในอียิปต์สักพักจนแน่ใจว่าอาการไม่กำเริบแน่ จึงค่อยตามไปภายหลังหลังจากนั้น เมื่อบาดแผลของเขาค่อยยังชั่ว เมอร์เรย์ก็รีบเดินทางไปอังกฤษทันทีครับ แต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ

ปรากฏว่าเพื่อนของเขาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งหีบพระศพ 2 คน และหญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของเขาอีก 1 คน จู่ๆ ก็พร้อมใจกันตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เมอร์เรย์ชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วซีครับว่า มันเป็นเหตุบังเอิญหรือมาจากอาถรรพณ์คำสาปกันแน่

อย่างไรก็ตามครับ พอเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ เขาก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน ที่บ้านนั่นละครับที่นักอียิปต์วิทยารายนี้ตัดสินใจเปิดหีบออกดูพระศพ ทันทีที่ฝาโลงเปิดออกเผยให้เห็นมัมมี่ของเจ้าหญิงเท่านั้น ทำเอาเมอร์เรย์ถึงกับผงะหน้าซีดเผือดเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้า ก็มัมมี่ของเจ้าหญิงที่เขาเห็นเวลานี้ แตกต่างไปจากที่เคยเห็นซะแล้ว มันดูเหมือนใบหน้าของคนยังมีชีวิตอยู่จริง จ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาอาฆาตแค้น

คราวนี้เมอร์เรย์ปักใจเชื่อว่าคำสาปมีจริงเต็มร้อย

เขาคิดว่าสิ่งที่นักโบราณคดีอเมริกันเตือน เริ่มสำแดงเดชให้ประจักษ์ความหวาดกลัวพุ่งเข้าจับขั้วหัวใจ

เขาต้องคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะนำหีบพระศพไปให้พ้นตัว แต่ใครล่ะจะมาเป็นผู้รับเคราะห์แทน

ในที่สุด ก็มีเพื่อนหญิงที่เคยร่มชั้นเรียน สนิทสนมกับเขามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ยินยอมรับเอาหีบพระศพไป หญิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

ไม่ต้องรอนานเลย บรรดาคำสาปที่ติดอยู่กับมัมมี่โบราณก็เริ่มแผลงฤทธิ์

เริ่มด้วยแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน ตามด้วยเธอเองก็ถูกสามีทอดทิ้ง แล้วแถมต่อมายังล้มป่วยด้วยโรคประหลาด

เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นซ้อนๆ กันทำให้เธอรีบแจ้นนำหีบพระศพมาคืนให้เมอร์เรย์

ข้างฝ่ายเมอร์เรย์ก็กลัวเดชคำสาปมาก ไม่ต้องการเก็บหีบพระศพไว้เช่นกัน จึงคิดหาทางมอบต่อให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ

ทางพิพิธภัณฑ์ก็แสนจะดีใจ รับเอาของบริจาคแล้วรีบจัดแสดงทันที โดยให้นักอียิปต์วิทยาจัดสถานที่วางหีบพระศพให้ดูเหมือนบรรยากาศอียิปต์โบราณ แล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชม

ทีนี้พอวางโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราไว้ในห้องสไตล์อียิปต์แล้ว ยามที่เฝ้าได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลย

ต่อมา ขณะที่นักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังถ่ายภาพหีบพระศพอยู่ดีๆ ก็มีอันล้มตึงชักดิ้นชักงอขาดใจตายคาที่โดยไม่มีท่าทีมาก่อน แค่นั้นยังไม่พอ นักอียิปต์วิทยาผู้แตะต้องหีบพระศพเพื่อการจัดแสดง ก็นอนตายตาเหลือกอยู่บนเตียงในห้องนอน คล้ายกับตกใจกลัวอะไรบางอย่างสุดขีดจนหัวใจวายกระทันหัน หนังสือพิมพ์อังกฤษเอาข่าวนี้ไปตีพิมพ์ กลายเป็นข่าวดังทำให้ประชาชนหวาดกลัว ไม่มีใครอยากเฉียดเข้าไปใกล้หีบพระศพเลย

ต่อมามีผู้ชมคนหนึ่งลบหลู่เจ้าหญิงโดยการใช้ผ้าปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในเวลาไม่นานนัก พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดิน เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิด เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก็ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป็นใบหน้าที่น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย

ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ จึงตัดสินใจมอบหีบพระศพใบนี้ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งทางนิวยอร์คก็ยอมรับอย่างยินดี โดยให้ทางอังกฤษจัดส่งโดยเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นคือเรือไททานิคเรือไททานิค เป็นเรือที่ถือกันว่า "ไม่มีวันจม" และถือว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด แต่ครั้นจะขนย้ายหีบพระศพไปกับเรืออย่างเปิดเผยก็กลัวผู้คนจะแตกตื่น เลยจำต้องกระทำอย่างเป็นความลับ ทางฝ่ายขนส่งจัดการบรรจุหีบพระศพใส่ลังอย่างดี แล้วนำไปซ่อมไว้ใต้ท้องเรือ ไม่มีผู้โดยสารทราบเลยแม้แต่คนเดียวว่า มีหีบพระศพอียิปต์โบราณที่มีอาถรรพณ์ บรรทุกมากับเรือด้วย ผู้รู้เรื่องนี้ดีก็คือบริษัทผู้จัดส่งเท่านั้น

กระทั่งถึงวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1912 ทั่วโลกก็ตะลึง................................มันจมซะงั้น คราวนี้มัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราได้นอนหลับตลอดกาลสมใจอยากเลยล่ะ


ขอค้าน ตำนานเรื่องมัมมี่เจ้าหญิงอาเมนดูเหมือนจะเป็นตำนานที่รู้กันโดยทั่วๆ ไป ว่ากันว่ามันถูกขนอย่างลับๆ เพื่อให้ผู้โดยสารกลัว แต่ความจริงไม่มีหลักฐานที่เป็นบันทึกแน่นอนว่ามันอยู่ที่นั้น เพราะถ้าไม่มีบัญชี บันทึก บริษัทผู้จัดส่งอาจถูกโกงก็ได้ หรืออาจไม่มีก็ได้ เพราะไม่มีหลักฐานนี้

สรุปคือมันเป็นเสียงเล่าลือ



ยังมีอีก




ไททานิกจมเพราะเรือดำน้ำของเยอรมัน


มีผู้รอดจากไททานิกอ้างว่า "ไททานิคน่ะไม่ได้จมลงเพราะน้ำแข็งร้อก !! มันจมลงเพราะตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันต่างหาก !! ชาวโลกน่ะถูกหลอกมานานนับ 90 ปีแล้ว

โดยเยอรมันได้ส่งเรือดำน้ำติดตามเรือไททานิคไปทั้งวันและคืนพร้อมกับตอร์ปิโดสว่าน จนกระทั่งสบโอกาสเหมาะในอันหนาวเย็นคืนหนึ่ง เรือดำน้ำของเยอรมันก็ได้ไปหลบอยู่ข้างหลังเจ้าก้อนน้ำแข็งแห่งประวัติศาสตร์

เมื่อเริ่มลงมือเรือดำน้ำปล่อยตอร์ปิโดสว่านออกไปในจังหวะที่ไททานิคเข้าชนที่แง่น้ำแข็งเพียงแค่ส่วนน้อย และกำลังจะหักหลบพ้น แต่เจ้ากรรม ตอร์ปิโดพิฆาตได้ทะลวงเข้าไปยังกาบเรือด้านขวาเสียแล้ว ทำให้เกิดเสียการทรงตัวและพุ่งเข้าชนกับก้อนน้ำแข็งอีกครั้ง น้ำจำนวนมากก็ไหลเข้าไปยังเรือ จากนั้นเยอรมันจึงถอนตอร์ปิโดกลับ (ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง) และล่าถอยหลับไป

ในอีก 3 ชั่วโมงต่อมาไททานิคก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์เหตุการณ์ที่สำคัญของโลกไปเรียบร้อย และชาวโลกก็เชื่อกันว่ามันจมลงเพราะชนเศษเสี้ยวน้ำแข็งไป แต่รัฐบาลอเมริกาและอังกฤษรู้เรื่องมาโดยตลอดแต่ได้ปิดบังเอาไว้

น่าเชื่อเนอะ และเรือดำน้ำเยอรมันมันจะทำอย่างนี้ทำไม


ยังมีต่ออีก




เหมือนโดยบังเอิญ?



วิลเลียม สเตดหนึ่งในผู้โดยสารไททานิก เขียนนิยายเรื่องหายนะของเรือโดยสารขึ้นในปี ค.ศ. 1892 น่าสังเกตว่ามันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรือไททานิกในเวลาต่อมา แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถหยุดเขาที่จะไปท่องเที่ยวได้ ในตอนเรือไททานิกใกล้จะจมมีคนพบเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์คนเดียวในห้องสูบบุหรี่ ลูกเรือผู้หนึ่งเล่าว่าเขาดูเหมือนกับเตรียมตัวเตรียมใจอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย


แม้นิยายของสเตดเป็นคำพยากรณ์น่าทึ่ง แต่มีนักเขียนคนหนึ่งชื่อมอร์แกน โรเบิร์ตสัน กลับมีนิยายที่แปลกประหลาดขึ้นไปอีก ชื่อ ฟิวทิลิตี้ เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา เช่นเดียวกับไททานิก จนดูเหมือนโดยบังเอิญ

1. ในเที่ยวปฐมฤกษ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือลำนั้นชนกับภูเขาน้ำแข็งแล้วจมลง เช่นเดียวกับไททานิก

2. มีผู้โดยสารมากเกินควร ทั้งนี้เพราะเรือชูชีพน้อยเกินไป เช่นเดียวกับเรือไททานิก

3. เรือของโรเบิร์ตสันชนภูเขาน้ำแข็งด้วยความเร็ว 25 น็อต แต่ของไททานิกใช้ความเร็ว 23 น็อต

4. เรือของโรเบิร์ตสันมีเรือชูชีพ 24 ลำ เรือไททานิกมี 20 ลำ

5. เรือของโรเบิร์ตสันมีใบพัด 3 ใบ เช่นเดียวกับไททานิก

6. เรือของโรเบิร์ตสันจมลงในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับไททานิก

7. โรเบิร์ตสันเขียนนิยายนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1898 เป็นเวลา 10 ปีก่อนที่ไททานิกจะถูกสร้าง ความเหมือนน่าประหลาดคือเขาต้องชื่อเรือลำนี้ว่า "เรือไททัน"

http://img31.imageshack.us/img31/2465/catspzxb.jpg
http://img188.imageshack.us/img188/452/catslw.jpg

รูปต่างๆในไททานิก คลิก (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=108358)


เครดิต = oknation (http://www.oknation.net/blog/index.php)

Guardian
8th July 2012, 16:40
โอ่ววว สาระทั้งนาน ยังไม่ได้อ่านเมนก่อนและกัน ขอบคุณครับ

ว่าแต่ว่างานที่จัดโชว ของเรือนี้มีวันไหนนะ เห็นเค้าบอกว่ามีใช่ปะครับ

BackLash01
8th July 2012, 16:55
สาระทั้งนั้นครับ

JaFah
8th July 2012, 18:25
ดันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ให้ คับ

มันมีสาระมาก

wuttichai
8th July 2012, 18:38
สรุปหั้ยหน่อยคับ -*-

Gokusen
8th July 2012, 23:31
มันมีงานโชว์อยุ่นี่ครับที่อินแพคป่ะที่ว่าเค้ากุ้ซากเรือ+สิ่งของ!!!!!!ขึ้นมาได้อ่ะ รวมถึงเล่าในสิ่งๆที่ไม่เคยรุ้เกี่ยวกะไททานิคด้วย

champ1780
9th July 2012, 00:23
เรื่องมีสาระเราไม่อ่านนนนนนนน เราขอผ่านไปเสพ ''นม''

maxk4255k
9th July 2012, 00:27
อ่านไม่หมด -*-

oundajim
9th July 2012, 01:50
ยาวมาก แต่มีสาระ ขอบคุณครับ

eyazawa2456
9th July 2012, 01:52
อ๋อยานอวกาศชนนี้เอง เรือถึงจม - -*