PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ตำนานแห่งซิลมาริล ปฐมบทแห่ง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์



shisaku
4th August 2012, 11:23
***ตอนนี้ผลงานผมย้ายถื่นฐานไปที่เวป Dek-D แล้วนะครับ เนื่องด้วยข้อจำกัดในการสร้างกระทู้ของเวปนี้ ทำให้การทำมันยากมาก ผมจึงขอย้ายไปเวปที่ว่านี้นะครับ ใครอยากติดตามผลงานเชิญตามไปดูได้นะครับ แต่ยังไงก็จะพยายามอัพเดทในส่วนของทีนี้นะครับ แต่ถ้าใครคิดว่าอ่านแล้วปวดตา ตาลายก็ลองไปที่เวป Dek-D นะครับ เพราะผมแยกหมวดหมู่ไว้ชัดเจน เป็นตอน หลายตอน ทำให้ง่ายต่อการอ่านมาก
***เวปไซต์ :: http://writer.dek-d.com/dekdee/writer/view.php?id=845016



ตำนานแห่งซิลมาริล

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/4/40/SilmarillionBook_LR.jpg/200px-SilmarillionBook_LR.jpg

------ตำนานแห่งซิลมาริล (อังกฤษ: The Silmarillion) เป็นนิยายแฟนตาซีระดับสูง แต่งโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (ผู้แต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์) เริ่มประพันธ์โครงเรื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.1917 และมีการเขียนเพิ่มเติมมาโดยตลอด จนเมื่อ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน สิ้นชีวิตเมื่อปี ค.ศ.1973 วรรณกรรมเรื่องนี้ก็ยังเขียนไม่เสร็จ และยังไม่ได้รับการตีพิมพ์
------คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายคนที่สามของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ได้สานต่องานประพันธ์ของพ่อ โดยรวบรวมงานเขียนที่ยังคั่งค้างอยู่ ทั้งส่วนที่เขียนรายละเอียดแล้ว และส่วนที่มีเพียงแนวคิด โครงเรื่อง มาประพันธ์ต่อจนสำเร็จสมบูรณ์ เดอะ ซิลมาริลลิออน จึงได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1977
------เนื้อหาในตำนานแห่งซิลมาริล เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก และเหตุการณ์ในยุคที่หนึ่งและยุคที่สองของโลกอาร์ดา ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลายพันปีก่อนถึงยุคสมัยในเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งอยู่ในยุคที่สาม


ภาพรวมของเรื่อง

ตำนานแห่งซิลมาริล ประกอบด้วยเนื้อเรื่องห้าส่วน ดังนี้
1.ไอนูลินดาเล (Ainulindale) มหาคีตาแห่งไอนัวร์ : เล่าถึงตำนานการสร้างโลก
2.วาลาเควนตา (Valaquenta) ตำนานแห่งวาลาร์ : เล่าถึงเหล่าวาลาร์ และ ไมอาร์ ซึ่งเป็นบรรดาชนศักดิ์สิทธิ์ (คือ ไอนัวร์)
3.เควนตา ซิลมาริลลิออน(Quenta Silmarillion) ตำนานแห่งซิลมาริล : ประวัติศาสตร์ตั้งแต่กำเนิดสิ่งมีชิวิตจนถึงสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง เป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้
4.อคัลลาเบธ (Akallabeth) ชื่อนี้หมายถึง การล่มสลายของนูเมนอร์ : ว่าด้วยเรื่องราวการก่อตั้งเกาะนูเมนอร์ไปจนถึงกาลสิ้นสุดของเกาะ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงยุคที่สอง
5.ว่าด้วยแหวนแห่งอำนาจ และยุคที่สาม (Of the Rings of Power and the Third Age) เรื่องของการสร้างแหวน และเหตุการณ์ของยุคที่สาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
------ที่จริงแล้วเรื่องทั้ง 5 ชุดนี้ โทลคีนได้แต่งแยกกันเป็นหลายชิ้นหลายเรื่องย่อย มิใช่เป็นเรื่องเดียวต่อเนื่องกัน และยังมีการปรับปรุงแก้ไขแต่ละเรื่องย่อยเป็นหลายๆ เวอร์ชัน แต่ลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ ได้นำมาเรียบเรียงใหม่ โดยคัดเลือกเอาเวอร์ชันที่สอดคล้องกันมากที่สุดมารวมไว้ (ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุดที่โทลคีนแต่งไว้ก่อนเสียชีวิต) แล้วใช้ชื่อบทที่มีเนื้อหามากที่สุด คือ เควนตา ซิลมาริลลิออน (Quenta Silmarillion) หรือ ตำนานแห่งซิลมาริล มาเป็นชื่อของเรื่องที่เขาได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่
เนื้อเรื่องย่อยแต่ละชิ้น และแต่ละเวอร์ชันที่โทลคีนผู้พ่อแต่งไว้ โดยเฉพาะเวอร์ชันล่าสุดก่อนเสียชีวิต คริสโตเฟอร์ โทลคีนผู้ลูก ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ Unfinished Tales และหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ (The History of Middle Earth) ซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 12 เล่ม


โครงเรื่อง

ไอนูลินดาเล และวาลาเควนตา
------ไอนูลินดาเล เป็นเนื้อหาส่วนแรกของหนังสือ ตำนานแห่งซิลมาริล เล่าถึงเหตุการณ์การสร้างโลกในลักษณะตำนาน กล่าวคือ อิลูวาทาร์ ("พระบิดาแห่งสรรพสิ่ง") ทรงสร้างไอนัวร์ขึ้นก่อนทุกสิ่ง เป็นดวงจิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากดำริ หรือความคิดของพระองค์เอง จากนั้นอิลูวาทาร์ทรงแสดงดนตรีให้เหล่าไอนัวร์ชม แล้วโปรดให้พวกเขาบรรเลงดนตรีให้พระองค์ฟังบ้าง การบรรเลงดนตรีของเหล่าไอนัวร์นี้เรียกว่า "มหาคีตาแห่งไอนัวร์" (คำแปลของ ไอนูลินดาเล) ในระหว่างการบรรเลงนั้น เมลคอร์ ไอนัวร์องค์หนึ่งคิดอยากบรรเลงตามใจตัวเอง ทำให้เสียงดนตรีเพี้ยนผิดพลาดไปหมดจนล่มลง แต่องค์อิลูวาทาร์ทรงสำแดงฤทธิ์เป็นเสียงดนตรีไม่สิ้นสุด แล้วจากนั้นจึงแสดงภาพของโลกอาร์ดา ให้เหล่าไอนัวร์ได้เห็น โลกอาร์ดานั้นคือสิ่งที่บังเกิดขึ้นจากการบรรเลงดนตรีนั่นเอง
จากนั้นอิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา หรือโลกอาร์ดาขึ้นให้เป็นจริง แล้วโปรดให้เหล่าไอนัวร์ที่ทรงพลังอำนาจ ลงไปสถิตอยู่ในโลกนั้น เพื่อสร้างโลกให้เป็นไปตามที่พวกเขาได้บรรเลงบทเพลงเอาไว้ เหล่าไอนัวร์ที่ลงมาในโลก กลุ่มที่มีฤทธิ์มากเรียกว่า วาลาร์ กลุ่มที่มีฤทธิ์รองลงมา เรียกว่า ไมอาร์ พวกเขาทั้งหมดพากันสร้างโลกให้พร้อมรอรับการมาถึงของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ โดยที่มีเมลคอร์คอยขัดขวางการก่อสร้างอยู่ตลอด
บท วาลาเควนตา เป็นเนื้อหาส่วนที่สองของหนังสือ กล่าวถึงรายละเอียดของวาลาร์ทั้ง 14 พระองค์ และรายละเอียดของไมอาร์องค์สำคัญบางองค์ สุดท้ายกล่าวถึงเทพอสูรเมลคอร์ คือไอนัวร์ที่จิตใจหันไปสู่ความชั่วร้าย กับบรรดาไมอาร์ที่ยอมเป็นสมุนของเขา เช่นเซารอน และบัลร็อก

เควนตา ซิลมาริลลิออน
------คำว่า เควนตา (quenta) หมายถึง ตำนาน ส่วน ซิลมาริลลิออน (silmarillion) ประกอบจากคำว่า silmarilli และ -on โดยที่ silmarilli หมายถึง silmarils (คือรูปพหูพจน์ของ silmaril) ส่วน -on หมายถึง of the (ว่าด้วย) ดังนั้น Quenta Silmarillion จึงหมายถึง ตำนานว่าด้วยเรื่องของดวงมณีซิลมาริล
ซิลมาริล (หรือซิลมาริลลิในรูปพหูพจน์) คือดวงมณีสามดวงที่เฟอานอร์ เจ้าชายเอลฟ์ ชาวโนลดอร์ ประดิษฐ์ขึ้น แต่ถูกมอร์กอธขโมยไปหลังจากสังหารกษัตริย์ฟินเว บิดาของเฟอานอร์ เฟอานอร์กับโอรสทั้งเจ็ดและชาวโนลดอร์จึงติดตามไล่ล่าเพื่อล้างแค้น เรื่องราวส่วนใหญ่ในตอนนี้จะเกี่ยวกับการทำสงครามของพวกเอลฟ์กับมอร์กอธในแผ่นดินเบเลริอันด์ เพื่อชิงซิลมาริลกลับคืน
เควนตา ซิลมาริลลิออน ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 24 บท ในจำนวนนี้ เรื่องที่ถือว่าเป็นเอกในตำนานซิลมาริลลิออน ได้แก่
-ว่าด้วยเบเรนและลูธิเอน
-ว่าด้วยทูริน ทูรัมบาร์ (เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งใน นาร์น อิ ฮีน ฮูริน : ตำนานบุตรแห่งฮูริน คริสโตเฟอร์ โทลคีนได้รวบรวมตำนานนี้และประพันธ์ขึ้นเป็นเล่มต่างหากเมื่อปี พ.ศ. 2550 ใช้ชื่อหนังสือว่า ตำนานบุตรแห่งฮูริน (The Children of Hurin)
-ว่าด้วยทูออร์ และการล่มสลายของกอนโดลิน
-ว่าด้วยการเดินทางของเออาเรนดิล และสงครามแห่งความโกรธา

อคัลลาเบธ
------เนื้อหาส่วนนี้กล่าวถึงการกำเนิดและการล่มสลายของอาณาจักรมนุษย์ชาวนูเมนอร์ ซึ่งเป็นเกาะแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรใหญ่ที่เหล่าวาลาร์สร้างประทานให้เป็นของรางวัลแก่ชาวมนุษย์สามตระกูลที่เป็นสหายเอลฟ์ และได้ช่วยเหลือการศึกต่อต้านเมลคอร์มาโดยตลอด อาณาจักรนูเมนอร์ต้องล่มสลายลงก็ด้วยความเจ้าเล่ห์ของไมอาผู้ชั่วร้ายชื่อ เซารอน ซึ่งเคยเป็นสมุนมือขวาของเมลคอร์มาก่อน เซารอนสร้างสมอำนาจของตนขึ้นใหม่ในยุคที่สอง หมายจะครองมิดเดิลเอิร์ธทั้งหมด แต่ชาวนูเมนอร์ยกทัพมาปราบปรามลงได้ เมื่อเซารอนไม่สามารถเอาชนะชาวนูเมนอร์ด้วยกำลัง เขาจึงแสร้งเป็นยอมจำนนและให้ชาวนูเมนอร์จับตัวไปเป็นเชลย เซารอนหาทางเข้าไปใกล้ชิดกษัตริย์ อาร์-ฟาราโซน แล้วทำให้พระองค์หลงเชื่อคำยุยงจนตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา และเหิมเกริมถึงขนาดคิดยกทัพไปต่อสู้กับเหล่าวาลาร์เพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ ครั้นเมื่อทัพเรือของอาร์-ฟาราโซนยกไปถึงแผ่นดินอามัน อิลูวาทาร์ก็บันดาลให้มหาสมุทรใหญ่แยกเป็นเหวลึก ดูดเอาเกาะนูเมนอร์และกองเรือทั้งหมดจมหายไปในห้วงอเวจี ทว่าดวงจิตของเซารอนสามารถหนีรอดกลับมายังแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธได้ และชาวนูเมนอร์จำนวนหนึ่งที่ยังคงภักดีต่อวาลาร์และอิลูวาทาร์ ก็หนีรอดมายังมิดเดิลเอิร์ธได้เช่นกัน

ว่าด้วยแหวนแห่งอำนาจและยุคที่สาม
------เนื้อหาส่วนสุดท้ายของหนังสือเป็นบทสรุปเหตุการณ์ในวงล้อประวัติศาสตร์โลกอาร์ดาของโทลคีน กล่าวถึงการปรากฏตัวของจอมมารเซารอน ที่เรืองอำนาจขึ้นมาแทนที่ เมลคอร์ นายเก่าของตน เซารอนสร้างแหวนแห่งอำนาจขึ้น และก่อสงครามกับศัตรูเก่า คือเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ผู้เป็นสหายเอลฟ์ (ชาวนูเมนอร์) จนกระทั่งถึงสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นอันสิ้นสุดยุคที่สอง
จากนั้นเล่าถึงเหตุการณ์ในยุคที่สามที่เกี่ยวข้องกับแหวนแห่งอำนาจของเซารอน การกำเนิดสภาขาว การรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของอาณาจักรกอนดอร์ ไปจนถึงการสูญสิ้นอำนาจของเซารอนในปลายยุคที่สาม เนื้อหาในส่วนนี้เพียง 1 ย่อหน้า ขยายเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่ปรากฏในเรื่อง "เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" ว่าด้วยความพยายามทำลายแหวนเอกของเซารอน โดยชาวเพเรียนนัธ (ฮอบบิท) ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์


[CENTER]ยุคสมัยในเนื้อเรื่อง
ยุคแห่งวาลาร์
ยุคแห่งชวาลา
ยุคแห่งพฤกษา
ยุคแห่งตะวัน

นิยายที่เกี่ยวข้อง
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
เดอะฮอบบิท
Unfinished Tales
ตำนานบุตรแห่งฮูริน
ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ



มิดเดิลเอิร์ธ

http://www.hobbit1.com/images/middle-earth.jpg

------มิดเดิ้ลเอิร์ธ (Middle-earth) หรือ มัชฌิมโลก หมายถึงสถานที่ในนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อันเป็นฉากหลังของเรื่องราวตำนานทั้งหลายในงานเขียนของโทลคีน ปกรณัมของโทลคีนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมและครอบครองโลก (ในตำนานเรียกว่า "อาร์ดา") ซึ่งมีทวีปหลักชื่อว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" เป็นที่อยู่อาศัยของพวก 'มรรตัยชน' (คือมนุษย์ที่รู้ตาย) เป็นสถานที่ตรงข้ามกับ "อามัน" หรือ 'แดนอมตะ' อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกวาลาร์ กับพวกเอลฟ์ คำนี้มีรากมาจากคำภาษาอังกฤษยุคกลางว่า middel-erde ซึ่งพัฒนามาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณว่า middangeard
------แก่นสำคัญของงานเขียนของโทลคีนคือเรื่องของการช่วงชิง ควบคุม และครอบครองอำนาจหรือของวิเศษ ทำให้เกิดสงครามขึ้นบนมิดเดิลเอิร์ธหลายครั้งหลายหน คือสงครามระหว่างเหล่าเทพวาลาร์ เอลฟ์ และพันธมิตรชาวมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง กับเทพอสูรเมลคอร์กับบริวาร ได้แก่พวกออร์ค มังกร และมนุษย์ที่เป็นทาสอีกฝ่ายหนึ่ง ในตำนานยุคหลัง เมื่อเมลคอร์สิ้นอำนาจและถูกขับไล่ออกไปจากอาร์ดาแล้ว บทบาทการช่วงชิงนี้ก็ตกไปอยู่กับเซารอน สมุนเอกของเขา เหล่าเทพวาลาร์ได้ยุติบทบาทของตนลงหลังจากที่เมลคอร์สิ้นอำนาจ เพราะการสงครามระหว่างพวกพระองค์ครั้งนั้นได้ทำให้โลกพินาศเสียหายไปมาก อย่างไรก็ดีพวกพระองค์ก็ยังส่ง อิสตาริ หรือเหล่าพ่อมด เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการต่อต้านอำนาจของเซารอน อิสตาริที่มีบทบาทมากคือ แกนดัล์ฟพ่อมดเทา และซารูมานพ่อมดขาว แกนดัล์ฟได้ทำงานบรรลุวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี โดยได้ช่วยเหลือชาวมิดเดิลเอิร์ธอย่างถึงที่สุดเพื่อโค่นอำนาจเซารอนลงให้ได้ แต่ซารูมานกลับพ่ายแพ้ต่อความคิดฉ้อฉลแล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ช่วงชิงอำนาจบนมิดเดิลเอิร์ธแข่งกับเซารอนเสียเอง สำหรับพลเมืองชาวมิดเดิลเอิร์ธพวกอื่นๆ ได้แก่ คนแคระ เอนท์ และฮอบบิท อันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
------ในการสร้างสรรค์งานของโทลคีน เขาได้จัดทำแผนที่ของมิดเดิลเอิร์ธขึ้นเป็นจำนวนมาก แสดงถึงดินแดนและสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานของเขาเอ่ยถึง แผนที่บางส่วนได้รับการตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา แต่ก็ยังมีแผนที่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ตีพิมพ์เลยจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปแล้ว แผนที่ส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในยุคที่หนึ่งเกิดขึ้นบนดินแดนที่เรียกชื่อว่า เบเลริอันด์ ดินแดนนี้ต่อมาได้จมลงสู่ทะเลหลังสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพวาลาร์กับเมลคอร์ คงเหลือแต่เทือกเขาสีน้ำเงินที่ปรากฏอยู่ทางขวาสุดของแผนที่ เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวกันกับเทือกเขาสีน้ำเงินที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของแผนที่ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ดินแดนทางด้านตะวันออกของเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคที่สองและสาม
โทลคีนบอกว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยประมาณว่าปลายยุคที่สามคือช่วงระยะประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเลใหญ่" ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน
------ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ถูกแบ่งออกเป็นหลายยุค เรื่องราวที่ปรากฏใน เดอะฮอบบิท และเรื่องราวใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกิดขึ้นในราวปลายยุคที่สาม และนำไปสู่ช่วงเริ่มต้นของยุคที่สี่ ในขณะที่เรื่องราวใน ซิลมาริลลิออน ซึ่งเป็นงานเขียนของโทลคีนเกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ธที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ยุคสร้างโลกและยุคที่หนึ่งเป็นส่วนใหญ่

มิดเดิลเอิร์ธในยุคที่หนึ่ง
------เรื่องราวในยุคที่หนึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนดินแดนสุดตะวันตกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธที่มีชื่อว่า แผ่นดินเบเลริอันด์ ด้านตะวันตกจรดมหาสมุทรใหญ่ (เบเลกายร์) ด้านตะวันออกมีเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นกำแพงธรรมชาติ ด้านเหนือจรดทุ่งกว้างอาร์ด-กาเลน ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับอาณาจักรอังก์บันด์ของเมลคอร์ที่อยู่ทางเหนือ และด้านใต้จรดป่าใหญ่โดยมีอาร์แวนิเอนเป็นดินแดนปลายสุด ในแผ่นดินเบเลริอันด์มีแม่น้ำหลักที่สำคัญสองสายคือ แม่น้ำซิริออนเป็นแม่น้ำใหญ่ที่สุด และแม่น้ำเกลิออนที่แคบกว่าแต่ยาวที่สุด
------เบเลริอันด์ในยุคที่หนึ่งเป็นดินแดนที่ตั้งอาณาจักรของเอลฟ์มากมาย ได้แก่ อาณาจักรโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล อาณาจักรกอนโดลินของทัวร์กอน อาณาจักรนาร์โกธรอนด์ของฟินร็อด เฟลากุนด์ เป็นต้น นอกจากนี้มีอาณาจักรเอลฟ์อื่นๆ กระจายอยู่ทั่วไป เช่นอาณาจักรฮิธลุม ดอร์โธนิออน เนฟรัสต์ ฟาลัส และเขตที่ราบเจ็ดแม่น้ำเชิงเทือกเขาสีน้ำเงินซึ่งมีชื่อว่า ออสซิริอันด์ ดินแดนแห่งพวกกรีนเอลฟ์ และเป็นที่พำนักในช่วงสุดท้ายของชีวิตของเบเรนกับลูธิเอน เบเลริอันด์ยังมีชนเผ่าอื่นๆ อาศัยร่วมอยู่ด้วย เช่นเหล่ามนุษย์ผู้สวามิภักดิ์กับเอลฟ์ตระกูลต่างๆ อิสระชนแห่งป่าเบรธิล นอกจากนี้บนเทือกเขาสีน้ำเงินก็เป็นที่ตั้งนครใหญ่ของคนแคระอีกสองแห่ง คือนครเบเลกอสต์กับโนกร็อด
------การสงครามครั้งใหญ่ในช่วงปลายของยุคที่หนึ่งระหว่างเหล่าเทพวาลาร์กับเทพอสูรเมลคอร์ ที่เรียกชื่อว่า "สงครามแห่งพระพิโรธ" ทำให้แผ่นดินได้รับความเสียหายมากจนแผ่นดินเบเลริอันด์จมลงสู่ใต้ทะเล คงแต่เพียงเกาะแก่งบางส่วนเช่น โทลมอร์เวน เท่านั้น

มิดเดิลเอิร์ธในยุคที่สองและสาม
------ในยุคที่สองและสาม แผ่นดินตะวันตกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธได้แก่ แผ่นดินเอเรียดอร์ กอนดอร์ เทือกเขามิสตี้ และดินแดนปากแม่น้ำอันดูอิน เอเรียดอร์เป็นดินแดนที่อยู่ถัดจากเทือกเขาสีน้ำเงินออกมาทางตะวันออก โดยบรรจบชายทะเลที่เมืองท่าเกรย์เฮเว่นส์ ถัดออกมาทางตะวันออกเป็นอาณาจักรอาร์นอร์ หรืออาณาจักรเหนือของเหล่ามนุษย์แห่งดูเนไดน์ผู้รอดชีวิตมาจากการล่มเกาะนูเมนอร์ ส่วนหนึ่งของอาร์นอร์เป็นแว่นแคว้นไชร์ของเหล่าฮอบบิท ถัดจากแคว้นไชร์เป็นเมืองบรีซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทาง จากนั้นเป็นอิมลาดริส อาณาจักรเอลฟ์ผู้ลี้ภัยในความคุ้มครองของเอลรอนด์ ตั้งอยู่เชิงขุนเขาทางตะวันตกของเทือกเขามิสตี้ อันเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดบนมิดเดิลเอิร์ธ
------ใต้เทือกเขามิสตี้เป็นที่ตั้งมหานครของคนแคระชื่อว่า คาซัดดูม หรือ มอเรีย ทางด้านใต้ของเทือกเขาเป็นดินแดนไอเซนการ์ดของซารูมานพ่อมดขาว ติดกับอาณาจักรโรฮันซึ่งทอดตัวอยู่ในช่องแคบโรฮันระหว่างเทือกเขามิสตี้กับเทือกเขาขาว ฟากตะวันออกของเทือกเขามิสตี้เป็นแผ่นดินโรห์วานิออน มีแม่น้ำใหญ่อันดูอินไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ฟากตะวันตกของแม่น้ำเป็นที่ตั้งของลอธลอริเอน อาณาจักรเอลฟ์ในความคุ้มครองของเลดี้กาลาเดรียล ส่วนฟากตะวันออกเป็นป่าใหญ่กรีนวู้ด หรือป่าเมิร์กวู้ด อาณาจักรเอลฟ์ของธรันดูอิล ซึ่งอยู่ใกล้กันกับอาณาจักรเอเรบอร์ของเหล่าคนแคระกับอาณาจักรเดลของชาวมนุษย์ ที่ซึ่งมังกรสม็อกมาก่อความเดือดร้อนจนเกิดเป็นสงครามห้าทัพในเรื่อง เดอะฮอบบิท
------ใต้ลงไปเชิงเทือกเขามิสตี้เป็นที่ตั้งของป่าฟังกอร์น ซึ่งบรรจบกับอาณาจักรโรฮัน ถัดไปจากนั้นเป็นอาณาจักรกอนดอร์ หรืออาณาจักรใต้ของชาวดูเนไดน์ซึ่งเป็นอาณาจักรพี่น้องกับอาร์นอร์ในทางเหนือ กอนดอร์กินอาณาบริเวณครอบคลุมลงไปจนจรดปากแม่น้ำอันดูอิน มีเมืองท่าเพลาเกียร์เป็นเมืองใหญ่ ฟากตะวันออกของกอนดอร์เป็นเทือกเขาแห่งเงาและเทือกเขาเอเฟลดูอัธ ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นขวางอาณาจักรมอร์ดอร์ของเซารอนเอาไว้เบื้องหลัง ใต้อาณาจักรมอร์ดอร์ลงไปเป็นดินแดนฮารัดและชนเผ่าทางใต้ ซึ่งมนุษย์ในดินแดนเหล่านี้ล้วนตกอยู่ใต้อาณัติของเซารอนสิ้น

ประวัติศาสตร์
------ประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดาตามที่ปรากฏในเรื่อง ซิลมาริลลิออน แบ่งออกได้เป็นสี่ยุคใหญ่ ๆ รู้จักกันในนาม
*ไอนูลินดาเล
*ยุคแห่งชวาลา
*ยุคแห่งพฤกษา
*ยุคแห่งตะวัน
------แต่ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธเริ่มมีการบันทึกไว้ก็เมื่อหลังจากเหล่าเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนนในยุคที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างยุคแห่งพฤกษา หรือในบทประพันธ์จะเรียกว่าเป็น ยุคบรรพกาล ในระหว่างยุคที่หนึ่งนี้พวกมนุษย์ได้ตื่นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์แรกปรากฏขึ้นบนโลกอันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งตะวัน ซึ่งกินเวลาตลอดช่วงที่เหลือของยุคที่หนึ่ง และต่อเนื่องไปถึงยุคที่สอง ยุคที่สาม ยุคที่สี่ เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน



ยุคสร้างโลก

http://twilightswarden.files.wordpress.com/2012/06/tn-the_incoming_sea_at_the_rainbow_cleft.jpg?w=529&h=400

------เทพเจ้าสูงสุดแห่งเอกภพของโทลคีนเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ในตอนแรก อิลูวาทาร์ได้สร้างจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ไอนัวร์ และได้สอนวิญญาณเหล่านั้นให้สร้างบทเพลงขึ้น หลังจากที่ไอนัวร์ช่ำชองในความสามารถของแต่ละตนแล้ว อิลูวาทาร์ได้สั่งให้พวกไอนัวร์สร้างบทเพลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเพลงที่อิลูวาทาร์ประพันธ์ขึ้น ไอนัวร์ที่มีพลังสูงสุดคือ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ หรือ "ศัตรูมืด" โดยพวกเอลฟ์) ได้ทำให้เพลงเสียกระบวน อิลูวาทาร์จึงแก้ไขโดยสร้างแนวเพลงที่ปรับปรุงให้ดีเหนือความเข้าใจของไอนัวร์ ก้าวย่างแห่งบทเพลงของพวกเขาได้หว่านเมล็ดของประวัติศาสตร์แห่งเอกภพที่ยังไม่ได้สร้างและผู้ที่จะมาอยู่ ณ ที่นั้น
------จากนั้นอิลูวาทาร์จึงหยุดเพลงและเปิดเผยความหมายของบทเพลงแก่ไอนัวร์ผ่านการมองเห็น ด้วยทัศนะเหล่านั้น ไอนูร์หลายตนสัมผัสถึงแรงกระตุ้นที่บีบบังคับให้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตรง อิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา (Ea) คือเอกภพ และไอนัวร์บางองค์ก็ลงไปในเอกภพเพื่อร่วมในประสบการณ์แห่งเอกภพ แต่เมื่อเข้าไปในเออา เหล่าไอนัวร์พบว่ามันไร้รูปร่างเพราะพวกเขาเข้าไปที่จุดเริ่มต้นของเวลา ไอนัวร์จึงรับผิดชอบงานอันยิ่งใหญ่ในช่วง "ยุคแห่งดวงดาว" พวกเขาเตรียมสิ่งของต่างๆ เพื่อรับการมาถึงของเอลฟ์และมนุษย์ ไอนัวร์พวกนี้มีชื่อเรียกว่า วาลาร์ ในจำนวนนี้ มานเว เป็นวาลาร์ผู้เป็นหัวหน้า แต่เมลคอร์เป็นผู้ทรงพลังที่สุด
------อาร์ดาในตอนแรกเป็นโลกแบน ๆ เหล่าวาลาร์สร้างแสงสว่างโดยการสร้างดวงตะเกียงขนาดใหญ่สองดวง แต่เมลคอร์ทำลายดวงตะเกียงทำให้โลกมืดมน วาลาร์จึงย้ายถิ่นไปอยู่ทางตะวันตกสุดของอาร์ดา พวกเขาสร้างทวิพฤกษาขึ้นใหม่เพื่อให้แสงสว่างแก่แผ่นดินใหม่ของตน วาลาร์ขังเมลคอร์ไว้ และป้องกันแผ่นดินเพื่อเตรียมการสำหรับการตื่นของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ แต่เมื่อเมลคอร์พ้นจากการจองจำ เขาก็ทำลายทวิพฤกา วาลาร์จึงได้นำผลที่ยังมีชีวิตสองผลสุดท้ายของต้นไม้ทั้งสองและใช้มันสร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดาแต่แยกตัวออกมาจากอัมบาร์ (โลก)
------ยุคแห่งชวาลาเริ่มต้นไม่นานหลังจาก วาลาร์ เสร็จสิ้นงานในการวางรูปร่างอาร์ดา วาลาร์ได้สร้างตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก วาลาร์ อาวเล ได้สร้างหอคอยขนาดใหญ่ อันหนึ่งอยู่เหนือสุด อีกอันอยู่ใต้สุด และวาลาร์ได้อาศัยอยู่ตรงกลางบนเกาะแห่งอัลมาเรน การทำลายตะเกียงทั้งสองของเมลคอร์ถือเป็นจุดจบของยุคแห่งชวาลา
หลังจากนั้น ยาวันนา ได้สร้าง ทวิพฤกษา ชื่อว่า เทลเพริออน และ เลาเรลิน ในดินแดนแห่งอามัน เป็นกาลเริ่มต้นยุคแห่งพฤกษา ต้นไม้ทั้งสองส่องสว่างอามันและปล่อยให้ส่วนที่เหลือของอาร์ดาตกอยู่ในความมืด

ยุคที่หนึ่ง
------ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก เอลฟ์ได้ตื่น ข้างทะเลสาบ คุยวิเอเนน ในทางตะวันออกของเอนดอร์ และวาลาร์ได้ไปพบพวกเขาในไม่ช้า เอลฟ์จำนวนมากถูกชักชวนให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่ มุ่งสู่ตะวันตกไปยังอามัน แต่พวกเขามิได้เดินทางโดยสำเร็จถ้วนทุกคน(ดู การแบ่งประเภทของเอลฟ์) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์และกระตุ้นให้เกิดการวิวาทระหว่างเจ้าชายเอลฟ์ เฟอานอร์ กับ ฟิงโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล อัญมณีสามดวงที่เฟอานอร์สร้าง อันบรรจุแสงแห่งพฤกษาทั้งสอง ไปจากคลังสมบัติของเขา รวมทั้งทำลายทวิพฤกษาด้วย
------เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่อไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามประหัตประหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา
ยุคแห่งตะวันเริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงเกิด ยุคแห่งสันติสุขอันยาวนาน เป็นเวลาสี่ร้อยปี มนุษย์กลุ่มแรกได้มาถึงแผ่นดินเบเลริอันด์ในช่วงยุคนั้น โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน มา เมื่อมอร์กอธเอาชนะ วงล้อมแห่งอังก์บันด์ ได้ อาณาจักรของเอลฟ์ก็ล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยเอลฟ์และมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนชาวเอไดน์ และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมลิอัน ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งมาจากมงกุฏของมอร์กอธได้ เบเรนและลูธิเอนตายหลังเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับการชุบชีวิตจากวาลาร์ด้วยข้อตกลงว่า ลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก
------ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่งโนกร็อด และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ ดิออร์ เอลฟ์กึ่งมนุษย์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง โดริอัธ เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า ดิออร์ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลายโดริอัธ และฆ่าดิออร์ในสงครามสังหารญาติครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของดิออร์ที่ยังเล็กคือ เอลวิง ได้หนีไปพร้อมกับดวงมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ เคเลกอร์ม, คูรูฟิน และ คารันเธียร์ ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา
ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกเอลฟ์และมนุษย์อิสรชนที่เหลือในเบเลริอันด์ได้ตั้งหลักปักฐาน ณ ปากแม่น้ำซิริออน ในกลุ่มนั้นมีเออาเรนดิลซึ่งแต่งงานกับ เอลวิง รวมอยู่ด้วย แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่การสังหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี
------ซิลมาริลถูกยึดคืนมาได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส เมื่อแผ่นดินเบเลริอันด์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ มายดรอส และ มากลอร์ ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ผู้มีชัย แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ และคำสาบานก็สูญเปล่า พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน มายดรอสโจนตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วนมากลอร์ขว้างซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงไปสู่จุดหมายบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล ในพื้นพิภพ และในทะเลตามลำดับ

ยุคที่สอง
------แล้วจึงเริ่มต้น ยุคที่สอง ชาวเอไดน์ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ทางตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่เอลฟ์จำนวนมากได้รับการต้อนรับกลับสู่แดนประจิม ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าเอลฟ์ในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในเอลฟ์ช่างใน เอเรกิออน มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเริ่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกเอลฟ์ล่วงรู้แผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอก พวกเอลฟ์จึงเอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมพวกเขาได้
------กษัตริย์ชาวนูเมนอร์องค์สุดท้ายคือ อาร์-ฟาราโซน มีกองทัพที่แข็งแกร่งมากจนแม้เซารอนยังต้องยอมสยบ ถูกจับมายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวนเอก เซารอนล่อลวงอาร์-ฟาราโซน และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามัน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน แผ่นดินอมตะ อามันดิล หัวหน้าของเหล่าผู้ศรัทธาต่อวาลาร์ รำลึกถึงการเดินทางขออภัยโทษแทนมนุษยชาติของเออาเรนดิล จึงได้ล่องเรือไปเพื่อขอความเมตตาจากวาลาร์ แต่เพื่อปิดบังวัตถุประสงค์การเดินทางของตน เมื่อแรกเขาจึงล่องเรือไปทางตะวันออกแล้วจึงวกตะวันตก แต่ไม่มีข่าวมาจากเขาอีกเลย ลูกชายของเขา เอเลนดิล กับหลานชายของเขาคือ อิซิลดูร์ และ อนาริออน กันเหล่าผู้ศรัทธาออกจากสงครามที่กำลังมาถึง และลอยเรือเตรียมตัวหลบหนี เมื่อกองทัพของกษัตริย์ไปถึงอามัน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์เข้าทรงจัดการเอง โลกจึงได้เปลี่ยนไป และอามันถูกย้ายออกจากอิมบาร์ นับแต่นั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นอามันได้อีก แต่เอลฟ์ผู้เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับพรในการใช้ เส้นทางมุ่งตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามัน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขารอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ ต่อมาไม่นานเซารอนเรืองอำนาจขึ้นอีก แต่เอลฟ์ร่วมมือกับมนุษย์ขึ้นเป็น กองทัพแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด อิซิลดัวร์ยึดแหวนเอกของเขามาได้ แต่ไม่ได้ทำลาย

ยุคที่สาม
------ยุคที่สาม เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของอาณาจักร์อาร์นอร์และกอนดอร์ ในสมัยของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้น และได้ค้นหาแหวนเอก เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง จึงได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวนคือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง เมาท์ดูม โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น คณะพันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป
------จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบของยุครุ่งโรจน์ของพวกเอลฟ์ และเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่มต้น เอลฟ์จำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป


ภาษาและชาติพันธุ์ต่าง ๆ
------โทลคีนได้ประดิษฐ์ภาษาเอลฟ์ขึ้นสองภาษาหลัก ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม เควนยา ใช้พูดกันโดยชาว วันยาร์ โนลดอร์ และ เทเลริ บางส่วน กับภาษาซินดาริน ที่ใช้พูดกันในหมู่ชาวซินดาร์ คือเอลฟ์ที่อาศัยในเบเลริอันด์ (ดูด้านล่าง) ภาษาทั้งสองมีรากมาจากแหล่งเดียวกัน คือจาก คอมมอนเอลดาริน อันเป็นภาษาโบราณที่ประดิษฐ์ไว้อย่างสมจริงที่สุด โทลคีนเปรียบเทียบเควนยาเหมือนภาษา ละติน ขณะที่ซินดารินเป็นเหมือนภาษาพูดทั่วไป
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในโลก ได้แก่
ภาษาอดูนาอิค – ของชาวนูเมนอร์
ภาษาแบล็กสปีช – ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดย เซารอน สำหรับทาสรับใช้ของเขาในการพูดคุย
ภาษาคุชดุล – ของคนแคระ
ภาษาฮอบบิติช - ของพวกฮอบบิท
ภาษาโรเฮียร์ริค – ของชาว โรเฮียร์ริม – ในลอร์ดออฟเดอะริงส์แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษโบราณ
ภาษาเวสทรอน – 'ภาษากลาง' – แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษ
ภาษาวาลาริน – ภาษาของเหล่าไอนัวร์

วัฒนธรรม
------มิดเดิลเอิร์ธเป็นบ้านสำหรับสายพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ กันหลายเผ่า เผ่าแรกคือไอนัวร์ ซึ่งกำเนิดขึ้นจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ไอนัวร์ได้ร้องเพลงถวายอิลูวาทาร์ ผู้สร้างเออา เพื่อการมีอยู่ของบทเพลงในตำนานการสร้างเอกภพที่เรียกว่า ไอนูลินดาเล หรือ "บทเพลงแห่งไอนัวร์" ไอนัวร์บางตนได้เข้าสู่เออา และพวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่า วาลาร์ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ) หัวหน้าของปีศาจร้ายในเออา ก็เป็นหนึ่งในวาลาร์ในตอนแรก
------ไอนัวร์อื่นที่เข้ามาในเออา เรียกว่า ไมอาร์ ในยุคแรกนั้น ไมอาที่ปรากฏชื่อมากที่สุดคือเมลิอัน ชายาของกษัตริย์พราย ธิงโกล ในยุคที่สามระหว่าง สงครามแหวน ไมอาร์ห้าตนถูกสร้างร่างขึ้นและส่งไปยังเอนดอร์เพื่อช่วยเหลืออิสรชนล้มล้างเซารอน ไมอาร์เหล่านั้นคืออิสทาริ (หรือ Wise Ones) (มนุษย์เรียกว่า พ่อมด) ได้แก่ แกนดัล์ฟ, ซารูมาน, ราดากัสต์, อลาทาร์ และ พัลลันโด ยังมีไมอาร์ฝ่ายร้ายหรือฝ่ายมืด เรียกว่า อูไมอาร์ เช่น บัลร็อก และจอมมารคนที่สองคือ เซารอน
------ต่อมาจึงมีบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือ เอลฟ์และมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สร้างโดยอิลูวาทาร์เพียงผู้เดียว ซิลมาริลลิออน ได้เล่าถึงวิธีที่เอลฟ์และมนุษย์ตื่นและกระจายตัวไปทั่วโลก คนแคระนั้นเล่าว่าลอบสร้างโดยวาลาชื่อว่าอาวเล เมื่ออิลูวาทาร์ทราบเรื่อง เขาก็เสนอว่าจะทำลายพวกคนแคระเสีย อิลูวาทาร์ได้ให้อภัยความผิดของอาวเลและรับเผ่าคนแคระเป็นบุตรบุญธรรม ส่วนกลุ่มมนุษย์สามกลุ่มที่เป็นพันธมิตรซึ่งกันและกันรวมทั้งกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในยุคแรกเรียกว่า ชาวเอไดน์
------เพื่อตอบแทนความภักดีและความทรมานจาก สงครามแห่งเบเลริอันด์ ผู้สืบสกุลแห่งเอไดน์ จึงได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ เป็นบ้านของพวกเขา แต่ดังที่ได้อธิบายในส่วนของ ประวัติศาสตร์ของมิดเดิ้ลเอิร์ธ แล้วนั้น นูเมนอร์ได้ถูกทำลายและชาวนูเมนอร์ส่วนที่เหลือได้สร้างอาณาจักรทางดินแดนตอนเหนือของเอนดอร์ พวกที่ยังคงเชื่อในวาลาร์ได้ตั้งอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ พวกเขาเป็นที่รู้จักในนาม ดูเนไดน์ (Dúnedain) ในขณะที่ชาวนูเมนอร์ที่เหลือรอดอื่น ๆ ยังคงบูชาปีศาจแต่อยู่ไกลออกไปทางใต้ รู้จักในชื่อ ชาวนูเมนอร์ดำ
------โทลคีนนับฮอบบิทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แยกสาขาออกมาจากเผ่ามนุษย์ แม้ว่าจุดกำเนิดและประวัติศาสตร์โบราณของพวกเขาจะไม่ปรากฏ แต่โทลคีนถือว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ ลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ในตอนต้นยุคที่สาม แต่หลังจากหลายพันปีฮอบบิทเริ่มอพยพข้ามเทือกเขามิสตี้เข้าสู่ เอเรียดอร์ ท้ายที่สุดฮอบบิทจำนวนมากอาศัยอยู่ที่ แคว้นไชร์
------หลังจากที่พวกคนแคระได้รับชีวิตจริง ๆ จากอิลูวาทาร์แล้ว ผู้สร้างคนแคระคือ อาวเล ได้ทำให้พวกเขาหลับใหลในแถบภูเขาที่ถูกซ่อนไว้ อิลูวาทาร์ได้ปลุกพวกคนแคระหลังจากที่พวกเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว คนแคระได้กระจายไปตามเอนดอร์ตอนเหนือและตั้งอาณาจักรทั้งสิ้นเจ็ดอาณาจักร สองอาณาจักร คือ โนกร็อด และ เบเลกอสต์ เป็นเพื่อนกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในการต้านมอร์กอธในยุคแรก อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนแคระคือ คาซัดดูม ต่อมารู้จักในชื่อ มอเรีย
เอนท์ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ ถูกสร้างโดยอิลูวาทาร์เนื่องจากคำขอร้องของวาลานาม ยาวันนา เพื่อปกป้องต้นไม้จากการรื้อถอนของเอลฟ์ คนแคระและมนุษย์
------ออร์ค และ โทรลล์ เป็นสัตว์ปีศาจซึ่งถูกเพาะพันธุ์โดยมอร์กอธ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นแต่แรก แต่เป็นการเลียนแบบบุตรของอิลูวาทาร์และเอนท์ เพราะมีเพียงอิลูวาทาร์เท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ได้ ต้นกำเนิดของออร์คและโทรลล์นั้นไม่ชัดเจนนัก (โทลคีนพิจารณาความเป็นไปได้หลายอย่างและมักเปลี่ยนความคิดอยู่บ่อย ๆ) ดูเหมือนว่าที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือว่าออร์คถูกเลี้ยงให้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายมาจากเอลฟ์หรือมนุษย์หรือทั้งคู่ ต่อมาในยุคที่สาม พวกอุรุก หรือ อุรุก-ไฮ ได้ปรากฏขึ้น โดยเป็นเผ่าพันธุ์ของออร์คที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งโดยไม่เจ็บปวดเมื่อมีแสงอาทิตย์ในขณะที่ออร์คทั่วไปเป็น (บางคนถือว่าในปลายยุคที่สาม อุรุกจะเรียกว่าเป็น อุรุก-ไฮ เฉพาะพวกที่ทำงานให้ซารูมานเท่านั้น) ซารูมานผสมพันธุ์ออร์คและมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง "Men-orcs" และ "Orc-men" ต่อมาบางพวกเหล่านั้นเรียกว่า "half-orcs" หรือ "goblin-men" (ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับว่าอุรุก-ไฮของซารูมานเป็นพวกเหล่านี้หรือไม่ หนังสือไม่ได้มีคำใบ้ของ "pod grown" ที่อุรุก-ไฮถูกพรรณาใน ภาพยนตร์ไตรภาค ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน เมื่อไม่นานมานี้ - แม้ว่าแนวคิดของแจ็คสันจะได้รับแรงบันดาลใจจากการอ้างอิงของแกนดัล์ฟ ใน อภินิหารแหวนครองพิภพ ว่า "ออร์คทั้งหลายต่างเคย spawned" [emph. added].) โทรลล์พบเห็นน้อยมาก (และไม่ค่อยบรรยายนักโดยโทลคีน) สิ่งมีชีวิตที่โง่ พูดจาหยาบคายและโหดร้าย ถ้าพวกมันสัมผัสแสงแดด มันจะกลายเป็นหิน ในเรื่อง เดอะฮอบบิท โทรลล์สามตัวได้จับบิลโบและเพื่อนคนแคระของเขา รวมทั้งวางแผนจะกินพวกเขาด้วย
------ดูเหมือนว่าสัตว์ทรงปัญญาจะปรากฏในเรื่องด้วย ตัวอย่างเช่น โธรอนดอร์ นกอินทรี, ฮูอัน สุนัขไล่เนื้อขนาดใหญ่จาก วาลินอร์ และพวก วาร์ก นกอินทรีถูกสร้างขึ้นโดยอิลูวาทาร์คู่กับเอนท์ แต่จุดกำเนิดของสัตว์เหล่านี้โดยทั่วไปและธรรมชาติของพวกมันไม่ชัดเจนนัก บางตัวอาจเป็นไมอาร์ในรูปของสัตว์ หรือบางครั้งอาจเป็นแม้กระทั่งลูกหลานของไมอาร์หรือสัตว์ธรรมดาก็ได้ แมงมุมยักษ์เช่น ชีล็อบ สืบเชื้อสายมาจากแมงมุมธรรมดากับ อุงโกลิอันท์ ซึ่งน่าจะเป็นไอนูตนหนึ่ง




Credit http://th.wikipedia.org/wiki/ซิลมาริลลิออน
ปล. ผมเพียงต้องการนำเสนอเท่านั้นนะครับ ไม่ต้องการอะไร ไม่มีเจตนาที่จะก๊อปปี้บทความเพื่อให้ตัวเองดังหรืออะไร เพียงอยากจะแนะนำนวนิยายดีๆให้คนที่สนใจนะครับ

shisaku
4th August 2012, 11:25
ประวัติตัวละครต่างๆและตำนานแห่งซิลมาริล

ประวัติศาสตร์อาร์ดา

------ในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาร์ดา ซึ่งหมายถึงโลกและห้วงหาวที่ห่อหุ้มทั้งหมด เหตุการณ์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่การสร้าง เออา หรือจักรวาลของโลก เหล่าไอนัวร์เข้ามายังอาร์ดา และเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ใน ไอนูลินดาเล ระยะเวลาในช่วงนี้นับด้วยวาเลียนศก หลังจากนั้นประวัติศาสตร์ของอาร์ดาแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ ที่มีการนับระยะเวลาแตกต่างกัน เรียกชื่อยุคทั้งสามว่า ยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และยุคแห่งตะวัน นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกการนับศักราชแยกออกมาอีกเป็น ยุคของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ โดยที่ยุคที่หนึ่งเริ่มนับตั้งแต่แรกที่พวกเอลฟ์ตื่นขึ้นที่ทะเลสาบคุยวิเอเนนระหว่างยุคแห่งพฤกษา และเรื่อยไปอีกประมาณหกร้อยปีในยุคแห่งตะวัน ยุคของเหล่าบุตรหลังจากนั้นเกิดขึ้นในยุคแห่งตะวันทั้งหมด เรื่องราวต่างๆ ในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างสามยุคแรกของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์


มหาคีตาแห่งไอนัวร์
http://25.media.tumblr.com/tumblr_m1g53631sx1qbz35lo1_500.jpg
------พระเจ้าสูงสุดในจักรวาลของโทลคีนมีชื่อเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ที่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง อิลูวาทาร์ได้สร้างดวงจิตขึ้นจากพระดำริเรียกว่า ไอนัวร์ ดวงจิตเหล่านี้จำนวนหนึ่งนับเนื่องกันเองจากสภาวะอันคล้ายคลึงกันว่าเป็นพี่เป็นน้อง อิลูวาทาร์ได้แสดงดนตรีให้แก่พวกเขา แล้วให้พวกเขาช่วยกันบรรเลงดนตรีเพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ แต่ระหว่างการบรรเลงนั้นไอนูองค์หนึ่งชื่อ เมลคอร์ ได้แกล้งทำลายความประสานของท่วงทำนองลงเสีย จนกระทั่งถึงท่วงทำนองที่สาม อิลูวาทาร์จึงบรรเลงเพลงสยบขณะที่ไอนัวร์องค์อื่นชะงักหยุดลงจนหมดไม่มีใครสู้ได้ การบรรเลงดนตรีครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเหตุการณ์ความเป็นไปของจักรวาลแห่งนั้น ที่ซึ่งบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือเอลฟ์และมนุษย์ จะมาอาศัยอยู่
หลังจากสิ้นสุดการบรรเลง อิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา ขึ้น คำนี้มีความหมายว่า "เป็นเช่นนั้น" ซึ่งเป็นจักรวาลในปกรณัม ภายในเออาเป็นโลกอาร์ดา ซึ่งมีสัณฐานกลมอยู่ในท่ามกลางสุญญภูมิ มีอากาศและท้องฟ้าห่อหุ้มล้อมรอบ จากนั้นไอนัวร์ 15 องค์แรกได้ลงมาสู่อาร์ดา ไอนัวร์เหล่านี้เป็นดวงจิตที่มีฤทธิ์มาก เรียกชื่อว่า วาลาร์ มีหน้าที่สร้างสรรค์อาร์ดาให้เป็นไปตามบทดนตรีที่บรรเลง หลังจากนั้นดวงจิตที่มีฤทธิ์รองลงมาจึงได้เข้ามายังอาร์ดาเพื่อคอยช่วยเหลือเหล่าวาลาร์ เรียกดวงจิตเหล่านี้ว่า ไมอาร์


วาเลียนศกและยุคแห่งชวาลา
------ศักราชวาเลียนเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไอนัวร์เข้ามายังอาร์ดา ชื่อศักราชมาจากคำว่า วาลาร์ และมีการใช้ศักราชนี้ต่อเนื่องไปจนถึงยุคถัดไปอีกเช่นในยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และยุคแห่งตะวัน หลังจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีการใช้ศักราชวาเลียนต่อไปในอามันอีก แต่โทลคีนไม่ได้ให้ข้อมูลวันเวลาที่เกี่ยวข้องบนอามันอีกเลยนับแต่จุดนั้น ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์บนมิดเดิลเอิร์ธหลังจากยุคแห่งตะวัน จึงไม่ใช้ศักราชวาเลียนในการอธิบาย
หลังจากที่เหล่าวาลาร์มายังอาร์ดา มีแสงสว่างหนึ่งแผ่ปกคลุมพื้นดินอยู่ วาลาร์จึงนำเอาแสงนั้นมาบรรจุเข้าไปในชวาลาใหญ่สองดวง คืออิลลูอิน และออร์มัล จากนั้นก็เริ่มต้นเรียกว่า ยุคแห่งชวาลา เทพอาวเลยกเทือกเขาขึ้นสูงเป็นเสาโคมสำหรับแขวนดวงชวาลา เรียกชื่อขุนเขานั้นว่า ริงกัล และ เฮลคาร์ ดวงหนึ่งอยู่สุดแดนเหนือ อีกดวงหนึ่งอยู่สุดแดนใต้ แล้วจึงเอาดวงชวาลาทั้งสองแขวนเอาไว้บนขุนเขานั้น ปวงวาลาร์พำนักอาศัยอยู่ในดินแดนตรงกลาง บนเกาะที่ชื่อว่า อัลมาเรน อยู่กลางทะเลสาบใหญ่ ยุคแห่งชวาลาสิ้นสุดลงเมื่อเมลคอร์โค่นทำลายขุนเขาทั้งสองและชวาลาใหญ่ทั้งสองดวงแตกดับไป


ยุคแห่งพฤกษา
------หลังจากชวาลาทั้งสองดวงแตกดับ แผ่นดินก็พินาศวอดวายไป เหล่าวาลาร์จึงย้ายไปอาศัยอยู่บนทวีปอามัน เทพียาวันนาได้สร้างทวิพฤกษาขึ้นบนแผ่นดินแห่งอามัน ชื่อว่า เทลเพริออน (พฤกษาเงิน) และเลาเรลิน (พฤกษาทอง) พฤกษาทั้งสองได้ส่องแสงสว่างให้แก่ทวีปอามัน แต่มิดเดิลเอิร์ธต้องตกอยู่ในความมืด มีแต่เพียงแสงดาวริบหรี่ส่องอยู่บนฟ้าเท่านั้น ต่อภายหลังเทพีวาร์ดาจึงช่วยสร้างดวงดาวที่สุกใสมาประดับบนฟ้าเพิ่มเติม
จากนั้นพวกเอลฟ์ก็ตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน เทพโอโรเมเป็นผู้มาพบพวกเขาและนำข่าวกลับไปแจ้งปวงวาลาร์ การตื่นของเอลฟ์เป็นจุดเริ่มต้นของยุคที่หนึ่งแห่งอาร์ดา ไม่นานเมลคอร์ก็พบพวกเอลฟ์เช่นกันและรังควานทำให้เกิดความหวาดกลัว วาลาร์จึงชักชวนเอลฟ์ให้เดินทางไปอยู่ด้วยกันที่อามัน เรียกว่าการเดินทางครั้งใหญ่ของเอลฟ์ และเป็นการทำให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอลฟ์ด้วย เอลฟ์ที่เดินทางไปอามันเรียกว่าพวก เอลดาร์ ส่วนพวกที่ไม่ยอมเดินทางไปเรียกว่าพวก อวาริ ระหว่างทางเอลฟ์หลายกลุ่มตัดสินใจอยู่บนมิดเดิลเอิร์ธต่อ เช่นพวก นันดอร์ และ ซินดาร์ จึงเรียกเอลฟ์กลุ่มนี้ว่า อูมันยาร์ คือผู้ไปไม่ถึงอามันและไม่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา เอลฟ์ตระกูลใหญ่ที่เดินทางไปจนถึงอามันได้แก่ ชาววันยาร์ ชาวโนลดอร์ และชาวเทเลริจำนวนหนึ่ง
เหล่าวาลาร์ได้ทำสงครามกับเมลคอร์เพื่อช่วยเหลือพวกเอลฟ์จากเงื้อมมือของเขา และสามารถจับตัวเขาได้ นำไปขังไว้บนอามันนานถึงสามยุค จากนั้นจึงปล่อยตัวออกมาเพราะเมลคอร์แสดงตนว่าสำนึกผิดแล้ว เขาได้เข้าไปคลุกคลีสนิทสนมกับพวกเอลฟ์ แล้วยุแยงให้พวกเอลฟ์ชาวโนลดอร์แตกคอกันโดยอาศัยบุตรต่างมารดาของฟินเว คือเฟอานอร์และฟิงโกลฟิน เมลคอร์ได้ความช่วยเหลือจากนางแมงมุมยักษ์อุงโกลิอันท์ ทั้งสองช่วยกันทำลายทวิพฤกษาจนตาย แล้วสังหารฟินเว ขโมยดวงมณีซิลมาริลของเฟอานอร์หนีไปมิดเดิลเอิร์ธ
------ดวงมณีนี้บรรจุแสงแห่งพฤกษาเอาไว้ภายใน เทพียาวันนาจึงขอจากเฟอานอร์เพื่อนำไปชุบชีวิตพฤกษาทั้งสอง แต่ด้วยความโกรธแค้นที่บิดาถูกสังหาร เฟอานอร์ไม่ยอมยกให้และยังสาปแช่งเมลคอร์ เรียกเขาว่า มอร์ก็อธ รวมถึงสาบานจะไล่ติดตามชิงเอาดวงมณีคืนมาให้จงได้ เขารวบรวมกองทัพได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงฟิงโกลฟินและผู้ติดตามของเขาอีกเป็นจำนวนมากด้วย เมื่อพวกเขายกทัพไปถึงเมืองท่าอัลควาลอนเดของชาวเทเลริ เฟอานอร์ขอเรือของเทเลริเพื่อไล่ตามมอร์ก็อธ แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้ จึงเกิดเป็นสงครามใหญ่เรียกว่า สงครามประหัตประหารญาติครั้งที่หนึ่ง เฟอานอร์ชิงเรือแล้วหนีไป
เฟอานอร์กับพวกแล่นเรือข้ามไปยังมิดเดิลเอิร์ธแล้วก็เผาเรือทิ้ง ทิ้งฟิงโกลฟินกับชาวโนลดอร์ส่วนใหญ่ไว้อีกฝั่ง พวกเขาตัดสินใจติดตามมาโดยเดินทางฝ่าทุ่งน้ำแข็งหฤโหดแห่งเฮลคารักเซ ระหว่างทางผู้คนล้มตายไปมาก การกระทำของเฟอานอร์และชาวโนลดอร์ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาถูกสาปจากเทพมานดอสไม่ให้กลับไปแผ่นดินอามันอีก


ยุคแห่งตะวัน
------ยุคแห่งตะวันเริ่มขึ้นเมื่อวาลาร์สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นจากผลไม้ลูกสุดท้ายของเลาเรลินและดอกไม้ดอกสุดท้ายของเทลเพริออน โดยสร้างนาวาใหญ่และเกาะขึ้นบรรจุ จากนั้นนำขึ้นไปล่องอยู่บนฟากฟ้า หลังจากนั้นการนับปีก็เป็นแบบ "ปีตะวัน" ซึ่งเป็นวิธีการนับบนมิดเดิลเอิร์ธเรื่อยมาตราบจนถึงปัจจุบัน ยุคที่หนึ่งของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ยังคงนับเนื่องสืบไปในยุคแห่งตะวันนี้อีกราวเกือบหกร้อยปี


ยุคของบุตรแห่งอิลูวาทาร์

ยุคที่หนึ่ง
------ในจินตนิยายชุด ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน คำว่า ยุคที่หนึ่ง มักหมายถึง ยุคที่หนึ่งของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่ปรากฏในเรื่อง ซิลมาริลลิออน
ยุคนี้เริ่มต้นด้วยการตื่นขึ้นของเหล่าเอลฟ์ ที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน และจบลงด้วยการล้มล้างมอร์กอธ โดยกองทัพผสมระหว่างวาลินอร์กับเบเลริอันด์ ยุคที่หนึ่งกินเวลาหลายร้อยปีในวาเลียนศักราช และอีกเกือบ 590 ปีของยุคแห่งตะวัน หากคิดเวลารวมเป็นปีตะวัน อาจได้ช่วงเวลาประมาณ 4,902 ถึง 65,390 ปีตะวัน เนื่องจากวิธีการคำนวณปีวาลาร์เทียบกับปีตะวันในงานเขียนแต่ละชุดของโทลคีนมีความแตกต่างกัน ตัวเลขที่มากกว่าคิดเทียบจากข้อมูลในภาคผนวกของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ส่วนเลขน้อยกว่าคิดจากงานเขียนในชุดแรกๆ ของเขา
บางครั้งในงานเขียนอาจระบุถึง ยุคที่หนึ่ง ด้วยคำว่า ยุคบรรพกาล ด้วย
มักมีความเข้าใจผิดกันว่า ยุคที่หนึ่ง เริ่มนับตั้งแต่ยุคแห่งตะวัน เพราะบางครั้งก็เอ่ยถึงว่า "ยุคที่หนึ่งแห่งตะวัน" ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่การกำเนิดของดวงตะวันเรื่อยไปจนถึงการสิ้นอำนาจของมอร์กอธ

------เฟอานอร์พ่ายแพ้ต่อทัพบัลร็อกของมอร์ก็อธในเวลาอันรวดเร็วและเสียชีวิตในเวลาต่อมา บุตรของเขารอดมาได้และพากันตั้งอาณาจักรขึ้น เช่นกันกับฟิงโกลฟินกับลูกและหลาน คือบรรดาบุตรของฟินาร์ฟินที่ติดตามมาด้วย พวกเขามาถึงมิดเดิลเอิร์ธหลังจากเฟอานอร์เสียชีวิตไปแล้ว
ทัพโนลดอร์รวมพลังกันและสามารถปิดล้อมมอร์ก็อธให้อยู่แต่ในอังก์บันด์ได้สำเร็จ เกิดเป็นช่วงเวลาสันติสุขอันยาวนานเป็นเวลาหลายร้อยปี ระหว่างเวลานี้พวกมนุษย์ได้เดินทางข้ามเทือกเขาสีน้ำเงินเข้าสู่แผ่นดินเบเลริอันด์ คือสามตระกูลใหญ่ของชาวเอไดน์ได้แก่ ตระกูลเบออร์ ตระกูลฮาดอร์ และตระกูลฮาเล็ธ และได้เข้าร่วมอยู่กับพวกเอลฟ์อย่างสงบสุข แต่ช่วงเวลาแห่งความสันติสุขก็สิ้นสุดไปเมื่อมอร์ก็อธสามารถตีการปิดล้อมแตกลงได้ในสงครามดากอร์บราโกลลัค หลังจากนั้นก็ทำลายอาณาจักรเอลฟ์ลงทีละแห่งจนเกือบหมด อาณาจักรฮิธลุมของฟิงโกลฟินพินาศไปหลังสงครามเนียร์นายธ์อาร์นอยดิอัด อาณาจักรนาร์โกธรอนด์พินาศหลังสมรภูมิทุ่งทุมฮาลัด อาณาจักรโดริอัธแตกในสงครามชิงซิลมาริลระหว่างเอลฟ์ด้วยกัน เรียกว่า สงครามประหัตประหารญาติครั้งที่สอง สุดท้ายคืออาณาจักรกอนโดลินแตกลงด้วยการทรยศของมายกลิน หลานของกษัตริย์ทัวร์กอนเอง
ในช่วงปลายของยุค เอลฟ์และมนุษย์ที่เหลือรอดชีวิตอาศัยอยู่เพียงที่ปากแม่น้ำซิริออนใกล้กับเกาะบาลาร์เท่านั้น เออาเรนดิลเป็นผู้ครอบครองดวงมณีซิลมาริลโดยผ่านทางเอลวิงภรรยา ผู้เป็นหลานของเบเรนและลูธิเอน บุตรของเฟอานอร์ที่เหลือรอดยกทัพตามมาชิงซิลมาริลอีก เกิดเป็นสงครามประหัตประหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลลงเรือหนีไปและออกเดินทางไปตามหาแผ่นดินอามันเพื่อขอความช่วยเหลือจากเหล่าวาลาร์
คำขอของเขาได้รับการตอบสนอง เหล่าวาลาร์ได้ยกทัพมาช่วยเอลฟ์และมนุษย์ทำสงครามกับมอร์ก็อธ เป็นสงครามครั้งใหญ่และครั้งสุดท้ายของยุค ชื่อว่า สงครามแห่งพระพิโรธ มอร์ก็อธถูกจับตัวได้และนำไปขังไว้ในสุญญภูมิ ส่วนแผ่นดินเบเลริอันด์ที่เป็นสมรภูมิรบก็พินาศล่มลงใต้ทะเล


ยุคที่สอง
------เริ่มนับตั้งแต่การจับกุมคุมขังเทพอสูรมอร์กอธไว้ในสุญญภูมิ หลังจากการล่มจมสมุทรของแผ่นดินเบเลริอันด์ ซึ่งเป็นผลจากสงครามแห่งความโกรธา อันเป็นสงครามระหว่างปวงเทพแห่งแดนประจิมกับมอร์กอธ การรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรนูเมนอร์ ไปจนถึงการปราบปรามเซารอนลงสำเร็จในสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย กินเวลายาวนานถึง 3,441 ปี
เหตุการณ์ในยุคที่สองของอาร์ดา มิได้มีการบรรยายไว้โดยละเอียดเหมือนยุคที่หนึ่ง ซึ่งปรากฏเนื้อหาอยู่ในตำนานเรื่อง ซิลมาริลลิออน แต่ได้มีการบรรยายสรุปโดยย่ออยู่ในภาคผนวกของหนังสือเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และในตำนานอคัลลาเบธ อันเป็นตำนานว่าด้วยการรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรนูเมนอร์ นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาจำนวนมากที่โทลคีนประพันธ์ค้างไว้ และคริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ Unfinished Tales



ยุคที่สาม
------เริ่มนับตั้งแต่การพ่ายแพ้ของเซารอนต่อกองทัพพันธมิตรครั้งสุดท้ายของมนุษย์และพราย (สงครามตอนต้นเรื่องในภาพยนตร์) เอกลักษณ์ของยุคนี้คือความเสื่อมถอยของพวกพราย หรือ เอลฟ์ การเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของอาณาจักรกอนดอร์และอาร์นอร์ และการฟื้นอำนาจของเซารอน ยุคที่สามกินเวลา 3,021 ปี จนถึงความพ่ายแพ้อีกครั้งของเซารอน เมื่อแหวนถูกทำลาย เมื่อโฟรโด แบ๊กกิ้นส์, บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ และแกนดัล์ฟ เดินทางออกจากมิดเดิลเอิร์ธ จึงเริ่มนับเป็นยุคที่สี่



ยุคที่สี่
------เริ่มนับความพ่ายแพ้อีกครั้งของเซารอน เมื่อแหวนถูกทำลาย และเหล่าพรายเดินทางออกจากมิดเดิลเอิร์ธ ลักษณะสำคัญคือการฟื้นฟูของอาณาจักรนูเมนอร์ (กอนดอร์และอาร์นอร์) ความเสื่อมถอยของพราย และการเจริญรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โทลคีนไม่ได้เขียนถึงเหตุการณ์ในยุคที่สี่ไว้มากนัก (ยกเว้นเหตุการณ์ในช่วงต้นๆ) เขาเคยพูดไว้ว่าตามจินตนาการของเขานั้น ระยะห่างระหว่างสิ้นยุคที่สาม ถึงปัจจุบัน (ค.ศ. 2000) ประมาณ 6000 ปี ถ้านับยุคหนึ่งใช้เวลาใกล้เคียงกัน ปัจจุบันจะอยู่ในช่วงปลายยุคที่ห้า แต่เขายังบอกว่ายุคหลังๆ น่าจะมีช่วงเวลาที่สั้นลง อาจประมาณได้ว่าการล่มสลายของนาซีเยอรมัน ปี ค.ศ. 1945 คือจุดสิ้นสุดยุคที่หก และปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เจ็ด



ประวัติ ตัวละครสำคัญ

อิลูวาทาร์
------เอรู อิลูวาทาร์ เป็นชื่อภาษาเอลฟ์ของ "พระเจ้า" แห่งปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในฐานะทรงเป็นพระผู้สร้างเพียงหนึ่งเดียว เป็นผู้สร้างเหล่าเทพไอนัวร์ เป็นผู้สร้าง เออา หรืออาร์ดา และสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลกใบนั้น แม้จะเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญที่สุด แต่ก็มิได้ถูกเอ่ยถึงเลยในนิยายซึ่งสร้างชื่อเสียงฉบับแรกๆ ของเขา คือ เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (มีกล่าวถึงในภาคผนวกของ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เล็กน้อยด้วยคำว่า "พระผู้เป็นหนึ่ง")
------โทลคีนระบุในจดหมายหลายครั้งว่า งานประพันธ์ของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนา อย่างไรก็ดี โทลคีนถือได้ว่าเป็นคาทอลิกผู้เคร่งครัด เห็นได้ว่าโทลคีนไม่สามารถสร้างโลกที่ "ปราศจากพระเจ้า" ได้ บทประพันธ์ชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของโทลคีน เป็นงานเขียนที่เขาจินตนาการว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้ว และการตีความเรื่อง "พระเจ้า" ของผู้คนในอดีตกาล ก็ย่อมอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
------ชื่อ 'อิลูวาทาร์' เชื่อว่าอาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อเทพีแห่งสรวงสวรรค์ อิลมาทาร์ (Ilmatar) หนึ่งในจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปรากฏในมหากาพย์ คาเลวาลา

------อิลูวาทาร์คือพระผู้สร้าง พระผู้เป็นหนึ่ง ผู้ทรงสร้างจิตวิญญาณเริ่มแรก คือเหล่าไอนัวร์ วาลาร์และไมอาร์ ทรงสร้างเออา และโลกอาร์ดา จากนั้นจึงทรงสร้างบุตรแห่งอิลูวาทาร์ ได้แก่เผ่าพันธุ์เอลฟ์ และมนุษย์ อิลูวาทาร์ทรงรับ คนแคระ ไว้เป็นบุตรบุญธรรมด้วย เนื่องจากเทพอาวเลไม่อาจทนรอการมาถึงของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ จึงแอบสร้างเหล่าคนแคระขึ้นมาเสียก่อน
------งานสร้างสรรค์ของอิลูวาทาร์ ทรงสร้างผ่านเสียงดนตรี ที่เรียกว่า มหาคีตาแห่งไอนัวร์ โดยเหล่าไอนัวร์ได้มีส่วนร่วมสร้างด้วย บทเพลงที่บรรเลงร่วมกันนั้นเป็นเรื่องราวความเป็นไปของแผ่นดินโลก ซึ่งแม้เหล่าไอนัวร์เองก็มิได้ล่วงรู้มาก่อน
------สิ่งมีค่าที่สุดซึ่งมีแต่องค์อิลูวาทาร์ผู้เดียวทรงครอบครองและประทาน คือ 'อัคคีอมตะ' (Flame Imperishable) อันเป็นสิ่งที่ทุกผู้คนเฝ้าค้นหา แม้เมลคอร์เทพอสูรก็เคยออกไปเที่ยวค้นหาในสุญญภูมิ แต่ก็หาไม่พบ เพราะอัคคีอมตะมีอยู่แต่ในองค์อิลูวาทาร์เท่านั้น บทพยากรณ์แห่งอาร์ดาทำนายว่า ในวันสิ้นยุค เมื่อถึงกาลสิ้นสุดของกาลเวลา และเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ได้มาร่วมบรรเลงบทเพลงสุดท้ายร่วมกับพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จึงจะประทานอัคคีอมตะให้กับทุกคน และมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขตลอดไป

ไอนัวร์
------ไอนัวร์ (Ainur) เป็นคำภาษาเควนยาสำหรับเรียกเหล่าชนผู้ศักดิ์สิทธิ์ในจินตนิยายเรื่อง ซิลมาริลลิออน ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ตามตำนานว่า พวกเขาถือกำเนิดจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลก เหล่าไอนัวร์ได้ช่วยอิลูวาทาร์สร้างโลก มีรายละเอียดแสดงอยู่ในตำนานไอนูลินดาเล (Ainulindale) ซึ่งหมายถึง มหาคีตาแห่งไอนัวร์
------เมื่อสร้างโลกอาร์ดาเสร็จ เทพไอนัวร์จำนวนหนึ่งได้เดินทางเข้ามาในโลก เพื่อดูแลและจัดการสถานที่ให้พร้อมสำหรับเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ เทพเหล่านี้มีพลังอำนาจไม่เท่ากัน กลุ่มที่มีอำนาจมากเรียกว่า วาลาร์ กลุ่มที่มีอำนาจน้อยกว่า เรียกว่า ไมอาร์

คณะเทพวาลาร์
-มานเว เทพแห่งนภา ผู้ครองห้วงหาวนภากาศ เป็นเทพบดีผู้เป็นใหญ่ ปกครองอาณาจักรอาร์ดาในพระนามของอิลูวาทาร์
-อุลโม เทพแห่งสมุทร ผู้อารักขาสายน้ำทั้งหลาย
-อาวเล เทพวิศวกรรม เทพผู้สร้าง เจ้าแห่งงานฝีมือ
-โอโรเม เทพแห่งพงไพร
-นาโม หรืออีกนามหนึ่งว่า มานดอส ตามชื่อที่พำนักของพระองค์ เป็นเทพแห่งความตายและความยุติธรรม หนึ่งในเทพเฟอันทูริผู้ครองจิตวิญญาณ
-เอียร์โม หรืออีกนามหนึ่งว่า ลอริเอน ตามชื่อที่พำนักของพระองค์ เป็นเทพแห่งความฝัน หนึ่งในเทพเฟอันทูริผู้ครองจิตวิญญาณ
-ทุลคัส เทพแห่งความแข็งแกร่งผู้มักสรวลเป็นนิจ

คณะเทพวาลิแอร์
-วาร์ดา เทพีแห่งดวงดาว ผู้อารักขาแสงสว่างทั้งปวง เป็นชายาของมานเว เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเอลฟ์ มักเรียกขานนางว่า เอเลนทาริ หรือ เอลเบเร็ธ กิลโธเนียล
-ยาวันนา เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ พระแม่เจ้าธรณี (แปลจาก เคเมนทาริ) ผู้อารักขาพฤกษ์พันธุ์และสรรพชีวิต เป็นชายาของเทพอาวเล
-นิเอนนา เทพีแห่งความเมตตาและความเศร้าโศก เป็นภคินีของเทพเฟอันทูริทั้งสอง
-เอสเต เทพีแห่งการผ่อนพัก เป็นชายาของเทพเอียร์โม
-ไวเร เทพีแห่งการถักทอ เป็นชายาของเทพนาโม
-วานา เทพีแห่งความเยาว์นิรันดร์ เป็นขนิษฐาของเทพียาวันนา และเป็นชายาของเทพโอโรเม
-เนสซา เทพีแห่งความรื่นเริง เป็นชายาของเทพทุลคัส

เทพปัจจามิตร
มอร์กอธ
------มอร์กอธ บาวเกลียร์ (อังกฤษ: Morgoth Bauglir) เป็นตัวละครที่แต่งขึ้นโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในผลงานของโทลคีนเรื่อง ซิลมาริลลิออน และตำนานอื่นๆ ในยุคโบราณของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ มอร์กอธเป็นชาวไอนัวร์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าเฉกเช่นวาลาร์ ชื่อเดิมของเขาคือ เมลคอร์ แต่ต่อมาเป็นที่รู้จักทั่วไปในมิดเดิลเอิร์ธในชื่อของ มอร์กอธ หลังจากที่เจ้าชายเอลฟ์นามว่า เฟอานอร์ เป็นผู้ตั้งให้
------ในประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธ มอร์กอธมีบทบาทเป็นฝ่ายอธรรมผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่ง เซารอน เจ้าแห่งความมืดที่หลายคนรู้จักดีจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์เคยเป็นข้ารับใช้ของเขา นาม มอร์กอธ บาวเกลียร์ ที่จริงแล้วเป็นชื่อฉายา ชื่อของเขาที่ปรากฏครั้งแรกในไอนูลินดาเล (เรื่องราวของการสร้างมิดเดิ้ลเอิร์ธ และเป็นบทแรกของ ซิลมาริลลิออน ) มีชื่อว่า เมลคอร์ ซึ่งหมายถึง "ผู้ผงาดด้วยอำนาจ" ส่วนคำว่า มอร์กอธ สามารถแปลได้ว่า "ทรราชเจ้าแห่งความมืด" หรือ "ผู้กดขี่อันน่าสยดสยอง" คำนี้มีที่มาจากภาษาเควนยาซึ่งหมายถึง ศัตรูมืด หรือ ความมืดอันน่าหวาดหวั่น (รากศัพท์มาจาก มอร์ (mor) - สีดำ ความมืด เงามืด และ กอส/กอธ (goth) - น่ากลัวมาก ความสยองขวัญ) ส่วนคำว่า บาวเกลียร์ เป็นภาษาซินดาริน หมายถึง ทรราช หรือ ผู้กดขี่ (รากศัพท์ MBAW - บังคับ พลังอำนาจ กดขี่)
------ตัวละครนี้ไม่ได้ถูกเรียกว่ามอร์กอธจนกระทั่งเขาได้รับสมญานั้นจาก เฟอานอร์ แห่ง โนลดอร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคที่หนึ่ง (First Age) หลังจากเมลคอร์หลบหนีออกจากวาลินอร์แล้ว และพวกเอลฟ์ก็เรียกแต่ชื่อนั้นของเขา แต่ก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นเขาถูกเรียกเพียงว่า เมลคอร์
------ระหว่างการพัฒนาการของตำนานของโทลคีน เขาได้เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการแปรพักตร์ของไอนูองค์นี้ และเปลี่ยนชื่อของเขาด้วย นอกเหนือจากชื่อพิเศษของเขาซึ่งชาวโนลดอร์ตั้งให้ (มอร์กอธ) เขายังถูกเรียกในตำนานต่างๆ (ในหลากหลายรูปแบบ) ว่า'เมลโค' 'เบลคา' 'เมเลกอร์' และ 'เมเลโค' ชื่อของเขาในรูปซินดารินคือ 'เบเลกูร์' ซึ่งไม่เคยถูกใช้เลยนอกจากในคำที่แปลงรูปแล้วว่า 'เบเลกัวธ์' ซึ่งหมายถึง ’ความตายอันยิ่งใหญ่'

เทพไมอาร์
------ไมอาร์ (อังกฤษ: Maiar) เป็นชื่อเรียกดวงจิตชั้นรอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหล่า ไอนัวร์ (Ainur) ตัวละครในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีกล่าวถึงอยู่มากในตำนานเรื่องซิลมาริลลิออน ชนเผ่าไอนัวร์เป็นชนเผ่าที่ถือกำเนิดมาจากพระเจ้าสูงสุดในโลกอาร์ดา คือมหาเทพอิลูวาทาร์ เป็นพวกที่ช่วยมหาเทพสร้างพิภพต่างๆ และตระเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ กล่าวคือเป็นผู้ช่วยสร้างโลกอาร์ดานั่นเอง ชาวมนุษย์มักเรียกเหล่าไอนัวร์ว่า "เทพ" เทพไมอาร์เข้ามายังโลกอาร์ดาก็เพื่อช่วยเหล่าวาลาร์ในการสร้างโลกนั่นเอง
พระนามเทพไมอาร์
------เทพไมอาร์มีจำนวนมากมายจนไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่ามีจำนวนเท่าใด แต่เทพที่ปรากฏบทบาทอยู่ในตำนานซิลมาริลลิออนและลอร์ดออฟเดอะริงส์ มีดังนี้
-เอออนเว (Eonwe) เป็นเทพแห่งการยุทธ์ ผู้ชำนาญศิลปะการต่อสู้ และเป็นประกาศกประจำองค์มานเวเทพบดี
-อิลมาเร (Ilmare) นางสนองพระโอษฐ์ของเทพีวาร์ดา
-เมลิอัน (Melian) ญาติองค์หนึ่งของเทพียาวันนา แต่ทำงานอยู่ในสังกัดของเทพีเอสเตในอุทยานลอริเอน ครั้งหนึ่งนางออกจากลอริเอนมาอภิบาลดูแลพืชพรรณบนมิดเดิลเ-อิร์ธในยุคดรุณแห่งกาล จึงได้พบกับเอลเว หรือเอลู ธิงโกล กษัตริย์แห่งเอลฟ์ชาวเทเลริ ในป่านันเอลม็อธ ต่อมาได้อภิเษกกับธิงโกล และได้เป็นราชินีแห่งอาณาจักรโดริอัธ
-อาริเอน (Arien) เทพีแห่งแสง มีฤทธิ์แรงกล้า จนแม้มอร์กอธยังต้องยำเกรง เป็นผู้อัญเชิญนาวาแห่งดวงตะวัน
-ทิลิออน (Tilion) เทพองค์หนึ่งในสังกัดของเทพโอโรเม ผู้หลงใหลในแสงของพฤกษาเงิน จึงอาสาเป็นผู้อัญเชิญเกาะแห่งดวงจันทร์
-ออสเซ (Osse) เทพแห่งคลื่นลม เคยคิดแปรพักตร์ไปอยู่กับมอร์กอธ แต่ภายหลังกลับใจและมาอยู่รับใช้ อุลโม เทพแห่งสมุทร
-อุยเนน (Uinen) เทพีแห่งสายน้ำ ผู้คอยรับใช้อุลโม เทพแห่งสมุทร เป็นชายาของเทพออสเซ
-โอโลริน (Olorin) "ผู้มีฝัน" เป็นเทพในสังกัดของเทพเอียร์โม แห่งลอริเอน แต่เขามักไปเรียนรู้ความเมตตาจากเทพีนิเอนนาอยู่เสมอ เทพมานเวคัดเลือกให้เขาเป็นหนึ่งใน อิสทาริ เพื่อเดินทางมามิดเดิลเอิร์ธ เป็นที่รู้จักในชื่อ "แกนดัล์ฟ"
-คูรูโม (Curumo) "ผู้เปี่ยมทักษะ" เดิมเป็นเทพในสังกัดของอาวเล เทพวิศวกรรม ภายหลังได้รับเลือกเป็นหนึ่งในอิสทาริ เดินทางมามิดเดิลเอิร์ธ เป็นที่รู้จักในชื่อ "ซารูมาน"
-เซารอน (Sauron) เดิมเป็นเทพในสังกัดของอาวเล เป็นผู้ชำนาญในการสร้างสรรค์ ต่อมาแปรพักตร์ไปรับใช้เทพอสูรมอร์กอธ
-บัลร็อก (Balrog) ชื่อเรียกกลุ่มดวงจิตไมอาร์จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเทพแห่งไฟ เป็นผู้คอยรับใช้มอร์กอธ
-ก็อธม็อก (Gothmog) เจ้าแห่งบัลร็อก เทพซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มของเทพแห่งไฟ ได้รับใช้มอร์กอธอย่างห้าวหาญ แส้ไฟของก็อธม็อกทำให้เฟอานอร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสิ้นพระชนม์ และยังสังหารฟิงกอนจอมกษัตริย์ในสงครามมหาวิปโยค ภายหลังถูกเอคเธลิออนสังหารในการศึกคราวสิ้นนครกอนโดลิน



แบบจำลอง ลำดับขั้นของคณะเทพ

มหาคีตาแห่งไอนัวร์ :: อิลูวาทาร์
คณะเทพวาลาร์ :: มานเว • อุลโม • อาวเล • โอโรเม • นาโม • เอียร์โม • ทุลคัส
คณะเทพวาลิแอร์ :: วาร์ดา • ยาวันนา • นิเอนนา • เอสเต • ไวเร • วานา • เนสซา
เทพปัจจามิตร :: มอร์กอธ (หรือเมลคอร์)
เทพไมอาร์ :: เอออนเว • อิลมาเร • ออสเซ • อุยเนน • เซารอน • เมลิอัน • อาริเอน • ทิลิออน • คูรูโม (ซารูมาน) • โอโลริน (แกนดัล์ฟ) • บัลร็อก

*วาลาร์ ไอนัวร์ชั้นสูง
*ไมอาร์ ไอนัวร์ชั้นรอง



ประวัติเบื้องหลังการประพันธ์และการตีพิมพ์


เบื้องหลังการประพันธ์และการตีพิมพ์

------โทลคีนเริ่มต้นงานเขียนนิยายที่ต่อมากลายมาเป็น "ซิลมาริลลิออน" ตั้งแต่ ค.ศ. 1914 โดยที่เขาตั้งใจจะให้เป็นตำนานปรัมปราของประเทศอังกฤษ เพื่ออธิบายถึงกำเนิดเรื่องราวในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เนื้อหาส่วนมากเขียนขึ้นขณะที่โทลคีนพำนักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลังจากถูกส่งตัวกลับจากสมรภูมิแนวหน้าในฝรั่งเศสระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเนื่องจากป่วยเป็นไข้กลับ เขาเขียนนิยายเรื่องแรก คือ การล่มสลายของกอนโดลิน สำเร็จลงในราวปลายปี ค.ศ. 1916
------ในตอนนั้นเขาตั้งชื่อให้ชุดงานเขียนของเขาว่า The Book of Lost Tales (ประมวลตำนานอันสาบสูญ) ซึ่งในเวลาต่อมาชื่อนี้ได้กลายเป็นชื่อหนังสือสองเล่มแรกในชุดหนังสือประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ เรื่องราวใน The Book of Lost Tales เป็นเรื่องที่เล่าผ่านนักเดินเรือคนหนึ่งชื่อว่า เอริโอล (ในเวอร์ชันหลังๆ ชื่อนี้เปลี่ยนไปเป็น อัลฟ์วีน (AElfwine) ซึ่งล่องเรือไปจนกระทั่งได้พบกับเกาะโทลเอเรสเซอา พวกเอลฟ์ที่บนเกาะนั้นได้เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพวกเขาให้เอริโอลฟัง อย่างไรก็ดีโทลคีนแต่ง The Book of Lost Tales ยังไม่จบ เขาหันไปแต่งกวีนิพนธ์ชุด "The Lay of Leithian" (ลำนำแห่งเลย์ธิอัน) และ "The Lay of the Children of Hurin" (ตำนานบุตรแห่งฮูริน) แทน
ซิลมาริลลิออนฉบับแรกสุดที่เขียนจบสมบูรณ์เป็น 'โครงร่างปกรณัม' เขียนในปี ค.ศ. 1926 โครงร่างปกรณัมนี้มี 28 หน้า เป็นการอธิบายพื้นหลังของตำนานว่าด้วยเรื่องของ ทูริน ทูรัมบาร์ ให้แก่ อาร์.ดับเบิลยู. เรย์โนลด์ เพื่อนคนหนึ่งของโทลคีนที่เขาส่งต้นฉบับหลายเรื่องไปให้ดู จาก 'โครงร่างปกรณัม' นี้ โทลคีนได้พัฒนาปรับปรุงงานเขียนเชิงบรรยายเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นชุดที่มีชื่อว่า เควนตา โนลโดรินวา ซึ่งเป็นงานเขียน ซิลมาริลลิออน ที่สมบูรณ์ที่สุดของโทลคีน
เมื่อถึง ค.ศ. 1937 โทลคีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการตีพิมพ์ เดอะฮอบบิท เขาจึงส่งต้นฉบับ ซิลมาริลลิออน ที่ได้พัฒนาเพิ่มเติมยิ่งขึ้นไปให้สำนักพิมพ์ของเขา คือ สำนักพิมพ์อัลเลนแอนด์อันวิน แต่สำนักพิมพ์ปฏิเสธการพิมพ์โดยบอกว่าเนื้อเรื่องหม่นหมองเกินไปและยังมีความเป็น "เคลต์" มากเกินไป สำนักพิมพ์ขอให้โทลคีนเขียนภาคต่อของ เดอะฮอบบิท แทน โทลคีนปรับปรุง ซิลมาริลลิออน เพิ่มเติมอีก แต่ไม่นานเขาก็ยอมเขียนภาคต่อของ เดอะฮอบบิท คือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งเป็นงานที่กินเวลาและความสนใจของเขาไปแทบทั้งหมด หลังจากเขียน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ จบ เขาจึงหันมาให้ความสนใจแก้ไข ซิลมาริลลิออน อีกครั้ง โทลคีนปรารถนาอย่างยิ่งจะให้สำนักพิมพ์ตีพิมพ์ทั้ง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน เป็นงานเขียนชุดต่อเนื่องกัน แต่สำนักพิมพ์ไม่เห็นด้วย ในที่สุดเมื่อรู้แน่ว่าจะไม่ได้พิมพ์ ซิลมาริลลิออน โทลคีนจึงหันไปปรับปรุง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ให้สมบูรณ์สำหรับการตีพิมพ์
------ปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 โทลคีนหันมาปรับปรุงงานเขียนชุด ซิลมาริลลิออน อีกครั้ง งานเขียนในคราวนี้โดยมากเป็นเรื่องราวทำนองเทววิทยาและปรัชญาซึ่งเป็นพื้นฐานของเรื่องมากกว่าจะเป็นงานพรรณนาแบบนิยาย ในระหว่างเวลานี้เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวคิดหลักของเนื้อเรื่อง ทำให้เขาย้อนไปปรับปรุงงานเขียนเวอร์ชันแรกๆ โทลคีนรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องปรับปรุงและแก้ไขข้อขัดแย้งบางอย่างเสียก่อนจึงจะเขียนนวนิยายฉบับสมบูรณ์ได้ ในช่วงนี้เขาจึงประพันธ์เรื่องราวเกี่ยวกับความชั่วร้ายในอาร์ดา กำเนิดของออร์ค วัฒนธรรมของพวกเอลฟ์ ความหมายเกี่ยวกับการ "เกิดใหม่" ของพวกเอลฟ์ แนวคิดเรื่องโลกแบน และตำนานเกี่ยวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ โทลคีนบรรจงแต่งเติมงานประพันธ์ชุดนี้โดยมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ เพียงหนึ่งหรือสองเรื่องเท่านั้น

การตีพิมพ์หลังเสียชีวิต
------หลังจากโทลคีนเสียชีวิตไปแล้วหลายปี คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายของเขาจึงได้นำงานเขียนร้อยแก้วของ ซิลมาริลลิออน มาเรียบเรียงขึ้นใหม่ ด้วยความตั้งใจจะใช้บทประพันธ์ชุดล่าที่สุดที่โทลคีนผู้พ่อได้เขียนเอาไว้ แต่คัดเลือกเนื้อหาที่สอดคล้องรับส่งต่อเนื่องกันทั้งภายในเรื่องชุดนี้และสอดคล้องกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ด้วย แม้ว่าตัวเขาเองก็สารภาพเอาไว้ในบทนำของหนังสือว่า การจะทำให้สอดคล้องกันทั้งหมดแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้นำงานเขียนต้นฉบับจำนวนมากมารวบรวมเอาไว้พร้อมคำอธิบายเพิ่มเติมของเขา เพื่อชี้แจงว่าเขาเลือกใช้ต้นฉบับใดมาเป็นชุดเรียบเรียง และเพราะเหตุใด โดยในหนังสือชุดนี้มีต้นฉบับเก่าแก่ที่สุดย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1917 คือต้นฉบับ Book of Lost Tales ที่เก่าแก่ที่สุด ใน เควนตา ซิลมาริลลิออน บทท้ายๆ คือเรื่อง "การล่มสลายของโดริอัธ" เป็นต้นฉบับส่วนที่โทลคีนไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขเลยตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 ดังนั้นคริสโตเฟอร์ จึงต้องเรียบเรียงความเรียงร้อยแก้วจำนวนหนึ่งขึ้นมาใหม่จากต้นฉบับที่กระจัดกระจายเป็นส่วนๆ จนกระทั่งได้ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ทั้งเนื้อเรื่อง ผังตระกูล แผนที่ ดรรชนีคำ รวมถึงรายการชื่อในภาษาเอลฟ์ชุดแรกที่สุดที่เคยจัดทำขึ้น ตีพิมพ์เป็นเล่มเมื่อปี ค.ศ. 1977



เพิ่มเติมในส่วนของ มิดเดิลเอิร์ธ
แนวคิดแรกเริ่ม
------ในตำนานเยอรมันโบราณและ นอร์ส เชื่อกันว่าเอกภพประกอบด้วย "โลก" จำนวนเก้าโลกเชื่อมต่อกัน ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีการเชื่อมต่อกันอย่างไร แต่แนวคิดหนึ่งบอกว่า โลกเจ็ดแห่งวางตัวบนทะเลรายล้อม ได้แก่ ดินแดนของเอลฟ์ (Alfheim) คนแคระ (Nioavellir) พระเจ้า (Asgard กับ Vanaheim) และยักษ์ (Jotunheim กับ Muspelheim) แต่พวกนักปราชญ์นอร์สบอกว่าโลกทั้งเจ็ดนี้อยู่บนท้องฟ้า คืออยู่บนกิ่งก้านของต้นอิกดราซิล "ต้นแอชแห่งพิภพ" ทั้งสองแนวคิดกล่าวถึงโลกของมนุษย์ (ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อต่างๆ กัน เช่น มิดการ์ด, มิดเดนเอม, และมิดเดิ้ลเอิร์ธ) ว่าอยู่ที่ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมี Bifrost สะพานสายรุ้ง เชื่อมจากมิดเดิ้ลเอิร์ธไปยังแอสการ์ด ส่วน เฮล ดินแดนแห่งความตายตั้งอยู่ใต้มิดเดิ้ลเอิร์ธ

นิรุกติศาสตร์
------คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" ไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยโทลคีน แต่เป็นรูปภาษาอังกฤษยุคใหม่ของคำในภาษาอังกฤษยุคกลางว่า middel-erde ซึ่งพัฒนามาอีกทีจากคำในภาษาอังกฤษยุคเก่า middanġeard ("g" ออกเสียงเบาๆ เหมือนเสียง ย ในคำว่า "yard" (ยาร์ด)) ในช่วงอังกฤษยุคกลางนั้นคำว่า middangeard มีการเขียนอยู่หลายแบบเช่น middellaerd, midden-erde หรือ middel-erde ครั้นเวลาต่อมาจึงมีการสะกดผิดเพี้ยนไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้เปลี่ยนความหมาย คำว่า middangeard มีความหมายจริง ๆ ว่า "เปลือกหุ้มชั้นกลาง" แทนที่จะเป็น "โลกตรงกลาง" (middle-earth) อย่างไรก็ตามคำว่า middangeard มักนิยมแปลออกมาว่า "middle-earth" และโทลคีนก็ยึดถือเอาแนวคิดนี้มาใช้
------Middangeard มาจากคำภาษาเยอรมันในยุคก่อนหน้าและมีรากศัพท์ในภาษาซึ่งสัมพันธ์กับภาษาอังกฤษยุคเก่า เช่น คำภาษานอร์สยุคเก่า Miagarar จาก ตำนานนอร์ส ซึ่งถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษว่า Midgard

มิดเดิ้ลเอิร์ธของโทลคีน
------โทลคีนพบคำว่า middangeard ในส่วนหนึ่งของบทกวีภาษาอังกฤษยุคเก่าที่เขาศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2457:
eala earendel engla beorhtast / ofer middangeard monnum sended.
โอ เออาเรนเดล สว่างเหนือปวงเทวา / เหนือถิ่นหล้ามิดเดิ้ลเอิร์ธสู่มวลมนุษย์
------ข้อความนี้มาจากส่วนที่สองของบทกวี Crist โดย Cynewulf ชื่อ เออาเรนเดล เป็นแรงบันดาลใจให้โทลคีนสร้างนักเดินเรือ เออาเรนดิล. ตามปกรณัมของโทลคีน เออาเรนดิลล่องเรือออกจากมิดเดิ้ลเอิร์ธในยุคที่หนึ่ง เพื่อไปของความช่วยเหนือจากเหล่าเทพ หรือ วาลาร์ ในเวลาต่อมา วาลาร์ได้บันดาลให้เรือวิงกิล็อทของเออาเรนดิลล่องอยู่บนฟากฟ้า กลายเป็นดวงดาวแห่งความหวังของเอลฟ์และมนุษย์แห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ โทลคีนเขียนบทกวีชุดแรกของเขาเกี่ยวกับเออาเรนดิลในปี ค.ศ. 1914 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เขาได้อ่านบทกวีของคริสต์ เขาได้เอ่ยถึงสถานที่แห่งหนึ่งว่า "ชายขอบของมัชฌิมโลก" (the mid-world's rim)
สำหรับโทลคีนแล้ว เขาเลือกใช้แนวคิดเกี่ยวกับ middangeard ในลักษณะเดียวกับการใช้คำเฉพาะในภาษากรีกว่า οἰκουμένη - oikoumenē (เป็นที่มาของคำว่า ecumen) โดยที่โทลคีนกล่าวว่า oikoumenē คือ "ที่พักอาศัยของมนุษย์" ซึ่งมีความหมายในทางกายภาพว่าเป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่และผูกพันชะตาของตนเอาไว้ ตรงกันข้ามกับโลกอื่นที่มองไม่เห็น เช่น สวรรค์ หรือ นรก
------อย่างไรก็ตาม คำว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธไม่ได้ใช้ในงานเขียนชิ้นแรกสุดของโทลคีนเกี่ยวกับโลกที่เขาสร้างขึ้น งานเขียนจากต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1920 และตีพิมพ์ต่อมาใน The Book of Lost Tales (2526-7) แม้กระทั่งใน เดอะฮอบบิท (2480). โทลคีนเริ่มใช้คำว่า "มิดเดิ้ลเอิร์ธ" ในงานยุคหลังจากปีคริสต์ศักราช 1930 แทนที่คำก่อนหน้าเช่น "แผ่นดินใหญ่" (Great Lands), "แผ่นดินนอก" (Outer Lands) และ "ฮิเธอร์แลนด์" (Hither Lands) ที่เขาเคยใช้บรรยายดินแดนในเรื่องของเขา คำว่า 'มิดเดิ้ลเอิร์ธ' มีปรากฏอยู่ในชุดร่างของ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ รวมถึงในฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกของเรื่อง ก็ปรากฏคำว่า 'มิดเดิ้ลเอิร์ธ' ในบทนำ : "...Hobbits had, in fact, lived quietly in Middle-earth for many long years before other folk even became aware of them."
------คำว่ามิดเดิลเอิร์ธยังสามารถนำมาใช้เรียกเป็นชื่อทั่วไปสำหรับผลงานการสร้างทั้งหมดของโทลคีน แทนที่คำที่มีความหมายถูกต้องแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เช่น อาร์ดา ซึ่งหมายถึงโลกจริงๆ ทั้งหมดของโทลคีน (รวมถึงส่วนประกอบต่างๆ ในท้องฟ้า) หรือ เออา ซึ่งหมายถึงจักรวาล เราสามารถพบคำว่ามิดเดิลเอิร์ธได้ในชื่อหนังสือเช่น The Complete Guide to Middle-earth, The Road to Middle-earth, The Atlas of Middle-earth และโดยเฉพาะในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ ทั้งหมดนี้ครอบคลุมพื้นที่นอกเหนือจากนิยามทางภูมิศาสตร์ที่จำกัดในคำว่า มิดเดิลเอิร์ธ​อีกด้วย
คำว่า "Middle-earth" บางครั้งเขียนนำเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เป็น "Middle-Earth" และบางครั้งก็ละเครื่องหมายยัติภังค์ซึ่งผิดเช่นกัน เช่น "Middle Earth", "Middle earth" และ "Middleearth"

ภูมิศาสตร์
------ในส่วนของบริบทโดยรวมในปกรณัมของเขา มิดเดิ้ลเอิร์ธของโทลคีนเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่ง อาร์ดา ที่สร้างขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างที่กว้างใหญ่กว่าที่เรียกว่า เออา
------"มิดเดิลเอิร์ธ" ถูกใช้อย่างเจาะจงเพื่อบรรยายดินแดนทางตะวันออกของทะเลใหญ่ (เบเลกายร์) จึงไม่รวม ทวีปอามัน แต่รวม ฮารัด และดินแดนแห่งความตายอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเรื่องของโทลคีน อย่างไรก็ตามโทลคีนไม่ได้ระบุภูมิศาสตร์สำหรับโลกที่เกี่ยวข้องกับ ตีพิมพ์เป้นแผ่นพับหรือภาพประกอบใน เดอะฮอบบิท ลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน แนวคิดแรกเริ่มของแผนที่ที่ให้ไว้ใน ซิลมาริลลิออน และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ถูกรวมในหลายเล่ม รวมทั้ง "The First Silmarillion Map" ใน The Shaping of Middle-earth, "The First Map of the Lord of the Rings" ใน ไอเซนการ์ดทรยศ, "The Second Map (West)" และ "The Second Map (East)" ใน สงครามแหวน และ "The Second Map of Middle-earth west of the Blue Mountains" (รู้จักในชื่อ "The Second Silmarillion Map") ใน สงครามแห่งอัญมณี
------ในเรื่องของเขา โทลคีนแปลชื่อ "มิดเดิ้ลเอิร์ธ" เป็น เอนดอร์ (Endor) (หรือบางครั้งเป็น Endore) และ Ennor ใน ภาษาเอลฟ์ เควนยา และ ซินดาริน ตามลำดับ Endor แต่เดิมมีลักษณะสมมาตรอย่างยิ่ง แต่ต่อมาถูกเมลคอร์ทำลายลง ความสมมาตรนิยามโดยทวีปย่อยขนาดใหญ่สองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ทางเหนือและอีกส่วนหนึ่งอยู่ทางใต้ ซึ่งแต่ละอันต่างมีเทือกเขายาวสองเทือกในเขตตะวันออกและตะวันตก เทือกเขาเหล่านั้นตั้งชื่อตามสี (เทือกเขาขาว, เทือกเขาสีน้ำเงิน, เทือกเขาสีเทา, และเทือกเขาสีแดง)
ความขัดแย้งเนื่องจากเมลคอร์ทำให้รูปร่างของแผ่นดินบิดเบี้ยวไป แต่เดิมนั้นมีผืนน้ำในแผ่นดินอันเดียว ณ ตรงกลางของสิ่งที่ถูกตั้งเป็นเกาะแห่งอัลมาเรน อันเป็นที่ที่วาลาร์อาศัยอยู่ เมื่อเมลคอร์ทำลายตะเกียงของวาลาร์ซึ่งให้แสงสว่างแก่โลก ทะเลขนาดใหญ่สองแห่งก็เกิดขึ้น แต่อัลมาเรนและทะเลสาบของมันถูกทำลาย ทะเลทางเหนือกลายเป็น ทะเลเฮลคาร์ ดินแดนทางตะวันตกของเทือกเขาสีน้ำเงินกลายเป็น เบเลริอันด์ เมลคอร์ยังสร้างเทือกเขามิสตี้ขึ้นมาเพื่อกีดขวางงานของวาลาร์โอโรเม เมื่อเขาพยายามล่าสัตว์ร้ายของเมลคอร์ในช่วงยุคแห่งความมืดก่อนการตื่นของเอลฟ์
------การต่อสู้อันทารุณในช่วง สงครามแห่งความโกรธา ระหว่างพันธมิตรแห่งวาลาร์กับกองทัพของเมลคอร์ ณ ปลายยุคแรกนำมาซึ่งการล่มสลายของเบเลริอันด์ เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้น ทะเลในแผ่นดิน เฮลคาร์ ได้เหือดแห้งไป
------โลกส่วนที่ไม่รวมเทหวัตถุที่เกี่ยวข้อง ถูกเรียกโดยโทลคีนว่า "อัมบาร์" (Ambar) ในหลายเล่ม แต่ก็ถูกเรียกเป็น "อิมบาร์" (Imbar) คือที่อยู่อาศัย ในหนังสือยุคหลัง ลอร์ดออฟเดอะริงส์ จากช่วงเวลาที่ตะเกียงทั้งสองถูกทำลายจนกระทั่งเวลาการตกต่ำของนูเมนอร์ อัมบาร์ถือว่าเป็น "โลกแบนราบ" ที่ดินแดนอยู่อาศัยทั้งหลายวางตัวบนด้านเดียวกันของโลก ภาพสเกตซ์ของเขาแสดงพื้นเหมือนจานสำหรับโลกซึ่งเงยขึ้นไปยังดวงดาว ทวีปตะวันตก คือ อามัน อันเป็นบ้านของวาลาร์ (และ เอลดาร์) ดินแดนตรงกลาง คือ เอนดอร์ ถูกเรียกเป็น มิดเดิ้ลเอิร์ธ และยังเป็นที่ตั้งของเรื่องราวส่วนใหญ่ของโทลคีน ส่วนดินแดนทางตะวันออกไม่มีใครอาศัยอยู่
------เมื่อเมลคอร์วางยาพิษต้นไม้แห่งวาลาร์ทั้งสองและข้ามจากอามันกลับมาสู่เอนดอร์ วาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเป็นวัตถุที่แยกออกมา (จากอัมบาร์) แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดา (ขอบเขตของ บุตรแห่งอิลูวาทาร์) หลายปีหลังจากที่ตีพิมพ์ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่แยกออกมา "Athrabeth Finrod ah Andreth" (ซึ่งเล่าว่าเกิดขึ้นในเบเลริอันด์ ในช่วง สงครามชิงอัญมณี) โทลคีนเปรียบอาร์ดาเป็นระบบสุริยะ เพราะอาร์ดาในจุดนี้ประกอบด้วยวัตถุบนท้องฟ้ามากกว่าหนึ่งดวง
------ตามเนื้อความในทั้ง ซิลมาริลลิออน และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เมื่อ อาร์-ฟาราโซน บุกรุกอามันเพื่อแย่งความเป็นอมตะจากวาลาร์ พวกเขาประกาศความคุ้มครองโลกและ อิลูวาทาร์ เข้าแทรก ทำลายนูเมนอร์ ย้ายอามัน "จากวงกลมของโลก" และเปลี่ยนรูปอัมบาร์เป็นโลกกลมแบบทุกวันนี้ อคัลลาเบธ กล่าวว่าชาวนูเมนอร์ผู้รอดจากการล่มสลายล่องเรือไปตะวันตกให้ไกลสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหาบ้านในยุคโบราณของเขา แต่การเดินทางนั้นนำเขาไปรอบโลกและกลับมาที่จุดเริ่มต้น กล่าวคือ ก่อนจบยุคที่สอง การเปลี่ยนจาก "โลกแบน" เป็น "โลกกลม" ได้สมบูรณ์แล้ว




ปล. ที่จิงผมตั้งกระทู้ไว้ผิดหมวด ดันไปไว้หมวด ทั่วไป กะว่าจะรอย้ายมา แต่คงช้า ผมก็เลยตั้งใหม่ คงไม่ว่ากันนะครับ
ปล2. บางคนสงสัยว่า ทำไมผมต้องตั้งกระทู้ แค่แปะลิ้ง แล้วให้คนไปอ่านเองก็พอแล้วนี่ นั่นไม่จริงเลยครับ เพราะเนื้อหามันกระจัดกระจาย ไม่เป็นระบบ ที่ผมตั้งกระทู้นี้ เพื่อจะรวบรวมให้เป็นระบบ จะได้อ่านแบบเป็นขั้นเป็นตอน ไม่เชื้อลองเข้าใน Credit ดูสิครับ แล้วจะปวดหัวเลยว่า ต้องอ่านอันไหนก่อนหลัง จะอ่านบทไหนดี บทไหนต้องดองไว้ มันจะงงไปหมดเลย

JumpskyJ
4th August 2012, 12:33
เยอะไปไหม 55+5

shisaku
4th August 2012, 12:44
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

--------เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (อังกฤษ: The Lord of the Rings) เป็นนิยายแฟนตาซีขนาดยาว ประพันธ์โดยศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นนิยายที่ต่อเนื่องกับนิยายชุดก่อนหน้านี้ของโทลคีน คือ เรื่อง There and Back Again หรือที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เดอะฮอบบิท แต่ได้ขยายโครงเรื่องซับซ้อนไปกว่า เดอะฮอบบิท มาก โทลคีนแต่งเรื่องนี้ขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2480 - 2492 (ค.ศ. 1937 - 1949) และได้วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1954-1955 โดยแบ่งตีพิมพ์ออกเป็น 3 ตอน เนื่องจากหนังสือมีความยาวมากจนสำนักพิมพ์เห็นว่าไม่สามารถตีพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกันได้ นิยายเรื่องนี้ได้แปลไปเป็นภาษาต่างๆ มากมายไม่น้อยกว่า 38 ภาษา และได้รับยกย่องให้เป็นนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20
--------เรื่องราวใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกิดขึ้นบนดินแดนในจินตนาการที่มีชื่อว่า มิดเดิลเอิร์ธ ตัวละครในเรื่องมีหลายเผ่าพันธุ์ เช่น มนุษย์ เอลฟ์ (หรือ พราย ในฉบับแปลภาษาไทย) ฮอบบิท คนแคระ พ่อมด และออร์ค หัวใจของเรื่องเกี่ยวข้องกับแหวนเอกธำมรงค์ ซึ่งสร้างโดยจอมมารเซารอน เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มต้นจากดินแดนไชร์อันสุขสงบ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของมิดเดิลเอิร์ธ จนถึงเหตุการณ์สงครามแหวน โดยผ่านมุมมองของตัวละครฮอบบิทคนหนึ่งที่ชื่อ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ในตอนท้ายของเรื่องยังมีภาคผนวกอีก 6 ชุดที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของโลกในนิยาย รวมถึงภูมิหลังด้านภาษาศาสตร์ของวัฒนธรรมต่าง ๆ ในนิยายด้วย
เมื่อพิจารณางานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของโทลคีนประกอบ จะเห็นว่า เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นชิ้นงานที่ขยายผลมาจากโครงเรื่องต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ เป็นชิ้นงานที่มีความซับซ้อน และยังเป็นเหตุการณ์ในลำดับสุดท้ายของปกรณัมของโทลคีนที่ได้บรรจงสร้างมาเนิ่นนานตั้งแต่ พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ผลงานเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และงานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางด้านภาษา ด้านโครงตำนาน ด้านแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรม และด้านศาสนศาสตร์ จนส่งผลต่อวงการวรรณกรรมแฟนตาซียุคต่อมาเป็นอย่างมาก ผลกระทบจากงานของโทลคีนต่อสังคมทำให้คำว่า "แบบโทลคีน" ("Tolkienian" และ "Tolkienesque") ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด
--------ความนิยมอย่างล้นหลามและยาวนานในหนังสือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ยังเป็นจุดกำเนิดของงานเทศกาล ประเพณี ชมรม และสมาคมต่าง ๆ มากมาย โดยบรรดาผู้ชื่นชอบผลงานของเขา รวมทั้ง หนังสือในแง่มุมหลายหลากเกี่ยวกับตัวของโทลคีนหรืองานเขียนชิ้นต่าง ๆ ของเขา เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้สร้างให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างต่อเนื่องต่องานศิลปะ ภาพวาด ดนตรี ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เกม และวรรณกรรมชิ้นอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน มีการดัดแปลงนิยายเรื่องนี้ไปเป็นบทละครวิทยุ ละครเวที รวมถึง ภาพยนตร์หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไตรภาคในระหว่างปี ค.ศ. 2001-2003 เป็นครั้งที่กระตุ้นให้เกิดกระแสความสนใจในผลงานของโทลคีนขึ้นมาอย่างสูงมากอีกครั้งหนึ่ง



ตัวละครสำคัญ

เซารอน

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/8/86/200px-Sauron.jpg

ยุคที่หนึ่ง
--------ในตำนาน ซิลมาริลลิออน กล่าวว่า เซารอนแต่เดิมเป็นเทพไมอา ในสังกัดของ อาวเล เทพวิศวกรรม (เหตุนี้เขาจึงมีทักษะในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ สูงมาก) แต่แล้วถูกเทพอสูรเมลคอร์ ล่อลวงให้ไปรับใช้ตน เซารอนจึงแปรพักตร์ไปเข้ากับเมลคอร์
เซารอนได้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ เป็นสมุนเอก เป็นเสนาบดีใหญ่ของเมลคอร์มานับแต่ยุคก่อนยุค เมื่อครั้งที่เมลคอร์ ซ่องสุมกำลังพลในตรุใต้ดินที่ อุทุมโน เซารอนเป็นผู้ควบคุมดูแลป้อมตะวันตกที่อังก์บันด์ แต่เมื่อเมลคอร์พ่ายแพ้ต่อปวงเทพ และอุทุมโนถูกรื้อทำลาย ปวงเทพกลับหาตัวเซารอนไม่พบ
เซารอนได้มาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเมลคอร์ หรือ มอร์กอธ อีกครั้ง เมื่อเขาได้รับอภัยโทษจากปวงเทพ แล้วกลับก่อเหตุทำลายทวิพฤกษา ชิงซิลมาริล และหนีกลับมายังมิดเดิลเอิร์ธ ซ่องสุมกำลังขึ้นใหม่ที่อังก์บันด์
--------พวกเอลฟ์ในยุคที่หนึ่งเรียกเซารอนว่า กอร์เธาร์ (Gorthaur) ซึ่งหมายถึง จอมเวทผู้น่าสะพรึงกลัว เซารอนมีทักษะทางด้านเวทมนตร์คาถาด้วย สมุนบริวารของเขาที่สำคัญคือพวกมนุษย์หมาป่า เช่น เดรากลูอิน และยังมีนางปีศาจค้างคาว ธูริงเกวธิล ทำหน้าที่เป็นคนส่งสารประจำตัว
เซารอนยกทัพตีหอคอยมินัสทิริธของฟินร็อด ซึ่งตั้งอยู่บนโทลซิริออนได้ และยึดมาเป็นฐานที่มั่นของตน เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โทล-อิน-เการ์ฮอธ หอคอยนี้ภายหลังเป็นสถานที่สิ้นพระชนม์ของฟินร็อดเอง เมื่อพระองค์เสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องเบเรน ระหว่างปฏิบัติภารกิจชิงซิลมาริล
หลังสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง เมื่อปวงเทพยกทัพมาปราบมอร์กอธ ทำลายอังก์บันด์และแผ่นดินเบเลริอันด์ทั้งหมดจมลงสู่ใต้ทะเล เทพเอออนเวขอให้เซารอนยินยอมกลับไปขออภัยโทษต่อปวงวาลาร์ แต่เซารอนกลัวเกินกว่าจะกลับไปได้ เขาจึงหนีหายไป

ยุคที่สอง
--------เซารอนกลับมาตั้งอาณาจักรของตนขึ้นใหม่อย่างเงียบๆ ในแผ่นดินมอร์ดอร์ และเริ่มเกลี้ยกล่อมมนุษย์ชาวพื้นเมืองให้เข้าเป็นพวกกับตน เขาปลอมตัวเป็นร่างงดงามชื่อ อันนาทาร์ เข้าไปยังอาณาจักรเอเรกิออน พวกเอลฟ์ช่างแห่งเอเรกิออนไม่ได้ระแวงสงสัย และยังชื่นชมกับทักษะฝีมือทางการช่างอันเป็นเลิศ จึงต้อนรับอันนาทาร์เป็นอันดี และได้ช่วยสร้าง แหวนแห่งอำนาจ ขึ้น 16 วง ซึ่งต่อมาได้แก่ แหวนแห่งคนแคระ 7 วง กับแหวนแห่งมนุษย์ 9 วง
เซารอนกลับมาลักลอบสร้างแหวนเอกธำมรงค์ ในเมาท์ดูม ด้วยอัคคีในภูเขาไฟนั้น พร้อมทั้งแบ่งพลังส่วนหนึ่งของตนใส่ลงไปในแหวนด้วย ทำให้แหวนเอก มีอำนาจบังคับบัญชาเหนือแหวนทั้ง 16 วงที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้
แต่ เคเลบริมบอร์ เอลฟ์ช่างผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมอีกคนหนึ่ง ก็แอบสร้าง แหวนแห่งเอลฟ์ ขึ้นสามวง โดยเซารอนไม่ได้มีส่วนในการสร้างด้วย ครั้นเมื่อเซารอนสวมแหวนเอกของตนในเมาท์ดูม ผู้สวมแหวนเอลฟ์ก็รู้สึกได้ทันที และจึงได้ตระหนักว่า ตัวตนที่แท้จริงของ อันนาทาร์ คือใคร
เมื่อนั้นจึงเกิดเป็นสงครามระหว่างเอลฟ์กับเซารอน เอเรกิออนถูกตีแตก แต่เซารอนก็ไม่สามารถยึดเมืองไว้ได้ เพราะทัพมนุษย์จากนูเมนอร์ ยกมาช่วย ดังนั้นเซารอนจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักในมอร์ดอร์ใหม่
--------จนถึงสมัยของ อาร์-ฟาราโซน ทัพนูเมนอร์ยกมามิดเดิลเอิร์ธ หวังจะแผ่ขยายอำนาจ เซารอนก็แกล้งทำเป็นยอมจำนน ให้ชาวนูเมนอร์จับตัวกลับไปในฐานะเชลย แต่แล้วเขาใช้ลิ้นเจรจาอันหลักแหลม จนได้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของกษัตริย์ ยุยงให้อาร์-ฟาราโซน นำกองทัพบุกไปอามัน เพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ
ปวงเทพสั่งสอนความยโสของอาร์-ฟาราโซน โดยบันดาลให้เกาะนูเมนอร์จมสมุทร แล้วยกทวีปอามันออกไปเสียจากพิภพอาร์ดา แล้วบันดาลให้โลกกลม ทำให้ไม่มีใครสามารถเดินทางไปยังอามันได้อีก นอกจากพวกเอลฟ์
--------เซารอนอยู่บนเกาะนูเมนอร์ในคราวจมสมุทร แต่เขากลายร่างเป็นสายลมอันดำมืด และหนีออกมาจากการจมสมุทรครั้งนั้นได้ทันเวลา กลับไปยังมอร์ดอร์ที่มั่นของตน
เอเลนดิลกับบุตรทั้งสอง คืออิซิลดูร์ กับ อนาริออน ก็หนีจากการจมสมุทรของนูเมนอร์ได้เช่นกัน และมาตั้งอาณาจักรอาร์นอร์และกอนดอร์ บนแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ พวกเขาสร้างหอคอยมินัสอิธิลไว้ที่ไหล่เขาเอเร็ดลิธุย ชายอาณาเขตมอร์ดอร์ เพื่อคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของเซารอน
ปลายยุคที่สอง ทัพเอลฟ์กับมนุษย์ร่วมมือกันอีกครั้ง จัดตั้งเป็น ทัพพันธมิตรครั้งสุดท้าย ยกไปโจมตีมอร์ดอร์ เกิดการสัประยุทธ์ใหญ่ที่สมรภูมิทุ่งดาร์กอลัด เอเลนดิลและกิลกาลัดสิ้นพระชนม์ แต่อิซิลดูร์ใช้ดาบนาร์ซิลของพ่อ ตัดนิ้วของเซารอนพร้อมกับแหวนเอก ขาดสะบั้น ทำให้อำนาจของเซารอนพังทลาย กลายเป็นดวงจิตล่องลอย ต้องหนีไปพักฟื้นอยู่นานก่อนจะสามารถแสดงร่างเป็นกายเนื้อได้อีก

ยุคที่สาม
--------เซารอนเริ่มปรากฏตัวบนมิดเดิลเอิร์ธอีกครั้งในฐานะ เนโครมันเซอร์ ดังที่ปรากฏในเรื่อง เดอะฮอบบิท โดยซุ่มตัวอยู่ในโดลกุลดัวร์ หอไสยเวทย์ ทางตอนใต้ของป่าเมิร์ควูด
เมื่อชาวสภาขาวล่วงรู้ ก็เตรียมการโจมตีโดลกุลดัวร์ แต่เซารอนรู้ทัน หนีกลับมามอร์ดอร์เสียก่อน แล้วเริ่มซ่องสุมกองกำลังขึ้นใหม่ โดยมีราชันขมังเวท หรือ วิชคิง แห่งอังก์มาร์ เป็นบริวารคนสำคัญ
--------เซารอนพยายามติดตามหาแหวนเอก ด้วยอำนาจส่วนใหญ่ของตนถูกแบ่งไปบรรจุอยู่ในแหวนนั้น เขาตามล่ากอลลัม และตามหาตัว 'แบ๊กกิ้นส์' ผู้ถือแหวนคนถัดไป แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อแหวนเอกถูกทำลายลงในเมาท์ดูม ร่างจำแลงของเซารอนที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจอันมีเหลืออยู่น้อยนิด ก็สูญสลายไป
แต่เซารอนเป็นเทพไมอา เขาจึงไม่ตาย ได้แต่เป็นดวงจิตอันไร้พลัง ล่องลอยไปมาอยู่ในอาร์ดาเท่านั้น

** สรุปว่า ในหนัง เซารอนยังไม่ตายนะครับ เพียงแค่กลายเป็นดวงจิตที่ไร้ซึ่งพลัง **




คณะพันธมิตรแห่งแหวน

แกนดัล์ฟ

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/e/e9/Gandalf600ppx.jpg/200px-Gandalf600ppx.jpg

--------แกนดัล์ฟแต่เดิมเป็นเทพไมอาในสังกัดของเทพมานเว แต่มักไปศึกษาอยู่กับเทพีนิเอนนา ผู้ครองความเมตตา อยู่เป็นนิจ เขาได้รับเลือกจากเทพมานเวให้เป็นหนึ่งในคณะอิสทาริ เดินทางมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธในช่วงยุคที่สาม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าเอลฟ์และมนุษย์ เมื่อมาถึงมิดเดิ้ลเอิร์ธ แกนดัล์ฟได้พบกับเคียร์ดัน นายนาวากรแห่งเมืองท่าเกรย์เฮเวนส์ เคียร์ดันได้มอบแหวนนาร์ย่าแก่เขา โดยกล่าวว่า แกนดัล์ฟจะต้องเหนื่อยหนักหนาในภารกิจนี้ ซึ่งแหวนแห่งไฟอาจช่วยบรรเทาภาระของเขาได้
--------แกนดัล์ฟไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขามักเดินทางไปพบปะผองชนต่างๆ ที่โน่นที่นี่อยู่เสมอ และเนื่องจากเขาสวมเสื้อคลุมสีเทา พวกเอลฟ์จึงเรียกเขาว่า มิธรันเดียร์ ซึ่งหมายถึง ผู้พเนจรในชุดเทา แกนดัล์ฟได้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสภาขาว และได้เป็นเพื่อนสนิทกับอารากอร์น หัวหน้าชาวดูเนไดน์ ในระหว่างการสืบหาแหวนเอก แกนดัล์ฟได้รู้จักกับบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ เศรษฐีชาวฮอบบิทผู้รักการผจญภัย เรื่องราวของแกนดัล์ฟกับบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ มีเล่าอยู่ในนิยายเรื่อง เดอะ ฮอบบิท
--------เวลาผ่านไปอีกหลายปีกว่าแกนดัล์ฟจะรู้ว่า บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ได้แหวนเอกมาไว้ในครอบครองด้วยความบังเอิญในระหว่างการผจญภัยครั้งนั้น และได้มอบแหวนพร้อมกับมรดกทั้งหมดให้กับทายาท คือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ แกนดัล์ฟสั่งให้โฟรโดไปพบกับตนที่เมืองบรี เพื่อเดินทางต่อไปยังริเวนเดลล์ เพื่อปรึกษากับลอร์ดเอลรอนด์ เอลฟ์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ขณะนั้นพวกภูตแหวน สมุนของเซารอน รู้เรื่องทั้งหมดและกำลังออกตามล่าแหวนเอกเช่นกัน โฟรโดถูกวิชคิงทำร้ายบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยความช่วยเหลือของอารากอร์นกับพวกเอลฟ์ จึงพาโฟรโดและคณะมาถึงริเวนเดลล์ได้
--------ในที่ประชุมของเอลรอนด์ ทุกเผ่าพันธุ์บนมิดเดิ้ลเอิร์ธมาประชุมกันและลงมติให้คณะพันธมิตรแห่งแหวนนำแหวนเอกไปทำลายที่ภูมรณะหรือเมาท์ดูม อันเป็นแหล่งกำเนิดของแหวน ระหว่างการเดินทางผ่านเหมืองมอเรีย แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกจนตกลงไปในปล่องเหว คณะพันธมิตรจึงต้องเดินทางต่อโดยไม่มีแกนดัล์ฟ
--------แต่แกนดัล์ฟฟื้นคืนชีพหลังการต่อสู้ครั้งนั้น เพราะปวงเทพยังต้องใช้เขาให้อยู่ช่วยเหลือชาวมิดเดิ้ลเอิร์ธต่อไป แกนดัล์ฟฟื้นคืนชีพมาพร้อมกับพลังอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น และได้กลายเป็นพ่อมดขาว แทนที่ซารูมาน
--------แกนดัล์ฟกลับมาพบกับคณะพันธมิตรแห่งแหวนอีกครั้งในป่าฟังกอร์น โดยได้พบกับอารากอร์น เลโกลัส และกิมลี หลังจากนั้นได้ติดตามไปพบเมอร์รี่และปิ๊ปปิ้น ที่ออร์ธังก์ แล้วชักนำให้ชาวมนุษย์แห่งโรฮันกับกอนดอร์หาญกล้าต่อต้านกองทัพของเซารอนที่ยกมาโจมตี ขณะที่โฟรโดกับแซม ต้องเดินทางไปทำลายแหวนเพียงลำพังโดยไม่รู้ชะตากรรม
ในปีที่สาม ของยุคที่สี่ หลังเสร็จศึกกับเซารอน แกนดัล์ฟเดินทางกลับไปยังทวีปอามัน พร้อมกับเอลรอนด์ กาลาเดรียล บิลโบ และโฟรโด

ชื่อต่างๆ ของแกนดัล์ฟ
*โอโลริน ชื่อเมื่อเป็นไมอา
*มิธรันเดียร์ "ผู้พเนจรในชุดเทา" สมญาที่เอลฟ์แห่งมิดเดิลเอิร์ธในยุคที่สามใช้เรียกขานแกนดัล์ฟ
*พ่อมดเทา


อารากอร์น

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/2/2f/200px-LOTRROTKmovie.jpg

--------อารากอร์น เป็นชื่อที่ตั้งตาม อารากอร์นที่หนึ่งผู้เป็นบรรพบุรุษ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ในปีที่ 2931 แห่งยุคที่สาม เป็นบุตรของอาราธอร์นที่สองและภรรยากิลไรน์ อารากอร์นสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากเอเลนดิล ซึ่งเขาเป็นผู้ที่มีลักษณะและหน้าตาคล้ายกับเอเลนดิลมากที่สุดในหมู่ทายาททุกคน เขายังมีเชื้อสายของ เอลรอส ทาร์-มินยาตูร์ ฝาแฝดครึ่งเอลฟ์ของลอร์ดเอลรอนด์ และกษัตริย์องค์แรกของนูเมนอร์ บรรพบุรุษของเขาอาร์เวดุยได้แต่งงานกับฟิริเอลจากสายตระกูลของอนาริออน มีบุตรคือ อารานาร์ธ นั่นทำให้อารากอร์นเป็นทายาทคนสุดท้ายทางฝั่งของอนาริออนด้วย
--------เมื่ออารากอร์นอายุเพียง 2 ปี บิดาของเขาถูกสังหารระหว่างตามล่าพวกออร์ค เอลรอนด์จึงรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมและอาศัยอยู่ในริเวนเดลล์ ตามความประสงค์ของมารดา เชื้อสายของเขาจึงถูกเก็บเป็นความลับ ด้วยนางกลัวว่าถ้าอารากอร์นรู้ความจริง เขาจะต้องพบชะตากรรมเดียวกับที่บิดาและปู่ของเขาได้รับ อารากอร์นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เอสเตล (ภาษาซินดารินแปลว่า 'ความหวัง') และไม่ให้บอกความจริงแก่เขาจนกว่าอารากอร์นจะอายุครบ 20 ปี
--------เมื่อถึงเวลานั้น เอลรอนด์ก็ได้บอกความจริงแก่"เอสเตล" เรื่องชื่อและประวัติของบรรพบุรุษของเขา และได้มอบ เศษดาบนาร์ซิลและแหวนแห่งบาราเฮียร์ ให้แก่อารากอร์น อารากอร์นได้พบกับอาร์เวนเป็นครั้งแรกเมื่อเขาอายุได้ 20 ปี เวลานั้นอาร์เวนกลับมาจากลอธลอริเอนเพื่อมาเยี่ยมบ้าน อารากอร์นตกหลุมรักอาร์เวนทันที
--------ปี 2956 ของยุคที่สาม อารากอร์นได้พบกับ แกนดัล์ฟ และต่อมาทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน จากคำแนะนำของแกนดัล์ฟ อารากอร์นและเหล่าคนจรแห่งแดนเหนือจึงได้ร่วมกันระแวดระวังภัยแผ่นดินโดยรอบแว่นแคว้นเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ไชร์ ดินแดนอาศัยของเหล่าฮอบบิท อารากอร์นเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า สไตรเดอร์
--------ระหว่างปี 2957 - 2980 อารากอร์นเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เขาได้ไปรับราชการอยู่กับ กษัตริย์เธงเกล แห่ง โรฮัน และสจ๊วตเอคเธลิออนที่สองแห่งกอนดอร์ เขาใช้ชื่อในระหว่างปลอมตัวนี้ว่า โธรองกิล (หมายถึง อินทรีแห่งดวงดาว) เขาเคยนำกองเรือเล็กๆ ไปปราบกบฏในอุมบาร์เมื่อปี 2980 ได้เผากองเรือคอร์แซร์ไปมากและสังหารผู้นำของคนเถื่อนพวกนั้น หลังจากชัยชนะในอุมบาร์ "โธรองกิล" ก็จากไป
--------หลังจากนั้น อารากอร์นเดินทางไปยังลอธลอริเอน และได้พบกับอาร์เวนอีกครั้ง เขามอบมรดกประจำตระกูลคือ แหวนแห่งบาราเฮียร์ ให้แก่อาร์เวน แล้วที่บนเนินเครินอัมรอธ อาร์เวนจึงได้ตัดสินใจมอบความรักให้แก่เขา เป็นการละทิ้งความเป็นเอลฟ์ เลือกเดินสู่ชะตากรรมของมนุษย์ คือความตาย

อารากอร์นในลอร์ดออฟเดอะริงส์
--------วันที่ 30 กันยายน ปี 3018 ของยุคที่สาม อารากอร์นได้พบกับ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ทายาทของบิลโบ และผองเพื่อนฮอบบิทของเขาที่โรงเตี๊ยมแพรนซิ่งโพนี่ ที่เมืองบรี ขณะที่ฮอบบิททั้งสี่เดินทางออกจากไชร์เพื่อนำแหวนเอกไปส่งที่ริเวนเดลล์ เวลานั้นอารากอร์นอายุได้ 87 ปี เขาช่วยพวกฮอบบิทให้หนีพ้นจากพวกนาซกูล ไปจนถึงริเวนเดลล์ได้ หลังจากนั้นจึงได้เข้าร่วม คณะพันธมิตรแห่งแหวน ร่วมกับตัวแทนชนเผ่าต่างๆ รวมทั้งสิ้น 9 คน เพื่อนำแหวนเอกไปทำลายที่เมาท์ดูม

** ในลอร์ดออฟเดอะริงส์ อารากอนมีอายุถึง 87 ปี เนื่องจากมีเชื้อสายเอลฟ์ จึงทำให้อายุยืนกว่าคนปกติ **


เลโกลัส

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/c/cb/200px-Legolas.jpg

--------เลโกลัสเป็นโอรสของกษัตริย์ธรันดูอิล เจ้าผู้ครองอาณาจักรไพรแห่งป่าเมิร์ควู้ด ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในเดอะฮอบบิทว่าเป็น "กษัตริย์พราย" อาณาจักรของเขาเป็นอาณาจักรของเอลฟ์ชาวซิลวัน แต่ธรันดูอิลเป็นชาวซินดาร์ที่อพยพมาจากอาณาจักรโดริอัธแห่งแผ่นดินเบเลริอันด์พร้อมกับโอโรแฟร์ผู้บิดา ดังนั้นเลโกลัสจึงไม่ใช่ชาวซิลวัน แต่เป็นชาวซินดาร์ด้วย
--------ไม่มีที่ใดในหนังสือระบุถึงวันเกิดหรืออายุของเลโกลัส แต่เขามีอายุมากกว่าอารากอร์นหรือกิมลีแน่นอน ปรากฏหลายแห่งว่าเลโกลัสมักเรียกคนเหล่านั้นว่า "พวกเด็กๆ" เลโกลัสต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 500 ปี ตามคำปรารภของเขาช่วงหนึ่งขณะที่อยู่ในแคว้นโรฮันว่า "ใบไม้ในป่าเมิร์ควู้ดบ้านของข้าร่วงหล่นมากว่าห้าร้อยครั้งแล้ว"(ในลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ อารากอร์นจะแนะนำตัวเลโกลัสให้ทัพของโรฮันว่า"เลโกลัสแห่งป่าวู้ดแลนด์") คาดว่าเขาจะร่วมรบอยู่ในสงครามห้าทัพ สงครามครั้งสำคัญในเรื่องเดอะฮอบบิทด้วย
--------ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เลโกลัสเดินทางมายังริเวนเดลล์ ก็เพื่อแจ้งข่าวการหลบหนีไปของกอลลัม ซึ่งอารากอร์นและแกนดัล์ฟได้ฝากเอาไว้ที่อาณาจักรของเขา เขาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะพันธมิตรแห่งแหวนในฐานะตัวแทนของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ และเขาได้ใช้ความสามารถด้านธนูของตนช่วยเหลือพรรคพวกเอาไว้ได้เป็นอย่างมาก และเลโกลัสเป็นตัวละครที่มีสายตากว้างไกลชัดเจนที่สุดในเรื่องอีกด้วย เลโกลัสมีความสามารถหลายอย่าง และสามารถสู้ได้ทั้งระยะไกลและระยะประชิด(แต่เขาจะถนัดการยิงธนูมากกว่า)
--------ความสัมพันธ์ระหว่างเลโกลัสกับคนแคระกิมลีเป็นแก่นสำคัญส่วนหนึ่งของเรื่อง เพราะพวกเอลฟ์กับคนแคระนั้นเป็นปฏิปักษ์กันมาตั้งแต่โบราณกาล โดยเฉพาะเอลฟ์ชาวซินดาร์ซึ่งพวกคนแคระเคยยกทัพไปโจมตีอาณาจักรโดริอัธเพื่อชิงซิลมาริล กลายเป็นความแค้นลึกล้ำระหว่างเผ่าพันธุ์มานานแสนนาน แต่การที่ทั้งสองได้ร่วมปฏิบัติภารกิจสำคัญเพื่อกอบกู้มิดเดิ้ลเอิร์ธ ทำให้เกิดเป็นมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
--------ในยุคที่สี่ หลังจากกษัตริย์อารากอร์นสิ้นพระชนม์ เลโกลัสได้ต่อเรือขึ้นลำหนึ่งและล่องออกจากชายฝั่งของมิดเดิ้ลเอิร์ธเพื่อไปยังทวีปอามัน แผ่นดินอมตะที่เอล์ฟและผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะได้ไป โดยมีกิมลีร่วมเดินทางไปด้วย



โฟรโด แบ๊กกิ้นส์

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/d/d4/200px-Frodo.jpg

--------โฟรโด เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ยุคที่สามปี 2968 เป็นบุตรชายของ โดรโก แบ๊กกิ้นส์ และ พรีมูลา แบรนดี้บั๊ก เมื่อถึงปี 2980 ยุคเดียวกัน โฟรโดได้สูญเสียบิดาและมารดา ด้วยทั้งสองได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเรือ ขณะนั้นโฟรโดมีอายุเพียง 12 ปี เขาจึงถูกนำไปเลี้ยงโดยครอบครัวฝ่ายแม่ คือตระกูลแบรนดี้บั๊ก
--------เมื่อโฟรโดมีอายุได้ 21 ปี ในปี 2989 โฟรโดได้ย้ายไปอยู่กับ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ญาติห่างๆ คนหนึ่งของเขา ที่แบ๊กเอนด์ ฮอบบิตัน ในฐานะทายาท โฟรโดเรียกบิลโบว่า คุณลุง
--------รูปร่างของโฟรโดนั้น แกนดัล์ฟ ได้อธิบายไว้ว่า "เป็นเด็กชายที่กล้าหาญ แก้มแดง สูงกว่าบางคน และยุติธรรมกว่าด้วย มีรอยแตกที่คาง เป็นเด็กหนุ่มที่ว่องไว และฉลาด มีผมสีน้ำตาลเหมือนกับฮอบบิทตนอื่นๆ"

--------ปี 3001 ของยุคที่สาม หลังจากที่บิลโบฉลองวันเกิดครบรอบ 111 ปี เขาได้ออกจากไชร์ไปสู่ริเวนเดลล์ และทิ้งทรัพย์สินทุกอย่างให้เป็นมรดกแก่โฟรโด รวมทั้งแหวนทองคำเกลี้ยงวงหนึ่ง
--------จนเมื่อปี 3018 แกนดัล์ฟได้มาหาเขา พร้อมทำการทดสอบและพบว่า แหวนทองคำธรรมดาๆ วงนั้นที่แท้แล้วคือ แหวนเอกธำมรงค์ ที่เซารอน เจ้าแห่งความมืด กำลังตามหาอยู่ แกนดัล์ฟสั่งให้โฟรโดรีบนำแหวนออกจากไชร์ นัดแนะให้ไปพบกับเขาที่เมืองบรี ระหว่างนั้นแกนดัล์ฟจะต้องไปสืบข่าวอย่างอื่นเสียก่อน
--------แต่แผนการหนีออกจากไชร์ของโฟรโด ถูกล่วงรู้เสียก่อน แซมไวส์ แกมจี คนสวนผู้จงรักภักดีต่อตระกูลแบ๊กกิ้นส์ จึงขอติดตามไปด้วย พร้อมกับเพื่อนของโฟรโดอีกสองคน (ซึ่งที่จริงมีศักดิ์เป็นหลาน) คือ เมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก (เมอร์รี่) และ เปเรกริน ตุ๊ก (ปิ๊บปิ้น) ก็ร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางทั้งสี่ได้พบกับ ทอม บอมบาดิล ในป่าดึกดำบรรพ์
--------ที่เมืองบรี พวกเขาไม่พบแกนดัล์ฟตามนัด แต่โชคดีได้พบกับอารากอร์น พรานป่าชาวดูเนไดน์ อารากอร์นช่วยนำทางพวกเขาจนกระทั่งไปถึงริเวนเดลล์ ทว่าระหว่างทางโฟรโดถูกภูตแหวนทำร้ายด้วยมีดมอร์กูล ได้รับบาดเจ็บสาหัส เอลรอนด์ ลอร์ดแห่งริเวนเดลล์ ช่วยรักษาไว้ได้ แต่บาดแผลนั้นก็ไม่เคยหายสนิทเลย
--------ในที่ประชุมของเอลรอนด์ โฟรโดอาสาที่จะนำแหวนเอกไปทำลาย เพื่อนฮอบบิททั้งสามก็จะติดตามไปด้วย พร้อมทั้งตัวแทนชนเผ่าต่างๆ ของมิดเดิลเอิร์ธ เกิดเป็นคณะพันธมิตรแห่งแหวน รับภารกิจนำแหวนไปทำลายที่จุดกำเนิดของมัน คือที่เมาท์ดูม ใจกลางอาณาจักรมอร์ดอร์
ปี 3021 หลังจากสงครามแหวนยุติไปแล้ว โฟรโดได้รับเกียรติให้ร่วมเดินทางไปสู่อีกฟากฝั่งของทะเลพร้อมเลดี้กาลาเดรียล เอลรอนด์ แกนดัล์ฟ และบิลโบ แบ๊กกิ้นส์


กิมลี

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/8/85/200px-Lotr_movie_gimli.jpg

--------กิมลี เป็นบุตรของโกลอิน คนแคระที่ได้ร่วมผจญภัยกับ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ในเรื่องเดอะฮอบบิท เป็นบุตรหลานผู้สืบตระกูลของ ดูรินผู้เป็นอมตะ ผู้นำของเจ็ดบิดาของคนแคระผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณกาล กิมลีมีกำเนิดในตระกูลเจ้าแห่งคนแคระ แต่ไม่ได้อยู่ในลำดับสืบสันตติวงศ์โดยตรง เขายังเป็นญาติใกล้ชิดกับ บาลิน เจ้าผู้ครองคาซัดดูม ในยุคที่สาม ซึ่งเคยร่วมเดินทางผจญภัยกับบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ด้วยเช่นกัน
กิมลีเดินทางมายังริเวนเดลล์พร้อมกับบิดา เพื่อแจ้งข่าวสถานการณ์ในเอเรบอร์ เขาได้เข้าร่วมในที่ประชุมของเอลรอนด์ และได้รับเลือกให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะพันธมิตรแห่งแหวน ในฐานะตัวแทนของเหล่าคนแคระ
--------กิมลีมีอคติกับพวกเอลฟ์มาแต่ไหนแต่ไร และมักมีเหตุขัดแย้งกับเลโกลัส เจ้าชายเอลฟ์แห่งเมิร์ควู้ดอยู่เนืองๆ จนเมื่อเขาได้พบกับเลดี้กาลาเดรียล แห่งลอธลอริเอน ความคิดเกี่ยวกับเอลฟ์ของเขาจึงเปลี่ยนไป ด้วยความงดงาม ความเมตตา และความปรานีของนางประทับใจกิมลีอย่างมาก เมื่อคณะพันธมิตรแห่งแหวนจะออกเดินทางจากลอธลอริเอน กาลาเดรียลขอให้แต่ละคนขอของขวัญสำหรับตัวได้ กิมลีไม่ได้ขอสิ่งมีค่าอันใดเลยนอกจากเส้นเกศาสีทองเหลือบเงินอันงดงามของนาง ซึ่งนางได้มอบเส้นเกศาให้แก่กิมลีถึง 3 เส้น หลังจากนั้น สัมพันธภาพระหว่างกิมลีกับเลโกลัสก็ดีขึ้นเป็นลำดับ
--------กิมลีได้แสดงความสามารถในการรบเป็นที่ประจักษ์หลายครั้งในสมรภูมิต่างๆ ของสงครามแหวน โดยเฉพาะอย่างที่การรบที่เฮล์มสดีพ หลังสิ้นสุดสงครามแหวน กิมลีได้นำเหล่าคนแคระพลเมืองของดูรินจำนวนมากมาตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นที่อะกลารอนด์ เขาได้ขึ้นเป็นลอร์ดแห่งอะกลารอนด์คนแรก เหล่าคนแคระช่วยกันซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพอันพินาศจากสงครามให้กลับคืนดี ผลงานที่สำคัญของพวกเขาคือ ประตูใหญ่ของนครมินัสทิริธ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยโลหะและมิธริล และยังช่วยซ่อมแซมสถานที่สำคัญต่างๆ ในนครอีกเป็นจำนวนมาก
--------ไม่มีที่ใดบันทึกว่า กิมลีเสียชีวิตเมื่อใด แต่ตามที่ปรากฏในหนังสือสมุดปกแดงแห่งเวสต์มาร์ช หลังจากที่กษัตริย์อารากอร์นสิ้นพระชนม์ในปีที่ 120 ของยุคที่สี่ กิมลีได้ออกเดินทางไปยังดินแดนอมตะทางทิศประจิมพร้อมกับเลโกลัส


โบโรเมียร์

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/b/b3/200px-Newline-boromir2.jpg

--------โบโรเมียร์เป็นมนุษย์ชาวกอนดอร์ บุตรชายคนโตของเดเนธอร์ สจ๊วตแห่งกอนดอร์คนสุดท้าย และเป็นพี่ชายของฟาราเมียร์ เขาเกิดในปีที่ 2978 ของยุคที่สาม มีร่างกายสูงใหญ่ ผมสีดำ นัยน์ตาสีเทา เป็นผู้ทระนงองอาจ เก่งกล้าในการรบ และมีความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของอาณาจักรแห่งชาวดูเนไดน์มาก โบโรเมียร์ได้เป็นผู้นำกองกำลังชาวกอนดอร์เข้าต่อกรกับทัพของเซารอนหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังริเวนเดลล์ เนื่องจากนิมิตฝันที่มองเห็น "ยมทูตแห่งอิซิลดูร์"
--------ที่ริเวนเดลล์ โบโรเมียร์ได้เข้าร่วมในที่ประชุมของเอลรอนด์ และได้เข้าร่วมคณะพันธมิตรแห่งแหวน โดยในเบื้องต้นเขาคิดจะเดินทางกลับไปยังแผ่นดินเกิดที่กอนดอร์ และจะแยกจากคณะที่นั่น ทว่าเมื่อเดินทางไปได้เพียงชายแดนกอนดอร์ คณะพันธมิตรแห่งแหวนถูกพวกออร์คซุ่มโจมตี โบโรเมียร์เข้าป้องกันเพื่อนร่วมคณะโดยเฉพาะเหล่าฮอบบิทอย่างกล้าหาญ จนถูกสังหารในที่สุด
--------อารากอร์น เลโกลัส และกิมลี ช่วยกันนำร่างของโบโรเมียร์ใส่ลงในเรือ พร้อมอาวุธและแตรแห่งกอนดอร์ที่แตกเป็นสองเสี่ยง ลอยเรือออกไปจนเรือล่วงผ่านน้ำตกเรารอส ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปีที่ 3019 ของยุคที่สาม



บัลร็อก

http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSw3nDIu2BGUfeJHGsNlqMxFULUYzrVv1w6CS1wrp5BNiC9KXXwB-X5rbY1ew

--------บัลร็อก (อังกฤษ: Balrog) เป็นชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในปกรณัมชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏอยู่ในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน คำว่า 'บัลร็อก' เป็นภาษาซินดาริน คำเควนยาเรียกว่า วาลาเราโค (Valarauko) มีความหมายถึงสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ [ผู้ควบคุมจิตวิญญาณแห่งไฟและเงามืด
--------บัลร็อกไม่ได้สร้างกายหยาบจึงมีร่างกายเป็นเปลวไฟแต่บางทีก็คลุมกายด้วยความมืด อาวุธของบัลร็อกคือแส้ที่ทำด้วยเปลวไฟ
--------ตามปกรณัมกล่าวถึงบัลร็อกว่าเป็นจิตวิญญาณที่ทรงพลังอำนาจสูงยิ่ง บ้างก็ว่าบัลร็อกเป็น ไมอาร์ (Spirit ซึ่งให้กำเนิดโดย Iluvatar) กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นดวงจิตแห่งไฟ มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่แรกเริ่ม เดิมทีนั้นเป็นฝ่ายดีต่อมาถูกความชั่วร้ายของเมลคอร์เข้าครอบงำกลายเป็นฝ่ายอธรรม มีความชั่วร้ายเป็นรองก็แต่เซารอนและติดตามเมลคอร์มาจากโลกภายนอกนับแต่อดีตกาลนานโพ้น บัลร็อกออกรบทำสงครามกับพวกเอลฟ์มาตั้งแต่ยุคที่หนึ่งของอาร์ดาและถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน แม่ทัพบัลร็อกคนสำคัญได้แก่ กอธม็อก (Gothmog) ซึ่งเป็นผู้สังหารกษัตริย์ฟิงกอน บัลร็อกยังได้ร่วมรบอยู่ในสงครามแห่งเบเลริอันด์หลายต่อหลายครั้ง
**ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ คณะพันธมิตรแห่งแหวนประจันหน้ากับบัลร็อกระหว่างการเดินทางผ่านเหมืองมอเรีย มีเพียงแกนดัล์ฟซึ่งเป็นไมอาร์เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับบัลร็อกได้


นาซกูล

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/c/c0/Ringwraiths1.jpg/300px-Ringwraiths1.jpg

--------นาซกูล (Nazgul) มีทั้งหมดเก้าตน หัวหน้าของพวกนาซกูลคือ ราชันขมังเวทย์ หรือ วิชคิง แต่เดิมพวกเขาเป็นกษัตริย์หรือผู้นำของพวกมนุษย์บนมิดเดิลเอิร์ธที่หลงในอำนาจยศศักดิ์ซึ่งเซารอนสัญญาว่าจะยกให้ จึงยินยอมรับ แหวนแห่งกษัตริย์ หรือแหวนแห่งอำนาจเก้าวง เมื่อเวลาผ่านไปดวงจิตของพวกเขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของแหวนจนไม่สามารถถอนตัวคืนได้ และต้องกลายเป็นทาสรับใช้ของเซารอนและแหวนเอก
--------นาซกูลออกรุกรานอาณาจักรของมนุษย์ครั้งแรก ในการบุกโจมตีอาณาจักรอาร์นอร์ และสามารถยึดอังก์มาร์ไปได้ ตั้งอาณาจักรแห่งอังก์มาร์ขึ้นเป็นอาณาจักรของตน (บางครั้งจึงเรียกหัวหน้าของพวกมันว่า 'วิชคิงแห่งอังก์มาร์') ต่อมาพวกนาซกูลเข้าโจมตีอาณาจักรกอนดอร์ และยึดเอาหอคอยมินัสอิธิลได้ เปลี่ยนหอคอยแห่งนั้นเป็น มินัสมอร์กูล เป็นฐานที่มั่นอีกแห่งหนึ่งของพวกตน การเข้ายึดมินัสอิธิลครั้งนั้นทำให้เซารอนได้ครอบครอง พาลันเทียร์ แห่งมินัสอิธิล ไปด้วย และได้ใช้พาลันเทียร์ดวงนี้ในการติดต่อกับซารูมาน และล่อลวงเดเนธอร์จนเสียสติ


วิชคิง

http://www.cosplayisland.co.uk/files/costumes/2965/34262/Witch-king-on-beast.jpg

--------วิชคิงแห่งอังก์มาร์ (Witch King of Angmar) หรือ ราชันขมังเวทย์ เป็นหัวหน้าของเหล่านาซกูล หรือภูตแหวน ที่ทำหน้าที่รับใช้จอมมารเซารอน เนื่องจากตกอยู่ใต้อำนาจของเซารอนหลังจากยอมรับแหวนแห่งอำนาจของมนุษย์ทั้งเก้าวงมาไว้ในครอบครองด้วยความโลภ
ในปกรณัมของโทลคีนไม่ได้เอ่ยถึงชื่อจริงของเขา รวมถึงเหล่านาซกูลอื่นๆ ด้วย แต่จากข้อมูลบางส่วนในงานเขียนที่ยังไม่เสร็จของเขา บ่งชี้ว่ามีแม่ทัพนูเมนอร์อย่างน้อย 3 คนที่ได้รับแหวนแห่งอำนาจ และหนึ่งในสามคนนี้น่าจะได้เป็นวิชคิงในเวลาต่อมา
--------เขาได้ชื่อว่าเป็น วิชคิง "แห่งอังก์มาร์" เนื่องจากสามารถโจมตีอาณาจักรอาร์นอร์ ยึดดินแดนมาส่วนหนึ่งก่อตั้งเป็นอาณาจักรอังก์มาร์ได้ จากนั้นก็โจมตีดินแดนส่วนอื่นของอาร์นอร์จนอาณาจักรล่มสลายลงในที่สุด แม้ภายหลังเหล่านาซกูลจะย้ายมายังมินัสมอร์กูลแล้ว ก็ยังคงเรียกชื่อราชันขมังเวทย์ว่า "วิชคิงแห่งอังก์มาร์" อยู่
--------ในช่วงศึกที่ฟอร์นอสต์ครั้งอังมาร์แตก กลอร์ฟินเดลได้ทำนายชะตาของวิชคิงไว้ว่า "อวสานของเขาจะไม่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของบุรุษใด" ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นดังที่ว่า เมื่อเอโอวีน (นางเป็นสตรี) พร้อมด้วยฮอบบิท เปเรกริน ตุ๊ก (เขาเป็นฮอบบิท!) ได้สังหารเขาในศึกที่ทุ่งเพลานอร์ หน้ามินาสทิริธ ครั้งสงครามแหวน

แหวนเอกธำมรงค์

http://images.pictureshunt.com/pics/t/the_lord_of_the_rings-10078.jpg

--------แหวนเอกธำมรงค์ (อังกฤษ: The One Ring) หรือชื่ออื่นๆ ว่า แหวนเอก แหวนประมุข แหวนแห่งอำนาจ หรือ ยมทูตแห่งอิซิลดูร์ เป็นแหวนวิเศษในจินตนาการจากนิยายไตรภาค เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ซึ่งเป็นนิยายที่เล่าเรื่องราวของภารกิจการทำลายแหวนวิเศษวงนี้
--------ผู้สร้างแหวนนี้คือ เซารอน ผู้เป็นจอมมาร สร้างขึ้นในยุคที่สอง โดยใส่พลังของตัวเองลงไปด้วย เป็นแหวนที่มีอำนาจมากที่สุดในแหวนแห่งอำนาจ หลังจากสงครามที่เซารอนพ่ายแพ้ครั้งแรก แหวนตกไปอยู่ในมือของอิซิลดูร์, กอลลัม, บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ก่อนที่โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ผู้ถือแหวนคนสุดท้ายจะนำแหวนไปทำลายที่ภูเขามรณะ

จารึกบนแหวน
แหวนเอกธำมรงค์มีลักษณะเป็นแหวนทองเกลี้ยง มีอักขระเทงกวาร์ของพวกเอลฟ์จารึกไว้ในภาษาแบล็กสปีช อ่านได้ดังนี้
Ash nazg durbatuluk, ash nazg gimbatul, ash nazg thrakatuluk, agh burzum-ishi krimpatul.

ความหมายของคำจารึกข้างต้นคือ
One Ring to rule them all, One Ring to find them, One Ring to bring them all and in the darkness bind them.
(วงเดียวเพื่อครองพิภพ วงเดียวเพื่อค้นพบจบหล้า วงเดียวเพื่อสาปสิ้นทุกวิญญาณ์ พันธนาไว้ในความมืดมน)

คำจารึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทกลอนโบราณของพวกเอลฟ์ ซึ่งมีเนื้อความเต็มคือ
--------แหวนสามวงแด่กษัตริย์พรายใต้แผ่นฟ้า
--------เจ็ดวงแด่เจ้าชาวแคระในท้องพระโรงศิลา
--------เก้าวงนั้นหนาแด่มนุษย์ผู้ไร้นิรันดร์
--------วงเดียวแด่เจ้าแห่งอสูรผู้ครองบัลลังก์ดำ
--------ในแดนมรณะแห่งมอร์ดอร์
--------วงเดียวเพื่อครองพิภพ วงเดียวเพื่อค้นพบจบหล้า
--------วงเดียวเพื่อสาปสิ้นทุกวิญญาณ์ พันธนาไว้ในความมืดมน
--------ในแดนมรณะแห่งมอร์ดอร์



แหวนแห่งอำนาจ

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/7/79/Ringsofpower.jpg

--------แหวนแห่งอำนาจในเรื่องมีทั้งหมด 20 วง สร้างขึ้นในยุคที่สองของมิดเดิลเอิร์ธ โดยเอลฟ์ช่างผู้มีฝีมือเป็นเลิศแห่งนครเอเรกิออน นามว่า เคเลบริมบอร์ (Celebrimbor) ผู้เป็นหลานของเฟอานอร์ ได้สร้างแหวนขึ้นสำหรับมนุษย์และคนแคระเป็นเบื้องแรก จำนวน 16 วง ภายใต้การกำกับดูแลและถ่ายทอดความรู้จากเซารอน ซึ่งจำแลงร่างมาในนาม 'อันนาทาร์' (ชื่อนี้แปลว่า 'เจ้าแห่งของกำนัล') เคเลบริมบอร์ยังสร้างแหวนสำหรับพวกเอลฟ์ขึ้นอีก 3 วง โดยที่เซารอนมิได้รู้เห็นในการสร้างนั้น เหตุนี้แหวนเอลฟ์ทั้งสามจึงบริสุทธิ์จากอำนาจชั่วร้าย
หลังจากนั้น เซารอนได้ลอบสร้างแหวนวงสุดท้ายที่ชื่อ แหวนเอกธำมรงค์ (The One Ring) โดยใช้ไฟจากภูเขามรณะ (เมาท์ดูม) ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางอาณาจักรมอร์ดอร์ โดยแบ่งพลังบางส่วนของเขาลงไปด้วย จึงทำให้เป็นแหวนที่มีอำนาจสูงสุด สามารถมีอำนาจเหนือจิตใจของผู้สวมแหวนแห่งอำนาจที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ภายใต้การกำกับของเขา ดังนั้นเซารอนจึงมีอำนาจเหนือแหวนแห่งคนแคระ และแหวนแห่งมนุษย์ ทว่าเขาไม่สามารถบังคับแหวนแห่งเอลฟ์ได้ เพราะเขาไม่มีส่วนในการสร้างแหวนทั้งสาม อย่างไรก็ดี เนื่องจากแหวนเอลฟ์ทั้งสามถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยความรู้จากเซารอน ดังนั้นหากแหวนเอกธำมรงค์ถูกทำลายไป อำนาจของแหวนเอลฟ์ก็จะสลายไปด้วย

แหวนทั้ง 20 วงมีดังนี้

*แหวนเอกธำมรงค์

*แหวนเอลฟ์ทั้งสาม
--------แหวนสามวงดังกล่าวเป็นแหวนที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอันดับท้ายสุด ซึ่งเป็นแหวนที่เซารอนปรารถนาจะครอบครองมากที่สุด เพราะผู้ที่ครอบครองมันจะสามารถชะลอความเสื่อมถอยของกาลเวลา และยืดเวลาจากความเหนื่อยล้าที่มีต่อโลก แต่ว่าเซารอนค้นหาพวกมันไม่พบ เนื่องจากมันถูกส่งไปอยู่ในมือของเหล่าผู้ทรงปัญญา ผู้เก็บซ่อนมันเอาไว้และไม่เคยใช้มันอย่างเปิดเผย ในขณะที่เซารอนมีแหวนประมุขอยู่ ดังนั้นแหวนทั้งสามวงจึงยังคงอยู่โดยไร้มลทิน เป็นเพราะว่า เคเลบริมบอร์ เป็นผู้สร้างพวกมันขึ้นมาเองแต่เพียงผู้เดียว มือของเซารอนไม่เคยได้สัมผัส แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ยังคงเป็นแหวนบริวารของเอกธำมรงค์เช่นเดียวกัน ประกอบด้วย
--------นาร์ย่า (Narya) หรือ แหวนแห่งไฟ ใช้อัญมณีสีแดง ถือครองโดยเคียร์ดัน พรายนักต่อเรือแห่งเกรย์เฮเวนส์ ภายหลังเคียร์ดันได้มอบให้กับแกนดัล์ฟเมื่อแกนดัล์ฟเดินทางมาถึงมิดเดิลเอิร์ธ
--------เนนย่า (Nenya) หรือ แหวนแห่งน้ำ ใช้อัญมณีสีขาว ส่วนตัวแหวนสร้างจากมิธริล ถือครองโดยกาลาเดรียล ปรากฏในเรื่องช่วงที่โฟรโด แบ๊กกิ้นส์และเพื่อนเดินทางไปถึงลอธลอริเอน
--------วิลย่า (Vilya) หรือ แหวนแห่งท้องฟ้า ใช้อัญมณีสีน้ำเงิน เดิมถือครองโดยกิลกาลัดและเมื่อสิ้นชีวิตจึงส่งมอบต่อเอลรอนด์ เป็นแหวนที่มีอำนาจมากที่สุดในแหวนทั้งสาม

*แหวนคนแคระทั้งเจ็ด
--------เป็นแหวนที่พวกเอลฟ์มอบให้แก่เผ่าคนแคระ (ไม่มีระบุในตำนานว่า พวกเอลฟ์มอบแหวนให้คนแคระอย่างไร) แหวนกลุ่มนี้ไม่มีพลังในทางชั่วร้าย แหวนทั้งเจ็ดของคนแคระนั้น เป็นแหวนที่ถูกสร้างขึ้นมาตามการควบคุมของเซารอน เช่นเดียวกับแหวนทั้งเก้าของมนุษย์ ตัวแหวนทำด้วยทองคำ หัวแหวนประดับด้วยอัญมณีแตกต่างกันไปแต่ละวง แหวนหนึ่งในเจ็ดถูกสร้างขึ้นมาก่อนแหวนวงอื่น และช่างเอลฟ์ก็ได้มอบให้กับ ดูรินที่สาม กษัตริย์แห่งคาซัดดูม อาณาจักรของคนแคระ ส่วนแหวนอีกหกวงที่เหลือนั้นเซารอนเป็นผู้มอบให้กับกษัตริย์ของคนแคระต่างๆ ด้วยมือของตนเอง พลังของแหวนทำให้ผู้ครอบครองมั่งคั่งร่ำรวยมากขึ้น แต่แหวนทำให้ความโลภอยู่เหนือทุกสิ่งในจิตใจของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามแผนการของเซารอน ที่หวังจะให้บรรดากษัตริย์ตกเป็นทาสของแหวน ไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากคนแคระนั้นแข็งกร้าวและดื้อด้าน พวกเขาจะต่อต้านการครอบงำของผู้อื่นจนถึงที่สุด ยิ่งกว่านั้นความคิดจิตใจของพวกคนแคระก็ยากจะหยั่งถึง พอๆ กับที่ไม่สามารถทำให้กลายเป็นเงามืดได้ พวกเขาจะใช้แหวนเพียงเพื่อการค้นหาความมั่งคั่งเท่านั้น ดังนั้นพวกคนแคระจึงไม่กลายเป็นภูตแหวนเหมือนกับมนุษย์ เซารอนจึงคิดที่จะรวบรวมเอาแหวนคืนจากพวกเขา เซารอนชิงแหวนคืนมาได้สองวง อีกสี่วงถูกทำลายและถูกกินโดยมังกร ส่วนหนึ่งวงที่เหลืออยู่นั้นถูกเก็บเป็นความลับไว้ที่คาซัดดูม และสืบต่อมาเรื่อยจนกระทั่งถูกพวกออร์คโจมตี พร้อมกับการหายไปของแหวนวงสุดท้าย แต่ความจริงก็ปรากฏว่าแหวนนั้นถูกสืบทอดให้ทายาทก่อนที่คาซัดดูมจะพินาศ จนในที่สุดเซารอนก็พบผู้ครอบครอง และได้แหวนคืนที่โดลกุลดัวร์

*แหวนมนุษย์ทั้งเก้า
--------เป็นแหวนที่พวกเอลฟ์มอบให้กับราชามนุษย์เก้าองค์ ภายหลังผู้ที่ได้รับแหวนได้ชีวิตอมตะ กลายเป็นภูตแหวน (Ringwraith) และภักดีต่อเซารอน

shisaku
4th August 2012, 20:35
เผ่าพันธ์ที่ปรากฎใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

มนุษย์

http://www.compleatseanbean.com/lotr-4a.jpg

--------มนุษย์ ตามความหมายในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพอิลูวาทาร์ โดยสร้างขึ้นภายหลังเผ่าพันธุ์เอลฟ์ จึงได้ชื่อว่าเป็น บุตรคนเล็กแห่งอิลูวาทาร์
--------เหตุการณ์ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นเหตุการณ์ในตอนท้ายของยุคสมัยอันรุ่งเรืองของพวกเอลฟ์ เมื่อพ้นจากยุคของเอลฟ์แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงรุ่งเรืองขึ้นและได้ครอบครองโลกทั้งหมดดังเช่นปัจจุบัน
--------มนุษย์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่อายุน้อยที่สุดในโลกอาร์ดา (อาจเว้นไว้แต่เพียงฮอบบิท) มนุษย์คนแรกตื่นขึ้นที่ริมชายฝั่งด้านตะวันออกของอ่าวฮิลโดริเอน ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางดินแดนตะวันออกของมิดเดิ้ลเอิร์ธ เวลานั้นเป็นเวลาที่ดวงตะวันลอยล่องขึ้นสู่ท้องฟ้าของอาร์ดาเป็นครั้งแรกทางทิศตะวันตก มนุษย์จึงเห็นดวงตะวันเป็นสิ่งแรก และรักในแสงสว่าง พวกเขาจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า บุตรแห่งตะวัน
--------ในยุคโบราณกาล มนุษย์ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ทางฟากตะวันออกของเทือกเขามิสตี้ และถูกรังควานจากสมุนของมอร์กอธอยู่เสมอ มนุษย์กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยสามตระกูลใหญ่จึงออกเดินทางมายังทิศตะวันตก จนได้พบกับพวกเอลฟ์ ที่ดินแดนเบเลริอันด์ ทางตะวันตกของเทือกเขาสีน้ำเงิน
มนุษย์สามตระกูลใหญ่ประกอบด้วย
*ตระกูลของเบออร์ - เป็นต้นตระกูลของเบเรน ซึ่งเป็นบรรพชนของเอลวิง ภรรยาของ เออาเรนดิล
*ตระกูลชาวฮาลาดิน - เป็นต้นตระกูลของ ทูออร์ ผู้เป็นบิดาของเออาเรนดิล
*ตระกูลของมารัค - ตระกูลฝ่ายมารดาของ ทูออร์
--------มนุษย์ทั้งสามตระกูลใหญ่นี้ เรียกรวมกันว่าชาวเอไดน์ เป็นบรรพชนของเอลรอส ทาร์-มินยาทัวร์ กษัตริย์องค์แรกของชาวนูเมนอร์
หลังจากมนุษย์ได้พบกับพวกเอลฟ์ ก็ได้มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน และได้ร่วมเป็นสหายศึกในการสงครามต่อต้านมอร์กอธ หลังจากสงครามแห่งความโกรธา เมื่อครั้งสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง แผ่นดินเบเลริอันด์จมลงสู่ทะเล เทพวาลาร์ ตอบแทนความดีความชอบของเหล่ามนุษย์ ด้วยการสร้างเกาะขึ้นกลางมหาสมุทรและยกให้เป็นของขวัญ ชื่อเกาะนั้นว่า นูเมนอร์
--------หลังจากเกิดเหตุวิบัติจนเกาะนูเมนอร์จมลงสู่ทะเล (ดูใน อคัลลาเบธ) เอเลนดิลได้พาชาวนูเมนอร์จำนวนหนึ่งหนีมาขึ้นฝั่งมิดเดิ้ลเอิร์ธได้ และก่อตั้งอาณาจักรอาร์นอร์ และกอนดอร์ สืบต่อมา


เอลฟ์

http://www.youthink.com/quiz_images/quiz380outcome1.jpg

--------เอลฟ์ (อังกฤษ: Elf) ตามความหมายในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพอิลูวาทาร์ มีชีวิตยืนยาวเท่ากับอายุของโลก จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็นอมตะ คำว่า 'เอลฟ์' (Elf) เป็นคำที่โทลคีนเลือกมาจากตำนานโบราณเพื่อใช้แทนคำศัพท์แท้จริงอันเป็นชื่อของชนเผ่านี้ คือ เอลดาร์ (Eldar) ซึ่งเป็นคำในภาษาเควนยา หมายถึง 'ประชากรแห่งแสงดาว'
--------โทลคีนมักกล่าวเสมอว่า การตั้งชื่อต่างๆ ในผลงานของเขา มีเหตุจากรากฐานของเสียงและคำศัพท์ในภาษาเฉพาะที่เขาประดิษฐ์ขึ้น คือภาษาเควนยา และภาษาซินดาริน อย่างไรก็ดีคำศัพท์เหล่านั้นมักพ้องเสียงกับรูปภาษาโบราณอื่นๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า (Old English) การศึกษาผลงานของโทลคีนโดยพิจารณารากศัพท์ในภาษาอังกฤษเก่า ช่วยให้เข้าใจจุดมุ่งหมายในการประพันธ์ของโทลคีนมากขึ้น
--------เอลฟ์ ในผลงานของโทลคีน สื่อถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ ความทรงภูมิปัญญา และความดีงามของโลก ซึ่งส่วนหนึ่งสืบทอดไหลเวียนอยู่ในร่างกายมนุษย์ โทลคีนสื่อความหมายนี้โดยการประพันธ์ให้เผ่าพันธุ์เอลฟ์ ได้วิวาห์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์ในยุคหลังจึงมีสายเลือดของเอลฟ์ผสมอยู่

กำเนิดของเอลฟ์
--------ตามปกรณัมของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน การตื่นของเอลฟ์ เป็นจุดเริ่มต้นนับยุคที่หนึ่งของยุคแห่งพฤกษา
พวกเอลฟ์เล่าสืบต่อกันมาว่า พวกเขาตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในดินแดนไกลโพ้นทางฟากตะวันออกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธ กลุ่มที่ตื่นขึ้นเป็นกลุ่มแรกคือชาววันยาร์ กลุ่มที่สองคือ โนลดอร์ และกลุ่มที่สามคือชาวเทเลริ เวลานั้นโลกอาร์ดายังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว พวกเอลฟ์จึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น
--------เมลคอร์ เป็นคนแรกที่ล่วงรู้ถึงการตื่นของเหล่าเอลฟ์ จึงลอบมาทำร้ายและจับตัวพวกเอลฟ์ไปทรมาน บ้างเชื่อกันว่านี่เป็นที่มาของพวกออร์ค คือการที่เมลคอร์เอาตัวพวกเอลฟ์ไปทรมานจนวิกลวิการ เป็นการทำลายสิ่งประดิษฐ์แสนวิเศษของอิลูวาทาร์
--------เมื่อเทพโอโรเมเสด็จประพาสมิดเดิลเอิร์ธคราวหนึ่ง จึงมาพบพวกเอลฟ์เข้า เหล่าวาลาร์ จึงมีดำริให้ชักชวนพวกเอลฟ์ให้เดินทางไปอยู่ด้วยกันกับพวกพระองค์ที่วาลินอร์ เพื่อให้รอดพ้นจากการรังควานของเมลคอร์ เกิดเป็นการอพยพครั้งใหญ่ของเอลฟ์ ซึ่งเป็นจุดแบ่งกลุ่มตระกูลของเอลฟ์อีกมากมายในเวลาต่อมา

การแบ่งชาติพันธุ์ของเอลฟ์
--------เอลฟ์แบ่งได้เป็นกลุ่มดังต่อไปนี้
แบ่งตามการเข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่
*อวาริ : 'ผู้ปฏิเสธ' คือพวกที่ไม่ได้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่
*เอลดาร์ : เอลฟ์แห่งแสงดาว ซึ่งเดิมเป็นชื่อเรียกเอลฟ์ทั้งหมด ต่อมาใช้เรียกพวกที่เข้าร่วมการเดินทางเท่านั้น
แบ่งตามการเดินทางไปถึงอามัน
*อามันยาร์ : เอลฟ์ที่ไปถึงอามัน
*อูมันยาร์ : เอลฟ์ที่ไปไม่ถึงอามัน
แบ่งตามการได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
*คาลาเควนดิ : เอลฟ์แห่งแสงสว่าง คือพวกที่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
*มอริเควนดิ : เอลฟ์แห่งความมืด คือพวกที่ไม่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา

ตระกูลต่าง ๆ
*วันยาร์
*โนลดอร์
*เทเลริ

ภาษา
--------โทลคีนเป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์ เขาได้ประดิษฐ์คิดค้นภาษาเอลฟ์ขึ้นจนสามารถใช้งานได้จริง มีไวยากรณ์และคำศัพท์มากพอจะใช้งานในชีวิตประจำวันได้ คือภาษาเควนยา และภาษาซินดาริน ซึ่งในนิยายของเขาระบุว่าทั้งสองภาษาเป็นภาษาที่เอลฟ์ในมิดเดิลเอิร์ธใช้งานกันเป็นภาษาหลัก
--------แต่โทลคีนยังประดิษฐ์ภาษาเอลฟ์ไว้อีกเป็นจำนวนมาก บางภาษาก็มีเพียงโครงร่างไวยากรณ์เท่านั้น หากว่าตามเนื้อเรื่องในจินตนิยาย เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ก็สามารถอธิบายได้ดังนี้ - เมื่อแรกที่พวกเอลฟ์ตื่นขึ้นที่คุยวิเอเนน พวกเขาสื่อสารกันด้วยภาษาเควนเดียนโบราณ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภาษาเอลฟ์ทั้งปวง ต่อมาเมื่อพวกเอลฟ์อพยพแยกย้ายกันไปอยู่ในดินแดนต่างๆ จึงมีการพัฒนาทางภาษาของแต่ละกลุ่มแตกต่างกันออกไป

*** ภาษาเอลฟ์ ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ สามารถใช้งานได้จริงนะครับ ใครอยากเรียนภาษาเอลฟ์ ก็ลองไปศึกษาดูนะครับ ***



ออร์ค

http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSHUUsOgW5jy0dteOJqHyF3gZjrbzLA_g681AvtP0KW3qShSExr0ikKsEcQ

--------ออร์ค (Orc) หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างวิกลวิการ วิปริต จิตใจชั่วช้า เป็นสมุนของเทพฝ่ายมารนับแต่อดีต ได้แก่ มอร์กอธ และ เซารอน
--------ความเป็นมาของออร์คนั้นไม่แน่ชัด แต่ตำนานหนึ่งเชื่อว่า นับแต่สมัยโบราณกาลในยุคที่หนึ่ง มอร์กอธแอบจับตัวพวกเอลฟ์ ไปทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ จนกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิปริต และดัดแปลงพันธุกรรมเสียใหม่ ด้วยความเคียดแค้นชิงชังในตัวพวกเอลฟ์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแสนวิเศษที่ เอรู อิลูวาทาร์ทรงสร้างขึ้น
--------พวกออร์คเรียกกันเป็นหลายชื่อ และยังมีเผ่าพันธุ์ย่อยอีกหลายเผ่าพันธุ์ ในเรื่อง เดอะฮอบบิท มักเรียกพวกออร์คว่า กอบลิน (Goblin) พวกเอลฟ์เรียกชนกลุ่มนี้ว่า อีร์ค (Yrch) แต่โทลคีนถอดความมาเป็นภาษาอังกฤษโดยเลือกใช้ชื่อสิ่งมีชีวิตโบราณในเทพนิยายมาใช้เป็น ออร์ค
--------พวกออร์คส่วนใหญ่กลัวแสงแดด จึงมักหลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลากลางวัน ในยามที่มอร์กอธหรือเซารอนต้องใช้กองทัพออร์คออกไปปฏิบัติการ จึงมักสร้างหมอกทึบเมฆดำปกคลุมผืนฟ้า เพื่อให้กองทัพออร์คเดินทางได้โดยสะดวก
ในยุคที่สาม ซารูมานได้ผสมพันธุ์พวกออร์คขึ้นใหม่ ให้มีความทนทานต่อแสงอาทิตย์ และมีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง มีชื่อเรียกว่า พวก อูรุกไฮ

กอบลิน

http://cdn.screenrant.com/wp-content/uploads/A-goblin-in-Lord-of-the-Rings.jpg

--------เป็นพันธุ์หนึ่งของเผ่าออร์คที่มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก มักอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ภูเขา เช่นในเทือกเขามิสตี้ ใจกลางอาณาจักรของพวกมันอยู่ใกล้ๆ กับไฮพาส ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้เดินทางจากฟากตะวันออกไปยังทิศตะวันตกเพียงเส้นเดียวในเขตเหนือ กว่าจะถึงช่วงเวลาที่พันธมิตรแห่งแหวนได้เคลื่อนย้ายออกจากริเวนเดลล์ เหล่ากอบลินก็ได้แพร่กระจายไปไกลถึงมอเรีย โดยเข้ายึดซากปรักหักพังของเผ่าคนแคระที่ทำให้บัลร็อกตื่น นักรบกอบลินสามารถปีนผนังถ้ำด้วยความง่ายดายและยังมองเห็นได้ในความมืดสนิท พวกมันได้จัดอาวุธและชุดเกราะจากวัสดุที่ค้นเจอภายในซากอาคารของคนแคระ และในที่สุดก็ได้รวมกำลังกับซารูมาน แม้จะเป็นเสมือนเพียงทาสของพ่อมดผู้นี้ ซึ่งต่างจากเผ่าอุรุกไฮ ที่แกร่งกว่า



ฮอบบิท

http://img.kapook.com/image/variety2/hobbit3.jpg

--------ฮอบบิทเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีขนาดย่อมกว่า และไม่ล่ำบึกบึนเหมือนอย่างคนแคระ เนื่องจากฮอบบิทมีขนาดราวครึ่งหนึ่งของมนุษย์ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฮาล์ฟลิง (Halfling) พวกเอลฟ์เรียกเขาว่า เพเรียนนัธ (Periannath) แต่พวกฮอบบิทเรียกตัวเองว่า คูดุค (Kuduk) ส่วนคำว่า ฮอบบิท มีที่มาจากคำในภาษาโรเฮียริคว่า โฮลบีตลาน (Holbytlan) ซึ่งหมายถึง ผู้อยู่ในโพรง
ฮอบบิทมีภาษาพูดของตนเอง เรียกว่า ภาษาฮอบบิติช เป็นภาษาในตระกูลเดียวกันกับภาษาโรเฮียริค เนื่องจากถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวฮอบบิทกับชาวโรเฮียริมอยู่ใกล้เคียงกัน
--------ในบทนำของเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ระบุว่า ฮอบบิทส่วนใหญ่มีความสูงประมาณ 2-4 ฟุต ความสูงเฉลี่ย 3 ฟุต 6 นิ้ว มีอายุเฉลี่ยราว 100 ปี (สูงสุดประมาณ 130 ปี) เท้าเป็นขนและเดินได้เงียบ ปลายหูแหลม อาศัยอยู่ในโพรง ชอบการกินอาหาร ชอบการละเล่นและความสนุกสนาน เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ อายุยืนกว่ามนุษย์ธรรมดา ถ้าฮอบบิทอายุได้ 33 ปี จะเทียบกับมนุษย์ได้ 21 ปี เมื่อนั้นจึงจะถือว่าฮอบบิทคนนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ฮอบบิทกินอาหารถึงวันละ 7 มื้อ ได้แก่ มื้อเช้า, มื้อหลังเช้า, มื้อ 11 โมง, มื้อเที่ยง, มื้อน้ำชา, มื้อเย็น และมื้อดึก ทั้งนี้ไม่รวมของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทานได้ตลอดทั้งวัน ฮอบบิททานอาหารได้ทุกประเภท แต่ที่โปรดปรานที่สุดคือ เห็ด และเหล้าเอล
--------เผ่าพันธุ์ฮอบบิทเป็นผู้ชำนาญการด้านยาสูบ ดินแดนของพวกเขาเป็นแหล่งผลิตยาสูบชั้นดีที่สุดของมิดเดิลเอิร์ธ และพวกฮอบบิทก็ชอบใช้กล้องสูบยาด้วย
--------แต่เดิมชาวฮอบบิทอาศัยอยู่ในหุบเขาแถบลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ระหว่างป่าใหญ่กรีนวู้ดกับเทือกเขามิสตี้ พวกเขามีด้วยกันทั้งหมดสามชนชาติ คือพวก ฮาร์ฟุต, สตัวร์ และ ฟอลโลไฮด์ พวกฮาร์ฟุตเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด และมีลักษณะโดยทั่วไปเหมือนอย่างฮอบบิทที่บรรยายไว้ในหนังสือของโทลคีน พวกเขาชอบอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน หรือที่เรียกว่า สไมอัลด์ ตั้งถิ่นฐานอยู่บนไหล่เขาของฮิธายเกลียร์ พวกสตัวร์มีจำนวนรองลงมา ชอบอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ นิยมการแล่นเรือและจับปลา ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบทุ่งแกลดเดน ส่วนพวกฟอลโลไฮด์มีจำนวนน้อยที่สุด ว่ากันว่าฮอบบิทกลุ่มนี้มีรูปร่างสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ และรักการผจญภัย มักเป็นผู้นำอยู่ในชุมชนเสมอ เช่นพวกตระกูลตุ๊ก และตระกูลแบรนดี้บั๊ก ก็มีสายเลือดของพวกฟอลโลไฮด์
--------ในปีที่ 1601 ของยุคที่สาม ฮอบบิทชาวฟอลโลไฮด์สองคน ชื่อว่า มาร์โค และ บลังโค ได้รับพระราชานุญาตจากกษัตริย์แห่งอาร์นอร์ เดินทางข้ามแม่น้ำบารันดูอินไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ เป็นอาณาจักรของชาวฮอบบิทเอง ชื่อว่า ไชร์ โดยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอาร์นอร์ ฮอบบิทจำนวนมากได้อพยพตามพวกเขาไป นอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งที่ลงหลักปักฐานที่เมืองบรี นับเป็นเมืองสำคัญของพวกฮอบบิทอีกเมืองหนึ่ง
--------ในการสงครามระหว่างอาณาจักรอาร์นอร์กับอังก์มาร์ ฮอบบิทได้ส่งพลธนูไปช่วยศึกด้วย หลังจากอาณาจักรอาร์นอร์สิ้นสลาย พวกฮอบบิทก็เลือกผู้นำของตนขึ้นมาเอง เรียกว่า 'เธน' เธนคนแรกของไชร์คือ บัคคา ต้นตระกูลโอลด์บั๊ก ภายหลังตระกูลโอลด์บั๊กอพยพข้ามแม่น้ำแบรนดี้ไวน์ (บารันดูอิน) กลับไปทางตะวันออก ตั้งดินแดนของตนขึ้นใหม่ในเขตบั๊กแลนด์ และเปลี่ยนชื่อตระกูลเป็น แบรนดี้บั๊ก ผู้นำตระกูลเรียกว่า ประมุขแห่งบั๊กแลนด์ ชาวฮอบบิทแห่งไชร์จึงเลือกตระกูล 'เธน' ขึ้นมาใหม่ ได้แก่ตระกูลตุ๊ก (เปเรกริน ตุ๊ก ก็เป็นบุตรของเธนแห่งไชร์ ในภายหลังเขาได้ขึ้นเป็นเธนแห่งไชร์ด้วย) เธนมีหน้าที่ด้านการทหาร การป้องกันและปราบปรามความรุนแรง ซึ่งไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนักในอาณาจักรไชร์ของฮอบบิทผู้รักสงบ หน้าที่ส่วนใหญ่ในไชร์ตกเป็นของนายกเทศมนตรี ซึ่งจะมีการเลือกตั้งทุกๆ 7 ปี อันได้แก่ การจัดการเฉลิมฉลองพืชผัก การไปรษณีย์ (พวกฮอบบิทชอบเขียนจดหมายมาก) และเป็นประธานในงานรื่นเริงต่างๆ เป็นต้น



คนแคระ

http://thearmitageeffect.files.wordpress.com/2012/06/g20420.jpg

--------คนแคระ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเล็กเตี้ย แต่ล่ำสันแข็งแรง ทรหดอดทน มีหนวดเครายาวเฟิ้ม เป็นชนเผ่าที่ชำนาญในการช่างมากที่สุด พวกเขาเป็นมิตรอย่างมากกับพวกฮอบบิท พวกคนแคระเรียกตัวเองว่า คาซัด อันเป็นชื่อที่เทพอาวเลตั้งให้กับพวกเขา แต่พวกเอลฟ์เรียกพวกเขาว่า เนากริม ซึ่งมีความหมายว่า ชนผู้ไม่เติบโตอีกต่อไป
--------คนแคระมีบทบาทอยู่ในวรรณกรรมของโทลคีนหลายเรื่อง ได้แก่ เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน ตำนานบุตรแห่งฮูริน รวมถึงงานเขียนอื่นๆ ของคริสโตเฟอร์ โทลคีนด้วย คือ Unfinished Tales และ ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ

--------ในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน 'คนแคระ' เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่ได้เกิดจากการสร้างสรรค์ของมหาเทพอิลูวาทาร์ แต่เกิดขึ้นจากการสร้างของวาลา นามว่า อาวเล ผู้เป็นเทพแห่งการช่าง เนื่องจากไม่สามารถอดทนรอการมาถึงของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ได้ แต่ต่อมามหาเทพอิลูวาทาร์ก็รับเหล่าคนแคระเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรม โดยมีข้อแม้ให้พวกเขาต้องนอนหลับอยู่ใต้ภูเขาก่อน จนกว่าบุตรผู้ใหญ่ของพระองค์ คือพวกเอลฟ์ จะตื่นขึ้นมาบนโลก
อาวเลสร้างคนแคระขึ้นในยุคที่เมลคอร์กำลังเรืองอำนาจสร้างความวุ่นวายอยู่บนพิภพ ดังนั้นพระองค์จึงสร้างให้คนแคระมีความทรหดอดทน ไม่ตกอยู่ในอำนาจชั่วร้ายโดยง่าย พวกคนแคระนับถือเทพอาวเลเป็นบิดาของตน และเชื่อกันว่า หลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว พวกเขาจะได้ไปอยู่ในท้องพระโรงของเทพอาวเล เพื่อคอยรับใช้พระองค์และร่วมในการรบครั้งสุดท้ายของอาร์ดา
--------เหล่าคนแคระที่เทพอาวเลสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก มีจำนวนเจ็ดคน เรียกชื่อรวมกันในยุคต่อมาว่า บิดาของคนแคระ ในจำนวนนี้ ดูรินผู้อมตะ (Durin the Deathless) เป็นคนแคระที่มีอาวุโสสูงสุด ดูรินเป็นผู้บุกเบิกก่อตั้งอาณาจักรคนแคระแห่งแรกบนโลก ที่คาซัดดูม มหานครใต้ขุนเขาฮิธายเกลียร์ เขาเป็นต้นตระกูลของคนแคระสายวงศ์ ลองเบียร์ด (Longbeard)
--------ต้นตระกูลคนแคระอีกสองคน เดินทางไปตั้งอาณาจักรของตนที่ทางตะวันตกของมิดเดิลเอิร์ธ โดยตั้งนครอยู่ในเทือกเขาเอเร็ดลูอิน พรมแดนตะวันออกของแผ่นดินเบเลริอันด์ ได้แก่ อาณาจักรโนกร็อด และเบเลกอสต์ เป็นต้นตระกูลของคนแคระในสายวงศ์ ไฟร์เบียร์ด (Firebeard) และ บรอดบีม (Broadbeam) ตามลำดับ ต้นตระกูลคนแคระอีกสี่คนที่เหลือ เดินทางไปตั้งอาณาจักรทางดินแดนตะวันออกไกลของมิดเดิลเอิร์ธ ไกลจนถึงเทือกเขาโอโรคาร์นิ คนแคระทั้งสี่นี้เป็นต้นตระกูลของคนแคระในสายวงศ์ ไอรอนฟิสต์ (Ironfist), สติฟเบียร์ด (Stiffbeard), แบล็คล็อก (Blacklock) และ สโตนฟุต (Stonefoot) พลเมืองในสายวงศ์เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏบทบาทในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ


http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7c/Cirth.png/220px-Cirth.png
--------ภาษาของคนแคระคือ คุซดุล (Khuzdul) เป็นภาษาที่พวกเขาใช้เจรจากันเองเป็นการภายใน และไม่ยอมสอนให้กับเผ่าพันธุ์อื่นได้เรียนรู้ โดยพวกเขายอมที่จะไปศึกษาภาษาของพวกเอลฟ์เสียเอง
--------คนแคระถนัดใช้ขวานเป็นอาวุธมากที่สุด แต่ก็สามารถสร้างอาวุธชั้นดีอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก พวกเขานิยมตั้งอาณาจักรอยู่ใต้ภูเขา จึงไม่สามารถทำการเกษตรได้ อาหารของพวกเขาได้มาจากการทำการค้าแลกเปลี่ยนกับพวกเอลฟ์ ในยุคแรกคนแคระมีสัมพันธภาพอันดีกับพวกเอลฟ์ บุกเบิกทำการค้ากับพวกเอลฟ์มาตั้งแต่สมัยยุคที่หนึ่ง ได้สร้างอาวุธชั้นดีให้กับพวกเอลฟ์เป็นจำนวนมาก แต่ภายหลังเกิดเหตุขัดแย้งวิวาทกันด้วยอำนาจของดวงมณีซิลมาริลที่ประดับอยู่บนสร้อยพระศอเนากลาเมียร์ เกิดสงครามแย่งชิงซิลมาริลระหว่างคนแคระกับเอลฟ์แห่งอาณาจักรโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล และกลายเป็นรอยด่างพร้อยระหว่างชาติพันธุ์ทั้งสองมาโดยตลอด



พ่อมด

http://images3.wikia.nocookie.net/__cb57524/lotr/images/c/c3/Istari.jpg

--------อันที่จริงแล้ว เหล่าพ่อมดนี้เป็นเทพไมอาร์ ซึ่งเป็นดวงจิตไอนัวร์ ชั้นรองลงมาจากเทพวาลาร์ ปวงเทพส่งเหล่าอิสทาริมายังมิดเดิลเอิร์ธ เพื่อให้ช่วยเหลือมนุษย์และสรรพสัตว์ต่างๆ ให้รอดพ้นจากเงื้อมเงาอันชั่วร้ายของเซารอน โดยให้จำแลงร่างมาอยู่ในร่างของมนุษย์ผู้ชรา เทพไมอาร์ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นอิสทาริ ประกอบด้วย
*คูรูโม (Curumo) ชื่อของเขามีความหมายว่า "ผู้เปี่ยมทักษะ" เมื่ออยู่บนมิดเดิลเอิร์ธ ผู้คนเรียกเขาว่า "ซารูมาน" และ "คูรูเนียร์" พ่อมดขาว
*โอโลริน (Olorin) ชื่อของเขามีความหมายว่า "ผู้มีฝัน" เมื่ออยู่บนมิดเดิลเอิร์ธ ผู้คนเรียกเขาว่า "แกนดัล์ฟ" และ "มิธรันเดียร์" พ่อมดเทา
*ไอเวนดิล (Aiwendil) ชื่อของเขามีความหมายว่า "ผู้รักในวิหค" เป็นที่รู้จักบนมิดเดิลเอิร์ธในชื่อ "ราดากัสต์" หรือพ่อมดสีน้ำตาล
*อลาทาร์ (Alatar) พ่อมดสีน้ำเงิน ซึ่งเดินทางไปยังดินแดนตะวันออกของมิดเดิลเอิร์ธ และไม่มีบทบาทในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
*พัลลันโด (Pallando) พ่อมดสีน้ำเงิน ซึ่งเดินทางไปยังดินแดนตะวันออกของมิดเดิลเอิร์ธ และไม่มีบทบาทในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
--------เหล่าพ่อมดเดินทางมาถึงมิดเดิลเอิร์ธในราวปีที่ 1000 ของยุคที่สาม ในช่วงที่ป่าใหญ่กรีนวู้ดตกอยู่ในเงามืด และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นป่าเมิร์ควู้ด พวกเขามีสีประจำตัวซึ่งเชื่อว่าสืบเนื่องมาจากเสื้อคลุมของพวกเขานั่นเอง และผู้สวมอาภรณ์ขาว ดูเหมือนจะได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ในช่วงแรกๆ ซารูมานจึงมีบทบาทสูงมาก ภายหลังแกนดัล์ฟได้กลายเป็นพ่อมดขาวแทนที่ และขับไล่ซารูมานออกจากคณะของอิสทาริ
--------การที่เหล่าพ่อมดจำแลงร่างมาเป็นชายชรา ก็เพื่อให้เป็นไปตามประสงค์ของปวงเทพ คือให้พวกเขามาทำหน้าที่ "เกลี้ยกล่อม" และ "สร้างความกล้าหาญ" ให้มนุษย์รู้จักการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง แต่จะไม่ชักนำให้เหล่ามนุษย์ดำเนินการใดๆ โดยการใช้อำนาจหรือข่มขู่บังคับ ทั้งนี้เพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์มาแล้วในการชักนำให้เหล่าเอลฟ์ อพยพจากถิ่นกำเนิดของตนเดินทางไปยังแดนอมตะ แล้วเหล่าเทพก็ต่อสู้กับเจ้าแห่งความมืดเพื่อพวกเขา แต่การณ์ต่อมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่ปวงเทพทำลงไปไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะเกิดสงครามขึ้นอีกมากมายหลังจากนั้น โดยเฉพาะสงครามระหว่างเอลฟ์ด้วยกันเอง ด้วยเหตุนี้เหล่าเทพจึงไม่ประสงค์จะเข้าไปรบกวนชะตาของเหล่ามนุษย์ด้วยการกระทำตามใจของตน จะทำเพียงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาให้สามารถเลือกชะตาชีวิตของตนได้เองเท่านั้น ซารูมานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ เพราะเขากลับประสงค์จะตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นต่อต้านอำนาจของเซารอนเสียเอง แต่แกนดัล์ฟยังคงซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนได้แม้จนวาระสุดท้าย
--------เรื่องราวของเหล่าพ่อมดมีปรากฏละเอียดเป็นบทความเรื่องหนึ่งใน Unfinished Tales โดยที่เริ่มแรก โทลคีนตั้งใจจะให้เป็นส่วนหนึ่งของภาคผนวกในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แต่เขาเขียนไม่เสร็จได้ทันเวลา อย่างไรก็ดี เรื่องของเหล่าพ่อมดยังมีบรรยายอยู่มากในตอนท้ายของหนังสือ ซิลมาริลลิออน


เอนท์

http://mich-mosh.com/wp-content/uploads/2011/09/Lord_of_the_Rings_Ent_Treebeard.jpg

--------เอนท์ในปกรณัมของโทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ของโลกอาร์ดา ที่เกิดมาพร้อมๆ กันกับเหล่าเอลดาร์ โดยเอรู อิลูวาทาร์ เป็นผู้ทรงสร้างขึ้นตามคำขอของเทพียาวันนา เทพีแห่งพืชพรรณและความอุดมสมบูรณ์ หลังจากที่พระนางได้ทราบว่า เทพอาวเลทรงสร้างคนแคระผู้นิยมชมชอบตัดต้นไม้ นางจึงขอให้มีผู้พิทักษ์หมู่ไม้ หรือ 'พฤกษบาล' บ้าง
--------เอนท์มีรูปร่างเหมือนกันกับต้นไม้ เพียงแต่สามารถเคลื่อนไหวและเจรจาได้ ภาษาของเอนท์เรียกว่า 'ภาษาเอนทิช' ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ คำศัพท์แต่ละคำก็ยาว กว่าเอนท์จะพูดจบประโยคหนึ่งๆ ต้องใช้เวลายาวนานมาก ดังนั้นพวกเอนท์จึงไม่ค่อยพูด
--------เอนท์ปรากฏตัวอยู่ในตำนานต่างๆ ของโลกอาร์ดาตั้งแต่ยุคที่หนึ่ง เช่นการช่วยเหลือกองกำลังของเบเรนในการไล่ล่าพวกคนแคระที่สังหารกษัตริย์ธิงโกล และชิงสร้อยพระศอเนากลามีร์กับซิลมาริล หนีข้ามเทือกเขาสีน้ำเงิน ในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ทรีเบียร์ด เอนท์ชราผู้หนึ่ง ก็เคยร้องเพลงให้เมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้นฟัง ถึงเรื่องราวเมื่อยุคสมัยบรรพกาลที่เขาเคยเดินท่องอยู่ในแผ่นดินออสซิริอันด์ และดอร์โธนิออน แว่นแคว้นในเบเลริอันด์
--------ในยุคที่สอง ป่าไม้บนมิดเดิลเอิร์ธถูกทำลายลงอย่างมโหฬารด้วยน้ำมือของชาวนูเมนอร์ แผ่นดินเอเรียดอร์อันกว้างใหญ่ซึ่งเคยเป็นป่ารกทึบ ถูกชุดบุกเบิกของกษัตริย์ ทาร์-อัลดาริออน แผ้วถางจนกลายเป็นที่ราบดังเช่นที่ปรากฏในยุคที่สาม [1] ทำให้เหล่าเอนท์ต้องอพยพหนีเข้าไปในแผ่นดินลึกมากขึ้น เมื่อถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามแหวน มีเอนท์หลงเหลืออยู่บนมิดเดิลเอิร์ธเพียงแถบป่าดึกดำบรรพ์ และป่าฟังกอร์น เท่านั้น



สัตว์ประหลาดอื่น ๆ

โทรลล์ (Troll)

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/a/af/Cave_troll.jpg/200px-Cave_troll.jpg

--------โทรลล์ หนึ่งในหมู่สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ประหลาดกึ่งมนุษย์ พวกมันไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก แต่มีอยู่ทั่วไปตามเนินต่างๆ ที่ตีนเทือกเขามิสตี้ เมื่อเผ่าเอลฟ์ป้องกันไม่ให้เผ่าโทรลล์แพร่กระจายมาตามเขาทางใต้ พวกมันจึงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งเอทเทนมัวร์ และโทรลล์เฟนส์ ซึ่งถูกเรียกชื่อนี้เนื่องจากมีเผ่าโทรล์จำนวนนับหมื่นนับแสนที่เรียกสถานที่นั้นว่าบ้าน เหล่ากอบลินจะรุกรานพื้นที่นี้อยู่บ่อยๆ เพื่อจับโทรลล์ถ้ำมาเป็นทาส สิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายเหล่านี้มักถูกใช้เป็นเหมือนทหารม้าหรืออาวุธบุกเมือง เนื่องจากกล้ามเนื้อของพวกมัน สามารถปราบศัตรูได้เกือบทุกคนที่เชื่องช้าหรือไม่ฉลาดพอ ที่จะหลบมันให้อยู่ในระยะปลอดภัย แม้แต่คณะพันธมิตรแห่งแหวนยังต้องพบกับอันตรายที่ยิ่งใหญ่เมื่ออยู่ในสถานที่ปิด กับโทรลล์ถ้ำตัวเดียวในเหมืองแห่งมอเรีย โทรลล์ถ้ำนั้นมีจำนวนมากพอที่จะส่งออกไปเป็นกลุ่มเพื่อปะทะกับศัตรู พวกมันจะมีปัญหากับหอกและลูกธนูเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงอุปสรรคเหล่านี้ขณะที่พยายามเข้าประชิดศัตรู นอกจากนี้โทรลล์ถ้ำ ยังอ่อนแอต่อแสงอาทิตย์จ้า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถพบได้ทั่วมิดเดิลเอิร์ธ และเป็นที่รู้กันว่าทั้งเซารอน และเผ่ากอบลินจะเกณฑ์พวกมันเข้ามาในกองทัพทันทีที่พบ

แมงมุมยักษ์ (Greats Spider)

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/c/c2/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9A.jpg/200px-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9A.jpg

**ชีล็อบ (Shelob)
--------สามารถกล่าวได้ว่าชีล็อบเป็นราชินีแห่งแมงมุมในมิดเดิลเอิร์ธ แม้บ้านของเธอจะอยู่ระหว่างเขตแดนของมอร์ดอร์และกอนดอร์ แต่ลูกหลานของเธอส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บริเวณป่าอันมืดมิดแห่งเมิร์ควู้ด ส่วนใหญ่จึงคิดว่าเธอเคยอาศัยอยู่ที่นั่น แต่เช่นเดียวกับเซารอน เธอได้หลบหนีมาที่ดินแดนแห่งมอร์ดอร์ รังของหล่อนตอนนี้อยู่ข้างๆ หอคอยคิริธอุงโกลบนเส้นทางที่ผ่านเทือกเขาและเข้าสู่ใจกลางมอร์ดอร์ ขณะที่เซารอนไม่เคยจะบังคับหล่อนเข้าสู่สงคราม แต่เขาก็ได้ให้เธออยู่เป็นผู้ปกป้องดินแดนของเขา เมื่อแซมและโฟรโด้พยายามที่จะเลี่ยงเมืองมินัสมอร์กูล ที่ซึ่งเป็นบ้านของพวกนาซกูล พวกเขาก็ได้ถลำเข้าสู่รังของเธอเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ โฟรโดนั้นเกือบตายเมื่อโดนพิษของเธอเข้า แต่แซม ก็ปัดป้องนานพอที่จะหลบหนีออกมาได้ แม้เธอจะได้รับบาดเจ็บจากดาบเอลฟ์ของโฟรโด แต่เธอก็ยังรอดจากสงครามแห่งแหวน และอาศัยอยู่ในถ้ำอันมืดมิดใต้คิริธอุงโกล
**อุงโกเลียนท์ (Ungoliant)
--------อุงโกเลียนท์เป็นแมงมุมในยุคบรรพกาลของโลกอาร์ดา และน่าจะเป็นบรรพบุรุษของชีล็อบ นางมีถิ่นฐานเดิมอยู่บนแผ่นดินอามันในซอกหลืบของความมืดริมชายฝั่งทางด้านใต้ของทวีป ต่อมาได้ร่วมมือกับมอร์กอธในการทำลายทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ แล้วจึงหลบหนีมายังมิดเดิลเอิร์ธ สร้างรังอยู่ทางด้านใต้ของเทือกเขาเอเร็ดกอร์โกรอธ ไม่มีตำนานกล่าวถึงจุดจบของนาง แต่เชื่อว่านางกินทุกอย่างอย่างไม่รู้จักอิ่มด้วยความหิวโหยตะกละตะกลาม ในท้ายที่สุดเมื่อ

วาร์ก (Warg)

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/3/37/Warg.jpg/200px-Warg.jpg

--------วาร์ก เป็นสัตว์ประหลาดที่มีส่วนผสมคล้ายกับ หมี , หมาป่า และ ไฮยีนน่าขนาดยักษ์ มีฟันที่แหลมคม และมีลักษณะนิสัยที่ดุร้าย ในยุคที่สามพวกมันอาศัยอยู่บริเวณทางตะวันออกของเทือกเขามิสตี้ โดยที่พวกออร์คใช้มันเป็นพาหนะในการออกรบ และยังเป็นสัตว์ร้ายของไอเซนการ์ดที่ซารูมานส่งมาเล่นงานชาวโรฮันระหว่างที่พวกเขาอพยพไปยังเฮล์มดีพโดยไม่ทันตั้งตัว

เฟลบีสต์ (Fellbeast)

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/4/49/Fellbeast.jpg/200px-Fellbeast.jpg

--------เฟลบีสต์ เป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งคล้ายมังกร คอยาว มีปีก และมีกรงเล็บแหลมคม พวกมันโจมตีโดยการโฉบลงมา และคว้าเอาไปทั้งคนและม้า พวกมันเป็นสัตว์โบราณที่มีชีวิตรอดจนมาถึงในยุคที่สาม ต่อมาได้ถูกเซารอนนำมาเลี้ยงไว้ และได้กลายเป็นพาหนะของเหล่านาซกูลในเวลาต่อมา

เครไบน์ (Crebain)

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/3/3a/Crebain.jpg/200px-Crebain.jpg

--------พวกมันเป็น อีกาสีดำขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ในป่าฟังกอร์นและดันแลนด์ ในช่วงสงครามแหวน ซารูมานใช้พวกมันเป็นสายลับ หาเบาะแสของผู้ครอบครองแหวน ในระหว่างเดินทางคณะพันธมิตรแห่งแหวนพบกับฝูงอีกากลุ่มนี้ แม้พวกเขาจะพยายามซ่อนตัวแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของพวกมันไปได้ ทำให้ซารูมานรู้แผนการการเดินทางของคณะแหวน

Stormwind
4th August 2012, 22:32
เนื้อหาแน่นมากครับ ขอคารวะจากใจจริง

By stormwind [Male]

shisaku
5th August 2012, 00:26
มันยังไม่หมดนะครับ ยังไงก็ช่วยติดตามผลงานด้วยนะครับ ผมอาจจะไม่เก่งพอจนสามารถแต่งนิยายระดับนี้ได้ แต่ผมก็เพียงจะรวบรวม และนำเสนอ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านนะครับ

thekillerzxz
5th August 2012, 07:47
ดีจังหาคนแปลไทยอยู่พอดี ไทยไม่มีคนแปลขายเลย
อยากอ่านมานานละโลกของโทลคีน ขอบคุณครับ
เพิ่มเติม: อาณาจักรกอนดอร์ และอาณาจักรอานอร์ ล้วนก่อตั้งมาจากชาวนูเมนอร์ทั้งสองอาณาจักร์ อาณาจักรกอนดอร์ก่อตั้งโดย อิซิลดูร์ กับ อนาริออน ซึ่งเมืองหลวงอยู่ที่ ออสกิไลแอด

5day-ago
5th August 2012, 09:32
****ดด อ่านกันตาแฉะเลยทีเดียวเชียว 5555 ชอบๆ