shisaku
4th August 2012, 11:23
***ตอนนี้ผลงานผมย้ายถื่นฐานไปที่เวป Dek-D แล้วนะครับ เนื่องด้วยข้อจำกัดในการสร้างกระทู้ของเวปนี้ ทำให้การทำมันยากมาก ผมจึงขอย้ายไปเวปที่ว่านี้นะครับ ใครอยากติดตามผลงานเชิญตามไปดูได้นะครับ แต่ยังไงก็จะพยายามอัพเดทในส่วนของทีนี้นะครับ แต่ถ้าใครคิดว่าอ่านแล้วปวดตา ตาลายก็ลองไปที่เวป Dek-D นะครับ เพราะผมแยกหมวดหมู่ไว้ชัดเจน เป็นตอน หลายตอน ทำให้ง่ายต่อการอ่านมาก
***เวปไซต์ :: http://writer.dek-d.com/dekdee/writer/view.php?id=845016
ตำนานแห่งซิลมาริล
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/4/40/SilmarillionBook_LR.jpg/200px-SilmarillionBook_LR.jpg
------ตำนานแห่งซิลมาริล (อังกฤษ: The Silmarillion) เป็นนิยายแฟนตาซีระดับสูง แต่งโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (ผู้แต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์) เริ่มประพันธ์โครงเรื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.1917 และมีการเขียนเพิ่มเติมมาโดยตลอด จนเมื่อ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน สิ้นชีวิตเมื่อปี ค.ศ.1973 วรรณกรรมเรื่องนี้ก็ยังเขียนไม่เสร็จ และยังไม่ได้รับการตีพิมพ์
------คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายคนที่สามของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ได้สานต่องานประพันธ์ของพ่อ โดยรวบรวมงานเขียนที่ยังคั่งค้างอยู่ ทั้งส่วนที่เขียนรายละเอียดแล้ว และส่วนที่มีเพียงแนวคิด โครงเรื่อง มาประพันธ์ต่อจนสำเร็จสมบูรณ์ เดอะ ซิลมาริลลิออน จึงได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1977
------เนื้อหาในตำนานแห่งซิลมาริล เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก และเหตุการณ์ในยุคที่หนึ่งและยุคที่สองของโลกอาร์ดา ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลายพันปีก่อนถึงยุคสมัยในเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งอยู่ในยุคที่สาม
ภาพรวมของเรื่อง
ตำนานแห่งซิลมาริล ประกอบด้วยเนื้อเรื่องห้าส่วน ดังนี้
1.ไอนูลินดาเล (Ainulindale) มหาคีตาแห่งไอนัวร์ : เล่าถึงตำนานการสร้างโลก
2.วาลาเควนตา (Valaquenta) ตำนานแห่งวาลาร์ : เล่าถึงเหล่าวาลาร์ และ ไมอาร์ ซึ่งเป็นบรรดาชนศักดิ์สิทธิ์ (คือ ไอนัวร์)
3.เควนตา ซิลมาริลลิออน(Quenta Silmarillion) ตำนานแห่งซิลมาริล : ประวัติศาสตร์ตั้งแต่กำเนิดสิ่งมีชิวิตจนถึงสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง เป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้
4.อคัลลาเบธ (Akallabeth) ชื่อนี้หมายถึง การล่มสลายของนูเมนอร์ : ว่าด้วยเรื่องราวการก่อตั้งเกาะนูเมนอร์ไปจนถึงกาลสิ้นสุดของเกาะ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงยุคที่สอง
5.ว่าด้วยแหวนแห่งอำนาจ และยุคที่สาม (Of the Rings of Power and the Third Age) เรื่องของการสร้างแหวน และเหตุการณ์ของยุคที่สาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
------ที่จริงแล้วเรื่องทั้ง 5 ชุดนี้ โทลคีนได้แต่งแยกกันเป็นหลายชิ้นหลายเรื่องย่อย มิใช่เป็นเรื่องเดียวต่อเนื่องกัน และยังมีการปรับปรุงแก้ไขแต่ละเรื่องย่อยเป็นหลายๆ เวอร์ชัน แต่ลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ ได้นำมาเรียบเรียงใหม่ โดยคัดเลือกเอาเวอร์ชันที่สอดคล้องกันมากที่สุดมารวมไว้ (ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุดที่โทลคีนแต่งไว้ก่อนเสียชีวิต) แล้วใช้ชื่อบทที่มีเนื้อหามากที่สุด คือ เควนตา ซิลมาริลลิออน (Quenta Silmarillion) หรือ ตำนานแห่งซิลมาริล มาเป็นชื่อของเรื่องที่เขาได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่
เนื้อเรื่องย่อยแต่ละชิ้น และแต่ละเวอร์ชันที่โทลคีนผู้พ่อแต่งไว้ โดยเฉพาะเวอร์ชันล่าสุดก่อนเสียชีวิต คริสโตเฟอร์ โทลคีนผู้ลูก ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ Unfinished Tales และหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ (The History of Middle Earth) ซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 12 เล่ม
โครงเรื่อง
ไอนูลินดาเล และวาลาเควนตา
------ไอนูลินดาเล เป็นเนื้อหาส่วนแรกของหนังสือ ตำนานแห่งซิลมาริล เล่าถึงเหตุการณ์การสร้างโลกในลักษณะตำนาน กล่าวคือ อิลูวาทาร์ ("พระบิดาแห่งสรรพสิ่ง") ทรงสร้างไอนัวร์ขึ้นก่อนทุกสิ่ง เป็นดวงจิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากดำริ หรือความคิดของพระองค์เอง จากนั้นอิลูวาทาร์ทรงแสดงดนตรีให้เหล่าไอนัวร์ชม แล้วโปรดให้พวกเขาบรรเลงดนตรีให้พระองค์ฟังบ้าง การบรรเลงดนตรีของเหล่าไอนัวร์นี้เรียกว่า "มหาคีตาแห่งไอนัวร์" (คำแปลของ ไอนูลินดาเล) ในระหว่างการบรรเลงนั้น เมลคอร์ ไอนัวร์องค์หนึ่งคิดอยากบรรเลงตามใจตัวเอง ทำให้เสียงดนตรีเพี้ยนผิดพลาดไปหมดจนล่มลง แต่องค์อิลูวาทาร์ทรงสำแดงฤทธิ์เป็นเสียงดนตรีไม่สิ้นสุด แล้วจากนั้นจึงแสดงภาพของโลกอาร์ดา ให้เหล่าไอนัวร์ได้เห็น โลกอาร์ดานั้นคือสิ่งที่บังเกิดขึ้นจากการบรรเลงดนตรีนั่นเอง
จากนั้นอิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา หรือโลกอาร์ดาขึ้นให้เป็นจริง แล้วโปรดให้เหล่าไอนัวร์ที่ทรงพลังอำนาจ ลงไปสถิตอยู่ในโลกนั้น เพื่อสร้างโลกให้เป็นไปตามที่พวกเขาได้บรรเลงบทเพลงเอาไว้ เหล่าไอนัวร์ที่ลงมาในโลก กลุ่มที่มีฤทธิ์มากเรียกว่า วาลาร์ กลุ่มที่มีฤทธิ์รองลงมา เรียกว่า ไมอาร์ พวกเขาทั้งหมดพากันสร้างโลกให้พร้อมรอรับการมาถึงของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ โดยที่มีเมลคอร์คอยขัดขวางการก่อสร้างอยู่ตลอด
บท วาลาเควนตา เป็นเนื้อหาส่วนที่สองของหนังสือ กล่าวถึงรายละเอียดของวาลาร์ทั้ง 14 พระองค์ และรายละเอียดของไมอาร์องค์สำคัญบางองค์ สุดท้ายกล่าวถึงเทพอสูรเมลคอร์ คือไอนัวร์ที่จิตใจหันไปสู่ความชั่วร้าย กับบรรดาไมอาร์ที่ยอมเป็นสมุนของเขา เช่นเซารอน และบัลร็อก
เควนตา ซิลมาริลลิออน
------คำว่า เควนตา (quenta) หมายถึง ตำนาน ส่วน ซิลมาริลลิออน (silmarillion) ประกอบจากคำว่า silmarilli และ -on โดยที่ silmarilli หมายถึง silmarils (คือรูปพหูพจน์ของ silmaril) ส่วน -on หมายถึง of the (ว่าด้วย) ดังนั้น Quenta Silmarillion จึงหมายถึง ตำนานว่าด้วยเรื่องของดวงมณีซิลมาริล
ซิลมาริล (หรือซิลมาริลลิในรูปพหูพจน์) คือดวงมณีสามดวงที่เฟอานอร์ เจ้าชายเอลฟ์ ชาวโนลดอร์ ประดิษฐ์ขึ้น แต่ถูกมอร์กอธขโมยไปหลังจากสังหารกษัตริย์ฟินเว บิดาของเฟอานอร์ เฟอานอร์กับโอรสทั้งเจ็ดและชาวโนลดอร์จึงติดตามไล่ล่าเพื่อล้างแค้น เรื่องราวส่วนใหญ่ในตอนนี้จะเกี่ยวกับการทำสงครามของพวกเอลฟ์กับมอร์กอธในแผ่นดินเบเลริอันด์ เพื่อชิงซิลมาริลกลับคืน
เควนตา ซิลมาริลลิออน ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 24 บท ในจำนวนนี้ เรื่องที่ถือว่าเป็นเอกในตำนานซิลมาริลลิออน ได้แก่
-ว่าด้วยเบเรนและลูธิเอน
-ว่าด้วยทูริน ทูรัมบาร์ (เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งใน นาร์น อิ ฮีน ฮูริน : ตำนานบุตรแห่งฮูริน คริสโตเฟอร์ โทลคีนได้รวบรวมตำนานนี้และประพันธ์ขึ้นเป็นเล่มต่างหากเมื่อปี พ.ศ. 2550 ใช้ชื่อหนังสือว่า ตำนานบุตรแห่งฮูริน (The Children of Hurin)
-ว่าด้วยทูออร์ และการล่มสลายของกอนโดลิน
-ว่าด้วยการเดินทางของเออาเรนดิล และสงครามแห่งความโกรธา
อคัลลาเบธ
------เนื้อหาส่วนนี้กล่าวถึงการกำเนิดและการล่มสลายของอาณาจักรมนุษย์ชาวนูเมนอร์ ซึ่งเป็นเกาะแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรใหญ่ที่เหล่าวาลาร์สร้างประทานให้เป็นของรางวัลแก่ชาวมนุษย์สามตระกูลที่เป็นสหายเอลฟ์ และได้ช่วยเหลือการศึกต่อต้านเมลคอร์มาโดยตลอด อาณาจักรนูเมนอร์ต้องล่มสลายลงก็ด้วยความเจ้าเล่ห์ของไมอาผู้ชั่วร้ายชื่อ เซารอน ซึ่งเคยเป็นสมุนมือขวาของเมลคอร์มาก่อน เซารอนสร้างสมอำนาจของตนขึ้นใหม่ในยุคที่สอง หมายจะครองมิดเดิลเอิร์ธทั้งหมด แต่ชาวนูเมนอร์ยกทัพมาปราบปรามลงได้ เมื่อเซารอนไม่สามารถเอาชนะชาวนูเมนอร์ด้วยกำลัง เขาจึงแสร้งเป็นยอมจำนนและให้ชาวนูเมนอร์จับตัวไปเป็นเชลย เซารอนหาทางเข้าไปใกล้ชิดกษัตริย์ อาร์-ฟาราโซน แล้วทำให้พระองค์หลงเชื่อคำยุยงจนตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา และเหิมเกริมถึงขนาดคิดยกทัพไปต่อสู้กับเหล่าวาลาร์เพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ ครั้นเมื่อทัพเรือของอาร์-ฟาราโซนยกไปถึงแผ่นดินอามัน อิลูวาทาร์ก็บันดาลให้มหาสมุทรใหญ่แยกเป็นเหวลึก ดูดเอาเกาะนูเมนอร์และกองเรือทั้งหมดจมหายไปในห้วงอเวจี ทว่าดวงจิตของเซารอนสามารถหนีรอดกลับมายังแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธได้ และชาวนูเมนอร์จำนวนหนึ่งที่ยังคงภักดีต่อวาลาร์และอิลูวาทาร์ ก็หนีรอดมายังมิดเดิลเอิร์ธได้เช่นกัน
ว่าด้วยแหวนแห่งอำนาจและยุคที่สาม
------เนื้อหาส่วนสุดท้ายของหนังสือเป็นบทสรุปเหตุการณ์ในวงล้อประวัติศาสตร์โลกอาร์ดาของโทลคีน กล่าวถึงการปรากฏตัวของจอมมารเซารอน ที่เรืองอำนาจขึ้นมาแทนที่ เมลคอร์ นายเก่าของตน เซารอนสร้างแหวนแห่งอำนาจขึ้น และก่อสงครามกับศัตรูเก่า คือเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ผู้เป็นสหายเอลฟ์ (ชาวนูเมนอร์) จนกระทั่งถึงสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นอันสิ้นสุดยุคที่สอง
จากนั้นเล่าถึงเหตุการณ์ในยุคที่สามที่เกี่ยวข้องกับแหวนแห่งอำนาจของเซารอน การกำเนิดสภาขาว การรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของอาณาจักรกอนดอร์ ไปจนถึงการสูญสิ้นอำนาจของเซารอนในปลายยุคที่สาม เนื้อหาในส่วนนี้เพียง 1 ย่อหน้า ขยายเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่ปรากฏในเรื่อง "เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" ว่าด้วยความพยายามทำลายแหวนเอกของเซารอน โดยชาวเพเรียนนัธ (ฮอบบิท) ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์
[CENTER]ยุคสมัยในเนื้อเรื่อง
ยุคแห่งวาลาร์
ยุคแห่งชวาลา
ยุคแห่งพฤกษา
ยุคแห่งตะวัน
นิยายที่เกี่ยวข้อง
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
เดอะฮอบบิท
Unfinished Tales
ตำนานบุตรแห่งฮูริน
ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ
มิดเดิลเอิร์ธ
http://www.hobbit1.com/images/middle-earth.jpg
------มิดเดิ้ลเอิร์ธ (Middle-earth) หรือ มัชฌิมโลก หมายถึงสถานที่ในนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อันเป็นฉากหลังของเรื่องราวตำนานทั้งหลายในงานเขียนของโทลคีน ปกรณัมของโทลคีนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมและครอบครองโลก (ในตำนานเรียกว่า "อาร์ดา") ซึ่งมีทวีปหลักชื่อว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" เป็นที่อยู่อาศัยของพวก 'มรรตัยชน' (คือมนุษย์ที่รู้ตาย) เป็นสถานที่ตรงข้ามกับ "อามัน" หรือ 'แดนอมตะ' อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกวาลาร์ กับพวกเอลฟ์ คำนี้มีรากมาจากคำภาษาอังกฤษยุคกลางว่า middel-erde ซึ่งพัฒนามาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณว่า middangeard
------แก่นสำคัญของงานเขียนของโทลคีนคือเรื่องของการช่วงชิง ควบคุม และครอบครองอำนาจหรือของวิเศษ ทำให้เกิดสงครามขึ้นบนมิดเดิลเอิร์ธหลายครั้งหลายหน คือสงครามระหว่างเหล่าเทพวาลาร์ เอลฟ์ และพันธมิตรชาวมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง กับเทพอสูรเมลคอร์กับบริวาร ได้แก่พวกออร์ค มังกร และมนุษย์ที่เป็นทาสอีกฝ่ายหนึ่ง ในตำนานยุคหลัง เมื่อเมลคอร์สิ้นอำนาจและถูกขับไล่ออกไปจากอาร์ดาแล้ว บทบาทการช่วงชิงนี้ก็ตกไปอยู่กับเซารอน สมุนเอกของเขา เหล่าเทพวาลาร์ได้ยุติบทบาทของตนลงหลังจากที่เมลคอร์สิ้นอำนาจ เพราะการสงครามระหว่างพวกพระองค์ครั้งนั้นได้ทำให้โลกพินาศเสียหายไปมาก อย่างไรก็ดีพวกพระองค์ก็ยังส่ง อิสตาริ หรือเหล่าพ่อมด เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการต่อต้านอำนาจของเซารอน อิสตาริที่มีบทบาทมากคือ แกนดัล์ฟพ่อมดเทา และซารูมานพ่อมดขาว แกนดัล์ฟได้ทำงานบรรลุวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี โดยได้ช่วยเหลือชาวมิดเดิลเอิร์ธอย่างถึงที่สุดเพื่อโค่นอำนาจเซารอนลงให้ได้ แต่ซารูมานกลับพ่ายแพ้ต่อความคิดฉ้อฉลแล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ช่วงชิงอำนาจบนมิดเดิลเอิร์ธแข่งกับเซารอนเสียเอง สำหรับพลเมืองชาวมิดเดิลเอิร์ธพวกอื่นๆ ได้แก่ คนแคระ เอนท์ และฮอบบิท อันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
------ในการสร้างสรรค์งานของโทลคีน เขาได้จัดทำแผนที่ของมิดเดิลเอิร์ธขึ้นเป็นจำนวนมาก แสดงถึงดินแดนและสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานของเขาเอ่ยถึง แผนที่บางส่วนได้รับการตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา แต่ก็ยังมีแผนที่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ตีพิมพ์เลยจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปแล้ว แผนที่ส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในยุคที่หนึ่งเกิดขึ้นบนดินแดนที่เรียกชื่อว่า เบเลริอันด์ ดินแดนนี้ต่อมาได้จมลงสู่ทะเลหลังสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพวาลาร์กับเมลคอร์ คงเหลือแต่เทือกเขาสีน้ำเงินที่ปรากฏอยู่ทางขวาสุดของแผนที่ เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวกันกับเทือกเขาสีน้ำเงินที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของแผนที่ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ดินแดนทางด้านตะวันออกของเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคที่สองและสาม
โทลคีนบอกว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยประมาณว่าปลายยุคที่สามคือช่วงระยะประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเลใหญ่" ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน
------ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ถูกแบ่งออกเป็นหลายยุค เรื่องราวที่ปรากฏใน เดอะฮอบบิท และเรื่องราวใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกิดขึ้นในราวปลายยุคที่สาม และนำไปสู่ช่วงเริ่มต้นของยุคที่สี่ ในขณะที่เรื่องราวใน ซิลมาริลลิออน ซึ่งเป็นงานเขียนของโทลคีนเกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ธที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ยุคสร้างโลกและยุคที่หนึ่งเป็นส่วนใหญ่
มิดเดิลเอิร์ธในยุคที่หนึ่ง
------เรื่องราวในยุคที่หนึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนดินแดนสุดตะวันตกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธที่มีชื่อว่า แผ่นดินเบเลริอันด์ ด้านตะวันตกจรดมหาสมุทรใหญ่ (เบเลกายร์) ด้านตะวันออกมีเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นกำแพงธรรมชาติ ด้านเหนือจรดทุ่งกว้างอาร์ด-กาเลน ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับอาณาจักรอังก์บันด์ของเมลคอร์ที่อยู่ทางเหนือ และด้านใต้จรดป่าใหญ่โดยมีอาร์แวนิเอนเป็นดินแดนปลายสุด ในแผ่นดินเบเลริอันด์มีแม่น้ำหลักที่สำคัญสองสายคือ แม่น้ำซิริออนเป็นแม่น้ำใหญ่ที่สุด และแม่น้ำเกลิออนที่แคบกว่าแต่ยาวที่สุด
------เบเลริอันด์ในยุคที่หนึ่งเป็นดินแดนที่ตั้งอาณาจักรของเอลฟ์มากมาย ได้แก่ อาณาจักรโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล อาณาจักรกอนโดลินของทัวร์กอน อาณาจักรนาร์โกธรอนด์ของฟินร็อด เฟลากุนด์ เป็นต้น นอกจากนี้มีอาณาจักรเอลฟ์อื่นๆ กระจายอยู่ทั่วไป เช่นอาณาจักรฮิธลุม ดอร์โธนิออน เนฟรัสต์ ฟาลัส และเขตที่ราบเจ็ดแม่น้ำเชิงเทือกเขาสีน้ำเงินซึ่งมีชื่อว่า ออสซิริอันด์ ดินแดนแห่งพวกกรีนเอลฟ์ และเป็นที่พำนักในช่วงสุดท้ายของชีวิตของเบเรนกับลูธิเอน เบเลริอันด์ยังมีชนเผ่าอื่นๆ อาศัยร่วมอยู่ด้วย เช่นเหล่ามนุษย์ผู้สวามิภักดิ์กับเอลฟ์ตระกูลต่างๆ อิสระชนแห่งป่าเบรธิล นอกจากนี้บนเทือกเขาสีน้ำเงินก็เป็นที่ตั้งนครใหญ่ของคนแคระอีกสองแห่ง คือนครเบเลกอสต์กับโนกร็อด
------การสงครามครั้งใหญ่ในช่วงปลายของยุคที่หนึ่งระหว่างเหล่าเทพวาลาร์กับเทพอสูรเมลคอร์ ที่เรียกชื่อว่า "สงครามแห่งพระพิโรธ" ทำให้แผ่นดินได้รับความเสียหายมากจนแผ่นดินเบเลริอันด์จมลงสู่ใต้ทะเล คงแต่เพียงเกาะแก่งบางส่วนเช่น โทลมอร์เวน เท่านั้น
มิดเดิลเอิร์ธในยุคที่สองและสาม
------ในยุคที่สองและสาม แผ่นดินตะวันตกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธได้แก่ แผ่นดินเอเรียดอร์ กอนดอร์ เทือกเขามิสตี้ และดินแดนปากแม่น้ำอันดูอิน เอเรียดอร์เป็นดินแดนที่อยู่ถัดจากเทือกเขาสีน้ำเงินออกมาทางตะวันออก โดยบรรจบชายทะเลที่เมืองท่าเกรย์เฮเว่นส์ ถัดออกมาทางตะวันออกเป็นอาณาจักรอาร์นอร์ หรืออาณาจักรเหนือของเหล่ามนุษย์แห่งดูเนไดน์ผู้รอดชีวิตมาจากการล่มเกาะนูเมนอร์ ส่วนหนึ่งของอาร์นอร์เป็นแว่นแคว้นไชร์ของเหล่าฮอบบิท ถัดจากแคว้นไชร์เป็นเมืองบรีซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทาง จากนั้นเป็นอิมลาดริส อาณาจักรเอลฟ์ผู้ลี้ภัยในความคุ้มครองของเอลรอนด์ ตั้งอยู่เชิงขุนเขาทางตะวันตกของเทือกเขามิสตี้ อันเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดบนมิดเดิลเอิร์ธ
------ใต้เทือกเขามิสตี้เป็นที่ตั้งมหานครของคนแคระชื่อว่า คาซัดดูม หรือ มอเรีย ทางด้านใต้ของเทือกเขาเป็นดินแดนไอเซนการ์ดของซารูมานพ่อมดขาว ติดกับอาณาจักรโรฮันซึ่งทอดตัวอยู่ในช่องแคบโรฮันระหว่างเทือกเขามิสตี้กับเทือกเขาขาว ฟากตะวันออกของเทือกเขามิสตี้เป็นแผ่นดินโรห์วานิออน มีแม่น้ำใหญ่อันดูอินไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ฟากตะวันตกของแม่น้ำเป็นที่ตั้งของลอธลอริเอน อาณาจักรเอลฟ์ในความคุ้มครองของเลดี้กาลาเดรียล ส่วนฟากตะวันออกเป็นป่าใหญ่กรีนวู้ด หรือป่าเมิร์กวู้ด อาณาจักรเอลฟ์ของธรันดูอิล ซึ่งอยู่ใกล้กันกับอาณาจักรเอเรบอร์ของเหล่าคนแคระกับอาณาจักรเดลของชาวมนุษย์ ที่ซึ่งมังกรสม็อกมาก่อความเดือดร้อนจนเกิดเป็นสงครามห้าทัพในเรื่อง เดอะฮอบบิท
------ใต้ลงไปเชิงเทือกเขามิสตี้เป็นที่ตั้งของป่าฟังกอร์น ซึ่งบรรจบกับอาณาจักรโรฮัน ถัดไปจากนั้นเป็นอาณาจักรกอนดอร์ หรืออาณาจักรใต้ของชาวดูเนไดน์ซึ่งเป็นอาณาจักรพี่น้องกับอาร์นอร์ในทางเหนือ กอนดอร์กินอาณาบริเวณครอบคลุมลงไปจนจรดปากแม่น้ำอันดูอิน มีเมืองท่าเพลาเกียร์เป็นเมืองใหญ่ ฟากตะวันออกของกอนดอร์เป็นเทือกเขาแห่งเงาและเทือกเขาเอเฟลดูอัธ ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นขวางอาณาจักรมอร์ดอร์ของเซารอนเอาไว้เบื้องหลัง ใต้อาณาจักรมอร์ดอร์ลงไปเป็นดินแดนฮารัดและชนเผ่าทางใต้ ซึ่งมนุษย์ในดินแดนเหล่านี้ล้วนตกอยู่ใต้อาณัติของเซารอนสิ้น
ประวัติศาสตร์
------ประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดาตามที่ปรากฏในเรื่อง ซิลมาริลลิออน แบ่งออกได้เป็นสี่ยุคใหญ่ ๆ รู้จักกันในนาม
*ไอนูลินดาเล
*ยุคแห่งชวาลา
*ยุคแห่งพฤกษา
*ยุคแห่งตะวัน
------แต่ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธเริ่มมีการบันทึกไว้ก็เมื่อหลังจากเหล่าเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนนในยุคที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างยุคแห่งพฤกษา หรือในบทประพันธ์จะเรียกว่าเป็น ยุคบรรพกาล ในระหว่างยุคที่หนึ่งนี้พวกมนุษย์ได้ตื่นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์แรกปรากฏขึ้นบนโลกอันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งตะวัน ซึ่งกินเวลาตลอดช่วงที่เหลือของยุคที่หนึ่ง และต่อเนื่องไปถึงยุคที่สอง ยุคที่สาม ยุคที่สี่ เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ยุคสร้างโลก
http://twilightswarden.files.wordpress.com/2012/06/tn-the_incoming_sea_at_the_rainbow_cleft.jpg?w=529&h=400
------เทพเจ้าสูงสุดแห่งเอกภพของโทลคีนเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ในตอนแรก อิลูวาทาร์ได้สร้างจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ไอนัวร์ และได้สอนวิญญาณเหล่านั้นให้สร้างบทเพลงขึ้น หลังจากที่ไอนัวร์ช่ำชองในความสามารถของแต่ละตนแล้ว อิลูวาทาร์ได้สั่งให้พวกไอนัวร์สร้างบทเพลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเพลงที่อิลูวาทาร์ประพันธ์ขึ้น ไอนัวร์ที่มีพลังสูงสุดคือ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ หรือ "ศัตรูมืด" โดยพวกเอลฟ์) ได้ทำให้เพลงเสียกระบวน อิลูวาทาร์จึงแก้ไขโดยสร้างแนวเพลงที่ปรับปรุงให้ดีเหนือความเข้าใจของไอนัวร์ ก้าวย่างแห่งบทเพลงของพวกเขาได้หว่านเมล็ดของประวัติศาสตร์แห่งเอกภพที่ยังไม่ได้สร้างและผู้ที่จะมาอยู่ ณ ที่นั้น
------จากนั้นอิลูวาทาร์จึงหยุดเพลงและเปิดเผยความหมายของบทเพลงแก่ไอนัวร์ผ่านการมองเห็น ด้วยทัศนะเหล่านั้น ไอนูร์หลายตนสัมผัสถึงแรงกระตุ้นที่บีบบังคับให้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตรง อิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา (Ea) คือเอกภพ และไอนัวร์บางองค์ก็ลงไปในเอกภพเพื่อร่วมในประสบการณ์แห่งเอกภพ แต่เมื่อเข้าไปในเออา เหล่าไอนัวร์พบว่ามันไร้รูปร่างเพราะพวกเขาเข้าไปที่จุดเริ่มต้นของเวลา ไอนัวร์จึงรับผิดชอบงานอันยิ่งใหญ่ในช่วง "ยุคแห่งดวงดาว" พวกเขาเตรียมสิ่งของต่างๆ เพื่อรับการมาถึงของเอลฟ์และมนุษย์ ไอนัวร์พวกนี้มีชื่อเรียกว่า วาลาร์ ในจำนวนนี้ มานเว เป็นวาลาร์ผู้เป็นหัวหน้า แต่เมลคอร์เป็นผู้ทรงพลังที่สุด
------อาร์ดาในตอนแรกเป็นโลกแบน ๆ เหล่าวาลาร์สร้างแสงสว่างโดยการสร้างดวงตะเกียงขนาดใหญ่สองดวง แต่เมลคอร์ทำลายดวงตะเกียงทำให้โลกมืดมน วาลาร์จึงย้ายถิ่นไปอยู่ทางตะวันตกสุดของอาร์ดา พวกเขาสร้างทวิพฤกษาขึ้นใหม่เพื่อให้แสงสว่างแก่แผ่นดินใหม่ของตน วาลาร์ขังเมลคอร์ไว้ และป้องกันแผ่นดินเพื่อเตรียมการสำหรับการตื่นของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ แต่เมื่อเมลคอร์พ้นจากการจองจำ เขาก็ทำลายทวิพฤกา วาลาร์จึงได้นำผลที่ยังมีชีวิตสองผลสุดท้ายของต้นไม้ทั้งสองและใช้มันสร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดาแต่แยกตัวออกมาจากอัมบาร์ (โลก)
------ยุคแห่งชวาลาเริ่มต้นไม่นานหลังจาก วาลาร์ เสร็จสิ้นงานในการวางรูปร่างอาร์ดา วาลาร์ได้สร้างตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก วาลาร์ อาวเล ได้สร้างหอคอยขนาดใหญ่ อันหนึ่งอยู่เหนือสุด อีกอันอยู่ใต้สุด และวาลาร์ได้อาศัยอยู่ตรงกลางบนเกาะแห่งอัลมาเรน การทำลายตะเกียงทั้งสองของเมลคอร์ถือเป็นจุดจบของยุคแห่งชวาลา
หลังจากนั้น ยาวันนา ได้สร้าง ทวิพฤกษา ชื่อว่า เทลเพริออน และ เลาเรลิน ในดินแดนแห่งอามัน เป็นกาลเริ่มต้นยุคแห่งพฤกษา ต้นไม้ทั้งสองส่องสว่างอามันและปล่อยให้ส่วนที่เหลือของอาร์ดาตกอยู่ในความมืด
ยุคที่หนึ่ง
------ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก เอลฟ์ได้ตื่น ข้างทะเลสาบ คุยวิเอเนน ในทางตะวันออกของเอนดอร์ และวาลาร์ได้ไปพบพวกเขาในไม่ช้า เอลฟ์จำนวนมากถูกชักชวนให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่ มุ่งสู่ตะวันตกไปยังอามัน แต่พวกเขามิได้เดินทางโดยสำเร็จถ้วนทุกคน(ดู การแบ่งประเภทของเอลฟ์) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์และกระตุ้นให้เกิดการวิวาทระหว่างเจ้าชายเอลฟ์ เฟอานอร์ กับ ฟิงโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล อัญมณีสามดวงที่เฟอานอร์สร้าง อันบรรจุแสงแห่งพฤกษาทั้งสอง ไปจากคลังสมบัติของเขา รวมทั้งทำลายทวิพฤกษาด้วย
------เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่อไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามประหัตประหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา
ยุคแห่งตะวันเริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงเกิด ยุคแห่งสันติสุขอันยาวนาน เป็นเวลาสี่ร้อยปี มนุษย์กลุ่มแรกได้มาถึงแผ่นดินเบเลริอันด์ในช่วงยุคนั้น โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน มา เมื่อมอร์กอธเอาชนะ วงล้อมแห่งอังก์บันด์ ได้ อาณาจักรของเอลฟ์ก็ล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยเอลฟ์และมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนชาวเอไดน์ และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมลิอัน ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งมาจากมงกุฏของมอร์กอธได้ เบเรนและลูธิเอนตายหลังเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับการชุบชีวิตจากวาลาร์ด้วยข้อตกลงว่า ลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก
------ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่งโนกร็อด และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ ดิออร์ เอลฟ์กึ่งมนุษย์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง โดริอัธ เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า ดิออร์ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลายโดริอัธ และฆ่าดิออร์ในสงครามสังหารญาติครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของดิออร์ที่ยังเล็กคือ เอลวิง ได้หนีไปพร้อมกับดวงมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ เคเลกอร์ม, คูรูฟิน และ คารันเธียร์ ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา
ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกเอลฟ์และมนุษย์อิสรชนที่เหลือในเบเลริอันด์ได้ตั้งหลักปักฐาน ณ ปากแม่น้ำซิริออน ในกลุ่มนั้นมีเออาเรนดิลซึ่งแต่งงานกับ เอลวิง รวมอยู่ด้วย แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่การสังหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี
------ซิลมาริลถูกยึดคืนมาได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส เมื่อแผ่นดินเบเลริอันด์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ มายดรอส และ มากลอร์ ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ผู้มีชัย แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ และคำสาบานก็สูญเปล่า พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน มายดรอสโจนตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วนมากลอร์ขว้างซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงไปสู่จุดหมายบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล ในพื้นพิภพ และในทะเลตามลำดับ
ยุคที่สอง
------แล้วจึงเริ่มต้น ยุคที่สอง ชาวเอไดน์ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ทางตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่เอลฟ์จำนวนมากได้รับการต้อนรับกลับสู่แดนประจิม ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าเอลฟ์ในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในเอลฟ์ช่างใน เอเรกิออน มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเริ่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกเอลฟ์ล่วงรู้แผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอก พวกเอลฟ์จึงเอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมพวกเขาได้
------กษัตริย์ชาวนูเมนอร์องค์สุดท้ายคือ อาร์-ฟาราโซน มีกองทัพที่แข็งแกร่งมากจนแม้เซารอนยังต้องยอมสยบ ถูกจับมายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวนเอก เซารอนล่อลวงอาร์-ฟาราโซน และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามัน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน แผ่นดินอมตะ อามันดิล หัวหน้าของเหล่าผู้ศรัทธาต่อวาลาร์ รำลึกถึงการเดินทางขออภัยโทษแทนมนุษยชาติของเออาเรนดิล จึงได้ล่องเรือไปเพื่อขอความเมตตาจากวาลาร์ แต่เพื่อปิดบังวัตถุประสงค์การเดินทางของตน เมื่อแรกเขาจึงล่องเรือไปทางตะวันออกแล้วจึงวกตะวันตก แต่ไม่มีข่าวมาจากเขาอีกเลย ลูกชายของเขา เอเลนดิล กับหลานชายของเขาคือ อิซิลดูร์ และ อนาริออน กันเหล่าผู้ศรัทธาออกจากสงครามที่กำลังมาถึง และลอยเรือเตรียมตัวหลบหนี เมื่อกองทัพของกษัตริย์ไปถึงอามัน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์เข้าทรงจัดการเอง โลกจึงได้เปลี่ยนไป และอามันถูกย้ายออกจากอิมบาร์ นับแต่นั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นอามันได้อีก แต่เอลฟ์ผู้เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับพรในการใช้ เส้นทางมุ่งตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามัน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขารอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ ต่อมาไม่นานเซารอนเรืองอำนาจขึ้นอีก แต่เอลฟ์ร่วมมือกับมนุษย์ขึ้นเป็น กองทัพแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด อิซิลดัวร์ยึดแหวนเอกของเขามาได้ แต่ไม่ได้ทำลาย
ยุคที่สาม
------ยุคที่สาม เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของอาณาจักร์อาร์นอร์และกอนดอร์ ในสมัยของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้น และได้ค้นหาแหวนเอก เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง จึงได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวนคือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง เมาท์ดูม โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น คณะพันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป
------จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบของยุครุ่งโรจน์ของพวกเอลฟ์ และเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่มต้น เอลฟ์จำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป
ภาษาและชาติพันธุ์ต่าง ๆ
------โทลคีนได้ประดิษฐ์ภาษาเอลฟ์ขึ้นสองภาษาหลัก ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม เควนยา ใช้พูดกันโดยชาว วันยาร์ โนลดอร์ และ เทเลริ บางส่วน กับภาษาซินดาริน ที่ใช้พูดกันในหมู่ชาวซินดาร์ คือเอลฟ์ที่อาศัยในเบเลริอันด์ (ดูด้านล่าง) ภาษาทั้งสองมีรากมาจากแหล่งเดียวกัน คือจาก คอมมอนเอลดาริน อันเป็นภาษาโบราณที่ประดิษฐ์ไว้อย่างสมจริงที่สุด โทลคีนเปรียบเทียบเควนยาเหมือนภาษา ละติน ขณะที่ซินดารินเป็นเหมือนภาษาพูดทั่วไป
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในโลก ได้แก่
ภาษาอดูนาอิค ของชาวนูเมนอร์
ภาษาแบล็กสปีช ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดย เซารอน สำหรับทาสรับใช้ของเขาในการพูดคุย
ภาษาคุชดุล ของคนแคระ
ภาษาฮอบบิติช - ของพวกฮอบบิท
ภาษาโรเฮียร์ริค ของชาว โรเฮียร์ริม ในลอร์ดออฟเดอะริงส์แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษโบราณ
ภาษาเวสทรอน 'ภาษากลาง' แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษ
ภาษาวาลาริน ภาษาของเหล่าไอนัวร์
วัฒนธรรม
------มิดเดิลเอิร์ธเป็นบ้านสำหรับสายพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ กันหลายเผ่า เผ่าแรกคือไอนัวร์ ซึ่งกำเนิดขึ้นจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ไอนัวร์ได้ร้องเพลงถวายอิลูวาทาร์ ผู้สร้างเออา เพื่อการมีอยู่ของบทเพลงในตำนานการสร้างเอกภพที่เรียกว่า ไอนูลินดาเล หรือ "บทเพลงแห่งไอนัวร์" ไอนัวร์บางตนได้เข้าสู่เออา และพวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่า วาลาร์ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ) หัวหน้าของปีศาจร้ายในเออา ก็เป็นหนึ่งในวาลาร์ในตอนแรก
------ไอนัวร์อื่นที่เข้ามาในเออา เรียกว่า ไมอาร์ ในยุคแรกนั้น ไมอาที่ปรากฏชื่อมากที่สุดคือเมลิอัน ชายาของกษัตริย์พราย ธิงโกล ในยุคที่สามระหว่าง สงครามแหวน ไมอาร์ห้าตนถูกสร้างร่างขึ้นและส่งไปยังเอนดอร์เพื่อช่วยเหลืออิสรชนล้มล้างเซารอน ไมอาร์เหล่านั้นคืออิสทาริ (หรือ Wise Ones) (มนุษย์เรียกว่า พ่อมด) ได้แก่ แกนดัล์ฟ, ซารูมาน, ราดากัสต์, อลาทาร์ และ พัลลันโด ยังมีไมอาร์ฝ่ายร้ายหรือฝ่ายมืด เรียกว่า อูไมอาร์ เช่น บัลร็อก และจอมมารคนที่สองคือ เซารอน
------ต่อมาจึงมีบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือ เอลฟ์และมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สร้างโดยอิลูวาทาร์เพียงผู้เดียว ซิลมาริลลิออน ได้เล่าถึงวิธีที่เอลฟ์และมนุษย์ตื่นและกระจายตัวไปทั่วโลก คนแคระนั้นเล่าว่าลอบสร้างโดยวาลาชื่อว่าอาวเล เมื่ออิลูวาทาร์ทราบเรื่อง เขาก็เสนอว่าจะทำลายพวกคนแคระเสีย อิลูวาทาร์ได้ให้อภัยความผิดของอาวเลและรับเผ่าคนแคระเป็นบุตรบุญธรรม ส่วนกลุ่มมนุษย์สามกลุ่มที่เป็นพันธมิตรซึ่งกันและกันรวมทั้งกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในยุคแรกเรียกว่า ชาวเอไดน์
------เพื่อตอบแทนความภักดีและความทรมานจาก สงครามแห่งเบเลริอันด์ ผู้สืบสกุลแห่งเอไดน์ จึงได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ เป็นบ้านของพวกเขา แต่ดังที่ได้อธิบายในส่วนของ ประวัติศาสตร์ของมิดเดิ้ลเอิร์ธ แล้วนั้น นูเมนอร์ได้ถูกทำลายและชาวนูเมนอร์ส่วนที่เหลือได้สร้างอาณาจักรทางดินแดนตอนเหนือของเอนดอร์ พวกที่ยังคงเชื่อในวาลาร์ได้ตั้งอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ พวกเขาเป็นที่รู้จักในนาม ดูเนไดน์ (Dúnedain) ในขณะที่ชาวนูเมนอร์ที่เหลือรอดอื่น ๆ ยังคงบูชาปีศาจแต่อยู่ไกลออกไปทางใต้ รู้จักในชื่อ ชาวนูเมนอร์ดำ
------โทลคีนนับฮอบบิทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แยกสาขาออกมาจากเผ่ามนุษย์ แม้ว่าจุดกำเนิดและประวัติศาสตร์โบราณของพวกเขาจะไม่ปรากฏ แต่โทลคีนถือว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ ลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ในตอนต้นยุคที่สาม แต่หลังจากหลายพันปีฮอบบิทเริ่มอพยพข้ามเทือกเขามิสตี้เข้าสู่ เอเรียดอร์ ท้ายที่สุดฮอบบิทจำนวนมากอาศัยอยู่ที่ แคว้นไชร์
------หลังจากที่พวกคนแคระได้รับชีวิตจริง ๆ จากอิลูวาทาร์แล้ว ผู้สร้างคนแคระคือ อาวเล ได้ทำให้พวกเขาหลับใหลในแถบภูเขาที่ถูกซ่อนไว้ อิลูวาทาร์ได้ปลุกพวกคนแคระหลังจากที่พวกเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว คนแคระได้กระจายไปตามเอนดอร์ตอนเหนือและตั้งอาณาจักรทั้งสิ้นเจ็ดอาณาจักร สองอาณาจักร คือ โนกร็อด และ เบเลกอสต์ เป็นเพื่อนกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในการต้านมอร์กอธในยุคแรก อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนแคระคือ คาซัดดูม ต่อมารู้จักในชื่อ มอเรีย
เอนท์ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ ถูกสร้างโดยอิลูวาทาร์เนื่องจากคำขอร้องของวาลานาม ยาวันนา เพื่อปกป้องต้นไม้จากการรื้อถอนของเอลฟ์ คนแคระและมนุษย์
------ออร์ค และ โทรลล์ เป็นสัตว์ปีศาจซึ่งถูกเพาะพันธุ์โดยมอร์กอธ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นแต่แรก แต่เป็นการเลียนแบบบุตรของอิลูวาทาร์และเอนท์ เพราะมีเพียงอิลูวาทาร์เท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ได้ ต้นกำเนิดของออร์คและโทรลล์นั้นไม่ชัดเจนนัก (โทลคีนพิจารณาความเป็นไปได้หลายอย่างและมักเปลี่ยนความคิดอยู่บ่อย ๆ) ดูเหมือนว่าที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือว่าออร์คถูกเลี้ยงให้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายมาจากเอลฟ์หรือมนุษย์หรือทั้งคู่ ต่อมาในยุคที่สาม พวกอุรุก หรือ อุรุก-ไฮ ได้ปรากฏขึ้น โดยเป็นเผ่าพันธุ์ของออร์คที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งโดยไม่เจ็บปวดเมื่อมีแสงอาทิตย์ในขณะที่ออร์คทั่วไปเป็น (บางคนถือว่าในปลายยุคที่สาม อุรุกจะเรียกว่าเป็น อุรุก-ไฮ เฉพาะพวกที่ทำงานให้ซารูมานเท่านั้น) ซารูมานผสมพันธุ์ออร์คและมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง "Men-orcs" และ "Orc-men" ต่อมาบางพวกเหล่านั้นเรียกว่า "half-orcs" หรือ "goblin-men" (ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับว่าอุรุก-ไฮของซารูมานเป็นพวกเหล่านี้หรือไม่ หนังสือไม่ได้มีคำใบ้ของ "pod grown" ที่อุรุก-ไฮถูกพรรณาใน ภาพยนตร์ไตรภาค ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน เมื่อไม่นานมานี้ - แม้ว่าแนวคิดของแจ็คสันจะได้รับแรงบันดาลใจจากการอ้างอิงของแกนดัล์ฟ ใน อภินิหารแหวนครองพิภพ ว่า "ออร์คทั้งหลายต่างเคย spawned" [emph. added].) โทรลล์พบเห็นน้อยมาก (และไม่ค่อยบรรยายนักโดยโทลคีน) สิ่งมีชีวิตที่โง่ พูดจาหยาบคายและโหดร้าย ถ้าพวกมันสัมผัสแสงแดด มันจะกลายเป็นหิน ในเรื่อง เดอะฮอบบิท โทรลล์สามตัวได้จับบิลโบและเพื่อนคนแคระของเขา รวมทั้งวางแผนจะกินพวกเขาด้วย
------ดูเหมือนว่าสัตว์ทรงปัญญาจะปรากฏในเรื่องด้วย ตัวอย่างเช่น โธรอนดอร์ นกอินทรี, ฮูอัน สุนัขไล่เนื้อขนาดใหญ่จาก วาลินอร์ และพวก วาร์ก นกอินทรีถูกสร้างขึ้นโดยอิลูวาทาร์คู่กับเอนท์ แต่จุดกำเนิดของสัตว์เหล่านี้โดยทั่วไปและธรรมชาติของพวกมันไม่ชัดเจนนัก บางตัวอาจเป็นไมอาร์ในรูปของสัตว์ หรือบางครั้งอาจเป็นแม้กระทั่งลูกหลานของไมอาร์หรือสัตว์ธรรมดาก็ได้ แมงมุมยักษ์เช่น ชีล็อบ สืบเชื้อสายมาจากแมงมุมธรรมดากับ อุงโกลิอันท์ ซึ่งน่าจะเป็นไอนูตนหนึ่ง
Credit http://th.wikipedia.org/wiki/ซิลมาริลลิออน
ปล. ผมเพียงต้องการนำเสนอเท่านั้นนะครับ ไม่ต้องการอะไร ไม่มีเจตนาที่จะก๊อปปี้บทความเพื่อให้ตัวเองดังหรืออะไร เพียงอยากจะแนะนำนวนิยายดีๆให้คนที่สนใจนะครับ
***เวปไซต์ :: http://writer.dek-d.com/dekdee/writer/view.php?id=845016
ตำนานแห่งซิลมาริล
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/4/40/SilmarillionBook_LR.jpg/200px-SilmarillionBook_LR.jpg
------ตำนานแห่งซิลมาริล (อังกฤษ: The Silmarillion) เป็นนิยายแฟนตาซีระดับสูง แต่งโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (ผู้แต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์) เริ่มประพันธ์โครงเรื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.1917 และมีการเขียนเพิ่มเติมมาโดยตลอด จนเมื่อ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน สิ้นชีวิตเมื่อปี ค.ศ.1973 วรรณกรรมเรื่องนี้ก็ยังเขียนไม่เสร็จ และยังไม่ได้รับการตีพิมพ์
------คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายคนที่สามของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ได้สานต่องานประพันธ์ของพ่อ โดยรวบรวมงานเขียนที่ยังคั่งค้างอยู่ ทั้งส่วนที่เขียนรายละเอียดแล้ว และส่วนที่มีเพียงแนวคิด โครงเรื่อง มาประพันธ์ต่อจนสำเร็จสมบูรณ์ เดอะ ซิลมาริลลิออน จึงได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1977
------เนื้อหาในตำนานแห่งซิลมาริล เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก และเหตุการณ์ในยุคที่หนึ่งและยุคที่สองของโลกอาร์ดา ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลายพันปีก่อนถึงยุคสมัยในเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งอยู่ในยุคที่สาม
ภาพรวมของเรื่อง
ตำนานแห่งซิลมาริล ประกอบด้วยเนื้อเรื่องห้าส่วน ดังนี้
1.ไอนูลินดาเล (Ainulindale) มหาคีตาแห่งไอนัวร์ : เล่าถึงตำนานการสร้างโลก
2.วาลาเควนตา (Valaquenta) ตำนานแห่งวาลาร์ : เล่าถึงเหล่าวาลาร์ และ ไมอาร์ ซึ่งเป็นบรรดาชนศักดิ์สิทธิ์ (คือ ไอนัวร์)
3.เควนตา ซิลมาริลลิออน(Quenta Silmarillion) ตำนานแห่งซิลมาริล : ประวัติศาสตร์ตั้งแต่กำเนิดสิ่งมีชิวิตจนถึงสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง เป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้
4.อคัลลาเบธ (Akallabeth) ชื่อนี้หมายถึง การล่มสลายของนูเมนอร์ : ว่าด้วยเรื่องราวการก่อตั้งเกาะนูเมนอร์ไปจนถึงกาลสิ้นสุดของเกาะ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงยุคที่สอง
5.ว่าด้วยแหวนแห่งอำนาจ และยุคที่สาม (Of the Rings of Power and the Third Age) เรื่องของการสร้างแหวน และเหตุการณ์ของยุคที่สาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
------ที่จริงแล้วเรื่องทั้ง 5 ชุดนี้ โทลคีนได้แต่งแยกกันเป็นหลายชิ้นหลายเรื่องย่อย มิใช่เป็นเรื่องเดียวต่อเนื่องกัน และยังมีการปรับปรุงแก้ไขแต่ละเรื่องย่อยเป็นหลายๆ เวอร์ชัน แต่ลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ ได้นำมาเรียบเรียงใหม่ โดยคัดเลือกเอาเวอร์ชันที่สอดคล้องกันมากที่สุดมารวมไว้ (ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุดที่โทลคีนแต่งไว้ก่อนเสียชีวิต) แล้วใช้ชื่อบทที่มีเนื้อหามากที่สุด คือ เควนตา ซิลมาริลลิออน (Quenta Silmarillion) หรือ ตำนานแห่งซิลมาริล มาเป็นชื่อของเรื่องที่เขาได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่
เนื้อเรื่องย่อยแต่ละชิ้น และแต่ละเวอร์ชันที่โทลคีนผู้พ่อแต่งไว้ โดยเฉพาะเวอร์ชันล่าสุดก่อนเสียชีวิต คริสโตเฟอร์ โทลคีนผู้ลูก ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ Unfinished Tales และหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ (The History of Middle Earth) ซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 12 เล่ม
โครงเรื่อง
ไอนูลินดาเล และวาลาเควนตา
------ไอนูลินดาเล เป็นเนื้อหาส่วนแรกของหนังสือ ตำนานแห่งซิลมาริล เล่าถึงเหตุการณ์การสร้างโลกในลักษณะตำนาน กล่าวคือ อิลูวาทาร์ ("พระบิดาแห่งสรรพสิ่ง") ทรงสร้างไอนัวร์ขึ้นก่อนทุกสิ่ง เป็นดวงจิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากดำริ หรือความคิดของพระองค์เอง จากนั้นอิลูวาทาร์ทรงแสดงดนตรีให้เหล่าไอนัวร์ชม แล้วโปรดให้พวกเขาบรรเลงดนตรีให้พระองค์ฟังบ้าง การบรรเลงดนตรีของเหล่าไอนัวร์นี้เรียกว่า "มหาคีตาแห่งไอนัวร์" (คำแปลของ ไอนูลินดาเล) ในระหว่างการบรรเลงนั้น เมลคอร์ ไอนัวร์องค์หนึ่งคิดอยากบรรเลงตามใจตัวเอง ทำให้เสียงดนตรีเพี้ยนผิดพลาดไปหมดจนล่มลง แต่องค์อิลูวาทาร์ทรงสำแดงฤทธิ์เป็นเสียงดนตรีไม่สิ้นสุด แล้วจากนั้นจึงแสดงภาพของโลกอาร์ดา ให้เหล่าไอนัวร์ได้เห็น โลกอาร์ดานั้นคือสิ่งที่บังเกิดขึ้นจากการบรรเลงดนตรีนั่นเอง
จากนั้นอิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา หรือโลกอาร์ดาขึ้นให้เป็นจริง แล้วโปรดให้เหล่าไอนัวร์ที่ทรงพลังอำนาจ ลงไปสถิตอยู่ในโลกนั้น เพื่อสร้างโลกให้เป็นไปตามที่พวกเขาได้บรรเลงบทเพลงเอาไว้ เหล่าไอนัวร์ที่ลงมาในโลก กลุ่มที่มีฤทธิ์มากเรียกว่า วาลาร์ กลุ่มที่มีฤทธิ์รองลงมา เรียกว่า ไมอาร์ พวกเขาทั้งหมดพากันสร้างโลกให้พร้อมรอรับการมาถึงของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ โดยที่มีเมลคอร์คอยขัดขวางการก่อสร้างอยู่ตลอด
บท วาลาเควนตา เป็นเนื้อหาส่วนที่สองของหนังสือ กล่าวถึงรายละเอียดของวาลาร์ทั้ง 14 พระองค์ และรายละเอียดของไมอาร์องค์สำคัญบางองค์ สุดท้ายกล่าวถึงเทพอสูรเมลคอร์ คือไอนัวร์ที่จิตใจหันไปสู่ความชั่วร้าย กับบรรดาไมอาร์ที่ยอมเป็นสมุนของเขา เช่นเซารอน และบัลร็อก
เควนตา ซิลมาริลลิออน
------คำว่า เควนตา (quenta) หมายถึง ตำนาน ส่วน ซิลมาริลลิออน (silmarillion) ประกอบจากคำว่า silmarilli และ -on โดยที่ silmarilli หมายถึง silmarils (คือรูปพหูพจน์ของ silmaril) ส่วน -on หมายถึง of the (ว่าด้วย) ดังนั้น Quenta Silmarillion จึงหมายถึง ตำนานว่าด้วยเรื่องของดวงมณีซิลมาริล
ซิลมาริล (หรือซิลมาริลลิในรูปพหูพจน์) คือดวงมณีสามดวงที่เฟอานอร์ เจ้าชายเอลฟ์ ชาวโนลดอร์ ประดิษฐ์ขึ้น แต่ถูกมอร์กอธขโมยไปหลังจากสังหารกษัตริย์ฟินเว บิดาของเฟอานอร์ เฟอานอร์กับโอรสทั้งเจ็ดและชาวโนลดอร์จึงติดตามไล่ล่าเพื่อล้างแค้น เรื่องราวส่วนใหญ่ในตอนนี้จะเกี่ยวกับการทำสงครามของพวกเอลฟ์กับมอร์กอธในแผ่นดินเบเลริอันด์ เพื่อชิงซิลมาริลกลับคืน
เควนตา ซิลมาริลลิออน ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 24 บท ในจำนวนนี้ เรื่องที่ถือว่าเป็นเอกในตำนานซิลมาริลลิออน ได้แก่
-ว่าด้วยเบเรนและลูธิเอน
-ว่าด้วยทูริน ทูรัมบาร์ (เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งใน นาร์น อิ ฮีน ฮูริน : ตำนานบุตรแห่งฮูริน คริสโตเฟอร์ โทลคีนได้รวบรวมตำนานนี้และประพันธ์ขึ้นเป็นเล่มต่างหากเมื่อปี พ.ศ. 2550 ใช้ชื่อหนังสือว่า ตำนานบุตรแห่งฮูริน (The Children of Hurin)
-ว่าด้วยทูออร์ และการล่มสลายของกอนโดลิน
-ว่าด้วยการเดินทางของเออาเรนดิล และสงครามแห่งความโกรธา
อคัลลาเบธ
------เนื้อหาส่วนนี้กล่าวถึงการกำเนิดและการล่มสลายของอาณาจักรมนุษย์ชาวนูเมนอร์ ซึ่งเป็นเกาะแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรใหญ่ที่เหล่าวาลาร์สร้างประทานให้เป็นของรางวัลแก่ชาวมนุษย์สามตระกูลที่เป็นสหายเอลฟ์ และได้ช่วยเหลือการศึกต่อต้านเมลคอร์มาโดยตลอด อาณาจักรนูเมนอร์ต้องล่มสลายลงก็ด้วยความเจ้าเล่ห์ของไมอาผู้ชั่วร้ายชื่อ เซารอน ซึ่งเคยเป็นสมุนมือขวาของเมลคอร์มาก่อน เซารอนสร้างสมอำนาจของตนขึ้นใหม่ในยุคที่สอง หมายจะครองมิดเดิลเอิร์ธทั้งหมด แต่ชาวนูเมนอร์ยกทัพมาปราบปรามลงได้ เมื่อเซารอนไม่สามารถเอาชนะชาวนูเมนอร์ด้วยกำลัง เขาจึงแสร้งเป็นยอมจำนนและให้ชาวนูเมนอร์จับตัวไปเป็นเชลย เซารอนหาทางเข้าไปใกล้ชิดกษัตริย์ อาร์-ฟาราโซน แล้วทำให้พระองค์หลงเชื่อคำยุยงจนตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา และเหิมเกริมถึงขนาดคิดยกทัพไปต่อสู้กับเหล่าวาลาร์เพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ ครั้นเมื่อทัพเรือของอาร์-ฟาราโซนยกไปถึงแผ่นดินอามัน อิลูวาทาร์ก็บันดาลให้มหาสมุทรใหญ่แยกเป็นเหวลึก ดูดเอาเกาะนูเมนอร์และกองเรือทั้งหมดจมหายไปในห้วงอเวจี ทว่าดวงจิตของเซารอนสามารถหนีรอดกลับมายังแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธได้ และชาวนูเมนอร์จำนวนหนึ่งที่ยังคงภักดีต่อวาลาร์และอิลูวาทาร์ ก็หนีรอดมายังมิดเดิลเอิร์ธได้เช่นกัน
ว่าด้วยแหวนแห่งอำนาจและยุคที่สาม
------เนื้อหาส่วนสุดท้ายของหนังสือเป็นบทสรุปเหตุการณ์ในวงล้อประวัติศาสตร์โลกอาร์ดาของโทลคีน กล่าวถึงการปรากฏตัวของจอมมารเซารอน ที่เรืองอำนาจขึ้นมาแทนที่ เมลคอร์ นายเก่าของตน เซารอนสร้างแหวนแห่งอำนาจขึ้น และก่อสงครามกับศัตรูเก่า คือเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ผู้เป็นสหายเอลฟ์ (ชาวนูเมนอร์) จนกระทั่งถึงสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นอันสิ้นสุดยุคที่สอง
จากนั้นเล่าถึงเหตุการณ์ในยุคที่สามที่เกี่ยวข้องกับแหวนแห่งอำนาจของเซารอน การกำเนิดสภาขาว การรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของอาณาจักรกอนดอร์ ไปจนถึงการสูญสิ้นอำนาจของเซารอนในปลายยุคที่สาม เนื้อหาในส่วนนี้เพียง 1 ย่อหน้า ขยายเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่ปรากฏในเรื่อง "เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" ว่าด้วยความพยายามทำลายแหวนเอกของเซารอน โดยชาวเพเรียนนัธ (ฮอบบิท) ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์
[CENTER]ยุคสมัยในเนื้อเรื่อง
ยุคแห่งวาลาร์
ยุคแห่งชวาลา
ยุคแห่งพฤกษา
ยุคแห่งตะวัน
นิยายที่เกี่ยวข้อง
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
เดอะฮอบบิท
Unfinished Tales
ตำนานบุตรแห่งฮูริน
ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ
มิดเดิลเอิร์ธ
http://www.hobbit1.com/images/middle-earth.jpg
------มิดเดิ้ลเอิร์ธ (Middle-earth) หรือ มัชฌิมโลก หมายถึงสถานที่ในนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อันเป็นฉากหลังของเรื่องราวตำนานทั้งหลายในงานเขียนของโทลคีน ปกรณัมของโทลคีนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมและครอบครองโลก (ในตำนานเรียกว่า "อาร์ดา") ซึ่งมีทวีปหลักชื่อว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" เป็นที่อยู่อาศัยของพวก 'มรรตัยชน' (คือมนุษย์ที่รู้ตาย) เป็นสถานที่ตรงข้ามกับ "อามัน" หรือ 'แดนอมตะ' อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกวาลาร์ กับพวกเอลฟ์ คำนี้มีรากมาจากคำภาษาอังกฤษยุคกลางว่า middel-erde ซึ่งพัฒนามาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณว่า middangeard
------แก่นสำคัญของงานเขียนของโทลคีนคือเรื่องของการช่วงชิง ควบคุม และครอบครองอำนาจหรือของวิเศษ ทำให้เกิดสงครามขึ้นบนมิดเดิลเอิร์ธหลายครั้งหลายหน คือสงครามระหว่างเหล่าเทพวาลาร์ เอลฟ์ และพันธมิตรชาวมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง กับเทพอสูรเมลคอร์กับบริวาร ได้แก่พวกออร์ค มังกร และมนุษย์ที่เป็นทาสอีกฝ่ายหนึ่ง ในตำนานยุคหลัง เมื่อเมลคอร์สิ้นอำนาจและถูกขับไล่ออกไปจากอาร์ดาแล้ว บทบาทการช่วงชิงนี้ก็ตกไปอยู่กับเซารอน สมุนเอกของเขา เหล่าเทพวาลาร์ได้ยุติบทบาทของตนลงหลังจากที่เมลคอร์สิ้นอำนาจ เพราะการสงครามระหว่างพวกพระองค์ครั้งนั้นได้ทำให้โลกพินาศเสียหายไปมาก อย่างไรก็ดีพวกพระองค์ก็ยังส่ง อิสตาริ หรือเหล่าพ่อมด เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการต่อต้านอำนาจของเซารอน อิสตาริที่มีบทบาทมากคือ แกนดัล์ฟพ่อมดเทา และซารูมานพ่อมดขาว แกนดัล์ฟได้ทำงานบรรลุวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี โดยได้ช่วยเหลือชาวมิดเดิลเอิร์ธอย่างถึงที่สุดเพื่อโค่นอำนาจเซารอนลงให้ได้ แต่ซารูมานกลับพ่ายแพ้ต่อความคิดฉ้อฉลแล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ช่วงชิงอำนาจบนมิดเดิลเอิร์ธแข่งกับเซารอนเสียเอง สำหรับพลเมืองชาวมิดเดิลเอิร์ธพวกอื่นๆ ได้แก่ คนแคระ เอนท์ และฮอบบิท อันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
------ในการสร้างสรรค์งานของโทลคีน เขาได้จัดทำแผนที่ของมิดเดิลเอิร์ธขึ้นเป็นจำนวนมาก แสดงถึงดินแดนและสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานของเขาเอ่ยถึง แผนที่บางส่วนได้รับการตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา แต่ก็ยังมีแผนที่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ตีพิมพ์เลยจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปแล้ว แผนที่ส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในยุคที่หนึ่งเกิดขึ้นบนดินแดนที่เรียกชื่อว่า เบเลริอันด์ ดินแดนนี้ต่อมาได้จมลงสู่ทะเลหลังสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพวาลาร์กับเมลคอร์ คงเหลือแต่เทือกเขาสีน้ำเงินที่ปรากฏอยู่ทางขวาสุดของแผนที่ เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวกันกับเทือกเขาสีน้ำเงินที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของแผนที่ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ดินแดนทางด้านตะวันออกของเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคที่สองและสาม
โทลคีนบอกว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยประมาณว่าปลายยุคที่สามคือช่วงระยะประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเลใหญ่" ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน
------ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ถูกแบ่งออกเป็นหลายยุค เรื่องราวที่ปรากฏใน เดอะฮอบบิท และเรื่องราวใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกิดขึ้นในราวปลายยุคที่สาม และนำไปสู่ช่วงเริ่มต้นของยุคที่สี่ ในขณะที่เรื่องราวใน ซิลมาริลลิออน ซึ่งเป็นงานเขียนของโทลคีนเกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ธที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ยุคสร้างโลกและยุคที่หนึ่งเป็นส่วนใหญ่
มิดเดิลเอิร์ธในยุคที่หนึ่ง
------เรื่องราวในยุคที่หนึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนดินแดนสุดตะวันตกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธที่มีชื่อว่า แผ่นดินเบเลริอันด์ ด้านตะวันตกจรดมหาสมุทรใหญ่ (เบเลกายร์) ด้านตะวันออกมีเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นกำแพงธรรมชาติ ด้านเหนือจรดทุ่งกว้างอาร์ด-กาเลน ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับอาณาจักรอังก์บันด์ของเมลคอร์ที่อยู่ทางเหนือ และด้านใต้จรดป่าใหญ่โดยมีอาร์แวนิเอนเป็นดินแดนปลายสุด ในแผ่นดินเบเลริอันด์มีแม่น้ำหลักที่สำคัญสองสายคือ แม่น้ำซิริออนเป็นแม่น้ำใหญ่ที่สุด และแม่น้ำเกลิออนที่แคบกว่าแต่ยาวที่สุด
------เบเลริอันด์ในยุคที่หนึ่งเป็นดินแดนที่ตั้งอาณาจักรของเอลฟ์มากมาย ได้แก่ อาณาจักรโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล อาณาจักรกอนโดลินของทัวร์กอน อาณาจักรนาร์โกธรอนด์ของฟินร็อด เฟลากุนด์ เป็นต้น นอกจากนี้มีอาณาจักรเอลฟ์อื่นๆ กระจายอยู่ทั่วไป เช่นอาณาจักรฮิธลุม ดอร์โธนิออน เนฟรัสต์ ฟาลัส และเขตที่ราบเจ็ดแม่น้ำเชิงเทือกเขาสีน้ำเงินซึ่งมีชื่อว่า ออสซิริอันด์ ดินแดนแห่งพวกกรีนเอลฟ์ และเป็นที่พำนักในช่วงสุดท้ายของชีวิตของเบเรนกับลูธิเอน เบเลริอันด์ยังมีชนเผ่าอื่นๆ อาศัยร่วมอยู่ด้วย เช่นเหล่ามนุษย์ผู้สวามิภักดิ์กับเอลฟ์ตระกูลต่างๆ อิสระชนแห่งป่าเบรธิล นอกจากนี้บนเทือกเขาสีน้ำเงินก็เป็นที่ตั้งนครใหญ่ของคนแคระอีกสองแห่ง คือนครเบเลกอสต์กับโนกร็อด
------การสงครามครั้งใหญ่ในช่วงปลายของยุคที่หนึ่งระหว่างเหล่าเทพวาลาร์กับเทพอสูรเมลคอร์ ที่เรียกชื่อว่า "สงครามแห่งพระพิโรธ" ทำให้แผ่นดินได้รับความเสียหายมากจนแผ่นดินเบเลริอันด์จมลงสู่ใต้ทะเล คงแต่เพียงเกาะแก่งบางส่วนเช่น โทลมอร์เวน เท่านั้น
มิดเดิลเอิร์ธในยุคที่สองและสาม
------ในยุคที่สองและสาม แผ่นดินตะวันตกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธได้แก่ แผ่นดินเอเรียดอร์ กอนดอร์ เทือกเขามิสตี้ และดินแดนปากแม่น้ำอันดูอิน เอเรียดอร์เป็นดินแดนที่อยู่ถัดจากเทือกเขาสีน้ำเงินออกมาทางตะวันออก โดยบรรจบชายทะเลที่เมืองท่าเกรย์เฮเว่นส์ ถัดออกมาทางตะวันออกเป็นอาณาจักรอาร์นอร์ หรืออาณาจักรเหนือของเหล่ามนุษย์แห่งดูเนไดน์ผู้รอดชีวิตมาจากการล่มเกาะนูเมนอร์ ส่วนหนึ่งของอาร์นอร์เป็นแว่นแคว้นไชร์ของเหล่าฮอบบิท ถัดจากแคว้นไชร์เป็นเมืองบรีซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทาง จากนั้นเป็นอิมลาดริส อาณาจักรเอลฟ์ผู้ลี้ภัยในความคุ้มครองของเอลรอนด์ ตั้งอยู่เชิงขุนเขาทางตะวันตกของเทือกเขามิสตี้ อันเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดบนมิดเดิลเอิร์ธ
------ใต้เทือกเขามิสตี้เป็นที่ตั้งมหานครของคนแคระชื่อว่า คาซัดดูม หรือ มอเรีย ทางด้านใต้ของเทือกเขาเป็นดินแดนไอเซนการ์ดของซารูมานพ่อมดขาว ติดกับอาณาจักรโรฮันซึ่งทอดตัวอยู่ในช่องแคบโรฮันระหว่างเทือกเขามิสตี้กับเทือกเขาขาว ฟากตะวันออกของเทือกเขามิสตี้เป็นแผ่นดินโรห์วานิออน มีแม่น้ำใหญ่อันดูอินไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ฟากตะวันตกของแม่น้ำเป็นที่ตั้งของลอธลอริเอน อาณาจักรเอลฟ์ในความคุ้มครองของเลดี้กาลาเดรียล ส่วนฟากตะวันออกเป็นป่าใหญ่กรีนวู้ด หรือป่าเมิร์กวู้ด อาณาจักรเอลฟ์ของธรันดูอิล ซึ่งอยู่ใกล้กันกับอาณาจักรเอเรบอร์ของเหล่าคนแคระกับอาณาจักรเดลของชาวมนุษย์ ที่ซึ่งมังกรสม็อกมาก่อความเดือดร้อนจนเกิดเป็นสงครามห้าทัพในเรื่อง เดอะฮอบบิท
------ใต้ลงไปเชิงเทือกเขามิสตี้เป็นที่ตั้งของป่าฟังกอร์น ซึ่งบรรจบกับอาณาจักรโรฮัน ถัดไปจากนั้นเป็นอาณาจักรกอนดอร์ หรืออาณาจักรใต้ของชาวดูเนไดน์ซึ่งเป็นอาณาจักรพี่น้องกับอาร์นอร์ในทางเหนือ กอนดอร์กินอาณาบริเวณครอบคลุมลงไปจนจรดปากแม่น้ำอันดูอิน มีเมืองท่าเพลาเกียร์เป็นเมืองใหญ่ ฟากตะวันออกของกอนดอร์เป็นเทือกเขาแห่งเงาและเทือกเขาเอเฟลดูอัธ ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นขวางอาณาจักรมอร์ดอร์ของเซารอนเอาไว้เบื้องหลัง ใต้อาณาจักรมอร์ดอร์ลงไปเป็นดินแดนฮารัดและชนเผ่าทางใต้ ซึ่งมนุษย์ในดินแดนเหล่านี้ล้วนตกอยู่ใต้อาณัติของเซารอนสิ้น
ประวัติศาสตร์
------ประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดาตามที่ปรากฏในเรื่อง ซิลมาริลลิออน แบ่งออกได้เป็นสี่ยุคใหญ่ ๆ รู้จักกันในนาม
*ไอนูลินดาเล
*ยุคแห่งชวาลา
*ยุคแห่งพฤกษา
*ยุคแห่งตะวัน
------แต่ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธเริ่มมีการบันทึกไว้ก็เมื่อหลังจากเหล่าเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนนในยุคที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างยุคแห่งพฤกษา หรือในบทประพันธ์จะเรียกว่าเป็น ยุคบรรพกาล ในระหว่างยุคที่หนึ่งนี้พวกมนุษย์ได้ตื่นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์แรกปรากฏขึ้นบนโลกอันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งตะวัน ซึ่งกินเวลาตลอดช่วงที่เหลือของยุคที่หนึ่ง และต่อเนื่องไปถึงยุคที่สอง ยุคที่สาม ยุคที่สี่ เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ยุคสร้างโลก
http://twilightswarden.files.wordpress.com/2012/06/tn-the_incoming_sea_at_the_rainbow_cleft.jpg?w=529&h=400
------เทพเจ้าสูงสุดแห่งเอกภพของโทลคีนเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ในตอนแรก อิลูวาทาร์ได้สร้างจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ไอนัวร์ และได้สอนวิญญาณเหล่านั้นให้สร้างบทเพลงขึ้น หลังจากที่ไอนัวร์ช่ำชองในความสามารถของแต่ละตนแล้ว อิลูวาทาร์ได้สั่งให้พวกไอนัวร์สร้างบทเพลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเพลงที่อิลูวาทาร์ประพันธ์ขึ้น ไอนัวร์ที่มีพลังสูงสุดคือ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ หรือ "ศัตรูมืด" โดยพวกเอลฟ์) ได้ทำให้เพลงเสียกระบวน อิลูวาทาร์จึงแก้ไขโดยสร้างแนวเพลงที่ปรับปรุงให้ดีเหนือความเข้าใจของไอนัวร์ ก้าวย่างแห่งบทเพลงของพวกเขาได้หว่านเมล็ดของประวัติศาสตร์แห่งเอกภพที่ยังไม่ได้สร้างและผู้ที่จะมาอยู่ ณ ที่นั้น
------จากนั้นอิลูวาทาร์จึงหยุดเพลงและเปิดเผยความหมายของบทเพลงแก่ไอนัวร์ผ่านการมองเห็น ด้วยทัศนะเหล่านั้น ไอนูร์หลายตนสัมผัสถึงแรงกระตุ้นที่บีบบังคับให้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตรง อิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา (Ea) คือเอกภพ และไอนัวร์บางองค์ก็ลงไปในเอกภพเพื่อร่วมในประสบการณ์แห่งเอกภพ แต่เมื่อเข้าไปในเออา เหล่าไอนัวร์พบว่ามันไร้รูปร่างเพราะพวกเขาเข้าไปที่จุดเริ่มต้นของเวลา ไอนัวร์จึงรับผิดชอบงานอันยิ่งใหญ่ในช่วง "ยุคแห่งดวงดาว" พวกเขาเตรียมสิ่งของต่างๆ เพื่อรับการมาถึงของเอลฟ์และมนุษย์ ไอนัวร์พวกนี้มีชื่อเรียกว่า วาลาร์ ในจำนวนนี้ มานเว เป็นวาลาร์ผู้เป็นหัวหน้า แต่เมลคอร์เป็นผู้ทรงพลังที่สุด
------อาร์ดาในตอนแรกเป็นโลกแบน ๆ เหล่าวาลาร์สร้างแสงสว่างโดยการสร้างดวงตะเกียงขนาดใหญ่สองดวง แต่เมลคอร์ทำลายดวงตะเกียงทำให้โลกมืดมน วาลาร์จึงย้ายถิ่นไปอยู่ทางตะวันตกสุดของอาร์ดา พวกเขาสร้างทวิพฤกษาขึ้นใหม่เพื่อให้แสงสว่างแก่แผ่นดินใหม่ของตน วาลาร์ขังเมลคอร์ไว้ และป้องกันแผ่นดินเพื่อเตรียมการสำหรับการตื่นของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ แต่เมื่อเมลคอร์พ้นจากการจองจำ เขาก็ทำลายทวิพฤกา วาลาร์จึงได้นำผลที่ยังมีชีวิตสองผลสุดท้ายของต้นไม้ทั้งสองและใช้มันสร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดาแต่แยกตัวออกมาจากอัมบาร์ (โลก)
------ยุคแห่งชวาลาเริ่มต้นไม่นานหลังจาก วาลาร์ เสร็จสิ้นงานในการวางรูปร่างอาร์ดา วาลาร์ได้สร้างตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก วาลาร์ อาวเล ได้สร้างหอคอยขนาดใหญ่ อันหนึ่งอยู่เหนือสุด อีกอันอยู่ใต้สุด และวาลาร์ได้อาศัยอยู่ตรงกลางบนเกาะแห่งอัลมาเรน การทำลายตะเกียงทั้งสองของเมลคอร์ถือเป็นจุดจบของยุคแห่งชวาลา
หลังจากนั้น ยาวันนา ได้สร้าง ทวิพฤกษา ชื่อว่า เทลเพริออน และ เลาเรลิน ในดินแดนแห่งอามัน เป็นกาลเริ่มต้นยุคแห่งพฤกษา ต้นไม้ทั้งสองส่องสว่างอามันและปล่อยให้ส่วนที่เหลือของอาร์ดาตกอยู่ในความมืด
ยุคที่หนึ่ง
------ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก เอลฟ์ได้ตื่น ข้างทะเลสาบ คุยวิเอเนน ในทางตะวันออกของเอนดอร์ และวาลาร์ได้ไปพบพวกเขาในไม่ช้า เอลฟ์จำนวนมากถูกชักชวนให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่ มุ่งสู่ตะวันตกไปยังอามัน แต่พวกเขามิได้เดินทางโดยสำเร็จถ้วนทุกคน(ดู การแบ่งประเภทของเอลฟ์) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์และกระตุ้นให้เกิดการวิวาทระหว่างเจ้าชายเอลฟ์ เฟอานอร์ กับ ฟิงโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล อัญมณีสามดวงที่เฟอานอร์สร้าง อันบรรจุแสงแห่งพฤกษาทั้งสอง ไปจากคลังสมบัติของเขา รวมทั้งทำลายทวิพฤกษาด้วย
------เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่อไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามประหัตประหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา
ยุคแห่งตะวันเริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงเกิด ยุคแห่งสันติสุขอันยาวนาน เป็นเวลาสี่ร้อยปี มนุษย์กลุ่มแรกได้มาถึงแผ่นดินเบเลริอันด์ในช่วงยุคนั้น โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน มา เมื่อมอร์กอธเอาชนะ วงล้อมแห่งอังก์บันด์ ได้ อาณาจักรของเอลฟ์ก็ล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยเอลฟ์และมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนชาวเอไดน์ และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมลิอัน ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งมาจากมงกุฏของมอร์กอธได้ เบเรนและลูธิเอนตายหลังเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับการชุบชีวิตจากวาลาร์ด้วยข้อตกลงว่า ลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก
------ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่งโนกร็อด และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ ดิออร์ เอลฟ์กึ่งมนุษย์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง โดริอัธ เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า ดิออร์ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลายโดริอัธ และฆ่าดิออร์ในสงครามสังหารญาติครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของดิออร์ที่ยังเล็กคือ เอลวิง ได้หนีไปพร้อมกับดวงมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ เคเลกอร์ม, คูรูฟิน และ คารันเธียร์ ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา
ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกเอลฟ์และมนุษย์อิสรชนที่เหลือในเบเลริอันด์ได้ตั้งหลักปักฐาน ณ ปากแม่น้ำซิริออน ในกลุ่มนั้นมีเออาเรนดิลซึ่งแต่งงานกับ เอลวิง รวมอยู่ด้วย แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่การสังหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี
------ซิลมาริลถูกยึดคืนมาได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส เมื่อแผ่นดินเบเลริอันด์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ มายดรอส และ มากลอร์ ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ผู้มีชัย แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ และคำสาบานก็สูญเปล่า พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน มายดรอสโจนตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วนมากลอร์ขว้างซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงไปสู่จุดหมายบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล ในพื้นพิภพ และในทะเลตามลำดับ
ยุคที่สอง
------แล้วจึงเริ่มต้น ยุคที่สอง ชาวเอไดน์ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ทางตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่เอลฟ์จำนวนมากได้รับการต้อนรับกลับสู่แดนประจิม ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าเอลฟ์ในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในเอลฟ์ช่างใน เอเรกิออน มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเริ่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกเอลฟ์ล่วงรู้แผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอก พวกเอลฟ์จึงเอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมพวกเขาได้
------กษัตริย์ชาวนูเมนอร์องค์สุดท้ายคือ อาร์-ฟาราโซน มีกองทัพที่แข็งแกร่งมากจนแม้เซารอนยังต้องยอมสยบ ถูกจับมายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวนเอก เซารอนล่อลวงอาร์-ฟาราโซน และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามัน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน แผ่นดินอมตะ อามันดิล หัวหน้าของเหล่าผู้ศรัทธาต่อวาลาร์ รำลึกถึงการเดินทางขออภัยโทษแทนมนุษยชาติของเออาเรนดิล จึงได้ล่องเรือไปเพื่อขอความเมตตาจากวาลาร์ แต่เพื่อปิดบังวัตถุประสงค์การเดินทางของตน เมื่อแรกเขาจึงล่องเรือไปทางตะวันออกแล้วจึงวกตะวันตก แต่ไม่มีข่าวมาจากเขาอีกเลย ลูกชายของเขา เอเลนดิล กับหลานชายของเขาคือ อิซิลดูร์ และ อนาริออน กันเหล่าผู้ศรัทธาออกจากสงครามที่กำลังมาถึง และลอยเรือเตรียมตัวหลบหนี เมื่อกองทัพของกษัตริย์ไปถึงอามัน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์เข้าทรงจัดการเอง โลกจึงได้เปลี่ยนไป และอามันถูกย้ายออกจากอิมบาร์ นับแต่นั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นอามันได้อีก แต่เอลฟ์ผู้เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับพรในการใช้ เส้นทางมุ่งตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามัน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขารอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ ต่อมาไม่นานเซารอนเรืองอำนาจขึ้นอีก แต่เอลฟ์ร่วมมือกับมนุษย์ขึ้นเป็น กองทัพแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด อิซิลดัวร์ยึดแหวนเอกของเขามาได้ แต่ไม่ได้ทำลาย
ยุคที่สาม
------ยุคที่สาม เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของอาณาจักร์อาร์นอร์และกอนดอร์ ในสมัยของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้น และได้ค้นหาแหวนเอก เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง จึงได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวนคือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง เมาท์ดูม โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น คณะพันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป
------จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบของยุครุ่งโรจน์ของพวกเอลฟ์ และเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่มต้น เอลฟ์จำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป
ภาษาและชาติพันธุ์ต่าง ๆ
------โทลคีนได้ประดิษฐ์ภาษาเอลฟ์ขึ้นสองภาษาหลัก ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม เควนยา ใช้พูดกันโดยชาว วันยาร์ โนลดอร์ และ เทเลริ บางส่วน กับภาษาซินดาริน ที่ใช้พูดกันในหมู่ชาวซินดาร์ คือเอลฟ์ที่อาศัยในเบเลริอันด์ (ดูด้านล่าง) ภาษาทั้งสองมีรากมาจากแหล่งเดียวกัน คือจาก คอมมอนเอลดาริน อันเป็นภาษาโบราณที่ประดิษฐ์ไว้อย่างสมจริงที่สุด โทลคีนเปรียบเทียบเควนยาเหมือนภาษา ละติน ขณะที่ซินดารินเป็นเหมือนภาษาพูดทั่วไป
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในโลก ได้แก่
ภาษาอดูนาอิค ของชาวนูเมนอร์
ภาษาแบล็กสปีช ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดย เซารอน สำหรับทาสรับใช้ของเขาในการพูดคุย
ภาษาคุชดุล ของคนแคระ
ภาษาฮอบบิติช - ของพวกฮอบบิท
ภาษาโรเฮียร์ริค ของชาว โรเฮียร์ริม ในลอร์ดออฟเดอะริงส์แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษโบราณ
ภาษาเวสทรอน 'ภาษากลาง' แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษ
ภาษาวาลาริน ภาษาของเหล่าไอนัวร์
วัฒนธรรม
------มิดเดิลเอิร์ธเป็นบ้านสำหรับสายพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ กันหลายเผ่า เผ่าแรกคือไอนัวร์ ซึ่งกำเนิดขึ้นจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ไอนัวร์ได้ร้องเพลงถวายอิลูวาทาร์ ผู้สร้างเออา เพื่อการมีอยู่ของบทเพลงในตำนานการสร้างเอกภพที่เรียกว่า ไอนูลินดาเล หรือ "บทเพลงแห่งไอนัวร์" ไอนัวร์บางตนได้เข้าสู่เออา และพวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่า วาลาร์ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ) หัวหน้าของปีศาจร้ายในเออา ก็เป็นหนึ่งในวาลาร์ในตอนแรก
------ไอนัวร์อื่นที่เข้ามาในเออา เรียกว่า ไมอาร์ ในยุคแรกนั้น ไมอาที่ปรากฏชื่อมากที่สุดคือเมลิอัน ชายาของกษัตริย์พราย ธิงโกล ในยุคที่สามระหว่าง สงครามแหวน ไมอาร์ห้าตนถูกสร้างร่างขึ้นและส่งไปยังเอนดอร์เพื่อช่วยเหลืออิสรชนล้มล้างเซารอน ไมอาร์เหล่านั้นคืออิสทาริ (หรือ Wise Ones) (มนุษย์เรียกว่า พ่อมด) ได้แก่ แกนดัล์ฟ, ซารูมาน, ราดากัสต์, อลาทาร์ และ พัลลันโด ยังมีไมอาร์ฝ่ายร้ายหรือฝ่ายมืด เรียกว่า อูไมอาร์ เช่น บัลร็อก และจอมมารคนที่สองคือ เซารอน
------ต่อมาจึงมีบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือ เอลฟ์และมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สร้างโดยอิลูวาทาร์เพียงผู้เดียว ซิลมาริลลิออน ได้เล่าถึงวิธีที่เอลฟ์และมนุษย์ตื่นและกระจายตัวไปทั่วโลก คนแคระนั้นเล่าว่าลอบสร้างโดยวาลาชื่อว่าอาวเล เมื่ออิลูวาทาร์ทราบเรื่อง เขาก็เสนอว่าจะทำลายพวกคนแคระเสีย อิลูวาทาร์ได้ให้อภัยความผิดของอาวเลและรับเผ่าคนแคระเป็นบุตรบุญธรรม ส่วนกลุ่มมนุษย์สามกลุ่มที่เป็นพันธมิตรซึ่งกันและกันรวมทั้งกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในยุคแรกเรียกว่า ชาวเอไดน์
------เพื่อตอบแทนความภักดีและความทรมานจาก สงครามแห่งเบเลริอันด์ ผู้สืบสกุลแห่งเอไดน์ จึงได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ เป็นบ้านของพวกเขา แต่ดังที่ได้อธิบายในส่วนของ ประวัติศาสตร์ของมิดเดิ้ลเอิร์ธ แล้วนั้น นูเมนอร์ได้ถูกทำลายและชาวนูเมนอร์ส่วนที่เหลือได้สร้างอาณาจักรทางดินแดนตอนเหนือของเอนดอร์ พวกที่ยังคงเชื่อในวาลาร์ได้ตั้งอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ พวกเขาเป็นที่รู้จักในนาม ดูเนไดน์ (Dúnedain) ในขณะที่ชาวนูเมนอร์ที่เหลือรอดอื่น ๆ ยังคงบูชาปีศาจแต่อยู่ไกลออกไปทางใต้ รู้จักในชื่อ ชาวนูเมนอร์ดำ
------โทลคีนนับฮอบบิทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แยกสาขาออกมาจากเผ่ามนุษย์ แม้ว่าจุดกำเนิดและประวัติศาสตร์โบราณของพวกเขาจะไม่ปรากฏ แต่โทลคีนถือว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ ลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ในตอนต้นยุคที่สาม แต่หลังจากหลายพันปีฮอบบิทเริ่มอพยพข้ามเทือกเขามิสตี้เข้าสู่ เอเรียดอร์ ท้ายที่สุดฮอบบิทจำนวนมากอาศัยอยู่ที่ แคว้นไชร์
------หลังจากที่พวกคนแคระได้รับชีวิตจริง ๆ จากอิลูวาทาร์แล้ว ผู้สร้างคนแคระคือ อาวเล ได้ทำให้พวกเขาหลับใหลในแถบภูเขาที่ถูกซ่อนไว้ อิลูวาทาร์ได้ปลุกพวกคนแคระหลังจากที่พวกเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว คนแคระได้กระจายไปตามเอนดอร์ตอนเหนือและตั้งอาณาจักรทั้งสิ้นเจ็ดอาณาจักร สองอาณาจักร คือ โนกร็อด และ เบเลกอสต์ เป็นเพื่อนกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในการต้านมอร์กอธในยุคแรก อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนแคระคือ คาซัดดูม ต่อมารู้จักในชื่อ มอเรีย
เอนท์ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ ถูกสร้างโดยอิลูวาทาร์เนื่องจากคำขอร้องของวาลานาม ยาวันนา เพื่อปกป้องต้นไม้จากการรื้อถอนของเอลฟ์ คนแคระและมนุษย์
------ออร์ค และ โทรลล์ เป็นสัตว์ปีศาจซึ่งถูกเพาะพันธุ์โดยมอร์กอธ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นแต่แรก แต่เป็นการเลียนแบบบุตรของอิลูวาทาร์และเอนท์ เพราะมีเพียงอิลูวาทาร์เท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ได้ ต้นกำเนิดของออร์คและโทรลล์นั้นไม่ชัดเจนนัก (โทลคีนพิจารณาความเป็นไปได้หลายอย่างและมักเปลี่ยนความคิดอยู่บ่อย ๆ) ดูเหมือนว่าที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือว่าออร์คถูกเลี้ยงให้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายมาจากเอลฟ์หรือมนุษย์หรือทั้งคู่ ต่อมาในยุคที่สาม พวกอุรุก หรือ อุรุก-ไฮ ได้ปรากฏขึ้น โดยเป็นเผ่าพันธุ์ของออร์คที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งโดยไม่เจ็บปวดเมื่อมีแสงอาทิตย์ในขณะที่ออร์คทั่วไปเป็น (บางคนถือว่าในปลายยุคที่สาม อุรุกจะเรียกว่าเป็น อุรุก-ไฮ เฉพาะพวกที่ทำงานให้ซารูมานเท่านั้น) ซารูมานผสมพันธุ์ออร์คและมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง "Men-orcs" และ "Orc-men" ต่อมาบางพวกเหล่านั้นเรียกว่า "half-orcs" หรือ "goblin-men" (ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับว่าอุรุก-ไฮของซารูมานเป็นพวกเหล่านี้หรือไม่ หนังสือไม่ได้มีคำใบ้ของ "pod grown" ที่อุรุก-ไฮถูกพรรณาใน ภาพยนตร์ไตรภาค ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน เมื่อไม่นานมานี้ - แม้ว่าแนวคิดของแจ็คสันจะได้รับแรงบันดาลใจจากการอ้างอิงของแกนดัล์ฟ ใน อภินิหารแหวนครองพิภพ ว่า "ออร์คทั้งหลายต่างเคย spawned" [emph. added].) โทรลล์พบเห็นน้อยมาก (และไม่ค่อยบรรยายนักโดยโทลคีน) สิ่งมีชีวิตที่โง่ พูดจาหยาบคายและโหดร้าย ถ้าพวกมันสัมผัสแสงแดด มันจะกลายเป็นหิน ในเรื่อง เดอะฮอบบิท โทรลล์สามตัวได้จับบิลโบและเพื่อนคนแคระของเขา รวมทั้งวางแผนจะกินพวกเขาด้วย
------ดูเหมือนว่าสัตว์ทรงปัญญาจะปรากฏในเรื่องด้วย ตัวอย่างเช่น โธรอนดอร์ นกอินทรี, ฮูอัน สุนัขไล่เนื้อขนาดใหญ่จาก วาลินอร์ และพวก วาร์ก นกอินทรีถูกสร้างขึ้นโดยอิลูวาทาร์คู่กับเอนท์ แต่จุดกำเนิดของสัตว์เหล่านี้โดยทั่วไปและธรรมชาติของพวกมันไม่ชัดเจนนัก บางตัวอาจเป็นไมอาร์ในรูปของสัตว์ หรือบางครั้งอาจเป็นแม้กระทั่งลูกหลานของไมอาร์หรือสัตว์ธรรมดาก็ได้ แมงมุมยักษ์เช่น ชีล็อบ สืบเชื้อสายมาจากแมงมุมธรรมดากับ อุงโกลิอันท์ ซึ่งน่าจะเป็นไอนูตนหนึ่ง
Credit http://th.wikipedia.org/wiki/ซิลมาริลลิออน
ปล. ผมเพียงต้องการนำเสนอเท่านั้นนะครับ ไม่ต้องการอะไร ไม่มีเจตนาที่จะก๊อปปี้บทความเพื่อให้ตัวเองดังหรืออะไร เพียงอยากจะแนะนำนวนิยายดีๆให้คนที่สนใจนะครับ