PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : เล่าขานตำนานบั้งไฟพญานาค และเหตุผลที่คนทำได้และไม่ได้ !!



mark2309
17th August 2012, 22:01
http://statics.atcloud.com/files/comments/45/452982/images/1_original.jpg

ตราบจนทุกวันนี้ เจ้าลูกไฟสีแดงอมชมพูที่พวยพุ่งขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขง ช่วงรอยต่อของ จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ ในทุกคืนของวันออกพรรษา(15 ค่ำเดือน 11) ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า?บั้งไฟพญานาค? ยังคงเป็นปริศนาที่ดำมืดรอคอยให้มนุษย์ขี้สงสัยทั้งหลายพิสูจน์กันต่อไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นดังสีสันในการพูดคุยเรื่องบั้งไฟพญานาค ก็เห็นจะเป็นเรื่องราวกล่าวขานที่เกี่ยวกับตำนานพญานาค

ซึ่งจากตำนานของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอีสานที่อยู่ริมฝั่งโขง มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ในประเทศลาวนั้น ในอดีตกาลเป็นเมืองที่สร้างและปกครองเมืองโดยพญานาค

โดยที่เขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จุดที่พบบั้งไฟมากที่สุดเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ของพญานาค ส่วนที่แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ จ.หนองคายนั้นถือว่า เป็นเมืองหลวงของพญานาค เนืองจากว่าจุดนั้นเป็น ?สะดือแม่น้ำโขง? หรือส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งชาวประมงเคยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปในหน้าแล้งแล้ววัดดูปรากฏว่ามีความลึก 99 วา ของผู้ใหญ่

ทั้งนี้เรื่องของพญานาคและเมืองบาดาลก็ได้ไปสอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามะกะ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ ?บั้งไฟพญานาค? และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้....

เราจึงเห็นบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น !?!

?บั้งไฟพญานาค? กับเหตุผลที่คนทำได้และไม่ได้

หลายๆ คน ก็หลายๆ ความคิด เรียกว่านานาจิตตัง สำหรับการโจษจันเรื่องบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นทุกค่ำคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือในวันออกพรรษาของทุกปี ณ กลางลำน้ำโขง อ.โพนพิสัย ใน จ.หนองคาย และอ.ใกล้เคียง

บ้างก็ว่าพญานาคแห่งเมืองบาดาลจุดบั้งไฟถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันออกพรษา

บ้างก็ว่าเป็นปรากฏการณ์เคมีที่เกิดจากธรรมชาติ

ส่วนบางคนก็ว่าบั้งไฟพญานาคจริงๆแล้วเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งคนที่เชื่อในเหตุผลนี้แม้ว่าจะมีส่วนน้อยกว่า 2 เหตุผลแรก แต่กระนั้นก็ยังผู้พยายามพิสูจน์และยกตัวอย่างให้เห็นว่า มนุษย์เป็นผู้ที่ทำบั้งไฟพญานาคขึ้นมา ส่วนจะทำขึ้นมาเพื่ออะไรนั้นยังตอบไม่ได้

?บั้งไฟพญานาค? กับเหตุผลที่คนทำได้

สมชาติ วิทยารุ่งเรือง ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต นับเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามหาเหตุผลมาประกอบเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า บั้งไฟพญานาคนั้นเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ โดยเขาได้กล่าวไว้ในนสพ.ยักษ์ใหญ่หัวเขียวเมื่อช่วงออกพรรษาปีที่แล้วว่า ถ้าบั้งไฟพญานาคเป็นฝีมือของมนุษย์ มนุษย์จะทำขึ้นมาได้อย่างไรบ้าง

ซึ่งสมชาติก็ได้สรุปวิธีการทำบั้งไฟพญานาคในแบบฉบับของเขามาได้ 8 วิธี

วิธีที่แรก เพียงนำถ่านแคลเซียมคาร์ไบด์ กับก้อนน้ำแข็งหุ้มด้วยผ้า (เพื่อให้น้ำแข็งค่อยๆ ละลายทีละน้อย) ใส่รวมกันในถุงพลาสติก บรรจุปืนแก๊ปเด็กเล่นที่มีดินปืน ผูกเชือกรั้งไกปืน ผูกถุงติดกับทุ่นที่ใช้ลูกมะพร้าว ตากแห้ง ให้ลอยน้ำก็ได้ เมื่อปล่อยถุงลอยน้ำ น้ำแข็งจะละลายซึมผ่านผ้าทีละน้อย เป็นการตั้งเวลาการจุดลูกไฟพญานาค ตามหลักการนักประดิษฐ์...ด้วยวิธีธรรมชาติที่สุด

น้ำแข็งที่ละลายออกมา เมื่อทำปฏิกิริยากับ แคลเซียมคาร์ไบด์ จะเกิดแก๊สขึ้น ทำให้ถุงพอง ออกเรื่อยๆ เมื่อแก๊สในถุงสะสมพองมากขึ้น เชือกที่ผูกไกปืน ไว้จะดึงจนปลดไกปืนกระแทก กับเชื้อปะทุ เกิดประกายไฟ ลุกไหม้แก๊สในถุง ให้พวยพุ่งขึ้นจากผิวน้ำ เกิดเป็นลูกไฟพญานาค ถ้าต้องการลูกไฟหลายลูก ก็ต้องทำหลายถุงหน่อย

วิธีที่ 2 เขาว่าใส่ปืนแก๊ปกับดินปืนในถุง มัดปลายเชือกกับไกปืนกับปากถุง ปลายเชือกที่ผูกสลักไกปืนจะต่อผูกกับทุ่น ทำจากถุงพลาสติกใส่ก้อนหินในถุง ปิดปากถุงด้วยสำลี แล้วใช้สำลีอุดปากถุง เพื่อตั้งเวลาจุดชนวน เวลาปล่อยลูกไฟประดิษฐ์ลงน้ำ สำลีจะซับน้ำจนทุ่นลอยไม่ไหว จมน้ำตามน้ำหนักหินที่ถ่วงไว้ เมื่อถุงทุ่นจมจะฉุดถุงดินปืนจมตาม ดึงสลักไกปืนอัตโนมัติ ปะทุดินปืนลุกไหม้เป็นลูกไฟลอยจากใต้น้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ

เทคนิคประดิษฐ์ลูกไฟแบบนี้เชือกที่ผูกสลักไกปืนติดถุงทุ่น ต้องทำให้ปากถุงยืดหยุ่นได้

วิธีที่ 3 ให้ใส่ดินปืนในถุงกันน้ำ ใส่แบตเตอรี่ 9 โวลต์ ต่อกับหลอดไฟฉายที่กะเทาะเอาแก้วหุ้มออก ตัดไส้หลอดให้ขาดต่อยาวออกมานอกถุงใช้เป็นสะพานไฟ จากนั้นมัดปากถุงให้แน่น กันไม่ให้น้ำเข้า นำปลายสะพานไฟต่อเข้ากับแผ่นทองแดงบางๆขนาดแผ่นละ 2 ตารางนิ้ว วางแผ่นทองแดงให้ชิดกันมากที่สุด อย่าให้แตะกัน

แล้วนำสะพานไฟทองแดงใส่ถุงพลาสติกที่มีสำลีกับเกลือเม็ด มัดถุงอย่าให้สนิท เพื่อให้น้ำซึมเข้าถุงได้ เวลาลอยน้ำ น้ำจะซึมผ่านสำลีเปลี่ยนเกลือเม็ดเป็นสารละลายน้ำ เกลือทำให้แผ่นทองแดงมีหน้าที่ เป็นสะพานไฟ

เมื่อลูกไฟประดิษฐ์ครบวงจรหลอดไฟฉายจะร้อนแดงเป็นไฟจุดดินปืนในถุงให้ระเบิด เกิดเป็นลูกไฟลอยขึ้นสู่ผิวน้ำได้เช่นกัน ขณะที่หลักฐานที่ปรากฏคือทุ่นสำลี ก็จะดูดน้ำแล้วจมลงใต้น้ำ ไม่มีหลักฐานให้จับได้

วิธีที่ 4 ก็ใช้ดินปืนเหมือนกันโดยใส่ดินปืนและตัวจุดชนวนในถุงพลาสติก ตัวจุดชนวนทำเหมือนแบบปืนแก๊ป แต่เปลี่ยนเป็นแบบ ที่หนีบเสื้อกับราวตากผ้า ปลายหนีบข้างหนึ่งมีเชื้อปะทุ จะระเบิดด้วยแรงสปริงเมื่อที่หนีบกางออก

แต่บีบไว้ด้วยยาง และแช่ยางไว้ในน้ำมันเบนซิน ต้องแช่ยางอีกถุง กันไม่ให้น้ำมันผสมกับดินปืน ยางที่แช่ในน้ำมันเบนซินนานหลายชั่วโมงจะหมดสภาพคลายความเหนียว ทำให้ก้านหนีบแยกตัวออก เกิดการจุดชนวนระเบิดลุกไหม้ เกิดเป็นลูกบั้งไฟพญานาคจากใต้น้ำอีกแบบหนึ่ง

วิธีที่ 5คล้ายกับวิธีที่ 4 แต่เปลี่ยนการรัดที่หนีบจากยางเป็นลวดเส้นเล็กๆ และแช่ลวดในน้ำกรด เมื่อกรดกัดลวดขาด ก้านหนีบดีดตัวออกเกิดการจุดระเบิด ลุกไหม้ทันที

วิธีที่ 6 ใช้วิธีแบบเดิม แต่เปลี่ยนใช้เชือกผูกกับยางที่รัดก้านหนีบ อาศัยคลื่นน้ำช่วยรูดยางออก จนเกิดการจุดชนวนปะทุลุกไหม้เป็นลูกไฟ

วิธีที่ 7 เป็นการใส่ดินปืนและปืนแก๊ปในถุงพลาสติก ใช้การพองตัวของเม็ดแมงลักปลดล็อกตัวจุดชนวน บรรจุเม็ดแมงลักในกระบอก ด้านล่างกระบอกเจาะรูขนาดให้เส้นด้ายที่ใช้ทำตะเกียงผ่านได้ แล้วต่อเส้นด้ายตะเกียงให้ยาวออกนอกถุงดินปืน ใช้เส้นด้ายซึมน้ำเข้ากระบอก ทำหน้าที่ออสโมซิส น้ำให้เม็ดแมงลัก พอเม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่ ลูกสูบจะเคลื่อนตัวดันกระเดื่องไกปืนแก๊ป ให้กระแทก เชื้อปะทุ เกิดเผาไหม้ระเบิดเป็นลูกไฟ

สำหรับวิธีสุดท้ายที่เขาคิดค้นได้ เป็นการนำเอามูลสัตว์มาใช้เพื่อสร้างแก๊ส เป็นแหล่งเชื้อเพลิงปะทุจุดระเบิด อาจใช้มูลสุกรใส่ในถุงพลาสติก พร้อมกับชุดปืนแก๊ปที่ใช้เป็นส่วนลั่นไกจุดชนวนระเบิดอัตโนมัติประกอบเข้าด้วยกัน

แต่วิธีนี้ทำลูกไฟแบบนี้เขาว่าห้ามใช้มูลสัตว์เปียกชื้นเด็ดขาด ไม่งั้นลูกไฟด้าน จุดยังไงก็ไม่ติด จากนั้นค่อยผูกกระเดื่องไกปืนเข้าข้างถุง และต้องผูกปากถุงให้แน่นที่สุด

ทำลูกไฟวิธีนี้ต้องลอยลูกไฟขี้หมูในน้ำนานหลายวัน อาจใช้เวลา 7-20 วัน กว่าขี้หมูจะเกิดแก๊สชีวภาพ ดันถุงให้พอง เมื่อถุงพองกางออก จะปลดล็อกไกปืนเป็นการจุดชนวนให้ลูกไฟพญานาค แบบขี้หมูระเบิดทันที

ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเราจะมีความมานะพยายามหาทางคิดค้นประดิษฐ์การเกิดลูกไฟของบั้งไฟพญานาคได้ขนาดนี้ ซึ่งนี่ก็นับเป็นหนึ่งในความเชื่อส่วนบุคคลที่สุดแล้วแต่ว่าใครจะเห็นไปในทิศทางใด

?บั้งไฟพญานาค? กับเหตุผลที่คนทำไม่ได้

ในขณะที่สมชาติได้ออกมาเสนอให้เห็นถึงหลายวิธีของปรากฏการณ์บั้งไฟที่มนุษย์อาจจะทำได้ ด้านนพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้โด่งดังกับทฤษฎีบั้งไฟพญานาคเกิดจากสารเคมี ก็ได้ออกมาถึงเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคไม่น่าที่จะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ โดยคุณหมอได้กล่าวว่า ถ้าบั้งไฟพญานาคเกิดจากการกระทำของคน คนๆนั้น ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ คือ

1.ต้องแข็งแรงมากเพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ในขณะที่คนธรรมดากอดเสาอยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่
2.ต้องอายุยืนมากเพราะว่าปรากฏการณ์นี้ เมื่อตนเริ่มศึกษาเมื่อปี 2522 ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว 120 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า 104 ปีแล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงตัวเองจึงจะคุมความลับได้
3.ต้องรวยมากเพราะมันขึ้น 52 ตำแหน่งประมาณ 1,500 ? 2,500 ลูก คนที่ทำต้องมีเงินจ้างคนไปประดาน้ำทำเรื่องนี้
4.ต้องกล้ามากขนาดที่ไม่กลัวพญานาคแล้ว ยังต้องกล้าที่ทานกระแสน้ำที่ลึกมากและกลัวที่จะโดนเอ็ม 16 ของหน่วย นปข.ซึ่งเขาก็บอกอีกว่ามันขึ้นเฉียดเรือเขาเลย
5.คนที่หลอกลวงคนเป็นล้าน ๆ คน ต้องฉลาดมากและไม่ใช่แค่ปี สองปีแต่มันมีมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว
6.ต้องถามตังเองว่าทำเพื่ออะไร ตอบไม่ได้ แล้วมาคิดอีกทีจะมีใครบ้าที่จะมาลงทุนตรงนี้ เพราะว่ามันคุ้มหรือไม่
7.จากการวัดออกซิเจน มนุษย์ที่ไหนจะทำตรงเครื่องวัดในหน้าร้อนได้ เพราะเราวัดอยู่ตลอดทั้งหน้าร้อนหน้าหนาว

สำหรับเหตุผลของหมอมนัสก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ออกมาค้านเรื่องบั้งไฟพญานาคว่าไม่น่าจะเกิดจากน้ำมือมนุษย์โดยหาเหตุผลมาวิเคราะห์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคใครจะมองไปในทิศทางใดก็ถือว่าเป็นความเชื่อของแต่ละคน

ทั้งนี้ผู้ที่มีความคิดเห็นเรื่องบั้งไฟพญานาค ควรถือคติ ?เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ? เป็นดีที่สุด