PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : [สาระสนุกๆ]Sniper 3 "ข้าคือ มัจจุราช มหากาฬ"



black jack sdppd
18th September 2012, 18:54
กลับมาอีกครั้ง(คงครั้งสุดท้ายแล้ว) เอาไปอ่านให้เวอร์เล่นๆ
รับชมได้ครับ

Vassili Zaitsev
http://image.free.in.th/z/ia/d2sp1.jpeg
ได้ถูกแต่งตั้งเป็น วีรบุรุษ แห่ง สหภาพโซเวียด เขาเป็นมือ1ในพลแม่นปืน ในสงครามที่ สตาลินกราด (ชื่อในปัจจุบัน \"โวลโกกราด\") เป็นเมืองที่แม่น้ำ โวลก้า
เขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่แคว้น อูรา และเขาได้รับการสอนยิงปืน จากปู่ของเขา เนื่องด้วยเหตุผลที่มักจะมีหมาป่ามากินแกะปู่จึงสอน วาซิลี่ ให้ยิงปืน

6 มิถุนายน 1942 กองทัพนาซีเยอรมัน บุกเข้าโจมตี สตาลินกราด ทำให้ Vassili ถูกเกณมาเป็น ทหาร และเป็นแนวหน้า ของกองทัพโซเวียต

เขาได้สร้างวีรกรรม โดยการซุ่มยิงทหาร นาซี 5 คน ต่อหน้า หัวหน้ากอง พิมพ์หนังสือพิมแห่งกองบัญชาการ

เรื่องของ Vassili Zaitsev ถูกตีพิมพ์ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ จนถึงหูนายพล ประชากรในสตาลินกราดต่างๆ และไม่นานก็ถึงหู สตาลิน(ผู้นำรัฐเซีย) ทำให้เขาได้เลื่อนยศ และ เข้าทีมเป็น พลซุ่ม ทำให้กองทัพนาซี เสียขวัญ พวกนาซี เลยต้องส่ง พันตรีThorwald(ในแฟ้มของทางรัสเซียใช้ชื่อ Keonig) พลซุ่มยิงมือดีที่สุดของกองทัพนาซีซึ่งเขาเป็นอาจารย์จากโรงเรียนพลซุ่มยิง เดินทางตรงมาจากกรุงเบอร์ลิน มาจัดการ Vassili หลังจาก Vassili ใช้เวลาในการต่อสู้กับ พันตรีKeonig ประมาณ 6เดือน พันตรีKeonig ก็ถูก Vassili สังหาร

วันที่ 2 กุมภาพัน 1943 ทหารเยอรมันและเชลยสงครามทั้งหมด ออกเดินเป็น ทางยาว ขอยอมแพ้

ปัจจุบัน ยังชมปืน ไรเฟิล ของ Vassili Zaitsev และ เหรียญกล้าหาญ ได้ที่ พิพิธพันสตาลินกราด ที่โวลโกกราด พร้อมกับ เหรียญเกีนติยศ ที่มีชัย เหนือ "Nazi Greman" (นาซีเยอรมัน)

ไซโม ฮายาซ
http://image.free.in.th/z/il/9esp2.jpg
(17 ธันวาคม 1905-1 เมษายน 2002) ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า "White Death"=ไวท์ เดธ) เรียกเป็นภาษาไทยได้อย่างเท่ๆว่า "ความตายสีขาว" (ในภาษารัสเซียเรียกว่า Belaya Smert=เบลาย่า สเมิร์ท,ภาษาฟินแลนด์เรียกว่า Valkoinen kuolema=วาลคอยเน็น คูโอเลม่า) เขาเป็นทหารฟินแลนด์ที่ในปัจจุบันยังถกเถียงกันว่าเขาคือพลซุ่มยิงที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่?

ฮายาซเกิดในเขตเทศบาลเลาซ์จาไว(municipality of Rautjarvi) ซึ่งปัจจุบันเป็นชายแดนของรัสเซียไปแล้ว เขาได้เข้าเป็นทหารในกองทัพเมื่อปี 1925 โดยก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นชาวนาหรือเกษตรกร เมื่อสงครามฤดูหนาว(Winter War) ซึ่งเกิดขึ้นจากรัสเซียได้ทำการรุกรานฟินแลนด์ตั้งแต่ปี1939-1940 เริ่มขึ้น เขาก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพแดง ในภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวตั้งแต่ -20 ถึง-40องศาเซลเซียล (วัดเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะอยู่ที่ระหว่าง -4ถึง-40องศา) โดยฮายาซใส่ชุดพรางหิมะสีขาว เขามียอดสังหารทหารโซเวียตที่ได้รับการยืนยันถึง 542ศพ!

ปืนยาวโมซินนากังค์ เอ็ม28 เมคอินฟินแลนด์กระบอกนี้แหละครับที่เป็นอาวุธซุ่มยิงของฮายาซ
สถิตินี้มาจากกองทัพฟินแลนด์จากสนามรบที่โคลา (battlefield of Kollaa)ซึ่งเป็นสถานที่ฮายาซสามารถสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากถึง 542ศพ จากสมุดบันทึกที่โคลาได้กล่าวไว้ว่า "ฮายาซใช้ปืนยาวเอ็ม 28 (Finnish Mosin nagant M28 rifle) ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์ลอกแบบมาจากปืนยาวแบบโมซินนากังค์ของรัสเซีย (Soviet Mosin nagant rifle) รู้จักกันในหมู่ทหารฟินแลนด์ว่า ปืนยาว"พีสตี้คอร์ว่า"("Pystykorva") ซึ่งหมายถึงสุนัขพันธ์สปิทส์(spitz) ฮายาซเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กคือมีความสูง 5ฟุต3นิ้ว(1.60เมตร ฝรั่งเขาถือว่าเตื้ยนะ) เขาชอบใช้ศูนย์เล็งเหล็กมาตรฐานของปืน(iron sights) สำหรับยิงเป้าขนาดเล็ก(smaller target) มากกว่าสูนย์แบบกล้องเล็ง(telescopic sights) สาเหตุมาจากเวลาเขาจะใช้กล้องเล็งจะต้องยกศรีษะสูงขึ้น และเขายังบอกว่าการใช้ศูนย์เล็งแบบเปิดนี้จะช่วยปกปิดที่ตั้งของตนเองได้ดี กว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง (แสงอาทิตย์ที่ส่องใส่เลนส์ของศูนย์กล้องจะสะท้อนแสงทำให้ถูกพบที่ตั้งของพลซุ่มยิงได้)

นอกจากเขาจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงศัตรูแล้ว ฮายาซยังใช้ปืนกลมือซูโอมิ เอ็ม31อันโด่งดังของฟินแลนด์ยิงสังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากถึง200กว่าศพ! ทำให้ยอดสังหารข้าศึกของเขาเพิ่มเป็นถึง 705ศพ!(ยิ่ง เทพเข้าไปใหญ่คนรึเปล่าเนี่ย?) หลังจากทำหน้าที่ในสนามรบมาเป็นเวลากว่า100วัน เขาก็ถูกกระสุนปืนใส่บาดเจ็บ เฉลี่ยแล้วในวันๆหนึ่งเขาจะสังหารศัตรูไป 5ศพ ส่วนใหญ่ฮายาซจะซุ่มยิงตอนกลางวันในฤดูหนาวแทบจะทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกกว่าพลซุ่มยิงคนอื่นๆของโลก

อาวุธคู่กายของฮายาซบนคือปืนกลซูโอมิเพชรฆาต 200ศพ ปืนยาวเอ็ม28เพชรฆาต 542ศพ
ก่อนที่ฮายาซจะได้รับบาดเจ็บฝ่ายรัสเซียมีแผนที่จะกำจัดเขาให้ได้ ด้วยการใช้พลซุ่มยิง เรียกว่าพลซุ่มยิงก็ต้องจัดการด้วยพลซุ่มยิง(counter snipers=เคาน์เตอร์สไตรค์ เอ้ย! เคาน์เตอร์ สไนเปอร์)เรียกแบบไทยก็คือเพขรตัดเพชรหรือตาต่อต่าฟันต่อฟัน หรืออีกวิธีที่ขี้ขลาดหน่อยก็คือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม(artillery strikes=อาร์ทิเลอะลี่ สไตรค์) โดยปืนใหญ่รัสเซียชอบใช้กระสุนปืนใหญ่แบบแตกกลางอากาศ(shrapnel=ชรัปเนล) ที่จะระเบิดกลางอากาศแล้วปล่อยลูกเหล็กกลมก้อนเล็กๆพุ่งลงมาเป็นสายฝน โดยโซเวียตน่าจะส่งทหารมาล่อให้ฮายาซยิงเพื่อที่จะได้ทราบตำแหน่งของเขาแล้ว จัดการยิงปืนใหญ่ถล่มใส่ซะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถเก็บฮายาซได้ แถมเขาก็ไม่เคยโดนกระสุนแบบนี้เลยเรียกว่าไร้รอยแมวข่วน(เทพอีกละ) ส่วนสไนเปอร์ที่ส่งมาเก็บเขาก็ถูกฮายาซเก็บซะเอง

พอถึงวันที่ 6 มีนาคม ปี1940 ฮายาซก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกคราวนี้โดนยิงที่ขากรรไกร(jaw=จอ ถ้าคิดไม่ออกว่าตรงไหนก็ให้คิดถึงหนังเรื่องจอ 4ไว้นะครับ) ระหว่างการต่อสู้ในระยะใกล้(close combat) กระสุนพุ่งเข้าไปในหัวด้านซ้ายของเขา ฮายาซถูกหามออกจากสนามรบโดยทหารที่หามเขากล่าวว่า "หัวของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง" ฮายาซกลับมาได้สติเอาอีกทีก็วันที่ 13 มีนาคม(หมดสติไปตั้ง 7วันเชียวนะเนี่ย) ซึ่งพอเขาตื่นมาก็เป็นวันที่ฟินแลนด์กับรัสเซียได้ประกาศสงบศึกกันพอดี หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนยศจากสิบโท(corporal) เป็นร้อยตรี(second lieutenant)
หลายท่านคงจะคิดว่าอะไรมันจะเลื่อนยศแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นเนอะ ผมว่าสงสัยน่าเป็นเพราะผลงานที่เทพสุดๆของเขาชัวร์ๆ โดยฮายาซได้รับยศนี้ จากจอมพล คาร์ล กุฟตาฟ อีมิล แมนเนอร์ไฮม่(Field Marshal Carl Gustaf Emil Mannerheim) จอมพลผู้โด่งดังของฟินแลนด์ผู้บัญชาการป้องกันประเทศ และชื่อของเขาก็ถูกตั้งชื่อเป็นแนวป้องกันประเทศนั้นคือแนวแมนเนอร์ไฮม์นั้น เอง (Mannerheim Line=แมนเนอร์ไฮม์ ไลน์) ทำให้ฮายาซนับเป็นทหารคนแรกของกองทัพฟินแลนด์ ที่ได้ยศแบบข้ามขั้นขนาดนี้โดยที่ไม่มีทหารคนไหนจะเสมอเหมือนได้

ฮายาซใช้ชีวิตหลังสงครามในการรักษาอาการบาดเจ็บหลายครั้ง จากกระสุนของทหารโซเวียตที่เจาะขากรรไกรและเข้าไปฝังในแก้มข้างซ้ายของเขา หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงเขาก็หวนกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิม คือกลับไปจับปืนเหมือนเดิมแต่ที่แตกต่างจากแต่ก่อนก็คือเขาไม่ได้ยิงคน แต่กลายเป็นนายพรานล่ากวางมูซชั้นเยี่ยม(successful moose hunter=ซัคเสดฟูล มูซ ฮันเตอร์) ก็คนมันเคยเทพนี่หน่าทำไงได้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนเพาะพันธ์สุนัข(dog breeder=ด็อก บรีดเดอร์)อีกด้วย

จากการสอบถามฮายาซในปี 1998 ว่าทำยังไงถึงยิงปืนได้แม่น?เขาก็ตอบว่า"มันอยู่ที่การฝึกฝน"(Practice) เมื่อถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหมที่ได้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก?(คราวนี้ ถามอย่างกับกากSF) เขาก็ตอบว่า"ผมทำตามคำสั่งและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" ("I did what I was told to as well as I could.") แปลถูกไม่ถูกก็ช่วยๆบอกกันบ้างนะครับ ฮายาซใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อโรคอลาซติ(Ruokolahti) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ซึ่งถัดไปเป็นดินแดนของรัสเซียจนเสียชีวิต อยู่ที่หมู่บ้านนี้นั้นเอง เป็นการปิดฉากชีวิตของเพชรฆาตผู้สังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากลงอย่างสงบ

จาง เท่าฝาง สุดยอดสไนเปอร์แห่งเมืองจีน
Zhang Taofang a most sniper of China
http://image.free.in.th/z/ij/btsp3.jpeg

จาง เท่าฝาง (Zhang Taofang) เท่าฝางเกิดในปี ค.ศ.1931(แต่ไม่รู้วันเกิด สงสัยช่วงนั้นบ้านเมืองในจีนวุ่นวายมั้ง?) เป็นทหารจีนในกองทัพอาสาประชาชนจีน
(Chinese People's Volunteer Army) ซึ่งเป็นกองทัพจีนในเกาหลีของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน(Peoples Liberation Army) จีนได้ส่งกองทัพช่วยเกาหลีเหนือสู้รบกับกองทัพสหประชาชาติที่บุกข้ามเส้นขนานที่ 38 หวังรวมเกาหลีเหนือเข้ากับเกาหลีใต้จนกลายเป็นเกาหลีเดียว
เท่าฝางนับเป็นสไนเปอร์คนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ และมียอดสังหารทหารของข้าศึกไป 214 ศพ ภายในเวลาแค่ 32วัน(เทพอีกละ) และที่น่าสนใจก็คือเขาเป็นสไนเปอร์ที่ไม่ใช้กล้องเล็งขยายเป้าเลย (เทพแบบซิโม ฮายฮา)

สงครามเกาหลี
ในวันที่ 11 มกราคม ปีค.ศ.1953 จางได้เข้าสมัครลงทะเบียนเป็นทหารเข้าสู่กองทัพแดง จางได้เข้าประจำการอยู่ในกองทัพเป็นเวลาสองปีด้วยกัน โดยเข้าประจำอยู่ใน กองร้อยที่ 8,กรมทหารที่ 214,กองทหารที่ 24 จางได้ถูกส่งไปยังแนวรบที่ ชาง กาน ลิง(Shang Gan Ling)
โดยได้รับอาวุธเป็นปืนยาวโมซิน นากังค์(Mosin-Nagant) ที่มีสภาพเก่า และยังปราศจากกล้องเล็งแบบพียู(PU scope) ตามที่ปืนซุ่มยิงโมซิน นากังค์ ของพลซุ่มยิงโซเวียตใช้ควรจะมีด้วย
ปืนโมซิน นากังค์ ติดกล้องเล็งPU แบบที่สไนเปอร์ชาวบ้านทั่วไปเค้าใช้กัน

หลังจากที่จางเฝ้ารอคอยข้าศึกอยู่ในที่ตั้งของเขามานานเป็นเวลาถึง 18วัน เขาก็พบเห็นข้าศึกพอข้าศึกเดินเข้ามายังพื้นที่สังหาร จางก็ลงมือลั่นกระสุนออกไปทันทีรวมทั้งหมด 12นัด แต่ก็พลาดทุกลูก(อ้าว?) ส่งผลให้ข้าศึกหันมาระดมยิงจาง จนจางเกือบจะต้องซี๋เสียแล้ว จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้จางหันกลับมาพิจารณาวิเคราะห์ดูว่าทำไมวันนั้นอั๊วถึงยิงไม่โดนข้าศึกเลยหว่า?

จางเลยเปลี่ยนวิธีการก่อนการยิงเสียใหม่ โดยก่อนยิงต้องคำนวณวิถีกระสุน และได้ปรับปรุงศูนย์เล็งเหล็กเพื่อเพิ่มความสามารถในการยิงของเขา ด้วยเหตุนี้ในวันต่อมาจางก็สามารถยิงข้าศึกจนล้มลงได้สำเร็จ และเพิ่มพูนประสบการณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ(เลเวลอัฟว่างั้น) ความสามารถและความแม่นปืนของเขาได้เพิ่มขึ้น หากมีข้อบกพร่องก็สามารถแก้ได้รวดเร็ว ทำให้นับวันจางยิ่งสังหารข้าศึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน จางสามารถสังหารข้าศึก 7 คน ได้ด้วยการยิงกระสุนไปเพียง 9 นัด (พลาดไปแค่ 2ลูก เอง) นับว่าฝีมือเหนือกว่าสไนเปอร์ที่ว่าชำนาญแล้ว(ขั้นเทพเหนือเทพ) จางจึงเป็นทหารจีนที่เหนือกว่าสหายคนอื่นๆในกองทัพเดียวกัน ต่อมาเมื่อทหารฝ่ายสหประชาชาติได้ทำการยิงรบกวนแนวของคอมมิวนิสต์ จางจึงได้ทำการยิงพวกยูเอ็นที่ยิงมาจากอีกฝั่งอย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อพบเป้าหมายปุ๊บจางก็จะยิงใส่ปั๊บ มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนายทหารผู้บัญชาการของนาวิกโยธินสหรัฐฯที่หนึ่ง(1st US Marines) ส่องกล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์โผล่จากสนามเพลาะ ก็เลยโดนจางยิงเข้าใส่แขนซะเต็มเปา

หลังจากการรบจางได้รับการยืนยันว่าสามารถสังหารทหารของฝ่ายสหประชาชาติได้ทั้งหมดเป็นจำนวนมากถึง 214ศพ ในเวลาเพียงแค่ 32วันเท่านั้น

จาง เท่าฝาง ได้เสียชีวิตลงเมื่อ วันที่ 29 เมษายน ปีค.ศ.2007 รวมอายุได้ 76ปี

เดี๋ยวครับ พอก่อนไม่ทัน
ทีจริงมีอีก ประมาณ 3 คน
เดี๋ยวมาเพิ่มครับ
ฮ่าฮ่าฮ่า

thong323
18th September 2012, 19:55
ชอบอ่านมากเรื่องนี้ ><

ong30850
18th September 2012, 20:14
เอาอีก ครับ อยากดูอีก

RotheR
18th September 2012, 20:22
จาง เท่าฝาง โคตรสด เจอหน้าเป็นยิง:rofl

gamespore
19th September 2012, 15:14
Vassili Zaitsev นี่คนโปรดเลย