PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : [เรื่องสั้น]"white rose



jimwar
1st November 2012, 00:20
นี่เป็นเรื่องแต่งที่ได้รับแรงบัลดาลใจากเรื่องใกล้ตัวจนหลายคนลืมไป ยิ่งแก่ยิ่มลืมเลือนเอาว่าลองอ่านดูดีกว่าครับ






ผมสูดอากาสยามเช้าเสียเต็มปอด อากาศยามเช้าอย่างนี้ผมไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ผมนั่งลงข้างต้นไม่ใหญ่ริมสระน้ำของโรงเรียน แต่ทำไมผมต้องมาที่นี่นะสิ ผมถามตัวเองหลายครั้ง ผมนั่งมองสระน้ำเบื้องล่าง น้ำมันใน ใสเสียจนเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนลงผิวน้ำ แต่ตอนนี้แทนที่เงาข้างๆของผมจะเป็นมัน แต่มันหายไปไหน นั่นแหละมั่งคือคำตอบของผม ผมคิดถึงมัน จะทำยังไงผมก็ลืมมันไม่ได้จริงๆ แต่ในความทรงจำของผมยังคงทิ้งบางสิ่งไว้กับผม และผมจะไม่มีวันลืม

“เฮ้อ เสร็จสักที” ผมนั่งถอนหายใจยาวหลังเสร็จงานอันแสนยาก บนโต๊ะอาหารในโรงอาหาร

“ไหนดูหน่อยสิ” ไม่ทันไรชิ้นงานอันแสนสำคัญก็ตกอยู่ในมือเพื่อร่วมงานที่เหมือนไม่ค่อยช่วยอะไร ไปซะแล้ว มันชื่อเบล ชื่อยังกับผู้หญิง จนผมสงสัยว่า แม่ทันคงอยากจะให้ลูกเกิดเป็นผู้หญิงซะมากกว่า

“สวยดีว่ะ ยังงี้ซิ สมควรเรียกว่า วิศวกรหน้าจืด” แล้วไม้กระดานรองเขียนก็ตกลงบนหัวคนเย้าอย่างจงใจ

“เจ็บนะโว้ย ไอ้บ้า” เจ้าเบลกุมหัวเป็นการใหญ่ ก็สมควรแล้ว ที่จริงไอ้สรรพนามหน้าจืด ผมคงไม่โดนล้อเหมือนตอนนี้ ถ้ามันไม่พูดมากในตอนที่แนะนำตัวเวลาที่เข้า ม.1 ใหม่ๆ ตอนที่ผมออกไปแนะนำตัวหน้าห้อง มันดันล้อว่า “หน้าจืด” แล้วคนทั้งห้องก็หัวเราะ แล้วนายหน้าจืดก็มาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเล่น ผม



“งั้นไอ้เบล พรุ่งนั้ ออกไปรายงานหน้าห้อง” มันมองมาทางผมด้วยอาการตกใจ

“กูนี่นะ บ้าหรือป่าว”

“ไม่บ้าหรอก ***พูดเข้าท่าแล้ว” เมื่อเจ้าตัวทำเป็นไม่เล่นด้วย ผมจึงงัดท่าไม้ตายออกมา ผมชูกระดาษรายชื่อกลุ่มขึ้นมา แล้วเจ้าเบลก็มีสีหน้าขึ้นมาทันที







.................................................................







“สวัสดีครับ ผมเป็นตัวแทนของกลุ่มแกงจืด ประจำชั้น ม.2/2 ครับ” ตอนไอ้เบลกำลังรายงานชิ้นงานของผมอยู่หน้าชั้น ขนาดเพื่อนที่นอนหลับอยู่ยังตื่นขึ้นมาดู ผมว่าเจ้านี้มีความสามารถทางด้านการพูดอย่างดีไม่แน่ในอนาคต มันต้องเป็น คนขายของหรือคนขายประกันแน่ๆ และรุ่งมากๆ มันก็พูดไปเรื่อย จนถึงตอนหนึ่ง



“สำหรับอาชีพของวิศวกรรม นั้นมันมากจนผมพูดไม่หมดครับ แต่ผมก็จะขอแนะนำสักตัวอย่าง ” แล้วมันก็หันหน้าเข้ามายิ้มอย่างมีเล่ห์ และตัวผมก็ชักหนาวๆร้อนๆขึ้นมากะทันหัน มันจะเล่นอะไรของมัน

“อย่างงาน ออกแบบเรือนหอ ผมขอสมมติว่าเป็นของคุณวิทยะกับคุณกานดา” ตัวของผมมันร้อนผ่าวไปทั้งตัว โดยเฉพาะสีหน้าของผม วิทยะคือชื่อจริงของผม ส่วนกานดา เป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมแอบชอบอยู่ ผมชักปั้นหน้าไม่ถูก หันไปมองหน้าดาที่นั่งอยู่บนโต๊ะถัดไปที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่ ใจของผมแทบจะสลายอยู่แล้ว ดูมันสนุกมาก ผมยังคิดว่ามันสนุกตรงไหน กลายเป็นคนโดนแกล้งจนได้

หลังเสร็จรายงานหน้าชั้น ก็ถึงเวลาพักเที่ยงพอดี ท้องผมชักจะร้องไม่เป็นจังหวะ รู้สึกหิวมากกว่าปกติ ผมรีบชวนมันไปกินข้าวกลางวัน ระหว่างลงบันได มันมากระซิบข้างหูผมว่า จะเป็นพ่อสื่อให้ผมกับดา ผมก็บอกว่า “อย่ายุ่งน่า ” แต่เจ้าตัวดีไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่น่าไปบอกมันเลยเรื่องที่ผมแอบชอบดา มาตั้งหนึ่งปี หนึ่งปีที่ผมเฝ้ามองดามาตลอด นี่ก็ปีที่สองแล้ว พอมันรู้ว่าผมแอบชอบดามันก็ทำตัวเป็นพ่อสื่อไปซะงั้น แถมมันยังมากระซิบกับหูผมว่า

“นี่ถ้า***ได้เป็นแฟนกับดา ในฐานะที่กูเป็นพ่อสื่อกูต้องได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ” ผมกำลังหันหน้าไปด่ามัน แต่บังเอิญที่มันเหยียบบันไดผิดจังหวะ ลื่นล้มกลิ้งลงไปหัวชนกับผนังพื้นด้านล่างอย่างจัง นอนแน่นิ่ง ไป

ผมรีบวิ่งไปดูมันทันที ผมตะโกนเรียกชื่อมันหลายรอบ แต่มันดันไม่ตอบกลับ ผมยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น ผมรับนำมันไปห้องพยาบาลทันที ***อย่าเป็นอะไรนะไอ้เบล

ผมถามครูที่ห้องพยาบาลว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ครูก็บอกว่า มันสลบไปเดี๋ยวก็ตื่น ผมเองอยากให้มันเป็นแค่นั้นก็ดี ตอนนี้เพื่อนในห้องผม ก็มาอยู่ในห้องพยาบาลเต็มไปหมดจนครูต้องไล่ออกมาข้างนอก ทุกคนต่างก็ถามว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะแฟนมัน ถามผมไม่หยุด รวมทั้งดาของผมก็อยู่ด้วย แต่ยังไงผมก็ห่วงมัน ที่จริงผมคงไม่มานั่งห่วงมันขนาดนี้หรอก ถ้าผมไม่ได้รับปาก อะไรบางอย่างมาจากแม่ของมันเอง

“บอล ฝากดูแลเบลด้วยนะ” แม่ของไอ้เบลขอร้องผมในขณะที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ตอนนั้นเบลไม่อยู่ ผมไปหามันที่บ้าน แม่มันจึงเรียกผมไปหา ดูสีหน้ากังวลมาก

“ทำไมล่ะครับ” ผมถามกลับ ยิ่งมองหน้าแม่ของเบล ผมก็สัมผัสกับสีหน้าอันกังวลของผู้ที่อยู่เบื้องหน้า

“แม่เคยไปดูหมอดูมา เบลนะอายุสั้น ทั้งร่ายกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง แม่จึงอยากให้บอลช่วยดูแลเบล ” ผมก็อึ้งไปซักพัก แล้วผมก็รับปากไป ที่แรกที่ผมฟังก็ไม่ค่อยกังวลเท่าไรหรอก แต่ตอนนี้ผมชักเป็นห่วงมัน มากกว่าปกติ ผมนั่งอ่านหนังสือเฝ้ามันมาสองสามชั่วโมงแล้ว

เบลได้ลืมตาขึ้นมาอย่างเงอะงะ ดูท่าทางปวดหัวมาก ผมถามมันว่า เป็นอย่างไรบ้าง มันก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ปวดหัวนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย แถมมันยังทะลึ่งบอกว่า



"กูยังไม่ตายง่ายๆหรอกจนกว่ากูจะทำให้***กับดารักกัน ” ผมอึ้งในคำพูดของมัน ผมชักจะหนาวๆร้อนๆในคำพูดของมัน ผมบอกมันว่า



“คนป่วนนอนไป อย่าพูดมาก เดี๋ยวกูเอายามาให้ ” พร้อมกับเดินไปหยิบยากับน้ำมาให้มัน นอกจากเรื่องของมันแล้วตอนนี้ ผมคิดเรื่องอื่นไม่ออกจริงๆ



“***เลิกเถอะ ถึงยังไงกูกับดา ก็คงไม่มีทางเป็นแฟนกันหรอก” ผมบอกมันไปเพราะมันดันเริ่มพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อน แต่มันกลับตอบกลับแบบยิ้มๆ

“ไม่มีทาง! ***กับดาต้องเป็นแฟนกัน” ผมนิ่งไปซักพักก็จับเม็ดยายัดใส่ปากมัน แล้วเอาน้ำกรอกปากโทษฐานพูดมาก มันรับกลืนไปทั้งยาทั้งน้ำเลยครับ เหมือนคนจะจมน้ำแล้วสำลัก



“เล่นอะไรของ***วะ ไอ้บอล” ผมได้แต่หัวเราะ แต่หน้าคนป่วยเหมือนไม่มีอารมณ์ขำสักเท่าไร วันนั้นผมพามันไปส่งกับฝน ( แฟนของไอ้เบล ) มันก็ย้ำนักย้ำหนาว่า อย่าบอกเรื่องนี้ให้กับแม่เบลเด็ดขาด ผมคงปฏิเสธความหวังดีของมันไม่ได้ แต่ดูเขากลับบ้าน มันกับแฟนมันจู๋จี๋กันตลอดทาง ผมเริ่มคิดแล้วว่า ผมจะเป็นส่วนเกินไปแล้ว



ในคืนนั้นทั้งคืนผมแทนนอนไม่หลับเลย วิตกเรื่อของไอ้เบล มันก็ดันพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ปวดหัว แถมที่แม่ไอ้เบลบอกมาก็เริ่มจะเข้าเค้าแล้ว สรุปคืนนั้นกว่าจะได้นอนก็ปากเข้าไป ตีสองตีสาม พอตื่นมารู้สึกอีกที พระเจ้าช่วย! สองโมงครึ่งแล้ว วันนั้น กว่าจะมาถึงโรงเรียนก็สามโมง โดนลงโทษแน่งานนี้

“ขอนุญาติเข้าห้องครับ ” อาจารย์หยุดเสนอ แล้วมองมาทางผม สงสัยว่าตอนนั้นผมต้องโดนแน่ แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามาตบที่บ่าผม

“ทำไมถึงมาสาย”

“ตื่นสายครับ ขอโทษครับ” ผมบอกไปตามตรง อาจารยืมองหน้าผม แต่ผมสิกลับไม่สู้หน้าอาจารย์เลย อีกทั้งไอ้เบลและเพื่อนๆ ก็มองมาทางผมคนเดียว ตกลงเราเป็นนักโทษหรือนักเรียนกันแน่ ผมคิดในใจ



“ครูเชื่อ ไปนั่งที่ได้แล้ว” อาจารย์พูดเรียบๆ แล้วเดินไปสอนต่อ ส่วนผมก็โล่งอกหายใจแทบไม่ทั่วท้อง ผมรีบไปนั่งข้างๆ ไอ้เบล สายตามันฉายแววตลก และเหมือนจะหัวเราะผม

“อะไรของ***ว่ะ” ผมถามมันอย่างสงสัย แต่มันกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ดีว่าปิดปากทัน ผมหันไปดูเพื่อนๆต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รวมทั้งดาที่หัวเราะน้อยๆ ก็ดูน่ารักดี แล้วไอ้เบลก็มากระซิบข้างหูผมว่า

“เพิ่งรู้ว้า***เป็นหมีแพนด้าหน้าจืด”



“อะไรของ***วะ หมีแพนด้าอะไรของ***” ไม่ทันว่าจบมันก็หยิบกระจกมาให้ผม ผมตะลึงไปเลย อะไรวะเนี่ย ขอบตาดำปี๋ยังกับหมีแพนด้าจริงๆ ผมหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ต่างก็พบว่า เพื่อนๆกำลังหัวเราะ แล้วผมก็หันมาดูไอ้เบล มันหัวเราะก๊ากฟุบกับโต๊ะไปเลย ผมอยากจะเข้าไปตบหัวมันจริง ๆ ถ้าไม่ติดที่มันลื่นล้มตกบันไดเสียก่อน แต่ยังดีที่อาจารย์บอกให้เงียบ แล้วทั้งมันและผมก็แทบไม่เป็นอันเรียนเลย ผมก็บอกมันตั้งหลายครั้งว่านอนดึกแต่มันหาว่าผมคลั่งเทรนใหม่ หมีแพนด้า นอกจากฉายาว่าหน้าจืดแล้ว ผมคงได้ฉายาว่าหมีแพนด้ามาอีกแน่ ผมชวนไอ้เบลก็มานั่งกินข้าวกลางวันและผมก็เผลอหลับไป



“เฮ้ย! ไม่กี่วัน ก็จะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว นะ***” ผมหันขอบตาดำๆมามองมัน แล้วมันก็มาเขย่าตัวผม ผมลืมตาขึ้น

“***พูดอะไรวะ ” ผมพูดอย่างงัวเงีย

“อย่าเพิ่งหลับ กูมีแผนที่ทำให้***บอกรักดาในวันวาเลนไทน์” ผมทำท่าไม่ได้ยินแล้วก็ไปกินข้าวกลางวันต่อ



“กูจะทำให้***อยู่กับดาสองต่อสอง” มันมองหน้าผมและกินข้าวของมันต่อ

“กูจะฉุดดา........”



เท่านั้นแหละครับ ผมสำลักก๋วยเตี๋ยวที่กินอยู่ทันที



“เฮ้ย เป็นอะไรวะ” ไอ้เบลมันมาเขย่าตัวผมไม่หยุด ผมว่าผมจะตายเพราะมันเขย่ามากกว่า

“น..น.. น้ำ...” ผมบอกมันขณะยังไอไม่หยุด ไอ้เบลวิ่งไปซื้อน้ำทันที เพราะปกติผมจะกินน้ำหลังจากพักกลางวันเสร็จ และวันนั้น ผมก็เกือบตายเพราะเส้นก๋วยเตี๋ยว และคำพูดสองถึงสามคำของไอ้เบล ไร้สาระสิ้นดี



ก่อนถึงวันวาเลนไทน์ ร้านขายดอกไม้ต่างแน่นขนัดด้วยหนุ่มสาววัยรุ่น ต่างเลือกซื้อดอกไม้ที่ตนเองคิดว่าสวยที่สุดให้กับคนที่เขารักมากที่สุด ผมเองตอนนี้ก็กำลังเลือกดอกไม้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมอยาก มากนักหรอก แต่ถ้าไอ้เบลมันไม่ดึงดันเอาความคิดมันให้ได้ ผมเดินหาดอกไม้หลายสิบรอบ แต่ก็ยังไม่ถูกใจผมเลย ส่วนไอ้เบลมัน มันสั่งดอกไม้ช่อใหญ่ให้แฟนเลย ผมคงไม่กล้าซื้อแบบมันหรอก อีกอย่างผมเองไม่รู้จะกล้าให้กับหญิงที่ผมแอบชอบหรือเปล่า..

“เฮ้ย เมื่อไร***จะเลือกได้ซักที” ไอ้เบลเริ่มบ่นขณะเดินตามผมเลือกซื่อดอกไม้

“***จะบ่นอะไรว่ะ ชวนกูมาเอง"

“กูไม่น่าชวนมาเลย” ไอ้เบลไม่เลิกบ่น



“ ไม่เป็นไรเพื่อเพื่อนกู เผื่อดาจะเห็นคุณค่าของ***บ้าง ” เหมือนมีอะไรมาจี้เส้นผมแล้วมันก็ได้ผลด้วย ขณะที่ผมมองหาดอกไม้ ผมก็หันไปเจอกับร้านขายดอกไม้ร้านหนึ่งตั้งถัดออกมาจากตลาดดอกไม้ไม่ไกลนัก แต่ดูจากดอกไม้ที่วางอยู่หน้าร้านจัดได้สวยทีเดียว ผมจึงหันไปสะกิดไอ้เบล

“นี่***ลองดูร้านนี้ดิ ดอกไม้สวยดีว่ะ” มันก็เห็นด้วยกับผม มันกับผมจึงตกลงเข้าไปดูด้วยกัน ผมผลักประตูเข้าไปในร้าน ดอกไม้จัดอย่างเป็นระเบียบและสวยงามทีเดียว ผมเดินไปดูดอกกุหลายขาวอยู่ในช่อที่ล้อมรอบด้วยใบเฟิร์นอย่างสวยงาม

“สวยใช่ไหมล่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งมายืนดูดอกไม้ข้างๆผม ผมหันไปมองหน้าเธอ แล้วผมตะลึงจนแทบพูดไม่ออก

“ด..ด.. ดา” ผมพูดชื่อเธอแทบไม่เป็นคำพูด เธอหันมาขมวดคิ้วให้ผม

“ดานะ ไม่ใช่ผี จะกลัวทำไม” ผมทำตัวแทบไม่ถูกเหมือนเอาน้ำร้อนๆมาสาดผมจนร้อนไปทั้งตัว

“ดามาที่นี่ได้ไง”

“ทำไมดาจะมาที่นี่ไม่ได้ ก็ที่นี่บ้านดาเอง”

“บ้านดาหรอ”ดาพยักหน้าให้ผม ขณะที่ผมมองไปรอบๆร้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้ต่างสีสันแล้วกลับมาดูดา ในชุดของร้านขายดอกไม้ สวยจนผมเหม่อมองดา ตาไม่กระพริบ

“นี่บอล อย่างมองดาอย่างนี้สิ ดาเขินนะ” ผมได้สติหันไปดูดอกกุหลาบช่อเดิม ผมไม่รู้ว่าผมทำไปได้ไง ดาต้องโกรธผมแน่ๆ ผมหันไปมองดาที่ยืนยิ้ม และกำลังฉีดน้ำใส่ดอกไม้อยู่ผมก็โล่งอก แล้วผมก็หันไปมองไอ้เบลที่อยู่ถัดไปอีกด้านหนึ่งกำลังหัวเราะอย่างชอบใจ ผมยำกำลังใส่มัน แต่ดาหันมาพอดี

“บอล เป็นอะไร”

“เปล่า ดาจัดช่อดอกไม้นี้เองเลยเหรอ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“ใช่ ดาจัดเองสวยไหมล่ะ”

“ใช่ สวยมากๆเลย” แล้วผมก็ได้แต่มองเธอพูด โดยเฉพาะเรื่องดอกไม้ ผมก็อือออไป ผมเองก็ฟังเธอพูดไปเรื่อยๆ ไม่รู้เวลามันผ่านไปนานซักเท่าไร แต่ถ้าผมขอได้ก็อยากจะขอให้เวลามันหยุดลงแค่ตรงแค่นี้ หรือว่าผมจะชอบเธอเข้าจริงๆ แต่ก็มารู้สึกอีกทีก็มีมือไอ้เบลมาวางบนบ่าผม

“อ้าวเบล เองเหรอ มาตอนไหน” ดาหันไปถามเบลที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม

“มาตั้งนานแล้ว ก็มัวแต่คุยกันเพลินนะสิเลยไม่เห็น” ดาหันมายิ้มกับผม แล้วฝ่ามือผมก็ไปตบกบาลหัวไอ้คนพูดมาก

“เล่นอะไรของ***วะ” ผมพูดกรอกหูมัน



“กุจะช่วย***ไง "



" ***ไม่ต้องมายุ่ง ” ผมกับมันกระซิบกันไปมาจนดาสังสัย

“มีอะไรกันหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไร คือเราจะกลับบ้านกันแล้ว” แล้วก็ลาดาออกมาก่อนความจะแตกกับไอ้เพื่อนที่ไม่รู้จักเวลา โผล่มาตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าดาชอบกุหลาบขาว วันนั้นผมกับไอ้เบลก็เดินลาดตระเวนหาดอกกุหลายขาวทั้งตลาด ตกกลางคืนผมแทบจะไม่ทำอะไรเลยเพราะมัวแต่มานั่งเฝ้าดอกกุหลาบของผม ที่นำมาตกแต่งอย่างสวยหรูจนคล้ายกับดอกไม้ของดา แต่ไม่วายที่พ่อสื่อของผมจะโทรมาตอนกลางคืน ก็ไอ้เรื่องที่ผมจะเอาดอกไม้ไปให้ดา แล้วก็บอกความในใจกับเธอ มันก็วางแผนทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ ผมว่าถ้ามันเอาใส่เรื่องการเรียนคงรุ่งกว่านี้



และเช้าที่อากาศสดชื่นก็เริ่มต้นพร้อมกับวันใหม่ เด็กนักเรียนต่างถือดอกไม้ต่างๆนาๆ โดยเฉพาะดอกกุหลาบ ผมเองก็ชักอายๆที่จะถือ เท่าที่ผมสังเกตดูในวันนั้น ดารับดอกไม้จากบรรดาหนุ่มๆเพียบเลย แต่ดาเองยังไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไร เธอคงไม่รับดอกไม้ของผมแน่ๆ ผมเลยมานั่งข้างสระน้ำของโรงเรียน แต่วันนี้ไอ้เบลหายหัวไปไหนผมก็ยังไม่เห็นหน้ามันเลย สงสัยว่ามันคงล้มเลิกแผนไปแน่ๆ ผมเลยไปนั่งริมสระน้ำและปาก้อนหินเล่น

“ปาก้อนหินเล่นนี่สนุกมากนักหรือไง” ผมคงหูฝาดไปแน่ๆ เพราะเสียงที่ได้ยินมันเป็นเสียงของดา ผมก็ไม่สนใจ ผมกำลังจะง้างแขนจะปาก้อนหินอีกก้อน ก็มีมือนุ่มๆ มาจับที่ข้อมือของผม ผมชะงักทันที หันไปมองข้อมือและใบหน้าของคนที่จับมือผม



“ด..ด.. ดา” ผมเรียกชื่อเธอเพื่อความแน่ใจ แต่เธอหันมาค้อนใส่ผมนิดๆ

“ทำไม เวลาบอลเห็นดาแล้ว ชอบทำหน้ายังงี้ทุกที”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมรีบซ่อนดอกกุหลาบไว้ข้างหลังทันที

“ว่าแต่ ดามาที่นี่ได้ยังไง”

“เบลสิบอกมา บอกว่า บอลมีอะไรจะบอกดา แล้วมีอะไรจะให้ดาหรอ”



ดาหันหน้ามายิ้มใส่ผม ผมรู้แล้วเป็นฝีมือของเจ้าตัวดีนี่เอง ไม่รู้ว่าผมจะขอบใจมันดีไหม ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าดา สังเกตเห็นอะไรที่อยู่ข้างหลังผมหรือเปล่า

“เอ๋! หรือว่าบอลมีของอะไรจะให้ดา” ดาชะเง้อหน้าไปมองข้างหลังผม ผมจึงต้องจำใจ เอาดอกกุหลาบออกมา แล้วผมยืนให้กับดา

“ให้ดาหรอ” ผมพยักหน้า ดารีบรับดอกกกุหลาบของผม ดูดามีความสุขมาก แต่ผมกลับตัวร้อนเหมือนไฟที่เผากาย

“แต่ว่าทำไม บอลถึงให้ล่ะ เอ๋! วันนี้ก็วันวาเลนไทน์ซะด้วย” ดาทำสีหน้ายิ้มนิดๆ เธอน่ารักจนตัวผมขยับไม่ได้เลย ได้แต่ยิ้มตอบแบบเขินๆ

“ก็ฐานะเพื่อนไง"

“แค่นั้นเองหรอ” ดากระเซ้าผม จนผมคิดไม่ออกเลยว่าพูดอะไรออกไป แต่ท้องฟ้าเองก็เป็นใจให้ผม ก้อนเมฆสีดำสนิท เหมือนจะตกอยู่รอมร่อ

“ฝนจะตกแล้วนะ ไปเข้าร่มกันเถอะ ” ดาทำหน้าเบ้ใส่ผม

“ดาไม่ไปหรอก ก็บอลยังไม่ตอนคำถามเลยนี้ ” ผมรู้สึกว่าฝนเริ่มโปรยลงมาแล้ว ผมเองก็ยังไม่กล้าที่จะตอบ ถ้าไอ้เบลอยู่ ผมคงโดนมันคงจะสวดผมไปหลายรอบแล้ว มันอุตส่าห์ทำให้ผมกับดาอยู่ด้วยกันแต่ผมก็ยังไม่กล้าที่จะพูด แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมมองหน้าดาแล้วยิ้มๆ ก่อนจะรับโทรศัพท์ แล้วผมก้ตกใจจนอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วอารมณ์โมโหผมก็กลับเข้ามาแทนที่ ดายืนกอดช่อดอกกุหลาบขาวมองผมอย่างสงสัย

“ไอ้เบล มันมีเรื่อง ดากลับไปก่อนนะ ” แล้วผมก็รีบวิ่งไปช่วยไอ้เบลทันที ไอ้บ้า อย่าบอกนะว่ามันไปหาเรื่องใครเขาไว้ ชอบทำอะไรให้เป็นห่วงเรื่อย ผมรีบวิ่งไปหลังโรงเรีนทันที ผมได้คว้าไม้หน้าสามไปด้วยท่อนหนึ่ง ผมเห็นรุ่นพี่ ม.3 สามคนกำลังรุมไอ้เบลอยู่ ผมทนดูไม่ได้แล้ว ผมวิ่งถือไม้หน้าสามเข้าไปหาหัวหน้ากลุ่ม และฟาดเข้าอย่างจัง ทีเดียวเจ้านั้นนอนสลบไปเลย ตอนนั้นผมโกรธจัดมาก ผมวิ่งไล่คนที่เหลือย่างไม่คิดชีวิต สองคนนั้นวิ่งหนีไปได้ ผมทิ้งไม้ไปดูเบลทันที อาการมันสาหัสมากเหมือนจะบอบช้ำไปทั้งตัว ผมรีบนำตัวมันแบกใส่หลังแล้วรีบวิ่งไปห้องพยาบาลทันที แล้วจากนั้นเบลก็ถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาล ผมนั่งเฝ้ามันไม่นาน พ่อแม่ของมันก็เข้ามา ผมจึงถอนตัวออกมานั่งข้างนอก แฟนมันเดินมากับดาพอดี แฟนมันซักผม จะผมตอบคำถามแทบจะไม่ทัน ส่วนดานั่งนิ่งๆอยู่ข้างๆ ผมถามดาว่า เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า ดาก็ตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี ดาเล่าว่า ตอนที่เบลเข้ามาหาดา มีกลุ่มรุ่นพี่สามคนมาขอเป็นแฟนกับดา แต่ดาไม่เล่นด้วย เบลเลยเข้ามาขวาง แล้วก็บอกว่า บอลมีเรื่องจะบอกให้มาหาบอลที่สระน้ำ ดาก็เลยรีบมาหาบอลที่สระน้ำ ไม่นึกว่าพวกนั้นจะย้อนกลับมา ดาเอามือปิดหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ผมก็บอกไปว่า



“ ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ใช่ความผิดของดา ” ที่จริงมันอาจเป็นความผิดของผมเอง ที่ต้องทำให้มันมายุ่งกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเข้า ทำไม ***ต้องมาช่วยกูขนาดนี้ด้วย มันมีหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจมัน



วันรุ่งขึ้น ผมมาเยี่ยมมันแต่เช้า ก่อนที่ผมจะเข้าโรงเรียน ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยที่มันอยู่ ผมเดินไปหาร่างของมันนอนซมอยู่บนเตียง หรือว่าเมื่อคืนมันยังไม่ตื่น มันนอนหันหลังให้ผม ผมจึงเดินเข้าไปปลุกมัน เพื่อนเรานี่มันสำออยจริงๆ

เฮ้ย !!!

เสียงหัวเราะดังลั่นห้องเรียน จนผมปิดปากมันด้วยขนมปัง แท่งยาวๆ หลังจากเล่าเรื่องหน้าแตกที่เข้าห้องเยี่ยมผู้ป่วยหลังจาก ไอ้เบล ออกจากโรงพยาบาลเมื่อคืนก่อน ผมอุตส่าห์ไปเยี่ยมมันดันมาหัวเราะผมอีก ผมดูสภาพมันตอนนี้จากผีดิบที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ที่จริงผมว่ามันควรจะนอนพักที่บ้านมากกว่า แต่มันก็ดันทุรังมาโรงเรียนเพื่อที่จะรู้ว่าผมกับดาไปถึงไหนกันแล้ว ผมก็บอกว่าให้ดอกกุหลาบขาวไปแล้ว แล้วมันถามต่อว่า

“หลังจากนั้นเล่า”

“กูก็ไปช่วย***ไง” ดูไอ้เบลมันหน้าซีดไป ไม่รู้ว่าผมจะซัดมันดีหรือเปล่า

“ขอบใจวะ” คำพูดสั้นๆ ของมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก

“มีอะไรก็บอกกูดิวะ ยังไงกูก็เป็นเพื่อน***”



ถ้าอย่างงั้นกูจะทำให้***สมหวังแน่ รับรอง มันกับผมก็ได้แต่ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน



แต่เรื่องเหล่านั้นก็จะหายไป แล้วความเคร่งเครียดก็จะเข้า ช่วงที่ทุกคนจะหมกมุ่นกับหนังสือกองโต ช่วงสอบปลายภาคนั่นไง มันช่างเป็นการสอบที่หนักหนาสาหัสมาก ตัวผมนะไม่ค่อยมีปัญหาหรอก แต่ไอ้เบลนี่สิ หัวมันไม่ค่อยจะดีเลย ผมจึงรับอาสาเป็นครูสอนพิเศษให้มันไปซะเลย แต่ดูท่ามันเริ่มจะเข้าใจเนื้อหาที่จะสอบบ้างแล้ว เมื่อถึงวันสอบปลายภาค ไอ้เบลมันกลับเงียบกว่าปกติ รวมทั้งดาและเพื่อนๆก็เงียบตามไปด้วย แต่ถึงยังไงผมก็เลือกที่จะอยู่ใกล้เพื่อน

“เฮ้ย ทำไม***ไม่นั่งข้างดาวะ” เบลถาม



”ขี้เกียจ” ผมตอบสั้น ๆ

“งั้น เดี๋ยวกูเรียกให้” มันทำท่าลุกขึ้นพร้อมกับจะเรียกดา แต่ผมดึงแขนมันให้นั่งลง

“เรื่องสอบสำคัญกว่า” ผมพูดเมื่อสอบปลายภาคในห้อง เบลได้ทำข้อสอบเสร็จก่อนเพื่อน



เฮ้ย สอบเสร็จก่อน มันก็ยิ้มให้ผม ก็ยังดีที่แผลมันหายเร็ว ตอนนี้ผมต้องทดสอบให้ ไอ้เบล ให้บริหารร่างกายให้ดี หลังการสอบเสร็จ ผมกับมันก็มานั่งริมสระน้ำ ผมเหม่อมองน้ำในสระเบื้องล่าง ไอ้เบลก็มานั่งข้างๆผม ผมผ่อนหายใจแรงๆ เพราะปิดเทอมใหญ่คราวนี้ผมต้องกลับบ้านไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด กว่าผมจะได้กลับมาโรงเรียนก็อีกนานทีเดียว

“กูจะไม่เจอ***อีกนานแน่เลยวะ” ผมพูดเบาๆ

“กูนึกว่า ***คิดถึงดาเสียอีก” มันพูด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันที่มันชอบเอาดามาอ้างตลอด ผมว่า มันควรจะห่วงตัวเองบ้าง

“ถ้าวันไหน กูไม่เจอ***ล่ะ” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมพูดคำนี้ออกมาได้ไง มันคงมาจากข้างในหัวใจของผมที่ไหนซักแห่ง

“งั้นวันนั้น ***ก็มีดามานั่งข้าง ๆ ด้วย” ผมงง และมองมันอย่างสงสัย

" ***รู้ไหม แม่***เคยบอกว่า***อายุสั้น " ในที่สุดผมก็เอ่ยคำถามที่ผมไม่คิดจะบอกมัน



“รู้” มันตอบสั้นๆ

“***เชื่อไหม” คำนั้นคือคำถามที่ผม อยากจะได้คำตอบจากมันมากที่สุด

“ไม่” มันตอบอย่างเสียงแข็ง ผมค่อยเบาใจหน่อย

“แล้วทำไม***ถึงอยากให้กูกับดารักกันว่ะ” นี่ก็เป็นคำถามที่ผมอยากรู้เหมือนกัน

“ถ้ากูจะบอกว่า ดาชอบ***ล่ะ” ผมหันไปมองหน้ามัน แต่รู้สึกว่าแววตาของมันจะไม่ขี้เล่นเหมือนแต่ก่อน

“***อย่าล้อกูเล่นดิ” ผมหัวเราะ ทั้งที่ผมแทบจะหัวเราะไม่ออกอยู่แล้ว สายลมที่พัดผ่านน้ำขึ้นมา แทนที่จะเย็น กลับร้อนไปด้วยความวิตกกังวลในใจของผม

“กูพูดจริง ที่***แอบชอบดามาสองปี กูเคยถามเรื่อง***กับดามาแล้ว ความจริง ดาก็แอบชอบ***เหมือนกัน ดอกกุหลาบที่***เห็นวันนั้น ดาเขาจะเก็บไว้ให้กับ*** ” ผมนั่งอึ้งไปเลย ทำไมหัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ สายลมที่พัดมาอีกรอบ มันทำให้ผมระคนสุขระคนทุกข์ ทั้งที่ผมควรจะดีใจ จนกระโดดไปกับมัน แต่ลึกๆทำไม มันถึงรู้สึกว่า เศร้าเหลือเกิน

เวลาผ่านไปซักพัก ไอ้เบลก็ลุกขึ้นมา ยิ้มและบอกว่า



“ที่จริงแล้ว กูก็ชอบดอกกุหลาบขาวเหมือนกันว่ะ” ผมก็ได้แค่ยิ้มๆ มันกำลังจะหันกลับมาพูดกับผม

“ถ้า***อยากได้ กูจะซื้อให้” ผมมองหน้ามันอย่างงงๆ แล้วมันก็เดินจากผมไป ทำไมผมยิ่งเศร้ากว่าเมื่อครู่นี้อีก ความรู้สึกนี้มันเป็นอะไรกันแน่ แต่ทำไมตอนที่ไอ้เบลมันเดินจากผมไป ใจของผมเหมือนแตกสลายไปเป็นเสี่ยงๆ ผมจึงรีบวิ่งตามมันไปทันที ผมตะโกนเรียกชื่อมันอย่างดัง จนคนหันมามองที่ผมคนเดียว ดูท่ามันจะรออยู่ไม่ไกลนัก เมื่อถึงแล้วผมก็ยืนจับเข่าด้วยความเหนื่อยหอบ

“***มีอะไรวะ ตะโกนเสียงดัง” มันพูด ผมเงยหน้ามายิ้มให้มัน

“***สัญญาอะไรกับกูหน่อยได้ไหม” มันมองหน้าผมย่างๆงง " สัญญาอะไรวะ "

“สัญญาว่า ***กับกูจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป” ผมยื่นมือของผมไปหามัน มันอึ้งไปสักพักแล้วก็ยิ้มตอบกลับมาว่า



“กูสัญญา”



...................................................................



และแล้วชีวิตวันหยุดก็เริ่มต้นขึ้น เป็นการใช้ชีวิตอันสนจะน่าเบื่อ สำหรับผมแล้ว ก็คงไม่ทำอะไรไปมากกว่ากิน เล่น และนอน แต่ชีวิตผมพบยังมีความหมายอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ และ ก็ไม่ใช้ใครที่ไหน มันคือไอ้เบล ชอบมาปรึกษาเรื่องแฟนกับผม ก็เป็นการสรุปว่า ช่วงปิดเทอมผมไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเป็นผีโทรศัพท์ ช่วงใกล้เปิดเทอม แม่ผมส่งผมไปทำงานกับป้า พอได้เงินเก็บในงานล้างจานอยู่บ้าง ในที่สุดไม่กี่วัน ก็จะถึงเวลาที่ผมจะได้ไปเจอหน้าเพื่อนๆสักที ผมเงยหน้าดูปฏิทิน ดูวันเปิดเทอม

เมื่อถึงวันเปิดเทอม เสียงคุยกันจอแจของเด็กนักเรียน จนผมนึกว่า ตลาดนัด ไอ้เบลกับผมมานั่งเฝ้าหน้าประตู เพื่อรอดูดาที่เข้ามาใหม่ ในฐานะที่เลื่อนชั้นอีก 1 ปี แล้วดาก็เดินผ่านเข้ามาในประตูโรงเรียน เหมือนผมถูกสะกดให้มองเธอเพียงคนเดียว ยังไงดาก็สวยที่สุดในสายตาผมเสมอ ถึงไอ้เบลมันจะเคยบอกว่า ดาก็มีใจให้ผมเหมือนกัน ใช่ว่าผมจะมีความกล้าขึ้นมา แต่ผมก็กล้าที่จะเข้าไปคุยกับดา นับจากนั้นมา ผมก็เริ่มที่จะสนิทดามากขึ้น คุยกับดามากกว่าแต่ก่อน จนผมรู้สึกถึงความห่างจากคนๆหนึ่ง นับวันมันจะยิ่งห่างผมขึ้นทุกทีจนผมรู้สึกได้



วันนี้ผมตามหามันทั้งวัน แม้แต่คาบเรียนก็ยังไม่เข้า ผมชักเป็นห่วงมันขึ้นมา ก่อนถึงคาบวิชาคณิตศาสตร์ ผมถือกระเป๋าออกจากห้อง ดาถามผมว่า

“บอล จะไปไหนหรอ” ผมตอบว่า ไปทำธุระนิดหน่อย ผมรีบเดินไปหามันทั่วโรงเรียน แต่ก็ไม่เจอ โทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์ ผมจึงตัดสินใจหนีเรียนเพื่อไปที่บ้านของมัน เมื่อผมมาถึงที่หน้าบ้าน พบว่าบ้านนั้นเงียบสงัด ผมเกิดความรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที ผมคิดว่า ผมจะหามันยังไงให้เร็วที่สุด แล้วเสียงรถคนหนึ่ง ก็มาจอดข้างๆผม มันคือ รถแม่ไอ้เบลนั่นเอง ผมรีบไปถามแม่ทันที

“แม่ครับ เบล อยู่หรือเปล่าครับ” แม่ดูมีสีหน้าเศร้าอย่างสังเกตได้ ผมชักหวั่นๆในใจ ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับมันเลย

“เบล มันถูกรถชนเมื่อวานนี้ ตอนนี้อยู่ในห้อง ICU” ผมแทบทรุดลงไปกับพื้น จิตใจผมคิดอย่างเดียว ขอให้มันมีชีวิตปลอดภัย ผมรีบติดรถแม่ไปทันที เมื่อถึงโรงพยาบาล ผมเดินเข้ามายืนอยู่หน้าห้อง ICU ผมมองผ่านกระจกเข้าไป เห็นร่างที่นอนแน่นิ่ง ไม่ขยับตัว พร้อมกับมีเครื่องช่วยหายใจต่อคลุมปากของมัน และมีอุปกรณ์อีกมากมายต่อเข้ากับร่างกายมันไว้ ผมนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ผมรู้สึกโกรธตัวเองในใจที่ช่วยอะไรมันไม่ได้เลย ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆเท่านั้น แล้วแม่ของมันก็มาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง ในวันอาทิตย์ ก่อนเกิดอุบัติเหตุ ไอ้เบลมันออกไปซื้อของนอกบ้าน เห็นบอกว่า จะไปซื้อกุหลาบขาว หรืออะไรสักอย่าง แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะเอาไปทำไม ขากลับ รถจักรยานยนต์ได้ปาดหน้ารถมัน แล้วรถของเบลก็เสียหลัก รถยนต์ที่ตามหลังมาพุ่งชนเข้าอย่างจัง ผมโกรธตัวเองมาก ผมแทบไม่กล้ามองหน้าแม่ของมัน มีเรื่องแค่นี้ ถ้า***ไม่ออกไปซื้อดอกกุหลาบขาว เรื่องอย่างนี้ก็คงไม่เกิด ผมผิดเอง ผมมองนึกภาพย้อนไปอีกครั้ง ตอนที่มันพูดไว้แล้ว 'กูเองก็อยากได้ดอกกุหลาบขาวเหมือนกัน' ภาพนั้นก็ยังคงกลับมาในหัวผม ผมรีบถามแม่ทันทีว่า ดอกกุหลาบขาวช่อนั้นอยู่ไหน

“แม่เก็บมันไว้ที่บ้าน ถ้าบอลอยากจะไปดู แม่ก็ไม่ว่า” แม่ของเบลยื่นกุญแจบ้านให้ผม ผมรีบไปที่บ้านของเบลทันที ผมไขประตูเข้าไปพบดอกกุหลาบอยู่บนโต๊ะทำงาน มันถูกพรมด้วยน้ำ ผมหยิบขึ้นมาดู มันเป็นดอกกุหลาบสีขาว ล้อมรอบด้วยใบเฟิร์น เหมือนกับของดาในวันนั้น ข้างในมีจดหมายเขียนไว้ ผมหยิบขึ้นมาอ่าน

“ไอ้บอล จดหมายฉบับนี้ กูเขียนให้***อ่านโดยเฉพาะ แล้ว***ไม่ต้องสงสัย ว่ากูเอามันมาจากไหน ดอกกุหลาบช่อนี้กูซื้อจากร้านของดา เกลี้ยกล่อมอยู่นานทีเดียว แต่ทำเพื่อ*** กูทำได้เสมอ และไม่รู้ว่าโอกาสที่กูจะได้ช่วย***อีกมันจะมีอีกหรือเปล่า ถ้ากูไม่ได้ให้ดอกไม้กับมือ กูขอให้***เอาดอกไม้ช่อนี้ไปให้กับดา และบอกรักเธอซะ เพื่อนกูจะได้สมหวังซักที แล้ว***ก็ไม่ต้องมาขอบใจกูหรอก เอาเป็นว่าทุกชาติกูขอเกิดมาเป็นเพื่อนรักของ***ทุกชาติไป หวังว่ากูคงไม่ขอมากเกินไป และกูมีอะไรจะบอก*** กูรัก***วะ ไอ้บอล”



นั่นเป็นข้อความที่ไอ้เบลได้เขียนไว้ก่อนที่จะถูกรถชน ผมนั่งลงบนเก้าอี้ น้ำตาไหลออกมาโดยที่ผมก็ไม่รู้ตัว ผมคิดในใจ ***ไม่น่าทำเพื่อกูขนาดนี้ก็ได้ ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะกู กูคนเดียว ผมได้แต่คิดโทษตัวเอง ตอนนี้ที่ผมรู้ก็มีแต่ความหว้าเหว่กับความเหงาที่กำลังเกาะกินผม และผมกำลังจะไปทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมัน

ผมกำลังยืนอยู่ที่หน้าหอดาพักพร้อมกับช่อดอกกุหลาบสีขาว เพื่อรอใครสักคนมารับมันไป เสียงที่อ่อนหวานจนคุ้นเคยกำลังเข้ามาใกล้ตัวผมและหยุดตรงหน้าผม ก่อนที่หล่อนจะมีโอกาสเอ่ยปากถามอะไร ผมมองหน้าดาและยื่นช่อดอกกุหลาบนั้นให้กับดา ดารับจากมือผมไป ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมดึงเธอมากอดและกระซิบบอกข้างๆหูเธอว่า



“ดา ผมรักดา ดาคือสมบัติชิ้นสำคัญที่ผมยังเหลืออยู่” แล้วน้ำตาของผมก็ไหลออกมา ดาเองก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของผมเหมือนกัน และผมก็ได้เล่าเรื่องของ ไอ้เบล ให้ดาฟัง จากนั้นดากับผมมาที่โรงพยาบาล



ระหว่างทางเราแทบไม่พูดอะไรกันเลย ผมเดินมาถึงหน้าห้องของไอ้เบล พบแม่ของไอ้เบลนั่งเศร้า ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา น้ำตาของอกผู้เป็นแม่ได้ไหลออกมา

“บอล เบลเสียแล้ว” เมื่อผมได้ฟังดังนั้น ถึงกับนั่งทรุดลงกับพื้น น้ำตาของผมไหลออกมาไม่แพ้แม่ของเบลเช่นกัน ผมพยายามกลั้นน้ำตาไว้เพื่อไม่ให้แม่ของเบลเห็น ผมเดินออกมาจากห้อง เหมือนโลกนี้ทั้งโลกมันว่างเปล่า ผมเดินออกมาและเดินไปอย่างไร้จุดหมาย คนหนึ่งคนที่เป็นที่ปรึกษา คอยช่วยเหลือผมตลอดมา เป็นคนที่ผมรักมากที่สุด แต่บัดนี้มันได้จากผมไปแล้ว เวลาที่ผมเศร้า แล้วผมจะคุยกับใคร เวลาที่คิดถึงมันแล้วผมจะคุยกับใคร แล้วต่อจากนี้ไปผมจะคุยกับมันได้อย่างไร หลายๆคำถาม วนเวียนเข้ามาในหัวผมอย่างไม่หยุดหย่อน ผมทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง เมื่อดาเห็น ดาก็เข้ามากอดผมไว้แน่นน้ำตาของผมค่อยๆซึมออกมา ทั้งผมและดาต่างก็ร้องไห้เสียใจเพราะการจากไปของเพื่อนสุดที่รักของผม ตลอดชีวิตนี้ผมไม่เคยลืมมันได้ซักครั้ง ไม่มีจริงๆที่ผมจะลืมมัน ผมคิดถึงมันไอ้เพื่อนรัก เหมือนภาพที่มันหยุดนิ่ง สายลมพัดเอื่อยๆ กิ่งไม้ค่อยๆ ไหว และกลุ่มเมฆคล้ำ ที่เหมือนจะร้องไห้



หลังจากพิธีศพของเบล ผมเคยได้ให้สัญญากับมันว่า ผมไม่เคยห่างดาเลยเหมือนกับผมที่ไม่เคยห่างมัน ผมจะรักดาให้มากๆ เท่ากับที่ผมรักมัน ทุกๆวันเกิดของมัน ผมจะนำดอกกุหลาบขาวมาเยี่ยมมันทุกครั้ง ที่ริมสระน้ำ เพื่อระลึกถึงมัน ทั้งชีวิตผมไม่เคยรักใครเท่ากับ ไอ้เบล



ผมได้กลับไปที่ต้นไม้ใหญ่ริมสระน้ำที่อดีตผมได้เคยอยู่กับมัน แม้ภาพนี้จะยังติดตาผมอยู่ ผมก็ไม่เคยลืมสิ่งที่เคยร่วมทำกับมันไว้ “บอลค่ะ นี่คะ ” ดายื่นดอกกุหลาบขาวที่ถูกห่อมาอย่างดี ผมวางไว้ริมสระน้ำ หลังจากนั้น ผมได้ออกเดินทางไปที่ เนเธอร์แลนด์ กับดาที่รักของผม แน่นอนที่ผมจะรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายของผมไว้ให้ดีที่สุด

ปัจจุบันนี้ ผมเริ่มใช้ชีวิตใหม่ในต่างประเทศ ในฐานะบริษัทรับ-ส่งดอกไม้ ในชื่อ bell’s rose โดยเฉพาะดอกกุหลาบขาว แสงแดดที่ส่องแสงลงมาในยามเช้าตรู่ เมื่อส่องลอดผ่านหน้าต่างมากระทบกับกลีบกุหลาบสีขาว มันจะยิ่งสวยมากขึ้น และข้างๆ ดอกกุหลายช่อนั้น จะมีจดหมายทเก่าๆ วางอยู่ กับความรู้สึกดีๆ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

* ดอกกุหลาบขาว คือ ดอกไม้ที่ให้กับคนที่สำคัญที่สุดของเรา *

…………………………………..



- จบ -



หรือกดที่นี้

White rose (http://writer.dek-d.com/jimwa/writer/view.php?id=339530)

teerachai212
21st May 2013, 21:19
มาดูตามสัญญาแล้วครับ แจ๋มกว่าผมอีก 55555 ผมคงอีกนานนนน