PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : The World Cold Day "มหาวิบัติ คนไม่ยอมตาย"



black jack sdppd
16th November 2012, 19:27
ก่อนจะติดตามเรื่องผมอยากให้อ่านครับนี่ดูก่อนนะครับ
1.ผมจริงจังมาก เพราะฉะนั้นส่วนไหนที่ผมขาดช่วยบอกผมด้วย
2.คีย์บอร์ดผมมีปัญหา ถ้าเห็นผมเขียนผิดมั่นใจได้เลยว่าผมไม่ได้ตั้งใจ
3.ผมแต่งทั้งใน Microsoft และต้องเอามาเรียบเรียงใหม่ เลยดูจ้าดง่าวว เล็กน้อย
4.ผมย่อหน้าไม่ได้เลยอ่านยากครับ
5.ผมจะไม่เลิกกลางทะเลอีกแล้ว จึงขอกำลังใจด้วยครับ

ประเดิมครับ

http://image.ohozaa.com/i/9a7/njekLF.jpg

The World Cold Day
มหาวิบัติ คนไม่ยอมตาย
โลกแสนสงบสุขของ ร้อยเอก ดีน คา ไทเลอร์ พักร้อน2เดือน ปลดเปลื้องเขาจากสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา จนกระทั่งวันหนึ่งความสงบกลับเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายเมื่อโลกที่เขาพักอยู่เกิดจลาจลขึ้นโดยฝีมือของคนไม่ยอมตาย ที่ภายนอกเป็นมนุษย์แต่เขาพวกนั้น กลับไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ ไม่หิว และไม่มีความรู้สึกรู้สา มีแค่ความหิวโหยในเนื้อมนุษย์ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ดีน ต้องทำตามคำแนะนำของหลายๆคน และการใช้ทักษะในการเอาชีวิตรอดจากฝูงกระหายเนื้อและรักษาจิตใจของตัวเอง แม้ว่าศัตรูของเขาจะไม่ได้เป็นแค่คนไม่ยอมตายเท่านั้น
Black Jack Sdppd - DPP










บทที่ 1 จลาจล

บทที่ 1 จลาจล

แสงแดดอ่อนๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ของอากาศที่สงบสุข ในเมืองเล็กๆ เคล้าธรรมชาติสไตล์ชนบท อย่าง"เลควิว" แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะให้เป็นที่เปิดหูเปิดตาของ
ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั่วทุกอำเภอจะมีสถานที่บำรุงสุขภาพอยู่ทั่วทุกแห่ง
ทำให้เลควิวมีชื่อในเรื่องการบำรุงสุขภาพทั้งทางกายและใจ ผู้คนส่วนมากจึงเอาเวลาไปผ่อนคลายชนะความเครียด ดีกว่าไปทำอะไรไม่ค่อยดีงามหรือสร้างปัญหา
ผมเป็นทหารที่เสร็จภารกิจจากการก่อการร้ายที่รัสเซีย เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ลักลอบขนอะไรซักอย่างที่เราไม่มีทางรู้ แม้รัฐบาลจะมองเราเป็นเพียง"ทหารเลว"แต่ผมก็ภูมิใจที่อย่างน้อย ก็ได้รับใช้ชาติ หลับหูหลับตาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เอาคำขวัญที่ว่า "ใครขวางทางชาติ จะกำจัดให้หมดสิ้น" เราทำภารกิจได้อย่างยอดเยี่ยมขนพรรคพวกไปเพียงแค่ 45 คน แต่สามารถต่อกรกับหัวหน้าผู้ก่อการร้าย เราฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ "โคเลียม วีนอสกี้" ทุกอย่างจบ แต่นั่นก็เรื่องเมื่อ 2 ปีมาแล้ว หลังจากที่เราตามเก็บกวาดพวกมัน ผมจึงมีสิทธิ์ใช้เวลาพักร้อน 2 เดือนให้คุ้มค่าที่สุด ประหยัดเงินให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่า สันดานผมขี้เหนียวพอสมควร
โดยเดิม ผมเป็นคนที่เลควิวเต็มตัว ครอบครัวผมทุกคนเกิดที่นี่ โดยเฉพาะ เคน และ อัลเลน ไทเลอร์ บุพการีของผมท่านทั้งสองเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมได้ยศร้อยเอกมาง่ายกว่าปกติ แต่ผมภูมิใจที่ได้ชื่อท่านทั้งสอง มารวมในชื่อกลาง "คา"

ผมว่ายท่าฟรีสไตล์อย่างสวยงามในสระยาว25เมตร ลึก2เมตร สระสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณภาพดีในสถานบำรุงสุขภาพทางตอนใต้ของเมือง ที่ผมเลือกที่นี่เพราะคนไม่คับคั่งนัก ไม่แพงจนเกินไป เน้นคนที่เป็นสมาชิกหรือไม่ก็คนในชุมชน พวกเรารู้จักกันดี
การทำลำตัวให้เหมือนคนหมดแรง งอเข่าแล้วสะบัดเท้า เป็นเทคนิคอย่างดีในการว่ายท่านี้
"รู้สึกว่า วันนี้จะว่ายเร็วขึ้นนะ คา " เสียงหนึ่งทักหลังจากผมว่ายติดต่อกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยเสียงอุ่นทุ้มและใจดีนี้ต้องเป็นเสียงของ โจ ยามเฝ้าสระ เพื่อนสนิทของผม
" มันก็ต้องมีพัฒนาบ้างสิ" ผมตอบกลับหลังจากที่หายใจในน้ำ และถอดแว่นกันน้ำ
มือลูบหน้าเพื่อไล่น้ำออก
"เหรอ งั้นถ้านายว่ายเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องให้นายช่วยหน่อย" โจกล่าวออกมา ซึ่งก่อนที่ผมจะได้ตอบก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี น้ำที่แตกกระจายซึ่งเกิดจากลูกเต้าเหล่าใครสักคนแถวนี้
"นายมีอะไร จะให้ฉันช่วยนะ"
"อ๋อ ช่วยว่ายต่อไปนะ ไอ้เกลอ" นั่นไง มุขใหม่ของโจ เขาคงจะขาดใจตายถ้าไม่ได้เล่นมุขกับผม มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้ามันฮาบ้าง
"เออ เอาเหอะ" แล้วผมกับ โจ ก็ขำด้วยกัน หลังพิงสระอย่างเหนื่อยและอ่อนล้า ผมชอบกลั้นหายใจใต้น้ำมาก
มันรู้สึกดี ในช่วงแรก ว่าแล้วก็ขอเช็คหน่อยละกัน ว่าตัวเองกลั้นหายใจได้นานเพียงใด
ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดสังขารที่ผมจะทนไหว ผมคิดว่าสักสองนาทีครึ่งมั้ง ขณะที่โผล่ขึ้นมาเพื่อฮุบอากาศ
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มันอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงกรีดร้อง คนวิ่งพล่าน มันเป็นความโกลาหล ที่ผมไม่ชอบเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในสงคราม สายตาปรับสภาพ แต่ไม่สามารถดูได้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าไหน คนมากหน้าหลายตาวิ่งไล่จับกัน อลหม่าน
ผมคิดว่าเห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งรุมล้อมทำอะไรซักอย่าง หัวขยับเคลื่อนไปมาอย่างน่ากลัว มองลอดแขนของคนๆหนึ่ง เจออะไรบางอย่างนอนแน่นิ่งไป
"พระเจ้า!" ผมว่าผมอุทานไม่ผิด นั้นมันคนนี่ สายตาว่างเปล่า แม่เจ้า เขาตายแล้ว
เสียงคำรามดังขึ้น ผมหันกลับไป มองหาเจ้าของเสียง จากข้างสระ ชายผู้นั้น แต่งชุดตำรวจ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ของเหลวสีแดงเต็มปาก
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน"ใช่ทุกอย่างเริ่มชัดขึ้น บรรยากาศเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องที่ผมท่าทางโกรธแค้นและแล้วพวกเขาก็พุ่งมาที่ผม
ใต้ความสับสน ผมตัดสินใจว่ายน้ำให้เร็วที่สุดไปที่อีกฝั่ง หลังจากว่ายไปครึ่งสระ ในหูได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ
ผมตัดสินใจหันกลับไปมองพวกเขากระโดลงน้ำตามมา กะด้วยสายตาแล้วมากกว่า 50 คน มาจากข้างหลัง ผมกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องไปนอนเป็นศพที่โดนแทะ น้ำตาไหลออกมาพร้อมความรู้สึกสิ้นหวัง
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ว่าย กลับตะกุยขาไม่ยั้งเหมือนพยายามวิ่ง ผมหันกลับไปมีกำลังใจเล็กน้อยแม้น้ำตาจะไหลอยู่ก็ตาม
แต่ว่ามีอีกประมาณ 50 คนก็โดดลงสระมาเช่นกัน ตอนนี้ผมโดนล้อมแล้วจาก 'อะไรสักอย่าง' เหลืออีกแค่สามเมตรพวกเขาจะถึงตัวผม โอ้ไม่ หน้าตาเปื้อนเลือด กลิ่นเหม็นตลบอบอวน ผมหวีดร้อง สายตาคลั่งแค้นพยายามไขว่คว้าตัวผม ผมไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่แล้วตอนนี้ พวกเขาล้อมผม ไร้ทางหนีผมตกเป็นเหยื่อแน่นอนแล้ว การหายใจเริ่มกระสับกระส่าย หมดกำลังใจที่จะว่ายต่อ แรงหายไป รอที่จะเป็นเหยื่อ
แต่มีบางคนเท้าลอยอยู่ทำให้ผมนึกอะไรออก ดวงผมยังไม่ถึงฆาตหรอกน่า แล้วตัดสินใจ กระทำสิ่งที่งี่เง่าที่สุดไป นั่นคืองับอากาศที่แรงที่สุดเข้าปอด แล้วทิ้งตัวลงในน้ำ รู้สึกถึงแรงกดจับที่ขา ไม่มีเวลาหันไปดู ผมดิ้นสุดแรงแล้วรีบว่ายดำลงไป รักษาความลึกให้ได้มากที่สุด ขณะที่กำลังแหวกว่ายผ่านขาหลายขาและแขนที่ตะเกียยกตะกายอย่างสับสันอยู่นั้น เกิดการชุลมุนขึ้นเหนือผม มันหาตัวผมอยู่ ผมถึงอีกปลายฝั่ง แตะขอบสระ โผล่ขึ้นมาเบียดกับใครบางคนไม่เหลือเวลาให้หายใจแล้ว ผมเอามือยันขอบสระแต่ ตัวผมกลับถูกกระชากลงในน้ำ แม้เห็นไม่ชัดแต่ก็รู้ว่ามันกำลังจะกัดผม
"ม่ายยยย" การตะโกนที่ไร้ประโยชน์ ขอบคุณแรงดันน้ำ ที่ทำให้มันมาช้า สัญชาติญาณสั่งให้ใช้สองมือหักคอเขา
ผมปีนขึ้นฝั่ง วิ่งอีกสองสามก้าว หายใจหอบแล้วหันกลับไปที่สระ เลือดเต็มขอบสระ ผู้คนนอนเสียชีวิต เลือดไหลมากอง บางรายไส้ออกมาทะลัก แต่ภาพที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตรงหน้าผม ที่สระน้ำ ผมเข่าอ่อนทันที ผู้คนนับร้อยอัดกันแน่นในสระสีแดงฉาน เหมือนฝูงมดในรังแคบที่ไร้ซึ่งความสามัคคี พยายามเหยียบหัวกันเพื่อขึ้นมาหาผม คนปีนขึ้นหัวอีกคนไม่สนว่าจะมีตัวตนหรือไม่ ผมเอามือปิดหน้า พระเจ้าเล่นอะไรกับผม
ตอนนี้ คงไม่ต้องห่วงพวกหน้าโง่ในสระแล้ว ผมนั่งพัก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ซึ่งทีจริงผมน่าจะอ้วกแล้ว เพราะกลิ่นคาวเลือด ชวนแหวะ
เสียงครวญคราง ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงตะโกนในสระ ผมลุกขึ้นมอง เห็นศพที่นอนตายนั้น ค่อยๆยันตัวเองกับพื้นช้าๆ ผมส่ายหัวอย่างตะลึง ร่างกายสั่นด้วยความกลัว ใจไม่กล้าทำอะไรแล้ว พวกศพที่เคยนอนอยู่ลุกขึ้นช้าตัวกระตุกอย่างน่ากลัว
จากเสียงครวญครางเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ผมออกแรงวิ่งด้วยเท้าเปล่า ไปที่ เชฟโรแลต ของตัวเอง จนเมื่อถึงรถ
"กุญแจรถล่ะ" ผมหันกลับไปที่สระ เห็นใครหลายคนวิ่งออกมา สายตาจับจ้องที่ผม
ลองเสี่ยงดึงประตู โอ้ ไม่ได้ล็อค ขอบคุณพระเจ้า
ว่าแล้วก็รีบเข้าในรถ ปิดประตูล็อค แก้เบาะออกต่อสายเครื่อง เสียงกระหึ่มดังขึ้น เวลาเดียวกับที่คนหลายคนมาทุบกระจกรถ ผมมองอย่างหวาดหวั่น แต่แน่ใจว่ามันแข็งแรงพอแน่ ผมเข้าเกียร์ถอยหลังและรีบพุ่งออกไปทันที

lnwbussa02
16th November 2012, 19:35
สู้ นะครับ ผมชอบอ่านแนวนี้อยู่เดียวอ่านให้ครับแล้วจะมาบอก
:victory

muek9999
16th November 2012, 19:35
เจิมๆครับ แนวนี้น่าสนใจและน่าติดตามมากครับ

ถ้าตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมว่าน่าจะใส่จุดหักมุมไว้เยอะๆนะครับ ฮ่าๆๆ ให้คิดตามๆกัน

black jack sdppd
16th November 2012, 20:12
บทที่ 2 มันคืออะไร ?

"ซอมบี้ ซอมบี้ ซอมบี้" ผมพร่ำบอกตัวเองขณะที่ก้นอุ่น นุ่มสบายในรถ ใจเย็น เพราะแอร์ชุ่มฉ่ำ พึ่งขึ้นจากสระน้ำแท้ๆ ทำไมไม่หนาวเลยนะ
"ซอมบี้ ผีดิบ ผีชีวะ ผีลืมหลุม" ไม่จริงแน่ เรื่องอย่างนี้ไม่มีจริง สิ่งเมื่อกี้ มันเป็นเรื่องหลอกๆที่ พวกมีอารมณ์ขันทำกัน ถ้าผมอยู่ต่อ อาจจะมีใครสักคนออกมาแล้วพูด"เซอร์ไพรส์" ดังๆก็ได้ เป็นการหลอกตัวเองที่ดี
ผมเป็นคนที่ชอบหนังเกี่ยวกับซอมบี้พอสมควร ไม่ว่าเรื่องนั้นจะมีกี่ภาค และเนื้อเรื่องออกนอกอวกาศแค่ไหนก็ตาม ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นคือ บางเรื่องผีจะเดินอย่างเชื่องช้า บางเรื่องผีจะวิ่งเร็วอย่างกับนักวิ่ง 4x100
ผมมองกระจกหลัง ขณะที่ขับบนถนนที่ตัดทุ่งหญ้าสีทอง มันดูเป็นวิวที่สวยงานซึ่งขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ไม่มีใครตามมา ผมถอนหายใจดังๆหนึ่งที เยี่ยม ผมใจเย็นลงแล้วตอนนี้ ไม่รู้ว่าควรจะกลับบ้านหรือไม่นะ แต่ถ้ามันมาจากทางใต้ บ้านผมทางตะวันตกก็คงไม่เป็นอะไร ว่าแล้วผมจึงเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เปลี่ยนเป็นคลื่น AF ความถี่สาหรับข่าว ช่องท้องถิ่น เสียงสัญญาณชัดเจนดี
"--เลยนะครับ" ผมเปิดช้าไป "ตอนนี้ขอให้ทุกท่านไปทางตะวันตกของเลควิวนะครับ" ดีเจพูดด้วยเสียงเร่งรีบ แสดงว่าซอมบี้ยังไปไม่ถึงสถานี "ผมก็คงจะรีบไปแล้ว ขอให้โชคดีนะครับ" เสียงปึงดังขึ้นในวิทยุ เสียงคำรามปนกับเสียงหวีดร้อง ของดีเจ ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่รอดแล้ว
"ไปสู่สุคติเถอะเพื่อน" ผมพึมพำเบาๆ

ถึงทางด่วนแล้ว ยังไม่มีการอาละวาดเกิดขึ้น แต่รถติดมากและรู้สึกได้ถึงบรรยากาศวุ่นวาย ผมว่าผมควรจะตะโกนบอกพวกเขา แม้จะเกิดความแตกตื่น แต่ถนนจะว่างอย่างเหลือเชื่อ ผมไปด้านหลังเอาแจ็คเกตทหารลายพรางที่แขนปักไว้ว่า “อาร์มี่ เรนเจอร์” ที่แขวนอยู่มาคลุมร่างที่เปลือยเปล่าของตัวเอง แต่คงไม่สามารถเอากางเกงมาใส่ได้ทัน คงไม่มีปัญหาเพราะกางเกงว่ายน้ำผมยาวถึงเข่า
“เฮ้ อีริค” ผมเดินไปทักเพื่อนร่างอ้วนที่นั่งอารมณ์เสียอยู่ในฮอนด้าสีขาว
“เฮ้ ดีน เกิดอะไรขึ้น นายพึ่งมาจากทางใต้เหรอ” เขาถาม
“ใช่ ที่นั่นมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น” ผมตอบ “นายรู้เรื่องอะไรมั้ย”
“ฉันอยู่ที่ในตัวเมืองแล้วคนในเมืองแล้วจู่ๆก็ประกาศเคอร์ฟิลด์ซะงั้น” เขาเล่า “เราได้ยินเกี่ยวกับเชื้อโรคแพร่ระบาดแค่นี้แหละ” ถ้าเขารู้แค่นี้แสดงว่าทางรัฐปิดบังข่าวไม่ให้คนแตกตื่น “เกิดอะไรขึ้นทางใต้ ทำไมนายไม่ใส่ชุด”
"ใช่ นายต้องรีบกลับบ้านด่วน” แต่เขาไม่ได้ยิน เพราะตอนนั้น เสียงหวือ จากบนฟ้า เสียงใหญ่ยักษ์ของเฮลิคอปเตอร์ กลบเสียงผมจนหมด แต่ถึงกระนั้นทุกคนลงมาดู พาลูกเต้ามาดูด้วย ไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว
เกิดเสียงแตรจากรถหลายคันข้างหลัง มันเป็นเสียงใหม่ที่ไม่ใช่จากรถห้า หกคันที่ต่อแถวกันอยู่ ตอนนี้มีมาเพิ่มอีกพรวน
"เฮ้ พวกมันมาแล้วโว้ย" เสียงจากคนในรถคนหนึ่ง เขาดูมีท่าทีเร่งรีบและตื่นกลัว คันข้างหลังที่ผมสามารถมองเข้าไปในรถได้เช่นกัน บางคนมีสีหน้ายุ่งเหยิง ตกใจและหวาดกลัว
ผมค่อยเดินเข้าไปใกล้ๆรถ ที่มาใหม่ รู้สึกกลัวว่าสิ่งที่เขาพึ่งเจอจะเหมือนกับผม เมื่อมองรถด้านหลัง บางคันกระจกหน้าแตกร้าว อีริคลงจากรถมาเดินข้างผม
“นายไปเจออะไรมา” ผมถามเรียบๆ
“ไม่ใช่เวลาถามนะ รีบไปได้แล้ว” เขาตะโกนแล้วกดแตรๆหลายครั้ง
“ใช่คนที่ลุกมากัดกันคนรึเปล่า” ผมถาม เขาสงบลงทันที เขาหันมามองผมสลับอีริค สายตาดูหวาดกลัว
“อะไรนะ ดีน นายไปเจออะไรมา” ผมไม่ตอบ ผมไม่ได้ฝันไป ถึงเวลาที่ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผมปีนขึ้นหลังคารถตัวเอง
“ทุกคนรีบออกไปจากที่นี่" ผมตะโกน “ไปเลย ช่างหัวไฟแดง” แต่ทุกคนบนถนนยังมองผมงงๆ “ไปเซ่ โถ่เว้ย” ผมปีนลงจากรถแล้วหยิบปืนพกจากในกล่องใต้เก้าอี้ ผมปีนขึ้นหลังคาอีกครั้ง มือชูปืนพีเคเคขึ้นฟ้า
ปัง
เสียงกรีดร้องและเสียงเคลื่อนรถดังขึ้นทันที ผมยิงขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นพวกเขา รถเคลื่อนย้ายแล้ว วุ่นวายกว่าเดิมเกิดการชนกันขึ้นเพื่อดันอีกฝ่าย ผมคิดผิดหรือถูก
“นายทำบ้าอะไรดีน ลงมาน่ะ” อีริคมายืนข้างรถผมมองผมอย่างสงสัย
“ขึ้นรถไปซะ อีริค รถนายกำลังขวางเขาอยู่” ผมพยักหน้าไปทางรถของเขา แต่มันไม่ทันแล้ว มันถูกรถข้างหลังเบียดไป เขาจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา
“โอเค ดีนมันเกิดอะไรขึ้น” เขาถาม ผมลงมาจากหลังคารถมายืนประจันหน้ากับเขา มือจับไหล่เขา
“ฟังนะ มันเกิดเหตุประหลาดขึ้น จู่ๆก็มีกลุ่มคนบ้าที่ไหนไม่รู้ วิ่งมาที่สระน้ำแล้วไล่ฆ่าทุกคนหมดเลยแล้วคนที่ถูกทำร้ายก็กลายเป็นมีท่าทางเดียวกัน”
“นายเป็นบ้าอะไรดีน” เขาปัดมือผมออกแล้วมองผมเหมือนผมเป็นคนบ้า
รถติดไม่ยาว คงใช้เวลาไม่นาน ผมนึกอะไรออก กลับเข้าไปในรถ หยิบกล้องส่องทางไกลที่เก็บไว้ใต้เบาะออกมา ผมปีนขึ้นหลังคารถอย่างทุลักทุเลอีกรอบ แล้วใช้มันส่องไปในที่ที่ผมจากมา ระยะ 1500เมตร
"แม่เจ้า" มันมาแล้วสายตามุ่งร้าย ปากที่อ้าอยู่ตลอดเวลา กะคร่าวๆน่าจะสัก 300 คนได้ เป็นภาพที่น่าสยดสยอง บางตัววิ่งจนกระดูกทะลุ แต่มันก็ไม่หยุดวิ่ง บางตัวที่วิ่งเร็วแต่อยู่ข้างหลังพยายามปีนป่ายกันเอง ล้มทับกันชุลมุน ผมส่งกล้องให้อีริคเขารับมาอย่างทุลักทุเล ผมดึงเขาให้ขึ้นมาบนรถ ตอนนี้หลังคารถผมสกปรกไปด้วยรอยเท้า
“ไอพวกนั่นมันเป็นอะไรวะนั่น” เขาอุทาน ตายังจ้องมองผ่านกล้อง
“นั่นแหละ พวกที่ฉันเล่า” ผมบอก เขามีสีหน้าตกตะลึง “ไปซะ”
"พวกมันมาแล้ว รีบย้ายก้นกันซักทีสิฟระ" เขาตะโกนคนที่ไม่ได้ปิดกระจก รับรู้ถึงเสียงของเขา อีริคขึ้นรถรีบแทรกช่องว่างระหว่างทาง แล้วเบียดกันไป
ผมคิดว่าผมควรจะเอาด้วยนะ ผมลงจากหลังคาเข้าไปในรถ รีบแทรกทันทีเมื่อมีช่องว่างและไอ้ขาโจ๋เฮงซวยคนนึง เกือบจะชนผมแล้ว ไม่มีเวลาโกรธผมแทรกและขับไปมีคนพยายามจะแซงทั้งชน ทั้งปาดหน้า
วุ่นวายจริงๆ มีคนบางพวกที่ทำให้ผมหัวใจวาย เพราะพวกเขาทิ้งรถแล้ววิ่งมา ทำให้ผมนึกว่า พวกมันตามมาแล้ว
ตอนนี้เวลาราว 6 โมงเย็น ผมขับถึงถนนสายใหญ่แล้วรีบซิ่งไปที่บ้านทันที เพราะผมรู้ว่า เดี๋ยวจะมีไอพวกซิ่งแน่ๆ ระหว่างทางก็เจอ สิ่งที่ทำให้ไปได้ช้าขึ้น
ด่านตรวจที่เหมือนป้อมปราการ กำแพงสูงกว่า 9 เมตร น่าจะยาวสัก 10 เมตร มีทหารและตำรวจหลายนายอาวุธครบมือ ทุกคันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมขับรถไปถึงจุดตรวจ
“ถูกกัดตรงไหนมั้ยครับ” เจ้าหน้าที่หน้าละอ่อนถาม ส่องไฟฉายเข้ามาในรถ
"มันมาแล้วอีกหน่อยก็ถึง แล้วก็มีอีกหลายคน ยังไม่ถึงเส้นหลัก คุณต้องปล่อยรถทั้งหมด" ผมบอกสถานการณ์กับเจ้าหน้าที่ตัวเล็กยังหนุ่ม เขาหันไปคุยอะไรบางอย่างกับอีกคนท่าทางเครียด “ไม่มีใครโดนกัดหรอกน่า”
"ไม่มีเวลาปรึกษาแล้ว อีก800เมตรมันก็ถึง บอกทหารประจำสถานีรบ เตรียมอาวุธ มี ฮัมวี่ติดปืนกลรึเปล่า รึเปล่า" ผมถาม
"มี แต่คุณรู้ได้ไง" เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วสงสัย
"ช่างเหอะว่ะ" ผมตะคอก "มีกี่คัน"
"สี่คัน" เจ้าหน้าที่ตอบ
"ผมเป็นทหารจะช่วยวางแผนที่นี่ให้ มีเสื้อผ้าเปลี่ยนมั้ย" ผมถามแต่ไม่รอคำตอบ ผมรีบขับรถไปจอดข้างๆป้อมสี่เหลี่ยมข้างหลังกำแพงที่สามารถขึ้นไปได้ มีทหารอยู่รอบๆหลายคนเลยทีเดียว
เมื่อลงจากรถ เจ้าหน้าที่รายเดิมเดินเข้ามา เมื่อเขาเห็นตัวผม เขาก็ชักปืนขึ้นทันที ทหารรอบๆก็ดูเหมือนจะมีท่าทีเช่นกัน เขายกปืนขึ้นชี้มาที่ผม
"คุณโดนกัดรึ" เขาตะโกนถาม ถอยห่าง
"หา" ผมสงสัยว่าทำไมเขาพูดเช่นนั้น แต่เมื่อมองดูก็พบว่า ตัวผมยังติดคาวเลือดอยู่
"คุณโดนกัดรึเปล่า" เขาทวนคำถาม
"เปล่า แค่เกือบน่ะ ทีนี้ให้ผมเข้าไปได้รึยัง" ผมก้าวไปข้างหน้าแม้เขาลดปืนลงแต่จากท่าทางแล้วเขาคงไม่ยอมให้ผมเข้าแน่
"พลเรือน ห้ามเข้าครับ เชิญ--"
"ให้เขาเข้ามาเดนนิส นั่นร้อยเอก ดีน คา ไทเลอร์ นะเว้ย" เสียงหนึ่งดังจากข้างหลังในเงา เขาโผล่มาพร้อมกับใบหน้าเหลี่ยมเข้ม ผมทองเรียบมีเคราเล็กน้อยที่คาง ทหารเอาปืนลงทันที
เดนนิสหันกลับไปดูเจ้าของเสียงสลับกับผมทีสองที คงงงมากสิท่า เดนนิสเก็บปืนแล้วพยักหน้าให้เจ้าของเสียง
เมื่อผมหันกลับไปก็พบว่าเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอ็ดดี้ วินเชสเตอร์ เพื่อนสนิทของผม เขาคือนาวิกโยธินสหรัฐฯ
"ผมต้องขอโทษจริงๆครับ " ผมยืดอกและรู้สึกอยากหัวเราะด้วย แต่ไม่ใช่เวลา
"ไม่ใช่ตอนนี้เดนนิส" เขาพยักหน้าอย่างรู้งานผมเดินข้ามไปหาเพื่อนสนิทของผม เจ้าของเสียงเมื่อกี้
"มีเสื้อเปลี่ยนมั้ย เอ็ดดี้" ผมถามน้ำเสียงจริงจัง ตัวสั่นเพราะความหนาวเล็กน้อย
"มีครับ" คู่หูผมตอบพร้อมพยักหน้า

สักพักใหญ่ ผมในชุดทหารด้วยเสื้อยืด และกางเกงแบบครบชุด ก็มาหยุดยืนที่ห้องสี่เหลี่ยมขนาดซึ่งอยู่ติดกับห้องสัมภาระเลย
ทหารยศร้อยตรีประมาณสิบนายยืนรอบโต๊ะกลมขนาดใหญ่ ในห้องสี่เหลี่ยมล้อมด้วยหน้าต่าง มีคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการวางไว้ที่มุมหนึ่ง และเครื่องสื่อสารที่มุมหนึ่ง ทุกคนทำความเคารพผม ผมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
"ให้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมั้ยครับ" เดนนิสนั่นเอง กุลีกุจอเข้ามาพยายามแก้ตัวที่ทำพลาดไปเมื่อกี้
"ยังก่อน ตอนนี้ต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน" ผมบอก
"ครับ" เขาตอบรับ ดูหงอยลง
"ปล่อยให้คนเข้ามารึยังครับ" ผมถามเดนนิส ไม่อยากให้เสียน้ำใจ
"อ๋อ ครับ ปล่อยแล้วครับ เราปล่อยให้เข้ามาแล้วหมดทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนตัวเปล่าครับ" ท่าทางของเดนนิสกระตือรือร้นขึ้น
"ขอบคุณมาก" ผมบอก ทีนี้ก็ได้เวลาวางแผนสักที
“สวัสดีทุกคน ผมร้อยเอกไทเลอร์” ผมเริ่มทักทาย ทหารรอบโต๊ะทำความเคารพ ผมพยักหน้า “ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วใช่มั้ย ว่าเรากำลังรับมือกับอะไร”
“เรารู้แค่ว่าเป็นเชื้อโรคที่ทำให้คนลุกขึ้นาอาละวาดทำร้ายกันเองครับ” ทหารนายหนึ่งตอบ “ทางการต้องการให้เราระงับไว้”
“แล้วทางการรู้หรือเปล่าว่าโรคนี้มันร้ายกาจแค่ไหน” ผมถามกลับ เขาเงียบไป ”ผมประจันหน้ากับมันตัวต่อตัวเลย ขอบอกเลยว่าการระงับของเรานั้นจำเป็นต้องใช้อาวุธเพื่อยับยั้ง ยิงทุกคนที่วิ่งเข้ามา เอา ฮัมวี่ ทั้งสี่ วางเรียงหน้าป้อม เอาทหารทุกคนยืนเรียงบนป้อม อย่าให้ทุกคนลงล่าง นำพลแม่นปืนทุกคนแบ่งให้เท่ากัน ไปประจำที่มุมป้อมทั้งสองข้าง เล็งที่หัว แต่เล็งยากหน่อยนะ เพราะมัน--"
ผมหยุดเพราะเห็นมือหนึ่งชะงักค้างในอากาศ
"ว่าไง" ผมถามน้ำเสียงไม่พอใจที่ถูกขัด
"ถึงกับต้องฆ่าประชาชนเลยเหรอครับ" นายทหารยศร้อยตรีที่ป้ายชื่อบอกว่า โจ แทรกขึ้น มันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนของผม
"ใช่" ผมบอก
“เราจำเป็นต้องทำถึงขึ้นนั้นเลยเหรอครับ มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
“ผมไม่รู้หรอกนะ แต่คุณคงยังไม่เคยเจอกับมันสินะ จะบอกให้ พวกมันทำโดยที่ไม่มีแผน มันเพียงแค่วิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กัดกินทุกชีวิต มันวิ่ง วิ่ง วิ่งและวิ่ง เหยียบกันเอง มันโหดร้าย มันไม่สนใจใคร ไม่เหนื่อย ไม่รู้สึกรู้สา ผมเห็นกับตา มันวิ่งมาจากที่ไกลโพ้นจนเนื้อเท้าแทบหลุด แทบไม่ต้องใช้ตาในการมองเลย”
“ต้องเล็งที่หัวด้วยเหรอครับ” ทหารอีกนายถาม
“เอาให้แน่ไว้ก่อน พวกนี้ไม่น่าจะตายถ้าโดนที่ลำตัว เหมือนพวกเมายายังไงล่ะ ผมรู้ว่าทุกคนอาจจะคิดไม่ถึง แต่เชื่อเถอะ เราจำเป็นต้องทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแยกย้ายได้แล้ว”
"ครับผม!!!" พวกเขาตอบรับ ผมพยักหน้าพึงพอใจ ทุกคนแยกย้ายไปประจำที่
"เอ็ดดี้ เดนนิส อยู่ก่อน อธิบายเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังที" ผมเรียก ทั้งสองหยุดกึก

ผมยืนมองหน้าไร้ความรู้สึก เหม่อไปนอกหน้าต่างเห็นแต่ความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามา รถฮัมวี่เข้ามาประจำการหน้าป้อมแล้ว ในขณะที่เอ็ดดี้อธิบายเรื่องต่างๆให้ฟัง
"ต้องขอโทษจริงๆ ที่ข้อความส่งไม่ถึงนาย" เอ็ดดี้กล่าว ผมรู้สึกพอใจที่เขายังไม่ลืมข้อตกลงว่า ถ้าไม่มีใครเราจะเป็นกันเอง เล่นหัวกันได้ กรณีนี้อาจจะยกเว้นเดนนิส
"ไม่งั้นนายจะสามารถหนีมาและมากบดานกับเราได้"
"รัฐบาลรู้เหรอ ว่ามันจะเกิดขึ้น ใครเป็นคนทำ" ผมแทรก
"เปล่า รัฐบาลรู้เพียงแค่มันจะเกิดขึ้น"
"รู้ได้--"
"อย่าขัดสิเฮ้ย" เอ็ดดี้โพล่งออกมาท่าทางหมดความอดทน
"โอเค ๆ"
"มันเกิดขึ้นในซ่องโจรในป่าทางเสฉวนของจีน มีผู้รอดชีวิต จากซ่องโจรนั่นมาแค่1คน ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของจีนแล้ว จากนั้นเชื้อก็แพร่ลามไปทั่ว มันรวดเร็วมาก สักประมาณ 20 วินาทีได้ เราจะกลายเป็นแบบพวกมัน" เอ็ดดี้หยุดและพูดต่อในทันที อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าผมจะพูดอะไรกระมัง "หรือนายจะเรียกมันว่าซอมบี้ ผีดิบ บัดซบอะไรก็ตามแต่"
"แสดงว่า มันเป็นยาที่ทำให้คนเป็นซอมบี้เหรอ" ผมถามบ้าง
"เราไม่รู้หรอก ตามที่สายเราบอก มันเป็นอะไรบางอย่างที่เหล่าผู้ก่อการร้ายกำลังพยายามผลิต ตั้งแต่สมัยโซเวียตาโน่น”
“โซเวียตาเหรอ เป็นไปไม่ได้” ผมคราง
“ใช่ ข่าวนี้ยังต้องรับการยืนยัน นายอาจจะต้องไปที่แลงก์ลี่ย์แล้วรับภารกิจ” เอ็ดพูด
“ฉันเหรอเอ็ด ไม่เอาน่า ให้ซีลหรือสายลับจัดการสิ” ผมพูด
“ก็นายรู้เรื่องงมันมากที่สุดนิ่นา เราต้องการนาย”
"มันเริ่มแล้วครับ" เดนนิส พูดขึ้นมาพร้อมชี้ไปนอกหน้าต่าง รถฮัมวี่สี่คันที่ประจำที่ป้อม ปากกระบอกปืน เปล่งแสงแวบวาบ ซอมบี้ล้มทีละหลายตัว บางตัวลุกแล้วยืน บางตัวก็ตายไปเลย แต่พวกมันก็ยังถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่น ที่คอยจะซัดรถและประตูให้พังทลาย
"เห็นไหมล่ะ ดีน เห็นโลกรึเปล่า มันเปลี่ยนไปแล้ว เรากำลังเริ่มต้นสู่สงคราม สงครามที่เป็นจุดตัดสินระหว่างความเป็นอยู่ของมนุษย์" คำพูดนั้นคมบาดใจเหลือ คำพูดจากเอ็ดดี้ มีค่าที่ควรจะจดจำ
"เดนนิส รวมคนทั้งหมดในทีมนาย อพยพประชาชนไปทางประตูหลัง แล้วนายก็ไม่ต้องหันหลังกลับมาอีก" ผมสั่ง
"แต่--" เดนนิสมีทีท่าลำบากใจ
"ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะขอโทษก็ทำสิ่งนี้แหละ" ผมพูด
"นายจะพาคนไปไว้ที่ไหน" เอ็ดดี้ถาม
"หมายความว่าไง" มันมีอะไรที่ผมควรรู้รึเปล่า
"เชื้อแพร่กระจายไปทั่วโลกเมื่อ 10 ชั่วโมงก่อน ผ่านทางการคมนาคมทั่วโลก"
หา! ทำไมผมไม่รู้ ผมเล็งเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด แล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง มือลูบผมแรงๆ ไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อน แรงกดดันถาถมเข้ามา
"แล้วทางเรือ ใช่เดนนิส ที่นี่มีท่าเรืออยู่ทางเหนือ พาออกไปเลย ใครไปไม่ได้ก็ให้ทิ้งไว้นายต้องแข่งกับเวลา" ผมพูด "ครับ" เดนนิสตอบแล้ววิ่งออกไปเลย ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วการหลบหนีจะยากลำบาก
ขณะที่แสงไฟข้างนอกสว่างขึ้น เสียงปืนเริ่มชัดเจน ซอมบี้มาเป็นระลอกใหญ่
"เอ็ด ขอเรียกกำลังสนับสนุนทางอากาศ"
"รับทราบครับ" เอ็ดรับทราบ หันไปคุยกับเครื่องสื่อสารขนาดใหญ่
ข้างนอกปืนจากเอ็ม วี พี และทหารประจำการที่ผมมองไม่เห็นจากข้างล่าง สาดกระสุนนับร้อยใส่ซอมบี้ ที่เหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกมันอาจจะมาจากทางไมอามี่ หลายร่างล้มลงไปกับพื้น เป็นกองศพโตเป็นภูเขา แม้กระนั้นพวกมันกลับปีนศพนั้นมาเรื่อยๆ
ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากดูภาพที่สลดหดหู่นี้ ดูภาพเอ็ดคุยจ้อกับเครื่องสื่อสารยังจะจำเริญเพลินใจกว่า เขาคุยเสร็จพอดี
"ว่าไง" ผมถาม
"การอนุมัติจะเริ่มขึ้นอีก 3 ชั่วโมง" เอ็ดตอบ ผมกลืนน้ำลาย 3 ชั่วโมง รออะไรอยู่นะ
"นายรู้ใช่ไหม เราไม่มีทางยันมันอยู่" เอ็ดถามเสียงกังวล
"รู้สิ"

lnwbussa02
17th November 2012, 00:32
สนุกดี ครับ ที่จะบอกคือเนื้อเรื่องดีแล้วครับแต่อยากให้ จัดเรียง บ้างประโยค์ อะครับ มันดูขัดๆ กันอะครับ
เออ มีที่อยากถาม นี้เป็นแนวเดินเรื่องบุคคลเดียว หรือป่าว ครับ ถ้า ใช้ ผมอยากให้ลอง อ่าน BANGKOK OF THE DEAD นะ ครับ บ้าง ที่อาจจะช่วยจุดประกายอะไรได้บ้าง เรื่องผม ชอบมากเลย
เรื่องของ คุณ สนุกไม่แพ้กันเลย ครับ

stech123
17th November 2012, 01:18
รออยู่นะครับ รีบๆๆมาต่อนะครับ สนุกมากเลย

black jack sdppd
17th November 2012, 13:44
เกี่ยวกับมุมพูดคุยนี้ ผมจะมาตอบทุกคอมเม้นต์ครับ
ทุกคนที่มาเขียนมาถาม จะสามารถเลื่อนขึ้นมาอ่านตรงนี้ได้
เริ่มเลยครับ

คุย ณ 17 พ.ย. 2555

ผมแต่งเอาไว้แล้ว 3 ตอน จึงอาจจะมาเร็วกว่าปกติครับ


เจิมๆครับ แนวนี้น่าสนใจและน่าติดตามมากครับ

ถ้าตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมว่าน่าจะใส่จุดหักมุมไว้เยอะๆนะครับ ฮ่าๆๆ ให้คิดตามๆกัน

ผมใส่แน่นอนครับ และมันน่าจะหักมุมพอนะ


สนุกดี ครับ ที่จะบอกคือเนื้อเรื่องดีแล้วครับแต่อยากให้ จัดเรียง บ้างประโยค์ อะครับ มันดูขัดๆ กันอะครับ
เออ มีที่อยากถาม นี้เป็นแนวเดินเรื่องบุคคลเดียว หรือป่าว ครับ ถ้า ใช้ ผมอยากให้ลอง อ่าน BANGKOK OF THE DEAD นะ ครับ บ้าง ที่อาจจะช่วยจุดประกายอะไรได้บ้าง เรื่องผม ชอบมากเลย
เรื่องของ คุณ สนุกไม่แพ้กันเลย ครับ

มีสองคนครับ เพื่อไม่ให้น่าเบื่อเกินไป
และขอขอบคุณเรื่องคำแนะนำครับ

โอเคผมตัดสินใจละ ผมเรียงบรรทัดดีกว่า
ผมคิดว่ามันทำให้อ่านยาก


สนุกมากเลยครับ อย่าเพิ่งรีบจบนะ สู้ๆๆมาเป็นกำลังใจให้ครับ

แน่นอนครับ นี่ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลย และขอรับกำลังใจนั้นครับ


ต่ออีกหน่อย

ถ้าท่านใส่รูปตัวละครในตอนแนะนำตัวอะไรอย่างงี้หรือจะทำบทแนะนำตัวไว้ตอนแรก คนอ่านจะรู้สึกสนุกและจินตนาการไปรเพลินๆได้เยี่ยมเลยครับ
ถ้าท่านใส่รูปสถานที่ในแต่ละเหตุการณ์ลงไปด้วย ผมว่าจะเพอร์เฟคมากเลยครับ
นิยายของท่านจากที่ผมอ่านแล้วรู้สึกสนุกมากครับ ทำมาเยอะๆนะครับ อยากอ่านต่อ...

โอ้ว มันเป็นคำแนะนำที่พระสงฆ์มากครับ ผมจะทำดูครับแต่คงต้องใช้เวลาหน่อย
และรูปเหตุการณืผมจะลองหาดูครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ


สังเกตุดีๆ ผมล้อเกลนจาก the walking dead ด้วยนะ


http://www.youtube.com/watch?v=ST2H8FWDvEA&feature=player_detailpage

ฟังเพลงนี้ไว้นะครับ จาก 28 Weeks Later
พออ่านถึงฉากหนีก็อยากให้นึกถึงเพลงนี้
ได้ฟีลมากๆเลยครับ

คุย ณ 18 พ.ย. 2555

งานนี้คงรอ บทที่6-7 นานหน่อยนะครับ

คุย ณ 8 ม.ค. 2556

ขอขอบคุณทุกคนที่มาเป็นกำลังใจให้มากครับ
ที่ผมลงบทใหม่ช้าเพราะ
1. สอบ
2. ติดเรื่องการบรรยาย
แต่พอเห็นกำลังใจจากทุกคน ก็ใจชื้นเป็นกองเลยครับ

สำหรับบทที่ 10 ขอขอบคุณ
Who do you voodoo - Sam B
Afterlife - Avenged SevenFold

ไอชื่อเรื่องที่มันไม่ถูกตามหลัก ผมแถเป็น
"The World (have) Cold Day"
ได้ไหมครับ แบบไม่้ใส่ (have)
เพราะยังไงมันก็น่าจะเข้าใจอย่างนั้นได้ไม่ค่อยยากเย็น(มั้งนะ)
ฮ่าฮ่า

คุย ณ 9 มกราคม 2556


เย้ ๆ บทที่ 10 มาแล้วววว *-* นั่งเฝ้าเลยนะเนี่ย 555+
เป็นกำลังใจต่อให้คร้าบบบ :dance


อ่านแล้ว เสพติด :eek: ต่อครับ ต่อๆ

มี เลิฟซีนบ้างเป็นไรป่ะนี่ 5555 อยากให้มีเล็กน้อย พอประมาณ เพื่ออรรถรสในการอ่าน 555+

ก็มีนิดหน่อยครับ
แต่พอเขียนแล้ว
มันอเนถอนาถใจยังไงไม่รู้

คุย ณ 5 กุมภาพันธ์ 2556


จะเลิกแต่งต่อแล้วหรอครับผมกำลังรออ่านอยู่เลยอะ

โอ้ ไม่หรอกครับ ใกล้จะเสร็จแล้ว
มันต้องรอพลังอาร์ต หายไปนานแต่ก็ไม่เลิกแน่นอน

black jack sdppd
17th November 2012, 15:05
บทที่ 3 หลุดเดี่ยว

มันนอกเหนือการคาดหมายที่จะรับได้ มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ เชื้อผ่านทางการคมนาคมงั้นเหรอ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
ผมเดินออกจากห้องปฏิบัติการณ์ไปยังห้องเก็บอาวุธของป้อมซึ่งถือว่าเยอะและหลากหลายพอสมควร ผนังรอบห้องติดปืนหลายชนิดเอาไว้ แต่ก็ถูกหยิบไปใช้แล้วส่วนมาก ที่โต๊ะมีเกราะแขนและสนับแข้งสีดำที่เหมือนจะทำจากเคฟล่าไม่ก็พลาสติกกับปูนนิดหน่อย เมื่อพินิจดูแล้วมันมีรูปร่างที่เท่อยู่เหมือนกัน ผมหยิบเอามาสวมไว้จากนั้นก็หันไปเลือกอาวุธ ผมเลือกปืนเอ็มสี่เอหนึ่งที่ปรับแต่งแบบซอปมอด มีศูนย์เล็งแบบสโคปติดอยู่และมีกริปหรือที่จับสีดำด้วย มันเป็นปืนที่ไว้ใจได้ ผมหยิบซองกระสุนมาอีกสามซองและเสียบไปในกระเป๋าของเสื้อเวสท์ ผมหยิบปืนยูเอสพีที่วางไว้บนโต๊ะและยัดมันลงไปที่ซองปืนที่ข้างขา ถือเป็นการเสร็จสิ้นการแต่งตัว ผมเดินออกไปข้างนอกแล้วหยิบแจ็คเกตทหารที่ใส่ก่อนหน้ามาสวมอีกครั้ง
ผมวิ่งขึ้นไปบนป้อมเสียงยิ่งดังมากขึ้นเรื่อย ผมวิ่งไปยืนข้างๆเดนนิสที่กำลังยิงเหล่าซอมบี้ด้วยปืนเอ็มสี่เช่นกัน เสียงสว่างแปลบปลาบมาจากรอบข้างๆ
“เหมือนกับวันวานเลยนะ” ผมตะโกนใส่หูเขา เขาไม่ละสายตาจากศูนย์เล็ง
“วันวานมันยังไม่มีคนตายเดินได้นี่หว่า” เขาตะโกนบอก ผมยิ้มแล้วหันไปผมตะโกนปลุกความฮึกเหิมให้ตัวเองและคนรอบข้าง
“ยิงมันเลย” ผมตะโกนสุดเสียง
“ฮูรา”
เสียงเหล่าทหารตะโกนก้องราวกับจะแข่งกับเสียงคำรามของเหล่าซอมบี้กระหายเลือดที่วิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง
ผมก้มตามองผ่านศูนย์เล็งตอนนี้ซอมบี้อยู่ห่างจากป้อมไปแค่ไม่กี่สิบเมตรและคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า ในคลื่นซอมบี้นั้นมันสะดุดตัวที่ถูกยิงล้มกันไป แต่เหมือนจะลุกขึ้นมาได้ทันที
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อจับเป้าที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผมไล่ตามการเล็งหัวทำให้คืออีกอุปสรรค ผมปรับปืนเป็นระบบเซมิ ออโต้แล้วลั่นไกออก กระสุนัดแรกพุ่งไปโดท้องของตัวข้างหลัง ผมลั่นอีกนัดอย่างรวดเร็วซึ่งมันพุ่งไปโดนหัวของตัวเป้าหมาย ผมเลือกเป้าหมายใหม่และยิงเข้าไปอีก พวกมันร่วงลงไปและถูกกลืนหายไปกองทัพนั้น
ซอมบี้วิ่งมาชนกับกระสุนปืนจากรถฮัมวี่สี่คันข้างล่าง ที่เหมือนจะสาดกระสุนแบบไม่หยุดหย่อน ซึ่งช่วยชะลอคลื่นมหึมานั่นได้
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้เมื่อร่างนับหลายร้อยร่างได้ถาโถมเข้ามาใส่ป้อม พลปืนสติแตกกระจายพยายามทิ้งป้อมปืนและกระโดดออกจากตัวรถแต่ก็ถูกมือมากมายคว้าหายไป อีกคนพยายามจะพุ่งรถออกไปแต่ก็ไม่สามารถจะฝ่าออกไปได้ เหล่าซอมบี้พังกระจกหน้ารถเข้าไปกัดกิน ภายใต้เสียงคำรามนั้นมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา อีกสองคนที่เหลืออยู่ที่ป้อมจนถึงวาระสุดท้าย เป็นภาพที่หน้าหดหู่
ตอนนี้ไม่ต้องเล็งหัวแล้ว ผมยิงกราดลงไปข้างล่าง ส่ายแขนไปมา ให้พวกมันได้ชิมกระสุนกันอย่างทั่วถึง รู้สึกโกรธแค้นแทนทหารสี่นายนั้น ผมหยุดยิงเพื่อเติมกระสุนขณะที่ปลดซองกระสุนจากปืน ผมมองลงไปข้างล่างป้อม พวกมันใช้รถเพื่อเป็นฐานปีนขึ้น สองมือเน่าๆตะเกียกตะกายไขว่คว้าที่ยึดเพื่อปีนขึ้นมาไม่ก็ใช้ทั้งสองมือไขว่คว้าเป้าหมาย จนบางตัวลืมที่จะปีน ตกลงไปในฝูงคลื่นซอมบี้ ปากแยกเขี้ยวโหวกเหวก เสียงร้องดังพอจะสู้เสียงปืน
หน้าเต็มไปด้วยเลือด ไม่น่าเชื่อว่า พวกนี้เคยเป็นคนมาก่อน
ผมเติมกระสุนแล้วกลับไปยิงต่อ ข้างๆ เอ็ดดี้ยังกราดกระสุนไม่ยั้ง ทหารหลายนายก็เช่นกัน บางคนหัวเราะด้วยความสะใจ มุมป้อม พลซุ่มยิงใช้ปืนมาร์คหนึ่งหนึ่งศูนย์คอยยิงอย่างไม่ว่างเว้น แทบไม่ต้องหยุดเล็ง
อ้ากกกกกก !!! เสียงร้องของมนุษย์ดังขึ้นจากทางซ้ายของผม เมื่อหันไปดูก็พบว่า
ซอมบี้ตัวหนึ่งล้มทับนายทหารไว้และฝังเขี้ยวลงบนแขนเขา นายทหารกรีดร้องสุดชีวิต มันฉีกเนื้อเขาออกมา ผมหันกลับไปยิงซอมบี้ตัวนั้น
ขณะที่ทหารหนึ่งนาย ดึงมันออกมา และอีกหนึ่งนายไปปฐมพยาบาลเพื่อนที่นอนชักดิ้นชักงอ ผมกับเอ็ดดี้ มองหน้ากันสิ่งที่เขาเคยบอก แวบเข้ามาในหัว
"แค่ 20 วินาที นายจะเป็นเหมือนพวกมัน"
"อย่าาาา !!!!" ผมและเอ็ดตะโกนพร้อมกัน แต่ไม่ทันแล้วทหารที่ถูกกัดนิ่งและพุ่งไปกัดเพื่อนที่ปฐมพยาบาลเขา เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายบนป้อม เอ็ดดี้ปลิดชีพอดีตทหาร แต่แน่นอนเหล่าซอมบี้ ข้างนอกไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว
มันมาถึงป้อมแล้ว และมันมาถึงผมแล้วด้วย มีตัวหนึ่งพุ่งล้มทับผม
"ไม่" ผมร้องพยายามผลักมันออกไปโดยสัญชาติญาณ ผมยกแขนขึ้นป้องกัน และมันกัดผม ผมส่งเสียงร้องแต่ไม่เจ็บเลย
เมื่อดูมันกัดลงปลอกแขน ผมใช้อีกมือ ชักปืนพกออกมาขณะที่มันกำลังเคี้ยวแขนอย่างเมามัน ผมหลับตาปิดปาก แล้ว
ปังงงงงง
เลือดกระเซ็นโดนหน้าแต่ผมแค่เช็ดออกมันก็หายไป
"ไหวมั้ย" เอ็ดถามพร้อมพยุงผมขึ้น ผมเซเล็กน้อย พยายามตั้งตัวให้ตรง
"ไม่ไหวแล้ว เอ็ด นายบอกทหารให้หนีซะ ป้อมแตกแล้ว" ผมบอกเอ็ด พยักหน้า ผมยิงซอมบี้อีกสองตัวที่พุงมาหาเราทั้งคู่ ผมกับเอ็ดช่วยตะโกน
"ป้อมแตกแล้ว หนีไป หนีไป ป้อมแตกแล้ว" ทหารเหมือนจะรับรู้เขาทิ้งจุดประจำการ และรีบวิ่งลงบันไดกันชุลมุน
"นายจะช่วยฉันยันพวกนี้มั้ย" ผมถามเอ็ด เขาพยักหน้า นี่สิเพื่อนตาย ผมเก็บปืนพกและคว้าปืนเอ็มสี่ที่ตกมาและกราดใส่พวกซอมบี้ที่วิ่งเข้ามา ตอนนี้เราไปอยู่ที่มุมบันไดมุมเดียวกัน ผมและเอ็ด ปล่อยกระสุนหลายนัดถูกหัวซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาหลายตัว ผมหันหลังไปดูว่าทหารลงหมดรึยัง
"เอ็ด นายลงไปก่อน" ผมพูดขณะที่เปลี่ยนซองกระสุน เอ็ดพยักหน้าและหันหลังก้าวในมือยังยิงปืนอยู่
ตอนนี้ระยะห่างระหว่างผมและพวกมันคือ 3 เมตร ผมปาระเบิดใส่พวกมัน และตามเอ็ดไป ปิดประตูทันก่อนที่เสียงระเบิดจะดังมา ผมเลยไม่มึนเท่าที่ควร
"ไปที่ฮัมวี่ เร็ว!" ผมตะโกน พลางชี้มือไปข้างนอก เอ็ดพยักหน้าและรีบลงไป ผมรีบตามลงไป ในใจคิดแต่จะหนี
ไม่เอาแล้วโว้ย ฝันร้ายชัดๆ นี่ผมยิงมันไปกี่ตัว สายตามันไม่ได้มีความกลัวเลยสักนิด ผมลงบันไดมาเรื่อยๆจนตอนนี้ห่างจากพื้นราว 2 เมตรครึ่ง ผมจึงกระโดดจากบันไดขั้นบนไปจนถึงขั้นสุดท้าย แล้ววิ่งไปที่รถพร้อมเอ็ดดี้ ข้างหน้าเป็นสะพานไม้ที่รองด้วยปูนขนาดใหญ่สูงจากพื้นกว่า 15 เมตรเพื่อเชื่อมเข้าเมืองเลควิว
ตึงงงง เสียงประตูป้อมดังขึ้น ผมหันไปมองประตูพังแล้วซอมบี้มากมายวิ่งกรูกันออกมาจากทางนั้นเบียดเสียดกันตกบันได แต่อีกหลายตัวที่ลงมาจากบนสุดของป้อมตกลงมาบนพื้นเหมือนฝน เสียงพลั่กๆ ดังอย่างต่อเนื่อง ผมรีบวิ่งไปขึ้นรถจิ๊ปสีดำ นั่งข้างเอ็ดซึ่งเป็นคนขับมีนายทหารถือเอ็มสิบหกสองคนอยู่ข้างหลัง ผมจึงต้องรีบบอกให้เขาเตรียมพร้อม
"นายทั้งสองคนชื่ออะไร ทหาร" ผมถามตามมารยาท หันหน้าไปทางคนทางซ้าย
"เอลวิ่นครับ" คนทางซ้ายของผมพูด เสียงสั่นเล็กน้อย ผมหันไปทางขวา
"แซนครับ" เขาตอบ
"เอาล่ะ เอลวิ่น แซนดี้ มันกำลังลงมานายเตรียมอาวุธให้พร้อมนะ บอกหน่วยอื่นด้วย"
"ครับผม" ทั้งสองพูดและไปคุยกับวิทยุสื่อสารขนาดเล็กหรือวอล์คกี้-ทอล์คกี้
"เอ็ดทำไมรถยังไม่ติดวะ คันอื่นไปกันหมดแล้วนะ" ผมถามน้ำเสียงรำคาญเพราะคันอื่นออกไปทางสะพานหมดแล้ว
"ไม่รู้โว้ย" เอ็ดตอบมือบิดลูกกุญแจอยู่ เออ ขอบใจนะ
เลควิวตะวันตกนั้น หลังจากผ่านป้อมมาแล้วจะมีสองทาง ทางแรกจะเป็นถนนเข้าเมือง
อีกทางจะเป็นสะพานไม้ ที่ผ่านการปรับปรุงมาหลายสิบปีแล้ว เป็นทางไว้ไปท่าเรือ
"เอางี้นะ เดี๋ยวฉันจะไปเข็นรถแล้วนายค่อยเหยียบครัทช์นะ" ผมพูดพลางกลืนน้ำลาย เอ็ดด้วย
"ถ้างั้นก็รีบๆ เข้า" เอ็ดบอก ผมกระโดลงจากรถ ไปข้างหลัง แล้วก็เข็นรถทันที
"เยี่ยม ดีน ใกล้แล้ว" เอ็ดตะโกน มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก
"ระวังครับ" เอลวิ่นตะโกน
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง เอลวิ่นยิงข้ามหัวผม ถึงตอนนี้แซมมายิงด้วย
"มันมาแล้วครับ" ทั้งสองตะโกนบอก แม่เจ้าโว้ย ตอนนี้ผมเข็นถึงสะพานแล้วนะเนี่ย คาดว่ามันห่างไม่ไกลแล้วจากผมแล้ว เสียงคำรามที่ก้องในหู ดังขึ้น
บรืนน บรืนนน เสียงจากสวรรค์ดังขึ้น ผมปล่อยมือ วิ่งทันทีสับเท้าถี่ที่สุด
"เอ็ดรอด้วย" ผมตะโกนเอ็ดชะลอรถ ผมพยายามวิ่งแซงแต่
ครืนนนน ครืนนน
เสียงขนาดยักษ์ดังขึ้น เท้าเริ่มลอยกับพื้น รู้สึกหัวใจหยุดเต้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกโหวงเหวง เสียงตะโกนดังในหัว เศษไม้ลอยมาชนหน้า รู้สึกว่าโลกไม่เท่ากัน รู้สึกว่ากำลังบิน ตัวนอนขนานกับอากาศ
ไม่ นี่ผมกำลังตกนี่ !!!


1 ชั่วโมงผ่านไป.....

เดนนิส ฟริสท์แมน นั่งสัปหงกอยู่บนโซฟาในที่นั่ง ห้องรับแขกขนาดใหญ่ของเรือสำราญหรู ทั้งห้องตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์รูปปลาโลมา มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่เหนือหัว มีความวิจิตรในการตกแต่งสูง เขาจึงปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความสวยงาม พูดง่ายๆคือหลับนั่นเอง
ในระหว่างที่กำลังขนย้ายคนสู่เรือสิบลำ ในหัวเขาคิดแต่คำพูดของ ดีน
"ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะขอโทษก็ทำสิ่งนี้แหละ" รู้สึกช็อคเล็กน้อย ความจริงแล้วแม้จะพึ่งพบกันแต่เขานับถือ เคน ไทเลอร์ มาก การได้เห็นสายเลือดของวีรบุรุษทำให้เขาตื่นเต้น แม้ ดีน จะยังไม่ได้ชื่อว่าวีรบุรุษ แต่ด้วยท่าทีแล้ว ความเข้มแข็งทำให้เขานับถือดีน อย่างเต็มที่
"หือ--" เขาสะดุ้งตื่น ส่ายหัวด้วยความงัวเงีย พยายามมองสิ่งที่สะกิดตนให้ชัด
"โอ๊ะ ต้องขอโทษด้วยครับ เราแค่อยากขอบคุณน่ะครับ ที่ช่วยครอบครัวของผม ถ้าไม่ได้คุณพวกเราคงตาย" เสียงชายหนุ่มพูด มีลูกและภรรยายืนมองอย่างชื่นชม
"โอ้ ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นหน้าที่" เดนนิสบอก น้ำเสียงเหนียมอาย
"แต่ก็จริงนะครับ ถ้าไม่มีคุณและทีมของคุณ ป่านนี้พวกเราคงนอนเป็นอาหารของมันแล้วล่ะ" ชายอีกคนพูดเสียงดังหวังให้คนอื่นได้ยิน ท่าทางดูชื่นชมเดนนิส
เดนนิสและทีมยืดเล็กน้อย แต่ในเรือก็ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศหวาดหวั่นมีบางคนนั่งฟุบหน้าร้องไห้อยู่กับโต๊ะ เพราะไม่สามารถจะช่วยพ่อ แม่ที่แก่เฒ่าของตนเองได้ พวกท่านหวงบ้านไม่ยอมจากไปไหน เดนนิสเห็นบางคนทุบบุพการีของตัวเองจนสลบและช่วยกันแบกมา
แต่ก็มีบางคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะท่านเสียแล้วหรือไม่ก็มาจากที่อื่นไกล สำหรับคนที่มาจากที่อื่นมีสีหน้ากังวลกระสับกระส่าย บางคนโทรศัพท์กันจ้าละหวั่น แต่กระนั้นก็ยังมาชื่นชมเดนนิสอยู่
"คุณกับทีมนี่ วีรบุรุษชัดๆเลย" อีกคนพูด เดนนิสตาโต ไม่เคยมีใครชมเขาว่าวีรบุรุษมาก่อน นั่นทำให้เขาจุดประกายบางสิ่ง เขาเดินไปพูดกับ เชฟ ลูกทีมที่สนิทที่สุด ซึ่งกำลังดื่มเบียร์กับคนอื่นที่โต๊ะบุฟเฟ่ต์
"ฉันว่า ฉันอยากไปช่วยเหลือคนต่างๆทั่วโลก" เขาเอ่ย หน้าตาจริงจัง
" พูดเป็นเล่นน่า เดนนิส เราเอาชีวิตรอดมาได้แล้วนะ จะไปเสี่ยงทำไม" เชฟว่าคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
"ไม่ใช่เรื่องตลกนะ" เดนนิสขึ้นเสียง ทีมเขาเงียบ "คนพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ"
“โธ่ ไม่เอาน่า จะหาเรื่องใส่ตัวทำไม เราสบายแล้วนะเพื่อน อีกอย่างนะ คนพวกนี้เขาเอาตัวรอดเองได้ มันต้องมีสักคนแหละจับอาวุธและปลุกระดมชาวบ้าน" เชฟตอกกลับ แม้เดนนิส ไม่อยากยอมรับ แต่เชฟก็ถูก
"มันเป็นหน้าที่ของเรานะ ถึงยังไงเขาด็ต้องเรียกตัวเราไปใช้อยู่ดี" เดนนิสแย้ง
“สงสัยนายจะลืมแล้วมั้งว่าก่อนจะเกิดเรื่องบ้าๆนี่ นายทำอะไรอยู่” เชฟพูดจี้ เดนนิสมองหน้าเชฟอย่างไม่สะทกสะท้าน
ก็เราได้คำสั่งใหม่แล้วนี่” เขาว่า ทุกคนเงียบ “ใครอยากจะร่วมมือกับฉันบ้าง" เดนนิสถามกวาดสายตาไปรอบๆ ไม่มีใครตอบอะไร
"ดี" เดนนิสกัดฟันกรอด


ผมเดินฝ่าความมืด ไปในพงไพรแสนกว้างของเลควิว แสงไฟไหม้จากป้อม ยังอยู่ไม่จางหาย ด้วยความเหนื่อ ผมไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ทันใดนั้นเสียงครางดังขึ้น ผมหันไปเจอเข้ากับใบหน้าเน่าๆที่พอมองออกว่าคือใคร นั่งคอยอยู่
"เอ็ดดี้" ฉับพลันร่างของเอ็ดพุ่งมาที่ตัวผมและฝังเขี้ยวลงบนต้นแขน
"อ้ากกกก ! " ผมสะดุ้งตื่น ส่ายหัวงัวเงีย แขนขยับไม่ได้ มองไม่เห็นอะไรในความมืด เมื่อผงกหัวขึ้น ก็ต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ ผมชนกับอะไรบางอย่าง ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ผมก็เลยดิ้นด้วยความอึดอัด ออกแรงแขนสุดแรง อากาศเริ่มอุดอู้ หายใจเริ่มลำบาก นี่ผมอยู่ที่ไหน เอาผมออกไปที ผมดิ้นมากกว่าเดิม พยายามออกแรงที่แขน จนมีบางสิ่งขยับ
ใช่แล้ว มีอะไรทับตัวผมอยู่ ผมออกแรงมากกว่าเดิม จนแขนขวาขยับได้แล้ว วัตถุบางอย่างหล่นลงไป
แสงส่องเข้ามาแสงสีเทาเหมือนแสงของดวงจันทร์ เสียงครางดังขึ้น ซวยแล้ว ผมดึงอะไรก็ตามที่อยู่เหนือผม โดยใช้มือขวาขว้างออกไปข้างนอก จนตอนนี้ผมสามารถพยุงลำตัวขึ้นได้แล้ว แต่ยังติดที่ขาและแขนซ้าย เสียงคำรามดังขึ้น ผมมองไปข้างหน้าเห็นซอมบี้ตัวหนึ่งใส่ชุดสโมสรเชลซีเปื้อนเลือดเดินกะเผลกเข้ามา
เนื้อส่วนหน้าถูกขูดหาย ขางออย่างน่ากลัว กระเสือกกระสนพยายามวิ่ง ผมรีบดึงแขนซ้ายมา ใช้มือขวาหยิบเศษไม้ออก จนดึงแขนซ้ายออกมาได้ แต่ถูกเสี้ยนขูดจนเลือดออก
ผมเอี้ยวตัวไปด้านหลังพยายามยกเศษไม้ออก รู้สึกถึงเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกที ผมผลักไม้ออกไปแล้วใช้ขาถีบ เวลาเดียวกับที่ซอมบี้ยื่นมามาจับที่ไหล่ผมและยื่นหน้ามาหมายจะฝังเขี้ยวที่คอ ผมศอกหลังไปด้วยแขนซ้าย มันเซไปข้างหลังตามแรงกระแทก เมื่อขาผมหลุด ผมม้วนหลังลงจากเศษไม้ที่กองทับกันลงไป แล้วตั้งหลัก ซอมบี้ตัวนั้นหันมามองผมแล้วพุ่งเข้ามา ผมวิ่งเข้าไปพร้อมชักมีดที่เสียบไว้ในปลอกที่อกออกมาแล้วสวนเข้าไปในตามัน มันแน่นิ่งทันที
เสียงครางอีกเสียงดังจากข้างหลัง ผมคว้าไม้ขนาดใหญ่ข้างหน้า เดินลงจากกองเศษไม้แล้วฟาดไปที่พวกมันเต็มแรง มันล้มลงทันที สมองไหลอย่างน่ากลัว
ผมเบือนหน้าหนี ก็พบหลายร่าง นอนแผ่ราบในทางป่าใต้สะพาน ซอมบี้หลายตัวกำลังเดินโซเซอยู่ข้างหลัง ทุกตัวขากะเผลกหมด บางตัวคลานอยู่ตามพื้น
อืม ผมตกสะพานแล้วพึ่งฟื้น ผมคิดขณะที่เงยหน้ามองข้างบน พบสะพานหักครึ่งซีกลอยค้างอยู่ อีกครึ่งซีกแหลกอยู่บนพื้น
จะปีนเขากลับทางเดิม ก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเพราะหน้าผาชันใช่เล่น จากตอนแรกที่โชคช่วยให้รอด ถ้าปีนก็คงจะต้องมานอนหงายแน่ๆ ความสูงมันตั้ง 15 เมตร
ผมหันไปดูเศษไม้ที่ผมเคยนอนอยู่ มันกองรวมกันสูงๆ เป็นเบาะที่ไม่ค่อยดีนักให้ผม
ผมรีบออกเดิน ไปทางซ้ายจากฝั่งทางเข้าเมือง รอบข้างเป็นดอกไม้หรือไม่ก็พุ่มไม้ ฝั่งตรงข้าคือป่า ไม่รู้ว่าเป็นความคิดที่ถูกหรือผิดที่เลือกเดินไปทางนี้ ในใจคิดถึงพรรคพวก ว่าเขาสบายดีหรือไม่
ตามทางเดินผมได้ยินเสียงกรอกแกรกอยู่ข้างหลัง มือชักปืนเตรียมพร้อม ใส่ที่เก็บเสียงอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์ คน หรือซอมบี้ แต่ผมไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
ผมออกแรงวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปจนจุกงอตัวเอามือยันกับเข่า หายใจหอบแฮกๆ หัวใจเต้นแรง
เมื่อใจเริ่มเย็นลง ก็เงยหน้าพบกับทางขึ้นหมู่บ้านชันๆ ใช่เป็นทั้งทางขึ้นและทางลงของพวกนายพราน ที่มาล่าสัตว์
ผมปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเล พบกับหมู่บ้านที่เงียบสงัด
"พวกมันไปแล้ว" ผมกระซิบกับตัวเอง รีบเดินโซเซไปที่บ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่ก็พอเป็นที่หลบภัยได้ ประตูไม่ได้ล็อค
อันที่จริงมันเปิดอ้าซ่าไว้แล้วต่างหาก ผมเปิดไฟในบ้าน ไม่ห่วงว่าไอพวกกินเนื้อสดจะเห็น ข้าวของในห้องรับแขกกระจุยกระจาย ผมรีบปิดประตูเอาเก้าอี้มากันเอาไว้
ผมเดินสำรวจไปเรื่อยๆ กลัวว่าจะมีตัวอะไรพุ่งออกมาจากในห้อง ผมเดินไปในโถงทางเดินแคบๆ
เจอห้องแรกเมื่อเข้าไปเป็นห้องนอน เป็นห้องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง สังเกตุได้จากรูปถ่าย เสื้อผ้าหายไป เจอเงินตกอยู่ผมรีบเก็บเผื่อจะใช้ได้
เดินไปอีกห้องข้างๆ ผมได้ยินเสียงครางดังขึ้น ได้กลิ่นคาวเลือด ผมชักปืนพร้อมที่เก็บเสียงออกมา เปิดประตูห้องช้าๆ ไฟค้างอยู่เมื่อมองไปที่พื้น ผมก็ต้องตะลึง
"แม่เจ้า" ร่างอ้วนๆร่างหนึ่งที่โดนแทะจนไม่สามารถดูหน้าได้ ลูกตาหลุดไปข้าง จมูกถูกกัดจนแหว่ง แก้มหายไป จนเห็นฟันและเหงือกชัดเจน
ผมเหลือบไปเห็นรูปหญิงชราซึ่งน่าจะเป็นซอมบี้ตัวนี้ กับไอสารเลวที่น่าจะเป็นลูกของเขา ลูกที่ทิ้งแม่ตัวเองไว้
"ขอโทษนะยาย" แล้วผมก็จัดการลั่นไกไปที่หัวของหญิงชรา ร่างนั้นนอนแน่นิ่ง ผมเดินไปห้องครัว
เจอไม้เบสบอลตกอยู่ ผมหยิบมาลองทดสอบว่าเข้ากับมือหรือไม่ เราจะใช้ปืนไปตลอดไม่ได้ แล้วผมก็เกิดความคิดตลก ว่าน่าจะเอาตะปูมาใส่กับไม้เบสบอล ผมเคยเห็นเพื่อนในกรมผมเอามาโชว์
เมื่อหันไปที่ประตูครัวก็ต้องอดหัวเราะไม่ได้ เพรา ค้อนและตะปูนับไม่ถ้วนวางไว้ โชคดีแท้ๆ
ผ่านไปหลายอึดใจผมนั่งบนเก้าอี้ ชื่นชมไม้เบสบอลตะปูของตัวเอง ผมเอาเชือกมาติดไว้เพื่อสะพาย
ตอนนี้ต้องหาที่นอนด้วยแต่จะนอนที่นี่คงไม่เหมาะ เพราะกลิ่นมันยังตลบอบอวลอยู่ ผมดื่มน้ำเย็นชื่นใจ จากตู้เย็นและตัดสินใจ ออกเดินทางทันที เพื่อหาบ้านดีๆไว้พักผ่อน

black jack sdppd
17th November 2012, 16:36
บทที่ 4 Last Man Standing

"ฮ้าวว" ผมหาวปากกว้าง บิดขี้เกียจทั้งตัว มือขยี้ตา และทำเสียงแจ้บๆ เดินโซเซ ไปที่ห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า เปิดก๊อก น้ำอุ่น ถูสบู่ให้ทั่วตัว
ผมห่างจากบ้านนั้นมาประมาณ 3 หลังทุกหลังไม่มีอะไรที่ปลอดภัยแม้บางหลังจะไม่มีคนชราเลยก็ตาม แหม มันจะมีอะไรซะทุกบ้าน แต่ที่นี่เงียบล็อคประตูอย่างดี ผมคิดว่าพวกเขาคงไปพักร้อนพอดี ผมเปิดฝาแชมพูราดหัวและถูให้ทั่ว
ไม่รู้ว่าเจ้าของจะรู้ไหมว่ามีคนแปลกหน้ามานอนในบ้าน ผมหัวเราะหึๆ เตียงที่นี่นุ่ม จนผมคิดว่าผมไม่ได้ฝันร้ายนะ ก็แค่เห็นพ่อตัวเองมาคุยด้วยแค่นั้นแหละ ผมเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูที่ยังไม่ได้ใช้
พวกท่านจากผมไปเมื่อผมได้ยศสิบตรี อายุประมาณสิบห้าได้มั้ง พันเอกเคน ไทเลอร์ แม้ท่านจะมีหน้าที่วางแผน แต่ก็หยิบอาวุธลงไปช่วย ส่วนอัลเลน แฮริส หรือ อัลเลน ไทเลอร์ แพทย์หญิงแห่งสงคราม ท่านไม่ได้แค่รักษาคนในป้อมแต่ท่านตามพ่อไป ลงไปในสนามรบ จะพูดว่าโง่ดีไหมล่ะ ถึงอย่างนั้นมีหลายคนที่รอดชีวิตเพราะแม่ของผมอยู่ถูกที่ถูกเวลา พวกท่านทั้งสองสิ้นลมพร้อมกัน ภายในอ้อมอกซึ่งกันและกัน อันหลังนี่ผมไม่แน่ใจนะ ได้ยินมาอีกที คือผมไม่ได้เห็นกับตาน่ะ แค่ได้ยินเพื่อนของพ่อเล่าให้ฟัง
ผมใส่ชุดน้ำตาเริ่มปริ่มๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ตอนนี้ผมโหยหาพวกท่านเหลือเกิน หรือใครก็ได้พอเป็นเพื่อนคุย ตอนนี้ผมจะพักอยู่แค่ที่นี่จนกว่าเสบียงจะเหลือครึ่งและผมจะหอบเอาครึ่งนึงนั้นไปกบดานที่อื่นผมเช็คแล้วเมอร์ซิเดส เบนซ์ ยังใช้ได้อยู่ ผมมองไปรอบๆห้องแล้วถอนหายใจ อย่างน้อยที่นี่ก็มีคอมพิวเตอร์ชั้นดีล่ะนะ


2 วันผ่านไป .....

ผมนั่งอยู่ในบ้านบนเปล ขนาดเล็กแกว่งไปมาเสร็จศึกจากการเล่นเกม จู่ๆผมก็ได้ยิงเสียงอะไรขึ้นมา เสียงหวอๆเหมือนเสียงเตือนภัยรถ ผมวิ่งออกไปหน้าบ้าน เจอรถโฟล้คสีแดงมีแถบดำอยู่ตรงกลาง ขับมาด้วยความเร็วสูง ผมคว้ากล้องส่องทางไกลที่แขวนไว้หน้าบ้าน พบว่าไอ้หนุ่มเอเชียหน้าตี๋คนหนึ่งใส่หมวกแก็ปเป็นคนขับ
"เห้ยเงียบๆหน่อยไม่ได้เรอะ !" ผมตะโกนถาม
"ลื้ออ่ะ รีบหนีเหอะ" ไอ้หนุ่มเกาหลีหน้าตี๋ตะโกนกลับ ไรฟระหนีอะไรผมยืนงง ได้ไม่ถึงนาที รถตู้คันใหญ่ก็ผ่านผมไป ไม่สนุกแล้วเสียงรถของไอ้ตี๋นั่น จะพาพวกมันมาหรือไม่พวกเขาก็หนีมันมา
ผมวิ่งเข้าไปในบ้านคว้ากระเป๋าสะพายมา วิ่งไปในครัวโกยอาหารแห้งใส่ เสื้อผ้าสองสามตัว ยัดเข้าไปในกระเป๋า ไปหยิบกุญแจที่หน้าทีวีซึ่งก่อนหน้านี้ ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการหา ผมคว้าชุดเกราะที่มีปืนเหน็บไว้ทั้งสองข้างแถมมีด และไม่ลืม
"ไม้เบสบอลตะปู ไปกันเถอะ" ผมพูดกับไม้เดินไปที่โรงจอดรถ กดปุ่มเปิดประตูอัตโนมัติ เข้าไปนั่งสตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์เข้าเกียร์แล้วรีบพุ่งรถออกไป มองไปนอกรถ ก็เจอพวกซอมบี้ฝูงใหญ่ วิ่งกันอย่างคึกคะนอง ตอนนี้มันถึงบ้านหลังแรกแล้ว
ผมหักล้อไปทางซ้ายเพื่อเลี้ยวขวา แล้ววิ่งไปในทันที พวกมันบางตัวมาทันรถ แต่ก่อนที่มันจะได้แตะต้องรถผมก็ขับไปไกลแล้ว มองกระจกหลัง บ้าชิบ พวกมันยังวิ่งตามอย่างไม่ลดละ
"ไปกินอะไรมาวะ" ผมอุทานหัวเสีย แล้วเร่งความเร็วสูงสุด แล้วผมก็นึกถึงไอตี๋คนนั้น
ผ่านไปหลายชั่วโมง น่าเบื่อไม่มีแม้กระทั่งวิทยุ ทั่วโลกโดนโจมตีแล้ว ผมคิดเบาๆกับตัวเอง ชิ กองทหารอันแข็งแกร่งเจอกับพวกที่ไม่มีวันเจ็บก็ง่อยกระรอกอยู่ดี
"ไปไมอามี่สิ ไอลูกชาย" เสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบาะข้าง แม่เจ้า ! เป็นไปไม่ได้มีคนคนเดียว ที่เรียกผมไอลูกชาย
"พ่อ" ผมพูดเบาๆโดยไม่ได้หันไปมอง กลัวเหลือเกินว่าเสียงนั้นจะตอบหกลับ
"ไปไมอามี่สิ"
"ม่ายยย" ผมตะโกนเบรกรถทันที หันไปมองพบชายหน้ากลม ผมเรียบเป็นแนวยาว ดูหล่อเหลา
"เป็นไปไม่ได้ พ่อมาทำอะไร" ผมถาม
"อะไรกัน" พ่อหัวเราะ"เป็นพ่อก็ต้องมาปกป้องลูกสิ"
"แต่พ่อ" ผมกลืนน้ำลายไม่กล้าพูดออกไปคำว่าตาย เขาเหมือนจะรู้และตอบกลับมา
"ไม่หรอก พ่อยังไม่ตาย" ผมจ้องมองพ่อตาค้าง สีหน้าตกตะลึง ไม่ตลกแล้วสิ อยู่คนเดียวในโลกแสนเงียบแค่สองวันทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้
เพียะ! ผมตบหน้าแรงๆหนึ่งที แล้วหันไปเบาะข้าง ไม่มีใคร
"แม่เจ้า ! พ่อ ทีหลังพา****าด้วยนะ" ผมอุทาน แล้วออกรถต่อ เลี้ยวหลังกลับใช้ทางอ้อมเข้าสู่ไมอามี่ทันที ไม่รู้ทำไมแต่ผมอยากไป
ผมแวะปั๊มน้ำมัน หลังขับมาได้ครึ่งทาง ทีจริงผมควรจะเห็นพนักงานมาเติมให้ แต่คราวนี้ไม่มี คนหายไปไหนหมดแล้ว ในปั๊มมีรถสองคันจอดทิ้งเอาไว้ ผมไม่หาเรื่องใส่ตัวขนาดเข้าไปในมินิมารท แน่นอนถึงแม้จะหิวน้ำก็เถอะ
"ในนั้นมีน้ำ" เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหลัง หลังจากที่ผมลงมาจากรถมาสำรวจปั๊ม
ผมหันควับกลับไปก็เจอพ่อตนเองยืนเท้าสะเอวอยู่ ผมเข่าอ่อนล้มลงไป ส่ายหัวแรงๆหนึ่งที พ่ออกไปแล้ว
ไม่รู้ยังไง แต่ผมว่าผมเชื่อพ่อหรือไม่ก็ตัวเอง สองเท้าย่างช้าๆเข้าไปในมินิมารท มือกำไม้เบสบอลตะปูไว้ เสียงครางดังมาแต่ไกล มันอยู่ในนั้น ผมเตรียมพร้อมขึ้น
ขอขอบคุณชีวิตจริง ที่มันครางตลอดไม่ใช่เงียบๆแล้วโผล่มาข้างหลัง ขี้โม้ชะมัด ผมย่างสามขุมเข้าไป เห็นมันแล้วกำลังยืนเบลออยู่หน้าแผงถุงยางอนามัย ไอผีหื่น ผมย่อตัวลง เดินไปเงียบจนตอนนี้ อยู่ข้างหลังมันไม่ถึงสองเมตร
มันหันมา แล้ววิ่งเข้ามา เปลี่ยนจากเสียงครางเป็นคำราม ผมรอมันให้มันมาหาเหมือนผู้เล่นเบสบอลรอลูก
ผลัวะ ผมฟาดเต็มแรงมันตัวลอยล้มลง และถูกผมฟาดซ้ำไปอีกหลายที
"สไตร์ค" ผมร้อง แต่เสียงคำรามยังไม่จบ ผมหันไปเจอซอมบี้อีกตัวมาจากไหนไม่รู้ ผมตกใจจนกระโดดถอยหลัง ส่ายหัวตั้งสติ แล้วหวดไม้ไปข้างหน้าเต็มแรง
ผลัวะ !!! ซอมบี้ตัวลอยไปติดกำแพง ดีนะที่ผมออกกำลังกายไม่งั้นแขนเคล็ดไปแล้ว โอเคไม่มีเสียงครางหรือคำรามแล้ว ผมเดินไปที่ตู้น้ำคว้าตะกร้า แล้วหยิบขวดน้ำใส่ ผมหยิบขวดเล็กมาดื่ม เดินไปที่รถเปิดประตูหลังแล้วเทขวดน้ำลงไป เดินชิลๆไปที่ปั๊มแล้วเติมน้ำมัน
หึๆ ไม่มีใครมาคุมก็งี้แหละ ผมหยิบถังน้ำมันข้างๆมาสามถังและใส่น้ำมัน เอาล่ะตอนนี้ผมได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ออกเดินทางกันต่อ
ตอนนี้เอ็ด อาจจะไปถึงศูนย์ใหญ่นั่งสบายใจแล้วก็ได้


"ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ คุณทำอะไรอยู่" เสียงของพันเอกเจมส์ รอน ชายกำยำผิวเข้มเดินมาทัก ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ ที่กำลังนั่งทำอะไรบางอย่างกลับเครื่องสื่อสาร
ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ ดูลุกลี้ลุกลน ยืนขึ้นทำความเคารพ
"ผมกำลังตามหาร้อยเอกไทเลอร์ อยู่ครับ"
"หล่นจากความสูงตั้งสิบห้าเมตร เขาไม่รอดแล้วล่ะ ถึงจะรอดแต่ก็ตกเป็นเหยื่อของผุ้ติดเชื้ออยู่ดี" ท่านพันเอกหัวเราะ
"ถึงยังไงเขาก็สามารถเป็นกำลังหลักของเราได้นะครับ" ร้อยโทวินด์เชสเตอร์แย้ง
ท่านพันเอกตบโต๊ะ "ผมก็อยากให้เขารอดเหมือนกัน เราไม่เหลือใครแล้ว" พันเอกรอน คำราม "แต่ถ้าเรายังยึดติดกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์" ท่านพันเอกเดินจากไป
ร้อยโทวินด์เชสเตอร์ พยักหน้าช้าๆ เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น เขาหันกลับ ไปคุยกับไมโครโฟน
"นี่เอ็ดดี้นะ ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหน นายสามารถติดต่อฉันได้ทันที ขอแค่นายเปิดวิทยุ นายจะสามารถติดต่อกลับมาได้ทุกเมื่อ และฉันจะไปช่วยนาย"


ขับรถตอนมืดน่ากลัวจริงๆ นอกจากนั้นยังน่ากลัวจะหลับในด้วย ผมส่ายหัวไปมาขับไล่ความง่วง มือเอื้อมือกดวิทยุ ก็เจอแต่สัญญาณซ่า ผมเอามือคลำช่องเก็บของก็เจอแผ่นอะไรบางอย่าง หยิบขึ้นมาเป็นแผ่นดิสก์ธรรมดา เขียนว่า rock classic
"โถ ไอสมองกลวงเอ๊ย" ผมหัวเราะกับตัวเองแล้วจัดการสอดแผ่นดิสก์เข้าไป
เพลงแรกเริ่มต้นด้วย Rock You Like A Hurricane ของ Scorpions วงโปรดของพ่อ เมื่อนึกถึงมนุษย์ไม่ว่าใครก็ตามผมเริ่มซึม โหยหาสิ่งมีชีวิต
ผมโยกหัวไปตามจังหวะเพลง ขยับนิ้วบนพวงมาลัย ร้องคลอไปตามทำนอง จนกระทั่งสังเกตถึงความมีตัวตนของอะไรบางอย่างที่เบาะผู้โดยสาร หัวโยกอย่างเมามัน
"พ่อชอบเพลงนี้นะ" โอให้ตายเถอะ ผมรักพ่อนะ แต่เขาไม่ควรจะปรากฎตัว
"พ่อรู้มั้ย ผมว่าผมควรจะนอนพัก พักกายและสมองให้หายเบลอ" ผมพูด
"เอาสิ แค้มป์ข้างหน้าเป็นไง" พ่อพูดพลางชี้ไปที่แค้มป์
"ก็ดีนะครับ" ผมจอดขวางหน้าเต็นท์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อบังพวกซอมบี้ ผมลงจากรถ เดินสำรวจรอบเต็นท์ไม่มีอะไรเลย นอกจากรอยรถขนาดใหญ่ที่ขับออกไป ผมค่อยๆเปิดเต็นท์ช้าๆ ไม่มีใครนอกจากกล่องเบียร์เต็มขวด เยี่ยมผ่านเลย


"ฮ่าๆๆๆ แกนี่บ้าชะมัดเลย ตอนที่เขาจะให้แกยิงปืน แกดันวิ่งหลบไปซะงั้น" พ่อผมโหวกเหวกอย่างมีความสุข เรานั่งดื่มเหล้ากันรอบกองไฟ เล่าเรื่องต่างๆ
"ตอนนั้นผมยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่มีเสียงปั้ง แค่นั่นแหละ" ผมพูด
"ก็จริง" พ่อยกเหล้าซดเข้าปาก แล้วครางออกมา
"นี่พ่อ ทำไมพ่อถึงออกไปรบ" ผมถามจริงจังขึ้น รอยยิ้มพ่อหายไป
"นั่นมันในช่วงสมรภูมิเลวร้าย พ่อต้องออกไปทำหน้าที่ ซึ่งแค่วางแผนมันไม่พอหรอก มันยังขาดคน แม่น่ะ พ่อห้ามเธอแล้วพูดสารพัดขนาดยกเรื่องลูกมาพูดแล้วยังไม่ฟัง เธอบอกว่า ลูกจะยิ่งใหญ่แบบพ่อของเขา" พ่อยิ้ม "ซึ่งพ่อว่ามันก็จริงหลังจากมาเห็น" พ่อลูบหัวผม "แกอดทนดี กลั้นน้ำตาเอาไว้ได้" ผมพยักหน้า ก้มลงกับพื้น
"พ่อว่าลูกไปนอนเถอะ กินหนักขนาดนี้ เดี๋ยวก็ลุกไม่ไหวหรอก" พ่อเตือน ผมพยักหน้า เข้าไปในเต็นท์และล้มตัวลงนอน รู้อะไรมั้ย ผมว่าผมเมาแล้วล่ะ ชักมีดออกมาจับให้ด้ามหงายขึ้นเพื่อเตรียมตัวแทง เผื่อจะมีตัวอะไรพุ่งเข้ามา แต่ยังไงผมก็มีปลอกแขนและขาอยู่

stech123
17th November 2012, 17:55
สนุกมากเลยครับ อย่าเพิ่งรีบจบนะ สู้ๆๆมาเป็นกำลังใจให้ครับ

topten002
17th November 2012, 19:11
ผมพึ่งอ่านบนแรกอยู่เลยสนุกมาผมจะอ่านต่อนะครับ

muek9999
17th November 2012, 19:50
ต่ออีกหน่อย

ถ้าท่านใส่รูปตัวละครในตอนแนะนำตัวอะไรอย่างงี้หรือจะทำบทแนะนำตัวไว้ตอนแรก คนอ่านจะรู้สึกสนุกและจินตนาการไปรเพลินๆได้เยี่ยมเลยครับ
ถ้าท่านใส่รูปสถานที่ในแต่ละเหตุการณ์ลงไปด้วย ผมว่าจะเพอร์เฟคมากเลยครับ
นิยายของท่านจากที่ผมอ่านแล้วรู้สึกสนุกมากครับ ทำมาเยอะๆนะครับ อยากอ่านต่อ...

black jack sdppd
17th November 2012, 23:11
บทที่ 5 Welcome To Miami


ผมขยับขาไปมาอย่างรำคาญ เพราะมีบางอย่างมาสัมผัส ได้ยินเสียงอะไรซักอย่างดังขึ้น ผมตื่นไม่เต็มตาพยายามมองทะลุความมืด เสียงครางอย่างงี้
“เฮ้ย” ผมตกใจตื่น มือที่ถือมีดเหมือนถูกไฟช็อต เสียบเข้าไปในอากาศ นี่ผมฝันอีกแล้ว แต่มันเหมือนจะเป็นเรื่องจริงเสียงชัดมาก ผมลุกขึ้นตาสว่าง ได้ยินเสียงครางมากมายข้างนอก ลางไม่ดีเลย ผมค่อยๆรูดซิปเต็นท์ขึ้นช้าๆ ไม่เปิดมากแค่พอเห็นข้างนอก
ใช่เลย พวกมันไม่น้อยกว่าสิบตัว เดินวนเวียนอยู่ข้างนอก ผมมองซ้ายมองขวาไม่พบทางที่จะรอด และดูเหมือนมันจะหยุดพักที่นี่ซะด้วย
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกปวดหัวและมึนเล็กน้อย เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่ดื่มเบียร์เมื่อวาน รู้แล้วว่าตัวเองคออ่อนแค่ไหน รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างด้วย
ดีน
เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นจากหลังเต็นท์ ไม่ผิดแน่ นั่นชื่อผม แถมเสียงนั่นยังคุ้นหูอย่างประหลาด ผมค่อยๆคลานจากหัวเต็นท์ไปหลังเต็นท์
เฮ้ ดีน
เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ผมรูดซิปเล็กน้อยแล้วหมอบลงดูผ่านช่องซิปเล็กๆ แต่มันมองไม่ชัดเลย ผมใช้มีดเจาะรูในความสูงระดับนั่ง ข้างหลังเกือบจะเรียกได้ว่าโล่ง มีหนึ่งตัวยืนมึนหน้าเต็นท์ ข้างหลังมีอีกตัว
ดีน
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ทางฝั่งขวา ผมใช้มีดเจาะทางฝั่งนั่น ตามทางต้นเสียง นั่น รถอยู่ตรงนั่น ข้างหลังหินขนาดใหญ่ บนถนน ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร ผมต้องหาทางออกไปจากเต็นท์นี้ให้ได้ก่อน
ผมถีบเต็นท์ฝั่งหลัง จนมันสะเทือน เกิดเสียงเล็กน้อย ผมมองดูลอดรู ซอมบี้ค่อยๆเดินมาแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ รูที่ผมเจาะไว้ เมื่อมันมาถึง ผมกะตำแหน่ง แล้ว
ฉึก!
ผมเสียบมีดทะลุเต็นท์เข้าไปในหน้าผากของมัน มันนิ่งไปในทันที ผมชักมีดกลับมา แล้วค่อยรูดซิปสูงขึ้นอีกนิด ซอมบี้อีกตังห่างไปอีกประมาณ 2 เมตรครึ่ง ผมย่องไปข้างหน้า หมายจะเสียบท้ายทอย แต่เท้าดันไปเหยียบเศษไม้จนเกิดเสียงดังกร๊อบ มันหันมา แล้วเห็นผม มันอ้าแกหมายจะคำราม แต่ผมพุ่งไปข้างหน้าอย่างไว ทำสิ่งที่ใจกล้าที่สุดคือใช้มือกดปากมันจนแล้วใช้น้ำหนักตัวกดทับมันและปักมีดเข้าที่กะโหลก มันนิ่งไปทันที ผมหันไปดูข้างหลัง โอเค พวกมันยังไม่รู้ตัว มือที่สกปรกเลอะคาบ ถูไปกับเสื้อของมัน หน้าตาขยะแขยงเต็มทน ผมกลับไปสวมรองเท้า และม้วนหน้าเข้าไปที่หินซึ่งมีพุ่มไม้บังอยู่ เดชะบุญ รถจอดอยู่ข้างๆหิน ตรงประตูพอดี ผมเปิดประตูรถเบาๆ จำได้ว่าเสียบกุญแจคารถเอาไว้ ผมปิดประตูรถไม่สนิทมาก และเริ่มสตาร์ทเครื่อง
ทีนี้แหละ พวกมันหันมาทางผม สีหน้าจากธรรมดาเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวทันที และเริ่มออกวิ่ง เครื่องสตาร์ทติดพอดี เข้าเกียร์และขับออกไปเลี่ยงไม่ชนพวกมัน
“ไปแล้วนะ ส่วนเบียร์ฉันให้” ผมเยาะเย้ย มองผ่านกระจกหลัง พวกมันยังคงวิ่งตามมาอยู่ ผมยิ่งสะใจมากไปอีกเมื่อเร่งความเร็วทิ้งห่าง
ผมเปิดประตูและปิดใหม่ให้แน่นกว่าเดิม เปิดเพลงต่อจากเมื่อวาน ตอนนี้พลังพร้อมแล้ว คงจะยิงยาวถึงไมอามี่ได้เพราะยังไง มันก็ใกล้ถึงแล้ว หันไปเบาะหลัง ไม้เบสบอลคู่ใจวางอยู่ ผมว่าผมคงต้องคุยกับมันแล้วล่ะ
ราวๆ 1 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่ขับออกมาจากเต็นท์นั่น ตอนนี้ผมอยู่หน้าทางเข้าเมืองไมอามี่ ตอนนี้ดูจากข้างนอก สภาพมัน เละสิ้นดี
“อะไรวะนั่น” รถจอดเรียงรายอยู่ตามถนน อยู่ในสภาพโทรมพอสมควร ผมลงไปสำรวจ มือถือไม้เบสบอลตะปูไว้ สภาพรถบู้บี้เหมือนถูกโดนหลายร้อยเท้าเหยียบเข้ามา ทุกคันเป็นเช่นนี้ ประตูเปิดทิ้งไว้ และได้ยินเสียงน่ารำคาญบางอย่างด้วย

เสียงนั้นมาจากรถคนข้างหน้าสองคันจากที่ผมยืนอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ในรถ ซอมบี้ที่ขาขาด คลานมากับพื้นอย่างรวดเร็ว ดูไม่เจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย ผมเดินเข้าไปหาซอมบี้ตัวนั้น และเหยียบหัวมัน แล้วก็หวดไม้เบสบอลตะปูลงไป สมองแหลกกระจุยเลอะรองเท้าผมด้วย ผมสะบัดเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ ผมว่าผมคงต้องเดินแล้วล่ะ เพราะมีรถขวางทุกทางขับฝ่าไม่ได้ จะให้เสียเวลาเลื่อนรถก็ใช่ที่ ยังไงซะ ก็ใกล้ถึงแล้ว
ผมลองไปที่รถคันแรกสุดของแถวลองดูว่าจะขับได้ไหม เพราะกุญแจยังติดอยู่ ผมลองสตาร์ทดู สรุปคือไม่ได้น้ำมันหมด หมดทุกคันเลยด้วยอาจจะเป็นเพราะจอดทิ้งไว้ตั้งหลายวันแล้ว
ผมถอนหายใจ ปลงและกะจะไปเอาสัมภาระก็เหลือบไปเห็นรถพยาบาลจอดทิ้งไว้ อืม มีชุดปฐมพยาบาลไว้ซักหน่อยก็ดี
ผมเอาหูแนบกับประตูหลังรถ มีเสียงครางข้างใน มีซอมบี้ในนี้ ผมเปิดประตูช้าๆ ค่อยๆ แล้วรีบไปหลบข้างๆ เสียงคำรามดังขึ้น ตามด้วยเสียงกระแทกประตูดังโครมและซอมบี้สวมชุดบุรุษพยาบาลลงไปนอนกองกับพื้น ผมขำแล้วก็หวดไม้เบสบอลตะปูเข้าที่หัวมันเต็มรัก แค่ทีเดียวหัวแหลกลาญ ผมหัวเราะและมองไม้เบสบอลตะปูอย่างชื่นชม ตอนนี้ผมเริ่มชินกับสภาพเละแล้ว อาจจะเป็นเพราะเคยเป็นทหารมาก่อน
ข้างในรถพยาบาลมีศพเน่าที่มีผ้าคลุมนอนอยู่ กลิ่นคาวเหม็นมาก อาจจะเป็นคนที่ได้รับอุบัติเหตุและถูกทิ้งไว้ในรถ ซวยแท้
ผมคว้าชุดปฐมพยาบาล เมื่อก้าวขาจะออกจากรถกลับสะดุดล้มไปกองกับซอมบี้ตัวเมื่อกี้ ผมตกใจสะดุ้งทันที ลุกอย่างรวดเร็วหายใจเข้าออก เพื่อให้ใจสงบลง เมื่อมองดูต้นแขนซ้ายตัวเอง เออ ดี พึ่งได้ชุดปฐมพยาบาลมาเมื่อกี้ ก็มีเรื่องให้ใช้เลย เลือดอาบโชกเต็มแขน
ผมนั่งอยู่ในรถ ปฐมพยาบาลอย่างชำนาญ พันผ้าก็อตเสร็จแล้ว
ถ้ามองในแง่ดี การถึงเมืองก็ได้เวลาสนุกสนาน ถ้ามองอีกแง่ อันตรายชัดๆ
ข้างหน้าผมตึกศรีวิไลงดงามแห่งไมอามี่อยู่สองข้างถนนรู้สึกถึงอากาศร้อนทันทีแม้จะไม่ใช่ซัมเมอร์ก็ตาม คิดถึงหนังแบดส์บอยทั้งสองภาค ผมใช้กล้องส่องทางไกล ส่องไปรอบๆ เจอซอมบี้อยู่ในตึกทางขวา ชั้นล่างเป็นกระจกใส เราเห็นข้างใน ข้างในก็เห็นเราเช่นกัน น่าจะเป็นตึกธุรกิจนะ เพราะมีนักธุรกิจเดินโซเซอยู่เต็มไปหมด ผมส่องไปที่ตึกทางซ้าย ทางสะดวกแต่จะไปให้พวกนักธุรกิจไม่สงสัย ผมหันไปข้างหลังเจอฮอนด้าสีดำนอนแน่นิ่งโดยที่กุญแจเสียบไว้อยู่ ถ้ามีกุญแจเสียบไว้ก็แสดงว่าไม่ได้ล็อคคอรถเอาไว้ ผมเปิดประตู มือข้างนึงดันพวงมาลัย มืออีกข้างดันประตูรถแล้วออกแรงผลักมันไป ไม่ใช่ท่าที่ถูกต้องสำหรับการดันรถแต่ไม่มีทางเลือก มันช่วยบังตัวเองจากสายตาของซอมบี้ในตึกได้ กินแรงชะมัดแต่อีกนิดเดียวเท่านั้น
ในที่สุด ผมก็ดันจนผ่านช่วงตึกมาได้ ผมนั่งพัก หลังพิงขอบรถอย่างเหนื่อยแรง ยังไม่มีแผนต่อไปเลย ว่าตัวเองจะไปหาที่พักตรงไหน อาจจะต้องงัดเข้าบ้านใครสักคน ผมสะบัดแขนตัวเองแรงๆเพื่อคลายเส้นแล้วยืดแขนไปสุดตัว
ปรี๊น !!!
เสียงแตรปลุกผมจากภวังค์ หลังจากนั้นผมจึงรู้ตัวเองว่าได้ทำเรื่องที่โง่ที่สุดในชีวิตเข้าแล้ว ผมชะเง้ออกไป พวกนักธุรกิจเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข มันบิดไปมาอย่างน่าขยะแขยงแล้วก็วิ่งเข้าใส่กระจก
เพล้ง !!! เสียงกระจกแตกดังมาจากด้านขวาพร้อมด้วยวัตถุมากมายหล่นมาจากฟ้า นอนนิ่งไปและเริ่มลุกขึ้นช้าๆ เวรล่ะ
ซอมบี้ในตึกวิ่งทะลุกระจกออกมาได้แล้ว หลายตัวในตึกวิ่งตามออกมา แถมมีพวกที่วิ่งมาจากชั้นบนของอาคารอีกด้วย ในตึกทางฝั่งขวาก็เจออีกพวกวิ่งลงบันไดมาบางตัวตกลงมาเลยด้วย และพวกมันพุ่งมาทางผม
ผมออกวิ่งทิ้งกระเป๋าแล้วหยิบไม้เบสบอลตะปูมา สับเท้าถี่อ้อมตึก พวกซอมบี้ที่มองเห็นผม ซึ่งก็น่าจะทุกตัวคำรามและวิ่งตาม ก็ ผมเร่งความเร็วพยายามทิ้งเสียงคำรามไว้ข้างหลัง ผมวิ่งไปทางขวาและตรงไป มีร้านฟาสต์ฟูดอยู่ข้างหน้าราว 200 เมตร ผมวิ่งเร่งความเร็วแบบไม่คิดชีวิต แต่ยังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าที่ควร ผมวิ่งผ่านตึกหลายตึก ซึ่งในตึกนั้น พวกมันโผล่มาตามเสียงคำรามด้วย นี่แหละจุดจบชะตาชีวิตผม ไม่นะ ยังไม่ได้แต่งงานเลย ผมออกแรงวิ่งมากกว่าเดิม ส่งเสียงร้องไปตลอดทาง แม้ไม่ได้หันหลัง แต่ผมก็รู้เลยว่า พวกมันมีกันเป็นกองร้อยน่าจะห่างกันราวห้าถึงหกเมตร
ผมวิ่งกระแทกเข้าประตูร้านไป ประตูกระเด็นไปกองข้างๆ ในร้านน่าจะมีพื้นที่สัก 10x10 เมตร สภาพเละสิ้นดี ผมไม่สนบรรยากาศในร้านที่มืดมิด แต่ตรงเข้าไปที่ห้องครัวผมวางไม้เบสบอลแล้วเปิดแก๊สทุกเตาจนสุด หันหลังไป พวกมันเป็นฝูงเริ่มเบียดประตูเข้ามา ผมเปิดตู้ข่างล่างเตาหาเชื้อเพลิง และเจอถ่านสำหรับใช้ปิ้งโน่นนี่ ผมส่ายหัวแล้วหยิบมา จากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์กับไฟแช็คมา มีหน้าต่างอยู่เหนืออ่าง ผมวิ่งไปเปิดมัน ช่องใหญ่พอที่จะปีนออกไปได้
พวกซอมบี้เข้ามาแล้ววิ่งตรงมาที่ผม ผมใช้เท้ายันมันกลับไป แต่คงไม่ได้ทุกตัวแน่เพราะพวกมันเริ่มวิ่งทะลักเข้ามาข้างใน ผมโยนไม้เบสบอลออกไปแล้วกระโดดม้วนหน้าออกทางช่องหน้าต่างและลงที่พื้น ม้วนหน้ายืนขึ้นอย่างสวยงาม หันไปข้างหลัง ซอมบี้แก่งแย่งกันออกมา แต่ทำได้ไม่ถนัดนัก ผมยิ้มเยาะแล้วหยิบไม้เบสบอลมาหนีบไว้ที่รักแร้ หลังจากนั้นก็ห่อกระดาษเข้ากับถ่าน จากนั้นก็จุดไฟแช็ค ผมออกตัววิ่งเต็มฝีเท้าจนได้ระยะที่ไกลพอดี
มาเจอกันหน่อย
ผมกระโดดขว้างถ่านออกไปสุดแรง มันค่อยตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้เข้าไปในร้านอาหาร แก๊สที่ได้แพร่กระจายไปทั่วก็หลุดออกมา ทำปฏิกิริยากับไฟ
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมม
เพลิงไฟเผาผลาญลุกไหม้ ไฟสีแดงพวยพุ่งทะลุหลังคาและผนังร้าน ฉีก พัง ทำลายทุกอย่างในรัศมี ซอมบี้ถูกฝังทั้งเป็นในกองเพลิงภายในชั่วพริบตา ย่อมทำให้ร่างกายของมันถูกแยกด้วยแรงระเบิด เป็นสิ่งที่วินาศสันตะโรที่สุดนับตั้งแต่ลาพักร้อนมาได้ ผมยืนยิ้มให้กับผลงานของตัวเอง ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยนิดๆ
แต่ฝันร้ายยังไม่จบซอมบี้ที่อยู่ในบ้านหรือตึกข้างๆ ออกมาตามต้นตอของเสียงอึกทึก ผมไม่รอดูและออกวิ่งต่อทันที เมื่อถึงทางแยกผมทำตามสัญชาติญาณโดยการเลี้ยวซ้าย
ตรงหน้าผมคือถนนกว้างทางขวาเป็นห้าง ทางซ้ายเป็นตึกหลายๆตึกติดกัน กลางถนนมีรถเมล์จอดขวางลำอยู่ ถ้าจะวิ่งเข้าไปในห้าง พวกมันคงเห็นแน่ ผมเลยต้องใช้ทางรอดที่ใกล้ที่สุด ผมวิ่งเข้าไปในรถเมล์ เสียงคำรามมาแล้ว ในรถมีร่างร่างหนึ่งนอนอยู่ ผมใช้เท้าพลิก ศพไม่ขยับ ผมล้มตัวลงเข้าไปนอนแล้วดึงมันมาทับร่างตัวเอง
ผ่านไปหลายอึดใจเสียงคำรามก็ดังขึ้นและเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เกิดเสียงกระแทกที่ตัวรถเพราะพวกมันเอาตัวเองกระแทกอย่างแรง เสียงนี้เกิดไม่นานและหายไป
จนเมื่อผมเห็นว่าเสียงคำรามเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ผมเดินออกมาจากรถ ลงมาสำรวจข้างนอก จุดที่ผมยืนอยู่ ไม่ทราบพิกัดตำแหน่งแน่ชัดเพราะผมไม่ค่อยได้มาแถบนี้ แต่ก็นับว่าเจริญหูเจริญตาอยู่เหมือนกัน ร้านอาหารหรูทางฝั่งซ้ายที่ตอนนี้เงียบสงบ ถนนขนาดใหญ่ เกาะกลางถนนมีต้นปาล์มใหญ่
ห้างใหญ่ทางฝั่งขวาด้วย มันห่างจากตัวถนนไปเล็กน้อย ชั้นสามของห้างมีส่วนที่เปิดเป็นดาดฟ้าอยู่ และตรงนั้นเอง ที่มีคนยืนใช้กล้องส่องทางไกลมองผมอยู่

topten002
18th November 2012, 13:11
บทที่5มาแล้วเย้ๆ5555

topten002
20th November 2012, 18:43
บทที่6มาไวนะครับๆ

black jack sdppd
3rd December 2012, 19:07
บทที่ 6 คนแปลกหน้า

ผมค่อยๆเปิดประตูห้างที่ถูกกระแทกช้าๆ ข้างในค่อนข้างมืด คาดว่าจะเป็นส่วนต้อนรับ ฟร้อนท์เดสก์ อยู่ข้างหน้าส่วนช็อปปิ้งที่เปิดไฟสว่าง แผงสินค้าวางเป็นล็อตๆ ถ้าผมจำไม่ผิด นี่เป็นห้างที่ติดกับโรงแรม
เสียงครางดังขึ้น ผมย่อตัวมองซ้าย มองขวาทางสะดวก ผมตรงไปที่แผนกเสื้อผ้า ซอมบี้ตัวหนึ่งเดินออกมาจากบู๊ทข้างหน้า ผมก้มหลบและอ้อมไปข้างหลังมัน และหวดไม้เต็มแรง ตัวมันลอยเข้าไปในบู๊ทเสื้อยี่ห้อ LEE เลือดสาดกระจาย
"เลอะหมดเลย ไอเวรเอ๊ย"
แต่เสียงครางยังดังอยู่ ผมรู้แล้วมันอยู่ตรงไหน แผนกเนื้อแน่นอน ผมตรงไปทางขวาเป็นทางขึ้นลิฟต์ข้างๆ มีแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ เมื่อมองเข้าไป ผมต้องทำหน้าสะอิดสะเอียน ศพซอมบี้เป็นสิบนอนอยู่ รอบๆโต๊ะแคชเชียร์ ข้างหน้าศพ มีเลื่อยไฟฟ้าเหลืออยู่ พร้อมกับซอมบี้ที่เท้าถูกกัดนอนครางอยู่ ผมเข้าไปใกล้ นั่งยองๆ
"แกคือยอดคน แกควรจะตายอย่างสมเกียรติ" ผมชัก APS 45 พร้อมที่เก็บเสียงออกมา ปลิดหัวผู้กล้าทันที หัวของเขาไม่ควรจะแหลก
อ้าาา เสียงคำรามดังข้างหลัง ผมเก็บปืนถือไม้เบสบอลในท่าเตรียมพร้อมหันกลับไปพร้อมด้วยหวดทันที ร่างมันลอยไปข้างหน้า แต่เสียงคำรามดังขึ้น ไอ้บ้านี่ปลุกคนอื่นๆ ผมเห็นอีกตัววิ่งมาทางซ้าย ผมหวดไปที่หน้ามัน และอีกสามตัวมาทางขวา ผมวิ่งไปทางซ้ายไปที่แผนกครัว เจอมีดผมหยิบหาจุดถ่วงน้ำหนัก และปามันไปข้างหน้า
ฉึก!! มีดหั่นเนื้อปักเข้าหน้าผากอย่างจัง และเมื่อมันเข้ามาใกล้ผมใช้มีดอีกเล่มปักเข้าเบ้าตาอีกตัว ผมหลับการคว้าจับของตัวสุดท้ายอ้อมไปข้างหลัง และหักคอมันทิ้ง
แต่มันยังไม่ตายผมหยิบดี-เอ็มเตรียมปลิดชีพ แต่มันมีปฏิกิริยาแปลกๆ คือมันไอ และอ้วกออกมา มันแน่นิ่งไป เมื่อผมออกไปก็เจออีกหลายตัววิ่งเข้ามา ผมสับเท้าไปที่บันไดให้เร็วที่สุด มีตัวสองตัววิ่งมาขวางผมหวดด้วยดี-เอ็ม ไปหนึ่งตัว หยุดวิ่งแล้วเหวี่ยงดี-เอ็มเข้าเต็มหัวอีกตัว ผมวิ่งต่อไอพวกข้างหลังยังตามมาอยู่ ผมเอารถเข็นมาขวางไว้ แล้วขึ้นบันไดชั้นต่อไป ได้ยินเสียงพวกมันชนกับรถเข็นผมหัวเราะ ชั้นสองนี่เงียบแต่ผมก็คงไม่อยู่สำรวจ ผมวิ่งขึ้นชั้นต่อไปเอารถเข็นที่จอดไว้มาขวางเช่นเคย แล้วตรงไปสู่ชั้นสาม
ผมมองไปทางขวาเจอซอมบี้ร่างอ้วนทุบประตูอยู่ เป็นผู้หญิงด้วย ผมย่องไปข้างหลังและฟาดด้วยดี-เอ็มมันนอนกองไป
"ลูกบิดก็มี" ผมเยาะเย้ย แล้วเปิดประตู
"หยุดนะ" เสียงตะโกนดังขึ้น ผมตาไม่ฝาดนั่นมนุษย์นิ่ ผมหยุดมองที่ Glock18 ของเขา หึ เซฟยังไม่ได้ปลด ผมเดินไปข้างหน้า
"ฉันบอกให้หยุด" ชายแก่ตะโกน มีชายหนุ่มคอยห้ามอยู่
"ไม่เอานะ โรล์ ไอ้หมอนี่แหละที่ฉันบอกนาย"
"นายแน่ เจฟ ว่าไอ้นี่ไม่ใช่โจร" ชายแก่พูด ผมมองอย่างสงสัย
"ผมเนี่ยนะ โจร ผมแต่งชุดทหารด้วยซ้ำ" ผมตอบ ชายแก่ดูใจเย็นลง แต่ยังไม่ลดปืน ปืนที่ยังไม่ปลดเซฟด้วยซ้ำ
"ในโลกนี้ จะแต่งชุดอะไรไม่สำคัญหรอก ไอหนุ่ม" ชายแก่ตอบ
"ผมปลอดภัย ผมปลอดภัยพอที่จะรู้ว่าปืนคุณยิงไม่ได้" ผมพูดไปทั้งที่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ชายแก่มองอย่างสงสัย แล้วลดปืน
"แกรู้" ชายแก่พูด ไม่ใช่คำถาม
"ผมเป็นทหาร" ผมมองและพยักหน้า
"โทษทีนะ เราเจอโจรมาเยอะน่ะ ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจใครได้บ้าง" ชายหนุ่มพูดบ้าง
"โจรเหรอ ยังจะมีโจรอีกเหรอ" ผมถามขมวดคิ้วสงสัย
"ใช่ นี่นายไปอยู่ไหนมา" ชายหนุ่มถาม ผมส่ายหน้า
"ช่างมันเถอะ ว่าแต่นี่มีกันอยู่แค่นี้เหรอ" ผมถามเดินไปข้างหน้า แล้วมองไปข้างล่าง เจอรถตู้นอนตะแคงอยู่ ถ้าเป็นยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ น่าจะเห็นผมนั่งพักอยู่
"มีอีกกลุ่มใหญ่ อยู่ที่ร้านขายปืน อยู่สุดทางโน่น" ชายแก่บอก
"ร้านขายปืนเหรอ" ผมถาม
"ใช่แต่เราใช้ปืนไม่เป็นน่ะ" ชายหนุ่มพูดแล้วหัวเราะ ผมยิ้ม
"แล้วพวกคุณมาทำอะไรกันตรงนี้" ผมยืนเท้าสะเอวถาม
"พวกเรามาดูลาดเลา พวกซอมบี้ แล้วก็คอยเฝ้าหาผู้รอดชีวิตคนอื่น แล้วก็เจอนาย" ชายหนุ่มพูด
"คุณนี่เอง ที่ส่องดูผม" ผมจำได้ เขาหัวเราะ
"ช่าย นายแน่มาก" เขาชม ผมยิ้มเขินๆ
"ผม ดีน" ผมแนะนำแล้วยื่นมืออกไป
"ผม เจฟ" ชายหนุ่มพูด แล้วจับมือผม
ผมยื่นมือ ไปหาชายแก่ หน้าตาถ้าดูดีๆก็ใจดีใช่เล่น
"ฉัน โรล" เราจับมือกัน ผมเหลือบไปเห็นไรเฟิลล่าสัตว์วางอยู่ข้างเก้าอี้และกระติกน้ำ
"นั่นคุณใช้เป็นรึเปล่า" ผมถามพลางชี้ไปที่ไรเฟิล
"ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น ฉันเคยใช้มาก่อน" โรลตอบ
"คุณอย่าใช้มันนะ ไม่งั้นเสียงจะเรียกพวกมันมา" ผมเตือน โรลพยักหน้า
"แล้วนี่เราจะไม่กลับกันเหรอ" ผมถาม
"กลับไม่ได้หรอก เราถูกซอมบี้ขังไว้ เกิดเหตุผิดพลาดน่ะ" เจฟพูด
"ใช่ เหตุผิดพลาดรุนแรง" โรลมองหน้าเจฟแบบประชด
"เอาเป็นว่าถ้าเราออกไป จะโดนซอมบี้ไล่ก็แล้วกัน เลยต้องรออยุ่ตรงนี้แหละ" เจฟรีบบอก ผมยืนครุ่นคิด
"ร้านขายปืน มี APS 45 มั้ย" ผมถาม
"โทษทีนะ เอพี อะไรเหรอ" โรลและเจฟมองหน้ากัน ผมจึงชักปืนออกมา ให้เขาดู
"อ๋อ ผมว่าผมเห็นนะ" เจฟตอบ
"ถ้างั้น ผมคิดอะไรดีๆออกแล้ว" ผมยิ้มอย่างมีเลศนัย ทั้งสองคนทำหน้างง

"มันจะดีเหรอ" เจฟถาม ขณะที่ผมเช็คเม็กกาซีน ผมหัวเราะในลำคอ แล้วพยักหน้า โรลพ่นลมทางจมูก
"แล้วทำไมฉันต้องมาเข็นแกด้วยฮึ" โรลถามพลางตบรถเข็น ที่พึ่งเสี่ยงชีวิตออกไปเอาเมื่อสักครู่ "แกเดินเองไม่ง่ายกว่ารึไง"
"มีสามข้อนะลุง" ผมพูดชูสามนิ้ว
"ข้อแรก ถ้าผมวิ่งผมจะยิงไม่ถนัด
ข้อสอง รถเข็นจะทำให้ช่วยลดเสียงกระแทกตึงตึงด้านล่าง
ข้อสาม ผมวิ่งมาเยอะ ผมเหนื่อย" โรลมองผมอย่างไม่เชื่อหู พลางหันไปซุบซิบถกเถียงกับเจฟ มีบางคำที่หลุดออกมาเป็นเสียงใหญ่ "ก็แกไม่ได้เข็นเองนี่หว่า" หลังจากทั้งคู่เถียงกันเสร็จ โรลยอมแพ้มองหน้าผมเหมือนจะถามว่า เอาไงต่อ
"โอเค นินทาเผาขนเสร็จแล้วใช่มั้ย" โรลและเจฟ พยักหน้า ผมหัวเราะที่ทั้งคู่ยอมรับ ทั้งสองคนจึงพลอยขำไปด้วย
"งั้นเริ่มกันเลย !" ผมกระโดขึ้นรถเข็นพร้อมปืนเก็บเสียงทั้งสองกระบอก เจฟที่ถือดี-เอ็ม ถีบประตู เสียงลั่นแล้วนำหน้า พวกมันเริ่มมา ผมตั้งแขนทั้งสองข้าง สายตาเล็งแน่วแน่ พวกมันสามตัว วิ่งเข้ามาจากทางซ้ายผมยิงมันทิ้งอย่างมันมือ และอีกห้าตัวทางขวา อีกสามตัวข้างหน้า ผมจัดการพวกทางขวามันกระโดตัวลอยเพราะวิ่งสวนทางกับกระสุน ส่วนข้างหน้า เจฟฟาดพวกซอมบี้อย่างมันมือ ปากหัวเราะสะใจ
"นักเบสบอลเก่าน่ะ" โรลซึ่งตอนนี้หอบแฮกๆ ฝืนพูด ผมเบ้ปากพยักหน้าและหันไปตั้งมั่นในเป้าหมายต่อ เสียงแหลมพร้อมลูกกระสุนเข้าหัวพวกมันอย่างแม่นยำ
"เห้ย ดูข้างหน้าหน่อย" เจฟร้อง ผมหันไปดูพวกมันนับสิบตัวมาดักข้างหน้า
"ไปหลบข้างหลัง" ผมสั่งเจฟขณะเปลี่ยนเม็กกาซีน เขาชะลอความเร็วแล้วไปอยู่หลังผม ทั้งสองกระบอกมีกระสุนอยู่กระบอกละสิบสองนัด รวมยี่สิบสองนัด พวกมันมีประมาณสิบตัว หึ! สบายมาก
"ย้ากกกก"

"ซ่า...ซ่า..." สัญญาณซ่าจากวอล์คกี้-ทอล์คกี้เกือบจะเจ๊ง ดังขึ้นภายในห้องขนาดใหญ่ มีหลายคนนั่งรออยู่ใกล้ๆ รอให้มันได้ส่งเสียง ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ที่สุด รีบคว้ามันมาสายตามีความหวัง
"เปิดประตู ร้านด่วน" เสียงของโรลแทรกเสียงวอล์คกี้-ทอล์คกี้มา
"โรลเหรอ คุณอยู่ไหน" หญิงสาวรีบถาม
"รีบเปิดประตูก่อนเร็ว !" โรลสั่งตะคอกผ่านวอล์คกี้-ทอล์คกี้ทีท่างุนงง แล้วหันไปทางผู้หญิงผิวดำข้างๆ ที่มีสายตาลุ้นคำตอบเหมือนกัน
"ซินแคลร์ เปิดประตู" หญิงสาวสั่ง ซินแคลร์มีท่าทีไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รีบวิ่งไปเปิดประตู
"เกิดอะไรขึ้น เอ็มม่า" ชายคนหนึ่งถาม เอ็มม่าส่ายหัว มือยังกำวอล์คกี้-ทอล์คกี้ไว้แน่น
"ไม่รู้สิ พวกเขาเหมือนวิ่งฝ่าพวกมันมา" เกิดเสียงพูดคุยขึ้นทันที หนึ่งในนั้นแสดงความเห็นว่า พวกเขาฝ่าฝูงซอมบี้มา
"เจฟยังอยู่หรือเปล่า" หญิงคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เอ็มม่าส่ายหัวสายตาเป็นกังวล
ขณะที่เสียงครืดดังขึ้น จากการเปิดประตูเหล็กขึ้น ชายสามคนวิ่งเข้ามา มีเสียงอะไรบางอย่างเอ็มม่าชะโงกหน้าหันกลับไปดู ก็พบรถเข็นนอนกลิ้งอยู่ไกลออกไปศพซอมบี้นอนอยู่มากมาย ชายสามคนรีบดึงประตูปิดอย่างเร่งรีบ เอ็มม่าถอนหายใจที่ทั้งคู่ยังปลอดภัย
แต่ อีกคนนึงมาจากไหน

ผมหัวเราะกับตัวเอง ที่ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น ผมตบมือกับเจฟและไปหัวเราะกับโรลที่ยืนหอบอยู่("แกจะต้องชดใช้ไอหนู" โรลพูดพลางหัวเราะ) ผมเอามือยันเข่า ก่อนจะหันไปสำรวจห้อง รอยยิ้มหายไปทันทีเพราะสายตาหลายคู่จ้องที่ผมอย่างสงสัย
ผมทำตัวไม่ถูกยืนแข็งอยู่กับที่ ไม่รู้จะพูดอะไร เริ่มต้นยังไง หรือทำอะไรไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ผมไม่ได้เจอกับคนมานานเกินไป
"เอ่อ..." ผมกระอึกกระอัก แต่ก็ถูกตัดบทด้วยสาวที่มือถือวอล์คกี้-ทอล์คกี้เอาไว้ ผมรู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย" เธอหันไปถามโรลและเจฟ ตอนนี้คนอื่นเริ่มถอนสายตาจากผมไปแล้ว โอเคเธอช่วยผมไว้ แต่ถ้าสังเกตดีๆเธอเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก ผมทองยาวจรดบ่า หุ่นดี นัยน์ตาสีฟ้า หน้ากลมมนสวย ดูแล้วน่าจะเป็นครึ่งสวีเดน นี่เธอเป็นดาราหรือเปล่าเนี่ย ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดคือ ผมจะปกป้องเธอให้มากกว่าคนอื่น
"ทำไมถึงรอดมาได้ล่ะ" เธอถาม เอ้า นี้ไม่เห็นผมยืนหัวโด่อยู่รึไง
"ได้เขาช่วยไว้น่ะสิ" โรลตอบพลางผายมือมาทางผม เอ็มม่าหันมามองพลางยิ้มหวานให้ และทุกสายตาหันมาทางผมอีกครั้ง ผมเข้าใจล่ะถ้าส่งโอกาสให้ผมพูด ดูแล้วน่าจะเป็นนักวิเคราะห์สังคมหรือไม่ก็จิตต์แพทย์
"คุณชื่ออะไรเหรอ ทหาร" เธอถามผม เธอฉลาดไม่เลว คงจะดูจากท่าทางผม เพราะการใส่ชุดทหารก็ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารและกางเกงจีนส์ธรรมดาก็ไม่น่าจะบอกให้เธอรู้ได้
"เอ่อ...ผมดีน ดีน คา ไทเลอร์" ผมตอบตะกุกตะกัก
"อยู่คนเดียวนานสิท่า" เธอทาย ซึ่งถูก "ฉันเอ็มม่า" เธอเอาวางที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่ผู้หญิงผิวคล้ำ ที่เปิดประตูให้ "นั่นซินแคลร์" ชี้ไปที่ชายร่างเล็ก ที่เหน็บมีดไว้ข้างตัว "นั่น โอเลด" ชี้ไปที่ชายสวมแจ็คเก็ตหนัง เขามองผมอย่างไม่ไว้ใจ"นั่น แจ็ค" ชี้ไปที่หญิงสาวที่น้ำตานองหน้า "นั่น เคลลี่" ชี้ไปที่ชายร่างกำยำ หน้าตาเป็นมิด ถ้าผมไม่ศึกษาการวิเคราะห์คนอย่างเชี่ยวชาญ ผมคงคิดว่าหมอนั่นเป็นทหาร "นั่น โจนส์" เขายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
"ขอบคุณ ที่ช่วยสามีฉันนะคะ" เคลลี่เดินมากุมมือผมไว้แล้วมองไปที่เจฟ ผมเกาหัวอย่างเก้อเขิน
"เขาช่วยตัวเองนะครับ" ผมบอก เคลลี่มองเจฟอย่างชื่นชม ผมแอบมองไปที่เอ็มม่าเพื่อดูว่าเขาเป็นภรรยาของโรลหรือเปล่า
แต่เธอเปล่า เธอแค่ยื่นน้ำให้โรลเฉยๆ ผมโล่งใจ หลังจากนี้ผมนำชีวิตตัวเองไปสู่วังวนแห่งความรัก ถ้าเมื่อใดมันพังขึ้นมา ผมอยู่ยากแน่ๆ แต่จะตัดใจคงไม่ทันแน่
หลังจากสังเกตห้องนี้แล้ว มันใหญ่มากาสำหรับคนสิบคนและเต้นท์สิบหลังเลยทีเดียว กลางห้องมีหม้อและกระทะวางบนเตา รอบๆมีเต้นท์สามหลังและถุงนอนสี่ถุง นี่ไม่ใช่แค่ร้านขายปืนธรรมดาแล้ว แต่เป็นศูนย์รวมสิ่งของเกี่ยวกับทหาร ตั้งแต่เสื้อไปถึงปืนเลยทีเดียว
"นายมาจากไหนเหรอ" เสียงยานดังคางขึ้น เสียงของโจนส์ปลุกผมจากความคิด
"เอ่อ เลควิว" ผมตอบไปใบหน้าเป็นมิตรของโจนส์ทำให้ผมมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
"โว้ว แล้วทำถึงมาไมอามี่ล่ะ" โอเลดถามหน้าตาละอ่อนแฝงไปด้วยความสงสัย
"ผมโดนซอมบี้ไล่ตามมาน่ะ" ผมตอบ
"แล้วพ่อแม่นายล่ะ" โอเลดถามต่อ ผมแปลกใจสิ่งที่คนจะคิดไม่น่าจะเป็นเรื่องคนอื่นที่เขาไม่ได้เจอ
"พวกท่านเสียไปตั้งนานแล้ว" ผมตอบ
"คุณคุยกับพวกเขาสนุกไหม เจอพ่อหรือแม่" เอ็มม่าถาม ผมตาโตหญิงคนนี้จะฉลาดเกินไปแล้ว
"พ่อ" เธอพยักหน้า
"โอเค แล้วนายมาทำห่าอะไรที่นี่" แจ็คถามขึ้นเสียงเล็กน้อย เคลลี่ร้องว่าไม่เอาน่าอยู่ข้างๆ
"ดูท่านายจะไม่รู้อาหารก็หายาก พวกเชื้อยา(ซอมบี้)มันก็เยอะ ทีจริงเราจะหลบซ่อนอย่างสงบสุข แต่นายกลับทำให้มันวุ่นวาย" โรลส่ายหัว "ไม่เอาน่า แจ็ค--"
"เงียบน่า โรล ไอ้หมอนี่ช่วยนายแล้วไง ฉันไม่สนหรอกว่านายจะเป็นใคร แต่ไปทางไหนช่วยกลับไปทางนั้นเลย" ผมอึ้งนี่หรือท่าทีของคนพึ่งเจอกัน
"แจ็ค อย่าเยอะเขาใช้ปืนเป็นไม่เห็นเหรอ" เอ็มม่าตอกกลับ
"ช...ใช่ ผมใช้ปืนเป็นและก็สอนคุณได้ด้วย" ผมรู้แล้วไอ้หมอนี่ ก็แค่โกรธอย่างไร้เหตุผล
"ดี นายนอนที่พื้นแล้วกัน" แจ็คบอกแล้วมุดเข้าไปในเต้นท์
"ต้องขอโทษด้วย พอดีหมอนั่นมันบ้า" เจฟบอกและเสียงตะโกนของแจ็คก็ดังขึ้น
"ไม่เป็นไรหรอก" ผมบอกเจฟ เจฟพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับเคลลี่
"ที่รัก ทำอาหารให้ดีนหน่อยสิ" เคลลี่ตอบรับ
หลังจากผมนึกขึ้นได้ว่า ต้องเติมกระสุนให้ปืนตนเอง ผมไม่รอช้า เดินไปที่ส่วนปืนพก มีหลายชนิดมากและเจอกล่องเม็กกาซีนของปืนแต่ละรุ่น ผมเผลอหัวเราะออกมา แล้วเม็กกาซีนลงไปในชุดเกราะ ผมเดินไปที่ส่วนปืนไรเฟิลเจอหลายชนิดมาก ผมลองเอามาถือดู จากนั้นก็เดินชมไปเรื่อยๆลองเอามาควงเล่นบ้างตามประสาทหารห่างปืน จนเจอ Reminton ผมเอามาถือแล้วก็คิดว่าน่าจะเอาปลายมีดมาใส่ไว่ข้างใต้ปากกระบอกปืน
"อาหารเสร็จแล้ว ทหารหนุ่ม" เคลลี่ปลุกผมจากภวังค์ ผมยิ้มแล้วเดินไปที่จานอาหารเป็นไข่ยัดไส้ ผมตักกินช้าๆ รอให้ลิ้นสัมผัสกับความอร่อยที่ห่างเหินมานาน
"เล่าเรื่องของคุณให้เราฟังหน่อย" เคลลี่กล่าว เจฟ โรล โอเลด โจนส์และเอ็มม่ามานั่งฟังด้วย จนถึงตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่า จะเล่ายังไงให้เอ็มม่าประทับใจ
"ผมเป็นทหาร ที่หนีเอาชีวิตรอดมาเจอป้อมที่บ้านตัวเอง ผมก็เลยใช้ยศข่มเจ้าหน้าที่ซะ" ผมกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงเดนนิสและเอ็ดดี้ "แล้วก็เข้าไปช่วยวางแผนป้องกัน พวกเราจัดวางกองกำลังอย่างถี่ถ้วน แต่สุดท้ายก็เอาไม่อยู่ พวกมันมาเยอะวิ่งเข้าใส่ปากกระบอกปืนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับไม่เห็น ผมเห็นบางคนมีเศษเลือดติดที่ปาก น่าสยดสยอง จนสุดท้ายป้อมแตก ผมเลยหนีระเห็จมาเรื่อยๆ" ผมพูด เจฟหยิบดี-เอ็มขึ้นมา
"พร้อมกับไอ้นี่ใช่ม้า มันยอดไปเลย" ทุกคนมีสีหน้าทึ่ง ผมหัวเราะแล้วเล่าต่อ
"ช่าย ผมเดินทางมากับมัน แล้วคุณรู้อะไรมั้ย ผมเจอพ่อตัวเอง นั่งคุยกับผมชิลๆมาก เราเมาด้วยกัน" ผมยิ้มเขินๆ "จนมาเจอพวกคุณนี่แหละ" ผมพูดพลางตักอาหารใส่ปาก
"แล้วพวกคุณล่ะ" ผมถามบ้าง และถือโอกาสทานข้าวต่อซะเลย
"ของฉันเหรอ" โจนส์เริ่มก่อน ตอนนี้มันเหมือนกับการนั่งรอบกองไฟซะแล้ว "คือฉันเป็นพนักงานขนของในอาคารนี้ อาศัยความใหญ่ของขนาดตัว หนีแต่ก็มาอยู่ที่นี่กับทุกคนนั่นล่ะ แต่ฉันไม่รู้ข่าวคราวของใครเลย พ่อ แม่ ไม่รู้จะมีรอดอยู่มั้ย" โจนส์ก้มหน้า
"ฉันเป็นแค่วัยรุ่นสุดหล่อ" โอเลดพูด ทุกคนหัวเราะ "ที่บังเอิญมาซื้อวิดีโอเกมส์ที่นี่ แล้วพวกมันก็วิ่งมาจากไหนไม่รู้ วิ่งเข้ามามีแต่ความชุลมุนวุ่นวายที่นี่ เชื่อมั้ยล่ะ ฉันไม่ได้กลัวเลย ฉันวิ่งไปหยิบมีดพร้ามา ฟันหัวพวกมันเป็นว่าเล่น ไม่สนใจใคร ม่สนพ่อแม่ที่มาด้วย" เขากลืนน้ำลายปากสั่นระริก ผมหยุดเคี้ยว
"เฮ้ นายไม่ต้องเล่าต่อแล้วล่ะ" โอเลดพยักหน้าแล้วซุกหน้าลงกับแขน แล้วเขาก็ไปนอนที่ถุงนอน
"แล้วคุณล่ะ โรล" ผมถาม โรลสะดุ้ง
"พวกเราที่ติดอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มาพักตามโรงแรมน่ะเรื่องของเราเกิดขึ้นพร้อมกัน ฉันเห็นโอเลดฟันพวกเชื้อยาอย่างบ้าคลั่ง คือว่าวันน้น ฉันมารอลูกสาว วันนั้นเป็นวันที่ลูกสาวฉันมาถึง ฉันดีใจมากตอนที่เธอวิ่งเปิดประตูห้างเข้ามา แต่ไม่ใช่ เธอมากับอีกหลายๆคน วิ่งเข้ามาแล้วกัดคอลเซ็นเตอร์ ฉีกเนื้อสดๆกันให้เห็น ฉันงงมากกำลังจะเข้าไปห้ามแต่โจนส์ก็มาจับตัวฉันไป หึๆ ฉันยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่สงสัยว่าทำไมลูกสาวฉันถึงทำแบบนั้น ฉันไม่ได้คิดเรื่องตัวเองเลย " โรลเล่าสายตาล่องลอยไปไกล น้ำตาเริ่มปริ่ม "วันนั้นเป็นวันเกิดของแก" โรลปล่อยโฮออกมา ผมสลดคิดผิดที่ถาม นั่นทำให้ผมไม่กล้าถามเจฟกับเคลลี่
"เอาล่ะ ทุกคนเข้านอนได้แล้ว" เอ็มม่าตัดบทขึ้นมา เจฟ โจนส์ และโรลไปนอนที่ถุงนอนของตน เอ็มม่าชี้ไปที่ถุงนอนที่ถูกม้วนเก็บไว้ ผมพยักหน้าเชิงขอบคุณ แล้วเอ็มม่ากับเคลลี่ก็มุดเข้าเต็นท์ของตน ไฟในร้านก็ดับ
แต่ผมยังไม่อยากนอน จึงนั่งกอดเข่าพิงตู้ไว้ หันหลังให้กับเต็นท์ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ คิดถึงวันพรุ่งนี้ และวันต่อๆไป คิดถึงโลกจากต่อไปนี้ เอ็ดดี้ เพื่อนๆทุกคน
ผมได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหว แถวเต็นท์ของเอ็มม่า
"แจ็ค นายจะทำอะไรน่ะ อย่านะ" เสียงเอ็มม่าดังขึ้น
"ไม่นะ ยาหยี ผมทนไม่ไหวแล้ว" แจ็คพูด ผมอึ้งทันที หัวใจร่วงกราวลงกับพื้น
"อะไรของแก อย่ามายุ่งกับฉัน" เอ็มม่าขัดขืน ผมเริ่มปลง
"ผมชอบคุณมานานแล้ว" ชัดเจน นี่ไมใช่การสมยอมแต่เป็นการข่มขืนโลกเป็นถึงอย่างนี้แล้ว ยังจะทำเรื่องต่ำทรามอย่างนี้อีก
ผมเปิดไฟ แล้วเดินไปที่เต็นท์ของเอ็มม่า โกรธจนลมออกหู ตัวของแจ็คอีกครึ่งตัวยังอยู่ข้างนอก ผมดึงไหล่แจ็คแล้วเหวี่ยงลงไปนอนข้างนอก แจ็คมึนงง และพยายามเหวี่ยงหมัดมา ผมใช้เท้ายันเอาไว้แล้วเหยียบลงไป เอาแข้งทับคอเขา แล้วซัดหมัดไปเต็มแรงสองที แจ็คนอนสลบกับที่ เลือดไหลออกมาจากจมูกที่หักเบี้ยวอย่างน่ากลัว เอ็มม่าออกมาดูเหตุการณ์ เธอกอดแขนผมไว้
"ไม่เป็นไรแล้ว ถอยออกมาเถอะ"

Mcarmy
3rd December 2012, 19:31
จัดลงเล่มขายได้เลยนะนี่ = = สนุกดีคล้ายๆ The walking dead เลย

LoveSeeker
3rd December 2012, 22:02
ชื่อเรื่องผิดไวยารณ์นะหนู
adj. ตามหลังคำนานไม่ได้นะ ต้องอยู่หน้าคำนาม
เรื่องอื่น เดี๋ยวมาตามสับให้ที่หลัง



แสงแดดอ่อนๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ของอากาศที่สงบสุข ในเมืองเล็กๆ เคล้าธรรมชาติสไตล์ชนบท

อย่าง"เลควิว" แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะให้เป็นที่เปิดหูเปิดตาของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั่ว ทุก(ใช้ "ทั้ง" น่าจะดีกว่านะ)อำเภอจะมีสถานที่บำรุงสุขภาพอยู่ทั่วทุกแห่ง
ทำให้เลควิวมีชื่อในเรื่องการบำรุงสุขภาพทั้งทางกายและใจ ผู้คนส่วนมากจึงเอาเวลาไปผ่อนคลายชนะความเครียด ดีกว่าไปปล้นใครต่อใคร (เหมื่อนมันจะไม่เกียวกันนะ น่าจะบอกว่า "ดีกว่าไปเสพย์ยา )

ผมเป็นทหารจากสงครามกลางเมือง (สงครามกลางเมือง (อังกฤษ: Civil war) เป็นสงครามภายในกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม, สัญชาติ หรือสังคมแบบเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแย่งชิงอำนาจหรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจนับเป็นการปฏิวัติ (Revolution) ได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ภายในสังคมนั้นหลังจากสิ้นสุดสงคราม
นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล (Insurgency) เป็นสงครามกลางเมืองประเภทหนึ่งด้วยถ้ามีการสู้รบระหว่างกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันความแตกต่างระหว่าง "สงครามกลางเมือง", "การปฏิวัติ" และ "การจลาจล" นั้นไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับบริบทในการใช้งาน เช่นสงครามฝ่ายเหนือใต้ของสหรัฐอเมริกา)ที่รัสเซีย

เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ลักลอบขนอะไรซักอย่างที่เราไม่มีทางรู้ (ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการ "ก่อการร้าย" มากกว่า
แม้รัฐบาลจะมองเราเป็นเพียง"ทหารเลว"แต่ผมก็ภูมิใจที่อย่างน้อย
ก็ได้รับใช้ชาติ หลับหูหลับตาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เอาคำขวัญที่ว่า "ใครขวางทางชาติ จะกำจัดให้หมดสิ้น"
แน่นอนเราเสียทหารไปมากกว่า500คน 20คนในนั้นเป็นเพื่อนผม แต่ภารกิจลุล่วง เราฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ
"โคเลียม วีนอสกี้" ทุกอย่างจบ ใช้พักร้อน 2 เดือนให้คุ้มค่าที่สุด ประหยัดเงินให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่า สันดานผมขี้เหนียวพอสมควร
โดยเดิมแต่เก่าก่อน (ใช้คำเปลืองไปนะ) ผมเป็นคนที่เลควิวเต็มตัว ครอบครัวผมทุกคนเกิดที่นี่
โดยเฉพาะ เคน และ อัลเลน ไทเลอร์ บุพการีของผมท่านทั้งสองเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม
เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมได้ยศร้อยเอกมาง่ายกว่าปกติ แต่ผมภูมิใจที่ได้ชื่อท่านทั้งสอง มารวมในชื่อกลาง "คา"

ผมว่ายท่าฟรีสไตล์อย่างสวยงามในสระยาว25เมตร ลึก2เมตร สระสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณภาพดีในสถานบำรุงสุขภาพทางตอนใต้ของเมือง
ที่ผมเลือกที่นี่เพราะคนไม่คับคั่งนัก ไม่แพงจนเกินไป เน้นคนที่เป็นสมาชิกหรือไม่ก็คนในชุมชน พวกเรารู้จักกันดี
การทำลำตัวให้เหมือนคนหมดแรง งอเข่าแล้วสะบัดเท้า เป็นเทคนิคอย่างดีในการว่ายท่านี้
"รู้สึกว่า วันนี้จะว่ายเร็วขึ้นนะ คา " เสียงหนึ่งทักหลังจากผมว่ายติดต่อกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยเสียงอุ่นทุ้มและใจดีนี้ต้องเป็นเสียงของ
โจ ยามเฝ้าสระ เพื่อนสนิทของผม
" มันก็ต้องมีพัฒนาบ้างสิ " ผมตอบกลับหลังจากที่หายใจในน้ำ และถอดแว่นกันน้ำ
มือลูบหน้าเพื่อไล่น้ำออก
"เหรอ งั้นถ้านายว่ายเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องให้นายช่วยหน่อย" โจกล่าวออกมา ซึ่งก่อนที่ผมจะได้ตอบก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี
น้ำที่แตกกระจายซึ่งเกิดจากลูกเต้าเหล่าใครสักคนแถวนี้
"นายมีอะไร จะให้ฉันช่วยนะ"
"อ๋อ ช่วยว่ายต่อไปนะ ไอ้เกลอ" นั่นไง มุขใหม่ของโจ เขาคงจะขาดใจตายถ้าไม่ได้เล่นมุขกับผม
"เออ เอาเหอะ" แล้วผมกับ โจ ก็ขำด้วยกัน หลังพิงสระอย่างเหนื่อยและอ่อนล้า ผมชอบกลั้นหายใจใต้น้ำมาก
มันรู้สึกดีนะ ในช่วงแรก ว่าแล้วก็ขอเช็คหน่อยละกัน ว่าตัวเองกลั้นหายใจได้นานเพียงใด
ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดสังขารที่ผมจะทนไหว ผมคิดว่าสักสองนาทีครึ่งมั้ง ขณะที่โผล่ขึ้นมาเพื่อฮุบอากาศ
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มันอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงกรี๊ด คนวิ่งพล่าน มันเป็นความโกลาหล
ที่ผมไม่ชอบเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในสงคราม สายตาปรับสภาพ แต่ไม่สามารถดูได้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าไหน
คนมากหน้าหลายตาวิ่งไล่จับกัน อลหม่าน ผมคิดว่าเห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งลุมล้อม("รุมล้อม")ทำอะไรซักอย่าง
หัวขยับเคลื่อนไปมาอย่างน่ากลัว มองลอดแขนของคนๆหนึ่ง เจอวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งไป(เอาให้แน่ว่าเป็นสิ่งของ หรือเป็นคน)
"พระเจ้า!" ผมว่าผมอุทานไม่ผิด นั้นมันคนนี่ สายตาว่างเปล่า แม่เจ้า เขาตายแล้ว
อ้าาาา !!! เสียงคำรามดังขึ้น ผมหันกลับไป มองหาเจ้าของเสียง จากข้างสระ ชายผู้นั้น แต่งชุดตำรวจ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ของเหลวสีแดงเต็มปาก
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน"ใช่ทุกอย่างเริ่มชัดขึ้น บรรยากาศเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องที่ผมท่าทางโกรธแค้นและแล้วพวกเขาก็พุ่งมาที่ผม
ใต้ความสับสน ผมตัดสินใจว่ายน้ำให้เร็วที่สุด หลังจากว่ายไปครึ่งสระ ในหูได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ
ผมตัดสินใจหันกลับไปมองพวกเขากระโดลงน้ำตามมา กะด้วยสายตาแล้วมากกว่า 50 คน มาจากข้างหลัง
ผมกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องไปนอนเป็นศพที่โดนแทะ น้ำตาไหลออกมาพร้อมความรู้สึกสิ้นหวัง
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ว่าย กลับตะกุยขาไม่ยั้งเหมือนพยายามวิ่ง ผมหันกลับไปมีกำลังใจเล็กน้อยแม้น้ำตาจะไหล(เป็นทหารผ่านศึกที่ใจเสาะมาก)อยู่ก็ตาม
แต่ว่ามีอีกประมาณ 50 คนก็โดดลงสระมาเช่นกัน ตอนนี้ผมโดนล้อมแล้วจาก'อะไรสักอย่าง'
เหลืออีกแค่สามเมตรพวกเขาจะถึงตัวผม โอ้ไม่ หน้าตาเปื้อนเลือด กลิ่นเหม็นตลบอบอวน ผมหวีดร้อง
สายตาคลั่งแค้น(สายตาของสิ่งที่ตายไปแล้วไม่น่าจะสื่ออารมณ์นะ)พยายามไขว่คว้าตัวผม ผมไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่แล้วตอนนี้ พวกเขาล้อมผม ไร้ทางหนีผมตกเป็นเหยื่อแน่นอนแล้ว การหายใจเริ่มกระสับกระส่าย หมดกำลังใจที่จะว่ายต่อ แรงหายไป รอที่จะเป็นเหยื่อ
แต่ มีบางคนเท้าลอยอยู่ทำให้ผมนึกอะไรออก ดวงผมยังไม่ถึงฆาตหรอกน่า แล้วตัดสินใจ กระทำสิ่งที่งี่เง่าที่สุดไป นั่นคืองับอากาศที่แรงที่สุดเข้าปอด แล้วทิ้งตัวลงในน้ำ รู้สึกถึงแรงกดจับที่ขา ไม่มีเวลาหันไปดู ผมดิ้นสุดแรงแล้วรีบว่าย
รักษาความลึกให้ได้มากที่สุด ขณะที่กำลังแหวกว่ายผ่านขาหลายขาและแขนที่ตะเกียยกตะกายอย่างสับสันอยู่นั้น เกิดการชุลมุนขึ้นเหนือผม
มันหาตัวผมอยู่ ผมถึงอีกปลายฝั่ง แตะขอบสระ
โผล่ขึ้นมาเบียดกับใครบางคนไม่เหลือเวลาให้หายใจแล้ว ผมเอามือยันขอบสระแต่ ตัวผมกลับถูกกระชากลงในน้ำ แม้เห็นไม่ชัดแต่ก็รู้ว่ามันกำลังจะกัดผม
"ม่ายยยย" การตะโกนที่ไร้ประโยชน์ ขอบคุณแรงดันน้ำ ที่ทำให้มันมาช้า สัญชาติญาณสั่งให้ใช้สองมือหักคอเขา
ผมปีนขึ้นฝั่ง วิ่งอีกสองสามก้าว หายใจหอบแล้วหันกลับไปที่สระ เลือดเต็มขอบสระ ผู้คนนอนเสียชีวิต เลือดไหลมากอง บางรายไส้ออกมาทะลัก แ
ต่ภาพที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตรงหน้าผม ที่สระน้ำ ผมเข่าอ่อนทันที ผู้คนนับร้อยอัดกันแน่นในสระสีแดงฉาน เหมือนฝูงมดในรังแคบที่ไร้ซึ่งความสามัคคี พยายามเหยียบหัวกันเพื่อขึ้นมาหาผม คนปีนขึ้นหัวอีกคนไม่สนว่าจะมีตัวตนหรือไม่ ผมเอามือปิดหน้า พระเจ้าเล่นอะไรกับผม
ตอนนี้ คงไม่ต้องห่วงพวกหน้าโง่ในสระแล้ว ผมนั่งพัก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ซึ่งทีจริงผมน่าจะอ้วกแล้ว เพราะกลิ่นคาวเลือด ชวนแหวะ
เสียงครวญคราง ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงตะโกนในสระ ผมลุกขึ้นมอง เห็นศพที่นอนตายนั้น ค่อยๆยันตัวเองกับพื้นช้าๆ ผมส่ายหัวอย่างตะลึง ร่างกายสั่นด้วยความกลัว ใจไม่กล้าทำอะไรแล้ว
อ้าาาา !!! จากเสียงครวญครางเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ผมออกแรงวิ่งด้วยเท้าเปล่า ไปที่ เชฟโรแลต ของตัวเอง จนเมื่อถึงรถ
"กุญแจรถล่ะ" ผมหันกลับไปที่สระ เห็นใครหลายคนวิ่งออกมา สายตาจับจ้องที่ผม
ลองเสี่ยงดึงประตู โอ้ ไม่ได้ล็อค ขอบคุณพระเจ้า
ว่าแล้วก็รีบเข้าในรถ ปิดประตูล็อค แก้เบาะออกต่อสายเครื่อง เสียงกระหึ่มดังขึ้น เวลาเดียวกับที่คนหลายคนมาทุบกระจกรถ ผมมองอย่างหวาดหวั่น แต่แน่ใจว่ามันแข็งแรงพอแน่ ผมเข้าเกียร์ถอยหลังและรีบพุ่งออกไปทันที


สรุปการสับ
-เว้นวรรค์บางช่วงไม่ค่อยดี
-เรื่องภาษา และเรื่องอื่นๆ น่าจะปรับปรุงหน่อยนะครับ

แค่นี้ล่ะมั้ง

black jack sdppd
4th December 2012, 18:07
ชื่อเรื่องผิดไวยารณ์นะหนู
adj. ตามหลังคำนานไม่ได้นะ ต้องอยู่หน้าคำนาม
เรื่องอื่น เดี๋ยวมาตามสับให้ที่หลัง



แสงแดดอ่อนๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ของอากาศที่สงบสุข ในเมืองเล็กๆ เคล้าธรรมชาติสไตล์ชนบท

อย่าง"เลควิว" แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะให้เป็นที่เปิดหูเปิดตาของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั่ว ทุก(ใช้ "ทั้ง" น่าจะดีกว่านะ)อำเภอจะมีสถานที่บำรุงสุขภาพอยู่ทั่วทุกแห่ง
ทำให้เลควิวมีชื่อในเรื่องการบำรุงสุขภาพทั้งทางกายและใจ ผู้คนส่วนมากจึงเอาเวลาไปผ่อนคลายชนะความเครียด ดีกว่าไปปล้นใครต่อใคร (เหมื่อนมันจะไม่เกียวกันนะ น่าจะบอกว่า "ดีกว่าไปเสพย์ยา )

ผมเป็นทหารจากสงครามกลางเมือง (สงครามกลางเมือง (อังกฤษ: Civil war) เป็นสงครามภายในกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม, สัญชาติ หรือสังคมแบบเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแย่งชิงอำนาจหรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจนับเป็นการปฏิวัติ (Revolution) ได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ภายในสังคมนั้นหลังจากสิ้นสุดสงคราม
นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล (Insurgency) เป็นสงครามกลางเมืองประเภทหนึ่งด้วยถ้ามีการสู้รบระหว่างกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันความแตกต่างระหว่าง "สงครามกลางเมือง", "การปฏิวัติ" และ "การจลาจล" นั้นไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับบริบทในการใช้งาน เช่นสงครามฝ่ายเหนือใต้ของสหรัฐอเมริกา)ที่รัสเซีย

เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ลักลอบขนอะไรซักอย่างที่เราไม่มีทางรู้ (ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการ "ก่อการร้าย" มากกว่า
แม้รัฐบาลจะมองเราเป็นเพียง"ทหารเลว"แต่ผมก็ภูมิใจที่อย่างน้อย
ก็ได้รับใช้ชาติ หลับหูหลับตาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เอาคำขวัญที่ว่า "ใครขวางทางชาติ จะกำจัดให้หมดสิ้น"
แน่นอนเราเสียทหารไปมากกว่า500คน 20คนในนั้นเป็นเพื่อนผม แต่ภารกิจลุล่วง เราฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ชื่อ
"โคเลียม วีนอสกี้" ทุกอย่างจบ ใช้พักร้อน 2 เดือนให้คุ้มค่าที่สุด ประหยัดเงินให้มากที่สุด บอกตามตรงเลยว่า สันดานผมขี้เหนียวพอสมควร
โดยเดิมแต่เก่าก่อน (ใช้คำเปลืองไปนะ) ผมเป็นคนที่เลควิวเต็มตัว ครอบครัวผมทุกคนเกิดที่นี่
โดยเฉพาะ เคน และ อัลเลน ไทเลอร์ บุพการีของผมท่านทั้งสองเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม
เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมได้ยศร้อยเอกมาง่ายกว่าปกติ แต่ผมภูมิใจที่ได้ชื่อท่านทั้งสอง มารวมในชื่อกลาง "คา"

ผมว่ายท่าฟรีสไตล์อย่างสวยงามในสระยาว25เมตร ลึก2เมตร สระสี่เหลี่ยมผืนผ้า คุณภาพดีในสถานบำรุงสุขภาพทางตอนใต้ของเมือง
ที่ผมเลือกที่นี่เพราะคนไม่คับคั่งนัก ไม่แพงจนเกินไป เน้นคนที่เป็นสมาชิกหรือไม่ก็คนในชุมชน พวกเรารู้จักกันดี
การทำลำตัวให้เหมือนคนหมดแรง งอเข่าแล้วสะบัดเท้า เป็นเทคนิคอย่างดีในการว่ายท่านี้
"รู้สึกว่า วันนี้จะว่ายเร็วขึ้นนะ คา " เสียงหนึ่งทักหลังจากผมว่ายติดต่อกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยเสียงอุ่นทุ้มและใจดีนี้ต้องเป็นเสียงของ
โจ ยามเฝ้าสระ เพื่อนสนิทของผม
" มันก็ต้องมีพัฒนาบ้างสิ " ผมตอบกลับหลังจากที่หายใจในน้ำ และถอดแว่นกันน้ำ
มือลูบหน้าเพื่อไล่น้ำออก
"เหรอ งั้นถ้านายว่ายเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องให้นายช่วยหน่อย" โจกล่าวออกมา ซึ่งก่อนที่ผมจะได้ตอบก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี
น้ำที่แตกกระจายซึ่งเกิดจากลูกเต้าเหล่าใครสักคนแถวนี้
"นายมีอะไร จะให้ฉันช่วยนะ"
"อ๋อ ช่วยว่ายต่อไปนะ ไอ้เกลอ" นั่นไง มุขใหม่ของโจ เขาคงจะขาดใจตายถ้าไม่ได้เล่นมุขกับผม
"เออ เอาเหอะ" แล้วผมกับ โจ ก็ขำด้วยกัน หลังพิงสระอย่างเหนื่อยและอ่อนล้า ผมชอบกลั้นหายใจใต้น้ำมาก
มันรู้สึกดีนะ ในช่วงแรก ว่าแล้วก็ขอเช็คหน่อยละกัน ว่าตัวเองกลั้นหายใจได้นานเพียงใด
ผ่านไปอึดใจหนึ่งสุดสังขารที่ผมจะทนไหว ผมคิดว่าสักสองนาทีครึ่งมั้ง ขณะที่โผล่ขึ้นมาเพื่อฮุบอากาศ
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มันอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงกรี๊ด คนวิ่งพล่าน มันเป็นความโกลาหล
ที่ผมไม่ชอบเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในสงคราม สายตาปรับสภาพ แต่ไม่สามารถดูได้ว่าหน้าไหนเป็นหน้าไหน
คนมากหน้าหลายตาวิ่งไล่จับกัน อลหม่าน ผมคิดว่าเห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งลุมล้อม("รุมล้อม")ทำอะไรซักอย่าง
หัวขยับเคลื่อนไปมาอย่างน่ากลัว มองลอดแขนของคนๆหนึ่ง เจอวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งไป(เอาให้แน่ว่าเป็นสิ่งของ หรือเป็นคน)
"พระเจ้า!" ผมว่าผมอุทานไม่ผิด นั้นมันคนนี่ สายตาว่างเปล่า แม่เจ้า เขาตายแล้ว
อ้าาาา !!! เสียงคำรามดังขึ้น ผมหันกลับไป มองหาเจ้าของเสียง จากข้างสระ ชายผู้นั้น แต่งชุดตำรวจ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ของเหลวสีแดงเต็มปาก
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน"ใช่ทุกอย่างเริ่มชัดขึ้น บรรยากาศเงียบลง ทุกสายตาจับจ้องที่ผมท่าทางโกรธแค้นและแล้วพวกเขาก็พุ่งมาที่ผม
ใต้ความสับสน ผมตัดสินใจว่ายน้ำให้เร็วที่สุด หลังจากว่ายไปครึ่งสระ ในหูได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ
ผมตัดสินใจหันกลับไปมองพวกเขากระโดลงน้ำตามมา กะด้วยสายตาแล้วมากกว่า 50 คน มาจากข้างหลัง
ผมกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องไปนอนเป็นศพที่โดนแทะ น้ำตาไหลออกมาพร้อมความรู้สึกสิ้นหวัง
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ว่าย กลับตะกุยขาไม่ยั้งเหมือนพยายามวิ่ง ผมหันกลับไปมีกำลังใจเล็กน้อยแม้น้ำตาจะไหล(เป็นทหารผ่านศึกที่ใจเสาะมาก)อยู่ก็ตาม
แต่ว่ามีอีกประมาณ 50 คนก็โดดลงสระมาเช่นกัน ตอนนี้ผมโดนล้อมแล้วจาก'อะไรสักอย่าง'
เหลืออีกแค่สามเมตรพวกเขาจะถึงตัวผม โอ้ไม่ หน้าตาเปื้อนเลือด กลิ่นเหม็นตลบอบอวน ผมหวีดร้อง
สายตาคลั่งแค้น(สายตาของสิ่งที่ตายไปแล้วไม่น่าจะสื่ออารมณ์นะ)พยายามไขว่คว้าตัวผม ผมไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่แล้วตอนนี้ พวกเขาล้อมผม ไร้ทางหนีผมตกเป็นเหยื่อแน่นอนแล้ว การหายใจเริ่มกระสับกระส่าย หมดกำลังใจที่จะว่ายต่อ แรงหายไป รอที่จะเป็นเหยื่อ
แต่ มีบางคนเท้าลอยอยู่ทำให้ผมนึกอะไรออก ดวงผมยังไม่ถึงฆาตหรอกน่า แล้วตัดสินใจ กระทำสิ่งที่งี่เง่าที่สุดไป นั่นคืองับอากาศที่แรงที่สุดเข้าปอด แล้วทิ้งตัวลงในน้ำ รู้สึกถึงแรงกดจับที่ขา ไม่มีเวลาหันไปดู ผมดิ้นสุดแรงแล้วรีบว่าย
รักษาความลึกให้ได้มากที่สุด ขณะที่กำลังแหวกว่ายผ่านขาหลายขาและแขนที่ตะเกียยกตะกายอย่างสับสันอยู่นั้น เกิดการชุลมุนขึ้นเหนือผม
มันหาตัวผมอยู่ ผมถึงอีกปลายฝั่ง แตะขอบสระ
โผล่ขึ้นมาเบียดกับใครบางคนไม่เหลือเวลาให้หายใจแล้ว ผมเอามือยันขอบสระแต่ ตัวผมกลับถูกกระชากลงในน้ำ แม้เห็นไม่ชัดแต่ก็รู้ว่ามันกำลังจะกัดผม
"ม่ายยยย" การตะโกนที่ไร้ประโยชน์ ขอบคุณแรงดันน้ำ ที่ทำให้มันมาช้า สัญชาติญาณสั่งให้ใช้สองมือหักคอเขา
ผมปีนขึ้นฝั่ง วิ่งอีกสองสามก้าว หายใจหอบแล้วหันกลับไปที่สระ เลือดเต็มขอบสระ ผู้คนนอนเสียชีวิต เลือดไหลมากอง บางรายไส้ออกมาทะลัก แ
ต่ภาพที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตรงหน้าผม ที่สระน้ำ ผมเข่าอ่อนทันที ผู้คนนับร้อยอัดกันแน่นในสระสีแดงฉาน เหมือนฝูงมดในรังแคบที่ไร้ซึ่งความสามัคคี พยายามเหยียบหัวกันเพื่อขึ้นมาหาผม คนปีนขึ้นหัวอีกคนไม่สนว่าจะมีตัวตนหรือไม่ ผมเอามือปิดหน้า พระเจ้าเล่นอะไรกับผม
ตอนนี้ คงไม่ต้องห่วงพวกหน้าโง่ในสระแล้ว ผมนั่งพัก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ซึ่งทีจริงผมน่าจะอ้วกแล้ว เพราะกลิ่นคาวเลือด ชวนแหวะ
เสียงครวญคราง ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงตะโกนในสระ ผมลุกขึ้นมอง เห็นศพที่นอนตายนั้น ค่อยๆยันตัวเองกับพื้นช้าๆ ผมส่ายหัวอย่างตะลึง ร่างกายสั่นด้วยความกลัว ใจไม่กล้าทำอะไรแล้ว
อ้าาาา !!! จากเสียงครวญครางเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ผมออกแรงวิ่งด้วยเท้าเปล่า ไปที่ เชฟโรแลต ของตัวเอง จนเมื่อถึงรถ
"กุญแจรถล่ะ" ผมหันกลับไปที่สระ เห็นใครหลายคนวิ่งออกมา สายตาจับจ้องที่ผม
ลองเสี่ยงดึงประตู โอ้ ไม่ได้ล็อค ขอบคุณพระเจ้า
ว่าแล้วก็รีบเข้าในรถ ปิดประตูล็อค แก้เบาะออกต่อสายเครื่อง เสียงกระหึ่มดังขึ้น เวลาเดียวกับที่คนหลายคนมาทุบกระจกรถ ผมมองอย่างหวาดหวั่น แต่แน่ใจว่ามันแข็งแรงพอแน่ ผมเข้าเกียร์ถอยหลังและรีบพุ่งออกไปทันที


สรุปการสับ
-เว้นวรรค์บางช่วงไม่ค่อยดี
-เรื่องภาษา และเรื่องอื่นๆ น่าจะปรับปรุงหน่อยนะครับ

แค่นี้ล่ะมั้ง


ขอบคุณครับ สำหรับคำติ นี่แสดงว่าผมกำลังอยู่ในขั้นตัวอ่อนจริงๆ
ผมจะเอาคำติไปแก้ไขและพัฒนานะครับ ขอบคุณจริงๆ คุณเป็นที่พึ่งได้อีกคนในบอร์ด
แต่มีบางอย่างอยากชี้แจง
1.ไปปล้นถูกแล้วครับ ผมจะแสดงว่าเมืองนี้อาชญากรรมมันน้อย
2."เจอวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งไป" ผมเขียนแบบใช้มุมมองของตัวเราเป็นหลัก คนพึ่งขึ้นมาจากน้ำเหตุการณ์สับสน
ก็คงเป็นอย่างนั้น ที่สำคัญ ผมเขียนไว้แล้วนะ ว่านั่นคือคน
3."เป็นทหารที่ใจเสาะมาก" คนหยุดพักร้อน ว่ายน้ำแล้วกำลังง เจอคนกินเนื้อคนไล่ตาม ใครเห็นก็ต้องตกใจ
ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ช็อคคาสระ
4."สายตาคลั่งแค้น" ควรจะรอดูอีกสักนิด(บอกในบทต่อๆไป) เพราะคนพวกนั้นยังไม่ตาย(เฉพาะที่โผล่มาตอนแรก) สีหน้าก็ยังอยู่

ส่วนเรื่องอื่นผมต้องขอขอบคุณจริงครับ ที่มาแก้ช่องว่างที่โหว่อยู่ให้
คุณจะเป็นหนึ่งคนที่ทำให้ปณิธานของผมครบถ้วนบริบูรณ์

topten002
4th December 2012, 21:05
บทที่ 6 กว่าจะมารอตั้งนานในที่สุดก็มาแล้วเย้ๆ

black jack sdppd
7th December 2012, 17:52
บทที่ 7 สัญญาณจากสวรรค์

"ไม่คิดเลยว่านาย จะเป็นคนอย่างนี้" เสียงโรลดังพร้อมกันกับที่แจ็คลืมตา
"ไม่รู้สินะ ฉันเห็นเขามองก้นเธอบ่อย เอ็มม่า" โอเลดพูดแล้วหัวเราะ แต่เงียบทันทีที่โดนเอ็มม่าค้อนตาใส่
"จะทำยังไงกับเขาดี สับไปให้พวกเชื้อยากินเลยมั้ย" โจถาม หลายคนมีสีหน้าเห็นด้วย ไม่เอาน่า ผมรู้ว่าพวกเขาล้อเล่น
"พวกแอทำ ไรอับฉัน" แจ็คพูดอย่างงัวเงีย เสียงอู้อี้เพราะจมูกยังไม่หายดี ถึงผมจะซ่อมจมูกให้แล้วก็เถอะ "ไหนไอพระเดกอี้อ๊กอั้น แอจะต้องงงนรก"
"หยุดพูดเถอะ ไม่มีใครฟังนายรู้เรื่องหรอก" โรลตะคอก
เหตุการณ์หลังจากที่ผมอัดแจ็คจนสลบ ทำให้ทุกคนตื่น ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นอีก ทุกคนใช้กุญแจมือล็อคแจ็ค โดยไขว้มือไว้ด้านหลัง ปล่อยให้เขานอนร้องโอดครวญ ถึงผมจะรู้สึกสงสารอยู่บ้างก็เถอะนะ แต่การทำเรื่องอะไรแบบนี้ ในที่แบบนี้ มันออกจะห่ามเกินไปหน่อย และน่าสงสารที่ผู้หญิงคนนั้นดันเป็นคนในเรดาร์ของผมซะด้วย
นี่ตอนเช้าแล้ว เคลลี่ทำอาหารเป็นไข่ยัดไส้เหมือนเดิม คงมีแต่ผมที่อยากกิน เพราะทุกคน(ยกเว้นแจ็ค) ทำหน้าเอือมระอากันหมด ผมกินอย่างมูมมามท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคน แต่เคลลี่เปลี่ยนเป็นดีใจทันที
"ผมเข้าใจล่ะ พวกคุณกินนี่เป็นมื้อที่ร้อยแล้วใช่ไหม" โอเลดพยักหน้าและทุกคนก็กลีบไปก้มมองไข่ยัดไส้ของตัวเอง
เรื่องการอาบน้ำ ทุกคนจะรวมตัวกัน(ยกเว้นแจ็ค เฉพาะวันนี้) ใช้ทางลับไปที่ห้องอาบน้ำ โดยมีผมตามอย่างงกเงิ่น ทำตัวไร้เดียงสา ในห้องน้ำผู้ชาย แบ่งเป็นหลายห้อง ผมตรงไปห้องที่เหลืออยู่แล้วอาบน้ำ รู้สึกสดชื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเมื่ออาบน้ำเสร็จจึงจะนึกได้ว่า เสื้อผ้าตกอยู่ที่ทางเข้าเมือง จะให้วิ่งกลับไปเอาก็ใช่ที่
สุดท้ายผมใส่เสื้อตัวเดิม ขณะที่คนอื่นมีชุดใหม่ หลายเป็นเรื่องเสียดเย้ยกัน เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังระหว่างขากลับ ผมสาบานได้เลยว่า เอ็มม่ามองผมอย่างชื่นชม รึว่าผมจะเพ้อเกินไป ผมส่ายหัว เคลลี่มองผมอย่างสดใส ผมจ้องเธอกลับประมาณว่า อะร๊าย
จนถึงตอนเที่ยง ผมมองเห็นหน้าที่ที่ต่างกัน โรลนั่งฟังอะไรบางอย่างจาก วอล์คกี้-ทอล์คกี้ เอ็มม่า นั่งเหม่อมองไปที่ประตูดูแล้วน่ารัก เคลลี่และเจฟ นั่งดูวัตถุดิบอาหารอย่างใจลอย โจนอนกรนเสียงดัง โอเลด นั่งขัดอาวุธทุกชนิดตั้งแต่มีดยันปืนแถมยังใจดีทำความสะอาดดี-เอ็มให้ด้วย เขาบอกว่าในเวลาว่างที่โรลนั่งห่าง วอล์คกี้-ทอล์คกี้ ได้จะมาสอนให้เขาขัดปืน โรลเลิกคิ้วประมาณว่า ก็เอ็งไม่ถาม ส่วนซินแคลร์ก็อ่านหนังสือ บางครั้งก็ร้องเพลงให้ทุกคนฟัง เสียงเธอเพราะใช่เล่น
การที่ทุกคนไท่ทำอะไรเลยเนี่ย มันทำให้ผมเบื่อออกไปลุยกับพวกมันน่าจะดีกว่า ผมเช็คกระสุนในเม็กกาซีน เหวี่ยงดี-เอ็มไปมา ผมว่าผมจะออกไปหาเสื้อผ้าสักหน่อยและอาจจะหาวัตถุดิบอาหารที่ยังไม่เน่าด้วย ถึงผมจะชอบอาหารของเคลลี่แต่ถ้ายังมื้อเดิมแบบนี้ ผมอาจจะมีอาการเหมือนทุกคน
"ที่นี่มันน่าเบื่อมากรึไง" เสียงดังขึ้นผมหันไปมอง เอ็มม่ายืนกอดอกมองผมอย่างสนใจ ผมยักไหล่
"คุณคงไม่คิดจะให้ผมเวียนใส่กางเกงในของทุกคนหรอกนะ" ผมหัวเราะประชด เธอทำหน้าแหวะแล้วหัวเราะ แต่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขึมอย่างรวดเร็ว
"แต่ข้างนอกมันอันตราย คุณไม่รู้เหรอ" เอ็มม่าเตือน "ถ้าว่างนัก คุณก็สอนพวกเราใช้ปืนสิ" ผมทำตาโตแต่ก็ยิ้มยียวนใส่
"คุณจะใช้จริงๆเหรอ" ไม่น่าถามคำถามที่ผมรู้คำตอบ ใครจะไม่อยากใช้
"ไม่น่าถามคำถามที่คุณไม่อยากรู้คำตอบ" เธอยียวนใส่
"ไว้ผมกลับมาแล้วจะสอนให้ละกัน" ผมรับประกัน เธอดูหงอยลง
"น้องชายของฉัน เขาบอกว่าจะกลับมาแต่เขาก็ไม่กลับมา" ผมรู้สึกผิดทันที
"เฮ้ๆ คุณเป็นจิตต์แพทย์ใช่มั้ย" ผมถามพลางจับไหล่เธอ เอ็มม่าพยักหน้าอย่างแปลกใจ "เพราะฉะนั้นคุณคือคนที่จะสามารถฟื้นฟูจิตใจของคนอื่นได้ แต่อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนี้เลยนะ" เธอดูแจ่มใสขึ้น
"งั้นฉันไปด้วย"
"หา" ผมตกใจหันไปมองเธอดังควับ เธอยิ้ม
"ม..ไม่ได้หรอกคุณต้องอยู่ที่นี่สิ" ผมบอกอย่างร้อนลน
"นะ คุณก็เห็นนี่ฉันก็เบื่อไม่แพ้กัน ได้ออกไปทำอะไรบ้าง เผชิญโลกบ้าง" เธอพูดง่ายยังกับจะไปเที่ยว "ที่สำคัญ คุณไปคนเดียวใครจะดูชุดให้คุณล่ะ" ผมทำหน้าไม่อยากเชื่อ
"ไม่หรอก ผมให้คุณเจ็บไม่ได้หรอก" ผมบอกแต่เธอยังกะพริบตาปริบๆ ละลายเลยทีเดียว
"โอเคๆ "

"นายจะไปทำไม ฮึ" โรลถาม ผมคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมจึงต้องใช้ไม้ตาย
"ผมไม่ไปก็ได้ แต่คุณแบ่งเสื้อผ้ากางเกงในมาให้ผมใช้แล้วกัน" ผมประชด โรลเงียบ
"งั้นผมไปด้วย มันคันไม้คันมือ" โอเลดพูด นี่แหละวัยรุ่น คึกคะนอง ต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
"นายอยู่ที่นี่แหละ ปกป้องทุกคนตอนฉันไม่อยู่ แล้วฉันจะหาอะไรสนุกๆมาให้" โอเลดหงอยลง
"ฮึ ฉันก็ดูแลทุกคนได้ ไม่ต้องให้เด็กนี้มาทำใหญ่หรอก" โจนส์พูด งั้นก็จริงที่ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน โอเลดมองโจนส์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกัน
"เฮ้ ไม่เอาน่า อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันกับเอ็มม่าจะออกไปกันแค่สองคน มีใครคัดค้านมั้ย" โอเลดอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบไป และผมได้ยินแจ็คพูดออกมาเบาๆว่า พวกแกน่ะ ไปตายทั้งคู่เลย ผมทำเป็นไม่ได้ยิน
"เอาล่ะ เอ็มม่า คุณเอาไอ้นี่ไป" ผมถอดปลอกแขนและขาให้ เอ็มม่ามองอย่างสงสัย "เอาไว้ใส่เท่ๆน่ะ" เอ็มม่ามองอย่างไม่อยากเชื่อ "เอาไว้กันพวกซอมบี้น่ะ" เอ็มม่ารับไปอย่างสนใจแล้วหยุด
"แล้วคุณล่ะ" เอ็มม่าถาม ผมคงต้องโกหก
"ผมมีอีกคู่" ผมใช้ทักษะในการฝึกอย่างมากที่สุด เพื่อตบตาสุดยอดจิตแพทย์คนนี้
"อ๋อ" เธอร้อง ผมโล่งใจ
"ฉันจะเปิดประตูให้ครึ่งเดียวนะ" ผมพยักหน้า หลังจากที่โจนส์เปิดประตูเขาก็กระซิบถามผมว่า
"นายรู้เหรอว่า ข้างหน้าประตูมีพวกมันรึเปล่า" อืมใช่เลย ผมลืมนึก
"มีกระจกเว้ามั้ย" ผมหันไปถามซินแคลร์ เธอพยักหน้าแล้วไปหยิบกระจกเว้าขนาดเท่าจานมาให้ ผมสั่งให้โจนส์ยกประตูมาเหนือพื้นนิดหน่อย แล้วยื่นกระจกเว้าออกไป ทางสงบ พอรู้ได้จากแสงแดดจากข้างนอก
"ทำไมมันมืดจัง" ผมถามโรล
"เราปิดไฟชั้นนี้ไว้ พวกมันจะไปอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากกว่า แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่อยู่ในที่มืด" ผมพยักหน้า เห็นเอ็มม่ายืนถือไฟฉายสองกระบอกรอไว้แล้ว ผมยกนิ้วโป้งให้แล้วหยิบมา ผมคลานออกไปนอกประตูก่อน แล้วให้เอ็มม่าคลานตามออกมา ข้างนอกมืดอากาศอับชื้นและเหม็นอบอวลไปหมด ผมค่อยๆย่างเท้าช้าๆ ผ่านซอมบี้นับสิบศพ เอ็มม่ามองอย่างสงสัย พื้นที่แถวนี้ยังปลอดภัยไม่มีเสียงคราง ผมสั่งให้เธอไปเอารถเข็นมา ผมเดินไปคว้ากระเป๋าซึ่งตั้งโชว์อยู่ โยนใส่รถเข็น
"คุณจะสอนฉันใช้ปืนมั้ย" เธอถามขณะที่ผมเดินผ่านหน้าร้านอาหารต่างๆ
"แน่นอน แต่ผมอยากรู้ว่าคุณจะทำใจฆ่าพวกนี้ลงหรือเปล่า" ผมถาม "ซึ่งมันไม่ใช่แค่การยิงปืน เมื่อถึงเหตุฉุกเฉินคุณจะสามารถใช้ทั้งมีดหรืออาวุธต่างๆเพื่อทำลายหัวมัน" เอ็มม่านั่งฟังเหมือนจดเลคเชอร์
"คุณเข้าใจมั้ยเนี่ย" ผมปลุกเธอ เธอสะดุ้งแล้วรีบพยักหน้า ผมส่ายหัวพลางยิ้ม แต่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างเสียงคราง ผมหยุด
"มาหลบหลังผม" ผมสั่งเอ็มม่า เห็นซอมบี้ตัวหนึ่ง วิ่งเหยาะๆเข้ามา ผมกระชับดี-เอ็มในมือ แต่แปลกใจที่มันวิ่งไม่เร็วเหมือนก่อน หรือไอ้ตัวนี้จะอ้วน ไม่น่าจะใช่นะ
"คุณเลือกได้ว่าจะดูหรือปิดตา" ผมพูดโยไม่หันหลัง และวิ่งเข้าไปประทะกับซอมบี้แล้วหวดไม้เต็มแรงตัวมันลอยกลางอากาศนอนแน่นิ่งไป
"คุณทำได้ยังไง" เอ็มม่าถามสายตามองผมอย่างไม่อยากเชื่อ
"คุณไม่เคยเผชิญหน้ากับมันคงไม่รู้หรอก มันไม่ใช่คนแล้ว ไม่มีความรู้สึก หิวแต่เนื้อสด ผมอธิบายตอนนี้คุณอาจจะไม่เข้าใจ แต่ผมจะให้คุณเผชิญหน้ากับมัน" ผมบอกไปอย่างนั้นแหละ แต่ถึงกระนั้นเธอก็มองผมเหมือนว่าผมได้พูดคำที่ร้ายกาจลงไป
"เดินถึงแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว ทำไมไม่เห็นเจอเสื้อผ้าเลย" ผมบ่น
"ฮิๆ ฉันลืมไป มันอยู่ชั้นล่าง นั่นไง ว่าแล้ว แต่ช่างเถอะยังไงผมก็กะจะมาเอาไฟฟ้าอยู่แล้ว
"ฉันเป็นลูกครึ่งสวีเดน คือแม่ฉันน่ะ" เธอเริ่มต้น ขณะที่ผมกำลังเลือกปลั๊กพ่วงที่มีรูเสียบเยอะที่สุดอยู่ "ฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เป็นเด็กที่เพียบพร้อม เรียนดี กีฬาเด่น คือ ฉันถนัดเทนนิส พอโตขึ้นฉันก็ไปเป็นจิตแพทย์" ผมหยิบปลั๊กพ่วงสี่ชิ้นลงไปในรถเข็น "คุณอาจจะแปลกใจตอนแรกฉันอยากเป็นศัลยแพทย์ แต่จนวันหนึ่งฉันไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขียนว่า การศึกษาจิตใจมนุษย์ ฉันสนใจมัน ก็เลยลองเอามาอ่านเล่น" ผมเลือกโทรทัศน์ขนาดที่กะทัดรัดที่สุด "ตามประสาคนอยากรู้ ฉันลองไปทดสอบกับเพื่อน ฉันหมายถึงแฟนน่ะ" หัวใจผมกระตุกวูบ แต่ทำเป็นเลือกโทรทัศน์ เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย "มันได้ผลล่ะ มันทำให้ฉันสนใจเรื่องจิตวิทยา" เธอหยุดและผมรู้สึกได้ว่าเธอจ้องผมอยู่ ผมจึงจ้องตอบ
"คุณไม่คุยกับฉันเลย คุณปล่อยให้ฉันคุยอยู่คนเดียว จนฉันคิดว่าคุณรำคาญ" ผมยิ้มแล้วมองตาเธอ
"รู้อะไรมั้ย ผมไม่เคยรำคาญอะไรก็ตามที่เป็นคุณ ถึงแม้เราจะพึ่งพบกันก็เถอะ" ผมหยุดไว้แค่นั้น ไม่อยากพูดอะไรที่มันน้ำเน่าต่อไป เธอยิ้มอายๆแล้วเดินเชิดหายไป ผมอยากจะห้ามแต่ก็คิดว่าไม่ควรให้เธอเบื่อ ที่สำคัญพื้นที่แถวนี้ปลอดภัย ผมหยิบโทรทัศน์ขนาด 25x20 นิ้ว วางไว้ในรถเข็น จากนั้นอีกสักพักเธอเดินกลับมาพร้อมเครื่องเล่นซีดี/วิดีโอ ซึ่งเป็นของดีเลยทีเดียว
"คุณรู้ได้ไง ว่าเครื่องเล่นนั่นเจ๋ง" ผมถามลองเชิง
"เชื่อฉันสิ" เธอให้ความมั่นใจ
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ผมเข็นรถไปอยู่ข้างหน้าที่พักแล้วให้โรลออกมารับ
"คุณไปพักเถอะ ข้างล่างมันอันตรายเกินไป" ผมบอกเอ็มม่า แต่ดูจากสายตาแล้วเธอไม่ยอมแน่ๆ
"คุณจะไปเดินดุ่มๆ อยู่ข้างล่างได้ไง ไม่มีคนแนะนำเส้นทาง คุณก็หลง คุณหลงก็หาทางกลับไม่ได้เจอกับซอมบี้ คุณก็ตาย ให้ฉันไปด้วยแนะนำเส้นทางแล้วเราก็กลับมาพร้อมชุดหล่อของคุณ" เธอเล่นซะผมพูดไม่ออก ผมอ้าปากจะพูดแต่เธอชิงพูดซะก่อน "ที่สำคัญฉันจะได้ไปลองเผชิญหน้ากับพวกมันดู"
"พวกนายรีบไปเถอะนะ มัวแต่เถียงกันอยู่ได้" โรลพูดอย่างละเหี่ยใจ ผมจะเถียงแต่ "นายพาเธอไปด้วย จะได้ไม่เสียเวลา" โรลไล่ ก็ได้ๆ
ผมกับเอ็มม่าเดินไปที่บันไดเลื่อนซึ่งมีรถเข็นบังอยู่ ผมค่อยๆเลื่อนมันออกช้าๆ แล้วค่อยๆเดินลงไป เริ่มเห็นแสงสว่าง
"เดี๋ยวคุณเลี้ยวขวาเลยนะ" เอ็มม่าบอก ผมพยักหน้า ยิ่งลงใกล้ถึงเสียงครางก็ยิ่งดังขึ้น เมื่อลงมาถึงเจอซอมบี้ผู้หญิงสวมชุดแคชเชียร์ยืนรอท่าอยู่แล้ว ผมส่งสัญญาณมือให้เอ็มม่าหลบด้านหลัง ซอมบี้ตัวนั้นหันมาเห็นจึงวิ่งเหยาะๆมา มือไขว่คว้า ปากอ้างับ มันแปลกมากพวกนี้วิ่งช้าขึ้นทุกวัน แต่ก็ดี ผมเดินเข้าไปแล้วหวดไม้เข้าเต็มหน้า หัวแบะทันที เอ็มม่ายืนตัวแข็งมองอย่างสยดสยอง ผมกวักมาเป็นสัญญาณให้เดินต่อ หลังจากเลี้ยวขวา จะเป็นทางแยกสองทางข้างหน้าเป็นทางเดินไปแผนกเฟอร์นิเจอร์ ผมเลี้ยวซ้ายตามสัญชาตญาณ
"เฮ้ คุณจะไปไหน" เอ็มม่ากระซิบถาม พลางเรียกให้ผมไปทางขวา ผมย่องค่อยๆเดินไปเริ่มเห็นเสื้อผ้า ทีจริงผมจะเดินกลับไปเอาชุดLEEข้างหน้าก็ได้ แต่มันเป็นอะไรที่ลำบากมาก ข้างหน้าผมมีซอมบี้ยืนเหม่อกันอยู่ถึงห้าตัว จะบ้าพลังไปบู๊ด้วยคงใช่ที่ ผมกับเอ็มม่าจึงไปหลบหลังชั้นวางเสื้อผ้า แล้วรีบโกยเสื้อผ้าที่ต้องการทันที พวกมันข้างหน้าคงจะได้ยินเสียงขยับ เพราะพวกมันสองตัวเดินอ้อมมาทางผม ผมชักปืนคู่พร้อมที่เก็บเสียงออกมาแล้วกระหน่ำยิงไม่ยั้งแล้วรีบวิ่งก่อนที่อีกสามตัวข้างหน้าจะพาพรรคพวกมาด้วย
ระหว่างทางกลับ ใกลออกไปมีซอมบี้ผู้ชายขวางทางไว้ ถ้าดูดีๆหน้าตาคุ้นหน้าอย่างประหลาดข้างผมยกมือปืดปากทำตาโต สีหน้าตื่นตระหนกผมพอเข้าใจแล้วนั่นคงจะเป็นครอบครัวของเธอแน่ๆ แต่มันจะบังเอิญขนาดนั้นเลยรึ หรือว่าผมคิดมากไปเอง
ถ้าเธออยากสู้สิ่งนี้น่าจะใช้ได้ ผมยื่นดี-เอ็มให้พลางพยักเพยิดไปทางซอมบี้ตัวนั้น เธอส่ายหัวไปมา ผมใช้สายตาที่แน่วแน่บอกเธอว่า ทำซะ เธอยื่นมือสั่นระริกออกมารับดี-เอ็มไว้ แล้วเดินตรงไปหามัน มันเห็นเธอแล้วและวิ่งเหยาะๆตรงเข้ามา ผมชักปืนรอไว้ ในใจรู้แน่ว่าเธอทำไม่ได้ เป็นใครก็คงตัดสินใจยาก
มันวิ่งเข้าใกล้เธอทุกที แต่เธอไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรเลย
"กรี๊ดดด" เธอกรีดร้อง ผมเหนี่ยวไกทันที กระสุนแหวกอากาศลอยผ่านหูของเธอไปโดนหัวซอมบี้อย่างจัง มอนนอนแน่นิ่งทันที เธอนั่งลงอย่างอ่อนแรงทิ้งดี-เอ็มให้กลิ้งไปกับพื้น ผมเข้าไปพยุงตัวเธอให้ยืนขึ้น เธอกอดผมและทุบอกของผมพลางพูดพึมพำว่า นั่นน้องฉันนะ ความจริงตอนนี้ผมไม่สนจริง สนอยู่อย่างเดียวว่าเสียงของเธอจะเรียกพวกมันมา จนกระทั่งเสียงครางดังขึ้นเรื่อยๆ ผมหันกลับไปดูซอมบี้นับหลายสิบ วิ่งกะเผลกเข้ามาจากรอบทิศ
"วิ่งเอ็มม่า วิ่ง!!" ผมผลักเธอแล้วก้มไปหยิบดี-เอ็ม มือถือปืนยิงทุกตัวที่มาขวางทาง ซึ่งทางข้างหน้าค่อนข้างสะดวก ผมวิ่งขึ้นบันไดกับเอ็มม่าแล้วรีบเอารถเข็นมากั้นไว้ แล้ววิ่งต่อไปที่ที่พัก บอกให้โรลเปิดประตู รู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้กลับมาเห็นหน้าทุกคนอีกครั้งและยังดีใจที่เอ็มม่าหยุดร้องแล้วด้วย
เมื่อสังเกตุรอบตัวให้ดี พวกเขากำลังดูภาพยนตร์กันอยู่ เรื่องชอว์น ออฟ เดอะ เด๊ด สายไฟและปลั๊กพ่วงพันกันระโยงระยาง ซึ่งมีแจ็คนอนซมอยู่ข้างๆ มือถูกปลดล็อคพันธนาการ
"เอาล่ะ นายคิดมั้ยว่าต้องเล่าอะไรให้ทุกคนฟัง" โอเลดพูดทำลายความเงียบ
ผมใช้เวลาไม่นานในการเล่า เล่าเพียงแค่เอ็มม่าเจอน้องชายตัวเองประเด็นนี้เองที่ทำให้ทุกคนสนใจ
"ทำไมเธอไม่เล่าให้เราฟัง" "เป็นยังไงบ้าง" "เธอฆ่าเขารึเปล่า" คำถามพวกนี้ไม่ได้รับคำตอบจากใครทั้งสิ้นและน้ำตาเธอเริ่มปริ่ม ผมจึงต้องใช้สายตาดุดันเข้าห้าม
"เอ่อ เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ดีนฉันได้ยินสัญญาณวิทยุนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้ว เขาพูดชื่อนาย นายพอรู้มั้ยว่ามันคืออะไร" โรลถาม ผมยืดคอสนใจทันที โรลยื่นวิทยุให้ผม พร้อมเสียงที่คุ้นเคย
"ดีน นี่เอ็ดดี้นะ ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหน นายสามารถติดต่อฉันได้ทันที ขอแค่นายเปิดวิทยุ นายจะสามารถติดต่อกลับมาได้ทุกเมื่อ และฉันจะไปช่วยนาย"

topten002
8th December 2012, 13:00
โหตอนทิ้งท้ายนี้ทำให้ผมยิ่งลุ้นอะลุ้นๆ

black jack sdppd
20th December 2012, 07:22
บทที่ 8 เตรียมตัว

หนึ่งชั่วโมงแรกหลังจากได้รับสัญญาณผมยิ้มไม่หุบและเล่าเรื่องเพื่อนคนนี้อย่างเบิกบาน แต่ห้านาทีจากนั้นผมต้องหัวเราะเน่าๆ ใส่ทุกคนเพราะวอล์คกี้-ทอล์คกี้นี้ มันอ่อนแอเกินกว่าจะติดต่อกลับ
"ไม่เอาน่า อย่างน้อยนี่ก็เป็นก้าวแรก ที่ได้รู้ว่ามีคนพยายามช่วยเรา" เอ็มม่าปลอบใจผม ผมพยักหน้าหงอยๆ ในใจผมอยากทุบวอล์คกี้-ทอล์คกี้ให้หายแค้น แต่ผมอาจเป็นไอบ้าในสายตาคนอื่น ผมเดินวนไปวนมาในห้องอย่างไร้จุดหมายผมหวังไว้มากเกินไป ตกลงมาจากที่สูงก็เลยเจ็บ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาผิดหวังกันมั้ย เพราะทุกคนเฮฮากันมากขณะที่ดู Zombie land กันอย่างสนุกสนาน
ผมเลี่ยงไม่ไปดูด้วย เพราะเกรงจะทำให้เกิดคำถามที่ทำให้ผมเสียหน้า ผมเลยเลือกเดินไปที่แจ็ค ซึ่งตอนนี้ได้ถูกปลดพันธนาการแล้ว แต่เขาเลือกที่จะไปนั่งที่มุมห้องคนเดียว
"ไม่ไปดูหนังกับคนอื่นเหรอ" ผมถามลองเชิง แจ็คยิ้มอย่างน้อยก็ทำให้หน้าที่ดูพิกลของเขาดีขึ้น
"อย่าโง่ไปหน่อยเลย ทุกคนมองฉันเป็นตัวประหลาด" แจ็คตอบ "นั่นเป็นเพราะนาย รู้มั้ยทำมาเป็นช่วยคนอื่น นายก็คงชอบยัยนั่นสิท่า" แจ็คพูด ผมพยายามสะกดอารมณ์อยู่ "ทำตัวเป็นฮีโร่ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" ผมว่าผมไปดูหนังดีกว่าเยอะ ผมหันหลังและจากแจ็คไป แล้วเดินไปนั่งข้างๆเอ็มม่า เธอกำลังหัวเราะสนุกสนาน จะว่าไปแล้วก็ไม่มีใครสนใจเรื่องสัญญาณเท่าไหร่
มื้อเย็นพวกเรานั่งล้อมวงทานอาหาร(แจ็ครับอาหารแล้วไปนั่งคนเดียว) ซึ่งคือ ไข่ยัดไส้ ผมสะดุ้งเพราะลืมไปว่าจะต้องไปหาเสบียงอื่นๆมา ผมเงียบเข้าไว้ เอ็มม่าเคาะหัวผม แล้วเราสองคนก็หัวเราะด้วยกัน หลังจากนั้นก็ต้องขอโทษทุกคนที่ผิดสัญญาซึ่งไม่มีใครถือสาเอาความ ยกเว้นโอเลดที่นั่งเงียบ
การทานอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเราคุยเรื่องหนังที่ได้ดูกัน จนกระทั่งโอเลดที่นั่งเงียบก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างกะทันหัน
"ที่ที่เพื่อนนายจะพาเราไป มันดีมั้ย" ผมส่ายหัวไปมา
"ไม่รู้หรอก" ผมตอบอย่างรู้สึกผิด โอเลดเพียงแค่ทำหน้ายิ้มเยาะ
"งั้นเพื่อนนายก็แค่มั่ว ฝากความหวังงี่เง่าเอาไว้ล่ะสิ " โอเลดพูด ทุกคนเงียบ
"ใจเย็นๆก่อนสิ" ผมพูดพลางยกมือห้าม "เราอาจ--"
"อาจบ้าอะไรเล่า ฉันเบื่อที่นี่เหลือทนแล้วโว้ย" โอเลดตวาด "ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แต่นั่งอยู่กับที่จนก้นแถบจะพัง เช็ดปืนโง่ๆเง่าๆที่เราไม่มีวันรู้ว่าจะใช้มันยังไง มีแค่ไอหัวเหยือก(นาวิกโยธิน)ที่มาจากไหนไม่รู้ ช่วยอะไรไม่ได้!!"
"เฮ้ๆ ใจเย็นฉันกำลังจะสอน" ผมใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
"ไม่ต้องมาบอกให้ฉันใจเย็น ฉันเบื่อเต็มทนแล้ว" โอเลดพูดตัดบท อันที่จริงถ้าเขายังไม่รีบพูด ผมจะบอกว่าผมเป็นทหารบก แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงรึเปล่า
"จะเข้าห้องน้ำ ก็ต้องเดินตั้งไกล อาหารก็มีแต่มื้อเดิมๆเห่ยๆ" เกิดเสียงพึมพำขึ้นทันที ผมมองไปข้างๆ เอ็มม่าได้แต่นั่งตัวแข็ง เธอสบตาผมกลับซึ่งอ่านเป็นข้อความยาวๆว่า ฉันแค่วิเคราะห์คนเท่านั้นเอง
"อย่าถือสาเด็กเลยนะเคลลี่" เจฟปลอบซึ่งตอนนี้นั่งฟุบหน้าลงกับเข่า
"งั้นเหรอต่อยเด็ก ผิดมั้ยเนี่ย" โจนส์กัดฟันแน่น สายตาไม่ละไปจากเด็กหนุ่ม
"มาสิ" โอเลดท้าพลางชักมีดมาเชเต้(คล้ายมีดพร้า)ออกมา โจนส์ไม่รอช้าชักขวานขนาดพอดีมือที่ไม่รู้เขาเก็บไว้ตรงไหนออกมา
"เฮ้ พอแล้วพวกนาย" ผมยืนขึ้นระหว่างกลางทั้งสอง มือชักปืนออกมาทั้งสองข้าง และชี้ไปทั้งคู่ "ข้างนอกนั่น ฉันเจอพวกซอมบี้มาเยอะ ฉันไม่ต้องการให้มนุษย์มาทะเลาะกันเอง เข้าใจมั้ย" โจนส์ลดขวานลง แต่โอเลดยังกำอาวุธของเขาไว้แน่น
"อย่าได้บอกว่าพวกนายไม่คิดเหมือนฉัน อย่าได้บอกว่าพวกนายไม่เบื่อที่นี่" โอเลดร้องไห้ แล้วทิ้งมีดลงกับพื้น ผมเก็บปืนไว้ตามเดิม
"ฮ่าๆ เอาแล้วไง ไอหนุ่มอาละวาด" แจ็คเดินพร้อมรอยยิ้มเยาะเข้ามา "ทั้งหมดเป็นเพราะแกไม่ใช่รึไง ไอ้ทหาร แกมาทำให้ทุกคนมีความหวังแล้วก็ปล่อยทุกคนให้ตกลงมา คอหักตาย"
"อย่ามาทำให้เรื่องเลวร้ายมากกว่านี้นะ แจ็ค" เอ็มม่าลุกขึ้นยืนบ้าง
"อะไรกัน ยาหยี" เอ็มม่ามองเขาด้วยสายตารังเกียจ "เธอก็ได้แต่คอยมองนั่นแหละ หลายครั้งที่เธอทำให้พรรคพวกของเรา นอนหลับแล้วก็ไม่ตื่น ไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจเขาเลย" ผมงง แต่เอ็มม่าน้ำตาเริ่มปริ่มและเบือนหน้าไปทางอื่น "เธอไม่ได้เล่าให้แกฟังสินะทหาร มีหลายคนที่ทนกับสภาพนี้ไม่ได้แล้วก็หลับตายไป เหมือนไหลตายนั่นแหละ" แจ็คพูด เคลลี่ร้องไห้หนักกว่าเดิม "ใช่เราเคยมีคนมากกว่านี้ แต่พวกเขาไปหมดแล้ว" แจ็คมองเท้าตัวเอง
"เฮ้ พอเถอะนะ ไอเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว" ซินแคลร์พูด
"ทำไมไม่กลับไปนั่งแล้ว เอาหัวนายยัดก้นนายเอง" เจฟพูดบ้าง มือกำหมัดแน่นแล้วหักนิ้วเสียงดังน่ากลัว แจ็คยิ้มเยาะ
"ทุกคนหยุดได้แล้ว" โอเลดตะโกนขึ้นเพื่อให้ทุกคนกลับมาที่เรื่องเดิม "พอเลยกับไอเรื่องงี่เง่าไร้สาระแบบนั้น"
"ไร้สาระเหรอ โอเลด นายคิดว่าการตายของคนที่ยังอยู่ เป็นเรื่องไร้สาระเหรอ พระเจ้าช่วย" เอ็มม่าคราง
"โรล คุณพอจะช่วยเรื่องการติดต่อกลับได้หรือเปล่า" ผมขอความช่วยเหลือจากโรล
"ทีจริงก็มี ห้างที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่อยู่ ถัดจากที่นี่ไปสองตึก แต่ที่นั่นอันตรายมาก" โรลตอบ
"งั้นก็น่าจะลองเสี่ยงดู" ผมพูดกับทุกคนอย่างมีความหวัง
"แต่นายจะรู้ได้ไง ว่าเพื่อนนายยังไม่ตาย หรือที่ที่นายจะพาไปมันจะแตกต่างจากที่นี่" เจฟถาม คำพูดนี้จี้ตรงจุด เราไม่รู้อะไรเลยจริง ไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นอย่างไร ไม่รู้ใครเป็นยังไง
"ไม่ๆ สัญญาณนี้บอกว่าเพื่อนของดีนยังไม่ตาย" โรลบอกพลางโบกวอล์คกี้-ทอล์คกี้ไปมา "แต่ที่ที่เขาจะพาไปเป็นอย่างไร นี่ก็ต้องมาดูกันอีกที"
"คิดว่ามีที่ไหน แย่กว่าที่นี่เหรอ" โอเลดพูดลอยๆ พลางลูบมีดตัวเอง ผมคิดว่าถ้าเขาเลียมันแล้วไม่บาดปากตัวเอง เขาคงทำเพื่อโชว์พาวไปแล้ว
"เราควรจะลองเสี่ยงดูนะ" ซินแคลร์เสนอความเห็น มือยังลูบหลังเคลลี่ที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
"ฮึ นี่ไม่ใช่ธุรกิจแต่เป็นชีวิต จะมาลองผิดลองถูกเราตั้งตัวใหม่ไม่ได้หรอกนะ" แจ็คพูด
"งั้นนายก็คิดว่านายจะอยู่ที่นี่ต่อเหรอ เชิญนายอยู่คนเดียวเถอะ" ซินแคลร์สวน น่าแปลกที่คนอย่างแจ็คยังยืนยิ้มอยู่ได้
"ฉันแค่อยากจะบอกว่า เราควรเตรียมตัวอะไรให้พร้อม เข้าใจไหม ต้องวางแผนกันให้เรียบร้อย ลุยไปข้างหน้าน่ะ มันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น" แจ็คอธิบาย หลายคนทำหน้าแปลกใจ ไม่นึกว่าแจ็คจะพูดอะไรแบบนี้เป็น
"ช่าย เขาพูดถูก" ผมเห็นด้วย ถูปืนเล่นเพื่อให้มือไม่ว่าง "ก่อนเราจะวางแผน ผมจะให้ทุกคนฝึกยิงปืน" หลายคนทำเสียงฮือฮา แม้กระทั่งโอเลดก็หันมามองด้วยรอยยิ้ม ดูท่าทางตื่นเต้นกว่าใครเพื่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนดูกะปรี่กะเปร่ามากกว่าเดิม ไข่ยัดไส้กลายเป็นของอร่อยทันที ความจริงถึงผมจะพูดไปอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาที่ซ้อมที่ไหนดี โอเลดยิ้มทุกครั้งที่มองปืน
"ทำไมคุณไม่สอนพื้นฐานให้เราก่อนล่ะ" เอ็มม่าเสนอความเห็นขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอยู่ที่เคาท์เตอร์
"ที่นี่เหรอ มันก็กว้างดี แต่ถ้าคุณมีบีบี-"
"ไม่ใช่อย่างงั้น คุณไม่จำเป็นต้องให้เรายิง แค่สอนเราว่าเล็งยังไงก็พอ" เอ็มม่าตัดบทผม แล้วยื่น ปืนพก M9 มาให้ ผมจับมาถือและลองเล็งตามสัญชาติญาณ แล้วก็หันกลับไป
"คุณอยากลองกระบอกนี้รึ" ผมถามเอ็มม่า เธอพยักหน้าและยิ้ม
"งั้นก็--" ยังพูดไม่จบผมก็โยนให้เอ็มม่า ซึ่งเธอรับได้ด้วยมือข้างเดียว และทำหน้างงๆ
"ดูเหมือนมันจะไม่หนักเกินไปนะ" ผมเลิกคิ้ว
"คู่นี้ทำอะไรกัน" โอเลดเข้ามา ดูระรื่นขึ้น "เราจะฝึกกันแล้วสินะ"
ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วถ้าเราฝึกที่นี่ได้การออกไปตะลุยข้างนอกคงไม่ยาก
"ทุกคน ฟังทางนี้" ผมประกาศและปรบมือเรียก "เราจะเริ่มฝึกกันแล้วนะ ขอถามก่อนใครเคยใช้ปืนจริงๆบ้าง" มีโอเลด เจฟ เคลลี่ โรล และแจ็ค ซึ่งยกมืออย่างเกียจคร้าน
"โอเลด" ผมถาม มองกดดัน เด็กเนี่ยนะจะใช้ปืน ซอมบี้ตัดเล็บได้ยังจะน่าเชื่อกว่า
"โอเคๆ ฉันไม่เคยใช้" เขาพูดและลดมือลง
"เจฟ เคลลี่ พวกคุณใช้เป็นด้วยหรือ" ผมถามแปลกใจจริงๆ สองคนนี่ถ้าบอกว่าเป็นพ่อครัว แม่ครัวก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ แถมตอนเจอครั้งแรกเจฟยังทำท่าเหมือนคนใช้ปืนไม่เป็นอยู่เลย
"เอ่อ เราเคยไปซ้อมยิงปืนบ่อยๆ" ทั้งสองคนพูดอย่างเจียมตัว
"แจ็ค" ผมมองเป็นการถาม
"ฉันเคยเป็นยามหน้าผับ" แจ็คตอบเสียงดังฟังชัด ซินแคลร์พ่นลมหายใจดังพรืด
"มีปัญหารึไง" แจ็คพูดแบบเอาเรื่อง
"โอเค พอเลย" ผมรีบตัดบทซินแคลร์ "แต่ถ้าพวกคุณใช้ปืนเป็นทำไมไม่หนีซะเล่า"
"ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำ" โรลตอบ
"ยังจำได้ใช่ไหม ที่ฉันบอกว่า เราเคยมีคนเยอะกว่านี้ เราหาทางหนีกันแล้ว เป็นการหนีครั้งใหญ่มาก" แจ็คพูด "เป็นก่อนที่เราจะเจอร้านปืนน่ะ เรารวบรวมอาวุธตั้งแต่กระทะยันไม้เบสบอล อะไรใช้เป็นอาวุธได้เราเอามาหมด" แจ็คหยุด กลืนน้ำลาย "แต่เชื่อมั้ยล่ะเราออกไปนอกห้างได้ ไอพวกโจรสารเลว มาแย่งชิงทุกอย่างไป ทั้งคนของเราทั้งของ ที่ตอนนั้นจำได้ก็แค่วิ่งหาที่หลบและเจอร้านปืน"
"เราก็เลยให้คนใช้ปืนได้ เป็นกองหน้าฝ่าซอมบี้ออกไป แต่เสียงปืน มันดึงซอมบี้มา เยอะมาก แถมยังเป็นตอนที่มันวิ่งเร็วอีกต่างหาก เราเลยคิดว่าจะหลบอยู่ที่นี่ตลอดไป" โรลพูด
"ฉันสาบานเลยนะว่า ฉันเห็นไอโจรคนหนึ่งที่มาปล้นเราเป็นแบบพวกนั้นด้วย" โอเลดพูดบ้าง ทำสีหน้าจริงจัง
หลังจากที่ฟังแล้ว คนที่นี่ก็ใช่ว่าจะโง่เง่าเต่าตุ่นอะไรขนาดนั้น
"ถ้างั้นเอ็มม่า ซินแคลร์ โจนส์ โอเลด คุณมากับผม" ทั้งสี่พยักหน้า "ส่วนพวกคุณ" ผมหันไปมองคนที่เหลือ "ไปเลือกปืนที่ชอบได้"


"หลักสำคัญถ้านายอยากยิงปืน นายต้องมีสมาธิ ความพร้อม ความมั่นใจ ความแน่วแน่ที่จะเหนี่ยวไก" ผมสอนแบบที่ครูฝึกทหารสอน "ในโลกที่มนุษย์เป็นศัตรูของคุณ คุณต้องมีความรวดเร็ว ความไว และแน่นอนสมาธิ" ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ และเริ่มหยิบปืนพก"แต่ว่าขณะนี้ศัตรูของคุณไม่ใช่คน จำไว้ไม่ใช่คน อย่าเอาความรู้สึกสงสารมาบังตา" ผมปลูกฝังให้ "เอาล่ะ ทุกคนถือปืน" นักเรียนถือปืนขึ้น "เล็ง" ทุกคนเล็งทันทีถือปืนพกตั้งมั่น "ผมจะไม่ใช่ศัพท์ที่พูดยาก แต่จะพูดแบบที่เข้าใจ" ทุกคนพยักหน้า
การสอนทุกคนเล็งปืนเป็นไปได้อย่างเรียบง่าย ความจริงแล้วการเล็งไม่ใช่ยาก แต่ปัจจัยที่ทำให้มีคนตายจากการยิงกันมากเพราะความเชี่ยวชาญและความเร็วของการยิง
"โอเค เมื่อทุกคนเล็งได้แล้ว ไหนบอกมาซิต้องทำยังไงก่อน" ผมถาม
"ยิง" โอเลดตะโกนตอบทันที
"อ้อเหรอ นายคิดอย่างนั้นจริงเหรอ"
"จะรอให้ผีมากัดก้นเรารึไง" โอเลดย้อน
"งั้นก็ลองลั่นไกดูเลย พี่น้อง" ผมท้า โอเลดยิงทันที ไม่ต้องห่วงทุกคนไม่ได้ใส่เม็กกาซีน ซึ่งสิ่งที่เห็นคือโอเลดแขนกระตุกเพราะลั่นไกไม่ได้
"ใช่การปลดเซฟนี่เป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่ควรทำของการใช้ปืน นายต้องดูให้ดีว่าปลดเซฟปืนรึยัง จะได้ไม่เสียเวลา และต้องเช็คให้ดีว่านายล็อคมันแล้วเมื่อใช้เสร็จ รู้มั้ยคงไม่อยากให้นิ้วเท้าแหกขณะที่วิ่งหนีซอมบี้" ผมบอกแล้วก็ยกปืนตัวเองขึ้นมาแล้วชี้ไปที่จุดเหนือไกปืนปืน "นี่คือเซฟปลดมันซะ" ผมบอก "แล้วเราจะได้เข้าสู่บทเรียนต่อไปซะที"
"เฮ้ ฉันคิดว่าพวกเราเลือกปืนได้แล้ว" เสียงโรลดังขึ้น เมื่อผมหันไปมอง โรลถือปืนไรเฟิล M21 แจ็ค ถือปืนลูกซอง winchester เคลลี่และแจ็คใช้ปืนพก Beretta ทั้งคู่ แต่ละคนดูมั่นใจ โอเลดได้แต่มองอย่างอิจฉาอยู่ข้างๆ

"ดีน นายแน่ใจเหรอว่าจะฝึกที่นี่" ซินแคลร์ถาม ขณะที่เราอยู่ในใจกลางของห้างชั้นล่าง ด้วย M9 ที่ผมเลือกให้ พร้อมเม็กกาซีนคนละสามชุด
"ชัวร์ เราต้องรีบหน่อยแล้ว" ผมตอบ ตอนนี้ผู้ฝึกทุกคนยืนประจันหน้ากับเหล่าซอมบี้ ที่เริ่มทยอยกันมา "ทุกคนยิงได้แล้ว" ผมตะโกนสั่ง
จากที่เห็นตอนนี้ โอเลดทำได้ดีที่สุด สมาธิยอดเยี่ยม ยิงหัวซอมบี้ได้เกือบทุกตัวที่วิ่งเข้ามาแม้จะตัวสั่นเพราะความตื่นเต้น โจนส์ก็ทำได้ดีเช่นกัน ความสูงทำให้การเล็งได้เปรียบดี เอ็มม่าจะยิงช้าๆแต่ชัวร์ เธอยิงโดนหัวทุกนัด แต่อย่างว่า เธอเล็งนานพอสมควร
บรรยากาศนะตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงปืน หูเกือบจะอื้อ ซินแคลร์ทำได้แย่สุด นอกจากจะไม่กล้ายิงแล้ว ยังยิงไม่เฉียดอีกต่างหาก
ด้วยความต้องการจะทดสอบทุกคนผมจึงหยิบลูกบอลที่วางอยู่ในแผงข้างๆ แล้วปาสุดแรงไปที่เครื่องครัว เกิดเสียงดังลั่น เครื่องครัวหลายชนิดหล่นลงมา
"กรี๊ดดดดดด" วินแคลร์กรีดร้องและหันไปยิงใส่ต้นตอของเสียงไม่ยั้ง จนกระสุนหมด ในขณะที่ทุกคนเพียงแค่หันไปดูเท่านั้น
"พอแล้ว ซินแคลร์ถอยกลับเข้ามา" ผมตะโกนเรียก ซินแคลร์ไม่ผ่านการยิงปืน
"เราต้องรีบกลับแล้ว ทุกคนถอย" ผมตะโกน แล้วทุกคนก็ค่อยๆวิ่งกลับไปที่ที่พัก ระหว่างทางไร้ซอมบี้ ผมคิดว่ามันน่าจะหมดห้างแล้ว แต่พวกจากข้างนอกคงจะตามมาสมทบในอีกไม่ช้า

topten002
20th December 2012, 13:41
มาให้กำลังใจเช่นเคยครับผม

flukezuzayo
20th December 2012, 14:06
เป็นกำลังใจให้ครับ

black jack sdppd
21st December 2012, 18:12
บทที่ 9 การวางแผนและโชค

เราวิ่งกลับที่พักด้วยความรวดเร็ว เจอกลับโรล แจ็คและคู่สามีรออยู่แล้วพร้อมกับ
การฝึกดำเนินเป็นไปตามที่คาดหวัง แม้ซินแคลร์จะโอดครวญกับคนอื่นว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม หลายคนจึงต้องมานั่งปลอบใจเธออย่างเหนื่อยหน่าย เอ็มม่าเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับเธอ ซินแคลร์จึงดูสดชื่นขึ้น
ไข่ยัดไส้ในตอนนี้ผมรู้สึกถึงมะเขือเทศและผักหลายชนิดมารวมขึ้น เมื่อถามก็พบว่าเอ็มม่าแอบไปหยิมมา ตอนไหนเนี่ย แต่ยังไงซะ มันก็ทำให้รสชาติแต่งต่างจากเดิมบ้าง
"แล้วไงต่อ แผนเป็นไง" โอเลดเริ่มประเด็น ไข่ยัดไส้เต็มปาก นี่เหรอท่าทางของคนที่เบื่อ
"ไม่เอาน่า นายไม่อยากฟังอะไรตอนนี้หรอก" ผมบอกส่ายหัวไปมา
"ไม่รู้สินะ การที่นายไปทำเอะอะในห้าง ออกไปจากที่นี่เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี" โรลใช้ช้อนชี้มา แล้วก็ตักไข่ยัดไส้เข้าปาก
"ใช่ๆ" หลายเสียงเห็นด้วย
"ก็ได้ ทีจริงผมก็ไม่ใช่นักวางแผนอะไรหรอกนะ แต่ความจริงผมว่าเราควรจะวิ่งฝ่าไปตามมุมตึก ไปห้างที่โรลบอก" ผมอธิบายความคิดที่ผมไม่คิดจะทำ เพียงแค่อยากรู้ว่า ใครจะพูดอะไรบ้าง
"ไม่ได้หรอก ที่นั่นอันตรายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและที่สำคัญนายก็พาซอมบี้มาจากส่วนหน้าด้วย จะบุกไปมีแต่จะโดนรุมทึ้ง" โรลบอก
"แต่เรามีปืน เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ" โอเลดเสนอพลางพยักหน้า แต่โรลส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
"ไม่ได้หรอกน่า ถ้าเราโดนพวกมันรุมล้อมเราก็ฝ่าไม่ได้ แถมไอ้พวกนี้มันยังวิ่งด้วย" คราวนี้เป็นแจ็คที่พูด ผมสังเกตว่าเขาพยายามทำตัวให้ดีขึ้น
"แต่นายก็เห็นว่ามันช้าลง หัดออกไปดูโลกภายนอกบ้างสิ" ซินแคลร์แย้ง แจ็คทำตาเขียวใส่
"พอๆ หยุด" เอ็มม่าตัดบท "ถ้างั้นเราก็ใช้แผนล่อสิดีมั้ย"
"แผนล่ออะไรล่ะ" ผมถามรู้สึกสนใจ
"ไม่รู้สิ" เอ็มม่าส่ายหัวอายๆ
"ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นเนอะ จะได้ออกไปข้างนอกแล้ว" โจนส์พูดเสียงสั่น
"ใช่โจนส์ ฉันจะได้ทำอะไรที่ไม่ใช่ไข่ยัดไส้บ้างเบื่อเหมือนกันนะ" เคลลี่พูด เจฟเอามือโอบไหล่ทันที
"แหม มันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่นิ่จ๊ะ" เจฟพูด
"หึหึ หวานกันจริง" ผมออกปากรู้สึกชื่นชมและอิจฉาเล็กน้อย เอ็มม่าหยิกแขนผมเบาๆ "มาว่ากันต่อเรื่องแผน โรลคุณใช้ไรเฟิลสไนเปอร์เป็นใช่มั้ย" ผมถาม
"ก็นิดหน่อย" โรลยักไหล่ "แชมป์ยิงปืนยาว 2 ปีซ้อน" โรลเสริมรอยยิ้มน้อยๆปรากฎตรงมุมปาก เกิดเสียงฮือฮาทันที
"ไม่บอกกันเลยนะ" ผมชม เอื้อมมือไปเคาะแขนโรลซึ่งนั่งคนละฟั่งกับผม
"ก็ไม่ถามนี่หว่า" โรลหลบสายตาโดยการตักข้าวขึ้นมาทาน
"นั่นแหละ ผมสังเกตได้ว่าตรงตึกทางเข้าเมือง จะมีตึกที่มีลำโพงขนาดใหญ่เพื่อให้คนละแวกนั้นได้ยิน" ผมมองโรลเพื่อให้เขายืนยันข้อมูล
"ใช่นั่นเป็นตึกใหม่ของไมอามี่เลย เป็นตึกที่ฟุ่มเฟือยของเมืองใหญ่เลยทีเดียว ไว้สำหรับประกาศคอนเสิร์ตหรือไม่ก็ประกาศเวลามีคนสำคัญมา" โรลเสริมให้
"ผมจะไปเปิดเพลงที่ตึกนั่นเอาให้ดังสนั่นลั่นเมืองเลย โดยที่ระหว่างที่ไปที่นั่นผมจะยิงปืนเพื่อล่อพวกมันมาก่อนเอาให้เยอะที่สุด" ผมบอกแผนกลืนน้ำลาย "และโรลคุณยิงคุ้มกันผม" โรลมองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ "ด้วยปืนที่คุณเลือก"
"เอ็มม่าคุณพาตนที่เหลือและโรลไปที่ห้างนั้นเมื่อผมเข้าตึกไปได้แล้ว ใช้ทางที่คุณคิดว่าพวกมันน้อยที่สุด" ผมรีบพูดก่อนที่เอ็มม่าจะพูดอะไรที่ขัดต่อแผนผมขึ้นมา
"เป็นแผนที่ดี" โอเลดส่งเสียง "แต่คุณทำคนเดียวไม่ได้ คุณต้องมีตัวจี๊ดอย่างผม" โอเลดเสนอ "ที่สำคัญการเข้าห้างจะได้สะดวกขึ้น"
"ไม่ๆ นายไม่ควร--"
"อย่ามาบอกว่าผมควรทำอะไรรึเปล่า ขอร้องเลยเถอะนะ" โอเลดพูดเสียงขุ่น "ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ยังเป็นเด็กอยู่แล้วไง ไม่มีสิทธิ์จะทำประโยชน์เลยรึไง" เขาเปลี่ยนเป็นขึ้นเสียง โจนส์มองผมเหมือนจะบอกให้ผมพาไปด้วย "ผมก็มีประโยชน์นะ ขอร้อง เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กสักทีได้มั้ย" โอเลดตะโกนอาจจะเกิดเพราะความอดกลั้นถึงขีดสุด ทั้งห้องเงียบ
"ก็ได้ โอเลดนายไปกับฉัน" ผมบอกไปอย่างไม่เต็มใจ ในหัวคิดแผนขัดขวางโอเลด
"ทุกคนไปเตรียมอาวุธให้เรียบร้อย เราจะเริ่มวันพรุ่งนี้เลย" ผมบอกทุกคนแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ผมเดินไปนั่งที่มุมห้องเหมือนที่ทำทุกคืน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเอ็มม่าเดินเข้ามานั่งข้างๆ เงียบกันไปพักใหญ่
"รู้มั้ย นี่เป็นวิธีที่แย่มาก" เอ็มม่าเริ่ม ลูบมือไปมา
"จะมีวิธีไหนดีกว่านี้เหรอ" ผมเลิกคิ้ว เงียบกันไปอีกที ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดจนอยากลุกขึ้นปล่อยให้เธอนั่งคนเดียว
"ไม่รู้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้" เอ็มม่าพูดเสียงสั่น "ถ้าเผื่อคุณไม่กลับมา"
"ไม่ ผมต้องกลับมา ผมผจญโลกภายนอกมาขนาดนี้ ของแค่นี้สบายมาก" ผมให้ความมั่นใจ เอ็มม่ายังดูวิตกอยู่
"แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่เป็นอะไร มันอันตรายมาก นี่ยังไม่นับพวกในตึก แล้วถ้าเกิดการผิดพลาด" ตอนนี้ผมชักอยากให้เธอเงียบแล้ว ไม่ใช่เพราะรำคาญแต่มันทำให้ผมรู้สึกสงสารต่างหาก
"ผมก็มีโอเลดไง" ผมตอบไป
"คุณสิที่จะต้องดูแลเขา แล้วใครเป็นคนบอกให้คุณวางแผนอย่างนี้กัน มัน--" มันอะไรไม่มีใครรู้ เพราะผมจูปปากเธอไปเต็มๆ

Zen|Th
31st December 2012, 20:20
นิยายสนุกมากครับ ขอติดตาม
เนื้อเรื่องของเดนนิสใกล้มายัง

topten002
5th January 2013, 19:10
บทที่ 9 ยังไม่มาเลยผมรออ่านอยู่อะ

╬AVENGER╬
8th January 2013, 13:58
สนุกครับ :clap สุดยอด ผมชอบมากแนวนี้ พวกซอมบี้

เป็นกำลังใจให้ต่อ บทที่ 10 รีบๆมานะ :giveheart

intel4mb
8th January 2013, 14:05
สนุกดี เป็นกำลังใจให้ครับ อย่าเพิ่งจบเร็วละกัน

Msguzs
8th January 2013, 17:19
สุดยอดไปเลยครับ อ่านแล้วไม่ งง

ไม่ตาลาย สุดยอดเลย :dance

black jack sdppd
8th January 2013, 22:00
บทที่ 10 การหลบหนี

ที่นี่แม้จะอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยปืนสงครามนานับชนิด แต่อาวุธประจำกายของพวกเขากลับร้ายแรงมากๆ เช่น โอเลดที่ใช้มาเชเต้ โจนส์ใช้ขวานพก โรลใช้มีดพร้าหัวขอ เคลลี่ใช้มีดแร่เนื้อที่คมมากๆ แจ็คใช้กระบองเหล็กยาวๆ เจฟใช้ไม้เบสบอลเหล็ก ซินแคลร์ใช้ด้ามไม้ถูพื้นเสียบกับมีดใช้แทง แต่เอ็มม่าที่ดูเหมือนจะไม่มีอาวุธอะไรกับเขาเลยนะ ผมจึงมอบมีดสั้นให้เธอซึ่งรับไว้ด้วยท่าทีเขินอาย
พูดถึงเอ็มม่าแล้วตื่นเช้ามาเธอไม่คุยกับผมเลย ได้แต่ยิ้มและเดินหนีไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เลย จนถึงเวลาปฏิบัติการ โอเลดนั่งสวดมนตร์พึมพำอยู่ที่มุมห้อง ถึงผมจะพูดว่าขอบคุณพระเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่หลังจากเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ สิ่งที่ผมยึดถืออยู่ในใจกลับละลายหมดสิ้น
ทุกคนเกือบทั้งโลกตายจากไปนี่หรือวันพิพากษา ถ้านี่จะเป็นเหตุให้ผมต้องรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ละก็ ขอบอกเลยตั้งแต่แรกผมไม่เคยมีดวงสักนิด แม้ตอนตกสะพานจะมีเศษไม้มอกองเป็นเบาะก็เถอะนะ
"โอเลด นายพร้อมนะ" ผมถามขณะที่สวมชุดเกราะ(ปลอกแขนตอนนี้ยังให้เอ็มม่าอยู่) และเหน็บปืนพกสองกระบอกไว้ข้างๆ เหวี่ยงดี-เอ็มที่โอเลดเช็ดให้ไปมา
"พร้อมสิ" โอเลดตอบ เขาเหน็บมีดไว้ข้างเอวในปลอกขนาดใหญ่ แต่มือถือ UZI สองกระบอก
"โรลคุณล่ะ" โรลถือ M 21 แล้วขึ้นลำเพื่อบอกว่าพร้อมรบ ผมพยักหน้าให้
ไข่ยัดไส้ เป็นอาหารมื้อสุดท้าย ทุกคนทานอย่างเต็มที่นี่ โอเลดพยายามมีความสุข เอาเข้าจริงเมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็ไม่ได้ดูง่ายอย่างที่คิด
"กินมื้อสุดท้ายให้อิ่ม" ผมบอกโอเลด "เพราะเราจะไปกินกันในนรก" รอบวงฮาทันที หลังจากนั้นก็กลับไปเงียบกันต่อ
ระหว่างทางการเดินลงบันไดเรียบง่ายกว่าที่คิด ไม่มีซอมบี้สักตัว จนกระทั่งมาถึงประตูหน้าห้าง โอเลดเอื้อมมือไปจับประตู ผมจับไหล่โอเลดไว้ โอลเดพยักหน้าเหมือนจะสั่งเสีย
ปึง
เสียงโอเลดถีบประตุออกไปอย่างก้าวร้าว แกว่งปืนรอบแล้วตะโกนสุดเสียง
"ทุกคนหมอบลงกับพื้น พวกเรามาปล้น อย่าได้ขัดขืน" ผมก็อยากจะฮาอยู่บ้าง แต่ดูจากบรรยากาศรอบๆแล้ว มันไม่เป็นใจซะเลย
"ดีน ฉันว่าผิดแผนว่ะ" โอเลดกระซิบ ตอนนี้ทุกสายตาข้างหน้า นับร้อยคู่จ้องมาที่เรา
ตั้งแต่หน้าห้างไปจนถึงห้างข้างหน้า เดินส่งเสียงครางระงม
"นี่แหละการไม่สำรวจสถานที่ วิ่ง!!! วิ่ง!!!" ผมกับโอเลดสับเท้าสุดชีวิต โอเลดสาดปืนไปทั่ว ผมจำเป็นต้องวิ่งหลังเขามือป้องหัวเพื่อไม่ไห้กระสุนวิ่งมาโดน
"เล็งผีสิ ไอเซ่อ ตั้งสติ" ผมตะโกน โอเลดเหมือนจะรู้สึกได้ จึงชะลอความเร็ว
"ดีนดูสิ พวกมันวิ่งช้าจริง" โอเลดบอก ผมหันไปดูใช่จริงๆ เราวิ่งเลยพวกมันมาไกล และบางตัวก็โดนโรลยิงจากด้านบน ยิงโดนบ้างไม่โดนบ้าง

บนดาดฟ้าตึกชั้นสามที่ที่โรลพบกับดีนครั้งแรก โรลยืนอยุ่สายตาจ้องไปที่ลำกล้องแล้วเหนี่ยวไกไปทุกครั้ง ที่มั่นใจว่าโดน เป้าหมายที่เคลื่อนที่บวกกับลมเล็กน้อยแม้จะทำให้งานยากอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ครณามือสิงห์เฒ่าผู้นี้เลย นัดแล้วนัดเล่าที่โดนศีรษะศัตรูอย่างแม่นยำ
"ทางโล่งแล้วทุกคน ตอนนี้ดีนกับโอเลดเข้าไปในตึกได้แล้ว" โรลประกาศให้พรรคพวกที่รออยู่ด้านหลังรู้ เอ็มม่าดูกระวนกระวายใจเล็กน้อย
"เราไปกันเถอะ" แจ็คพูด แล้วค่อยๆเปิดประตู พร้อมกับนำทุกคนวิ่งลงชั้นล่างโดยมีโจนส์อยู่กองหลัง เมื่อมาถึงประตูห้างที่เปิดอ้าซ่าไว้อยู่ และซอมบี้สองตัวเดินวนเวียนอยู่ เขาและโรลจึงใช้อาวุธประจำตัวของตัวเองพุ่งเข้าไปจัดการกับซอมบี้สองตัวนั้นอย่างง่ายดาย แจ็คเหวี่ยงไม้ไปที่หัวซอมบี้จอดในทีเดียว โรลใช้ปลายมีดปักและลากลงมานอนกับพื้น สมองไหลออกมากอง ซินแคลร์มองด้วยทีท่าสะอิดสะเอียน
จากนั้นทั้งหมดจึงรีบวิ่งผ่านตึกพาณิชย์และอีกแค่ตึกเดียวก็จะถึงห้างเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ซอมบี้หลายสิบตัววิ่งเข้ามาดักหน้าไว้ เนื้อเปื่อยยุ่ยทั้งหลายพยายามไขว่คว้าเนื้อสดตรงหน้า แจ็ควิ่งเข้าไปฟาดกับซอมบี้ด้วยความมันมือทันที แต่ด้วยความผลีผลามเขาจึงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม คนที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปช่วย เกิดการฟาดกันชุลมุน โจนส์ใช้ขวานจามหัวซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาทีละตัว ซินแคลร์ไม่เปิดระยะให้พวกมันเข้ามาใกล้เกินไปโดยการพุ่งไม้ถูพื้นปลาบมีดปักหัวซอมบี้ ส่วนเอ็มม่า เคลลี่และเจฟ จัดการพวกมันคนละตัวสองตัว ทุกคนหันหลังชนกันและจัดการซอมบี้ที่เข้ามาใกล้
เลือดไหลนองเต็มพื้น ศพนอนเกลื่อนกลาดดารดาษดั่งขอนไม้ ทุกคนค่อยๆก้าวข้ามศพทีละช้า อากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นศพเน่าซึ่งเหมือนจะชัดเจนขึ้น เมื่ออะดรีนา-ลีนหมดไป
ที่นี่มืดจริงๆ มืดจนน่าขนลุกแม้จะไม่ได้มืดขนาดนั้นที่มองไม่เห็นอะไรเลยนะ ยังมีแสงเดือนแสงตะวันส่องมาบ้าง แต่ถ้าให้ผมพูดถึงบรรยากาศตอนนี้แล้ว"หลอน" น่าจะดีที่สุด ระหว่างทางเราเจอซอมบี้บ้างเล็กน้อย แต่ผมปล่อยให้โอเลดจัดการถือเป็นการระบายความเครียด ตอนนี้เราอยู่ชั้นที่สองจากยี่สิบชั้น เรากำลังหาทางขึ้นลิฟต์อยู่ แต่ตามโลเคชันของตึกคือ ลิฟต์จะอยู่ชั้นสอง ผมและโอเลดค่อยๆก้าวช้าๆไปในความมืด ได้ยินเสียงใจเต้นชัดเจน
"ที่นี่จะมีคนรอดมั้ย" โอเลดกระซิบ คลำทางไปเรื่อยๆ เหมือนคนตาบอด
"ไม่มีทาง" ผมกระซิบตอบ สายตายังจับจ้องไปที่ความมืด
"แล้วถ้าเราถูกกัดล่ะ" โอเลดยังไม่เงียบ ผมหมดความอดทน
"เงียบน่า เสียงนายจะกลบเสียงครางของพวกมันนะ" โอเลดเงียบทันที เสียงครางชัดเจนขึ้นมาก บางทีก็เหมือนเสียงผู้หญิงร้องไห้ และจับจ้องเราจากความมืด จินตนาการคิดไปได้ไกลขนาดนั้นเชียว
"ฉันว่า ฉันเจออะไรบางอย่าง" โอเลดพูด มือกระแทกไปกับผนัง
ติ๊ง
เสียงลิฟต์ดัง เสียงครางชัดเจนขึ้น ในความมืดร่างหลายร่างวิ่งเข้ามา
"เข้าไป เข้าไป" ผมผลักโอเลดเข้าลิฟต์แล้วจึงตามเข้าไป แต่ประตูลิฟต์ยังเปิดอยู่และมันเข้ามาใกล้ทุกที เราทั้งสองเอาตัวแนบชิดผนังสูดหายใจสุดปอดและประตูลิฟต์ก็ค่อยๆเลื่อนปิด ทิ้งให้พวกมันบางตัววิ่งชนประตูทิ้งเสียงปึงไว้ด้านหลัง
เราทั้งคู่ถอนลมหายใจออกแรงๆ และเคลื่อนตัวออกจากผนังลิฟต์ โอเลดเหงื่อเต็มหน้า ส่วนผมก็เหงื่อเต็มหน้า
"รู้ไหม ฉันไม่คิดว่าลิฟต์จะใช้ได้ซะอีก" โอเลดถามมองไปรอบอย่างสงสัย
"คงจะเป็นเพราะพวกขาใหญ่ สั่งให้การไฟฟ้าทำงานละมั้ง" ผมตอบหยั่งเชิงพลางยักไหล่
"แต่พระเจ้า ไอพวกนี้หยั่งกะมองเห็นเราในความมืด" โอเลดพูดตัวสั่น ดูท่าทางเริ่มไม่มั่นใจ
"อาจจะ--"
ปิ๊ง
เสียงลิฟต์ดังขึ้น ประตูเลื่อนเปิดอย่างเงิบงาบเป็นปกติ ชั้นนี้สว่างและมีเศษเนื้อมากมาย ตกหล่นอยู่เบื้องหน้า เลือดแห้งกรังติดตามผนังเป็นรอยฝ่ามือลากไปมา
"ระวังไว้ พวกมันอยู่ชั้นนี้" ผมกระซิบ โอเลดดูตื่นๆ เสียงครางที่ดูชัดเจนขึ้น ข้างหน้าคล้ายออฟฟิศ มีบล็อกสำหรับนั่งทำงาน ซึ่งวิทยุกระจายเสียงจะอยู่สุดห้อง

การขึ้นมายังชั้นบนสุดไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากคนจำนวนเจ็ดคน การเป็นหูเป็นตาให้กันไม่ใช่เรื่องยาก และทุกคนก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง
"เยี่ยมเลย เรามาถึงชั้นวิทยุแล้ว" โรลหอบ เพราะอายุมากที่สุดในกลุ่ม แม้จะยังดูหนุ่มมากเพราะเคราอันมีเสน่ห์ก็ตาม
"ไหวมั้ย ตาเฒ่า" โจนส์ยื่นน้ำไปให้ โรลรับมาดื่มจนหมด
"โทษที" โรลพูด หอบอยู่
"โรลอยู่นั่นไง" แจ็คชี้ไปยังชุดเครื่องส่งสัญญาณขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ เบื้องหน้า เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่กระจัดกระจายเรี่ยราดตามพื้น
"โอเค โจนส์ไปกับฉัน" โรลหันไปคุยกับโจนส์ "ส่วนที่เหลือใช้ปืนเลย"
โรลและโจนส์ก้าวข้ามเครื่องใช้ไฟฟ้าโกโรโกโส ที่วางตามพื้น ตาสอดส่องหาผีดิบอย่างระแวดระวัง
"เอาล่ะ รู้สึกว่าเครื่องจะพร้อมใช้อยู่แล้วนะ สวรรค์โปรดแท้ๆ" โรลหัวเราะ พลางลูบชุดเครื่องส่งสัญญาณราวกับว่าเป็นลูกรัก เหนือวิทยุมีหน้าจอขนาดย่อมบอกสัญญาณความถี่
"ห้างนี้ จะมีเครื่องอย่างนี้ไว้ขายใคร" โจนส์เลิกคิ้วสงสัย
"เงียบเหอะ" โรลกระซิบ มือขยับไปมาอย่างชำนาญเพื่อหมุนหาความถี่
"นี่ฉันว่าฉันได้ยินเสียงคราง" เอ็มม่าร้องเสียงแหลม มือกระชับปืนพกของตัวเอง
"หูดีเหลือเกินนะ" แจ็คเยาะ ยังอยู่ในท่าสบายๆ
"ได้แล้ว ฉันติดต่อได้แล้ว" โรลร้อง เสียงดีใจตามมาชุดใหญ่ เคลลี่ทิ้งจุดประจำการมาทันที "เงียบ ทุกคนเงียบ"
"สวัสดี ทุกท่านนี่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติภัย โปรดบอกที่อยู่ของท่านมา แล้วเราจะไปรับ" เสียงชัดแจ๋วจากวิทยุดังขึ้น
"เอ่อ คือเราได้ยิน สัญญาณจากคนที่เหมือนเป็นเพื่อนของดีน" โรลพูดหยั่งเชิง "เรารู้จักเขา เรารู้จักดีน"
"จริงเหรอ คุณรู้จักจริงเหรอ" เสียงที่เป็นงานเป็นการเปลี่ยนไป เป็นเสียงกระตือรือร้นเจือตื่นเต้น
"ช่าย เอ่อ ดีน ไทเลอร์ ใช่ไหมล่ะ" โรลพูด เงี่ยหูฟังในวิทยุ
"โอเครับ--" ไม่ใช่เสียงวิทยุขาดหาย แต่กลับเป็นเสียงเพลงขนาดยักษ์ เหมือนเพลงแร็พ
"Shrunken heads, broken legs, body parts on the concrete
Cut 'em up butcher style, gators in the swamp
Red light, leave 'em dead, runnin' like a track meet
Scared of nobody, what you motherfuckers want?
Believe me when I tell 'em I'm a boogeyman beast
Leave 'em slashed from their head to their feet
Pin pricks to the chest of a bitch well earned
Cookin' meat, cannibal tryna eat
I got a zombie army and you can't harm me
Who do you voodoo, bitch?
Drink blood like a vampire without warnin'
Who do you voodoo, bitch? Stand up!
Sam B got the thing that go bump in the night
Who do you voodoo, bitch?
Hide your kids, grab your wife, better get out o' sight
Who do you voodoo, bitch? Let's go!"

แล้วเสียงเพลงก็เงียบไปปล่อยให้ทุกคนตกอยู่ในห้วงแห่งความงงงวย ยกเว้นเอ็มม่าที่เอามือปิดปากร้องไห้ไปแล้ว
"เขารอด เขารอด" เจฟกระซิบ "เขารอด เขารอด" เจฟตะโกน
"เงียบน่า เจฟ" โรลสั่ง แล้วหันไปคุยกับวิทยุต่อ "เราอยู่ที่-- " และเสียงเพลงก็ดังมาอีกหน คราวนี้เสียงดังกระหึ่มมากเพราะมันเป็นเพลงเมทัลที่ดูเหมือนจะตัดไปที่ท่อนฮุค
" I don't belong here, we gotta move on dear escape from this afterlife
’Cause this time I'm right to move on and on, far away from here
Got nothing against you and surely I'll miss you
This place full of peace and light, and I’d hope you might
Take me back inside when the time is right"
"โอย ช่างมันเหอะ โรลร้องแล้วทิ้งเสียงเพลงไว้ด้านหลัง "ตอนนี้เราอยู่ที่ห้าง เอดิสันเมล์ ไมอามี่ ห้างเปิดใหม่ มารับเราด้วย ที่ดาดฟ้า " โรลกับโจนส์ช่วยกันตะโกนสู้เสียงเพลง
" Loved ones back home all crying ’cause they're already missing me
I pray by the grace of God that there's somebody listening
Give me a chance to be that person I wanna be
I am unbroken; I’m choking on this ecstasy
Oh Lord I'll try so hard but you gotta let go of me
Unbreak me, unchain me, I need another chance to live "
"ทุกคนย้ายก้นตัวเองไปชั้นดาดฟ้า" โรลตะโกนสั่งพลางโบกมือไปที่บันได "พวกซอมบี้มันไปหมดแล้ว เร็วเข้า"

"น่าสมเพช หึหึ น่าสมเพชที่สุดเลย" โอเลดนั่งหัวเราะในลำคอ ขณะที่เรานั่งอยู่ในห้องกระจายเสียงที่ปูด้วยกระจก ซึ่งตอนนี้มีซอมบี้ล้อมรอบ กันไว้ได้แค่สิ่งของต่างๆที่เราเอาไปดันและขัดประตูไว้ "คิดวิธีขึ้นได้ แต่ดันลืมวิธีลง"
"ฉันนี่สะเพร่าจริงๆนะ" ผมนั่งอยู่ข้างๆอย่างหมดหวัง ฟังเพลง Afterlife ของ Avenged Sevenfold ที่เริ่มใหม่อีกรอบ
"เป็นทหารภาษาอะไรเนี่ย" โอเลดเยาะ แล้วถอนหายใจ "ฉันไม่นึกว่าตัวเองจะมาตายเร็วอย่างนี้" เสียงกระจกปริดังขึ้น
"หนึ่งเดียวเพื่อทั้งมวล" ผมพูดพลางชูกำปั้นขึ้น
"ทั้งมวลเพื่อหนึ่งเดียว" โอเลดชนกำปั้น และซ่อนน้ำตาเอาไว้
ผมน่ะ ไม่เอาอะไรมากจริงๆ นอกจากจะให้เอ็มม่าปลอดภัยและอยู่สบายๆ ส่วนผมถ้าจะให้พูดก็คือ ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ล่ะนะ ผมเตรียมปืนขึ้น เตรียมจะปลิดหัวตัวเอง ถูกกัดมันคงเจ็บไม่เอาด้วยหรอก

╬AVENGER╬
8th January 2013, 22:25
เย้ ๆ บทที่ 10 มาแล้วววว *-* นั่งเฝ้าเลยนะเนี่ย 555+
เป็นกำลังใจต่อให้คร้าบบบ :dance


อ่านแล้ว เสพติด :eek: ต่อครับ ต่อๆ

มี เลิฟซีนบ้างเป็นไรป่ะนี่ 5555 อยากให้มีเล็กน้อย พอประมาณ เพื่ออรรถรสในการอ่าน 555+

topten002
9th January 2013, 18:50
5ผมนั่งรอมาเกือบ2-3อาทิตย์ในที่สุดบทที่ 10 ก็มา555

black jack sdppd
10th January 2013, 23:20
บทที่ 11 สุขสงบระยะยาว

ระหว่างที่ผมโยนปืนไปมาโอเลดได้แต่มองอิริยาบถของผมอย่างสงสัย ผมไม่รีบร้อนอะไรนัก ที่จะดับชีวิตของตนให้มืดมัว มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ถ้าเราไม่เจอกับปัญหาที่เกินกว่าจะรับมือแบบมากถึงมากที่สุด ผมไม่รู้สึกเหมือนตัวเองจะตาย บอกได้แค่นั้น
"นายจะยิงหัวตัวเองเหรอ" โอเลดถามมองผมสลับปืนไปมา ผมพยักหน้าเล็ก จากนั้นสีหน้าของเขาเหมือนตกใจสุดขีด "นายจะยิงได้ยังไง อย่านะ"
"นายคิดว่าตัวเองจะรอดหรือ" ผมถามเรียบๆโดยไม่มองหน้าเขา แต่โอเลดกลับเงียบไปนานแสนนาน แล้วเขาก็ถอนหายใจเบาๆ
"ให้ฉันยิงก่อน" โอเลดพูดสายตามุ่งมั่น พูดง่ายซะเหลือเกิน
"นายยังเด็ก นายไม่รู้หรอกว่ามันยากขนาดไหน ไว้ดูฉันก่อนแล้วนายค่อยตาม" ผมบอกก้มหน้าลง ซุกลงกับเข่า
"บ้าเหรอ ใครจะไปอยากเห็นเลือดสดๆ สมองเละกระจายตรงหน้า" โอเลดร้อง และเสียงกระจกปริแตกก็ดังขึ้นอีก ผมกับเสียงทุบและเสียงครางที่ชัดเจนกว่าเดิม
"เอาไป" ผมยื่นปืนให้โอเลด ถ้านี่เป็นทางที่เขาเลือก อยู่ที่เขาจะทำได้ไหม
โอเลดรับปืนไปด้วยมืออันสั่นเทา เขาเอาปืนจ่อขมับตัวเอง หลับตาปี๋ กลั้นหายใจสุดชีวิต มือสั่นๆนั้น ส่ายไปมา
"เฮ้ออออ" เสียงถอนหายใจแรงพุ่งออกมาจากจมูกของเขา พร้อมปืนที่ยื่นกลับมา "ฉันว่าฉันดูนายเป็นตัวอย่างดีกว่า ฉันไม่รู้สึกเหมือนจะตาย ไว้นายตายก่อน ฉันค่อยชัวร์" โอเลดพูดแบบไม่หายใจแทบจะร้องเป็นเพลง
เพล้งงง
เสียงกระจกแตกดังขึ้นเหนือหัว เราสองคนพุ่งตัวออกมาจากผนังอย่างรวดเร็ว เห็นภาพที่ซอมบี้ผู้หญิง ตัวปักกับกระจกแตกที่เป็นรูโหว่ขนาดพอตัวซึ่งยังติดบนผนัง เศษกระจกกระจายเต็มพื้น พร้อมกับเหล่าซอมบี้ที่เมื่อเห็นช่องทางกันล่าเหยื่อ จึงพากันมาทุบฝั่งที่แตก
"นายไปรอที่หน้าต่าง" ผมบอกโอเลดพร้อมกับส่งกระสุนไปฝังเข้าในหัวซอมบี้ตัวนั้น โอเลดพยักหน้าและวิ่งไปที่กระจกหน้าห้อง ซึ่งเมื่ออกไปคือตก
เพล้งงงงงงง
กระจกทั้งบานแตกละเอียดลงมา แรงกระแทกส่งให้เศษเล็กพุ่งเข้ามา ผมใช้แขนบังตามสัญชาติญาณ โอเลดร้องอย่างตกใจ
ตอนนี้เหล่าซอมบี้ ลงมานอนกองกันที่พื้นและมีอีกมากมายข้างนอกที่ตะเกียกตะกายจะเข้ามาในห้อง
"ดีน เฮลิคอปเตอร์" โอเลดตะโกนชี้ไปที่หน้าต่าง กระโดดไปมาด้วยความดีใจ
"ดีนายไปเฝ้าเอาไว้" ผมพูดขณะที่ยิงซอมบี้ที่ยันตัวกับพื้น ครั้งละสอง สามตัว รู้สึกมีกำลังใจ
"แต่เขาไปรับคนอื่นก่อนนะ" น้ำเสียงโอเลดเปลี่ยนเป็นวิตก หัวใจผมก็กระตุกวูบ ไม่มีเวลาแน่ๆ
"นายมาช่วยฉันจัดการพวกมันหน่อย เอาพวกที่ยังอยู่กับพื้นนะ" ผมตะโกนขอความช่วยเหลือ โอเลดวิ่งเข้ามาหยิบมีดของตัวเอง แล้วมาสับหัวพวกผีบ้าที่นอนทับกันอยู่บนพื้นอยู่ ส่วนผมก็ยิงพวกที่อยู่ข้างนอกและพวกที่ค่อยๆลุกช้าๆ
"นายอย่าล้ำเข้าไป เดี๋ยวพวกที่เกินระยะฉันจัดการเอง" ผมบอก โอเลดพยักหน้า ถือมีดรอท่าไว้ แล้วเขาก็วิ่งไปที่หน้าต่าง
"ดีน เฮลิคอปเตอร์ เฮลิคอปเตอร์" โอเลดตะโกน พอดีกับที่ลำของMI28มาจอดที่หน้าต่างแรงพัดทำให้โอเลดโซเซกลับมาและที่นั่งอยู่ตรงกลางพื้นคือ เอ็ดดี้ที่ใส่หมวกและหูฟัง เขาชูนิ้วโป้งแล้วขยับไปมาด้านบน
"หา เขาบอกให้เราไปด้านบนเรอะ" โอเลดถามเสียงสูง
"ไม่ใช่ " และก่อนที่ผมจะบอก เฮลิคอปเตอร์ก็ทอดบันไดลงมา บันไดขนาดยาวที่ห่างจากตึกประมาณเมตรครึ่ง ที่ห่างแค่นั้นก็เพราะเราอยู่ชั้นดาดฟ้า เฮลิคอปเตอร์จึงสามารถจอดเหนือตึกไปได้ "โดดซะ" ผมบอกโอเลด และหันไปยิงซอมบี้ที่เริ่มก้าวข้ามศพเบื้อล่างมาอย่างทุลักทุเล
"ไม่เอานะ" โอเลดส่ายหัวสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
"งั้นนายไปเกาะที่ขอบหน้าต่าง" ผมพูดอย่างรำคาญ โอเลดทำตามเหน็บมีดไว้ในปลอกมีดที่เอว และผมก็วิ่งเข้าไปอย่างรวบเร็วพร้อมกับลูกถีบที่ตัวเองจะใส่ได้
"อ้ากกกกกกกกกก"
เสียงกรีดร้องของโอเลดดังจากขอบหน้าต่าง กลางอากาศและไปสิ้นสุดที่บันไดของเฮลิคอปเตอร์ซึ่งโยกไปมา มือหนึ่งยึดบันไดอีกมือลูบก้นตัวเองด้วยความเจ็บปวด
ผมพยักหน้าให้เขาซึ่งได้รับนิ้วกลางตอบแทน จากนั้นโอเลดก็ค่อยปีนบันไดช้าๆ ผมจึงหันไปมองซอมบี้ที่ต่างคลุกคลานกับพื้นเนื่องจากสะดุดกันเอง
และเมื่อหันไปที่บันไดก็พบว่าทางสะดวก ผมจึงทิ้งดี-เอ็มที่สะพายมาด้วยแล้วไปเกาะที่ขอบหน้าต่างและสปริงตัวไปที่บันไดพอดีกับที่พวกมันตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาและคว้าอากาศที่ว่างเปล่า
ขณะที่ตัวลอยกลางอากาศ หัวใจเหมือนจะไปอยู่ที่ตาตุ่ม และเมื่อกายของผมไปถึงเชือกหัวใจค่อยตามมาเพื่อยึดเชือก แต่แรงของผมทำให้เชือกโบกไปมา แล้วโหนตัวกลับไปที่ตึกเดิม ที่มีซอมบี้นับสิบมาอัดที่หน้าต่าง ผมหุบขาเต็มที่ เพื่อกันพวกที่จะมาดึงขา
เมื่อเชือกคงที่ ผมค่อยๆปีนขึ้น ในใจโล่งสบายและรู้สึกสมเพชตัวเองที่คิดจะฆ่าตัวตาย เมื่อปีนถึงก็เจอรอยยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่นมีวัยรุ่นที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มมีเคลลี่ปลอบอยู่ข้างๆ มีเอ็ดดี้ที่ยื่นมือมา และมีน้ำตาแห่งความดีใจของเอ็มม่า ผมจับมือเอ็ดดี้แรงส่งตัวเองไปนั่งที่ที่นั่งข้างเอ็มม่า นี่นี่เองที่ทำให้ผมเห็นหน้าเธอชัดเจนขึ้นและใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสกัน
เหมือนดั่งโลกได้หยุดเวลาทั้งมวลเอาไว้

black jack sdppd
10th January 2013, 23:33
http://image.ohozaa.com/i/78d/DVmwO7.jpg

เมื่อ เดนนิส ฟริสท์แมน ได้เป็นอาสาสมัครที่จะช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ภารกิจแรกที่เขาได้รับคือ ปักกิ่ง จีน ซึ่งว่ากันว่าที่นั่นไม่ได้อันตราย
เพียงแค่ซอมบี้เท่านั้น การช่วยเหลือของเดนนิสจัเป็นเช่นไรเขาจะรอดชีวิตจากสถานที่สุดโหดหรือไม่

topten002
11th January 2013, 15:46
ยิ่งน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆนะเนี่ย555

╬AVENGER╬
12th January 2013, 16:15
คุย ณ 9 มกราคม 2556

ก็มีนิดหน่อยครับ
แต่พอเขียนแล้ว
มันอเนถอนาถใจยังไงไม่รู้

555+ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ :dance

jamebanjen
14th January 2013, 02:19
ชอบมากครับกำลังถึงบทที่ 2 ผมต้องขอตัวไปนอนก่อนครับ พรุ่งนี้มาต่อให้จบ

topten002
5th February 2013, 19:13
จะเลิกแต่งต่อแล้วหรอครับผมกำลังรออ่านอยู่เลยอะ

CrocoZz
5th February 2013, 19:15
เอาใจช่วยอีกแรงครับ ทำออกมาได้สนุกมาก พยายามต่อไปนะครับ

black jack sdppd
14th February 2013, 16:36
China Checkmate To Peking
บทที่ 12 . 1 มอบหมายที่สำคัญยิ่ง

หลังจากคำประกาศจากทางการต่อเจ้าหน้าที่หรือนายตำรวจทุกคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานว่าให้คงอยู่ในหน้าที่ยอมเป็นผู้เสียสละ เพื่อประชาชน โดยให้การลงชื่อเพื่อลงพื้นที่ช่วยเหลือต่างๆ
เดนนิส เป็นคนแรกที่ไปถึงโต๊ะเซ็นชื่อ จากนั้นก็ตามด้วยลูกทีมของเขา บรรยากาศในอาคารอเนกประสงค์ช่างเงียบเหงา แทบจะไม่มีใครคุยกัน หลายคนช็อคเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และช็อคเพราะสูญเสียคนที่รัก
จิตใจที่สั่นสะเทือน ความสิ้นหวังมากมาย ได้เกิดขึ้นอย่างแก้ไขอะไรไม่ทัน หลายคนทำได้แค่จ้องมองสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป น้ำตาที่แห้งเหือดลงไปอาจจะเป็นเพราะความเศร้าโศกทะลุขีดสุด จนไม่มีใครอยากจะมีชีวิตต่อไป
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณจากโศกนาฏกรรมนี้ ปรากฏบนหน้าจอขนาดยักษ์ เกิดเลขแปดหลัก แทบจะไม่มีใครเงยหน้ามองจอ บางคนยังก้มหน้าต่อไป บรรยากาศไม่ต่างจากงานศพดีๆ
เสียงปังดังขึ้นจากห้องผู้อำนวยการ เกิดการชุลมุนเล็กน้อย และกลับเป็นปกติ ผู้บัญชาการได้หนีหน้าที่ของตน ทั้งที่เมื่อครู่กับขอให้ลูกน้องในสังกัดสู้ต่อไป
และแล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับที่พัก ในห้องพักที่ตัวเองเลือกเมื่อมาถึง สถานที่ประชุมนั่นคือโรงแรม โรงแรมห้าดาวขนาดใหญ่ในลอส แองเจลลิส ที่ถูกเช็คสองรอบว่าปลอดภัยจริง
หลังจากอาบน้ำ เดนนิสไม่หวังอะไรมาก นอกจากให้ตัวเองนอนหลับสบาย กระโดดทิ้งตัวบนเตียงที่ตึงแบบพอดี ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ไฟฟ้าใช้ได้
แต่ใครจะไปรู้ว่า พระเจ้าได้ทอดทิ้งเราไปนานแสนนานแล้ว
เหลือไว้แต่ความศรัทธา ที่ถูกฝังในจิตใจลึกๆของมนุษย์ตัวเล็กๆ เป็นพันๆปี

เดนนิสถูกปลุกให้ตื่นจากฝันประหลาดโดยนาฬิกาปลุก เขาต้องอาบน้ำและรีบไปเข้าประชุม เรื่องการลงพื้นที่ เดนนิสเนื้อเต้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
เมื่อไปถึงร้านอาหารในโรงแรม ซึ่งตอนนี้น่าจะเรียกว่าโรงอาหาร เดนนิสหยิบจานขนมปังกับแยมมาและไปนั่งที่โต๊ะที่มีเจ้าหน้าที่สี่คนนั่งอยู่นั่นคือทีมของเขา ซึ่งกำลังคุยเรื่องนายตำรวจห้าคนไหลตาย
"ช่าย เขาว่ากันว่า หนึ่งในนั้นเห็นลูกกับเมียตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา ก็เลยเศร้ามาก" บิล คนที่ตัวอ้วนท้วมของทีมกล่าว
"จริงเหรอ เป็นถึงตำรวจแค่นี้จะตายได้ยังไง" เชฟ แย้ง ขนมปังเต็มปาก เขาดื่มน้ำและพูดต่อ "มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น"
"ทำไมต้องมีอะไรมากกว่านั้น สมมติว่าเมียกับลูกเขาถูกฆ่าตายเขาก็เศร้า แต่เศร้าแบบอาฆาต" จอห์น เด็กหนุ่มผู้เป็นหัวสมองของทีมพูดขึ้น "แต่นี่มันกลับเป็นอะไรก็ไม่รู้ สิ่งที่ไร้สาเหตุ สิ่งที่ก่อจลาจล สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างพังพินาศ"
"อ๋อใช่ มันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันเห็นได้จากนอกป้อม หน้าตาน่ากลัวยังกะปีศาจ แถมมันยังเยอะ ซะอย่างกะคลื่นยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง แถมยังเป็นวิกฤติไปทั่วโลกด้วย" พอล เลนเนอร์ ออกความเห็น
แต่พอเดนนิสจะพูดอะไรบ้าง ก็มีเสียงจากลำโพงที่ติดไว้ทั่วโรงอาหาร เป็นเสียงจากประชาสัมพันธ์
"เมื่อถึงเวลา สิบสองนาฬิกาให้ทุกท่านที่ลงชื่ออาสา เอ-หนึ่ง มาประชุมที่ห้องประชุมชั้นสอง ห้องบีด้วยค่ะ"
หลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพัก โรงอาหารก็เต็มไปด้วยเสียงพูดเหมือนเดิม บรรยากาศดูดีกว่าเมื่อคืนมากนัก
"ฉันรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ เลย" พอลบอก
"ใช่ๆ ฉันก็ด้วย แต่ฉันอยากรู้อย่างนึง" เชฟพูด สีหน้าจริงจัง
"อะไร" เดนนิสถาม
"นี่กี่โมงแล้ว"

เดนนิสและทีมเดินขึ้นบันไดด้วยท่าทีอ่อยๆ เมื่อถึงชั้นสองก็ต้องถกเถียงกันว่าห้องบีอยู่ไหน เพราะป้ายถูกกระชากหายไป
หลังจากการถกเถียงกันปรากฏว่า เดนนิสเป็นฝ่ายถูก เขาใช้ความเอาแต่ใจของตัวเองพาลูกทีมไปยังห้องที่ถูกต้อง
"อ้าว มาถึงแล้วรึ" เสียงต้อนรับจาก โรเบิร์ต แม็คเคน ผู้อำนวยการคนใหม่ "เอ-หนึ่ง กลุ่มสุดท้ายแล้ว" ตามปกติควรจะถูกโกรธ แต่ดูเหมือนว่าคงต้องรักษาน้ำใจกันเข้าไว้
ในห้องประชุมขนาดใหญ่ มีโต๊ะกลมอยู่สี่โต๊ะวางกลางห้อง โซฟาวางไว้ข้างๆจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ห้องสีน้ำตาลเข้มกลมกลืนกับพื้น มีคนมากมายนั่งเกาะกลุ่มกันอยู่สามกลุ่ม เดนนิสเดาว่านั่นคงเป็นอาสาสมัครของ เอ-หนึ่งและกลุ่มผู้อำนวยการสี่คน
"เราจะอธิบายเรื่องปฏิบัติการรุกฆาต ขอให้ทุกท่านทำความเข้าใจด้วย" โรเบิร์ตกล่าวและกุมมือไว้ข้างหน้า "ลินดา" เขากระซิบให้สาวสวยผมบลอนด์ "เชิญพบกับ ลินดา เบอร์แมน"
ลินดา เบอร์แมนด์ สาวตัวสูง หุ่นผอมเพรียว เดินถือไมโครโฟน มาด้วยท่าทีที่มั่นใจ สายตากวาดไปรอบห้อง ท่าทางเหมือนเคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง
"แผนรุกฆาต เป็นแผนที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อห้าวันที่แล้ว โดยมีผู้นำจากทุกประเทศ ที่เหลืออยู่ แต่ยังไม่มีชื่อเรียกการร่วมมือนี้อย่างเป็นทางการ" เธอเน้นคำสุดท้าย "มีอะไร คุณราฟาล" เธอถามอาสาสมัครที่ยกมือถาม ด้วยท่าทีที่ขัดใจ
"อเมริกาด้วยหรือเปล่าครับ" ราฟาลถาม ท่าทางมีความหวัง
"ประธานาธิบดีตายไปตั้งแต่วันแรกในเหตุการณ์จลาจลที่ทำเนียบขาว มีแค่นายกฯกระทรวงกลาโหมและการคลังเท่านั้นที่รอดมาได้" ลินดาตอบ ราฟาลหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด มีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นทันที
"แผนรุกฆาตประกอบไปด้วยจุดประสงค์สองสิ่งคือ กวาดล้างและช่วยเหลือ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ท่านควรรู้" เกิดตารางสองสามชุดเรียงกันบนจอโดยเธอกดตารางข้างหน้าสุด "ซอมบี้ ผู้ก่อจลาจล ไม่มีชื่อเรียกผู้ติดเชื้อนี้อย่างแน่นอน ไม่มีทั้งชื่อโรคไม่มีสาเหตุการเกิด แต่วิธีการแพร่เชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้วก็คือ การกัด จะส่งผลให้ผู้ถูกกัดติดเชื้อและกลายร่างภายในยี่สิบวินาที ยังไม่มียาแก้ อาการของผู้ติดเชื้อ" เธอกดเลื่อนหน้าต่อไป มีรูปถ่ายลางๆ เป็นรูปของหญิงอาการคลุ้มคลั่ง "เริ่มแรกจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ชักดิ้นชักงอ และหาเหยื่อที่ใกล้ที่สุดเพื่อกินเป็นอาหาร โดยที่ผู้ติดเชื้อจะสามารถวิ่งได้และเร็วด้วย ผู้ติดเชื้อจะไม่มีความรู้สึกหรือจิตใจไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์ ผู้ติดเชื้อจะหาเหยื่อโดยการฟังเสียงนี่คือผลวิจัยที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าพวกนี้ยังใช่สายตามั้ย " เธอคลิกหน้าต่อไป ภาพที่ชัดเจนขึ้น เป็นภาพหัวซอมบี้วางอยู่บนถาดท่าทางเหม่อลอย "ทำลายที่สมอง โดยวิธีใดก็ได้ แต่การตัดหัวมิอาจทำให้ผู้ติดเชื้อสิ้นสภาพได้ เพราะว่าเชื้อโรคจะอยู่ที่สมอง ผลวิจัยเขาว่าอย่างนั้น" จอดับวูบลง แล้วลินดายื่นไมค์ไปให้ชายศีรษะล้านเลี่ยน หน้าตาคมเข้ม มีรอยแผลเป็นที่ข้างจมูก เขาใส่ชุดทหารเต็มยศ ตามที่เดนนิสเดายศคงไม่ต่ำกว่านายพัน
"ขอบคุณมาก สำหรับคนที่ไม่รู้จักผม ผมคือพันตรีเจมส์ รอน" เสียงฮือฮาเล็กๆ ดังขึ้นทันที ไม่มีใครไม่รู้จักเขาแน่นอน เขาคือวีรบุรุษแห่งสงคราม "ผมจะมาอธิบายถึงการทำงานของพวกคุณ การช่วยเหลือน่ะ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด บางทีอาจจะยากมากด้วย" เขากวาดสายตาไปรอบๆหนึ่งที "จำกัดพื้นที่ ช่วยเหลือ และนำสู่ที่ปลอดภัย ลองมาดูทีละขั้นตอน
"การจำกัดพื้นที่ เมื่อคุณแน่ใจแล้วว่ามีผู้รอดชีวิตอยู่คุณต้องทำการครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด คือการจัดการผู้ติดเชื้อโดยรอบ ไม่ว่าผู้รอดชีวิตจะอยู่ในพื้นที่ที่ถูกล้อมหรือไม่ก็ตาม คุณอาจจะอาศัยความเงียบเข้าจัดการผู้ติดเชื้อทีละคนจนหมดไป แต่ถ้าอยู่กันเป็นหมู่คณะคุณอาจจะเข้าไปสังหารหมู่ทีเดียวเลยก็ได้ แต่ก็ต้องให้แน่ใจว่า บั้นท้ายของคุณไม่ได้อยู่ในปากของพวกเขา คุณคงไม่อยากยิงพวกเดียวกันขณะที่เพื่อนคุณเหลือบั้นท้ายเพียงครึ่งซีก ที่ผมจะพูดคือให้ระวังหลังไว้ด้วยเพราะไอพวกนี้มันมองแต่คอที่ไหน" เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น "ขอบคุณๆ โอเค ขั้นตอน'ช่วยเหลือ' งานนี้อาจจะง่าย คุณเพียงแค่เข้าไปเจอผู้รอดชีวิตและนำพวกเขาออกมา แต่ แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างนี้เรื่องของสภาพทางจิตใจมันต้องมีปัญหาบ้าง ในกรณีที่คุณเจอผู้รอดชีวิตท่องโลกคนเดียว เขาอาจจะไม่ไว้ใจใครและเข้าทำร้ายคุณ คนจำพวกนี้ขอให้คุณเน้นการเจรจาดีกว่าเพราะว่าคนที่รอดชีวิตมาได้ด้วยตัวคนเดียวขนาดนี้ น่าจะเก่งกาจพอสมควร ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากถ้าไม่ไหลตายหรือฆ่าตัวตายซะก่อนก็รอความช่วยเหลืออยู่แล้ว ซึ่งวิธีที่จะเจอพวกเขาก็ไม่ยากหรอก อาจจะดูจากสัญญาณวิทยุ ป้ายหรือสีที่พ่น หรือจะเป็นควันก็ได้แต่ส่วนใหญ่ควันนั่นจะหมายถึงเตาที่จะปิ้งพวกคุณกิน และมีคนสองกลุ่มที่คุณควรระวัง พวกลัทธิจะเป็นพวกที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกคนกลุ่มนี้จะเหมือนกลุ่มพเนจรเชื่อแน่ว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้ว จะย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นภัยหรอก แต่บางพวกจะแย่งปืนพวกคุณแต่ถ้าโชคดีก็ไม่ฆ่าหรอก และอีกอย่างคือ 'โจร' ปล้น ฆ่า ข่มขืน ทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุขในวันสิ้นโลก คนพวกนี้ไม่ต้องเจรจาหรอก 'ยิง****เลย' " เกิดเสียงปรบมือดังลั่น เหล่าอาสาสมัครรู้สึกฮึกเหิมทันที ผู้พันยิ้มและยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด "ขั้นตอนสุดท้ายนำสู่ที่ปลอดภัย อันนี้ไม่ยากจริงๆ นำเข้าไปที่หลบภัยหรือที่ที่คุณคิดว่าใช้หลบภัย แล้วระบุตำแหน่งให้ เอ่อ อะไรนะ" เขาหันไปถามโรเบิร์ต "อ๋อ ใช่ เอ-สอง จะไปรับเอง คุณอาจจะไปนำผู้รอดชีวิตมารวมกันก่อนแล้วค่อยแจ้งเอ-สองก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปกลับ ขอบคุณมาก ใครมีอะไรจะถามไหม" ผู้พันถาม และมีอาสาสมัครเคราเฟิ้มคนหนึ่งยกมือ
"ท่านคิดว่ามันจะเหมือนในภาพยนตร์ที่เราดูไหมครับ" เขาถาม ผู้พันยิ้ม
"คุณตายแน่ถ้าคุณเชื่อภาพยนตร์และคุณคงไม่รอดถ้าไม่ทำตามภาพยนตร์" ผู้พันกล่าวเป็นนัยและมีเสียงปรบมือดังตามมาอีกหน
"โอเคครับ ต้องขอขอบคุณพันตรี เจมส์ รอน ที่ให้เกียรติมาอบรมหรือแนะนำวิธีต่างๆ สำหรับการเอาชีวิตรอด ไฟฟ้ายังจะใช้ได้อยู่ถ้าเกิดไม่มีใครไปชนเสาไฟฟ้า แต่ว่าไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน รัฐบาลได้ระดมพลด้านนี้เพื่อยื้อกระแสไฟฟ้าไว้สุดๆ พยายามประหยัดกันเอาไว้ ส่วนเสียงดังถ้าไม่จำเป็นอย่าทำเด็ดขาด เพราะซอมบี้จะตามเสียงอย่างที่ลินดาได้กล่าวไว้ เราจะมอบปืนให้ท่านและอีกอย่างคือ ขวานเล็ก คมมากจามทีหัวแบะแน่" อาสาสมัครหลายคนทำหน้าตื่นเต้น "เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะทำการฝึกฝนให้พวกท่านทีนี้ มาดูผลกันว่า แต่ละคนได้ไปที่ไหนบ้าง" เมื่อพูดจบลินดาก็ยื่นเอกสารขนาดเอสี่มาให้โรเบิร์ต "ทีมฟริสต์แมน" หัวใจเดนนิสกระตุกด้วยความตื่นเต้น "ได้ไปปักกิ่ง จีน ชื่อรหัส ซีทีพี-สิบเอ็ด" เกิดเสียงพึมพำในกลุ่ม
"ปักกิ่ง เนี่ยนะ" เชฟร้องออกมา แต่ก่อนที่เดนนิสจะได้ถามอะไรต่อ เสียงประกาศจากโรเบิร์ตก็ดังขึ้นต่อ
"ทีมก็องค์ ได้ไปบราซิลในชื่อรหัส ซีทีบี-สาม" โต๊ะที่มีสมาชิกอยู่สามคนเริ่มเกาะกลุ่มคุยกัน "ทีมคอปป์ ได้ไปอิรักภายในชื่อรหัส ซีทีไอโอ เดี๋ยวทีมนี้ต้องประชุมเป็นพิเศษ" โรเบิร์ตพนักหน้าให้กับทีมที่มีสมาชิกเจ็ดคน "โอเคตอนนี้ให้ลินดามานัดเวลา" โรเบิร์ตเดินถอยหลังเข้าไปคุยกับนายพันรอนด้วยเสียงที่เบาแต่ท่าทางเคร่งเครียด
"พรุ่งนี้ให้ซีทีพี-สิบเอ็ด มารับการฝึกตอนแปดโมงเช้า" ลินดาพูดตาไม่ห่างออกจากเอกสาร "ซีทีบี-สามมาตอนเที่ยง และตอนนี้ให้ทุกทีมยกเว้นซีทีไอโอไปพักได้" ทุกคนลุกขึ้นจากโต๊ะและออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
"ปักกิ่งน่ะ เขาว่ามันมีแต่โจรอยู่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด" เชฟอธิบายหน้าตาเคร่งเครียด "แถมจลาจลอย่างก่อความเสียหายอย่างหนัก ทั้งไฟฟ้า ไฟไหม้"
"แสดงว่าเราจะไปที่ลำบากกว่าทีอื่นๆว่างั้น" เดนนิสพูดสะบัดมือไปมา ไม่ค่อยทุกข์ร้อน อาจจะเป็นเพราะกำลังใจที่ดีที่สุดในหมู่อาสาสมัคร เดนนิสไม่มีอะไรให้ห่วงใยเขารู้ตัวอยู่เสมอว่าเป็นเด็กกำพร้า ที่มีชีวิตอันขมขื่น
"ฉันไม่มีโอกาสได้ไปหาเมียฉันที่ชิคาโก้เลย" จอห์นโพล่งออกมา
"แกมีเมียด้วยเรอะ" พอลถามพร้อมยิ้มเยาะ
"มี--"
"ไอหนูนี่ไม่มีเมียหรอก" เชฟว่า
""ฉันมีและอย่ามาเรียกฉันว่า--"
"ใช่เชฟอย่าไปแหย่เด็กเลย" เดนนิสแซว และจอห์นก็ถูกหัวเราะไปตลอดทาง

สิ้นสุดวันคล้ายวันปกติไปอีกหนึ่งแต่ในขณะที่เดนนิสล้มตัวลงนอนใจสั่นเพราะความตื่นเต้นตลอดเวลา ส่งผลให้เขานอนไม่หลับ คิดนู่นคิดนี่ตลอดเวลา และที่สำคัญเขายังไม่รู้จักปักกิ่งดีพอด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าสถานที่ที่จะไปเป็นแบบไหน อากาศเป็นอย่างไร สิ่งก่อสร้างเป็นอย่างไร นิสัยใจคอคนที่โน่นเป็นอย่างไรและจะพูดอย่างไรให้เขาเข้าใจ
เมื่อหลับลงได้ เดนนิสกลับฝันว่าตัวเองกำลังขับรถหลบหนีโจรอยู่และพุ่งขึ้นไปในอากาศขณะที่ลอยก็มีซอมบี้ไล่ตาม เมื่อตกพื้นก็กลายเป็นห้างที่มีกับระเบิดวางอยู่เต็ม
"เฮ้ย" เดนนิสสะดุ้งเมื่อเท้าตัวเองไปเหยียบกับระเบิดอันหนึ่งเข้า "เฮ้อ ฝันนี่หว่า" เขาส่ายหัวไล่ความง่วงและก้มลงดูนาฬิกา
6 : 15 AM
เช้านี้สดใสขึ้นกว่าเดิมเริ่มมีรอยยิ้มมากขึ้นแม้มันจะไม่มากเท่าไหร่ ปกติเดนนิส จะมาถึงที่ทำงานและมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แต่หลังเหตุวิบัติเกิดขึ้นก็ได้แต่เพียงแค่ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ตัวเองมีโอกาสรอด
เมื่อถึงโรงอาหารเจออาสาสมัครไม่มากเท่าไหร่ที่มาถึงแล้ว เขาหยิบจานอาหารและไปนั่งกับทีม ซึ่งกำลังจดจ่อกับทีวีขนาดใหญ่ที่ติดอยู่เหนือทางเข้าอาคารอเนกประสงค์
"นายดูทีวีสิ" เชฟชี้ไปที่จอ "ก็ยังดีที่มีอะไรให้ดูบ้าง" แล้วเขาก็คว้าขนมปังชิ้นใหญ่เข้าปาก
"เขาถ่ายอะไรเหรอ" เดนนิสถาม
"กองกำลังตั้งรับที่นิวเจอร์ซีย์ดูดีใช่ไหมล่ะ" เชฟบอกถ้าทางภูมิใจ บนจอเป็นภาพนำเสนอข่าวทางอากาศ ซึ่งกำลังฉายภาพนายทหารยืนเป็นแถวละสามสิบคนเรียงกันประจัญหน้ากับเหล่าซอมบี้ซึ่งอยู่อีกฟาก ทหารยืนเป็นสองแถวแถวแรกนั่งกับพื้นแถวสองยืนปืนในมือกระชับมั่นพร้อมเล็ง ทั้งสองข้างของแถวมีป้อมเล็กๆพร้อมปืนกลขนาดใหญ่อยู่ และข้างหลังมีรถยิงปืนกลเอวีพีห้าคันเรียงอยู่ คนที่เข้ามาชมแนวตั้งรับซึ่งมาเพิ่มเรื่อยๆก็ส่งเสียงเฮดังลั่นแม้แต่เดนนิสเองก็อดไม่ได้
แล้วกล้องก็จับภาพไปที่กลุ่มคนจำนวนมากนับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวราวกับคลื่นยักษ์ซัดถาโถมเข้ามาในหมู่ซอมบี้ที่เดินจำนวนมากมีพวกที่เคลื่อนไหวรวดเร็วแหวกออกมา เสียงเฮเริ่มเบาลง
ฟ้าวววววววว
เสียงขนาดใหญ่ พร้อมอะไรบางอย่างพุ่งผ่านกล้องไป F-22 นั่นเองที่มีสอองลำกำลังพุ่งไปข้างหน้าและทิ้งวัตถุขนาดใหญ่ลงไป
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม
เสียงระเบิดดังสนั่นแม้แต่ภาพยังสั่น เพลิงไฟลุกโชนสว่างกลืนกินร่างนับไม่ถ้วนเข้าไป
เฮ!!!!!!!!!!
เสียงตะโกนจากเหล่าอาสาสมัครดังขึ้นอย่างมีชัยบางคนถึงกับขว้างอาหารทิ้ง บางคนตะโกนว่า
"ให้มันรู้ซะมั่ง ไอเวรเอ๊ย ฮ่าฮ่าฮ่า"
"แกเสร็จแน่"
ภาพเริ่มชัดขึ้นเผยให้เห็นภาพเบื้องล่าง รัศมีของระเบิดสองลูกกระจายเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ บ้านเรือนพังทลายราบมีเศษเนื้อมากมายกองอยู่บนพื้นเป็นภาพน่าเกลียดน่าสะเอียดสะเอียน บางคนถึงกับเบือนหน้าหนี
คลื่นซอมบี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่เหลืออยู่ก็นับว่ามากพอสมควรและยังก้าวมาข้างหน้าเรื่อยไม่รู้สึกรู้สา เหล่าอาสาสมัครในอาคารเอนกประสงค์เงียบลุ้นจนแทบหยุดหายใจ
ผ่านไปชั่วอึดใจเหล่าซอมบี้ได้ก้าวเข้ามาในระยะการยิงของทหาร เกิดแสงสว่างจากรังเพลิงของทหารมากมาย ทุกคนรัวปืนไม่ยั้งส่งกระสุนปืนเข้าไปเจาะหัวซอมบี้ แม้กระทั่งป้อมปืนก็ยังสาดกระสุนไปทั่วโดนหัวบ้างไม่โดนบ้างแต่เหล่าซอมบี้ลงไปนอนกับพื้นเหมือนใบไม้ร่วง ถึงแม้จะเป็นการถ่ายทอดสดจากทางอากาศแต่เสียงปืนและแสงแวบวาบกลับชัดมากราวกับพลุดอกไม้ไฟ ผ่านไปพักใหญ่ซอมบี้ยังคงร่วงกราวลงกับพื้นไม่หยุด แต่ด้วยจำนวนที่มากอย่างเหลือเชื่อ ทำให้มันประชิดเหล่าทหารอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนี้รถเอ วี พี ก็มาร่วมยิงด้วย นายทหารเริ่มแตกแถวและเดินถอยหลังมาด้วย จนกระทั่งทหารที่คุมป้อมทางขวามาด้วย ไม่รู้ว่าที่นั่นสื่อสารอะไรกันแต่นายทหารที่คุมป้อมซ้ายกลับมายอมถอยและปล่อยให้ซอมบี้เข้ามาฉีกเนื้อกินอย่างสยดสยอง ตอนนี้ทหารเริ่มแตกแถวใครที่ถอยไม่ทันก็ถูกซอมบี้ลากไปกิน แต่การประทะยังเป็นอยู่นานมากแต่ซอมบี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมด นายทหารที่เหลืออยู่และรถเอ วี พี ถอยร่นมาไกลจากจุดประจำการ ผ่านไปชั่วอึดใจทหารหยุดยิงและเอาปืนเข้าไปฟาดใส่ซอมบี้อย่างเมามันส์ บางคนโดนล้อมและสู้จนตัวตาย บางคนวิ่งเข้าไปหลบในเอ วี พี หลังจากการต่อสู้โดยไร้ปืนนายทหารที่ถูกกัดก่อนหน้านั้นได้วิ่งฝ่าฝูงซอมบี้มาอย่างบ้าคลั่งและสังหารนายทหารไปอีกหลายนาย จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นพวกมันและวิ่งใส่ทหารผู้รอดชีวิตอย่างบ้าคลั่ง ขนาดที่รถยังต้านทานกองทัพซอมบี้ไม่อยู่ ทหารที่เหลืออยู่ถอยกลับเข้าไปในรถเอ วี พี แล้วพุ่งรถหนีไปเลย
จากนั้นภาพก็ตัดมาที่ผู้ประกาศข่าวซึ่งหน้าถอดสีมากๆ เขากลืนน้ำลายช้าๆปากสั่นระริก สีหน้าแสดงความกลัวได้อย่างชัดเจน
"ขณะนี้กองกำลังตั้งรับนิวเจอร์ซีย์ได้แตกพ่ายไปแล้วนะครับ ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะทำยังไงต่อแต่ก็ขอให้ทุกคนอาศัยอยู่ในความไม่ประมาท ผมจอร์จ เบียซ นักข่าวCNN ขอจบการนำเสนอข่าว" แล้วจอก็ดับไป ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นอีกทุกคนตกอยู่ในความสิ้นหวัง บางคนเอามือกุมหน้าเอาไว้ บางคนไม่แสดงสีหน้าอะไรอีก แม้แต่ที่โต๊ะของเดนนิส บรรยากาศแห่งความมีชัยได้หยุดลงปล่อยให้ความสิ้นหวัง สลดหดหู่ เข้ามาแทนที่
"พวกนาย ไปกันเถอะนี่เราสายมากแล้วนะ" เดนนิสพยายามทำลายความเงียบ ซึ่งทำให้ทุกคนกลับสู่สภาพปกติ ลูกทีมพยักหน้าไร้ความรู้สึกและเดินไปกับเดนนิส
"ไอพวกผีเวรนั่น แม้แต่กองกำลังทหารมากมายขนาดนั้นก็ยังทำอะไรไม่ได้" เชฟพูดเงียบ
"ไม่เอาน่าเชฟ เราจะไม่แพ้ตลอดไปหรอกน่า" เดนนิสพยายามปลุกใจทุกคนซึ่งเขารู้ดีว่าขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้วแม้แต่ตัวเขาเอง
"นั่นสินะ" เชฟพูดท่าทางเหมือนประชดและไม่มีใครพูดอะไรอีก เมื่อเดินไปปถึงห้องประชุมห้องเดิมที่มาเมื่อวาน วิทยากรยังอยู่ครบทุกคน ซึ่งมีโรเบิร์ตพูดต้อนรับเขา
"เอ้า ว่าไงกำลังดูกองกำลังตั้งรับอยู่สินะ ถึงจะแพ้ก็ช่างเถอะ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีอยู่นะ" โรเบิร์ตตีสีหน้าไม่เนียนแต่ก็ไม่มีใครสนใจ "เอาล่ะ คุณคือทีมที่จะได้ไปปักกิ่งสินะ เป็นงานหนักอยู่ แต่ผมรู้แหละว่าคุณมีความสามารถพอนะ" เขาลูบมือไปมาเหงื่อชุ่ม "ที่ปักกิ่ง ในประเทศจีนมีสถานที่มากมายที่สามารถให้มีผู้คนไปหลบภัยทั้งที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยหรือพระราชวังต้องห้างซึ่งอยู่เหนือไปหน่อย ที่พวกนี้ใหญ่มาก" ทันใดนั้นก็มีภาพขึ้นบนจอมอนิเตอร์ "ปักกิ่งมีประชากรมากกว่าล้านคน แต่จะมีผู้รอดชีวิตหรือผู้ติดเชื้อเท่าไหร่เรามิอาจทราบได้ ปักกิ่งเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆของจีนเพราะฉะนั้นมีตึกรามบ้านช่องมากมายให้เลือกอาศัย เราไม่จำกัดเวลาการทำงานพวกคุณใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ แค่อย่าไปลับก็พอ" เขาหยุดพูดแล้วก็ไปช่วยลินดายกกล่องขนาดใหญ่สามกล่อง "นี่คือปืนที่จะให้คุณเลือกไปใช้" เดนนิสและลูกทีมปรบมือทันที "ปืนที่ให้ใช้คือMP5" เขาหยิบปืนกลขนาดเล็กมาโชว์ หลังจากนั้นก็หยิบปืนขนาดใหญ่กว่าเดมมีลำกล้องติดอยู่พร้อมที่เก็บเสียง "นี่คือ M14 EBR" เดนนิสรู้สึกถูกชะตาทันที เขารู้แล้วว่าอยากใช้ปืนอะไร "และนี่M9กับที่เก็บเสียงนี่เป็นปืนบังคับ" เขาหยิบปืนพกขึ้นมาโชว์หลังจากนั้นก็หยิบขวานขนาดเท่าต้นแขน ทั้งตัวขวานเป็นสีเงินเงางาม "และนี่ก็คือขวานเล็ก คมมากจามหัวแบะและไม่ต้องกลัวทื่อเราจะแถมที่ลับไปด้วย" เขาวางขวานลงอย่างละเมียดละไม มองเหมือนเป็นลูกรัก "ให้ทุกคนเลือกได้" เดนนิสยกมือเลือก M14 ทันที ลินดาเขียนอะไรบางอย่างลงในคลิปบอร์ด หลังจากนั้นบิล เชฟ จอห์นและพอล เลือก MP5 ทั้งหมดใช้เวลาชื่นชมปืนอยู่พักใหญ่
"เอาล่ะ เดี๋ยวจะให้ทุกคนฝึกภาคสนามนะ จะมีเจ้าหน้าที่ฝึกให้" เขาปรบมือเป็นสัญญาณให้เดนนิสและทีมออกไปจากห้อง แต่ก่อนจะออกไปเดนนิสก็ยกมือถามโรเบิร์ต
"เราจะติดต่อสื่อสารกับพวกเขาอย่างไรครับ" โรเบิร์ตมีสีหน้าครุ่นคิด
"คุณก็คงต้องพยายามเอาเองนะ" โรเบิร์ตมีท่าทางเครียดจริงๆ
"งั้นทำไมไม่ให้ประเทศของเขาช่วยตัวเองล่ะ"
"เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันนะ เราก็ต้องให้เขาช่วยเป็นการกระจายความเข้มแข็งเพราะอย่างที่บอก นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างประเทศกับประเทศแล้ว นี่คือสงครามโลกมนุษย์และโลกซอมบี้" เขาพูดทิ้งท้ายและหันไปคุยกับผู้พันเจมส์ รอน
ณ สนามกอล์ฟหลังโรงแรมมีเจ้าหน้าที่สามคนและอาสาสมัครอีกห้าคน ยืนตากแดดร้อนๆอยู่หลังจากวอร์มร่างกายไปสักพัก แต่นี่ก็ไม่เท่าไหร่เพราะอาสาสมัครแต่ก่อนเป็นถึงตำรวจเลยทีเดียว
"เนื่องจากมีเวลาที่ไม่มากเราจะฝึกให้คุณแบบรวบรัด โอเคเราจะให้คุณฝึกร่างกายก่อน เห็นพุ่มหญ้านั่นไหม" แล้วเท็ดเจ้าหน้าที่ที่ร่างกำยำที่สุดก็ชี้ไปที่พุ่มไม้ที่ตั้งอยู่โดเดี่ยวไกลไปมากกว่าห้าร้อยเมตร "มีผู้รอดชีวิตอยู่และเขาหรือเธอกำลังจะถูกซอมบี้ไล่งาบ ไปช่วยเร็ว ไป ไป" โดยไม่ให้สัญญาณเดนนิสและทีมรีบสับเท้าวิ่งทันที จนมาถึงก็พบแผ่นไม้ตั้งอยู่ห้าแผ่น เขาและทีมหยิบไปคนละแผ่นซึ่งบิลมาหยิบไปช้าที่สุดเพราะความอ้วนที่สืบเนื่องจากเป็นพวกนั่งโต๊ะมาโดยตลอด การวิ่งกลับช้ากว่าปกติเพราะความเหนื่อยและการแบกแผ่นไม่ที่หนักมาด้วย จอห์นอาศัยความเด็กเข้าเส้นชัยคนแรก ตามด้วยเดนนิส เชฟ พอลและบิล ซึ่งต้องใช้เวลานานในการตามมา
"โอเค บิลคุณต้องลดความอ้วนโดยด่วนเลยนะ" หลังจากนั้นทั้งทีมก็หัวเราะ มีแต่บิลที่หอบและล้มตัวลงไปนอนกับสนามหญ้า
การฝึกยิงปืนของคนที่ใช้ MP5 เป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่เดนนิสกลับต้องฝึกหนักกว่าเพื่อนเพราะM14 เป็นปืนไรเฟิลสไนเปอร์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เขาต้องฝึกทั้งการหายใจการดูลม การซูมกล้อง ใช้เวลาอยู่นานถึงจะฝึกสำเร็จ
หลังจากที่ทานข้าวเย็นเสร็จเดนนิสรีบตรงเข้าห้องพักอย่างรวดเร็ว อาบน้ำชำระร่างกาย มีจุดประสงค์เดียวคือล้มตัวลงบนที่นอนนุ่มๆ
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น วันแห่งการดำเนินการเริ่มขึ้นเขาอาบน้ำและลงไปที่อาคารเอนกประสงค์จากนั้นก็ตามด้วยเพื่อนๆ ซึ่งเขาต้องใส่ชุดป้องกันซึ่งมีปลอกแขน ขาและชุดเกราะ เป็นชุดที่ยุ่งยากพอสมควร แต่ก็เท่ห์จนน่าขนลุก แถมยังมีหมวกอ็อกเหล็กด้วย
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เสียงของเฮลิคอปเตอร์ก็ดังขึ้น และลงจอดภายในเขตุอาคาร
"นายพร้อมมั้ย" พอลถาม
"พร้อมสิ" เดนนิสตอบเสียงหนักแน่น

toomtarm005
18th February 2013, 00:34
มาเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งครับ
ส่วนคำติชม ขอให้มันลุ้นระทึกมากขึ้นหน่อยครับเพื่อจะได้น่าติดตามมากขึ้นครับผม:yes

black jack sdppd
29th April 2013, 14:55
สวัสดีครับ
ถึงคนที่อ่านอยู่ ผมมีเรื่องจะบอก
ผมได้พบความผิดพลาดที่สุดยอดเข้าของตนเอง
คือ
1. ผมยังขาดการเขียนที่ดี
ก็คือ การบรรยายที่ดีและการใช้ภาษา ยังทำให้ผู้อ่านนึกภาพตามไม่ได้
ทั้งตัวละครและสถานที่
2.ทำเนื้อเรื่องรวดเร็วเกินไป
ก็คือ รีบเร่งจนเกินไป ทำให้ผู้อ่าน อ่านตามไม่ทันและยังทำให้
ผู้อ่านเกิดความรู้สึกที่มีต่อตัวละครไม่ทัน
3.ปล่อยอารมณ์ให้อยู่เหนือสมองมากไป
อย่างที่สังเกตได้ง่าย เช่นตอนบนด่ดฟ้า ที่พระเอกเจอคนครั้งแรก
มันเหมือน The Walking Dead มาก และยังมีตอนที่ผมบอกว่า
มี เกลน ขัยรถผ่านหน้าไปอีก เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะจะทำ
ให้มันดูเหมือนการเลียนแบบ

แต่ว่าผมจะยังไม่เลิกแต่งหรอกนะครับ ผมจะฝึกตัวเองเรื่อยๆ และจะแก้ไขงานให้ดี
ผมจะยังคงแต่งต่อและเอามาลงที่เว็บ
และคราวนี้ผมจะให้ผู้อ่านได้ร่วมกับผมชี้ว่า ตรงไหน
ที่ควรได้รับการแก้ไข

ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่าน ไม่ว่าจะครั้งเดียวหรือไม่
ขอให้ทุกท่านโชคดี
ฮ่าฮ่าฮ่า

╬AVENGER╬
2nd May 2013, 10:29
ฝึกฝนและพัฒนาต่อไปครับ ผมเป็นกำลังใจให้ๆ ถ้ามีตอนต่อไปแล้ว จะแวะกลับมาอ่านอีกนะ :cool:

topten002
11th May 2013, 15:59
เป็นกำลังใจให้อีกคนครับรอมาหลายเดือนแล้ว

black jack sdppd
24th June 2013, 18:59
24 มิถุนายน 2556
ถึงทุกคนครับ
ห่างหายกันไปนานเลยโผล่มาทักทาย(ถ้ามีใครรออ่าน) ตอนนี้มันตื้อตันไปหมดแล้วนะสิ
เพราะเนื้อเรื่องโกอินเตอร์ไปถึงปักกิ่งโน่น เอาไงล่ะ ก็เลยต้องไปหาข้อมูลอะไรต่อมิอะไรมา
ทั้งแผนที่ สถานที่ที่จะใช้เขียน ตื้อไปเลยครับ แหะๆ แล้วแผนที่ชื่อเขตุ ตำบลอ่านไม่ออกอีก
อย่าง Dongdan เนี่ย ใครอ่านก็อ่ายว่า ดงดาน ใช่มั้ย แต่ผมคิดว่ามันอ่านว่า ตงหนาน มั้ยก็ไม่รู้สิ
แต่นี่ครับ World War Z ใกล้เข้า อยากไปดูมาก เนื้อเรื่องนี่มาเลยครับ ก็เลยกลับไปดูตัวอย่าง
พบว่ามีตอนที่พระเอกสวมปลอกแขน เหมือนพี่ดีนตอนแรกเลย แถมเนื้อเรื่องยังเหมือนกันด้วย
บร๊ะ ขอบอกไว้ตอนนี้เลยครับว่าผมไม่ได้เลียนแบบ(ยังไม่ได้ดูด้วย) แล้วในนิยายาผมกะให้พระเอกไปตระเวนหลายๆประเทศ
ก็เหมือนในหนังอีก โอ้ แต่ผมกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเหมือนตอนนี้นาะสิครับ ก็เลยจะลดหย่อนเรื่องสถานที่
แล้วผมอยากถามเพื่อนๆอีกว่า เนื้อเรื่องผมควรจะไปรู้ตัวโกงเอาตอนหลังหรือรู้แต่ตอนนี้แล้วใส่องค์ประกอบอย่างอื่นไปแทนดีครับ

ผมคิดว่าฝีมือผมเริ่มพัฒนาแล้วนะ(เอาดิ ชมตัวเองไปเล้ย) หลังจากอ่านนิยายอื่นอีกหลายเรื่องอย่างของ ลี ไชลด์ - แจ็ค รีชเชอร์
หรือ แดน บราวน์ โอ้โห สนุกมากครับ อีกเรื่องคื่อ เวิล์ด วอร์ ซี - แม็ก บรู๊กซ์ สนุกมากครับ เป็นหนังสือที่อ่านได้ดี
แต่การแปลทำได้...(ขอพูดหน่อย)ห่วยมากครับ(พูดที่แรกเลยนะ) จริงๆแปลห่วยมาก Holy Shit - (บัดซบแล้ว) อุจจาระเทวะ
Shit - เชียต MotherFucker - มารดาห่ะเช็ด แล้วอีกอย่างที่แปลแบบทับศัพท์เช่น ก็อแดมทหาร หรือ เหล้าฆ่าปีศาจ
ผมรู้ว่าไม่ควรไปวิจารณ์เขามากๆ แต่ในเมื่อเขาทำมาแล้ว ให้คนอ่านก็ควรทำให้ดีที่สุดสิ ใครอ่านอังกฤษได้ก็ซื้อแบบอังกฤษเถอะครับ
แต่หนังสือเนื้อหาดีมากแบบว่า เป๊ะอ่ะครับ สนุกมาก ผมเนี่ยอ่านจบได้ไม่ถึงเดือน(ไม่ได้อ่านทั้งวัน)เพราะเเนื้อหาและความชอบ
พูดไปพูดมา ไปรีวิวหนังสือซะแล้ว

สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนรออีกนิดนะครับ เนื้อเรื่องผุดมาในหัวแล้ว ตื่นเต้นกว่าเดิมแน่นอน แต่ตอนนี้คอมไม่ติดอีกแล้ว เซ็งนะเนี่ย
แถมการบ้านก็เยอะใช่ย่อย ถ้าทำได้ก็คงแวะมาเขียนทุกวันนะครับ

จาก
black jack sdppd

ปล. รูปร่างของดีนที่พลาดไม่ได้เขียนคือ สูง กำยำ ผมทรงประมาณทอม ครูซ หล่อพอประมาณ(พระเอกนี่นะ) EDIT คิดถึงหน้า มาร์ค วอลเบิร์ก
ได้เลย
ฮ่าฮ่าฮ่า

black jack sdppd
8th July 2013, 17:37
บทที่12.2 จุดเริ่มต้นของจุดจบ

เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ลงจอดบนพื้นสนามบินช้าๆ เชฟนั่งหน้าซีดเพราะกลัวความสูง ส่วนคนอื่นกลับตื่นเต้น เพราไม่เคยขึ้นเฮลิคอปเตอร์
เป็นความโชคดี ที่มีทหารบางส่วนได้ประจำการที่เครื่องบิน ตอนที่มีข่าวเรื่องการแพร่เชื้อ การป้องกันจึงเป็นไปด้วยดีกอปรกับที่สนามบินนี้ปิดตัวลงมานาน ระหว่างทางที่บินมา เดนนิส เห็นศพมากมายห่อด้วยผ้าถูกลำเลียงนำไปเผาที่ลานร้างใกล้ๆ สนามบิน
เดนนิสกับพวกเดินตรงไปขึ้นเครื่องบินที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ บันไดค่อยๆหย่อนลงมา จอห์นท่าทางตื่นเต้นกว่าเพื่อน ขณะที่ พอล คุยว่าตัวเองเคยขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินที่ขนาดเล็กที่สุดในสนามบิน แต่ก็ถือว่าอบอุ่นถ้าผู้โดยสารมีแค่ 5 คนคือเดนนิสและลูกทีม
" เครื่องบินจะออกในห้านาที ขอให้อาสาสมัครทุกคนไปขึ้นเครื่องด้วย" เสียงของผู้จัดการสนามบินดังขึ้น
เดนนิสและลูกทีม เดินขึ้นเครื่องบินด้วยท่าทีที่ตื่นเต่น พอลเกาะราวบันไดไว้แน่นและหน้าซีดเต็มทน
"ในเครื่องบินนี้จะมี 50 ที่นั่ง เลือกได้ตามใจชอบและตอนนี้เราไม่มีทั้งแอร์โฮสเตจและสจ๊วต ฉะนั้นบริการตนเอง มีห้องน้ำและห้องครัวอยู่อาหารยังครบ" ผู้จัดการสนามบินแจ้งข้อมูล "เอาล่ะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ หวังว่าจะมีชีวิตรอด"
"เชื่อมั้ย ไอหมอนั่นไม่ใช่ผู้จัดการสนามบินหรอก" พอลบอก ขณะที่ถอดหน้ากาก
"ทำไมรึ" บิลถามอย่างสนใจ
"ถ้าเขาเป็นผู้จัดการ คงจะไม่ทำให้ลูกค้าต้องลำบาก จริงมั้ย" เมื่อพูดเสร็จ ทุกคนก็หัวเราะ
"บ้าเรอะ เราไม่ใช่ลูกค้าสักหน่อย" เชฟยิ้ม
"ขอให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่และรัดเข็มขัดด้วย เรากำลังจะขึ้นเครื่องแล้วครับ" เสียงของกัปตันดังจากลำโพง

บนเครื่องบินไม่เลวร้ายนักสำหรับเดนนิส แม้พอลจะบอกว่าไม่ชอบก็ตาม เดนนิสซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสอะไรดีๆแบบคนอื่นกลับตื่นเต้น บนเครื่องบินนี้มีอาหารและเครื่องดื่มอร่อยมากมาย ซึ่งบิลคนที่อ้วนที่สุดของกลุ่มก้ทานเข้าไปไม่หยุดปาก จนโดนเพื่อนแซวหลายที
"นี่เอาตามความจริงนะบิล แกน่ะน่าจะตายไปแล้วด้วยความอ้วนขนาดนี้ แต่กลับรอดมาได้ยังจะมากินฟูมฟามอีก" เชฟแทงใจดำ
"แกพูดแรงไปหน่อยมั้ง เชฟ" พอลบอก ซึ่งมีจอห์นยืนงงอยู่ข้างๆ
"เออ ใช่เชฟ ฉันว่าแกพูดแรงไปหน่อยแล้วว่ะ" บิลตามทันที "แกก็ไม่รอดหรอก ถ้าเดนนิสไม่มาบอกแก ทำเป็นพูดมากกลบความขี้ขลาดของตัวเองอยู่ได้"
"โห ไอหมูตอน จะเอาใช่มั้ย ฉันจะฟัดแกให้ตกเครื่องบินไปเลย" เชฟท้า
"เอาเซ่"
"เห้ย พอเลย ไอพวกงี่เง่า อะไรของพวกแก ถ้าอยากสู้กันนักก็ไปสู้นอกเครื่องบินไป ! " เดนนิสขัด "เรากำลังไปสถานที่ที่ต้องสามัคคี แต่ดันมากัดกันอย่างกับหมา" เขามองหน้าทั้งคู่ "ไง อยากมีเรื่องไม่ใช่เหรอ ไปสิ จะได้หายบ้าสักที"
ทั้งห้องเงียบ ไม่มีใครก็มีเรื่องกับเดนนิสแน่นอนเพราะในกรมตำรวจฝีมือการต่อสู้ระยะประชิด ของเดนนิสมีมากจนถูกตั้งฉายาว่า "เดน เวย์น" ซึ่งมาจาก บรู๊ซ เวย์น หรือ แบทแมน นั่นเอง
"ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับนายหรอก หัวหน้า " เชฟถากถางแล้วเดินเบียดไหล่ออกจากครัวไป ขณะนั้นบิลได้ขว้างห่อขนมมาใส่เชฟ ซึ่งเดนนิสสามารถรับไว้ได้และส่ายหัวช้าๆ บิลมองหน้าอย่างหวาดกลัวและทิ้งตัวลงที่เก้าอี้และไม่แตะต้องอาหารขยะอีก
เดนนิสเดินห่อเหี่ยว กลับมานั่งที่ห้องโดยสาร พร้อมกับครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ยังไม่ทันไร ลูกทีมก็วุ่นวายถึงเพียงนี้ ต่อไปมันจะเป็นอย่างไร เดนนิสได้แต่นึกภาพตัวเองถูกล้อมด้วยเหล่าซอมบี้ มีเบื้องหลังเป็นไฟสีแดงฉาน
"เดนนิส เดนนิส ตื่นได้แล้ว" เสียงจอห์นดังขึ้นในหัว เดนนิสค่อยๆลืมตาขึ้น "ฮ่าๆ นายหลับนานทีเดียว เราจะถึงแล้ว"
"เหรอ แล้วเชฟกับบิลเป็นไง" เดนนิสถามแบบงัวเงีย จอห์นทำท่าขึงขังทันที
"ระหว่างที่นายหลับน่ะ พวกเขาท้ากันไปชกต่อยที่ครัว" จอห์นกระซิบ สายตากรอกไปมา
"เรอะ! พาฉันไปพบไอพวกบ้านั้นหน่อย" เดนนิสโกรธฟึดฟัด แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของ จอห์นเขาก็เริ่มตื่นยิ่งขึ้น
"ไอบ้า มาหลอกฉันเรอะ" เดนนิสหัวเราะ พร้อมกับปาหมอนที่วางไว้บนตักใส่ จอห์นได้แต่วิ่งขำไป
"เออ ตอนนี้ทุกคนอยู่ในห้องครัว" จอห์นบอกก่อนที่จะเดินหายไปทิ้งให้เดนนิสนั่งอยู่คนเดียว
เดนนิสเริ่มสงสัยทีละนิด ที่ทุกคนไม่มีความกลัวเลย แต่กลับสนุกสนานกันไป หรือว่าเดนนิสจะเครียดมากเกินไป เขาส่ายหัวปัดเป่าความคิดออกไป
"เราใกล้จะถึง สนามบินปักกิ่งใน 20 นาทีผู้โดยสารกรุณานั่งและรัดเข็มขัดด้วย" เสียงกัปตันดังมาจากลำโพง สมาชิกในทีมที่เหลือจึงทยอยเข้ามานั่ง หน้าตาไม่สู้ดีเท่าใดนัก
"ไงตื่นเต้นสิท่า" พอลเข้ามาชกไหล่ ฝืนยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะกลัวสิ่งที่จะเจอข้างหน้าหรือกลัวเครื่องบินกันแน่ "เราจะต้องผ่านไปด้วยดีเชื่อฉันเถอะ" เขายิ้มให้กำลังใจ เดนนิสยิ้มตอบไม่พูดอะไร พอลเป็นเพื่อนที่ดีเสมอเคียงบ่าเคียงไหล่กันตลอด พอลไม่ไปสมัครเป็นทหารเพื่อที่จะได้มาเป็นตำรวจเหมือนเดนนิส ซึ่งความจริงหุ่นแบบเขาน่าจะสมัครทหารผ่านได้แน่ๆ แม้เขาจะเตี้ยไปหน่อย
หลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ผู้โดยสารมักจะตื่นตระหนกนั่นคือการลงเครื่องบิน พอลเกาะแขนเก้าอี้ไว้แน่น จอห์นโห่ร้องเล็กน้อย ส่วนเดนนิส เชฟและบิลนั่งเงียบ เครื่องค่อยๆลดระดับความสูงเรื่อยๆ จนกระทั่งจอดลงบนพื้นสนามได้สำเร็จ ประตูเครื่องบินค่อยๆเปิด เดนนิสไปรอที่หน้าประตูอย่างตื้นเต้น
เดนนิส ลงจากบันไดเครื่องบินช้าๆ วาดภาพตัวเองเป็นนักธุรกิจ สวมชุดสูทและแว่นตาดำและกระเป๋าเอกสารท่าทางมีภูมิฐาน แต่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันอีกแบบอย่างสิ้นเชิง ชายสูงหกฟุตหนึ่งยาวถึงบ่าในชุดทหารสีดำดูบึกบึนมือถือกุมปืนไรเฟิลไว้แน่นและห่างไกลจากมีฐานะ
"เอาล่ะ ทุกคน" เดนนิสเอ่ยช้าๆ เมื่อเห็นสภาพเบื้องหน้า เขาหันไปหาลูกทีมที่สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกแล้วหันไปเชิญกับสภาพเบื้องหน้า "ประจัญบาน"

ณ ตงหนาน ชายคนหนึ่งตัวสูง หน้าแหลม ออกวิ่งอย่างเร่งรีบเพื่อออกจากถนนเทียนอันเหมิน มือถือปืนลูกซองเรมิงตัน 870 ไว้ โดยห่างออกไป มีเหล่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากวิ่งติดตามมา
เขาวิ่งเข้าไปหลบในบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ซึ่งผุพังเต็มทนมีร่องรอยการรื้อกระจาย เขาวิ่งเข้าไปในห้องครัวซึ่งอยู่ข้างในสุดของบ้าน เห็นตู้เสื้อผ้าสีดำที่ประตูห้อยอยู่ เขารีบเข้าไปหลบในนั้น ตู้เสื้อผ้าที่อับชื้นแม้ไม่มีเสื้อผ้า แสดงให้เห็นว่า เจ้าของบ้านเริ่มอพยพเมื่อไม่นานมานี้
เวลาผ่านไปนานมาก เขาซึ่งนั่งหมดกำลังใจในตู้เสื้อผ้ากอดปืนลูกซองร้องไห้ออกมา นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สูญเสียไปเพราะเหตุการณ์บ้าๆนี้
"บ้านนี้น่าจะใช้ได้" เสียงกระซิบของผู้หญิงดังขึ้น เขาชักปืนพก เอ็ม 9 ออกมา พยายามมองลอดประตู ซึ่งเห็นแต่ผนังสีขาว
"ใช่ถ้าจะใช้พักสักคืนก็โอเค" คราวนี้เป็นเสียงของผู้ชายดูเหนื่อยล้า "รอพวกมันผ่านไปก่อน แล้วค่อยไปที่พระราชวังต้องห้าม"
เขาค่อยๆรวบรวมความกล้า ผลักประตูออก เดินไปที่ห้องนั่งเล่นช้าๆ ใช้ความรู้สึกนำทางไป แต่น่าแปลกที่ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความดีใจ
"เฮ้" เสียงของผู้หญิงทักขึ้น เมื่อเห็นคนที่ไม่ติดเชื้อเดินออกมา
ปัง ปัง
เสียงปืนดังขึ้นสองนัด พร้อมกระสุนที่ไปเจาะกะโหลกของสองผู้รอดชีวิตอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนทำให้เขาปวดหัว เขาทิ้งแขนที่จ่อปืนไปข้างหน้าและทรุดตัวลงหลังพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง
หลังจากทำใจได้ เขาค่อยๆดันตัวเองขึ้นจากพื้น เดินไปสำรวจศพสวมชุดสูทที่เขาพึ่งสังหารไป คนแรกเธอเป็นผู้หญิงที่สวย มีหมวกคลุมหัว ข้างกายมีดาบตกอยู่ อีกคนเป็นชายที่อาจจะเป็นแฟน เพื่อนหรือผู้รอดชีวิตอีกคนที่มาเจอกัน ชายคนนั้นใช้ดาบเป็นอาวุธเช่นกัน หลังจากที่ค้นตัวทั้งสองเขาได้สิ่งของที่จำเป็นมามาก เช่น เงิน ไฟแช็ค มีดพับ
เขาเริ่มได้ยินเสียงคำรามจากที่ไกล เสียงเดียวไม่สามารถดังขนาดนี้ได้ เขาวิ่งออกจากบ้านเล็กนี้ และเข้าไปหลบในบ้านอีกหลัง ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นตกแต่งสไตล์จีนแท้ๆ เขาเดินสำรวจไปทั่วบ้าน เมื่อไม่พบผู้ติดเชื้อเขาเดนขึ้นบันไดที่ต่อไปยังห้องนอนใหญ่ เขาล็อคประตูทันทีที่เข้าห้อง
ภายในห้องกว้าง มีเตียงคู่นอนอยู่กลางห้องติดกับฝาผนัง ห้องว่างสิ่งของถูกเคลื่อนย้าย เหลือเพียงแต่ทีวีจอห้าสิบนิ้ววางตรงข้ามกับเตียง ตรงมุมบนของห้องมีห้องน้ำขนาดเล็กที่แม้จะมีฝักบัว ก็ไม่นิยมใช้อาบ
เขาค่อยๆเดินช้าๆไปที่เตียงนอน ถอดรองเท้า ทิ้งอาวุธปืนไว้ข้างๆและกระโดดทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างแรง สัมผัสกับความนุ่มแบบพอดีที่ไม่เคยได้ลองมาหลายวัน
เสียงคำรามยิ่งดังชัดเจนขึ้น มันมาอยู่หน้าบ้านที่เขามาอาศัยแล้ว เสียงวิ่งหายไปเหลือแต่เสียงครางฮือๆ ผ่านไปสักพัก มีเสียงอะไรบางอย่างชนประตูเบาๆ สองสามครั้งและหยุดไป
ผู้ติดเชื้อเมื่อไม่พบหนทางที่ไปต่อ ก็จะหาเส้นทางใหม่ เขารู้ดีเขาผจญอะไรมามาก เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น น้ำตาก็เริ่มไหลอีกครั้ง
และสิ่งที่เขาพึ่งทำ เขาควรจะเสียใจหรือไม่ ประสบการณ์สอนเขาดี ว่าไม่ควรไว้ใจใคร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่ยิงเขาและออกไปต้อนรับอย่างเจ้าบ้านที่ดี สองคนนั้นอาจจะปล่อยให้เขาเป็นเหยื่อ ทรยศเขา หลังจากหลายวันผ่านมา สิ่งที่สอนเขาได้ดีที่สุดคือ สิ่งที่ไม่ควรไว้ใจ คือ จิตใจมนุษย์
เขานะท่าตะแคงซ้ายบนตียง มือล้วงกระเป๋ากางเกงขวา ดึงซองสีขาวเล็กๆออกมา ข้างในบรรจุแฟลชไดร์ฟเอาไว้ หน้าซองมีกระดาษแปะ "สัญญาค้าอาวุธชีวภาพ"

black jack sdppd
3rd September 2013, 19:03
3 กันยายน 2556
สวัสดีครับ
ตอนนี้ผมกำลังเขียนพล็อตเรื่องใหม่อยู่เพื่อให้มันสั้นและกระชับกว่าเดิม
ตอนที่ 12.3 ใกล้มาแล้วครับเพราะตอนนี้ได้ศึกษาแผนที่ปักกิ่งอย่าง
ไม่ละเอียดมาแล้ว อีกไม่นานก็คงได้อ่านกันครับ
ขอขอบคุณทุกกำลังใจด้วยนะครับ
ป.ล. เพลง An Ideal Of Hope นี่มันเพราะจริงๆเลยนะครับ
จาก
black jack sdppd

3 กันยายน 2556
ผมยังมีงานเขียนอีกอย่างครับไม่ใช่นิยาย
เป็นหนังสือเอาชีวิตรอดจากซอมบี้
อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วครับ แต่กำลัง
ศึกษาหาข้อมูลบางอย่างอยู่ รับรองว่า
เป็นอะไรที่โคตรเอาฮาแต่แฝงอะไรหลายอย่างไว้แน่นอน
จาก
black jack sdppd

3 กันยายน 2556
มีนิยายหลายเรื่องในหัว ถ้ามีพลังวิเศษนะ
จะเขียนให้เสร็จในวันเดียวเลย

Quality Recommand
เอามาลงในหมวดนิยายแล้วนะครับ
the betray series
ตอนนี้คิดพล็อตได้ 7 ภาค เป็นเรื่องของ
อดีตสายลับที่มักจะเจอเรื่องซวยมหาวินาศและการหักหลัง
Fox City
นักสืบที่ถูกย้ายเข้าไปในเมืองร้อยเล่ห์เพื่อ เอาผิดเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่
แต่เขาจะทนชาวเมืองตัวแสบได้อีกนานเท่าไหร่
The Friend
เรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ดันมีเพื่อนเป็นมนุษย์ต่างดาว
ที่มีโค้ดปริศนาติดมาด้วย
Three Sun To One Strongest
เรื่องราวของยากูซ่าสามแก็งค์ที่ชิง
ความเป็นใหญ่กัน
Void Of True
นิยายสืบสวนสั้นๆแบบหักมุม
มีสามตอน
The Earth War Story
เรื่องราวระหว่างศึกของ มนุษย์ เทพและอมนุษย์
เป็นนิยายที่เอาตำนานในโลกมายำกัน
Must Alive
นิยายของเด็นนักเรียนชายที่แอบชอบ
รุ่นพี่แต่เมื่อถึงงานกีฬาสีกลับมีซอมบี้บุก
ทั้งคู่ซึ่งพลัดหลงจากกลุ่มจึงต้องจับมือกันเอาชีวิตรอด
เรื่องนี้จะจบแล้ว คงได้เอามาลงหมวดนิยายสักวัน

นี่ละครับ มันมีอะไรหลายอย่างมากมายเลย
แต่ว่ามันก็ยากที่จะทำเพราะฉะนั้นคนเราต้องรู้
ฝันก็เหมือนสะพานที่ผุยากที่จะข้าม แต่เมื่อวันหนึ่งเราข้ามมันไปได้
พอเรามองย้อนกลับไปมันจะเป็นความภาคภูมิใจไปชั่วชีวิต
จาก
black jack sdppd

ป.ล. กระทู้ที่ 500 ปั๊มอย่างสวยนะครับเนี่ย
ฮ่าฮ่าฮ่า

black jack sdppd
3rd October 2013, 15:30
บทที่ 13 ลงพื้นที่

17:05
ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ตัวอาคารมืด มีผู้รอดชีวิตนั่งเกาะกลุ่มอยู่ข้างใน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ที่แย่คือด้านหลังตัวอาคารถูกเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กพุ่งเข้าชน ไฟยังติดอยู่เล็กน้อย ภายนอกเจ้าหน้าที่ขนศพจำนวนมากออกไปวางรวมกันเตรียมพร้อมที่จะจุดไฟเผา
เดนนิสและทีม วิ่งพล่านทั่วสนามบินเพื่อสอบถามหาข้อมูลจากผู้ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
"คุณโชคดีที่มาในตอนนี้ เพราะถ้านานกว่านี้อีกหน่อยมันวุ่นวายกว่านี้เยอะ" จุนเฉาพนักงานต้อนรับส่วนหน้าของสนามบินกล่าวกับพวกเขา ขณะที่เดินพาเขาไปหาผู้จัดการ จุนเฉาเป็นชายร่างเตี้ย หน้าตาดูฉลาดและอัธยาศัยดี
"ผู้จัดการน่าจะช่วยอะไรคุณได้เยอะ แต่เขาเป็นพวกถือตัวหน่อยๆ สุภาพกับเขาหน่อยละกัน" จุนเฉาแนะนำก่อนที่จะเปิดประตูให้เขาเข้าไปสู่ห้องผู้จัดการ
ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างมีโซฟาอยู่ทางด้านขวาห้อง ชั้นหนังสือทางด้านซ้าย และผนังห้องเต็มไปด้วยรูปศิลปะ ด้านหลังห้องเป็นกระจกขนาดใหญ่ทำให้เห็นวิวด้านนอก ตรงกลางห้องโต๊ะทำงานขนาดใหญ่มีเหลียงจือเซิ่น ชายร่างอ้วน ผมล้านเลี่ยนนั่งกุมขมับ เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นอเมริกันห้าคนเดินเข้ามา
"เศรษฐกิจนับวันยิ่งถดถอย โลกก็มาเป็นแบบนี้ซะอีก จะให้ทำมาหากินอะไรได้" เขาทักเป็นภาษาอเมริกัน "เชิญนั่งสิ อเมริกัน" เซิ่นกล่าวเชื้อเชิญ
"เอ่อ ขอบคุณครับ" เดนนิสขอบคุณและดึงเก้าอี้นั่ง คนที่เหลือไปนั่งที่โซฟา "ผมเดนนิส หนึ่งหน่วยงานพิเศษที่ถูกส่งมาแก้ไขปัญหาในประเทศต่างๆ" เดนนิสเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปจับมือกับเซิ่นเขาเขย่ามือเบาๆ
"ไม่ช่วยเหลือประเทศตัวเองก่อนเหรอ อเมริกามีคนเกินรึไง" เขาพูด จ้องหน้าอยู่พักใหญ่ "ผมชื่อเหลียงจือเซิ่น" เขาแนะนำตัวเอง "เป็นผู้จัดการสนามบินนี้ อย่างที่คุณเห็น" เดนนิสพยักหน้าและแนะนำลูกทีมเขาทีละคน
"คุณเซิ่นครับ ผมมีเรื่องอยากจะให้คุณ--"
"อยากให้ช่วยแนะนำเรื่องสถานที่สินะ" เซิ่นพูดตัด "ความจริงก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอก งานการก็มีต้องทำ เรื่องต้องรับผิดชอบก็เยอะ ยังต้องมารับใช้อเมริกันอีก"
"เหรอ ก็ไม่เห็นจะทำอะไรนิ่" เชฟเหน็บแนม
"ใครสั่งให้เขาพูด" เซิ่นชี้หน้า เชฟอ้าปากจะโต้ตอบ แต่เดนนิสชูมือห้าม
"โปรดเข้าใจด้วยนะครับว่า อเมริกันนี้มาเพื่อช่วยพวกคุณ" เดนนิสกล่าวอย่างปราณีปราณอม
"เฮอะ! ช่วยเรอะ ช่วยอะไร พวกแก เป็นพวกแรกที่แพร่เชื้อที่ปักกิ่ง" เซิ่นขึ้นเสียง "อยากรู้อะไรดีๆมั้ย อเมริกัน เมื่อเจ็ดวันก่อน แอร์โฮสเตจ ของโบอิ้ง เจ็ดสี่เจ็ด โทรมารายงานฉันว่า พบอเมริกันป่วยบนเครื่องบิน จากนั้นก็ไล่อาละวาดกัดคนนู้นคนนี้ไปทั่ว" เซิ่นส่ายหน้า
"โทษนะ บนเครื่องบินมันโทรได้ด้วยรึไง" เชฟถาม
"ใช้คลื่นความถี่พิเศษไง ไอ้บื้อ" เซิ่นว่า เชฟลูบปืนตัวเองยังเมามันส์ โชคดีที่เซิ่นไม่เห็น
"เดี๋ยวสิ ไม่ใช่ว่าจะติดเชื้อใน--"
"ยี่สิบวินาทีใช่มั้ย" เซิ่นตัดบทเดนนิส "ม่ายอ่ะ เปล่าเลย มันประหลาดมาก" เขาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนเพลีย "คุณต้องการอะไร เดนนิส"
"โอ้! เอ่อ คุณน่าจะรู้จักที่นี่ดี ผมเลยอยากรู้ว่าควรจะเริ่มที่ไหนก่อน" เดนนิสดีใจที่เซิ่นลดท่าทีดูถูกไปได้
"อยากเปิดวิทยุให้ฟังนะ แต่กลัวนายฟังไม่ออก" เซิ่นพูด "ปักกิ่งน่ะ มีที่ให้หลบซ่อนที่ดีที่สุดอยู่สองที่ คือ ที่นี่และพระราชวังต้องห้าม หวังว่าจะรู้จัก" เขาหยุดรอเดนนิส เมื่อเดนนิสพยักหน้า เขาจึงว่าต่อ "ทั้งสองที่ชัยภูมิดีที่จะป้องกันคุณคงเห็นว่ามีผู้รอดชีวิตเยอะแค่ไหนข้างล่าง แถมเสบียงก็มีเยอะด้วย" เซิ่นว่า "แต่ถ้าพวกคุณอยากหาผู้รอดชีวิตที่ติดตามถนนทั่วไปละก็ แถวๆตงหนานไม่ก็เซียนเหมิน"
"เดี๋ยวเราไปหาต่อใน จีพีเอส" เดนนิสลุกขึ้นเอื้อมมิอไปจับกับเซิ่น "ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ" เดนนิสพยักหน้าให้ลูกทีมแล้วทุกคนก็เดินออกไปจากห้องทันที
"ขอบคุณที่พาฉันหนีจากไอ้บ้านั่น" เซฟบอก "ไม่งั้นฉันยิงมันแน่ๆ"

แลงก์ลี่ย์ เวอร์จิเนีย
เฮลิคอปเตอร์ที่ต่อมาจากสนามบินค่อยๆ ลงจอดบนพื้นดาดฟ้าของสำนักงานซีไอเอช้าๆ ผมมองออกไปนอกหน้าต่างพบคนสามคนมายืนรอกันอยู่มีชายคนหนึ่งที่ตัวหนาและผิวดำมาก หวังว่าจะไม่ใช่คนที่ผมคิด
ข้างๆเอ็มม่ากำลังคุยกับเพื่อนผู้รอดชีวิตอย่างสนุกสนาน โอเลดคุยเกี่ยวกับซีไอเอในภาพยนตร์ที่เคยดูอย่างตื่นเต้น แจ็คกับซินแคลร์ดูมีท่าทีที่ดีต่อดีกันมากขึ้นแต่ก็ยังกระแนะกระแหนกันอยู่ เจฟกับเคลลี่สวีทกันตลอดทาง น่าอิจฉา โรลหลับมาตลอดทางและโจนส์ก็นั่งเหม่ออยู่นานเช่นกัน
ประตูเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆเปิดออกผมลงเป็นคนแรกพบว่าชายผิวดำร่างสูงนั่นคือ พันเอกเจมส์ รอน ส่วนอีกสองคนผมไม่รู้จัก
"แหม่ ไม่เห็นต้องออกมาต้อนรับเลยนี่ครับ" ผมทักทาย และมองตาอีกฝ่ายอย่างประเมินแม้เขาจะใส่แว่นกันแดดอยู่ก็เถอะ ผมเชื่อว่าอีกฝ่ายก็มองผมอยู่เช่นกัน
"ทุกๆคนต้องการขวัญกำลังใจจากเจ้าบ้านน่ะครับ" ชายอีกคนชวนเขาพูด เขาทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้และแนะนำตัวเอง "ผมเวย์น กิ๊กส์กิน" เขาจับมือกับผมและกับคนอื่นต่อ "เดี๋ยวผมและแลนซ์จะพาทุกคนไปหาห้องพักนะครับ" ผู้รอดชีวิตทุกคนพากันส่งเสียงดีใจ
ผมก้มลงมองนาฬิกา นี่บ่ายห้าโมงแล้วเหรอเนี่ย เหนื่อมาทั้งวันเลย ผมโอบเอวเอ็มม่าและเดินตามกิ๊กส์กินไป
"ไม่ใช่นาย" เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นและหยุดทุกคนเอาไว้ ผมหันหน้ากลับมาภาวนาว่าจะไม่ใช่การเรียกเข้าประจำตำแหน่ง
"นายต้องเข้าประจำตำแหน่ง เรามีงานพิเศษให้นายทำ" รอนพูด หน้าเชิดขึ้นฟ้าเล็กน้อย เดาได้เลยว่าภายใต้แว่นนั้นเต็มไปด้วยสายตาที่ดูถูก ผมเองก็เช่นกัน
"ผมเหรอ" ผมถาม
"ใช่นายนั่นแหละ"
เอ็มม่ามองผมอย่างหวั่นใจ ผมจึงได้แต่มองปลอบไปด้วยสายตาอ่อนโยน ผมพยักหน้ากับรอน
"นายมีเวลาที่จะคุยกับเพื่อนก่อนได้ ใช้ให้คุ้มล่ะ" เมื่อพูดจบรอนก้เดินตัดพวกเราเข้าประตูดาดฟ้าไปก่อนคนแรก

ณ เฉาหยางเหมิน
"ยิงๆ" เดนนิสตะโกน พลางยิงสองตัวข้างหน้าที่หัวอย่างแม่นยำ ด้านหลังเขาทีมอีกสี่คนกำลังยิงใส่พวกที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ศพร่วงเกลื่อน
"เราต้องถอยให้เร็วที่สุด"
เดนนิสวางแก้มลงบนพานท้ายแล้วเล็งเป้าผ่านศูนย์อิเล็กทรอนิกส์ ปัง เสียงดังเล็กภายในที่เก็บเสียงพร้อมกระสุนที่ออกมาจากรังเพลิงถูกหัวของพวกซอมบี้จนล้มลง ปัง ตัวที่สองล้มลงไป ปัง ตัวที่สาม ปัง โดนที่ตัวที่สี่แต่แค่ตัว แต่เขาส่งอีกนัดย้ำตายไปให้
มีอีกตัวพุ่งเข้ามาจากด้านขวา เดนนิสโยนปืนไปให้ซอมบี้ชะงักเล็กน้อย เขาจับไหล่มันแล้วชักขวานเล็กที่เหน็บไว้ที่ขาแล้วจามไปที่หัว จากนั้นก็เหวี่ยงขวานไปใส่อีกตัวที่มาจากทางขวา
"วิ่งๆ" เดนนิสตะโกน เขาเก็บปืนและรีบออกตัววิ่งทันที โดยที่มีพวกข้างหลังตามมาพวกที่วิ่งได้ "เข้าไปที่ตลาดเฉาเหวย"
"อ๊ากกกกกกกก" เสียงร้องดังขึ้นเป็นเสียงที่คุ้นหู จนทำให้ทุกคนต้องหันหลังกลับไปดู
"บิล ไม่" พอลร้อง ทุกคนตกอยู่ในความตะลึง ร่างมากมายรุมทึ้งร่างอ้วนที่นอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้น บิลพยายามจะสลัดมันทิ้งแต่ก็ถูกดึงไว้จากด้านหลัง เขาร้องโหยหวนและพยายามตะเกียกตะกายสุดชีวิต
"ไม่นะบิล ไอพวกบัดซบ" เดนนิสรู้สึกถึงความร้อนที่วาบเข้ามาบนใบหน้า เขากัดฟันพลางคว้าปืนจอห์นมา แล้วกราดยิงเข้าไปในฝูงซอมบี้แต่มันไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัวและกัดกินบิลที่ยังคงดิ้นทุรนทุราย กรีดร้องโหยหวนต่อไป เขาพยายามจะพุ่งเข้าไป แต่เชฟและพอลรั้งเขาไว้และพาวิ่งต่อไป เขาจำเป็นต้องทิ้งบิลไว้อย่างช่วยไม่ได้

_SaBasTaiN_
3rd October 2013, 15:56
เป็นกำลังใจให้ครับผม อ่านไป 1 บทสนุกดีเเต่ถ้าจะให้ดีผมว่าทำพื้นหลังเป็นสีดำได้จะดีมากเลยครับคือผมนั่งจ้องนานๆเเล้วมันปวดตาอ่านนานๆไม่ได้

black jack sdppd
3rd October 2013, 16:28
เป็นกำลังใจให้ครับผม อ่านไป 1 บทสนุกดีเเต่ถ้าจะให้ดีผมว่าทำพื้นหลังเป็นสีดำได้จะดีมากเลยครับคือผมนั่งจ้องนานๆเเล้วมันปวดตาอ่านนานๆไม่ได้

ขอบคุณมากๆเลยครับ
แล้วพื้นหลังที่ว่านั่นทำไงเหรอครับ
หมายถึงทำตัวหนาก็ใช่มั้ยครับ
ที่ผมทำได้ตอนนี้คงแค่ทำตัวอักษรใหญ่น่ะครับ
ขออภัยในความไม่สะดวก
ฮ่าฮ่าฮ่า

_SaBasTaiN_
3rd October 2013, 16:38
ขอบคุณมากๆเลยครับ
แล้วพื้นหลังที่ว่านั่นทำไงเหรอครับ
หมายถึงทำตัวหนาก็ใช่มั้ยครับ
ที่ผมทำได้ตอนนี้คงแค่ทำตัวอักษรใหญ่น่ะครับ
ขออภัยในความไม่สะดวก
ฮ่าฮ่าฮ่า
ตามนี้ลิ้งด้านล่างนี่เลยครับเลื่อนลงมาล่างๆหน่อยของคุณ aehrocker
http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=30110

black jack sdppd
6th October 2013, 17:38
บทที่ 14 สุขสงบที่หายไป

ควรทำในสิ่งที่เราทำได้แม้ว่ามันจะยากมาก แต่ถ้าเราทำได้ เราก็ต้องทำได้ ผมอยู่ที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ที่แลงก์ลี่ย์ เวอร์จิเนีย แต่ผู้คนส่วนมากรู้จักในชื่อสั้นๆ ซีไอเอ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมกับเหล่านักสู้มาเหยียบที่นี่ แต่กลับพบว่ามีคนมาอยู่ที่นี่มากมาย อาคารขนาดใหญ่ถูกจัดสรรส่วนเพื่อใช้ในการเป็นที่พัก ผมอยู่ช่วงพักร้อนจึงไม่ต้องไปอยู่ในโซนทหาร ซึ่งเป็นตึกข้างๆ แต่ว่าแน่นอนผมซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงกลับถูกเรียกไปใช้งาน หมดพักร้อนซะแล้ว
หลังจากที่ผมจูบส่งเอ็มม่าเข้านอน ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นถัดโดยใช้ฝีเท้าที่เงียบที่สุด
ผมเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูกระจกซึ่งเขียนไปติดไว้ข้างบน "ห้องประชุม" ผมเคาะประตูสองทีด้วยท่าทีเอื่อยๆ เปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีโต๊ะยาวกลางห้อง มีโต๊ะคอมมากมายเรียงรายอยู่และบนผนังมีจอสี่จอซึ่งแสดงข้อมูลต่างๆ ภายในห้องกำลังวุ่นวาย ผมหยุดทำความเคารพนายพันสองคนซึ่งเขาพยักหน้ารับ
"ท่านผู้พันเรียกผม เพื่อให้เข้าประจำการเหรอครับ" ผมพูดเสียงเย็นๆ ความทรงจำเลวร้ายระหว่างผมและเขาผุดขึ้นมาทันที แต่เรื่องมันก็ยาวและยากเกินกว่าจะคิดให้หมด
"เปล่าหรอก ไทเลอร์ เรามีงานที่ง่ายกว่านั้นให้นาย" ผู้พันตอบ ชายร่างใหญ่ผิวดำเข้ม ผมเกรียน แสดงความรู้สึกทางสายตาเท่านั้น เขาแต่งตัวด้วยชุดเต็มยศ "เราที่นี่รู้จักนายดีหลังปฏิบัติการ รัสเทอร์ริส"
ผมมองไปรอบห้องช้าๆ ไม่มีความรู้สึกใดๆจากคำชมเพราะผมเกลียดเขายิ่งกว่าศัตรูบางคนที่ผมยิงแบบเผาขนซะอีก ได้แต่ทำสีหน้านิ่งๆ
"เราจึงเล็งเห็นว่านายจะทำงานให้เราได้ใช่มั้ย" ผู้พันถามเสียงแน่น มองผมอย่างพินิจผมเกลียดสายตาอย่างนี้ที่สุดและเพราะเป็น รอน ผมจึงเกลียดทุกอย่างที่เขาทำโดยไม่มีเหตุผล
"งานที่ว่ามีอะไรเหรอครับ" ผมถามอาจจะดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่ถ้าออกจากปากรอนหนึ่งในข้อดีของเขา คำไหนคำนั้น
"เมื่อเจ็ดวันที่แล้ว" คราวนี้ไม่ใช่รอนพูด แต่เป็น พันเอกเนเก้น ผู้พันสุดเฮี้ยบอีกคน เขาดูใจดีทั้งในและนอก แตกต่างจาก รอนทุกอย่างแม้สีผิวแถมเนเก้นยังดูดีอีกด้วย "วันจันทร์ที่แล้วน่ะ" งั้นนี้ก็วันอังคารน่ะสิ ผมลืมดูวันที่ไปแล้ว แทบไม่ได้นึกถึง ถ้างั้นวันนี้วันที่เท่าไหร่ "เกิดการโจมตีที่ทำเนียบขาว มีการบุกจากข้างนอกมาไม่ขาดสายและเราคุมตัวท่านประธานาธิบดีไว้ข้างในห้องตลอด แต่ระหว่างการเคลื่อนย้ายท่านกลับติดเชื้อซะเองและเริ่มต้นอาละวาด กลายเป็นการโจมตีจากภายใน สรุปคือทำเนียบขาวแตกยับ"
ท่านประธานาธิบดีตายแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แย่มาก เหมือนเสาหลักพังครืนลงมา ขาดคนสั่งการที่ดีพอแน่นอน ท่านเป็นคนที่เฉียบขาดมากในด้านการตัดสินใจ
"งั้น ชอว์ตัน ก็เป็นประธานแล้วเหรอครับ" ผมถาม รอส ชอว์ตัน รองประธานาธิบดี ในสมัยที่ รอส เบ็กกิน ยังเป็นประธานาธิบดี ซึ่งตอนนี้เบ็กกินเป็นผีไปแล้ว
"ใช่" ผู้พันรอนตอบ
"งั้นก็ค่อยดีมาหน่อย" ผมเผลอตอบไป ด้วยความโล่งใจ
"สงบปากสงบคำไว้หน่อย ไม่มีใครอยากได้ยินเรื่องการเมืองหรอกนะตอนนี้" ผู้พันรอนดุ
"ครับผมขออภัย"
"งานของนายคือสืบว่าใคร เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด" ผู้พันรอนบอก ผมรู้สึกเหมือนถูกหลุมดำดูด 'มืดมนและสิ้นหวัง' นี่นะเหรอ 'งานง่าย' ที่ว่า
"มันไม่ง่ายเลยนะครับ" ผมพยายามขัดขืน ในสถานการณ์แบบนี้ให้มาเล่นตำรวจจับโจรอยู่เหรอ
"เรามีเบาะแสสำคัญให้นายอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง" ผู้พันเนเก้นให้ความมั่นใจ ช่วยได้เยอะเลย ให้ตายเถอะ
"แล้วถ้าจับได้ ท่านจะทำอะไร จับแขวนตะแลงแกรงกลางสาธารณะรึไง" ผมเหน็บแนม
"ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ" ผู้พันรอนตวาดคนทั้งห้องหันมามอง แต่กลับเป็นตัวผู้พันเองที่รู้สึกเสียหน้า
"ผมอยู่นอกเวลางานครับท่าน จนกว่าผมจะตกลงท่านกรุณาปฏิบัติกับผมเหมือนประชาชนทั่วไปด้วย" ผมเสียบกลับ ผู้พันรอนเหมือนโดนตบดังฉาด "และตอนนี้ผมรับงานนี้"
"ขอบคุณมาก ผู้กอง" ผู้พันเนเก้นจับมือกับผม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เขาก็เป็นหนึ่งในวีรบุรุษสงคราม เรียกได้ว่าเคียงบ่าเคียงไหล่เจมส์ รอน มาตลอด
"ร้อยโท วินด์เชสเตอร์ ล่ะครับ" ผมถามผู้พันเนเก้น เมื่อนึกถึงเพื่อนรักเพราะตั้งแต่มาที่นี่ ยังไม่ได้คุยกันเลย
"เขามีภารกิจต้องทำที่ลอนดอน" ผู้พันรอนตอบ "นายหาคู่หูได้แต่ต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภายใน ทุกคนมีหน้าที่"
"ครับ" ผมรับคำสั้น มองหน้ารอนอย่างสงสัย "แล้วเรื่องเบาะแสล่ะครับ" ผมถามทั้งสองคนเพราะต้องการรู้ทุกอย่าง
"โอ้ เข้าเรื่องสักที" ผู้พันเนเก้นรู้สึกกระตือรือร้นขึ้น เขานำผมไปที่โต๊ะกลมขนาดเล็กที่มี แล้วนั่งกันคนละฝั่ง "เราได้เบาะแสว่า โซเวียตา อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด" สิ้นคำว่า โซเวียตา ความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวกับสงครามเหมือนจะพุ่งชนสมอง ชื่อของ โคเลียม วีนอสกี้ ผุดขึ้นอีกครั้ง ผู้นำผู้ก่อการร้ายของรัสเซีย มหาโหดที่ถูกผมเป่ากะโหลกสมองกระจุย แขนซ้ายกระตุกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องนั้นเพราะสมองของมันกระเด็นมาโดนแขนของผม
"โซเวียตาเนี่ยนะ" ผมเถียง "มันตายไปพร้อมกับผู้นำของมันแล้ว"
"ใช่ แต่เรื่องนี้มันเป็นก่อนที่วีนอสกี้จะตาย" ผู้พันเนเก้นบอกท่าทางใจเย็น
"ว่ากันว่านี่เป็นแผนสองของพวกมัน" ผู้พันรอนพูดบ้าง แผนสอง แผนอะไร อาวุธชีวภาพเชื้อโรคสายพันธ์ใหม่เหรอ ทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ กฎหมายได้ออกมาแล้วว่าห้ามประเทศใดๆยุ่งเกี่ยวกับอาวุธชีภาพ
"รัสเซียแหกกฎข้อที่ว่าห้ามผลิตอาวุธชีวภาพ" ผมคราง "รัสเซียจะประกาศสงครามงั้นเหรอ"
"ไว้นายหาตัวการมาได้เรื่องทุกอย่างก็จะคลี่คลาย" เนเก้นบอก
"แล้วผมควรจะเริ่มที่ไหน" ผมถาม
"ปักกิ่ง" ผู้พันรอนแจ้ง ทำไมต้องปักกิ่งหรือว่าจีนก็จะร่วมมือกับรัสเซียด้วย เรื่องนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสัย แต่ว่ารัสเซียและจีนก็เป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่หนักมากๆนี่นา
"ทำไมต้องเป็นปักกิ่ง" ผมถาม "นี่เป็นสงครามหรือเปล่า"
"ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล นี่มันเรื่องของการก่อการร้าย ข้อเรียกร้อง เป็นเรื่องที่มีลับลมคมในระหว่างสองรัฐบาล" รอนอธิบาย งั้นก็จริงที่ว่าโซเวียตาได้ดีเพราะมีรัฐบาลรัสเซียหนุนหลัง
"งั้นจะมาขอร้องผมทำไม คุณมีเจ้าหน้าที่ซีไอเอเก่งๆมากมาย" ผมแย้งพลางเคาะโต๊ะอย่างใจเย็น "คนที่มีความสามารถมากกว่าผมน่ะ ใช้พวกเขาสิหรือไม่ก็พวกสารวัตรทหา-"
"นายผิดแล้ว" ผู้พันเนเก้นตัดบท "มันไม่เหมือนในหนังที่นายดูแล้วเห็นว่าสายลับซีไอเอ เป็นคนที่มีทักษะด้านการต่อสู้ สิงห์ปืนไฟหรอกนะ แบบนั้นน่ะเราไม่ได้มีมากขนาดนั้น" เขาหยุดให้ผมได้คิดตาม "ทุกคนมีหน้าที่หมด เขาไม่ได้มีความสามารถแบบชกต่อยเก่งอย่างเดียว คนที่ไม่มีสิ่งที่ต้องทำที่นี่ ก็ต้องประสานงานเดินทางไปตามที่ต่างๆ เพื่อวางแผนในการช่วยเหลือและการเจรจาเพื่อความสัมพันธ์อันดีงามทางการทูต" ความสัมพันธ์อันดีงามทูตงั้นเหรอ ตัวเองยังจะไม่รอดอยู่แล้ว แต่ก็เถอะ เรื่องการเมือง เราอย่าไปยุ่งจะดีที่สุด
"แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี" เนเก้นพูดต่อ "เราได้ส่งมือพระกาฬไปแล้วคนหนึ่งเพื่อสืบเรื่องนี้และคอยวางแผนช่วยเหลือตามจุดต่างๆ"
"เขาอยู่ไหนเหรอครับ" ผมถามรู้สึกอยากรู้ แต่ถ้ามาเรียกใช้ผมแบบนี้ผลก็เดาได้ไม่ยาก เนเก้นส่ายหัวช้าๆ
"หายสาบสูญ"
"ผมอยากรู้เรื่องของเขา"
"งั้นก็ลองดู" เนเก้นผลักแท็ปเล็ตมาให้ ผมเปิดดูก็พบว่ามันได้เข้าหน้าที่มีข้อความเขียนเอาไว้อยู่แล้ว

บันทึกการทำงาน เควิน สไตร์เกอร์
10 มิถุนายน 2013
ผมถูกส่งตัวไปมอสโคพร้อมลูกทีมที่ถูกฝึกมาอย่างดีอีก 6 คนเพื่อสืบเรื่องวีนอสกี้ หวังว่าจะมีอะไรบ้างนะ ตื่นเต้นเลยทีเดียว
12 มิถุนายน 2013
ถ้าไม่นับบรรยากาศที่วุ่นวาย ที่นี่สวยเลยทีเดียว สักวันผมจะพาลินดามาเที่ยวที่นี่ ลินดา สไตร์เกอร์และเบอร์แมนด์ทุกคน
14 มิถุนายน 2013
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงกันแน่ กาเรล (ที่ปรึกษาฝ่ายขวา โซเวียตา) บอกว่าวีนอสกี้ไม่เกี่ยวอะไรกับอาวุธชีวภาพแต่เป็นลูกของเขา หน้าอย่างวีนอสกี้ยังมีเมียได้ ยังไงก็ตามแต่ ก่อนที่ผมจะได้ถามต่อ กาเรลก็กระโจนมากัดผม ดีที่หลบทัน มันแปลกตรงที่ว่า เขาไม่ได้ถูกกัด
17 มิถุนายน 2013
เราอยู่ลอนดอนครับ ผมต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้ง สัญญาณมันล่ม นี่หาที่บันทึกได้ก็บุญโข รายงานครับตอนนี้ลูกทีมผมเหลือ 3 คนแล้ว ทุกคนจิตใจย่ำแย่ ไม่รู้จะอยู่ต่ออีกนานแค่ไหน
เราได้รับเบาะแสของที่ปรึกษาฝ่ายซ้าย ซึ่งผมเองก็พึ่งรู้นี่แหละว่ามี มันอาจจะเป็นเบาะแสของทายาทวีนอสกี้ก็ได้
23 มิถุนายน 2013
เจอบ้านของผู้ต้องสงสัยแล้ว นี่อาจจะเป็นบันทึกครั้งสุดท้ายแต่ถ้ารอดชีวิตจะกลับมาบันทึกต่อ ฝากความคิดถึงถึงลินดาด้วยนะ

ผมละสายตาจากข้อความมามองหน้าผู้พันทั้งสอง เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก เชื้อไวรัสระบาดและลูกของวีนอสกี้ นี่มันอะไรกัน
"ผมควรจะไปลอนดอนใช่มั้ย" ผมถาม รอนส่ายหัว
"ไม่ เราได้รับสัญญาณจากเขา เป็นสัญญาณสั้นๆ เมื่อวันที่ 26" รอนหยุดเล็กน้อย "เมื่อสองวันที่แล้วน่ะ" ถ้างั้นวันนี้ก็วันที่ 28 "น้ำเสียงเขาเหมือนพึ่งรู้อะไรมา" รอนมองหน้าเนเก้น เขารับช่วงต่อ
"เขาตะโกนอะไรสักอย่างที่เราแปลความได้ว่าปักกิ่ง"
"แสดงว่าผมต้องไปปักกิ่งใช่มั้ย" ผมถาม ทั้งคู่พยักหน้า
"โชคดีที่ที่โน่นมีหนึ่งในปฏิบัติการรุกฆาตอยู่" เนเก้นบอก "น่าจะช่วยอะไรได้บ้าง"
"แล้วจะให้ผมไปวันไหน"
"มะรืนนี้ เป็นวันที่สายการบินว่างอยู่" รอนชี้แจง "เราจะจองตั๋วไปเมืองจีนให้นาย แต่ในระหว่างนี้ให้นายอยู่ที่นี่ช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน มีอะไรมากมายที่น่าสงสัย"
"ตามมานี่สิ เรามีอะไรจะให้ดู" เนเก้นพูดขึ้นและพาผมออกจากห้องปฏิบัติการและเดินยาวออกไปอีกห้อง ซึ่งดูเหมือนห้องแล็บวิจัยอะไรสักอย่าง
"ไม่นึกว่าซีไอเอจะมีอะไรอย่างนี้ด้วย" ผมพึมพำ
"ใช่ เราดัดแปลงห้องน่ะ" เนเก้นตอบ
ภายในห้องเป็นห้องแบบห้าเหลี่ยมครึ่งแรกของห้องเหมือนจะเป็นส่วนที่ไว้ใช้ทดลองเพราะข้างในมีซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังทุบกระจกอย่างบ้าคลั่ง ครึ่งหลังของห้องคงจะเป็นส่วนวิจัยเพราะมีหน้าจอพลาสม่าขนาดใหญ่สามจอติดแขวนอยู่ข้างหน้า คอมพิวเตอร์และคนที่ใส่ชุดกาวน์อยู่เสียครึ่งห้องอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้เนเก้นก็เดินไปอีกฝั่งของห้องแล้วคุยกับนักวิจัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"สวัสดีครับท่านผู้พัน" คนที่ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ออกมาต้อนรับ ผู้พันพยักหน้าตอบ "นี่ใครเหรอครับ" เขาถามพลางเลิกแว่นสายตาขึ้น
"บุคคลพิเศษน่ะ" รอนตอบเน้นเสียงด้วย ยังไงกันล่ะเนี่ย
"เราไม่สามารถให้ใครมาดูนี่ได้นะครับ ท่านบอกเอง" เขาแย้ง
"เขาเป็นผู้รอดชีวิตที่มีสติครบสามสิบสองนะสิ" รอนตอบอีกครั้ง ควรจะซึ้งสินะ
"จริงเหรอครับ" นักวิทยาศาสตร์ทำเสียงสูงเหมือนชั่งใจ "เดาเลยว่ามันคงพุ่งเข้ามาหาคุณเหมือนเห็นแม็คโดนัลด์ฟรีเลยสินะ"
"อันที่จริงเคเอฟซีน่ะ อร่อยเหมือนกัน" ผมเสนอ "ก็แค่ออกความเห็น" ผมยักไหล่เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งคู่
"ผมศาสตราจารย์ด็อกเตอร์กรอสลิ่ง เวลล์" เขายื่นมือมา "เรียกผมว่าเวลล์ก็ได้"
"ผมร้อยเอกดีน คา ไทเลอร์" ผมจับตอบ "เรียกผมว่าดีนก็ได้"
"โอเค แนะนำตัวกันเสร็จแล้วสินะ" รอนขัด "ด็อกเตอร์ตอนนี้การวิจัยถึงไหนแล้ว"
"ก็ไม่คืบหน้าครับเราแค่รู้ว่าช่วงแรกที่ติดเชื้อมันจะวิ่งเร็วมากเพราะยังแข็งแรงอยู่ แต่เมื่อขาดอาหารปรสิตจะอ่อนกำลังลงน่ะครับ"
"เดี๋ยวนะ ปรสิตเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นปรสิตละก็อาจจะมีทางรักษาก็ได้ "ปรสิตอะไรเหรอครับ"
เวลล์ถูมืออย่างตื่นเต้นเหมือนพบที่ระบายใหม่ เขากวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ห้องทดลอง เขาส่งสัญญาณขอข้อมูลขึ้นหน้าจอที่หนึ่ง เกิดภาพร่างกายของคนในแนวนอนและมีรูปขยายของปรสิตข้างๆ
"เมื่อถูกกัดปรสิตจะเดินทางอย่างรวดเร็ว (ภาพในจอฉายตอนที่ปรสิตเดินทางผ่านปากไปสู่แขน) จากส่วนที่กัดไปสู่สมอง (ปรสิตเดินไปที่ส่วนสมองและทิ่มขาลงไปในสมอง) เมื่อถึงสมองมันฝังตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนซีรีบลัมและซีรีเบลลัม เมื่อได้ฝังตัวเข้าไปแล้วมันจะกินสมองส่วนฮิปโปแคมปัส , อะมิกดาลา , นิวเคลียส แอมบิกิอัส , แนฟีเรียร์ แซลิเวรี นิวเคลียสและไฮโปทาลามัสบางส่วน"
"โว้ๆ ช้าๆหน่อย เขียนเป็นตัวอักษรก็ไม่รู้เรื่องแล้ว" ผมขัดแต่นอกจากเวลล์จะไม่สนใจแล้วเขายังดูพอใจมากขึ้นด้วย
"ส่งผลให้มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด" เขาเสริม
"สรุปว่าปรสิตจะฝังตัวในสมอง ทำให้มันเกิดไอพวกนี้สินะ" ผมสรุปง่ายๆ
"ใช่" เวลล์พยักหน้า "เอาล่ะ คุณรู้อะไรดีๆบ้าง" อืม จะว่าไป ผมก็ไม่ทันได้สังเกตอะไรพวกนี้ด้วยสิ
"รู้สึกว่าหลังๆมันจะวิ่งช้าลง"
"ใช่แล้ว ปรสิตพวกนี้อยู่ได้นาน แต่ถ้าไม่ได้คอเลสเตอรอลก็จะทำให้มันวิ่งช้าลง" เวลล์ยืดอก
"เอ่อ ใช่ๆ มันมองเห็นในที่มืด" ผมกระซิบช้าๆแต่ก็ทำให้ทุกคน หันมามองได้ แม้แต่เวลล์ก็ยังต้องเลิกคิ้วสงสัย
"จริงรึเปล่า" เวลล์ถามย้ำ ผมพยักหน้า ผมจำได้เหตุการณ์ในตึก "งั้นเราก็ต้องทำการวิจัยกันใหม่"
"มันเป็นยังไงเหรอ" รอนถามบ้าง
"คือมองเห็นในที่มืดแหละครับ อาจจะเป็นแบบอินฟราเรดระดับต้น" ผมอธิบาย
"หรือมันจะใช้จมูกหรือหู" เวลล์เสนอความเห็น ผมยักไหล่
"ไม่หรอก เราเคยส่งหน่วยสไนเปอร์ไปคุ้มกันคนสำคัญคนหนึ่งตอนกลางดึก" รอนเล่า "แต่เขาถูกโจมตีรอดมาได้คนหนึ่งจากห้าคน"
"มันเสียงดังเหรอ" เวลล์ถาม
"บ้าเรอะ พลซุ่มยิงไม่ทำเสียงดังหรอกน่า" รอนตะคอก ที่รอนพูดก็น่าคิด พลซุ่มยิงควรสวมชุดที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ปฏิบัติด้วยความเงียบ ผมเองก็เกือบโดนพลซุ่มยิ่งจัดการเอาแล้ว แต่โชคดีที่กระสุนจุดสี่ห้าของผมโดนมันซะก่อน ในระยะเกือบร้อยเมตร ไม่ได้จะคุยหรอกนะ
"แต่เรื่องอาหารของมันน่ะ ผมคิดว่าเราน่าจะหาสิ่งที่เป็นจุดอ่อนได้" ผมเสนอความเห็น
"นั่นล่ะคือหน้าที่ที่นายต้องจัดการ" รอนตอบ "เอาล่ะ นายไปพักได้" รอนพูด แต่ผมรู้เลยว่ามันคือการไล่
"ครับ"
ผมเดินลงบันไดเพื่อไปห้องพักตัวเอง ระหว่างทางเดินมีห้องห้องหนึ่ง คล้ายๆห้องขัง มีซี่ลูกกรงเล็กๆอยู่ แล้วก็มีมือมาจับกรงเอาไว้ ผมหยุดเดิน
"เฮ้ พี่ชาย นายน่ะเป็นทหารใช่มั้ย" เสียงผู้ชายจากข้างในถามมา "ฉันก็เหมือนกัน ฉันเป็นพลซุ่มยิงน่ะรู้มั้ย" ผมเดินเข้าไปใกล้อย่างสนใจ
"ฉันถูกส่งตัวไปทำภารกิจของรอนน่ะรู้มั้ย ฮ่าฮ่าฮ่า" เขาหัวเราะเบาๆเหมือนคนบ้า "ภารกิจบ้าๆน่ะ"
"ฉันอยากคุยกับนาย เปิดประตูสิ" ผมบอก แล้วเขาก็เปิดประตู ตัวเขาใหญ่ประมาณร้อยเก้าสิบเซนติเมตร แต่ดวงตาเบิกโพลงและยิ้มแปลกๆ ถ้าเป็นพลซุ่มยิงจริง เขาควรจะดูเหมือนคนมีสติกว่านี้นะ
"นายต้องสนุกแน่ๆ กับนิทานภารกิจคุ้มกันคนจีน ฮ่าฮ่าฮ่า"
"โอเค เราต้องคุยกันหน่อย"

AsLan
6th October 2013, 18:50
บอกตรงๆเลย ผมเคยอ่านอะไรยาวๆ มากๆ ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ตอนแรกที่เห็น กระทู้ ว่าจะไม่อ่านหรอก (ไม่ค่อยชอบอ่านอะไรเยอะๆ) แต่คุณทำให้ผมนั่งอ่านได้จนถึง บททที่ 14 นานเหมือนกันนะ นั่งอ่านทั้งวันเลยกินขนมอีก เมือนดูหนัง
อ่านเเล้วเห็นภาพเลย คุณเก่งมากเลยนะผมว่าน่าจะทำหนังสือนะ

black jack sdppd
6th October 2013, 19:05
หลังจากนี้คงได้เวลาหยุดพักยาวอีกแล้วล่ะครับ
ฮ่าฮ่าฮ่า



บอกตรงๆเลย ผมเคยอ่านอะไรยาวๆ มากๆ ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ตอนแรกที่เห็น กระทู้ ว่าจะไม่อ่านหรอก (ไม่ค่อยชอบอ่านอะไรเยอะๆ) แต่คุณทำให้ผมนั่งอ่านได้จนถึง บททที่ 14 นานเหมือนกันนะ นั่งอ่านทั้งวันเลยกินขนมอีก เมือนดูหนัง
อ่านเเล้วเห็นภาพเลย คุณเก่งมากเลยนะผมว่าน่าจะทำหนังสือนะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใใจมากๆครับ ผมจะทำให้ดีที่สุดเลยครับ
ขอบคุณมากครับ

santisook01
7th October 2013, 21:11
เอ่อ ช่วยทำแบบรวบตอนแบบเรื่อง TKM love... vs Zombie ได้ไหมครับ พอดีว่าผมไม่ค่อยมีเวลามานั่นหาตอนหนึ่งสองสามน่ะครับ อ่านตอนแรกไปก็สนุกดีครับ

ถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับ

black jack sdppd
8th October 2013, 11:27
เอ่อ ช่วยทำแบบรวบตอนแบบเรื่อง TKM love... vs Zombie ได้ไหมครับ พอดีว่าผมไม่ค่อยมีเวลามานั่นหาตอนหนึ่งสองสามน่ะครับ อ่านตอนแรกไปก็สนุกดีครับ

ถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับ

บอกตามตรงเลยครับ อยากทำ
แต่ทำไม่เป็น แต่ว่ากำลังศึกษาอยู่ครับ
อีกนิดเดียวก็จะทำได้แล้วแหละ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ฮ่าฮ่าฮ่า

black jack sdppd
16th October 2013, 16:58
บทที่ 15 เรื่องแปลกๆ

ภายในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องขังของไซม่อน ยูจีน อดีตพลซุ่มยิงที่ดูเหมือนจะตกอับหน่อยๆและสมองไม่ปกตินิดๆ มีห้องน้ำขนาดเล็กอยู่ภายในห้อง มีตู้เย็นวางตรงข้าม ใกล้ประตูมีเตียงเดี่ยวอยู่ ตรงข้ามมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ ข้างๆมีชั้นหนังสือ ทั้งห้องเป็นสีขาวไม่เว้นแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ เขาเชิญให้ผมนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ขณะที่เขาไปเอาน้ำในตู้เย็น เขาอาจจะเป็นพลซุ่มยิงจริงๆแต่ถ้าผมพบว่าเรื่องที่เขาเล่ามันไร้สาระล่ะก็ ผมจะอัดเขาให้หัวจมโถส้วมเลย
ผมเหลือบไปเห็นไฟล์งานที่หัวข้อเขียนว่า บันทึกภารกิจสิบโท ไซม่อน ยูจีน ผมเอื้อมมือไปจะจับเมาส์
"ฉันชอบอ่านมัน แม้ฉันจะจำเรื่องไม่ได้" ยูจีนพูด เขายื่นแก้วน้ำมาให้ผม ผมเขย่าเบาๆและดมดูโดยทำท่าจะดื่ม ซึ่งมันปลอดภัยดี
"คิดว่าฉันจะวางยานายเหรอ พี่ชาย" เขารู้ "ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากหรอก" ผมมองหน้าเขา
"นายบอกว่านายมีอะไรจะเล่าให้ฉันฟัง" ผมถามเขา
"ฉันจำเป็นต้องเล่านายด้วยเหรอ" เขายียวน
"ก็นายบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฉันฟัง" เขาทำตาโตแล้วหัวเราะเบาๆ
"นายต้อง โปรดเล่าเรื่องสนุกให้ฉันฟังหน่อยสิ" เขาพูด ผมชักจะหมดความอดทน
"ฉันไม่มีเวลาทั้งวันนะ" ผมกำหมัด "ฉันยังมีแฟนที่รอฉันอยู่ ฉันไม่ได้นอนสบายบนเตียงอุ่นๆ มะรืนนี้ฉันต้องไปทำภารกิจ ถ้าแกยังไม่เลิกกวนฉันละก็ จะได้เห็นดีกัน"
"ทำไมฉันต้องเล่านายด้วย" ยูจีนถาม ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นยืน ยูจีนยังคงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเหมือนจะดีใจที่ยั่วผมสำเร็จ ซึ่งก็จริงอยู่ที่ผมโกรธเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้
"เพราะฉันถามแกดีๆไงล่ะ ไอสารเลว" ผมใช้นิ้วจิ้มไปที่อกเขา ฉับพลัน! เขาเอื้อมมือมาจับมือที่ผมใช้จิ้มแล้วหักไปทางขวา ผมใช้มือซ้ายชกไปตามสันชาติญาณ เขาใช้มือขวากันเอาไว้และเหยียดตรงมาหมายจะชกหน้าผม ผมเบี่ยงตัวหลบไปทางขวาและใช้เข่าแทงไปที่ท้อง เขาปล่อยมือที่บิดผมอยู่ ผมเหวี่ยงหมัดซ้ายไป เขาก้มหลบได้และอัพเปอร์คัตกลับ ผมหลบโดยถอยหลัง เขาตามมาดันไหล่ผมทั้งสองข้างไปติดกำแพงเฉียดคอมพิวเตอร์นิดเดียว เขากำลังจะเปลี่ยนมือมากดคอ แต่ผมใช้หัวโขกเขา เขาผงะถอยหลัง ผมตามไปจะชกซ้ำแต่เขาเหวี่ยงหมัดมา ผมก้มหลบและต่อยเข้าไปที่ท้อง เขากุมท้อง ผมหันหลังฟาดขาไป แต่เขาจับได้และกำลังจะตัดข้อพับ ผมกระโดดม้วนตัวไปข้างหน้า ทำให้เขาเหมือนถูกกระชากไปข้างหน้าแล้วชนกับขอบผนังห้องน้ำ เขาหันหน้าเซมา ผมต่อยไปด้วยหมัดขวาแต่เขาไม่ล้มและเหวี่ยงหมัดขวาคืนมา ผมกันไว้โดยใช้แขนซ้าย เมื่อสกัดไว้ได้ ผมสอดแขนซ้ายไปใต้แขนขวาเขาแล้วเหวี่ยงเขาไปชนตู้เย็น จากนั้นก็เหวี่ยงกลับมาที่ขอบผนังห้องน้ำ หัวเขาโขกอีกครั้ง หน้าตาเขาเหมือนโทรมหน่อยๆแล้ว ผมชกซ้ำเข้าไปให้หัวเขาโขกอีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง เขาสลบไป เลือดติดขอบผนังหยดลงมาเป็นทางยาว อืม... อาจจะถึงตายแล้วก็ได้
ผมจับชีพจรของเขาซึ่งพบว่าไม่เต้นแล้ว แม้ผมจะไม่กลัวที่ฆ่าคนไปมากมาย แต่การมาฆ่าเพื่อนร่วมชาติในสถานการณ์อย่างนี้ ผมรู้สึกผิดและกลัวมาก ผมนั่งลงข้างๆเขาเอามือลูบหน้า หลังจากทำใจได้ผมจึงนำศพเขาไปไว้ในห้องน้ำ จัดท่าให้หัวเขาอยู่ใต้โถส้วม แต่คงปิดได้ไม่นานเพราะเลือดเขายังติดฝาผนังอยู่
ผมเดินออกจากห้องส่ายหัวไปกับการเสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์แถมยังหาเรื่องให้ตัวเองเฉียดคุกด้วย แต่ผมเห็นคอมพิวเตอร์ที่ยังวางได้อยู่เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมนั่งลงและดูบันทึกภารกิจสุดท้าย

11 มิถุนายน 2013
ชื่อภารกิจ : ดี 11 คุ้มกันนักการเมืองชาวจีน
เวลาปฏิบัติการ 23 : 05 น.
สถานที่ : สถานกงสุลจีน
สถานะภารกิจ : สำเร็จ
จำนวนความเสียหาย : สูญเสียลูกทีมทั้งหมด
ความรู้สึกหลังภารกิจ
ยูจีน มันน่ากลัว ไม่สิ มันน่าสยองมาก มันมาจากไหนไม่รู้ ผมเห็นมันเบนเป้าหมายจาก ชาวจีนคนนั้นแล้ววิ่งตรงมาที่เรา
เจ้าหน้าที่ คุณไม่ได้ใช้ที่เก็บเสียงเหรอ
ยูจีน พูดเป็นเล่น มันเป็นภารกิจลับ รับภารกิจโดยตรงจากผู้พันรอน
เจ้าหน้าที่ ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร
ยูจีน ผมไม่รู้ ผมกำลังจะกลายเป็นบ้ารึเปล่า ผมรู้สึกสับสน ผมกลัว มันหาเราเจอได้แม้ในที่มืดงั้นหรือ ผมสามารถบอกได้เลย เราจะไม่มีวันชนะศึกนี้ (หัวเราะเบาๆ) การทหารของเราเป็นรองอยู่หลายขุม (หัวเราะอีกครั้ง)
สถานะผู้ปฏิบัติภารกิจ : สติไม่เหมาะจะรับงาน

ผมละสายตาจากหน้าจอ รู้เหตุผลที่ยูจีนเป็นบ้า ความสูญเสียที่รวดเร็วในค่ำคืนเดียว อีกทั้งยังเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความมั่นใจสูง แต่ยังไงก็ตาม ไม่เห็นมันจะมีสิ่งที่เป็นเบาะแสกับผมตรงไหน แม้ว่าจะมีข้อสันนิษฐานที่รัฐบาลจีนจะเป็นผู้ที่ติดต่อกับผู้ก่อการร้าย แต่การคุ้มครองนักการเมืองหรือนักการทูตก็ถือเป็นการรักษาความสัมพันธ์อย่างดี
ผมเลื่อนหน้าจอลงไปก็พบว่ายังไม่จบ แต่ที่เหลือเหมือนจะเขียนเพิ่มเข้ามาด้วยตัวยูจีนเอง

มันแปลกกว่าที่มันเกินจะเป็น ผมเห็นทุกอย่างผ่านกล้องวาไรเบิล ยี่สิบนาทีหลังจากเริ่มภารกิจ ชาวจีนคนนั้น แบกกระเป๋าอะไรบางอย่างที่เหมือนจะมีระบบล็อคแน่นหนา มันใหญ่พอๆกับเอ็มสี่สิบเอหนึ่งของผมเลย ข้างหลังรอนวิ่งตามมาด้วยติดๆแปลได้เลยว่าทั้งคู่มาติดต่ออะไรกัน แต่ว่ามันเป็นความลับ แทบไม่มีใครรู้แม้แต่พวกเรา ผมอยากให้ใครเห็นสิ่งนี้ ผมรู้ตัวว่าผมกำลังเป็นบ้า จอร์จ กำลังโบกมือเรียกผมอยู่ ผมเห็น

นี่สิถึงจะเป็นประโยชน์แต่มันก็ไม่ปกติอย่างที่ยูจีนว่า ทั้งคู่ไปตกลงเรื่องอะไรกันถึงยี่สิบนาที ซึ่งในสถานการณ์ที่หน้าสิวหน้าขวาน จะมาทักทายถามความอยู่ดีมีสุขนั้นคงไม่ดีแน่ๆ
"สนุกมากมั้ยล่ะ ไอบัดซบ" เสียงดังขึ้นข้างหลัง ผมลุกขึ้นประจันหน้าทันที ยูจีนอยู่ข้างหลังด้วยสายตาที่กระหายเลือด
"ฉันอุตส่าห์ส่งแกไปหาจอร์จแล้วเชียว" ผมพูดแม้จะไม่รู้จักแจ็คนั้นเลยก็ตาม สายตายูจีนเปลี่ยนไปทันที เป็นสายตาที่โกรธแค้น แต่ก็เปลี่ยนเป็นสายตากระหายได้ภายในพริบตา
"แกรู้มั้ย ข้อเสียของการทำภารกิจลับคืออะไร" ยูจีนถามโดยที่ไม่ต้องการคำตอบ "เวลามีคนตาย เขาจะไม่รับผิดชอบ" เขาเว้นไว้ช่วงหนึ่ง "และแกจะต้องตายอย่างลับๆ"
"ฉันเหรอ ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า" ผมเย้ย "ด้วยความเป็นห่วงนะ แต่แกอย่ายุ่งกับร้อยเอกดีกว่า"
"ฉันเคยล้ม ร้อยเอกมาแล้ว"
"แต่ไม่ใช่ฉันนี่ รู้มั้ย แกน่ะไม่เหมือนคนบ้าเลย"
"บ้า น่ะ มีหลายแบบ ในที่นี้คือบ้าคลั่ง" แล้วเขาก็พุ่งมาด้วยหมัดขวาแต่ช้ากว่าตอนแรกมาก ผมก้มหลับก้าวไปข้างหน้า จับที่คอเขาใช้ขาขวาดักขาเขาแล้วกดมือลง จับหัวเขากระแทกกับขอบเตียง เขานอนแน่นิ่ง แต่ยังไม่สลบ
"ชาไปหมดเลย บ้าชิบ" เขาหัวเราะ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ "มีรูปของชาวจีนคนนั้น ในหนังสือธุรกิจขอบสีฟ้าเขียนว่า ว่าด้วยความรวย เขาเป็นคนเขียน มีประวัติของเขา นายน่าจะได้อะไรจากมันบ้าง" ตอนนี้ผมชักรู้สึกผิด
"ฉันขอโทษ" ผมกล่าวขอโทษไป
"ไม่หรอก ฉันสิต้องขอบคุณ แต่นายต้องทำมันให้จบ ฉันอยากหนีไปจากที่นี่ ตอนนี้เลย คนอย่างฉันไม่สมควรจะใช้ชีวิตอยู่หรอก" เขาหอบยังคงขยับตัวไม่ได้
"ไม่ว่ายังไง ไม่ว่านายจะสูญเสียเท่าไหร่ นายจะต้องอยู่ต่อไป ฉันเชื่อว่าทุกคนฝากความหวังในการมีชีวิตไว้กับนาย" ผมพูด
"ไม่หรอกเพื่อน ฉันมันโรคจิต ฉันสูญเสีย จิตใจฉันย่ำแย่ ฉันไม่อาจอยู่กับมันได้ นายรู้มั้ยว่าทีมฉันทุกคน ครอบครัวเขายังอยู่ฉันไม่สามารถเอาหน้าไปพบใครได้อีกแล้ว" เขาพูดน้ำเสียงเอื่อยหายใจหอบ "แถมนายยังทำกับกับฉันแบบนี้อีกและฉันยังบอกข้อมูลสำคัญให้นายด้วย นายต้องตอบแทนฉันบ้าง" ผมถอนหายใจและนั่งคุกเข่าลงข้างหน้าเขา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นแผนของเขาที่ยั่วให้ผมโกรธเพื่อหาเรื่องไปจากที่นี่ "ฉันมันบ้า เพื่อน"
"ไม่หรอกนายไม่บ้า" ผมส่ายหัว "มันอาจจะเจ็บนิดหน่อยนะ" เขาส่ายหัวพร้อมยิ้ม
"อีกเดี๋ยวฉันก็ไม่รู้สึกแล้ว" ผมเอื้อมมือไปวางไว้ที่แก้มเขาแล้วดันไปข้างหน้าอย่างแรง เกิดเสียงดังเฮือกเป็นเสียงสุดท้าย จากนั้นก็เกิดเป็นความเงียบ ผมอุ้มเขาวางไว้บนที่นอน
"หลับให้สบายเถอะ นายทำภารกิจสำเร็จแล้ว"

ณ ตลาดเฉาหยางเหมิน
"บัดซบเอ้ย มันยังตามมาอยู่เลย" เชฟตะโกนพลางหันหลังแล้วยิงกราดใส่พวกซอมบี้ที่วิ่งไล่ตามมา มันล้มลงไปและโดนเหยียบสะดุดกันเป็นจำนวนมาก
"อ้ากกกก" เสียงจอห์นดังขึ้น เดนนิสหันไปอย่างตกใจ เห็นจอห์นล้มอยู่และซอมบี้ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"จอห์น !!!" เดนนิสร้องและพยายามวิ่งเข้าไปช่วย แต่อีกไม่กี่เมตรมันก็จะถึงตัวจอห์นแล้ว ถ้ายิงคงไม่ทันแน่
ปัง !!!!!
เสียงปืนขนาดใหญ่จนหูเดนนิสเต้นดังขึ้นจากด้านข้างและส่งผลให้ซอมบี้จำนวนมากล้มลงไป เดนนิสรีบพยุงจอห์นขึ้น ชายคนนั้นถือปืนลูกซองเรมิงตัน แปดร้อยเจ็ดสิบ เขาพูดภาษาจีนอะไรสักอย่าง แต่จากท่าทางเขาเหมือนให้ตามมา ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด เขาจึงตามชายคนนั้นไปพร้อมลูกทีม

แลงก์ลี่ย์ เวอร์จิเนีย
จากที่ได้อ่านประวัติท้ายเล่มของหนังสือและที่ยูจีนเขียนเสริมไป ก็พบว่าชายจีนปริศนาคนนั้นหัวล้าน ดูมีอายุ พุงโรหน่อยๆ เขาชื่อ ลีหงฉวน รู้จักกันในชื่อ ร็อบเบน ลี เป็นนักธุรกิจที่มีตลาดครอบคลุมมาก ทั้งห้างสรรพสินค้าและอุตสาหกรรม มีสินค้าส่งออกมากมาย ไม่เคยมีประวัติเสีย แต่เคยโดนตรวจสอบโดยอัยการเรื่องสินค้าอาวุธปืนอยู่บ้าง แต่คดีนี้ก็ถูกลืมไปอย่างรวดเร็วเพราะอัยการออกมากล่าวขอโทษและบอกว่าเข้าใจผิด เขาดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องจากผู้ก่อการร้ายอยู่บ้างเพราะเขาครอบคลุมอินเทอร์เน็ตบางส่วนของจีน ซึ่งคนหรือนักธุรกิจธรรมดาไม่สามารถทำได้ ถ้าไม่จ่ายเงินราคาแพง ถึงจะรวยล้นฟ้าการทำแบบนั้นก็เป็นเรื่องยากและแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ในวงการการเมืองเขาก็ค่อนข้างจะมีบทบาทอยู่ในฐานะพ่อของ ลีเตียวล่ง นักการเมืองหนุ่ม สื่อมวลชนกล่าวกันว่าเขาชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด
จากที่ได้เห็น ลีก็ไม่ใช่คนสำคัญที่รอนจะต้องให้เป็นภารกิจลับและต้องเข้าไปคุยด้วยแบบลับๆ ลีอาจจะเป็นผู้ที่มีเชื้อไวรัสหรือปรสิตหรือรายชื่อสำคัญที่จะติดต่อไปที่ผู้ก่อการร้าย แต่จะทำแบบลับไปทำไม แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาคิด ผมเดินกลับขึ้นไปที่ห้องปฏิบัติการเห็นเนเก้นยืนกอดอกอยู่ ผมเดินเข้าไปทำความเคารพ
"มีอะไรรึทหาร" เนเก้นถาม "นายน่าจะไปพัก ดื่มเบียร์ซักแก้ว หาหญิงสวยๆซักคน นี่รู้อะไรมั้ย ฉันว่าตอนนี้แล้วคงไม่มีใครเล่นตัวแน่นอน" ผมก็อยากจะขำแต่ว่างานต้องมาก่อน
"ไม่ใช่ครับท่าน ผมอยากได้ที่อยู่ของ ร็อบเบน ลีครับ"
"ร็อบเบน ลี นายจะอยากได้ที่อยู่ไออ้วนนั่นทำไม" เนเก้นเลิกคิ้ว
"ผมพบเบาะแสอะไรบางอย่างครับ เขาน่าจะเป็นเบาะแสสำคัญเรื่องรายชื่อได้" ผมตอบไปหวังอย่างยิ่งให้เนเก้นเห็นด้วย เขาทำหน้าครุ่นคิดก่อนโบกมือให้เจ้าหน้าที่ทำงาน
"เอาขึ้นจอหนึ่ง" เนเก้นบอก
"ครับผม" เจ้าหน้าที่คนนั้นบอก หลังจากนั้นไม่นานที่อยู่ก็ขึ้นมา "ที่อยู่ของเขาอยู่ใกล้ๆ สวนเป่ยไห่ แต่ที่หลบภัยของเขานั้นอาจจะเป็นที่พระราชวังต้องห้ามครับ"
"ขอบคุณมาก" ผมขอบคุณเนเก้น เขาพยักหน้า
"ฉันก็จะหาข้อมูลเรื่องนี้ให้เหมือนกัน นายไปพักเถอะ" เนเก้นบอก
"ท่านครับ ผมอยากให้ท่านระวัง ผู้พันรอนเอาไว้นะครับ" ผมเตือน ผู้พันดูตกใจมาก

black jack sdppd
18th October 2013, 15:33
บทที่ 16 ลดหลั่น

ณ ตงซี
ชายชาวจีนคนนี้เป็นคนตัวสูง ซึ่งสามารถดูออกได้ในทันทีแม้เขาจะสวมเครื่องป้องกันตัวไว้ทั่วร่างกาย ใส่หมวกเหล็กใส่หน้ากากปิดหน้ามิด ที่ตัวมีชุดเกราะกันกระสุน แขนที่ที่ป้องกันศอกและเกราะทั่วแขน ขาก็มีที่ป้องกันเข่าทับกางเกงยีนส์เอาไว้ เขาสะพายเป้ที่ดูเหมือนจะตุงไปด้วยเสบียง ข้างหลังที่ตอนแรกแบกขวานเอาไว้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นลูกซองและใช้ขวานแทน
เดนนิสและลูกทีมค่อยๆย่องตามเขาไปช้าๆ ตามซอกตึกที่ไหนสักแห่ง เมื่อถึงสุดทาง เขาพูดภาษาจีนพร้อมยื่นมือมาเป็นสัญญาณให้คอย เดนนิสหยุดพร้อมกุมปืนไรเฟิลแน่น เมื่อเขาเดินออกไปพร้อมขวานไฟ เดนนิสก็ถือปืนไรเฟิลเอ็มสิบสี่ตามไป คอยระวังหลัง แต่ภาพที่เห็นคือ เขากำลังใช้ขวานไฟฟาดฟันใส่พวกซอมบี้อยู่
ในสมรภูมิด้านหน้ามีซอมบี้อยู่นับสิบตัว ล้วนเป็นพวกที่เชื่องช้าแล้วทั้งสิ้น เขาเหวี่ยงขวานใส่ตัวที่เข้ามาทางซ้าย ฟาดไปทางขวาและมีซอมบี้ที่มากัดแขนเขาตรงที่เกราะ เขาสะบัดมันไปด้านหน้าและถีบมันกระเด็น จากนั้นก็กระโดดฟันตัวที่พุ่งมาจากด้านหลังและเขาก็ฟาดขวานจามหัวพวกมันที่เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ยั้ง
เดนนิสพยักหน้าให้ลูกทีมของเขาเอาขวานออกไปสู้ด้วยโดยที่เขาก็ยิงช่วยเป็นหน่วยสนับสนุน กริ๊ก เสียงปืนดังภายใต้ที่เก็บเสียงส่งตัวที่กำลังจะเข้าไปหาจอห์นล้มไป กริ๊ก ตัวที่สอง กริ๊ก ตัวที่สาม เขาเปลี่ยนตำแหน่งการเล็งเพื่อช่วยชาวจีนคนนั้น กริ๊ก ใส่ตัวที่มาจากข้างหลัง กริ๊ก ตัวที่มาจากด้านข้าง
ซอมบี้ในสมรภูมิมีมากขึ้นเรื่อยซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ จอห์นจามหัวซอมบี้ที่ตรงมาจากข้างหน้าและหวุดหวิดโดนกัด เขาหลบซอมบี้ตัวที่พุ่งมาจนมันล้ม เขากระโดดเหยียบหัวมันทีเดียว สมองทะลัก พอลเหวี่ยงขวานไปทั่ว ซึ่งความแข็งแรงของเขาทำให้ซอมบี้ถูกจัดการในที่เดียว ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! เสียงขวานของเขาดังขึ้นพร้อมกันอย่างต่อเนื่องและซอมบี้ก็ล้มลงไป เชฟก็เช่นกันเขาจัดการพวกมันอย่างสะใจ
กริ๊ก
เสียงปืนทะลุหัวซอมบี้ตัวสุดท้ายในละแวกนั้น เขาออกจากจุดซุ่มยิงแล้วตรงเข้าไปหาชาวจีนคนนั้นซึ่งยืนอยู่เฉยๆและสอดส่องไปทั่ว
"นี่ขอโทษนะ ทำไมเราต้องมาสู้ตรงนี้ด้วยล่ะ" เดนนิสถามไปซึ่งเขาก็รู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบเพราะชาวจีนคนนี้คงพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น
"เพราะบ้านฉันอยู่ทางโน้น" ชายจีนพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วพร้อมชี้มือไปทางฝั่งบ้านเดี่ยวที่เหมือนถูกปิดตาย
"หา นี่นายพูดอังกฤษได้เหรอ" เดนนิสถาม แต่ยังไม่ทันที่ชายจีนจะตอบ เชฟก็โพล่งขึ้นมา
"นี่นายลากเรามาให้เรามาเกือบตายเนี่ยนะ"
"ไม่เอาน่า เชฟ เขาช่วยพวกเราไว้ ถ้าไม่มีเขาป่านนี้เราตายไปแล้ว" พอลพูดอย่างเหนื่อยใจกับเพื่อนคนนี้ เขาเดินตรงไปหาชายชาวจีนคนนั้นและยื่นมือไปเพื่อขอบคุณ เขามองอยู่พักหนึ่งก่อนจะจับมือตอบ
"ใช่เชฟ นายน่ะหุบปากไว้บ้างก็ดี เราพึ่งเสียเพื่อนไปนะ" จอห์นพูด เชฟมองอย่างตกตะลึงที่เด็กอย่างเขากล้าพูดอย่างนั้น เขากำลังจะอ้าปาก แต่ถูกสายตาของเดนนิสห้ามไว้ เขาเดินไปและเตะถังขยะอย่างไม่สบอารมณ์
"ผมเดนนิส" เดนนิสแนะนำตัวเองและลูกทีมทุกคนให้ชาวจีนคนนั้นรู้จัก เขาพยักหน้าช้าๆและชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะแนะนำตัวเองบ้าง เขาถอดหน้ากากที่ติดกับหมวกออกเพื่อเผยหน้าอันเยาวว์วัยและหล่อเหลาให้ทุกคนเห็น
"ผมชื่อลีเตียวล่งหรือเรียกว่าลีเฉยๆก็ได้" เขามองหน้าทุกคนยกเว้นเชฟที่เดินไปสำรวจบ้านอื่น "ไม่มีเวลามากเรารีบเข้าบ้านเถอะ พวกมันอาจจะกำลังผ่านมาทางนี้ นี่เป็นระลอกแรก ผมว่านะ" เดนนิสพยักหน้า เขาตะโกนเรียกเชฟ
"เชฟ มาได้แล้วโว้ย ไองี่เง่า" แต่เชฟชูนิ้วกลางมาให้ เดนนิสส่ายหัว ลีหันไปถามจอห์น
"นี่เขาทำตัวงี่เง่าแบบนี้ตลอดเลยเหรอ" จอห์นยักไหล่ เชฟได้ยินแล้วพุ่งตรงเขามา
"แกอย่ามาหือดีกว่าไอตี๋" เชฟด่าแล้วชกมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับโดนมือเดนนิสจับบิดอย่างแรงและกระชากเขาลงไปกอง
"สงบปากไว้บ้างเถอะน่า รีบมาซะ" เดนนิสตะคอกจากนั้นก็เดินตามลีไป เชฟนั่งกุมมือลงกับพื้น หน้าแดงด้วยความโกรธจัด จอห์นช่วยพยุงแขนเขาขึ้น แต่เชฟสะบัดออกและปัดแขนตัวเองเขาพึมพำว่า เขาจะอัดไอ้จีนนั่นให้คว่ำ
"นี่รู้อะไรมั้ย ถ้าเดนนิสไม่ห้ามนายไว้ จะเป็นนายนั่นแหละที่คว่ำ" จอห์นพูดและเดินจากไปแต่เชฟไม่ได้ตามไปด้วย เขาเดินตรงไปอีกบ้านที่เขาสำรวจไว้ตอนแรก "เฮ้ย จะไปไหนน่ะ" จอห์นตะโกนถาม แต่เขาไม่สนใจ
"ปล่อยไปเถอะ จอห์น ให้เขาไปสงบสติอารมณ์" พอลพูดด้วยเสียงเหนื่อยๆ
"ใช่ที่พักจะได้ไม่แตกไปมากกว่านี้ไง" เดนนิสเห็นด้วย
"แต่ --" จอห์นจะพูดต่อแต่โดนเดนนิสขัด
"มาเถอะน่า เขารู้วิธีเอาตัวรอด เขาเคยปิดคดีได้ตั้งหลายครั้ง" เดนนิสปลอบ

"ชิ ไอพวกงี่เง่า" เชฟพึมพำเบาๆ หลังจากที่เขามาในบ้านได้ มันเป็นสองชั้น ที่เมื่อเปิดประตูมาจะเป็นบันไดยาวไปถึงชั้นสอง ข้างๆเป็นห้องนั่งเล่น "อยากไปอยู่กับไอบ้านั่นก็เชิญ ฉันไม่อยู่แล้วโว้ย ไอทีมบ้าๆเนี่ย" เขาเดินไปที่ห้องครัวและหยิบเบียร์ออกมา "เชื้อฟังฉันนะ บลา บลา บลา " เขาล้อเลียนเจฟจากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วดื่มเบียร์อย่างสบายใจ

ภายในบ้านเดี่ยวที่หลบภัยของของลีถูกตอกปิดหน้าต่างและประตูไว้อย่างแน่นหนา เขาต้องคลานเข้าที่ประตูลับที่ถูกพุ่มไม้บังอยู่ ภายในบ้านดูอบอุ่น มีเครื่องลางของจีนเยอะเหมือนกับทุกบ้าน ห้องรับแขกอยู่หน้าสุด ห้องนอนถัดไปและด้านหลังเป็นห้องครัว
"ลำบากหน่อยนะ" ลีบอก เดนนิสส่ายหัว
"ไม่หรอก แค่นี้ก็ขอบคุณจะแย่แล้ว" เดนนิสสอดส่องไปทั่วห้อง "โทษทีนะ พวกเราหิวน่ะ แต่ตามตำราบอกว่าเราไม่ควรไปทานอาหารไกลๆ เพราะงั้นเราเลยขอกินตรงนี้แล้วกัน"
"ไม่เป็นไร เฮ้ ฉันมีอาหารน่ะ เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและปลากระป๋อง" เขาบอกขณะที่วางปืนลูกซอง ปืนพกและขวานไฟไว้บนโต๊ะ "นายจะเอามั้ย"
"ไม่ล่ะ เรามีเสบียงของเราเอง" พอลรีบพูดก่อนที่จอห์นจะอ้าปาก ลียิ้มแบบงงๆ แล้วก็เดินเข้าไปในครัว "เอาไงล่ะทีนี้ เดนนิส" พอลเริ่มประเด็น "ภารกิจของเราคือนำตัวผู้รอดชีวิตไปไว้ที่ปลอดภัย แต่นี่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ พระราชวังต้องห้ามก็ใกล้แค่นี้และฝีมือระดับเขาทำไมถึงไม่ไปที่นั่น" เดนนิสมีสีหน้าครุ่นคิด
"นั่นน่ะสิ เขาอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างหละมั้ง" เดนนิสเดา
"หรือที่นั่นจะเป็นสังคมที่โหด*****มหรือกินกันเองอะไรแบบนั้นหรือเปล่า" จอห์นเสนอความคิดเห็น
"ไร้สาระน่าจอห์น" พอลพูดแทนเดนนิส "ฉันว่าภารกิจครั้งนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง"
"นายรู้มั้ยว่าที่พระราชวังต้องห้ามน่ะ มีคนมีชื่อเสียงอยู่เต็มไปหมด" ลีที่อยู่ๆมาจากไหนก็ไม่รู้เดินเข้ามาพร้อมอาหารกระป๋องที่มีช้อนวางอยู่ข้างใน "ฉันไม่อยากไปอยู่กับสังคมแบบนั้นหรอก" เขาพูดด้วยท่าทีราบเรียบแต่ดูมีความเย็นชา
หลังจากนั้นทุกคนก็สังสรรค์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เฮฮากัน จนเวลาผ่านไปจากบ่ายเป็นค่ำ แต่ทุกคนก็ยังคงพูดคุยกันอยู่ ประหนึ่งเหมือนวันเวลาปกติ

แลงก์ลี่ย์ เวอร์จิเนีย
7 : 34 นาฬิกา
"นายต้องการอย่างนี้แน่นะ" ผู้พันเนเก้นตะโกนถามผมบนดาดฟ้า ซึ่งมีเฮลิคอปเตอร์ เตรียมตัวออกบิน
"เปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้วครับ" ผมตะโกนตอบแข่งกับเสียงเครื่องบิน "ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี" ผู้พันเนเก้นพยักหน้า
"ตามใจแล้วกัน ติดต่อเรามาเป็นระยะนะ" เนเก้นพูด
"ผมก็ยินดีที่ได้เจอกับอะไรที่ดีกว่าสัญญาณซ่าครับ"

ณ เฉาหยางเหมิน
ฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่ที่บ้างคลั่งและกระหายเลือดตรงไปข้างหน้านำโดยรันเนอร์ที่เดินอย่างเงียบสงบแต่รอเวลาที่จะปล่อยความคลั่งออกมา โดยที่มีตงซีเป็นจุดหมายเบื้องหน้า

ณ ตงซี
เชฟกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ตอนนี้เขาเริ่มใจเย็นลงและนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำ เขารู้สึกผิดแต่ก็อายเกินไปที่จะเดินไปเคาะประตูหน้าของเขา เขาควรจะใจเย็นกว่านี้สักหน่อย เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดดเดี่ยว
"เอาวะ" เชฟตัดสินใจกับตัวเองที่จะเดินไปเคาะประตูบ้านโน้นเพื่อขอโทษ เขาสูดหายใจกับตัวเองและเอื้อมมือไปจับลูกบิด
ตึง !
เสียงบางอย่างดังขึ้นด้านข้าง เขาเงียบเสียงทันที เงียบจนได้ยินแต่เสียงหายใจและเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง
ตึง !
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งและตอนนี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้นข้างนอก ซอมบี้ ! ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเชฟ เขาผงะถอยหลัง ต้องรีบไปเตือนเดนนิส เขาวิ่งเดินไปที่ประตูอีกครั้งและเปิดอย่างแรง
แฮ่ !!!!!!!
ซอมบี้ที่เห็นเชฟเปิดประตูออกมาก็พุ่งเข้าทับเชฟทันที เชฟใช้สัญชาติญาณผลักมันออกไปข้างๆ แต่ว่ามีอีกตัวเข้ามาทับเขาซ้ำ ตามด้วยอีกหลายๆตัว
อ้ากกกกกกกกกก
เสียงกรีดร้องสุดท้ายของเชฟดังพอที่จะทำให้หลายบ้านได้ยิน เดนนิสที่กำลังฟังเรื่องเล่าจากลีอยู่สะดุ้งขึ้นทันที ทุกคนต่างหยิบสัมภาระ อาวุธของตัวเอง เดนนิสไม่รอช้ากระโดดถีบประตูที่ถูกตีแน่นด้วยไม้พังออกภายในชั่วพริบตา
"เชฟ !!!!!" เดนิสตะโกนสุดเสียงพยายามมองหาเชฟ แต่ที่เขาเห็นกลับมีเพียงแต่ ฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่ แต่หนึ่งในนั้นเอง ซอมบี้ที่.ส่เครื่องแบบสีดำ คอถูกกัดจนแหว่ง แขนถูกดึงจนขาด ปากฉีกห้อยน่าสยดสยอง
"เชฟ" จอห์นคราง ทันใดนั้น เชฟและรันเนอร์อีกหลายตัวที่มองเห็นผู้รอดชีวิตคนอื่นๆก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปัง !!!!!!!
เสียงปืนเรมิงตันของลีดังขึ้นและส่งให้รันเนอร์ที่พุ่งเข้ามาในรัศมีกระเด็นถอยหลังไป
"หนีเร็วเข้า !!!" ลีตะโกนแล้วพยายามจะวิ่งแต่เมื่อเห็นท่าทางของเดนนิสและพวกเขาก็ชะงักไป
เพียะ !!!
ลีตบเดนนิสฉาดใหญ่ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ เดนนิสที่ได้สติก็นำลูกทีมวิ่งไป เขาหันกลับไปด้านหลังเพื่อยิงสะกัด แต่รันเนอร์ที่ลุกขึ้นได้ก็วิ่งแซงซอมบี้ธรรมดามาอย่างรวดเร็วและในวินาทีนั้นมีนตัวหนึ่งที่พุ่งใส่จอห์นจนล้มลง เดนนิสหยุดและถีบมันไป แต่มีอีกตัวที่พุ่งใส่เดนนิส ลีกระชากเดนนิสให้พ้นระยะแล้วยิงรันเนอร์ตัวนั้นด้วยปืนหลายนัด จอห์นที่ยังลุกไม่ขึ้นก็โดดรันเนอร์ที่มาถึงตัวก่อนรุมกัดเขากรีดร้องอย่างทรมาน
"ไม่ จอห์น !!!!" เดนนิสและพอลกรีดร้อง แต่ที่เขาทำได้เพียงแค่ทิ้งตัวเองห่างมาจากเขาใกล้เรื่อยๆ แต่ก็ยังเห็นเขาลุกขึ้นมาและไล่ติดตามพวกเดนนิสมา

santisook01
21st October 2013, 16:06
อ่านตอนที่ 1 แล้ว
การดำเนินเรื่องถือว่าอยู่ในระดับปกติ แต่ด้านการใช้ภาษาและการบรรยายให้เห็นภาพผมว่าดีมาก
ความน่าติดตามของเรื่องก็อยู่ในระดับหนึ่งเช่นกัน
สร้างความสนุกตื่นเต้น และความเป็นตัวของตัวเองสำหรับคา และตัวละครอื่น ๆ ได้ดี
แต่ ผมอยากจะให้คุณเว้นบรรทัดบ้าง เพราะการจับบรรทัดต่อไปเพื่ออ่านมันทำยากและทำให้ผมปวดตาไม่น้อย

เพียงอ่านตอนเดียวผมก็ไม่สามารถตัดสินอะไรทั้งหมดได้
ที่พูดมานี้เป็ีนเีพียงแค่ความเห็นส่วนตัว ไม่มีเจตนาร้ายหรือสนับสนุนใด ๆ ถ้าหากผมพลาดหรือติฉินอะไรที่ทำให้เคืองโกรธก็ขออภัยด้วย
ขอบคุณสำหรับตอนที่ 1

black jack sdppd
21st October 2013, 16:17
อ่านตอนที่ 1 แล้ว
การดำเนินเรื่องถือว่าอยู่ในระดับปกติ แต่ด้านการใช้ภาษาและการบรรยายให้เห็นภาพผมว่าดีมาก
ความน่าติดตามของเรื่องก็อยู่ในระดับหนึ่งเช่นกัน
สร้างความสนุกตื่นเต้น และความเป็นตัวของตัวเองสำหรับคา และตัวละครอื่น ๆ ได้ดี
แต่ ผมอยากจะให้คุณเว้นบรรทัดบ้าง เพราะการจับบรรทัดต่อไปเพื่ออ่านมันทำยากและทำให้ผมปวดตาไม่น้อย

เพียงอ่านตอนเดียวผมก็ไม่สามารถตัดสินอะไรทั้งหมดได้
ที่พูดมานี้เป็ีนเีพียงแค่ความเห็นส่วนตัว ไม่มีเจตนาร้ายหรือสนับสนุนใด ๆ ถ้าหากผมพลาดหรือติฉินอะไรที่ทำให้เคืองโกรธก็ขออภัยด้วย
ขอบคุณสำหรับตอนที่ 1

ขอบคุณครับ คำแนะนำ คำติ กำลังใจเป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว
ผมจะนำความคิดเห็นของทุกคนไปแก้ไขครับ
แต่ว่านะ ผมว่าตอนแรกๆผมใช้ภาษาและบรรยายห่วยมากเลยนะ ฮ่าฮ่า
ตอนนี้กำลังพัฒนาฝีมือไปตามระดับ เก็บเลเวลอยู่
ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
ฮ่าฮ่าฮ่า

bingo2553
21st October 2013, 16:19
น่าสนใจครับขอบคุณครับ

santisook01
21st October 2013, 16:27
ขอบคุณครับ คำแนะนำ คำติ กำลังใจเป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว
ผมจะนำความคิดเห็นของทุกคนไปแก้ไขครับ
แต่ว่านะ ผมว่าตอนแรกๆผมใช้ภาษาและบรรยายห่วยมากเลยนะ ฮ่าฮ่า
ตอนนี้กำลังพัฒนาฝีมือไปตามระดับ เก็บเลเวลอยู่
ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
ฮ่าฮ่าฮ่า

ไม่หรอกครับ ผมถือว่าดีอยู่

santisook01
23rd October 2013, 15:53
อ่านตอนที่ 2-3 จบแล้วครับ
จะมีช่วงติดขัดไ่ม่ไหลลื่นของเนื้อเรื่องช่วงแรกของตอนที่ 2 และช่วงท้ายของตอนที่ 3 แต่ที่ีเหลือก็คงความสนุกไว้ได้ดี
ไม่รู้สึกถึงการติดขัดทางสถานการณ์แต่ก็ไม่ถึงกับได้ลุ้นจนตัวโก่งระหว่างต่อสู้
การบรรยายสถานที่ในบางช่วงยังไม่ชัดเจนพอ ผมต้องนั่นพินิจอยู่ครู่หนึ่งจึงจะสามารถจิตนาการพื้นที่ให้เหมือนมากที่สุด
มีคำผิดอยู่แต่ไม่มาก

ที่พูดมานี้เป็ีนเีพียงแค่ความเห็นส่วนตัว ไม่มีเจตนาร้ายหรือสนับสนุนใด ๆ ถ้าหากผมพลาดหรือติฉินอะไรที่ทำให้เคืองโกรธก็ขออภัยด้วย
ขอบคุณสำหรับตอนที่ 2 และ 3 ครับ

ผมตกใจเหมือนกันนะครับที่อ่านไปเห็นเนื้อเรื่องที่เกิดทางไมอามีเพราะมันเหมือนกับเรื่องที่ผมแต่งไว้เลย(ฮา)

TunaRep
23rd October 2013, 16:03
มาให้กำลังใจเหมือนกันจ้า ยังอ่านไม่หมดเลยตาแฉะก่อน :p

santisook01
24th October 2013, 20:15
อ่านตอนที่ 4 จบแล้วครัีบ
ถือว่าอ่านดีสนุก ตื่นเต้นมากกว่าตอนที่ 1-3 มาก และก็ทำให้น่าติดตาอยู่น้อย
ด้านภาษาก็สละสลวยเข้าใจง่ายมากขึ้น และอธิบายสถานที่และบรรยากาศได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากกว่า 3 ตอนแรกมาก
ผมสงสัยที่ว่าทำไมพ่อของตัวเอกถึงได้ออกมาบ่อยนัก
อันที่จริงผมยังจำชื่อตัวเอกไม่ได้ด้วยซ้ำ แฮะ แฮะ

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 4 ครับ

black jack sdppd
25th October 2013, 14:47
อ่านตอนที่ 2-3 จบแล้วครับ
จะมีช่วงติดขัดไ่ม่ไหลลื่นของเนื้อเรื่องช่วงแรกของตอนที่ 2 และช่วงท้ายของตอนที่ 3 แต่ที่ีเหลือก็คงความสนุกไว้ได้ดี
ไม่รู้สึกถึงการติดขัดทางสถานการณ์แต่ก็ไม่ถึงกับได้ลุ้นจนตัวโก่งระหว่างต่อสู้
การบรรยายสถานที่ในบางช่วงยังไม่ชัดเจนพอ ผมต้องนั่นพินิจอยู่ครู่หนึ่งจึงจะสามารถจิตนาการพื้นที่ให้เหมือนมากที่สุด
มีคำผิดอยู่แต่ไม่มาก

ที่พูดมานี้เป็ีนเีพียงแค่ความเห็นส่วนตัว ไม่มีเจตนาร้ายหรือสนับสนุนใด ๆ ถ้าหากผมพลาดหรือติฉินอะไรที่ทำให้เคืองโกรธก็ขออภัยด้วย
ขอบคุณสำหรับตอนที่ 2 และ 3 ครับ

ผมตกใจเหมือนกันนะครับที่อ่านไปเห็นเนื้อเรื่องที่เกิดทางไมอามีเพราะมันเหมือนกับเรื่องที่ผมแต่งไว้เลย(ฮา)


อ่านตอนที่ 4 จบแล้วครัีบ
ถือว่าอ่านดีสนุก ตื่นเต้นมากกว่าตอนที่ 1-3 มาก และก็ทำให้น่าติดตาอยู่น้อย
ด้านภาษาก็สละสลวยเข้าใจง่ายมากขึ้น และอธิบายสถานที่และบรรยากาศได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากกว่า 3 ตอนแรกมาก
ผมสงสัยที่ว่าทำไมพ่อของตัวเอกถึงได้ออกมาบ่อยนัก
อันที่จริงผมยังจำชื่อตัวเอกไม่ได้ด้วยซ้ำ แฮะ แฮะ

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 4 ครับ

คุณถูกแล้วครับ ผมบอกแล้วว่าสตอนนั้นมันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็ตอนได้อ่านนิยายคนอื่น(ตอนนั้นก็ล่อไป 10 กว่าบท)
บทที่แรกๆยังพอทำเนา คอยดูบทหลังๆสิ ซึ่งผมกะจะเขียนปรับปรุงใหม่ครับ อาจจะปรับภาษาและการบรรยายให้ดีขึ้น
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ผมซึ้งใจกับคุณมากเลยที่คอยอ่านให้ ขอบคุณครับ
ฮ่าฮ่าฮ่า

santisook01
26th October 2013, 18:41
อ่านตอนที่ 6 จบแล้วครับ

ถึงแม้ว่าจะไม่ดีเท่าตอนที่ 4 ในหลาย ๆ อย่างก็ตาม แต่ก็ยังคงความสนุกไว้อยู่ล่ะครับ เพียงแต่ว่า บทต่อสู้ยังไม่มันส์เท่าที่ควร

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 6 ครับ

Amzamasara
27th October 2013, 15:07
รอตืดตามอยู่นะคร้าบบบ สนุกมากๆ ^O^

black jack sdppd
7th November 2013, 19:41
เป็นกำลังใจให้ครับผม อ่านไป 1 บทสนุกดีเเต่ถ้าจะให้ดีผมว่าทำพื้นหลังเป็นสีดำได้จะดีมากเลยครับคือผมนั่งจ้องนานๆเเล้วมันปวดตาอ่านนานๆไม่ได้

ผมไล่ทำให้แล้วนะครับ ขอบคุณมากสำหรับเทคนิคดีๆ หวังว่าจะอ่านได้นานขึ้นนะครับ


เอ่อ ช่วยทำแบบรวบตอนแบบเรื่อง TKM love... vs Zombie ได้ไหมครับ พอดีว่าผมไม่ค่อยมีเวลามานั่นหาตอนหนึ่งสองสามน่ะครับ อ่านตอนแรกไปก็สนุกดีครับ

ถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับ

ต้องขออภัยที่ผมยังทำแบบนี้ไม่ได้ ขอศึกษาอีกหน่อยนะครับ
(แต่ผมว่ามันก็ไม่ได้หายากอะไร ฮ่าฮ่าฮ่า)

ฮ่าฮ่าฮ่า

black jack sdppd
1st December 2013, 10:10
คอมเสียครับ ตอนนีเดขียนนิยายไม่ได้เลย
แถมดูเหมือนจะเปิดไม่ได้อีกแล้วด้วย
และผมก็จำไม่ได้ว่าได้แบ็คอัพตอนล่าสุดไว้รึเปล่า
บอกได้คำเดียวได้ว่าเซ็ง

inwharn205
1st December 2013, 10:22
เยี่ยม ครับ แนวคิดดีใส่กรอบด้วยอ่านง่ายสบายตา -0-:dance

black jack sdppd
9th December 2013, 19:14
วางพล็อตนิยายเพิ่มแล้วครับ วางจนจบเลย
ซึ่งดูไปแล้วมันช่างซับซ้อนหยั่งกะไม่ใช่นิยายซอมบี้
แต่ผมจะคงไว้ซึ่งแนวเอาชีวิตรอดเหมือนเดิมครับ
แต่ข่าวร้ายคือฮาร์ดดิสก์เสียแบบไม่มีวันกลับครับ
คงต้องลุ้นในแฟลชไดรฟแล้ว เซ็งครับ
(อย่าขออะไรจากฟ้าเพราะปาฏิหารย์มักจะมาหาผู้ที่สร้างมัน - DPP)
ฮ่าฮ่าฮ่า

santisook01
11th December 2013, 14:53
อ่านตอนที่ 8 จบแล้วครับ เท่าที่อ่านมาทั้งหมดผมรู้สึกตงิดตงิดกับเจ้าวอร์คกกี้ – ทอร์กกี้จริง ๆ ถ้าหากว่าคุณเปลี่ยนเป็นคำอื่นอย่างเช่นวิทยุสื่อสาร หรือเจ้าส่งสารประมาณนี้อาจจะดีขึ้นนะครับ(ไม่ต้องก็ได้เพราะมันเป็นแค่ความรู้สึกของผม)
‘แจ็คยิ้มอย่างน้อยก็ทำให้หน้าที่ดูพิกลของเขาดีขึ้น’ ผมงงหรือตรงนี้คุณพิมพ์ตกไปรึเปล่า

บทสนทนาแบบคู่รักระหว่างเอมม่ากับตัวเอกดูไร้เดียงสาไปหน่อยนะครับ(เหมือนเด็กมัธยมต้นของฝรั่งจีบกัน ถ้าเทียบกับไทยก็เด็กมหาลัย) เพราะตามวัฒนธรรมของชาวฝรั่งแล้วมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนและอาจใช้คำหยอกเย้าที่เร้าร้อนมากกว่านี้เยอะ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องศึกษาบทสนทนาให้มากเวลาแต่งนิยายที่มีเรื่องแบบนี้มาเกี่ยวข้อง พูดง่าย ๆ มันทำให้ผมงง ส่วนเรื่องบรรยายกิริยาท่าทางนั้นดีมากครับ ใช้วลีไม่ซ้ำกันแถมยังไหลลื่นอ่านสนุกอีกต่างหาก

ผมว่าโอเลดขี้แยเร็วเกินไปนะ
จากข้างบนที่ว่าบทสนทนาแบบคู่รักดูไร้เดียงสาแต่บทสนทนาปกติก็ถือว่าดีครับ อยู่ในขั้นมาตรฐานของคนเขาพูดคุยกันในสถานการณ์ตึงเครียด

‘"กรี๊ดดดดดด" วินแคลร์กรีดร้องและหันไปยิงใส่ต้นตอของเสียงไม่ยั้ง’ มีตัวละครปริศนาปรากฏขึ้นมาด้วยแฮะ

ตอนช่วงตัวเอกสอนยิงปืนผมชอบนะ รู้สึกว่ามันอ่านสนุกดี แต่ก็สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมปืนมันถึงได้มีมากและก็หลายชนิดถึงขนาดนี้

ส่วนตอนจบควรจะเพิ่มความน่าติดตามหน่อยนะครับ ที่อีกไม่นานคงจะมาสมทบ มันฟังดูแล้วเหมือนไม่แน่ไม่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า

หมดแค่นี้ครับ นี่เป็นแค่คำวิจารณ์หลังอ่านจบเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง สู้ต่อ ๆ ไปครับไรเตอร์ ตอนที่ 9 ผมจะกลับมาอีก ขอบคุณสำหรับตอนที่ 8 ครับ

black jack sdppd
11th December 2013, 21:07
อ่านตอนที่ 8 จบแล้วครับ เท่าที่อ่านมาทั้งหมดผมรู้สึกตงิดตงิดกับเจ้าวอร์คกกี้ – ทอร์กกี้จริง ๆ ถ้าหากว่าคุณเปลี่ยนเป็นคำอื่นอย่างเช่นวิทยุสื่อสาร หรือเจ้าส่งสารประมาณนี้อาจจะดีขึ้นนะครับ(ไม่ต้องก็ได้เพราะมันเป็นแค่ความรู้สึกของผม)
‘แจ็คยิ้มอย่างน้อยก็ทำให้หน้าที่ดูพิกลของเขาดีขึ้น’ ผมงงหรือตรงนี้คุณพิมพ์ตกไปรึเปล่า

บทสนทนาแบบคู่รักระหว่างเอมม่ากับตัวเอกดูไร้เดียงสาไปหน่อยนะครับ(เหมือนเด็กมัธยมต้นของฝรั่งจีบกัน ถ้าเทียบกับไทยก็เด็กมหาลัย) เพราะตามวัฒนธรรมของชาวฝรั่งแล้วมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนและอาจใช้คำหยอกเย้าที่เร้าร้อนมากกว่านี้เยอะ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องศึกษาบทสนทนาให้มากเวลาแต่งนิยายที่มีเรื่องแบบนี้มาเกี่ยวข้อง พูดง่าย ๆ มันทำให้ผมงง ส่วนเรื่องบรรยายกิริยาท่าทางนั้นดีมากครับ ใช้วลีไม่ซ้ำกันแถมยังไหลลื่นอ่านสนุกอีกต่างหาก

ผมว่าโอเลดขี้แยเร็วเกินไปนะ
จากข้างบนที่ว่าบทสนทนาแบบคู่รักดูไร้เดียงสาแต่บทสนทนาปกติก็ถือว่าดีครับ อยู่ในขั้นมาตรฐานของคนเขาพูดคุยกันในสถานการณ์ตึงเครียด

‘"กรี๊ดดดดดด" วินแคลร์กรีดร้องและหันไปยิงใส่ต้นตอของเสียงไม่ยั้ง’ มีตัวละครปริศนาปรากฏขึ้นมาด้วยแฮะ

ตอนช่วงตัวเอกสอนยิงปืนผมชอบนะ รู้สึกว่ามันอ่านสนุกดี แต่ก็สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมปืนมันถึงได้มีมากและก็หลายชนิดถึงขนาดนี้

ส่วนตอนจบควรจะเพิ่มความน่าติดตามหน่อยนะครับ ที่อีกไม่นานคงจะมาสมทบ มันฟังดูแล้วเหมือนไม่แน่ไม่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า

หมดแค่นี้ครับ นี่เป็นแค่คำวิจารณ์หลังอ่านจบเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง สู้ต่อ ๆ ไปครับไรเตอร์ ตอนที่ 9 ผมจะกลับมาอีก ขอบคุณสำหรับตอนที่ 8 ครับ

ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ครับ เป๊ะมาก
ส่วนเรื่องที่ปืนเยอะคงจะเป็นเพราะร้านขายปืนก็เป็นได้
ไม่แน่ใจเหมือนกัน (ฮาและ)

santisook01
13th December 2013, 15:11
อ่านตอนที่ 9 จบแล้วครับ ตอนนี้รู้สึกว่าคำผิดมีมากขึ้น วลีหรือคำเปรียบก็ดูทื่อ ๆ มากขึ้น อีกทั้งเนื้อหาก็สั้นมากด้วย- โดยส่วนใหญ่ผมว่าปัญหามันเกิดมาจากตัวละครหลายตัวหละครับ

ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่า สู้ต่อไปครับ คุณนักเขียน ผมจะมาต่อตอนที่ 10 ในระหว่างนี้ผมคงต้องไปทำงานก่อน(พิมพ์ก่อนไปทำงานยามเช้า)

black jack sdppd
13th December 2013, 18:50
อ่านตอนที่ 9 จบแล้วครับ ตอนนี้รู้สึกว่าคำผิดมีมากขึ้น วลีหรือคำเปรียบก็ดูทื่อ ๆ มากขึ้น อีกทั้งเนื้อหาก็สั้นมากด้วย- โดยส่วนใหญ่ผมว่าปัญหามันเกิดมาจากตัวละครหลายตัวหละครับ

ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่า สู้ต่อไปครับ คุณนักเขียน ผมจะมาต่อตอนที่ 10 ในระหว่างนี้ผมคงต้องไปทำงานก่อน(พิมพ์ก่อนไปทำงานยามเช้า)


ครับ ยอมรับว่าตอนนั้นเผางานมาก
ยังไม่หมด ยังมีอีกหลายบทครับ
ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ครับ

santisook01
16th December 2013, 15:49
อ่านตอนที่ 10 จบแล้วครับ คำผิดน้อยลง ภาษาดีขึ้น และเนื้อเรื่องก็ดีขึ้น แต่เรื่องฉากการต่อสู้กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกระทึก ถ้าเพิ่มรายละเอียดระหว่างต่อสู้มากขึ้นอีกก็จะดีนะครับ ไม่จำเป็นต้องรีบไปอธิบายตัวละครคนอื่นที่กำลังสู้ก็ได้ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นมุมมองบุคคลที่ 1

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 10 ครับ

black jack sdppd
30th December 2013, 22:38
หมวดนิยายเริ่มคึกคักแล้ว (ดีใจ)
อย่าให้คอมเสร็จนะ ... จะไล่เม้นทุกเรื่อง !!!!

santisook01
31st December 2013, 16:57
น่าดีใจจริง ๆ แหละครับ แต่ผมก็ติดเรื่องงานเหมือนกัน แต่งไปไม่ถึงไหนเลย เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยว่างอ่านด้วย

santisook01
7th January 2014, 15:52
พึ่งอ่านตอนที่ 11 จบครับ รู้สึกว่าออกจะสั้นไปนิดนะครับ
เท่าที่ผมอ่านงานเขียนของคุณมา
ผมอยากให้คุณเพิ่มบทอธิบายและบทสนทนาให้มากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าแต่ละครั้งคุณจะใช้คำสั้นห้วนจนเกินไปและอาจทำให้ผู้อ่านนึกภาพตามไม่ออก

black jack sdppd
18th January 2014, 07:48
Jack ryan Shadow Recruit
สร้างจากผลงานของ Tom Clancy
มาจากผลงานชิ้นไหนหว่า The Sum Of All Fear รึเปล่า
เข้าแล้ว ใครดูแล้วมาบอกหน่อยนะครับว่าสนุกมั้ย

เข้าเรื่องเลยคือ คอมพิวเตอร์ซ่อมเสร็จแล้ว
และกำลังแต่งนิยายเกี่ยวกับสายลับและกำลังเอามาลงในนี้
จึงอยากออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เลียนแบบอะไรทั้งสิ้น
จะแต่งมานานแล้ว
แค่นี้แหละครับ ขอบคุณครับ

santisook01
19th January 2014, 13:09
ดีแล้วล่ะครับ เว็บเราจะได้คึกคักขึ้นมาบ้าง

black jack sdppd
24th January 2014, 18:21
สำหรับเรื่องนี้เหลืออีกประมาณ 24 - 26 บทก็จะจบแล้วครับ
แหะๆ ช่วยๆกันอ่านช่วยกันสนับสนุนกันหน่อยเน้อ
ขอแรงใจอีกครั้งและขอขอบคุณสำหรับทุกท่านที่มา
คอมเม้นท์ให้กำลังใจ วิจารณ์ติเตียน แนะนำ
ซึ้งครับ ซึ้ง
(วันนี้ติดเน็ทเลยว่างมาแพล่ม) (<-- มัวแต่แพล่มแล้วเมื่อไหร่เอ็งจะลงนิยายฟระ จะเสร็จมั้ยเนี่ย)

black jack sdppd
9th February 2014, 20:04
Back From Dead HaHaHa









18. ทรัพย์สินหรือชีวิต

เวอร์จิเนีย
พลโทเนสท์ เนเก้น กำลังเดินกลับไปที่ห้องพักของตนเอง ในใจคิดแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและกองทหารของตน ซึ่งมีหลายพื้นที่ที่ขาดการติดต่อ อีกทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ยังไม่ได้รับการสนับสนุน แต่ที่เขาโหยหามากที่สุดคือภรรยาและลูกสาวที่แสนน่ารัก
ก่อนจะเกิดเรื่องนั้น เขาดำเนินชีวิตเหมือนปกติ ร่วมวิจัยอาวุธใหม่กับกองทัพ วันต่อมาเขาถูกปลุกกลางดึงและได้รับรายงานว่าทำเนียบขาวถูกโจมตี ตอนแรกเขาไม่เชื่อเพราะบ้านเขาและทำเนียบขาวห่างกันเพียง 4 กิโลเมตรแต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร จนกระทั่งได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า มีคนบ้าโรคจิตไล่กัดผู้คนในทำเนียบขาว ซึ่งเขาก็ยังไม่เชื่ออีก
เขาเดินทางไปทำเนียบขาวอย่างรวดเร็ว ข้างนอกยังดูปกติ แต่ว่าด้านในกับเต็มไปด้วยเสียงปืน ผู้คนมุงดูอยู่รอบๆ เขาจำเป็นต้องบัญชาการหน่วยสวาทและกำชับให้ยิงแค่ผู้ที่ถือปืนเท่านั้น แต่ว่าหน่วยสวาทที่ถูกส่งเข้าไปกลับถูกโจมตีและขาดการติดต่อ
ผ่านไปหลายชั่วโมงมีสัญญาณแรกและสัญญาณเดียวจากข้างในติดต่อออกมา หน่วยสวาทและทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปกำชับเช่นเดิม มีคำพูดประหลาดมากมายที่จับใจความไม่ได้เช่นกัดหรือซอมบี้
ผ่านไปอีกพักใหญ่มีกลุ่มคนจำนวนมากเดินโซเซออกมาและพุ่งเข้าทำร้ายผู้คน จนเขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอด สถานการณ์ข้างหน้าเลวร้ายอย่างไร ข้างหลังก็ไม่แพ้กันเมื่อมีพวกผู้ติดเชื้อจากไหนมารู้โผล่มา ราวกับนัดกันไว้ เขารอดตัวได้อย่างหวุดหวิดและลี้ภัยไปที่เพนตากอนซึ่งแน่นอนครอบครัวเขาไม่รอด

“ท่านครับ” เสียงเวลส์ดังขึ้นจากข้างหลัง เนเก้นหันไปมองพบเขาวิ่งหน้าตาตื่นมา
“มีอะไรเวลส์ ทำท่าอย่างกับผีบุก” เนเก้นพูด
“ผีบุกครับท่าน ท่านต้องมาดูนี่” เวลส์พูดรัวเร็ว
“หา” เนเก้นสงสัยแต่ก็วิ่งตารมเวลส์ไป ไปที่ห้องปฏิบัติการ ในห้องนั้นเดิมทีก็ดูสับสนวุ่นวายอยู่แล้ว ตอนนี้กลับมากกว่าเดิม หลายคนมาจับกลุ่มคุยและวางแผน
“อะไรเวลส์” เนเก้นถามเมื่อเขาเห็นจอโทรทัศน์จอกลาง ลักษณะเหมือนแผนที่แต่ทุกอย่างเป็นสีส้ม มีเส้นตรงลากตรงกลาง ในเส้นตรงนั้นเป็นสีชมพูขนาดใหญ่เคลื่อนที่ “อย่าบอกนะว่านั่นคือ...”
“ใช่ครับ ซอมบี้… เคลื่อนที่เร็ว 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากการวิเคราะห์คือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างมากและจะมาถึงที่นี่ใน 12 วันครับ” เวลส์ชี้แจงข้อมูลด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก เนเก้นตาค้าง เหงื่อเริ่มปรากฏทั้งที่ห้องไม่ได้มีอากาศร้อน แต่เขายังควบคุมอารมณ์ไว้ได้
“ซอมบี้มันร่วมกลุ่มกันและเดินขบวนอย่างงั้นด้วยเรอะ มันไม่ใช้สมองนิ่” เนเก้นถาม
“ครับ แต่ผลวิเคราะห์ส่วนหนึ่งบอกว่าเชื้อไวรัสสามารถติดต่อกันเพื่อสร้างสังคมได้” ความเงียบครอบคลุมทั้งห้อง
“ฉันต้องไปเพนตากอน” เนเก้นพูดเสียงเรียบ “แจ้งเขาเรื่องข้อมูลนี้และบอกเขาว่าให้มีการประชุม”

อาร์ลิงตัน เวอร์จิเนีย
เนเก้นนั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมยาวในห้องปฏิบัติการณ์ของเพนตากอน ภายในห้องเป็นสีดำ มีจอขนาดใหญ่ที่ตอนนี้กำลังฉายภาพการเคลื่อนที่ของซอมบี้อยู่ติดอยู่เหนือพื้น ซึ่งพื้นที่นี้อยู่ในโซนประชุม โซนหลังมีคอมพิวเตอร์มากมายวางเรียงรายกันเพื่อใช้นำเสนอข้อมูลและติดต่อไปในที่ต่างๆ
ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ตรงข้ามกับฝั่งหน้าจอคือรอส ชอว์ตัน ผู้รักษาการณ์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา มือประสานกันครุ่นคิด ด้วยหน้าอันทรงภูมิทำให้ผมที่เต็มไปด้วยหงอกขาวโพลนและผิวสีเข้มนั้นดูมีเสน่ห์ ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ที่คอยจัดการเรื่องราวมากมายหลายอย่างแทนประธานาธิบดี รอส เบ็กกิน
“เริ่มกันเลย” เสียงทุ้มนั้นดังขึ้น ทำให้ห้องนั้นสงบและหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อฟังการประชุมจากนั้นก็มีทหารระดับพลเอกสองคนมานั่งข้างผมและมีเจ้าหน้าที่คนสำคัญของรัฐสามคนนั่งฝั่งตรงข้าม
“ตอนนี้ทุกท่านคงเห็นแล้วว่าไอตัวพวกนี้ ที่ตอนนี้เราพึงใจจะเรียกมันว่าซอมบี้ ได้จับขบวนเดินกลุ่มกันและอาจจะมาถึงที่นี่และถล่มให้ราบคาบ” ท่านปธน. เกริ่น “และที่เวอร์จิเนียนี้คือสถานที่มีผู้รอดชีวิตมารวมตัวกันมาก เป็นแหล่งปลอดการติดเชื้อที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาขณะนี้” เขาเว้นวรรค “ด้วยหน้าที่เราต้องปกป้องประชาชน แต่ตอนนี้เราก็รู้ดีว่าทรัพยากรของเรามันมีไม่พอ กำลังพลที่ยากจะบริหาร ผมอยากทราบว่าเราควรทำอย่างไรดี”
“ท่านครับ” ทหารที่นั่งข้างเนเก้นลุกขึ้น เขามีร่างกายที่สูงใหญ่ กำยำ เขาคือ พลเอกมาร์ลิน เคเนดี้ ผู้บัญชาการทหารบก “เราควรจะตั้งรับเอาไว้ที่จุดก่อนถึงเวอร์จิเนียเช่นเซาท์ แคโรไลนา ตั้งรับด้วยกำลังพลที่มากกว่าตอนนิวเจอร์ซีย์และก่อนที่มันจะถึงเราก็ใช้กองกำลังอีกส่วนตัดตอนมันที่กำลังจะไปเสริมในขบวนและการวางระเบิดจำนวนมากดักหน้าทางพวกมัน ก็จะช่วยลดจำนวนได้ไม่น้อย” เคเนดี้คือเจ้าของแผนนิวเจอร์ซีย์ “และกองกำลังที่นำไปตัดตอน ก็ควรจะเป็นกองกำลังที่ฝึกมาอย่างดี” เขาพูดจบและนั่งลง
“ท่านครับ” คราวนี้เป็นฝ่ายเนเก้นลุกบ้าง “ผมเห็นด้วยกับแผนที่ท่านเคเนดี้เสนอมาครับ แต่ผมคิดว่ามันไม่อาจจะสำเร็จครับ” เคเนดี้มองหน้าเนเก้นอย่างสงสัยระคนรำคาญใจ “กองกำลังนี้อาจจะมีจุดจบเหมือนที่นิวเจอร์ซีย์”
“คุณได้อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเหมือนผมรึเปล่าล่ะ ถึงได้มาวิจารณ์ผม” เคเนดี้ถามเสียงเขียว
“เปล่าครับ ท่าน ผมไม่ได้มีเจต- -”
“งั้นก็อย่ามาทำเป็นเก่ง”
“พลโทเนเก้นเป็นผู้ที่ติดตามสถานการณ์มาตลอดและคอยส่งกองกำลังไปช่วยผู้รอดชีวิตในที่ต่างๆ เขาก็สูญเสียเหมือนเรานั่นแหละท่านนายพล” ท่านปธน. พูดเสียงเย็น เคเนดี้มีท่าทีสงบลง “ต่อสิพลโทเนเก้น”
“ครับ ขอบคุณครับ” เนเก้นพูดต่อ “ตอนนี้จากที่เรารู้เกี่ยวกับซอมบี้พวกนี้คือ แพร่เชื้อโดยการกัด ติดเชื้อภายใน 20 วินาทีและมีสองช่วงคือ ช่วงแรกของการติดเชื้อคือรันเนอร์ เป็ฯช่วงที่ซอมบี้มีความโหดร้ายสุดๆ ทั้งความเร็ว ความอึด ความแข็งแรงและช่วงที่สองคือช่วงคลายตัวหรือการที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยเป็นเวลา 3 วันขึ้นไป ซอมบี้จะช้าลงเพื่อเก็บพลังงานและจะเป็นรันเนอร์ใหม่เมื่อได้รับอาหาร ซึ่งในช่วงที่คลายตัวนี่แหละ ที่ง่ายต่อการจัดการ” เขาหยุดพัก ให้คนอื่นคิดตามทัน “ผมคิดว่าเราควรจะตั้งรับทีเดียวที่นอร์ท แคโรไลนา” เกิดเสียงพึพำ ซุบซิบไปทั่ว
“คุณรู้ได้ไงว่า ในช่วง 6 วันก่อนถึงนอร์ท แคโรไลนา มันจะไม่กลายเป็นรันเนอร์ มันจะไม่กินผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่” เคเนดี้ถาม มีเสียงพึมพำเห็นด้วย
“แค่ส่วนน้อนเท่านั้นที่จะเป็นรันเนอร์เพราะผมอพยพคนในนอร์ทแคโรไลนาที่รอดชีวิตอยู่ส่วนใหญ่ออกมาหมดแล้ว” เจ้าหน้าที่รัฐสองคนที่นั่งตรงข้ามเขาอ้าปากค้างและพลิกดูเอกสารข้างหน้า เคเนดี้พยักหน้าอย่างยอมรับ “ผมชอบแผนการวางระเบิดดักทางพวกมัน เราจำเป็นต้องใช้ระเบิดจำนวนมากเพื่อระเบิด แม้จะเป็นเมืองทั้งเมือง”
“เอ่อ... ขอขัดจังหวะหน่อย” เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าเป็นเหลี่ยมและมีจมูกที่งองุ้มขัดจังหวะ เขาคือ บิล ซุลลิแวน “คุณบอกจะระเบิดใช่มั้ย? ที่นิวเจอร์ซีย์นั้นยังไม่พออีกใช่มั้ย ทิ้งระเบิดลงไปขนาดนั้นก็ยากที่จะบูรณะอยู่แล้ว นี่คุณกะจะระเบิดไปเป็นทอดๆ กะจะให้ทั้งเมืองพังราบ”
“มันก็คุ้มค่านิ่ ถ้าหากมันสามารถปกป้องประชากรไว้ได้” คราวนี้เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่รัฐหญิง เทสซ่า โทเรนโด
“แต่ความเสียหายล่ะ” เจ้าหน้าที่รัฐคนที่ใส่แว่นพูด เขาคือ คีท นิเคสัน “แคโลไรนาทั้งหมด มีจุดทำเงินอยู่หลายที่เลยทีเดียว ถ้าพังมันหมด อเมริกาก็ยากที่จะกลับมาเป็นชาติมหาอำนาจ มันออกจะน่าเสียดาย” เขาทำเน้นเสียงแล้วมองไปทางชอว์ตัน เขามองไปในจอดูการเคลื่อนที่ของซอมบี้
“เงินน่ะ หาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่เราต้องการคือความเชื่อใจนะและความไว้วางใจจากคนของเรา” โทเรนโดเถียง
“เราช่วยเขาได้ ใช่ นั่นก็ได้แล้ว อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าเราจะป้องกันเวอร์จิเนียไม่ได้” ซุลลิแวนพูด “หลังจากจบเรื่องได้น่ะ ยังมีอีกหลายที่ที่ต้องการการบูรณะ ทำไมเราต้องระเบิดเมืองเพียงเพื่อผลลัพธ์ที่มีความเป็นไปได้น้อยนิด”
“ซุลลิแวน ตอนนี้เงินน่ะไม่มีค่าเลยนะ” โทเรนโดเถียงกับซุลลิแวนต่อ
“มองการณ์ไกลหน่อยสิเทสซ่า หลังจากนี้ล่ะ เราปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ ว่าหลังจากที่เราสร้างเมืองแล้ว เราต้องการทั้งเงินและบุคคลากร”
“แต่ตอนนี้เราต้องรักษาชีวิตคนนะ”
“เรามีทหาร” นิเคสันพูดบ้าง “เรามีทหารมากมาย จัดสรรปันส่วนให้เรียบร้อยและก็ใช้สอยซะ ให้คุ้มค่า”
“ขอโทษนะ แต่ผมคิดว่าทหารไม่ใช้ของเล่น มีกี่คนกันที่ยอมสละชีพเพื่อให้พวกคุณมานั่งสบายใจในนี้” ผู้บัญชาการปฏิบัติการณ์พิเศษ เวย์น เพนเทอร์ ชิงพูดก่อนเนเก้นและเคเนดีที่ไม่มีสีหน้าไม่พอใจเหมือนกัน นิเคสันมีท่าทีหวาดกลัวทันที
“ขออภัย ผมหมายถึงตอนนี้เรามีกองกำลังทหารเพียงพอ ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการเลี้ยงดูเหมือนกัน แล้วเราจะนำงบประมาณทั้งหลายซึ่งเรายังไม่ได้รับจากหลายรัฐ มาบูรณะประเทศยังไง”
“ถ้ารักษาชีวิตและความไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ เงินจะไปมีประโยชน์อะไร” คราวนี้ท่านประธานาธิบดีพูด ซึ่งเป็นครั้งแรกหลังจากการเกริ่นนำ โทเรนโด มีสีหน้าว่าอยากพูดแบบเดียวกัน “อย่างที่คุณโทเรนโดพูด เงินน่ะ หาเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ที่เราต้องการคือภาพลักษณืต่างหาก” ชอว์ตันพูดเสียงเย็น ซุลลิแวนอ้าปากจะเถียงแต่ก็ต้องหุบไป “ต่อเลย พลโทเนเก้น”
“ครับ ถ้าเถียงเรื่องงบประมาณกันจบแล้ว ก็ต่อกันเลย แผนของผมคือการแบ่งการป้องกันเป็นสามจุดคือจุด เอ บี ซี ซึ่งถ้ามีการอนุมัติแผน ผมจะมีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ช่างเถอะ จุดแรก จุดเอ ผมจะให้ทหารประจำอยู่บนเลื่อนยาวๆปิดถนนไว้ เมื่อซอมบี้มาถึงก็จะเริ่มยิง เมื่อถึงระยะที่เหมาะสมก็จะถอยไปจุดบีและกดระเบิด จุดบีคือส่วนตั้งรับที่สองแผนเดิมเหมือนเอ ยิง ถอยไปเรื่อยๆ กดระเบิด จากนั้นที่จุดซี จุดนี้จะเป็นจุดสำคัญที่สุดตั้งรับแน่นหนาที่สุดและรุนแรงที่สุด” เนเก้นหยุดแล้วมองที่เคเนดี้ “ถ้าท่านจะอนุมัติกำลังพลและทหาร” เคเนดี้ยิ้มพลางพยักหน้า
“คุณต้องการเท่าไหร่” เคเนดี้ถาม
“ทหาร 100 คน รถถังเอ็ม หนึ่ง อะบรามส์ 3 คัน ฮัมวี่ติดปืนกล 5 คันและถ้าได้ อาปาเช่คอยสนับสนุนกับแร็พเตอร์ทิ้งระเบิดตัดตอนก็จะเป็นอะไรที่ดีมากครับ” เนเก้นแจกแจง เคเนดี้นั่งเงียบไป มีสีหน้าสับสน แล้วมองไปที่เพนเทอร์อย่างสับสน
“กำลังทหารน่ะ ผมให้คุณได้ แต่เรื่องยุทโธปกรณ์น่ะคงต้องปรึกษานายพลเพนเทอร์ก่อน” เคเนดี้พูด เนเก้นมองไปที่เขาท่าทางเหนื่อยล้าแล้วเขาก็นั่งลง
“ทำไมหรือ ท่านนายพล คุณมีอะไรขัดข้องใจ” ชอว์ตันถาม มีน้ำเสียงขู่เจือปนอยู่ด้วย แต่แพนเทอร์มองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถึงผมจะเห็นด้วยเรื่องแผนนี้ก็เถอะนะ แต่สิ่งที่เขาขอน่ะ ออกจะมากไปหน่อย” แพนเทอร์เริ่ม
“ปัญหาของคุณคืออะไร” ชอว์ตันถามซ้ำ
“มันมีปัจจัยมากเกินไป จริงอยู่ที่มีเวลาในการเตรียมตัวหกวัน แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะพร้อมได้ในทันทีนะครับ ทั้งเรื่องความพร้อมของทหารและอาวุธและในเวอร์จิเนียนี้ เราก็ได้แบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปช่วยในพื้นที่อื่น เราอาจจะต้องถอนกำลังมา แต่ว่าข้อได้เปรียบก็คือ พื้นที่ที่เราเอากำลังไปตั้งนั้น อยู่ห่างจากเขตุรัฐปลอดเชื้อไปมาก เช่น มิชิแกน เคนทักกี้ โอไฮโอ แต่อาจจะทำให้การป้องกันในจุดนั้นเปราะลงมาก” แพนเทอร์หยุด ชอว์ตันดูมีท่าทีลำบากใจมากๆ
“ถ้าเรานำมาป้องกันที่นี่ ผู้รอดชีวิตที่นั่นอาจจะสูญเสียกำลังทหารไปใช่มั้ย” ชอว์ตันถามเบาๆ แพนเทอร์พยักหน้า
“ดูจากที่ขอแล้ว เมืองราบแน่ๆ ถึงผมจะไม่สนใจไอเมืองทั้งหลายแหล่ ที่ต้องพังราบ แต่การระเบิดอย่างนั้น มูลค่าหลายพันล้านแน่ๆ เมืองจะกลายเป็นเมืองจะพังและเป็นการยากในการปฏิบัติภารกิจ แถมเสียงก็จะล่อซอมบี้มาจากทุกทิศทุกทางและไล่ต้อนจนยกเลิกภารกิจแทบไม่ทันเหมือนที่นิวเจอร์ซีย์ อย่าลืมสิ ซอมบี้ไม่ได้มีแค่ด้านหน้านะ” แพนเทอร์อธิบายยาวเหยียด “เรื่องกองกำลังทหารก็เช่นกันทหาร 100 คนน่ะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ที่จะปฏิบัติภารกิจได้เต็มที่หรือยืงโดนหัวได้ทุกนัดหรือไม่สติแตก” เนเก้นกลืนน้ำลาย จุดที่แพนเทอร์พูดมาก็มีเหตุผล “ก็อยากให้คิดดูให้ดี ไม่ก็ลดสิ่งที่คุณขอมาซะ” นายพลแพนเทอร์เสริมพลางมองหน้าเนเก้น
“พูดได้ตรงจุด” ซุลลิแวนได้ที “ในการบำรุงสภาพทหารนั้นจะเป็นต้องใช้เงินอยู่แล้วและการที่คุณขอทั้งรถถัง ทั้งเครื่องบินเจ็ทหรือเฮลิคอปเตอร์ การเตรียมการของมันไม่ว่าจะเป็น ด้านอาวุธหรือเชื้อเพลิง มันมีมูลค่านะ”
“แล้วไงล่ะ เราไม่ได้จะผลิตมันสักหน่อย” เนเก้นเถียง “เราแค่เอาของที่มีมาใช้”
“ไม่มีอะไร ไม่มีค่าใช้จ่ายหรอกนะและที่สำคัญการถอนกำลังจากทางโน้นเพื่อมาเสริมทางนี้ อาจทำให้การป้องกันและการดูแลศูนย์ผู้ปลอดเชื้อ ณ ที่แห่งนั้นระส่ำระส่าย และอาจจะถูกบุกโดยพวกผู้ติดเชื้อ เราอาจจะเสียคนที่นั่นไปและก็เช่นเคยเราต้องเตรียมเงินไว้สำหรับความวินาศด้วย มีแต่เสียกับเสีย”
“คุณมีแผนที่ดีกว่านี้งั้นเหรอ” ชอว์ตันถาม
“เราก็แค่นำงบส่วนหนึ่งเพื่อมาเตรียมกำลังแก่ทหาร ให้มีจำนวนมากและตั้งรับอย่างเต็มที่” ซุลลิแวนเสนอ
“สุดท้ายคุณก็คิดแต่เรื่องเงิน” เคเนดี้ขึ้นเสียง “คุณไม่คิดถึงจิตใจของทหารรึไง ว่าทั้งบอบช้ำและขาดความพร้อม เงินมันไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่างหรอกนะ คุณซุลลิแวน”
“เอ่อ...” ซุลลิแวนพูดไม่ออก
“ผมว่าเราควรทิ้งระเบิดที่เซาท์แคโรไลนาและใช้กองกำลังพิเศษส่วนหนึ่งเพื่อตัดตอนพวกมันให้ได้มากที่สุด” เนเก้นลุกขึ้นเสนออีกครั้ง
“อะไรกัน คุณไม่ได้ลดแผน แต่กลับเพิ่มขึ้นอีก” แพนเทอร์โพล่งออกมา “ทหารก็คนเหมือนกันนะ”
“ท่านก็รู้นี่ครับ พวกเขาถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อให้ทำเพื่อชาติ เขาคงไม่อยากอยู่เฉยๆหรอกครับ”
“ผู้รู้ดีว่าเขาต้องการอะไร” แพนเทอร์กัดฟัน
“โทนี่ ดับเบิ้ลยู. แพนเทอร์และแทช แพนเทอร์” เนเก้นเริ่ม แพนเทอร์มองหน้าเขา “ลูกชายคุณสองคนเป็นนาวิกโยธินสหรัฐ โทนี่ตายในภารกิจ ผมรู้ ภายใต้การนำของผมเอง” เนเก้นสำนึกผิด แพนเทอร์หันหน้าไปทางอื่น “เขาเป็นทหารฝีมือดีที่ยอมสละตัวเอง ท่านเสียใจและไม่อยากให้แทชอีกคนท่านเสี่ยงมาก แต่ท่านคิดว่าถ้าเขารู้ เขาจะรู้สึกอย่างไร”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี!” แพนเทอร์ลุกขึ้นแผดเสียง “นายไม่เข้าใจหรอก ออกไปซะ” เนเก้นตกใจเล็กน้อยแล้วก้มหน้ารับชะตากรรม เขาก้าวเท้าจะเดินออกไป
“ท่านจะไล่พลเอกเนเก้นไปไหนหรือ ท่านนายพล” ชอว์ตันพูดขึ้น โต๊ะหันไปมองไปที่ท่านประธานาธิบดีอย่างไม่เชื่อสายตา
“อะไรนะ ท่านครับ” ทั้งแพนเทอร์และเนเก้นถามพร้อมกัน
“ก็ได้ยินแล้วนี่ ผมแต่งตั้งเขาเป็นพลเอกแล้วให้มอบอำนาจในการควบคุมภารกิจทุกอย่างและทุกท่าน ต้องประสานงานกับเขาอย่างเต็มที่” เนเก้นยังงงอยู่ โทเรนโดมีสีหน้าพอใจ
“แต่ท่านจะมาแต่งตั้งใครตามใจชอบไม่ได้” แพนเทอร์แย้ง
“ด้วยอำนาจของประธานาธิบดีนะ ในสถานการณ์แบบนี้ ผมว่าอำนาจการแต่งตั้งอาจจะถูกย่นออกมาเร็วกว่าเดิมหน่อย แล้วก็นะท่านายพล ถ้าฝึกอย่างหนักมา แล้วถูกเก็บไว้อย่างขี้ขลาดเนี่ย ผมว่าลูกคุณไม่ต้องการหรอก” ชอว์ตันพูดอย่างใจเย็น แพนเทอร์ส่ายหัวแล้วนั่งลง “ต่อสิท่านนายพล” ชอว์ตันพูดกับเนเก้น เขาเดินมาที่เดิม
“ผมต้องการเหมือนที่กล่าวมาครับ นี่คือแผนของผม แล้วผมจะชี้แจงแผนอย่างละเอียดแก่ทหารทุกคนในวันพรุ่งนี้”
“สรุปว่าเรายังทำลายเมืองสินะ” นิเคสันส่ายหน้ายอมรับ
“เดฟชิป(DEVSIP)” โทเรนโดพูดเบา ทั้งโต๊ะหันมามองเธอ แต่ดูเหมือนจะมีแค่เคเนดี้และเนเก้นเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ
“เธอพูดอะไรออกมา” ซุลลิแวนห้ามเสียงดัง
“อะไรล่ะ ก็ถ้ากลัวเมืองเสียหายมากนัก ไอ้นี่แหละ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุดๆ” โทเรนโดพูดราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
“มันแย่มากๆเลยต่างหาก” ซุลลแวนส่ายหน้า
“ไอ้เดฟชิปอะไรนี่มันคืออะไรหรือครับ” เนเก้นถาม
“ดีวาสเตต ชิป(Devastate Ship เรือทำลายล้าง) เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของระเบิดขีปนาวุธชนิดใหม่ นั่นเป็นข้อมูลลับสุดๆ”
“ผมว่าตอนนี้ นอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว ไออื่นก็ไม่เป็นความลับแล้วล่ะ” ชอว์ตันพูด
“อาวุธนั่นคือเหตุผลที่ผมและนิเคสันพยายามค้านหัวชนฝา เพื่อไม่ให้ใช้กำลังเปลือง” ซุลลิแวนบอก “มันใช้งบประมาณมากในการวิจัย”
“มันคืออะไร” เคเนดี้ถาม
“ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่มันเป็นระเบิดที่ข้างในจุสารอะไรบางอย่างที่จะเผาผลาญเฉพาะสิ่งที่มีชีวิตให้มอดไหม้และไม่ทำอันตรายแก่สิ่งก่อสร้าง อะไรก็ตามที่ไม่ใช้หิน เหล็กหรือวัตถุอื่นๆ จะสลายเหลือแต่เถ้า” โทเรนโดตอบ
“นำมันมาใช้ได้มั้ย” เนเก้นถาม ซุลลิแวนส่ายหน้า
“ถึงจะเกือบเสร็จ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าไม่ควรนำมันมาใช้ก่อนถ้ายังไม่สมบูรณ์”
“มีเวลาสองวันในการทำมันขึ้นมาและหนึ่งวันเพื่อให้พร้อมใช้โดยการทิ้งจากเครื่องบิน ใช้ให้คุ้ม” เนเก้นตบโต๊ะ
“แต่ว่ามันใช้- -”
“ผมไม่อยากฟังเรื่องงบประมาณบ้าบออะไรนี่อีก” ชอว์ตันลุกขึ้น “ถ้าอยากได้เงินกันนัก ก็ไปที่กระทรวงการคลัง ไปเอาแบงค์ที่เขาพิมพ์เสร็จแล้ว เอาไปให้หนำใจ” เขาประชด “ผมต้องการให้ภารกิจออกมาดีที่สุด อย่าลืมสิว่าเราไม่ไดทำเพื่อตัวเอง เราทำเพื่อประชาชน จงนึกอย่างนั้นเถอะ การประชุมลงมติแล้ว เราจะทำตามแผนของนายพลเนเก้น เลิกการประชุมได้” เขาพูดแล้วเดินจากไป จากนั้นทุกคนในห้องก็แยกย้ายกันออกไปไม่เว้นแม้แต่คนในโซนประสานงาน
“ผมจะเตรียมคนคุ้มกันไว้ให้แล้วคุณก็นำทางไปนำของที่ทีมวิจัยอยากได้” เนเก้นพูดกับซุลลิแวนนอกห้อง ซุลลิแวนไม่ได้พูดอะไรเขาพยักหน้าแล้วก็เดินจากไป

“ฉันต้องการใช้ทีมคุ้มกัน อย่างได้มือดีหน่อย” เนเก้นพูดกับรอนหลังจากกลับมาจากเพนตากอนมาที่แลงก์ลี่ ขณะที่ทั้งคู่เดินอยู่ตามทางเดินในสำนักงานหน่วยข่าวกรอง
“ฉันรู้จักคนนึง รูดี ยูจีน” รอนเสนอ
“ที่เป็นพลซุ่มยิงสินะ”
“ใช่ ทำงานได้หมดไม่ว่าจะเป็นแบบระยะใกล้หรือไกล” รอนอธิบายแต่เขาเห็นเวลส์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“อะไรเวลส์ เกิดอะไรขึ้น” เนเก้นถามในใจคิดถึงพวกซอมบี้
“บุคคลพิเศษของท่านนายพลรอนน่ะครับ รูดี ยูจีนน่ะครับ เขาตายแล้วครับ”
“ห๊ะ” รอนและเนเก้นอุทานพร้อมกัน
“อะไร เมื่อไหร่” เนเก้นถาม
“หลายวันแล้วครับสภาพเขาเหมือนถูกต่อยหลายที หัวก็กระแทก แต่เขาตายเพราะโดนหักคอครับ”
“ใครทำ แล้วทำไมฉันพึ่งรู้” รอนถามดูท่าทางตื่นตระหนก
“ก็พวกเราก็พึ่งรู้นี่แหละครับ” เวลส์ตอบ
“ใครทำ รู้ไหม” รอนถาม
“ไม่แน่ใจครับ แต่คนที่เข้าห้องรอนเป็นคนสุดท้ายเมื่อหลายวันก่อนซึ่งตรงกับเวลาตายคือ ไทเลอร์ครับ” สิ้นคำรอนและเนเก้นมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหู
“แล้วทีนี้เราจะทำยังไงล่ะ” รอนพูด
“สองคนนี้เกี่ยวข้องกันยังไง” เนเก้นถาม
“เท่าที่รู้ ไม่มี” รอนตอบ
“สงสัยเราต้องจับตาดูเขาซะแล้ว” เขาพูด


ปักกิ่ง จีน
เดนนิส ฟริสท์แมน ตำรวจมือดีแห่งไมอามี่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวตอแบบสุดๆ เขาหลบอยู่ในบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง หลังพิงประตู มือกุมขวานแน่น เขามั่นใจว่า พวกซอมบี้คลาดสายตากับเขาพริบตาหนึ่ง เขาจึงรีบเข้ามาหลบในบ้านนี้
เพล้งงงงง
ซอมบี้ตัวหนึ่งพุ่งทะลุหน้าต่างมา เดนนิสมองย่างตกใจ มันหันมาหาเดนนิสและคลานมาอย่างรวดเร็ว เดนนิสลุกขึ้นแล้วใช้ขวานจามไปที่หัว ทีเดียวสลบ แต่เมื่อเขาลุกซอมบี้ที่เหลือจึงวิ่งชนประตูพังอย่างง่ายดาย เดนนิสวิ่งเข้าไปจามหัวซอมบี้ แต่ได้แค่ตัวเดียวก็ต้องถอยหลังกลับเพราะมันโผล่มามาก สายตาจับจ้องอย่างชั่วร้าย ปากคำรามเหมือนสัตว์
เดนนิสรีววิ่งไปที่หลังบ้านและกระแทกประตูออกไปทางถนนอีกด้านจนตัวเองเสียหลักล้มลง ซอมบี้ก็พุ่งตามเขามาจนล้มลงเช่นกัน
เดนนิสคลานถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว ใจเต้นอย่างแรง ซอมบี้สามตัวลุกขึ้น ตัวบิดไปมาอย่างน่าขยะแขยง พลัน มันหันมามองเดนนิส แล้วก็กระโจนเข้ามา แต่ชั่ววินาทีนั้น มีเสียงยางรถเสียดสีกับถนนแล้วรถกระบะสีแดงคันนั้นก็พุ่งชนซอมบี้สามตัวจนล้ม ประตูฝั่งคนขับเปิดออก มีชายคนหนึ่งร่างกายกำยำ หน้าตาหล่อเข้มและดูห้าวเหมือนทหาร แต่งกายด้วยชุดทหารมีเกราะแขน มือถือปืนจีสามหกซี เขาเดินไปข้างหน้าแล้วยิงซอมบี้ที่กองกับพื้น จากนั้นก็หันไปยิงซอมบี้ที่ยังอยู่ในบ้าน
“จะรออะไรอยู่เล่า รีบขึ้นรถเซ่” ชายคนนั้นตะโกนสุดเสียงแต่สายตายังเล็งผ่านศูนย์อิเล็คทรอนิคส์แล้วลั่นไกไม่ยั้ง ซอมบี้ที่ถูกยิงก็ล้มไปข้างหลังขวางตัวที่เหลือ เดนนิสไม่รอช้าแล้วรีบวิ่งไปที่ฝั่งผู้โดยสาร ชายคนนั้นรีโหลดกระสุนแล้วรีบวิ่งไปที่ฝั่งคนขับแล้วบึ่งรถอออกไป
เมื่อหายจากอาการตื่นตระหนก เขาเพ่งมองที่ชายคนนั้นซึ่งสายตาจ้องมองอยู่ที่ถนน แล้วเขาก็เริ่มคุ้นตามากขึ้น
“คุณไทเลอร์” เดนนิสร้อง
“ใช่ เรียกฉัน คา ก็ได้ นายเดนนิสสินะ ไม่คิดว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้” ดีนพูด
“นี่เรากำลังจะไปไหนกันครับ” เดนนิสถาม
“พระราชวังต้องห้าม” เขาตอบสั้นๆ
“อ๋อ... แล้วทำไมอยู่ดีๆคุณถึงโผล่มา” เดนนิสถามแล้วหันไปมองข้างหลังเพื่อดูว่าพวกซอมบี้ตามมาหรือไม่
“ฉันก็มีภารกิจเหมือนนายนั่นแหละ นายคือภารกิจรุกฆาตสินะ เพื่อนไปไหนหมดล่ะ” ดีนถามทั้งที่รู้คำตอบ
“พวกเขาตายกันหมดแล้วครับ”
“เสียใจด้วย” ดีนพูดสั้นๆ แต่เดนนิสเข้าใจว่าเขาต้องเพ่งสมาธิกับการขับรถ

ผมขับรถมาถึงหน้าพระราชวังเมืองจีนโดยที่ผู้โดยสารดูหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมก็รู้สึกสงสารเขานะ แต่นี่ยังไม่ใช่เวลา ถ้าถึงที่ปลอดภัย เขาอาจจะรู้สึกดีขึ้น ไม่นึกเลยว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้ ผมพึ่งลงเครื่องแท้ๆ
แค่กำแพงรั้วก็ดูใหญ่และอลังการมากแล้ว นอกจากปฏิบัติภารกิจผมไม่ค่อยได้ไปต่างประเทศเลย
ผมบีบแตรปริ๊นใหญ่หลายครั้ง ผ่านไปชั่วอึดใจ ประตูก็เปิด มียามสองคนรีบวิ่งมาพูดกระโชกโฮกฮากแล้วกวักมือให้เขาเข้าไป ผมนำรถเข้าไปแล้วจอดข้างๆป้อมยาม จากนั้นยามสองคนก็ถือเอเค สี่สิบเจ็ดมาแล้วส่องมาที่ผมกับเดนนิส เขายกปืนพกสู้ตอบ ผมยกมือให้เขาเอาลง
“เอาปืนลงซะ เราต้องให้พวกเขาช่วย” ผมกระซิบบอก ผมอยากจะพูดกับพวกเขาแต่ผมพูดจีนไม่เป็น ในชีวิตนี้ผมพูดได้แค่อังกฤษ อิรักและรัสเซียเท่านั้น ผมเอาปืนของตัวเองในรถมาวางไว้ที่พื้น
“เอ่อ... อเมริกัน” ผมเริ่มพูดแล้วเอามือชี้ที่ตัวเอง รู้สึกปัญญาอ่อนสิ้นดี “อยากคุย ... เอ่อ ร็อบเบน ลี เอ่อ... ลีหงฉวน” พอพูดชื่อเสร็จยามก็คุยซุบซิบกัน แล้วคนหนึ่งก็คุยกับวิทยุสื่อสารของตัวเอง ผ่านไปอึดใจ ก็มีเสียงตอบมา ยามสองคนนั้นจึงโบกปืนให้ดีนและเดนนิสเดินไป ตรงสู่หน้าพระราชวัง ใหญ่และโอ่อ่า มีความสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบจีน ตอนนึ้สายตาของยามยังไม่ลดความระแวง ผมเดินไปในห้องหนึ่งในพระราชวังต้องห้าม ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ในนั้น ที่นี่กว้างมากๆ ผมมองรู้สึกทึ่ง ใหญ่กว่าที่เคยได้ยินมาและสวยด้วย
10 นาทีผ่านไป มีชายร่างอ้วนเดินเข้ามา เขาผมหงอกเต็มหัวและมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ซึ่งดีนรู้ทันทีนั่นก็คือร็อบเบน ลี
“คุณคืออเมริกันหรือ” เขาทักทาย ผมพยักหน้า “ยินดีต้อนรับ ที่นี่มีที่พอสำหรับทุกคน ผมร็อบเบน ลี” เขายื่นมือมา ผมจับตอบ
“ผมดีน ไทเลอร์ครับ นี่เดนนิส ฟริสท์แมน”
“คุณไทเลอร์ คุณฟริสท์แมน ทำไมอเมริกาถึงมาเดินต้อยๆอยู่ในเมืองจีน” เขาถาม
“ผมและเขาคือทีมช่วยเหลือ แต่เราก็ถูกโจมตีจนเหลือแค่นี้ ผมและเขาเลยจะมารอที่นี่เพื่อรอกองทัพมารับ”
“กองทัพอเมริกา” เขาถามพลางเลิกคิ้ว รอยยิ้มอบอุ่นหายไป ได้เวลาลองเสี่ยง
“เจมส์ รอนน่ะครับ” ผมพูดพลางขยิบตา สีหน้านั้นกลับมาเต็มด้วยรอยยิ้มอีกครั้งอย่างน่าสงสัย
“อ๋อ อเมริกา โอเคๆ” เขาหัวเราะ
“ปักกิ่งยินดีต้อนรับ”

black jack sdppd
14th February 2014, 19:42
19. ความวิปริต

“อินเดีย ฟ็อคทรอต แทงโก้ ลีมา ชาร์ลี” ผมกระซิบรหัสเบาๆผ่านโทรศัพท์ดาวเทียมว่าเจอร็อบเบน ลีแล้ว จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ตอนนี้ผมกำลังชมสวนจากระเบียงด้านข้างของพระราชวัง รับลมเย็นๆ ไม่เคยสัมผัสธรรมชาติที่ดีขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่อง
มองไปข้างล่างมีเด็กๆกำลังวิ่งเล่นกันราวกับไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น หรือรู้ แต่เด็กเกินไปกว่าจะใส่ใจ ผมมองอย่างเอ็นดูแล้วก็นึกถึงความสงบสุขในชีวิต เกิดสมาธิขึ้นมาทันที แต่ว่าวัยเด็กของผมจะไม่ค่อยสวยหรูเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง
หลังจากที่พบลีแล้ว ยามก็ให้เราพักผ่อนในนี้ได้ตามอัธยาศัย ผมและเดนนิสกลับไปเอาปืนที่รถ ตอนนี้คนเริ่มมาที่ส่วนหน้าพระราชวังแล้ว เกิดเสียงกระซิบกระซาบทุกที่ที่เดินผ่าน หลังจากที่เลือกจะอยู่อย่างสงบสุข ผมจึงใช้เวลาเดินรอบพระราชวัง... ในฐานะนักท่องเที่ยวน่ะ
“เฮ้ คา” เสียงเดนนิสดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเดินมาเกาะระเบียงข้างๆผม
“ว่าไงเดนนิส”
“ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะ”
“ก็มาท่องเที่ยว” ผมแกล้งตอบ
“อย่าตลกน่ะ ไม่มีใครอยากไปไหนหรอก”
“แล้วนายมาทำไมที่นี่” ผมถามกลับ
“ก็มาทำภารกิจเหมือนคุณ แต่ผมแค่สงสัยว่าทำไมไม่เอาพวกเราไปช่วยคนในประเทศก่อน ทำไมต้องถ่อมาถึงปักกิ่ง น่าสงสัย”
“นั่นน่ะสิ” ผมพยักหน้า
“พอล เพื่อนผมบอกว่ามีภารกิจแอบแฝง แล้วอะไร ทำไมไม่บอกมาตรงๆ” ผมเงียบไป จริงอย่างที่เดนนิสพูด แต่ผมคงไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้เท่าไหร่
“พลเอกรอน ก่อตั้งภารกิจนี้ล่ะ” เดนนิสพูด ผมมองหน้าเขา รอนกับปักกิ่ง ลีกับปักกิ่ง รอนกับลี
ตอนนี้รอนอาจตัดสินใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับการฆ่าปิดปากลีก็ได้ เลยส่งทีมรุกฆาตมาที่นี่เพื่อรอคำสั่งที่แท้จริง แนบเนียน แต่จะจริงหรือเปล่า
“อาจจะมีภารกิจแอบแฝงจริงๆก็ได้” ผมทำเป็นแสดงความเห็น “แต่เขายังไม่แจ้งมา”
“งั้นอะไรล่ะ ที่คุณคิด”
“ไม่รู้สิอาจจะเป็นอะไรที่เป็นภัยต่อประเทศเรา” ผมตอบ “หรือไม่ก็อะไรที่มันวิปริตจนเกินรับได้” ผมรีบเสริมเมื่อเขามองหน้า
“งั้นอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ พลางนึกถึงภาพลักษณ์ประหลาดของจีน “คนกินคนมั้ง” เดนนิสพ่นลมออกมาทางจมูก
“พูดเป็นเล่น” เขาว่าแล้วก็มองลงไปที่เด็กข้างล่างเช่นเดียวกับผม “พวกเขาไม่น่ามาตาย ความจริงพวกเขาไม่ได้อยากมา” เดนนิสรำพึงถึงเพื่อนพ้อง
“นายเป็นเพื่อนกับพวกเขากี่ปีแล้ว” ผมถาม
“ก็ 20 กว่าปีแล้ว” เดนนิสตอบเสียงหดหู่
“งั้นจะมีเรอะ ที่เขาจะปล่อยให้นายมาคนเดียว” ผมบอกไป “ที่สำคัญพวกนายเป็นตำรวจที่รอดชีวิต ยังไงก็ต้องรับงานอยู่ดี” เดนนิสยิ้มแต่นังคงทำหน้าหดหู่ “เอาน่า ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า มัวแต่เศร้าระวังจะทำภารกิจไม่สำเร็จนะ ฉันว่านายไปพักเถอะ” เขาพยักหน้าแล้วก้าวถอยหลังไปก้าว
“แล้วคุณล่ะ” เดนนิสถาม ผมยิ้ม
“ฉันอยากจะใช้เวลาผ่อนคลายให้มากที่สุด” ผมตอบแล้วก็เดินจากไป
“คุณยังไม่ตอบผมเลย ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”
“กาลเวลาพิสูจน์คน” ผมตอบไปโดยไม่หันหลัง เดนนิสในตอนนี้คงมีสีหน้างุนงง

ผมเดินต่อไปและหยุดอยู่ที่ห้องที่มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีคนแก่และเด็กหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อหญิงชราหันมาเห็นเขาก็ทำท่าดีใจและเดินปรี่ยกถ้วยอะไรบางอย่างมาให้ผม เด็กหนุ่มเดินตามมาจากข้างหลัง หญิงชราพูดเป็นภาษาจีนรัวเร็วพลางยื่นถ้วยซุปใส่เนื้อมาให้ หน้าตายิ้มแย้ม ผมยิ้มตอบแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง
“ซุปกระดูกหมูต๋นยาจีนน่ะคุณ บำรุงสุขภาพ” เด็กหนุ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษ ผมรู้สึกโล่งใจที่มีคนพูดภาษาจีนเป็น
“ซุปกระดูกหมูต๋นเหรอ” ผมรับมาแต่ยังไม่ดื่ม หญิงชราคะยั้นคะยอให้ดื่ม ก่อนพูดอีก
“ยายถามว่าคุณเป็นอเมริกันหรือ” เด็กหนุ่มแปล
“อ๋อ ใช่” ผมพยักหน้า เด็กหนุ่มพายายตัวเองไปนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องพระนั้น
“ตั้งแต่สี่วันแล้ว ไม่ค่อยได้มีใครมาในนี้หรอกนะ” เด็กหนุ่มอธิบาย “รู้สึกตื่นเต้นน่ะ”
“งั้นเหรอ” ผมตอบสั้นๆ ไม่รู้จะพูดอะไร “ที่นี่ก็ดูสงบสุขดีนะ” เด็กหนุ่มหันไปพูดกับหญิงชรา เธอหัวเราะแล้วพูดจ้อ
“ก็ใช่แหละ แต่ว่ายังไงก็ไม่เหมือนบ้านนิ่” เด็กหนุ่มพูด
“ก็ใช่” ผมพูดและนึกขึ้นได้ “นายรู้จักร็อบเบน ลีมั้ย”
“ลีหงฉวนน่ะเหรอ รู้จักสิ” เด็กหนุ่มบอก ผมรู้สึกมีความหวัง “เขาเป็นคนจัดที่พักที่นี่ให้เราและเป็นคนหาคนมาป้องกันพวกเราไว้ด้วย เป็นคนที่พึ่งได้มากๆ”
“เขาอยู่ไหนเหรอ” ผมถาม
“อยู่เกือบสุดพระราชวังโน่นแหละ” เขาชี้สุดแขนไปข้างๆ “กับพวกนักการเมืองน่ะ”
“เหรอ ขอบคุณนะ”
“มีอะไรงั้นรึ” เด็กหนุ่มถามขมวดคิ้ว
“อ๋อ เปล่าหรอก... ที่นีมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นบ้างมั้ย” ผมทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย
“เรื่องคนลุกมากัดคนเนี่ย ยังแปลกไม่พอเรอะ” เด็กหนุ่มพูด “ไม่รู้สินะ ถ้าเรื่องแปลกก็ประมาณว่า ช่วงนี้ที่นี่มีคนหายหน้าหายตาไป”
“ยังไง”
“ก็คนรู้จักของยายน่ะ หายไปสองคนแล้ว หายกันคนละเดือน”
“ทำไม”
“ไม่รู้สิ” เขายักไหล่ “เขาลือกันว่าเป็นเรื่องของจิตใจน่ะ พออยู่ที่นี่ไป ก็เลยคิดว่าบ้านอาจปลอดภัยก็เลยหนีไปหรือไม่ก็อยู่ที่นี่ไม่ไหวเพราะไมใช่บ้านเลยแอบหนีกลับไป” ผมพยักหน้า ครุ่นคิด “ถามทำไมเรอะ” แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบ หญิงชราก็ขัดขึ้นมา
“ยายบอกให้นายกินได้แล้ว เดี๋ยวซุปก็เย็นหรอก ระวังคาวหน่อยๆด้วยนะ” ผมบิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะยกมาเพื่อซด แต่กลิ่นที่โชยมาแตะจมูก มันคาวและคุ้นมาก แม้กลิ่นคาวจะอ่อนลงแล้ว แต่z,มีความรู้สึกรางๆว่า เคยได้กลิ่นกลิ่นนี้บ่อยๆ
“อะไร” เด็กหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
“ห้องครัวอยู่ไหน” ผมถาม
“อยู่ถัดไปอีกประมาณ 10 ห้องแล้วเลี้ยวซ้ายเลย... ทำไมเรอะ” เด็กหนุ่มถาม ผมยื่นถ้วยให้เขา ทั้งคู่มีสีหน้างุนงง
“บอกยายนาย อย่ากินซุปนั่นเด็ดขาด” ผมสั่ง เด็กหนุ่มยิ่งงมากขึ้นไปอีก หญิงชรามองเราสลับกัน
“ทำไม”
“เชื่อฉันเถอะน่า” ผมขึ้นเสียงแล้วออกตัววิ่งทันที
ขอให้สิ่งที่คิด มันผิดด้วยเถิด!

เดนนิส ฟริสท์แมน กำลังนั่งพักอยู่ในสวน เขานั่งลงบนพื้นดินคนเดียวพลางชมสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติรอบตัว เขาหยิบเครื่องส่งสัญญาณที่เหมือนเพจเจอร์ออกมาแล้วกดปุ่มระบุพิกัดไป เกิดเสียงสัญญาณเล็กที่แปลว่าส่งข้อความแล้ว
ตอนนี้ฐานคงจะรับสัญญาณและติดต่อกองกำลังของประเทศตัวเองแล้ว แต่เดนนิสยังไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ยอมใช้กองกำลังของประเทศตัวเอง หรือนี่ก็เป็นเรื่องไร้สาระที่อเมริกาคิด
เสียงสัญญาณดังขึ้นเขาก้มลงไปดูที่เพจเจอร์ มีข้อความสั้นๆปรากฏอยู่
หาไทเลอร์ให้พบแล้วทำตามเขา ติดต่อกองกำลังของจีนให้แล้ว – OC
เดนนิสรู้สึกงุนงงขึ้นไปอีก เขาต้องการให้ทำอะไรกันแน่ ตอนนี้เดนนิสก็หาดีนเจอแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าดีนจะเอาคำสั่งอะไรมาให้ แม้การปรากฏตัวของเขาออกจะดูเหลือเชื่อก็ตาม
หลังจากนี้ไปเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าเรื่องนี้จบแล้ว ในกรณีที่เขาไม่ถูกกัดก่อนน่ะนะ เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริง สำหรับคนที่มีนิสัยชอบคิดล่วงหน้าแบบเขา
อาจจะต้องทำงานช่วยเหลือผู้รอดชีวิตไปตลอด แต่มันจะไปสำคัญอะไรในเมื่อเขาไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว แม้เขาหวังว่าจะได้เจอเพื่อนใหม่ในอีกไม่นานก็ตาม

ผมวิ่งมาหยุดอยู่หน้าห้องที่เด็กคนนั้นบอก ประตูไม้ที่ติดป้ายอะไรก็ไม่ทราบเพราะเป็นภาษาจีน ดูเหมือนจะไม่มีการป้องกันอะไรที่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือต้องแสกนลายนิ้วมือเลย ผมลองบิดลูกบิดแต่ดูเหมือนประตูจะถูกล็อคจากข้างใน แสดงว่ามีคนอยู่ การจะพังประตูเข้าไปก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ผมเดินย้อนกลับไปทางเดิมและซุ่มอยู่ตรงมุมผนังฝั่งตนงข้ามนอก ผ่านไปหลายสิบนาที มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมหันกลับไปและเจอชายผอมแห้งคนหนึ่งเดินออกมา เขามองซ้ายที ขวาทีแล้วเดินไปอีกทาง ผมย่องไปข้างหลัง แต่เขาหันมาพอดี ผมพุ่งอ้อมหลังไปล็อคคอเขาไว้แล้วกดคอเขาจนแน่นิ่งไป
ผมลากเขาไปไว้อีกห้องหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องที่ผมแอบอยู่ซึ่งมีที่ผ้าปูอยู่ ผมวางเขาไว้ที่นั่นและค้นตัว เจอกุญแจด้วย
ผมเดินออกไปจากห้องนั้นและไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องครัว ผมและลองไขกุญแจดู
บิงโก
ผมค่อยๆเปิดประตูช้าๆและแง้มเบาๆเผื่อมีคนอยู่ในห้อง และก็ใช่ มีคนอยู่ในห้องจริง เป็นชายค่อนข้างมีอายุหนึ่งคนหันหลังให้ผมซึ่งกำลังสับอะไรบางอย่างอยู่ ผมมองไม่เห็นเพราะถูกบังด้วยโต๊ะ
เข้าไปตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอ ว่าแล้วผมก็ไปหลบที่เดิม หลังชิดกำแพง ตามองตรงไปข้างหน้าทำสมาธิ รอเสียงเปิดประตู
ผ่านไปหลายนาทีมีเสียงประตูดังขึ้น ชายคนนั้นเดินออกมา พูดกระโชกโฮกฮาก ท่าทางอารมณ์เสีย
ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นไขกุญแจและเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย ในห้องมีกลิ่นฉุนและคาวมากและดูเหมือนกลิ่นจะตีกับน้ำหอม ผมปัดมือไปมาไล่กลิ่นแล้วเดินสำรวจห้อง
ภายในห้องต่างจากข้างนอกลิบลับด้วยที่ภายในนั้น ดูใหม่และทันสมัย มีเครื่องมือสำหรับทำครัวมากมาย ตรงกลางมีเคาท์เตอร์ยาว มีผักและเครื่องมือครัววางอยู่มากมาย
รอบห้องเต็มไปด้วยอ่างและเคาท์เตอร์เล็กๆ ซึ่งเหมือนจะเลอะไปด้วยเลือดและกระดูก ผมตัวสั่นน้อยๆด้วยความขยะแขยง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรพอเละกว่านี้สิบเท่าก็เจอมาแล้ว นี่แค่เศษเลือดและกระดูกติดอ่างเท่านั้น
สายตาผมหยุดที่ห้องทางฝั่งขวา เหมือนเป็นห้องแช่แข็ง ผมย่างสามขุมเข้าไป ตามองไปที่ประตูอย่างไม่แน่ใจแล้วค่อยๆเปิดประตูที่หนักนั้นแล้วเดินเข้าไป ประตูเหล็กปิดเองโดยอัตโนมัติ
สิ่งที่เห็นจะทำให้ผมจำไปจนวันตาย มันเป็นความสยดสยองและความวิปริตที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง กลิ่นคาวที่พุ่งเข้ามาเหมือนจะไม่มีอยู่
มนุษย์จำนวนมากถูกห้อยมาจากเพดานด้วยโซ่ ทั้งหมดทีสภาพร่างเปลือยเปล่า มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย บางรายก็ตัวหายไปครึ่งนึงเหลือแต่ซี่โครง เลือดแห้งยังติดตามชิ้นส่วน
โซ่ที่ห้อยลงมา บางเส้นก็ห้อยเพียงแขนข้างเดียว ขา หรือแค่ตัว ที่น่ากลัวที่สุดคือหัวที่เหมือนจะถูกแช่เอาไว้
ผมเดินถอยหลังเตรียมตัววิ่งหนี แต่ก็ได้ยินเสียงประตูเปิด มือที่จับที่เปิดก็ผละลง ผมมองผ่านช่องกระจกข้างนอก เห็นลีและผู้ชายเมื่อกี้ยืนคุยกัน ลีมีท่าทีขยะแขยงเต็มที แต่ก็ยังคุยต่อ
หลังจากที่ทั้งคู่คุยเสร็จก็เดินออกไปข้างนอก ผมค่อยเปิดประตูแล้วตามทั้งสองคนออกไป ทันทีที่ออกมานอกห้อง ผมวิ่งย้อนกลับตามทางเดินที่ผมมา ผ่านหน้าห้องที่มีพระพุทธรูปซึ่งหญิงชราและเด็กหนุ่มหายไปแล้ว
สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือหาตัวเดนนิสให้เร็วที่สุด ตอนนี้เขาไม่ได้พักผ่อนอาจจะไปรับซุปตุ๋นกินก็ได้ ผมวิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านคนมากมาย จนไปหยุดที่หน้าทางเข้าพระราชวัง มีคนมากมายมาจับกลุ่มคุยกันหลายกลุ่ม
เดนนิสอยู่ตรงนั้นท่ามกลางชายและหญิงชราหลายๆคน เขายิ้มอย่างอบอุ่นในมือถือถ้วยซุปไว้ ทุกคนมีสีหน้าทึ่งในความเท่ของเขา ผมคิดว่านะ แต่นั่นไม่สำคัญตอนนี้เขากำลังจะดื่มซุปนั่นแล้ว
“อย่า!!!!!!!!” ผมตะโกนห้ามเสียงดังจนทุกคนต้องหันมามอง ผมวิ่งฝ่าคนพวกนั้นไปจนถึงเดนนิสที่มองผมอย่างสงสัย ผมปัดถ้วยนั้นทิ้ง ซึ่งไปโดนผู้ชายข้าง เขาร้องอย่างหัวเสีย ทุกคนในวงมีสีหน้าไม่พอใจ
“นั่นมันเนื้อมนุษย์” ผมบอกเดนนิส เขาทำสีหน้างุนงง
“อะไรนะ” เขาร้อง
“นั่นมันเนื้อมนุษย์” ผมย้ำ เขายังมีสีหน้าไม่เชื่อ
“เป็นบ้าอะไรของคุณ” เขาถามผม แต่ก่อนที่ผมจะอ้าปากตอบ ผมก็ถูกผลักโดยชายที่ซุปกระเด็นใส่ เขามีสีหน้าไม่พอใจ ทุกคนในวงก็พูดโห่ผมเหมือนกัน
ชายคนนั้นเดินเข้ามาสีหน้าหาเรื่อง ผมเดินเข้าไปประจันหน้า ทุกคนในวงก็เหมือนก้าวเข้ามาด้วย ผมยกนิ้วชี้หน้า
“ถอยไปนะ ถอยไป ไอเวรเอ๊ย” ผมตะโกนใส่ทุกคนที่เข้ามาใกล้ เดนนิสมีท่าทีงุนงงและจับแขนผม ผมสะบัดออก ทุกคนในวงก้าวเข้ามาใกล้ “ไม่ได้ยินรึไง ออกไปเว้ย” ผมตะคอกใส่ ทุกคนในห้องโห่และตะโกนประณามการกระทำของผม ผมรู้สึกได้
แล้วชายคนนั้นก็พุ่งเข้ามา ผมถีบยันเขากลับไปเดนนิสเข้ามาขวางระหว่างผมกับไอพวกจีนตัวกะเปี๊ยก แต่ถูกผลักออก หลายชีวิตด้าวมาทางผมและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“หยุดนะ” ผมตะโกนมือชูระเบิดให้ดู ทุกคนมีสีหน้าตกใจ ผมได้ยินเสีงผู้หญิงกรี๊ด ผู้ชายผงะถอยหลัง เดนนิสมายืนอยู่หน้าผม
“ประสาทอะไรวะ” เดนนิสถาม สีหน้าเขาเหมือนอยากตบหน้าผม
“ที่นี่มันวิปริต พวกเขากินเนื้อคน” ผมบอกพยายามพูดอย่างใจเย็น มือยังชูระเบิดอยู่
“คุณนั่นแหละวิปริต ทำบ้าอะไร” เขาตะโกน
“โธ่เว้ย ฉันจะโกหกไปเพื่ออะไรวะ” ผมตะคอกใส่ เดนนิสเหมือนจะคิดอะไรได้และหันหน้ากลับไปยังชาวจีน มือทั้งสองยื่นไปข้างหน้าเหมือนจะบอกให้ใจเย็น
แต่ทันใดนั้น ยามหกคนและผู้ชายอีกสองคนวิ่งเข้ามาที่นี่ในมือถืออาวุธมาครบ ตรงกลางในหมู่การ์ดมีชายคนที่ผมหักคอและพ่อครัวคนนั้นอยู่ด้วย ชายที่ถูกผมหักคอชี้มือมาที่ผม มืออีกข้างยังนวดคออยู่
พวกยามเอาปืนจ่อมาที่ผมและเดนนิส ผมชูมือขึ้นทั้งสองข้าง ยามสั่งให้ผมทิ้งระเบิดลง ผมทำตามอย่างว่าง่าย ยามอีกคนเก็บระเบิด ยามอีกคนเอากุญแจมือยางมาจับผมและเดนนิสแล้วพาเดินไป
จนมาหยุดที่ห้องครัว พ่อครัวไขกุญแจเข้าไปแล้วให้การ์ดนำผมและเดนนิสไปผูกไว้กับเสาในห้องแช่งแข็ง เขามีท่าทีตกใจเหมือนกับผม ผมมองไปที่พ่อครัวอย่างโกรธแค้น ขณะที่ถูกมัดกับเสา
ลีเดินเข้ามาในห้อง มองผมและเดนนิสอย่างเยาะเย้ย เขานั่งยอง ลงข้างหน้าผม
“ให้ตายสิ อเมริกันพึ่งมา ยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารก็ต้องถูกเป็ฯอาหารซะแล้ว” เขาพูด
“แกมันไอสารเลว ชาติชั่ววิปริต ถ้าฉันหลุดไปเมื่อไหร่ ฉันจะตัดคอแกไปให้ซอมบี้แทะ” ผมกัดฟันกรอด ลียังคงยิ้มหน้าบาน
“เห่าไปเถอะ” เขาพูดแล้วเดินจากไป พร้อมกับยามที่หยุดมองผมเล็กน้อย ท่าทางเหมือนอยากเตะผมเต็มที่ แต่คงต้องรักษาไว้ไม่ให้ช้ำ

“ไม่ต้องห่วง เราจะหลุดไปได้แน่” ผมบอกกับเดนนิสที่ไม่รู้ตอนนี้สติกลับมารึยัง
“ได้แน่ เอ่อ.. ถ้าเกิดคุณมีมีดหรืออะไรคมๆ” เดนนิสพูดเสียงสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือหนาว
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้พึ่งมาเป็นทหารบกหรอกนะ” ผมบอก เดนนิสเงียบไป
“อะไร” เขาถาม ผมไม่ตอบแล้วค่อยๆหันมือมาทางหลังตัวเองแล้วหยิบมีดพับที่ซ่อนไว้หลังกางเกงออกมา ผมกดปุ่ม ใบมีดเด้งออก จากนั้นผมก็ค่อยตัดยางจนมันหลุดออก เมื่อหลุดผมก็ช่วยเดนนิสต่อ เขามีท่าทีงุนงงขณะที่จับมือผมเพื่อพยุงตัวเองให้ลุก
“ร้อยเอกไทเลอร์ อดีตนาวิกโยธินสหรัฐหน่วย ‘มาร์สอค’ ตอนนี้เป็น ‘อาร์มี่ เรนเจอร์’” ผมพูดอย่างภาคภูมิ เขาดูอึ้งไปเลย
“ก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แต่อยากถามว่า เขาย้ายหน่วยกันได้ด้วยรึ”

black jack sdppd
16th March 2014, 16:54
19. หนีอออกจากความวิปริต

ผมกับเดนนิสยืนอยู่หน้าประตูห้องแช่แข็ง พยายามไม่นึกถึงความหนาว มองผ่านกระจกไป เห็นพวกมันคนนึงยืนอยู่ ยังไงก็เถอะ ในนี้หนาวสู่บ่อน้ำแข็งไม่ได้หรอกนะ
เสียงประตูดังลั่น พ่อครัวคนนั้นหันมาอย่างตื่นตระหนก ผมปามีดพับใส่เขา มันปักที่แก้ม เขาร้องลั่น แต่ไม่ทำให้เขาตายได้ ผมกระโดดขึ้นเคาท์เตอร์แล้วกระโดดใช้เท้ายันมีดให้เสียบลึกเข้าไปกว่าเดิม ชายคนนั้นแน่นิ่ง
“ต้องฆ่าเลยเหรอ” เดนนิสร้องอย่างตื่นตระหนก
“เงียบน่า ไม่ฆ่าเขา เขาก็มาฆ่าเราอยู่ดี” ผมกระซิบ แต่ยังไม่ทันที่เดนนิสจะเถียงกลับ ประตูห้องครัวก็เปิดดังผาง เห็นเจ้าหัวหน้าพ่อครัวยืนจังก้าอยู่ ชุดกั้นเปื้อน ผมคว้ามีดแล่เนื้อ พุ่งเข้าไปหาเขา ผลักเขาพิงประตูแล้วใช้มีดเสียบทะลุคาง เขายังไม่ทันได้ร้อง
“อะไรวะ” เดนนิสครางหนักกว่าเดิม
“ใจเย็นๆน่า” ผมพูดรู้สึกสะใจเล็กน้อย
“คุณฆ่าคนไปสองคนแล้วรู้มั้ย” เดนนิสถาม
“เอาคนมาทำเป็นอาหารด้วยกันเนี่ย ยังเรียกคนไม่ได้หรอกนะ เดนนิส” ผมบอก เดนนิสยังทำสีหน้าไม่เชื่อ
“โธ่ เดนนิส ไอหมอนี่มันพ่อครัวนะ มันนี่แหละเป็นคนแล่เนื้อคนพวกนั้นล่ะ” ผมร้องอย่างหัวเสีย “ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราคงต้องเดินไปข้างหน้า ฆ่าไอพวกชั่วให้หมด”
“จะไปฆ่าใครเล่า เราเองยังแทบเอาตัวไม่รอด” เดนนิสแย้ง “นี่เหรอ ภารกิจคุณ”
“ไม่ใช่” ผมตอบ “ฉันทำเพื่อความถูกต้อง”
“เราไม่ใช่ฮีโร่นะ” เขามองผมราวกับไม่รู้จักกัน
“ภารกิจคุณคืออะไร”
“ไว้ฉันจะบอกนายทีหลัง” ผมปัด “เรียกกำลังเสริมซะ” เดนนิสหันไปพูดกับวิทยุที่อกตัวเองอย่างไม่เต็มใจ
“นี่ซีทีพี 60 ถึงกองกำลังที่ใกล้ที่สุด ซีทีพี 60 ถึงกองกำลังที่อยู่ใกล้ที่สุด เกิดเหตุฉุกเฉิย เกิดเหตุฉุกเฉิน มีใครได้ยินมั้ย”
“นี่กองร้อยหลงสังกัดทหารบก นั่นใคร” เสียงจากวิทยุตอบเป็นภาษาอังกฤษ
“ขอบคุณสวรรค์ เราต้องการความช่วยเหลือ” เดนนิสบอกผ่านวิทยุ
“คุณอยู่ไหน” เสียงนั้นถามกลับ
“พระราชวังต้องห้าม” เดนนิสแจ้งพิกัด
“ที่นั่นเกิดอะไรขึ้น แตกแล้วเหรอ” เสียงนั้นดูตื่นตระหนก เดนนิสลังเลใจก่อนตอบไป
“มีโจรบุก มีการฆ่ากัน แถมมีการทำเนื้อคนกินด้วย ผมซีทีพี ต้องการกำลังเสริม เพื่อพาผู้รอดชีวิตหนี ผมเหลือแค่สองคน”
“ได้เราจะไปถึงที่นั่นใน 20 นาที” เสียงนั้นตอบกลับ ไม่ได้ ผมกระชากวิทยุจากอกเดนนิส
“ผมให้เวลาคุณ 10 นาที ที่นี่เขาจะยิงกันตายห่าอยู่แล้ว!” ผมตะคอกกลับไป เสียงนั้นเงียบไปเลย
“ยิงอะไร” เดนนิสถาม
“ไม่เอาน่า เดนนิส นึกว่ามันจะอยู่เฉยๆให้เราจับเหรอ” ผมบอกรู้สึกรำคาญนิดๆแล้ว แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึก “ขั้นแรก เราต้องหาปืนก่อนหลังจากนั้นเราต้องจับเป็นไออ้วนลี เข้าใจมั้ย” ผมถามเสียงแข็ง เขาพยักหน้าแล้วหยิบมีดแล่เนื้ออีกเล่มจากเคาท์เตอร์มา
ผมค่อยเปิดประตูออกจากห้องเสี่ยงลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเล็กน้อย เมื่อชะเง้อหัวออกไปดูข้างหน้าโล่ง ผมเอาตัวเลียบกำแพงไปทางฝั่งซ้ายมือ เดนนิสตามมาติดๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงคุยเป็นภาษาจีน เมื่อโผล่หน้าออกไปดู บอดี้การ์ดชาวจีนสองคน คนนึงมีปืนผมอยู่ด้วย
ผมทำสัญญาณมือให้เขาจัดการคนทางขวาเขาพยักหน้าแล้วเราสองคนก็ย่องเข้าไปข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้ระยะห่างไม่เกินสองเมตร ผมพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก มือปิดปากคนทางซ้ายแล้วเสียบมีดแหลมคมที่ซี่โครง ร่างกายมันกระตุกเด้ง ผมปล่อยลงเห็นอีกคนยืนจ้องผมอย่างตกตะลึง แต่ไม่ทันที่เขาจะโวยวาย เดนนิสก็เข้ามาจากข้างหลังชนเขาล้มแล้วเอามีดเชือดคอ บอดี้การ์ดสิ้นใจทันที เลือดไหลนองเต็มพื้น
“ดี” ผมชมแล้วหยิบปืนจีสามหกซีและปืนพกแบเร็ตต้า เอ็มเก้าและซองกระสุนอย่างละสองซองจากบอดี้การ์ดคนแรก เดนนิสหยิบเอเค สี่สิบเจ็ดและซองกระสุนสองซองจากอีกคน เราสองคนเอากระสุนใส่ชุดเวสท์ที่พวกจีนไม่ยอมถอดมันออก ผมสะพายปืนกลไว้แล้วปล่อยให้หัวตกลงไปที่เอวข้างขวาเพื่อที่จะได้สะดวกต่อการหยิบแล้วก็ปรับค่าปืนไว้ให้เป็นยิงทีละนัด เดนนิสต้องถือเพราะปืนเขาไม่มีสาย
“พวกคนสำคัญน่าจะอยู่ที่ห้องอาหารใหญ่” ผมชี้แจง “ฆ่าทุกคนที่มีอาวุธหรือคนอื่นที่จำเป็นแต่ห้ามฆ่าลีหงฉวนเด็ดขาด”
เราย่องไปเงียบ ก้มตัวลงต่ำจากนั้นก็เลี้ยวไปทางขวา เป็นทางตรงเปลี่ยวสู่ห้องทานอาหารของคนสำคัญ หน้าห้องประตูไม้สีน้ำตาลที่มีกระจกกลมติดอยู่ เสียงเฮฮาดังลั่นออกมานอกห้อง ผมมองเข้าไปข้างใน ในห้องเป็นห้องยาวตรงกลางมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าขาว มีพวกใส่ชุดสูทเป็นสิบคนรวมถึงลีหงฉวนนั่งอยู่ด้วย พ่วงด้วยการ์ดอีกบานตะไท ราวๆสักสิบคนบางคนนั่งอยู่ตามมุมห้องดื่มเหล้า นับว่าเป็นจำนวนที่ไม่เลวร้ายนัก ผมกับเดนนิสจะถีบประตูเข้าไปและยิงการ์ดก่อนที่พวกมันจะทันได้วางจอกเหล้าแล้วก็สั่งนักการเมืองให้หมอบลง จากนั้นจับตัวลี สอบสวนมัน รอกำลังเสริมแล้วก็ค่อยไปสนามบิน เป็นแผนที่ไม่เลวร้ายนัก
“มีระเบิดแสงมั้ย” ผมถามเดนนิส ถึงแม้จะไม่จำเป็นแต่ถ้ามีก็จำทำให้ลดความเสี่ยงไปได้เยอะ
“จะไปมีได้ไง เรามาสู้กับซอมบี้นะ ไม่ได้มาสู้กับคน” เขากระซิบเสียงเขียว
“โอเค จะเข้าไปล่ะนะ” ผมให้สัญญาณและยืนขึ้นเตรียมตัวจะถีบไปข้างใน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยกเท้า ประตูก็เปิดออก พร้อมด้วยการ์ดที่หน้าตางุนงง ไวเท่าความคิด ผมยกจีสามหกซีจากเอวประทับบ่าแล้วเหนี่ยวไกไปสองครั้ง เกิดเสียงดังปั้งสนั่น แต่ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง
“เดนนิสข้างหลัง” ผมพูดทันทีพร้อมหันไปข้างหลังแล้วเหนี่ยวไกไปอีกสามครั้งกระสุนพุ่งถูกการ์ดที่หน้าอก แต่คงมีอีกหลายคนหลบหลังกำแพง เดนนิสหันไปช่วยยิงต้านไว้
เมื่อเห็นเดนนิสช่วย ผมจึงพุ่งเข้าไปในห้องเพราะการฝึกมาอย่างดี สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ผมเห็นสิ่งที่ศัตรูทำช้าราวกับเป็นนาที ลีหงฉวนและพรรคพวกแตกตื่น พวกเขาก้มหลบใต้โต๊ะเสียงกรีดร้องดังลั่น ทางขวาผมเห็นการ์ดห้าคนยืนขึ้นและหยิบปืนเอเค สี่สิบเจ็ดที่วางไว้ข้างๆ ผมยกปืนประทับบ่า มองผ่านศูนย์แล้วเหนี่ยวไกเรียงคน แต่คนสุดท้ายทางขวากระโจนหลบไปใต้โต๊ะ เมื่อหันไปทางซ้ายพวกการ์ดหยิบปืนได้แล้วและยิงกราดมาทางผม ผมกระโดดถอยหลังกลับมา ข้างหลังเดนนิสกำลังยิงต้านพวกการ์ดเอาไว้ไม่ให้ผ่านกำแพงมา
“เราถูกล้อม” ผมบอกเขา
“เป็นเพราะแผนใครวะ” เขาตะโกนลั่น
“หุบปากน่า” ผมตะโกนตอบแล้วหันไปข้างหลังแล้วยิงการ์ดคนนึงที่ยืนขึ้นเพื่อยิง แรงกระสุนผลักเขาไปชนกับกำแพง
“พวกมันมาเพิ่มแล้ว” เดนนิสตะโกนบอก ผมหันไปดูแม้จะมีกำแพงบังอยู่แต่ก็สัมผัสได้ถึงความชุลมุนที่เพิ่มขึ้น
“ต้านมันไว้” ผมสั่งแล้วพุ่งเข้าไปในห้องแล้วยิงกดหัวพวกการ์ดที่ยังหมอบใต้โต๊ะ ผมลากนักการเมืองขึ้นมากำแบง เมื่อพวกมันเห็นมันมีความลังเลใจไม่กล้ายิง แต่ลีหงฉวนตะโกนอะไรบางอย่าง พวกมันสองคนลุกขึ้นแล้วยิงมา ผมยิงสวนไปได้คนนึงแต่ต้องหลบกระสุนที่พุ่งมาจากอีกคน พวกมันยิงพวกเดียวกันเอง
“กระสุนแม็กสุดท้ายแล้ว” เดนนิสตะโกน
ผมกระโจนหลบไปใต้โต๊ะแล้วคลานไปที่หัวโต๊ะฝังซ้าย ในหัวคิดคำนวณ ผมเก็บไปแล้วหกคน เหลืออีกแค่สี่เท่านั้น ข้างนอกผมได้ยินเสียงปืนที่เปลี่ยนไป เดนนิสเปลี่ยนไปใช้ปืนพกแล้ว ผมคลานไปที่หัวโต๊ะผ่านนักเมืองที่หมอบอยู่หลายคน เจอการ์ดคนหนึ่งส่วนมาด้วยความไวกว่า ผมยกปืนขึ้นจ่อหัวเขาแล้วลั่นไก สมองเขาพุ่งกระจายไปด้านหลัง เหลืออีกสามคน
ผมกระโจนไปข้างหน้าไม่ให้พวกมันตั้งตัวแล้วลั่นไกรัวไปที่การ์ด คนหน้าสุดโดนกระสุนเข้าไปหลายนัดร่างของมันกันอีกสองคนข้างหลัง ผมหมอบแน่นิ่งระหว่างที่พวกมันกราดปืนสวนมา บ้างก็โดนพื้นบ้างก็โดนนักการเมือง ทันใดนั้นเดนนิสก็วิ่งเข้ามาพร้อมปืนพกแล้วยิงคนหลังสุด การ์ดคนสุดท้ายหันไปข้างหลังอย่างตกใจ มันหันหลังกลับซึ่งเป็นการเปิดจังหวะให้ผมตั้งตัวและยิงไปที่หลังมันสามนัด มันกระอักเลือดแล้วล้มลง
“ที่นี่มีประตูทิศใต้มั้ย” ผมถามเดนนิสซึ่งตอนนี้หมอบมาที่เดียวกับผม
“มี ทำไม” เขาถามกลับ ผมไม่ตอบแต่คลานไปดูศพการ์ดข้างหน้า
“ดีนพวกมันมาแล้ว” เดนนิสร้อง การ์ดหลายคนวิ่งเข้ามาพร้อมปืน เดนนิสยิงสกัดไว้ ซึ่งกระสุนของเขากำลังจะหมดในอีกไม่กี่นัด ผมค้นร่างการ์ดและเจอระเบิดมือหนึ่งลูก
“จะทำอะไร” เดนนิสถามเขากำลังยิงปืนสวนพวกการ์ดไปจนหมดแม็ค พวกชุดสูทหลายคนลุกแล้ววิ่งหนีผ่านการ์ดออกประตูไป พร้อมทั่งลีหงฉวนที่อยู่ตรงหัวโต๊ะด้วย
ผมยื่นปืนจีสามหกซีให้เดนนิส เขารับไว้งงๆ แต่ก็เอาปืนไปยิงต่อสู้กับพวกการ์ด ตอนนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงปืนสะเทือนเลื่อนลั่นจนแสบแก้วหูไปหมด ผมลากผู้หญิงที่นอนหมอบตรงหัวโต๊ะไปไว้ที่ข้างโต๊ะ ผมแกะสลักระเบิดมือแล้วเอาไปวางไว้ที่ผนังฝั่งหัวโต๊ะแล้วก็พุ่งมา ผมกับเดนนิสล้มโต๊ะใหญ่แล้วลากมาบังระเบิด
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เสียงระเบิดมือดังขึ้นจนหัวใจสะเทือนแม้แต่การปิดหูก็ยังไม่สามารถทำให้เสียงเบาลงไปได้ เศษไม้ปลิวว่อน หูผมอื้อและรู้สึกมึนหัว ไม่ได้ถูกระเบิดใกล้อย่างนี้มานานแล้ว ผมลุกขึ้นมองดูข้างบนการ์ดหลายคนล้มไปเพราะแรงระเบิด ที่ผนังระเบิดเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่
“ไปๆ” ผมดึงพวกชุดสูทหลายคนให้ลุกขึ้นแล้วผลักไปข้างหน้าตรงทางออก เดนนิสก็ช่วยด้วย เขาลากนักการเมืองผ่านช่องไป การ์ดเริ่มฟื้นมาแล้ว ผมหยิบปืนเอเอที่วางอยู่กับพื้นแล้ววิ่งออกไปทางรู ห่างออกไปหลายร้อยเมตรที่ประตูทิศใต้ ซอมบี้จำนวนมากมายพยายามจะดันปะตูเข้ามา
“โอ้พระเจ้า” ผมครางหยุดอึ้งอยู่กับที่ ไม่มีแรงจะไปไหน เดนนิสวิ่งมาหยุดข้างๆผม
“วิ่งก่อนพวกการ์ดมาแล้ว” เขากระตุกแขน ผมหันไปมองข้างหลัง พวกการ์ดโซเซมาแล้วเริ่มลั่นไกยิง ข้างๆผมพวกชุดสูทหลายคนออกวิ่งด้วยความกลัว ผมวิ่งคละไปกับคนพวกนี้แต่ไม่รู้จะไปทางไหน ข้างหน้าซอมบี้เป็นร้อยกับพวกติดอาวุธเป็นวิบข้างหลัง
“ไปหลบข้างๆก่อน” เดนนิสชี้ไปทางขวา ยังโล่งพวกนักการเมืองก็ไปทางนั้นเช่นกัน คนจำนวนมากออกมาดูเหตุการณ์ฝั่งนั้น ผมออกตัววิ่งอีกครั้งแต่เมื่อหันกลับไปมองการ์ด ก็พบว่ามีคนนึงถือปืนอาร์พีจีเล็งมาทางพวกเรา
“เห้ย! หลบ” ผมกระชากเดนนิสลงกับพื้น และรู้สึกได้ถึงลูกจรวดที่ลอยข้ามหัวไป ผมมองตามมันลอบไปเรื่อยๆและชนเข้ากับประตูใหญ่และนั่นคือความตระหนกถึงขีดสุดของผมผมคว้าปืนจากเดนนิสแล้วยิงการ์ดคนนั้น กระสุนพุ่งเข้าหัวมัน ข้างหน้าซอมบี้หลายตัวเดินเข้ามา มือไขว่คว้าอาหารและพวกรันเนอร์ราวสิบตัว พวกมันวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ผมออกตัววิ่งอีกรอบเพื่อตามพวกชุดสูทให้ทัน การ์ดข้างหลังที่ผมเห็นแล้วว่าจำนวนมากกว่ายี่สิบคน ยิงไล่หลังมา ผมวิ่งอัดสุดแรงให้ตัวเองพ้นจากศูนย์เล็ง แต่เพราะไม่ได้วิ่งกลับหลัง พวกรันเนอร์ที่ไม่รู้จักเหนื่อยและวิ่งสุดแรงเหมือนกันตรงมาที่ผม แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างผลักมันมา มันเสียหลักพุ่งไปข้างหน้าหัวคะมำ
เมื่อตั้งสติพบว่าผมได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์หลายลำตรงมาทางนี้ เหนือหัวซอมบี้เป็นกองทัพ เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้หลายลำบินตรงมา มีทหารนั่งมาด้วย พวกเขา เมื่อเข้ามาใกล้ระยะพวกเขายิงการ์ดทุกคนที่ถือปืนเล็งมาทางเรา กระสุนนับร้อยพุ่งทะลุร่างพวกการ์ด จนสิ้นใจ
ผมยังคงวิ่งต่อไปด้านข้างของพระราชวัง มีพลเรือนหลายคนมายืนดูอยู่ท่าทางอกสั่นขวัญหายและมองซอมบี้อย่างตื่นตระหนก
ผมไปหยุดอยู่ที่พวกเขาซึ่งมองผมกับเดนนิสด้วยสายตางุนงงแต่มีความไม่พอใจในสายตานั้น
ฮิวอี้ลงจอดข้างๆผม ทหารหลายคนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ทุกคนแต่งชุดลายพรางสีเขียว แต่มีสองคนที่ใส่หมวกบังหน้าและแต่งตัวด้วยชุดสีดำและชุดเวสท์ เครื่องแต่งกายคล้ายเดนนิส อาจจะเป็นพวกของเขาก็ได้ คนหนึ่งถือปืนเอ็มพีสี่ข้างมีมีดพร้าขนาดใหญ่เหน็บอยู่ อีกคนร่างเล็กกว่าคนที่ถือเอ็มพีห้า แต่มีปืนบาเร็ตต้า เอ็มเก้าเหน็บไว้ที่ขาทั้งสองข้าง มีมีดคอมแบ็ทเสียบไว้ในปลอกที่อกซ้าย เดาว่าคงมีข้างหลังด้วย
พวกทหารกรูกันไปช่วยและพูดคุยกับชาวบ้าน ผมและเดนนิสฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่พวกชุดดำสองคนยังคงจ้องมาที่เรา
แต่ทันใดนั้นมีซอมบี้การ์ดคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างหลังเฮลิคอปเตอร์ คนที่ตัวเล็กเอี้ยวตัวหลบพร้อมชักมีดปักเข้าที่ปลายคางของซอมบี้ มันตายทันที ทั้งสองตนค่อยถอดหมวกออก ซึ่งใบหน้าทั้งสองทำให้ผมตกใจและงุนงงเอามากๆ
“เอ็มม่า โอเลด” ผมอุทาน
“ไง” เอ็มม่ายิ้มทิ้งหมวกแล้ววิ่งมากอดผม โอเลดตามเข้ามาตบไหล่ แต่ผมยังไม่หายตกใจหรอกนะเธอผละออกจากตัวผมแล้วยิ้มเขินๆ
“อะไรเนี่ย มาได้ไง”
“เรื่องมันยาว ตอนนี้เราต้องรีบอพยพคนก่อน ซอมบี้กำลังมา” เอ็มม่าตอบ สายตามองไปที่ประตูใหญ่ซอมบี้เป็นร้อยกำลังกะเผลกเข้ามา
เสียงเฮลิคอปเตอร์อีกชุดดังขึ้นเมื่อมองไปบนฟ้าก็พบสกายเครนสองลำบินมาลากตู้คอนเทนเนอร์มาด้วย สกายเครนคือเฮลิคอปเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อขนย้ายของที่มีน้ำหนักมาก ตรงท้องออกแบบมาให้มีลักษณะเว้า
ทหารที่คุยกับชาวบ้านเสร็จก็วิ่งไปยิงสกัดซอมบี้ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทหารจีนราวสามสิบนายตั้งแถวอย่างมีระบบแล้วเริ่มต้นสกัดั้นซอมบี้
“เราเหลือเวลาอีกไม่มากใช่มั้ย” ผมถามเอ็มม่า ลืมเรื่องลีหงฉวนไปเสียสนิท เธอพยักหน้า
“ใช่ เราเหลือเวลาอีกไม่มาก เราต้องรีบไป” เมื่อได้อย่างนั้น ผมก็เริ่มออกวิ่งไปส่วนหน้าของพระราชวังแบบสุดแรง แต่พระราชวังกว้างใหญ่ขนาดนี้จะทันลีมั้ยนะ
อยู่ตรงนั้น ลีหงฉวนกำลังนั่งเบาะหลังในรถของผม การ์ดสองคนนั่งเบาะหน้า คนนึงพยายามจะสตาร์ทรถแต่คงยากเพราะกุญแจอยู่ที่ผม นอกจากพวกนั้นจะต่อสายตรงเป็น
แต่เมื่อผมเข้าไปใกล้ขึ้น การ์ดอีกสามคนก็กรูเข้ามา ปืนในมือเล็งมาที่ผม ผมกระโจนไปที่พื้นข้างหน้าหลบจากแนวเล็งแล้วใช้ปืนจีสามหกซียิงไปที่ทั้งสามคน ไม่มีใครรอดจากการยิงครั้งนี้
บรืนนนนนน
เสียงสตาร์ทรถติดแล้วและมันกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าที่ทางออก ผมพลิกตัวเองให้นอนคว่ำวางปืนขนานกับพื้นเล็งไปที่ล้อแล้ว
กริ๊ก
เสียงปืนที่หมดกระสุนผมร้องอย่างหัวเสียแล้วออกตัววิ่งตามรถ จำเป็นต้องทิ้งปืนไปเพื่อให้วิ่งตามได้
รถชะลออยู่ที่ทางออกเพื่อเลี้ยวออกไป ผมอาศัยจังหวะนั้นชักปืนเอ็มเก้าออกมาแล้วเล็งไปที่ล้อหลัง
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนสามนัดพุ่งไปที่ล้อหลังทั้งสองล้อ เกิดเสียงดังปั้งแล้วยางก็ค่อยแฟบลง รถที่กำลังเลี้ยวอยู่เคลื่อนไปข้างหน้าพ้นราชวังเล็กน้อยแล้วหยุดอยู่กับที่ คนขับรถลงมาจากรถท่าทางหัวเสีย
ปัง ปัง
กระสุนสองนัดพุ่งเข้าเจาะคอและกะโหลกศีรษะ ผมเดินเข้าไปที่ฝั่งผู้โดยสารเบาะหน้า การ์ดไม่ได้ลงมาหากแต่ยื่นปืนผ่านช่องหน้าต่าง
ผมพุ่งเข้าไปดันมือเขาชนกับขอบรถก่อนที่เขาจะลั่นไกแล้วใช้ศอกแทงไปที่โหนกแก้ม เขาเด้งกลับเข้าไปในรถปืนตกจากมือ ผมยิงเขาซ้ำที่หัวอีกนัดอย่างรวดเร็ว
ลีหงฉวนนั่งอยู่เบาะหลัง สีหน้าไม่แสดงความตกใจแต่ก็รู้เลยว่ามีความกลัวอยู่ในนั้น ผมเปิดประตูหลังแล้วลากเขาออกมา จากนั้นก็ต่อยเขาที่ท้องสองที เข่าหนึ่งครั้งแล้วโยนเขาไปข้างล่าง เขาร้องอย่างโอดครวญ
ใกล้ๆมีซอมบี้กำลังกะเผลกเข้ามา ผมเดินไปเปิดกระจกรถทั้งสองฝั่งอย่างใจเย็น ซอมบี้ผู้หญิงเสื้อผ้าขากรุ่งริ่งค่อยๆกะเผลกเข้าไปหาลี เขาร้องลั่น ผมเดินไปที่มัน แล้วจิกหัวมันแล้วเหวี่ยงไปที่รถ มันล้มไปอย่างง่ายดายอยู่ที่ประตูรถฝั่งคนนั่ง มันลุกขึ้นผมถีบมันไปที่ท้องแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะเจ็บแต่ตัวมันงอ ผมเปิดประตูรถลากศพการ์ดออกมาแล้วโยนซอมบี้เข้าไปแทน
ผมเดินไปที่ลีดูงุนงงกับการกระทำของผม ผมกระชากเสื้อเขาขึ้นแล้วต่อยที่ท้องไปสองที จากนั้นก็ลากเขาไปที่รถ เขาพยายามถ่วงตัวเองแต่สู้แรงกระชากผมไม่ได้ ผมโยนเขาไปที่กระโปงหน้ารถ แล้วขึ้นตามไปเข่ากดแขนเขาแล้วจ่อปืนเอ็มเก้าไปที่หน้าผาก ข้างหลังซอมบี้พยายามจะพังกระจกหน้ารถ
“ยิงสิ ยิงเลย แกจะไม่ได้ในสิ่งที่แกต้องการ” เขาท้าทายผมใช้สันปืนตบหน้าเขา ลีร้องเลือดไหลซิบออกจากปาก “ที่ประเทศแกทำกันแบบนี้รึ ฉันช่วยแกเอาไว้”
“แค่ตอบคำถามน่ะ” ผมพูด “ถ้าแกตอบถูกใจฉัน ฉันจะไม่ยิงกระจกหน้ารถให้ซอมบี้ลากแกไปกินในนั้น โดนกัดมันเจ็บมาก เข้าใจนะ” เขาพยักหน้า
“แกเกี่ยวข้องอะไรกับรัสเทอร์ริส” ผมถามเขาปืนชี้ไปที่คอ ข้างหลังซอมบี้ทุบรถอย่างบ้าคลั่ง
“ฉันเป็นผู้สนับสนุนเรื่องการค้าอาวุธและเพื่อเปิดทางให้พวกนั้นเข้ามาขายในประเทศและฉันจะได้กำไรสามสิบเปอร์เซ็นต์” เขาตอบ เสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว ซอมบี้ทุบกระจกจนเริ่มร้าว เขามองด้วยสายตาหวาดหวั่น
“แกรู้อะไรเกี่ยวกับไวรัสบ้าง”
“แกเป็นสายลับเรอะ” เขาถามกลับผมใช้ปืนตบเขาอีกรอบ เขาร้องด้วยความเจ็บปวด
“ฉันไม่ได้บอกให้แกถาม” ผมคำราม “ตอบมา”
“มันเป็นของที่เช่ากันในตลาดมืด มีคนนำมาขายให้ฉัน เขาให้ฉันนำมาทดลองให้สมบูรณ์แล้วค่อยคืน” เขาพูดรัวเร็ว
“ใครขายให้แก” ผมถามต่อแต่ในใจสันนิษฐานไว้แล้ว “ไวรัสและผลการทดลองอยู่ไหน ใครเป็นคนเริ่มทำ”
“ฉันบอกแกไม่ได้หรอก” ลีพูด ผมยกปืนขึ้นจ่อหน้าผากแต่ยังไม่ได้ทันได้พูดอะไร ซอมบี้มาจากไหนไม่รู้ข้างๆผม ผมยกปืนขึ้นโดยสัญชาติญาณ ลีได้ทีผลักผมจนกลิ้งรถ แต่ซอมบี้ข้างใน ก็ทุบกระจกรถจนได้และลากเขาเข้าไปในนั้นแล้วกัดกินเขา เขาดิ้นอย่างทุรนทุราย ผมลุกแล้วยิงซอมบี้ข้างนอกแล้วดึงลีออกมาและส่งกระสุนไปเจาะหน้าผากตัวข้างใน
ผมมองดุลีซึ่งดิ้นทุรนทุรายและพบว่ามันสายไปแล้ว
ปัง
ผมมองดูเขาอย่างสมเพชและกำลังจะวิ่งกลับไปข้างในพระราชวัง
“นายทำอะไร” เสียงสำเนียงจีนดังขึ้น ผมหันไปก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งถือปืนลูกซองเดินเข้ามาซึ่งผมเห็นในหนังสือในห้องของยูจีน
“นายคงเป็นลีเตียวล่งสิใช่มั้ย”
ปัง
เขายิงเข้ามาแต่ผมกระโจนไปหลบหลังรถทัน เขากระหน่ำลูกซองมาเรื่อยๆ เสียงมันดังและชวนปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง ผมคลานไปอีกฝั่งของรถไปทางฝั่งคนนั่งแต่เหมือนเขายังไม่รู้ตัว ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและยิงไปที่อกขวาของเขา เขาร้องและล้มลงไป
“ข้อมูลไวรัสน่ะ อยู่กับนายสินะ” ผมเดินไปใกล้ๆแล้วเตะลูกซองออก ลีหงฉวนกลัวว่าผมจะไปตามหาคนที่มีไวรัส แน่นอนว่าต้องเป็นเขา
“ถึงแกจะได้ไป แกก็จะไม่ได้ตัวสมบูรณ์หรอกนะ” เขาพูดพลางหอบ มือกุมที่แผล “มันคือตัวที่ไม่สมบูรณ์ มันยังขาดอะไรบางอย่าง”
“ขอบคุณที่บอก” ผมประชดอย่างเย็นชา แล้วค้นตัวเขา ใช้เวลาไม่นานนัก ก็เจอถุงที่มีกระดาษแปะไว้ว่า สัญญาค้าอาวุธชีวภาพ “อยากให้ฉันช่วยให้นายพ้นทุข์มั้ย” ผมถามแต่เขาไม่ตอบ ผมเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
ปัง
ลูกกระสุนปลิวข้ามหัวผมไป ผมสะดุ้งโหยงแล้วหันกลับไป พบปืนในมือของเขา พบตอบโต้ตามสัญชาติญาณด้วยการยิงไปสองนัดที่ตัวเขา เพื่อไม่ให้เขาได้มีโอกาสลั่นไกอีกครั้ง
“คุณทำอะไรน่ะ” เอ็มม่าถาม เธอและโอเลดอยู่ที่ประตูพระราชวัง สีหน้าไม่อยากเชื่อ บ้าเอ๊ย ดันโผล่มาทำไมตอนนี้นะ
“คือเรื่องมันยาว คือเขาจะยิงผมนะ” ผมพูดอย่างประณีประนอม แต่เธอยังดูอึ้งอยู่
“รีบไปเถอะ เราต้องไปแล้ว” โอเลดที่อยู่ข้างๆเธอบอก เราทั้งหมดออกวิ่งไปที่ที่เฮลิคอปเตอร์อยู่ทันที ผม เอ็มม่า เดนนิสและโอเลดนั่งเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกัน มันค่อยขึ้นจากผืนดินไปเรื่อยๆจนทุกอย่างเริ่มเล็กลงแล้วเคลื่อนตัวห่างออกไปจากพระราชวัง ตามมาด้วยสกายเครนที่ขนคอนเทนเนอร์มาด้วย เดาว่าข้างในคือผู้รอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม งานนี้ผมคงต้องเคลียร์กับเอ็มม่ายาวแน่ๆ













หมวดเงียบมาก นี่พูดเลย

black jack sdppd
7th April 2014, 20:21
20. ในอดีต

ตอนนี้เราอยู่ขนเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้เราอยู่เหนือเมฆแล้ว กัปตันเป็นนักบินอเมริกัน เราจากสนามบินมาได้ 30 นาทีแล้ว หลังจากที่เดนนิสรับปากกับผู้จัดการสนามบินใหญ่ว่าจะส่งกองกำลังอเมริกันมาช่วย ผมได้เล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟัง
ขอบคุณ แต่ไม่ต้องมาแล้วล่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเจอกันอีก
คำพูดสุดท้ายของเขาตอนเราขึ้นเครื่องบินมา ข้างในเป็นที่นั่งแถวยาว ตกแต่งแบบเฟิร์ส คลาส มี 18 ที่นั่ง มีที่นั่งนึงที่เป็นโต๊ะกลมใหญ่ มีขวดใส่ดอกกุหลาบวางประดับ เบาะที่นั่งทำมาจากกำมะหยี่สีแดง ดูสวยงามและดูมีระดับ มีบาร์ด้วย เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีบาร์เทนเดอร์
ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกลม คนอื่นๆตามมาสมทบ เอ็มม่าและโอเลดนั่งฝั่งตรงข้าม เดนนิสที่ตามมาทีหลังจึงนั่งข้างผม
“เอาล่ะ เดนนิส นี่เอ็มม่าและโอเลด” ผมแนะนำทั้งคู่ให้เดนนิส “และเอ็มม่า โอเลดนี่เดนนิส” หลังจากนั้นทุกคนก็ทักทายจับมือกันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ถามไถ่เรื่องอาชีพการงาน สารทุกข์สุขดิบเล็กน้อย ผมรอโอกาสเขาพูดเสร็จ
“คุณมีเรื่องต้องอธิบายรึเปล่า เอ็มม่า” ผมถามเธอ จ้องไปในดวงตาสีฟ้าใสของเธอ ซึ่งเธอมองกลับมาอย่างใสซื่อ “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นที่แลงก์ลี่ย์” เธอยิ้มแต่ไม่ตอบแล้วมองหน้าโอเลด
“พวกเรามีเหตุผลนะ” โอเลดตอบแทน “ฉันไม่อยากอยู่เฉยๆ ที่สำคัญเขามีการรับสมัครพลเรือนเข้ากองกำลังด้วย ฉันกับเอ็มม่าจึงเข้าร่วม”
“แล้วคุณก็ไปกับเขางั้นเหรอ” ผมถามต่อ มันไม่ใช่เรื่องที่สาวอย่างเอ็มม่าจะออกมาผจญโลกภายนอก ทั้งที่ฝีมือการป้องกันตัวจากซอมบี้ยังไม่ค่อยเอาไหน “นายปล่อยให้เธอมาเหรอ” ผมถามโอเลดน้ำเสียงผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขามองเธอทำนองว่า ฉันบอกแล้ว
“ใจเย็นน่าดีน เขาไม่ผิดหรอก” เธอกล่อมใช้นำเย็นเข้าลูบ “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่เป็นไรนิ่”
“คุณไม่ควรอยู่ที่นี่ คุณไม่ปลอดภัยข้างนอก อันตรายมีอยู่ทุกที่เลย ซอมบี้เต็มไปหมด” ผมอธิบาย
“ฉันไม่ได้มาเป็นภาระ ฉันเป็นหน่วยแพทย์ ฉันช่วยได้”
“คุณเป็นจิตแพทย์ไม่ใช่เหรอ” ผมถาม
“คิดว่าฉันไม่ต้องฝึกการพยาบาลเลยหรือไง” เธอยิ้ม พยายามลดความตึงเครียด ซึ่งช่วยได้มาก แต่ผมยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่
“ถึงยังไงก็เถอะ มันอันตรายเกินไป”
“ฉันรู้ในจุดนั้นดีและที่สำคัญ คุณจะปกป้องฉันไม่ใช่เหรอ” เธอจี้เข้าจุด มันก็จริงอย่างที่เธอว่า ผมปกป้องเธอได้ แต่มันง่ายกว่าถ้าเธออยู่ในสถานที่ปลอดภัย “คุณกำลังสงสัยว่าปกป้องฉันไม่ได้รึเปล่า”
“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ แต่ก็รู้ทันทีว่าตกหลุมพราง “ผมปกป้องคุณได้”
“ก็ดี นี่แหละ บทพิสูจน์” เธอปล่อยหมัดน็อคทันที
“โอเค พอๆ ฟังอยู่นาน เลี่ยนแล้ว” โอเลดตัดบท “นาย” เขาหันมาทางผม “เธอมาที่นี่ในฐานะอาสาสมัครทีมสนับสนุนในนามของอเมริกา และเธอ” เขาหันไปทางเอ็มม่า “อย่ามาโชว์หวานแถวนี้” เอ็มม่าหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาฝึกการต่อสู้ฉันด้วย” เธอเสริม
“อะไร ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง ตอนผมออกมา คุณยังไม่ได้เข้ารับการฝึกอะไรซักหน่อย”
“หลักสูตรเร่งรัดน่ะ” เธอหลิ่วตา ผมทิ้งตัวพิงเบาะเก้าอี้ รู้สึกสบายใจเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นเดนนิสที่นั่งจ้องโต๊ะอยู่เขาดูเหนื่อยและซึมเศร้า
“นายสู้มาทั้งวันแล้วนิ่ ไปพักสักหน่อย” ผมแตะไหล่เขา เขาหันมามองแล้วยิ้มเศร้าๆ
“ความจริงแล้ว ผมไม่ใช่ตำรวจไมอามี่หรอก” เขาพูด ในห้องโดยสารเงียบทันทีและรอฟังเขาพูด
“ผมและเพื่อนอีกสี่คนเป็น ปปส.” เขาเริ่ม นั่นยังสร้างความตะลึงได้มากกว่าเมื่อกี้อีก “เราเป็นปปส. นั่นคือเหตุผลที่พวกเรามีความสามารถมากกว่าตำรวจทั่วไป เราทั้งห้าคนสนิทกันมาก ร่วมเป็น ร่วมตายกันมานานหลายภารกิจ” เขายิ้มให้กับความทรงจำเก่า ดูแล้วหดหู่ ผมกลับมานั่งหลังตรงเพื่อฟังเขา “ความจริงนี่เป็นงานสุดท้ายก่อนพักของเรา ที่จริงไม่ต้องรับก็ได้ แต่เราอยากทำ” เขาก้มหน้าลงไป
“เรื่องเป็นมายังไง” ผมถาม เอ็มม่ามองด้วยสายตาห้ามปรามคงไม่อยากให้คิดเรื่องร้ายไปมากว่านี้ แต่ผมต้องการรู้จริงๆ เพราะทางตอนใต้นั้นก็เป็นส่วนสระว่ายน้ำที่ผมไปใช้บริการลงไป
“เราได้รับคำสั่งจากหัวหน้าว่าจะมีการขนย้ายยาเสพติดมาจากทางตอนใต้ของไมอามี่และผ่านเลควิวไปด้วย เราจึงไปตั้งด่านที่หน้าทางเข้าเพื่อรอรถเป้าหมายและจัดการขั้นสูงสุด
“แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร มีเจ้าหน้าที่จากรัฐและทหารมากมายกรูกันเข้ามา เขาคิดว่าเราเป็นตำรวจจริงเลยแจ้งสถานการณ์กับเรา” เขาหัวเราะในลำคอ
“ความจริงเรางงและตกใจมากและกำลังจะบอกว่ามาปฏิบัติภารกิจของปปส. แต่ยังไม่ทันได้พูด หัวหน้าเราก็โทรมาและบอกว่าภารกิจล้มเหลว สายของเราของเราถูกจัดการและมีคนคลุ้มคลั่งจากฤทธิ์ยาอาละวาดและกำลังมาทางเรา
“มันสอดคล้องกับข้อมูลที่ทหารได้ให้เรา แม้ตอนนั้นจะยังไม่ค่อยเชื่อก็ตาม แต่พวกเราได้รับคำสั่งมาจากรัฐบาลให้ทำการป้องกันเลควิวเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ แต่มันก็ไม่ไหว”
“นายรู้ชื่อเป้าหมายมั้ย” ผมถามอีกรู้สึกเหมือนใกล้เบาะแสเข้าไปอีก
“ได้มาแค่ชื่อกับรูป ไม่มีประวัติ” เขาตอบและเสริมทันที “แต่ผมไม่มีรูปมาหรอกนะ”
“เขาชื่ออะไร
“คนรัสเซียชื่อคอลิน คีรอฟสกี้” เดนนิสตอบ ผมรู้สึกได้ถึงความตกตะลึงที่แผ่ซ่านเข้ามาทั่วร่างกาย
“เขาเป็นคนตัวสูง ผมบลอนด์ ตัดผมรองทรงและมีเคราแพะเล็กๆใช่มั้ย” ผมถามย้ำ
“ตัวสูง ผมบลอนด์น่ะใช่ แต่เคราแพะนี่ไม่แน่ใจ รูปถ่ายเขาไม่ได้ชัดขนาดนั้น” เดนนิสตอบ แค่นั้นก็พอแล้ว “รู้จักกันเหรอ”

2 ปีที่แล้ว
ตอนบ่าย ณ ค่ายทหารนาวิกโยธินสหรัฐ
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูห้องพักของผมดังขึ้น ปลุกผมจากภวังค์ ผมกำลังนอนจ้องเพดานในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก มีแลปท็อปตั้งถัดจากเตียง ตู้เสื้อผ้าตรงข้ามห้อง มีโปสเตอร์หนังติดอยู่ทั่ว ข้างๆหมอนมีปืนบาเร็ตต้า เอ็มเก้าและแม็กกาซีนวางไว้ ผมลุกขึ้นจากเตียง ไม่งัวเงียเพราะไม่ได้หลับ ผมในตอนนี้ใส่เพียงกางเกงสามส่วนสีกากีเท่านั้นจึงหยิบเสื้อยืดสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะมาใส่ มันเข้ากับตัวพอดี
ผมเดินไปเปิดประตูห้อง แง้มออกเล็กน้อยเห็นพันเอกเนเก้นในชุดกากีทั้งตัวและหมวกแกปคู่ใจ มือไขว้ไว้ข้างหลัง
“ไง ไอเสือ”
“ครับผู้พัน”
“มันเคลื่อนไหวแล้ว”
‘มัน’ ช่างเป็นคำที่กว้างเสียเหลือเกิน แต่สำหรับผู้พันเนเก้นและผมหรือฟร้อนท์ ทีม นี่หมายถึงเป้าหมายเราสิ่งเดียวเท่านั้น
“แบบลับๆหรือโจ่งแจ้ง” ผมถามเพื่อดูว่าจะเป็นภารกิจลับไหม นั่นก็ต้องดูอีกทีว่าเป็นสิ่งที่ มาร์ส็อคอย่างเราต้องรับหน้าที่มั้ย
“20 นาทีที่แล้ว สายการบินที่บรรทุกนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 10 คนและอาวุธของเราได้จอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินนานาชาติรัสเซียและอีก 20นาทีต่อมา ทั้งหมดได้หายไป”
“ประชุมที่ไหนครับ”
“แลงก์ลี่ย์”
“จะประชุมกับซีไอเอเหรอ”
“ก็ก่อนที่พวกซีลจะได้ไป”
“ขอเวลาผม 3 นาที”
“ห้ามเกิน”

สำนักงานหน่วยข่าวกรองกลาง เวอร์จิเนีย
โซเวียตาคือกลุ่มค้าอาวุธอิสระที่เหมือนจะกร่างไปทั่วโลกเป็นเวลา 1 ปีกับอีก 2 เดือนแล้วที่เราติดตามพวกนี้ หลังจากที่เห็นพวกมันไปโผล่ที่อัฟกานิสถาน ขายอาวุธและโจมตีหมู่บ้านที่ประเทศนั้น เราจับตาดูพวกมันตลอดมา แต่พวกนี้เหมือนผี โผล่มาให้เห็นไม่บ่อยนักและดูท่าว่าจะไม่เกี่ยวกับการก่อการร้ายหรือเป็นภัยต่อประเทศเรา แต่สิ่งที่เราสรุปได้ก็คือ พวกนี้โดนใจลูกค้าเอาหลายประเทศมากๆและอาจจะนำอาวุธขายผู้ก่อการร้ายทั่วโลกเลยทีเดียว
อะไรทำให้โซเวียตาเป็นตลาดที่มีลูกค้าหนาแน่น อาวุธคุณภาพดี ราคาไม่กดหัวผู้บริโภคและยังส่งรวดเร็วตรวจจับไม่ได้ เรียกได้ว่าตอนนี้เป็นที่หนึ่งในบัญชีดำขององค์การสหประชาชาติเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสร้างความหวั่นผวาให้กับกองกำลังของนาโต้มาแล้ว
ตอนนี้ที่อยู่และเบาะแสของโซเวียตายังเป็นปริศนา
ในห้องปฏิบัติการณ์หนึ่งมีเพียงผม ผู้พันเนเก้น หัวหน้าทีมภารกิจรัสเทอร์ริส เลียม พอร์ชเลนพบกันครั้งสุดท้ายผมเขายังไม่บางขนาดนี้ หน้าที่ดูคมคายเริ่มมีริ้วรอย และลินซ์ ลีโอนาร์ด นักวิเคราะห์การก่อการร้ายอดีตกรีน เบเร่ต์ ชายคนนี้รูปร่างสมกับเป็นหน่วยรบพิเศษยังคงเหลือรอยเคราเอาไว้ แต่ทรงผมตัดสั้นก็เข้ากับใบหน้าดูเป็นกันเองของเขา
ผมเลือกนั่งลงฝั่งเดียวกับเนเก้นเป็นฝั่งตรงข้ามกับหน้าจอยักษ์ ลีโอนาร์ดนั่งอีกฝั่งกับพวกเรา เขายิ้มให้พวกเราแวบหนึ่ง ส่วนพอร์ชเลนยืนข้างๆจอ
“เราได้เบาะแสมาแล้ว การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของมันถือเป็นดาบสองคม สายลับติดตามมันทันที ที่มีการปล้นสินค้าของเรา”
“คุณและลูกทีมต้องไปที่มอสโกเพื่อรับฟังข้อมูลและแผนของสายลับเรา” ลีโอนาร์ดพูดบ้าง
“เขาชื่ออะไร” ผมถาม
“เควิน สไตร์คเกอร์ชื่อของเขาที่นั่นคือ มานูเอล เครฟเชงโก้” ลีโอนาร์ดตอบ ผมทวนชื่อเขาในใจอีกครั้ง
“เราควรรู้อะไรที่นี่บ้าง” เนเก้นถามบ้าง
“ภารกิจของคุณ” ลีโอนาร์ดว่าแล้วส่งไม้ต่อให้พอร์ชเลน
“ชิงตัวประกันคือแผนแรกที่ต้องทำ อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำคือทำลายมันซะ” เขาป้อนคำสั่ง ทำลายมันงั้นรึ ตราบใดก็ตามที่นาวิกต้องลงมือล่ะก็ พวกมันตายไปแล้ว แค่ยังไม่รู้ตัว “พวกมันอยู่ที่มอสโกแน่นอนเพราะหลังจากที่มีการชิงตัวอุกอาดที่สนามบิน ก็ไม่มีรถหรือยานพาหนะคันใดที่พยายามออกนอกเมือง นอกนั้นเป็นพวกคนธรรมดา”
“มีพวกคุณที่นู่นกี่คน” เนเก้นถาม
“ทีมเรามีสไตร์คเกอร์เป็นหัวหน้าและมีอีกสามคนเป็นลูกทีม” พอร์ชเลนตอบ
“แล้วเราจะออกเดินทางตอนไหน” เขาถามต่อ
“เร็วที่สุดที่จะทำได้”
“งั้นเราจะไปเลยเดี๋ยวนี้” เนเก้นพูดเสียงเฉียบขาด “มีอะไรที่เราต้องรู้ที่นี่อีกมั้ย”
“มีคนอเมริกันเป็นพวกมันด้วย” ลีโอนาร์ดตอบ ผมอึ้งเล็กน้อยและกำลังจะอ้าปากถาม แต่เนเก้นถามให้แล้ว
“เราต้องช่วยหรือเปล่า”
“สายเราบอกว่าพวกเขาถูกบังคับให้ทำอย่างงั้น”
“โอเคขอบคุณสำหรับข้อมูล โทรนัดสายคุณและแจ้งเราด้วย”
“ทางนี้จะเป็นหูเป็นตาให้” พอร์ชเลนรับปาก เนเก้นหันหน้ามาทางผมแล้วส่งสายตาให้ลุกขึ้น เราจับมือกับอีกฝ่ายแล้วออกไปจากห้อง

“ลีโอนาร์ด” พอร์ชเลนเรียกเขาเมื่อทหารทั้งสองนายออกไปแล้ว “บอกผู้พันรอนว่าให้เตรียมหน่วยซีลของท่านไว้ให้ดี”

ฐานทัพนาวิกโยธินสหรัฐ สหรัฐอเมริกา
ผมและเนเก้นเดินมาด้วยกันเข้าสู่ห้องประชุมที่มีลูกทีมมือดีของผมอีก 40 คนรออยู่แล้ว เราเลี้ยวเข้าห้องประชุมไปก็เจอเหล่าทหารในชุดเต็มยศนั่งที่เก้าอี้รออยู่แล้ว เอ็ดดี้นั่งอยู่หน้าสุด ผมพยักหน้าให้เล็กน้อย
“ทำความเคารพ” ผมคำรามทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพเนเก้นทันที ผู้พันพยักหน้าทุกคนนั่งลงตามเดิม
ไฟห้องหรี่ลงโปรเจคเตอร์ฉายภาพชายผิวขาวร่างใหญ่ผมทอง หนวดเคราเฟิ้ม หน้าตาไม่ค่อยหน้าพิสมัย
“วีนอสกี้คิดผิดอย่างแรงที่ไปดักปล้นอาวุธที่เราพยายามวิจัยกับรัสเซียและนักวิทยาศาสตร์ห้าคนของเรา” เนเก้นเริ่มพูด “เราได้รับภารกิจมาเพื่อชิงตัวประกันพวกนั้นกลับมาและอาจจะมีภารกิจที่เข้ามาเสริมทันทีเช่นชี้เป้าให้หน่วยอื่นๆเช่นซีล หรือที่ดีกว่านั้นคือฆ่ามัน แต่ที่แน่ๆตอนนี้เราต้องต่อกรกับพวกมันทั้ง 200 คน นี่ลดให้แล้ว” เนเก้นส่งไม้ต่อให้ผม
“สายของเรายืนยันแล้วว่าตั้งแต่เริ่มลงมือยังไม่มีใครหรืออะไรที่น่าสงสัยผ่านเมืองมอสโกไปเพราะฉะนั้นเราจะไปที่นั่นให้เร็วที่สุด ระบุตำแหน่งมันให้เร็วที่สุด ชิงตัวประกันให้เร็วที่สุดและฆ่ามันให้เร็วที่สุด ให้มันรู้ว่าต้องเจอกับใคร”
“ใครมีคำถามบ้าง” เนเก้นมองไปรอบๆ มีทหารนายหนึ่งยกมือ เขาพยักหน้าให้ทหารนายนั้น
“เราได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลรัสเซียด้วยใช่มั้ยครับ”
“รัสเซียจะช่วยเราอย่างเต็มที่เท่าที่จะช่วยได้ แต่เราก็ต้องปฏิบัติภารกิจให้เสียหายน้อยที่สุด” เนเก้นบอก แหงล่ะ แม้มีประชากรโดนลูกหลงตายไปแม้คนเดียว เราก็จะโดนตราหน้าไปอีกนาน อาจโดนทหารหน่วยอื่นเยาะเย้ยเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่อยากจะนึก
“แล้วตัวประกันบาดเจ็บมั้ยครับ” ทหารอีกคนถาม
“เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวประกันเลย แต่เราควรหวังสิ่งที่ดีที่สุด รับมือสิ่งที่แย่ที่สุด” เนเก้นพูดคำคม “ให้คิดเอาไว้ว่าตัวประกันเดินไม่ได้ ควรเตียมเปลสนามไว้อย่างน้อยก็สาม”
“แล้วฐานของเราที่นั่นอยู่ตรงไหนครับ” ทหารอีกนายถาม
“โซฟีสกาย่า ถัดไปเป็นแม่น้ำ เราสามารถจู่โจมทางน้ำไปได้ทั่วเลย เมื่อเราไปถึงเราจะได้ไปฟังแผนจากสายของเราที่โน่นอีกทีแล้วจะวางแผนให้เร็วที่สุด” เขาชี้แจง “เอาล่ะมีใครจะถามอีกมั้ย” ทั้งห้องเงียบ ได้เวลาผมกล่าวปิดงาน
“นี่เป็นภารกิจเร่งรัดเพราะฉะนั้นจะไม่มีการซ้อมกันก่อน แต่ฉันเชื่อว่าพวกนายทุกคนฝึกมาดีอยู่แล้ว ไม่งั้นก็คงไม่ได้มายืนอยู่นี่และจะไม่มีการถอนตัวด้วย” ผมพูด “และอย่างที่ได้กล่าว รัสเซียตัวแสบทำซ่าคิดว่าจะเล่นงานคนของเราแล้วจะหลุดไปง่ายๆ เราจะทำให้ความเชื่อผิดๆนี้ ลงหลุมไปพร้อมกับมัน”

ฐานทัพลับมาร์สอค ถนนโซฟีสกาย่า เมืองมอสโก ประเทศรัสเซีย
ผมยืนมองแผนที่เมืองมอสโกในห้องวางแผนและสื่อสาร เมืองมอสโกดูกว้างใหญ่และแทบจะหาจุดหลบซ่อนของพวกผู้ก่อการร้ายไม่ได้ ที่เดียวที่มันสามารถมาหลบได้ก็คือตำแหน่งที่พวกเราอยู่ ณ ตอนนี้
ทิศเหนือหรือด้านหลังของเราคือแม่น้ำที่มีเรือยางเตรียมพร้อมอยู่ ข้างหน้าห่างไปอีก 200 เมตรคือฐานต่างๆที่บรรจุภายในโกดัง ข้างถนนเป็นตึกรามบ้านช่อง ไม่มีใครผ่านมาแถวนี้ เราปฏิบัติตัวแบบไม่กระโตกกระตาก
เราใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงก็สามารถตั้งค่ายเสร็จ พร้อมอยู่ไปอีกหลายเดือนจนถึงหลายปี 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นอาวุธก็ขนผ่านตม. มาได้สำเร็จ นี่เป็นเรื่องของสองรัฐบาลที่ต้องจัดการกันเอาเอง
โกดังของเราแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกเรียกว่า ฟาลคอนเป็นห้องที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารและวางแผน ฝั่งฟาลคอนมีพื้นที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก อีกฝั่งเรียกว่าไทเกอร์ เป็นที่ไว้เก็บอาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่างๆและยานพาหนะต่างๆ มีพื้นที่เล็กน้อยซ้อมรบ
ผมแอบไปชมเมืองแถวๆแม่น้ำเล็กน้อยตอนที่จัดค่ายเสร็จ ที่เมืองนี้สวยงาม แม้ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะไม่คึกคักมา แต่คนก็ยังเดินตามท้องถนนกันอยู่ แม่น้ำที่ตัดผ่านก็ดูดีเหมาะสำหรับไปเดินทอดใจอยู่
เนเก้นเดินเข้ามาในชุดที่ยังเต็มยศอยู่ในขณะที่บางคนเริ่มถอดชุดเปลี่ยนกันแล้วเพราะยังไงก็รู้ว่าจะไม่มีวันได้ยิงเร็วๆนี้ มีแต่ผมและเนเก้นเท่านั้นที่ยังใส่เต็มยศ
“พอร์ชเลนนัดสายมาให้แล้ว” เขาบอกกับผม “ที่บาร์แบล็คเบิร์ด 1 ทุ่มตรง”

อาคารรัฐสภา รัสเซีย
เกรกอรี่ กรอชซอฟ ชายร่างใหญ่ บึกบืนกำยำ ศีรษะตรงกลางล้าน ผมที่ข้างๆเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่ท่ามกลางความแก่เฒ่าดวงตาและหัวใจสิงห์ยังคงอยู่ เขานั่งอยู่ในทำงานที่เต็มไปด้วยของตกแต่งสีแดง สีที่ชอบของเขาเนื่องมาจากความแข็งแกร่งของกองทัพแดง เขาใฝ่หาเรื่องนี้ จนกระทั่งได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
ก๊อกๆๆ
“เข้ามา” เขาเรียกเสียงเอื่อยๆเพราะความเบื่อหน่ายที่สะสมกันมา โคเทล รัสกิน เดินเข้าห้องมา เขาหนุ่มกว่ากรอชซอฟมาก จึงทำให้ดูกระตือรือร้นกว่า “ว่าไง” เขาถามรัสกิน
“เราพึ่งอนุญาตให้กองกำลังอเมริกันเข้ามาในมอสโกเมื่อสักครู่ครับ” รัสกินบอก เขากลืนน้ำลาย ตาเบิกกว้าง สิ่งที่เขากังวลเกิดขึ้นแล้ว
“ทำไมปล่อยให้มันเข้ามา” เขาคำราม
“ท่านก็รู้ว่าทำไม” นั่นสินะ ถ้าออกตัวขึ้นมาจะน่าสงสัย
“ซีลเหรอ” เขาถาม รัสกินสั่นหัว “เดลต้าฟอร์ซ” เขาถามอีก รัสกินส่ายหัวอีก
“มาร์สอคครับ”
“มาร์สอคงั้นเหรอ” กรอชซอฟหัวเราะ “มาร์สอคมาทำอะไรน่ะ” เขาเย้ย “ดีแล้วล่ะ แสดงว่า คนของเรายังทำสัญญากันได้”
“ครับ แต่ยังไงเราก็ควรระวังพวกนี้ไว้ด้วยดีกว่านะ” รัสกินเตือน กรอชซอฟปัดมือ
“โทรแจ้งพวกนั้นซะ”

ครูสตาลี เมืองมอสโก ประเทศรัสเซีย
ผมกำลังนั่งอยู่ในบาร์แบล็คเบิร์ด ทั้งร้านดูมอซอ มีคนมานั่งอยู่สองสามคน มีสองโต๊ะติดฝั่งผนังและสามโต๊ะกระจายอยู่ตรงกลางห้อง หลังสุดของห้องมีทีวีที่ตอนนี้ฉายข่าวกีฬา แสงไฟสลัวๆและบรรยากาศเงียบเชียบทำให้บาร์แห่งนี้เหมือนจะไม่ป็อปปูลาร์
ผมสั่งเครื่องดื่มแบล็ค รัสเซี่ยน ไปเป็นภาษารัสเซียกับบาร์เทนเดอร์หญิงที่หน้าตาไม่รับแขกและเบื่อหน่าย
เสียงเปิดประตูดังขึ้นแบบเงียบๆ ดึงความสนใจจากคนทางร้านเล็กน้อย แต่ผมหันไปมอง ชายตัวสูงหุ่นแบบนักวิ่งในชุดสูทสีดำพร้อมด้วยแว่นดำเสริมบุคลิกให้ดูเท่ราวกับสายลับ อย่างไรก็ตามแม้จะสังเกตได้ยากแต่ถ้าดูดีๆ พวกเขาคืออเมริกัน เขาเดินมานั่งข้างผม ต้องเป็นสายลับแน่นอน
“สวัสดี” ผมทักไปเป็นภาษารัสเซียก่อนเพื่อให้เขารู้ว่าผมรู้และพวกเราจำเป็นต้องสื่อสารเป็นภาษารัสเซียเสียด้วย
“สวัสดี” เขาทักตอบพลางมองไปรอบๆร้าน
“สูทเท่นิ่” ผมชม เขาไม่ว่าอะไร
“ต้องการอะไรคะ” บาร์เทนเดอร์เข้ามาถามพร้อมนำแบล็ค รัสเซี่ยนมาเสิร์ฟผม ผมพยักหน้าขอบคุณ
“ของผมขอเป็นเร๊ด รัสเซี่ยน” ชายชุดสูทสั่ง หญิงสาวมองไปที่เขาและผมอย่าสงสัย แต่ก็เดินไปตรงกลางโต๊ะเพื่อทำค็อกเทล
ใช่เขาแน่
“ทรอสกี้” ผมแนะนำตัวเอง เราต้องพูดภาษารัสเซียกัน เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนหันมา
“เครฟเชงโก้” เขาแนะนำตัวเองด้วย เมื่อเห็นว่าแน่ใจแล้วเขาจึงโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ “เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่าเราได้จับงูอเมริกันแถวนี้ได้และเจอตัวที่น่าสนใจ เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ของคนของเรา แต่เธอไม่อยากอยู่แล้ว” หญิงสาวเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้วยืนนิ่งตรงนั้น “เธออยากจะออกจากงานแต่ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เธอเศร้าด้วย นายคงต้องไปคุยกับเธอสักหน่อย เธอไม่ค่อยไว้ใจใคร” เขาหยุดแล้วกระดกเครื่องดื่มเข้าปากลวดเดียวหมดแล้วส่ายหัวแรงๆเหมือนขนลุก ผมมองแล้วอดขำไม่ได้ สาวบาร์เทนเดอร์มองอย่างสงสัย
“รีบมากเหรอ” เธอถาม เขาไม่ตอบแต่ควักแบงค์ให้และเดินออกไปโดยไม่รอเงินทอน เธอมองมาที่ผม ผมยักไหล่ตอบแล้วดื่มแบล็ค รัสเซี่ยน
“นักธุรกิจน่ะ งานรัดตัว”

เครื่องดื่มของคนที่มาหลังคือรหัสระบุตัวตน อยู่ที่ว่าใครมาก่อนหรือมาหลัง ผมคือแบล็ค รัสเซี่ยนและของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสไตร์คเกอร์คือ เร๊ด รัสเซี่ยน
งูอเมริกันที่เขาพูดถึงสัญญาณที่จากแหล่งต่างๆที่เป็นของคนอเมริกันในมอสโกอาจจะมาจากโทรศัพท์ อีเมลล์หรือเว็บ เพจต่างๆ ซึ่งหน่วยข่าวกรองสามารถเข้าถึงส่วนนี้ได้แล้ว
คนของเราหมายถึงหมายถึงโซเวียตาหรือที่เราเรียกกันว่ารัสเทอร์ริส นั่นหมายความว่า มีผู้หญิงอเมริกันคนนึงถูกบังคับให้ร่วมงานกับพวกผู้ก่อการร้ายและพยายามติดต่อคนภายนอก แต่ปัญหาคือ เธอไม่เชื่อใจสายลับเท่าไหร่ ทำไมกันนะ?
ผมมองไปที่เก้าอี้ที่เขาพึ่งลุก มีเศษกระดาษเล็กๆที่พับอยู่วางไว้ ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน ข้างในเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
โรงแรมมาโรนอฟสกี้ ห้อง 315 แอนนา คินซี่ย์
ผมกระดกที่เหลือเข้าไปจนหมด รู้สึกซ่านิดๆแต่ก็ไม่ถึงขั้นเมาอะไร ผมจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์และเดินออกไปเตรียมตัวจะไปที่โรงแรมเป้าหมาย แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้ว มาโนรอฟสกี้ก็ไม่ใช่จะใกล้กับที่นี่ จะเป็นการรบกวนกันเปล่าๆเพราะกว่าจะถึง คนที่นี่ก็คงปิดไฟนอนกันหมด ผมเดินออกไปสูดอากาศนอกบาร์ ถนนเงียบแล้ว รอบข้างมีแต่ม้านั่งที่วางไว้อย่างเงียบเหงา ลมเย็นพัดมาเป็นพักๆ
ขามา ผมเดินฆ่าเวลามาเรื่อยๆจากโซฟีสกาย่า เป็นการลาดตระเวนและชมเมืองไปในตัว เมืองมอสโกสมกับเป็นเมืองน่าเที่ยวจริงๆ แต่ช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน การเดินของผมจึงไม่ค่อยสบายสมดั่งใจปรารถนาเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ซีลมักจะบอก วันที่ง่ายมักเป็นแค่เมื่อวาน
ผมควักโทรศัพท์และกดเบอร์ของเอ็ดดี้ ที่ค่ายมีรถพลเรือนเป็นรถเก๋งฮอนด้าสีดำและรถแรงก์โรเว่อร์ไว้ใช้ เขาน่าจะขับมาหาผมได้เพราะนัดนี้ค่อนข้างจะเร็วกว่าที่คิด ผมยังไม่มีโอกาสได้ถามอะไรเขาเลย เขามาได้ไม่ถึง 5 นาทีก็ไปเสียแล้ว
“เอ็ด มารับฉันหน่อยสิ” ผมขอเขา เขาหัวเราะ
“หลงทางรึไง” ปลายสายตอบกลับมา
“เปล่า มีที่หมายใหม่น่ะ ถ้านายมาเร็ว เธออาจจะยังไม่นอน”
“เธอ ?” เขาพูดน้ำเสียงไม่มั่นใจ “นายพึ่งมาถึงเองนะ”
“ภารกิจไม่ใช่เที่ยวไอบ้า” เขาหัวเราะอีก
“นายอยู่ไหน”
“ก็ที่ที่นัดกับสายไว้”
“ได้ๆ รอสัก 5 นาที”
“ห้ามเกิน”

5 นาทีรถฮอนด้าก็มาจอดข้างหน้าผม เอ็ดดี้รีบลงมาแล้วเปิดประตูเบาะหลัง
“ทำได้ดี” ผมชม แต่เขากลับเข้าไปนั่งแทน
“นายไปขับ” เขาสั่ง ผมยืนงงสักพักแล้วไปนั่งที่เบาะหน้า ปิดประตูแล้วเตรียมเข้าเกียร์ “นั่นเพราะฉันไม่รู้ที่หมายของนายน่ะ” เขารีบแก้ตัว ผมหัวเราะหึๆ
“เงียบเหอะน่า” ผมเข้าเกียร์แล้วขับออกไปจากหน้าบาร์ จากนั้นก็กลับรถและตรงไปตามสาย ผมบอกถึงสิ่งที่สไตร์คเกอร์บอกผมให้กับเอ็ดดี้
“เราเชื่อใจเธอได้เหรอ” เขาถาม
“ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ “ฉันเดาว่าเขาคงไม่ได้ไปคุยกับเธอหรอก ฉันว่าเขาคงดักจับข้อมูลที่เธอคุยกับคนอื่นได้แล้ว ไม่งั้นคงไม่ต้องถ่อมาให้ฉันช่วย”
“ก็ว่าไป” เขาพูดเอนหลังพิงเบาะ “นายไม่สงสัยว่าเป็นกับดักเหรอ”
“ผู้ก่อการร้ายจะคิดอะไรเยอะเหรอ” ผมถาม
“หึ ผู้ก่อการร้ายที่ทำให้เราปวดหัวน่ะ มีถมไป”
“นั่นเพราะเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นเลยน่ะสิ แต่พวกนี้น่ะ เสร็จเราแล้ว” ผมให้ความมั่นใจ เขาไม่ตอบ
ผมจอดรถหน้าโรงแรมซึ่งมีรถจอดไว้อยู่สองสามคัน ข้างหน้าเป็นโรงแรมสีเหลืองสามชั้นเหมือนจะมีอายุพอสมควร ตัวโรงแรมกว้างหลายเมตรดูแล้วน่าจะมีหลายห้อง
“รอในนี้” ผมสั่ง เขาพยักหน้ารับ ผมลงจากรถไปแล้วเข้าไปในโรงแรม ความจริงผมกะแอบไปที่ห้องของเธอเลยเพื่อเลี่ยงการทิ้งหลักฐานว่าผมเคยมาหาเธอ ถ้าเพื่อมีคนมาตามหาผมขึ้นมา แต่ดูเหมือนเมื่อเข้าโรงแรมต้องประชันหน้ากับเคาท์เตอร์เลย ข้างเคาท์เตอร์ทั้งสองฝั่งมีห้องน้ำชายและหญิง ถัดจากห้องน้ำเป็นบันได ไม่มีลิฟต์ ดูเหมือนทั้งโรงแรมจะมีแต่สีเหลือง
“โรงแรมมาโนรอฟสกี้ ยินดีต้อนรับ มีอะไรให้ผมช่วยครับ” พนักงานฟร้อนท์ร่างผอม ผมดำทักทายเป็นภาษารัสเซีย ได้เวลาเปลี่ยนแผน
“ผมมาเช่าห้องครับ” ผมตอบกลับไปเป็นภาษารัสเซีย
“อยากได้ห้องแบบไหนครับ”
“มีให้เลือกด้วยเหรอครับ”
“มีแบบธรรมดาและพิเศษครับ” เขาบอกพร้อมยิ้ม
“ธรรมดาคืนละเท่าไหร่”
“300 ครับ”
“งั้นขอแบบธรรมดา 1 คืน ชั้น 3 ด้วยจะดีมาก”
“ชื่อครับ” เขาดึงสมุดออกมา
“อลัน ทรอสกี้ ห้อง 313 เดินไปชั้น 3 แล้วตรงไปทางซ้ายมือเลยครับ” ยื่นกุญแจมาให้ ไม่มีการขอบัตรประชาชนงั้นเหรอ
“มีชาวต่างชาติอย่างอเมริกันหรืออังกฤษมาพักมั้ยครับ” ผมถามเพื่อจะดูว่าเธอปลอมตัวรึเปล่า
“มีครับ” เขาบอกยิ้มอีกครั้ง “แฟนเขามาส่งทุกคืนเลย” เขาเสริมซึ่งผมไม่ได้ถาม ผมพยักหน้าให้แล้วเดินตรงไปทางบันไดไป เมื่อถึงชั้น 3 ผมเลี้ยวซ้ายตามที่เขาบอกแล้วเดินตรงไปห้องผมอยู่ตรงข้ามกับห้องของเป้าหมาย ผมเดินเข้าห้องตัวเองไปก่อน ข้างในห้องเมื่อเดินมาก็เจอตู้เสื้อผ้าวางชิดผนังทางฝั่งซ้าย ถัดไปเป็นห้องน้ำ เลยห้องน้ำไปจะเป็นเตียงเดี่ยวสีขาว ข้างหน้ามีโทรทัศน์เล็กๆวางอยู่ ข้างใต้มีมินิบาร์วางข้างใต้ ดูเหมือนไม่มีคนพักมานาน แต่ก็ยังดีที่มีการทำความสะอาดเสมอ ผมยักไหล่ให้สภาพห้องแล้วเปิดโทรศัพท์กดหาเอ็ดดี้ สัญญาณดังไม่ถึง 3 ครั้งเขาก็รับ
“เอ็ดเปลี่ยนแผน นายกลับไปได้เลย แล้วฉันจะโทรให้นายมารับอีกครั้งพรุ่งนี้”
“ให้ตายเถอะ พึ่งเจอกันนายก็จะฟาดเขาแล้วเหรอ ให้ตายเถอะ” ปลายสายพูดทีเล่นทีจริง
“ ‘เขา’บ้านแกสิ ‘เธอ’ ตะหากและฉันก็ไม่ได้จะทำอะไรด้วย อย่าพูดมาก กลับไปได้แล้ว”
“รับทราบ กอล์ฟ บราโว่” เขาบอกลาแล้วก็วางสายไปเลย ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเดินไปที่ห้อง 315 เมื่อถึงหน้าประตูผมจึงเคาะไป 3 ที
“รอเดี๋ยว” เสียงข้างในตอบกลับมาเป็นเสียงที่ดูเพราะและใสมาก ผมได้ยินเสียงเท้ามาหยุดที่หน้าประตูแต่ยังไม่ได้เปิด เดาว่าเธอคงมองผมอยู่ผ่านประตูตาแมว “คุณเป็นใคร”
“ทำงานสนุกมั้ย” ผมพูดไปเป็นภาษารัสเซีย
“ขอโทษนะ ฉันไม่พูดรัสเซียนอกเวลางาน”
“เปิดประตูให้ผม”
“อะไรนะ”
“ถ้าคุณไม่เปิดประตูให้ผม คุณอาจจะตายได้” ผมพูดขู่ไปก่อน
“อะไร” เธอพูดซ้ำแต่น้ำเสียงหวาดกลัว
“ฟังนะ ผมรู้ว่าคุณเป็นใครแต่เราคุยกันอย่างนี้ไม่ได้”
“ฟังนะ ไอ้โรคจิต ถ้านายไม่ถอยไปจากตรงนี้ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“ไม่เอาน่าคุณไม่อยากทำอย่างนี้หรอก ผมรู้ว่าคุณไม่มีพาสปอร์ตหรือวีซ่าด้วยซ้ำ” มันควรจะเป็นเช่นนั้นเพราะถ้าเธอถูกบังคับจริง มันอาจจะยึดสิ่งของของเธอเอาไว้
“งั้นเหรอ ฉันมีเพื่อนที่โคตรโหด ถ้านายไม่ถอยไปล่ะก็ ไม่ถึง 5 นาทีเขาต้องมาถึงแน่ ฉันให้โอกาสสุดท้าย รู้จักรึเปล่า คอลิน คีรอฟสกี้น่ะ”
“ผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าคุณหมายถึงเพื่อนที่ลักพาตัวคุณมา บังคับขู่เข็ญคุณและทำให้คุณเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ผมช่วยคุณได้ เปิดประตูเถอะ” ผมขอ ข้างในยังคงเงียบ “ทำไมคุณจะไม่อยากได้ความช่วยเหลือในเมื่อคุณอยากได้ ตอนที่ผมบอกว่าคุณไม่มีพาสปอร์ตหรือวีซ่า คุณไม่ค้านผม แสดงว่าคุณเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายหรือถูกยึดไป มีเหตุผลหลายข้อที่บอกว่าคุณไม่ได้เต็มใจจะอยู่ที่นี่ ข้อแรกคุณหางานที่ถูกกฎหมายที่นี่ไม่ได้เพราะเอกสารถูกยึด ดังนั้นจึงทำได้แค่งานใต้ดิน ข้อสองคุณไม่ได้หลบหนีเข้าเมืองเพราะยังใช้ชื่ออังกฤษ ถ้าหนีอยู่ก็ควรใช้ชื่อรัสเซีย ข้อสามคุณบอกว่าคุณไม่พูดรัสเซียนอกเวลางานแสดงว่าคุณตั้งใจจะเลี่ยงคนแถวนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้อสี่คือคนมีเงินอย่างคุณ ซึ่งแน่ล่ะ ต้องมี น่าจะไปพักโรงแรมที่หรูกว่านี้หรือไม่ก็บ้านเช่าไปเลยแต่คุณกลับมาพักที่โรงแรมเล็กๆ แถมไม่ตรวจบัตรประชาชนและต้องมีคนมารับ มาส่งทุกวันแสดงว่าต้องมีคนหาที่นี่ให้คุณ ที่ที่ใครตรวจจับไม่ได้ ข้อสุดท้ายนี่สำคัญมากคือคุณติดต่อขอความช่วยเหลือกับคนนอก”
เงียบไปแล้วประตูก็เปิดออกมาแต่ยังคล้องโซ่อยู่ ใบหน้าสาวกลมมนโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าชวนฝัน ผมทองยาวจรดบ่า แม้เห็นแค่ครึ่งหัวก็ยังรู้เลยว่าเธอสวยแน่นอน
“คุณเป็นสายลับเหรอ” เธอถามหยั่งเชิง ผมไม่ตอบ “ฉันไม่เชื่อใจสายลับ พวกเขาเป็นคนที่ทำให้ฉันมาอยู่ที่นี่”
“ผมเป็นทหารตอนนี้เรามาเพื่อช่วยคนอเมริกันที่ข้องเกี่ยวกับโซเวียตา” ผมบอก “ผมช่วยคุณได้จริงๆ” เธอปิดประตูแล้วดึงโซ่อีก จากนั้นก็ประตูเปิดอีกครั้งแล้วเธอก็ลากผมเข้าไปแล้วผลักผมเข้าไปข้างใน ผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองเธอเต็มตา เธอใส่เสื้อกล้ามสีน้ำเงินและกางเกงยีนส์ น่าจะพึ่งถอดเสื้อนอกเมื่อไม่นานมานี้ รูปร่างเธอดูดีมากๆ
“คุณเป็นทหารเหรอ” เธอถาม ผมพยักหน้า
“นาวิกโยธิน” ผมตอบ “เรามาช่วยอเมริกันที่ถูกจี้ตัวมา”
“ก็ดี ฉันไม่ใช่คนอเมริกันนิ่” เธอบอก ผมตกใจเล็กน้อย
“พ่อฉันเป็นคนอเมริกัน แม่ฉันเป็นคนสวีเดน แต่ว่าฉันเกิดและโตที่สวีเดน” เธอยักไหล่
“ไม่เป็นไรยังไงคุณก็มีเลือดอเมริกัน ถึงยังไงเราก็ช่วยทุกคนนั่นแหละ”
“คุณจะช่วยฉันยังไง ไอพวกนี้มันคุมฉันเข้มยิ่งกว่าถ้วยฟุตบอลโลกซะอีก เดี๋ยวก็จะมีคนกลับมาตรวจห้องนี้อีกรอบ คุยกันที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่และอย่าคิดที่จะจับตัวพวกนั้นล่ะ ถ้ามันขาดการติดต่อกัน รับรองว่าคนสักสองโหลคงแห่มาที่นี่” เธอพูดดักทางผม
“พวกนี้มันทำมิดีมิร้ายคุณหรือเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอก มันไม่ทำอะไรฉันตามสัญญา” เธอบอก
“สัญญาอะไร”
“ไม่ใช่ตอนนี้ รู้แค่ว่าฉันสำคัญต่อมันมากก็แล้วกัน” เธอเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองไปข้างนอก “รีบไปซะ มันมาแล้ว”
“โอเค ผมอยู่ห้อง 313 ถ้ามีอะไรรีบบอกผม” ผมบอกแล้วเดินไปที่ประตู เธอยิ้มยังยืนอยู่ที่หน้าต่าง
“เลขสวยนิ่” เธอทัก
“ขอถามอีกสักข้อ คนที่พาตัวคุณมาชื่อโคเลียม วีนอสกี้ใช่มั้ย”
“พรุ่งนี่ตอนเที่ยงที่บาร์แบล็คเบิร์ด”
ผมเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปที่ห้องตัวเองเมื่อถึงก็ถอดรองเท้าและทิ้งตัวลงบนเตียงทันที ทำไมคนถึงชอบไปบาร์นี้กันนะ

ไกลออกไปที่มุมตึกฝั่งตรงข้ามของเควิน สไตร์คเกอร์ในชุดสูทชุดเดิมกำลังยืนหลังพิงกำแพง คราวนี้เขาใส่หูฟังด้วย ดีนะ มาครั้งเดียวก็ได้นัดวันเลย
เขานึกชื่นชมทหารคนนี้ ข้อมูลที่เขาจะได้รับรู้อาจจะมากกว่าที่เขาดักฟังในห้องเธอซะอีก ซึ่งมันไม่ได้อะไรเลย













หมวดยังคงเงียบ นี่พูดอีกที