PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : อันตรายจากการดื่มน้ำอัดลม



John Marston
20th November 2012, 20:53
อันตรายจากการดื่มน้ำอัดลม !!!!




http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-0.jpg




นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งอังกฤษ (British university) แนะนำว่าวัตถุกันเสียธรรมดาๆ ที่พบในน้ำอัดลม เช่น แฟนต้า (Fanta) เปบซี่ แม็กซ์ (Pepsi Max) สามารถปิดสวิตซ์การทำงานของ DNA ในร่างกายได้ และอาจจะชักนำไปสู่โรคตับแข็งและโรคพิการต่างๆ เช่นโรคพาร์กินสัน (Parkinson's อาการของโรคกระตุก อันเกิดจากสมองพิการ) ซึ่งโดยปกติแล้วปัญหาเรื่องการทำงานของ DNA มักจะมีสาเหตุมาจากความสูงอายุและการดื่มสุราจัด

ผลการศึกษาชิ้นนี้อาจมีผลต่อผู้บริโภคน้ำอัดลมนับร้อยล้านคนทั่วโลก และยังจะทำให้ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสารปรุงแต่งอาหารซึ่งเคยมีผลที่ทำให้เด็กซุกซนผิดปกติ (Hyperactivity)ถูกรื้อฟื้นขึ้นเพื่อทบทวนใหม่

ผู้เกี่ยวข้องมุ่งลงไปที่ความปลอดภัยของ E211 หรือ โซเดี่ยม เบนโซเอท (sodium benzoate) ซึ่งเป็นสารถนอมอาหารมานับสิบๆปี คิดเป็นมูลค่า 74,000 ล้านปอนด์ (£) ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มอัดลมทั่วโลก โซเดี่ยม เบนโซเอทได้มาจากกรดเบนโซอิค (benzoic acid) ซึ่งเป็นกรดที่พบได้ในผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ (พวกมะเม่าในบ้านเรา) แต่กรดถูกนำมาใช้จำนวนมากเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องดื่มขึ้นรา น้ำอัดลมที่ใช้ได้แก่ สไปรท์ (Sprite) โอเอซิส (Oasis) และดร.เป็พเปอร์ (Dr. Pepper) ที่ขายในอังกฤษ รวมถึงในอาหารหมักดอง และซ็อสปรุงรสต่างๆ

โซเดี่ยม เบนโซเอท เคยเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะเป็นเหตุก่อมะเร็ง เนื่องจากเมื่อโซเดี่ยม เบนโซเอท ผสมกับวิตามิน ซี ที่เติมในน้ำอัดลม เมื่อทำปฏิกิริยากันจะได้ “เบนซิน” (Benzene) ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งดีๆนี่เอง กองมาตรฐานอาหารของอังกฤษ (Food Standards Agency: FSA) ได้ทำการสำรวจและพบว่าน้ำอัดลมจำนวนสี่ยี่ห้อมีระดับเบนซินสูงเกินไป และได้สั่งให้ถอนสินค้าดังกล่าวออกจากตลาด

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์อายุรภาพจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ (Sheffield University) ผู้ซึ่งได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับโซเดี่ยม เบนโซเอท มายาวนานและมีผลงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในปี 2542 ได้ตัดสินใจที่จะเผยอันตรายเพิ่มเติมของโซเดี่ยม เบนโซเอท ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ไปเปอร์ (Professor Peter Piper) ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวโมเลกุลและเทคโนโลยีชีวภาพ ได้ทำการทดลองปฏิกิริยาของโซเดี่ยม เบนโซเอทกับเซลล์ยีสต์ที่มีชีวิต (ยีสต์สด) ในห้องทดลอง พบว่าโซเดี่ยม เบนโซเอทได้ทำลายส่วนสำคัญของ DNA ในเซลล์ยีสต์ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ได้กล่าวกับหนังสือพิมพ์อินดิเพนเดนท์ (The Independent) ว่าโซเดี่ยม เบนโซเอทมีความสามารถในการทำลาย DNA โดยการปิดสวิตซ์การทำงานของไมโตคอนเดรีย

ไมโตคอนเดรียใช้ออกซิเจนในกระบวนการสร้างพลังงานให้กับร่างกาย และถ้าหากมันถูกทำลาย (ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราเป็นโรค) เซลล์จะเริ่มทำงานผิดปกติ เมือเซลล์ดีในร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคทั้งหลายก็จะเข้ามาทำลาย DNA เช่น โรคพาร์กินสัน และโรคจำพวกพิการทางสมอง (Neuro-degenerative diseases) ต่างๆ แม้จะยังไม่ร้ายแรงไปกว่า “โรคชราภาพ” (ซึ่งเซลล์ต่างๆจะเริ่มหยุดทำงานไปเอง) ก็ตาม

กองมาตรฐานอาหาร สนับสนุนการใช้โซเดี่ยม เบนโซเอทในประเทศอังกฤษแม้จะยังไม่ได้รับการรับรองจากสหภาพยุโรป (European Union) แต่เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมารัฐสภาของอังกฤษได้สั่งให้มีการสืบสวนอย่างเร่งด่วน นายนอร์แมน เบเกอร์ (Norman Baker) ประธานรัฐสภากล่าวว่า “สารปรุงแต่งอาหารจำนวนมากเป็นสารใหม่ๆ และผลกระทบของพวกมันในระยะยาวยังไม่มีการยืนยันแน่นอน แต่ที่แน่ๆจะต้องมีการสืบสาวเรื่อง โซเดี่ยม เบนโซเอท ให้รู้แจ้งต่อไปโดยให้กองมาตรฐานอาหารเป็นเจ้าภาพ”

ในปี 2543 องค์การอนามัยโลก (World Health Organisation) ได้แถลงว่าโซเดี่ยม เบนโซเอทนั้นปลอดภัยต่อการบริโภค แต่ระบุว่า “ความปลอดภัยก็มีขีดจำกัด” ในหมายเหตุส่วนท้ายของคำประกาศ

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ กล่าวว่า การทดสอบที่คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (US Food and Drug Administration) นั้นล้าสมัย และกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารก็จะยืนยันว่าอาหารเหล่านั้นผ่านการทดสอบและมันก็ปลอดภัย เมื่อเปรียบเทียบกับการทดสอบอาหารสมัยใหม่จะพบว่าการทดสอบเหล่านั้นไม่เพียงพอ ทุกวันนี้อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เราจะไปใช้ผลการทดสอบเมื่อ 50 ปีที่แล้วเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันไม่ได้

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ได้แนะนำผู้ปกครองให้พิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนที่จะซื้อน้ำอัดลมให้บุตรหลานของท่าน จนกว่าสารกันเสียเหล่านั้นจะได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัด น่าเป็นห่วงก็แต่เด็กๆที่ดื่มจำนวนมากๆ (ดื่มน้ำอัดลมต่างน้ำ)



โค๊ก/โคคาโคลา (Coca-Cola) แป็บซี่ แมกซ์ แป็บซี่ ไดเอ็ท (Pepsi Max and Diet Pepsi) พวกนี้มีส่วนผสมของโซเดี่ยม เบนโซเอท แต่ผู้ผลิต (บริษัท Coca-Cola และ บริษัท Britvic) และสมาคมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ก็ยืนกรานต่อรัฐบาลอังกฤษ ว่าพวกเขาเชื่อว่าสารเคมีที่พวกเขาใช้ปรุงแต่งเครื่องดื่มเหล่านั้นปลอดภัยที่สู๊ด…..


แปลจากบทความ Caution: Some soft drinks may seriously harm your health ~ Expert links additive to cell damage ของ Martin Hickman, Consumer Affairs Correspondent,
Published: 27 May 2007 http://news.independent.co.uk/health/article2586652.ece


There are more to read na ja:)
Daily Times. http://www.dailytimes.com.pk/default.asp?page=2007%5C05%5C28%5Cstory_28-5-2007_pg7_4

Fat Guy Radio. http://www.fatguyradio.com/?p=228



::: ปฏิกิริยาในน้ำอัดลม :::

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-1.jpg

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-2.jpg

( ที่มารูป ::: http://www.vcharkarn.com/uploads/167/167241.jpg )

น้ำอัดลม ประกอบด้วยน้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด

น้ำตาลในน้ำ อัดลมเป็นสารที่ให้ความหวานและพลังงาน น้ำตาลที่ใช้ในน้ำอัดลมคือ ซูโครส ส่วนในเครื่องดื่มบางชนิด เช่น Light, Zero หรือ Diet นั้นจะใช้สารเคมีให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งจะให้ความหวานแต่ไม่ให้พลังงาน อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะสารให้ความหวานบางชนิดจะเป็นพิษต่อร่างกายหรือเป็นสารก่อมะเร็ง สารให้ความหวานที่ใช้อยู่ปัจจุบันนั้นยังได้รับอนุญาตให้ใช้อยู่ เพราะปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าสารนั้นเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ในอนาคตอาจพบว่าเป็นสารพิษเหมือนในอดีตที่เปลี่ยนสารให้ความหวานอยู่เสมอ เพราะพบว่าเป็นพิษก็เป็นได้

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-3.jpg

( ที่มารูป ::: http://www.chuankin.com/images/na_pictures/45_0001.jpg )

กรดคาร์บอนิกเป็นองค์ประกอบที่ทำให้น้ำอัดลมซ่า มีฟอง และมีรสเปรี้ยวอ่อนๆ กรดคาร์บอนิกนั้นได้จากปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้ความดันสูงบังคับ(อัด)ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ ได้ เพราะในสภาวะความดันปกติคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ละลายน้ำหรือทำปฏิกิริยา กับน้ำเลย แต่กรดคาร์บอนิกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เสถียร คือสลายตัวได้ง่ายในสภาวะความดันปกติ ยิ่งถ้ามีความร้อนด้วยจะยิ่งเร่งการสลายตัวให้เร็วยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายตัวของกรดคาร์บอนิกก็คือน้ำกับคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นเอง ดังนั้นจึงต้องเก็บน้ำอัดลมภายใต้ความดัน ก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า “น้ำอัดลม” เมื่อเปิดขวดออก ความดันสูงในขวดก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวออกมา ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดฟองนั่นเอง กรดคาร์บอนิกยังสามารถย่อยสลายหินปูนได้ จึงสามารถกัดกร่อนกระดูกและฟันได้เช่นกัน

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-4.jpg

( ที่มารูป ::: http://www.prfocus.co.th/images/news/1253087027-osteoporosis.jpg )


กรดฟอสฟอริก ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน
นอกจากจะทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแล้ว ยังทำให้นอนหลับยาก ฟันผุ อาจทำให้กระดูกพรุน
เนื่องจากฟอสเฟสไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-5.jpg

( ที่มารูป :::http://www.thai-antiaging.com/2008/userfiles/insomnia.jpg )


คาเฟอีนเป็นสารที่มีกลิ่นหอมและพบมากในชา กาแฟ เป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง เมื่อได้รับคาเฟอีน ร่างกายจะมีความต้องการคาเฟอีนมากขึ้น และถ้าหยุดบริโภคคาเฟอีนอย่างทันที อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนได้ การบริโภคคาเฟอีนมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดคาเฟอีนได้ ซึ่งจะปรากฏอาการต่างๆ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น หรือแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะทำให้มีรูปแบบการนอนที่ผิดแผกไปจากเดิม เด็กเหล่านี้จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืนและง่วงนอนในเวลากลางวัน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ลดลง


http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-6.jpg

( ที่มารูป ::: http://www.vibhavadi.com/backend/healthimages/n17img4.jpg )


กรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลม เมื่อมีการสลายตัวจะให้น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ดังปฏิกิริยา

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-7.jpg

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-8.gif


แนวทางในการดื่มน้ำอัดลมที่ถูกต้อง

http://board.postjung.com/data/642/642652-topic-ix-9.jpg

( ที่มารูป ::: http://mindandcare2u.com/49115_003.jpg )

1.ไม่ดื่มในปริมาณมาก เพราะ กาเฟอีน กรดฟอสฟอรัส น้ำตาล หรือแม้กระทั่งการเติม โซดาลงในน้ำอัดลมหลายชนิด เป็นตัวการทำให้
กระดูกเปราะเพราะสารอาหารเหล่านั้นจะเข้าไปขัดขวางร่างกายไม่ให้ดูดซึมแคลเซียม ทำให้กลไกในร่างกายต้องดึง
แร่ธาตุจำนวนมากที่จำเป็นต้องใช้ออกมาจากกระดูก ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน
2.ไม่ดื่มน้ำอัดลมระหว่างมื้ออาหารหลัก หรือดื่มในปริมาณน้อย
3.หลังดื่มน้ำอัดลม ควรบ้วนปากหรือแปรงฟันเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ
4.ไม่ควรดื่มบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ อาจทำให้กระเพาะเกิดแผลได้








แหล่งอ้างอิง
http://mindandcare2u.com/news.php-enews_id=ENEW0700082.htm
http://learners.in.th/blog/chem21/242087
http://krusub.net/unit5/unit505/unit505.html

miraclesaven
20th November 2012, 21:00
ถึงจะมีอันตรายต่อร่ายกาย... แต่ถ้าขาดไปก็แทบขาดใจเหมือนกันนะ ติดน้ำอัดลมสุดๆ เลย อย่างน้อยวันละกระป๋องก็ยังดี http://video.postjung.com/wwwsys/richtext2/emo/22.gif

jovkinm4
20th November 2012, 21:05
ผมวันละลิตรเลย ไม่น่าอยู่ถึงโลกเเตก :o

assist05
20th November 2012, 21:09
-.-

ผม อาทิตละ 2 3 ขวด ก็ตอนร้อนๆ เคลียดๆ กินแล้วมัน สดชื่นนนนนนนน

sexylove
20th November 2012, 21:11
ความรู้ๆเลยนะเนี่ยยยย:thank

hopmbnzatou
20th November 2012, 21:14
ผมไม่ได้ของพวกนี้มาเกือบๆ 2ปี ล่ะ - -* ทุกวันนี้ยังจำรสชาติไม่ได้เลย

Ditsadon
20th November 2012, 21:18
ไม่ได้แตะมันมา ปีกว่าแล้ว

ViCtiM 2 Die 4™
20th November 2012, 21:23
ความคิดผมนะครับ

"กินๆไปเหอะครับสิ่งที่เราชอบอ่ะ คนเราจะตายวันไหนก็ไม่รู้ คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าจะอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆปี"

aehrocker
20th November 2012, 21:36
กินโซดาเปล่าๆแทนครับ ผมชอบกินแทนน้ำ ทุกวันนี้ก็ยังกินไม่รู้จะอัตรายเปล่านะ เพราะมันสดชื้นดียิ่งกว่าน้ำอัดลมทั่วไปอีก :dance

007: BloodStone
20th November 2012, 21:48
ผมกินประมาณเดือนละขวดครับ แม่บอกว่ากินแล้วเตี้ย เลยไม่กิน 55

gameza2009
20th November 2012, 21:59
แต่ว่ามัน อร่อยอ่ะ 555+

kamonkom911
20th November 2012, 22:01
ผมว่า สปอนเซอร์สดชื่นกว่า

dickies0001
20th November 2012, 22:06
กินแก้กระหาย นานๆกินทีไม่เป็นไรหรอกมั้ง...

goblin2536
21st November 2012, 11:48
ไม่มีอะไรหยุดตูได้ 5 5 5

kimnaja
21st November 2012, 12:07
ดีนะเรากินชาเขียว