PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : น่าทึ่ง!!! John Titor มนุษย์อนาคตผู้ย้อนเวลามาจาก คศ. 2036 (ซ้ำ ก็ ขอโทษด้วย ครับ)



robinsonn
20th December 2012, 00:18
http://www.clipmass.com/upload/news/21/20735_full.jpg

หลายสิบปีที่ผ่านมา มีข่าวลือมากมายถึงเรื่องมนุษย์จากอนาคต ปรากฏกายขึ้นในโลกปัจจุบันหรือช่วง เวลาที่เป็นอดีตกาลของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจอห์น ไตเตอร์ นายทหารจากโลกอนาคตเดินทางย้อนเวลาตามหาเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM รุ่นแรก แอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน ผู้ใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์สร้างผลกำไรมหาศาลจากตลาดหุ้นและการลงทุน หรืออีลอย โคล เดินทางมายับยั้งการทดลองการสร้างหลุมดำจำลองที่นำไปสู่หายนะของโลกในอนาคต
เรื่องเล่าของคนเหล่านั้นเป็นที่กังขาของคนส่วนใหญ่เพราะขาดวัตถุหลักฐาน ยืนยัน จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีคนสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติในภาพ ถ่ายอายุ 70 ปีของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศแคนาดา เป็นภาพคนแต่งกายทันสมัยถือกล้องถ่ายภาพขนิดพกพายืนอยู่ท่ามกลุ่มคนและภาพ นี้ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบ แต่งแต่อย่างใด
http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503512/images/1_display.jpg


คอมพิวเตอร์กู้โลก

จอห์น ไตเตอร์ (John Titor) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในห้องพูดคุยสาธารณะแห่งหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2000 โดยครั้งแรกเขาได้ลงทะเบียนชื่อว่า “Timetravel_0” และได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “John Titor” ในภายหลัง

แน่นอนว่าชื่อ John Titor เป็นนามแฝง John เป็นชื่อสามัญเหมือนกับชื่อ สมชาย ของคนไทย ส่วน Titor เป็นคำย่อของคำว่า Time Travelor โดยเล่นคำสะกดพยางค์สุดท้าย Travelor ด้วย or แทนที่จะเป็น Traveler สะกดด้วย er



http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503513/images/1_display.jpg

เขา ออกตัวว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคตเมื่อปี 2036 ด้วยเครื่องย้อนกาลเวลาที่ผลิตขึ้นในปี 2034 โดยบริษัท GE (General Electronic) เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง จอห์นได้โพสต์ภาพถ่ายเครื่องย้อนกาลเวลา (Time Machine) และคู่มือการใช้งานเครื่องให้ทุกคนได้เห็น


http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503514/images/1_display.jpg

แน่ นอนว่าผู้คนที่เข้าร่วม วงสนทนาไม่เชื่อน้ำมนต์ของนายจอห์น ไตเตอร์ หลายคนพยายามยิงคำถามต่างๆนานาเพื่อจับผิดเขา แต่ดูเหมือนจอห์นจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แถมยังสอนมวยกลับมายังคนลองภูมิอีกด้วย

หลายๆคำถามที่จอห์น ไตเตอร์ ยิงกลับมายังผู้ร่วมสนทนา ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร แต่เมื่อไปค้นคว้าดูในภายหลังพบว่ามันล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์ชั้น สูงทั้งสิ้น อีกทั้งคำเตือนเรื่องจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคสมองฝ่อ (Mad Cow Disease) ได้เกิดขึ้นจริงในปี 2001 ทำให้หลายคนชักจะลังเล

ร่ำรวยด้วยความรู้ประวัติศาสตร์

เดือน มกราคม 2003 หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์ (Weekly World News) ตีพิมพ์ข่าวเจ้าหน้าที่ FBI บุกจับกุมตัวแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน (Andrew Carlssin) วัย 44 ปี ในข้อหานำข้อมูลลับภายในไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์

http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503517/images/1_display.jpg

สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Security and Exchange Commission) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายแอนดรูว์ โดยสงสัยว่าเขานำข้อมูลลับของบริษัทมหาชนต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ไปแสวงหาผล ประโยชน์ให้กับตนเอง เพราะแอนดรูว์สร้างความร่ำรวยในเวลาเพียงชั่วพริบตาด้วยการลงทุนเพียง 800 ดอลลาร์ซื้อหุ้นต่างๆแล้วขายออกไป นำเงินที่ได้กลับมาซื้อหุ้นตัวใหม่แล้วทำชอร์ตเซลขายออกไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเงินทุนเริ่มต้น 800 ดอลลาร์เพิ่มพูนขึ้นเป็น 350 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น


แอ นดรูว์รับสารภาพโดย ให้การว่าเขามีข้อมูลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะเขามาจากโลกอนาคตในปี 2556 เขาเพียงศึกษาประวัติศาสตร์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ นำความรู้ที่ได้ติดตัวเดินทางย้อนอดีตมาในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อช้อนซื้อ หุ้น

เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะลงทุนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต หากแต่ความโลภทำให้เขาหักห้ามใจไม่อยู่ เทเงินที่หามาได้ในช่วงแรกๆลงทุนซื้อหุ้นที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีราคา สูงขึ้น จนกระทั่งไปสะดุดตาเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ล.ต.

หายตัวอย่างลึกลับ

แอ นดรูว์หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างที่ตำรวจควบ คุมตัวขึ้นศาลพร้อมกับข่าวคราวการจับกุมตัวเขา ไม่มีสื่อใดๆเสนอข่าวนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และ FBI เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนปฏิเสธตรงกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน มาก่อน


http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503520/images/1_display.jpg

ปี 2006 แอนดรูว์โผล่ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์อีกครั้ง เขาไม่ยอมเปิดเผยว่าสามารถเล็ดลอดจากการควบคุมตัวมาได้อย่างไร โดยบอกแต่เพียงว่าตอนนี้เขาทำงานบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งใน แคนาดา

เช่นเคย เขาใช้ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ในยุคสมัยเขาล่วงรู้ว่า “ทรายน้ำมัน” (Tar Sands) เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่จะมาทดแทนบ่อน้ำมันตามที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา (Alberta Tar Sands) ของประเทศแคนาดาเพียงแห่งเดียว สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึง 3 แสนล้านบาร์เรล


http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503522/images/1_display.jpg

การ รีดน้ำมันออกมาจากทรายนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการขุดเจาะน้ำมันทั่วๆไป เขาต้องสร้างเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “คาร์ลส์ซินนิซิตี้” (Carlssinicity) เพื่อใช้ในการแยกน้ำมันดิบออกจากทราย โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ดอลลาร์ต่อ 1 บาร์เรลเท่านั้น

เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงหนังสือ พิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์เท่านั้นที่ลงเรื่องราวของแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน และหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนังสือพิมพ์ประเภทลงข่าวโคมลอย เพื่อความบันเทิง (Entertainment Tabloid) อย่างไรก็ตาม มันเป็นความบังเอิญอย่างน่าประหลาดที่ต่อมาในปี 2008 สำนักงานพลังงานหลายแห่งทั่วโลกยอมรับว่าสามารถแยกน้ำมันดิบออกจากทราย น้ำมันได้จริง ซึ่งมันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต และ ทรายน้ำมันอัลเบอร์ตาเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง


http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503523/images/1_display.jpg

หยุดยั้งโครงการหลุมดำ

เมื่อ ไม่กี่วันที่ผ่านมา หน่วยรักษาความปลอดภัยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปสามารถจับ กุมตัวอีลอย โคล (Eloi Cole) ระหว่างพยายามก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hardon Collider) ของห้องทดลองเซิร์น (European Organization for Nuclear Research; CERN) ซึ่งกำลังทำการทดลองสร้างหลุมดำจำลอง (Black Hole)


อี ลอยให้การว่าเขาลอบเข้ามาในห้องทดลองเพื่อหาแหล่งพลังงานให้กับเครื่องเดิน ทางข้ามเวลาของเขา และเตือนว่าการทดลองสร้างหลุมดำจำลองนี้นำไปสู่การสร้างแหล่งพลังงานที่มี อย่างไม่จำกัดในอนาคตอันเป็นการนำไปสู่หายนะของโลกในที่สุด

อีลอยยัง บอกอีกด้วยว่าเขาเองเป็นคนที่ก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ทำให้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดอันตราย ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหยุดการเดินเครื่องชั่วคราว

เหตุการณ์ในครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นเหตุคือเศษขนมปังชิ้นเล็กๆหลุด เข้าไป เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ โดยเข้าใจว่ามีนกคาบเศษขนมปังบินผ่านเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่แล้วทำเศษขนม ปังหล่นลงมา

ระหว่างที่อีลอยถูกควบคุมตัวในห้องขังเพื่อรอการส่งตัวไป ยังสถานบำบัดโรคทางจิต เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับบนสถานีตำรวจกลางกรุงเจนีวานั่นเอง


http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503525/images/1_display.jpg

หลักฐานชิ้นสำคัญ

เดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่าย เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่าย โดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดูเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941



http://statics.atcloud.com/files/comments/150/1503526/images/1_display.jpg

ท่าม กลางฝูงชนในภาพ มีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเขามีทรงผมล้ำสมัย สวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อน แต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพาที่ยังไม่ผลิตออก จำหน่ายในสมัยนั้น
ภาพ ถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่ายทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพ ถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่ง มันจึงถูกกล่าวขานว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่ามีคนจากอนาคตเดินทาง ย้อนเวลามาสู่อดีตจริง

ภาพ ถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ใน สังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใคร มาจากไหน ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหัก ล้าง ซึ่งผลการดีเบตระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป


หญิงปริศนาเดินคุยมือถือเมื่อ82 ปีที่แล้ว

ฮือฮา!! หญิงปริศนา ย้อนเวลา เดินคุยโทรศัพท์มือถือ ในหนัง ชาร์ลี แชปลิน



http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Y6a4T2tJaSU

บาง ครั้ง การย้อนเวลาสู่อดีตอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ หลังจากมีผู้พบเห็นภาพผิดยุคผิดสมัย ในภาพยนต์อมตะอย่าง ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) ที่ผลิตขึ้นในปี 1928 หรือเมื่อ 82 ปีที่ผ่านมา โดยภาพดังกล่าวปรากฎมีหญิงรายหนึ่ง เดินคุยโทรศัพท์มือถือ ทำเอาคนที่เห็นงงไปตามๆกัน

ฉาก นี้ปรากฎขึ้น เป็นฉากสวนสัตว์แห่งหนึ่งของฮอลลีวูด มีผู้หญิงสวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวก เดินถือโทรศัพท์มือถือ ขณะเดินผ่านฉากไป ความผิดยุคสมัยนี้ ไม่มีใครสังเกตมาก่อน ซึ่งนายจอร์จ คลาร์ก (George Clark) ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์ก็รู้สึกงงๆกับคลิปดังกล่าว ซึ่งเขานำไปให้หลายๆคนดู ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า ผู้ที่อยู่ในฉากคือใครกันแน่

ผู้ ชมที่เห็นคลิปดังกล่าวสันนิษฐานว่า อาจเป็นไปได้ว่า เธอกำลังฟังวิทยุพกพาแนบกับหูของเธอ แต่ก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าเธอพูดอยู่คนเดียวหรืออย่างไร บางคนบอกว่า เธอกำลังใช้วัตถุบางอย่างบังใบหน้าไว้ เพื่อซ่อนตัวเธอจากการถ่ายทำภาพยนตร์


http://news.mthai.com/wp-content/uploads/2010/10/article-1324132-0BC9AD02000.jpg

ลักษณะท่าทางของหญิงดังกล่าว เหมือนกับผู้ใช้โทรศัพท์ในยุคปัจจุบัน

ทั้ง นี้ เมื่อนำมือถือเครื่องแรกที่ผลิตขึ้นอย่างของโมโตโรล่า รุ่นวอลคกี้ ทอล์คกี้ ‘Walkie-Talkie ซึ่งผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1940 แต่กระนั้น ขนาดของมันก็ใหญ่ราวกับแขนมนุษย์เลยทีเดียว อีกทั้งยังผลิตขึ้นหลังจากที่ผลิตภาพยนตร์ดังกล่าวออกฉายกว่าสิบปี

นายคลาร์ก ยังคงต้องการคำตอบว่า ภาพดังกล่าวเกิดจากอะไร หรือหญิงปริศนาคนดังกล่าวจะเป็นผู้ที่อยู่ในอนาคตแล้วย้อนเวลาไปยังยุคนั้นได้

บางส่วนจากบทสนทนากับ John Titor

What are your memories of 2036?
I remember 2036 very clearly. It is difficult to describe 2036 in detail without spending a great deal of time explaining why things are so different.

In 2036, I live in central Florida with my family and I'm currently stationed at an Army base in Tampa. A world war in 2015 killed nearly three billion people. The people that survived grew closer together. Life is centered on the family and then the community. I cannot imagine living even a few hundred miles away from my parents.

จอห์น กล่าวว่า ในปี 2015 จะสงครามโลกครั้งที่ 3 และคนจะตายเกือบ 3,000 ล้านคน
คนที่เหลือรอดอยู่จะอยู่กระจัดกระจายกันไปเป็นกลุ่มชนรุ่นใหม่

Does anything happen in the year 2012? I've heard stories about the world ending.
In my 2012, I was 14 years old spending most of my time living, running and hiding in the woods and rivers of central Florida. The civil war was in its 7th year and the world war was three years away. Yes, there are unusual events in 2012 but they do not cause the world to end. Unfortunately, I have decided not to discuss events that you or I can do anything about. It is important that they be a surprise. Perhaps you are familiar with the story of the Red Sea and the Egyptians?

ถามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในปี 2012 ทีว่ากันว่าจะเป็นปีสิ้นโลกหรือไม่ จอห์นตอบว่า ในปี 2012 เขามีอายุ 14 ปี ใช้ชีวิตดูเเหมือนปกติทั่วไป จะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอนแต่ไม่ทำให้สิ้นโลก แต่เขาไม่บอกว่าจะเกิดอะไร อยากให้รอดูเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ บอกให้นึกถึงเหตุการณ์ทะเลแดงที่เกิดกับชาวอียิปต์ในยุคโบราณ (ตามเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล) สรุปคือ 2012 โลกไม่แตก

ที่ มา http://www.clipmass.com/story



"ความเห็น จาก ethanhunt ใน Clipmass"
น่าแปลกไหมครับที่ จอห์น ไตเตอร์ บอกว่า ปี คศ. 2015 จะเกิดสงครามโลกครั้งที่3 !
กับ เด็กชายปลาบู่ ที่เตือนไว้ว่า อีก 40ปี (นับจากปี พ.ศ. 2517) จะเกิดสงครามนิวเคลียร์
ถ้าเอามาเทียบๆกันดู คศ. 2015 กับ พ.ศ. 2557 มันห่างกันแค่1ปีเองนะครับ แล้วถ้าผมเดาสุ่มๆ เช่นเวลาของต่างประเทศ กับบ้านเรา ถ้า ณ. มุมใด มุมหนึ่งของโลก ซึ่งเกิดเรื่องขัดแย้งกันในเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะข้ามปีล่ะครับ!!มันจะพอเป็นไปได้ไหมนิ ผมติดตามและพยายามหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากๆเลยนะครับ


ความเห็นส่วนตัว. แต่ผม ก็ งงนะ ครับ ในเมื่อเขาบอก ว่า ปี 2012เขา อายุ 14 แล้ว ถ้า ย้อนเวลไป ตอน ปี 2000 เขา โตแล้ว หรอ ? หรือมันแบ่งเป็นช่วงเวลาได้ ? 0.0000001 วินาที คือ 1 ช่วงเวลา หรอ? เขาย้อนมา ปี 2000 งั้น ก็ ต้องมี อีก คน สิ

Nanasu_Yoru
20th December 2012, 00:25
ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน แต่อ่านแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆเหมือนกันแฮะ

robinsonn
20th December 2012, 00:31
ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน แต่อ่านแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆเหมือนกันแฮะ

ต้อง สืบ อีก ครับ 555

binistoy
20th December 2012, 00:31
อ่านแล้วรู้สึกหลอนๆเหมือนกันนะเนี้ย ถ้างี้ ผมจะย้อนเวลามาถูกรางวัลที่ 1 เลย ฮร่าๆ ขำๆนะครับ

binistoy
20th December 2012, 00:34
ถ้างี้บุคคลที่มาจากโลกอนาคตก็ทำให้พวกเรารู้ได้อย่างหนึ่งว่า 2012 โลกไม่แตกแน่นอน
เพราะถ้าเป็นยุคนี้ก็ยังไม่เกิดการย้อนเวลาได้แน่นอน

วิชาการสุด ๆ 55

robinsonn
20th December 2012, 00:42
แต่ หลอนๆ 2015 เนี่ย สิ - -* โลกไม่แตก มนุษย์ จะมา ฆ่า กันเอง

lgorakoj
20th December 2012, 00:43
http://www.hellfactory.org/bekung/animu/sg/suzuha.jpg

นี่ตะหาก John Titor *-*





ส่วนนี่ก็.... จอห์น ชาวไร่...


http://www.youtube.com/watch?v=AbTGNfUALIA
แถมๆ555

robinsonn
20th December 2012, 00:44
http://www.hellfactory.org/bekung/animu/sg/suzuha.jpg

นี่ตะหาก John Titor *-*

สงสัย เขา ชอบ Anime มั้ง ครับ 555

ChaninKung
20th December 2012, 00:46
งานLHC เป็นงานค้นหาอนุภาคเฉยๆไม่ใช่เหรอครับ

ถ้าบอกสร้างหลุมดำได้นี่สิแปลก แล้วก็เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เค้าก็ได้ค้นพบ

Higg Bosonด้วย(อนุภาคพระเจ้าซึ่งเป็นชื่อใช้เรียกแทนเท่านั้น)

ผมว่ามันเริ่มแปลกๆแล้วนะ เพราะ เครื่องเร่งอนุภาค แค่เร่งความเร็วของตัวนิวเครียสเฉยๆ

ชนกันแล้วแค่แตกกระจายเฉยๆ ถ้าเกิดหลุมดำได้ผมว่าคงเกิดนานแล้วละ:)

Death_Backers
20th December 2012, 00:47
อ่านแล้วนึกถึง โดเรม่อน

robinsonn
20th December 2012, 00:50
งานLHC เป็นงานค้นหาอนุภาคเฉยๆไม่ใช่เหรอครับ

ถ้าบอกสร้างหลุมดำได้นี่สิแปลก แล้วก็เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เค้าก็ได้ค้นพบ

Higg Bosonด้วย(อนุภาคพระเจ้าซึ่งเป็นชื่อใช้เรียกแทนเท่านั้น)

ผมว่ามันเริ่มแปลกๆแล้วนะ เพราะ เครื่องเร่งอนุภาค แค่เร่งความเร็วของตัวนิวเครียสเฉยๆ

ชนกันแล้วแค่แตกกระจายเฉยๆ ถ้าเกิดหลุมดำได้ผมว่าคงเกิดนานแล้วละ:)

ผม ว่า เขา ทำหลุม ดำนะ แต่ เป็น ขนาด จิ๋ว เกิด ขึ้น แค่ แว๊บ เดียว แล้ว ก็ จะ จางหายไป (ผมดู มิติโลกหลังเที่ยงคืน -0-)

Tummy Gamic
20th December 2012, 01:02
2015 มันอาเซี่ยนพอเลยนิ เกี่ยวมั้ยเนี่ย :sweat

jar32402
20th December 2012, 01:04
ที่แน่ๆ ปี 2012 โลกไม่แตก ซิน่ะ

Oonkill
20th December 2012, 01:06
งานLHC เป็นงานค้นหาอนุภาคเฉยๆไม่ใช่เหรอครับ

ถ้าบอกสร้างหลุมดำได้นี่สิแปลก แล้วก็เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เค้าก็ได้ค้นพบ

Higg Bosonด้วย(อนุภาคพระเจ้าซึ่งเป็นชื่อใช้เรียกแทนเท่านั้น)

ผมว่ามันเริ่มแปลกๆแล้วนะ เพราะ เครื่องเร่งอนุภาค แค่เร่งความเร็วของตัวนิวเครียสเฉยๆ

ชนกันแล้วแค่แตกกระจายเฉยๆ ถ้าเกิดหลุมดำได้ผมว่าคงเกิดนานแล้วละ:)



วิทยาศาสตร์จากเครื่อง LHC
สิ่งที่เราจะได้จากการทดลองนี้คือการทดสอบทฤษฏีและการค้นหาหลักฐานเพื่อนำไปสู่ทฤษฏีใหม่ที่สมบูรณ์มากขึ้น ขอยกหัวข้อต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง
- การค้นหาว่ามวลคืออะไร มาจากไหน มวลในภาษาชาวบ้านก็คือเนื้อสสาร ซึ่งต่างจากน้ำหนักที่เกิดจากแรงดึงดูดของโลก เมื่อเราออกไปอยู่นอกโลกเราก็สามารถอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักได้ แต่ยังมีมวลอยู่ นักฟิสิกส์คิดกันว่ากลไกที่ทำให้เกิดมวลคือกลไกของฮิกก์ Higgs Mechanism แต่ที่ผ่านมาเราไม่สามารถทดสอบและยืนยันได้เนื่องจากระดับพลังงานไม่สูงพอ แต่วันนี้ LHC มีพลังงานที่น่าจะสูงพอสำหรับทดสอบกลไกของฮิกก์ และศ้นหาอนุภาคที่ชื่อว่า Higgs Boson
- การค้นหาแม่เหล็กขั้วเดี่ยว (Magnetic Monopole) ในทางทฤษฏีเราเชื่อกันว่ามีแม่เหล็กขั้วเดี่ยว แต่เราไม่เคยพบในธรรมชาติ แม่เหล็กปกตินั้นจะมีสองขั้ว คือเหนือและใต้ หากนำมาหักเป็นสองท่อน แต่ท่อนก็จะกลายเป็นแท่งแม่เหล็กเหนือใต้เหมือนเดิม เพียงแต่ขนาดเล็กลง ไม่ได้กลายเป็นขั้วเหนือและใต้เดี่ยวๆแยกจากกัน ไม่ว่าจะหักเป็นท่อนเล็กๆสักกี่ครั้งก็ตาม ซึ่งต่างกับกรณีของประจุไฟฟ้าที่เราพบประจุบวกและลบแยกเป็นอิสระจากกันได้ นักฟิสิกส์หลายคนหวังว่าในระดับพลังงานที่สูงมากของ LHC เราอาจจะสร้างแม่เหล็กขั้วเดี่ยวได้ ซึ่งจะช่วยคลี่คลายปริศนานี้
- อื่นๆเช่น การค้นหาอนุภาคใหม่ๆ การวัดมวลของควาร์กให้แม่นยำมากขึ้น การศึกษามิติเสริม (extra dimension) การหาแนวทางรวมทฤษฏีควอนตัมและทฤษฏีสัมพัทธภาพเข้าด้วยกัน เป็นต้น


หลุมดำ
เรื่องนี้จริงๆไม่ใช่ประเด็นหลักของการทดลองในครั้งนี้ แต่มีหลายคนคิดไปว่าพลังงานของ LHC อาจจะสูงมากพอจนทำให้เกิดหลุมดำขนาดจิ๋วดูดกลืนโลกเข้าไป ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังต่อไปนี้
- ทฤษฏีที่ได้รับการยอมรับและพิสูจน์แล้วในปัจจุบันนั้นเชื่อว่าระดับพลังงานของ LHC ไม่น่าจะสูงพอให้เกิดหลุมดำได้ แต่ก็มีทฤษฏีใหม่ๆที่ถูกเสนอขึ้นมาที่เชื่อว่ามีกลไกพิเศษบางอย่างที่อาจจะทำให้เกิดหลุมดำได้ เช่น บางทฤษฏีเสนอว่ามีมิติเสริม (นอกเหนือไปจาก 3 มิติของอวกาศ และ 1 มิติของเวลา) ที่สามารถช่วยให้หลุมดำเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ทฤษฏีใหม่ๆเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ (หากเกิดจริงก็จะเป็นการพิสูจน์ไปในตัว)
- หลุมดำจิ๋วนี้ต่างจากหลุมดำที่เราคุ้นเคย หลุมดำที่เราคุ้นเคยและนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีอยู่จริงคือหลุมดำขนาดใหญ่ในใจกลางกาแลกซี่ มีมวลมหาศาลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา หากเรายุบดวงอาทิตย์ให้เล็กลงจนเหลือขนาดเท่ากำปั้น มันก็จะกลายเป็นหลุมดำที่ดูดทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้น หากเริ่มต้นจากอนุภาคเล็ก หลุมดำจิ๋วที่อาจจะเกิดขึ้นก็ต้องมีขนาดเล็กมาก โดยขนาดเล็กสุดที่เกิดขึ้นได้คือ 10-35 เมตร (หนึ่งในล้านล้านล้านล้านล้านล้านเท่า ของ 1 เมตร) วัตถุต้องอยู่ในระยะประมาณ 10-35 เมตร จากใจกลางหลุมดำจิ๋ว จึงจะโดนดูดเข้าไป ด้วยขนาดที่เล็กมากทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ทะลุวัตถุต่างๆ (รวมถึงตัวเรา) โดยไม่ส่งผลใดๆ และหากมันอยู่นิ่งกับที่ก็จะใช้เวลาหลายพันล้านปีกว่ามันจะเริ่มสะสมมวลจนมีขนาดใหญ่ขึ้นขนาดสามารถดูดโลกเข้าไปได้อย่างที่หลายคนกลัว
- หลุมดำจิ๋วที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเสถียรและควรหายไปภายในพริบตา (ต่างจากหลุมดำขนาดใหญ่ในใจกลางกาแลกซี่) กลไกที่ทำให้หลุมดำจิ๋วสลายตัวคือการแผ่รังสีของฮอร์กิ้ง (Hawking’s Radiation) ที่ปลดปล่อยพลังงานและอนุภาคออกมาหลุมดำ หากเกิดหลุมดำขนาดจิ๋วจริงก็จะเป็นการพิสูจน์ทฤษฏีของฮอว์กิ้งไปในตัว และจะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้ตรวจวัดอนุภาคที่แผ่ออกมาจากหลุมดำ
- รังสีคอสมิก (cosmic ray) หรืออนุภาคพลังงานสูงจากอวกาศมีพลังงานสูงกว่า LHC มากและตกกระทบโลกอยู่ตลอดเวลา หากมีกลไกที่ทำให้เกิดหลุมดำจิ๋วจริง มันก็ควรเกิดอยู่ตลอดเวลาในชั้นบรรยากาศโลกเนื่องจากการชนของรังสีคอสมิก แสดงว่าหากมันเกิดขึ้นได้ มันก็ไม่เป็นอันตราย

สรุป หลุมดำอาจจะเกิดขึ้นได้และอันตรายถ้า...
ถ้าที่ 1. ถ้ามีกลไกพิเศษนอกเหนือไปจากทฤษฏีที่ยอมรับกันในปัจจุบัน ทำให้มันเกิดได้ที่ระดับพลังงานของ LHC
ถ้าที่ 2. ถ้าทฤษฏีของฮอว์กิ้งผิด หลุมดำจิ๋วเกิดแล้วไม่สลายตัวไป
ถ้าที่ 3. ถ้ามีกลไกพิเศษที่ช่วยให้หลุมดำเกิดขึ้นในปริมาณมากๆ (ไม่ใช่แค่หลุมเดียว)
ถ้าที่ 4. ถ้าหลุมดำที่เกิดขึ้นยังวนเวียนอยู่ในอาณาบริเวณของโลกของเราเป็นเวลานานๆ หลายพันล้านปี ไม่เคลื่อนที่ทะลุออกไปเสียก่อน
แต่จากเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น นักฟิสิกส์เชื่อว่าอันตรายจากหลุมดำฝีมือมนุษย์นั้นไม่มี

oBenjungo
20th December 2012, 01:27
น่าสนใจดีครับ สำหรับ การย้อนเวลา แต่สงครามโลก มีคนได้อ่านกันแล้ว เค้าก็คงไม่ตีกันแล้วมั้ง *-*

John Marston
20th December 2012, 08:44
ผมว่าไม่น่ามีนะเครื่องย้อนเวลาส่วนตัวผมๆไม่เชื่อครับ

nookza86
20th December 2012, 08:54
น่าติดตาม ยิ่งอ่านยิ่งอยากอ่าน

sydyon
20th December 2012, 09:18
อะไรก็เกิดขึ้นได้

มนุษย์น่ะฉลาดนะ

คนที่ฉลาดจนเหลือเชื่อ แบบว่า เราๆไม่เคยเห็น ก็มี (ส่วนมากจะเป็นคนยุโรป)

worakorn3
20th December 2012, 11:05
อ่านแล้ว ทำให้อ่านตามจนจบ ไม่รู้ทำไมผมชอบเรื่องแบบนี้จัง ถึงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็เถอะ

peamchery
20th December 2012, 11:21
มันเป็นไปได้ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=IXSo05l_bb0

tstzxcv12
20th December 2012, 11:43
บอกตรงๆนะครับผมว่าคนเราไม่สามารถย้อนเวลาได้หรอกครับมันดู.. ยุ่งยากไปที่ทำได้อะนะ คิดดูสิมันเหมื่อนเราคุมทุกอย่างบนโลกไม่สิจักรวาลเลยยกเว้นเราตอนที่กำลังย้อนวลาให้ถอยกลับมันดูยิ่งใหญ่ไปไหม ไม่รู้สิมันรู้สึกแบบคล้ายๆกับพวกเรื่อง ภูติ ผี ปีศาจ อะไรพวกนั้นเละ

DKZodiac
20th December 2012, 12:09
ถ้าย้อนกลับไปซัก 200 ปี คงไม่มีใครเชื่อว่า มนุษย์จะสามารถบินบินฟ้าได้ สามารถไปเหยียบ ดวงจันทร์ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ มนุษย์เราทำได้ทุกอย่าง คำถาม ปริศนาทุกอย่าง
มันมีคำตอบ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่จะค้นพบมัน

reconnang
20th December 2012, 12:17
อ่านเพื่อความบัญเทิง ตัดแต่งเนียนๆก็หลอกคนได้ทั้งโลก .... ยกตัวอย่าง เนสซีในทะเลสาบ ทุกวันนี้เขาใช้โซน่าค้นหาทั่วทะเลสาบ หาเป็นสิบๆรอบยังไม่เจอ :o

Mercury
20th December 2012, 15:09
ความเห็นส่วนตัว. แต่ผม ก็ งงนะ ครับ ในเมื่อเขาบอก ว่า ปี 2012เขา อายุ 14 แล้ว ถ้า ย้อนเวลไป ตอน ปี 2000 เขา โตแล้ว หรอ ? หรือมันแบ่งเป็นช่วงเวลาได้ ? 0.0000001 วินาที คือ 1 ช่วงเวลา หรอ? เขาย้อนมา ปี 2000 งั้น ก็ ต้องมี อีก คน สิ
ก็ตอนปี 2036 เขาอายุ 38 ถ้าย้อนกลับมาในปี 2000 ซึ่งเขาอายุ 2 ขวบ มันก็ต้องมีอีกคนอยู่แล้วนิครับ คนๆเดียวกันอยู่ในที่เดียวกันเวลาเดียวกันแต่ต่างอายุ แล้วก็ต้องมีคนคิดไปถึงต่างมิติ ส่วนตัวผมเชื่อว่าเราย้อนเวลาได้นะ ไม่แน่อาจจะเป็นคนไทยนี่แหละที่พบ อนาคตมันกำหนดไม่ได้นี่เนอะ

champ1780
20th December 2012, 15:25
โลกเรายังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะยิ่งค้นหายิ่งลึกซึ้ง
ผมว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้นะถ้าคนเราจะทำกันจริงๆ อย่างส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์

ปล. ความคิดผมน่ะ !