PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : เรื่องเล่าจากความมืด ตอนที่ 3



kabukiput
4th January 2013, 20:29
ตอนที่ 3 ของซีรี่ย์"เรื่องเล่าจากความมืด"ครับผม ขออภัยจริงๆที่แต่งช้าเผอิญว่ามีงานเข้ามาเยอะครับผม บวกกับไม่มีพล๊อตเรื่องจะเขียนด้วยก็เลยออกตอนที่3ช้ามาก แต่ยังคงคอนเซปเดิมครับผม คือมีเค้าโครงมาจากเรื่งอจริงครับผม เป็นอย่างไรติดตามอ่านในตอนที่สามนี้ได้เลยครับผม


เรื่องเล่าจากความมืด ตอน "เพื่อนตาย"
“วุฒิเอ๊ย!!! เก็บของเสร็จรึยังลูก เดี๋ยวไปไม่ทันรถนะ”
เสียงแม่ผมตะโกนมาจากข้างล่างเพื่อเตือนให้ผมรีบเก็บกระเป๋าของตัวเองให้เรียบร้อย เพื่อให้ผมเดินทางไปสถานีรถไฟได้ทัน
“ครับผม ใกล้แล้วครับแม่”
ผมยกกระเป่าลงมาด้านล่างเพื่อรอเวลาและรอรถมารับไปสถานีรถไฟ ผมมีแพลนมาตั้งแต่ช่วงก่อนปิดเทอมแล้วว่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมยายซักครั้งหลังจากที่ไม่ได้กลับไปนานพอสมควร คิดถึงวันเก่าๆที่เคยวิ่งเล่นแถวบ้านยาย บรรยากาศต่างจังหวัดทำให้ผมหวนนึกถึงวันเก่า
ผมนั่งรถแท๊กซี่จนมาถึงหัวลำโพง ประตูสู่ภูมิภาคของประเทศ เหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมง โอเค ผมยังพอมีเวลาหาอะไรลงท้องไม่ให้หิวก่อนนอนคืนนี้ ผมลากกระเป๋าไปที่ร้านอาหารจานด่วนร้านหนึ่งเพื่อสั่งอาหารกินรอเวลา ผมค่อนข้างหัวเสียเพราะพนักงานร้านสงสัยพึ่งจะเข้ามาทำ เพราะสั่งอะไรไปก็งง ผมนั่งกินได้ซักครู่ ก็มีโทรศัพท์เข้ามา
“ฮัลโหลครับ” ผมตอบรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล วุฒิใช่ป้ะ”
เสียงหนึ่งดังผ่านมาตามสาย เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันคือเสียงของเพื่อนเก่าที่ผมสนิทที่สุดเลยทีเดียว
“เอ้ย ว่าไงวะแต้ เป็นไงบ้าง” ผมถามความเป็นอยู่ของเพื่อนรัก
“สบายดี แล้วแกล่ะ” แต้ถามผมกลับมา
“ก็ดีว่ะ เออ ได้ข่าวว่าแกจะมาบ้านยายใช่ป้ะ”
“ใช่อ่ะ กำลังจะเดินทางคืนนี้ น่าจะถึงพรุ่งนี้สายๆน่ะ”
“เออๆ งั้นเดี๋ยวคืนนี้เราจะไปรอแกที่บ้านยายเราแล้วกัน เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้”
พอผมคุยกับแต้เสร็จ ก็ใกล้เวลาที่ผมจะต้องขึ้นรถพอดี ผมลากกระเป๋ามาที่ชานชะลา ผมเดินหาที่นั่งของตัวเอง พอผมได้ที่นั่งก็จัดการสิ่งของทั้งหมดให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบหูฟังออกมานั่งฟังแล้วเผลอหลับไป

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึกในป่า ขณะนี้รถไฟกำลังอยู่ในเขตอำเภอปากช่อง ผมงัวเงียเล็กน้อยก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา ระหว่างที่อยู่บนรถผมก็นึกถึงเรื่องเล่าของยายขึ้นมาซะอย่างนั้น กลางดึกเลยทีเดียว ซึ่งยายเล่าว่าสมัยก่อนที่สถานีรถไฟอำเภออุทุมพรพิสัยนั้น เมื่อก่อนเคยมีคนตกรถไฟแล้วโดนรถไฟทับขาดครึ่ง แต่ยังไม่ตาย จนตัวเองร้องให้คนช่วย แต่พอมีคนบอกว่าจะช่วยได้ยังไง ตัวขาดสองท่อนขนาดนี้ หญิงคนนั้นก็ตายไปเลย แล้วหลังจากนั้นก็เอาศพห่อใส่เสื่อแล้วไปทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย เหอะๆ น่ากลัวแฮะ แล้วดันคิดขึ้นมากลางดึกขณะที่คนอื่นนอนแล้ว อาจจะเจอก็ได้นะเนี่ย แต่ช่างมันเถอะ แล้วหลังจากนั้นผมก็นั่งฟังเพลงอ่านหนังสือจนหลับไป

“ชิบเป๋งแล้ว”
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กน้อย ผมมองไปนอกหน้าต่างเพื่อดูว่าข้างนอกเป็นยังไง ผมถึงที่ไหนแล้ว
“อ้าว ห้วยทับทันแล้วนี่หว่า”
ผมรีบเก็บของทั้งหมดที่เอาออกมาจากกระเป๋าใส่คืนที่เดิมก่อนจะเตรียมตัวแบกกระเป่าไปรอที่ประตู เพราะมันเข้าเขตอำเภออุทุมพรพิสัยแล้ว ในที่สุดผมก็ใกล้จะถึงบ้านยายแล้ว

เอาล่ะผมมาถึงที่บ้านแล้วแต่วันนี้แปลกๆ ยายไม่อยู่บ้าน ทั้งๆที่ปกติแกจะอยู่บ้านตลอด สงสัยยายออกไปตลาดมั๊ง คงจะรู้ว่าผมมาถึงเลยจะออกไปซื้อของที่ผมเคยชอบมาให้กิน แต่แปลก รถกระบะของลุงยังจอดอยู่ที่บ้าน ผมจึงเดินเข้าไปในบ้าน
“อ้าว มาถึงเมื่อไหร่เนี่ยทำไมไม่รู้เลย” ลุงกล่าวทักทายผม
“พึ่งถึงเมื่อกี๊เองลุง วุฒิพึ่งลงรถมาเอง”
“ยายไปข้างนอกน่ะ บ่ายๆถึงจะกลับจะกินอะไรก็หาเอาเองนะ เดี๋ยวลุงจะออกไปข้างนอก”
“อ่าครับผม”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ลุงก็ขึ้นรถกระบะแล้วขับออกจากบ้าน ผมจึงเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องนอน แล้วก็มาเอนตัวที่โซฟาไปจนเที่ยง
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความหิวจึงกะว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก แต่นึกขึ้นได้ว่าแต้น่าจะมาบ้านยายมันแล้ว ผมจึงเดินไปหามันที่บ้านยายของมัน
“ไม่อยุ่แฮะ สงสัยออกไปปั่นฟิกมั๊ง”
ผมจึงเดินไปที่อื่น แต่ก็โทรหามันเผื่อจะตามไปสมทบกับมันทีหลัง
“เฮ้ย แปลกเว๊ย ปกติไม่เคยปิดโทรศัพท์นี่หว่า”
ผมแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะความหิวผมจึงไม่ได้สนใจแล้วเดินออกไปหาอะไรกินแทน

คืนนั้นผมนั่งคุยเรื่องๆเก่าๆกับยายไปเรื่อย แต่จู่ๆความคิดนึงก็ผุดขึ้นมา ผมถามเรื่องผีสถานีรถไฟไป แล้วยายก็เล่าให้ฟังจนผมง่วง ผมเลยขอตัวไปนอน แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับแฮะ มันค้างคา ผมจึงรอจนดึกๆ จนช่วงตี2 ผมจึงควบรถมอเตอร์ไซออกไปเพื่อไปนั่งรอดูที่สถานีรถไฟว่ามีจริงมั๊ย ผมนั่งอยู่จนเกือบจะตี3ครึ่ง จนนายสถานีที่เข้าเวรออกมาทัก
“มานั่งทำไมคนเดียวเนี่ยหนุ่ม” เขาถามผม
“อ่อ ผมกะจะมานั่งรอดูเรื่องในตำนานอ่ะคับ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เคยมีคนเล่าว่าเคยมีคนโดนรถไฟทับตายที่นี่อ่ะคับ”
ผมเล่าให้เขาฟัง เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับม
“มันมีจริงหรอ ไม่ใช่เขาไปเกิดแล้วรึไง”
“ไม่แน่ใจครับ แล้วน้าไม่เคยเจอหรอครับ” ผมถามกลับไป
“ไม่รู้สิ น้ามาทำงานตั้งนานยังไม่เคยเจอเลย”
หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่สถานี โดยที่ผมนั่งอยู่คนเดียว จนเกือบเช้า ผมจึงขับรถไปหาอะไรกินในตลาด ผมทำอย่างนี้อยู่สามคืน แต่ไม่ได้อะไรเลย ผมจึงคิดจะเลิกความตั้งใจ จนคืนนึงผมเจอแต้อยู่ที่ข้างโรงพยาบาล ผมจึงชวนมันไปดูด้วยคืนนี้(คืนที่4)
คืนนั้นตี2กว่าผมจึงเอารถออกไปหามันที่บ้านยายของมัน โดยที่มันปั่นฟิกเกียร์อยู่หน้าบ้านอยู่แล้ว จากนั้นผมขับรถไปสถานีรถไฟ คืนนี้นายสถานีหลับไปแล้วคืนนี้จึงเงียบที่สุด แต้จึงถามผมขึ้นมา
“แกแน่ใจนะว่ามันมีอยู่จริง”
“เชื่อดิมันมี ถ้าที่นี่ไม่มีเดี๋ยวเราค่อยไปหน้าโรงพยาบาล มันเป็นตัวเดียวกัน”
“ทำไมวะ ก็เขาบอกว่า ชาวบ้านน่ะ เอาศพห่อใส่เสื่อแล้วเอาไปทิ้งไว้ที่หน้าโรงบาล หลังจากนั้นไม่นานสามล้อที่ผ่านแถวนั้นก็มีคนเคยรับขึ้นรถมา มันบอกให้ไปส่งที่หน้าวัดประชานิมิต แต่พอไปถึงก็ไม่มีใครอยู่บนรถเลย แกว่าหลอนมั๊ยล่ะ”
“เออจริงด้วยว่ะ แต่ไม่ใช่มันไปเกิดแล้วหรอวะ”
“ไม่รู้ดิ ยังไงก้ต้องอยู่ดูว่ะ”
เรานั่งจนเกือบตี3กว่าๆ พวกเราจึงพากันไปที่หน้าโรงพยาบาล ซึ่งตอนนี้ใหญ่โต มีไฟฟ้าส่องสว่างตลอด ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนมากที่เป็นอนามัยเล็กๆ ไฟไม่ค่อยมี เราจึงจอดรถที่หน้าโรงพยาบาลแล้วจอดซุ่มดู เราดูอยู่จนเกือบเช้าแต่ก็ไม่มี ผมจึงขับรถมอเตอร์ไซไปส่งแต้ที่บ้านแม่มัน
“เออ พรุ่งนี้เราจะกลับแล้วนะ เดี๋ยวไปเดินเล่นก่อน”
“แล้วแกจะไปไหนต่อเนี่ย” มันถามจุดหมายปลายทางของผม เพราะผมคงยังไม่อยากเข้าบ้าน
“เรากะว่าจะไปกินชาร้อนร้านแปะในตลาดหน่อยอ่ะ คิดถึงสมัยก่อน”
“แกจะบ้าหรอวะ ร้านแปะแกปิดไปตั้งนานแล้ว แกแก่มากแล้วแกคงจะขายหรอก ขายตั้งแต่ก่อนตาของแกเสียซะอีก”
“หรอวะ เออๆ เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกลับมาเก็บของเตรียมกลับ ไปส่งเราด้วยล่ะคืนนี้”
“เออๆ ได้ๆ ยังไงซะวันนี้อ่ะ แกไปไหนกับยายบ้างก็ได้นะ”
ผมค่อนข้างแปลกใจกับคำพูดมัน แต่ก็ ช่างมันเถอะ ผมบอกลามันก่อนจะไปหาชาร้อนกินก่อนเข้าบ้าน แล้วซมซานกลับมานอนด้วยความเหนื่อย

จนถึงช่วงบ่าย ยายปลุกให้ผมไปอาบน้ำแต่งตัว เพรายายจะพาไปวัด ไปทำไมไม่รู้ผมได้ยินไม่ถนัด ผมจึงลุกไปอาบน้ำ
ยายพาผมไปที่ศาลาวัดประชานิมิตเพื่อไปงานศพใครซักคน ผมเดินเข้าไป แต่พอผมหันดูรอบๆ ผมเห็นน้าน้อยแม่ข้องแต้นั่งอยู่ ผมจึงสวัสดีท่าน และหันไปเห็นเพื่อนของแต้ คนรู้จัก ผมยิ่งแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม ยายเลยบอกให้ผมไปไหว้ศพก่อน ผมจึงเดินเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า เป็นโลงศพของคนๆนึง คนที่ทำให้จู่ๆน้ำตาของผมก็ไหลออกมา ผมทรุดลงนั่งด้วยความตกใจโดยที่น้ำตายังไหลอยู่ ภาพข้างโลงนั่น เป็นรูปของ"แต้"เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดที่นี่ ผมทำอะไรไม่ถูก ผมไม่ยอมพูดกับใคร จนคนรอบข้างเข้ามาปลอบใจ แต่ผมไม่ได้เศร้า ผมแค่ช๊อก

จากนั้นน้าน้อยจึงเล่าให้ฟัง ว่าคืนที่ผมอยู่บนรถไฟ แต้มันรีบกลับมาจากศรีสะเกษ มันจึงขับรถมอเตอร์ไซมาเพื่อที่จะมานอนที่บ้านยายของมัน แต่ระหว่างทางที่กำลังจะถึงบ้าน ตรงสามแยกใกล้ๆปั๊มน้ำมัน มันโดนรถกระบะเฉี่ยวจนตกถนนไป แล้วไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล วันนี้จึงเป็นวันที่ผมเสียใจที่สุด ผมนั่งนิ่งอยู่คนเดียว ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืนว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมแต้จึงมาหาผม แล้วทำไมต้องเป็นอย่างนี้
“กลับบ้านเถอะลูก อย่าไปเสียใจเลย แต้มันไปดีแล้ว กลับไปเก็บของเตรียมตัวดีกว่า แล้วอย่าไปคิดมาก”
ยายพยายามปลอบผม ผมหันมองหน้ายายด้วยแววตาไร้ชีวิต ก่อนจะลุกขึ้นแล้วไปขึ้นรถกลับบ้าน

คืนนั้น ผมนั่งจ้องมองท้องฟ้าอันมืดมิดด้วยความเศร้าใจ ผมเหมือนเสียคนสำคัญของโลกไปคนหนึ่งตลอดกาลโดยที่ไม่มีวันไปขวางได้เลย ผมเผลอหลับไป แล้วฝันว่า แต้มาหาผมบนรถไฟ สีหน้ามันตอนนี้ดูมีความสุขมาก มันยืนยิ้มให้ผมอยู่ตรงทางเดิน ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหามัน มันยิ้มให้ผมแล้วพูดกับผม
“วุฒิ ขอบใจนะเว่ยเพื่อน ที่แกทำให้เรามีความสุข วันเก่าๆของเราถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีแล้วกันนะ เรามาส่งแกแล้ว เดินทางปลอดภัยนะเพื่อน” มันอวยพรให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย
“แต้ เราขอโทษว่ะ ที่เราไม่ได้ไปไหว้ศพแกวันแรก เรา....!! เราขอโทษว่ะเพื่อน” ผมพยายามพูดด้วยเสียงอันสั่นเทาและหน้าผมก็ร้อนขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอก เรารู้ว่าแกไม่รู้ ไม่ใช่ความผิดแก อย่าไปคิดมาก โชคดีนะเพื่อน”
แต้บอกลาผมอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆเลือนลางหายไป ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พยายามมองไปรอบๆ และตรงทางเดิน แสงไฟสว่างเล็กน้อย
“สู่สุขคิตนะเพื่อนรัก”



Anton Putto Petrov
ผู้แต่ง



ขออุทิศเรื่องสั้นเรื่อง “เรื่องเล่าจากความมืด” ให้กับดวงวิญญาณที่อยู่บนโลกนี้ทุกดวง จงพบแต่ความสงบสุข

***ติดตามตอนเก่าๆได้ที่***
:cool:ศูนย์รวมเรื่องเล่าจากความมืด (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=97155&p=1178262#post1178262):cool:

ManKP
4th January 2013, 20:42
ขีั้เกียจอ่านแล้ว อยากนอน - - 55+

blacklotus55
4th January 2013, 20:48
เรื่องเล่าจากความมืด โอ้โห นี่แสดงว่าคนเล่าปิดไฟเล่าเนี่ย บรื๋ออออ น่ากลัว

kabukiput
4th January 2013, 20:51
เรื่องเล่าจากความมืด โอ้โห นี่แสดงว่าคนเล่าปิดไฟเล่าเนี่ย บรื๋ออออ น่ากลัว
แหม่ ยังจะอุตส่าฮานะครับท่าน