titan888
18th January 2013, 22:42
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=454032891317661&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&theater
18 มกราคม วันคล้ายวันชาตะของฟรังซัว ดูเวอเนท์ (ฟ. ฮีแลร์) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส ผู้แต่งตำรา"ดรุณศึกษา"
ฟ.ฮีแลร์ หรือ เจษฎาธิการฮีแลร์ เป็นศาสนนามของ ฟรังซัว ดูเวอเนท์ ฟ.ฮีแลร์ เกิดที่ตำบลจำโปเมีย เมืองปัวตีเย ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2424 ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นต้นที่ตำบลบ้านเกิด จนอายุได้ 12 ปี ความศรัทธาในพระศาสนาได้บังเกิดขึ้นในดวงจิตของท่าน ใคร่จะถวายตนเพื่อรับใช้พระเป็นเจ้าจึงได้เข้าอบรมในยุวนิสิตสถานในคณะเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ที่เมืองซังลอลังต์ ซิว แซฟร์ เพื่อร่ำเรียนวิชาลัทธิศาสนา วิชาครู และวิชาอื่น ๆ อันควรแก่ผู้จะเป็นเจษฎาจารย์ จะพึงศึกษาจนสำเร็จ แล้วจึงประกาศอุทิศตนถวายพระเจ้า บรรพชาเป็นภารดาเมื่ออายุได้ 18 ปี เพื่อให้ความรู้ในทางศาสนาได้ลึกซึ้งกว้างขวางยิ่งขึ้น
ในขณะเมื่อท่าน ฟ.ฮีแลร์ ถือกำเนิดขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศสมาจนถึง ค.ศ. 1885 ซึ่งมีอายุได้ 4 ขวบเศษ ๆ นั้นประเทศไทย บาทหลวงเอมิล โอคุสติน กอลมเบต์ ก็ได้จัดตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญขึ้นในกรุงเทพฯ และได้ดำเนินกิจการเรื่อยมาด้วยดี จนถึง พ.ศ. 1900 บาทหลวงกอลมเบต์ ก็ได้เดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน เพื่อเป็นการพักผ่อนและเพื่อเสาะแสวงหาคณะอาจารย์ที่มีความสามารถในการสอนมารับหน้าที่ปกครองดูแลรักษาโรงเรียนอัสสัมชัญต่อไป
ในการเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสในครั้งนั้น บาทหลวงกอลมเบต์ได้ไปพบอัคราธิการของคณะเซนต์คาเบรียล ที่เมืองแซนต์ลอลังต์ และได้เจรจาขอให้เจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียลได้รับปกครองโรงเรียนอัสสัมชัญแทน คุณพ่อกอลมเบต์ ต่อไป ซึ่งทางคณะเซนต์คาเบรียลก็ตอบตกลงด้วยดี และได้มอบให้เจษฎาจารย์ 5 ท่าน เดินทางมารับภารกิจนี้ โดยมีเจษฎาจารย์มาร์ติน เดอ ตูร์ เป็นประธาน เจษฎาจารย์ออกุสแตง คาเบรียล อาเบต และ ฟ.ฮีแลร์ เป็นผู้ร่วมคณะ ในจำนวน 5 ท่าน
เมื่อแรกเข้ามาเมืองไทย เจษฎาจารย์ฮีแลร์ เห็นจะหนักใจมากกว่าผู้อื่นในคณะ ด้วยเป็นคนหนุ่มที่สุดมีอายุเพิ่งจะย่างเข้า 20 เท่านั้น และภาษาอังกฤษก็ยังไม่คล่อง ภาษาไทยยิ่งไม่ถนัด ยิ่งไปกว่านั้นตรงที่บาทหลวงกอลมเบต์ต้องรักษาตัวที่ฝรั่งเศส ยังกลับมากรุงเทพฯ ไม่ได้ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในเบื้องต้นก็คือการสอนภาษาอังกฤษ และ ภาษาฝรั่งเศส
ในขณะเดียวกันนั้นท่านก็ศึกษาภาษาไทยไปด้วยโดยมีท่านมหาทิม เป็นครู กล่าวกันว่าการเรียนภาษาไทยของท่านนั้นเรียนรู้ได้รวดเร็วมาก ด้วยความตั้งใจจริง ท่านจึงพยายามฟังเด็กไทยท่อง มูลบทบรรพกิจ อยู่เป็นประจำ ถึงกับหลงใหลจังหวะจะโคนและลีลาแห่งภาษาไทย เกิดมุมานะเรียนรู้ภาษาไทยจนถึงแต่งตำราสอนเด็กได้ และตำราที่ว่านั้นก็คือ ดรุณศึกษา นั่นเอง จากฝีไม้ลายมือในการแต่งหนังสือของท่านนั้น ทำให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดเชิญเข้าเป็นสมาชิกของ สมาคมวรรณคดี เมื่อวันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2475 ณ ราชบัณฑิตสภา
แม้บราเดอร์ฮีแลร์จะจากไปเมื่อปี พ.ศ. 2511 แล้วก็ตาม แต่ท่านยังได้ทิ้งมรดกทางความคิดอันทรงคุณค่า ให้อนุชนชาวไทยไว้สดับสติปัญญา เพื่อที่จะมีความอดทน ขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อต่อการศึกษาแสวงหาความรู้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติสืบไปในภายภาคหน้า ดังคำกลอนของท่านตอนหนึ่งในหนังสือดรุณศึกษาที่ว่า วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา
ขอบคุณแหล่งข้อมูล จากเพจชมรมประวัติศาสตร์สยาม ใน เฟซบุ้ค
18 มกราคม วันคล้ายวันชาตะของฟรังซัว ดูเวอเนท์ (ฟ. ฮีแลร์) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส ผู้แต่งตำรา"ดรุณศึกษา"
ฟ.ฮีแลร์ หรือ เจษฎาธิการฮีแลร์ เป็นศาสนนามของ ฟรังซัว ดูเวอเนท์ ฟ.ฮีแลร์ เกิดที่ตำบลจำโปเมีย เมืองปัวตีเย ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2424 ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นต้นที่ตำบลบ้านเกิด จนอายุได้ 12 ปี ความศรัทธาในพระศาสนาได้บังเกิดขึ้นในดวงจิตของท่าน ใคร่จะถวายตนเพื่อรับใช้พระเป็นเจ้าจึงได้เข้าอบรมในยุวนิสิตสถานในคณะเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ที่เมืองซังลอลังต์ ซิว แซฟร์ เพื่อร่ำเรียนวิชาลัทธิศาสนา วิชาครู และวิชาอื่น ๆ อันควรแก่ผู้จะเป็นเจษฎาจารย์ จะพึงศึกษาจนสำเร็จ แล้วจึงประกาศอุทิศตนถวายพระเจ้า บรรพชาเป็นภารดาเมื่ออายุได้ 18 ปี เพื่อให้ความรู้ในทางศาสนาได้ลึกซึ้งกว้างขวางยิ่งขึ้น
ในขณะเมื่อท่าน ฟ.ฮีแลร์ ถือกำเนิดขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศสมาจนถึง ค.ศ. 1885 ซึ่งมีอายุได้ 4 ขวบเศษ ๆ นั้นประเทศไทย บาทหลวงเอมิล โอคุสติน กอลมเบต์ ก็ได้จัดตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญขึ้นในกรุงเทพฯ และได้ดำเนินกิจการเรื่อยมาด้วยดี จนถึง พ.ศ. 1900 บาทหลวงกอลมเบต์ ก็ได้เดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน เพื่อเป็นการพักผ่อนและเพื่อเสาะแสวงหาคณะอาจารย์ที่มีความสามารถในการสอนมารับหน้าที่ปกครองดูแลรักษาโรงเรียนอัสสัมชัญต่อไป
ในการเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสในครั้งนั้น บาทหลวงกอลมเบต์ได้ไปพบอัคราธิการของคณะเซนต์คาเบรียล ที่เมืองแซนต์ลอลังต์ และได้เจรจาขอให้เจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียลได้รับปกครองโรงเรียนอัสสัมชัญแทน คุณพ่อกอลมเบต์ ต่อไป ซึ่งทางคณะเซนต์คาเบรียลก็ตอบตกลงด้วยดี และได้มอบให้เจษฎาจารย์ 5 ท่าน เดินทางมารับภารกิจนี้ โดยมีเจษฎาจารย์มาร์ติน เดอ ตูร์ เป็นประธาน เจษฎาจารย์ออกุสแตง คาเบรียล อาเบต และ ฟ.ฮีแลร์ เป็นผู้ร่วมคณะ ในจำนวน 5 ท่าน
เมื่อแรกเข้ามาเมืองไทย เจษฎาจารย์ฮีแลร์ เห็นจะหนักใจมากกว่าผู้อื่นในคณะ ด้วยเป็นคนหนุ่มที่สุดมีอายุเพิ่งจะย่างเข้า 20 เท่านั้น และภาษาอังกฤษก็ยังไม่คล่อง ภาษาไทยยิ่งไม่ถนัด ยิ่งไปกว่านั้นตรงที่บาทหลวงกอลมเบต์ต้องรักษาตัวที่ฝรั่งเศส ยังกลับมากรุงเทพฯ ไม่ได้ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในเบื้องต้นก็คือการสอนภาษาอังกฤษ และ ภาษาฝรั่งเศส
ในขณะเดียวกันนั้นท่านก็ศึกษาภาษาไทยไปด้วยโดยมีท่านมหาทิม เป็นครู กล่าวกันว่าการเรียนภาษาไทยของท่านนั้นเรียนรู้ได้รวดเร็วมาก ด้วยความตั้งใจจริง ท่านจึงพยายามฟังเด็กไทยท่อง มูลบทบรรพกิจ อยู่เป็นประจำ ถึงกับหลงใหลจังหวะจะโคนและลีลาแห่งภาษาไทย เกิดมุมานะเรียนรู้ภาษาไทยจนถึงแต่งตำราสอนเด็กได้ และตำราที่ว่านั้นก็คือ ดรุณศึกษา นั่นเอง จากฝีไม้ลายมือในการแต่งหนังสือของท่านนั้น ทำให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดเชิญเข้าเป็นสมาชิกของ สมาคมวรรณคดี เมื่อวันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2475 ณ ราชบัณฑิตสภา
แม้บราเดอร์ฮีแลร์จะจากไปเมื่อปี พ.ศ. 2511 แล้วก็ตาม แต่ท่านยังได้ทิ้งมรดกทางความคิดอันทรงคุณค่า ให้อนุชนชาวไทยไว้สดับสติปัญญา เพื่อที่จะมีความอดทน ขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อต่อการศึกษาแสวงหาความรู้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติสืบไปในภายภาคหน้า ดังคำกลอนของท่านตอนหนึ่งในหนังสือดรุณศึกษาที่ว่า วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา
ขอบคุณแหล่งข้อมูล จากเพจชมรมประวัติศาสตร์สยาม ใน เฟซบุ้ค