PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Ancestor of evils:Evils born - บรรพบุรุษแห่งความชั่วร้าย:กำเนิดปีศาจ



Rex
19th January 2013, 18:37
Ancestor of evils:Evil born - บรรพบุรุษแห่งความชั่วร้าย:กำเนิดปีศาจ
ผู้แต่ง: Raiden แนะนำ: Rex ภายใต้ Satisfaction Space: Novel Frontier
แนะนำให้เตรียมใจรอหากอ่านแล้วเกิดชอบขึ้นมา เพราะเราไม่ค่อยมีเวลาเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ

http://image.ohozaa.com/i/g69/E3yL2P.jpg

เรามักเอาแต่นั่งคิดจินตนาการถึงการรุกรานของเหล่าผู้มาเยือนนอกโลก เราคิดว่าเราค้นพบทุกสิ่งบนโลกใบกลมๆและเล็กจิ๋วใบนี้หมดแล้ว แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า...เราคิดผิด

เรื่องเล่าถูกเล่าขานต่อเป็นเวลาอันยาวนานจากตำนานและจากตำนานคือเหตุการณ์ เหตุการณ์นั่นเองที่บอกเล่าทุกสิ่งอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา และตอนนี้ตำนานนั้นได้พยายามบอกอะไรกับเรา แต่เรากลับนิ่งเฉย โดยความอิจฉาริษยา ความโลภงมงาย นี่แหละคือ “มนุษย์”

ผมชื่อ ฮาลเบิร์ก แซมมวล เรียกสั้นๆ แซม คงได้อยู่ อาชีพน่ะเหรอ ตากล้องธรรมดาติดดินคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองเทวดาตกสวรรค์อย่าง ลอส แองเจลิส ทวดของผมเป็นนักโบราณคดี ส่วนตาและพ่อผมก็เช่นเดียวกัน ไม่แปลกเลยที่ผมจะไม่ค่อยได้รับอะไรในช่วงที่ผ่านมา คงเพราะอาชีพต๊อกต๋อยนี่กระมัง ถ้าท่านได้อ่าน บันทึกไดอารี่ นี้ขอให้รู้ไว้ว่าโลกที่เรารู้จักนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมน่ะเหรอ โปรดเชยชมผลงานเขียนแรกและสุดท้ายของผมได้ ณ บัดนี้...



บทที่ 1 หายนะที่ทวีคูณ

มันเริ่มต้นเช้าวันหนึ่ง เป็นเช้าที่สดใสเช่นเคยกับนครแห่งนี้ ไม่แปลกใจที่ทุกคนเริ่มต้นเส้นทางชีวิตดั่งเช่นทุกวัน ส่วนผมน่ะเหรอ ขอแค่เป้กล้อง กับ จักรยานคู่ใจก็เพียงพอแล้ว ผมเริ่มปั่นจักรยานไปตามถนนทางลาดรูปทรงตารางที่ถูกวางแปลนไว้อย่างดีเยี่ยมสำหรับผู้ไม่สันทัดต่อเส้นทางใน ลอส แองเจลิส ไล่ตามหาแหล่งถ่ายภาพสวยๆสักแห่งคงจะยากหน่อยสำหรับที่นี่ ผมเริ่มปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ พร้อมยกกล้องถ่ายไปโดยอัตโนมัติมารู้ตัวอีกทีก็ปาไป บ่าย 3 แล้ว ฟ้าเริ่มสลัวแสงอาทิตย์ดูเหมือนจะเตรียมลาลับขอบฟ้าเร็วกว่าปกติ

ผมยกแขนเช็คเวลาอีกครั้งก่อนจะหันหัวจักรยานกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์คร่ำครึของผม เพื่อนำฟิล์มไปล้างก่อน ระหว่างทางผมเริ่มเห็นเหตุการณ์ที่ไม่คุ้นตา นก? ฝูงนกนับร้อยนับพันพากันเกาะกลุ่มบินไปทางเส้นขอบฟ้า ดูแล้วเหมือนพวกมันจะย้ายถิ่นออกจากเมืองเหรอนั่น? หรือจะอพยพอะไรก็แล้วแต่ เสียงร้องของพวกมันดังก้องไปทั่วทั้งเมือง ที่จริงผมคิดตลกๆอยู่ว่าเหมือนพวกมันจะพยายามบอกอะไรเราหรือเปล่า ผมสะบัดความขี้สงสัยและยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องออกจากหัว ก่อนจะหันกลับมาถีบจักรยานกลับที่พัก


ความมืดปกคลุม ลอส แองเจลิส อย่างรวดเร็วไม่แปลกใจเลยทำไมวันนี้ถึงดูเงียบนัก ที่จริงแฟนสาวของผมจะอยู่ที่นี่เวลานี้ แต่ตอนนี้เธอเดินทางไปทำโปรเจคงานที่ ไมอามี่ ไกลโขอยู่ทีเดียว หลังจากเสร็จสรรพกับการล้างฟิล์มผมทิ้งตัวลงนอนอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจเฉิบ

“ให้ตายเถอะ เหนื่อยชะมัด” ผมพูดอยู่คนเดียว พร้อมพยายามกดหาช่องสัญญาณทีวี

แปลกแหะ สัญญาณไม่มี ผมพึมพำในใจ รู้สึกถึงลางบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ผมพยายามต่อไป จนพบช่องสัญญาณหนึ่ง สัญลักษณ์ที่ผมไม่เคยจะได้เห็น

“ประกาศฉุกเฉิน” ตัวอักษรขนาดใหญ่พร้อมพื้นหลังหลากสี และตัวเลขบอกเวลาสว่างจ้าอยู่ในจอทีวี

“ขณะนี้...” เสียงขาดไปชั่วระยะหนึ่ง “เกิดเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถอธิบายได้ เกี่ยวกับกระแสคลื่นไฟฟ้า...” และอีกครั้งปล่อยให้ผมพยายามเดาต่อไป

“ที่ไม่ทราบที่มา เป็นเหตุให้เกิดไฟฟ้าขัดข้อง และ สัญญาณระยะสั้นถึงไกล ไม่สามารถใช้งานได้กว่า 90% ทั่วตัวเมืองและเขตปริมณฑล” ให้ตายเถอะถึงจะไม่ใช่สิ่งที่ผมคาด แต่นี่มันเกิดบ้าอะไรกันแน่

“ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ จงอยู่แต่ในบ้านของท่าน อย่าออกนอกตัวบ้าน...” เหมือนผู้ประกาศจะหยุดหายใจสักพัก

“ทางรัฐส่งเจ้าหน้าที่เข้าดูแลความสงบเรียบร้อยแล้ว ขอให้ทุกท่านสบายใจได้...วูบ” “อะไรวะเนี่ย” ผมตะโกนลั่นทันทีที่ไฟห้องผมดับลง มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ผมคิดแล้วคิดอีก ขณะพยายามหาทางไปให้ถึงหน้าต่างที่ติดบันไดหนีไฟ สิ่งที่ผมเห็นคือ ความมืด ทอดตัวไปไกลจนลับตา ที่จะพอเห็นก็คือไฟสัญญาณฉุกเฉินจากเสาไฟจราจร ครืนน... เสียงรถขนาดใหญ่ดังขึ้นจากด้านซ้ายมือของตัวตึก ผมพยายามเพ่งสายตาในความมืดมองว่าคืออะไร ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนแสดงตัวชัด

“ไม่ธรรมดาแล้วงานนี้” สัญชาตญาณผมมันฟ้องว่ามีเรื่องไม่ดีมากๆ กำลังจะเกิดขึ้น รถที่ผมเห็นคือ รถถังของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ไม่ได้มาเพียงคันเดียว แต่มาเป็นขบวนพร้อมรถขนาด 6 ล้อที่บรรจุทหารอาวุธครบมือมากมาย ยาวไปหลาย 10 คัน ฮัมวี่คันหนึ่งเลี้ยวเข้าจอดบริเวณสี่แยกใกล้ๆที่ๆผมยืนสังเกตการณ์อยู่ ทหาร 4 นายเดินลงจากรถพร้อมยกอุปกรณ์ให้ความสว่างออกมา วาบบ... แสงสีแดงจากพลุสัญญาณสว่างจ้าจนแสบตา เผยให้เห็นประชาชนนับร้อยที่เดินเตร็ดเตร่บนถนน


คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวผมดั่งดอกเห็ด เกาหลีเหนือ? จีน? รัสเซีย? หรือ โรงงานนิวเคลียร์? วันสิ้นโลก? อะไรก็แล้วแต่มันกำลังจะทำให้ผมบ้า สัญญาณโทรศัพท์ตายหมด มือถือ โทรศัพท์บ้าน สาธารณะ ไม่มีเหลือ ทหารที่ยืนคุมบนสี่แยกยังคงเดินวนไปเวียนมา พร้อมพยายามสั่งให้ประชาชนกลับเข้าไปในบ้านของตน สีหน้าแต่ล่ะคนเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นหวาดกลัว ความกลัว...

ผมนั่งอยู่บนระเบียงชั้น 3 มากว่า ชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้น ผมคงคิดไปเองล่ะมั้ง จะเป็นไปได้ไงจริงไหม? แต่แล้วความสบายใจของผมก็เป็นอันจบลงเมื่อเสียงระเบิดดังกระหึ่มจากทิศเหนือของเมือง แสงไฟจ้าก่อนจะตามมาด้วยควันสีดำเทาโพยพุ่งขึ้นสูง บึม... อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นทีนี้จากด้านตะวันออกของเมือง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือทหารนายหนึ่งกำลังพยายามคุยกับปลายสายวิทยุ ดูเหมือนพวกเขาจะพยายามบอกอะไรบางอย่าง

บางอย่างที่ดูไม่น่าอภิรมย์ หลังจากทหารนายนั้นวางวิทยุลง เขาสั่งทหารอีก 3 นายกลับขึ้นรถแล้วดิ่งเข้าหาจุดที่เกิดการระเบิด และตอนนั้นแหละที่ผมคิดว่าจะมานั่งเฉยๆไม่ได้แล้ว ผมรีบแพ็คของใช้จำเป็น มือถือ น้ำ อาหารบางส่วน และของจิปาถะ เข้ากระเป๋าเป้หลังอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอผมรีบดิ่งออกทางบันไดหนีไฟ ก่อนจะเริ่มเดินไปตามทิศตะวันตก จุดหมายเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวผมคือ ออกจากเมือง จักรยานผมเอามาด้วยไม่ได้เพราะหน้าต่างมันดันเล็กกว่าจักรยานออกทางประตูก็ไม่ได้ มือสนิท


ผมเดินเรียบไปตามทางด่วนหมายเลข 210 เป็นเส้นทางที่ผมคิดว่าน่าจะพาผมออกเมืองได้เร็วที่สุดโดยเท้า จะเสี่ยงไปทางตะวันออกไม่ได้ เสี่ยงเกินไป ขณะเดินมาผมเห็นประชาชนมากมายที่เหมือนจะแพ็คกระเป๋าเช่นเดียวกับผมเริ่มพากันเดินไปทางที่ผมกำลังพยายามไปให้ถึง ขบวนรถทหารมากมาย แล่นผ่านพวกเราไปขบวนแล้วขบวนเล่า ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆมันเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนเหตุระเบิดจะหยุดลงแล้ว หลังจากผมเห็นแสงไฟ 2 แห่งจากอพาร์ทเม้นท์ มาตอนนี้ก็ยังไม่ได้ยินหรือเห็นการระเบิดอีกเลย หรือมันจะจบแล้ว?

ผมเริ่มตระหนักว่าที่เราทำบ้าอะไรอยู่... แต่จะเสี่ยงไม่ได้ผมคิดขึ้นอย่างน้อยก็ต้องออกนอกเมืองแล้วรองขึ้นที่สูงดีกว่า เสียงเฮลิคอปเตอร์ทั้งของช่องข่าวและของทหาร บินกันให้ว่อน ผมเริ่มสังเกตว่าเครื่องบินพาณิชย์บินถี่ขึ้นมากในช่วงชั่วโมงที่ผ่านมา

“ประกาศภาวะฉุกเฉิน...ขณะนี้กฎอัยการศึกได้ถูกประกาศใช้แล้ว ขอให้ประชาชนทุกคนรีบเดินทางออกจากเมืองหรือจงอยู่แต่ในบ้านของท่าน” เสียงประกาศดังขึ้นผ่านทางโทรโข่งติดเฮลิคอปเตอร์ทหารลำหนึ่งที่บินเรี่ยพื้นอย่างน่าหวาดเสียว


ความเงียบยังคงกระจายไปทั่วทั้งเมือง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนับตั้งแต่ ชั่วโมง ก่อนหน้านี้ ผมเห็นคนมากมายเดินเกาะกลุ่มกัน บ้างก็พยายามหาสาเหตุของเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ น่าแปลกที่เมืองนี้เงียบจนผิดปกติ ถึงแม้จะไม่มีไฟฟ้าก็ตามแต่ ครืนน...นน เสียงเครื่องบินรบไอพ่นบินฝ่ามวลอากาศอยู่เหนือพื้นที่ที่ผมยืนอยู่

“นั่นมัน เอฟ 18 ฮอเน็ท...ก่อการร้ายชัวร์ๆ” ชายคนหนึ่งที่เดินใกล้ๆผมหันหน้ามาบอกผม

“เหรอครับ” ผมตอบกลับอย่างเนือยๆ

“ผม เดวิด ยินดีที่รู้จักครับ” เขายิ้มก่อนจะยื่นมือทักทาย

“อ..เอ่อ แซม ยินดีเช่นกันครับ” ผมตอบตะกุกตะกักไปหน่อย แต่ก็พอได้อยู่ “คุณคิดว่าคืออะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดนี่” เดวิดถามผมขณะย่ำเท้ามุ่งไปข้างหน้า

“ไม่รู้สิ จะอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ขอติดต่อโลกภายนอกให้ได้ก่อนดีกว่า” “เหอะๆ ดีนะครับ ไม่กังวลดี” เดวิดหัวเราะเล็กๆ เขามองขึ้นไปบนฟ้า

“นานๆทีจะเห็นดวงดาวมากมายใน ลอสแอเจลิส” ผมแหงนหน้าขึ้นตามความสงสัย “จริงๆด้วย ดาว เต็มไปหมด” ผมอึ้งทึ่งเหมือนกันที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้ ณ จุดๆที่ผมยืนอยู่ และแล้วความสบายใจของผมก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงระเบิดดังลั่นในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทางด่วน 210 บึมม...มม เสียงระเบิดดังอีกครั้ง

“นั่นไม่ใช่เสียงระเบิด แต่เสียงกระสุนปืนใหญ่จากรถถังกองทัพเราต่างหาก” เดวิดยืนนิ่งหันไปหาที่มาของเสียง ฟ้าวว...วว มิสไซล์จากเครื่องบินไอพ่นถูกปลดออก แสงไฟสีขาวแดงเฉิดฉายเป็นแนวยาวไปตามหัวรบนั่น

“มันบ้าอะไรวะเนี่ย” ผมตะโกนด้วยสติที่เริ่มไม่คงอยู่กับตัว บึม...บึมๆๆ เสียงระเบิดดังแล้วดังเล่า เสียงปืนกลอัตโนมัติ รถถัง เครื่องบิน ปนเปเกิดเป็นความโกลาหลขึ้น

“หลบเร็ว” เสียงตะโกนดังมาจากอีกฟากของที่ๆผมยืนอยู่กับเดวิด แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมคือ รถถังที่ลุกท่วมเป็นไฟลอยละลิ่วเหมือนกับผ้าใบบางๆ ตูม..มม ตัวซากรถถังกระแทกเข้ากับเสาคอนกรีตของทางด่วน เส้นซากชิ้นส่วนปลิวว่อนไปทั่ว

“ยังมีคนติดอยู่ในนั้น” เสียงคนอื่นข้างหลังผมตะโกน ผมเล็งสายตาไปที่ตัวรถถัง เห็นทหารนายหนึ่งพยายามปีนออกจากรถ ผมไม่รอช้ารีบพยุงตัวขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปทันที คงเป็นเพราะความบ้า หรือความกล้ากันแน่

“ผมมาแล้ว” ผมตะโกนขณะพยายามฉุกทหารคนนั้นออกจากกองไฟที่ลุกอยู่รอบตัวรถถัง

“ยังมีคนอื่นอีกไหม คุณครับ ตั้งสติแล้วตอบผมหน่อย” ผมพยุงตัวทหารนายนั้นไปพิงไว้กับเสา พยายามสื่อสารกับเขา

“ไม่มี...เหลือ” เสียงอันอ่อนเพลียของเขาสร้างความกลัวในจิตใจของผมขึ้นอีกครั้ง

“ไม่มีเหลือ หมายความว่ายังไงครับ โธ่เว้ย” ผมเลิกที่จะยืนอยู่ตรงนั้น ผมรีบตรงดิ่งไปที่ตัวรถถัง พยายามเข้าไปในตัวรถเพื่อเช็คผู้รอดชีวิต คนแล้วคนเล่าที่ผมลากออกมา แต่กลับเป็นร่างที่ไร้วิญญาณทั้งหมด เดวิดเข้ามาช่วยผม ขณะที่เริ่มมีคนอื่นๆยื่นมือเข้าช่วยเช่นกัน

“เราช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้ว แซม…ผมขอโทษ แต่เราทำอะไรไม่ได้แล้ว” เดวิดจับไหล่ผมไว้แน่น ความตายล้อมรอบเราไว้


ผมนั่งนิ่งอยู่บนถนนอย่างไร้อาลัยอาวรณ์ โชคดีที่มีบางคนที่พกกล่องพยาบาลมาด้วย ทหารนายนั้นจึงรอดปล่อยภัยอย่างหวุดหวิด ตอนนี้ผมอยากรู้เพียงสิ่งเดียวคือ มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นั่น

“มันจะไปกันใหญ่แล้วงานนี้” ผมรีบยกตัวขึ้น เดินไปหาทหารที่รอดชีวิต

“ผมเข้าใจว่าคุณ บาดเจ็บและอ่อนแรง แต่ได้โปรดตอบผมที” ผมหยุดนิ่ง จับจ้องไปที่สายตาของทหารนายนั้น ผมเห็นความหวั่นระแวง ไม่สิความกลัวต่างหาก

“มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” ผมเริ่มถามอย่างช้าๆ “คุณครับ ช่วยตอบผมทีเถอะ ก่อนที่ผมจะเริ่มบ้าไปมากกว่านี้…เราโดนรุกรานโดยใคร จีน รัสเซีย?”

“ไม่ใช่ใคร...ทั้งนั้น” ทหารนายนั้นพยายามฝืนความเจ็บปวดตอบกลับ “ไม่ใช่ใคร?” ผมทวนคำตอบ

“เราถูกโจมตีโดย สิ่งที่ไม่อาจระบุ...ชัด” เขาพยุงตัวเพื่อเปลี่ยนท่านั่ง “ความมืด มันออกมาจากความมืด เงาดำทมิฬที่ใหญ่โต...มาพร้อมกับ ไฟ ...ไฟสีแดงฉาน เจิดจ้าจนแสบตา” เขาพยายามอธิบาย

“เราแทบมองไม่เห็นตัวมันด้วยซ้ำ กระสุนที่สาดออกไป ไม่ได้ยิงออกไปเพื่อสังหาร แต่เพื่อป้องกันพวกเราต่างหาก” สิ้นเสียงทหาร สีหน้าของแต่ล่ะคนเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่แย่ แย่มากๆด้วย

“พาผมไปที่กองบัญชาการชั่วคราว...นี่คือพิกัด ที่นั่นเราจัดทีมพาพวกคุณออกจากเมืองได้” เขาตั้งตัวลุกขึ้นแล้วยื่นแผ่นกระดาษใบหนึ่งให้ผม

“แต่ตอนนี้เราเกือบจะถึงทางออกเมืองแล้วนะ ทำไมต้องเสี่ยงกลับเข้าไปอีก” ผมถามเขาอย่างไม่มีทางเลือก

“นั่นคือที่ๆเรามา เมืองนี้ถูกปิดตายแล้ว ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม พวกมันไม่อยากให้เราออกจากเมือง และ ติดต่อโลกภายนอก” คำตอบถูกเผย เบื้องลึกในหัวของผมมันหมุนยิ่งกว่าใบพัดเสียอีก สับสนวุ่นวาย ดูเหมือนเราจะมีทางเลือกไม่มากนัก แน่นอนผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าหรือผู้น้ำ แต่เราสมควรที่จะทำตามที่ทหารผู้รอดชีวิตกล่าว ผมกับชนกลุ่มน้อยเลือกที่จะเดินกลับไปใจกลางเมือง แทนที่จะออกนอกตัวเมือง เดวิด ยังคงมากับผมพร้อมช่วยพยุงตัวทหารนายนั้นมาด้วย


พื้นถนนที่เย็นเฉียบผนวกกับความเปล่าเปลี่ยวอย่างน่าสงสัย พวกเราเดินเลาะไปตามช่วงถนนระหว่างตึกเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจหรือไปเตะตาอะไรก็ตามที่เพ่นพ่านอยู่ข้างนอกนั่น

“เอเลี่ยนชัดๆ จะมีอะไรในโลกที่แข็งแรงถึงขนาดนั้น” แม้จะผ่านมากว่าชั่วโมงแล้ว บางคนในกลุ่มก็ยังพยายามคิดหาเหตุผลแปลกๆมาให้ฟังอยู่ตลอดทาง

“ถ้ามีอะไรผ่านชั้นบรรยากาศเราลงมา นาซ่า คงไม่ยอมให้มันผ่านมาโดยไม่บอกใครหรอกน่า” เพื่อนของชายคนนั้นแย้งขึ้น ครืนน...นนน เสียงประหลาดดังขึ้น ไม่ไกลจากจุดที่เรายืนอยู่มากนัก ดูเหมือนเสียงนั่นจะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ โชคเข้าข้างพวกเรา ตรอกซอยที่เรายืนอยู่นั้นค่อนข้างแคบและมืดมาก ผมจึงชะโงกหน้าอย่างช้าๆออกไปสังเกตการ

“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ผมหันมากระซิบกับเดวิด “แต่เสียงเมื่อกี้มันน่าจะ...” เดวิดหยุดพูด ผมจึงหันกลับมามองเขา เพียงแต่ตอนนี้หน้าของเขาไม่ได้มองที่ผมแต่มองบนช่องระหว่างตึกที่เรายืนอยู่ เงาสีดำขนาดใหญ่มาก หลายเงาข้ามผ่านช่องแคบนั้นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยขนาดของเงาการกระโดดข้ามช่องแคบนั้นก็ควรจะส่งเสียงออกม่ไม่ใช่หรือไง ผมคิดอย่างหวาดผวา โครม..มม เสียงถังขยะล้มลงส่งเสียงก้องไปตามช่องระหว่างตึก คนในกลุ่มเราคนหนึ่งดันถอยตัวไปชนเข้าอย่างไม่ตั้งใจ แน่นอนล่ะใครจะตั้งใจ

“งานเข้าแล้วสิ” เดวิดเอ่ยปาก เงาหนึ่งหยุดการเคลื่อนไหว ในความมืดนั้นผมเห็นแสงสะท้อน แสงสะท้อนจากแสงจันทร์สีขาว หรือนั่นจะเป็น “ดวงตา” ผมพึมพำ หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ฟูมม...มม เสียงใครประกายไฟดังขึ้น วาบ..บบ ชั่วเสี้ยววินาที แสงสีแดงคล้ายกองไฟขนาดใหญ่สว่างจ้าจนตาพร่ามัว มือของผมยกป้องอย่างทันทีทันใด

“มันตัวห่าอะไรวะนั่น” เงาสีดำนั้นตอนนี้กลับมีไฟสีแดงเจิดจ้าอยู่บนหลังของมัน ร่างกายขนาดยักษ์มีแขน มีขาเหมือนมนุษย์ ท่าทางการยืนคล้ายสิงโตแต่ช่างดูน่าสะพรึงยิ่งกว่านับพันเท่า ดวงตาจากที่ส่อประกายสีขาวตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเจิดจ้าเฉกเช่นกับแสงไฟเจิดจ้าบนหลังของมัน

“วิ่ง...วิ่งเร็ว” นายทหารที่มากับเราตะโกน เขาควักปืนสั้นออกมาเริ่มลั่นไกสาดกระสุนขนาดเล็กเข้าใส่เป้าหมาย ปัง...ปังๆๆๆ “วิ่ง…หนีไปให้ถึงจุดรวมพลนั่น” เขาผลักตัวผมกับเดวิดออกจากตรอกซอยนั่น ตูม...มม เงาสีดำพุ่งเข้าโจมตีนายทหารคนนั้น ด้วยขนาดที่ไม่สามารถลอดผ่านช่องแคบนั่นได้ จึงทำให้ตึกทั้งคู่ถล่มระเนระนาด “ระวัง...โธ่ว้อย” ผมตะโกนและพยายามจะวิ่งกลับไป แต่เดวิดกระชากตัวผมออกมา

"ไม่ทันแล้ว แซม มันไม่ทันแล้ว” เดวิดดึงตัวผมให้วิ่ง วิ่งอย่างเร็วที่สุด ที่ชั้นทำบ้าอะไรไม่ได้เลยหรือไง ไอโง่เอ้ย แกมันก็แค่คนขี้ขลาดเท่านั้น


โชคชะตาเล่นตลกกับผมอยู่กระมัง ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเดวิดอยู่สองคน ที่พยายามจะไปสู่จุดอพยพที่ตั้งไว้ ด้วยแสงไฟที่แทบจะไม่มีบนถนนอันว่างเปล่า ส่งผลให้เราทั้งคู่เริ่มหลงทางอย่างไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนเราจะเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ไม่ยักรู้ว่าเส้นทางที่คุ้นเคยตอนนี้กลับดูเหมือนเขาวงกต “ดูนั่น” เดวิดชี้นิ้วไปบนเส้นสายตาผม แสงรถคู่หนึ่งส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด

“คุณคิดอย่างที่ผมคิดใช่ไหม” ผมมองหน้าเดวิด ราวกับรู้กันทันที ผมเริ่มเดินเข้าหารถนั่นช้าๆ คอยระแวดระวังทุกอย่างรอบตัว “ศูนย์วิจัยนานาชาติ เพนทิสเบิร์ก” เดวิดอ่านอักษรข้างรถ “นี่มันตราของรัฐหนิ” ผมเอ่ยปาก

“เฮ้ๆๆ พวกคุณคิดจะทำอะไรน่ะ” เสียงของชายร่างเล็กดังขึ้นบริเวณหลังรถแวนคันนี้ “คุณคือ” ผมถามทันที

“เอ่อ... ดร.พอล คาวาชิม่า นักชีววิทยา จาก เพนซิลเวเนีย แล้วคุณคือ” ชายครึ่งเอเชียร่างเล็กกับชุดคลุมในมาดนักวิทยาศาสตร์ถามมาที่ผม

“ผมแซม แซมมวล ฮาลเบิร์ก ยินดีที่รู้จักครับ ถึงแม้ดูเหมือนบรรยากาศจะไม่ให้” ผมจับมือทักทายอย่างเป็นมิตรที่สุด “เดวิด ยินดีที่เจอใครสักคนนอกจากเราครับ”

“เอาล่ะ ดูท่าทางพวกคุณสองคนจะไม่ใช่คนเลวให้ผมพาไปส่งที่จุดรวมพลไหมล่ะ” ดร.พอล เอ่ยปาก “เยี่ยมเลยครับ ว่าแต่ทำไม ดร. ดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับตัวบ้านั่นเท่าไหร่เลยล่ะ”


“เอาไว้จะเล่าขาไปล่ะกัน”


แผ่นจารึก ม้วนกระดาษบันทึกเหตุการณ์ สัญลักษณ์พีระมิด ปฏิทินชนเผ่ามายัน เครื่องหมายประหลาดบนผนังในถ้ำ โครงกระดูกโบราณ ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วเชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ผมรู้คุณอาจจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ลองฟังที่ผมกำลังจะพูดให้ดี มนุษย์เกิดมาได้ไม่นานเท่าสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธ์บนโลกนี้

ความหมายคือ เรายังอ่อนหัด แต่เรามีสมอง และสมองนี่ช่วยให้เราอยู่รอดได้ นอกเหนือจากเราคงมีแต่ปลาโลมา ที่เราเคยคิดว่าฉลาดพอๆกับมนุษย์ สำหรับสายพันธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่นะ คุณได้ยินถูกแล้วล่ะที่ผมพูดว่า

“เคย” นักโบราณคดี เจอชิ้นส่วนโครงร่างขนาดใหญ่ที่อียิปต์ เมื่อไม่นานมานี้ นั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นการค้นคว้าของเรา ถ้าลองย้อนกลับไปสัก ห้าถึงหกร้อยปีก่อน จะเห็นได้ว่า บันทึกเหตุการณ์มากมาย จากหลายวัฒนธรรม หลายพื้นที่ จะมีการบันทึกถึงเรื่อง สัตว์ร้ายที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งเมื่อก่อนเราคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์ที่ผ่าเหล่าทำให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น

เราคิดว่าบรรพบุรุษของเราเพ้อเจ้อไปเรื่อย แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว บันทึกพวกนั้นคือจดหมายที่มีไว้เพื่อคอยเตือนชนรุ่นหลัง เพื่อเผยความจริงอันน่าสะพรึงที่มิอายปฏิเสธ แต่ทว่าเวลาล่วงเลย ชีวิตใหม่บังเกิด ชีวิตเก่าดับสูญ แม้อาจหาญ กล้าแกร่งเพียงใด ก็มิอาจเอาชนะเวลาได้ สิ่งมีชีวิตโบราณเริ่มจางหายไปจากโลกทีละสายพันธ์ สายพันธ์แล้วสายพันธ์เล่าที่ถูกสังเวยโดยผืนดิน ผืนฟ้า

การปรับตัวเท่านั้นคือกุญแจสำคัญของการคงอยู่ น่าขันที่เรานี่แหละคือผู้ที่ไหลตามน้ำได้ดียิ่งกว่า เหล่าปลาใต้น้ำเสียอีก จำนวนประชากรมนุษย์เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลับกันสายพันธ์โบราณที่เคยเกรียงไกรมานับแสนนับล้านปีกลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จนเหลือเพียง “หนึ่ง” สายพันธ์ที่ถือว่าเป็น ผู้ล่าที่แข็งแกร่งที่สุด หลังจากยุคไดโนเสาร์ พวกนี้เริ่มเข้าใจการเป็นไปของกาลเวลา พวกมันเริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายทีล่ะน้อย ล่ะน้อยอย่างช้าๆ พร้อมทั้งพัฒนาความคิดอ่าน เล่เหลี่ยม จนท้ายที่สุดพวกมันอยู่รอด

แต่โชคเข้าข้างพวกเราการปรับตัวของสายพันธ์นี้ใช้เวลามากเกินไปจนทำให้กว่า สามในสี่ ต้องตายไป และตอนนี้ หนึ่งในสี่ นั้นตื่นขึ้นแล้ว และพร้อมจะทวงบัลลังก์ที่เคยเป็นของมัน แต่พระเจ้าได้เดินหมากตัวสุดท้ายไว้อย่างแนบเนียน ทุกสรรพสิ่งมีจุดอ่อนในตัวเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกันสายพันธ์อันแข็งกร้าว อำมหิต ไร้ความเมตตา กลับมีจุดด้อยคือ พลังงานทั้งหมดของมันมาจากไฟ และไฟที่มีมากที่สุดบนโลกคือ ลาวา และทั้งหมดทั้งมวลนั้นอยู่ใต้โลกของเรา ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายก็เหมือนมนุษย์ที่ไม่อาจขาดน้ำและอาหารได้ พวกมันต้องกลับไปใต้โลกเพื่อเพิ่มแหล่งพลังงานในตัวมันเอง


และช่องว่างนี้แหละ ที่เราจะใช้เป็นจุดรุกคืบต่อไป!

satsawat7925
19th January 2013, 18:55
ชอบครับอยากรู้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

nakiann123
20th January 2013, 00:22
จะติดตามนะครับ แหม่

TEENOY '
20th January 2013, 12:16
อ๊างงงง บอสสเดี๋ยวผมมาอ่านนะ กำลังแต่งเรื่องใหม่ เรื่องเก่าโละละพล็อตหาย 5555

THE MIZ
11th February 2013, 09:23
ตื่นเต้นครับ

athiwat799
19th March 2013, 23:47
รออ่านเรื่องของคุณอยู่ครับ

jomemy
7th April 2013, 04:57
สนุกมากครับ^^

jomemy
10th July 2013, 21:03
เงียบกริบไปเลยครับเรื่องนี้ >..<