PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : 10 สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ควรไปเยือนก่อนสายเกินไป



act12348
28th January 2013, 20:41
นิตยสารทราเวล แอนด์ ลีเชอร์ เผยรายชื่อ 10 สุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เสี่ยงต่อการถูกทำลาย หรือมีแนวโน้มที่จะสูญสลายหายไปในอนาคตอันใกล้ พร้อมทั้งแนะนำให้รีบเดินทางไปเยือนก่อนที่จะสายเกินไป… มาดูกันว่าโลกเรากำลังจะสูญเสียสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใดไปบ้าง

แนวปะการังใหญ่ เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8424.jpg?w=645&h=430

เป็นที่น่าเสียดายว่าแนวปะการังใหญ่ หรือ “เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ” ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ที่มีความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 215,000 ตารางไมล์ (345,000 ตารางกิโลเมตร) หรือมีขนาดใหญ่พอๆ กับประเทศญี่ปุ่น อาจสูญสิ้นความอุดมสมบูรณ์และกลายเป็นสุสานปะการังภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ.2573)

องค์กรอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติออสเตรเลียระบุว่า หากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพียง 3–5 องศาฟาเรนไฮต์ ประกอบกับมีค่าความเป็นกรดมากขึ้น จะทำให้พื้นที่ 97% ของ “เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ” เกิดปะการังฟอกขาวและปราศจากสิ่งมีชีวิตในที่สุด

อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8423.jpg?w=645&h=483

อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ในรัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา เป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติที่กำลังได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน…

เมื่อปี ค.ศ. 1850 (พ.ศ. 2393) ที่นี่มีธารน้ำแข็งมากถึง 150 แห่ง ปัจจุบันเหลือเพียง 26 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ อากาศที่ร้อนขึ้นยังส่งผลให้พรรณไม้ผลิบานก่อนฤดูกาลอีกด้วย รายงานขององค์กรพิทักษ์สัตว์ป่าแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้วงจรชีวิตของพืชและสัตว์ไม่สัมพันธ์กัน เพราะนกที่ช่วยทำหน้าที่ผสมเกสรจะมาไม่ทันช่วงที่ดอกไม้ผลิบาน ดังนั้นเมื่อพวกมันมาถึงก็จะไม่มีแมลงและน้ำหวานให้กินเป็นอาหารเหมือนเช่นเคย

สาธารณรัฐมัลดีฟส์

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/84221.jpg?w=645&h=403

มัลดีฟส์ เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดียที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเพียง 1.5 เมตร จึงเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ต่ำสุดในโลก แถมยังมี “จุดสูงสุด” ต่ำที่สุดในโลกอีกต่างหาก (พื้นที่ๆ มีความสูงมากที่สุดในประเทศ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 2.4 เมตรเท่านั้น) ประเทศนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะจมหายไปในอนาคตอันใกล้

ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดี มูฮัมมัด นาชีด จึงเรียกร้องให้นานาชาติหันมาสนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทำตัวเป็นแบบอย่างด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาเผาเปลือกมะพร้าว เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) และยังก่อตั้งโรงไฟฟ้าพลังลมและแสงอาทิตย์ โดยหวังให้เป็นประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2020 (ประธานาธิบดี มูฮัมมัด นาชีด กล่าวว่า ถ้าทั่วโลกไม่ช่วยกันหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ มัลดีฟส์จะจมหายไปภายในเวลา 7 ปี) และถ้าแผนดังกล่าวไม่ได้ผล หรือระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีกราว 3 ฟุต ก็คงต้องอพยพประชาชนทั้งประเทศ (ราว 380,000 คน) ไปอยู่บนดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน (ประธานาธิบดี มูฮัมมัด นาชีด มีแผนนำเงินรายได้จากการท่องเที่ยวไปซื้อที่ดินในประเทศอินเดีย ศรีลังกา และออสเตรเลีย)

ธารน้ำแข็งคิลิมันจาโร

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8421.jpg?w=645&h=403

ธารน้ำแข็งคิลิมันจาโร อยู่บนยอดเขาคิลิมันจาโรในเขตประเทศแทนซาเนีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นภูเขาไฟยอดเดี่ยวสูงที่สุดในโลก และเป็นยอดเขาสูงที่สุดในทวีปแอฟริกา เห็นภาพแล้วก็คงรู้ว่าธารน้ำแข็งที่ปกคลุมยอดเขาแห่งนี้กำลังละลายหายไป บ้างก็ว่าเป็นเพราะโลกร้อน บ้างก็ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิบนยอดเขาคิลิมันจาโรไม่เคยอยู่เหนือจุดเยือกแข็ง (เนื่องจากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร) แต่ที่แน่ๆ ธารน้ำแข็งบนยอดเขาคิลิมันจาโรละลายหายไปแล้วประมาณ 80%

หมู่เกาะอินโดนีเซีย

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8420.jpg?w=645&h=414

“อาร์มู ซูซานดี้” นักอุตุนิยมวิทยาในกรุงจาการ์ตา คาดการณ์ว่า อินโดนีเซียซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “หมู่เกาะใหญ่ที่สุดในโลก” (ประกอบด้วย 17,508 เกาะโดยประมาณ) จะสูญเสียเกาะ 2,000 แห่ง และที่ดินอีกราว 154,000 ตารางไมล์ (398,858 ตารางเมตร) ภายในปี ค.ศ. 2080 (พ.ศ. 2623) แม้แต่กรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะจมน้ำราว 1 ใน 4 ของพื้นที่ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593)

คาบสมุทรแอนตาร์กติก

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8419.jpg?w=645&h=483

ปัจจุบันนี้ คาบสมุทรแอนตาร์กติก (ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของทวีปแอนตาร์กติกา) มีปริมาณน้ำแข็งในทะเลน้อยลงกว่าเดิมถึง 40% และคาดว่าในอีก 20-40 ปีข้างหน้าจะไม่มีน้ำแข็งก่อตัวในทะเลแถบนี้อีกต่อไป แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้การเดินทางไปยังแถบขั้วโลกใต้สะดวกขึ้น แต่สัตว์น้ำก็ลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบ เพราะน้ำแข็งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ “เคย” เมื่อไม่มีน้ำแข็งจำนวนเคยก็จะลดลง ส่งผลให้จำนวน ปลาวาฬ แมวน้ำ และเพนกวิน ในแถบนี้ลดลงตามไปด้วย (ปัจจุบัน สัตว์เหล่านี้ลดจำนวนลงแล้วถึง 70%)

เทือกเขาแอลป์ในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/84181.jpg?w=645&h=403

ทุกวันนี้บนเทือกเขาแอล์ปสูงชันในช่วงหน้าร้อน แทบไม่หลงเหลือร่องรอยของหิมะที่เคยปกคลุมยอดเขาในช่วงหนาว ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการก่อตัวและคงอยู่ของธารน้ำแข็ง (ธารน้ำแข็งเกิดจากการที่หิมะตกลงมาแล้วสะสมกันจนหนา 45-60 เมตร แล้วเกิดการเคลื่อนตัวลงมาอย่างช้าๆ ก่อนค่อย ๆ ละลายกลายเป็นลำธาร) และธารน้ำแข็งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงก็คือ ธารน้ำแข็งโรน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำโรนที่ไหลผ่านสวิตเซอร์แลนด์ไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยความยาว 813 กิโลเมตร

เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวเดินออกจากประตูโรงแรมไม่กี่ก้าวก็สามารถเดินลอดถ้ำธารน้ำแข็งโรน แต่ปัจจุบันต้องเดินไกลขึ้นมาก ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์ จึงแนะนำให้เดินทางไปเยือนแม่น้ำและทะเลสาบสวยๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ เช่น ทะเลสาบเจนีวา ก่อนที่ธารน้ำแข็งโรนจะละลายหายไป

ป่าโกงกางซันดาร์บานส์

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8417.jpg?w=645&h=484

ป่าโกงกางซันดาร์บานส์ เป็นพื้นที่ป่าชายเลนแบบผืนเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเนื้อที่มากถึง 4,000 ตารางไมล์ (10,360 ตร.กม.) ตั้งอยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำคงคา แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำเมฆนา ระหว่างพรมแดนของประเทศบังคลาเทศ (81%) และรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย (19%) ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)

ป่าแห่งนี้เป็นถิ่นอาศัยของเสือเบงกอลหายาก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์น้ำ และประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน นอกจากจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนแล้ว ป่าโกงกางซันดาร์บานส์ยังถูกคุกคามจากคนในพื้นที่ๆ ประกอบอาชีพตัดไม้และทำประมง ประกอบกับมีเศษตะกอนจากเทือกเขาหิมาลัยไหลเข้ามาทับถม องค์การยูเนสโกจึงประเมินว่าป่าชายเลนแห่งนี้อาจถูกทำลายลงถึง 75% เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 21

เดดซี

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8416.jpg?w=645&h=432

เดดซี เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่ระหว่างประเทศจอร์แดนและอิสราเอล ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะ “เดด (dead)” สมชื่อ เนื่องจากปัจจุบัน ระดับน้ำได้ลดลงถึง 80 ฟุต (24 เมตร) และเสียพื้นที่ผิวน้ำไปแล้วถึงหนึ่งในสามในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจาก อิสราเอล จอร์แดน และซีเรีย ต่างก็ผันน้ำจืดจากแม่น้ำจอร์แดน (ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพียงแหล่งเดียวที่จะไหลลงสู่เดดซี) ไปใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ส่วนที่เหลือก็ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ส่งผลให้โรงแรมริมเดดซีที่สร้างขึ้นในช่วงปี 1980 (หลังปี พ.ศ. 2523) กลายเป็นโรงแรมที่อยู่ห่างจากฝั่งเดดซีกว่า 1 กิโลเมตรในปัจจุบัน

ชั้นน้ำแข็งที่อาร์กติก

http://paow007.files.wordpress.com/2013/01/8415.jpg?w=645&h=429

ปัจจุบัน ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมอาร์กติก (ในซีกโลกเหนือ) เริ่มแตกออกและบางลงจนน่าใจหาย นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่าคาดการณ์ว่า น้ำแข็งที่ปกคลุมอาร์กติกจะละลายหายไปจนหมดในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า หลายประเทศที่มีพื้นที่บางส่วนอยู่ในบริเวณดังกล่าว (เช่น แคนาดา, กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก), รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา (อะแลสกา), ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน และฟินแลนด์) ตลอดจนหลายประเทศที่อยู่รายล้อมมหาสมุทรอาร์กติก (ทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ และกรีนแลนด์ รวมทั้งเกาะต่างๆ) จึงต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ แต่หลายคนก็มองวิกฤติเป็นโอกาสจึงเตรียมสร้างท่าเรือ (น้ำอุ่น) ที่สามารถนำเรือมาจอดเทียบท่าได้ตลอดทั้งปี (เพราะน้ำไม่กลายเป็นน้ำแข็ง) ขณะที่บริษัทน้ำมันก็เตรียมสำรวจหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ แม้แต่บริษัทขนส่งและเดินเรือก็เริ่มมีการวางแผนเปิดเส้นทางเดินเรือในแถบนี้เช่นกัน

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ครับ!!

credit:Paow007

l2note
28th January 2013, 21:46
อยากไปเที่ยว มัลดีฟส์ :yes

burnsarm2
28th January 2013, 21:54
หมู่เกาะอินโดนีเซีย นี่มัน Far Cry 3 ชัด ๆ

hetappi
28th January 2013, 21:55
ผมอยากไป เดดซี่ แต่ผมกลัว ซอมบี้ :o

matsushiro
28th January 2013, 22:01
ผมนึกว่า จะมี yellow stone ที่เลื่องชื่อเสียอีกเพราะเห็นคำว่า "ก่อนจะสายเกินไป" ฮ่าๆ

neroza006
28th January 2013, 22:03
อยากไปเที่ยว มัลดีฟส์ :yes
เหมือนกันเลยครับ

FarrellPete
28th January 2013, 22:07
ประเทศไทยผมยังเที่ยวไม่หมดเลย

hisawahiroki
28th January 2013, 23:29
ปัญหามันติดอยู่ที่ Money!! ไปหมดนี่คงหมดเป็นล้าน