PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Die together ผมไม่ยอมตายคนเดียวคนเดียวหรอก(Light Novel)



santisook01
29th March 2013, 15:04
จบแล้วนะคราบบ สำหรับ “Die together ผมไม่ยอมตายคนเดียวหรอก” แบบ Light Novel ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครติดตามก็ตามที เรื่องนี้ผมคิดยากมากจริง ๆ แต่งแบบไหนออกมาได้ก็ตัดทิ้งไปหมด กว่าจะได้นี่ก็ปาไปเป็นเดือนเลยล่ะครับ
สำหรับเรื่องนี้เป็นอะไรที่รวบรัดตัดตอนมาก เนื้อหารายละเอียดที่ผมคิดไว้ก็ไม่ได้ใส่มันลงไปจนหมด ยังเหลืออีกเยอะมากทีเดียวครับสำหรับความเป็นมา ข้อมูลของปีศาจ สถานที่การต่อสู้ การทำงานที่แท้จริงของ “ส.ต.จ.” ความลับจำนวนมากที่เสรีปกปิด สิ่งที่โมอยากจะบอกเสรีมาตลอด สายเวทในระดับต่าง ๆ ธาตุของผู้ใช้เวทและปีศาจ และรายละเอียดของเวทย์หรือSkill นั่นเองล่ะครับ
อันที่จริงเรื่องนี้ผมให้เพื่อนลองอ่านมาก่อนอยู่ มันบอกว่าสนุกในช่วงแรก ผมก็ไม่รู้ว่ามันสนุกในตอนไหนกันแน่ เพราะคนเขียนนิยายอย่างผมมันอ่านของตัวเองจนเอียนมากแล้วก็เลยไม่รู้ว่ามันสนุกหรือไม่สนุก
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ชาว Jokergameth ทุกท่านที่ช่วยติดตามและอ่านนิยายเรื่องนี้ของผม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าที่ควรเพราะมันเป็นเรื่องแรกเลยที่ผมลงทุนเขียนจนจบ ถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็ขอความกรุณาด้วยนะครับ และก็ขอขอบคุณเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษากับผมมาตลอดด้วยครับ อีกอย่างขอฝากนิยายแนว Action, Sci-fi, Survival เรื่อง “Boker มหาคนไม่เคยตาย” และอีกเรื่องที่เป็นแนว Action, War, Fantasy, Romantic เรื่อง “Frozen Heart บุรุษผู้หลับใหล” ที่ผมตั้งใจแต่งอย่างมากให้ไปอ่านด้วยนะครับ
ปล. ภาคต่อไปผมเอาเต็มที่ให้ดีกว่าภาคนี้ร้อยเท่าแน่นอนครับ

วันที่เขียนจบ Die together ผมไม่ยอมตายคนเดียวหรอก – 10/09/2013


http://upic.me/i/f6/dietogetherpic2.jpg (http://upic.me/show/47002614)


http://upic.me/i/yt/dietogether.jpg (http://upic.me/show/44023975)

http://upic.me/i/vc/yc0pa.jpg (http://upic.me/show/44023976)


เเรื่องย่อ
ส.ต.จ. องค์กรลับขนาดใหญ่ที่เสรี เด็กหนุ่มผู้ชอบสร้างความลับและพยายามปกปิดมันสังกัดอยู่ ต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดเมื่อรู้ว่าปีศาจต้องการที่จะเด็ดหัวของเขา(และทำไมต้องเป็นเขา) และทำลายฐานที่มั่นหรือบ้านของพ่อและแม่ เมื่อปฏิบัติการจู่โจมหมู่บ้านของเสรีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีเริ่มขึ้นมันทำให้เขาต้องคลายความลับที่มีอยู่ออกมาหมดเปลือก จนต้องทำให้เสรีต้องพยายามสร้างความลับต่อไป เพราะมันคือความสุข
ปล. ผมไม่เคยทดสอบ มีแต่ลงปฎิบัติจริงอย่างเดียว

ผมลงแบบดาวโหลดให้นะครับ เป็นไฟล์ PDF
ตอนที่ 1 ผมเสรี (http://download1510.mediafire.com/7s9snh8e3yjg/sml84b2brho4org/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+1+%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5.pdf)

ตอนที่ 2 ปาก้อนหิน (http://download949.mediafire.com/n8mh3jqrnuig/gb063cv5oq9fgkm/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+2+%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99.pdf)

ตอนที่ 3 นอนกลางวัน (http://download1477.mediafire.com/pdt0bif2biqg/woblnqa283o04xe/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+3+%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.pdf)

ตอนที่ 4 หยุดหัวเราะ (http://download1076.mediafire.com/m888eknoowtg/wa4u2o4tqwa342c/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+4++%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0.pdf)

ตอนที่ 5 สร้างบ้าน (http://download1475.mediafire.com/gs8n1uv87pag/808u59kdedefjwk/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%88+5+%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.pdf)

ตอนที่ 6 เสริมกำลัง (http://download1498.mediafire.com/gz6rvzh3l4lg/kb9x8ivsj0qeby8/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+6+%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87.pdf)

ตอนที่ 7 เมฆาทมิฬ (http://download1336.mediafire.com/qig9tcq9kpug/20221s7fo8n800d/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+7++%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%AC.pdf)

ตอนที่ 8 จุดจบแห่งแสงสว่าง (จบภาค “ผมไม่ยอกตายคนเดียวหรอก” ) (http://download1484.mediafire.com/jebrbiqmr3ug/ho875m7x1dynj1c/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+8++%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%28%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84+%E2%80%9C%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%81%E2%80%9D+%29.pdf)


อ่านแล้วก็ช่วยติชมกันด้วยนะครับ ถือว่าผมขอร้อง

โปรเจกนี้้ถือว่าเป็นโปรเจ็คที่ตรวจสอบมาดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา


http://upic.me/i/tg/dietogetherpic5.jpg (http://upic.me/show/47002605)

santisook01
2nd April 2013, 15:12
ตอนที่ 1 : ผมเสรี
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ปี 2013
“ฮ้า”
ผมสูดอากาศยามเช้าอันบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด และปล่อยลมออกมาอย่างสบายใจ นี่คงจะเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์ที่ผมตื่นเช้าเป็นกับเขาบ้าง ปกติผมเป็นคนที่นอนดึกอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่อยากนอนดึกไปแบบนี้บ่อย ๆ หรอกครับเดี๋ยวมันจะส่งผลต่อหน้าตาอันหล่อเหลาของผมได้
“ไงเสรีวันนี้ตื่นแต่เช้าจังเลยนะ ก็ว่าอยู่วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ ว่าไหม ?”
ครับเหมือนจะเป็นอย่างที่เธอพูดไป เธอผู้นั้นมีชื่อว่า “โม” เป็นผู้หญิง เป็นเพื่อนข้างบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กของผม เป็นคนน่ารัก ตัวเล็ก คล่องแคล่ว มักมีเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลา นั่นน่ะก็เพราะว่าโมเส้นตื่นระดับพระกาฬเลยล่ะ ถึงแม้ว่ามุขนั้นจะฝืดหน่อยก็เถอะ แต่ก็ยังหัวเราะออกมาได้ เสียงของโมก็เล็กน่ารักอีกด้วย บ้านของผมและบ้านของโมอยู่ติดกันเลยได้เจอกันอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่ได้เห็นกันตลอดหรอก เพราะโมเขาเรียนโรงเรียนในเมือง ส่วนผมก็เรียนโรงเรียนมัธยมของตำบลที่เจอกันก็แค่วันที่ไม่ได้ไปโรงเรียนซะส่วนใหญ่
อีกอย่างผมลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อ “เสรี” เพศชาย อายุ 17 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 หน้าตาดี(ก็ไม่มากนักหรอก) เพื่อนไม่ค่อยมี พูดไม่เก่งแต่ถ้าผมได้คุยกับคนที่สนิทหน่อยก็พูดได้แบบคนปกติทั่ว ๆ ไป ถ้าถามผมว่ามีแฟนหรือเปล่าก็ตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่าไม่มี และไม่เคยมีเลยซักคน ก็ไม่รู้สินะเหมือนผมจะไม่รู้วิธีทักคนให้มากลายเป็นเพื่อนเอาซะเลย เมื่อก่อนผมน่ะมีเพื่อนเป็นฝูงสนุกสนานกันเกรียวกราว แต่เพื่อนที่เคยมีตอนนั้นผมก็ย้ายหนีเจ้าพวกนั้นออกมา อยู่ชนบทหรือบ้านนอก(ตามครอบครัวน่ะครับ) ที่เป็นบ้านเกิดของยาย แม่ พี่ชายคนโต และพี่สาวคนรอง ผมเป็นคนสุดท้อง และผมก็ยังมีพี่สาวแสนสวยอีกคนหนึ่งด้วย รวมผมและพี่ทั้งหมดก็ 4 คน แต่ที่อยู่บ้านจริง ๆ ตอนนี้ก็แค่ผมกับพ่อและแม่แหละครับ พี่คนอื่น ๆ ก็ไปทำงาน ไปแต่งงาน และกำลังเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัดกันหมด
“นั่นน่ะเป็นเพราะว่าโลกใบนี้ต้องการที่จะต้อนรับชั้นผู้สุดเทพแห่งสามโลกอย่างสมเกียรติที่สุดยังไงล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“เพี้ยนที่สุดในสามโลกต่างหากล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
‘แย้งซีนหัวเราะเราไปซะงั้น หัวเราะทีหลังดังกว่าสินะ’
ผมยืนโต้ตอบกับเธอในสวนข้างบ้านของผม และโมที่กำลังรดน้ำผักในแปลงผักข้างบ้านของเธอ
“นี่โมได้เช่าการ์ตูนมาอ่านรึเปล่า ถ้าเช่ามาเอามาให้เราอ่านมั้งดิ นะนะนะ”
อีกอย่างผมเป็นคนชอบดูการ์ตูน อ่านการ์ตูน และวาดการ์ตูน เป็นชีวิตจิตใจ ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตผมจะมีแต่การ์ตูนไปทั้งหมดหรอก ถ้าเป็นพวกอนิเมะ(การ์ตูนที่ออกมาในรูปแบบวีดีโอ)ผมไม่มีปัญหาหรอกเพราะผมไปโหลดมาจากร้านเน็ตในตำบลมาตลอด แต่ถ้าเป็นมังงะ(การ์ตูนที่เอาไว้อ่านกันทั่วไป) ก็คงต้องเป็นโมที่ได้เข้าเมืองอยู่ตลอด โมก็เป็นคนที่ชอบการ์ตูนเหมือนกันแต่คงไม่มากเท่าผมหรอก ที่ดีกว่านั้นก็คือมังงะที่เธอเช่ามามีแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น
“ลูกหมาป่า 3 เล่มที่นายยืมไปยังไม่เอามาคืนเลย นี่มันก็ใกล้จะกำหนดส่งแล้วนะ”
“อ้ออันนั้นเหรอเดี๋ยวเอามาให้พึ่งอ่านจบไปเมื่อคืน แต่ว่าเราขออันที่โมไปเช่ามาอ่านซักเล่มหน่อยนะ นะนะนะ”
อ้อนจริง ๆ เลยผมเนี่ย ทำยังกับหนุ่มสาวจีบกัน แต่ผมคงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกเพราะเห็นได้ยินมาว่าโมมีแฟนแล้วแถมยังหล่อและฉลาดกว่าผมอีกหลายเท่าเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไปเลย
“เออ ๆ ถ้างั้นแกก็รีบไปเอามาคืนชั้น เดี๋ยวชั้นจะเข้าไปเอามาให้ ว่าแต่เมื่อวานนายไปทำอะไรทำไมกลับบ้านมืดค่ำจังตั้ง 2 ทุ่มแหนะ”
“เออเมื่อวาน เมื่อวาน . . . เราไป . . . ทำรายงานที่บ้านเพื่อนมาน่ะ มันกว่าจะเสร็จก็ปาไปหลายชั่วโมงแล้ว ก็ไม่ได้ดูนาฬิกาด้วยสิมันก็เลย . . .”
“เออ ๆ รีบไปเอามาให้ชั้นแล้วเอามาแลกกัน คิดไปคิดมาเหมือนชั้นจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการแลกเปลี่ยนเลยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า พูดเป็นทางการไปได้ ฮิ ฮิ”
“อะไรกันบ้าคนละป่าวเนี่ยหัวเราะซะงั้นแถมยังมีเสียงหัวเราะแปลก ๆ ตามหลังมาอีก ช่างน่ากลัวจริง ๆ แต่ก็ขอบคุณนะมีแต่เรื่องสนุก ๆ ทั้งนั้นเลยนะเนี่ยที่โมเช่ามาเนี่ย ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างเธอจะมีดีเป็นกับเขาบ้าง หึ หึ หึ”
“ว่าแล้วว่ามันต้องกลับมาแบบนี้ตลอด ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
¬¬¬¬‘บ้าผิดมนุษย์จริง ๆ ด้วย เฮ้อ . . .ตะกุกตะกักชะมัดเลยเรา สงสัยคงจับผิดเราได้แล้วสินะ โกหกไม่เนียนซะขนาดนั้น’ ผมและโมกลับเข้าไปในบ้านของตัวเองเพื่อไปเอาการ์ตูนเก่ามาแลกเอาการ์ตูนใหม่ ¬¬‘อย่างที่โมพูด ยัยนั่นเสียเปรียบเราจริง ๆ ล่ะนะ งั้นก็เอาอนิเมะที่ก็อบไว้ให้ด้วยดีกว่า’ ผมไปหยิบของที่จะให้โมและเดินออกมา จากนั้นก็
ฟ่อ !!!
“เสรี งู งู! ที่สวนนายน่ะ มีงู เสรี”
‘งูเหรอ มีงูเข้าบ้าน?’
โมร้องเรียกผมแบบเสียงหลง ผมเลยรีบวางของและวิ่งตรงออกมาที่สวนข้างบ้านทันที เมื่อมาถึงผมก็เห็นโมตกใจกลัวจนตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก หน้าซีดเผือด เพราะเห็นงู เห็นแบบนี้ผมก็หยุดชะงักทันที เพราะที่ผมเห็นมันเป็นงูที่มีขนาดใหญ่มาก ถ้าจากจากสายตาของผมแล้วตัวมันน่าจะยาวประมาณ 8-9 เมตร ถือว่าใหญ่มากเลยล่ะ ลายมันเหมือนงูหลามทั่วไป แต่ผมไม่เคยเห็นงูหลามที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้งูตัวยักษ์มันกำลังขู่ผมที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ ผมจำต้องถอยหลังกลับสองก้าวแล้วกลืนน้ำลายลงคอจนหมดปาก ตอนนี้เหมือนผมโดนสะกดด้วยเวทย์มนต์อะไรสักอย่างจนผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ อันที่จริงไม่ใช่เพราะงูหรือใครสะกดผมหรอกนั่นเป็นเพราะผมตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าต่างหาก จากนั้นผมก็พยายามเรียกสติกลับคืนมา จ้องมองและนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้รู้ว่างูตัวนี้เหมือนงูที่เป็นสัตว์เลียงของแขกที่มาบ้านผมเมื่อวาน ซึ่งแขกคนนี้ก็เป็นคนที่ไม่ได้รับเชิญให้มาหรอก ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ นั่นก็เพราะ ที่หัวของมันปรากฏสัญลักษณ์เป็นรูปตราสีแดงสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสัตว์ที่มีเจ้าของแล้วหรือสัตว์เลี้ยง และมีตัวอักษรอ่านว่าลิซาอยู่ตรงกลางสัญลักษณ์สามเหลี่ยมนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่ผมเคยเห็นบนหัวของงูตัวนั้นเมื่อวาน
“อะไรกันเมื่อวานเจ้างูตัวนี้ยังตัวเล็กน่าชังอยู่เลย พอมาตอนนี้มันไปแดรกอะไรมากัน! ถึงได้ใหญ่ยิ่งซะขนาดนี้ หรือว่าเป็นการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกันนะ ไม่ ไม่ใช่แล้ว”
. . .
ตอนนี้ผมกับเจ้างูยักษ์กำลังจ้องตากันเขม็ง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมละสายตาจากกันและกัน เหมือนกลายเป็นเกมที่ว่า ถ้าหากว่าใครขยับก่อนฝ่ายนั้นก็จะแพ้ไป ผ่านไปซักพักมันก็สงบและหดตัวเล็กลงอย่างช้า ๆ ตอนที่มันหดตัวลงเท่านั้นแหละผมพูดอะไรไม่ออกเลยแบบที่ว่าในชีวิตพึ่งจะเจอและรับรู้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนมันจะจำผมได้ และผมก็จำมันได้แต่จำได้ก่อนมัน เมื่อหดตัวเล็กลงเท่าดินสอแล้วมันก็เลื่อยเข้ามาหาผมที่ยังยืนขาแข็งอยู่
“ตัวใหญ่ แต่ใจปลาซิวจริง ๆ นะเจ้าเนี่ย”
¬¬¬¬¬‘เสียงของเธอช่างชวนลุ่มหลงจริง ๆ มันช่างลึกล้ำและมีเสน่ห์อะไรอย่างนี้ เหอะแต่ไม่มีทางที่เธอจะชิงใจอันบริสุทธิ์ของผมไปได้หรอก’ เธอที่ว่าน่ะคืองูดินสอตัวนี้แหละครับ ฟังเสียงของเธอทีไรถึงกับระทวยทุกที จากที่แข็งทื่อไปทั้งตัวแต่ตอนนี้มันเหมือนคนที่มีร่างกายอ่อนแอ ไปซะอย่างงั้น แม้ว่าเมื่อวานผมจะได้คุยกับเธออยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะได้คุยกับเธอยาวเลยล่ะดีใจสุด ๆ ถังจะพูดไม่เก่งแต่ก็จะพยายามให้ได้
ปุ่ง ปุ่ง ปุ่ง ปุ่ง ปุ่ง ปุ่ง เอี้ยด!!!
“เสียงนี้มัน เหมือนกับเสียงรถของแขกที่มาหาเมื่อวานเลย โอ้รถคันนี้ช่าง...”
ผมเห็นแขกคนเมื่อวานคนนั้นขี้รถอันแสนจะทรุดโทรมมาอย่างรวดเร็วแบบไม่คิดชีวิต(ของรถ) เขาเปิดประตูรถออกและปิดกลับอย่างรุนแรงจนประตูรถของเขาพังและร่วงลงมากองที่พื้น เขาคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาหางูดินสอทันที โดยไม่คิดถึงชะตากรรมของรถเลย
“โถ่ลิซา ผมขอโทษ เป็นความผิดของผมเอง เพราะผม เพราะผม คุณถึงต้อง ฮือ ๆ ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ได้โปรดลงโทษผมด้วย ลิซา ฮือ ๆ ฮือ ๆ”
“โถนายท่านอย่าร้องเลย ข้าไม่เป็นอะไรหรอก และก็ไม่ต้องขอโทษข้าด้วยหยุดร้องเถอะนะโอ้ ๆ”
“จริง ๆ นะไม่โกรทผมแล้วใช่ไหมลิซา เธอช่างดีอะไรอย่างนี้ผมไม่คิดผิดเลยจริง ๆ ที่เลือกเธอ ถ้างั้นเรากลับบ้านของเรากันเถอะนะ เอ่อเดี๋ยวก่อน”
“หายเร็วจริง”
ผมพูดออกมาเพราะแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำของงูดินสอก็ทำให้แขกคนนั้นยิ้มได้ทันที
แขกคนนั้นเดินมาหาผมและก็พูดขอบคุณจากใจจริงของเขา ผมเห็นแล้วก็ช่างเป็นภาพที่น่าประใจและน่ายกย่องยิ่งนัก ผมก็บอกกลับกับเขาไปว่าไม่เป็นไร ในตอนนี้น้ำตาของเขายังไหลไม่หยุด จากนั้นเขาก็เดินไปหางูดินสอและกลับไปยังรถของเขา นั่นผมคิดว่าเป็นซากรถซะมากกว่า
“เพื่อเป็นการชดใช้ความผิดของผม เดี๋ยวผมจะซื้อรถคันใหม่ให้เธอได้นั่งเลยดีมั้ย . . .”
ตอนนี้ผมก็คงทำได้แค่ยืนมองแขกคนนั้นและงูดินสอที่มีเสียงอันไพเราะขี้เศษเหล็กออกไปอย่างช้า ๆ ดูเหมือนผมกำลังผิดหวังกับอะไรบางอย่างที่มันน่าเสียดายมาก พอนึกขึ้นได้ ผมก็เข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้นทันที และคิดว่ามันจบซะแล้วเหรอชีวิตของผม
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ยัยโมหัวเราะดังลั่นและชี้มาทางผม สงสัยคงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม
“ไอ้เสรีหัวเน่าซะแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ชิ หัวเราะไปเถอะ ทีตัวเองหน้ายังกับไข่ต้มร้องเรียกคนอื่นช่วย”
“ชั้นไม่ได้ร้องเรียกให้ช่วยซักหน่อยแค่เรียกให้นายมาดูงูเท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
‘บ้าจริงเจ็บใจชะมัด ฝากไว้ก่อนเถอะยัยลิงเผือก’ ผมค่อย ๆ ทรงตัวลุกขึ้นและลากขาเดินกลับเข้าบ้าน โชคดีที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ เลยไม่ต้องเหนื่อยมาหาเหตุแก้ต่างว่าทำไมงูตัวเบ่อเริ้มมาอยู่ในสวนข้างบ้านของผม ที่เกือบเกิดเหตุก็คงต้องเป็นเพราะยัยโมส่วนหนึ่งที่ร้องลั่นออกมา ‘แล้วตอนนี้พ่อกับแม่ไปไหนซะแล้วเนี่ยตื่นมายังไม่เห็นใครซักคนเลย และก็ยังไม่อยู่ตอนที่เกือบจะเกิดเหตุยุ่งยากตลอด’
“เฮ้เสรีเดี๋ยวก่อน การ์ตูนน่ะการ์ตูน”
“หึ ยังมีกะจิตกะใจจะเอาอีกนะ อืมคราบ ๆ ได้เดี๋ยวนี้แหละคราบ”
ผมเดินลากขาหยิบของและเดินออกจากบ้านไปหาโมด้วยสีหน้าบอกลาโลก ยังกับคนไร้เรี่ยวแรงในเอ็มวีเพลงเศร้า ผิดกับโมซึ่งแม้จะพึ่งเจอเหตุประหลาด ๆ ยังร้องหาการ์ตูนอยู่แถมยังทำหน้าระรื่นอีก
“นี่งูใหญ่ตัวใหญ่ ๆ เมื่อกี้ ที่หดตัวลงเท่าปากกานั่นน่ะเป็นสัตว์เลี้ยงของคนที่ขับรถเก่า ๆ เมื่อกี้เหรอ”
“ออเมื่อกี้น่ะเหรอ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง . . . เอว่าแต่คนอย่างโมดูออกด้วยเหรอว่าเป็นสัตว์เลี้ยง ครั้งที่แล้วยังไปเห็นปีศาจที่นึกว่าเป็นสัตว์แล้วดันไปลูบหัวมันซะเกือบเอาตัวไม่รอดเลยไม่ใช่เหรอ”
“ระ ระ เรื่องนั้นแกรู้ได้ไง”
โมอายจนหน้าแดงไปหมดและไม่โต้ตอบกลับมาแต่อย่างใด ผมก็เลยลองเปลี่ยนเรื่อง
“อะนี่ลูกหมาป่า 3 เล่มและก็นี่ อนิเมะเราก็อบมาให้ คราวนี้ถือว่าได้เปรียบเสียเปรียบเท่ากันแล้วสินะ”
“อะ. . . อืม เออก็ดีเหมือนกัน แล้วอนิเมะที่ว่าเป็นแบบไหนล่ะ ไม่ใช่ว่าเอาแนวฮาเร็มมาให้ฉันดูหรอกนะ”
“หะ หะ ไม่หรอก ๆ คิดว่าเราเป็นคนยังไงกัน ขอรับรองว่าอันที่เราก็อบให้ดูดี ดูดี ดูดีและดูดีสุด ๆ ไปเลย เอาหัวโมเป็นประกัน และไม่คิดจะขอบใจกันบ้างเลยเนาะ”
“บ้าอะไรของนายเนี่ยเอาหัวคนอื่นมาประกันในเรื่องของตัวเองที่ควรจะต้องรับผิดชอบ งั้นก็ขอบคุณนะ”
“ล้อเล่นน่าล้อเล่น ไม่เป็นไรหรอก”
หลังจากนั้นเราทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องเรื่องงูดินสอที่โมบอกว่าเท่าปากกาด้วยกัน ผมก็เล่าซะยาวเลย
จากเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้คงสงสัยกันอยู่นะว่ามันเป็นอะไร ไปมายังไงกัน ถ้างั้นก็จะเล่าให้รู้ ณ ตรงนี้ล่ะนะ ผมก็อยากจะปกปิดมันอยู่หรอกแต่ผมเป็นคนโกหกไม่เก่ง ที่ว่าต้องปกปิดก็เพราะมันเป็นความลับระดับสูง แต่พูดไปคงไม่มีใครเชื่อ
ที่ผมเล่ามาตั้งแต่แรกที่ว่าผมเป็นใคร ครอบครัวเป็นยังไง และก็บ้านเกิดอยู่ไหน นั่นน่ะเป็นจริงเกือบทั้งหมด ส่วนที่ไม่จริงก็คือพ่อกับแม่ผมที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ไม่ใช่ตัวจริง ที่ว่าไม่ใช่ตัวจริงนั่นก็เพราะว่าพ่อกับแม่ของผมมีงานที่ต้องทำอยู่ที่สำนักงานหลักภายในภูมิภาคเลยให้พ่อแม่ตัวปลอมมาแทนเพื่อไม่ให้คนสงสัยว่าทำไมผมถึงได้อยู่คนเดียวแล้วพ่อแม่หายไปไหน ผมมีหน้าที่ที่จะต้องเรียนและฝึกงานจึงต้องมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ อันที่จริงผมจะต้องอยู่อีกจังหวัดหนึ่งแต่ดันทำตัวไม่ได้เรื่องพ่อแม่เลยตัดสินในย้ายผมมายังที่นี่ และเพื่อเป็นการฝึกฝนของผมด้วย ผมอยู่ที่หมู่บ้านนี้ก็ได้ซักเกือบ 4 ปีแล้วหลังจากที่ย้ายเข้ามาครั้งล่าสุด เพราะตอนที่ผมยังเรียนอนุบาลก็ย้ายมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง พอกำลังจะขึ้น ป.6 พ่อผมก็ได้รับงานให้ไปประจำการที่อีกจังหวัดผมก็เลยต้องย้ายตาม แต่ครั้งนี้ที่ย้ายมามีเพียงแค่ผม เหตุผลที่ว่าทำไมมีเพียงแค่ผม พ่อกับแม่ของผมคงต้องการที่จะดัดนิสัยผมนั่นล่ะมั้ง ผู้ที่รู้ความลับเหล่านี้เป็นก็มีพ่อแม่ที่เป็นตัวปลอมของผมที่ย้ายเข้ามาประจำการที่หมู่บ้านแห่งนี้พร้อมผม และก็ครอบครัวของโม ถ้ารวมทั้งหมดแล้วก็จะมีทั้งหมด 6 คนที่มาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ในฐานะตัวแทนของ “สหพันธ์ต่อต้านสิ่งชั่วร้ายแห่งจักรวาล” ซึ่งมีตัวย่อว่า “ส.ต.จ.” ถึงแม้ว่าชื่อมันออกจะฟังดูไม่เข้าถ้าก็เถอะ แต่ถ้าว่าสหพันธ์มันก็ต้องยิ่งใหญ่มากอยู่ ส.ต.จ.นี้เกิดจากการรวมตัวกันของสหภาพศักดิ์สิทธ์เหนือ และสหภาพศักดิ์สิทธ์ใต้ โดยทั้งสองสหภาพนี้ได้ทำงานร่วมกันมายาวนานจึงตัดสินใจก่อตั้ง “สหพันธ์ต่อต้านสิ่งชั่วร้ายแห่งจักรวาล” หรือ ส.ต.จ. โดยผู้คิดริเริ่มการรวมตัวของสองสหภาพนี้ว่ากันว่าเป็นตัวแทนของเทพผู้สร้างโลก และไม่ได้มีแค่คนเดียวถ้าที่ผมจำได้ก็จะน่ามีอยู่ 12 คน โดย ทั้ง 12 คนนี้จะคอยตัดสินใจ ลงมติ แต่ตั้ง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ส.ต.จ. เกือบทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดเลย ถ้าจะให้เล่าว่าสหพันธ์ที่ว่านี้เป็นอะไร ทำไรบ้าง มีจุดประสงค์หรือหน้าที่หลัก ๆ อะไร ก็ตามชื่อของสมาพันธ์โดยส่วนใหญ่
สหพันธ์ต่อต้านสิ่งชั่วร้ายแห่งจักรวาลนี้มีสาขาหลักของโลกอยู่สองที่ คือขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้หรือก็คือสหภาพศักดิ์สิทธ์เหนือและสหภาพศักดิ์สิทธ์ใต้ตามลำดับ ในแต่ละที่ที่มีคนของ ส.ต.จ. ไปประจำการอยู่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนปีศาจ ระดับความอันตรายของเขตนั้น ๆ หมู่บ้านที่ผมอยู่ถือว่ามีปีศาจมากที่สุดในหมู่บ้านทั้งหมดของภูมิภาคนี้ คนที่มาประจำการก็จะต้องมีเยอะตามกันไป แต่ตอนนี้สมาชิกของ ส.ต.จ. มีน้อยมากอันที่จริงหมู่บ้านที่ผมอยู่ ควรจะมีคนมาประจำการไม่มากกว่านี้ แต่ด้วยจำนวนคนที่มีไม่เพียงพอจึงต้องส่งคนส่วนใหญ่ไปในเขตพื้นที่ที่เสี่ยงภัยกว่าหรือเขตพื้นที่สีแดง
อันที่จริงครอบครัวของผมได้รับเลือกให้เข้า ส.ต.จ. ตั้งแต่รุ่นทวดแล้ว เข้าด้วยวิธีไหนผมไม่อาจรู้ได้ หลังจากที่ได้รับเลือก ปู่ของผมก็สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและตระกูลโดยงานแรกของคือ การนำลูกทีมป้องกันหมู่บ้านที่ถูกปีศาจบุก และนำพาผู้คนฝ่าดงปีศาจแล้วรอดตายกลับมาทุกคนซึ่งนั่นเป็นงานแรกของปู่ที่ได้เป็นหัวหน้าทีมในการปฏิบัติภารกิจ หลังจากนั้นก็ได้รับแต่ตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้นและสามารถทำงานสำเร็จไปเกือบทุกงานสร้างความภาคภูมิใจและเป็นที่ยอมรับของ ส.ต.จ. มากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองกำลังพิเศษแห่ง ส.ต.จ.ของเขตทวีป สุดยอดมากเลยใช่ไหมล่ะปู่ผม เพราะมันเป็นตำแหน่งที่สูงมากเลยล่ะปัญหาอยู่ที่งานสุดท้ายที่ปู่ไปทำ
งานสุดท้ายของปู่นั้นถูกตั้งชื่อว่า “หมื่นปีศาจ” ตามสถานการณ์ที่เกิด เหตุการณ์หมื่นปีศาจนี้ทำให้ปู่และทีมเสียชีวิตจากการที่ติดกับดักของพวกปีศาจขณะออกปฏิบัติการลับ ถึงแม้ว่าปู่และทีมของปู่จะพอต้านทานพวกปีศาจได้ แต่ด้วยจำนวนของปีศาจที่มีมากกว่าและหลั่งไหลมาแบบไม่ขาดสายเหมือนน้ำหลากฤดูฝน ด้วยเหตุนั้นปู่และทีมก็ไม่อาจต้านทานได้ จนพ่ายแพ้ไปในที่สุด เมื่อ ส.ต.จ. รู้เช่นนั้นก็ได้จัดส่งกองกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มพิกัด และส่งไปในทันที จึงเหมือนเกิดสงครามขนาดย่อย ๆ ขึ้น ถึงอย่างนั้นกองกำลังที่ไปช่วยเหลือก็ไม่สามารถเข้าถึงได้เลยซักกอง เพราะปีศาจที่มีจำนวนมหาศาลอยู่แล้วได้สกัดกั้นทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือปู่และกองกำลังของปู่ หนึ่งในกองกำลังที่เข้าไปช่วยเหลือมีพ่อของผมที่เป็นผู้นำ ไม่ว่าจะทำยังไงพ่อก็ไม่สามารถผ่านกองทัพปีศาจที่มีจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าไปช่วยปู่ได้ มิหนำซ้ำยังบาดเจ็บปานตายกลับมา จากเหตุการณ์หมื่นปีศาจถือได้ว่าเป็นการสูญเสียบุคคลและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ครั้งสำคัญมากของ ส.ต.จ. เพราะปู่และคนในทีมถือได้ว่าเป็นแกนหลักของ ส.ต.จ. มาโดยตลอด ความเสียหายของ ส.ต.จ. ในครั้นนั้นถือว่ารุนแรงมากที่สุด โดยทางหน่วยข่าวกรองก็ไม่เคยเจอกับความร้ายกาจของพวกปีศาจว่าจะมีมากกว่าที่คิดไว้หลายเท่า พ่อที่หายจากการบาดเจ็บก็ทำงานและอุทิศตัวให้กับ ส.ต.จ. เพื่อเป็นการชดใช้ที่ไม่สามารถช่วยปู่ได้ พลางคอยสั่งการสายลับพิเศษของ ส.ต.จ. คอยสืบเรื่องที่ว่าใครเป็นคนคุมกองทัพปีศาจนับหมื่นนับพันได้อย่างมีระเบียบแบบแผนที่แยบยนได้ถึงขนาดนี้ จากความดีความชอบนั้นพ่อก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้บังคับบัญชาการทหารในสาขาภูมิภาค ความคืบหน้าจากการสืบหาผมไม่รู้หรอกเพราะพ่อไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ให้ใครฟังซักคนแม้แต่ผม
หลังจากที่ผมเล่าเรื่องงูกับโมจบก็เดินกลับเข้าบ้าน ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นฟันซี่เล็กของตัวอะไรซักอย่าง มันแหลมและเล็กมากคล้าย ดู ๆ ไปก็คล้ายฟันงู ฟันนั้นมันขาวมากและสะท้อนแสงระยิบระยับจนผมต้องเก็บมันขึ้นมาดู ผมเพ่งดูฟันซี่นั้นและหมุนไปมา
“เหมือนมีตัวอักษรอะไรซักอย่างเลยแฮะ แต่ตัวเล็กชะมัด ลองใช้แว่นขยายส่องดูดีกว่า”
ผมรู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ กับฟันซี่นี้ พอหาแว่นขยายเจอก็รีบเอามาส่องดูมันทันที จากนั้นผมก็เห็นเป็นตัวอักษรจริง ๆ แต่มันเล็กมากผมอ่านไม่ถนัดเลยใช้เวลาอยู่นานจนรู้ว่ามีตัวอะไรบ้าง โดยปรากฏตัวอักษรคือ
L.
“ตัวย่อแอลเหรอคุ้น ๆ แฮะ อะหรือว่าจะย่อมาจากคำว่าจดหมาย ใช่ต้องใช่แน่”
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้นแล้ว และรีบวิ่งไปชั้นหนังสือที่อยู่กลางบ้านเพื่อหาหนังสือที่เคยเรียนมาในชั้นเรียน ส.ต.จ. ตอนสมัย ม.ต้น หนังสือที่ผมหามีชื่อว่า “ลับจากอักษร” โดยเนื้อหาจะเกี่ยวกับการสร้างความลับจากข้อความที่ไม่อยากให้คนนอกรู้ อันที่จริงผมชอบหนังสือเล่มนี้มากเลยก็พอจำได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกัน ผมรื้อหนังสือลงมาอย่างไม่สนใจว่ามันจะรก ไม่เป็นระเบียบ ผ่านไปเกือบสิบนาทีในที่สุดผมก็หาเจอ
“อะ หาเจอแล้ว ไหนดูซิ สารบัญ. . .จดหมายจากฟันงู อะนี่ไงเจอแล้ว”
เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการแล้วผมก็เริ่มอ่านด้วยความตั้งใจ ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบหนังสือทางวิชาการ
“อา. . .จดหมายจากฟันงู”
จากนี้จะเป็นเนื้อหาของจดหมายจากฟันงู ในหนังสือ ลับจากอักษร ที่ผมกำลังอ่าน

จดหมายจากฟันงู
คิดค้นและบันทึกโดย : ศ.ฟ็อกซ์ ดา ลอง
วันเดือนปีที่บันทึก : xx/xx/2xxx
ประเภท : ข้อความลับ(ด่วน)
รายละเอียด :
จดหมายจากฟันงูนี้เกิดจากการทดลองของ ศ.ฟ็อกซ์ ดา ลอง นอกนั้นขอปิดเป็นความลับ
วิธีการ:
1.เมื่อคุณเห็นงูขนาดใหญ่ และงูขนาดใหญ่นั้นไม่ทำร้ายคุณ หลังจากนั้นมันจะเข้ามาหาคุณด้วยขนาดตัวที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และพูดกับคุณซักประโยค แสดงว่าได้มีการส่งจดหมายนั้นให้คุณแล้ว
2.เมื่อคุณเจอฟันนั้นแล้วและพบว่ามีตัวย่อ L. สลักอยู่นั่นก็แสดงว่าเป็นจดหมายของจริง คำเตือนให้ตรวจดูตัวอักษรให้แน่ชัดก่อน
3.เมื่อได้มาแล้วให้นำไปแช่น้ำนาน 1 นาทีเต็มไม่ขาดไม่เกิน หลังจากนั้นให้นำไปตากแดดนาน 1 นาทีเต็มไม่ขาดไม่เกิน
4.ทำซ้ำข้อ 3. อีก 29 ครั้ง
5.เมื่อครบแล้วให้แกะฟันนั้นออกจะปรากฏเป็นกระดาษแผ่นใหญ่พร้อมข้อความนั้น หลังจากนั้นก็อ่านมันซะ
จบการอ่านเนื้อหาของจดหมายจากฟันงู ในหนังสือ ลับจากอักษร ที่ผมกำลังอ่าน
“อ่านกี่ที ๆ ก็รู้สึกว่าไอศาสตราจารย์นี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ แต่ที่อ่านมามันก็ตรงหมดทุกอย่างเลยนี่นา ทางเดียว. . .ก็คงต้องทำตามล่ะนะ”
ผมลองทำตามที่หนังสือทั้งหมดตาม 5 ข้อที่ว่ามาไม่ขาดไม่เกิน กว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบชั่วโมงเมื่อครบทั้ง 5 ข้อแล้วก็ปรากฏเป็นกระดาษ เป็นแผ่นที่ใหญ่จริง ๆ ขนาดของมันใหญ่เกือบพอ ๆ กับกระดานไวท์บอร์ดที่อยู่โรงเรียนผมเลย ผมกางออกมาจนเกือบจะเต็มห้อง พอจับดูเนื้อของกระดาษแล้วรู้สึกว่ามันจะแข็งแรงทนทานจริง ๆ แต่มันก็อ่อนพอที่จะพับหรือม้วนได้ ที่แปลกก็คือข้อความที่ผมต้องการมันไม่มีเลย ทั้งๆ ที่กระดาษมันออกจะใหญ่ขนาดนี้ พลิกกลับไปกลับมา และจ้องมองไม่ว่ากี่รอบก็ไม่มี
“บ้าจริงอุตส่าห์ทำมาถึงขนาดนี้กลับไม่มีข้อความอะไรเลยเหรอเนี่ย บัดซบ! หรือว่างูดินสอนั่นคิดจะแกล้งเรากันแน่นะ ถึงบ่นไปก็คงไม่มีประโยชน์สินะ . . . อะ! นี่มัน”
ระหว่างที่ผมม้วนกระดาษแผ่นใหญ่เข้า ก็มองเห็นข้อความข้อความหนึ่งที่สันของกระดาษ ซึ่งข้อความนี้ยังตัวเล็กเท่ากับตอนที่เป็นฟังงูอีก
“อะไรกันวะเนี่ยเรา เกือบพลาดแล้วไหมล่ะไอ้เสรีเอ๋ย”
ผมรีบไปหยิบแว่นขยายมาอีกครั้ง แล้วมาเพ่งเล็งข้อความอันแสนจะเล็กน้อยนี้ นานประมาณ 5 นาทีกว่าผมจะอ่านมันทั้งหมดออก โดยมันเขียนไว้ว่า
เตรียมตัวป้องกัน และรักษาชีวิตให้ถึงที่สุด
ถึงจะเป็นข้อความสั้น ๆ แต่ก็ทำให้ผมถึงกับคิดหนัก และหนักมากด้วย ว่าทำไมกันแล้วเราเชื่อข้อความนี้ได้มากน้อยแค่ไหนกัน เพราะก่อนหน้าผมรู้สึกมีลางสังหรณ์ผิดปกติมาตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง หลังจากที่อ่านแล้วผมก็เก็บหนังสือเข้าที่เดิมจัดสิ่งต่าง ๆ ม้วนกระดาษแผ่นใหญ่แล้วเอาซ่อนให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมาสูดเอาออกซิเจนข้างนอก
“ยังไม่มาอีกเหรอ พ่อกับแม่นั่นปกติไปไหนมาไหนนานขนาดนี้ก็ต้องบอกกันก่อนตลอดนี่นา ชักแปลก ๆ พิกลแล้วสิ”

ติดตามตอนต่อไป

titan888
2nd April 2013, 20:57
ก็สนุกดีนะครับผม

santisook01
5th April 2013, 14:38
ตอนที่ 2 : ปาก้อนหิน
หลังจากที่จบเหตุวุ่น ๆ เมื่อตอนเช้าได้ ผมก็มานั่งหน้าคอม ดูโน่นนี่นั่นอยู่นาน ก่อนหน้านั้นก็ได้รับข้อความจากพ่อแม่ตัวปลอมว่าให้หาทำอาหารกินเองไปก่อน ไม่รู้ว่าจะได้กลับตอนไหน เพราะมีธุระต้องสะสาง พอรู้แบบนั้นก็ทำให้ผมไม่ค่อยจะสบอารมณ์ซักเท่าไหร่ เพราะต้องมาอดกินอาหารอันแสนอร่อยจากฝีมือของมาจัง(แม่ตัวปลอม)แบบนี้ แถมยังมาบอกให้ทำกินเอง ! จากฝีมือของตัวเองเนี่ยนะ เส้นทางลงนรกชัด ๆ เมื่อเป็นแบบนั้นผมก็เลยเปิดเกมส์ขึ้นมาและมันเล่นอย่างสะใจพร้อมปรับลำโพงให้เสียงดังสะเทือนสะท้านไปทั้งบ้าน
ปั้ง ! ปั้ง ปัง ปัง ปัง . . .
เสียงก้อนหินที่กระทบกับหลังคาสังกะสีบ้านผมดังขึ้น และดังมากจนทำให้ผมสะดุ้งทันทีทั้ง ๆ ที่กำลังเล่นเกมส์ยิงผีอยู่แท้ ๆ ผมลดเสียงของลำโพงลงและเดินออกไปดูนอกบ้านว่าเป็นฝีมือของใคร เดินไปมารอบ ๆ บ้าน สำรวจให้แน่ใจ แต่ก็ไม่พบใครหน้าไหนซักคนหรือแม้แต่คนที่จะเดินผ่าน ผมเลยกลับมานั่งเล่นต่อและปรับเสียงลำโพงให้ค่อยลงกว่าเดิม
“คงจะไม่มีใครเคียดแค้นเราหรอกนะ”
ผมนั่งหน้าคอมและเล่นมันจนผ่านไปซักประมาณ 10 นาทีก็มีก้อนหินที่อาจจะถูกใครซักคนโยนมาใส่หลังคาบ้านผมอีก ครั้งนี้ผมสะดุ้งเกือบตกเก้าอี้ ผมรีบวิ่งออกมาดูทันที แต่ก็ยังไม่พบใครผู้ใดอีก คราวนี้ผมจะสำรวจให้ทุกซอกทุกมุมและตามหาตัวการณ์ที่เกือบทำให้ผมตกเก้าอี้ให้ได้แม้ว่าจะเป็นรูหนูหรือรังนกก็ตาม ผมเดินกลับไปปิดประตูบ้านและเดินออกมาสำรวจรอบ ๆ บ้านอย่างไม่ละเลยที่จะสังเกตสิ่งที่น่าสงสัยทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ที่อยู่ดี ๆ ก็ปลิวแล้วลอยขึ้นฟ้า หรือไม่ก็กิ้งก่าบนต้นไม้ที่อยู่นิ่งไม่ยอมขยับไปไหนเลย ‘มันช่างมีความอดทนจริงๆ’
“อ้าวเสรีทำอะไรอยู่เหรอ เห็นด่อม ๆ มอง ๆ อะไรตั้งนานแล้ว หรือว่า จะ-”
โมที่เห็นผมทำตัวเป็นนักสืบตกที่กำลังสืบหาคนปองร้ายตนอยู่
“ยอมรับมาซะดี ๆ เป็นฝีมือเธอใช่ไหม!”
ผมเก็กหน้าเข้มแล้วชี้ไปที่โมด้วยความมั่นใจ ที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ต้องหาของคดีอาชญากรรมในครั้งนี้
“เอ้ พูดอะไรของแกน่ะ ยอมรับอะไร ชั้นไปทำอะไรตอนไหน”
ท่าทางของโมลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ที่ปาก้อนหินใส่หลังคาบ้านคนอื่นไงเล่า อย่ามาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนหน่อยเลย”
“เออเดี๋ยวก่อนนะที่ว่ามาอันแรกมันก็จริงอยู่ แต่แกกำลังช้าสำนวนผิดอยู่นะ!”
ผมยิ้มออกกว้างจนจะถึงหูทั้งสองข้างอยู่แล้วและตอบกลับโมไปว่า
“ในที่สุดก็ยอมเผยความจริงออกมาแล้วสินะ กับอาชญากรกระจอก ๆ อย่างเธอน่ะ หึ หึ หึ และก็ชั้นไม่สนใจว้อยว่าจะใช้สำนวนถูกหรือผิดนั่น”
“โถ่เอ้ยเสียทีมันจนได้ เออชั้นนี่แหละที่เป็นคนโยนไปเอง”
“หะ! สารภาพออกมาแบบไร้ความสำนึกจริง ๆ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ๆ”
“นี่ไม่ใช้เวลาจะมาหัวเราะนะเฟ้ย บอกเหตุผลที่เป็นแรงจูงใจในครั้งนี้มาซะดี ๆ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ๆ ก็ดูแกพูดเข้าสิใครไม่หัวเราะก็บ้าแล้ว ฮ้า ฮ่า ฮ่า ๆ”
ดูเหมือนผมสุดจะทนซะแล้ว พูดอะไรไปก็กลายเป็นทำให้โมหัวเราะไปซะหมด ‘ก็รู้อยู่หรอกนะว่าเส้นตื่น’
“โอเค ๆ คราวนี้เราจะสนทนาด้วยภาษาดอกไม้แทน อารมณ์แรง ๆ เมื่อกี้เอาทิ้งไปซะ”
“ฮ้า ฮ่า ฮ่า ๆ นี่แกจะให้ชั้นหัวเราะจนตายเลยเหรอเนี่ย ฮ้า ฮ่า ฮ่า ๆ แคก แคก”
“นี่หยุดหัวเราะก่อนได้ไหม! เออแบบนี้แหละที่ต้องการมากที่สุดล่ะ”
กว่าการสนทนาที่ต้องใช้น้ำอดน้ำทนของลูกผู้ชายอย่างผมจะสงบลงด้วยดี โมก็หัวเราะจนท้องแข็งและพูดไม่ค่อยออกซะแล้ว
“เออ ๆ บอกก็ได้ว่าชั้นปาก้อนหินทำไม ตอนแรกก็นายเปิดลำโพงเสียงดังรบกวนการอ่านหนังสือของชั้นยังไงล่ะ”
“หา อย่ามาล้อเล่นกันเลยน่าคนอย่างโมเนี่ยนะจะอ่านหนังสือ ตายแล้วเกิดใหม่อีก 10 ครั้งยังไม่อยากจะเชื่อเลย”
ผมทำหน้าทำตาตกใจอ้าปากค้างและทำท่าทางประกอบ ยังกับว่าพึ่งเคยรู้ตั้งแต่ที่เคยมาเป็นเพื่อนกัน
โปก!
กำปั้นของโมลอยมากระแทกที่กลางหัวผมอย่างจัง
“โอ้ย ทำไรเนี่ยนี่มันหัวคนนะ”
“อย่ามาดูถูกกันให้มากนักนะ ไอ้เสรี”
“โว้ว รังสีอำมหิตของจริง น่ากลัวชะมัด”
“ไอ้เสรี!”
“คราบ ขอประทานโทษเป็นอย่างสูง ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยครับ”
ท่าทีแรง ๆ ของโมลดลงและกลับกลายมาเป็นการหัวเราะขบขันแทน
“หยุดก่อน สงบสติอารมณ์และเลิกหัวเราะซะ! อแฮ่มแล้วที่ปามา ครั้งที่สองมันหมายความว่าอะไรกัน”
“อ้อครั้งที่สองเหรอ ก็ชั้นเห็นเงียบ ๆ สงสัยว่าจะมีอะไรรึเปล่าก็เลยปาออกไป แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วนี่”
“เหตุผลอะไรฟะนั่น นี่ปาเพราะความสนุกอย่างเดียวเลยนี่หว่า เฮ้อ . . .เอาเถอะครั้งนี้เราจะยกโทษให้ วันนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ ถือว่าวันนี้เธอดวงดีก็แล้วกัน”
“ทำเป็นเก่งไปนะ นี่เสรีวันนี้พ่อกับแม่ของนายคนจะกลับช้าสินะ”
“อืม ทำไมเหรอ”
“แล้วกินข้าวละยัง”
คำถามนี้มันทำให้ผมออกที่จะแปลกในนิด ๆ อยู่
“จะมาไม้ไหนเนี่ย คราวนี้”
“เปล่า ก็แค่คิดว่าคนอย่างนาย กับการทำอาหารกินเองแล้วมันออกจะเป็นไปไม่ได้ และก็ถ้าเกิดว่าทำกินเองขึ้นมาจริง ๆ ก็ . . . ไม่ดีกว่า ก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่ว่า . . . คือว่า . . .”
โมทำท่าทางเก่ ๆ กัง ๆ เหมือนคนที่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ยังสับสนอยู่ว่ามันควรที่จะพูดมันออกมาหรือเปล่า เธอเอียงหน้าไปทางอื่นและก้มลงต่ำ
“มาดูถูกกันขนาดนี้เลยนะ เอ้า ๆ จะพูดอะไรก็พูดมาสิ เราไม่ค่อยมีอารมณ์ดี ๆ มารอฟังนาน ๆ หรอกนะ”
“เออ คือว่า . . .ลองกินข้าวกับชั้นไหม”
ใจผมเต้นดังขึ้นและมันก้องอยู่ในหัว แถมตอนนี้โมที่แสดงท่าทีไม่สบตาผม มันก็ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผมเปลี่ยนไปทันทีหรือนี่จะเป็นชีวิตวัยรุ่นจริงๆ ของผม อาจจะเป็นที่ผมเพียงคนเดียวที่เป็นแบบนั้น ดังนั้นผมจึงตั้งสติและถามกลับไป
“เออ. . .ที่ ที่ ที่ว่ามาเมื่อกี้ หมายความว่ายังไงเหรอที่ว่ากินข้าวกับโม”
“อะ อะ หา! กินข้าวกับชั้นเหรอ ชะ ชะ ชั้นไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ ชั้นแค่อยากให้นายลองกินอาหารที่ชั้นทำเอง เอ๋ชั้นพูดแบบนั้นไปจริง ๆ เหรอ”
ผมเห็นโมอายจนหน้าแดงไปหมดและนึกขำตัวเองขึ้นมา
“อานั่นสินะ จะเป็นแบบนั้นไปได้ไง แต่เธอก็พูดออกมาจริง ๆ นั่นแหละ แล้วนี่โมทำอาหารเป็นกับเขาด้วยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ย แล้วเราเป็นคนแรกที่ได้ชิมละเปล่า”
“อะ อืมก็ ก็เป็นคนแรกนั่นแหละ มะ ไม่ ใช่ว่าชั้นอยากให้นายลองชิมเป็นคนแรกหรอกนะ แต่ว่ามันไม่-”
ปั้ง ! ปั้ง ปัง ปัง ปัง . . .
การสนทนาของผมกับโมหยุดชะงัก กับเสียงของก้อนหินที่ดังขึ้นเมื่อกระทบกับหลังคาบ้านผมเป็นครั้งที่สาม แต่ครั้งนี้มันเสียงดังมากจนคนที่อยู่ด้านนอกได้ยินและรู้ได้ว่ามันอาจจะเป็นก้อนที่ใหญ่กว่าก้อนที่โมปามา ผมและโมหยุดนิ่งและมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
“ไม่ใช่ฝีมือชั้นนะ”
โมส่ายมือและหัวไปมาว่าไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อืม อาจจะอยู่อีกข้างก็ได้ โมเอาไว้ก่อนนะ”
ผมวิ่งจากสวนข้างบ้านที่ติดกับบ้านของโมที่เป็นทิศตะวันออกมายังอีกด้านของบ้านที่เป็นทิศตะวันตก ด้านนี้เป็นลานดินโล่งไม่ใหญ่มากมีต้นกล้วยเป็นกลุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถมองหาคนจากตรงนี้ได้ เพราะมันเปิดโล่ง ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังไม่เห็นใครอยู่ดี ตอนนี้ผมรู้สึกแปลก ๆ และคิดถึงข้อความจากจดหมายลับเมื่อตอนเช้า
เสรี! เสรี ๆ โครม !
เสียงร้องตะโกนเรียกของโมที่ดังและแฝงด้วยความกลัวเหมือนเมื่อตอนที่เห็นงูยักษ?ไม่มีผิด ผมรีบวิ่งตามเสียงเรียกนั้นทันที ผมได้ยินเสียงนั้นดังมาจากหลังบ้านที่เป็นทางทิศใต้ บ้านของผมและโมอยู่รอบนอกหมู่บ้าน ด้านหลังบ้านของพวกเราก็เลยเป็นพื้นที่ของไร้และนา ซึ่งตอนนี้ชาวบ้านก็ได้เก็บเกี่ยวพืชผลกันเสร็จหมดแล้ว เลยสามารถที่จะมองเห็นอะไร ๆ ได้ไกลโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง เพราะก่อนหน้านั้นจะเป็นป่าอ้อยขึ้นสูงจนทำให้มองอะไรไม่เห็น
เมื่อผมไปถึงก็เห็นโมร่ายเวทโล้ยักษ์ป้องกันในระดับพื้นฐานอยู่ รอบ ๆ ตัวของโมเต็มไปด้วยเศษของดินและหินกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดซึ่งดูเหมือนจะเป็นการแตกกระจายของก้อนหินขนาดใหญ่ โมที่ผมเห็นในตอนนี้อยู่ในสภาพเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัดจากการที่หายถี่รัวมากพร้อมกับเนื้อตัวที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว นี่เสรีรับช่วงต่อที พลังเวทชั้นตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว”
“นะ นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”
“เอาเถอะน่ารีบ ๆ ร่ายเวทโล้ยักษ์เร็ว มันกำลังจะโยนมาอีกแล้ว”
ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ผมก็ทำตามที่โมพูดและหันโล้ไปทางเดียวกับที่โมหันไป ตอนนั้นผมก็เห็นมัน ตัวการที่ทำให้เกิดเรื่อง ถึงจะอยู่ไกลแต่ผมก็เห็นมันได้ชัดเพราะจากขนาดที่ใหญ่พอ ๆ กับช้างโตเต็มที่ ตัวของมันเป็นสีน้ำตาล ลักษณะทั่ว ๆ ไปคล้ายลิงกอลิลา แต่ไม่มีขน จะมีผิวหนังที่หยาบกระด้างและแข็งแทน
“โรฮานดินเหรอ ? เราไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนี่แล้วทำไมถึงได้ . . .”
“ชั้นก็คิดเหมือนกันแหละแต่ยังไม่แน่ใจ ยื้อไว้ก่อนนะ เดี๋ยวชั้นไปฟื้นพลังเวทย์ก่อน ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ชั้นจะออกมาแล้ว ฝากด้วยนะ”
“อื้อวางใจได้เลย”
โมรีบวิ่งกลับเข้าบ้านของเธอด้วยความที่ไร้เรี่ยวแรงมากทำให้การวิ่งของโมดูตะกุกตะกัก แม่ของโมจึงพยุงโมกลับเข้าบ้าน จากนั้นพ่อของโมก็วิ่งเข้ามาหาผม
“เป็นไงบ้างเสรี”
“ครับไม่ต้องห่วง นั่นครับมันอยู่ตรงนั้น แต่ทำไมไม่เห็นมันโยนมาอีก มันรออะไรกัน”
ผมชี้ไปยังตัวการนั้นให้พ่อโมที่ชื่อว่าหินดู ที่ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นโรฮานดินที่อยู่ตรงผืนไร่โล่งห่างออกไปประมาณ 600 เมตร
“โรฮานดินเหรอแต่ยังโตไม่เต็มที่สินะ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเสรี มันไม่ได้รออะไรก็แค่มันไม่มีก้อนอะไรให้ขว้างยังไงล่ะ ดูท่ามันคงต้องหาเอาพักใหญ่หรือไม่ก็สร้างมันขึ้นมาเองแหละ อะนั่นมันชาวบ้านนี่”
“นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย ทุกคนกลับเข้าหมู่บ้านเร็ว”
ผมและพ่อโมมองไปเห็นชาวบ้านหนุ่มที่ออกไปทำไร่ทั้งสามคนวิ่งกระเสือกกระสนเข้ามาหมู่บ้าน มีคนหนึ่งที่ร้องบอกเพื่อนให้รีบวิ่งอยู่ตลอดแต่ตนกลับรั้งท้ายซะ ซ้ำยังวิ่งไม่ถนัดอาจจะเป็นเนื่องมาจากได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย สองคนที่ยังปกติอยู่ก็ใกล้จะเข้าสู่หมู่บ้านแล้ว เหลือแต่ชายที่บาดเจ็บพยายามวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ไปถึงหมู่บ้านให้เร็วที่สุด ชายทั้งสองที่ถึงก่อนตะโกนเรียกชายที่บาดเจ็บขาอยู่อย่างไม่ลดละ เขาทั้งสองยืนคอยที่ปากทางเข้าหมู่บ้านไม่ยอมเข้าไปจนกว่าเพื่อนของเขาจะมาถึง
“อะไรกันอย่าบอกนะว่าชาวบ้านเห็นโรฮาน ไม่จริงน่า เสรีดูโน่นมันกำลังจะขว้างแล้ว”
พ่อโมชี้ไปทางโรฮานดินที่กำลังตั้งท่าโยนก้อนดินที่ถูกปั้นรวมกันให้แน่นและมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับตัวของมัน เนื่องจากเหตุการณ์การเอาตัวรอดของชาวไร่ทั้งสามดึงความสนใจของผมไป เลยไม่ได้สังเกตที่เจ้าโรฮานดินที่ได้ทำอะไรไปบ้าง
“มันมาแล้ว!”
พ่อโมตะโกนขึ้นเมื่อเห็นก้อนดินถูกขว้างออกมา
แต่!
มันไม่ใช่ก้อนของโรฮานดินตัวที่ผมเห็นอยู่ เพราะก้อนดินของมันยังอยู่ในมือของมันอยู่เลย เมื่อเห็นเป็นแบบนั้นพ่อของโมไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรกระโจนไปทางชาวบ้างทั้งสามที่อยู่ทางทิศตะวันออกของผมออกไปอย่างรวดเร็ว พ่อของโมคงเห็นว่าวิถีของก้อนดินไม่ได้มาทางผมไม่ได้เล่นงานผม แต่มันเล่นงานมนุษย์ที่ไม่มีทางสู้แทน ผมต้องจดจ่อกับโรฮานดินที่ผมเห็นอยู่เลยมองไปทางพ่อของโมไม่ได้ ซึ่งตอนนี้มันได้ขว้างก้อนดินยักษ์ออกมาแล้วและมีเป้าหมายมาทางผมไม่ผิดแน่ แต่ดูเหมือนมันจะมาเร็วมาก เมื่อเป็นแบบนั้นผมก็เพิ่มความแข็งแกร่งของโล้ยักษ์ให้เป็นระดับสามทันที แต่มันกลับต้องมาแลกพลังเวทจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน มันใกล้เข้ามาแล้ว
วืด~ โครม!
คราวนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโมถึงมีสภาพเหนื่อยหอบหมดแรกขนาดนั้น พลังการทำลายล้างมันมหาศาลมาก ถึงแม้จะเพิ่มความแข็งแกร่งของโล้ยักษ์เป็นระดับสามแล้วก็เถอะ เศษดินที่กระทบกับโล้เวทย์ได้กระเด็นกระจัดกระจายไปวงกว้างมากกว่าตอนที่โมป้องกันอีก ด้างหลังของผมเป็นบ้านชั้นเดียวที่พ่อผมได้สร้างไว้เพื่อจะให้ครอบครัวของเราได้อยู่กัน ถ้าไม่มีผมที่ยืนป้องกันบ้านในตอนนี้ ผมก็นึกไม่ออกว่ามันจะถูกพังทลายไปมากแค่ไหน หัวใจของผมเต้นเร็วขึ้น และหายใจถี่รัวบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง
“บ้าเอ๊ย แค่นี้อย่ามาทำเป็นเหนื่อยไปหน่อยเลยน่า แต่มันก็ไม่แปลกนี่หว่าที่เราจะเหนื่อยเร็วขนาดนี้ ก็ตั้งแต่เช้าตูยังไม่ได้กินข้าวเลยนี่หว่า! ทำไม ทำไม ต้องมาเป็นวันนี้ด้วย”
แต่ผมก็ยังมีแรงอยู่เฮือกหนึ่งที่พอจะวิ่งหรือทำอะไร ๆ ที่ไม่ใช้การร่ายเวทได้ ผมคิดว่าควรที่จะทำอะไรซักอย่างกับร่างกายตัวเองแล้วก็เลยรีบวิ่งไปกินน้ำในบ้าน ก่อนนั้นผมก็ได้ร่ายเวทโล้ยักษ์ระดับหนึ่งป้องกันไว้เผื่อมีเหตุไม่คาดคิด แต่มันไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับตอนที่มีคนคอยคุมมันเท่าไหร่ จากที่ที่ผมอยู่ก็ไม่ไกลจากตัวบ้านมากนักก็เลยใช้เวลาไม่นาน สำหรับการดื่มน้ำไปสักสามสี่อึก
“ช่วยไม่ได้ก็คนมันหิวนี่นา”
หลังจากนั้นผมก็ไปหยิบขวดยาเพิ่มพลังเวทที่ถูกซ้อนไว้ในกล่องใต้เตียงนอนขนาดเล็กมา 1 ขวด และรีบวิ่งกลับออกไปทันที ‘ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ พ่อแม่ปลอมทั้งสองของตู’
โครม!
เมื่อผมกลับออกมาก็เห็นแม่ของโมกำลังร่ายเวทกำแพงป้องกันระดับ สี่ ซึ่งเหนือกว่าเวทโล้ยักษ์หลายเท่า ดูท่ามันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้านข้างเธอนั้นมีโมที่คอยใช้เวทฟื้นพลังให้กับแม่ของโมอยู่ มันช่างหนักหนาสาหัสจริง ๆ ทั้งสองหอบเหนื่อยกันมาก และจากที่กองดินและเศษหินขนาดใหญ่ที่กองแตกกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ก็บอกได้ว่ามันรุนแรงเกินกว่าที่ผมจะรับไหวมาก ถ้าหากผมยังอยู่ต่อคงได้เป็นศพก่อนได้มีแฟนแน่ และก็ต้องขอบคุณเธอทั้งสองอีกด้วยถ้าไม่ได้เธอทั้งสองบ้านผมคงเละเป็นกองแน่ ‘ความประมาทของเราเหรอเนี่ย’
“ปะ เป็นอะไรมากไหมครับ”
เสียงของผมที่ถามแม่ของโมมันแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกและความสงสัย
“ไม่ต้องห่วง ยังยื้อได้นานพอ รีบไปช่วยน้าหินเร็ว”
“คะ ครับ ขอบคุณมากนะครับ และก็ฝากด้วยนะครับ”
ถึงจะยังไม่รู้ที่มาที่ไปก็เถอะแต่ การเชื่อผู้ที่มีประสบการณ์และความสามรถสูงย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอสำหรับผม
“รีบไป เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทันการณ์”
แม่ของโมเร่งผม ผมแลไปที่โมที่กำลังตั้งใจอย่างมากกับการฟื้นพลังเวทให้แม่ของเธอ เมื่อเห็นว่าไม่น่าเป็นห่วงผมก็วิ่งไปทางทิศตะวันออกที่เป็นปากทางเข้าของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่พ่อของโมหรือน้าหินอยู่
ซูม ! ซูม ! ซูม ! ซูม !
เสียงเวทสายฟ้าดังสนั่น พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยเศษดินและก้อนหินขนาดใหญ่ ที่แตกออกจากกันและกระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไร่นา สวนดอกไม้ สวนผัก หลังคาบ้าน หรือแม้แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ สิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้คือพ่อของโมที่ร่ายเวทโจมตีอย่างไม่หยุด พ่อของโมร่ายเวทใส่ปีศาจดินขนาดเล็กจำนวนนับร้อยที่หวังจะเข้าไปในหมู่บ้าน ด้านหลังของเขามีชายคนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ ผมจำได้ว่าเขาคือคนที่รั้งท้ายตอนที่วิ่งหนีโรฮานดิน ตอนนี้เขาได้เข้ามาถึงหมู่บ้านแล้วและไม่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มมากนัก เขาคนนี้ชื่อปลัด ผมรู้จักเพราะเคยเล่นฟุตบอลตอนพลบค่ำทุกวัน ตอนนี้เหมือนเขาจะขยับไปไหนไม่ได้แล้วเพราะฤทธิ์จากแผลเดิมของเขามันรุนแรงขึ้น
“รีบพาปลัดไปที่ปลอดภัยก่อน และรีบกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุด!”
“เข้าใจแล้วครับ”
ผมพยุงพี่ปลัดเข้าไปภายในหมู่บ้าน เมื่อผมเข้ามาก็เห็นชาวบ้านที่ตลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ไม่มีไทยมุง มีแต่ต้องเอาชีวิตรอดอย่างเดียว ชาวบ้านที่มีอายุสูงสองสามคน เมื่อเห็นผมแบกพี่ปลัดที่บาดเจ็บมาก็รีบมารับและนำไปรักษาทันที
“ฝากด้วนนะครับ ผมต้องไปแล้ว”
ผมรีบกลับไปหาน้าหินที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เพียงคนเดียว
“อย่าไปเลยเสรีมันอันตราย”
ผมรีบมากและไม่สนใจคำที่ชาวบ้านพูดเตือน กลับมาครั้งนี้ดูเหมือนว่าน้าหินจะกำจัดปีศาจดินจนหมดแล้วเหลือก็แต่โรฮานดินที่ยังขว้างก้อนดินขนาดใหญ่อยู่ตลอด
“เสรีมานี่ที ถึงครั้งนี้น้าไม่อยากจะให้สู้เพราะมันอันตรายมากแต่ถ้ามีแค่น้าและเมียน้ามันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาน้าจะคอยปกป้องและรับผิดชอบเสรีเอง ดังนั้นต้องทำตามที่น้าบอกทุกอย่างนะ เข้าใจไหม!”
จากสถานการณ์ใจตอนนี้และคำพูดของน้าหินมันก็เป็นแบบที่ว่า ไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากจะทำตามที่น้าหินสั่งเท่านั้น
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำตามที่น้าหินพูดทุกอย่าง เชื่อมือผมได้เลย”
“ดีมาก เอาล่ะขั้นแรกเสรีต้องรีบเข้าหาโรฮานดินตัวนั้นตัวที่คอยโยนก้อนหินก้อนดินใส่บ้านของเสรี ให้เร็วและใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าโรฮานดินมันเสียบเปรียบที่ระยะใกล้ไกลหรอกนะ แต่ปกติมันเคลื่อนที่ช้าอยู่แล้วนั่นแหละคือจุดอ่อนที่เห็นชัดที่สุดของมัน พยายามอย่าให้มันเหวี่ยงแขนมาใส่ได้ เมื่อเห็นมันออกท่าทีง้างแขนเมื่อไหร่ให้รีบออกจากจุดที่เคยยืนทันที เพราะที่ช้าไม่ใช้ตอนที่มันเหวี่ยง แต่เป็นตอนก่อนที่มันจะเหวี่ยงแขน ถ้าหากเธอช้าเพียงนิดเดียวนั่นก็หมายถึงชีวิต ส่วนการหาจุดอ่อนที่จะโจมตีใส่มันไม่มีหรอกอย่าไปคิดหามันเลยด้วย”
“หา ที่ว่ามันหมายความว่าไง หรือไม่มีจุดสำคัญของร่างกายมันเลยเหรอครับ”
“ใช่ทุกส่วนของมันแข็งแกร่งหมดไม่ว่าจะเป็นศีรษะ จนไปถึงเท้าของมันเป็นหินที่แข็งแกร่งมากคอยห่อหุ้มร่างกายของมันอยู่ ถ้าเป็นมนุษย์ก็เหมือนกับผิวหนังนั่นแหละ”
“อ้อแบบนี้นี่เอง แล้วจะให้ผมจัดการมันยังไงล่ะครับ”
จากที่ผมได้เรียนมาเกี่ยวกับชนิดของปีศาจมันเป็นแค่พื้นฐานเท่านั้นแต่ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีรายละเอียดปลีกย่อยออกมาอีก
“ไม่ต้อง ระดับเธอไม่เพียงพอที่จะจัดการมันหรอก ก็แค่ล่อความสนใจของมันไม่ให้โยนก้อนหินก้อนดินออกไปได้ก็เท่านั้น และพยายามพามันออกห่างจากหมู่บ้านให้ได้มากที่สุดด้วย”
“ครับ เข้าใจแล้วครับผมจะพยายาม”
“อีกอย่าง เสรีคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าตอนแรกมันจะไม่รุนแรงมากเท่าไหร่สังเกตได้จากตอนที่บ้านเสรีที่ถูกปาก้อนหินใส่หลังคาครั้งแรกยังเป็นแค่ก้อนหินธรรมดาใช่ไหมล่ะ แต่หลังจากนั้นก็เป็นระดับที่โมรับได้ นิสัยของเจ้าโรฮานดินก็คือมันจะไม่หยุดจนกว่าเป้าหมายของมันจะถูกทำลาย และเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีขึ้นเรื่อย ๆ จำไว้ด้วยเมื่อเธอได้เข้าไปสู้กับมันในระประชิดแล้วมันก็จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเช่นกัน เอาล่ะตอนนี้แหละไปได้”
จบการอธิบายข้อมูลของศัตรูที่เป็นเป้าหมายของผมน้าหินก็เร่งผมให้ไปทันที
“แล้วน้าหินล่ะ”
“น้าจะป้องกันที่นี่ก่อนเพราะยังมีโรฮานดินที่เรายังไม่เห็นอีกอยู่ ถ้าปล่อยให้มันโยนก้อนอะไรต่อมีอะไรจนทำให้หมู่บ้านต้องเสียหายมันไม่ดีแน่ ทีนี้ก็ไปได้แล้วเมียกับโมของน้ายื้อแบบนี้ไม่ได้ตลอดหรอกนะ ถ้าเสรีไปถึงเร็วทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นเอง”
“รับทราบแล้วครับปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ”
“ฮ้า ฮ่า ฮ่า คนหนุ่มก็งี้แหละน้า อา ไป ๆ ไปเร็วเข้า”
ใบหน้าที่ยังคงรอยยิ้มและความหัวเราะของเขาแม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าน้าหินคนนี้ช่างน่าทึ้งมากจริง ๆ
“ครับ!”
‘มัวรีรออีกไม่ได้แล้ว ทุกคนกำลังทำอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปกป้องหมู่บ้าน เราที่เป็นหนึ่งใน ส.ต.จ. ก็ต้องพยายามเช่นกัน ไม่มีเวลาที่จะต้องมาลังเลอีกต่อไป ถึงเวลาปฏิบัติจริงแล้ว’ ผมวิ่งตรงไปยังโรฮานดินและเสริมความเร็วด้วยพลังเวทของผม
“สิ่งที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตคงจะได้ใช้มันตอนนี้แหละนะ ถึงจะไม่ได้ตั้งในเรียนมากก็เถอะ”


ติดตามตอนต่อไป

satornarm
5th April 2013, 14:40
จะติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับสู้ ๆ หนุกดีนะ

santisook01
16th April 2013, 12:07
ตอนที่ 3 : นอนกลางวัน
ดวงอาทิตย์อันเจิดจรัสแห่งวันได้ส่องแสงลงมากระทบที่ศีรษะของผม ถึงแม้ว่ากำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้วก็ตาม แต่ดวงอาทิตย์นั้นก็ไม่ลดละที่จะทำให้ผู้คนบนโลกได้ร้อนระอุไม่ต่างจากหน้าร้อนเลยแม้แต่น้อย เสียงหายใจอย่างถี่รัวดังจนได้ยินอย่างชัดเจน เหงื่อที่ไหลหยดย้อยตั้งแต่ศีรษะอาบไปยังใบหน้า หยดลงสู่พื้นอยู่เนือง ๆ ตอนนี้ราวกับว่าภายในร่างกายผมมันจะละลายและไหลกับพื้นเหมือนลาวาจากปล่องภูเขาไฟที่พึ่งปะทุ
‘อย่างที่น้าหินพูดไม่มีผิด ระดับเราไม่มีทางที่จะกำจัดเจ้านี่ได้เลย’
เห็นทีท่าไม่ดีก็กระโดดหลบออกห่างทันที และคอยลองโจมตีกลับดูซักครั้ง ผมทำแบบนี้อยู่เรื่อย ตั่งแต่ได้เริ่มปะทะกับโรฮานดิน ลักษณะการเคลื่อนที่ของมันยังดูเป็นปกติ ทั้งที่โดนผมโจมตีสวนกลับไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม สายตาของโรฮานดินที่คอยจะทุบผมให้เป็นเสี่ยง ๆ จ้องมายังผม คล้ายจะบอกกับผมว่า “แกจะหลบไปถึงเมื่อไหร่ ตูก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะเฟ้ย” นั่นมันความคิดของผมซะมากกว่า
ผมล่อโรฮานดินและหลบการโจมตีมันอยู่ตลอดเวลานี่ก็ผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว กำลังกายและพลังเวทที่มีอยู่ก็ลดน้อยลงทุกที ถึงแม้ว่าจะมียาเสริมพลังเวทติดมาด้วยแต่ผมก็ซัดมันจนหมดไปแล้ว สถานการณ์ของผมในตอนนี้กำลังเข้าขั้นวิกฤต น้าหินและน้าเมย์ที่เป็นพ่อกับแม่ของโม ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมาช่วยผมเลยซักคน และผมก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่เพราะผมจะลดละสายตาจากเจ้าโรฮานดินนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
‘มาอีกแล้ว!’
ผมเห็นท่าทางของโรฮานดินที่กำลังจะเหวี่ยงแขนอันหนักอึ่งมาใส่ผม ผมก็รีบกระโดดออกห่างจากที่เคยยืนทันทีโดยไม่รีรออะไร
วืด! โครม!!!
‘เร็วมาก!’
เสียงหมัดของมันที่เหวี่ยงแขนเฉียดหน้าผมไป มันเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน หมัดนั้นพลาดไปโดนต้นสักใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ จนขาดเป็นสองท่อนและล้มลงในทันที
“เส้นยาแดงผ่าแปด! เกือบไปแล้วเรา บ้าไปแล้วพลังบ้าอะไรกันเนี่ย”
ผมเกือบได้สิ้นชีพตรงนี้แล้ว หัวใจของผมเต้นรัว เหมือนใจมันจะตกไปอยู่ตรงเท้า และยังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย การเหวี่ยงแขนอันทรงพลังและรวดเร็วของมันสามารถทำให้แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ ๆ ทั้งต้นต้องพังลงในพริบตาเดียว ไม่ต้องคิดถึงคนอย่างผมเลยว่าจะออกมาเป็นยังไง ผมกระโดดหลบห้วงแห่งการเหวี่ยงแขนของมันออกมาซะไกล และยังต้องวิ่งล่อมันออกไปเรื่อย ๆ ถึงจะไม่ได้โจมตีกลับไปแต่อย่างใดแต่มัน “เหนื่อยเป็นบ้า!”
“นิสัยของแกคือเพิ่มความรุนแรงและความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ สินะ ถ้าเป้าหมายของแกยังคงอยู่ นี่แกจะเพิ่มไปถึงเมื่อไหร่กันฟะ! ไม่เหนื่อยบ้างรึไง หา!”
เหมือนคนที่จนมุมและหมดทางสู้ไม่มีผิด ‘ตูล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่ามันไปเอากำลังมาจากไหนกันนัก’ ผมที่ยืนรอให้เจ้าโรฮานดินเดินมาหาพลางคิดไปต่าง ๆ นานา ‘ถึงจะบอกว่าไม่มีจุดอ่อนก็เถอะ มันก็น่าจะมีซักวิธีสิที่จะทำให้มันหยุดโจมตีหรือเปล่านะ อืมถ้าจะหยุดมันก็ ใช่! เวทใยแมงมุม ทำให้มันเดินเข้ามาติดกับแล้วก็ดูดเลือดมันให้หมด คิดไปได้! นั่นมันเวทขั้นสูงเลยนะเฟ้ย คนอย่างตรูเนี่ยนะจะใช้มัน แถมพูดยังกับตัวเองเป็นแมงมุมคอยดักจับแมลงและดูดเลือดเยื่ออย่างแวมไพร์อีก หึ มาถึงแล้วสินะ’

วูบ! ตูม!!!
“หาเปลี่ยนวิธีเหรอ”
คราวนี้การโจมตีของมันเป็นการโจมตีแบบค้อนทุบตะปู ที่ยังคงความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอีกเช่นเคย มันทำให้พื้นดินที่ผมยืนอยู่เมื้อกี้กลายเป็นหลุมอุกาบาตรขนาดย่อม ๆ ‘คงจะเป็นแบบนี้สินะเวลาอุกาบาตรตกลงมา ว่าแต่มันออกจะเล็กเกินไปไหมเนี่ย เฮ้ย! มันใช่เวลาซะที่ไหนเล่า ถ้าโดนเข้าคงเละแบบไม่น่าชมแน่ ถ้าเราไม่เพิ่มความเร็วตอนกระโดดด้วยพลังเวทให้มากกว่าครั้งที่แล้วล่ะก็ ...’ ครั้งนี้ผมกระโดดและวิ่งออกมาไกลกว่าทุกครั้ง น่าจะเกือบร้อยเมตรได้ และก็ยืนนิ่งคิดวิธีต่อกรกับโรฮานดิน ๆ ต่อ
‘...หยุดการเคลื่อนไหวของมัน หยุดการเคลื่อนไหวของมัน เอ ถ้าเป็นการหยุดโดยให้อีกฝ่ายเหนื่อยล่ะ ลดกำลังฝ่ายตรงข้ามแล้วทำให้มันหยุด . . . เออใช่! เวทสลายกำลัง ทำไมพึ่งจะมาคิดได้วะเนี่ย แต่ว่า เราจะประชิดตัวมันยังไง อีกอย่างเวทนี้ เราดันทำคะแนนได้ไม่ดีตอนเรียนอีกซะด้วยสิ โถ้เว้ย! ยิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งมืดมนเข้าไปทุกที’
ผมยืนรอมันได้ซักพักแล้วแต่ดูเหมือนมันไม่ได้เคลื่อนที่ออกจากที่เดิมเลย ‘มันกำลังทำอะไรอยู่นะ . . . หาซวยแล้ว!’ ผมวิ่งทันทีที่เห็นโรฮานดินหยิบก้อนหินใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ มัน แล้วเตรียมที่จะโยนมาทางผม ผมวิ่งหนีสุดแรงเกิดโดยไม่คิดว่าตัวเองเหนื่อยมามากแค่ไหนแล้ว มันเหมือนคนที่วิ่งมาราธอนไกลกว่าหลายสิบกิโลแล้วมาวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายตอนจะถึงเส้นชัย คงรู้อยู่ว่ามันเหนื่อยมากแค่ไหน
“เฮ่อ เฮ่อ ยังไม่ไกลพอ ยังไม่ไกลพอ เฮ่อ ครึ่งกิโลมันยังโยนได้นับประสาอะไรกับแค่ไม่กี่เมตรนี้ ซวยอย่างเดียวเลยเรา ๆ”
ผมคิดว่าถ้ายิ่งออกห่างได้มากเท่าไหร่ก็จะหลบก้อนหินของมันได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ขาผมอ่อนแรงมากมันปัดเป๋ไร้เรี่ยวแรงไปหมด คอผมที่แห้งเป็นผงที่แห้งยิ่งกว่าเขตทะเลทราย ความเร็วของผมลดลงเรื่อย ๆ ผมวิ่งห่างออกจากมันไปได้ประมาณสามร้อยเมตรในตอนนั้นผมเห็นมันได้โยนก้อนหินขนาดใหญ่ออกมาแล้วและตรงมายังผมด้วย
“เฮ้ย! ทำไมมันโยนแม่นจังวะ ขนาดเราวิ่งซิกแซกไปมาอยู่ตลอด . . . แต่ตอนนี้เราไม่มีอะไรต้องป้องกันแล้วนี่นา ไม่จำเป็นต้องตั้งรับอีกแล้ว”
เมื่อผมคิดได้ผมก็วิ่งออกไปทางขวาทันที ผมวิ่งออกไปด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของผม
โครม!!! อัก!!
เสียงของก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงกระทบลงกับพื้น ตัวผมที่วิ่งออกห่างจากมันได้แค่ไม่ไกลต้องกระเด็นลงไปกองกับพื้นเพราะแรงกระแทกอันรุนแรงของก้อนหินที่ได้แตกกระจายออก
“แกจะโยนแรงอะไรนักหนาฟะ! ไอ้โรฮานดิน! มันเจ็บนะเว้ย!”
‘แย่แน่แบบนี้ครั้งต่อไปไม่รอดแน่ ด้วยความเร็วขนาดนั้น แค่ไม่กี่วินาทีก็โยนถึงแล้ว ต่อไปจะเอายังไงล่ะทีนี้เรา’
การหายใจที่ถี่รัวกับร่างกายที่เหนื่อยกระหืดกระหอบของผมตอนนี้ใกล้ถึงขีดสุดแล้ว ถ้าไม่มีใครโผล่มาช่วย ผมคงไม่รอดแน่
หืม!!!
เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นด้านหลังผม เสียงนั้นต่ำและดังมากจนทำให้ตัวผมต้องสั่นสะเทือนสะท้านไปจนถึงหัวใจ เมื่อผมหันกลับไปมองก็พบกับขาสีน้ำตาลขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง มองขึ้นอีกไปเห็นมือขนาดใหญ่ที่เหมือนกับค้อนทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นไปอีกก็เป็นร่างกายที่กำยำและแข็งแกร่งไปด้วยหิน จนสิ้นสุดที่หัวของมันก็ดูออกได้ว่ามันเป็นโรฮานดิน ผมยืนตัวแข็งขยับหรือทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นร่างขนาดมหึมาอยู่ข้างหน้าผม ถ้าเทียบกับตัวที่ผมสู้กับมันตอนแรก ตัวนี้มันใหญ่กว่าถึงสองเท่าเลยล่ะ ผมนึกคำที่น้าหินเคยพูดขึ้นตอนออกมาหาผมว่าตัวแรกที่ผมได้สู้ด้วยนั้นยังโตไม่เต็มที่ ‘ถ้าอย่างนั้นก็ ตัวนี้...คงโตเต็มที่แล้วสินะ’
ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ ตาเหลือกถลนออกมาและค้างอยู่อย่างนั้น รูปร่างของมันช่างน่าเกรงขามมาก ความสูงของมันน่าจะเทียบได้กับตึกสามถึงสี่ชั้นได้เลย ตาสีน้ำตาลขนาดใหญ่จ้องมองมาที่ผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของผมด้วยพลังจิต ลักษณะโดยทั่วไปที่เหมือนกับกอลิลา มันทำให้ผมคล้ายจะตกเป็นนางเอกในหนังเรื่องหนึ่งยังไงไม่รู้ ตัวของมันเป็นสีน้ำตาลดำเข้ม ยิ่งมองใกล้ ๆ มันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ขนลุกมาก ผมก็ดันอยู่ตรงที่แบบนั้นซะด้วย ทุกซอกทุกมุมที่มีขนได้ลุกยืน เสมือนต้อนรับโรฮานดินตัวนี้
“ฆ่าเสือให้วัวกลัวชัด ๆ”
อันที่จริงผมจะพูดว่า “หนีเสือปะจระเข้” แต่ด้วยสติของผมที่ยังไม่คงที่มันเลยออกมาในทางที่ผิดซึ่งผมก็ยังไม่รู้ตัว ‘หรือว่าเจ้านี่จะเป็นตัวที่เรากับหน้าเสรีไม่เห็นตอนมันโยน ...ไม่ผิดแน่ เป็นแบบนี้นี่เอง ...นี่เราจะจบลงแค่นี้เองเหรอเนี่ย อะไรกันแฟนก็ยังไม่มี ยังต้องมา-’ ผมก้มหน้าลงต่ำคิดลาโลกเมื่อเงยหน้ามองขึ้นก็
วืด! โครม!!!
“หมัดขนาดยักษ์ของเจ้าโรฮานดิน . . . ปะทะกับเทพกำแพงเหล็กของหน้าหินงั้นเหรอ”
. . .
“โว้ว!! รอดแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ น้าหิน ผมรอดแล้ว ผมรอดแล้ว ผมนึกว่าน้าจะไปนั่งจิบชาอยู่ที่บ้านซะอีก โวโฮ้ว รอดแล้ว ๆ ๆ”
ผมกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างร่าเริง เหมือนเด็กที่ได้ของขวัญวันเกิดครั้งแรกที่เกิดมา ความสุขนั้นได้เอ้อล้นออกมาจนหมดตัว และผมก็ล้มฟุบลงไปกองกับพื้นทันที
‘เฮ้อ ถึงเวลานอนกลางวันแล้ว’
แล้วผมก็ได้เข้าสู้ห้วงเวลาแห่งความสุข

ณ บ้านของผม
2 ชั่วโมงหลังจากนั้น
“ครั้งนี้น้าจะรับผิดชอบยังไง ถ้าเด็กตายไป ยังไงก็เถอะผมก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้มากเกิน ผมจะไม่แจ้งไปยังพ่อกับแม่ของเสรีหรอก ถ้าให้มีครั้งต่อไปล่ะก็ ผมช่วยน้าไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ช่างมันก่อนเถอะ เพราะตอนนี้เสรีก็ไม่ได้ตายซักหน่อย น้าก็ทำดีที่สุดแล้วล่ะ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกของน้าลีที่เป็นพ่อตัวปลอมของผมเถียงกับใครซักคน ตอนนี้ผมยังหลับอยู่ ได้ยินเสียงแว่วมา เลยทำให้รู้สึกตัว ผมขยับตัวนิดหน่อยให้นอนได้สบายขึ้น
“เสรีรู้สึกตัวแล้ว ทุกคน เสรีรู้สึกตัวแล้ว”
เสียงของน้ามาที่น่ารักของผมพูดขึ้น ‘ถ้าไม่ลุกก็คงไม่ได้สินะ กะจะนอนสบาย ๆ ซักหน่อย’ ผมจำใจ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พอมองไปรอบ ๆ ก็เห็นน้ามาที่เป็นแม่ตัวปลอมของผมนั่งอยู่ข้างขวา ทำสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ พอหันไปด้านซ้ายก็เห็นโมที่นั่งทำหน้ายิ้มแย้มเหมือนกันแต่เหมือนจะมีคราบน้ำตาอยู่ด้วย ‘ไม่ใช่ว่าร้องไห้เพราะเราหรอกนะ’ ด้านหน้าก็เป็นน้าหินพ่อของโมและน้าลีพ่อตัวปลอมของผมที่ยืนกอดอกอยู่
“เป็นตัวขี้เกียจที่ชอบนอนกลางวันจริง ๆ นะ ไม่ได้การเอาซะเลย”
โมพูดขึ้นพลางยิ้มไป ที่ที่ผมนอนเหมือนจะเป็นพื้นที่ปูเสื่อไม่ใช่บนเตียงที่มีผ้านุ่ม ๆ ผมพยายามลุกขึ้นนั่งน้ามาก็ช่วยพยุงผมไว้
“ไม่ต้องหรอกครับผมไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ผมบอกน้ามาไป ‘อูย~ เจ็บ สงสัยเป็นเพราะแรงกระแทกตอนตกลงพื้นแน่ ๆ’ เศษหินและดินที่กระเด็นมาถูกผมตอนที่ผมกระโดดหลบก้อนหินของโรฮานดินไม่ทันแล้วต้องกระเด็นไปอยู่ตรงหน้าของโรฮานดินยักษ์อีกตัว ผมยังจำตอนนั้นได้ดี เศษหินที่กระเด็นเหล่านั้นทำให้เกิดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ไม่รู้ทำไมมีแต่ผ้าพันแผลและพลาสเตอร์ติดแผลเต็มไปหมด
“ตอนนี้นายจะยังไม่เจ็บมากนักหรอกเพราะนายกินยาระงับความเจ็บปวดอยู่ถ้ายาหายออกฤทธิ์เมื่อไหร่นายก็จะรู้สึกเองแหละ”
โมยิ้มและมองหน้าผม ใบหน้านั้นก็ยังงดงามและน่ารักไม่เปลี่ยน
“พูดน่ากลัวจังนะ แถมยังพูดด้วยสีหน้าที่ยิ่มแย้มอีกต่างหาก”
โมหัวเราะคิกคักกับสิ่งที่ผมพูด
“แล้วเมื่อไหร่มันถึงจะหยุดออกฤทธ์ล่ะ”
“ก็ประมาณอีกซัก . . . ชั่วโมงนึง”
‘น้อยชะมัด’
ผมหันไปมองยังทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ผม ดูเหมือนจะเป็นคนทำให้ทุกคนเป็นห่วงอยู่
“ยังไงก็ไม่เป็นอะไรมากแล้วงั้นพวกเราไปกันเถอะ ปล่อยให้หนุ่มสาวได้ดูแลกันหน่อย”
น้าลียิ้มพลางกระตาไปที่โม
“โถ้ น้าลี”
โมพูดตัดพ้อใส่ น้าลีพูดจบแล้วก็เดินออกไปก่อนทุกคน
“เดี๋ยวน้าจะไปทำกับข้าวอร่อย ๆ มาให้ทานนะ เหมือนกับจะยังไม่ได้กินข้าวมาเลยนะเนี่ย”
น้ามาที่น้ารักก็ลุกขึ้นออกไป เมื่อพูดถึงข้าว ผมก็ยังไม่ได้กินมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็บ่ายเข้าไปแล้วด้วย ‘กับข้าวเหรอ’ ผมนึกขึ้นได้ว่ามีอีกอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำ
“เออ . . . ไม่ต้องหรอกครับ . . .”
ผมพูดรั้งไว้ น้ามามองมาทางผมพลางทำหน้าสงสัย
“หืม อะไรเหรอ ไม่หิวหรอกเหรอ . . . อ้อเข้าใจแล้ว ถ้างั้นน้าออกไปก่อนนะ”
น้ามาส่งยิ้มไปที่โม
“เอ๋ อะไรกัน เข้าใจอะไรนี่โม เข้าใจอะไรเหรอ”
ผมหันไปถามโมที่นั่งอยู่ ผมแปลกใจที่โดยปกติที่ผมบอกว่ายังไม่หิวหรือว่าไม่กินข้าว น้ามาก็จะพูดนั่นพูดนี่ให้ผมยอมมากินข้าวเหมือนแม่ของผมไม่มีผิด
“จะ จะไปรู้ด้วยเหรอ มะไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
“ทำตัวมีพิรุธอีกแล้วล่ะ”
โมหลบหน้าผมทันที เหมือนเด็กมีความลับแล้วพยายามเก็บไว้ นั่นก็คือน่ารักนั่นแหละ
“เสรีถ้าอาการดีขึ้นแล้วให้มาหาน้านะ น้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
น้าหินทำหน้าเขม็งมายังผมตอนที่บอกผมและก็เดินออกไปข้างนอกบ้านทันที
“ไงกับข้าวที่ว่าจะให้เราชิมน่ะ อ้ออันนี้สินะ”
ผมเหลือบไปเห็นกล่องที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีน้ำเงินลายดอกไม้สีดำซึ่งเป็นลายที่ผมชอบอยู่แต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว และคาดว่าน่าจะใช่
“อืมใช่”
“โอ้แบบนี้ก็ได้กินเบนโตะ(ข้าวกล่องในภาษาญี่ปุ่น) ครั้งแรกเลยสินะ ว่าแต่ทำไมถึงใส่กล่องล่ะ ไม่ใส่จานเหรอ”
“เออ เอาเหอะน่า รีบกินเถอะเดี๋ยวมันเย็นก่อนมันจะไม่อร่อย ชั้นอุตส่าห์อุ่นมาให้ใหม่เลยนะ”
ผมยื่นมือจะไปหยิบข้าวกล่องที่ยังไม่รู้รสว่าควรแก่การที่อดกินอาหารของน้ามาหรือเปล่า
แปะ
มือของโมตีที่แขนผมก่อนที่จะได้หยิบข้าวกล่อง
“อะไรกันเนี่ย หรือว่าเกิดป็อด ไม่อยากให้เราลองชิมขึ้นมา”
“ปะ เปล่าหรอก ก็แค่ คือว่า ก็แกยังบาดเจ็บอยู่ไง ไม่สบายน่ะ คือว่า . . .”
โมทำท่าทางขัด ๆ เคือง ๆ ตาผมจริง ๆ มันทำให้ผมอึดอัด ผมก็เลย
“จะป้อนให้เราใช้ไหม อ้อถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งดีไปใหญ่ ไม่ใช่จะให้เราชิมใช่ไหมล่ะ แบบนี้ก็ทำให้เราได้กินจนอิ่มเลยนี่นา ฮะ ฮ่า ได้กินข้าวกล่องจากสาวแสนน่ารัก แถมยังต้องได้ป้อนอีก ช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้ เหมือนอยู่ในการ์ตูนแนว เลิฟ เลิฟเลย แต่มันจะดีเหรอถ้าเป็นโมมาป้อนเดี๋ยวขอเวลาคิดก่-”
“ไอ้เสรีบ้า!”
แวบหนึ่งผมเห็นโมหน้าแดงไปถึงหู ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากบ้านในทันใด นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าโมทำตัวเหมือนเป็นคนที่แอบชอบผมอยู่ อันที่จริงก็อาจจะเป็นมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วแหละ แต่ช่วงนั้นผมยังไร้เดียงสาเรียกว่าไม่รู้จักเรื่องอะไรรัก ๆ อะไรพวกนี้เลยแม้แต่น้อย จนมาถึง ม. 5 ซึ่งผมอายุได้ 16 ปีก็เริ่มที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้มากขึ้นเรื่อย ๆ นี้ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนก็เป็นได้ ‘ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก’
ใจจริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกแบบเดียวกับโมหรือเปล่า โมเป็นคนที่ดีมาก เป็นคนที่น่าคบเป็นแฟนมาก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ความรู้สึกของผมมันไม่บ่งบอกถึงความที่จะมีความสัมพันธ์ฉันคู่รักนั่นเลย ถ้าว่าไม่มีเลยเดี๋ยวก็แปลกคนอีก ทั้งที่น่ารัก และดีขนาดนั้น ยังไงผมก็เป็นผู้ชายล่ะนะ มันก็มีความรู้สึกดีด้วยอยู่แหละ หรือไม่ผมอาจจะคิดไปเองคนเดียวก็ได้ ใครจะไปรู้
“โห อร่อยโคตร ไม่น่าเชื่อว่า- เอิมไม่พูดดีกว่า เก่งเหมือนกันนี่โม”
ผมนั่งบ่นพึมพำคนเดียวพลางทานข้าวกล้องของโมไป เมื่อกินเสร็จผมก็ลุกและเดินออกมาจากห้อง และก็เดินเข้าไปในห้องของผมเพราะนึกถึงจดหมายฟันงูอะไรนั่นขึ้นมา
พอเข้าไปค้นดูก็พบว่าจดหมายที่ผมซ่อนไว้ยังอยู่ที่เดิมไม่มีร่องรอยการค้นหาใด ๆ มองไปรอบ ๆ ห้องก็ยังเป็นปกติดีหมดทุกอย่าง ‘หรือว่าจะมีแค่เราที่รู้เรื่องนี้ จะบอกทุกคนดีไหมนะเรื่องจดหมายนี้ ถ้างั้นก็...’
ที่นี้มีแค่น้าหินเท่านั้นที่ผมเชื่อใจและเคารพมากที่สุด สถานะของน้าหินในตอนนี้น้าหินรับหน้าที่เป็นหัวหน้าที่ประจำการของหมู่บ้าน และเป็นคนที่ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสและเก่งที่สุดด้วย ดังนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะพูดกับน้าหินในเรื่องนี้
เมื่อออกมาแล้วก็เห็นน้าหินนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้านพอดี ทำยังกับว่ารอดักคุยกับผมโดยเฉพาะ
“อ้าวเสรี อาการดีขึ้นแล้วสินะ”
“ครับไม่เป็นอะไรมากนักหรอกครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมไว้”
“อ่า ความผิดน้าเองแหละที่ทำให้เสรีต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งที่บอกไว้แล้วว่าจะปกป้องแต่ก็ยังผิดสัญญาจนได้”
น้าหินยิ้มเศร้า ๆ ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ
“เออ... คือว่า คงไม่ต้องโทษตัวเองถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ ไม่มีใครรู้มาก่อนหรอกครับว่าสถานการณ์มันจะรุนแรงถึงขนาดนี้ มันคงช่วยไม่ได้แหละครับ”
“เฮ้อ ให้ตายซี น้าก็คาดไม่ถึงเหมือนกันนั่นแหละ”
น้าหินถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เออน้าหินครับผมมีเรื่องอยากจะถาม”
“หาที่ดี ๆ คุยกันดีกว่านะ น้าไม่ค่อยจะชอบที่ตรงนี้เลย”
ก่อนที่จะได้ถาม น้าหินก็พูดตัดไปก่อน ถ้าเปลี่ยนที่คุยก็ดีเหมือนกันเพราะใกล้ ๆ นี้ก็มีน้ามาน้าลีอยู่ใกล้ ๆ ผมก็รู้สึกไม่สะดวกเหมือนกัน น้าหินชวนให้ผมไปที่สระน้ำที่อยู่กลางนาของผม สระนั้นอยู่ห่างจากบ้านผมไปไม่ไกล ที่สระน้ำนี้เป็นที่ที่ผมชอบไปเดินเล่นเป็นประจำอยู่แล้ว และช่วงเวลาแบบนี้ก็เหมาะอีกด้วยที่จะไปผ่อนคลายหรือคุยกัน
เมื่อผมและน้าหินเดินมาถึงก็หาที่นั่งเหมาะ ๆ คุยกัน ตรงที่เราทั้งสองอยู่มันเป็นที่ที่ดีมาก มีสายลมอ่อนคอยพัดมาอย่างไม่ขาดสาย แสงจากดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านก้อนเมฆมาเพียงเล็กน้อยทำให้อากาศไม่ร้อนมากนัก กลิ่นของพื้นดินและหญ้าก็หอมสดชื่นอีกเช่นกัน
“ว่าไงเรื่องที่อยากจะถามน่ะ”
ถ้าเข้าเรื่องจดหมายผมก็เริ่มสับสนขึ้นมาว่าควรจะบอกดีหรือเปล่า ผมก็เลยเปลี่ยนไปถามเรื่องตอนที่ต้อสู้แทน
“เออเรื่องที่ปีศาจบุกโจมตีหมู่บ้านเรานั่นแหละครับ”
“อืม... จะว่าไปมันก็น่าคิดอยู่นะ โจมตีตอนกลางวันแสก ๆ โดยไม่สนใจอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่รุนแรงขนาดนี้เลย แถมปีศาจที่มาโจมตียังเป็นโรฮานดินที่ตอนนี้ก็ไม่ใช่จะพบมันได้ง่าย ๆ ด้วย เรื่องพวกนี้น้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะตอบยังไงดี เพราะมันผิดวิสัยจากที่เคยมีมามาก...”
ที่น้าหินพูดมาเป็นสิ่งที่ผมอยากจะถามทั้งหมด แต่ดันบอกว่าไม่รู้จะตอบยังไงดีผมก็ไม่รู้จะอะไรยังไงดีเหมือนกัน
“...อันที่จริงคนที่บ้านเรายังไม่รู้หรอกนะว่าสถานการณ์มันรุนแรงมากน้อยแค่ไหน เพราะน้าก็บอกแค่ว่าโดนโรฮานดินตัวลูกกับปีศาจดินเล็ก ๆ น้อย ๆ โจมตีหมู่บ้านเท่านั้น ตอนนี้น้าก็ได้แจ้งเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปยังสำนักงานหลักแล้วล่ะ”
“ทำไมถึงไม่บอกล่ะครับ ว่ามันเป็นยังไง จะได้รับมือช่วยกันได้ไงล่ะครับ ถ้าเกิดว่ามันกลับมาโจมตีอีก”
“ใช่พวกมันจะโจมตีมาอีกแน่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรุนแรงมากขึ้นไหม น้าต้องรู้ข้อมูลจากเพื่อนของน้าก่อน ถึงจะตัดสินใจทำอะไรต่าง ๆ ได้ถูก”
“ข้อความ..จากเพื่อนเหรอ”
‘หรือว่าจะเป็นจดหมายงูนั่น’ ผมชักฉงนเข้าให้แล้ว
“ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันได้ถูกส่งมาถึงแล้วล่ะ เสรีได้อ่านแล้วใช่ไหม”
น้าหินหันมาถามผม ตอนที่ผมกำลังงงอยู่นิด ๆ
“ไม่ต้องทำงงไปหรอก ก็งูตัวที่ส่งจดหมายเมื่อเช้าไง หรือว่าจะไม่ใช่”
‘จริง ๆ ด้วย น้าเสรีอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แล้วทำไมปลายทางถึงเป็นเราล่ะ”
“เออ น้าครับ แล้วทำไมถึงได้ส่งมาที่ผมล่ะครับ ทำไม่ปลายทางไม่เป็นน้าหินล่ะ จดหมายมันเป็นของเพื่อนน้าส่งไปหาน้าไม่ใช่เหรอ”
“อา ...พูดง่าย ๆ น้าขี้เกียจหาวิธีอ่านจดหมายนั่น ก็ดูแต่ละอันซีกว่าจะได้อ่าน ต้องหาวิธีบ้าบออะไรไม่รู้ น่าเบื่อจะตายไป”
‘เหตุผลเยี่ยมมาก ถุย!’ น้าหินตอบออกมาอย่างหน้าระเริง
“อะ ล้อเล่นหรอก ล้อเล่น ที่จริงน้าไม่อยากให้คนอื่นกังวลกับจดหมายที่ถูกส่งมาด้วยวิธีแปลก ๆ เท่าไหร่ ก็เมื่อก่อนน้าเมย์ตอนที่น้าหาวิธีที่จะได้อ่านจดหมาย ก็มักจะคิดว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่นอน มันก็ไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละเพราะทุกฉบับที่ได้รับมันเป็นข้อความเตือนเรื่องที่เข้าขั้นวิกฤตกว่าปกติ และอีกอย่างน้าก็อยากจะให้เสรีได้เรียนรู้เรื่องนี้ไปด้วยไง ถ้าได้รู้กันหลาย ๆ คนมันจะควบคุมได้อยากน่ะ”
‘อืมก็เริ่มฟังขึ้นอยู่หรอก’ ถึงจะบอกออกมาแบบนั้นแต่ผมก็ยังสงสัยอยู่
“แล้ว... จดหมายที่ว่ามันสำคัญและเป็นความลับมากเลยไม่ใช่เหรอครับ ส่งมาที่ผมด้วยเหตุผลที่ว่า อยากจะให้ได้เรียนรู้ไปด้วยมันออกจะไม่เต็มเท่าไหร่เลยนะครับ”
“ฮะ ฮ้า ฮ่า ฮ่า น้าก็ว่างั้นแหละ ไม่ต้องคิดมากไปหรอก เออพูดแล้วก็เกือบลืมไปเลย มีใครรู้เรื่องนี้ละยัง”
‘ยังจะตลกอีก ยังงี้ก็แสดงว่าให้เรารับหน้าที่อ่านจดหมายแบบนี้ไปอีกสินะ’ ความนับถือในน้าหินของผมเริ่มลดลงซะแล้ว
“ยังหรอกครับ พอผมอ่านเสร็จผมก็เก็บซ่อนไว้ในห้องของผม เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่สำคัญอยู่ และไม่ควรเปิดเผยสุ่มสี่สุ่มห้าอีก”
“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ แล้วข้อความมันเขียนไว้ว่าอะไรล่ะ”
“อืม...มันเขียนไว้ว่า “เตรียมตัวป้องกัน และรักษาชีวิตให้ถึงที่สุด” นี่แหละครับ”
“ว่าไปนั่น นี่มันวิกฤตระดับสูงมากเลยล่ะ เรื่องใหญ่กำลังข้ามาเยือนหมู่บ้านเราแล้ว อ่านดีแล้วเหรอ”
“ดีมากที่สุดเลยล่ะครับ ผมพลิกหาอยู่เป็นชั่วโมงดันไปอยู่ที่สัน แถมยังเป็นข้อความจิ๋วอีก เล่นเอาซะแทบแย่”
สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่มีมาตลอดตอนนี้มันได้หายไปหมดแล้ว ดูเหมือนน้าหินที่ตั้งหน้าทำอารมณ์ดีมาก่อนแล้วค่อยข้อความจดหมายฟังจากผม แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ฟังแล้วกลับไม่ได้ผลอย่างที่คิด ผมก็คิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นเรื่องอะไรที่ไม่ดีแน่ พอได้ฟังน้าหินพูดก็ยิ่งทำให้กังวลเข้าไปใหญ่
“น้าคิดว่าผมควรจะบอกเรื่องนี้กับพ่อไหม”
“ก็ดีเหมือนกัน แต่น้าจะเป็นคนรายงานเอง สำหรับเรื่องทั้งหมดด้วย หมายถึงหลังจากที่เสรีสลบไปน่ะ”
น้าหินกับพ่อของผมเคยทำงานด้วยกันหลายครั้งก็เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ออกจะเข้าขากันได้ดีอยู่
“หลังจากที่ผมสลบไป...เหรอ”
“อื้ม เสรีคงคิดว่ามันจบแค่ตอนที่เสรีสลบไปสินะ อันที่จริงมันยิ่งรุนแรงมากขึ้นอีกตอนที่เสรีกำลังนอนอย่างสบายใจอยู่น่ะ เล่นเอาซะหอบ”
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้พลาดอะไรซักอย่างที่สุดยอดไปซะแล้ว
“ฟังดูเหมือนผมจะพลาดโชว์ตระการตาเลยนะครับ”

ติดตามตอนต่อไป

santisook01
26th April 2013, 13:42
ตอนที่ 4 : หยุดหัวเราะ
ดวงอาทิตย์อันเจิดจรัสแห่งวันได้ส่องแสงลงมากระทบชายที่ชื่อว่าหิน ชายหนุ่มในวัยที่กำลังย่างเข้าเลขสี่ อากาศอันร้อนระอุในตอนนี้นั้น ถึงแม้ว่ากำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้วก็ตาม แต่ดวงอาทิตย์นั้นก็ไม่ลดละที่จะทำให้ผู้คนบนโลกได้ร้อนตั้งแต่ภายนอกเข้าไปสู้ภายในของร่างกายอย่างสุดจะทนไหวไม่ต่างจากหน้าร้อนเลยแม้แต่น้อย หินยืนจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกเพื่อนสนิทของเขา เขามองเด็กหนุ่มคนนี้ ที่มีชื่อว่าเสรีนี้มาได้ซักพักแล้วหลังจากที่เขากำจัดเรื่องที่น่ายุ่งยากเสร็จ เสียงหายใจอย่างถี่รัวดังจนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน เหงื่อที่ไหลหยดย้อยตั้งแต่ศีรษะอาบใบหน้าเสรี พลางหยดลงสู่พื้นอยู่เนือง ๆ เสรีเพ่งความสนใจไปที่การเคลื่อนที่ของโรฮานดินอย่างเดียวโดยไม่คิดว่ามีคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ นั่นคือสิ่งที่หินได้เห็นอยู่ในตอนนี้
หินคอยแอบดูเสรีอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว ไม่ผลีผลามทำอะไรโดยพลักการ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกของเพื่อนสนิท และไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยซักนิด
เด็กหนุ่มเสรีที่คอยหลบความเป็นความตายมาอยู่ตลอด ตอนนี้ก็ได้วิ่งออกห่างจากศัตรูของตนเพื่อล่อให้ออกห่างจากหมู่บ้านให้มากที่สุด ตามคำสั่งที่เขาได้รับมา
‘พลาดซะแล้ว’
หินเห็นท่าไม่ดี เพราะเสรีนั้นได้วิ่งไปอยู่ในพิสัยที่พอเหมาะแก่การขว้างก้อนหินของโร-ฮานดินเข้า เมื่อเป็นแบบนั้นเขาก็รีบตามเด็กหนุ่มเสรีที่กำลังจะโชคร้ายไปในทันที
ตูม!!!
เสียงของก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกขว้างออกโดยโรฮานดินตกกระทบกับพื้นทำให้เสรีที่หลบได้อย่างเฉียดฉิวต้องกระเด็นไปอยู่ตรงหน้าของโรฮานดินอีกตัว ซึ่งมันมีขนาดใหญ่กว่าตัวที่เคยเห็นถึงสองเท่า
‘อยู่ที่นี่เองสินะ’
เหมือนหินจะพบเป้าหมายที่เขาตามหาแบบไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่แล้ว ศัตรูที่น่ายำเกรงด้วยขนาดรูปลักษณ์และความแข็งแกร่งของมัน
‘กำจัดตัวเกะกะก่อน’
เขาได้ออกจากที่ซ่อนแล้วทำลายโรฮานดินตัวที่เล็กกว่าด้วยเวทสลายตัวตน ภายในพริบตาเดียวโรฮานดินตัวนั้นก็ได้หายไปโดยไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ทิ้งไว้แม้แต่นิดเดียว น่าเสียดายที่เวทนี้ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถฟื้นพลังเวทนี้ได้จนกว่าจะสามารถใช้ได้อีกครั้ง หินจึงต้องงัดเวทอื่นที่ยังมีดีอยู่ไปสู้กับโรฮานดินตัวใหญ่แทน เวทสลายตัวตนที่เขาได้ใช้นี้ถือเป็นเวทขั้นสูง โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่สามารถใช้เวทสลายตัวตนนี้ได้มักจะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องสิ่งของสำคัญ หรือเป็นคนที่ทำงานเป็นพวกสอดแนมหรือไม่ก็นักฆ่าปีศาจ
หินกำจัดตัวเกกะที่ว่าได้แล้ว เขาพุ่งตัวไปหาเด็กหนุ่มเสรีกับโรฮานดินที่เหลือในทันที
โครม!!!
‘เกือบไปแล้วนะเสรี’
ก่อนที่มือของโรฮานดินจะทุบร่างของเสรี หินก็ได้เข้ารับการโจมตีแทนด้วยเวทเทพกำแพงเหล็กที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับเขามานักต่อนัก ด้วยการป้องกันที่ดีกว่าการโจมตีของโร-ฮานดินหลายเท่า มือขนาดยักษ์ที่เหมือนค้อนทุบทำลายของมันต้องกระเด็นกลับม้วนแขนของมันในทันใด จากนั้นสมดุลตัวที่ไม่คงที่จากการสวนกลับก็ทำให้มันต้องล้มคมำไปกองกับพื้น ร่างขนาดมหึมาของมันที่ล้มลงจึงคล้ายกับตึก ๆ หนึ่งถูกระเบิดฐานแล้วต้องพังลงไม่มีผิด
ด้วยความรุนแรงขนาดที่โรฮานดินไม่สามารถรับไหวจึงทำให้มันได้สิ้นชีวิตและค่อยสลายไปในที่สุด
‘ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ข้าหวังเพียงแค่จะปกป้องสิ่งที่ข้าอยากจะปกป้อง ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใครก่อน สิ่งชั่วร้ายควรที่จะสลายไป’
คล้ายว่าเขาจะอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าของเขา ที่ได้กระทำการในครั้งนี้ไป
หินมองหาเสรีที่ตนพยายามจะเข้ามาช่วย ก็พบว่าได้ลงไปกองอยู่กับพื้นและนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอะไร เขารีบวิ่งเข้าไปดูอาการทันที เมื่อตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าแค่นอนหลับไปเพราะหมดแรงเท่านั้น
ครืน ครืน ครืน
พื้นที่โดยรอบหินสั่นสะเทือนไปทั่ว เขารู้ว่ามันไม่ใช่แรงสั่นที่เกิดจากธรรมชาติแน่นอน
. . .
ผ่านไปได้เกือบนาทีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย หินเพ่งเล็งมองไปรอบ ๆ พื้นดินว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่พบอะไร หินยังวางใจอะไรไม่ได้นักเพราะความรู้สึกว่าความอันตรายยังคอยป่วนเปี่ยนอยู่รอบ ๆ ตัวเขาอยู่ ด้วยความที่ยังสงสัยกับพื้นดินที่เขายืนย้ำนั้นว่ามันยังมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ หินจึงตัดสินใจกระทุ้งดินด้วยเวทคลื่นความร้อน พลังเวทนี้จะไม่ทำลายพื้นดินที่กระทบ เพียงแต่จะส่งคลื่นความร้อนสูงทำให้ปีศาจหรือสิ่งที่ชั่วร้ายนต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมานที่ถึงแม้ว่าจะทนร้อนได้มากแค่ไหนก็ไม่อาจอยู่ได้นาน พลุ่ง! พลุ่ง! พลุ่ง! พลุ่ง! พลุ่ง!
เป็นไปอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด สิ่งที่แทรกทะลุแผ่นดินออกมาตาม ๆ กันคือสิ่งที่หินต้องการจะพบ มันเป็นปีศาจแมลงป่องยักษ์--เป็นปีศาจธาตุดิน ซึ่งเป็นธาตุเดียวกันกับโร-ฮานดิน มีชื่อที่ถูกเรียกโดยทั่วไปว่า “ซอยคิง” เป็นปีศาจที่มีความแข็งแกร่งพอ ๆ กับโรฮานดิน ลักษณะโดยทั่วไปก็เหมือนกับแมลงป่องธรรมดา หากโตเต็มที่ ขนาดตัวของซอยคิงจะใหญ่พอ ๆ กับรถยนต์ขนาดเล็กคันหนึ่ง สีของมันจะเป็นสีน้ำตาลเข้มมะเมื่อม ความน้ากลัวของมันอยู่ที่ความเร็ว และพิษของมันหากได้สัมผัสเข้าแล้วจะทำให้ร่างกายชาไปทั้งตัวในทันที และจะไม่สามารถขยับอะไรได้เลย
ในตอนนี้หินต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายอย่างมากเพราะซอยคิงที่โผล่ออกมามันมีมากถึง 10 กว่าตัว มิหนำซ้ำ ยังมีตัวที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในกลุ่มอีกด้วย ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ ถึงสองเท่า ก็ไม่ยากเลยที่หินจะมองเห็นมันได้โดยง่ายถึงแม้จะอยู่ด้านหลังสุดก็ตาม
“จงออกมา ขุนศักดิ์!”
หินได้ร่ายเวทเรียกขุนศักดิ์ นักรบโบราณออกมา จากภายนอกก็มองออกได้ทันทีเลยว่ามีความน่าเกรงขามมากแค่ไหน ร่างกายที่กำยำสมเป็นชายชาตรีพร้อมกับแผลเป็นตามตัวที่บ่งบอกได้ว่าเคยผ่านการต่อสู้มามาก การแต่งตัวโดยสวมจงกระเบนสั้น ผิวสีแดงดำที่อาบด้วยแดดมาตลอด หนวดที่เป็นเอกลักษณ์ แค่ได้พบเจอก็ต้องอกสั่นขวัญแขวนแล้วถ้าหากว่าเป็นคนที่ขวัญอ่อน อาวุธของเขาคือทุกส่วนของร่างกาย ก็เพียงพอที่จะต่อกรกับศัตรูนับร้อยได้
“ตกอับถึงขนาดต้องเรียกข้าออกมาเลยรึ ไอ้หิน”
ขุนศักดิ์เอ่ยออกมา พลางยิ้มหน้าระรื่นไปทางหิน
“เออ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็แค่อยากให้ช่วยอะไรซักอย่าง... เห็นเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ตรงนั้นไหม ช่วยแบกกลับเข้าบ้านชั้นให้หน่อย และก็บอกเมียชั้นว่าไม่ต้องมา ก็แค่เก็บกวาดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
หินพูดสั่งรัว แสดงให้เห็นได้ว่าเขาไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการสาธยายเรื่องต่าง ๆ ให้ใครต้องมาเข้าใจซักเท่าไหร่ และนั่นก็ได้ส่งความรู้สึกนั้นไปถึงขุนศักดิ์ด้วย
“เข้าใจแล้ว แต่ข้ายังสงสัยอยู่ ที่เรียกข้าออกมา เพื่อจะให้แบกเด็กกลับบ้านเนี่ยนะ และบอกความนิด ๆ หน่อย ๆ รึ”
“ใช่แล้ว”
น้าหินตอบออกไปแบบหน้าซื่อ ๆ
“อะไรกันวะนั่น อุตสาห์ได้ออกมาทั้งที บ้าจริง!”
พูดจบขุนศักดิ์ก็แบกเด็กหนุ่มเสรีขึ้นบ่าและก็วิ่งกลับไปที่หมู่บ้านด้วยความรวดเร็ว จนมองหลังไม่ทัน
‘นานขนาดนี้แล้วยังกำลังดีไม่เปลี่ยนเลยนะ หึ หึ’
เมื่อหินไม่เห็นหัวขุนศักดิ์กแล้ว หินก็ร่ายเวทคลื่นความดันสูงใส่ฝูงซอยคิงจนต้องกระเด็นตีลังกากลับไป เพราะเมื่อตอนที่หินกับขุนศักดิ์คุยกันซอยคิงทั้งหลายก็มุ่งตรงมายังเขาแล้ว
แรงของคลื่นความดันทำให้ซอยคิง 3 ตัวตังดิ้นทุรนทุรายเพราะบาดแผลและมุดดินหนีไปในที่สุด
‘เหนื่อยชะมัด ทำไมมันถึงได้โผล่มากันเยอะนักนะ’
หินหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ เพราะได้ใช้พลังไปมากมาก่อนแล้วตั้งแต่ตอนที่สกัดก่อนหินที่ถูกขว้างใส่หมู่บ้าน ต้องคอยกำจัดปีศาจดินจำนวนมากที่หวังจะเข้าไปภายในหมู่บ้าน ต้องใช้เวทสลายตัวตนกับโรฮานดินตัวเล็ก ต้องใช้เวทเทพกำแพงเหล็กกับโรฮานดินตัวใหญ่เพื่อปกป้องเสรี มิหนำซ้ำยังต้องเรียกขุนศักดิ์มาแบกเสรีกลับบ้านอีก จึงไม่แปลกที่เขาจะเหนื่อยหอบได้ถึงขนาดนี้
‘ถ้าเป็นแบบนี้มีแต่ต้องตั้งรับอย่างเดียวเท่านั้น ขืนเป็นฝ่ายรุกมีหวังได้เป็นเหมือนเสรีแน่’
หินตัดสินใจยืนอยู่ที่เดิม รอให้ซอยคิงที่เหลือเข้ามาโจมตีแทน ที่ที่เขาอยู่เป็นพื้นที่โล้งมีเพียงแต่ถนนเส้นเล็กที่ตรงเข้าไปยังหมู่บ้านตัดผ่านเท่านั้น ดินส่วนใหญเป็นดินทรายแห้งจึงมีฝุ่นลอยอยู่ประปราย
เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ ซอยคิงได้เข้าจู่โจมหินพร้อมหมด ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่และความเร็วสูงของพวกมัน จึงราวกับว่ารถยนต์จำนวนมากพยายามที่จะพุ่งชนไปยังคน ๆ เดียว ที่ยืนนิ่งไม่คิดลังเลที่จะหลบออกไปแม้แต่อย่างใด
พรุบ! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!!!
กำแพงเหล็กสูงกว่าสี่เมตรก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความกว้าของกำแพงที่กว้างกว่าห้าสิบเมตรทำให้เพียงพอที่จะป้องกันซองคิงที่พุ่งเข้ามาทั้งหมด ซอยคิงทั้งหมดต้องกระเด็นไปคนละทิศละทางเมื่อต้องปะทะกับเทพกำแพงเหล็กระดับสูงสุดของเขา มันเหมือนรถที่ชนกำแพงด้วยความเร็วสูง ถ้าหากต้องคิดสภาพของความเสียหายแล้วมันยิ่งกว่านั้นหลายเท่า เพราะเทพกำแพงเหล็กของหินมีความสามารถที่น่ากลัวอีกอย่างคือสะท้อนการโจมตีกลับเป็นสองเท่า และถ้าหากว่าพลังโจมตีมีมากเท่าไหร่ก็จะเป็นผลเสียต่อผู้ที่โจมตีมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซอยคิงทั้งหลายจึงต้องจบชีวิตลงในทันที
“ห่า ห่า ห่า”
เสียงหายใจเข้าออกถี่รัวของหิน บ่งบอกได้เลยว่าเขาได้มาถึงขีดสุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นซอยคิงที่ตัวใหญ่ที่สุดกลับยังไม่ตาย และเหมือนกับว่ามันจะไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ เลยแม้แต่น้อยมันค่อย ๆ พลิกตัวกลับมาอยู่ในท่าที่สามารถเดินได้ เพราะจากต้องกระเด็นทำให้มันท้องหงายดิ้นไปดิ้นมากลายเป็นภาพที่น่าขับขันเมื่อได้เห็น
‘ซวยระดับพระกาฬแล้วไงล่ะ’
“ไม่ต้องห่วงข้ามาช่วยแล้ว”
หินยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียของขุนศักดิ์ ที่วิ่งมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ความเร็วระดับนี้ถ้าหากได้ไปแข่งวิ่งโอลิมปิกคงได้เหรียญทองทุกรายการแน่ แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เพราะจากที่เห็นว่าซอยคิงตัวนี้ยังรอดจากเทพกำแพงเหล็กระดับสูงสุดของเขาได้ แสดงว่าซอยคิงตัวนี้ต้องแข็งแกร่งมากกว่าซอยคิงปกติอยู่แล้ว
“คิดจะลุยคนเดียวเหรอ ไม่มีทางซะหรอกเจ้าน่ะต้องมีข้าคนนี้อยู่ด้วย”
ท่าทางฮึกเหิมของขุนศักดิ์ช่วยเรียกกำลังใจหินให้เพิ่มพูนมากขึ้น
ตูม!!!
ขุนศักดิ์กระทืบพื้นจนกลายเป็นหลุม เขาคงตั้งใจจะบอกว่าตัวเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหนและไม่ควรที่จะเลือกเขาเป็นคู่ต่อสู้ด้วยเลย
“ฮ้า ฮ่า ฮ่า วันนี้เป็นวันลงนรกของเจ้าแล้ว ไอ้. . . ไอ้ ... เออ มันชื่อว่าอะไรนะ”
ขุนศักดิ์ทำยัก ๆ เขิน ๆ หันมาถามหินที่นั่งลงพักอยู่ข้างหลัง
“ซอยคิง หึ หึ”
หินพ่นขำออกมาเพราะความที่ไม่รู้จักคู่ต้อสู้ของขุนศักดิ์ และพยายามจะประกาศศักดา
‘ซอยคิง หึ หึ ชื่อแปลกแฮะ’ ขุนศักดิ์รู้สึกฉงนกับชื่อของปีศาจแมลงป่องยักษ์ตัวนี้
“ฮ้า ฮ่า ฮ่า วันนี้จะเป็นวันที่นรกต้องดึงเจ้ากลับไปแน่ ไอ้ซอยคิง หึ หึ!”
ฮ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หินกุมท้องหัวเราะดังลั่น และยังหัวเราะอย่างไม่คิดที่จะหยุด จนทำให้ขุนศักดิ์รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรที่น่าอายไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่ มันมีอะไรน่าขันนักรึ”
“เปล่า ๆ ชั้นก็แค่ฮาเจ้าปีศาจนั่นเท่านั้นเอง ลองดูมันซียังกับแมลงป่องยักษ์ไม่มีผิด ฮ้า ฮ่า ฮ่า”
หินพูดกลบเกลื่อนพลางชี้ไปที่ซอยคิงที่พึ่งจะพลิกตัวกลับได้
“เออจะว่าไป ตัวเจ้าก็ดูเหมือนกับแมลงป่องยักษ์ไม่มีผิดเลยนะ ฮ้า ฮ่า ฮ่า”
ขุนศักดิ์หันไปทางซอยคิง เขาคิดว่ามันน่าจะหัวเราะอย่างที่หินหัวเราะ มันเลยทำให้ขุนศักดิ์หัวเราะจริง ๆ และทั้งสองก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด ทั้งสองได้เปลี่ยนสถานการณ์อันน่าตึงเครียด ให้กลายเป็นช่วยเวลาที่น่าขบขันไปในทันที
“บ้าเอ้ย ขำชะมัด นี่ชั้นท้องแข็งไปหมดแล้วนะเนี่ย”
“ข้าก็ว่างั้นแหละ ฮ้า ฮ่า ฮ่า”
มันแสดงให้เห็นว่าขุนศักดิ์เป็นคนที่ซื้อบื้อมากขนาดไหน ถึงแม้จะมีฝีมือด้านการต้อสู้มากก็ตาม แต่ก็ย่อมมีข้อด้อยซักอย่างในตัวของขุนศักดิ์อยู่ดี ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้ามนุษย์สองคนนี้มันจะขำเรื่องอะไรก็ตาม ซอยคิงก็ได้พุ่งเข้าโจมตีเข้ามายังทั้งสอง แต่ก็ต้องกระเด็นกลับไปที่เดิมด้วยลูกเตะของขุนศักดิ์ที่เตะเข้าไปที่ลำตัวของซอยคิงอย่างจัง
“อะไรกันวะ ข้ายังหัวเราะไม่เสร็จโว้ย ไอ้ซอยคิง หึ หึ!”
ฮ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หินลั่นเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง หลังจากที่พึ่งหยุดไปได้ไม่นาน
“นี่ ข้าว่าเลิกหัวเราะก่อนดีมั้ย ข้ารู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะฮาซักเท่าไหร่แล้วนะ”
“เออ ๆ ได้ ชั้นจะพยายาม ฮะ ฮะ”
ใบหน้าที่อิ่มเอมเบิกบานใจของหินในตอนนี้มันทำให้เขามีความสุขมาก เขาและขุนศักดิ์ก็พยายามกลั้นหัวเราะเพื่อจดจ่อกับการต่อสู้ถึงแม้ว่ายังจะพ่นขำออกมาเป็นระยะ ๆ ก็ตาม
“ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักสินะ ข้า มีนามว่าขุนศักดิ์...”
“... หืม...แค่นี้เหรอ”
หินอดที่จะสงสัยไม่ได้เลยถามออกไป
“จะให้บอกอะไรอีกล่ะ แนะนำตัวก็บอกแค่ชื่อไม่ใช่รึไง”
“เออ ๆ ชั้นไม่ขอยุ่ง เชิญตามสบาย”
ทางด้านของซอยคิงที่ต้องหงายท้องอีกครั้ง ก็กำลังพยายามทรงตัวขึ้น และพุ่งเข้ามาโจมตีอีกแต่ก็ต้องกระเด็นกลับไปอีกเช่นเคยด้วยลูกเตะพลังมหาศาลของขุนศักดิ์ ครั้งนี้ทำให้มันกระเด็นไปไกลมากและต้องดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวด
“หนังหนานักนะแก เจ้าไม่มีที่จะเอาชนะข้าได้หรอก เอ้า เอ้า ดิ้นเข้าไป ๆ ข้าไม่ได้จะมาดูสัตว์แสดงหรอกนะ มา เข้ามา รีบเข้าซักทีสิวะ จะต้องให้คนอย่างข้าต้องรอนานไปอีกเมื่อไหร่กัน ไอ้ซอยคิง หึ หึ! ถ้าหากว่าเจ้ายังไม่เข้ามาอีกล่ะก็ เฮ้ย! เมื่อไหร่เจ้าจะลุกซักทีวะ ขาของข้ามันอยู่ไม่สุขนะเว้ย กล้ามเนื้อของข้าก็ดิ้นพล่านอยู่ตลอด เฮ้!”
‘มันจะพล่ามอะไรกันนัก’ ภาพชายศึกกำลังด่าทอศัตรูที่ไม่มีทางพูดกลับและกำลังใช้เวลาในการพลิกตัวกลับอยู่ ปรากฏให้เห็นตรงหน้าของหินแล้ว มันทำให้เขายังหัวเราะออกมาอีกครั้งและยากที่จะหยุดยั้ง
“เฮ้ย! ข้าหยุดหัวเราะได้แล้วนะเฟ้ย เจ้าก็ควรจะหยุดด้วย”
ขุนศักดิ์หันกลับมาด่าหิน
“ได้ ๆ ชั้นจะพยายามก็แล้วกัน”
“พยายามให้ได้ก็แล้วกันล่ะ เออนี่เจ้าเคยพูดแบบนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วรึ ช่างหัวมันปะไร! เจ้าน่ะ เมื่อไหร่จะลุกขึ้นมาซักทีหา! ต้องให้ข้ารอไปถึงเมื่อไหร่กัน ข้าไม่มีเวลาจะมาดูสัตว์เต้นระบำท่าแปลก ๆ นะเว้ย! เฮ้!”
เป็นคนที่พูดมากโดยที่ไม่ทำให้อะไรได้ดีขึ้นเลย สำหรับขุนศักดิ์ผู้นี้ เขายืนด่าทอพลางชี้ไปที่ซอยคิงอยู่ตลอด
“นี่ ขอขัดหน่อยนะ ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งนักหรอก แต่ คือ... ทำไมแกไม่เข้าไปโจมตีมันเลยล่ะ ยิ่งตอนนี้แกก็ได้เปรียบมันอยู่ด้วย แกก็มีเวลาอยู่ที่นี่แค่ชั่วโมงเดียวเองไม่ใช่เหรอ ชั้นไม่มีพลังจะยื้อให้แกได้ยืนด่าเจ้านั่นมากหรอกนะ”
หินพูดขึ้นทำให้ขุนศักดิ์นึกขึ้นได้ ถ้าหากขุนศักดิ์หายไปเพราะมาเสียเวลากับการพูดมากอย่างเดียวของเขาก็จะเป็นอันตรายต่อหินแทน เพราะตอนนี้หินไม่มีแรงมากพอที่จะสู้กับปีศาจที่มีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ได้
“ถ้าจะพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็ ข้าก็จะจัดให้ตามประสงค์”
ขุนศักดิ์ย่อตัวลงเล็กน้อยถอยขาขวากลับไปด้านหลัง จากนั้นพื้นดินที่เขาได้ยืนอยู่ก็แตกกระจายออก อายความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างของขุนศักดิ์ลอยมาถึงหินที่นั่งพักอยู่ไม่ห่าง และความร้อนนั้นก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“คราวนี้แหละเจ้าจะได้เห็นความสามารถที่ข้าอุตสาห์ฝึกฝนมายาวนานนับเดือนว่ามันก้าวหน้าไปมากแค่ไหน เตรียมใจตายได้แล้วเจ้าซอยคิง หึ หึ”
‘อะไรกัน พลังมหาศาลมากมายขนาดนี้ ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยเห็นหมอนี่เดือดได้ถึงขนาดนี้เลย ฝึกมานับเดือนงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ขอดูหน่อย’
หินต้องแปลกใจกับพลังอันแก่กล้าที่ตนไม่เคยสัมผัสจากผู้รับใช้คนนี้มาก่อน ทางด้านซอยคิงที่พลิกตัวกลับมาได้ ดูเหมือนมันไม่คิดที่จะยอมน้อยหน้าขุนศักดิ์เลยแม้แต่น้อย มันกางขาทั้งหกให้ยืดออก ได้ที่แล้วก็ยึดพื้นดินไว้ ไอพิษเริ่มกระจายออกมาล่องลอยรมรอบตัวมัน ทันใดนั้นซอยคิงตัวอื่น ๆ ที่ยังไม่ตายก็โผล่ขึ้นมาจากดินพร้อมกันและมุ่งพุ่งเข้ามาทางขุนศักดิ์ในทันที กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์วิญญาณปะทะซอยคิงทั้งสี่
พลุ่ง!
ขุนศักดิ์พุ่งพรวดออกไปด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่าเหนือเสียงตรงไปยังซอยคิงสามตัวที่มุ่งตรงมายังเขาเช่นกัน หมัดของขุนศักดิ์ที่ถูกเสริมความหนักหน่วงและความรุนแรงจากการพุ่งตัวของเขาชกเข้าใส่ด้านหน้าซอยคิงตัวที่อยู่ตรงกลาง หมัดของขุนศักดิ์นั้นมีทิศลงสู่พื้น เลยทำให้ซอยคิงที่โชคร้ายตัวแรกต้องถูกยัดลงดินด้วยสภาพที่เละไม่เป็นท่า จากนั้นขุนศักดิ์ก็หมุนตัวเพื่อเสริมกำลังให้กับเท้าแล้วเตะใส่กลางลำตัวของซอยคิงที่อยู่ด้านซ้ายอย่างจัง ร่างที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กต้องแตกกระจายออกจากกันเหมือนโลหะเก่าและแตกเปราะไปโดยง่าย ความรุนแรงมหาศาลทำให้ซอยคิงตัวนั้นต้องกระเด็นกลับไปไกลไถลไปกับพื้นดินเป็นรอยถลากกว้าง ขุนศักดิ์ยังหมุนต่อไป เขาหมุนตัวด้วยความเร็วที่เหมือนพายุใต้ฝุ่นขนาดย่อม ๆ ความคมที่แฝงอยู่ภายในก็ดั่งมีดพันเล่มก็ไม่ปาน ซอยคิงตัวที่สามที่ตรงเข้ามาหาขุนศักดิ์ก็ต้องสยบลงในไม่กี่วินาที ร่างของมันขาดเป็นท่อน ๆ จนยากที่จะหาว่ามันคือชี้นส่วนของตัวอะไรกันแน่
‘สมบูรณ์แบบ นี่มันเป็นการต่อสู้ที่หาดูได้ยากจริง ๆ สนุกจริง ๆ ขุนศักดิ์’
จิตใจของหินตื่นเต้นกับการต่อสู้อันน่าประทับในตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นรัวเพราะความสนุกที่ไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มานาน ดวงตาอันเป็นประกายจับจ้องไปที่ขุนศักดิ์อย่างไม่ลดละ
‘แต่ว่าเจ้าซอยคิงตัวนี้ล่ะ จะทำยังไง พิษมันรายล้อมรอบตัวไปหมด ถ้าโดนเข้าไม่ดีแน่ แต่ก็น่าชมหน่อยกับวิธีการจัดการกับศัตรูของนาย ขุนศักดิ์’
ขุนศักดิ์ยืนนิ่งอยู่ห่างจากซอยคิงยักษ์พอควรที่จะไม่โดนพิษของมัน เขาไม่ยอมขยับไปไหน ซอยคิงตัวนั้นก็ไม่ยอมขยับไปไหนเช่นกัน
‘มันเจ็บไปมากขนาดนี้ ไม่มีทางที่มันจะเข้ามาสู้กับเราหรอก คงมีแต่จะรอให้เราเข้าไปสู้เท่านั้น’
ขุนศักดิ์ยืนครุ่นคิดซักพัก จากนั้นก็หยิบก้อนหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่อยู่รอบเขาขึ้นมา เขาเดินไปรวบรวบก้อนหินก้อนอื่น ๆ อีกนำมากองรวมกันให้ได้มากที่สุด
‘คิดจะทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่าจะขว้างก้อนหินใส่ แต่ก้อนเล็กขนาดนั้นมันจะทำอะไรได้’
หินแปลกใจกับการกระทำของขุนศักดิ์ เพราะก้อนหินแต่ละก้อนส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ก้อนเล็กเท่านิ้วโป้งกันทั้งนั้น
เมื่อขุนศักดิ์รวบรวมจนคิดว่าน่าจะพอแล้วเขาก็มายืนอยู่ด้านข้างกองก้อนหิน—นั่งลงกับพื้น
ตูม!
ก้อนหินทั้งหมดลอยขึ้นไปบนฟ้า ร่างของขุนศักดิ์ก็ทะยานขึ้นตามไปเช่นกัน สูงประมาณสองเมตรจากพื้น เขาหมุนตัวกลางอากาศกลายเป็นเสาพายุดึงก้อนหินทั้งหมดเข้าไปภายในนั้น ก้อนหินกลายไปเป็นหนึ่งในพายุมนุษย์อันรุนแรงแต่ขนาดย่อม พื้นที่พายุนั้นได้พาดผ่านไปกลายเป็นหลุมลึกแหลม ไม่นานหลังจากนั้นก้อนหินที่ได้เข้าไปในพายุนั้นก็พุ่งออกมาทีละก้อน มุ่งไปยังซอยคิงที่ยืนแน่นิ่งอยู่ หินทุกก้อนได้พุ่งเข้ากระทบที่ร่างของซอยคิงทุกก้อน แม่นราวกับจับวาง ความเร็วที่เหนือกว่ากระสุนปืนไรเฟิลทำให้เนื้อหนังที่แข็งแกร่งของซอยคิงต้องแตกกระจายออกไปทีละเล็กละน้อย ความรุนแรงที่ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยทำให้ซอยคิงตัวนั้นต้องจำถอนขาที่ยึดพื้นออก และพยายามหนีไปจากเจ้าพายุก้อนหินให้ไกลและเร็วที่สุดเท่าที่ปีศาจอย่างมันจะทำได้ แต่ถึงอย่างนั้นก้อนหินทั้งหลายก็ไม่ยอมให้ความปราถนาของมันได้สมหวัง ก้อนหินที่เหลือทั้งหมดในพายุพุ่งออกไปทลายซอยคิงดั่งระเบิดถล่มกองทัพ ให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง
จากนั้นความยุ่งยากทั้งหลายทั้งมวลแห่งวันก็ได้จบลง


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
7th June 2013, 17:41
ตอนที่ 5 : สร้างบ้าน
เสียงสับเนื้อดังรัวออกมาจากครัวบ้านผม ระคนกับเสียงแจ๋วจ๊าวของน้ามา น้าเมย์ และโมที่พูดคุยหัวเราะกันอย่างถูกคอในยามเย็นของวันนี้ โดยปกติแล้วเราทั้งสองบ้านจะกินข้าวด้วยกันเป็นประจำ พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่เคยขาด แต่วันนี้เหมือนน้าหินและน้าลียังไม่เห็นวี่แววเหมือนปกติที่จะนั่งรอทานอาหารพร้อมกันกับผม เพราะต้องออกไปประชุมหารือกับชาวบ้านเรื่องมีสัตว์ร้ายเข้าทำร้ายคนในหมู่บ้าน
สัตว์ร้ายที่ว่าก็คือปีศาจที่พวกผมได้สู้เมื่อตอนกลางวันนั้นแหละ โชคดีที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นแค่หมีตัวใหญ่เท่านั้น ถามชายสามคนที่วิ่งหนีเอาเป็นเอาตายก็บอกว่าเห็นไม่ค่อยชัด พอมองเห็นลาง ๆ ได้ว่า “มันเป็นตัวที่มีขนาดใหญ่ ยืนสองขา และน่ากลัวมาก” ชาวบ้านเลยตีความกันไปว่าเป็นหมีตัวใหญ่ที่ออกมาจากป่าเพื่อมาหากินพืชไร่สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเท่านั้น ส่วนที่เห็นว่ามีเศษก้อนหินก้อนดินอยู่เต็มทางเข้าหมู่บ้าน น้าหินก็แก้ต่างว่าบรรทุกมาจากไร่เพื่อไปถมส่วนที่เป็นหลุมเป็นบ่อภายในบ้านแต่รถเข็ญที่ใช้มันดันพังซะ ถึงอย่างนั้นชาวบ้านบางคนก็ยังแปลกสงสัยใจอยู่เพราะเศษก้อนหินก้อนดินตรงทางเข้าหมู่บ้านทำไมมันถึงได้กระจัดกระจายมากเหลือเกิน รถเข็ญที่ว่าก็ขนาดไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากนักเรื่องต้องห่วงมากนักกับความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้าน และความที่อยากจะปกป้องสัตว์เลี้ยงที่เป็นผลผลิตสำคัญ จากสัตว์ป่าล่าเนื้อที่ว่ากันมากกว่า
กลิ่นของแกงไก่อันหอมหวนละล่องละลอยออกจากครัวมาเข้าสู่รูจมูกทั้งสองของผม มันเข้าไปกระตุ้นต่อมประสาทให้นึกถึงรสชาติเปรี้ยวหวานอันน่าลิ้มลองขึ้น ผมนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกที่อยู่ตรงทางเข้าของบ้าน ที่นี่เป็นห้องที่ใหญ่พอที่จะให้คนไม่เกินสิบคนได้นั่งพักผ่อน ด้วยโซฟาไม้มะค่าที่ถูกตัดจากภูเขาที่ที่พี่ของผมเคยไปทำงานอยู่ ถูกตัดแต่งทำขึ้นจากช่างไม้พื้นเมืองของที่นั่น แล้วก็ได้มันมาในราคาที่สุดคุ้มจนหาซื้อที่ไหนไม่ได้ โซฟาไม้ขนาดใหญ่ทั้งสามตัวตั้งล้อมรอบโต๊ะไม้ประดู่ที่งามไม่แพ้กัน มันเลยทำให้บ้านผมเหมือนบ้านคนรวยขึ้นมาหน่อย ผมนั่งดูข่าวของทางช่อง ส.ต.จ. จากโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าระหว่างโซฟาไม้ที่ผมนั่งอยู่ ช่องนี้เป็นช่องลับที่หากจะดูก็ต้องไปหาจานดาวเทียมพิเศษจากสำนักงานหลักเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนใน ส.ต.จ. ควรจะมี อันที่จริงผมก็ดู ๆ ไปเท่านั้นแหละ หรือด้วยความคิดที่ว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษให้มากกว่านี้ เพราะช่อง ส.ต.จ. จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร ทั้งโลก ช่อง ส.ต.จ. นี้มีแค่ช่องเดียว ดังนั้นการที่จะให้ ส.ต.จ. ทั้งโลกได้เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเขาจึงไม่ใช้ภาษาไทยที่ทำให้ผมรู้เรื่อง
ประตูบ้านถูกเปิดออก ปรากฏเป็นน้าหินและน้าลีที่กลับมาจากการประชุม สีหน้าของทั้งสองดูท่าไม่สดใสซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะน้าหินที่หน้างิ้วคิ้วขมวดอยู่ เหมือนจะมีเรื่องหนักใจบางอย่างติดกลับมาอย่างที่ผมคาด ทั้งสองเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาไม้คนละตัว พลางถอนหายใจออกมาตามกันเล็กน้อย ผมที่อยากจะรู้อยู่ว่ามันมีอะไรที่น่ากังวลมากขนาดนั้นก็เลยลองถามออกไป
“มีอะไรเหรอครับ ท่าทางน่าเครียดเชียว”
“หน้าเครียดเหรอ น้าไม่ได้หน้าเครียดซักหน่อย ดูดี ๆ สิ หน้าน้าออกจะอารมณ์ดีขนาดนี้ ...ไม่ได้เครียดหรอก ก็แค่...อากาศมันร้อนน่ะ”
น้าลีโพล่งตัดคำผม เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ผมพูด กลายกลับมาเป็นน้าลีผู้มีอารมณ์สุนทรีคนเดิม แต่น้าหินก็ยังทำหน้าอ่อนแรงไม่รับโลกเหมือนเดิม
“แล้วการประชุมเป็นยังไงบ้างล่ะครับ”
“ชาวบ้านจะออกล่าหมีโดยจะเรียกเจ้าหน้าที่สัตว์ป่ามาช่วยด้วย เวลาก็คือพรุ่งนี้เช้า”
น้าหินตอบออกมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่และก็หันไปดูโทรทัศน์ที่เปิดอยู่
“น้าไม่ต้องกังวลไปมากนักหรอก ถือซะว่าพวกเราไปหาของป่ากันและนะ บางทีอาจจะไปเจอไก่ป่าตัวอ้วน ๆ เข้าก็ได้ ยิ่งบ้านเราก็มีแต่เชฟฝีมือดีกันทั้งนั้น แค่คิดก็ห้ามกระเพาะตัวเองไม่ได้แล้ว”
น้าลีที่เหมือนจะยังไม่รู้ความเป็นไปและความน่าวิตกของน้าลีมากเท่าไหร่ พูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับน้าหิน ‘นี่ปลอบด้วยเรื่องอาหารงั้นเหรอ’
การที่ชาวบ้านออกไปล่าหมีแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากเท่าไหร่ เพราะปีศาจไม่คิดที่จะโจมตีหากชาวบ้านมีจำนวนมาก ถ้าหากว่ามีชาวบ้าน 10 คน และมีปีศาจ 6 ตัว มันก็ไม่คิดที่จะโจมตีง่าย ๆ ยกเว้นปีศาจบางชนิดที่เป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดโจมตีถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่า ยิ่งถ้าหากว่าเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ยังอยู่บนฟ้า พวกปีศาจก็ยิ่งไม่อยากจะเข้าใกล้เลย แต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่ เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว พวกเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกปีศาจอันร้ายกาจจะโผล่มาอีกเมื่อไหร่
“เน่ กับข้าวเสร็จละยัง หิวไส้จนกิ้วหมดแล้วน้า อย่าทำให้มีกลิ่นมากนักซี มันจะยิ่งหิวเข้าไปใหญ่นา เอะ แต่กลิ่นหอมมันก็น่าอร่อยนี่นา เออโทษทีทำให้กลิ่นหอม ๆ นั่นแหละ”
น้าลีหันตะโกนไปทางครัว ‘มีแต่เรื่องกินตลอดเลยเหรอเนี่ย’
“จ้า ๆ จะเสร็จแล้วไปนั่งรอได้เลย เสรีมายกอาหารช่วยหน่อย”
“คราบ”
พวกเราเดินไปที่โต๊ะอาหารที่อยู่ด้านหน้าครัว จัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ ก็รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยบนโต๊ะไม้ยาว พวกเราก็พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นไปตามปกติ ดูเหมือนจะไม่มีใครที่รู้เหตุการณ์ในวันนี้มากอย่างที่น้าหินบอก ก่อนที่ทุกคนจะลุกออกจากที่นั่ง น้าหินผละตัวออกจากโต๊ะ ยืนขึ้นและก็ประกาศข่าวจากทางสำนักงานหลักว่า
“นี่ทุกคน มีข่าวดีจากสำนักงานหลักของที่นี่ คือว่าเราต้องสร้างบ้านเพิ่มซะแล้วล่ะ สร้างให้เสร็จก่อนที่พวกเขาจะมา หมายถึงจะมีคนมาเข้าประจำการเพิ่มน่ะ”
“เข้ามาประจำการเพิ่มเหรอ แล้วมากันกี่คนคะ พ่อ”
โมถามขึ้น
“อืม เขาบอกว่า 5 คนน่ะ อายุอาจจะไม่มากนักหรอก”
“โหแบบนี้ก็คงต้องทำบ้านหลังใหญ่เลยสิถ้า”
ผมพูดขึ้น น้าหินก็หันมายิ้มแล้วบอกว่า
“ไม่ต้องใหญ่นักหรอก คือน้าอยากให้ทำสองหลังเท่า ๆ กัน เพราะว่ามีทั้งผู้ชายและก็ผู้หญิงมาพอ ๆ กันน่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ที่นี่คงคึกคักน่าดูเลยเนอะ คึกคัก ๆ”
น้ามายิ้มแช่งออกมาพลางหันไปยังทุก ๆ คน
“เรื่องมากน่ะสิไม่ว่า”
น้าลีสวนขึ้น ทำเอาน้าทุกคนต้องจ้องไปที่เขา
“เออ ผมว่าก็ดีเหมือนกันแหละ คราวนี้หมู่บ้านเราก็มีคนมาประจำการเต็มที่แล้วสินะครับ แล้วพวกเขาจะมากันตอนไหนเหรอครับ”
น้าลีพูดไปพลางยิ้มแย้ ๆ พยายามสร้างหน้าให้ตัวเองให้ดีขึ้นมาหน่อย
“ก็น่าจะก่อนสิ้นเดือนนี้แหละ พวกผู้ชายเขาจะมาก่อนหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็ตามด้วยพวกผู้หญิง”
“ผู้หญิงคงจะชักช้าแบบนี้ทุกคนเลยสินะครับ เฮ้อก็ยังงี้แหล่ะน้า มันแก่ไม่หายจริง ๆ”
น้าลีเอ่ยลอย ๆ ขึ้นทำให้น้าต้องมาจ้องเขม่ง จนน้าลีทำอะไรไม่ค่อยถูก
‘ข่าวดีบ้านไหนกัน อุตสาห์ได้ปิดเทอมทั้งที ยังมามีงานอีกเหรอเนี่ยบ้าชะมัด’ ผมและโมที่พึ่งได้ปิดเทอมฤดูหนาวไปเพียงไม่กี่วัน ก็ได้มาเจอกับอะไรที่น่าเบื่อขึ้นแทนที่จะเป็นการพักผ่อนอย่างสบายใจหลังจากที่เรียนมาอย่างไม่หนัก
“อะ ยังไงก็ช่วยกันหน่อยนะ คงไม่ยากนักหรอกพวกเราก็มีพลังเวทอยู่แล้วนี่ น่าจะลดความยากง่ายลงได้มากอยู่ล่ะนะ นะเสรี”
‘ทำไมต้องเป็นเราคนเดียวกัน’
“งั้นเรามาสร้างให้สุดฝีมือเลยนะ เอาให้เหมือนกองทัพประจำหมู่บ้านเลยดีมั้ย แบบกองทัพพระสุริโยทัยน่ะ”
น้ามาออกความคิดเห็นที่ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ มีหวังถูกตัดออกไปอย่างไม่คิดแน่
“สร้างเป็นกองทัพเหรอ น่าสนใจดีแฮะ ผมขอลงตามที่มาพูด”
‘อะ! ยังมีคนเห็นด้วยอีก’ น้าลีตบโต๊ะแสดงเจตจำนงของตนให้ทุกคนได้รู้ เมื่อน้ามาได้ยินแบบนั้นก็โผกอดน้าลีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทันที เอาจนน้าลีหน้าแดงเขินอายไม่เป็นท่า อันที่จริงทั้งสองคนนี้ไม่ได้แต่งงานหรือเป็นแฟนกันหรอก เพียงแต่ได้มาทำงานในที่เดียวกันเท่านั้น ในความคิดของผม สองคนนี้อาจจะปิ้งกันก็ได้
“จะมีใครเสนอความคิดในการสร้างอีกไหม”
‘ไหงกลายไปเป็นการร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องอะไรแบบนี้ได้กัน’ น้าหินถามไปยังคนที่เหลือ ที่มีท่าทางตื่นเต้นกันทุกคน ยกเว้นผม
“โมว่า น่าจะทำเป็นบ้านต้นไม้ยักษ์ เหมือน เหมือนกับแจ็กผู้ฆ่ายักษ์ไง ที่เขาจะปีนขึ้นไปเพื่อที่จะไปฆ่ายักษ์และก็ได้นอนในถุงของอะไรซักอย่าง โมว่ามันน่าจะนอนหลับฝันดีแน่”
โมพูดด้วยท่าทางอมสุข ถ้าหากว่าได้สร้างแบบที่เธอว่าจริง โมคงต้องเข้าไปอยู่แทนบ้านที่เธอเคยอยู่แน่ ‘แจ็กมันปีนต้นถั่วยักษ์ไม่ใช่เหรอวะ’
“ดี งั้นความเห็นนี้น้าขอเก็บไว้เป็นการโหวตก็แล้วกัน”
‘ดี! เป็นไปได้ไง ไม่อยากจะเชื่อ น้าหินเราเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย อ่านได้ยากจริง ๆ หรือว่าจะสนับสนุนความจินตนาการของลูกสาวตัวเองกัน’
“อ้าวว่าไง แม่ เสรี ไม่เสนอแบบบ้านดี ๆ บ้างเหรอ”
“เออ คือว่า ก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะครับ ผมว่าแต่ละอันมันจะไม่หลุดโลกเกินไปหน่อยเหรอครับ ทั้งกองทัพโบราณ หรือไม่ก็บ้านต้นไม้ของแจ็กผู้ฆ่ายักษ์อะไรนั่น”
“น้าว่ามันก็ดีออก จินตนาการที่หลุดโลกนี่แหละนำมาซึ่งการค้นพบที่ยิ่งใหญ่”
น้าเมย์พูดซะจนผมทำอะไรไม่ออก ‘นี่ต้องค้นพบอะไรอีกเหรอเนี่ย’
“แล้วแม่ล่ะ อยากจะสร้างแบบไหน”
“อืมแม่ว่า บ้านต้นไม้ใหญ่ของโมก็ดีนะ งั้นแม่ลงคะแนนตามโมแหละ”
“สรุปว่าตอนนี้ เสมอกัน ว่าไงล่ะเสรี จะบ้านต้นไม้ หรือค่ายทัพ หรือจะเสนอความเห็นอื่น”
ทุกคนจ้องมาที่ผม ‘มองเป็นอยู่ที่เดียวรึไงกัน นี่บ้านเราจะกลายเป็นบ้านแฟนตาซีไปแล้วเหรอเนี่ย’ มือไม้วางไม่เป็นที่ หันไปทางคนนั้นทีคนนี้ที และก็ยังลังเลว่าจะตอบออกไปยังไงดี ผมไม่ชอบสถานการณ์ที่แสนจะอึดอัดแบบนี้เลย ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ ทุกคนกำลังรอคำที่จะออกมาจากปากของผม ทำยังกับว่ามันน่าลุ้นยิ่งกว่าหวยจะออกอีก ‘ต้องพูดอะไรซักอย่างแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ กับบรรยากาศแบบนี้’
“เร็ว ๆ ซีเสรี”
โมเร่งผมพลางจ้องมาที่ผมอย่างเดียว ‘บ้านแฟนตาซีเหรอ ก็ดีเหมือนกันแฮะ’
“เออ... คือว่า เอาเป็นบ้านในหลุมดีไหมครับเออบ้านในโพรงน่ะ คือแบบ อาจจะงงไปหน่อย แบบว่าเป็นบ้านในหลุมหรือในโพรงที่ไม่ใช่หลุมน่ะครับ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในดินเหมือนหลุมเท่านั้นแต่ผมรับรองว่ามันไม่ใช่หลุมแน่ครับมันอยู่ในโพรง”
ทุกคนยังจ้องที่ผม แต่เปลี่ยนสีหน้าเป็นความงุนงงแทน ผมคิดว่าผมอธิบายดีแล้วนะ ทำไมถึงยังได้ทำงงกันอยู่อีก
“ลองพูดให้มันกระจ่างกว่านี้หน่อยเสรี น้าว่ามันก็ชักจะน่าสนใจดีนะ”
‘อะ น้าหินสนใจด้วย’
“คือผมเคยอ่านในนิยายมาน่ะครับ เคยได้ยินฮอบบิทกันไหมครับ”
ทุกคนหันไปคิดทางอื่นแล้ว บ้างก็ถามกกันแต่ก็ไม่มีใครรู้จักเลยซักคน ‘ไม่เคยได้ยินเลยเหรอทั้งที่ดังออกจะขนาดนั้น’
“ก็คุ้น ๆ นะแล้วมันเกี่ยวอะไรกันเหรอ”
โมหันมาถาม
“ก็ที่อยู่ของพวกฮอบบิทไง สร้างบ้านที่เนินดิน ไม่ใช่บนดินแต่เป็นใต้ดิน ประตูก็พอจำได้ว่าเป็นวงกลมสลักด้วยลายสีสันสวยงาม ภายในก็ใช้หินอ่อนในการทำเป็นผนังกั้นดิน ผมคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับอากาศที่ร้อน ๆ ของที่นี่ได้ดีน่ะครับ อันที่จริงผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ค่อยได้ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกครับ ให้ผมวาดออกมาให้ดูจะได้ไหมล่ะครับ”
“ก็ได้อยู่หรอก แต่ที่ว่าสร้างที่เนินดินน่ะ บ้านเราไม่มีเนินดินนะ”
น้าลีถามขึ้นมาหลังจากที่ผมเห็นน้าทำหน้าฉงนมานาน
“ก็สร้างมันขึ้นมาสิ เอาดินร่วนเลย เย็นดีด้วย”
น้าเมย์แก้ก่อนที่ผมจะติดกับคำถามนี้ ทำท่าเหมือนกับว่าจะเห็นด้วยกับความเห็นของผม ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ซักเท่าไหร่
“เท่าที่ว่ามามันก็ไม่ยากนะ อาจจะเป็นที่ที่น่าอยู่และก็สวยก็ได้ ไหน เสรีลองวาดให้ดูหน่อย น้าก็อยากเห็นเหมือนกัน”
ผมเดินไปหยิบดินสอ ยางลบ และกระดาษที่อยู่ในห้องนอนผม ขณะที่ทุกคนก็เก็บถ้วยชามจากโต๊ะอาหารและมานั่งรวมกันที่ห้องรับแขก
ผมวาดด้านหน้าที่เป็นเนินดินสูง ด้านข้างของเนินดินนั้นเป็นประตูวงกลม ด้านข้าง ๆ ของประตูก็มีหน้าต่างบานกลมเช่นกัน รอบ ๆ เป็นม้านั่งไม้ที่เอาไว้นั่งเล่นยามเช้าหรือยามเย็นได้ เนินดินนั้นมีหญ้าเขียวขจีขึ้นปกคลุมเต็มไปหมดพลางก็มีดอกไม้สีสันต่าง ๆ โตขึ้นด้วย ภายในเป็นทางเข้าวงกลมที่มีขนาดเท่ากับประตูบ้าน ตรงกลางของบ้านจะเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังทุกห้อง ดั้งนั้นที่ตรงนี้จึงมีพื้นที่กว้างและใช้เป็นห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่นที่สามารถจุได้กว่า 20 คน อันที่จริงผมนั้นวาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอยู่เพราะส่วนหนึ่งก็เป็นส่วนที่ผมอยากจะให้เป็นตามใจที่ผมชอบ ขณะที่วาดทุกคนก็มองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เหมือนจะเป็นไทยมุงอยู่นิดหนึ่ง
“เสร็จแล้วครับ ผมไม่ได้วาดลายระเอียดลงไปมากหรอกครับ อาจจะดูไม่ค่อยเข้าใจก็ได้”
“โห ไม่หรอกเสรี แบบนี้ดูเข้าใจกว่าการพูดอีก”
คำที่น้ามาพูด ทำให้ผมไม่รู้จะดีใจหรือยังไงดี และทุกคนก็มารุมที่น้ามา ที่ได้แบบบ้านไปดูชมก่อนคนอื่น ๆ
“มา เรามาต่อกัน น้าว่าแบบที่เสรีเสนอมาก็น่าสนใจดีนะน้าจะลงบ้านโพรงหลุมฮอบบิทอะไรนี่แหละ”
“โห ขอบคุณมากครับน้าหิน”
แล้วผมก็เออออไปกับการออกแบบบ้านแนวแฟนตาซีโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นน้าหินและน้าลีก็ต้องออกหาล่าสัตว์กับชาวบ้าน หลังจากเมื่อคืนอันแสนโกลาหลของผม ทุกคนก็ตกลงรับแบบบ้านที่ผมคิดขึ้นด้วยเหตุสุดวิสัย เพราะจากการดูปัจจัยในเรื่องต่าง ๆ แล้วมันก็เหมาะสมสำหรับการสร้าง ด้วยแบบบ้านที่สามารถใส่วัสดุป้องกันอย่างดีโดยไม่ให้มีใครรู้ อากาศภายในที่เย็นจากดินร่วนและหินอ่อนก็กลายเป็นบ้านที่น่าอยู่ขึ้น และยังเหลือปัจจัยอื่นอีกอย่างห้องแต่ละห้องก็ให้ความเป็นเอกลักษณ์และความเป็นส่วนตัวอยู่พอควร ยิ่งด้านหน้าของประตูทุกห้องที่ได้มาบรรจบกันที่จุด ๆ เดียวก็ทำให้ยามเช้าเมื่อทุกคนตื่นมาก็จะเห็นหน้าทักทายกันสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไปด้วย ถ้าเรื่องทุนในการสร้างก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ เพราะน้าหินบอกว่าทางสำนักงานหลักมีงบให้ เหลือเยอะพอดู ผมที่ไม่เคยได้รับความน่าปลาบปลื้มจากที่ทุกคนสนับสนุนความเห็นผมขนาดนี้ ก็ปิติจนไม่รู้จะดีใจยังไงแล้ว มันทำให้ไฟของผมมันลุกโชนสว่างไสวมาตั้งแต่เมื่อคืน ผมก็จะตั้งใจออกแบบบ้านและสร้างบ้านออกมาให้สมกับที่ทุกคนตั้งความหวังไว้กับผมไม่อยากให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
เริ่มแรกก็ทำหน้าดินที่เคยเป็นนาให้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง จากนั้นก็ออกหา ขนดินร่วนจากที่ต่าง ๆ มากองรวมกันแล้วแอบใช้เวทย์ทำให้ดินแน่นที่สุด จากการสร้างสิ่งแปลก ๆ ของบ้านผมก็เป็นจุดสนใจของชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาจนต้องเข้ามาชมอยู่บ่อย ๆ
ผ่านไปสัปดาห์กว่า ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พยายามกันมาก็เสร็จสิ้นสำหรับผม ไม่มีการบุกโจมตีใด ๆ ของปีศาจ ที่เหลือจากที่สร้างก็แค่ให้พวกผู้หญิงเขาตกแต่งความสวยงามเพิ่มระดับความน่าอยู่ให้มากที่สุด ส่วนผมก็คอยช่วยน้าหินและน้าลีจัดการเรื่องดอกไม้รอบ ๆ เราสร้างกันสองหลังจากเนินดินเนินเดียว มีผู้คนเข้ามาชมและพูดวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ว่าทำไมถึงคิดกันออกมาได้ แต่เมื่อได้เห็นและเดินดูทั้งหมดแล้วพวกนั้นก็เปลี่ยนความเข้าใจไปเป็นความที่อยากจะได้บ้านแบบนี้บ้าง ผมก็เอาแบบบ้านที่ผมวาดให้เขา ผมเสียดายมากที่ให้สิ่งแบบนั้นไปโดยไม่คิดเงิน
“พรุ่งนี้แล้วสินะครับ ที่บ้านที่พวกเราพากันสร้างอย่างตั้งอกตั้งใจจะมีคนมาอยู่”
ผมเอ่ยออกไปขณะที่กำลังพรวนดินเพื่อนำต้นลีลาวดีลงพื้น ถามน้าหินและน้าลีที่นั่งปลูกดอกไม้อยู่ข้าง ๆ
“เออ ตั้งใจกันมากขนาดนี้ น้าก็พึ่งจะเคยเห็นก็ครั้งนี้แหละ ต้องขอบคุณความคิดของเสรีล่ะนะที่ทำให้พวกเราได้มีความสุขสนุกกันขนาดนี้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“แล้วเสรีจะย้ายเข้าไปอยู่ไหมล่ะ มันเป็นบ้านที่เสรีชอบอยู่ไม่ใช่เหรอ”
น้าลีถามพลางเช็ดหน้าที่เปื้อนดินออกแต่มันก็ยิ่งทำให้เลอะมากกว่า
“ผมคิดแค่อยากจะได้ห้องซักห้องในนั้นไว้เป็นที่พักผ่อนมากกว่าน่ะครับ ถ้านอนก็จะนอนในบ้านหลักส่วนใหญ่”
“ถ้าแบบนั้นก็คงไม่มีปัญหาสินะ ห้องที่มีก็มามากกว่าคนอยู่แล้ว”
ห้องในบ้านโพรงที่พวกเราสร้างมีทั้งหมด 6 ห้อง 3 ห้องเป็นห้องนอน ส่วนอีกสามห้องที่เหลือเป็นห้องครัวไว้ทำอาหารและทานในนั้น ห้องน้ำขนาดใหญ่ และห้องเก็บเสียงที่จะทำลงลึกไปใต้ดินอีกภายในนั้นเราจะสามรถฝึกวิชาต่าง ๆ โดยไม่ให้ใครรู้ได้ ห้องนี้จะเชื่อมกันอีกทางหนึ่งของบ้านโพรงอีกหลัง สามารถที่จะไปมาหากันได้โดยที่คนข้างนอกไม่รู้
ถ้าหากว่าผู้ชายที่จะ มามีสองคนก็จะเป็นสิ่งที่ดีหน่อย เพราะผมจะได้อยู่บ้านรวมผู้ชาย ไม่ใช่ว่าผมชอบผู้ชายหรอกนะ แต่ผมไม่ค่อยจะถูกกับการที่จะเจอหน้าพูดคุยกับผู้หญิงเท่าไหร่ ถึงอายุจะห่างกันถึงห้าหกปีก็ตาม ยิ่งถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วผมก็ยิ่งพูดไม่ออก ไม่เฉพาะผู้หญิงในวัยไล่กัน แต่เป็นทุกเพศและเกือบทุกวัยเลยก็ว่าได้
“เฮ้ พี่เสรี ทางนี้”
เหมือนมีเสียงแว่วตะโกนมาจากทางบ้านผม ที่ห่างจากบ้านโพรงนี้ประมาณ 50 เมตรได้
“ใช่เพื่อนที่อยู่อีกบ้านหนึ่งละเปล่า”
น้าลีถาม
“อืม น่าจะเป็นไอ้เต่าแหละครับ”
ผมลุกขึ้นปัดก้นปัดดินออกจากตัวให้สะอาดและก็เดินไปหาเต่าที่ยืนโบกมือเรียกอยู่แต่ไกล เต่ามีอายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี เป็นคนใน ส.ต.จ. เหมือนกันกับผม แต่ประจำการอยู่อีกหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านผมอยู่ประมาณ เกือบ 10 กิโลเมตรได้ มันอาจจะมีเรื่องสำคัญแน่ ๆ ถึงได้มาหาผมถึงที่นี่ โดยปกติแล้วผมก็สนิทกับเต่าอยู่ระดับหนึ่งเคยพูดคุยกันอยู่บ่อย เต่าเป็นคนที่คนส่วนใหญ่เข้าหาง่ายและมีเพื่อนเยอะต่างจากผมที่เพื่อนไม่ค่อยจะมี
เมื่อเดินมาถึงก็เห็นมันทำสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย แต่ก็ตีหน้ายิ้มเมื่อเห็นผมเดินมาใกล้
“หวัดดีพี่เสรี ทำอะไรกันอยู่เหรอ เห็นท่าทางสนุกเชียว”
“อ้อ พอดีว่าจะมีคนเข้ามาประจำการเพิ่มน่ะ มา 5 คน ก็เลยได้ทำบ้านให้พวกเขากัน”
“ว่าแต่บ้านอะไรเหรอ ทำไมถึงเหมือนรูของอะไรซักอย่าง”
“รู้จักฮอบบิท ละเปล่า”
“อ้า ยังงี้นี้เอง ไม่น่า ผมก็คิด ๆ อยู่ว่ามันเหมือนบ้านฮอบบิท แต่มันดูแปลก ๆ ไปนิดนึงนะครับ จากบ้านฮอบบิทที่ว่า”
“รู้จักด้วยเหรอ ถ้างั้นก็คงไม่ต้องมาอธิบายอะไรแล้วสินะ ที่มันแปลกก็เพราะพี่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไงล่ะ คิดว่ามันน่าจะสวยดี ก็เลยตัดเสริมเติมแต่งไปหลายส่วน”
“โห ท่าทางน่าอยู่มากเลยนะเนี่ย น่าอิจฉาจังน้า แล้วทำไมถึงทำบ้านฮอบบิทกันล่ะ”
“คือ เรื่องมันยาวน่ะ เออ แล้วที่มามีธุระอะไรสำคัญละเปล่า”
“มีครับ แต่เต่าว่า หาที่ที่ดีกว่าที่จะยืนคุยกันแบบนี้ดีกว่านะ”
“อืม ท่าแบบนั้นก็เข้าไปนั่งในบ้านก่อนก็ได้”
“เออแล้วในบ้านมีคนละเปล่าล่ะ”
คำถามนี้ทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย อาจเป็นเพราะท่าทางที่เปลี่ยนไปของเต่า
“หืม ไม่มีหรอก ทำไมล่ะ”
“งั้นก็ดี จะได้คุยกันได้สะดวกหน่อย”
ว่าแล้วเราทั้งสองก็เข้าไปในบ้าน ผมนำน้ำมาต้อนรับแขก อย่างที่ควรจะทำ แล้วก็มานั่งที่โซฟาไม้ห้องรับแขก ตอนที่ผมเดินกลับมาก็เห็นเต่าปิดประตูบ้าน จึงทำให้สงสัยเลยถามออกไป
“คือมันเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากให้ใครได้รู้ซักเท่าไหร่น่ะครับ”
เหมือนจะอ่านใจผมออก เต่าพูดออกมาก่อนที่ผมจะได้เอ่ย--และก็ได้มานั่งลง พร้อมที่จะฟังธุระของเต่า
“เข้าเรื่องเลยนะ คือว่า พี่เสรีเคยได้รับจดหมายอะไรแปลก ๆ มารึเปล่า อย่างเช่นจดหมายลับน่ะ”
ผมเริ่มตีหน้างงแล้ว กับสิ่งที่เต่าถามมา
“ยังไงเหรอ”
“จดหมายลับไง ที่จะมีวิธีการส่งและวิธีอ่านแปลก ๆ น่ะ พี่ไม่เคยได้เลยเหรอ อะลืมบอกไป มันจะเกี่ยวกับ ส.ต.จ. น่ะ”
เป็นอย่างที่ผมคิด เต่ากำลังพูดเรื่องจดหมายจากฟันงูที่ผมเคยได้รับและอ่านมันแน่ ผมไม่มั่นใจว่าจะพูดออกไปดีหรือเปล่า แต่ถ้าน้าหินน่าจะไม่มีปัญหา ผมเลยตัดสินใจจะไปบอกน้าหินเรื่องนี้
“เรื่องจดหมาย พี่ก็เคยได้รับนะ แต่อยากจะให้คุยกับคนที่รู้มากกว่านี้ดีกว่า”
“มันไม่เกี่ยวว่าใครจะรู้เรื่องนี้มากหรอกนะ เต่าอยากรู้แค่ว่า พี่เสรีได้รับจดหมายแบบนั้นมารึเปล่า”
ท่าทางเข่งขรึมของเต่าทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจ
“ถ้าอย่างนั้น ก็ได้ พี่นี่แหละเป็นคนได้รับจดหมายนั้น และเป็นคนหาวิธีอ่านมันเอง”
“ว่าแล้วไงล่ะ เต่าไม่คิดผิดเลยที่มาคุยกับพี่”
เต่าตบขาตัวเองฉาดหนึ่ง เหมือนกับว่าเขายังไม่มั่นใจที่ถามกับผม
“แล้วเต่ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง พี่ยังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลยนะ ยกเว้นน้าหินที่เป็นหัวหน้าของที่นี่”
“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ เต่าก็ได้รับจดหมายแบบนี้เหมือนกันไม่แปลกหรอกที่เต่าจะรู้ หาวิธีแทบตายกว่าจะได้อ่าน”
คำพูดนั้นทำให้ผมต้องชะงัก และคิดเหมือนว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวและอาจจะไม่ใช่แค่ผมกับเต่าสองคนแน่ที่ได้รับจดหมายนั่น
“หมายความว่าอะไรกัน ที่ว่าก็ได้รับเหมือนกัน”
“พี่คงจะยังไม่รู้สินะ จดหมายนี้มันจะถูกส่งไปยังคนที่ถูกพวกปีศาจหมายหัว ที่ต้องถูกกำจัด ตอนที่พี่ได้รับจดหมายมีการโจมตีของพวกปีศาจด้วยใช่ไหม”
ที่ว่า “ถูกหมายหัว” ไม่ใช่เรื่องน่าขำแน่ สีหน้าที่เต่าแสดงออกมาตอนที่พูดเคร่งเครียดอย่างแท้จริง
“ใช่ แล้วมันเกี่ยวกันงั้นเหรอ”
“ใช่ ปีศาจพวกนั้นต้องการที่จะกำจัดผู้ส่งสารก่อนที่ข่าวนั้นจะถึงมือผู้รับสาร เต่าโชคร้ายหน่อย เพราะตอนที่เต่าได้รับสารนั้นพวกปีศาจมันก็บุกเข้ามาหาถึงบ้านเต่าแล้ว ต้องต่อสู้กับมันจนขีดสุด ถ้าไม่มีพ่ออยู่ด้วยล่ะก็เต่าคงตายไปแล้ว ก่อนที่จะได้อ่านจดหมายนั้น”
ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ผมนั่งไม่ติด ที่หมู่บ้านที่เต่าอยู่มีคนประการอยู่สองคนคือเต่ากับพ่อของเขา ที่นั่นมีอัตราการโจมตีของปีศาจต่ำ จึงทำให้มีคนอยู่เพียงแค่สองคน
“ที่ว่าโจมตีมันเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งมากละเปล่า”
“แข็งแกร่งมาก มันเป็นปีศาจไฟโคลน 3 ตัว พี่ก็น่าจะรู้ฤทธิ์ของเจ้าตัวนี้ดี ผมไม่คิดเลยว่ามันจะมาโผล่ที่หมู่บ้านผมแบบนี้”
ถึงจะเคยได้ยิน หรือเคยอ่านเห็นก็เถอะ แต่ผมยังไม่เคยเห็นตัวจริงของปีศาจไฟโคลนซึ่งเป็นปีศาจสองธาตุมาก่อน ว่ากันว่ามันแข็งแกร่งกว่าโรฮานดินและซอยคิงถึงสองเท่า ขนาดผมที่เกือบเอาตัวไม่รอดจากโรฮานดินจนต้องนอนหลับไปเพราะหมดแรง แต่เต่าคนนี้ดันได้เจอกับปีศาจไฟโคลนแบบนี้ มันต้องหนักหนาสาหัสมากแน่
“แสดงว่าพี่ก็ต้องเจอกับปีศาจที่เก่ง ๆ เหมือนกันสินะ แล้วมันเป็นปีศาจอะไรล่ะ”
“มันไม่เท่ากับของเต่าหรอก แต่จำนวนมันมีมาก และมันก็มาโจมตีหลังจากที่พี่ได้รับจดหมายนานเป็นชั่วโมงเลยล่ะ”
“จริง ๆ ด้วย เต่าคงเป็นคนเดียวสินะที่โชคร้ายแบบนี้”
“นี่อย่าบอกนะว่ายังมีคนอื่นอีก”
“ใช่แล้ว จดหมายที่เต่าได้รับมันเขียนรายละเอียดไว้เยอะ มันก็เลยทำให้รู้ว่าอาจจะมีคนอื่นอีก เต่าก็ตระเวนไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ที่คาดว่าจะโดนหมายหัวเหมือนเต่า”
“อืมพี่สงสัยมานานแล้ว ว่าเต่ารู้ได้ไงว่าคนไหนที่โดนหมายหัว และทำไมพี่ถึงได้โดนด้วย มันมาจากรายละเอียดจากจดหมายที่เต่าได้รับละเปล่าล่ะ”
“ไม่หรอก เต่าก็แค่คาดการณ์ไว้ และคนที่เต่าคิดไว้ก็ได้รับกันหมดทุกคน คนที่โดนก็มี ผม พี่ ฝน น้าเทพ และก็ไซเด็กลูกครึ่งนั่น ลองคิดดูสิว่าทำไม”
ชื่อที่เต่าเอ่ยมาทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนที่พวกเราทั้งหมดรู้จักกันดี และสนิทกันมาก บ่อยครั้งที่ทุกคนจะปรึกษากันอยู่บ่อย ๆ ยกเว้าไซลูกครึ่งไทย-กรีซ ที่พึ่งย้ายเข้ามาไม่กี่ปีมานี้ คนเหล่านี้ล้วนแต่มีความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวต่อปีศาจกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเต่าที่เก่งกาจเรื่องเวททำลายล้างสูง ฝนที่มีพรสวรรค์สูงในการเรียนรู้และใช่เวทต่าง ๆ ได้ดี น้าเทพ หนึ่งในสิบนักฆ่าไร้เงา ที่แม้จะอายุไม่มากก็มีฝีมือแก่กล้าเหนือคะนา ไซลูกครึ่งไทย-กรีซ ที่ผมไม่ค่อยจะรู้ข้อมูลมากเท่าไหร่แต่ได้ยินจากน้าลีว่า เขาคนนี้อาจจะได้รับเลือกให้เข้ากองกำลังสำรวจแน่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทุกคนล้วนปิดเป็นความลับกันทั้งหมด
“แบบนี้นี่เอง เป้าหมายของมันคือต้องการที่จะกำจัดผู้ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อพวกมันมากที่สุดสินะ”
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ เต่าลองไปถามทุกคนที่ว่ามาแล้ว แต่ละคนไม่ได้รายละเอียดเหมือนกับเต่า ก็เลยต้องเสียเวลาอธิบายกันยาว จนกว่าจะมาถึงพี่เสรีนี่แหละ”
เต่าหันข้อมือดูนาฬิกาแล้วลุกขึ้นบอกลา และกลับทันที โดยที่ผมยังไม่ได้ถามเรื่องอื่นที่ยังสงสัยอยู่ ท่าทางเร่งรีบน่าดู สิ่งที่ได้ยินมาในวันนี้มันทำให้ผมกลับหดหู่ และไม่ออกไปช่วยพวกน้า ๆ ตกแต่งบ้านเกือบชั่วโมง ผมพยายามตีหน้าให้ปกติและกลับออกไปทำงานต่อ รอเพียงแต่ผู้ที่จะมาเป็นกำลังเสริมในวันพรุ่ง ซึ่งน้าหินบอกว่าอายุของกลุ่มผู้ชายก็รุ่นราวคราวเดียวกับผมทั้งสองคน


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
10th July 2013, 16:04
ตอนที่ 6 : เสริมกำลัง
ตั้งแต่ที่ผมได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มันเหมือนเติมเต็มชีวิตส่วนหนึ่งที่ขาดหายไป แต่กลับต้องสูญเสียชีวิตอีกส่วนที่เคยถูกเติมเต็มมาก่อนเช่นกัน ชีวิตที่ผมดำรงอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่าดีกว่าเมื่อก่อนอยู่มากโข นั่นไม่ได้หมายความถึงการที่มีฐานะดีมีเงินให้ใช้มากขั้นอะไรแบบนี้ อันที่จริงผมหมายถึงจิตที่อยากจะทำดีกับเขาบ้าง เคยได้ยินคำ ๆ หนึ่งในการ์ตูนที่ว่า “ถ้าหากลูกอยากจะมีสาว ๆ มารุมล้อมเหมือนพวกเนื้อหอมล่ะก็ อย่าคิดที่จะหยุดทำดีเลยนะ” มันเป็นคำที่ผมติดใจและจดจำมันมาตลอด ผมลองทำอย่างที่ว่านี้มาหลายครั้งแล้ว ดีที่สุดก็คือคำขอบคุณ หรือถ้าหากบางคนที่ไม่อยากจะตอบแทนในสิ่งที่คิดว่าตัวเองนั้นไม่อยากจะทำให้คืนกับผม ก็มักจะแก้ปัญหาด้วยเงินอยู่บ่อย ๆ เป็นแบบนี้ผมก็รับไม่ได้นักหรอก เลยปฏิเสธไปหมด
ผมนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้ขณะที่กำลังนั่งวาดรูปการ์ตูนอยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นด้านนอกบ้าน พลางเปิดเพลงป็อปร็อคจากโทรศัพท์มือถือฟัง คอยเสริมอารมณ์ในการวาดให้ออกมาตามเสียงเพลงนั้น ในยามสาย ๆ ของวัน
วันนี้เป็นวันที่ผู้ประจำการฝ่ายชายจะมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ พูดยังกับหมอลำ ทางด้านหนึ่งคือบ้านของโม ผมเห็นเธอกำลังชะเง้อแลมองมาทางผมนิดหนึ่ง และเดินตรงมาที่ที่ผมนั่งอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่าในละแวกนี้ไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่พอจะให้โมได้พูดคุยทักทายกันเลย มีก็แต่ผมที่เป็นคนในวัยเดียวกัน อีกทั้งยังสนิทกันในระดับหนึ่ง ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ ถ้าหากจะให้มานั่งพูดคุยกันสองคนแบบนี้ ผมก็ไม่เอาด้วยหรอก มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะสนิทกันมากแค่ไหน ถ้าหากว่าเป็นเพื่อนผู้ชายแล้วก็ไม่มีปัญหา แต่เธอคนนี้มัน ... น่ารัก
“ทำอะไรอยู่เหรอเสรี ดูท่าทางน่าสนุกจัง”
ผมรี่เสียงเพลงโทรศัพท์ลง โมเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ไม้อีกตัวที่อยู่ตรงข้ามกับผม พลางถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แบบที่ควรจะเป็นมาตลอด ‘เห็นอยู่ชัดว่าวาดรูปอยู่’
“อ้อ นี่โมคงจะไม่รู้จักสินะ เรากำลังอ่านหนังสืออย่างเมามันอยู่น่ะ เป็นหนังสือที่ยากมาก ๆ ด้วยนา ว่ากันว่าในโลกนี้มีแค่สามเล่มล่ะ”
โมชายตาไปรอบ ๆ โต๊ะ ตีหน้างงแล้วถามกลับมา
“หะ ไหน ๆ ...ไม่เห็นจะมีหนังสือที่ว่าอยู่ซักหน่อย”
‘ทำเป็นโง่ หรือตั้งใจจะต่อมุขเรากันเนี่ย’
“อะ ช่างมันเถอะ แล้วมีอะไรเหรอ ถึงได้มาถึงที่นี่”
ตามจริงโมก็มาเกือบทุกวันนั่นแหละ จุดประสงค์ก็เรื่องเดิมคือ ไม่มีเพื่อนคุย ที่ถามออกไปแบบนั้นอาจเป็นเพราะจิตมันสั่งการออกมาอัตโนมัติให้พูดอะไรแบบนี้ออกไป
“ถึงที่นี่เหรอ นี่เราบ้านติดกันนะ ไม่ได้อยู่ห่างเป็นกิโลซักหน่อย ก็ไม่มีเพื่อนให้คุยน่ะ ก็ไม่อยากจะมานักหรอกนะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ”
จะให้เข้าใจอะไรกัน โมก็ตอบมาเหมือนอย่างเคย ทั้งที่ได้ฟังคำถามจากผมซ้ำ ๆ ซาก ๆ แบบนี้มาหลายครั้งแต่เธอกลับไม่ทักท้วงใด ๆ ออกมา
“หืมนายเนี่ยวาดรูปสวยจริง ๆ เลยน้า น่าอิจฉาชะมัด แต่ว่ายังไม่สวยเท่าที่ควรสินะ”
สำหรับคำชมอะไรเทือกนี้ผมได้ยินมาจนเอียนแล้ว มันไม่ได้ทำให้ผมภาคภูมิใจมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย คำหลังที่โมพูดก็เป็นสิ่งที่ผมคิดมาอยู่ตลอด ว่าถึงจะวาดสวยแค่ไหน มันก็ยังไม่ดีพอสำหรับผมอยู่ดี พอลองเอาสิ่งนี้ไปเทียบกับหนังสือการ์ตูน มันก็ต่างชั้นกันอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ ๆ นายคิดว่าคนที่จะมาที่นี่น่ะ จะเป็นคนแบบไหนเหรอ จะหล่อ หรือว่าจะเป็นคนยังไง”
กับคำถามนี้แล้ว ผมก็ไม่อยากคิดให้เปลืองพลังสมองมากเท่าไหร่ เพราะเมื่อเห็นก็จะรู้เองอยู่ดี ผมเลยตอบแบบของไปทีพลางหันหน้าลงกระดาษวาดรูปไปเรื่อย ๆ
“ก็คงจะเหมือนกับไอ้เต่าล่ะมั้ง พูดมาก เพี้ยน ๆ บางครั้งก็แฝงไปด้วยความลับที่น่าอายเอาไว้”
“พูดให้เขาเสียจริง ๆ น้า ถ้าเขาได้ยินเข้านายว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
นี่หาเรื่องไร้สาระคุยเรื่อยเปื่อยกันรึไง
“ไม่หรอก เขาไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูดนั่นหรอก และเราก็ไม่ใช่นักพยากรณ์ หรือหมอดูหมอเดา ที่จะมาอ่านใจคนล่วงหน้าได้ แต่ถ้าเป็นได้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ชั้นว่านายนั่นแหละที่เพี้ยน ไม่ใช้ไอ้เต่านั่นหรอก...”
สิ่งที่ผมตอบคำถามที่ถูกถามจากโม เหมือนมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอก็อาจจะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่พูดออกมาก็แค่อยากให้มีการสนทนาขึ้นก็เท่านั้น
“...ตัวสูง ไม่พูด ถ้าจะพูดออกมาก็มีแต่คำที่ตรงแบบไม่ไว้หน้า ชอบดูการ์ตูนยิ่งถ้าเป็นอะไรที่น่ารักเข้าให้แล้วก็ติดหนึบไปกับมัน ไปโรงเรียนก็ทำตัวเป็นเด็กเรียนใส่แว่นหนาเต็อ และก็ยังแฝงไปด้วยโรคกลัวผู้หญิง...”
ผมเบือนหน้าไปหยิบหูฟังที่วางอยู่ข้างมาเสียบใส่หู และก้มลงวาดรูปต่อ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพูดไม่หยุด แฉเรื่องของผมแบบนี้อยู่บ่อย ๆ สนุกสนานไปกับมันบนความทุกข์ของผม ‘อย่าให้เราได้พูดดีกว่า เดี๋ยวโดนสวนกลับไม่ยั้งแน่’ ผมก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องความสุดโต่งของโมอยู่ แต่ก็ไม่เคยพูดมันออกมาซักที เพราะว่าจะใช้มันใจสถานการณ์ที่ควรจะใช้เท่านั้น
ปากของโมขยับมุบมิบ ๆ พอจับความได้ว่าเรียกผม ที่ทิ้งความสนใจไปจากเธอชั่วขณะหนึ่ง
“นี่จะทำตัวเย็นชาไปถึงเมื่อไหร่กัน เสียมารยาทชะมัด กำลังคุยกันอยู่แท้ ๆ”
ผมมักทำตัวเย็นชาแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เฉพาะตอนที่มีเรื่องเครียดหรือเรื่องกลุ้มใจ จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกซะจากเรื่องที่ถูกพวกปีศาจจ้องจะเล่นงานผม แล้วมันก็มีปัจจัยที่แปลก ๆ หลาย ๆ อย่างที่เกิดขั้น ทำให้ผมต้องครุ่นคิดทั้งคืน นอนก็ไม่หลับ ปกติก็หลับอยากอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องอ่อนเพลียในตอนกลางวันนัก เรียกได้ว่าติดจนกลายเป็นนิสัย และร่างกายก็ปรับตัวตามไปโดยปริยายอีกด้วย
‘มากันแล้วเหรอ’
รถกระบะสี่ประตูคันเก่า ๆ ที่มีอายุการใช้งานเกือบสิบปีเลี้ยวหักเข้ามาที่บ้านผม มันเป็นรถที่ซื้อจากน้ำพักน้ำแรงของน้าลี ด้านหลังที่เป็นกระบะก็มีข้าวของสิ่งจำเป็นที่สำหรับการย้ายมาที่นี่พะรุงพะรังเต็มไปหมด รถนั่นจอดใกล้กับโต๊ะที่ผมนั่งเพราะตรงนั้นมีร่มไม้ที่พอดีสำหรับพักรถไม่ให้มันเสียสภาพไปให้มากกว่านี้ เสียงรถก็บอกความเก๋ากึกในตัวมันอยู่แล้ว มันก็ไม่ยากเลยที่จะตีตราว่าเป็นรถที่ใช้งานมามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเจ้าของรถจะเปลี่ยนกรอบรถไม่ก็ตาม
ประตูทั้งสี่ของรถถูกเปิดออกพร้อมกันทั้งที่ไม่ได้นัดหมาย ที่เห็นก็มีน้าลีที่ทำหน้ายิ้มแย้มเป็นปรกติของเขาอยู่แล้ว น้าหินที่ดูเป็นคนน่ากลัวอยู่นิด ๆ หันไปบอกให้ชายอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังไปหาที่นั่งพักและทักทายทำความรู้จักกับผม แล้วก็กลับไปที่บ้านของเขาทันที น้าลีก็กลับเข้าบ้านเช่นกัน ‘...คิดผิดจริง ๆ ที่มานั่งที่นี่’
‘หมอนี่น้าคุ้นจังแฮะ’
ผมแลดูชายที่อายุน่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน รูปร่างที่สูงเกือบพอ ๆ กับผม แต่ตัวหนากว่า ทรงผมตั้งคล้ายพวกนักเลงข้างถนน พร้อมกับใบหน้าที่กว้างสมกับสัดส่วนของร่าง หันมามองทางผมเช่นกัน ยังกับว่าเราทั้งสองกำลังนึกอยู่ว่า ...ใช่ไอ้นี่หรือเปล่า
“เสรีเหรอ”
เขาชิงตัดหน้าก่อนที่ผมจะพูด แต่ถึงจะว่าชิงตัดหน้า ตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี หรือว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องวุ่น ๆ หลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกันที่ทำให้ความจำผมมันยังไม่เคลื่อนที่ออกจากส่วนเก็บข้อมูลกันนะ
“เอ้อ ใช่ ...แล้ว ...”
ผมตอบคำแบบ เก่ ๆ กัง ๆ อยู่นิดหน่อย ทำให้เจ้าตัวออกจะไม่ชอบอยู่
“แล้ว...”
“คติ ไงล่ะ คติไง จำกันไม่ได้จริง ๆ เหรอเนี่ย”
“อะ ...อ้อ”
การตอบสนองของผมต้องทำให้คติ ถอนหายใจเล็กน้อย ว่าแต่ทำไมต้องเป็นหมอนี่ที่ได้มาที่นี่กัน
“อย่าทำหน้าสงสัยแบบนั้นสิ พูดออกมาเลยดีกว่าน่า”
ถึงจะห่างเหินกันไปนาน แต่คติก็ยังทำเป็นคนที่ยังสนิทกันกับผมอยู่เหมือนเดิม จริงอยู่ที่ว่าผมมักจะแสดงสีหน้าแทนคำพูดในบางครั้ง ก็คิดที่จะพูดออกไปอยู่หรอก แต่ติดตรงที่ชายอีกคนที่ดู ๆ ไปก็น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างที่น้าหินพูดอยู่ ผมที่ยาวลงมาจนถึงปลายคาง สายตาที่แหลมคมที่ดูเหมือนจะมองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งในปราดเดียว ผิวขาวอมน้ำตาลจาง ๆ ใบหน้าและจมูกที่คมเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ก็ทำให้หมอนี่น่าจะเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ ไม่น้อย แต่ท่าทางมันที่มองผมแล้วทำหน้าโง่ ๆ นี่สิ มันทำให้การที่อยากจะถามเจ้าคติมันต้องชะงักไป ทางโมก็ดูตื่นเต้นกับการทักทายของเด็กใหม่ไปซะ แววตาเป็นประกายแวววาวที่ได้เห็นคนหล่อ ๆ มาเพิ่มถึงสองคนล่ะมั้ง
“อ้อ อยากรู้ชื่อชั้นสินะ ชั้นมีชื่อว่า เฟ่ย ได้ยินแล้วก็จำให้ได้ล่ะ”
‘อุบ’ ผมพยายามกลั้นมันไว้ไห้ได้ เลยเอามือทั้งสองมาอุดปากเอาไว้ การตอบสนองในครั้งนี้ของผมก็ทำให้เจ้าตัวต้องถอนหายใจเล็กน้อย ‘ให้ตายก็ไม่ลืมหรอก’
“อา ...ชั้นชื่อเสรี ยินดีที่ได้รู้จัก”
ผมหันไปยิ้มฝืน ๆ ให้เฟ่ย ผู้ที่แจกความหัวเราะเมื่อได้คุยกันตั้งแต่ครั้งแรก โมที่มายืนข้าง ๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับจะบอกให้ผมแนะนำตัวให้แทน เจ้าคติก็มองอย่างให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย ในใจมันคงจะคิดอะไรแปลก ๆ บางอย่างอยู่แน่
“เออ คนนี้ชื่อโม เป็นคนที่อาศัยอยู่ที่บ้านข้าง ๆ นี้น่ะ”
“ลูกของน้าหินเหรอ ไม่ยักคิดว่าจะน่ารักขนาดนี้นะเนี่ย”
คติพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำเอาโมทำลนลานวางตัวไม่ถูก
“นี่ทั้งสองคนเป็นแฟนกันเหรอ”
‘พูดอะไรออกมาวะนั่น’ สำหรับผมแล้วมันก็เป็นเพียงแค่คำพูดอยอกล้อกันเล่นของเจ้านี่เท่านั้น แต่ที่โมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมคงจะไม่ใช่ซะแล้ว เธอหน้าแดงลุกลี้ลุกลน จากนั้นไม่ทันไรก็วิ่งกลับเข้าบ้านไปของเธอทันที ทำเอาเจ้าคตินิ่งอึ่งไปชั่วครู่
เอาเถอะ โมคงจะโกรธเพราะว่ามีแฟนอยู่แล้วก็ได้ไม่มีใครจะไปปลอบได้หรอก ผมหันไปถอนหายใจใส่เจ้าคติมัน มันก็ทำได้แค่ตีหน้าสำนึกผิดแทน ผมเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะออกเพื่อให้แขกได้รู้สึกสะดวกมากขึ้น คงจะไม่ต้องเรียกว่าแขกแล้วล่ะ
“นี่ตกลงทั้งสองคนเป็นแฟนกันงั้นเหรอ”
“ยังจะถามมาอีกนะ ดูก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเป็นหรือไม่เป็น”
ผมเอ่ยออกไปด้วยความระอา
“อ้อเข้าใจแล้ว”
คติยิ้มหน้าตั้ง เป็นลางบอกว่ามันยังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เฟ่ยหายไปไหนแล้ว ผมมองไปที่ที่เฟ่ยเคยอยู่แต่ก็ไม่พบ ใกล้นี้ก็ไม่มี
“ตรงนั้นใช่ไหมที่ที่จะให้เราพัก”
เสียงเฟ่ยเหรอ ผมกับคติมองหาต้นเสียงที่เหมือนจะมาจากด้านบน แล้วก็พบว่ามันยืนอยู่บนหลังคาบ้านผมอยู่
“เห้ย ขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่... แล้ว แล้ว...”
ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ไม่รู้ว่าจะทึ่งหรือจะสบถ ที่เล่นขึ้นไปยืนเก็กบนหลังคาบ้านคนอื่นแบบนี้
“อย่าไปโกรธเค้าเลย ก็แค่พวกอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละ”
“แต่นี่มันหลังคาบ้านชั้นนะ ไม่ใช่ว่าจะให้ใครมาปีนง่าย ๆ ถ้าพังมาจะให้ทำยังไงกัน”
“เอาน่า ๆ มันไม่พังหรอก หมอนั่นตัวเบาจะตาย นั่นไงล่ะ ลงมาแล้ว”
เฟ่ยมาอยู่ข้าง ๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาเดินมาหยิบสัมภาระทั้งหมดของเขาที่ดู ๆ ไปแล้วก็ไม่มีอะไรมากมายนัก ก็แค่กระเป๋าใบใหญ่ใบเดียวเท่านั้น ผมก็ไม่อยากจะเปลืองสมองคิดเรื่องอะไรให้มากนัก ก็เลยปล่อยเลยตามเลย สงสัยหมอนี่คงเป็นพวกชอบมองการไกลแบบไม่มีมารยาทงั้นสินะ
“เอาเถอะ เดี๋ยวชั้นจะพาไปที่อยู่ของพวกนายทั้งสองเอง ยกของตามมาก็แล้วกันล่ะ”
“เยี่ยมเลย ! งั้น ก็ต้องห้องน้ำก่อนเป็นที่แรก นี่รู้ไหม ถ้าหากว่าไปที่ไหนที่มันไกล ๆ แล้วล่ะก็ ถ้าไม่เข้าห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัวก่อน มันจะโชคไม่ดีทีหลังเอานะ”
คติแบกกระเป๋าใบใหญ่สองใบขึ้นอย่างแข็งขันพลางยิ้มหน้าตั้งมาทางผม
“เออ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะเรื่องแปลก ๆ แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปอดทนทีหลังเหรอถ้าไม่ได้เข้าห้องน้ำก่อน”
ผมตอบกลับขณะที่เราทั้งสามคนกำลังเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินกรวดยาวไปถึงบ้านโพรง รอบ ๆ ทางเดินทั้งสองฝั่งนั้นมีดอกไม้นา ๆ พันธุ์ที่พวกผมได้ปลูกขึ้นก่อนหน้า ว่าแต่วันนี้อากาศดีจริง ๆ เลยนะเนี้ย
“หา ถ้าเป็นแบบนั้นก็... ว่าแล้วเชียวความรู้นี้ชั้นยังรู้สึกทะ**** ๆ มาตั้งนานแล้ว ไม่น่าไปหลงเชื่องไอ้หน้าหล่อนั่นเลย”
คติกัดฟันกรอดใหญ่พลางกำหมัดแน่น แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดูกร้าวมากนัก
“นี่มันถือว่าเป็นความรู้ที่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วไอ้หน้าหล่อที่ว่านั่นใครกัน ที่สามารถทำให้นายต้องหลงเชื่อแบบนี้”
คติเปลี่ยนสีหน้างุนงงทันทีที่ได้ยินคำถามของผม และมันก็ทำให้ผมสงสัยอยู่หน่อยหนึ่ง
“เออจะว่าไปนายเคยได้ยินอินทรีเหล็กละเปล่า”
“เอ ที่เป็นทีมฟุตบอลเยอรมันนั่นน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ ๆ ทาง ส.ต.จ. น่ะ”
“เอ อินทรีเหล็กทาง ส.ต.จ. งั้นเหรอ... ว่าแต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ชั้นถามไปรึไง”
“อืมใช่ คนที่มีฉายานั้นแหละที่เป็นคนปั่นหัวชั้นอยู่บ่อย ๆ”
ผมต้องตกใจกับสิ่งที่คติพูดมา อินทรีเหล็กอยู่กับคติเหรอ แล้วหมอนั่นไปทำอะไรกันถึงได้รู้จักกับอินทรีเหล็กดีขนาดถูกหมอนั่นปั่นหัวมา แต่ถ้าจะให้คิดดูดี ๆ แล้วก็คงไม่แปลกที่อินทรีเหล็กจะรู้จักกับเจ้าคติและจะสนิทกันในระดับหนึ่ง เพราะคติมันก็มักที่จะเข้าทักหาคนมาเป็นเพื่อนก่อนอีกฝ่ายอยู่แล้วถ้าฝ่ายนั้นเป็นคนที่แปลก ๆ หน่อยล่ะนะ
“ว่าแต่ นายย้ายมาจากที่ไหนงั้นเหรอ”
“จากที่ไหนเหรอ ก็ที่เขตโรงเรียนที่ 4 ไง ชั้นก็เคยบอกไว้แล้วนี่นาว่าจะเป็นครูฝึกที่โรงเรียนต่อ จริง ๆ เล้ยนายเนี่ยความจำหายไปไหนหมดกันนะ ทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนด้วยกันก็เรียนเก่งกว่าชั้นตั้งเยอะ”
อืมก็คงใช่ ความจำผมรู้สึกว่ามันจะไม่ทำงานเลยซักนิดขนาดมีบุคคลที่พอที่จะทำให้ความจำหลาย ๆ อย่างค่อย ๆ ฟื้นขึ้นแท้ ๆ
หาเมื่อกี้บอกว่าเป็นครูฝึกงั้นเหรอ หมอนี่ทำได้แล้วเหรอ ผมเบิกม่านตาออกแสดงปฏิกิริยาตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
“เฮ้ย ๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ชั้นเป็นครูฝึกจริง ๆ นะถ้าไม่เชื่อก็ดูนี่เลย ได้มาด้วยความสามารถเฉพาะตัวล้วน ๆ ก็ไม่อยากจะโชว์นักหรอก”
คติดึงแขนเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มขึ้นจนพ้นไหล่ ปรากฏเป็นตราประทำร่างทรงสามเหลี่ยมสีทอง ที่หัวไหล่ของเขา ด้านในของสามเหลี่ยมนั้นมีดาวสีน้ำตาลดำอยู่ดวงหนึ่ง ซึ่งดาวนั้นจะแสดงระดับของคนผู้นั้นว่าเป็นครูที่มีความสามารถสูงแค่ไหน และเชี่ยวชาญในด้านใด จากที่เห็น ๆ ไปแล้ว คติก็ยังคงเป็นคติ เป็นครูผู้ฝึกสอนธาตุดินที่มันถนัดมาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่แปลกที่มันจะเป็นผู้ชำนาญในธาตุนี้
ถ้าแบบนี้ก็เป็นขั้นทดลองงานอยู่สินะ
“ว่าแต่ครูอย่างนายทำไมถึงได้มาประจำการอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่เขตที่เป็นการศึกษาล่ะ”
“อึก ก็... ชั้นก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันแหละ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะอะไร ตอนที่ได้รับคำสั่งมาก็ตกใจอยู่ไม่น้อยอยู่ล่ะ ชั้นก็เสียว ๆ อยู่ว่าจะได้เป็นครูต่อไปได้อีกละเปล่าถ้าเป็นแบบนี้”
คติตอบแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ปนกับเสียงที่กระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย
“แล้วที่ผ่านมานายเคยเห็นครูคนไหนต้องไปประจำการที่อื่นแบบนายรึเปล่าล่ะ”
“จะว่าไปเรื่องนี้ชั้นก็ไม่รู้หรอกนะ ไม่เคยเห็นใครที่เป็นแบบชั้นเลยซักคนน่า ชั้นก็ไม่เคยถามเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ ด้วยสิ หึคิดแล้วก็ช่างน่าเศร้าชะมัด”
ผมเปิดประตูบ้านเข้าให้ทั้งสองได้รับชมผลงานที่พวกผมสร้างขึ้นมา เป็นไปตามคาด เจ้าคติเอ่ยปากชมไม่หยุด เฟ่ยก็แค่เดินสำรวจทุกซอกทุกมุมของบ้าน แต่เดี๋ยว มันไม่ใช่แค่แล้ว หมอนี่มันกะจะเป็นนักสืบรึไงกัน
คติและเฟ่ยก็เลือกห้องของตัวเองตามที่ชอบ แบบนี้ก็ดีแล้วสินะที่ผู้ชายสองคน ห้องที่เหลือนั้นจึงตกเป็นของผม
บ้านโพรงนี้ถูกสร้างขึ้นบนที่นาของผมซึ่งเป็นทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ไม่ติดกับถนนเส้นใด บ้านโพรงห่างจากหมู่บ้านเพียงแค่ห้าสิบเมตร จึงไม่ยุ่งยากเรื่องการเดินทาง อีกอย่างที่พวกผมสร้างขึ้นมาใหม่คือห้องอาบน้ำรวม แยกห้องชายหญิงเป็นห้องอาบน้ำรวมแบบญี่ปุ่น แน่นอนเป็นความคิดของผมเองที่อยากจะสร้างมันขึ้นมา ห้องอาบน้ำนี้ก็ใหญ่พอควร สามารถรองรับได้ทีละห้าถึงหกคน ทางเราก็เลยเปิดเป็นที่ให้บริการห้องอาบน้ำไปซะเลย
ห้องที่ผมได้ในบ้านโพรงนี้อยู่ด้านหลังสุดของบ้านซึ่งเป็นทางทิศใต้ ก็ดีเหมือนกันจะได้อยู่อย่างสงบคนเดียวหน่อย บ้านโพรงอีกหลังสร้างไว้ทางด้านข้างของบ้านผู้ชาย อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเป็นบ้านของพวกผู้หญิง
ตอนนี้ผมนั่งชมวิวยามเช้าบนเก้าอี้หวายข้างหน้าต่างอยู่ ด้านนอกนั้นเป็นผืนนาถัดจากนั้นก็เป็นไร่โล่งที่ยังไม่มีการทำการเกษตรแต่อย่างใดทำให้มองเห็นป่าไม้ที่อยู่ห่างออกไปได้ชัดเจน ด้านหลังสุดปรากฏเป็นภูเขาสองลูกซึ่งไม่สูงมากนัก จากการคำนวนด้วยสายตาของผมแล้วภูเขาทั้งสองลูกนั้นน่าจะอยู่ห่างออกไปประมาณยี่สิบกิโลเมตรได้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าบ้านที่ผมอยู่จะเป็นบ้านนอก อยู่หลังเขา
เผลอไม่ได้กับบรรยากาศที่ดีแบบนี้ อุณหภูมิที่เริ่มลดลงมาที่ 30 องศาเซลเซียสประกอบกับลมอ่อน ๆ ที่พัดเข้ามาด้านในของหน้าต่างทำให้ผมเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มองดูนาฬิกาข้อมือก็พบว่าผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว สงสัยคงจะเพราะการนอนไม่พอก็ได้
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วก็จะปิดหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้าซะ แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น ผมก็มองเห็นเหมือนมีคนยืนโบกมือให้อยู่แต่ไกล ผมพยายามเพ่งเล็งเพื่อระบุตัวตนว่าเป็นคนหรือสัตว์หรือปีศาจ เฟ่ยเหรอ ไปทำอะไรตรงนั้น โบกมือเรียกเรางั้นเหรอ ยังไงก็เถอะออกไปแบบนั้นมันอันตรายอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เข้าไปในป่าก็เถอะ จากนั้นเลยตัดสินใจที่จะออกไปตามคำเรียกของเฟ่ย โดยที่ยังงง ๆ อยู่ว่าเพราะอะไรทำไมคนอย่างผมต้องไปตามคำเรียกของเจ้าหมอนั่นด้วย
ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปตามทางดินที่ถูกแทรกต้นหญ้าเตี้ย ๆ โดยผู้คนที่เดินเหยียบย่ำอยู่ตลอด ก็นึกคิดเรื่องที่ว่าตัวเองถูกหมายหัวไว้ มีเหตุหลาย ๆ อย่างที่ควรจะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีอะไรเลย การโจมตีของพวกปีศาจในตอนนั้นที่ว่าต้องการที่จะจัดการพวกผมก่อนที่จะได้รับจดหมายนั่นมันก็ดูออกจะไม่สมเหตุสมผลซักเท่าไหร่ ก็เล่นเอาแต่พวกที่อืดอาดหรือไม่ก็โจมตีในวงกว้าง ไม่ได้เหมาะอะไรกับการที่บอกว่าจะมาลอบฆ่าเลยแม้แต่น้อย หรือว่าผมและเต่าจะคิดไปเอง ไม่หรอก...
โดยปรกติพวกปีศาจจะไม่โจมตีตอนกลางวันแสก ๆ อยู่แล้ว เพราะตอนกลางวันนั้นเป็นช่วงที่จิตใจของผู้คนแข็งแกร่งมาก จากที่ผมเรียนมา สิ่งหนึ่งที่ปีศาจไม่กล้าเข้าโจมตีมนุษย์นั่นก็เพราะว่ามันเกรงกลัวจิตใจของมนุษย์ที่เข้มแข็ง ยิ่งถ้าเป็นพวกที่ยึดมั่นในทางความเชื่อ หรือศาสนาด้วยแล้ว พวกมันยิ่งไม่อยากเข้าใกล้คล้ายกับของแสลงของพวกมัน ถ้าเปรียบความรู้สึกที่ผมคิดน่ะเหรอ มันก็ประมาณว่าต้องเจอกับศัตรูที่มีกลิ่นฉุนยิ่งกว่าไข่เน่าแล้วทำให้เราต้องต่อสู้หรือเข้าใกล้ได้ลำบาก
ที่ที่เฟ่ยอยู่นั้นเป็นลานดินทรายไม่กว้างมากนักเหมาะที่จะเล่นตระก้อไม่น้อยเลยถ้าหากว่ามีเนตอยู่ด้วย รอบ ๆ ก็เป็นเพียงแค่ต้นหญ้าน้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่ประปราย ดูเหมือนกับว่าเฟ่ยจะไม่ขยับไปไหนเลยตั้งแต่ที่เรียกผมออกมา ผมเดินเข้าไปใกล้เฟ่ยในระยะที่พอคุยกันได้
“ขอโทษด้วยที่ต้องเรียกออกมาแบบนี้”
โอ้ เกินคาดผมมองคนผิดไปเหรอเนี่ย
“อ่อ ไม่เป็นไรหรอก แล้วมีอะไรงั้นเหรอ อยู่ที่นี่มันอันตรายด้วยนะ”
ผมยกมือตามว่าไม่มีปัญหาอะไร
“ถึงจะดูเสียมารยาทไปหน่อย ขอถามอะไรได้ไหม”
ท่าทางของเฟ่ยก็ยังดูสุภาพเหมือนเดิม
“อืม อะไรล่ะ”
“นายเป็นพวกชอบเก็บความลับงั้นเหรอ”
“อะ อะไรงั้นเหรอ... หมายความว่าไง”
“เป็นแบบนั้นใช่ไหม ชั้นมองคนไม่เคยพลาดหรอกนะ ก็แค่อยากให้เจ้าตัวยืนยันด้วยตัวเองเท่านั้น
“...”
ผมนิ่งคิด
“ไม่ต้องกังวลนักหรอก ชั้นเป็นคนเก็บความลับเก่ง และก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องบอกเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นความลับของในให้ใครรู้ด้วย”
“เออใช่ แล้วนายต้องการอะไร”
“ไม่เอาน่า ไม่เอาน่า ใจเย็น ๆ ก่อน ชั้นไม่ได้ต้องการจะหาเรื่องใครหรืออะไรที่ต้องผิดใจกันซักหน่อย เพียงแต่ว่าชั้นสงสัยกับป่านี้และก็อยากจะถามคนที่พอจะรู้เรื่องของป่านี้ดีหน่อย”
เฟ่ยหันไปมองด้านหลังที่เป็นป่าผืนใหญ่ห่างจากที่นี่ไปก็ประมาณกิโลเศษ ๆ อืมมันก็เป็นอย่างที่หมอนั่นพูดนั่นแหละ ยังไง ๆ ก็ได้อยู่ด้วยกันไปอีกนาน ถ้ามาสร้างสายสัมพันธ์ศัตรูตั้งแต่เริ่มเจอหน้าล่ะก็คงได้อยู่ไม่สุขแน่
“ถ้าเรื่องป่านี้ ชั้นแนะนำให้นายไปถามน้าลีจะดีกว่า เพราะน้าลีคอยตรวจตราอยู่ตลอด ถึงจะไม่เข้าไปลึกหรือใจกลางป่า แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดแหละนะ”
“ไม่หรอก นายนั่นแหละเหมาะแล้ว”
“หมายความว่าไง”
ผมต้องตีหน้าสงสัยอีกรอบ
“ชั้นก็เคยบอกนายไปแล้วนี่”
“... ที่ว่าดูคนไม่เคยผิดยังงั้นเหรอ”
เหมือนผมเริ่มที่จะสนใจเจ้าหมอนี่ขึ้นมาซะแล้ว และยังรู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่ ๆ
“ถ้าอย่างนั้น นายก็ต้องการที่จะเข้าไปในป่ายังงั้นสินะ ชั้นขอเตือนนายไว้ก่อนว่า ไม่ ควร เข้า ไป เด็ด ขาด อย่าว่าไม่มีใครบอกล่ะ”
ผมเน้นเสียงใส่เฟ่ย เผื่อว่าจะได้เข้าไปถึงส่วนลึกสุดของสมอง
“เรื่องนั้นชั้นไม่สนหรอก อันที่จริงชั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งนายด้วยซ้ำ”
น้ำโหกำลังขึ้น
“เพียงแต่ว่าป่าที่นี่ไม่เหมือนกับที่ชั้นเคยเจอมาก่อน ชั้นไม่สามารถคำนวณและวิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเป็นไปได้เลย เหมือนกับมีบางอย่างเป็นโล่ป้องกันมันไว้ จากผู้คน จากผู้ใช้เวท จากชั้นหรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ ความรู้สึกที่ชั้นมีอยู่ตอนนี้มันมืดมิดไปหมดเมื่อมองไปยังป่าแห่งนี้ ชั้นรู้ว่านายก็รู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร ๆ นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ชั้นเลือกนาย ไม่ใช่ยามตรวจชายป่า”
มองออกหมดทุกอย่างเลยเหรอ ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจนักหรอก เพราะไม่ว่ายังไงก็น่าจะมีคนที่รู้เรื่องแบบนี้อยู่ไม่น้อย แต่ที่เห็น ๆ มามันก็มีแค่มันกับผมเองนี่นา
“ถ้านายอยากจะให้ชั้นบอกเรื่องราวของป่าผืนนี้ล่ะก็ ชั้นก็อยากจะขออย่างหนึ่งเหมือนกัน”
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้พูดคำแบบนี้ออกมา ด้วยความรู้สึกเหมือนในหนัง
“ไม่มีปัญหา”
“ถามแค่ข้อเดียว”
“อืม”
“นายเป็นแม่ทัพแห่งดินแดนศักดิ์สิทธ์เหนือใช่ไหม”


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
11th September 2013, 16:03
ตอนที่ 7 : เมฆาทมิฬ
รอบ ๆ ข้างผมกับเฟ่ยนั้นเงียบไปหมด ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงหรือสัตว์เลี้ยงใด ๆ ร่มที่เกิดจากเมฆฝนที่ลอยมาบทบังแสงแดด ทำให้ยามสาย ๆ วันนี้ไม่ร้อนมากนัก
กับคำถามที่ผมถามออกไปนั้น ผมรู้ตัวดีว่าไม่มีทางที่จะถูกตามที่คิดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ๆ ถ้าผมได้พูดเรื่องหน้าที่การงาน หรือลักษณะภายในของคน ๆ นั้น จากการแค่มองดูหรือสังเกตก็ไม่เคยถูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมานี้ไม่นานนัก ผมเริ่มคิดได้ใกล้มากขึ้น หมายความว่าตรงกับสิ่งที่คิดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถูกเสมอไปนัก
ตอนนี้ก็แค่รอคำตอบจากเฟ่ยเท่านั้น
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงชั้นขอถามนายหน่อยว่า นายรู้ได้ยังไงว่าชั้นเป็นแม่ทัพเหนือ”
ท่าทางของเฟ่ยก็ยังเรียบเฉยและยังคงความสุภาพเช่นเคย แม้ว่าจะต้องเจอกับคำถามที่ทำให้ผงะอยู่ไม่น้อย
“ไม่ มันไม่สำคัญอะไรนักหรอกว่าชั้นจะเป็นอะไรมาจากไหน และก็นะนายสามารถที่จะเชื่อใจชั้นได้โดยไม่ต้องมีข้อสงสัยใด ๆ ด้วย ชั้นรับปากและสัญญา สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ถ้าให้พูดจริง ๆ แล้ว ความรู้สึกในการรับกลิ่งอายแห่งความอันตรายของชั้นแต่ละครั้งมันไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
เฟ่ยเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นจริงจังขึ้นมา จ้องมองผมด้วยดวงตาที่แหลมคมราวจะเชือดเฉือนคอผมที่ตั้งอยู่ตอนนี้ ถ้ามันไม่หมุนไปทางอื่นก่อน และผมก็ไม่สนใจที่จะอยากรู้เรื่องแม่ทัพเหนืออะไรนั่นสักเท่าไหร่
“หมายความว่าไม่คนที่อยู่ที่นี่หรือสถานที่ตรงนี้มันไม่น่าไว้วางใจสินะ เอาเป็นว่าชั้นเชื่อใจนาย ถึงแม้ว่าไม่อยากจะทำแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะชั้นก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน มันแปลก ๆ มาตั้งนานแล้ว”
“ถ้านายคิดมันเป็นแผนของชั้นเพื่อที่จะเอาความลับจากนายแล้วล่ะก็ นายก็คงจะคิดผิดนะเพราะถ้าพูดกันให้หมดแล้วชั้นอาจจะรู้มากกว่านายก็เป็นได้”
ผมพยักหน้ารับให้เฟ่ยได้พูดต่อ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำตาม
“เอาล่ะสิ่งที่ชั้นสงสัยในตอนนี้น่ะเป็นทั้งสองอย่างที่นายเคยพูดไว้ นั่นคือทั้งสถานที่นี้ และก็คนที่อยู่ที่นี่”
ผมหมุนมือเพื่อไม่อยากให้เฟ่ยหยุดพูด ซึ่งมันก็เหมือนกับผมอยากให้เฟ่ยพูดสิ่งที่หมอนี่รู้ออกมาเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเฟ่ยก็คงจะรู้ดี และก็ไม่เคยขัดหรือหลีกเลี่ยงเลยซักครั้ง
“น้าหิน และน้าเมย์ นั่นคือผู้ต้องสงสัย สิ่งแรกของชั้น ไม่ใช่คนกระทำผิดหรือหนอนแต่อย่างใด ชั้นแค่สงสัยว่าสองคนนี้จะรู้จักป่าผืนนี้ดีที่สุด”
สิ่งนี้มันน่าจะทำให้ผมตกใจมาก แบบไม่ทันตั้งตัวจนตั้งสติไม่ได้ว่า “มัน...” “อะไรกัน” แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่ อันที่จริงผมก็รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ทั้งน้าหิน และน้าเมย์ ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ผม และครอบครัวของน้าหินเข้ามายังป่าของหมู่บ้านนี้เป็นครั้งแรกมันก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว ในตอนนั้นน้าลีกับน้ามาอยู่ที่หมู่บ้าน ที่เข้าป่ามาก็มีเพียงแค่ผมน้าหิน และน้าเมย์ ที่เข้ามานี่ก็เพื่อไขข้อสงสัยข้อหนึ่งของผม คือก่อนหน้านั้นผมสงสัยว่าในป่าแห่งนี้ต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผมแน่ มันก็เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวของผมเท่านั้น ผมเลยพยายามแอบเข้าป่าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พ้นสายตาของน้าหินไปได้ เพราะน้าหินได้เตือนผมมาก่อนที่ผมจะได้มาอยู่ที่หมู่บ้านนี้แล้ว
นานเข้าผมไม่ยอมหยุดซักที น้าหินและคนอื่นเลยใจอ่อน ให้ผมเข้าไปดูเพื่อให้รู้แล้วรู้รอด แต่มีข้อแม้อยู่สองข้อ ก็คือ หนึ่งน้าหินและน้าเมย์จะต้องเข้าไปด้วย สองจะไม่เข้าไปในเขตป่าลึกโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ให้พูดกันตามตรงเลย น้าหินและน้าเมย์ก็ยังไม่เคยเข้ามายังป่าแห่งนี้เลยซักครั้ง แล้วอะไรกันที่ทำให้มีข้อห้ามที่มัดมือมัดเท้ากันขนาดนะ
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยเราทั้งสามคนก็ออกจากบ้านตอนเช้า และเดินเท้าไปยังป่าของหมู่บ้านซึ่งเป็นป่าทึบเขาขนาดใหญ่ ป่าแห่งนี้ไม่อยู่ห่างจากหมู่บ้านนัก การเดินทางจึงกินเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง น้าหินบอกให้ผมเตรียมสิ่งของจำเป็นที่จะออกป่ามาด้วย ผมก็เลยได้แบกกระเป๋าใบใหญ่และหนักออกมาจากบ้านด้วยความทะมัดทะแมง ส่วนน้าหินกับน้าลีก็ไม่ได้มีของเตรียมอะไรมากนัก มีน้อยกว่าของผมด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่มีกันต้องสองคนเนี่ยนะ
อากาศของวันนั้นสดใสมีเมฆน้อย เหมาะแก่การไปเที่ยวป่าเป็นอย่างมาก ถึงจุดประสงค์มันจะไม่ใช่ก็เถอะ เลยทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย โดยปกติผมเป็นคนชอบเดินทางอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ชอบการเดินทางเช่นกัน คือผมไม่ชอบการขี่รถยนต์ ไม่ชอบการนั่งอุดอู่อยู่แต่ในรถ นั่งอยู่บนเบาะนาน ๆ จนก้นชายิ่งกว่าตอนฉีดยาก่อนถอนฟันซะอีก มิหนำซ้ำพอถึงที่หมายแล้วยังมาต้องใช่พักฟื้นอีก นั่นแหละที่ทำให้ผมเกลียดการเดินทางแต่ก็ชอบการเดินทางเช่นกัน
พวกเราเดินลัดเลาะไปตามที่ที่สามารถจะเดินได้ เข้ามาข้างในป่าได้ประมาณร้อยกว่าเมตร ดู ๆ ไปก็เป็นป่าปกติทั่วไป ถ้าหากว่าเป็นชาวบ้านในละแวกนี้ล่ะนะ สำหรับชาวบ้านก็มีข้อห้ามไม่ให้เข้าป่าลึกเช่นกัน เพราะมีข่าวลือกันมาว่าผู้คนที่เข้าไปนั้นมักจะสูญหายโดยไม่มีร่องรอยเสมอ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเมอร์มิวดาร์เมืองไทยหรือเปล่าเพราะมันเป็นแค่ข่าวลือยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกชาวบ้านก็ปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ
เท่าที่เดินเข้ามากันรู้สึกว่าจะมีปีศาจระดับล่างเยอะมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายอะไรมากนัก ก็เหมือนกับพวกฝูงต่อที่ไม่อยากให้ใครมารบกวนก็เท่านั้น
“นี่น้าหินมันก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ แล้วทำไมต้องห้ามนักห้ามหนานักล่ะครับ”
ผมที่เดินตามน้าหินที่อยู่ด้านหน้าถามออกไปพลางมองไปยังต้นสักขนาดใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมพืชที่เล็กกว่า
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่แหล่ะน้าถึงไม่อยากให้เข้ามา ยิ่งเงียบยิ่งอันตราย ไม่เคยได้ยินเหรอ”
“ผมว่ามันชวนให้หลับมากกว่านะครับ”
“นั่นแหละยิ่งเข้าทางศัตรูเข้าไปใหญ่”
น้าเมย์ที่เดินตามหลังผมมาก็ไม่เห็นพูดอะไร ตั้งแต่ออกจากบ้านผมสามารถนับได้เลยว่าน้าเขาเปิดปากพูดไปแล้วกี่ครั้ง ถ้ารวมกันทั้งหมดแล้วก็คือศูนย์ โดยปกติแล้วน้าเมย์จะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ นี่ผมว่าผมเป็นคนไม่ค่อยพูดแล้วนะ นี่ยังมีคนใบ้มากกว่าผมซะอีก เหนือฟ้ายังมีฟ้ายังงั้นสินะ
คราวนี้น้าหินเดินเลี้ยวออกไปทางซ้าย เพราะตั้งแต่ที่เข้าป่ามานี้เรามุ่งตรงมาตลอด ทำยังกับว่าจะพาผมไปที่ไหนซักแห่งยังงั้นแหละ นี่มันการสำรวจป่าไม่ใช่เหรอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ถามออกไป
“พ่อ ... พ่อ”
น้าเมย์ที่เรียกน้าหินที่เดินมุ่งตรงไปด้านหน้าและมองไปแต่ข้างหน้าอย่างเดียว แต่น้าหินไม่ก็ขานกลับ
“พ่อ!”
น้าเมย์ตะโกนออกมาไม่รู้เพราะความโกรธหรือว่าอะไรกันแน่ เพราะตอนที่ผมหันกลับไปมองน้าเมย์ก็ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีร้อนรนเลยซักนิด แต่เป็นสีหน้าที่ดูจะแฝงด้วยความกังวลมากกว่า
น้าหินหยุดชะงักทันทีแล้วหันกลับมายิ้มให้น้าเมย์แบบเจื่อน ๆ
“คือว่ากำลังคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่น่ะ โทษที
แล้วน้าหินก็ออกเดินต่อ อาจจะเพราะตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ก็ได้จึงไม่ได้เอะใจอะไรกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดอยู่ตรงหน้า แต่ในตอนนั้นผมก็จำได้ดีหมดทุกอย่าง ยกเว้นช่วงหนึ่งหลังจากที่น้าเมย์กับผมคุยกันได้ไม่นาน
“เสรีสังเกตสิ่งรอบตัวให้มาก ๆ นะ แม้แต่สิ่งเล็ก ๆ ที่เราละสายตาออกไปโดยไม่สนใจมัน มันอาจจะเป็นจุดสำคัญที่สุดก็ได้”
น้าเมย์พูดขึ้น
“ไหนน้าบอกว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยยังไงล่ะครับ นี่มันเท่ากับว่าน้าเสริมความอยากรู้อยากเห็นของผมอีกนะครับ”
ผมตอบกลับโดยที่หันหน้าไปด้านหลังเล็กน้อย
“น้าไม่เคยพูดสักครั้งนะว่ามันไม่มีอะไรน่าสงสัย ถ้าใครที่ว่าคนนั้น สิ่งนั้น ที่นั่นมันไม่น่าสงสัยแล้วเขารู้ดีจริง ๆ งั้นเหรอ น้าหินก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงแม้ว่าทางการหลักจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยก็เถอะ แต่น้าเขาก็อยากจะรู้ความลับของป่าแห่งนี้ไม่น้อยไปกว่าเสรีเลยนะ”
อะไรกันนี่ผมเข้าใจผิดไปเองเหรอเนี่ย นี่แล้วน้าพูดออกมาแบบนั้นไม่คิดว่านั่นจะเป็นความลับของน้าหินที่อยากจะปิดบังผมหรือไง ผมคิดอยู่ในใจพลางมองไปที่ใบหน้าของหน้าหินว่าจะรู้สึกยังไงบ้าง แต่ดูเหมือนว่าน้าหินจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมและน้าเมย์คุยกันเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของน้าหินในตอนนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด สายตาจ้องมองไปด้านขวาอยู่ตลอด ผมมองดูแล้วเหมือนกับว่ามีใครกำลังจ้องมองน้าหินจากที่ใดที่หนึ่งเหมือนกัน ตอนนี้เราทั้งสามคนหยุดเดินเพราะน้าหินผมกับน้าเมย์มองดูน้าหินที่กำลังมองบางสิ่งอย่างไม่ลดละสายตาไปไหน ผมว่าน้าหินไม่อยากจะคลาดสายตาจากสิ่งที่เห็นมากกว่า
ผมมองไปทางเดียวกันก็ไม่เห็นมีอะไร ทางด้านขวาที่น้าหินมองไปนั้นมีแต่ต้นไม้รกทึบที่อยู่ห่างจากเราออกไปไม่กี่เมตร และมีช่องขนาดเล็กซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างลำต้นของต้นไม้ขนาดหนากับใบไม้ต่าง ๆนา ๆ สามารถมองทะลุออกไปอีกประมาณห้าสิบเมตรได้แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ขนผมนั้นได้ลุกไปทั้งตัวแล้ว ผมหันกลับไปมองน้าเมย์ น้าเมย์ก็ส่ายหน้า ผมแปลไม่ออกว่าการกระทำนั้นหมายความว่าไม่มีอะไรหรือส่ายหน้าเพราะว่าอย่าทำอะไรเด็ดขาด
ภายในป่าเงียบไปชั่วขณะ ผมนึกถึงคำที่น่าหินเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่ายิ่งเงียบยิ่งอันตราย และยิ่งเงียบยิ่งชวนหลับ หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“นายรู้รึเปล่าว่าชั้นเรียกนายออกมาทำไม ดูนั่น”
เฟ่ยชี้ไปบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือป่าตรงหน้าเรา
“นี่นายรู้งั้นเหรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ผมพูดอย่างตะกุกตะกักเพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
“ชั้นก็บอกไปแล้วนี่ว่าความอันตรายที่จะเกิดขึ้นสำหรับชั้นแล้วไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะงั้นแหละชั้นถึงได้เรียกนายออกมา”
เฟ่ยเงยหน้ามองไปบนฟ้าที่อยู่เหนือผืนป่า ผมไม่รู้จะพูดยังไงต่อดีได้แต่ตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ถ้าว่าเป็นเมฆตอนพายุเข้าผมก็เคยเห็นมาแล้วว่ามันดูน่ากลัวมากขนาดไหน ความเข้มและความหนาของมันมีมากมายนัก แต่ถ้าเทียบกับเมฆที่ผมและเฟ่ยกำลังมองอยู่ตอนนี้ช่างต่างกันลิบลับ


เมฆทั้งหมดที่ล่องลอยดำทึบทมิฬ ยิ่งกว่าคืนที่ไร้พระจันทร์ส่อง ยิ่งกว่าหลุมนรกไหน ๆ มันก่อตัวราวกับยักษ์ที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธา มีกำลังมากยิ่งกว่ากษัตริย์ใด ๆ
“เมฆาทมิฬ”

To be continue

santisook01
11th September 2013, 16:05
ตอนที่ 8 : จุดจบแห่งแสงสว่าง (จบภาค “ผมไม่ยอกตายคนเดียวหรอก” )
เท่าที่ได้รับรู้มาพยากรณ์อากาศของวันนี้คงจะเป็นอีกวันที่ทำนายผิด ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆเล็กน้อย เหมาะแก่การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ช่างน่าขันสิ้นดี ถึงอยากจะแอบหัวเราะออกมาให้อยู่หรอก
ตอนนี้ผมยืนตระหนกพลางกลอกตาไปยังท้องฟ้าไม่สิ ก้อนเมฆมหึมาที่ล่องลอยมาทางผมและเฟ่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม มันห่างจากพวกผมออกไปประมาณกิโลหนึ่งได้
สายฟ้าจำนวนมากเคลื่อนที่ไปมาระหว่างช่องว่างของก้อนเมฆกับก้อนเมฆ มันพร้อมที่จะผ่าลงมาได้ทุกเมื่อ เสียงนั้นดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องไหน ๆ ยิ่งกว่ากระสุนปืนใหญ่จากกระบอกปืนที่กำลังจะแตกเพราะใช้งานเกินขีดจำกัด ฝูงสัตว์หรือฝูงนกที่ควรจะรู้สึกตัวและรีบออกมาตามสัญชาตญาณของมัน กลับพึ่งที่จะเคลื่อนไหวออกมาด้วยความแปลกประหลาด นั่นก็เป็นตัวพิสูจน์ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ฝีมือของธรรมชาติอย่างแน่นอน
ลมทั้งหลายเริ่มก่อตัวขึ้นกลายเป็นพายุ พัดพาเอาทุกสิ่งที่มันพอจะทำได้ ให้ปลิวว่อนไปในอากาศ ทำให้บริเวณโดยรอบตัวผมเหมือนกับเขตเวทมนต์แบบในหนังหรือไม่ก็การ์ตูนอลังการสักเรื่องที่ใช้งบทุ่มทุนใส่เอฟเฟคอย่างมหาศาล
ความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง สิ่งที่ผมควรจะทำในตอนนี้คือตั้งสติ คิดหาสิ่งที่ถูกต้องที่ควรจะทำมากที่สุด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วผมจึงเปิดบาเรียฉุกเฉิน ที่ใช้ป้องกันหมู่บ้านในเหตุที่จำเป็นที่สุดเท่านั้น บาเรียนี้ไม่เคยได้ใช้เลยตั้งแต่ที่ได้สร้างมันขึ้นมา แต่ถ้าหากใช้มันแล้วก็จะไม่สามารถเรียกใช้มันได้อีก นอกจากจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ซึ่งมันก็ต้องใช้กำลังคนและเวลาอยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้การที่จะเป็นบาเรียที่ว่าจึงต้องใช้บุคคลที่ตัดสินใจได้เด็จขาดและถูกต้องในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ซึ่งนั่นก็คือผมและน้าหิน อันที่จริงจะเป็นน้าหินที่เป็นคนควบคุมการทำงานของบาเรียนี้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าหากน้าหินนั้นไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุบางอย่าง จึงได้ถ่ายทอดวิธีปลดเวทบาเรียนนี้ให้ทำงานมายังผม ด้วยเหตุอะไรทำไมถึงเป็นผมก็ยังไม่เข้าอยู่จนถึงทุกวันนี้
ร่ายมนต์เสร็จแล้ว พลันมีคลื่นพลังสีฟ้าก่อตัวขึ้นเป็นโดมล้อมรอบหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ไม่นานมันก็ปกคลุมหมู่บ้านจนหมด ดูดจากความสูงของบาเรียนี้ก็คงจะสูงยิ่งกว่าตึกห้าสิบชั้นซะอีก
“นะ นี่นาย ถึงกับเปิดบาเรียสีฟ้าเลยเหรอ”
เฟ่ยเปล่งคำถามด้วยความตกใจกับสิ่งที่ผมทำไป บรรยากาศรอบ ๆ นั้นมีแต่เสียงของฟ้าผ่าฟ้าร้องและลม จึงต้องใช้เสียงนิดหน่อยถ้าหากว่าจะต้องคุยกัน
“มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ มันคือทางเดียวที่จะปกป้องหมู่บ้านจากและผู้คนจากเมฆก้อนนี้ได้ แล้วนายจะให้ชั้นทำยังไง”
ผมตะโกนกลับออกไป
“แต่นายจะเข้าไม่ได้ และคนที่อยู่ด้านในก็จะออกเข้ามาช่วยไม่ได้ด้วยนะ มันดีแล้วงั้นเหรอ”
นี่เจ้าหมอนี่รู้คุณสมบัติของบาเรียสีฟ้าด้วยงั้นเหรอ หรือว่ามันจะเป็นแม่ทัพจริง ๆ ไม่หรอกน่า
“ชั้นคิดดีที่สุดแล้ว ชั้นไม่คิดเสียดายชีวิตเหมือนคนอย่างนายหรอกนะ”
“ไม่ซักหน่อย ชั้นรู้ดีว่าคนที่เปิดบาเรียนั่นจะต้องเป็นคนยังไง คราวนี้ชั้นก็ได้ข้อมูลที่ดีจากตัวนายข้อหนึ่งแล้วล่ะ”
เศษกิ่งไม้ ใบไม้ปลิวว่อนระหว่างผมกับเฟ่ยที่เดินเข้าใกล้กันทีละน้อยจนห่างกันได้สองเมตร
พายุใหญ่อันรุนแรงโหมกระหน่ำเข้ามาหาพวกเราทั้งสอง ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องความเป็นไปเป็นมาของเมฆทมิฬแล้วล่ะก็ มันก็จะคงไม่ทันการณ์
ขอบอกไว้คร่าว ๆ เลยก็แล้วกัน เมฆาทมิฬคือสัญญาณการเคลื่อนทัพของเหล่าปีศาจ อาจจะแปลกประหลาดไปหน่อย แต่มันก็เป็นความจริง ก็เหมือนกับมนุษย์เราที่จะใช้กลองหรือไม่ก็แตรต่าง ๆ เป็นสัญญาณในการจัดทัพหรือเคลื่อนขบวนทัพในสมัยก่อนนั่นแหละ
ง่ายมาก ถ้าอยากจะรู้ว่าเป้าหมายของพวกปีศาจคือที่ไหน ก็แค่ตามก้อนเมฆไปก็เท่านั้น เพียงแต่ว่า ความร้ายกาจความรุนแรงและพลังที่พวกปีศาจมี มันจะมากกว่าปกติ ถ้าหากพวกมันยังอยู่ภายใต้กลุ่มก้อนเมฆสีดำหนาทึบอย่างนี้
เกลือจิ้มเกลือ นั่นคือคำคมที่แม่ทัพใหญ่มักใช้บ่อยเมื่อเจอกับเมฆาทมิฬ แต่- ดูตอนนี้สิ แม้แต่เกลือก็ยังไม่มีเลย มีก็แค่ผมกับเฟ่ยสองคนเท่านั้น นี่มันรอความตายชัด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากถึงเรื่องความเป็นความตายอะไรนั่นนักหรอก
ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครกำลังมุ่งตรงมายังผมและเฟ่ย
ผมหันกลับไปดู ก็พบว่าเป็นเต่ารุ่นน้องที่เก่งกาจเวททำลายล้าง ฝนนักเรียนอันดับหนึ่งของชั้นปีของโรงเรียนเวทมนต์ที่ที่ผมเคยเรียน น้าเทพนักฆ่าปีศาจมือฉมัง ไซเด็กลูกครึ่งที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าและพูดคุยกันนัก รู้ก็แค่ว่าเป็นคนที่หาตัวจับได้ยากในประวัติศาสตร์นักเวท ด้านหลังก็มีพวกนักเวทอีกห้าหกคนที่ผมคุ้นหน้าอยู่ไม่น้อยวิ่งเข้ามาอย่างไม่หยุด หา? พวกนี้มาทำอะไรกัน ไม่หรอก ช่วยได้มากเลยล่ะ
“ว่าไงพี่”
เต่าที่วิ่งมาถึงก่อนถึงกับเหนื่อยหอบ
“ก็เห็น ๆ กันอยู่ แล้วรู้ได้ไงกัน?”
ผมถามออกไปด้วยความที่อดสงสัยไม่ได้
“ก็ “อควาบาเรีย” ของหมู่บ้านพี่ถูกเปิดใช้น่ะสิ”
อ้อ นึกออกแล้ว บาเรียสีฟ้าที่ผมเปิดมันชื่อนี้นี่เอง ช่วยไว้อีกแล้วนะเต่า ฮ้า ฮ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ฮา (ยังจะมาหัวเราะอีก)
“หืม มันส่งสัญญาณหากันงั้นเหรอ”
“ใช่ครับ อันที่จริงผมก็หวั่น ๆ อยู่ว่าจะมาไม่ทัน บ้านของพวกเราก็อยู่ไกล ๆ กันทั้งนั้น”
เต่าที่เริ่มคืนสู่สภาพหายเหนื่อยเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีดำทึบ
“หนักเอาการณ์เลยนะครับ”
เขากล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียด
“ยังไง ๆ ก็ต้องถึงมือชั้นอยู่ดียังงั้นสินะ”
ฝนที่พึ่งมาถึงพูดออกมา แต่ ไม่มีเวลามาสนในแล้ว!
ด้านหน้าที่เป็นป่ารกทึบเริ่มมีการสั่นไหว พื้นดินสั่นสะเทือน จนรู้สึกว่าอาจจะเป็นแผ่นดินไหว
ตุบ ตุบ ตุบ
ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจของผมไปตรงจังหวะการย่ำเท้าของเจ้ายักษ์เขียวนั่นรึเปล่า ผมสูดลมเข้าปอดอย่างสุดกำลัง สมองเริ่มสั่งการให้ลั่งอดรินาลีนออกมา ขนลุกไปทั่ว มือสั่นเล็กน้อย กล้ามเนื้อกระตุกเพราะความตื่นเต้น ใครเห็นก็คงจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมบ้าไปแล้ว พูดให้ถูก ตอนนี้ผมคึกสุด ๆ เลยล่ะ
“สองมือยกขึ้นมา ก้าวขามาพร้อมกัน ส่งเสียงฮาลั่นฟ้า บอกว่าข้ามาแล้ว”
เฟ่ยพูดสิ่งที่เหมือนกับกลอนหรือกวีบางอย่างออกมา ผมรู้สึกดีสุด ๆ ที่เห็นเฟ่ยในท่าทางที่ไม่ต่างไปจากผมเลยแม้แต่น้อย
ราหน้าออกมาให้ผมได้ดูตัวเรื่อย ๆ สามสิบเซนติเมตร หนึ่งร้อยเซนติเมตร สองเมตร สามเมตรครึ่ง สี่เมตรกว่า ๆ ห้าเมตรโผล่ออกมา สิบเมตรทุ่มพื้นดิน ผมไม่ได้จะแต่งกลอนเหมือนเฟ่ยหรือวัดผ้าอะไรหรอก เพียงแค่คิดในสิ่งที่เห็นก็เท่านั้น
ตู้ม!!!!
แผ่นดินสั่นคลอนไปทั่ว
“ไม่ไหว ไม่ ไหว ไม่ไหว ไม่ไหว ไม่ ไม่ แบบนี้ไม่ไหวหรอก”
เหมือนมีชายคนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริกไม่หยุด
“เออะ อะไรกันนักเนี่ย ไม่มีที่ให้เจ้าได้หลบได้หนีหรอก”
วิธีการพูดแบบคนโบราณแบบนี้มีอยู่คนเดียวก็คือน้าเทพที่หันไปตะคอกใส่ชายคนหนึ่ง เหมือนจะเป็นลูกน้องซะมากกว่า
พวกมันโผล่ออกมาเรื่อย ๆ โรฮานดิน ซอยคิง ปีศาจไฟโคลน ปีศาจแมกมา อสูรปัฏพี กุหลาบไร้หนาม กรวดสีเงิน อัลโต วอร์ฮอร์ด สปินไฟเออร์ ฯลฯ ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างชนิดไปเรื่อย แต่ที่ดู ๆ ไปก็เห็นเพียงแต่ธาตุดินกับไฟเท่านั้น ส่วนตัวแปลก ๆ ที่ผมไม่เคยเห็นและไม่รู้ว่าเป็นธาตุอะไรก็เห็นเพียงแค่สองสามตัวเท่านั้น
โดยเฉพาะยักษ์เขียวที่เมื่อครู่มันได้ทุบพื้น ผมไม่รู้ว่ามันทุบไปเพื่ออะไร และก็ไม่รู้ชื่อแซ่มันด้วย ขอเรียกคำแทนมันว่าฮัล์คก็แล้วกัน
“อะ แฮ่ม ในฐานะที่ข้าอาวุโสที่สุด และก็เคยเป็นทหารผ่านศึกมาก่อน ข้าก็จะเป็นหัวหน้าคอยจัดการเอง”
น้าเทพเดินไปด้านหน้าสุด พูดด้วยวาจาใหญ่โตแต่น่าเชื่อถือ
“ไม่ล่ะ แบบนั้นมันก็เข้าบ้านก่อนพอดี”
ฝนพูดตัดบทน้าเทพ เธอเดินไปด้านหน้าสุด จากนั้นก็ร่ายเวทกำแพงน้ำแข็ง
“ประกาศสงครามของจริงแล้วสินะ”
ไซพูดขึ้นด้วยริมฝีปากบาง ๆ
ครืน ๆ
กำแพงน้ำแข็งสีน้ำเงินฟ้าใสก่อตัวขึ้นราวกับว่ามันถูกดันขึ้นมาจากใต้พื้นดิน สุดยอดจริง ๆ
พรุบ พรุบ พรุบ
กระสุนแรงดันลมถูกยิงขึ้นฟ้ามุ่งไปยังด้านหน้าคือด้านที่พวกผมที่อยู่ประมาณสิบกว่าคนได้กำลังจ้องมองอยู่
คนที่ยิงคือหนึ่งในเพื่อนที่ผมรู้จัก หลังจากนั้นกระสุนเหล็ก กระสุนแรงดันน้ำ กระสุนทุเรียน เอ๋? กระสุนทุเรียนเหรอ ผมหันกลับไปมองหาคนที่ยิงมันออกมา
“ไม่ต้องงง มันเป็นระเบิด”
คนที่ยิงมันออกไปคือพรสุข เพื่อนที่ไม่ค่อยจะสนิทกันซักเท่าไหร่
พรึบ!!!!
ลมพายุพัดมาราวกับจะตัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ปะทะเข้ากับกำแพงเหล็กของฝนเข้าอย่างจัง มันค่อย ๆ ร้าว เกล็ดน้ำแข้งแตกและร่วงลงมา
เพล้ง!!
ไม่ใช่กระจกซักหน่อย ทำไมถึงได้มีเสียงนี้กันนะ กำแพงสูงห้าเมตรพังลงในทันใด ปรากฏเป็นปีศาจจำนวนมหาศาล สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้พวกผมอยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะดูจะวิเคราะห์จะไตร่ตรองหาเหตุผลทุกอย่าง ก็ไม่เห็นว่าจะมีทางไหนที่พวกผมจะชนะพวกมันได้เลย เป็นไปได้น้อยมากที่จะรอดกันหมดทุกคน ดีไม่ดีอาจจะต้องมาตายที่นี่หมดก็เป็นได้
ผมมองหน้าแต่ละคน ความเครียด ความกังวล ความกลัว มันถูกแสดงออกมาให้ได้เห็นอย่างไม่ปิดเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดหรอกนะ เป็นเกียตริอย่างสูงที่ได้ต่อสู้ร่วมกับเด็ก ๆ อย่างพวกเจ้า”
น้าเทพพูดขณะที่ยังหันหลังให้ทุกคน
หืม ใช่สิ ผมยังไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ชวนจิตหลุดเท่านี้มาก่อน นี้มันสงคราม นี้มันสงคราม ใจหลักผมกลับคิดว่ามันเป็นเพียงแค่การต่อสู้ของนักเวทกับเหล่าปีศาจจำนวนมากเท่านั้น แต่นี้มันผิดไป พวกมีมากมายนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าถ้าเทียบจำนวนกันแล้วล่ะก็ มันคือหนึ่งในพันเลยล่ะ
น่าเสียดายที่ผมพูดไม่ได้ว่า “คุณมีกองทัพ แต่พวกผมมียักษ์เขียว” เพราะเจ้านั่นอยู่กับพวกมัน หลายตัวด้วย
ให้ตายสิ เห็นงี้คงต้องเอาจริงให้แล้วสิเนี่ย
ผมบิดตัวไปมา หมุนไหล่ซ้ายขวา คอ เอว หัวเข้า สะบัดข้อมือ ถ้าได้วิ่งจ็อกกิ่งสักหน่อยก็คงดี
น้าเทพที่อยู่ด้านหน้าสุดขวักมือเรียกลูกน้องสามคนที่อยู่ด้านหลัง ชายทั้งสามเดินเข้าไปหา
แต่ก็ไม่เห็นทำอะไร
ในตอนนี้รอบข้างพวกผมได้มืดสนิทแล้ว มองไม่เห็นแสงใด ๆ ลมก็ยังคงพัดโหมกระหน่ำอย่างไม่ขาดสาย
พวกมันจะมีหัวหน้าหรือแม่ทัพละเปล่านะ อะเริ่มแล้ว
ผมหายใจฟุดฟิดเตรียมตัวรับศึกที่ไม่ได้นัดหมายจากศัตรูอันเก่งกาจจำนวนมหาศาล
เสียงโห่ร้องของพวกมันทำให้ขวัญเสียอย่างมากเลยทีเดียว กลับกัน เสียงนั้นมันสร้างแรงฮึกเหิมให้กับพวกมันเอง ทำให้พวกมันยิ่งเคลื่อนที่เร็ว และเต็มไปด้วยความกระหายในการที่จะฆ่าพวกผมมาก
ทั้งเสียงฟ้าผ่าในก้อนเมฆ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของพวกปีศาจ เสียงพายุที่พัดเอาพัดเอา เสริมอีกด้วยเสียงกรีดร้องของพวกอสูรปีศาจ ทำให้บริเวณโดยรอบยิ่งกว่านรกซะอีก
หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้น ดัวรัวจนรู้สึกได้ชัด พวกมันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทางผมไม่มีแผนใด ๆ การทำงานเป็นทีมก็ดูเหมือนว่าจะแยกทีมมากกว่า ไม่มีการจัดขบวนทัพ ไม่มีการส่งสัญญาณจู่โจม มีเพียงแค่สมองที่พร้อมจะสั่งการให้ฉี่ไม่ราดเท่านั้น
ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม
เสียงคล้ายกับปืนใหญ่ดังรัวขึ้น ผมปิดหูแทบไม่ทัน พอหันไปทางต้นเสียงก็เห็นเต่ายืนจังก้าร่ายเวท “แบล็คกันเตอร์” อยู่ โหดจริง ๆ ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราต้องชนะแน่
กระสุนเวทจากแบล็คกันเตอร์ของเต่าพุ่งลงพื้นและระเบิดใส่เหล่าปีศาจให้แตกกระจายไม่เหลือเศษส่วนอย่างต่ำเลยแม้แต่ตัวเดียว
มีเหลือรอดก็เพียงแค่สองสามตัวที่เป็นพวกหนังเกราะแข็งหนา ๆ เท่านั้น
สิ่งที่ผมได้เห็นตอนนี้มันช่างอลังการตระการตายิ่งกว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผมเคยดู แต่เอ๋? ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็สู้กับเขาไม่ได้สิ
เมื่อผมมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าทุกคนจับจองพื้นที่ไปหมดลานกว้างแล้ว มิหนำซ้ำ เหมือนกับตั้งใจจะล้อมผมไว้ทำยังกับว่าเป็นกองหลังป้องกันประตู
แนวการรบแบบนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ใจผมเต้นรัวไม่หยุด เมื่อได้มองดูเหล่านักเวทที่เรียกได้ว่าเก่งที่สุดในภูมิภาคนี้กระหน่ำทำลายศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ยั้งมือแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกแปลกยังไงชอบกล
“อยู่เฉย ๆ ไว้เสรี พวกเราจัดการเอง” พรศักดิ์เอ่ยขณะที่ยังยิงกระสุนความดันลมไม่หยุด
“ไม่ไหว ยังไง ๆ ก็ไม่ไหว กำลังของพวกเรามีเพียงแค่นี้ไม่พออยู่แล้ว คิด ๆ ไปก็ไม่น่าให้นายออกมาหาชั้นเลย” เฟ่ยหันมาทางผม สีหน้าเขาดูจริงจังมาก
“หา? ชั้นเหรอ อ้าวแล้ว-” ไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบพลันมีเสียงคำรามออกมา
อัวววว~!!!!!!
เสียงแผดร้องของปีศาจขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นทำให้ทุกคนพากันนิ่งงันไปชั่วครู่
“หนักเกินไปแล้ว!” นักเวทคนหนึ่งตะโกนออกมา
“ไม่จริงน่า”
“เป็นไปไม่ได้ อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเถอะ”
“ทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่ถูกผนึกไปแล้วแท้ ๆ” น้าเทพเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ชุ่มโชกใบด้วยเม็ดเหงื่อจำนวนมาก
“อะ- อะไรกันครับ” ผมที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับเขาโพล่งถามออกไป แต่กลับไม่มีใครสนและคิดที่จะตอบผมเลยสักคน
เสียงนั้นทำให้พวกปีศาจฮึกเหิมได้อย่างประหลาด พวกมันเคลื่อนที่เร็วขึ้น พวกผมสาดพลังเวทที่ดีที่สุดใส่พวกมันแต่ก็ไม่อาจรับมือจำนวนมีมากมายมหาศาลยิ่งกว่าน้ำทะเลในมหาสุมทรหลายร้อยเท่า
กองทัพปีศาจทำให้พวกเราต้องถอยร่นไปเรื่อย ไม่อาจที่จะต่อกรกับพวกมันได้นานเท่าที่ควร แสงหอบเหนื่อยของแต่ละคนดังแรงมากขึ้น ผมที่อยู่ตรงกลางรู้สึกละอายใจเป็นที่สุดเมื่อไม่อาจทำอะไรกับเขาได้
เมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงขอพื้นที่ว่างบ้างแต่ เต่าส่ายหน้าและขวางทางผมไว้ อะไรกัน...
“ขอบอกสิ่งที่ผมยังไม่ได้บอกพี่เสรีอย่างหนึ่งนะครับ ภารกิจของพวกเราทุกคนในตอนนี้คือ ปกป้องพี่เสรี ไม่ใช่ปกป้องหมู่บ้าน” เมื่อพูดเสร็จเต่าก็หันไปร่ายเวทต่อ
ผมที่ได้ยินมาแบบนั้นถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้และจับความของเรื่องราวทั้งหมดมารวมกันผมก็ถึงกับเข่าอ่อนไปในทันที นี่ผมเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงต้องปกป้องกันด้วย ล้อเล่นกันใช่ไหม ผมกะจะถามออกไปแบบนั้นแต่
ฉึก!
“ศักดิ์!!!!” น้าเทพตะโกนหาศักดิ์หนึ่งในลูกน้องของเขา ที่โดนปีศาจกิ่งไม้แห้ง ใช้แขนของมันจ้วงเข้าที่หน้าอก ศักดิ์ล้มลง และตายในทันที
“บ้าเอ้ย!-” ไม่ทันที่น้าเทพจะได้แก้แค้น พลันมีโทรลยักษ์ตัวสูงกว่ายี่สิบเมตร ตบเขาด้วยแขนขนาดใหญ่ของมัน ร่างของน้าเทพแหลกเหลวต่อหน้าต่อตาของผม หลังจากนั้นมันก็หันมาเหยียบชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากน้าหินเท่าไหร่
ตูม!!!
แรงสั่งสะเทือนจากการกระทืบของโทรลยักษ์ทำให้พวกเราทั้งหมดต้องกระเด็นไปคนละทิศละทาง แต่ก็ใช้เวทช่วยป้องกันไว้ได้ทันท่วงทีทุกคน
ตูม!!!
เสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงของก้อนหินขนาดมหึมา ตกลงใส่ฝนที่อยู่ทางด้านซ้ายของผมห่างกันอยู่พอควร เมื่อนั้นแล้วผมก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวหรือร่างของใครเลย ณ จุดนั้น
ใจของผมทรุดฮวบ ไม่คิดว่ามันจะต้องมาเป็นแบบนี้
เท่าที่ดูตอนนี้ก็เหลืออยู่หกคน
ฉึก ฉึก ฉึกๆๆๆๆๆ!!!!
คันศรจำนวนมหาศาลปักเข้าที่ร่างของพรสุข เลือดกระเซ็นทะลักออกมาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ไม่นานเขาก็ต้องซบลงที่พื้นดิน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงช่วงพริบตา มันเร็วมาก ถ้าปรกติผมก็จะพอตั้งตัวต่อกรกลับไปได้ แต่คราวนี้มันมีภาพที่ทำให้ผมต้องจิตสะเทือนสะท้าน หลุดลอยออกไปและพร้อมได้ทุดเมื่อที่จะสลาย นั่น จึงทำให้ผมคนนี้ต้องมาเจอกับชะตากรรมครั้งสุดท้าย ผมใช้พลังเวททั้งหมดทั้งกายสร้างโล่แห่งเทพระดับสูงสุด ขึ้นล้อมรอบกายทุกคนที่เหลืออยู่ในทันใด มันทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆถึงกับต้องตะลึง เพราะเวทตัวนี้เป็นเวทในตำนาน ไม่เคยปรากฏการใช้งานหรือมีข้อมูลว่ามีผู้ใช้เวทนี้ได้เลยสักนิด
แต่ไม่ได้ผล พลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังระดับเทพของผม พุ่งเข้าทำลายเกราะในบันดล เกราะใหญ่สีทองแตกกระจายไม่มีชี้นดี พร้อมกับความหวังของพวกผมที่พังทลายลงไปพร้อม ๆ กัน
ร่างที่ 5 ค่อย ๆ สละการทรงตัวทั้งชีวิตและร่วงลงไปกองกับพื้น นัยน์ตาของผมที่พอมองเห็นอยู่ไม่ห่างเท่าใดนักกับซากศพที่นอนจมกองเลือดทั้ง 5 ร่างนั้น แข็งราวกับก้อนกรวดของแม่น้ำ และอีก 2 ร่างที่ยังยืนต่อสู้ปางตายข้าง ๆ ผมก็กำลังหมดแรงไปเรื่อย ๆ ศัตรูที่ประเดประดังเข้ามาทั้งแปดทิศไม่เปิดช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว พวกมันกรูกันเข้าดั่งฝนห่าใหญ่พร้อมกับลมพายุรุนแรงที่พร้อมจะกลืนกินและทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ด้วยความกระหายอย่างขีดสุดที่จะเอาชีวิตของพวกเราไป ความหวัง ความฝัน ความกล้า และความเชื่อของผมได้กลายเป็นศูนย์ สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย ความกลัว ความสยอง และความมืดมิดเต็มไปหมดเหมือนลูกโป่งที่ถูกใส่น้ำเข้าไป เพียงแต่รอเวลาให้เต็มและทำลายมันเท่านั้น แต่เบื้องลึกที่สุดของจิตใจผมยังมีแสงสว่างอันน้อยนิดล่องลองอยู่ แสงดวงเล็กนั้นทำให้ผมรู้ว่าถึงแม้ความมืดมิดจะมากแค่ไหนถ้ายังมีคนอย่างพวกเราอยู่ก็ย่อมสว่างเจิดจรัสอย่างแน่แท้


ติดตามต่อในภาคสอง