PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Boker มหาคนไม่เคยตาย



santisook01
2nd June 2013, 17:05
เอาให้ตรงประเด็น เรื่องนี้เป็นแนวต่อสู้ ไซไฟ สยองขวัญ เอาตัวรอด แฟนตาซีเล็กน้อย และรักแบบต่าง ๆ คือผมจะเอาให้มันได้ทุกอารมณ์ แต่ที่หลัก เลยก็คือ ต่อสู้กับเอาตัวรอด

http://upic.me/i/8r/boker.jpg (http://upic.me/show/45316670)
http://upic.me/i/x1/e8kwr.jpg (http://upic.me/show/45316689)

http://upic.me/i/v4/snow_day_by_tamberella-d603j5w.jpg (http://upic.me/show/46755577)
Snow day
by tamberella


ชีวิตของชายหนุ่มชื่อว่าเทล ไม่เคยที่จะรุ่งเรื่องมีความสุขเลยสักครั้ง แต่เขากลับต้องได้มาพบกับเรื่องราวไม่น่าเชื่อเมื่อเมืองที่เขาอาศัยอยู่คือเมืองทดลองของพวกนักวิจัยดัดแปลงพันธุกรรมสิ่งมีชีวิต โลกที่เขาเคยอยู่กลับกลายเป็นมืดมน มันถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีทางการทหาร สิ่งมีชีวิตวิปริตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว สิ่งที่หลักทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ รวบรวมไว้ใกล้ตัวเขามาตลอด

ถ้าจะอ่านก็กด Ctrl + f แล้วพิมพ์ตอนไปเลยนะครับ และก็นี่แบบโหลดไฟล์ PDF ครับ

ตอนที่ 1 เขาเป็นเพียงแค่มนุษย์ (http://download1979.mediafire.com/ei3vd6bey6eg/mjs23qxa7q0wzov/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+1+%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C.pdf)

ตอนที่ 2 เทล (http://download1327.mediafire.com/a6ali9ciud3g/412hq8zd2a8q4eu/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+2+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A5.pdf)

ตอนที่ 3 Black shadow (http://download844.mediafire.com/fyiemcpu0vbg/wo5rfub4ujqw09k/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+3+Black+shadow.pdf)

ตอนที่ 4 Black shadow 2 (http://download855.mediafire.com/33ph52yi0vag/x9jb3ox9co5oox0/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+4+Black+shadow+2.pdf)

ตอนที่ 5 คู่หู (http://download1504.mediafire.com/3azm9fm8c4hg/d4aoj0fc15d2d4l/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+5+%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B9.pdf)

ตอนที่ 6 เห็นท่าไม่ดี (http://download1472.mediafire.com/faxx9exgadgg/y5533a097ipy0fk/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+6+%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5.pdf)

ตอนที่ 7 คู่หู 2 (http://download848.mediafire.com/4u8hbido0f8g/ulqsb9ayc33uqam/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+7+%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B9+2.pdf)

ตอนที่ 8 เบื้องหลัง (http://download1585.mediafire.com/fkauta05oazg/7w2rtby6y672pqm/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+8+%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87.pdf)

ตอนที่ 9 เข้ามหาลัย (http://download1477.mediafire.com/8o5xdf0e1hxg/b9nelkcgpe9y939/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+9+%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2.pdf)

ตอนที่ 10 The third of Black Day (http://download1072.mediafire.com/msjnyw4mqm1g/and602kmaa7p4ty/%25u0E15%25u0E2D%25u0E19%25u0E17%25u0E35%25u0E48%252010%2520The%2520Third%2520of%2520Black%2520Day.pdf)



พูดคุยสอบถามนักเขียนได้ที่นี่ครับ (https://www.facebook.com/pages/Silencer/615534385157504)


http://youtu.be/PJFEYTR6e74

santisook01
9th June 2013, 16:24
ตอนที่ 1 : เขาเป็นเพียงแค่มนุษย์

เสียงหายใจแหบแห้งถี่รัวดังออกมาจากชายหนุ่ม ที่กำลังพยายามทำให้มันสงบลงและเงียบให้เร็วที่สุด เขายืนพิงอยู่ด้านหนึ่งของผนังอาคารเรียนสีขาวหม่นบนชั้นสี่ ในมุมมืดที่แสงอ่อนจากดวงอาทิตย์ในยามพลบค่ำส่องไม่ถึง

ด้านหลังของเขาเป็นบันไดขึ้นลงอาคารเรียนซึ่งเขาพึ่งขึ้นมาด้วยความเร่งรีบสุดขีด แต่กลับไม่มีเสียงของการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

ตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว การหายใจก็กลับมาเป็นปกติ ยังมีอีกอย่างที่เขาต้องควบคุมให้ได้นั่นก็คือสติที่ยังโลดแล่นไปมาไม่หยุด จากที่เกร็งมาตลอด ตอนนี้ก็คลายตัวและอยู่ในท่าย่อตัว พร้อมที่จะออกวิ่งในทันที มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นมากขึ้น กลายเป็นหมัดคู่ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

เขาพลันนึกเรื่องช้ำใจเจ็บแค้นที่พึ่งผ่านมาเมื่อเดือนก่อนนี้ สิ่งนั้นมันทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์มาตลอด แต่ในขณะที่เขากำลังจะปรับเปลี่ยนชีวิตและตัวตนของเขาให้ดีขึ้น ก็กลับมาเจอกับเรื่องพรรค์นี้อีกจนได้

สูบอากาศที่มีเข้าไปให้เต็มปอด เบิกตาทั้งคู่ออกให้เต็มที่ พุ่งทะยานออกไปยังเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปห้าสิบเมตรโดยไม่ลังเล ในขณะที่ศัตรูกำลังตื่นตระหนกอยู่ จงส่งหมัดหน้าออก
ไปที่คางอย่างรวดเร็ว ส่งหมัดหลังตรงไปยังซี่โครงอันเปราะบาง จากนั้นเล่นที่จุดอ่อนสำคัญที่ผู้ชายมีอย่างรุนแรง

ร่วงไปหนึ่ง

ดึงพลังและสติกลับมาอีกครั้ง ศัตรูคนที่สองมีอาวุธแหลมคมแต่สั้น ใช้ขาอันแข็งแกร่งให้เป็นประโยชน์ เมื่อนั้นแล้วจงใช้ขาอีกข้างหมุนเตะที่ต้นคอเสริมความรุนแรงด้วยการเทน้ำหนักไปยังจุดนั้น

ร่วงไปสอง

หากเจอการจู่โจมในระยะประชั้นชิด เป็นไปได้ยากที่จะป้องกันหรือหลบได้ทันที และถ้าไม่มีสัญชาตญาณนักล่าภายในตัวแล้วล่ะก็ จะไม่สามารถป้องกันหรือสวนกลับไปได้ในทันทีด้วยอวัยวะที่มีอยู่

ร่วงไปสาม

ศัตรูที่มีอาวุธเป็นท่อนไม้จากโต๊ะไม้ของโรงเรียน สามคนโจมตีเข้าพร้อมกัน ป้องกันมันด้วยแขนที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า แต่แรงของคนเพียงคนเดียวย่อมไม่สามารถต้านทานได้ นั่นทำให้ผู้รับเสียเปรียบในทันที มาถึงจุดนี้จงยึดมั่นกับจิตและพลังอันแรงกล้าของตนเองแล้วปลดปล่อยมันออกมาซะ

อ้ากกก !!!

ร่วงไปหก

“ให้ตายสิ! ทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้ตลอดเลยฟะ!”

สายตาอันแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เมื่อมองไปยังร่างของหญิงสาวลูกครึ่งอันบอบบางซึ่งนอนสลบอยู่ตรงหน้า เขาแบกเธอขึ้นบ่าราวกับว่าเธอเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

การจู่โจมและป้องกันของเขาในครั้งนี้ ก็ยังดูไม่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าเขาได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้นี้มาจากใครซักคน

“นั่นสินะ สู้ไม่ถนัดเอาซะเลย แต่ก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา ช่วยได้มากทีเดียว ว่าไหม...แอล”

เขาพูดพลางยิ้มพลาง มองไปที่ใบหน้าอันนุ่มนวลขาว ละมุนละไมของเธอ

เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้งน้ำตาที่พยายามกลั้นมาค่อย ๆ หลั่งไหลออกมาทีละน้อยมันไหลออกมาโดยไม่สนบุคคลรอบข้างที่เดินสวนกันบนท้องถนน เขาสัญญากับตัวเองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาต้องหลั่งน้ำตา

โดยไม่โบกหรือขั้นรถโดยสารประจำทางสักคัน เขามุ่งตรงไปยังบ้านของเธอที่อยู่ห่างจากโรงเรียนห้ากิโลได้

เขานำเธอไปถึงบ้านด้วยความปลอดภัย เธออาศัยอยู่กับน้องชายที่อยู่ ม.ต้น ตาและยายที่อยู่ติดบ้านตลอดเวลา จึงไม่มีใครไม่รู้ว่าหลานสาวของเขาไปทำอะไรมา ด้วยท่าทางที่ยังตื่นไม่เต็ม เธอจึงได้แค่ส่งรอยยิ้มให้ทุกคนเท่านั้น

ไม่จำเป็นต้องถึงมือหมอหรอกเพราะเธอแค่สลบไปก็เท่านั้นเอง เขาอยู่ที่บ้านเธอนานกว่าชั่วโมงเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้คนที่บ้านได้รับรู้ ก็แค่บางส่วนที่ควรจะรู้ ในขณะที่เธอยังนอนอยู่ในห้องของเธอ

เขาปฏิเสธสำหรับการอยู่ทานอาหารค่ำและค้างคืนอยู่ที่บ้านเธอ บอกลาและเดินกลับบ้านของเขาทันที บ้านทั้งสองคนไม่อยู่ห่างกันมากนัก เดินแค่สิบห้านาทีก็ถึง

ถึงแม้ว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นแต่ชุดนักเรียนของเขาก็ยังดูปกติดีหมดทุกอย่าง ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หรือรอยเปื้อนจากเศษฝุ่น เขาเดินซอกแซกไปตามถนนที่ไม่เล็กมากนัก รอบ ๆ ก็เป็นตึกราบ้านช่อง สูงตั้งแต่สามชั้นขึ้นไปเรียงรายกันอยู่

เขาเปิดรั้วเล็กพอดีคนเดินเข้าไปด้วยความเหนื่อยล้า มองไปก็มืดมิดไปหมด ไม่มีใครอยู่เลยสักคน ถึงบ้านจะใหญ่พอตัวก็ตาม เป็นแบบนี้มาเดือนกว่าแล้ว เขาไม่สามารถสวัสดีใครเมื่อกลับมาถึงบ้านหรือ ไม่มีใครที่จะคอยถามว่าวันนี้มีการบ้านไหม ไม่มีคนที่คอยมาซักไซร้ถามโน่นถามนี่ ที่เขาเคยคิดว่ามันรำคาญ

“ให้ตายสิ พลาดงานพาร์ททามจนได้ เอาเถอะโทรไปบอกเขาก็คงไม่เป็นไรหรอก... มั้งนะ”

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาทำเหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นบ่อยจนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขาซะแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ตัวดีว่าอะไรที่เขาควรจะทำ เพื่อความถูกต้องและเพื่อเธอคนนั้น

ไฟในห้องถูกเปิดขึ้น เขาทิ้งทุกอย่างที่มีลงพื้น โผร่างลงไปยังเตียงนอนสีขาวม่นอย่างเมื่อยหล้าและหลับไปโดยไม่รู้ตัว

‘นายไม่ได้อยู่คนเดียว นายไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนอีกมากมายต้องการนายอยู่’

เสียงอันไพเราะดั่งเสียงขับขานแห่งสวรรค์ของหญิงสาวพูดขึ้นในความฝันของเขา

เขาตื่นขึ้นมากลางดึกทั้งที่ไฟในห้องยังเปิดอยู่ มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใคร

“ฝันไปเหรอเนี่ย... อะไรกัน เหมือนจริงชะมัด ว่าแต่ช่วงนี้ก็ฝันแปลกขึ้นทุกทีตลอดเลยนี่นา ฮ้าว~ ห้วงนอนชะมัด อะ! นี่ดึกมากขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”

ตุบ !!!

เขาสะดุ้งด้วยความตกใจทันทีที่มีเสียงของสิ่งของบางอย่างที่หนัก ตกลงพื้นชั้นแรกของบ้านเขา

“เฮ้ย ค่อย ๆ หน่อยดิวะ”

เสียงกระซิบของชายคนหนึ่งเปล่งออกมาด้วยความตกใจเช่นกันแต่มันแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน... ขโมยงั้นเหรอ เขาคิดในใจ

“หึ หึ ๆ เจ้าขโมยกระจอก เข้ามาฆ่าตัวตายชัด ๆ หึ หึ ๆ”

เขาพยายามหัวเราะให้เสียงค่อยที่สุด เขาเดินไปหยิบไฟฉายขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะคอมบวกกับโต๊ะหนังสืออันรกรุงรังในที่เดียวกัน แล้วเดินออกจากห้องนอนโดยไม่ปิดไฟ มองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้ว เขาก็ค่อย ๆ แง้มตัวออกมาจากห้องอย่างเร็วและเงียบ นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้วก็ได้

เขาย่อตัวลงและย่องไปบนพื้นไม้อัดของชั้นสองอย่างสัตว์ตระกูลแมว มืออีกข้างก็คอยคลำผนังด้านข้างเพื่อไม่ให้ตัวเองเดินไปชน ซักพักสายตาก็เริ่มชินกับความมืดและมองเห็นได้ดีขึ้น

ลงบันไดไปทีละขั้น จากตรงนี้พวกโจรจะไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังลงมา เพราะบันไดกับจุดที่เขาได้ยินนั้นมีผนังปูนกั้นอยู่

เขาหมอบลงไปบนพื้นหินอ่อนที่ปูบนพื้นบ้านชั้นแรก อูย~ เย็นชะมัด เขาพูดในใจ

เขาค่อย ๆ คลานไปยังห้องโถงใหญ่ หรือห้องรับแขก เหมือนทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี ด้วยความมืดที่ยังคงอยู่ ทำให้เขารอดหลุดจากสายตาของพวกโจรได้ เท่าที่เห็นอยู่ก็มีอยู่สองคน ความสูงก็สูงพอ ๆ กัน น่าจะเป็นเพื่อนกันมา ทั้งสองสวมไอ้โม่งปกปิดใบหน้าทั้งคู่ ประตูบ้านที่อยู่ด้านหน้านั้นถูกเปิดออกกว้าง

เขานอนนิ่งอยู่กับที่ที่ด้านหลังของโซฟาไม่ไกลจากโจรทั้งสอง และคอยสังเกตดูว่าชายทั้งสองนั้นจะทำอะไรต่อไป

มีอยู่คนหนึ่งที่เดินมุ่งมาทางเขา ถ้าปกติแล้วคนทั่วไปต้องกลัวขวัญหนีดีฝ่อไม่กล้าทำถึงขนาดนี้ แต่กับคนอย่างเขาแล้วไม่ใช่

เขาอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของโซฟา รอคอยจังหวะ… ให้เดินผ่านไป

ทันทีที่ชายอีกคนซึ่งยังอยู่จุดเดิมเดินหันหลังให้เขา เขาก็เข้าจู่โจมไปยังท้ายทอยในทันที ชายคนนั้นสลบเหมือดในทันใด ร่างกายที่กำลังทรุดล้มลงถูกรับไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม และวางลงพื้นอย่างนิ่มนวล มันจึงไม่ยากเลยที่คนที่เหลือ จะถูกกำจัดลงอย่างง่ายดาย

ไฟของห้องรับแขกถูกเปิดให้ส่องสว่าง เขานำร่างของทั้งสองไปนั่งที่โซฟา พอเปิดหมวกไอ้โม่งของทั้งสองออกเขาก็ต้องตกใจกับใบหน้าที่เห็น ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นสองคนนี้มาก่อน ซ้ำยังมีอายุไล่เลี่ยกันด้วย

“ไอ้ ...ไอ้สองคนนี้อีกแล้วเหรอ นี่มันไม่เข็ดบ้างเลยรึยังไงวะ”

ม่านตาของชายคนหนึ่งค่อย ๆ เปิดขึ้น ทันทีที่ได้มองไปรอบ ๆ แล้วก็ต้องตกใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้พบเห็น เขาพยายามปลุกเพื่อนซึ่งนั่งสลบไม่ได้ความอยู่ข้าง ๆ ให้มาเผชิญกับเหตุที่ชวนสยองด้วยกัน

เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกับโจรทั้งสอง พวกมันคือคนที่เคยมาปล้นบ้านของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน ในมือของเด็กหนุ่มนั้นกำลังแกว่งปืนพกสีดำซึ่งถูกขัดอย่างดี ด้านข้าง ๆ ก็มีกล้องถ่ายวีดีโอตั้งอยู่ดูเหมือนว่ามันจะถูกสั่งให้บันทึกไปแล้ว อีกทั้งยังตั้งในมุมที่มองเห็นแค่โจรกระจอกสองคนเท่านั้นด้วย

“มีอะไรจะพูดไหม”

“ยะ อย่าฆ่ากันเลยนะ นะ มันไม่ได้รุนแรงถึงกับต้องเล่นปืนเลยนี่” ชายผู้ดูแก่กว่าพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวแทบจะบ้าคลั่ง-

“ใช่ ๆ ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก” ชายอีกคนเสริม ทั้งที่ตัวเองสั่นแทบแย่

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามอะไรพวกแกหน่อย” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเจ้าของบ้านนั้นแฝงไปด้วยความสยดสยองยิ่งกว่าปีศาจทุกภพ

“ดะ ได้สิ ๆ ไม่ว่าอะไรก็ถามมาเลย”

“พวกแกตั้งใจที่จะมาขโมยไม่สิ ๆ ปล้นบ้านชั้นใช่ไหม”

ชายทั้งสองลังเลที่จะตอบ

“เฮ้ย!!” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาลั่นบ้าน มันยิ่งทำให้ทั้งสองต้องลนลานเหงื่อตกเข้าไปอีก ถ้าหากว่าขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำได้พวกมันคงทำไปนานแล้ว

“ชะ ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราสองคนตั้งใจจะมาขโมยเอ่อ ปล้นบ้านของนายนั่นแหละ”

“ตอบแค่นี้ก็สิ้นเรื่อง นี่ถ้าพวกแกตอบช้ากว่านี้ล่ะก็ นิ้วของฉันคงไม่อยู่ที่เดิมแน่ นี่! พวกแกมาเป็นครั้งที่สองแล้วใช่ไหม”

“ใช่ ๆ ใช่แล้ว พวกเรามาเป็นครั้งที่สองแล้ว”

ชายทั้งสองตอบออกมาพร้อมกันอย่างไม่ลังเล และไม่คิดที่จะลังเลอีกต่อไป

เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านเดินไปปิดกล้องวีดีโอที่อยู่ข้าง ๆ การกระทำของเขาทำให้ชายทั้งสองหวาดกลัวยิ่งนัก พวกโจรนึกคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกมัน เพราะพวกมันรู้ดีว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนวัยรุ่นปกติดทั่วไป

“วันนี้ถือว่าพวกแกโชคดี เพราะนี่จะเป็นแค่การตักเตือน ครั้งที่แล้วฉันลืม งั้นก็ขอโทษที”

“นี่จะปล่อยพวกเราใช่ไหม”

ท่าทางของชายทั้งสองดูมีความหวังมากขึ้น

“หึ- ได้ยินแบบนี้ก็ทำให้ความรู้สึกอยากจะปล่อยพวกแกทั้งสองมันลดลงทันทีเลยว่ะ แต่คนอย่างชั้นพูดแล้วไม่เคยคืนคำ ก็บอกไปแล้ว ว่าวันนี้พวกแกทั้งสองน่ะโชคดี เอาล่ะ ทีนี้ก็รีบไสหัวออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว!!!”

ชายทั้งสองรีบวิ่งออกจากบ้านทั้งที่ถูกมัดแขนมัดขาไว้ พวกมันกระโดดหยอง ๆ ออกไปคล้ายปลาดิ้นบนบกที่กำลังหาน้ำลง แต่ด้วยชีวิตที่มีอยู่ก็ไม่อยากจะเสีย ทำให้แม้จะล้มลุกคลุกคลานเพียงใดก็ต้องออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด

“นี่ ถ้าเกิดว่าฉันเห็นหน้าพวกแกทั้งสองอีกล่ะก็ คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไอ้พวกสวะ!!”

ผ่านไปสิบนาทีจากที่เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านคอยดูว่าโจรกระจอกทั้งสองออกไปไกลมากแค่ไหนและจะกลับมาแก้แค้นอีกหรือเปล่า

“ว่าแต่ถ้าเจอพวกมันสองคนอีกจะทำอะไรกันแน่วะ ให้ตายสิชอบพูดทำเท่จริง ๆ โฮ้ยเหนียวตัวชะมัด อาบน้ำดีกว่า”

เขาปิดประตูบ้าน แล้วเดินกลับเข้าไปเช็คของที่มี ก็พบว่ายังอยู่ดีเป็นปกติ ผิดก็แค่กล่องกระดาษเก่า ๆ ใบหนึ่งที่วางอยู่ เหมือนมันจะถูกเอาลงมาจากชั้นหนังสือ ภายในก็มีแค่หนังสือเก่า ๆ เล่มหนาอยู่เต็มกล่องเท่านั้น เขาเลยปล่อยมันไว้แบบนั้นแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป

ขณะที่นั่งรอการบูทของเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ เขาก็นึกเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมา

“คิด ๆ ไป ทำลงไปได้ยังไงวะเนี่ยเรา โคตรจะเหมือนการข่มขู่ฆ่าไม่มีผิด ทั้งที่เป็นปืนปลอมแท้ ๆ แต่ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะกลัวเข้าไส้เลยนะเนี่ย ...นายไม่ได้อยู่คนเดียว ...งั้นเหรอ”

เขานั่งเล่นคอมดูโน่นดูนี่เรื่อยเปื่อยและทำการบ้านที่ถูกสั่งมา เผลอแปบเดียวก็ผ่านไปสี่ชั่วโมง ตอนนี้ก็ตีสี่กว่า ๆ แล้ว จะนอนต่อหรือเปล่าเขาก็ยังคิด ๆ อยู่

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้ตกรุ่นไปแล้วสั่นระงม บนโต๊ะคอมฯ

“ไอ้บ้าที่ไหนโทรมาตอนนี้วะ”

เขายื่นไปหยิบโทรศัพท์ แล้วเปิดขึ้นดูก็ปรากฏเป็นชื่อ “พี่ทิว” พี่ชายหนึ่งเดียวที่มีอยู่ ในตอนนี้พี่ชายของเขาทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ อาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะคุยด้วยก็ได้ เขาจึงกดรับในทันที

“ฮะโหล”

“ว่าไง เทล น้องชายสุดที่รักของพี่ คือว่านะตอนนี้พี่อยู่ที่สนามบิน ช่วยออกมารับที”

“หา!!!!”

เด็กหนุ่มตกใจจนตะโกนออกมาสุดเสียง

“นี่จะตะโกนใส่โทรศัพท์ทำไมเนี่ย! มันหนวกหูนะเฟ้ย!!” แล้วเขาก็วางสาย

ติดตามตอนต่อไป



http://youtu.be/GC63HGcsfEg

santisook01
9th June 2013, 16:25
มีคนอยากอ่านต่ิอไหมครับ มาๆ ครับ เร่กันเข้ามาอ่าน

zaboommo
13th July 2013, 19:35
ติดตามครับๆ 555+ -0- -.- *-*

santisook01
16th July 2013, 17:50
พูดตามจริงนะครับ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่อยากจะโม้ด้วย ปกติผมก็ไม่ค่อยโม้หรอกนะ(คิดว่างั้น) แต่นาน ๆ ทีผมมาอ่านเรื่องที่ผมแต่งอีกทีรู้สึกว่ามันน่าติดตามยังไงไม่รู้ (ฮา) แบบว่าเอาตามความรู้สึกของผมเลยผมว่ามันก็สนุกดีครับ


แล้วแต่ใครจะคิดแหละครับ เพราะนี่มันเป็นความคิดของผม

santisook01
29th July 2013, 16:05
ตอนที่ 2 : เทล

“จากตรงนี้เราจะเห็นว่า สงครามของทั้งสองฝ่าย นั่นก็คือคริสต์กับอิสลาม ทำให้เกิดการเปลี่ยนวิทยาการระหว่างฝรั่งกับตะวันออก และทำให้การค้าขายเฟื่องฟูมาก เกิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ ...”

ภายในห้องเรียนซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัดเนื่องจากจำนวนนักเรียนที่มีมากกว่าห้องอื่น ๆ ทั้งที่ควรจะจัดให้เท่า ๆ กันแท้ แต่ก็ยังมีมากเกือบสี่สิบคน เทลบ่นเรื่องนี้อยู่ในใจ

ขณะเรียนวิชาประวัติศาสตร์อันน่าเบื่อสำหรับเขาอยู่นั้น สิ่งที่ทำให้วิชานี้ไม่เบื่อมากจนเกินไป ก็คงจะเป็นครูผู้สอน ซึ่งเป็นครูฝึกประสบการณ์ เรื่องอายุ-แน่นอนยังเด็กอยู่ และก็เป็นครูผู้หญิงที่หน้าตาดีไม่น้อย ‘นภา’ คือนามของครูสาวหน้าใส เธอมีรูปร่างเพรียวเล็ก ตัดผมทรงประบ่าดำสลวย ท่าทางคล้ายนักแสดงคน นั่นก็ทำให้นักเรียนชายหลาย ๆ คนของห้องม. 6/1 สายวิทย์-คณิต รวมทั้งห้องอื่น ๆ ได้เบิกบานและมีความสุขกันทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่เทลที่นึกสนใจครูคนนี้อยู่ ถึงจะไม่มากซักเท่าไหร่

เสียงออดดังเพื่อให้รู้ว่าคาบเรียนคาบสุดท้ายของวันนี้ได้จบลงแล้ว วันนี้เป็นวันศุกร์ หลาย ๆ คนจึงมีสีหน้ารื่นเริงยิ้มแย้มกันไม่น้อย โดยส่วนใหญ่แล้วห้องที่เทลอยู่ถือว่าเป็นห้องเด็กเรียน เรียนนั่นเรียนนี่ไปเรื่อย

“นี่ยังไม่ตอบฉันเลยนะ ที่แกไปห้องปกครองมามันเรื่องอะไรงั้นเหรอ เห็นวันนี้แกมาสายด้วย นี่มันก็เลิกเรียนแล้ว และก็วันศุกร์ด้วยรีบบอกฉันมาเถอะ” เซนเพื่อนชายเพียงคนเดียวที่เทลมีอยู่ตอนนี้ถามด้วยความอยากรู้อย่างมาก เขาเก็บสมุดปากกาเข้ากระเป๋าสะพายที่ใช้โดยทั่วไปของนักเรียนโรงเรียน หรือก็นี่คือกระเป๋าของโรงเรียนซึ่งถูกบังคับให้ซื้อนั่นเอง

“มันก็เรื่องเดิม ๆ นั่นแหละ เมื่อตอนเที่ยงฉันก็บอกนายไปแล้วนี่ แล้วที่ฉันมาสายก็เพราะว่าไปรับพี่ที่กลับมากะทันหันเท่านั้นเอง... จะอยากรู้ไปทำไมกัน” เทลตอบแบบขอไปทีด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า

“เออเรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่รายละเอียดน่ะ รายละเอียด ชั้นอยากรู้รายละเอียดว่าทำไมแกถึงต้องเข้าห้องปกครอง ไม่สิ มาสายมันก็ต้องเข้าอยู่แล้ว แต่แกน่ะอยู่นานเกินไปฉันก็เลยสงสัยอยู่แบบนี้ยังไงล่ะ”

เซนยกกระเป๋านักเรียนอันหนักขึ้นสะพายพร้อมกับเทลที่สะพายมันไปนานแล้วแต่ยืนรอเฉย ๆ

“นี่เซนวันพรุ่งนี้ว่างไหม” เสียงใส ๆ เล็ก ๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งในห้องเดินมา ทักเซนด้วยท่าทีเขินอาย พลางหลบตา ด้านข้างก็มีเพื่อนอีกสองคนเดินมาเป็นเพื่อน ที่เหลือก็น่ารักไม่แพ้กัน เธอมีท่าทีคล้ายกับคนกำลังจะชวนคนที่ตนแอบชอบไปออกเดท ในความคิดของเทลล่ะนะ

ถ้าหากจะเรียกว่าสวยคงไม่ใช่ เพราะเธอคนนี้มุ่งไปทางความน่ารักซะมากกว่า ผมเธอสั้นเลยปลายคางลงมาเล็กน้อย ผิวขาวผ่องเหมือนพวกคุณหนู ตากลมน่ารักคล้ายตาแมว พร้อมกับอกที่โตเหมาะกับร่างกายที่ไม่อ้วนหรือผอม โครงหน้าซึ่งอยู่ในทรงกลมเล็กแต่ก็ไม่ได้ถือว่าท้วมเมื่อได้มอง แน่นอนนิยามคำว่าน่ารักสิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือ ตัวเล็ก ถ้าเทียบกับเทลและเซนที่สูงพอ ๆ กันก็ประมาณหัวไหล่ของเขาทั้งสอง เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความลงตัวมากที่สุด หรือไม่ก็อาจจะเป็นที่น่าชื่นชอบของหมู่ผู้ชายในห้องนี้ก็คงจะไม่แปลก

“เออ ...ขอโทษทีนะ พอดีว่าฉันไม่ว่างน่ะ มีธุระที่ต้องทำ ขอโทษที ไม่ว่างจริง ๆ”

เซนปฏิเสธด้วยความสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ บวกกับบุคลิกของเขาที่ดูจากภายนอกก็เป็นคนสุภาพอยู่แล้ว จึงทำให้ผู้ที่ถูกปฏิเสธไม่ได้โกรธเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกผิดแทนและบอกว่าไม่เป็นไรแบบไม่ผิดหวังเจื่อน ๆ
“แกมีธุระอะไรกัน ถึงได้กล้าปฏิเสธคนแบบเธอได้” เทลถามหลังจากที่เด็กสาวน่ารักคนนั้นเดินคอตกออกจากห้องพร้อมกับเพื่อนของเธอ

“ไม่หรอก พอดีว่าฉันรู้สึกแปลก ๆ ก็เท่านั้นเอง เอะ? เมื่อกี้ว่าอะไรนะ เธองั้นเหรอ นี่แกไม่รู้จักชื่อเธองั้นเหรอ” เซนถามด้วยความแปลกใจ พลางเอียงคอแสดงความสงสัย ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินออกจากห้อง

“ไม่หรอก ฉันไม่รู้จักชื่อใครหรอก นอกจากแกและก็พวกอาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่เหลือ... เลือนลาง” เทลพูดด้วยหน้าเรียบเฉยยังกับว่ามันไม่ได้สลักสำคัญกับเขาแม้แต่น้อย เซนขยับแว่นกรอบดำบางให้เข้าที่แล้วจ้องมาที่เทล

“ฉันก็ลืมไป เรื่องที่ว่าแกไม่ค่อยจะสุงสิงกับคนอื่น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงจะเป็นเขาไม่อยากจะยุ่งกับแกมากกว่า” เซนพูดด้วยน้ำเสียงสดใสทุ่มต่ำ เทลรู้ดีว่าเพื่อนเขาพยายามที่จะพูดให้เหมือนกับตัวการ์ตูนที่เขาชื่นชอบซักตัวในเรื่องที่เขาไม่รู้ หรือไม่ก็นักพากย์สารคดีของสัตว์นักล่าผู้เดียวดาย และก็รู้ด้วยว่าเซนพูดเพราะอยากจะแย้เพราะความสนุก

“ก็ดีที่ยังไม่ลืมสนิท แล้วที่ว่ารู้สึกแปลก ๆ นั่นน่ะมันหมายความว่าอะไรกัน เธอออกจะน่ารักขนาดนั้น”

“นี่เรียกปุกดีกว่า ฉันรู้สึกว่าหูมันจะเสียดเข้ากับกระจกจริง ๆ เวลาที่นายเรียกคนในห้องเดียวกันว่าเธอที่เป็นคำสรรพนามแทนบุคคลน่ะ”

“เรื่องมากจริง ๆ เออก็ได้ ทำไมล่ะ ปุกเขาออกจะน่ารัก”

“เอ... อันที่จริงแล้ว ฉันมีภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่สามารถละทิ้งมนุษยชาติไว้เบื้องหลังได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ชีวิตของฉันคงอยู่ไม่สุขแน่” เซนทำท่าทีกลบเกลื่อนความจริง เลยพูดบางสิ่งที่มันอาจจะดูเท่ขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถตบตาเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถมของเขาได้ นั่นก็คือเทลที่กำลังเดินลงบันไดอยู่ข้าง ๆ เขา

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย ที่จริงแกเขินจะแย่ไม่ใช่เหรอ ถ้าจะตอบออกไปว่าว่างสนิทไม่มีอะไรทำเลยแกคงชักตายแน่”

“พูดมากน่า ว่าแต่แกเหอะ เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยทะเลาะวิวาทกับพวกนักเลงหรือไม่ก็พวกลูกครู ๆ ที่ชอบวางมาดซักทีวะ”

“ฉันก็เลิกไปตั้งนานแล้วนี่ แต่พวกนั้นมันมาเริ่มก่อนเอง ฉันก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น ช่วยไม่ได้”

ทั้งสองต่อแถวออกจากโรงเรียน ข้าง ๆ ก็เต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมากที่ยืนเรียงรายกันรออกจากโรงเรียน แต่ทางด้านของเทลและเซนนั้นไม่มีใครอยู่เลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่แปลกใจว่ามันเป็นเพราะอะไร เขากับเซนก็พอจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของคนที่อยู่ด้านหลังเซนว่า “เป็นคนนี้งั้นเหรอที่เขาว่ากัน” “อย่าเข้าไปยุ่งเลยดีกว่า” “ว่าแต่ทำไมพี่เซนที่ไปอยู่กับเจ้าคนนี้ได้” และต่าง ๆ อีกมากมาย

“ช่วยไม่ได้นี่เนอะ ยังไงฉันก็ห้ามแกไม่ได้อยู่ดี ทำได้ก็แค่เตือน น่าอิจฉาชะมัด” เซนพูดท่าทางเอื่อยเฉื่อยไม่สมกับเป็นวัยรุ่น

“ฉันนี่สิต้องอิจฉาแก มีสาวตั้งหลายคนมาแอบชอบแต่ละคนก็น่ารักกันทั้งนั้น อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของห้อง ใครมีปัญหาอะไร- ก็เซนมาก่อนใคร ผิดอยู่ที่เดียวก็ที่แกอยากจะมาเป็นคนที่มีชีวิตแบบฉันเนี่ยแหละ”

“คนเรามันชอบคนละแบบ แกก็รู้ ฉันเป็นพวกที่เบื่อกับการที่ต้องมาเป็นคนที่ถูกเรียกหา มีแต่คนมาคอยเกรงใจ ทำอะไรก็เด่นไปหมด”

“แกอยากจะบอกว่ามันไม่เหมือนกับคาแรคเตอร์ในอนิเมที่แกเคยดูยังงั้นสิ?”

“ไม่ซะทั้งหมด นี่ ถึงฉันจะเบี่ยงบ่ายความรู้สึกของคนอื่นแต่ฉันก็เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของเขาอยู่นะ ไม่ได้เย็นชาถึงขนาดปฏิเสธในทันที และก็จำไว้ด้วยว่าฉันเป็นพวกที่แคร์ความรู้สึกคนอื่น ถึงจะฟังดูโม้และอวดตัวไปหน่อยก็เถอะ”

“เฮอะ...เน่าจริง ๆ ก็นั่นแหละถึงทำให้แกมีแต่คนมารุมล้อม แกสลัดมันทิ้งไปไม่ได้หรอก”

“ฉันรู้ดี ฉันก็ยังพูดอยู่นี่ไงว่าแกน่ะมันน่าอิจฉา ...งั้นก็แยกกันตรงนี้ พรุ่งนี้เจอกัน”

“พรุ่งนี้เหรอ จะเจอกันทำไม พรุ่งนี้วันเสาร์”

“อืมก็วันเสาร์ ฉันจะไปบ้านแก”

“ใครอณุญาต”

“ท่านเทลยังไงล่ะ”

“ประจบจริง”

“ไม่ต้องชม เพราะฉันไม่มีตังค์ให้ ถึงมีก็ไม่ให้”

“กลับซักทีเถอะ”

หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกกันที่หน้าประตูโรงเรียน

เซนที่เดินออกไปซักพักก็หยุดทันที คล้ายกับว่าเขาลืมเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัยและยังไม่ได้คำตอบจากเทล แต่เขาก็ตัดใจแล้วเดินต่อตรงไปยังบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก



เทลที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ทิ้งตัวลงบนโซฟาห้องรับแขก จุดที่เคยมีเหตุการณ์อันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเด็กวัยเรียนแบบเมื่อคืนที่ผ่านมา

เขาหยิบรีโมทกดเปิดโทรทัศน์ดูไปเรื่อยเปื่อยแบบไม่สนอกสนใจที่จะดู แค่เปิดไว้แก้เบื่อก็เท่านั้น

“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงทักของทิว พี่ชายของเทลเดินออกมาดูจากห้องครัวเมื่อเขาได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังขึ้น เขาสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายคิตตี้ อายุ 28 ปี ซึ่งอยู่ในวัยทำงานและมีประสบการณ์มากพอตัว

“ยัง”

เทลตอบด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์

“ไม่ตลก”

“ก็ไม่ได้อยากให้ฮานี่”

“นี่ พี่อุตสาห์กลับมาทำอาหารให้ทั้งทีไม่รู้สึกดีใจบ้างเลยเหรอ”

“จะให้ดีใจอะไรกัน เพราะใครกันล่ะที่ทำให้ผมต้องไปโรงเรียนสายแบบนี้”

“มันช่วยไม่ได้นี่นา”

“ช่วยไม่ได้? ขี่แท็กซี่กลับเองก็ได้นี่ ไหนว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีไงล่ะ พี่ชายที่แสนดีก็ไม่ควรที่จะทำให้น้องชายที่น่ารักต้องมามีปัญหาเพราะพี่ชายที่แสนดีไม่ใช่เหรอ”

“น่า น่า เอาเถอะ เป็นเพราะพี่พึ่งกลับมา ยังพูดไทยไม่ค่อยถูก ก็เลยไม่อยากเสี่ยงนั่งแท็กซี่นี่ อีกอย่างได้ข่าวว่าโจรแท็กซี่ของเมืองไทยก็มีไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ”

“แหลชัด ๆ ไม่ใช่ว่าจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้รึไงกัน ถึงต้องมาพึ่งผมยังงี้ แล้วแท็กซี่น่ะมีแต่พวกห่วย ๆ กันทั้งนั้นแหละ ได้เปรียบก็ตรงแค่มีอาวุธแล้วใช้ไม่ค่อยเป็นก็เท่านั้น”

“อย่าบอกนะว่าแกเคยโดนปล้นน่ะ”

ทิวถามด้วยท่าทีตกใจแบบออกหน้าออกตาเกินไป

“มันไม่สำคัญนักหรอก... ไหนว่าเป็นทหารประจำพิเศษล่ะ กลัวแท็กซี่เนี่ยนะ สอบเข้าไปได้ไงกันวะ”

“ดูถูกกันนักนะ... เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า”

“เออก็ดีเหมือนกัน- ว่าแต่ทำอะไรกิน กลิ่นหอมเชียว”

“อืม... ไม่รู้สิ พี่จำชื่อมันไม่ได้ แต่จำวิธีทำได้ หิวงั้นเหรอ” ทิวหันไปทางครัวแล้วหันกลับมาทางเทล

“หิวมาก เมื่อเช้าก็ไม่ได้กินข้าว ตอนเที่ยงก็ไม่ได้กิน เพราะว่าไม่ได้เอากระเป๋าตังค์ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพี่ทิวนั่นแหละ”

“เออ เออ พี่ยอมแล้ว รอแปปเดียว เดี๋ยวก็ได้กิน”

จากนั้นทิวก็เข้าไปทำอาหารต่อ



เทลที่ล้างจานไปได้ซักพักแล้วก็รู้สึกปวดหัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่ไม่ได้มากมายอะไรจนต้องหายามาทานและนอนพักในทันที แต่เขาก็รู้ดีว่ามันแปลก เขาปวดไปตามเส้นกลางของศีรษะ รู้สึกว่ามันกำลังแผ่ออกเรื่อย ๆ แต่ก็หายไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาไม่สนใจ จึงก้มหน้าล้างจานต่อไป

พรึบ!

ภาพ ๆ หนึ่งพลันฉายขึ้นที่สมองของเขา ถึงจะฟังดูแปลกไปหน่อย แต่สำหรับเขานั้นไม่รู้สึกแปลก เพราะสิ่งนี้ทำให้เทลคล้ายอยู่ในความฝัน

ภาพที่ฉายนั้นปรากฏเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง มีผมสีเงินซึ่งเป็นสีที่เทลไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงจะเคยเห็นแค่ไหนหนัง ภาพกราฟฟิค หรือการ์ตูนที่เซนชอบเอามาให้ เขาเห็นว่าผมนั้นช่างสวยงามยิ่ง มันเงางามถึงแม้ว่าจะเป็นสีเงิน เปล่งประกายออกมาราวกับว่ามีดวงจันทร์ส่องแสงสะท้อนอยู่ภายใน

หญิงสาวคนนั้นยืนหันหลังให้เทล เธอตัวสูงเกือบเท่ากับเขา สวมผ้าคลุมลายดอกไม้สีขาว มีลายเกล็ดหิมะสีน้ำเงินตามขอบทุกขอบ ไม่ว่าจะเป็นคอปก ปลายแขน คล้ายผ้าคลุมของเหล่าราชวงศ์สมัยโบราณสวมใส่

เธอคนนั้นก็หันกลับมองมาที่เทล เพียงแวบเดียวที่ได้เห็นหน้าเธอแล้วจากนั้นก็กลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

“สวยชะมัด”

เขาพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ไม่ใช่เพราะภาพที่อยู่ดี ๆ ก็ผุดขึ้นมาเหมือนความฝัน แต่กลับเป็นใบหน้าของเธอคนนั้น

“เราเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะ”

เขาบ่นพึมพำออกมาหลังจากที่ล้างจานเสร็จแล้ว พลางนึกหน้าของเธอคนนั้นที่ช่างงดงามยิ่งกว่าใบหน้าไหน ๆ ที่เขาเคยพบมาอยู่ตลอด

“ว่าแต่... เหมือนกับพวกเทพนิยายจริง ๆ ตัวขาวชิบ”

เทลส่ายหัวไปมาสองรอบแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอน นี่ก็ใกล้จะสองทุ่มแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดูว่ามีใครโทรเข้าหรือเปล่า

“โหขนาดนี้เชียว”

ตาเขาเบิกโตเมื่อเห็นสายไม่ได้รับซึ่งมีมากถึง 10 สาย ทุกสายมีเพียงแค่ชื่อคน ๆ เดียวคือ “แอล” หญิงสาวที่เขาเคยช่วยจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ถ้าจะให้เล่าเรื่องคงยาวไปหน่อย วันนี้วันศุกร์ เทลซึ่งมีงานพาร์ททามอยู่นั้นไม่ได้ทำงานเพราะงานที่เขาทำจะหยุดทุกวันศุกร์ ก็กลายเป็นว่าวันนี้เป็นวันที่เหมาะสมแก่การพักผ่อนของเขา แต่กลับมีสายของแอลโทรมามากขนาดนี้ สงสัยชีวิตของเขาคงอยู่ไม่สุขแน่นอน

เมื่อเห็นเช่นนั้นเทลก็รีบโทรกลับในทันที

“อะ ฮะโหล”

และแอลก็รับสายอย่างรวดเร็ว

“นี่ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ซักทีหา!”

เสียงของแอลดังลั่นจนเทลต้องรีบเอียงหูหลบ ยิ่งเป็นเสียงที่แหลมอยู่แล้วมันจึงทำให้เขาทำหน้าบูดบี้ไม่น้อย ไม่นานเขาก็เอาหูเข้ากลับไปแนบกับโทรศัพท์

“อะ โทษที ๆ ฉันเปิดเป็นระบบสั่นน่ะเลยไม่รู้”

“แล้วนี่ไม่เคยเช็คโทรศัพท์ตัวเองบ้างเลยหรือไง อีตาบ้า ปล่อยให้คนอื่นเค้าเสียเวลาโทรหาตั้งนาน”

“เอ้.. ก็ขอโทษแล้วไง แล้ว ...เสียเวลาโทรหาฉันขนาดนี้มีเรื่องอะไรสำคัญงั้นเหรอ”

“ชิ”

“นี้ เออ คือว่า ยกโทษให้ด้วยคราบ นี่จะโกรทอะไรกันนัก แค่ไม่ได้รับโทรศัพท์เอง”

“มะ ไม่ได้โกรทซักหน่อย” เสียงของแอลตะกุกตะกักน่าดู

“ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา” เสียงของแอลดังค่อยมากจนเทลไม่ได้ยิน

“เมื่อกี้ว่าไงนะ ไม่ค่อยได้ยิน”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“อ้าว... อืม แล้วมีอะไรงั้นเหรอ”

“ก็คือว่า ... เรื่องเมื่อวานน่ะ... ขอบคุณนะ”

เสียงนี้ก็ยิ่งค่อยกว่าอีก จนเทลเริ่มจะงงว่าเป็นเพราะสัญญาณไม่ดีหรือเป็นเพราะปลายทางกันแน่

“ว่าไงนะ”

“ก็บอกว่าขอบคุณไง!”

คราวนี้แอลตะโกนจนแก้วหูเทลแทบแตก

“เออได้ยินแล้ว!”

ทางนี้ก็ไม่น้อยหน้า

“นี่ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ มันเป็นอนาคตของนายเลยนะ”

“พูดเรื่องอะไรน่ะ”

เสียงของแอลถามด้วยความห่วงใย แต่เทลกลับตอบไปน้ำเสียงที่เย็นชาและน่ากลัว

“อย่ามาทำไม่รู้หรือปิดบังไปหน่อยเลย ฉันรู้เรื่องหมดแล้วนะ ว่านายกำลังจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะเรื่องทำร้ายร่างกายนักเรียนคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บ และบางคนก็เกือบถึงตายน่ะ”

“อะไรกัน?”

เทลชักไม่สบอารมณ์กับคำสุดท้ายที่แอลพูด

“ฉันรู้ดีว่านายไม่มีทางทำอะไรให้ถึงตายหรอก ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฝ่ายที่เสีย มันจะพูดอะไรก็ได้ถ้ามีหลักฐาน นอกซะจากว่าหลักฐานนั้นจะทำให้ดูดีและโทษฝ่ายเราได้มากแค่ไหน ก็ดูแกสิ เกิดเรื่องแต่ละครั้งไม่เห็นมีรอยขีดข่วนอะไรเลยซักอย่าง มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนที่เขาไม่รู้เรื่องจะเห็นว่านายเป็นฝ่ายผิด อีกข้อที่นายสู้ไม่ได้เลยก็คือ ตั้งแต่เดือนที่แล้วนายก็มีข่าวทะเลาะวิวาทไม่หยุด ฝ่ายเสียหายดันกลับเป็นไอ้พวกชั่วนั้น”

“พูดแรงไปหน่อยไหม...”

เทลขัดลำแอลด้วยคำพูดที่ไม่น่าออกมาจากปากของแอล

“มันก็สมควรที่จะพูดแบบนั้นแล้ว คนผิดก็คือนาย ความผิดทุกอย่างที่พวกนั้นทำกลายเป็นว่านายรับไปคนเดียวหมด”

“พอเหอะ ฉันไม่อยากฟัง” เสียงของเทลดูจริงจังจนแอลไม่กล้าพูดต่อ “แล้วว่าไง จะทำอะไรได้งั้นเหรอ แค่เขาไม่ให้ตั๋วไปฮ่องกงแบบบังคับก็ดีแค่ไหนแล้ว

“อะ ฮะ ฮะ”

“ขำอะไร ฉันไม่ได้เล่นมุกนะ”

“ไม่หรอก ๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ จะไปหาใครให้ช่วยก็ไม่ได้ แล้วนายจะทำยังไงต่อไปล่ะ อาทิตย์หน้าก็ไม่ได้ไปโรงเรียนแล้ว มหาลัยก็เข้าไม่ได้แล้วด้วย"

“ก็คงจะ... หางานรับจ้างทำซักที่ และก็หาทำสิ่งที่ชอบ ศึกษาตำราที่อยากรู้... ไม่ แล้วจะอยากรู้ไปทำไมกัน”

“ถามแค่นี้ไม่ได้หรือไงกัน เพื่อนกันก็ต้องห่วงกันเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ฉันจำไม่เคยได้เลยนะว่าเราเป็นเพื่อนกัน สิ่งที่อยู่ในหัวฉันตลอดก็คือ ทุกครั้งที่เจอกันฉันจำต้องตกเป็นทาสอยู่ตลอด หืย~ แค่คิดก็สยองแล้ว-”

“ไอ้เทลบ้า!”

“โอ้ย จะตะโกนทำไมเนี่ย เดี๋ยวโทรศัพท์ฉันพังกันพอดี นี่ถ้าพังขึ้นมาจริง ๆ ความผิดเธอล้วน ๆ เลยนะ”

“ชิ ใครจะสนกัน”

“ยัยนี่” สายเงียบไปซักพัก

“นี่เทล พรุ่งนี้ว่างไหม”

“พรุ่งนี้?”

“อืม ฉันว่าจะไปหาที่บ้านหน่อยน่ะ พี่นายก็กลับมาแล้วนี่ และก็จะไปทักพี่ทิวด้วย”

“หา? รู้ได้ไงว่าพี่ฉันกลับมา”

“เมื่อตอนเช้าพี่ทิวเข้ามาเยี่ยมบ้านฉันนี่นา ก็...วันนี้ฉันลาด้วย เลยรู้ไง ทำไมเหรอ แปลกนะที่นายตกใจมากขนาดนี้”

“มะ ไม่มีอะไรหรอก” ไอ้พี่บ้า หาเรื่องมาใส่ตัวผมตลอด จะเอาไงดี ต้องถูกสังหารแน่ถ้าแอลมาบ้าน เทลคิดในใจจึงทำให้สายโทรศัพท์เงียบไป

“ฮะโหล ๆ”

“เออยังอยู่”

“แสดงว่าว่างนะ งั้นพรุ่งนี้สิบโมงฉันจะไปบ้านนาย อย่าสายล่ะ แค่นี้แหละ เจอกัน บาย”

“อะ เดี๋ยว เธอจะมาทำอะ—“

สายถูกตัด

“บ้าเอ้ย แค่ไอ้เซนก็เหลือเกินแล้ว ยังจะมีแอลอีก เอ้?...มาบ้านเราแล้วยังจะบอกว่าอย่าสายเนี่ยนะ” เทลปิดเครื่องแล้วเดินไปเปิดคอม จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำในทันที

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขาก็เปิดเพลงเสียงเซาด์แทร็กของภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องมารวมกันอย่างเบา ๆ

เขานั่งลงบนเก้าอี้หวายสานสีน้ำตาลทองซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่างแบบเลื่อน เทลมองออกไปด้านนอก พลางคิดไปเรื่อยเปื่อย เขามักทำแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้า หรืออยู่ในภาวะความเครียด

ด้านนอกหน้าต่าง จุดที่มองเห็นได้ในยามมืดก็มีรั้วบ้านซึ่งห่างจากตัวบ้านไปประมาณสิบกว่าเมตร เป็นรั้วอิฐซึ่งไม่สูงมากนัก จึงทำให้มองเห็นคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ แต่บ้านของเทลตั้งอยู่ในซอย อีกทั้งคนที่อยู่ในซอยนี้ก็ไม่ค่อยอยู่กันซะด้วย ไฟที่ติดตามถนนก็อยู่ห่างกันมาก แสงไฟจึงส่องให้เห็นเพียงเรือนลางในความมืดเท่านั้น

ด้านตรงข้ามหรือด้านที่เทลกำลังมองอยู่นั้น เป็นตึกแถวสูงสามชั้นทั่วไปสีขาวม่น ด้านข้างทั้งสองของบ้านเทล ก็เป็นบ้านของคนรวย เขาไม่เห็นว่าเจ้าของบ้านเข้ามาอยู่ซักที มีก็แต่คนใช้ที่เข้ามาทำความสะอาดบ้านในแต่ละวันเท่านั้น

ภายในความมืด ด้านล่างของตึกแถวที่เทลกำลังมองอยู่ ตอนแรกก็แค่ลองจ้องดูเท่านั้น ซักพักเขาเห็นว่ามีอะไรแปลก ๆ บางอย่างอยู่ที่นั่น ...เขาชักสงสัยจุดที่กำลังมองอยู่ แล้วเขาก็ลุกขึ้นเปิดหน้าต่างขึ้นเพื่อที่จะมองให้ชัดเจนมากขึ้น ใช่มันต้องมีแน่ สัญชาตญาณของเขาไม่เคยผิดพลาด ทันใดนั้น... ร่าง ๆ หนึ่งก็ออกวิ่งไปทางปากซอยทันทีมันคือทางซ้ายของเทล มันไปเร็วมาก

“เฮ้! หยุด!”

เขากระโดดออกจากหน้าต่างในทันใด วิ่งไปตามหลังคากระเบื้อง แล้วกระโดดลงไปบนพื้นหญ้าของสวนข้างบ้านที่ไม่สูงมากนักจากระดับที่เขากระโดด อันที่จริงเขาเคยทำเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แน่นอน เพื่อหนีออกไปเล่นเกม แต่มันก็ผ่านมาสามปีแล้วตั้งแต่ที่เขาขึ้นม.ปลายมา

“มีอะไรเหรอเทล”

ทิววิ่งออกมาถามเทลที่หน้าห้องของน้อง แต่เทลไม่ตอบเพราะไม่มีเวลาแล้ว

เขาออกวิ่งไปทางเดียวกับร่างลึกลับนั่น ถ้าให้พูดตรง ๆ แล้ว เขาก็วิ่งเร็วอยู่ไม่น้อย ถ้าจะให้ตามให้ทันก็คงจะทำได้ไม่ยาก ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าร่างลึกลับนั่นจะทำได้ดีแค่ไหน

วิ่งออกไปจากบ้านแล้วหักเลี้ยวไปทางซ้ายทันที พลันเห็นหลังของร่างลึกลับนั้นลิบ ๆ เขาพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ร่างนั้นเลี้ยวซ้ายซึ่งเป็นช่องระหว่างตึกแถวที่ทั้งมืดทั้งแคบ

ในซอยนี้ไม่ค่อยมีคนมากนัก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยให้คนซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดช่วยจับให้

เทลวิ่งไปตามทางของช่องตึก แต่ก็กลับพบว่ามันเป็นทางตัน เขาหยุดชะงัก งุนงงกับสิ่งที่ได้เห็น

“แกวิ่งหนีฉันไม่ได้หรอก ออกมาเดี๋ยวนี้ คนอย่างฉันยิ่งใจดีระยะสั้นอยู่ ออกมา ไม่งั้นฉันจะเข้าไปหาแกเอง”

ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ผนังของตึกแถวที่คนทั่วไปไม่สามารถข้ามได้ และก็อย่าไปคิดถึงไอ้มนุษย์แมงมุมเลย ยังไงมันก็ตายตั้งถูกแมงมุมต่อยแล้ว

เทลคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่ก็ยังเชื่อไม่ลงเพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะตาฝาดสองครั้งติดต่อกัน อีกทั้งยังเห็นชัดมากด้วย

“ว่าไงเทล”

เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง

“เสียงนี้มัน”

เทลหันขวับไปด้านหลังซึ่งเป็นด้านหน้าของช่องว่างระหว่างตึก

“เซน!”

ติดตามตอนต่อไป

santisook01
29th August 2013, 16:54
http://upic.me/i/qj/ccf27082013_000001.jpg (http://upic.me/show/46776367)

ตอนที่ 3 : Black shadow

เทลนิ่งไปชั่วครู่...

“หมายความว่าไง”

“อะไร?” เซนถามด้วยความงุนงง

“ก็สตอล์คเกอร์อย่างนายที่คอยตามฉันไง”

“หา?”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลย ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใครอีก”

“นี่เดี๋ยวก่อน ฉันไปตามแกตอนไหน นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะ” คิ้วเซนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย มันทำให้เทลรู้สึกไม่สบอารมณ์

“นี่” เทลเอ่ย พลางทำหน้ารับความจริง

“อะไร ?” เซนก็ยังคงความสงสัยอยู่

“ไม่ใช่แกแน่เหรอ” คงเพราะว่าเป็นเพื่อนกันมานาน เทลจึงรู้ได้ว่าสิ่งไหนคือเรื่องจริง สิ่งไหนคือเรื่องลวง สิ่งไหนคือเรื่องแต่ง และสิ่งไหนคือเรื่องไม่ควร ที่จะออกมาจากเซน

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันพึ่งมาถึงเองนะ ก็เห็นแกยืนพูดอยู่คนเดียว ตอนแรกก็นึกว่าคุยกับใคร แล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ ๆ มากล่าวหาว่าฉันเป็นสตอล์คเกอร์” เซนถามกลับ ท่ามกลางแสงไฟข้างถนนสีขาวขุ่นมัวสลัว ๆ อยู่ห่างออกไปไกลกว่าสิบเมตรส่องมาไม่ถึง

ภายในช่องตึกเช่าที่มืดมิดปกคลุกจนไม่เห็นแม้แต่พื้น มีเทลยืนอยู่ด้านในไม่ลึกมากนักจากด้านหน้า เขาครุ่นคิดอยู่อย่างจริงจัง

“หายากนะเนี่ยที่จะเห็นนายกลุ้มใจมากขนาดนี้” เซนถามเพราะท่าทางของเพื่อนตนที่เต็มไปด้วยความน่าอึดอัด

“ว่าแต่ นายมาทำอะไรล่ะ” เทลตัดใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามเซน

“มาหาแกไง”

“ทำไม”

“เรื่องโรงเรียน”

“รู้แล้วงั้นเหรอ ... ไม่ต้องมาโน้มใจฉันหรอก ฉันตัดสินใจแล้ว”

“แต่ก็ต้องให้ผู้ปกครองเซ็นรับรองก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ผู้ปกครอง อ้อ นั่นสินะ ที่ผ่านฉันอยู่คนเดียวมาตลอด เวลามีเรื่องทีไรก็เลยไม่ต้องมารำคาญกับการเทศของผู้ปกครอง อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่นา”

“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ตอนนี้นายมีพี่ชายเป็นผู้ปกครองใช่ไหม” เซนถาม

“อืม ตามจริงฉันกะจะออกโรงเรียนนั่นมาตั้งนานแล้ว พี่ก็ดันอยู่ต่างประเทศอีก แต่ก็ดี ทั้งที่ไม่ได้เรียก ก็กลับมา อีกทั้งยังเอาเรื่องปวดหัวมาให้อีก... คิดไปก็ไม่ดีเลยนี่หว่า”
“ชีวิตแกนี่มันเยี่ยมจริง”

“ประชดงั้นเหรอ”

“แล้วแต่จะคิด” เซนยักไหล่เล็กน้อย

‘ตึก!’

เสียงของวัตถุบางอย่างคล้ายก้อนกรวดเล็ก ๆ ตกลงกระทบกับพื้นซีเมนต์ขัดจังหวะการสนทนาของเขาทั้งสอง มันดังมาจากความมืดที่อยู่ระหว่างช่องตึกด้านหลังของเทล ทั้งเซนและ เทลจึงหันไปมองอย่างสงสัย

เทลค่อย ๆ มองขึ้นไปด้านบนที่น่าจะเป็นจุดตกของก้อนวัตถุนั้น เหมือนเขาจะเห็นเห็นเงาบางอย่างขนาดใหญ่เท่าคนเกาะติดผนังของตึกอยู่ อันที่จริงเขาก็ไม่อยากคิดเรื่องผี ๆ สาง ๆ นัก แต่เงาที่เห็นมันทำให้เขาต้องนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ด้วยความที่มืดสนิท ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า เขามองครู่หนึ่ง เพื่อให้ยืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาดไปจริง ๆ

เทลมองไปรอบ ๆ เขาเดินไปหยิบไม่กวาดทางมะพร้าวเก่า ๆ ที่วางพิงอยู่กับผนังตึกใกล้ ๆ จากนั้นเขาก็กุมด้ามไม้แน่นมือ แล้วก็ขว้างมันออกไปยังจุดที่เขาเห็นเงาประหลาดนั้น
ไม้กวาดนั้นหายเข้าไปในความมืด . . . เสียงตกกระทบของไม้กวาดกับพื้นดังขึ้นหลังจากนั้น

“นายทำอะไร” เซนถามทั้งที่มองไปยังจุดเดียวกันที่เทลมอง

“มา เข้าบ้านก่อน” เทลเอ่ยชวนเซนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เซนแสดงสีหน้าสับสนเล็กน้อย แต่ก็ทำตามที่เทลบอก
“อืมก็ดีเหมือนกัน”

ทั้งสองเดินออกไปจากช่องตึก


ห้านาทีผ่านไป พลันมีการเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ตรงผนังตึก สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ

‘พรึบ!’

มีร่าง ๆ หนึ่งกระโดดลงพื้นอย่างนิ่มนวล จากนั้นมันก็นั่งลงหาอะไรซักอย่างบนพื้น ไม่นานร่างนั้นเหมือนจะตัดใจ แล้วเดินออกมาจากความมืดของช่องตึกด้วยความระมัดระวัง
เมื่อออกมาสู่แสงสว่างจาง ๆ ที่อยู่ด้านหน้าก็ปรากฏเป็นร่างของคน ๆ หนึ่ง สวมเสื้อแขนยาวมีฮูดคลุม ด้านหลังมีกระเป๋าสะพาย ที่ต้นขามีเชือกบางอย่างมัดแต่ถ้าสังเกตให้ดีมันคือปลอกใส่มีดพก ช่วงล่าง เขาสวมกางเกงขายาวเนื้อหนา รองเท้าก็เป็นรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ ทุกอย่างที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นสีดำ ร่างกายที่สูงหกฟุตกว่า ๆ และหนาไม่มากเกินไป บ่งบอกว่า เป็นผู้ชายที่มีร่างการแข็งแรงได้อย่างชัดเจน

ชิบ!

เข็มด้ามเล็กยิ่งกว่าเส้นผม พุ่งตรงไปยังร่างนั้น เหมือนเขาจะขยับหลบได้เล็กน้อย ร่างนั้นหันขวับกลับหลังในทันที เขาเห็นเซนกระโจนเข้าหาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังดีดตัวไปด้านข้างหลบการสวมกอดของเซนได้ เขาสวนกลับไปด้วยขาขวา เตะไปที่สีข้างของเซน เซนก็พลิกหลบได้เช่นกัน ในชั่วพริบตา เทลในตอนแรกที่ไม่รู้ที่มาที่ไป พุ่งออกมาจากความมืด คว้าร่างนั้นไว้ได้ เขารัดแขนทั้งสองของร่างนั้นและกุมกันไว้กับร่างของตนให้แน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ขณะที่เขาใช้แขนรัดร่างนั้นเขารู้สึกได้ว่า มีอะไรบางอย่างแข็ง ๆ คล้ายเสื้อเกราะกันกระสุนอยู่ด้านในเสื้อแขนยาวสีดำนี้

หมัดของเซนพุ่งเหวี่ยงตรงไปที่คางของร่างนั้น แต่ไม่เป็นผล ร่างนั้นสะบัดตัวออกจากการรัดแบบมือสมัครเล่นของเทลได้อย่างง่ายดาย แล้วดึงเทลที่ไม่ทันตั้งตัวเข้าไปรับหมัดของเซนแทน

‘ผัวะ!’

เนื่องจากความสูงของร่างดำนั้นซึ่งสูงกว่าเทลเล็กน้อยจึงทำให้หมัดอันหนึกอึ้งของเซนกระแทกกับแก้มของเทล จนเทลต้องเซไปด้านข้างเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปหาร่างลึกลับนั่นก็พบว่ามันวิ่งจ้ำออกไปแล้ว
“เฮ้!!”

เทลตะโกนไล่ตามร่างนั้น เขากับเซนออกวิ่งตามไปติด ๆ ร่างนั้นโยนบางสิ่งที่ดูเหมือนเม็ดยาแคปซูลขนาดเล็กมายังเทลและเซน

‘พรุบ!’

ควันสีขุ่น ๆ กระจายตัวออกมาจากแคปซูลนั้นอย่างรวดเร็ว แต่อยู่ในบริเวณไม่กว้างมากนัก

“อะไรกันวะเนี่ย”

ทั้งสองหลับตาทันทีด้วยสัญชาตญาณ เอาแขนทั้งสองข้างป้องหน้าตนเอง พลางวิ่งต่อไปไม่หยุด เมื่อเขาพยายามลืมตาขึ้นกลับมีน้ำตาจำนวนมาไหลออกมาและแสบตาเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่สามารถมองอะไรได้ เทลและเซนจึงรีบวิ่งออกจากควันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อพ้นกลุ่มควันแล้ว เทลและเซนก็ส่งเสียงไอรัวออกมา พวกเขาขยี้ตาอยู่ไม่หยุด แต่ก็ยังลืมตาขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี

“แสบตาชะมัด” เทลพูดพลางลองเปิดตาเล็กน้อย แต่ก็ต้องปิดมันลง

“บ้าเอ้ย แก็สน้ำตางั้นเหรอ” เซนสบถออกมา “เอาไงดี”

“แกชกฉัน” เทลพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“เออ โทษที” เซนก็ยังหลับตาเช่นกัน

ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาดังขึ้นจากทางด้านหลังของเขาทั้งสอง

“เทลรับนี่ไป”

เสียงนั้นคือทิว พี่ชายของเทล เขาโยนขวดน้ำขนาดเล็กให้เทล แต่จะให้ทำยังไงกับคนที่มองไม่เห็นกัน... ผลก็คือเทลรับไม่ได้ ขวดน้ำจึงตกลงพื้น
“พี่เหรอ?” เทลพูดขึ้นพลางกุมแก้มด้านซ้ายที่โดนเซนชก

“ที่เหลือพี่จัดการเอง รีบกลับบ้านไปซะ” ทิวตะโกนขณะที่วิ่งผ่านเทลและเซนไปอย่างรวดเร็ว

“บ้าเอ้ย น่าอายชะมัด” เทลก่นด่าตนเอง เขาก้มลงหาขวดน้ำที่หมุนไปมาบนพื้น เมื่อคว้าได้เขาก็รีบล้างตาทันที จากนั้นก็ส่งที่เหลือให้เซน
นานกว่าห้านาทีที่ทั้งสองเสียการรับรู้ทางตาไป ตอนนี้ก็เป็นปกติแล้ว

“ว่าไง ได้ผลไหม” เทลถามเซนที่หยิบเอาสมาทโฟนจอใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ชัดแจ๋ว” เซนตอบด้วยใบหน้าระรื่น บนจอภาพของสมาทโฟนทรงทันสมัยปรากฏภาพจุดสีแดงเคลื่อนที่ไปตามถนนไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ มันคือเครื่องติดตามสัญญาณดี ๆ นี่เอง เทลใส่มันเข้าที่เสื้อของร่างนั้นในตอนที่เขารัดตัวร่างนั้น

“เยี่ยม” เทลยิ้มให้เซน เหมือนเขาจะไม่สนคำสั่งของพี่ชายเขาเลย

“จากที่ที่มันมุ่งไปเราน่าจะหาทางลัดดักหน้าได้ทัน” เซนเอ่ยขณะกำลังวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของจุดสีแดงนั้น “รีบไปกันเถอะ ฉันนำเอง”

ว่าแล้วทั้งสองก็ออกวิ่งไปกลับหลังเข้าสู่ทางลัดของเซน ซอกแซกไปตามทางเดินแปลก ๆ ไปทั่ว แต่ก็มายืนดักหน้าจนได้

“มันน่าจะมาปะกับพวกเราทันทีเลยนี่นา” เซนพูดด้วยความสงสัย เขาจึงล้วงสมาทโฟนออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเครื่องติดตามอีกที พบว่าสัญญาณนั่นหยุดอยู่กับที่ เขาออกวิ่งไปทันใด เทลก็วิ่งตามไป
จุดที่ร่างนั้นหยุดเป็นมุมมืดแต่ก็ไม่มืดมากนัก รอบ ๆ เป็นถนนปลอดคนติดถนนเป็นกำแพงสูงของบ้านเศรษฐีขนาบตลอดแนวยาวทั้งสองข้างของถนนขนาดสองเลน

เซนตรงไปยังสัญญาณนั้น มันไม่ปรากฏเป็นร่างของใครเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อเข้าไปยังจุดเดียวกันกับสัญญาณหยุดอยู่กับที่ ก็พบเห็นวัตถุก้อนกลมสีดำ มันคือเครื่องติดตามของเซน เขาทำหน้าห่อเหี่ยวทันทีที่ได้เห็น

“เป็นแบบนี้ได้ไงกัน” เซนพูดอย่างสลด

ปั้ง!!!

เสียงปืนดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้งเล็กน้อย เทลและเซนรู้สึกได้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากนี้ และก็พอจะเดาได้ว่ามันมาจากทิศทางไหน ติด ๆ กันมีเสียงเบรกของรถยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงออกรถหลังจากนั้น
ร่างหนึ่งวิ่งฝ่าความมืดออกมาหาเขาทั้งสอง เทลและเซนตั้งท่าพร้อมสู้

“พวกนายมาอยู่ที่นี่กันได้ไง? รีบกลับบ้านเร็ว ก่อนที่ใครจะมาเห็น” เสียงของทิวพี่ชายของเทลดังขึ้น ร่างที่วิ่งมาก็คือเขานั่นเอง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เทลถาม

“ไม่ใช่เวลา รีบกลับก่อน” ทิวพูดซ้ำอย่างแข็งกร้าว เทลกับเซนจึงต้องออกวิ่งไปพร้อมกับทิว

“ตลอดทางกลับนี้มีผู้คนสัญจรไม่มาก แต่ถ้าจะให้ดีหาทางลัดที่ไม่มีคนน่าจะปลอดภัยกว่า” ทิวเอ่ยขึ้นขณะออกวิ่งนำหน้า

“ให้เป็นหน้าที่ของผมเองครับ” เซนพูดขึ้น เขาออกวิ่งนำทางทิวในทันที

เมื่อมาถึงบ้านของเทล ทุกคนต่างเหนื่อยหอบ หายใจถี่รัวเพราะการวิ่งไม่หยุด ต่างคนต่างก็ทิ้งตัวลงโซฟาที่วางอยู่กลางบ้าน

เทลมองไปทางพี่ชายของตนเอง เขารู้สึกว่าพี่ของเขาดูแปลกชอบกล หน้าซีดเล็กน้อย และก็อาจจะเต็มไปด้วยความโกรธเต็มใจ แต่พอสังเกตให้ดีอีกรอบเขาก็เห็นรอยเลือดซึมออกมาจากหัวไหล่ขวาของพี่ชายเขา ‘โดนยิงงั้นเหรอ’

“พี่ทิวถูกยิงนี่” เซนโพล้งออกมาก่อน

“มะ ไม่ต้องห่วงหรอก แค่เฉียด ๆ” ทิวพูดพลางยิ้มแหย ๆ ให้เซน

“รีบทำแผลก่อนดีกว่าครับ นี่เทล บ้านแกมีพวกยา หรือพวกชุดปฐมพยาบาลไหม” เซนหันมาถามเซน

“มี เดี๋ยวฉันไปเอามาให้” เทลลุกออกจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปทางอีกด้านของบ้านพลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“ยังไงก็ต้องทำแผลแล้วก็พักผ่อนก่อนนะครับ ผมจะไม่ถามจนกว่าจะทำแผลเสร็จ ยังไง ยังไง นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว” เซนกล่าวด้วยความเป็นห่วง “อดทนน่าดูเลยนะครับ”

“พี่เคยเจอเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ ตอนปฏิบัติการมากอยู่แล้ว แค่นี้ไม่ถึงกับต้องพักหรอก” ทิวก็ยังตอบกลับด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม แต่กลับแฝงไปด้วยความหงุดหงิด

ผมทรงสกินเฮดเบอร์สาม ใบหน้าคมกับริมฝีปากบางเล็กน้อย เสริมด้วยดวงตาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิและน่าเกรงกลัว โดยรวมก็ทำให้ทิวดูหล่อเหลาไม่เบา

เทลที่มีหน้าตาถอดแบบมาจากพ่อไม่มีผิด ด้วยเค้าโครงของใบหน้าที่แข็งกร้าว ดวงตาที่ดูเฉียบแหลมแสดงถึงสติปัญญาที่ว่องไวและมีความเด็จขาด ส่วนริมฝีปากบาง ๆ เข้ารูปกับโครงหน้า จมูกโด่งเป็นสัน ทำให้เขาดูดีไม่น้อยไปกว่าพี่ชายของเขาเลย

เทลเดินออกมาด้วยท่าทางรีบเร่งพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ เขายื่นให้เซน เซนรับต่อและทำแผลให้ทิวอย่างชำนิชำนาญ

ตุ้ม!!!

ทั้งสามสะดุ้งตกใจพร้อมกัน เพราะเสียงระเบิดที่ดังสะนั่นสั่นไหวไปทั่ว จากที่ได้ยินแล้วก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เลย ทุกคนสับสนไปชั่วครู่ เทลตัดสินใจวิ่งออกไปดูเหตุการณ์นอกบ้าน ก็พบควันไฟพุ่งออกมตึกด้านข้างที่อยู่ไม่ไกล แสงสีแดงแสดของเปลวไฟส่องกระจายไปทั่วบริเวณนั้น

‘นั่นมันที่ที่เราเห็นร่างเงาดำนั่นนี่นา’

เขาคิดถึงช่องตึกเมื่อตอนที่เขากับเซนยืนเถียงกันไม่นานมานี้ และถ้าตอนนี้เขาไม่ได้ตาฝาดไปก็คงจะเป็นการณ์ดีอยู่ไม่น้อย เพราะที่หน้าประตูบ้านของเขาปรากฏเป็นชายในชุดสูทสีดำจำนวนสิบกว่าคนยืนเรียงรายกันอยู่ ‘เม็นอินแบล็คเหรอ?’ เทลขมวดคิ้วเข้าหากัน

“กลับเข้ามาบ้านเทล”


ติดตามตอนต่อไป

kengtk1
29th August 2013, 17:50
กะลังมันเลย

thekrof
29th August 2013, 17:58
ผมเองก็อยากแต่งบ้าง มีโครงเรื่องแล้ง แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนมันออกมาอีท่าไหน

santisook01
29th August 2013, 18:04
ผมเองก็อยากแต่งบ้าง มีโครงเรื่องแล้ง แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนมันออกมาอีท่าไหน

เหมือนผมนั่นแหละครับ พูดตามตรงเลยนะครับ ที่ผมแต่'ได้ มีอารมณ์แต่งได้ เพราะเพลงมัน เพลงSoundtrack นิยายที่ผมคิดว่าดีที่สุดครับ
และก็ขอแนะนำนิยาย ดี ๆ ให้อ่านครับ ผมอ่านแล้ววางไม่ลงจริง ๆ
http://upic.me/i/75/f_undead_viruskrawinyarn_1_b.jpg (http://upic.me/show/46778537)
ยาแห่งนิรันดร์กลับกลายเป็นฝันร้าย
ทำลายความเป็นมนุษย์ ลงลึกถึงจิตวิญญาณ

ถ้าใครหาแนวซอมบี้แบบResident evil กับแนวกำลังภายในก็เรื่องนี้เลยครับ

santisook01
30th August 2013, 20:17
อ่อ ผมลืมบอกไปครับ ว่าเรื่องนี้จริง ๆ แล้วมีแนวใหนอะไรบ้าง หลัก ๆ แล้วเรื่องนี้จะเป็น AcionผสมSurvivalและก็มีFantasyแบบที่คาดไม่ถึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ ดูจากภาพหน้าปกก็ได้

santisook01
3rd September 2013, 16:26
ตอนที่ 4 : Black Shadow 2

สิ้นเสียงระเบิดได้ไม่นาน ชายฝรั่งผู้สวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งวิ่งมาจากจุดที่เกิดระเบิด ตรงมายังชายอีกคนที่ใส่สูทสีดำเช่นกัน จากลักษณะที่ตัวสูงมากกว่าคนอื่นในกลุ่มและใบหน้าที่เข่งขรึมยิ่งกว่าใครจึงทำให้เทลเดาว่าบุคคลนั้นคือหัวหน้า

ชายคนนั้นวิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบ เขากระซิบอะไรบางอย่างให้ชายที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าได้ฟังอย่างรีบร้อน

เทลค่อย ๆ ถอยกลับเข้าบ้าน ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’ สัญชาตญาณปนลางสังหรของเขาบ่งบอกถึงบางสิ่งที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งกับบุคคลกลุ่มนี้

ชายผู้เป็นหัวหน้าเมื่อฟังคำกระซิบกระซาบของลูกน้อง ก็มีอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาออกคำสั่งบางอย่างกับชายที่เหลือ ไม่นานทุกคนก็ออกวิ่งไปอย่างรีบเร่งเหมือนมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น มุ่งไปทางหน้าปากซอยซึ่งเป็นทางทิศเหนือ

“เมื่อกี้มันใครกัน” เทลพูดลอย ๆ เผื่อว่าจะมีใครตอบ

“เทล กลับขึ้นห้องเดี๋ยวนี้” ทิวออกคำสั่งน้องของตนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เทลต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อย

“เดี๋ยว ๆ ยังไงก็ช่วยอธิบายให้เข้าใจก่อนได้ไหม”

“ฉันยังไม่ได้ลงโทษเรื่องขัดคำสั่งที่บอกให้กลับเข้าบ้านตอน... เงาดำ ๆ นั่นเลยนะ อย่าให้มีเป็นครั้งที่สองอีก” การพูดติดขัดของทิวสร้างความแปลกใจให้แก่เทล

“ไม่ ทำไมกัน ผมก็แค่อยากรู้เรื่องก็เท่านั้นเอง อ้อเรื่องนี้คงเกี่ยวกับพี่หรือไม่ก็ผมใช่ไหม ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ ผมรู้ว่าพี่ต้องรู้เรื่องนี้ดี” เทลยืนกราน

“สงสัยจะใช้วาจาสื่อสารกันไม่ได้งั้นสินะ” ทิวพยักให้เซนหน้า

ตึก

ฝ่ามือลึกลับสับเข้าที่กลางท้ายทอยของเทล



2 ชั่วโมงผ่านไป

ตูม! ต้าม! ตู้ม! เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!!!

ม่านตาของเทลค่อย ๆ กางออกอย่างช้า ๆ พลางกระพริบไม่หยุด หูรับการได้ยินที่ยังไม่ดีพอ ปะทะเข้ากับเสียงที่แสบแก้วหูของสิ่งที่อาจเรียกว่าเสียงระเบิด เสียงปืนหรือไม่ก็อาจจะเป็นเสียงของฟ้าผ่าเพราะฤดูกาล ระคนยุ่งเหยิงกันไปทั่ว

เขาค่อย ๆ ทรงตัวลุกขึ้น เบิกดวงตาให้กว้างมากกว่าเดิม มองนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ข้อมือซ้ายก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เสียงกวนประสาทยังดังไม่หยุด เขามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าในนี้คือห้องน้ำในบ้านเขานั่นเอง ยังดีอยู่ที่ว่ายังไม่มีใครใช้ พื้นแห่งสนิท และไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน

ประสาทที่ค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวล่าสุดที่เขาพึ่งพบเจอผุดขึ้นในสมอง เท่าที่เขาจำความได้ก็คือ เขาล้มฟุบไปต่อหน้าพี่ชายของเขา ทั้ง ๆ ที่พี่ชายคนนั้นยังไม่ได้ขยับกระทำการอะไรเลยแม้แต่น้อย ‘ไอ้เซนเหรอ มันจะทำแบบนี้ทำไม’ เขาคิดขณะที่เดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องน้ำยังกับคนท้องเสียขั้นรุนแรง

แสงใสแสงหนึ่งแวบวาบขึ้นหน้าบ้านคล้ายฟ้าแลบ ไม่นานเสียงของความเจ็บปวดแปลกประหลาดของมนุษย์ก็ดังขึ้น

เสียงไซเรนของตำรวจดัง ตามมาด้วยเสียงเบรกรถ เสียงปะทะของบางสิ่งซึ่งรุนแรงมาก เสียงตะโกนบอกว่า “มันมาอีกแล้ว!” ดังขึ้นจากจุดที่ระบุที่มาไม่ได้

ปัง ปัง ปัง!!!

‘นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน แล้วคนหายไปไหนหมด’ “พี่ทิว! เซน!” เทลตะโกนเรียกหาขณะที่เดินออกมาดูด้านนอกบ้านว่าใครจัดงานอะไร ถึงได้คึกคักกันมากขนาดนี้ ‘ใครเปิดงานอะไรกัน หรือว่ามีคนตาย’
เทลเดินออกมายังลานซีเมนต์หน้าบ้าน สายตามองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด ไร้ซึ่งดวงดาว ‘ทำไมท้องฟ้าวันนี้ดูแปลก ๆ’ คิ้วของเทลขมวดเข้าหากันเมื่อเขาเห็นว่าด้านล่างของท้องฟ้ามีแสงสีแดงอยู่ คล้ายกับแสงไฟของอะไรสักอย่าง ซึ่งในแสงสีแดงนั้น มีควันกลุ่มใหญ่หลายกลุ่มลอยขึ้นไปตามอากาศ

เทลมองเห็นแสงไฟกระพริบสีแดงสีเขียวจากบนฟ้ามาแต่ไกล คาดว่าน่าจะเป็นเฮลิคอบเตอร์ มันบินผ่านศีรษะของเขาไปด้วยระดับความสูงที่เรียกว่าต่ำมาก ทำจนเสื้อผ้าและผมของเขาต้องสะบัดพัดไปมาอย่างรุนแรง เขาเห็นว่าเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวน่าจะเป็นเฮลิคอปเตอร์ของทางสำนักข่าวฟรีทีวีของประเทศไทย

หลอดไฟสปอร์ตไลท์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งกับเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น ส่องไปยังพื้นที่นั้นพื้นที่นี้ไม่หยุด ในใจของเทลรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่แปลกมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ เขานึกเล่น ๆ ว่าถ้าหากเปิดโทรทัศน์ตอนนี้จะเป็นอย่างไร จะเห็นฮ.ลำที่บินว่อนไปมาอยู่นี่หรือไม่

โทรทัศน์ถูกกดสวิตซ์ เขาเลือกช่องไปเรื่อย ๆ “อะ นี่ไง!” ในที่สุดเขาก็เจอจนได้ รายการที่เขาดูในตอนนี้เป็นข่าวด่วนของทางช่องนี้โดยเฉพาะ มีใบหน้าของหญิงผู้ประกาศข่าวหน้าขาวสวยอยู่ในจอเล็ก ๆ มุมล่างซ้ายของจอ ส่วนภาพหลักก็คือภาพถ่ายทอดสดทางอากาศที่ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ ‘นี่เทคโนโลยีของไทยเรามันดีถึงขนาดนี้แล้วเหรอ’ อันที่จริงเทลกะจะเปิดดูเล่น ๆ ซักพักก็ปิด แต่มันกลับทำให้เขาต้องสนใจและรับชมข่าวจากช่องนี้ต่อก็เพราะคำพูดของสาวนักประกาศข่าว

“ค่ะ ในขณะนี้ตำรวจที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว คงได้เพียงแต่กักกันพื้นที่และรอคำสั่งไปก่อน คุณอดิศักดิ์ว่าไงคะ” นักประกาศข่าวพูดด้วยอาการตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ภาพในจอเล็กตัดไปที่ผู้ประกาศชายที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียด สังเกตได้จากเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาอยู่ไม่หยุด

“ครับ สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าเข้าขั้นวิกฤต ฝ่ายตำรวจเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นใครกันแน่ เพียงได้แต่ตั้งสมมุติฐานเท่านั้นว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างพ่อค้าอาวุธชาวยุโรปกับกลุ่มนิรนามแห่งตะวันออก ซึ่งยังสรุปหาผลไม่ได้ว่าชนวนเหตุในครั้งนี้คืออะไร และทั้งสองเมืองนี้มีพวกอันตรายแบบนี้มาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ การเข้าแทรกแซงการปะทะก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกำลังคนอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยคนเลยล่ะครับ เป็นไปได้ว่าจะใช้หน่วยสวาทเข้าปฏิบัติการสูงมาก ตอนนี้ผมคงต้องออกจากพื้นโดยด่วนแล้-”

เทลปิดโทรทัศน์ เขานิ่งคิดอยู่สามวิ

“พี่ทิว! เซน!” เขาตะโกนเรียกอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ มีก็เพียงแต่เสียงกวนประสาทซึ่งตอนนี้เทลคาดว่าน่าจะเป็นเสียงปืน และเสียงระเบิดที่ดังกังวานอย่างไม่ขาดสาย

เทลเดินไปที่ประตูเหล็กหรือประตูหน้าบ้านของเทล เขาเปิดประตูเล็กออกมามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่พบอะไร เขายืนเกาหัวอยู่ครู่หนึ่ง ‘นี่มันบ้าอะไรกันอีก ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา’

เปรี้ยง ๆ

เสียงปืนดังมาจากหน้าปากซอย ตามด้วยรถเก๋งหรูสีดำคันหนึ่งวิ่งเลี้ยวเข้ามาอย่างรุนแรง ทำเอาด้านข้างของรถเฉียดกับผนังตึกข้างซอยเล็กน้อย กระจกติดฟิล์มเต็มไปด้วยรอยกระสุน ส่วนอื่น ๆ ก็มีรอยบุ คาดว่าน่าจะเป็นรถกันกระสุน

รถคันนั้นแล่นเข้าแบบไม่สนว่าจะมีใครอยู่ด้านหน้าเลย ก็ไม่มีใครอยู่จริง ๆ -มันแล่นตรงเข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วที่สูงมาก

เหมือนจะมีรถอีกคันที่มีลักษณะเหมือนกันกำลังจะเลี้ยวเข้ามา แต่

ตูม!!!

“มะ มะ มิสไซล์เหรอ หรือว่าอาร์พีจี อะ อะไรกันเนี่ย” เทลเห็นหัวจรวดพุ่งตรงเข้าทำลายรถคันนั้นอย่างไม่เหลือให้ชม เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว

ถ้าเขาคิดไม่ผิด เหมือนเขาจะได้ยินเสียงดนตรี เป็นเพลงเต้นที่เต็มไปด้วยเสียงเบส ดังออกมาจากรถคันนั้นเขาเดินถอยกลับเข้าไปหลบหลังประตูให้รถคันนั้นผ่านไป

ยิ่งเข้ามาใกล้เท่าไหร่เสียงนั้นก็ดังมากยิ่งขึ้น เขาไม่รู้สึกสนุกหรืออยากเต้นไปกับเพลงเหล่านั้นเลย มีเพียงแค่ความรู้สึกสะอิดสะเอียน เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

รถผ่านหน้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว เทลเดินออกมาดูที่ถนน ‘เอียด!’ รถคันนั้นเบรกทันที ห่างจากเขาไปสามสิบเมตรได้ ประตูรถถูกเปิดออก การกระทำแบบนั้นทำให้เทลต้องหาที่หลบ แต่เขาก็ยังอยากรู้จึงโผล่ศีรษะออกมาจากหลังเสาของตึกที่อยู่ตรงข้ามบ้านของเขาเล็กน้อย

คนที่เดินออกมาคือชายหน้าฝรั่งในชุดสูทสีดำที่เทลเคยเห็น แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดยิ่งกว่าหิมะ ผมจากที่เคยเป็นสีน้ำตาลเข้มกลับกลายเป็นสีขาวเงิน มุมปากที่แย้มขึ้นแสดงรอยยิ้มอันน่าขยะแขยงออกมา ในมือถือปืนพกสีดำไว้แน่น ใบหน้าซึ่งดูมีแต่ความสุขของชายคนนั้นจ้องมายังเทลที่ยืนตระหนกอยู่ในมุมมืด

‘หรือว่ามันจะหยุดรถเพราะเรากัน’ ใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อได้เห็นชายคนนั้นจ่อปืนมาทางเขา แล้วก็... ‘เปรี้ยง!’ ลูกกระสุกเฉียดศีรษะของเทลไปโดนผนังปูนที่อยู่ด้านหลังจนแตกกระจายออกจากกัน หูของเขาอื้อไปในทันที

การยิงโดยไม่บอกกล่าวคำใด ๆ จากชายใส่สูททำให้เทลต้องรีบหลบเข้ามุมหาที่กำบัง

‘ตึบ ตึบ’ เสียงของประตูรถถูกปิดติด ๆ กัน คาดว่าน่าจะมีอีกประมาณสามถึงสี่คน ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน’ เขานึกถึงทิว ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ และเซน เพื่อนสนิทที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด พลางนึกไปถึงความปลอดภัยของทั้งสอง เพราะตั้งแต่ที่เขารู้สึกตัวเขาก็ไม่ได้พบใครเลย

“ออกมาดีกว่าน่า ตายเร็ว ๆ ก็ยังดีกว่าไม่ตาย ว่าไหม หึหึ” ชายคนที่ยิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มไม่หุบ อันที่จริงเทลไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย เพราะที่เขาพูดมันเป็นภาษาที่เขาไม่ได้รู้จักคุ้นเคยมาก่อน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นสำเนียงแข็ง ๆ เร็ว ๆ คล้ายพวกรัสเซีย

‘มันพูดอะไรกัน หรือว่าจะเป็นพวกค้าอาวุธที่อยู่ในทีวี’ ความหวาดกลัวที่แต่ก่อนไม่เคยผุดให้เห็นจากจิตใจของเทล แต่ตอนนี้กลับปรากฏออกมาด้วยการเต้นของหัวใจที่รุนแรง เหงื่อจำนวนมากที่ใหลย้อยลงมาตามใบหน้า ลมหายใจที่ออกมาจากทางปากพร้อมกับรูจมูก แต่ว่า เทลก็ไม่ได้สติแตกหรือเอาแต่มุดหัวไม่คิดอะไรเลย

เสียงฝีเท้าแห่งความตายเดินเข้ามา สมองของเขาพยายามที่จะปะติดปะต่อหาทางเอาตัวรอดจากพวกถือปืนนิสัยวิกลจริตนี้ให้ได้ ตาก็พลอยมองไปรอบ ๆ ...

“ถึงจะแม้ว่าแกจะไม่ใช่เป้าหมายหลักก็ตามและก็ถูกยกเลิกการสังหารไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมว่ะ พอฉันเห็นหน้าแกกลับนึกสนุกขึ้นมาทันที และใจของฉันยังบอกอีกว่าปล่อยคนอย่างแกไปไม่ได้เลย เขาว่ามาแบบนั้นแหละ” ไม่ว่าจะพูดยังไงเทลก็ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจอยู่ดี

‘ไม่มีอะไรพอที่จะใช้ได้เลยเหรอวะ’ เทลสบถในใจเมื่อรายตาไปรอบ ๆ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่พอจะช่วยเขาได้เลย ‘จากท่าทางของพวกมัน ก็คงจะเป็นมืออาชีพแน่ การจู่โจมแบบทีเผลอของคนมีประสบการณ์น้อยอย่างเราคงเป็นไปได้ยากที่จะไม่โดนยิงเข้าก่อน’ สมองของเขายังคงแล่นไปมาด้วยความกังวลและหวาดกลัวอยู่ไม่หยุด ‘จะทำไงดีกันนะ มันก็ใกล้เข้ามาแล้ว’

ฟิ้ว! ครืน~

วัตถุขนาดใหญ่เท่ารถยนต์ด้านหลังมีประกายไฟเผาไหม้จำนวนมาก พุ่งผ่านศีรษะของชายฝรั่งชุดสูทนั่นในความสูงที่ไม่น่าจะเกินห้าเมตรซึ่งถือว่าเฉียดหัวเลยทีเดียว สะเก็ดจากการเผาไหม้เศษส่วนของวัตถุนั้นตกลงมากระจัดกระจายเต็มพื้นรอบ ๆ ‘ดาวเทียมเหรอ ไม่ใช่หรอก ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก คงต้องตอนนี้เท่านั้นล่ะนะ’

เทลเบิกตาทั้งคู่ให้กว้าง ดีดตัวออกมาจากจุดหลบซ้อนด้วยความเร็ว ใช้ช่วงเวลาที่ชายฝรั่งนั่นกำลังขยับกายหลบเศษเหล็กที่หล่นลงมาจากฟ้า มือขวาของเทลจับที่ปลายปืนพก มือซ้ายกะเทาะเข้ากับข้อมือขวาที่ถือปืนอยู่ของชายฝรั่ง เขาได้ปืนมาอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเขาก็ใช้หัวเข่าข้างซ้ายกระแทกเข้าไปที่ซี่โครงขนาดใหญ่ของชายฝรั่ง เมื่อเทลได้มาเห็นใกล้ ๆ แล้วก็พบว่าชายคนนี้ตัวสูงใหญ่กว่าเขามาก ‘ตัวใหญ่ชะมัด อยู่ใกล้ไม่ได้แล้ว’ เทลเทน้ำหนักทั้งตัวไปกับเข่าซ้าย ชายคนนั้นตัวเซและล้มลงกับพื้นแบบไม่ทันตั้งตัว และยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้นที่เขาแย้งปืนมาและทำให้ชายร่างใหญ่ต้องล้มคะมำลงกับพื้น

เทลรีบลุกออกจากร่างอันกำยำของชายฝรั่งและวิ่งกลับไปหลบที่เดิม ‘ปัง’ กระสุนปืนเฉียดหัวไหล่ซ้ายของเทล “อัก!” ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายทันที แต่หลังจากนั้นเขากลับรู้สึกชา เขาสลับปืนจากมือขวาไปยังมือซ้าย และใช้มือขวากุมแผลที่หัวไหล่ซ้ายไว้ ไม่นานความเจ็บปวดกลับเปลี่ยนจากชาเป็นเริ่มรุนแรงขึ้น ‘หนอย พวกมากนักนะ ถือว่าโชคยังเข้าข้างเพราะแค่เฉียดเท่านั้น ไม่ถึงกับฝังเข้าในร่าง... โดนยิงมันเป็นยังนี้นี่เอง’ เทลทำหน้าแหยเพราะบาดแผล และหายใจอย่างถี่รัว ใจเต้นอยู่ไม่หยุด ‘ว่าแต่ ปืนนี่มันใช้ยังไงกันวะ’ เขาจ้องมองไปที่ปืนพกสีดำขนาดเหมาะมือน้ำหนักได้ที่ด้วยความสงสัย
‘ทนเอาก็แล้วกันนะ ไอ้เทล’ เขาปล่อยมือขวาออกจากการกุมแผล ย้ายปืนมาแขนข้างที่ถนัด นั่นคือข้างขวา ‘จากสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว เป็นไปได้ว่าพวกนี้จงใจจะฆ่าเราจริง ๆ ยิงสวนกลับไปคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง’ เขาย่อตัวลงกับพื้นและค่อย ๆ โผล่หัวออกมาจากเสาปูนระดับหัวเข่า เห็นชายฝรั่งใส่สูทผมสีขาวคนอื่น ๆ กำลังซุ่มอยู่ และใช้พื้นที่แต่ละจุดเป็นที่กำบัง แต่ไม่มีใครมาดูมาช่วยเหลือชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเลยสักคน

“บ้าเอ้ย เอาปืนของฉันคืนมานะ บ้าจริง! เสียท่าให้เด็กเนี่ยนะ ...เฮ้อมันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นเป้าหมายของฉัน หึหึ” ชายฝรั่งก็ยังพูดภาษาแปลก ๆ เหมือนเดิม

‘พูดอะไรที่จะให้คนอื่นเข้าใจได้บ้างสิวะ’ ดวงตาของเขาจ้องไปที่ชายฝรั่งคนนั้น เขาเดินกลับเข้าไปหาลูกน้อง แย้งปืนมาเป็นของตน และก็เดินออกมา ใบหน้าก็ยังคงรอยยิ้มแบบแปลก ๆ

“อะไรกันลูกพี่ มันปืนของผมนะ” ชายคนที่โดนแย่งปืนไปแย้งขึ้น

“เลิกเล่นแล้วรับหนีกันเถอะลูกพี่” ชายอีกคนพูด

“ไม่มีที่ให้หนีหรอก นอกจากจะฝ่าวงล้อมออกไป หรือก็รอให้พวกนักวิจัยบ้าบอนั่นสร้างกำลังเสริมให้ได้มากกว่านี้ก่อน” ชายผู้เป็นหัวหน้าพูด

“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมพวกเราไม่รออยู่ที่แลบแล้วค่อยออกมาพร้อมกันกับกำลังเสริมเลยล่ะครับ” ชายคนที่ถูกแย่งปืนไปกล่าวถาม

“หึ จะให้กลับไปนรกนั่นน่ะเหรอ ฉันว่าอีกไม่นานพวกสห. ก็คงจะส่งกำลังทางอากาศมาทำลายแลบนั่นแล้ว ดีแล้วล่ะที่พวกเราออกมาก่อน” หัวหน้าพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็ยังดูดียิ่งกว่าใบหน้าตอนยิ้มของเขา

“ลูกพี่ มันไปแล้ว” ชายผู้เป็นลูกน้องชี้ไปยังเทลที่ออกวิ่งไปยังหน้าปากซอย

“ไม่ต้องทำอะไรก็จะตายซะแล้ว โง่เขลาอะไรอย่างนี้ หึหึ หึหึ” ชายผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะยิ้มเยาะออกมา “กลับเข้ารถกัน เราจะไปนั่งเล่นที่ท้ายซอย” ชายทั้งหมดเลิกสนใจเทล

‘เลิกตามแล้วเหรอ หมายความว่าไงกัน’ เทลแลหลังมองดูเล็กน้อย เมื่อพบว่าไม่มีใครตามมาจึงลดความเร็วในการวิ่งลง แล้วค่อย ๆ เดินมายังหน้าปากซอยด้วยความระมัดระวัง

ด้านนอกนั้นเป็นถนนใหญ่สี่เลนซึ่งโดยปกติแล้วจะมีรถแล่นสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่ รถที่เคยวิ่งไปวิ่งมาแบบไม่สนใจใครได้นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเกือบกว่าสิบคันได้ แต่ละคันอยู่ในสภาพยับเยิน กระจกแตกกระจาย ประตูรถบุหักพังบิดเบี้ยว เศษเหล็กต่างเสียบไปยังจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ที่อยู่ข้างถนน ผนังซีเมนต์ของตึกขนาดสามชั้นซะส่วนใหญ่ ฟุตบาตรก็แตกออกจากกันในหลาย ๆ จุด ควันสีดำพุ่งพวยออกมาจากซากรถอย่างไม่ขาดสาย คราบเลือดสีแดงเข้มจนจะกลายเป็นสีดำเกลื่อนกลาดเต็มพื้นถนน ไฟข้างถนนสีส้ม ที่สอดส่องลงมาก็ตัดขาดไม่ทำงานในหลาย ๆ หลอด
เมื่อสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเทลซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต สิ่งที่เขาเห็นมันยิ่งกว่านรกที่จินตนาการไว้ ผู้คนจำนวนมากนอนแน่นิ่งเกลื่อนกลาดจมกองเลือดเต็มไปหมด ศพพวกนั้นอยู่รวมกันราวกับว่าวิ่งหนีอะไรซักอย่างมาพร้อมกัน แล้วกลับต้องมาตายเพราะบางสิ่ง ที่น่าโหดร้ายไร้ความเป็นมนุษยธรรม

สิ่งที่ผุดขึ้นในหัวเขาสิ่งแรกนั่นคือพี่ทิวและเทล ลึก ๆ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าในจำนวนนั้นมีพี่และเพื่อนของเขารวมอยู่ด้วย ‘ให้ตายสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’ เขามองไปนั่นนี่ เผื่อว่าจะรู้สาเหตุและความเป็นไปของสถานการณ์ได้

‘นะ นั่นมัน อะไรกัน’ เมื่อเขามองไปทางทิศตะวันออก ด้านปลายทางของถนนมีกลุ่มคนจำนวนมาก ไม่สิ ถ้าจะให้เรียกว่าคนคงจะไม่ใช่ เพราะลักษณะท่าทางนั้นผิดแผกแตกต่างไปจากมนุษย์อยู่ไม่น้อย ด้วยลักษณะของรูปร่างที่สูงใหญ่ผิดธรรมชาติ ตัวขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ เส้นผมที่ขาวใสมองทะลุไปถึงหนังศีรษะ ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลแต่เทลก็ยังสังเกตได้อย่างชัดเจนเลยว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่มนุษย์ที่เขารู้จัก
‘! มีคนมาทางนี้’ เขาตกใจหันไปทางทิศตะวันตก

“ยกมือขึ้น! ยกมือขึ้น! กุมมือไว้บนหัว!” ชายในชุดเกราะสีดำใส่หมวกกันกระสุน ในมือถือปืน M4A1 พ่วงอุปกรณ์จำนวนมากไม่ว่าจะเป็นลำกล้อง เลเซอร์ ตัวยิงระเบิด หรืออีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้น้ำหนักของปืนกระบอกนี้หนักยังกับปืนกล เขาเล็งปืนมายังเทล ด้านหลังเขาก็มีอีกสิบกว่าคนได้ พวกเขาอยู่ในชุดเดียวกันหมด จุดเด่นเพียงจุดเดียวคือตราสัญลักษณ์ของเสื้อที่ต้นแขนซ้าย มันเป็นรูปหัวกะโหลกสวมฮูดสีแดงแล้วมีรูปเคียวยาวพาดตัดกัน

“นี่ หมอนี่เป็นไง” ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น

“ไม่น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อ แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าไม่ได้ติดเชื้อเพราะว่าทางเราก็ไม่ได้มีข้อมูลมาก” ชายอีกคนตอบ

“นายสองคนคุมตัวหมอนี่ไว้ก่อน” ชายคนที่ตะโกนบอกเทลสั่งลูกน้อง ชายที่อยู่ด้านหลังอีกสองคนก็เดินมาหาเทลพลางเล็งปืนมายังเขาแบบไม่ลดละ

“หัวหน้าพวกมันเคลื่อนที่เร็วขึ้น!” ชายคนหนึ่งที่เดินมาหาเทลชี้ไปทางกลุ่มคนผมขาวตัวซีดที่อยู่ไกลออกไปประมาณร้อยเมตรได้

“อย่าพึ่งยิง รอดูสถานการณ์ก่อน พวกนั้นอาจจะเป็นประชาชนธรรมดาที่กำลังหนีอยู่ก็ได้”

“หือ หึหึ หึหึ หือ~ หือ หึหึ” เสียงครางปนหัวเราะดังอื้ออึงไปทั่ว เมื่อคนกลุ่มนั้นวิ่งใกล้เข้ามาด้วยความเร็วแบบไม่น่าเชื่อ

“ยิง!” สิ้นเสียงคำยืนยัน ทุกคนในหน่วยก็สาดกระสุนเข้าใส่กลุ่มคนที่มีท่าทางแปลกประหลาดพวกนั้นทันที เสียงปืนดังสนั่นจนเทลต้องเอามือปิดหูและค่อย ๆ ออกห่างจากพวกเต็มยศไปทีละก้าว พวกนั้นก็ไม่สนใจเทลสักเท่าไหร่

กลุ่มคนแปลกประหลาดเมื่อเห็นห่ากระสุนจำนวนมากพุ่งมาก็วิ่งหาที่หลบกันให้ควัก บ้างก็หลบที่ซากรถพัง บ้างก็วิ่งทะลุประตูไม้ของบ้างที่อยู่ข้างถนน หรือไม่ก็วิ่งทะลุกระจกของร้านค้าจนต้องแตกกระจาย โดยที่พวกนั้นไม่รู้สึกสะเทือนสะท้านร่างกายเลยแม้แต่น้อย ในจำนวนนั้นเหมือกับว่าจะมีอยู่ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ต่างก็มีลักษณะเหมือนกันทั้งนั้น คือร่างใหญ่ผิดสมดุล ผมขาวใส ตัวซีด แต่ที่แปลกยิ่งกว่าคือพละกำลังความแข็งแรงที่พวกนี้มีมันเกินกว่าที่วัยหรือเพศจะทำได้

“หัวหน้า! หรือว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกติดเชื้อ” ชายคนหนึ่งหยุดยิงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของสิ่งที่ตนยิงถามขึ้นด้วยความสงสัยน้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว

“ไม่รู้! สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือคำจากปากของตำรวจและผู้ที่เห็นเหตุการณ์มาก่อน สภาพแบบนี้กับการเคลื่อนที่ว่องไวแข็งแรงผิดมนุษย์แบบนั้นนั่นแหละคือสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้ ยังไงซะเราต้องไม้ประมาท” คนที่ดูจะเป็นหัวหน้าก็หยุดยิงแล้วหันมาพูดด้วยเสียงสั่นในหลาย ๆ ครั้ง

“แล้วตกลงมันเป็นอะไรกันแน่ครับ หรือว่าเป็นซอมบี้” ชายอีกคนถาม

“ซอมบี้มันไม่รู้จักหลบลูกกระสุนแบบนี้หรอก!” ชายอีกคนที่ยืนเล็งปืนอยู่ข้าง ๆ ตะคอกใส่

“มันออกมาแล้ว!” หัวหน้าเปล่งความสนใจของลูกน้องให้กลับมาที่กลุ่มคนประหลาด “อย่าให้พวกมันเข้ามาใกล้พวกเรา และก็อย่าให้ผ่านที่ตรงนี้ไปได้”

“ครับ!” ลูกน้องทั้งหมดขานรับพร้อมกัน

จนถึงตอนนี้เทลก็ยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี พวกที่คล้ายหน่วยสวาทและมีตราสัญลักษณ์แปลก ๆ กำลังยิงประชาชน ไม่สิ เขาพูดได้ไม่เต็มปากเลยว่าพวกนั้นยังเป็นประชาชนอยู่หรือเปล่า มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกกลัวกังวลปนกัน เขาหันไปมองยังอีกด้านซึ่งเป็นพวกประหลาดที่ยังวิ่งหลบกระสุนไปมาไม่หยุด พวกนั้นพยายามที่จะเข้าใกล้จุดที่เทลอยู่อย่างสุดความสามารถ ใบหน้าของพวกนั้นที่ควรจะเคร่งเครียดกลับเผยรอยยิ้มอันน่าสยดสยองออกมาสิ่งนั้นทำให้จิตใจของเหล่าหน่วยพิเศษต้องตกฮวบไปตาม ๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่เทล เขาไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวพันธุ์นี้มาก่อน มันทำให้เขานึกถึงชายหน้าฝรั่งใส่สูทที่กำลังจะเอาชีวิตของเขาไป

“กำลังเปลี่ยนแมค!”ชายคนหนึ่งพูด

“ให้ตายสิ กำลังเปลี่ยนแมค!” หลังจากนั้นทั้งหมดกลับต้องหมดกระสุนจนต้องเปลี่ยนแมคลูกกระสุนพร้อมกัน ถึงจะฝึกมาดีแค่ไหนสำหรับความเร็วในการเปลี่ยนแมคกระสุน แต่กลับไม่เร็วเท่ากับกลุ่ม
ประหลาดวิปริตที่พุ่งตัวเข้ามาแบบที่ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว กลิ่นอายความกระหายทำให้ทหารนายหนึ่งถึงกับทำแมคตกลงพื้น หญิงคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาถึงก่อนกระโจนเข้าใส่ชายคนนั้น เธอชกเข้าไปที่ท้องของเขาจนร่างของชายคนนั้นกระเด็นกลับไปด้านหลัง ชายคนนั้นตายสนิท

“อะไรกันวะเนี่ย!” ชายอีกคนซึ่งเห็นเพื่อนตายด้วยหมัดเพียงมัดเดียวเอ่ย เขาพึ่งเปลี่ยนแมคกระสุนเสร็จด้วยเหตุนั้นเขาจึงกระหน่ำยิงไปที่หญิงคนนั้นไม่ยั้ง พลางร้องออกมาด้วยความสะใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เอาไปกินซะ! อ่า~!!!” แรงผลักของกระสุนทำให้หญิงคนนั้นนอนแน่นิ่งกับพื้นแบบไม่มีการตอบโต้ใด ๆ

“อ้าก!!!” แต่เมื่อชายคนนั้นหันกลับหลังไปก็เห็นเพื่อนของเขาอีกสิบกว่าคนโดนหักคอ ตัดแขน ร่างเหล่านั้นไส้ทะลัก ขาขาด ไม่มีลูกตา เหลือเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ยังได้เห็นภาพที่เขาไม่อยากจะเห็นมากที่สุด “บ้าเอ้ย!!!” เขาร้องตะโกนออกมาสุดเสียง มือของเขาก็เปลี่ยนมาใช้ปืนยิงระเบิดแล้วเล็งไปยังกลุ่มประหลาดที่กำลังจะมาสังหารเขาเป็นลายต่อไป

ตูม!!!!

เสียงระเบิดดังขึ้น แรงระเบิดส่งให้ร่างพวกประหลาดกระเด็นไปคนละทิศละทาง เศษชิ้นส่วนของเนื้อกระเด็นมาโดนเทลที่ยืนอยู่ห่างจากนั้นสามสิบเมตร ตาเขาเบิกโพลงเมื่อได้เห็นการกระทำของกลุ่มคนประหลาด

มีอยู่ห้าคนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดกำลังมุ่งมายังเขา ทั้งห้าคนนั้นมีร่างที่ใหญ่ยิ่งกว่าชายฝรั่งเมื่อตอนที่เขาเคยแย้งปืนมาถึงสองเท่า พวกนั้นวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่จะให้เทลได้คิดหน้าคิดหลัง ทำให้เข้าต้องยิงปืนที่อยู่ในมือออกไป แต่ด้วยบาดแผลทำให้เขายิงไม่แม่นนัก เหมือนโชคเข้าข้าง ทั้งห้านัดที่เขายิงติดต่อกันนั้นตรงเข้าที่ศีรษะของพวกนั้นทุกนัด ทั้งหมดล้มลงกับพื้นในทันที

เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้พวกที่เหลืออยู่นับร้อยหันมาทางเขา และออกวิ่งมา ใจของเทลหายวับ เขาไม่รู้จำทำยังไงต่อไป ได้แต่ยืนตะลึงอยู่กับที่ ปืนที่มีอยู่ตอนนี้ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ‘บ้าจริง! ให้ตายสิ!’

ตูม!!!!!
ระเบิดที่ไม่ทราบที่มาตกลงกลางพวกประหลาด แต่ด้วยจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้แค่ถ่วงเวลาให้เทลให้ได้คิดเท่านั้น เขามองหาว่าใครเป็นทำแต่ก็กลับไม่เห็นมีใครเลยสักคนเดียว

ไม่ เขาเห็นแล้ว เงา ๆ หนึ่งเหมือนกับเงาที่เขาเคยสู้มาเมื่อตอนที่อยู่มุมตึก เขาต้องแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเงานั้น ไม่คราวนี้ต้องเรียวกว่าร่างสีดำ เพราะถึงแม้ว่าร่างนั้นจะเหมือนเงามากแค่ไหนแต่ตอนนี้เงานั้นช่างเป็นประกายรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าซะอีก

‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’

เสียงสายฟ้ากระทบกัน เคลื่อนที่ไปมาระหว่างเงาและค้อน ค้อน สิ่งที่ร่างสีดำถืออยู่คือค้อนขนาดเท่าตัวคน ถ้าเทลไม่ตาฝาดหรือจินตนาการไปเองเขาคงมองไม่ผิดว่าเป็นค้อนสีดำมีประจุไฟฟ้าจำนวนมากเคลื่อนที่ไปอยู่รอบ ๆ ค้อนเป็นแน่

ร่างสีดำนั้นมองมายังเทลแวบหนึ่ง และก็หันไปทางกลุ่มคนประหลาด เขายกค้อนยักษ์ที่ตั้งอยู่กับพื้นขึ้น เสียงของสายฟ้ายังดังอยู่ไม่หยุด

ร่างนั้นย่อตัวลงคล้ายจะออกวิ่ง ทันใดนั้นพื้นถนนที่เป็นปูนซีเมนต์ก็เริ่มรวดร้าว

ตูม!!!

เขากระโจนเข้าหากลุ่มคนประหลาด พื้นที่เขาเคยเหยียบแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
5th September 2013, 18:47
ขอถามหน่อยครับ ยังมีคนอ่านอยู่ไ่หมเนี่ย แต่ยังไงผมก็รู้สึกมันจริง ๆ ที่ได้แต่งเรื่องนี้(ฮา)

thekrof
5th September 2013, 19:09
อยากอ่านครับแต่รอแต่งจนจบก่อน เพราะผมไม่ชอบอะไรค้างคา
ปล.ผมก็อยากแต่งบ้างครับแนะนำหน่อย

santisook01
5th September 2013, 19:47
อยากอ่านครับแต่รอแต่งจนจบก่อน เพราะผมไม่ชอบอะไรค้างคา
ปล.ผมก็อยากแต่งบ้างครับแนะนำหน่อย

ถ้าหากว่าจะรออ่านตอนจบทีเดียวผมว่าอีกยาวครัีบ ถ้าจากที่ดู ๆ แล้วก็จะประมาณ 10 กว่าตอนโน่นแหละครับถึงจะจบ สามเดือนไม่รู้ว่าจะจบให้ไหม

ถ้าจะขอคำแนะนำล่ะก็ สำหรับผมนะ 1.ฟังเพลงปลุกอารมณ์ เช่น Soundtrack หรือไม่ก็เพลงบรรเลงของพวก Two step From the hell, Audiomachine, Mr.Epic Ost พวกนี้ ขณะแต่งหรือสร้างอารมณ์ก่อนแต่ง
2.ฟังเพลงมันส์ แนวRock ปกติของผมจะเป็นพวกร็อคแจแปนครับ NANO, Uverworld เรียกได้ว่ามันจริง ๆ ครับ ผมเปิดเพลงพวกนี้ตอนแต่งเรื่องนี้แหละครับ
3.อ่าน ๆ สิ่งที่คุณคิดว่าจะพอเขียนนิยายในอุดมคติของคุณครับ ของผมก็หาหลายอย่างอยู่เหมือนกันกว่าจะเขียนอะไร ๆ ได้ หรือไม่ก็กวีของนพรัตน์ครับ ผมชอบมาก

santisook01
14th September 2013, 11:50
ตอนที่ 5 : คู่หู

23.23 น.

“อูย กว่าจะเข้ามาได้เอาอึแทบเล็ด”

หลังจากที่ได้ลักลอบเข้ามาห้องน้ำของสวนสาธารณะได้ กรที่อยู่ในสภาพท้องเสียขั้นรุนแรงก็ได้รับการปลดปล่อย มันทำให้เขาโล่งไปหมด ทั้งกายและใจ

สวนแห่งนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ โดยปรกติเวลาปิดนั้นคือสองทุ่ม แต่ด้วยที่ว่า “กร” เด็กหนุ่มผู้กำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากที่ทำงานพิเศษเสร็จ กลับปวดท้องปวดไส้ จำต้องหาจุดระบายสิ่งที่ปั่นป่วนอยู่ในท้องของเขาให้ได้ ทางออกเดียวคือห้องน้ำของสวนสาธารณะแห่งนี้

“สะอาดดีกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ”

เขาเปรยออกมาขณะเหม่อมองไปยังผนังปูนสีขาวและประตูที่มีกรล็อคสแตนเลตอย่างดี

งานพิเศษที่เขาทำคืองานร้านอาหารแห่งหนึ่งในใจกลางเมือง เขาต้องกลับบ้านก่อนเพื่อไปนอนพักผ่อน หลังจากนั้นหนึ่งทุ่มตรงกรก็จะต้องประจำอยู่ที่ร้านอาหาร ในฐานะเด็กทำความสะอาด เขาไม่อยากจะคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นต่ำต้อยหรือไร้ศักดิ์ศรี เพราะค่าแรงที่ได้นั้นมันคุ้มกว่าความเหนื่อยที่เสียไปซะอีก

ตูม!

เสียง ๆ หนึ่งคล้ายระเบิดดังขึ้น ต้นเสียงคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เพราะมันทำให้กรสะดุ้งเล็กน้อย “พลุเหรอ จัดงานอะไรกัน”

เขาไม่สน เขานั่งบนชักโครกอย่างสบายอารมณ์ต่อไป แต่ก็ยังไม่สบายท้องอยู่ดี

บรื้น บรื้น บรื้นนนนนนน …

เสียงรถยนต์ดังขึ้น เขารู้สึกถึงความเร็วที่รถยนต์คันนั้นแล่นได้ มันเร็วมาก เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นไม่นานมันก็หายลับไปในชั่ววินาที ห้องน้ำนี้อยู่ไม่ห่างจากถนนนัก จึงไม่ยากเลยที่กรจะได้ยินชัดมากขนาดนี้

หว้อ~ หว้อออออ~

เสียงไซเรนของรถตำรวจดังขึ้นตามมา เสียงใกล้เขามาเรื่อย ๆ มันเข้ามาเร็วมาก แน่นอนว่ารถตำรวจคันนี้ต้องวิ่งเร็วเช่นกัน

จากความคิดของกร เขาคิดว่าคงเป็นเพียงพวกซิ่งกลางเมืองยามดึกเท่านั้น

“ให้ตายสิ ทำไมมันปวดท้องจังวะ คงเป็นเพราะไส้กรอกข้างถนนนั้นแน่เลย บ้าชิบ”

กรคิดถึงไส้กรอกรอบดึกที่เขาซื้อทานรองท้องก่อนจะกลับ และใบหน้าของพ่อค้าดำอันคล้ำเพราะไฟที่ส่องใส่หน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา นึกถึงที ก็อยากจะต่อยหน้าหมอนี่จริง ๆ

กร เด็กหนุ่ม ม.6 ซึ่งมีนิสัยช่างจินตนาการ แต่ก็เป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม เขารักและหลงใหลในฟุตบอลเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นนักอ่านหนังสือตัวยงอีกด้วย กรไม่ถนัดพวกคำนวณ แต่ถ้าหากว่าเป็นตัวหนังสืออย่างเดียวล่ะก็ เรียกได้ว่า อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากเลยก็ว่าได้

กรมีรูปร่างสูง ผิวคล้ำเล็กน้อยเพราะแดด ผมตัดลองทรงสูง ใบหน้าเรียวแบบวงรี มีดวงตาอันทรงเสน่ห์ ใครได้มองเป็นต้องหลงใหล เพราะในดวงตาคู่นี้ของกรเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝันอันมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก น่าแปลก ที่เขายังไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว

กรกดชักโครก แล้วลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องน้ำ

ตูม ๆ !!!!!!!!!

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกแล้ว มันดังมาจากจุดเดียวกันกับที่เขาได้ยินเข้าในตอนแรก กรมีลางสังหรณ์แปลก ๆ เขาไม่เคยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเท่านี้มาก่อน

ภายในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยจัดเรียงกันอย่างสวยงาม หลาย ๆ จุดก็เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ใหญ่พอ ๆ กับตึกสี่ชั้นได้ เขามองไปมองมา แสงไฟจากหลอดไฟภายในสวนที่มีอยู่น้อยนิดก็ยังส่องเป็นปรกติ “หวือ~ ทำไมมันดูวังเวงจังวะ รีบกลับดีกว่า”

เขารู้สึกได้ถึงอากาศที่เริ่มเย็นลงอย่างผิดปกติ กรจึงกอดอกแล้วรีบเดินไปยังรั้วที่เขาเคยปีนเข้ามา แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีคนอยู่ด้านนอก

ใจของเขาเต้นแรงด้วยสาเหตุอะไรเขาก็ไม่ทราบได้ คนที่อยู่ด้านนอกมีประมาณห้าหกคน ทั้งหมดเป็นกลุ่มหญิงสาววัยรุ่นนุ่งสั้นเที่ยวกลางคืน กรไม่กล้าแม้แต่จะเดินต่อ เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเธอ หนึ่งในนั้นหันมาทางกร เธอคนนั้นค่อย ๆ เอียงคอหันมาหาอย่างช้า ๆ คล้ายตุ๊กตาไขลาน

กรใจไม่ดีเลย เขารีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที เหมือนจะเป็นสัญชาตญาณซะมากกว่า ใจของเขายังเต้นแรงไม่หยุด “อะ อะไรกัน ทำไมเราถึงได้...”

กรตกใจเป็นอย่างมาก เพราะก่อนที่เขาจะหาที่หลบได้เขาเห็นใบหน้าของเธอคนนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว ผิวทั้งตัวของพวกเธอขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะ ร่างกายที่ดูเหมือนจะถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นเหมือนการปรับภาพในคอมพิวเตอร์ เส้นเลือดเส้นใหญ่ที่ผุดขึ้นมาตามร่างกายนั้นกระตุกไปมาเหมือนการเต้นของหัวใจไม่มีผิด

‘ผีเหรอ!? ไม่หรอก ผีไม่มี ไม่ใช่ มันมีอยู่แต่มันไม่ใช่แบบนี้แน่ เราเป็นคริสต์นี่นา ถ้ามันเป็นผีจริงมันทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว’ แต่เขาก็ยังใจสั่นไม่หาย

กรเอามือมาจับหน้าอกของตัวเองไว้ พยายามปลอบและตั้งสติให้มั่น

“หือ หึหึ หึหึ หึหึ- ... หือ หือ หึหึ” เสียงหัวเราะกึ่งครางดังออกมา กรมั่นใจว่าต้องเป็นเสียงของพวกเธอแน่ เขาขนลุกวืบวาบไปทั้งตัวอีกรอบ เหงื่อของเขาเริ่มผุดออกมาให้เห็นทีละเม็ด กรคิดหาทางออก ถ้าเขายังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันคงไม่ดีแน่ ว่าแล้วกรจึงวิ่งไปยังต้นไม้อีกต้นซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก ด้วยความที่ว่ากรเป็นนักฟุตบอลเท้าทอง ขณะที่เขาวิ่งจึงไม่มีเสียงย่ำเท้าเลยสักกริบ
กรปีนขึ้นไปยังต้นไม้ด้วยความรวดเร็ว เพื่อที่จะสังเกตสถานการณ์ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็เสียงระเบิดที่ดังรัวนั้นด้วย ‘หายไปไหนแล้ว?!’
ใจเขาเต้นแรงขึ้น นี่มันอะไรกัน เขารู้สึกได้ถึงสิ่งประหลาดมาตลอดตั้งเขาออกมาจากห้องน้ำ


“บ้าจริง ทำไมมันต้องเข้าไปมุมอับด้วยนะ” เซนที่มีปืนไรเฟิล PSG-20 ในมือสบถออกมาด้วยความรำคาญ ตั้งแต่แรกแล้วที่ กร เพื่อนร่วมชมรมเดียวกันกำลังจะตกเป็นเป้าหมายของพวกสิ่งมีชีวิตวิปริตตัวขาวนี้ เขามักเรียกพวกมันว่า “ลาฟรันนิ่ง(Laugh running)”

บนดาดฟ้าของตึกสามชั้นสีขาวหม่นนั้น เซนที่อยู่ในชุดBDU(Battle Dress Uniform) ร่างของเขามีสิ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น แพ็คกระสุนไรเฟิล LST KN-250 กระเป๋าสะพายใบใหญ่ “ไปให้ทันนะพี่ทิว” เขาพูดกับวิทยุสื่อสารพรางข่าวรุ่นล่าสุดที่ติดแนบหูครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดการสื่อสาร



“หึหึ ฮี่” เสียงหัวเราะแหลม ๆ อันน่าสยดสยองดังออกมาจากด้านล่างของต้นไม้ที่กรปีนอยู่

“เหวอ?!” กรเอนไปมาเพราะว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังกระแทกเข้ากับต้นไม้อย่างรุนแรง ดูท่าว่ามันอยากจะล้มต้นไม้ซะด้วย กรที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่คอยจับกิ่งไม้อยู่อย่างนั้น ‘หยุดแล้วเหรอ เฮ่อ’ เขาถอนหายใจในใจ

ตึก!

“หา?” กรเห็นหญิงสาวที่เขาเห็นในตอนแรกกำลังใช้มือเกาะต้นไม้แล้วดึงร่างของตัวเองขึ้นไป “อะไรกันวะ!”

เธอปีนขึ้นมาเรื่อย ๆ กรทำอะไรไม่ถูก ถ้าจะมาเนื้อหอมจนมีสาวปีนมาหาแบบนี้เขาก็ไม่เอาด้วยแล้ว

ปัง!... ผลัวะ!!!

เสียงปืนดังสนั่นก้องไปทั่วบริเวณแต่เสียงไม่ดังมาก เหมือนกับยิงมาจากระยะไกล ต่อจากเสียงปืนก็คือเสียงของสมองของเธอคนนั้นแตกกระจายเป็นโจ๊ก

“อะไรอีกวะเนี่ย!!!”

เลือดสีแดงฉานกระเซ็นมาโดนกรเป็นจำนวนมาก “บ้าจริง สกปรกชะมัด อี้~ เลือดอะไรเหม็น******” เขาพูดออกมาพลางหยีหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“เฮ้ย ๆ มันจะอะไรกันนักหนาวะ” ต้นไม้ที่เขายึดอยู่กำลังส่ายโอนเอนไปมา “ต้นไม้อะไรอ่อนแอเป็นบ้า”

หญิงสาวคนที่เหลืออีกห้าคนเขย่าต้นไม้อย่างเอาเป็นเอาตาย หวังจะให้กรตกลงมาเหมือนลูกไม้

“เอาไงดี เอาไงดี เอาไงดี เอาไงดี...”

“เฮ้ย เลิกพูดได้แล้ว”

“แกนั่นแหละ”

“แกต่างหาก”

“มาสิ”

“เออมาเลย”

กรพูดอยู่คนเดียว เขาพูดอยู่กับตัวเอง

“เหวอ?!” มัวแต่คุย กรจึงไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง ต้นไม้ต้นใหญ่ที่ยืนต้นมาได้ราว ๆ ยี่สิบปีกำลังถูกโค่น มันค่อย ๆ เอนตัวลงตามแรงดึงดูด กรกอดมันแน่น คล้ายกับเป็นหมอนข้างลายการ์ตูนยังไงอย่างนั้น



“ซวยล่ะ เอาไงดี ลองยิงไปเลยก็ไม่ได้อีก ตรวจจับจากคลื่นความร้อนก็ไม่ได้ เจ้าพวกนี้มันอุณหภูมิเท่ากันกับอุณหภูมิตอนนี้ซะอีก ตกลงมันเป็นตัวอะไรกันแน่วะ ขอโทษทีนะกร ฉันช่วยอะไรอีกไม่ได้แล้ว” เซนเล็งไปยังจุดที่ต้นไม้กำลังล้มลงอยู่ จิตใจเต็มไปด้วยความวิตก

“หือ?” พลันมีแสงวับในชั่วพริบตาคล้ายชัตเตอร์ แต่มันสว่างจ่ามากจนเกินกว่าจะมาจากกล้องถ่ายรูปได้ “อะไรกันน่ะ?” เขาหันหน้าออกจากศูนย์เล็งทันที

santisook01
30th September 2013, 11:35
ตอนที่ 6 : เห็นท่าไม่ดี

เทลเห็นท่าไม่ดี เขารีบปลีกตัวออกมาจากการตะลุมบอนระหว่างพวกวิปริตพลังมหาศาลกับร่างเงาชุดดำถือค้อนสายฟ้ายักษ์ มันช่างผิดแผกจากธรรมชาติจริง ๆ ไม่ใช่หนังไซไฟแฟนตาซีอีกซะด้วย

เขากุมแผลที่หัวไหล่อยู่อย่างนั้นเรื่อยมา เทลมุ่งไปยังทางเหนือซึ่งเป็นส่วนของใจกลางของเมือง เขาเดินพลางวิ่งพลางไปตามถนนสายใหญ่ซึ่งรายล้อมไปด้วยหลอดไฟข้างถนนสีส้มแสด

ถึงจะไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ แต่ทางที่ดีคือเขาไม่ควรที่อยู่ที่นั่นนาน เทลวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ เขาวิ่งไปตามฟุตบาตรขนาดกว้างขนาบไปด้วยรั้วเหล็กกั้นบ้านเรือน

“เรื่องอะไรกันแน่วะเนี่ย นี่มันแปลกเกินไปแล้ว” เทลบ่นพลางวิ่งอยู่เนือง ๆ แผลที่หัวไหล่ก็เริ่มบรรเทาลงบ้างจนพอทนได้แล้ว แต่...

“ฮา~”

เสียงแหบแห้งน่าขนลุกแผดร้องออกมาพร้อมกับไอความเย็นแปลกประหลาด มันทำให้เทลต้องหยุดยืนในทันที

‘ด้านขวา ไม่มี ด้านหลัง...’ เขาทำทีชำเลืองมองไปแต่ไม่หมุนคอตาม ใจก็เต้นรัวขึ้นมาทันใด

หวืด!!!

หมัด ๆ หนึ่งพุ่งแทรกอากาศเข้าหาเทลจากด้านหลัง เขาหลีกหลบได้หวุดหวิด เทลเอี่ยวตัวกะจะหมุนเตะสวนคืนกลับไปแต่ก็ไม่โดนอะไร

วืด!!!

เทลรู้สึกถึงมันได้ หมัดลูกที่สองพุ่งมาจากทางด้านซ้าย มันตรงเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างเดียว เทลไม่สามารถที่จะหลบได้อีกเป็นครั้งที่สอง เขาใช้แขนขวาป้องกันอย่างแข็งแกร่ง

ตูม!!!

แขนของเทลเข้าปะทะกับหมัด ๆ นั้นอย่างจัง เสียงดังสนั่นไปทั่ว อย่างกับเสียงปะทะระหว่างเหล็กกับสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าเหล็ก สิ่งที่ตามมานั้นก็คือ หมัดที่พุ่งเข้าหาเทลแตกละเอียดอย่างไม่เหลือความเป็นกำปั้น

ไม่มีเสียงร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวดของศัตรูแต่อย่างใด เทลเห็นร่างของศัตรูชัดแล้ว มันเป็นผู้ชายตัวสูงผอมเล็กน้อย สวมเสื้อแขนยาวมีฮูดสีน้ำตาล กางเกงที่ใส่เป็นแบบสามส่วนสีเทา ท่าทางการเคลื่อนที่เหมือนกับนักบาสเกตบอล ไม่เหมือนนักมวยเลยสักนิด

เทลไม่ลังเลที่จะยิงปืนออกไป เพราะสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านั้น สามารถที่จะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ และมีเจตนาที่จะฆ่าเขาไม่ผิดแน่... ‘เพื่ออะไรกันนะ’

เปรี้ยง!! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!

นักบาสต้องล้มลงในทันทีเมื่อเจอลูกตะกั่วอัดเข้าไป ‘หือ?’ นักบาสค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้น ทำยังกับแค่โดนไม้ตีที่ขาเท่านั้น เทลเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ ของนักบาสคล้ายกับว่าเขาไม่มีทางที่จะทำอะไรหมอนี่ได้เลย

‘คิดสิคิด ถ้าหากว่ามันไม่ใช่คนเหมือนอย่างที่เคยเป็นแล้วมันคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงต้องการชีวิตของเรามากถึงขนาดนี้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ พวกก่อน ๆ ที่เราเห็นมามันก็เหมือนกันไม่มีผิด ยังกับว่าเจ้าพวกนั้นมีสิ่งเดียวที่ต้องการทำก็คือฆ่า ...ฆ่าเหรอ เพื่ออะไรกันนะ’

เทลยิงปืนอัดเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้เขายิงไปที่ขาและศีรษะอย่างละนัด ‘ทำไมเราถึงไม่ยิงหัวมันตั้งแต่แรกนะ’ เขารู้สึกดีใจเมื่อการยิงของเขาครั้งนี้ทำให้นักบาสไม่ลุกขึ้นมาอีก

เทลพลิกแขนขวาขึ้นมาดู ก็พบว่ายังปกติดีอยู่ ‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...’ เขาพลิกแขนไปมา แล้วคิดไปต่าง ๆ นา ๆ เทลรู้สึกว่าเขาเองก็เหมือนไม่ได้ต่างจากตัวประหลาดที่เขาได้เจอมาเลย แขนของเขา ไม่ใช่แม้แต่แขนขวาข้างเดียว มันรวมถึงแขนข้างซ้ายด้วย ตั้งแต่ต้นแขนลงไปจะถึงปลายนิ้วกลาง มันแข็งทื่อ มันไม่มีความรู้สึก มันไม่ใช่แขนที่เขาเคยรู้จัก และมันก็ไม่น่าจะใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติหรือนาน ๆ ทีจะเกิด ‘คงจะเป็นตอนนั้นสินะ ที่เป็นไปได้มากที่สุด’

เขาลองใช้แขนทั้งสองของเขาตีกับของแข็ง ๆ หลายอย่างแล้ว ผลก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบกับแขนของเขามันแตกกระจายไปหมด เหลือเพียงแค่ทอง เพชร และทองคำขาวเท่านั้นที่เขายังไม่ได้ลอง
‘มีคนกำลังมาทางนี้’ เทลหันหลังขวับ ก็ต้องตกตะลึกเมื่อร่างของชายตัวใหญ่ยังกับยักษ์กระโจนเข้าหาเขา ด้านหลังยักษ์นั้นก็มีพวกคล้าย ๆ กันอีกราว ๆ ยี่สิบได้แต่ตัวเล็กกว่า

เขาหันปากกระบอกปืนพกเล็งไปยังศีรษะของยักษ์ทันที

‘แกรก แกรก’

“บ้าเอ้ย กระสุนหมด” เทลขว้างปืนทิ้งแล้วเอาแขนทั้งสองข้างขึ้นมาป้องกันแทน แต่ทว่า

‘บรื้น!! บรื้น!! ตึง!~’

ลัมบูกินีสีส้มพุ่งเข้าชนร่างของยักษ์นั่นกลางอากาศด้วยความเร็วสูง ก่อนจะตกลงมาสู่ถนนด้วยสภาพไม่น่าชม เขาตกใจมาก เขาคิดหาที่มาว่ารถคันนี้พุ่งขึ้นกลางอากาศชนกับยักษ์ประหลาดนี้ได้อย่างไร เมื่อมองไปยังต้นทางแล้วก็เห็นตอหม้อต่ำ ๆ อยู่

“บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก”

ยักษ์ตัวนั้นกระเด็นไปติดแหงกกับตึกข้าง ๆ ทันที ร่างของมันถูกฝังลึกเข้าไปในผนังของตึกนั้นยังกับถูกอัดด้วยสากกระเบือกับครก

น่าแปลกที่ลัมบูกินีคันนั้นยังวิ่งต่อได้ มันหักเลี้ยวตรงเข้ามาหาเทล เขาเห็นกระจกสีดำติดฟิล์มร้าวเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่เห็นคนที่อยู่ด้านในรถนั่นอยู่ดี

รถซูบเปอร์คาร์มาจอดด้านหน้าของเทล คล้ายจะเชื้อเชิญให้ขึ้นมา ประตูถูกเปิดออก เทลลังเลใจอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ขึ้นรถเหมือนเดิม

“ใครวะ” เทลพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
18th October 2013, 10:26
ตอนที่ 7 : คู่หู 2

“บ้าจริง ทำไมพวกมันถึงรู้กันได้นะ ไม่ทันได้เก็บของเลยสักนิด ไอ้พวกบ้านี่” เซนสบถออกมาขณะวิ่งหนีเหล่ารันนิงลาล์ฟ มนุษย์ผิวขาวร่างใหญ่ ที่เซนเรียก

เขาจำต้องสละ PSG-20 ของสำคัญไว้บนดาดฟ้าเพราะเจ้าพวกรันนิงลาล์ฟ มันดันปีนตึกขึ้นมาหาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่แม็กนัมของเซนก็ส่งรันนิงลาล์ฟตัวนั้นร่วงจากตึก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รันนิงลาล์ฟตัวอื่น ๆ ยกโขยงมากันบรือ

เซนวิ่งไปตามบันไดหนีไฟของตึก ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นสอง เขากำลังคิดว่าควรที่จะออกไปด้านนอกหรือไม่ ข้อมูลของรันนิงลาล์ฟที่เขามีอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่เขาควรจะต่อสู้แบบซึ่ง ๆ หน้า

“ช็อตเตอร์ นี่สวิฟ์ทชิง ได้ยินแล้วตอบด้วย” เซนพูดผ่านเครื่องสื่อสารที่อยู่หัวไหล่เขา

“นี่ช็อตเตอร์ ด้านโน่นเป็นไงบ้าง”

“ฉันเสียตำแหน่งไป พวกมันแห่กรูกันเข้ามส ฉันไม่สามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ บอกอิวจ์ด้วย ฉันกำลังมุ่งหน้าไปที่จุดนัดพบ” เซนพูดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาตัดสินใจออกมาจากตึกทางด้านหลัง ตรงจุดนี้มืดมิดไม่มีแสงส่องถึง ถือว่าเป็นจุดที่ดีพอสำหรับเหล่าอาชญากร

“รับทราบ ขอให้โชคดี” เซนเบือนหน้าไปทางถนนใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของเขา ตัดผ่านถนนใหญ่ไปก็เป็นสวนสาธารณะที่กรเคยอยู่ เซนกัดฟันกรอด แค้นตัวเองที่ไม่สามารถช่วยกรได้ แสงแวบวาบที่เขาเห็นก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ใช่เวลามาสนใจ การทำตามหน้าที่ของเขาสำคัญกว่า

“IRONTEEN:IT” กองกำลังลับที่เซนสังกัดอยู่ ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเฟ้นหาเหล่าทหารหาญที่ดีพอ แกร่งพอ อดทนพอที่จะไปเป็นหน่วยรบพิเศษที่มีภายในโลก เด็กทั้งหลายที่เรียนจบหลักสูตรนี้แล้ว พวกเขากลายเป็นทหารสุดแกร่ง เก้าสิบเปอร์เซ็น ถูกเรียกตัวไปเข้าฝึกให้เป็นรีคอน ทหารยามฝั่ง เรนเจอร์ ซีล หรือคอมมอนโดอื่น ๆ ส่วนที่เหลืออีกสิบพวกเขาเลือกงานที่จะเป็นสายลับ หรือไม่ก็หน่วยงาน FBI CIA เซนจบหลักสูตรไอทีแล้ว เขาทุ่มเต็มกำลังเพื่อให้ได้คะแนนสูงสุด และตรงตามเป้าของเขา เขาได้ทำงานร่วมกับรุ่นพี่ ทั้งที่โดยปกติแล้วนักเรียนหลักสูตรไอทีจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าปฏิบัติภารกิจ แต่ว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเพียงแค่เซนเท่านั้นที่ถูกเรียกให้มาทำภารกิจในครั้งกิจ

เขาจะเรียกชื่อฉายาของเพื่อนขณะปฏิบัติภารกิจ ชื่อเขาคือสวิฟ์ทชิง และภาริกิจของสวิฟ์ทชิงก็คือทำการช่วยเหลือระยะไกล ทั้งคนในหน่วยเดียวกันและพลเรือน เหมือนอย่างที่เขาได้ทำไปเมื่ออยู่บนดาดฟ้า
เซนวิ่งไปตามช่องตึกอันดำทะมึน เขาเก็บแม็กนัมไว้ในซองปืนพกที่ต้นขาขวา แล้วหยิบมีดสวิสชั้นดีออกมา กำไว้แน่น เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด

จุดนัดพบที่ว่านี้อยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร เซนต้องวิ่งซอกแซกไปตามช่องตึกตลอดทางและคอยหลีกเลี่ยงพวกรันนิงลาล์ฟให้ได้มากที่สุด พวกมันแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว

“สวิฟ์ทชิง กลับไปที่จุดเดิมด่วน มีสัญญาณผู้รอดชีวิตอยู่ที่นั่น” เครื่องสื่อสารทำให้เขาหยุดชะงัก

“รับทราบแล้ว กำลังไป” เซนหันหลังและวิ่งกลับในทันที “กรเหรอ”

เซนกลับไปที่ดาดฟ้าอีกครั้ง คราวนี้พวกรันนิงลาล์ฟหายไปหมดแล้ว ทางสะดวก อุปกรณ์ยังอยู่ครบ เขาใช้กล้องส่องมองกลางคืน KN-250 สำรวจไปรอบ ๆ เห็นแล้ว ร่าง ๆ หนึ่งกำลังวิ่งหนีพวกรันนิงลาล์ฟอย่างเอาเป็นเอาตาย กรนั่นเอง

“หา? ยังไม่ตายเหรอ” เซนยัดหน้าเข้าศูนย์เล็ง หันลำกล้องไปยังตำแหน่งของกร คำนวณความเร็วลมแรงลม มุมเงยและระยะห่าง ด้วยความที่ยังด้อยประสบการณ์ ทำให้ใช้เวลามากในการกะระยะและยิงเป้าหมาย

‘ปึม!’

กระสุนนัดแรกพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย เขาต้องเร่งมือแล้ว เขาเห็นกรตกใจอย่างมากเมื่อมีลูกกระสุกตัดผ่านศีรษะเขาไป ด้านหลังของกรมีรันนิงลาล์ฟราว ๆ สิบตัวได้กำลังวิ่งไล่ตามเขาอย่างรวดเร็ว กรก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน กองหน้าทีมฟุตบอลตัวแทนเขตยังไงก็ต้องมีความเร็วอยู่แล้ว

“คราวนี้ไม่พลาดแน่” กระสุนนัดที่สองทะลุร่างของรันนิงลาล์ฟตัวที่อยู่ใกล้กรมากที่สุด นัดที่สามทะลวงศีรษะตัวถัดไป แต่เขากลับต้องเชิดหน้าออกจากลำกล้อง ไอเย็นแปลกประหลาดที่เขากลัวที่สุดล่องลองใกล้เข้ามา เซนรีบเก็บปืนไรเฟิลทันที เขาแบกมันขึ้นบ่าอย่างรวดเร็ว เซนรีบวิ่งออกมาจากจุดซุ่มยิงให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาวิ่งตรงลงไปยังชั้นล่างสุด เสียงเหนื่อยหอบดังอย่างถี่รัว ในมือของขวาตอนนี้เป็นแม็กนัม เซนพุ่งตรงไปหากร เขาส่งกระสุนยัดใส่กะบาลแข็ง ๆ ของพวกรันนิงลาล์ฟ พวกมันปิ้งเซนเข้าให้แล้ว

“กร! หนีไป”

เซนหันหลังกลับแล้วออกวิ่งเข้าไปยังซอกตึก ‘ถ้าเป็นจุดนัดพบล่ะก็’

“ช็อตเตอร์ ๆ นี่สวิฟ์ทชิง ขอกำลังเสริมด่วน ช็อตเตอร์ ช็อตเตอร์!!!” ไม่มีการตอบกลับใด ๆ จากชอตเตอร์ “บ้าจริง!”

วันนี้ทั้งวันเขาวิ่งไปเกือบสิบกิโลแล้ว หน้าของเซนดูไม่จืดเลย “ตามมาเร็วชะมัด นี่มันวิ่งหรือขี่รถกันแน่วะ”

เซนยิงใส่รันนิงลาล์ฟพลางวิ่งและเปลี่ยนแม็ค เขาทำแบบนี้ตลอดทาง อีกเพียงแค่ช่วงตึกเดียวก็จะถึงจุดนัดพบแล้ว จิตใจของเขาเบิกบานขึ้นเป็นกอง

ด้านหน้าของเขาเป็นสี่แยกเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน ไร้รถยนต์ ไร้แสงไฟ มีเพียงแค่ซากศพของเหล่าทหารสวมชุดแบบเดียวกับเซนเป็นจำนวนมาก เซนหยุดชะงัก เมื่อภาพที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด รันนิงลาล์ฟตัวหนึ่งกระโจนเข้าหาเขา เขาหลบไม่ทัน รันนิงลาล์ฟตัวนั้นพยายามจ้วงท้องแต่ว่ามีดสวิสของเซนเร็วกว่า มันตัดแขนของรันนิงลาล์ฟตัวนั้นเหมือนเนื้อบนเขียงให้เป็นกลายท่อนแขน

เซนจับมีดให้แน่นมือ เขาพลิกตัวหลบการเตะของรันนิงราล์ฟทีนึงก่อนที่จะเชือดเฉียงลำตัวตั้งแต่หัวไหล่จนถึงบั้นเอว เลือดสาดกระเด็นเปรอะเปื้อนเซน ดวงตาของเขาแน่วแน่ ใบหน้าของเขาเข้มแข็ง ร่างกายของเขาพร้อมสู้ รันนิงลาล์ฟตัวนั้นลงไปจมกองเลือดอย่างน่าอนาถ

‘เฉือด ๆ ! ฉึบ!’

รันนิงลาล์ฟตัวอื่น ๆ ที่ตามมาก็กระโจนใส่เซนอย่างหิวกระหาย แต่มันไม่สามารถทำได้ มีบางอย่างพุ่งผ่าน ตัดคอ ขา และเอวของรันนิงลาล์ฟอย่างรวดเร็ว เซนเห็นเข้าชัดเจน นั่นคือกร

“อย่า งง ฉันรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง อยากจะถามฉันล่ะสิ” กรหันกลับมาพูดกับเซนอย่างร่าเริงแต่ภายในก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

เซนพูดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี

“ฉันก็งงไม่น้อยไปกว่าแกแหละ โอ้? อะไรกัน ? นี่แกเป็นทหารเหรอ” กรชายตาสำรวจเซนที่ใส่ชุดเครื่องแบบและชุดเกราะเต็มเซ็ต

เซนไม่ตอบ

“ความลับสินะ ฉันเข้าใจ ๆ ในหนังมีเกลื่อนจะตายคนแบบแกน่ะ”

“แล้ว... แก...?” เซนพยายามจะถามบางอย่าง “ยังไม่ตายเหรอ”

“...ถ้าได้ยินแล้วอย่าตกใจล่ะ” กรมองหน้าหลังพบว่าไม่มีคนจึงยื่นปากเข้าไปใกล้หูเซน

“อืม” เซนพยักหน้า

“ฉันตายไปทีหนึ่งแล้ว” เซนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเล็งแม็กนัมใส่กร

“แกเป็นตัวอะไร ตอบมาตามตรง ถึงแกจะเป็นเพื่อนฉันมาก่อนก็ตาม ฉันไม่ได้ลังเลใจที่จะยิงแกหรอกนะ” เซนจริงจังอย่างเห็นได้ชัด เมื่อกรเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจยาว และทำหน้าซังกะตาย

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันตอบแกไม่ได้หรอก ถึงแกยิงฉันไปฉันก็จะลุกขึ้นมาใหม่อยู่ดี” กรยกมือทั้งสองแบบอับจนหนทาง เซนที่ยังไม่ลดปืนจ้องเขม็งใส่กร เขาครุ่นคิดอย่างเต็มที่ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
“แล้วแกตายมาแล้วกี่รอบ”

“อืม ก็... สอง” กรนับนิ้วเหมือนไม่แน่ใจเท่าไหร่

“แล้วที่แกเคลื่อนที่เร็ว ๆ แล้วก็เชือดพวกรันนิงลาล์ฟเมื่อกี้น่ะ แกทำได้ยังไง” เซนค่อย ๆ ลดปืนลงแต่ก็เตรียมพร้อมที่จะยิงได้ทุกเมื่อ

“อะไรลาบ ๆ นะ”

“รันนิงลาล์ฟ พวกที่แกพึ่งฆ่าไปนั่นแหละ”

“รันนิงลาฟ์บ ? อืม เรื่องนั้น... แกอยากจะฟังไหมล่ะ มันยาวอยู่นะ”

“เอาแค่ตอนเกิดเรื่องก็พอ”

“ตอนเกิดเรื่อง?” กรเพ่งมองหน้าเซนแล้วคิด ‘ไอ้หมอนี่มันฉลาดจังวะ’

กรที่สนิทกับเซนมาก เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างหมดเปลือก ไม่เหลือสิ่งใด ๆ ต้องปกปิด เขาไว้ใจเซน และเซนก็วางใจกร ทั้งสองยิ้มให้กันเสริมบรรยากาศไม่ให้อึดอัดเกินไป

กรมองไปที่ด้านหลังของเซน ที่เขาแบกอะไรยาว ๆ เหมือนปืน

“แกเหรอที่ยิงปืนใส่พวกลาบ ๆ นั้น”

“อืม ตอนนั้นฉันคิดว่าแกจะไม่รอดแล้วซะอีก ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“ฉันก็เหมือนกันแหละ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนโรงเรียนเดียวกันจะเป็นทหารที่เก่งมาดเท่ขนาดนี้” ทั้งสองหัวเราะ

“ก็บอกแล้ว ฉันยังเป็นแค่เด็กฝึกหัด อีกนานกว่าจะได้เป็นทหาร”

“เด็กฝึกหัดแต่ดูแต่งตัวเข้าสิ มันเทพยิ่งกว่าทหารอีกนะ”

“ก็ไม่รู้สินะ ฉันก็ภูมิใจนิด ๆ ที่ได้ใส่แบบนี้อยู่เหมือนกัน” เซนก้มดูชุดตนเอง

. . .

“ทำไมมันหนาวยังนี้” กรลูบแขนตนเองไปมา เซนขมวดคิ้ว

“รีบไปจากที่นี่กันเถอะ” เซนรีบตัดบรรยากาศ

“ทำไม?”

“ฉันว่าแกอาจจะตายจริง ๆ ก็ได้ ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นอมตะจริง ๆ มาก่อน”

“เหมือนกับแกรู้เรื่องนี้ดีจังเลยนะ”

“อย่าพึ่งพูด... รีบไปกันดีกว่า” เซนเร่ง

“จะไปที่ไหน?” กรเพ่งเล็งเซนอย่างจดจ้อ

“ที่ที่ปลอดภัย”

“...?...”


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
19th October 2013, 18:51
ขอเสียงผู้อ่านเรื่องนี้ได้ไหมครับ

:help

น่าเศร้า

ukzeroooo
23rd October 2013, 12:18
ผมๆ ผมตามอ่านอยู่ครับ ทำต่อไป สนุกดี 55555555

santisook01
24th October 2013, 20:43
ผมๆ ผมตามอ่านอยู่ครับ ทำต่อไป สนุกดี 55555555

ขอบคุณมากครับ ผมกำลังหัวปั่นเรื่องตอนที่ 8 อยู่เลย

santisook01
29th October 2013, 16:37
ตอนที่ 8 : เบื้องหลัง

เสียงเพลงฮิพฮอบของเจซีดังไปทั่วคันรถ ไม่ใช่ว่าเทลไม่ชอบฟังเพลงแนวนี้หรอก เพียงแต่ว่ามันดังมากจนแสบแก้วหู เสียงทุ้มเบสก็ยังสั่นสะเทือนไปถึงหัวใจ เขาไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงเพลง ถึงแม้ว่าจะตื่นเต้นไม่น้อยกับการได้มานั่งบนรถหรูแบบนี้แต่เขาก็ไม่ได้ชอบใจอะไรเลยสักนิด

เขาเอื้อมมือเพื่อที่จะลดเสียงลง แต่โชเฟอร์กลับทำก่อน เทลสถบด่าในใจ

“ค่อยสบายหูขึ้นมาหน่อย ตรงนี้น่าจะไม่มีเจ้าพวกบ้านั้นแล้วล่ะ” เสียงแหลม ๆ ของโชเฟอร์พูดขึ้น เทลหันไปจ้องมองอีกฝ่าย

“อะไร ฉันทำอะไรผิด ทำต้องมาเขม็งใส่ฉันแบบนี้ด้วย” โชเฟอร์หน้าแหลมลุกลี้ลุกลน

“โทษทีครับ คุณชื่ออะไรเหรอ” เทลถามด้วยความอ่อนน้อมแต่เหม็นหน้า

“อ้อฉันเหรอ ฉันชื่อแจ็คกี้ เพิ่งกลับมาจากอเมริกายินดีที่ได้รู้จัก แล้ว... เจ้าหนูชื่อว่าอะไรเหรอ ท่าทางหน่วยก้านดีใช่เล่น” แจ็คกี้ชายหน้าแหลมผิวขาวหน้าฝรั่งแต่พูดไทย ถามเทล

“ผมชื่อเทลครับ”

“ชื่อแปลกจัง ฉันไม่เคยได้ยินชื่อแบบนี้มาก่อนเลย น่าตลกดีเนาะ” แต่เขาก็ไม่หัวเราะออกมา “พี่สงสัย ทำไมเจ้าหนูถึงได้รอดมาถึงตอนนี้ได้กัน ขนาดทหารทั้งกองทัพยังทำอะไรมันไม่ได้เลย”

“เลิกเรียกผมเจ้าหนูได้แล้วครับ ผมชื่อเทล แล้วที่ว่ารอดมานี่ คุณหมายถึงรอดจากอะไรเหรอครับ”

“ไอ้ที่ว่ารอด ก็เจ้าพวกผิวขาวตัวใหญ่นั่นไง”

“ผิวขาวตัวใหญ่ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับมันอีกรึเปล่า” เทลถลึงตาใส่ แววตานั้นจริงจังจนแจ็คกี้ต้องหลบ

“คือ อันที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนส่งของขององค์กรลับที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ แต่ว่าฉันก็เป็นแค่คนทำรายการจัดส่งเท่านั้นแหละ ฉันทำงานอยู่ที่อเมริกา ไม่ได้ทำอยู่ที่นี่” แจ็คกี้พูด

“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้น ผมอยากรู้ว่าเจ้าพวกบ้านั่นมันเป็นอะไร แล้วก็องค์กรลับนั่นมันชื่อว่าอะไร” เทลชักปืนไร้ลูกกระสุนจ่อหัวแจ็คกี้ เขาไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว

“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ใจเย็น ใจเย็น” แจ็คกี้ยกมือยอมแพ้ “ก็ได้ ก็ได้ ความจริงแล้วน่ะ ฉันเป็นนักวิจัย แล้วถ้าหากว่าสิ่งที่วิจัยมาทั้งชีวิตถูกทำลายโดยเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวล่ะก็ ฉันก็คงยอมไม่ได้” แจ็คกี้รู้ว่าปืนไม่มีลูกกระสุนแล้ว เขาคว้าปืนนั่น แล้วดึงแขนของเทลเข้ามา แต่ในตอนที่เขาได้สัมผัสกับแขนนั่นเขากลับหยุดชะงักในทันที “อะไรกัน แขนแบบนี้มัน”

‘ผัวะ!’

เทลใช้แขนซ้ายแข็ง ๆ ชกเข้าที่ใบหน้าของแจ็คกี้ เพียงแค่หมัดเดียวก็ทำให้เขาต้องหงายหลังชนประตูรถจนกระจกแตกร้าวได้ เทลไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาลุกขึ้นจากเบาะแล้วใช้เท้าขวาถีบเข้าไปต้นขาของแจ็คกี้เสียงความเจ็บปวดร้อง ‘จ้าก’ ออกมา เทลออกจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูด้านคนขับ ลากแจ็คกี้ออกมากองไว้บนถนน แจ็คกี้ก็ยังทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวดไม่หยุด

เทลนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหามร่างผอม ๆ ของแจ็คกี้ไปไว้ที่กระโปรงหลังรถแล้วปิดมันซะ เทลเดินปัดมือมายังที่นั่งคนขับ เขาสตาร์ทรถ ‘รถห่านอะไรวะ ไม่เห็นจะมีที่สตาร์ทเลย’ เขางมหาเนิ่นนานกว่าเห็น ปุ่มที่มีคำว่า ‘Start Engine’ อยู่ติดมือเขาเอง รถคันนี้มีพวกมาลัยอยู่ทางด้านซ้าย เขาจึงต้องเรียนรู้อีกไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเคยขับรถยนต์มาก่อนก็ตาม

“น่ารำคาญชะมัด ถามก็ไม่ยอมตอบมาดี ๆ น่าจะชกมันกลับอีกสักสองสามที” เทลบ่น เสียงตะกุตะกักด้านหลังรถดังขึ้น คงจะเป็นแจ๊คกี้ที่กลัวเทลสุดขีด และอีกครั้งที่เขาต้องมาเสียเวลากับการเข้าเกียร์ และออกรถ

เทลแล่นรถกลับเข้าไปในเมือง มีระยะทางห่างจากที่นี่ประมาณ 3 กิโลเมตร ฮ.สีดำจำนวนมากล่องลอยอยู่เหนือเมืองนั้น เหมือนพึ่งมาถึง เขารีบเร่งรถในทันใด


ณ ห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง

“ไหนคุณลองพูดการทำงานของทีมคุณมาอีกทีซิ” นายทหารยศสูงท่าทางสุขุมเยือกเย็นแต่ห้าวหาญ ถามชายหน้าหล่อในจอมอนิเตอร์ยักษ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของห้องโถงด้วยความรำคาญ นายทหารนั่งอยู่ภายในห้องปฏิบัติการระดับสูง มีเจ้าหน้าที่ควบคุมจอคอมพิวเตอร์อยู่นับร้อย และอีกราวสองร้อยก็กำลังวิ่งวุ่นถือเอกสารเข้าออกอย่างอลวน ด้านข้างซ้ายและขวาของนายทหารก็มีชายแก่ในชุดกาวน์สีขาวและหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงในชุดออฟฟิส

“ก็อย่างที่ผมเคยพูดไป พวกผมเหนือกว่ามันมาก ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสที่ว่านี้จะแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ว่าพวกเราก็ยังกำหราบมันไว้ได้”

“แล้วคุณมีวิธีที่จะรักษามันไหมล่ะ นอกจากการสังหารแล้ว คุณมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม” ดอกเตอร์ซึ่งเป็นชายแก่สวมชุดกาวน์ถาม

“เปล่า... เรื่องนี้ผมไม่รู้ไม่ชี้อะไรด้วยสักหน่อย มันเป็นหน้าที่ของดอกเตอร์อย่างคุณไม่ใช่เหรอ พวกเราเป็นหน่วยภาคสนามนะครับ ไม่มีเวลามาวิจัยตัวยาที่ใช้ไม่ได้ผลหรอก” ชายหนุ่มพูดเยาะเย้ย ดอกเตอร์กัดฟันกรอด

“แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” นายทหารถามตัดบท

“อ้อ... เอดดี้ มาบอกพวกเขาซิ” ชายหนุ่มหันไปบอกอีกด้าน คนทั้งหมดที่มองจอมอนิเตอร์ยักษ์ต่างเอื้อมระอากับความไม่รู้ภาสีภาษาของชายหนุ่ม

“เอ๋? ว่าไงนะ” เสียงเอดดี้ดังลอยมา แต่ยังไม่เห็นตัว “ผมยุ่งอยู่”

“เอาเหอะน่า” ชายหนุ่มเร่ง ในที่สุดเอดดี้ก็มาปรากฏตัวขึ้นที่จอมอนิเตอร์

“หวัดดีครับ คือว่าเรื่องสถานการณ์ตอนนี้ แบบว่า... พวกมันแพร่เชื้อออกไปสี่เมืองในบริเวณโดยรอบแล้วครับ” เอดดี้พูดอย่างทุลักทุเล

“ว่าไงนะ?!” นายทหารตบโต๊ะที่ใกล้ที่สุด “ไหนบอกว่าพวกนายจัดการได้ยังไงล่ะ แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน ถ้าหากว่าเชื้อมันแพร่กระจายออกนอกประเทศแล้วมันจะเป็นยังไงรู้บ้างไหม” นายทหารตะคอก เอดดี้ที่อยู่ในหน้าจอก้มหัวลงต่ำทันที

“ไม่ใช่พวกผมสักหน่อยที่ทำแบบนั้น” เสียงของชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งพร้อมกับตัวของเขา เอดดี้เดินกลับไปทำงาน

“มันเป็นเพราะว่าพวกคุณขัดขวางการปฏิบัติการของพวกเราก่อน ถ้าหากว่าให้พวกเราออกจากฐานเร็วกว่านี้เรื่องมันคงไม่เป็นอย่างที่ได้ยินหรอก” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นจริงจังมากจนนายทหารรู้ว่าเขาไม่ได้โม้อวดเก่ง

“ฉันไม่ได้เป็นคนสั่งการสักหน่อย ฉันรู้ดีว่าหน่วยพวกนายทำอะไรได้บ้าง อย่ามาทำท่าทีตำหนิแบบนั้นดีกว่า แล้วใครเป็นคนออกที่คำสั่งกัน” นายทหารหันซ้ายขวาตะโกนถามอย่างฉุนขาด

“คือ... คือ... ท่านรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมครับ” ทหารนายหนึ่งซึ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ใกล้ ๆ ตอบอย่างลุกลี้ลุกลน

“ได้ยินแล้วใช่ไหม” นายทหารหันไปพูดกับชายหนุ่ม

“แล้วที่ผมขอไปน่ะ ว่าไงครับ” ชายหนุ่มถาม

“ฉันออกคำสั่งไปแล้ว ตอนนี้น่าจะปิดล้อมพื้นที่ได้อยู่ ถ้าหากว่าเชื้อมันไม่แพร่กระจายออกมาอีก” นายทหารกล่าวด้วยความเคร่งเครียด เพราะการที่จะปิดล้อมพื้นที่มากกว่าห้าร้อยตารางกิโลเมตรมันใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ทหารไทยที่อยู่ที่นั่นก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน เขากำชับอย่างหนักว่าอย่าเคลื่อนกำลังเข้าเมือง ต้องรออีกประมาณสองชั่วโมง กว่าทหารของสหประชาชาติทั้งหมดจะไปถึง นาวิกโยธินกว่าสามสิบนายที่ไปถึงเมืองต้นเชื้อแล้วก็ยังไม่ได้รับคำสั่งให้นำฮ. ลงจอด ก่อนจะได้รับสัญญาณจากทีมของชายหนุ่ม

“ฉันจะเชื่อนายก็แล้วกัน” นายทหารพูด

“ให้มันได้อย่างนี้สิครับ เหมือนกับว่าผมเป็นทางเลือกสุดท้ายก็ไม่ปาน แต่... ด้วยความเคารพอย่างสูง คุณต้องมอบกำมสิทธิ์ทั้งหมดในการออกคำสั่งของเมืองต้นเชื้อ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คุณจะไม่สามารถยึดเมืองกลับมาได้เลย” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ

“นี่พวกนายจะกำจัดผู้ติดเชื้อให้ได้ทั้งหมดเลยเหรอ” หญิงสาวด้านข้างนายทหารถาม

“ก็แหงล่ะครับ เพราะในตอนนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อก็ดูเหมือนจะลดหายลงมากแล้ว ด้วยฝีมือของผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อในตอนนี้ หรือนั่นก็คือ พวกเขาเป็นคนของพวกผมนั่นเองยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มกอดอกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“ขอให้เป็นอย่างที่พูดก็แล้วกัน เรื่องที่นายขอมาฉันจะสั่งการออกไปเอง” นายทหารตอบรับแบบหน่าย ๆ

“ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ถ้าหากว่าผมมีข่าวดีเมื่อไหร่จะรีบตอบกลับทันที” ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งให้ “ลาก่อนครับ” แล้วโค้งคำนับแบบตลก ๆ

“ขอให้โชคดี” นายทหารอวยพร จอมอนิเตอร์ยักษ์เปลี่ยนเป็นภาพแผนที่ขนาดใหญ่ “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

“ภาพจากเดียวเทียมยังใช้การไม่ได้อีกอยู่เหรอ” นายทหารหันไปถามเจ้าหน้าที่ควบคุมการสื่อสาร

“ยังเลยครับ... พวกเรากำลังหาสาเหตุอยู่” เจ้าหน้าที่ตอบอย่างเกรงกลัว นายทหารก็ส่ายศีรษะว่าไม่ได้เรื่องให้เจ้าหน้าที่

“ท่านคะ มีสายจากท่านประธานาธิบดีค่ะ” หญิงสาวด้านข้างยื่นโทรศัพท์ให้นายทหาร


ณ เมืองต้นเชื้อที่ซึ่งเป็นบ่อเกิดไวรัส

“ให้ตายซี้ พวกเบื้องบนไม่รู้ใจเด็กหนุ่มเอาซะเลย” ชายคนที่อยู่ในจอมอนิเตอร์เมื่อครู่บ่นครางออกมา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้นวมภายในห้อง ๆ หนึ่ง ในนี้มีจอคอมพิวเตอร์อยู่มากมาย และมีชายหนุ่มอีกสองคนคอยควบคุมมันอยู่อย่างไม่เป็นสุข

“นายก็หัดมีมารยาทกับคนอื่นซะบ้างสิ ที่เขาไม่กุดหัวนายออกจากงานเพราะความอวดดีก็บุญโขแล้ว” เสียงใส ๆ เข้ม ๆ ของหญิงสาวดังขึ้นมา เธอนั่งอยู่ไม่ไกลจากชายหนุ่ม

“เอดดี้ หาน้องฉันเจอละยัง” ชายหนุ่มหันไปถามเอดดี้ เอดดี้เป็นหนุ่มร่างเพรียวหน้าหล่อแต่สวมแว่นหนาเตอะ “ยังหาไม่เจอเลย จะไม่ส่งคนของเราออกไปรับหน่อยเหรอ” เอดดี้หันหลังกลับมาถาม

“ไม่ต้องหรอก หาต่อไปก็พอ” ชายหนุ่มสั่ง

“ก็ได้ ก็ได้ เออใช่ หน่วยของเราวิทยุบอกมาว่ายึดไปได้สามสิบเปอร์เซ็นแล้ว” เอดดี้พูดขณะที่หน้ายังจ้องอยู่หน้าจอมอนิเตอร์

“เยี่ยม! แบบนี้ไปได้สวยแน่” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้กำหมัดแน่นด้วยความดีใจ “กำชับออกไป ถ้าใครมีท่าทีสู้ไม่ไหวล่ะก็ ให้รีบนำตัวกลับมาที่นี่ด่วน”

“คราบ ๆ” เอดดี้รับคำสั่ง

‘ไหนดูซิ เทลน้องพี่จะทำอะไรได้บ้าง’ ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความรื่นรมย์

“น่าขยะแขยงชะมัด” หญิงสาวเอ่ย


ติดตามตอนต่อไป




http://youtu.be/fS0k1LbIvDU

santisook01
10th November 2013, 18:20
ตอนที่ 9 : เข้ามหาลัย

บนถนนยามเช้ามืดซึ่งเต็มไปด้วยซากรถพังกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีรถซูเปอร์คาร์ไม่เต็มชิ้นส่วนคันหนึ่ง แล่นไปตามเส้นทางนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงของเศษซากของลำตัวรถที่หลุดออกมาส่งเสียง ‘กราก’ ไปตามพื้นจนเสียดแก้วหู

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะเนี่ย ทั้งพี่ทิว ทั้งไอ้เซน หายหัวไปไหนกันหมดวะ” เทลเคาะพวงมาลัยสองสามทีด้วยอารมณ์เคือง ทั้งชีวิตของเขาก็มีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นที่เขาสนิทด้วย ยังมีอีกคนซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ‘แอล’ เทลพลันนึกถึงรอยยิ้ม และความเจ้ากี้เจ้าการของเธอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ควันสีเทาดำจำนวนมากล่องลอยออกมาจากช่องตึกใหญ่ ศพจำนวนมากนอนกองอยู่ตามจุดต่าง ๆ ไม่ต่างจากพืชทะทรายที่ตายไปแล้ว บางจุดก็ยังมีไฟลุกท่วมไม่มีท่าทีว่าจะดับลงง่าย ๆ อยู่ ตลอดทางนั้นเหมือนนรกขุมหนึ่งเลยก็ว่าได้

“เอาไงก่อนดี... แอล ตอนนี้ยังปลอดภัยอยู่ไหมนะ ถึงจะมีพลังแปลกประหลาดเหมือนกันกับฉันก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะเอาตัวรอดได้ตลอดไป ทั้งตอนที่โดนพวกนักเรียนบ้านั่นหลอกไปด้วย คิดแล้วก็หนักใจจริง ๆ”

‘ตึก กรึก’

รถเขากระตุกทีสองทีแล้วก็ดับไป “เฮ้ย อะไรกัน ไอ้รถบ้านี่ อย่ามาดับนะเฟ้ย” เทลทุบพวงมาลัยด้วยความโมโหเขาจำต้องทิ้งรถไว้ ซ่อมไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะว่าเขาซ่อมไม่เป็น

“ไอ้นักวิทยาศาสตร์นั่น... จะเอายังไงกับมันดี เอามันออกมาแล้วถามอีกทีดีกว่า” เทเดินไปหลังรถ เปิดฝากระโปงหลังแล้วก็พบว่าเขานอนหลับน้ำลายย้อยอย่างมีความสุขอยู่ เสียงกรนดังระงมไปทั่ว “ให้มันได้ยังงี้สิ”

“ว่าแต่ มันก็เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วสินะ สงสัยส่วนหนึ่งคงมาจากไอ้ตัวขาว ๆ นั่นแน่” เทลลูบหัวไหล่ทั้งสองข้างไปมาพลางมองไปยังตึกราบ้านช่องที่ออกจะไม่มีสภาพดี ๆ ให้เหลือไว้ชม จากที่นี่ไปยังบ้านเขาก็คงประมาณห้ากิโลได้ เดินเท้าอาจจะใช้เวลายี่สิบกว่านาที แต่คงอันตรายเกินไปถ้าหากว่าไปเจอเจ้าพวกประหลาดนั้นอีก ถึงแม้ว่าเทลจะมีแขนทั้งสองที่ไม่เหมือนชาวบ้านนัก แต่ว่าเขาก็ยังมีจุดอ่อนเหมือนมนุษย์ทั่วไปอยู่ดี

“เฮ้ย ไอ้เนิร์ด ตื่นได้แล้ว” เทลตบแก้มแจ็คกี้สองสามที ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น “อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้หนักนะ” ทันใดนั้นเอง นักวิทยาศาสตร์หน้าเนิร์ดที่ชื่อว่าแจ็คกี้ก็ลุกตึงตังขึ้นจนศีรษะชนส่วนบนของช่องที่เก็บของ ดัง ‘โปก’ แจ็คกี้ลูบศีรษะตนไปมา อันที่จริงแล้วเขาก็หน้าตาดีอยู่ ผิดแต่ทรงผมที่คล้ายหมวดกันน็อคเท่านั้น

“ฉันจะไม่พูดว่าอรุณสวัสดิ์หรอกนะ” พอได้ยินเสียงของเทลแล้วแจ็คกี้ถึงกับตกใจหน้าตื่นขึ้นมาทันที แต่ก็สงบลงไปอย่างง่ายดาย เขาเป็นคนที่ควบคุมสติได้ดีไม่น้อย

“อรุณสวัสดิ์ ว่าไงเทล” แจ็คกี้โบกมือทักแล้วยิ้มแหย ๆ

“ความจำดีจังเลยนะ ผมยังจำชื่อคุณไม่ได้เลย แต่ยังไงผมก็ไม่อยากรู้มันอยู่ดี” เทลยืนคุมทางออกของแจ็คกี้แล้วก้มหน้าลงมาพูด “เอาล่ะ ตอนนี้รถคุณพังขับต่อไม่ได้แล้ว ผมอยากให้คุณพูดเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น และเรื่องขององค์กรลับที่คุณทำงานอยู่นั่นด้วย ไม่อย่างนั้นคุณก็จะโดนผมชกด้วยกำลังแขนปกติของผมแทน ผมว่าคุณก็คงจะรู้เรื่องแขนนี้ดีอ แต่เรื่องนั้นผมไม่สนหรอก” เทลหมุนแขนตนไปมาสร้างความหวั่นวิตกแก่แจ็คกี้ไม่น้อย

“อย่าคิดให้นาน” เทลทุบรถเสียงตึง มันยุบลงไปในทันที

แจ็คกี้นิ่งคิด ‘อะไรกันไอ้เด็กคนนี้ มันเก่งมาจากไหนนัก เรื่องที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ โธ่ ไม่น่าพูดเลย ท่าทางเหมือนใครสักคนที่เรารู้จักเลย คุ้น ๆ แต่คิดไม่ออกแฮะ’

“ความจริงแล้ว ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านั้น ฉันโกหก” แจ็คกี้เงยหน้าขึ้นมาสู้เทล แต่เทลกลับง้างมัดใส่ “เดี๋ยว เดี๋ยว แต่ฉันทำงานส่งของจริง ๆ ส่วนเรื่องนักวิทยาศาสตร์อะไรนั่นฉันยังไม่เคยเห็นพวกนั้นเลยซักที ฉันเป็นคนจัดการเรื่องรายการการส่งของเท่านั้น นี่แหละความจริง”

“แล้วความจริงที่ว่ามันช่วยให้ฉันได้รู้เรื่องของพวกบ้านั่นไหมล่ะ”

“รู้ รู้ รู้สิ คือ ที่ฉันคิดมันไม่น่าจะใช่องค์กรอะไรหรอก มันคงจะเป็นพวกโครงการวิจัยและทดลองมนุษย์โดยมีคนใหญ่โตอยู่เบื้องหลังมากกว่า”

“แล้วมันทำงานอะไรบ้างล่ะ”

“คือ มีช่วงหนึ่งที่ฉันบังเอิญได้ยินเจ้าหน้าที่ภายในพูดคุยกัน เขาว่าโครงการนี้จะทดลองมนุษย์ โดยให้มนุษย์ผู้อ่อนแอไร้กำลังหรือคนป่วยเจียนตายเข้าไปทำการทดลอง เห็นว่าตอนแรกต้องเสียคนไปมากกว่าสิบคน แต่ดูเหมือนว่าสองปีที่ผ่านมานี้โครงการจะรุกคืบไปมาก ผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้น หลาย ๆ คนหายจากโรคร้ายแรงอย่างเด็ดขาด จากนั้นตัวยาก็ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว สร้างเสริมกำลังกายทุกอย่าง ไม่เพียงแต่จะให้แข็งแรงหรือหายโรคเท่านั้น มันยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ให้แข็งแรงและฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี ในตอนแรกมันก็ราบรื่นอยู่หรอก แต่สามวันที่แล้วผลของตัวยากลับแปลกไป พวกเขาทดลองฉีดตัวยาล่าสุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง เพียงไม่ถึงครึ่งของนาที เธอก็กลายร่างไปเป็นคนละคนแล้ว”

“ผู้ทดลองคนก่อนหน้าที่ใช้ยาตัวเก่าจะมีอาการแทรกซ้อนขึ้นแค่ผิวขาวกว่าปกติเท่านั้น แต่ก็ไม่ถึงกับซีดจนเกินไป แต่ผิดกับเธอ เธอไม่เหมือนมนุษย์เลย ผิวของเธอขาวซีด ผมของเธอใสจนมองทะลุถึงหนังศีรษะได้ ร่างของเธอขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสองเท่าพร้อมกับพละกำลังที่มหาศาลเช่นกัน”

เทลฟังแล้วเกิดข้อสงสัยบางอย่างจึงถามขึ้นว่า “แล้วเรื่องติดเชื้อต่อกันอะไรนี้ล่ะ มันจะเหมือนกับพวกซอมบี้หรือพวกแวมไพร์แบบในหนังไหม”

“เท่าที่ฉันรู้... ฉันว่าไม่มีทางเลย การที่พวกเขาสามารถแพร่เชื้อออกไปได้อย่างรวดเร็วนั้นพวกผู้ทดลองไม่สามารถทำได้โดยการกัดหรือการใช้เลือด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดแบบนี้ ฉันก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ทำอะไรไม่ได้นั่นแหละ ตอนนั้นฉันเห็นนายกำลังลำบากเลยทิ้งไปเฉย ๆ ไม่ได้” แจ็คกี้อธิบายหมดเปลือก
“ความจริงใช่ไหมที่ว่ามานี้” เทลถามแฝงไปด้วยการขู่

“แล้วจะให้พูดความอะไรอีกล่ะ อยู่ที่นี่ฉันรู้จักแค่เมืองนี้เท่านั้น เพื่อนฉันที่มีก็ไม่อยู่แล้ว” แจ็คกี้ทำหน้าหงอยลง

‘บึม!’

เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากด้านในของเมือง เทลหันไปมอง แจ็คพยายามออกมาดูด้วยแต่เทลกั้นไว้ มี ฮ.สองลำเชิดหัวขึ้นเพื่อบินออกไปจากจุดปล่อยตัว ตอนแรกเทลเห็นอยู่สามลำ แต่ตอนนี้อีกลำคงไม่รอดแล้ว

ลิตเติ้ลเบิร์ดสองลำก้มหัวบินตรงมาทางเขา แล้วบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“มันเริ่มแล้วล่ะ” เทลเอ่ย

“อะไรเริ่ม” แจ็คกี้พูดด้วยความงุนงง

“คุณจะไปไหนก็ไป ผมหมดธุระกับคุณแล้ว ลาล่ะ” เทลโบกมือไปมาแล้วออกวิ่งเยาะ ๆ เข้าไปในเมืองทันที

“เฮ้ยจะไปไหนน่ะ” แจ็คกี้ออกวิ่งตามมา แต่ก็ต้องหกล้มลงเพราะอะไรก็ไม่รู้

“จะตามผมมาทำไม” เทลพูดแต่หน้ายังหันไปตามถนนอยู่

“สองหัวดีกว่าหัวเดียวน่า”

“เออใช่ แล้วเรื่องแขนของผมคุณรู้ได้ไงว่ามันไม่ธรรมดา”

“โหย ใครก็ดูออกหรอกน่า ถ้าได้สัมผัสกับมัน หรือว่านายไม่เคยให้ใครได้จับมันสักที”

“อืม ก็จริง” เทลตอบ “คุณแน่ใจนะว่าจะไปด้วย”

“อยู่แล้ว ฉันต้องรู้เรื่องให้มากกว่านี้ แล้วก็คงจะทิ้งเด็กเข้าไปหาอันตรายง่าย ๆ แบบนี้คงจะไม่ได้ อีกอย่าง ฉันก็มีจุดแข็งอยู่ด้วยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แจ็คกี้หัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิใจ



“ทิวลี่ พวกนาวิกโยธินเอากำลังลงพื้นแล้ว” เอดดี้เบือนหน้าออกมาจากจอมอนิเตอร์บอกทิว พี่ชายของเทลที่กำลังยุ่งอยู่กับถกเถียงความเป็นไปได้ของศัตรูกับ ‘นภา’ หญิงสาวหน้าใส ร่างเพรียว ตัดผมทรงประบ่าดำสลวย ท่าทางคล้ายนักแสดงคนหนึ่ง

“ว่าไงนะ ฉันบอกว่าให้รอสัญญาณก่อนไม่ใช่เหรอ” เทลรีบผละเรื่องถกเถียงออกไปแล้วเดินมาหาเอดดี้ทันที “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

“มีลำหนึ่งตก เพราะเหตุขัดข้องบางอย่างแต่ยังไม่มีคนเสียชีวิต จึงทำให้ต้องปล่อยตัวทหารทั้งหมด ยังดีที่ตอนนี้กลุ่มผู้ติดเชื้อไม่ได้อยู่แถวนั้น นาวิกฯที่ลงไปตอนนี้กำลังเข้าไปคุ้มกันฮ.ที่ตกอยู่” เอดดี้อธิบายพลางเปิดแผนที่ของเมืองขึ้นให้ทิวดู

“ภารกิจล่ะ”

“ยังไม่แน่ชัด เท่าที่เป็นไปได้คือ พวกเขาจะเข้าไปที่แลบวิจัยของฟรอสท์เวิร์ก(ลายดอกผลึกน้ำแข็ง) และค้นหาข้อมูลสำคัญแล้วนำกลับฐานทัพ”

“นายพลว่าไง”

“เขาไม่ได้สั่ง... แล้วเราจะเอายังไงดี” เอดดี้เงยหน้าขึ้นมาถาม

“...ติดต่อเพื่อนของเราให้เข้าไปเสริม วิทยุบอกพวกนาวิกฯก่อนล่ะ” เทลสั่ง ‘ยังอยู่ดีไหมนะ เซน’

“แต่ว่า หน่วยพิเศษเสียหายไปกว่าครึ่งแล้วนะ จะไหวเหรอ”

“ฉันก็ยังบอกอยู่ไงว่าให้ไปเสริม จะได้รอดกันทั้งหมด ส่วนคนของเราก็ให้ทำภารกิจต่อไป”

“รับทราบครับ ท่านทิวลี่” เอดดี้ทำวันทยหัตถ์

“เลิกเรียกฉันให้เหมือนผู้หญิงสักที” ทิวละออกมาจากเอดดี้แล้วเข้าไปคุยกับนภาต่อ

“ทิว!” เอดดี้ตะโกนด้วยความตกใจ

“อะไรอีก!” ทิวตะคอกกลับ

“น้องชายนาย” เอดดี้ตาค้างพลางมองไปที่จอมอนิเตอร์ตาไม่กระพริบ “ผู้ติดเชื้อราว ๆ ร้อยกว่าคนกำลังไปจุดที่น้องนายอยู่ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ... เขาอยู่กับแจ็คกี้”
“แจ็คกี้?” นภาโพล้งถามก่อนทิว

“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่แจ็คกี้ก็คงไม่ใช่แจ็คเกอร์แน่” เอดดี้เล่นมุกที่ไม่มีใครขำ

“ทำไมแจ็คกี้มาอยู่ที่นี่ได้ มันบอกว่ามันมีเรื่องด่วนที่แอฟริกาไม่ใช่เหรอ” ทิวเดินเข้ามาหาเอดดี้อีกครั้ง

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า แล้วเรื่องผู้ติดเชื้อมากันมากขนาดนี้น้องนายจะทำยังไงล่ะ” นภาถามทิว

“ตอนนี้มีใครว่างไหม?” ทิวถามนภา เธออ่ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ยอมตอบอะไรซักที “ฉันจะออกไป”

“ว่าไงนะ” เอดดี้เอ่ยขึ้นพร้อมกับนภา

“แล้วเรื่องภารกิจล่ะจะว่ายังไง” เอดดี้พูด

“ฉันยกให้นภาเป็นคนจัดการ ไม่มีเวลาแล้ว ฉันต้องออกไป” ทิวเดินออกจากห้องแต่ก็ต้องชะงักเพราะมีมือคู่หนึ่งรั้งไว้ นภาเข้ามากอดทิวอย่างแนบแน่น คล้ายไม่อยากให้เป็นการกอดครั้งสุดท้าย

“ให้ตายสิ พวกหนุ่มสาวก็งี้แหละ” เอดดี้เบือนหน้าหนีพลางส่ายไปมา คงรั้งไว้ไม่ได้แล้วสินะ เขาคิด

ทิวเปิดประตูออก มีลุงฝรั่งอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งใส่ชุดสูทสีขาวชื่อ ‘บาร์กลี้’ กำลังนั่งทานผัดไทอยู่ภายในห้องโถงใหญ่คล้ายอู้รถ

“บาร์ลี้ ออกรถ เราจะไปซ่ากัน” ทิวเดินเข้าไปในรถฮัมวี่สีดำคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล บาร์กลี้ตึกตังทิ้งช้อนลงเช็ดปากไปมาแล้วรีบมาขับรถในทันใด เขาคือคนขับรถที่เก่งที่สุดของทิว

“ฉันไปด้วย” เจสัน หนุ่มหน้าหล่อในชุดตำรวจท่องเที่ยวรุ่นเดียวกันกับทิวเปิดประตูเข้ามา “ฉันอยากซ่า”

“ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยล่ะ” ทิวพูด บาร์กลี้หัวเราะ

ประตูเหล็กสนิมเกลอะบานใหญ่ของโกดังนอกเมืองแห่งหนึ่งถูกเปิดออก มีรถฮัมวี่สีดำพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พลันประตูนั้นก็ถูกปิดลงในทันที



แสงแดดเริ่มทอประกายสีเหลืองส้มเรืองรองออกมาให้เห็น เหนือท้องฟ้าสีครามมืดในยามเช้าของเมืองนี้ ที่นี่ไม่ความเร่งรีบใด ๆ ไม่มีการจราจรใด ๆ ไม่มีการเดินทางใด ๆ เลย
“ฮ้าว~” แจ็คกี้บิดขี้เกียจแล้วหาวหวอดออกมา “หากาแฟกินดีไหม” เขาถาม

“ผมไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น ว่าแต่ เขามีขายด้วยเหรอ” เทลหันมาถามขณะที่เดินนำหน้าแจ็คกี้เข้าไปในเมืองตามฟุตบาตรขนาดกว้างข้างมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมือง มีศพคนตายนอนอยู่ประปรายตามทางเดินนี้แต่ก็ไม่มากจนเกินไป

“มันจะมีได้ยังไงกัน เมืองถูกทำลายไปตั้งขนาดนี้ คนกินก็หายไปหมด นอกจากว่าพวกเราจะบุกเข้าร้านกาแฟแล้วทำกินเอง” แจ็คกี้เอามือทั้งสองข้างประสานกันใช้เป็นหมอนรองท้ายทอยพลางพูดอย่างสบายใจ

“ชิล ชิล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นสินะ คนอย่างคุณผมพึ่งจะเคยเห็นนี่แหละ”

“นายก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“อืม... ก็จริง แล้วคุณรู้ได้ยังไงกัน” เทลแลหลังเล็กน้อยเพื่อถาม

“ก็นี่ไง ตั้งแต่แรกที่ฉันเห็นนายแล้ว ตอนที่ต่อสู้กับพวกบ้านั่นยังยืนนิ่งไม่สั่นไม่กลัวไม่อะไรเลย อีกทั้งตอนนี้ก็ยังเดินเข้าไปในเมืองอีก ถ้าคนปกติเขาคงไม่มาเดินแบบเปิดเผยให้ศัตรูที่อาจจะซุ่มอยู่ได้เห็นหรอก” แจ็คกี้อธิบายได้ตรงจุดจนเทลพูดไม่ออก

“นั่นสินะ ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่โผล่ออกมาหาเราให้มากขนาดนี้หรอก” เทลยื่นคางไปด้านหน้า ตรงจุดที่เหล่าศัตรูที่ว่ากำลังเข้ามา

“ซวย ๆ ซวย ๆ ทำไมมันมากันเยอะแบบนี้ล่ะ” แจ็คกี้เอ่ยเสียงสั่น แต่กลับไม่มีความกลัวใด ๆ อยู่

“รีบหาที่ตั้งรับที่ดีกว่านี้ก่อนดีกว่า” เทลกล่าว

“หนีก่อนสินะ”

“เออนั่นแหละ”

ว่าแล้วพวกเขาทั้งสองก็ปีนรั้วที่อยู่ด้านข้างซ้ายของตัวเองเข้าไปในมหาลัยขนาดใหญ่ที่ไม่มีนักศึกษา

“วิ่งแข่งกันไหม” แจ็คกี้ถามหน้ายิ้ม

“แข่งอะไรกันตอนนี้... แข่งก็แข่งวะ” ทั้งสองวิ่งไปอย่างไร้จุดมุ่งหมายอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้ติดเชื้อก็ตามมาอย่างไม่ลดละเช่นกัน ทันใดนั้นเอง

“อุ!” แจ็คกี้หกล้มคะมำลงกับพื้น “หนีไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วงฉัน” แจ็คกี้แกล้งทำเป็นโหยหวนเหมือนคนเสียสละผู้ยิ่งใหญ่

“ทำบ้าอะไรเนี่ย” เทลรีบกลับไปดึงแขนแจ็คกี้ขึ้นมา

“ไม่เคยดูหนังหรือละครบ้างเหรอ ตอนที่ตัวเอกหรือตัวประกอบกำลังหนีอยู่ต้องมีคนใดคนหนึ่งหกล้มอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งไม้ หรือแม้แต่เท้าของตัวเอง” แจ็คกี้อธิบายพลางวิ่งพลาง

“แล้วเมื่อกี้สะดุดอะไรล้มล่ะ”

“ก็ไม่รู้สินะ” ท่าทางของแจ็คกี้เริ่มทำให้เทลถูกใจเข้าแล้ว เหมือนเขาได้เพื่อนที่มีแนวความคิด และมีความกวนทรีนผู้อื่นเหมือนกัน

“พูดมาแบบนี้ก็อยากถีบจริง” เทลพูด

“ถ้าได้ก็ทำดูสิ” แจ็คกี้เอ่ยจากนั้นเขาก็เร่งความเร็วขึ้นในทันที นำหน้าเทลไปไกลลิบ เขาไม่รู้เลยว่าด้านหน้าเป็นทางตัน

“เฮ้ ทางนี้ ๆ” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังออกมาจากหญิงสาวคนหนึ่งด้านหน้าของแจ็คกี้ซึ่งเธออยู่ด้านหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งข้างตึกชีวะฯ เขารีบตรงไปหาทันที ส่วนเทลก็ตามเข้าไปติด ๆ เมื่อเข้าไปแล้วหญิงสาวก็ปิดประตูแล้วล็อกกลอนอย่างแน่นหนาจนใช้เวลาไปเนิ่นนาน... พวกมันหาพวกเขาไม่เจอแล้ว

“ขอบคุณมาก” แจ็คกี้กล่าวพลางหายใจเหนื่อยหอบอย่างรุนแรงไม่ต่างจากเทล

“พวกคุณวิ่งเร็วจังเลยนะ” หญิงสาวหน้าตาสวยถามขึ้น เธอมัดผมหางม้า ตาคม จมูกโค้งได้รูป คิ้วโก่ง ริมฝีปากบาง ผิวขาวใส น่าจะอยู่เรียนอยู่ที่มหาลัยแห่งนี้

“วิ่งช้าก็แพ้น่ะสิ” แจ็คกี้พูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าชู้ส่งถึงหญิงสาว

“อะไรนะ?” หญิงสาวงง

“ไม่มีอะไรหรอกครับ” เทลพูด

“อ้อ... ฉันริน เป็นนักศึกษาปีสองของที่นี่ แล้วพวกคุณล่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวแล้วถามกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“ฉันแจ็คกี้ ไม่ใช่แจ็คเกอร์แน่นอน” แจ็คกี้เล่นมุกที่ไม่มีใครขำ

“ไปลอกใครมาละเปล่าเนี่ย โคตรแปกเลย” เทลแหย่ รินพ่นขำออกมาเล็กน้อย “ส่วนผมชื่อเทล”

“เทลกับแจ็คกี้อย่างนั้นสินะ เป็นพี่น้องกันเหรอ” รินถามพลางเอามือท้าวคาง

“ไม่ใช่โว้ย!” แจ็คกี้กับเทลตะโกนออกมาพร้อมกันหลังจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา

“ดูสนิทกันจังเลยนะ ฉันจะพาไปพวกคุณไปหาคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ที่นี่ บังเอิญจริงที่ฉันออกมาเดินเล่นแถวนี้พอดีก็เลยได้ช่วยพวกคุณไว้” รินกล่าวพลางออกเดินนำหน้า ทั้งสองก็เดินตามไป

“ยังมีคนรอดอยู่อีกเหรอ” แจ็คกี้ถาม

“พูดอย่างนี้หมายความว่าไงกัน” รินหันขวับกลับมา แจ็คกี้ยกมือส่ายปฏิเสธ

“ดูเหมือนคุณไม่รู้สึกกลัวอะไรเลยนะ” เทลเอ่ย

“อ้อ ฉันเป็นพวกตายด้านน่ะ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ ฉันถูกสอนไม่ให้กลัวอะไรมันก็เลยไปทำลายเรื่องความรู้สึกล่ะมั้ง” รินอธิบายพลางหันกลับไปเดินต่อ “ที่ผ่านมาใคร ๆ ก็ว่าแบบนี้กันทั้งนั้น”

รินเปิดประตูเข้าไปด้านล่างของอาคาร เผยให้เห็นนักศึกษาเดินพล่านไปมาอย่างมากมาย เท่าที่เห็นคงจะมีประมาณห้าสิบคนได้

“โว้ว... ผู้หญิงทั้งนั้น” แจ็คกี้และเทลอุทานออกมาพร้อมกัน



“ทิว ตอนนี้น้องของนายปลอดภัยแล้ว” นภาวิทยุบอกทิวซึ่งนั่งเคร่งเครียดอยู่ในรถฮัมวี่พร้อมกับบาร์กลี้และเจสัน

“หมายความว่าไง” ทิวถามกลับด้วยความงุนงงและสงสัย

“รุ่นน้องของฉันช่วยไว้ได้ ผู้ติดเชื้อไม่ตามไปแล้ว รีบกลับมาตอนนี้เลย” นภาบอก แต่ทิวตัดสัญญาณทิ้งไป

“อ้าว แล้วแบบนี้ผมก็ไม่ได้ซ่าสิ” เจสันทำหน้ามุ่ย

“นายเป็นโซดารึไง” ทิวถาม

“แล้วจะเอาไงต่อ” บาร็กลี้ถามพลางลดความเร็วรถลง

“ก็ไปซ่าที่อื่นไงล่ะ” ทิวหันมาพูดด้วยใบหน้าระรื่น

“โห” เจสันตาโต “ที่ไหน่ะเหรอ”

“เราจะไปหานาวิกฯกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรนะ เกี่ยวอะไรกับไห” ทิวหัวเราะออมมาเหมือนตัวร้ายกระจอก ๆ ตัวหนึ่ง

ติดตามตอนต่อไป



http://www.youtube.com/watch?v=1rYwAb8Bk_U&feature=share&list=RDZxLjpv9bOro

santisook01
10th November 2013, 18:38
สำหรับเรื่องนี้ก็ใกล้จะจบแล้วนะครับ แต่จะมีภาคต่ออยู่แล้ว เพราะเก้าตอนที่ผ่านมามันผ่านไปแค่สามวันเท่านั้นเอง เรื่องทั้งหมดคือสัปดาห์หนึ่งครับ ส่วนตอนที่ 2 - 8 (ตอนที่ 1 แก้ไขไปแล้ว)มาผมก็จะกลับไปเขียนใหม่ให้มันอ่านไหลลื่นและสนุกมากขึ้น เพราะเท่าที่ผมกลับไปอ่านมันยังไม่ดีเท่าทีควร ถ้าใครที่ติดตามอ่านอยู่ก็ขอบคุณด้วยนะครับ รับรองว่าจะต้องเพิ่มความสนุกขึ้นไปอีกแน่นอนครับ

ส่วนอีกเรื่องซึ่งเป็นเรื่องต่อของ Survival of the Fittest – ฝ่าตายแดนนรก นั้นก็ของฝากด้วยนะครับ

“Gamer VS Zombie” จะเป็นเรื่องราวของหนุ่มฟินแลนด์ซึ่งหลงรักการเล่นเกมส์แนว Survaival มาก แต่ในวันที่เขาซื้อเกมส์ ๆ หนึ่งซึ่งเขารอมาอย่างเนิ่นนานกลับต้องมาเจอกับเหตุแปลกประหลาดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เมื่อเหล่าตัวแปลกประหลาดทั้งหลายได้ปรากฏขึ้นในโลกแห่งความจริงและมีความน่ากลัวความแข็งแกร่ง ไม่ต่างกับเกมส์ที่เขาได้เล่นเลย เขาจะทำอย่างไรต่อไป ติดตามได้ใน เกมเมอร์ปะทะซอมบี้ได้เลยครับ

santisook01
14th November 2013, 16:44
แก้ไขครบหมดทุกตอนแล้วนะครับ เหลือแค่ตอนที่ 10 เท่านั้นที่ยังไม่ได้ลง

santisook01
21st November 2013, 15:27
ตอนที่ 10 : The Third of Black Day

“เชิญตามสบาย ถ้าอยากช่วยอะไรพวกเราก็ยินดี” รินผายมือให้แจ็คกี้และเทล ทั้งสองหน้าตาตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด คนที่เดินผ่านไปมามากมายกลับไม่คิดที่จะทักพวกเขาทั้งสามสักคน หน้าตาของแต่ละคนนั้นเคร่งเครียดและเป็นกังวลเป็นอย่างมาก

“ว่าแต่ ทำไมถึงมีคนรอดเยอะกันมากขนาดนี้ พวกนั้นไม่รู้เลยเหรอว่ามีคุณอยู่ที่นี่กัน” แจ็คกี้เอามือท้าวคางถาม

“ถ้าจะให้พูดตามจริงแล้ว เรื่องมันยาว ที่พวกเราทั้งหมดอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะการเสียสละของใครหลาย ๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเหล่าพวกนักศึกษาชาย ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องสละชีวิตตัวเองมากถึงขนาดนั้น” รินทำหน้าเศร้าขณะอธิบายเรื่องราว

“เสียใจด้วยนะครับ แต่... ผมสงสัยว่า มีทั้งหมดกี่คนที่เสียชีวิตไป” ในขณะที่เทลถาม เหล่าหญิงสาวที่เดินผ่านไปมาจ้องมายังเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด

“คุยเรื่องนี้กันที่อื่นดีกว่า” รินเดินนำชายทั้งสองไปยังห้องแลบห้องหนึ่งซึ่งต้องเดินผ่านไปอีกสามประตูได้

“เชิญตามสบาย นี่คือห้องของฉันเอง” รินเปิดประตูห้องออก ปรากฏเป็นบาร์วางของสำหรับทดลองอยู่กลางห้อง พร้อมกับเก้าอี้หัวโล้นสองสามตัว บนโต๊ะมีที่วางหลอดทดลอง และบีกเกอร์เปล่า ๆ หลายใบวางเรียงกันอยู่ น่าแปลกที่มีของสำหรับการทดลองน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะอยู่สถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่ควรทำอะไรโดยใช่เหตุ ส่วนอีกด้านของห้องมีผ้าห่มสองผืนวางพับกันบนเสื้อผืนใหญ่อยู่คาดว่าคงจะเป็นที่นอนของริน พวกเทลและแจ็คกี้เดินไปนั่งที่โซฟากำมะหยี่ด้านข้างของห้อง

“คุณอยู่ห้องนี้คนเดียวเหรอ” แจ็คกี้ถามพลางชายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ

“ใช่ แต่มันก็เพราะสถานการณ์แบบนี้เท่านั้นล่ะนะ ยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ที่พักห้องนี้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะออกไปด้านนอก” รินกล่าวพลางเดินไปนั่งบนโต๊ะหัวโล้นตรงข้ามกับเทลและแจ็คกี้ “ว่าแต่คุณพูดไทยเก่งจังเลยนะ” รินถามเพราะเห็นว่าแจ็คกี้พูดคุยกับเธออย่างฉะฉานคล่องแคล่วทั้งที่หน้าฝรั่งอยู่แท้ ๆ

“ผมอยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้วน่ะ...” แจ็คกี้ตอบพลางลูบผมไปมา

“แล้ว...” เทลเกริ่นถาม รินเข้าใจ เธอพยักหน้าแล้วเริ่มเล่า

“พวกเราที่นี่มีกันทั้งหมดเจ็ดสิบคน ในจำนวนนั้นมีคนนอกที่ไม่ใช่นักศึกษา และพนักงานของมหาลัยอยู่สิบสองคน ส่วนอาจารย์ไม่รอดสักคน ตั้งแต่สามวันที่ผ่านมานี้พวกเราเสียคนไปมากกว่าคนที่อยู่รอดมาก ฉันก็บอกไม่ได้ว่ามากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่จำได้ก็มากกว่าร้อยคน

ในร้อยคนนั้นพยายามสุดฤทธิ์เพื่อให้พวกเราได้มาอยู่ในตึกนี้ อันที่จริงถ้าอยู่บนตึกก็คงไม่รอดหรอก แต่ถ้าเป็นชั้นใต้ดินของตึกนี้ก็รอดได้ร้อยเปอร์เซ็น-”

‘แป่ง! แป่ง! แป่ง!’

การอธิบายของเธอพลันชะงักลงเพราะเสียงเคาะรัวของโหลแก้วจากด้านนอกของห้อง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เทลถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าหากว่าตีปกติก็คือทานข้าว แต่นี่มันตีรัว อาจจะมีเรื่องผิดปกติบางอย่างก็ได้” รินทำสีหน้าเคร่งเครียดแล้วลุกออกจากเก้าอี้

ประตูห้องถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นหญิงสาวร่างบอบบาง ผิวขาวสว่างอมชมพูนวลละอ่อน ผมดำยาวแวววาวสลวยมัดเป็นหางม้าเผยให้เห็นหลังคออันทรงเสน่ห์ ใบหน้าของเธอสดสวยสะโอดสะองดั่งนางเทพธิดาแห่งแดนสรวง “แอว!”

“แอว! ทำไมเธอถึง...” เมื่อเทลมองและใช้เวลาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็แน่ใจและโพล้งถามออกไปอย่างปลื้มจิตดั่งได้ยกภูเขาออกจากอก เมื่อยังเห็นเธอปลอดภัยดี

เธอทำหน้าสับสนเล็กน้อย ตาของเธอพริ้มลง มุมปากเผยรอยยิ้มแสนปิติ หยดน้ำตาหนึ่งหยดไหลออกมาผ่านแก้มอันงดงามของเธอ “เทล”




“อ่า! บ้าจริง!” ทิวสบถออกมา รถของพวกเขามีพวกผู้ติดเชื้อเกาะกุมเต็มคันรถ พวกผู้ติดเชื้อทุบทุกที่ที่มันพอจะทุบได้ ในตอนนี้รถของพวกเขาเริ่มบิดเบี้ยวเข้ามาด้านในมากแล้วเสียงทุบตีดังตึงตังอยู่ตลอดเวลา

“เจสัน เอาอีกที!” ทิวหันไปสั่ง บาร์กลี้บิดกุญแจดับเครื่อง ความเร็วรถลดลงเรื่อย ๆ

เจสันประกบมือเข้าหากันเสียงดัง ‘ปึง!’ เขากุมมือของตนเองแน่นขนัด และแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ใบหน้าเขาปรากฏมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าพลางหายใจถี่รัว

“ปึง!!!”

เจสันประมือครั้งที่สอง ครั้งนี้ส่งผลให้รอบบริเวณเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ส่งผู้ติดเชื้อทั้งหลายให้สลัดฮัมวี่ออกไป เจสันเอามือกุมศีรษะทันทีแล้วพูดออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “ฉันไม่ไหวแล้ว”

“บาร์กลี้ออกรถเร็ว” ทิวหันไปมองเจสันกับบาร์กลี้สลับกัน บาร์กลี้รับคำ สตาร์ทรถและพุ่งออกไปในที่สุด “หยุด หยุด!” เขาสั่งบาร์กลี้อีกทีเพราะสิ่งที่อยู่ด้านหน้า บาร์กลี้เหยียบเบรกกะทันหันจนทำให้ทิวซึ่งไม่ได้รัดเข็มขัดต้องล้มหน้าคว่ำ

“ออกจากรถเร็ว!” ว่าแล้วทั้งสองก็บึ้งออกจากรถในทันที เจสันถูกประคองร่างโดยบาร์กลี้ เขาทั้งสองวิ่งตามทิวไปยังข้างทาง

“พวกนายสองคนรีบไปหาพวกนาวิกฯ ฉันจะล่อพวกมันให้” บาร์กลี้ทำหน้าลำบากใจแต่ก็พยักหน้ารับคำแล้วพยุงร่างของเจสันผู้ไร้เรี่ยวแรงออกไปอีกด้านของหนึ่งของถนน กลุ่มผู้ติดเชื้อสองสามคนตามเขาทั้งสองไปแต่ก็โดนบาร์กลี้สอยด้วยปลายเท้า

ทิวหันไปจ้องมองผู้ติดเชื้อร่างยักษ์ร่างหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมายังเขาอยู่แต่ไกล ด้านหลังของยักษ์นั่นมีเหล่าผู้ติดเชื้ออีกราว ๆ ห้าสิบคนได้ เขาควักซิกซาวเออร์สองกระบอกขึ้นมา “ต้องล่อมันซักหน่อย”

พวกมันใกล้เข้ามา...

ทิวสวมชุดBDU(Battle dress uniform) สีดำทั้งตัว

“ถึงเวลาที่อสูรกายต้องสู้กับเหล่ากลายพันธุ์แล้วอย่างนั้นสินะ หึ น่าสนุกไม่เบา” ทิวเผยรอยยิ้มอันภาคภูมิหาใดเหมือนออกมา เขาทิ้งซิกซาวเออร์ลงพื้น ถอดชุดเกราะออกแล้ววางไว้ข้าง ๆ กัน “ถ้ามีใครมาช่วยก็คงดี ฉันคนเดียวคงรับมือกับสามสิบคนไม่ได้แน่ แต่ก็พอจะต้านมันได้อยู่ ถึงจะไม่มากก็ตามที”

‘ฮื้ย!!!!! ปึม!!!!!’

ทันทีที่มือทั้งสองของทิวสัมผัสเข้ากับพื้นคอนกรีตของถนนกลางเมือง พลันเกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว ผิวถนนก็แตกกระจายเป็นเส้นยาวดั่งแผ่นดินแยก

“ตายก็ตายเถอะ แต่นี่มันยังไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องไร้สาระไร้ประโยชน์พรรค์นั้น” ทิวพูดขึ้น พวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “ดูท่าว่าวันนี้คงจะเป็นวันที่คึกครื้นที่สุด... สินะ”



“ทิวทำอะไรน่ะ รีบออกมาจากที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยนะ” นภาซึ่งอยู่ในห้องสื่อสารพร้อมกับเอดดี้และอีกสามคนตะโกนลั่นห้อง ถึงแม้ว่าเธอจะพูดดังและบ่อยมากแค่ไหนก็ไปไม่ถึงทิวเพราะวิทยุสื่อสารถูกเขาบี้ทิ้งไปนานแล้ว

“เอดดี้... ติดต่อแบล็คชาโดว์ได้ละยัง” นภาหันมาถามเอดดี้อย่างกังวลใจ สีหน้าเธอเคร่งเครียดเป็นที่สุด

“ไม่ทัน ทิวอยู่ไกลเกินไป ต้องกินเวลานานกว่าสิบห้านาที-”

“แล้วมาได้ไหม” นภารีบตัด

“ดะ ได้” เอดดี้ลุกลี้ลุกลนแล้วหันกลับเข้าจอคอมพิวเตอร์ “เขากำลังไป แต่...”

“แต่อะไรอีก” เธอถามอย่างหงุดหงิด
“พวกเรางานเข้าแล้วล่ะ กลุ่มผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างไร้สาเหตุ คนของเราถูกล้อมพื้นที่ไว้หมดแล้ว” เอดดี้หน้าซีดเผือด เมื่อนภาได้ยินแบบนั้นเธอถึงกับต้องกุมขมับ

“อีกอย่าง รุ่นน้องของเธอและก็น้องชายของทิวที่อยู่มหาลัย ตอนนี้สัญญาณขาดหายไปแล้ว”

“นภา” เอดดี้เรียกเธออีกที “มีการติดต่อจากนายพลแกริสัน”

“ให้ฉันคุยกับเขา” เธอตอบออกไปในทันใด

End of part 1


คราวนี้ผมก็จะพักยาวแล้วนะครับ รู้สึกว่าสมองตื้อจริง ๆ คิดอะไรไม่ออกเลย นี่ก็ผ่านไปสามวันของเรื่องนี้แล้ว ส่วนอีกสี่วันที่เหลือค่อยว่ากันอีกทีในตอนที่ 11 ครับ ขอบคุณสำหรับการติดตาม