PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : 5 ข้อ เงื่อนไข BRN จะลดความรุนแรงลง



portroyal111
12th June 2013, 19:28
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/2f/BRN-coordinate.png


ความเป็นมา ของขบวนการ โจรก่อการร้าย หรือ จกร. เดิมที เรียกว่า ขบวนการ แบ่งแยกดินแดน หรือ ขบด. ต่อมา รัฐบาลได้พิจารณาว่า ชื่อนี้ไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้ ชาวไทยมุสลิม ที่ไม่เกี่ยวข้อง กับขบวนการ โจรก่อการร้าย เกิดความไม่พอใจ เพื่อผลทางการเมือง และจิตวิทยา จึงได้เปลี่ยน จากคำว่า ขบด. เป็น ขจก. หรือ ขบวนการ โจรก่อการร้าย ทั้งนี้เพื่อต้องการ ลดระดับความสำคัญ ของผู้ก่อการร้าย ในพื้นที่ 5 จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ให้เป็นการก่อการร้าย ในระดับท้องถิ่น เท่านั้น โจรก่อการร้าย ก่อตั้งขึ้นมา ในรูปของ องค์กร ใต้ดิน โดยตนกู อับดุลกอเดร์ รัชทายาทเมืองปัตตานี ที่สูญเสียอำนาจ เมืองปัตตานี ในรัชกาลที่ 5 โดยการ ยกเลิก พระยาเมืองต่างๆ ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับบุคคล ที่เสียผลประโยชน์ ทางด้าน การเมือง โดยใช้จุดอ่อน ของชาวมุสลิม ในด้านความเป็นอยู่ เชื้อชาติ ศาสนา เป็นจุดเริ่มต้น ของการ โฆษณา ปลุกระดม บ่อนทำลาย ให้เกิดแตกแยกความสามัคคี ของคนในชาติ เพื่อแบ่งแยก ดินแดน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ และบางส่วน ของจังหวัดสงขลา ออกจากการปกครอง ของประเทศไทย ประกอบกับ มาเลเซีย หลังจาก การ ได้ เอกราช เมื่อ พ.ศ. 2500 ได้แบ่งเป็น รัฐปกครอง กันเอง และให้อภิสิทธิ์ แก่ชาวมลายูมาก ทำให้ ชาวมุสลิม ในภาคใต้ เกิดความคิดว่า ถ้าอยู่กับไทย จะมีสิทธิพิเศษ น้อยกว่า อยู่กับ มาเลเซีย จึงเป็น จุดหนึ่ง ที่โจรก่อการร้าย ใช้ปลุกระดม มาโดยตลอด อีกทั้ง มีพรรคการเมือง ฝ่ายค้าน ของมาเลเซีย ต้องการ เสียง สนับสนุน ของชาวไทย มุสลิม ที่หนีไปอยู่ ที่มาเลเซีย จึงยุยง ให้แบ่งแยก ดินแดน 4 จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ของไทย ไปรวมกับ มาเลเซีย

การเคลื่อนไหว ต่อต้านรัฐบาลไทย ได้กลายมาเป็น การเคลื่อนไหว ปลดแอก อย่างเป็นรูปแบบ โดยมีการ ก่อตั้ง ขบวนการต่างๆ ดังนี้

ขบวนการ แนวร่วม แห่งชาติ ปลดปล่อย ปัตตานี หรือ BNPP ได้ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2502 จนถึง ปี 2530 ได้เปลี่ยน เป็น BIPP เพื่อให้สอดคล้อง กับกระแส การต่อสู้ ของอิสลาม ทั่วโลก ขณะนั้น ปัจจุบัน ได้ยุติ การเคลื่อนไหว ในประเทศไทยแล้ว แต่ยังคง ปรากฏ ความเคลื่อนไหว ทางด้านการเมือง ในมาเลเซีย

ขบวนการ แนวร่วม ปฏิวัติ แห่งชาติ มลายูปัตตานี หรือ BRN ได้ก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2503 โดยแกนนำ ที่มีหัวก้าวหน้า 2 คน แต่ด้วยความขัดแย้ง ทางด้านผลประโยชน์ และแนวความคิด จึงทำให้ BRN แตกแยก ออกเป็น 3 ฝ่าย คือ

กลุ่ม BRN Co - Ordinate กลุ่มนี้ มักจะไม่ปรากฏ ข่าวสาร การเคลื่อนไหว แต่คิดว่า กลุ่มนี้ จะปฏิบัติ งาน เน้นหนัก ทางด้าน การเมือง ในมาเลเซีย

กลุ่ม BRN Congress มีนายรอซะ บูรากอ เป็นประธาน กลุ่มนี้ จะเน้นหนัก ด้านปฏิบัติการ ด้านการ ทหาร

กลุ่ม BRN Ulama มีนายหะยี อับดุลการิม เป็นประธาน ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว การดำเนินงาน จะเน้นหนัก ทางด้าน การเมือง และศาสนา

ในบรรดา BRN ทั้ง 3 ฝ่าย นับได้ว่า BRN Congress โดยการนำของรอซะ บูรากอ สามารถ รวบรวม กองกำลัง ติดอาวุธ ทั้งหมด จึงนับว่ามีบทบาทด้านการทหารมากที่สุด ขณะนี้ มีการเคลื่อนไหว ทั้งด้านการเมือง และ การทหาร ในประเทศไทย และมีที่ตั้ง สำนักงาน อยู่ในประเทศ มาเลเซีย

องค์การ ปลดปล่อย รัฐปัตตานี หรือ PULO ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2511 ผู้ริเริ่ม ก่อตั้ง คือน ายตนกูบีรอ กอตอนีลอ รับหน้าที่ เป็นประธาน กลุ่ม PULO คนแรก จนถึงปัจจุบัน จนถึงปลายปี 2535 กลุ่ม PULO จึงได้แตกแยก ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ

กลุ่มของ ดร.อารง มูเล็ง และนายฮายีฮาดี มินดอซาลี จัดตั้ง เป็นองค์กรนำ PULO ใช้สัญลักษณ์ กริชไขว้ดาบ และใช้เครื่องหมาย ของกองกำลัง ติดอาวุธว่า KASDAN ARMY

กลุ่มของฮายีสะมะแอ ท่าน้ำ จัดตั้ง เป็นสภาบัญชาการ กองทัพ PULO หรือ MPTP ซึ่งสนับสนุน นายตนกูบียอ กอตอนียอ ผู้นำคนเดิม ใช้สัญลักษณ์รูปนกอินทรี และ ใช้เครื่องหมาย กองกำลัง ติดอาวุธว่า ABU DABAN

ในปี 2538 PULO กลุ่มใหม่ ได้มีความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้น ระหว่าง สมาชิก ระดับ แกนนำ ส่งผลให้ เกิดความ แตกแยก ใน PULO ใหม่ โดย ดร.อารง มูเล็ง แยกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่ โดยใช้สัญลักษณ์กองกำลังติดอาวุธว่า PULO 88 หรือ PULO กลุ่ม ABU JIHAD และกลุ่มของ ฮะยีฮาเบ็ง อับดุลเลาะห์มาน ใช้เครื่องหมาย กองกำลัง ติดอาวุธ ว่า KASDAN ARMY สำหรับ PULO เก่ายังคงสภาพเดิม โดยมีนายตนกูบียอ กอตอนียอ เป็นประธาน
ในการจับกุมระดับแกนนำคนสำคัญของ PULO ทั้งกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่เมื่อต้นปี 2541 ทำให้ เกิดความ ระส่ำระสายขึ้น ภายในขบวนการ สมาชิกแนวร่วม ขาดขวัญ และกำลังใจ และบางส่วน ได้ออกมา มอบตัว กับทาง ส่วนราชการ

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 กลุ่ม ได้พยายาม ประสานงาน ร่วมมือกัน ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 กลุ่ม ได้ส่ง กองกำลัง ติดอาวุธ มาเคลื่อนไหว และปฏิบัติการ ร่วมกันแล้ว ในพื้นที่ 3 จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ทั้งทางด้าน การเมือง และทางทหาร ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม มีที่ตั้ง สำนักงาน อยู่ในประเทศ มาเลเซีย

ขบวนการ มูจาฮีดีน ปัตตานี หรือ BNP หรือแนวร่วม มูจาฮีดีน ปัตตานี หรือ BBMP ก่อตั้งเมื่อปี 2528 มีเป้าหมาย เพื่อต่อสู้ ปลดแอก จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ มักจะรู้จักกันในนามมูจาฮีดีนปัตตานี มีลักษณะ การเคลื่อนไหว พยายาม รวบรวม กลุ่มต่างๆ เข้าด้วยกัน โดนเน้นงาน ด้านฝึกอบรม สมาชิก และงานด้านการเมือง มีสำนักงาน ตั้งอยู่ ในมาเลเซีย แกนนำส่วนใหญ่ แยกตัว มาจาก ขบวนการ แนวร่วม ปลดปล่อย อิสลาม ปัตตานี หรือ BIPP การดำเนินงาน ของกลุ่มนี้ ไม่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ควร และปัจจุบัน ปรากฏการณ์ เคลื่อนไหว ด้านการเมือง อยู่ใน มาเลเซีย เท่านั้น

ขบวนการร่วม เพื่อเอกราช ปัตตานี หรือ BERSATU เกิดขึ้น จากแนวความคิด ที่จะรวมกลุ่ม โจรก่อการร้าย เข้าด้วยกัน โดยเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2532 แกนนำ จกร. ทุกกลุ่มประกอบด้วย BIPP, BRN Congress , BNP และ PULO ใหม่ ได้จัดการประชุมขึ้น ใช้ชื่อว่า "การประชุม บรรดา นักต่อสู้ เพื่อปัตตานี" โดมีมติ ให้จัดตั้ง องค์กร ปายง ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้าง เอกราช และ ดำเนินงาน ให้เป็นไป ในทิศทาง เดียวกัน ป้องกัน ความสับสน ในการ ที่จะรับการ สนับสนุน ทางด้านการเงิน จากต่างประเทศ ต่อมา เมื่อปี 2534 ได้เปลี่ยนชื่อ เป็นขบวนการร่วม เพื่อเอกราช ปัตตานี หรือ BERSATU ในปัจจุบัน

ยุทธวิธีของโจรก่อการร้าย

สำหรับรูปแบบ วิธีการ เคลื่อนไหว ของ จกร. ในส่วนของ กองกำลังติดอาวุธ มักนิยม แบ่งกำลัง ออกเป็น กลุ่มย่อย ทำการเคลื่อนไหว ในลักษณะ จรยุทธ ไม่มีการ สร้างค่ายพัก ถาวร อยู่ในประเทศไทย โดยการ สับเปลี่ยน โยกย้าย แหล่งพักพิง อยู่ตลอดเวลา และ พยายาม หลีกเลี่ยง กับการ เผชิญหน้า กับกำลัง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งหาก มีการปะทะกัน จะไม่ยืดเยื้อ ที่จะต่อสู้ กับฝ่าย เจ้าหน้าที่ และ จะถอนตัว ออกจากพื้นที่ ปะทะ อย่างรวดเร็ว ซึ่งหาก โอกาสอำนวย ก็จะใช้วิธี ลักลอบ โจมตี และ ตอบโต้ ด้วยการ ก่อวินาศกรรม ตามพื้นที่ราบ และในเมือง ลักษณะ การดำเนินการ ของ จกร. มีทั้งด้านการเมือง และ ด้านการทหาร กล่าวคือ ปลุกระดม มวลชน โฆษณาชวนเชื่อ และ บิดเบือน ข้อเท็จจริง ให้มุสลิม ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ และ ในต่างประเทศ เข้าใจว่า รัฐบาลไทย กดขี่ข่มเหง คนมุสลิม ทั้งนี้ เพื่อยกระดับ ให้เป็นปัญหา ที่นานาชาติ ควรเข้ามา เกี่ยวข้อง พยายาม สร้างเงื่อนไข หรือข้อเรียกร้อง สิทธิต่างๆ ที่รัฐบาล ยอมรับไม่ได้ สร้าง ความแตกแยก ระหว่าง ชาวไทยพุทธ กับชาวไทยมุสลิม ติดต่อ ขอความช่วยเหลือ จากกลุ่มประเทศมุสลิม ในด้านการเมือง และด้านอื่นๆ ทำการ หาเงินทุน ด้วยการ กรรโชกทรัพย์ ขัดขวาง การศึกษา ด้วยการ ก่อการร้าย ต่อโรงเรียน ประทุษร้าย ต่อครู และชักจูง ให้ผู้ปกครอง มิให้ส่งบุตรหลาน เข้าเรียน หนังสือไทย สร้างความ หวาดกลัว ให้กับประชาชน ที่ให้ความร่วมมือ กับเจ้าหน้าที่ ด้วยการ ลอบทำร้าย สร้างอิทธิพล สร้างผลงาน ด้วยการ ลอบทำร้าย เจ้าหน้าที่ ลอบวางระเบิด ลอบวางเพลิง

สถานการณ์เฉพาะ

จากปัญหา ความไม่สงบ เรียบร้อย โดยเฉพาะ ในพื้นที่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส แม้จะคลี่คลาย ในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังคง ส่งผลกระทบ ถึงความไม่ปลอดภัย ในชีวิติ และทรัพย์สิน ของประชาชน ซึ่งพอที่จะ แยกกลุ่ม ที่ก่อให้เกิด ปัญหา ได้คือ จกร. ปัจจุบัน คงเหลือ กลุ่มโจร ที่ยังมี บทบาท ทั้งทางด้าน การเมือง และการทหาร คือ PULO และ BRN มีโครงสร้าง การเคลื่อนไหว ดังนี้

สมาชิก ระดับนำ ผู้มีอุดมการณ์ และผู้ที่ แสวงหา ประโยชน์ ปัจจุบัน มีประมาณ 180 คน แต่ที่ เคลื่อนไหว และมีบทบาท สำคัญ ไม่เกิน 20 คน

กองกำลัง ติดอาวุธ ประมาณ 60 คน ส่วนใหญ่ เคลื่อนไหว บริเวณเทือกเขา ทางตอนใต้ ของจังหวัด นราธิวาส ติดชายแดนไทย - มาเลเซีย และหน่วย ก่อวินาศกรรม ในเมือง อีกประมาณ 30 คน หลบหนีไปมาระหว่างไทย - มาเลเซีย

แนวร่วม การสนับสนุน

ผู้ที่ให้การสนับสนุน ต่อกองกำลัง ติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหว ในเขตไทย ส่วนใหญ่ เป็นเครือญาติ ที่มีผลประโยชน์ ร่วมกัน หรือถูกบังคับ การสนับสนุน ต่อกองกำลัง ติดอาวุธ เพื่ออุดมการณ์ มีเพียงส่วนน้อย ที่จะได้รับ การสนับสนุน จากต่างประเทศ เดิมมีหลายประเทศ ที่ให้การ สนับสนุน แต่ปัจจุบัน เหลือน้อยมาก และ เป็นการสนับสนุน ของบุคคล ที่ไม่เกี่ยวข้อง กับภาครัฐ ผู้มีอิทธิพล และกลุ่มแอบอ้าง ทางการเมือง และศาสนา
จากการก่อการร้าย และความไม่สงบ ในพื้นที่ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ เมื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริง แล้วพบว่า ผู้ที่อยู่ เบื้องหลัง หรือผู้ที่บงการ มักจะเป็นผู้กว้างขวาง หรือผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีส่วนร่วม กับนักการเมือง และ ข้าราชการบางคน

ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้กระทำ หรือผู้ก่อเหตุ ส่วนใหญ่ เป็นผู้ต้องคดี ผู้ติดยาเสพย์ติด แนวร่วม จกร. หรือ กองกำลัง ติดอาวุธ ของ จกร. ซึ่งเบื้องหลัง ของกลุ่มบุคคล ดังกล่าวนี้ มักมีความสัมพันธ์ ทางใด ทางหนึ่ง ประกอบกับ เกิดปัญหา ความขัดแย้ง ด้านแนวทาง ในการปฏิรูป แนวทาง ศาสนา ของกลุ่มบุคคล หรือผู้นำ ศาสนา ในบางพื้นที่ รวมทั้ง ปัญหา ความขัดแย้ง ทางด้านการเมือง ปัญหาดังกล่าว ผสมผสาน เป็นความ ไม่สงบ เรียบร้อย ความไม่ปลอดภัย ในชีวิต และทรัพย์สิน

กลุ่มโจร มิจฉาชีพ มีการจัดตั้งกลุ่ม เช่น กลุ่มมูจาฮีดีน อิสลาม ปัตตานี เคลื่อนไหว ก่อเหตุร้าย ก่อกวน สร้างความ ไม่สงบ หลายครั้ง เพื่อยกระดับ กลุ่มโจร มิจฉาชีพ ให้ จกร. ยอมรับว่า มีอุดมการณ์ แบ่งแยก ดินแดน เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีกลุ่ม มือปืนรับจ้าง และผู้หลบหนี คดีอาญา มาก่อเหตุร้าย หรือข่มขู่ กรรโชกทรัพย์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์

สถานการณ์ในพื้นที่

เหตุร้าย ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ มีทั้ง จากการ ปะทะ จากโจร ก่อการร้าย โจรมิจฉาชีพ กลุ่มผลประโยชน์ และ เรื่องส่วนตัว แต่ลักษณะ การก่อเหตุร้าย จะคล้ายกัน จึงทำให้ เข้าใจว่า เป็นคนร้าย กลุ่มเดียวกันทำ หรือที่ ที่เหตุร้าย จะกระจาย ไปใน หลายพื้นที่ ไม่เน้นหนัก ในพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่ง ส่วนใหญ่ จะเกิด นอกเขตชุมชน รองลงมา ในเขตเทศบาล ของพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี ส่วนสงขลา และสตูล มีเหตุการณ์ น้อยมาก
แนวโน้ม สถานการณ์ ก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะ การก่อเหตุร้าย จะยังคงมีต่อไป แต่ด้วยการปฏิบัติการ ทางยุทธการ ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทำให้ฝ่าย จกร. ระดับกองกำลัง ติดอาวุธ หลายคน ต้องสูญเสีย จากการปะทะ เป็นผลให้ จกร. ได้มีการพัฒนา และเปลี่ยนรูปแบบ ในด้านการดำเนินการใหม่ โดยระยะหลัง ได้เน้นหนัก ทางด้าน สังคมจิตวิทยา และการข่าว ซึ่งบางครั้ง อาศัย สถานการณ์ ที่เกิดขึ้น ปล่อยข่าว ให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ เกิดความสับสน และสร้างความแตกแยก ให้เกิดขึ้น ระหว่าง หน่วยงาน ของรัฐ เพื่อเป็นการ ดำรง รักษา สภาพ จกร. เอาไว้ และขยาย แนวร่วม เพื่อให้ความสนับสนุน สำหรับ การก่อการร้าย สร้างผลงาน แสดงอิทธิพล แสวงผลประโยชน์ นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มอื่น สถานการณ์ เพื่อก่อเหตุร้าย เพื่อรักษา ผลประโยชน์ ของบุคคล หรือของกลุ่มตน


และ ล่าสุด
5 ข้อ เงื่อนไข BRN ฉีกหน้ารัฐบาลไทยกันชัดๆ



วงพูดคุยเพื่อสันติภาพระหว่างตัวแทนของรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา ร้อนระอุยิ่งกว่าการพูดคุยทุกครั้งที่ผ่านมา หลังการเดินเกมกดดัน และฉีกหน้ารัฐบาลไทยด้วยแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง 5 ข้อของแกนนำบีอาร์เอ็น โดย นายฮัสซัน ตอยิบ และนายอับดุลการิม คาลิบ ก่อนหน้าการเจรจาเพียง 1 วัน ที่เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่เขย่าโต๊ะเจรจา

สำหรับผู้นำคณะฝ่ายไทย จำนวน 10 คน ยังคงเป็น พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยตัวแทนฝ่ายไทยอีก 1 คนที่เพิ่มเติมเข้ามาจากรอบที่แล้ว คือพล.ต.ชรินทร์ อมรแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 4 ในฐานะตัวแทนจากกองทัพภาคที่ 4

ส่วนฝ่ายบีอาร์เอ็นมี นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นฝ่ายการเมือง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะเช่นเดิม แต่คราวนี้ได้มีการเพิ่มสมาชิกบีอาร์เอ็นอีก 1 คน คือ นายอาหวัง ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มเยาวชนและมีถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส รวมแล้วมีตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นเข้าร่วมเจรจาด้วย จำนวน 7คน

การพูดคุยครั้งนี้ใช้เวลาพูดคุยกันยาวนานค่อนวันไม่ต่างจากครั้งก่อน โดยใช้เวลาไป 11 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. บรรยากาศช่วงแรกเป็นไปด้วยดี โดยเป็นการต่อยอดจากการประชุมรอบที่แล้วเมื่อวันที่ 28 มีนาคม โดยประเด็นหลักของฝ่ายไทย คือ การลดเหตุความรุนแรง หยุดกระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ และพื้นที่เศรษฐกิจ ส่วนบีอาร์เอ็นเสนอขอในเรื่องของความยุติธรรม

หลังจากนั้นบรรยากาศเริ่มร้อนระอุขึ้น เมื่อฝ่ายบีอาร์เอ็นได้หยิบเอาเงื่อนไข 5 ข้อที่แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ยูทูบไปพูดคุยบนโต๊ะเจรจาด้วย เพื่อแลกกับการยุติการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่เมื่อฝ่ายไทยปฏิเสธที่จะรับ 5 ข้อเสนอดังกล่าว จึงทำให้บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันที เพราะฝ่ายบีอาร์เอ็นยืนกรานในข้อเสนอของตน ซึ่งฝ่ายไทยไม่อาจตอบสนองให้ได้ เพราะผิดหลักการในการพูดคุยครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และขัดรัฐธรรมนูญของไทย จนต้องมีการเลื่อนประชุมไปในวันที่ 13 มิถุนายน เนื่องจากไม่อาจหาข้อสรุปร่วมกันได้

ต่อมาบรรยากาศในช่วงบ่ายถึงค่ำก็มีการโต้แย้งกันอย่างดุเดือดเป็นระยะ โดยเฉพาะประเด็นที่ฝ่ายไทยถามกลุ่มกลุ่มบีอาร์เอ็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่ได้ลดลงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาโดยเฉพาะการใช้ระเบิด และการซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่จนเสียชีวิตไปแล้วหลายนาย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

ขณะที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นชี้แจงเรื่องเหตุความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องว่า ที่ผ่านมาได้มีการส่งสัญญาณไปยังพื้นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังคงเป็นปัญหาเดิมๆ ที่ยังไม่สามารถควบคุมกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ได้ เพราะบางส่วนยังไม่ยอมรับการเจรจา แต่ก็รับปากที่จะเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดสันติสุขในพื้นที่โดยเร็ว

จากนั้นฝ่ายบีอาร์เอ็นได้ถามตัวแทนรัฐบาลไทยในเรื่องความยุติธรรม โดยเฉพาะเรื่องการ "ยกเลิกหมายจับ" โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบสืบสภาพและกำลังดำเนินการอยู่ เพราะจะต้องพิจารณาจากหลายส่วนงาน เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย

หนึ่งในคณะร่วมเจรจาครั้งนี้ยอมรับว่า สำหรับ 5 ข้อเรียกร้องของกลุ่มบีอาร์เอ็น ถือเป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่มาก และแต่ละข้อที่เสนอมาคณะทำงานคงตัดสินใจไม่ได้ ต้องนำกลับมาพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน โดยเฉพาะอำนาจการตัดสินใจที่เป็นของรัฐบาล โดยเรายืนยันว่า การพูดคุยกันจะต้องอยู่บนพื้นฐานภายใต้รัฐธรรมนูญ ถ้าขัดรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถทำได้

เขามองว่า เงื่อนไข 5 ข้อของกลุ่มบีอาร์เอ็นจะทำให้กระบวนการพูดคุยล่าช้า เพราะจะต้องกลับไปแก้ไขกฎกติกาที่ได้ลงนามเมื่อครั้งที่ผ่านมา โดยข้อตกลงเดิมกำหนดไว้ชัดเจน เช่น ให้มาเลเซียเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเท่านั้น หากมีการยกระดับให้มาเลเซียเป็น "ตัวกลาง" คงผิดวัตถุประสงค์เพราะเรายืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นปัญหาภายในประเทศเท่านั้น

"เมื่อการพูดคุยยังไม่สามารถตกลงกันได้ จึงจำเป็นต้องเลื่อนการพูดคุยเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ออกไปในวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งการเลื่อนครั้งนี้ไม่ได้เป็นการล้มโต๊ะการเจรจา เพียงแต่ให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาทบทวนว่าข้อเสนอที่แต่ละฝ่ายยื่นเงื่อนไขนั้น จะสามารถผลักดันให้เกิดผลสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน"หนึ่งในคณะผู้ร่วมเจรจา กล่าวย้ำ

คณะผู้ร่วมเจรจาฝ่ายไทยคนเดิมชี้ว่า เงื่อนไข 5 ข้อดังกล่าวถือเป็นการ "เดินเกมรุก" ของกลุ่มบีอาร์เอ็น เพราะเป็นการวางระบบการพูดคุยด้วยการ "ยกระดับ" เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ว่าเป้าหมายสุดท้ายของกลุ่มบีอาร์เอ็น คือ ต้องการ "การปกครองตนเอง" และการพูดคุยกันต่อจากนี้คงจะมาพูดคุยกันเฉยๆ ไม่ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องยกระดับการพูดคุยให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

“โรดแม็พ 5 ข้อจะนำไปสู่การเจรจาต่อรองในอนาคต โดยข้อ 1.ต้องการการยกระดับมาเลเซียให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ย และเป็นสักขีพยาน เพราะถ้าตกลงกันไป แต่ไม่มีใครรับรองก็เท่านั้น ส่วนข้อ 4-5 โดยเฉพาะข้อ 3 ที่ให้องค์กรภายนอกประเทศเข้ามาเราอย่าตกหลุมพรางเด็ดขาด เพราะทุกอย่างต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมาย และรัฐธรรมนูญของไทยเท่านั้น”

จากบทวิเคราะห์ และเสียงเตือนจากคณะผู้ร่วมเจรจาฝ่ายไทยดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หนทางสู่สันติภาพที่พลันสว่างวาบขึ้นมาก่อนหน้านี้ ชักจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ เสียแล้ว

เงื่อนไข 5 ข้อของบีอาร์เอ็น

1.นักล่าอาณานิคมสยามต้องยอมรับให้ประเทศมาเลเซียเป็นคนกลางผู้ไกล่เกลี่ย (mediator) ไม่ใช่แค่ผู้ให้ความสะดวก (facilitator)

2.การพูดคุยเกิดขึ้นระหว่างชาว (bangsa) ปาตานี ที่นำโดยบีอาร์เอ็น กับนักล่าอาณานิคมสยาม

3.ในการพูดคุย จำเป็นต้องมีพยานจากประเทศอาเซียน องค์กร โอไอซี และองค์กรเอ็นจีโอ

4.นักล่าอาณานิคมสยามต้องปล่อยผู้ที่ถูกควบคุมตัวทุกคนและยกเลิกหมายจับทั้งหมด (ที่เกี่ยว
ข้องกับคดีความมั่นคง) โดยไม่มีเงื่อนไข

5.นักล่าอาณานิคมสยามต้องยอมรับว่า องค์กรบีอาร์เอ็นเป็นขบวนการปลดปล่อยชาว (bangsa)
ปาตานี ไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดน




ที่มาและติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
http://library.uru.ac.th
http://www.komchadluek.net

หรือดูเป็นคลิปจากข่าวช่อง 3 ได้ที่นี่

http://www.youtube.com/watch?v=CbfWN30f8pY

qqweew
12th June 2013, 19:43
ยาวสั้้นๆง่ายๆมันยาว

ลูกกุยแมน
12th June 2013, 20:01
5ข้อที่กล่าวมา ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เลย
โดยเฉพาะข้อ4 มันเกินเหตุผลจริงๆ

gamespore
12th June 2013, 20:39
ข้อ 4 มันเหมือนปล่อยโจรไปยังงั้นแหละ
ข้อ 5 ก็รู้ๆกันอยู่ยังจะอ้าง

donutnaha55
12th June 2013, 20:55
แหม ได้คืบจะเอาศอก

panasaz
12th June 2013, 21:01
จะเอาพื้นที่ไป.... คนในพื้นที่นั้นส่วนใหญ่เห็นด้วยรึป่าว ??? จะปกครองแบบไหนก็ไม่ได้เห็นว่าจะบอก ?? เอาไปแล้วมันดูแลกันได้จริงหรือ ?? มีใครหรือชนชาติใดอยู่เบื้องหลังรึป่าว ??

แล้วจ้าวปัตตานีที่ครองพื้นที่ในอดีต...ยกขึ้นมาอ้างทำเพื่อ ???...(ข้อนี้จากที่ฟังมาในข่าว)

ปล...ผมว่า...ที่ว่าปลดปล่อยน๊ะ......น่าจะปลดปล่อยจาก ไอ้พวกล่าอนานิคมไหม่อย่าง พวกที่อ้างตัวว่าเป็นนักสู้ปลดปล่อย ที่ทำตัวเชกเช่นโจรใจเดรฉานฆ่าคน ทั้งเด็กผู้หญิง ทหารที่ไม่รู้เรื่องดีกว่า...

พวกมันมีแต่ปั้นคำพูดจาให้ดูดี...ทั้ง ๆ ที่อยู่ใน คราบ โจร(ล่าแผ่นดิน) โขมย(รถยนต์ สินทรัพย์ อาวุธของทหารไทย) ฆาตร (เช่นเดียวกับฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าได้ไม่เลือกหน้า)

opal160
12th June 2013, 21:08
แค่ใช้คำว่า "นักล่าอาณานิคมสยาม" ผมก็ไม่อยากจะให้คุยเ่ท่าไหร่ละครับ แหม่

jomemy
12th June 2013, 21:25
ถ้าผมเป็น ผบทบ ละก็ สนุกสนานไปนานแล้ว !

qqweew
12th June 2013, 21:34
เราต้องมองลึกลงไปในประวัติศาสตร์ครับทุกๆท่าน

เท่าที่ผมเรียนมาจากครูที่ร.ร.คือ ปัญหาของ3จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ใช่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน

แต่เป็นปัญหากันมาตั้งแต่ยุค สุโขทัยนู่นแน่ะครับ คือเมื่อก่อน แถบนั้นก็ถูกไทยยึดนี่ล่ะครับ

แล้ว อังกฤษก็เข้ามายึดมาเลเซีย เสดแล้วไปๆมาๆมามีเรื่องกับไทยแล้วไปได้เสียกันตอนไหนก็ไม่รู้ ไอ3จังหวัดนั้นมันก็เลยกลายเป็นของไทยไป

สังเกตุดูครับ 3 จังหวัดนั้น เป็นภาษาของทางมาเลเซีย(ภาษาไรหว่า) รวมถึงภูเก็ต ก็ไม่ใช่ภาษาไทย ฟังสำเนียงดูดีๆจะต่างกันมาก

แล้วที่เขาใช้คำว่า นักล่าอาณานิคมสยาม คือ เมื่อก่อนสมัยขี่ช้างรบไทยนี่ล่ะครับ ที่ล่าเอาอาณาเขตไปเรื่อย ตั้งแต่พม่า กัมพูชา ยัน มาเลบางส่วน

แล้วก็มาเสียไปตอน ตะวันตกล่าอาณานิคม ตามที่เรียนในตำรากันมา แต่ที่ตำราไม่ได้สอนก็ คือ 3จังหวัดนั้นไทยไปได้มาแบบเงอะๆงะๆยังไงผมก็งงๆ

สรุปง่ายๆคือ พวกกลุ่มที่อยู่3จังหวัดชายแดนใต้ เขาไม่เห็นว่าตนเป็นคนไทยแค่น้นล่ะครับ และอย่างที่รู้ๆกันว่าเป็นคนมุสลิมซะส่วนใหญ่(พวกคลั่งศาสนาจัด)

จะให้อยู่กับกฎหมายแบบบ้านเราก็ยากครับ คนพวกนี้เขามีกฎหมายที่เป็นกฎหมายอิสลามเป็นของตัวเอง อย่าง มาเลเซีย เป็นต้นครับ




ปล.นี่คือความเห็นของผมครับ(ข้อมูลอาจไม่ชัวเพราะใช้ความจำเอา)

Arbadius'z
12th June 2013, 21:47
เราต้องมองลึกลงไปในประวัติศาสตร์ครับทุกๆท่าน

เท่าที่ผมเรียนมาจากครูที่ร.ร.คือ ปัญหาของ3จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ใช่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน

แต่เป็นปัญหากันมาตั้งแต่ยุค สุโขทัยนู่นแน่ะครับ คือเมื่อก่อน แถบนั้นก็ถูกไทยยึดนี่ล่ะครับ

แล้ว อังกฤษก็เข้ามายึดมาเลเซีย เสดแล้วไปๆมาๆมามีเรื่องกับไทยแล้วไปได้เสียกันตอนไหนก็ไม่รู้ ไอ3จังหวัดนั้นมันก็เลยกลายเป็นของไทยไป

สังเกตุดูครับ 3 จังหวัดนั้น เป็นภาษาของทางมาเลเซีย(ภาษาไรหว่า) รวมถึงภูเก็ต ก็ไม่ใช่ภาษาไทย ฟังสำเนียงดูดีๆจะต่างกันมาก

แล้วที่เขาใช้คำว่า นักล่าอาณานิคมสยาม คือ เมื่อก่อนสมัยขี่ช้างรบไทยนี่ล่ะครับ ที่ล่าเอาอาณาเขตไปเรื่อย ตั้งแต่พม่า กัมพูชา ยัน มาเลบางส่วน

แล้วก็มาเสียไปตอน ตะวันตกล่าอาณานิคม ตามที่เรียนในตำรากันมา แต่ที่ตำราไม่ได้สอนก็ คือ 3จังหวัดนั้นไทยไปได้มาแบบเงอะๆงะๆยังไงผมก็งงๆ

สรุปง่ายๆคือ พวกกลุ่มที่อยู่3จังหวัดชายแดนใต้ เขาไม่เห็นว่าตนเป็นคนไทยแค่น้นล่ะครับ และอย่างที่รู้ๆกันว่าเป็นคนมุสลิมซะส่วนใหญ่(พวกคลั่งศาสนาจัด)

จะให้อยู่กับกฎหมายแบบบ้านเราก็ยากครับ คนพวกนี้เขามีกฎหมายที่เป็นกฎหมายอิสลามเป็นของตัวเอง อย่าง มาเลเซีย เป็นต้นครับ




ปล.นี่คือความเห็นของผมครับ(ข้อมูลอาจไม่ชัวเพราะใช้ความจำเอา)


ผมก็สงสัยคนไทยทำกันได้ลง พอได้อ่านเข้าใจแล้วครับเขาไม่ใช่คนไทยนี่เอง^^

chaikaning
12th June 2013, 22:53
ผมเปิดเผยข้อมูลมากไม่ได้ เอาสั้นๆว่า
"พวกมันอยู่แถวซอยราม"
คนของพวกมันก็มีในพวกเรา คนของเราก็แทรกซึมอยู่กับพวกมัน
คนพวกนี้ถ้าไม่มีผลประโยชน์บางอย่าง พวกมันไม่ทำหรอกครับ

แทนที่จะไปเจรจากับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้
หันมาสืบคนของเราเองก่อนดีกว่าไหม?
** จากใจ ทหาร จชต **