PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : รวมอาวุธสมัยสงครามโลก + เหตุการณ์ในวัน ดีเดย์ ครับ



wanjaiteeruk
14th July 2013, 20:56
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/5/54/Infobox_collage_for_WWII.PNG/300px-Infobox_collage_for_WWII.PNG

สงครามโลก (อังกฤษ: World War) เป็นลักษณะความขัดแย้งทางการทหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายชาติมหาอำนาจร่วมกัน โดยมักจะเกิดขึ้นในหลายทวีปทั่วโลกและกินเวลานานหลายปี คำว่า สงครามโลก เป็นการอธิบายถึงสงครามที่มีขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งในอดีตเกิดสงครามโลก 2 ครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1914-1918) และ สงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1939-1945) และได้มีการพาดพิงถึงสงครามโลกครั้งที่สามในวัฒนธรรมต่าง ๆ

ถึงแม้ว่าสงครามอื่นที่เกิดขึ้นจากหลายชาติทั่วโลก เช่น สงครามเย็นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และ สงครามอิรักในช่วงปี ค.ศ. 2003-2005 ยังไม่ถูกเรียกว่าเป็นสงครามโลก

เครดิตร วิกิพีเดีย


อาวุธสงครามของฝ่ายอเมริกา

เริ่มกันที่อาวุธของอเมริกา ปืน M2 Browning machine gun ปืนกลชนิดนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อมาแทนปืนกลแบบ Vickersในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่1 ปืนกลชนิดนี้จะติดอยู่กับยานพาหนะซะเป็นส่วนมาก เนื่องจากมี นน. มากในการขนย้ายจึงทำได้ลำบากแต่มีพลังการทำลายสูงมาก

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-1.jpg



ปืน M1919 ปืนกลตั้งแท่นยิงที่ใช้กันมากในหมู่ปืนกลมีติดตั้งบนยานรบเกือบทุกแบบสามารถใช้สนับสนุนเหล่าทหารและสามารถยิงต่อสู้อากาศยานได้

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-2.jpg



ปืน M1A1 Bazooka ปืนต่อสู้รถถังที่ใช้มากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่2โดยใช้จรวดแบบHigh explosive anti-tankหรือ(HEAT) ในการทำลายรถถังหรือ ยานเกราะของข้าศึกและใช้จนถึงสงครามเกาหลี

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-3.jpg



ปืน M1911A1 ปืนพกแบบมาตรฐานของกองทัพสหรัฐมีใช้กันเกือบจะทุกหน่วยเป็นอาวุธสำรองมีความแม่นยำในระยะใกล้และมีพลังในการทำลาย สูงกว่าปืนพกแบบอื่นๆแต่บรรจุกระสุนได้น้อยมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกจนถึงปัจจุบัน

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-4.jpg



ปืน M3A1 ปืนกลมือที่ถูกใช้โดยหน่วยพลร่มและพลประจำรถถังและหน่วยรบพิเศษถูกใช้ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่2ไปจนถึงสงครามเวียดนาม และสงครามอ่าวปี 1991

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-5.jpg



ปืน M1918 Browning Automatic Rifle ปืนชนิดนี้เป็นปืนสนับสนุนของเหล่าหมู่ปืนเป็นปืนที่มีผลิตมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่1แต่ทางกองทัพให้ความเห็นว่ามันเป็นปืนที่มีความ ยอดเยี่ยมมากในสมัยนั้นจึงไม่สามารถให้มันตกไปอยู่ในมือของฝ่ายข้าศึกได้ปืนนี้จึงถูกเก็บไว้ก่อนจนสงครามโลกครั้งที่2ระเบิดขึ้น ปืนนี้จึงถูกนำมาใช้มันมี นน.มากและบรรจุกระสุนได้น้อยและมีความเร็วในการยิงมากทำให้กระสุนหมดเร็วและปืนถูกยกเลิกไปหลังสง ครามเกาหลี

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-6.jpg


ปืน M1 Thompson ปืนกลมือThompsonถูกผลิตมาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดทำให้กองทัพในตอนนั้นไม่สนใจในการใช้ในช่วงแรก ปืนนี้ถูกใช้ใน กลุ่มมาเฟียแต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นทางกองทัพจึงนำมันมาใช้มันเป็นปืนที่ นน. เบามีการยิงกระสุนได้เร็วแต่ความแม่นยำ ไม่มากและมีการส่ายของลำกล้องสูงมากเวลายิงเร็วๆ (จะเห็นในเรื่อง Saving private ryan ส่วนมาก)

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-7.jpg


ปืน M1903 Springfield rifle ปืนกระบอกนี้ถูกใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นปืนที่มีความแม่นยำสูงมากๆแต่บรรจุกระสุนได้น้อยจึงไม่สามารถจัดการข้าศึกทีละมากๆได้และในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปืนนี้จะใช้โดยพลแม่นปืนซะเป็นส่วนมาก

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-8.jpg



ปืน M1A1 Carbine ปืนนี้เป็นปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติและมีหลายรุ่นทั้งแบบพานท้ายพับได้มี นน.เบาเหมาะสำหรับเหล่าพลร่มมีความแม่นยำสูงแต่มีความรุนแรงต่ำกว่าปืนแบบอื่นแต่ก็ชดเชยด้วยความเล็ก นน.เบา ใช้ง่าย

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-9.jpg



ปืน M1 GARAND เป็นปืนที่ฝ่ายสหรัฐใช้เป็นอาวุธประจำกายในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ถึงสงครามเวียดนามเป็นอาวุธที่มีความแม่นยำสูงมากแต่ก็มีจุดเด่นที่น่ากลัวคือเมื่อทำการยิงจนกระสุนหมดในการยิงนัดสุดท้ายปืนจะทำการดีดตลับกระสุนออกมาทำให้มีเสียงดังพิ้งซึ่งจะบอกตำแหน่งของผู้ยิงได้ ปืนนี้สามารถเสริมอุปกรณ์พิเศษได้อย่างดาบปลายปืนกล้องเล็งหรือลูกระเบิดแต่การยิงลูกระเบิดต้องอาศัยกระสุนเปล่า1นัดใน การช่วยยิงด้วย

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-10.jpg






อาวุธสงครามของฝ่ายอังกฤษ

ปืน PIAT (Projector Infantry, Anti-Tank) ปืนต่อสู้รถถังของกองทัพบกอังกฤษไม่เป็นที่นิยมมากนักเนื่องจากมี นน. มากความแม่นยำต่ำระยะหวังผลไม่ไกลมากนักและมีความยุ่งยากในการยิงทหารจึงนิยมใช้ปืนM1A1 Bazookaมากกว่า

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-11.jpg




ปืน Webley Revolver MK 4 ปืนพกลูกโม่ประจำตัวของทหารอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1มี นน.ที่เบามากใช้ง่ายไม่ต้องใช้การฝึกอะไรมากเป็นที่นิยมมากและยังคงถูกใช้ในบางส่วนของโลกอยู่

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-12.jpg



ปืน Bren LMG ปืนกลสนับสนุนชั้นยอดของกองทัพบกอังกฤษถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่โตทำให้ความคล่องตัวน้อยลงแต่ในการนอนยิงมันจะมีความแม่นยำสูงมาก

https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS4d0SFbiKW5AukR-Ep9GW9OY4tqGpQ7H0UJ3XuLH83y2xJAg8JXA



ปืน Lee Enfield ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมัน แต่บรรจุกระสุนได้มากกว่าคือ10นัดโดยตลับกระสุนจะแบ่งเป็น2ตลับๆละ5นัด

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-14.jpg





อาวุธสงครามของฝ่ายโซเวียต


Tokarev TT-33 ปืนพกประจำกายมาตรฐานของทหารกองทัพแดงปืนชนิดนี้ได้รับการพัฒนามาจากปืน M1911 ของสหรัฐโดยดัดแปลงทำให้มันใช้งานได้ดีขึ้นง่ายขึ้น และทนทานมากขึ้น

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-15.jpg


Ruchnoy Pulemyot Degtyaryova Pekhotnyi 28 ปืนกลรุ่นนี้ถือเป็นยอดในเรื่องความเรียบง่ายและง่ายต่อการบำรุงรักษาแต่ขาตั้งของมันจะหักได้ง่ายถ้าถืออย่างไม่ระมัดระวังแต่มันก็เป็นปืนที่มีประสิทธิภาพมากในความแม่นยำ และมีพลังการยิงสูง

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-16.jpg



Samozaryadnaya Vintovka Tokarevav SVT-40 ปืนไรเฟิลชนิดนี้เป็นการอัพเกรดขนานใหญ่ของปืนไรเฟิลประจำกายของกองทัพแดงถึงแม้ว่าทหารจะไม่ได้รับการฝึกให้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทหารนาซีก็ยอมรับในฐานะอาวุธที่มีความแม่นยำและพลังการทำลายสูง

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-17.jpg




ปืน PPSH-41 ปืนกลมือของกองทัพบกโซเวียตมีอัตราการยิงต่อเนื่องสูงมากบรรจุกระสุนได้เยอะมากความแม่นยำต่ำไม่เหมาะกับการยิงระยะไกล แต่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิดและใช้ในหลายประเทศเช่นเวียดนามเหนือหรือเกาหลีเหนือ

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-18.jpg



Mosin Nagant ปืนไรเฟิลของทหารกองทัพแดงมีความแม่นยำสูงมากในการยิงระยะไกลแต่มีอัตราการยิงต่อเนื่องต่ำทำให้ลำบากในการต่อสู้ระยะประชิด ใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงปลายปี1998

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-19.jpg





อาวุธปืนของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2



ปืนเล็กยาว Karabiner Mauser Kar98K
คาราไบน์เนอร์ เค 98 เป็นปืนที่ส่งลูกเข้ารังเพลิงด้วยระบบลูกเลื่อน เป็นอาวุธประจำกายของทหารเยอรมันมาตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ปืนเล็กยาวรุ่นนี้ บริษัทเมาเซอร์ (Mauser) พัฒนามาจากปืน Gewehr 98 ซึ่งก่อนเกิดสงครามปืนรุ่นนี้จะผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถัน ตัวปืนที่เป็นไม้ จะผลิตโดยช่างฝีมอทางด้านงานไม้ แต่พอเกิดสงคราม ความต้องการของปืนมีมาก จึงผลิตด้วยไม้เคลือบมันราคาถูกๆแทน คาราไบเนอร์ เค 98 มีน้ำหนักตัวเปล่า โดยยังไม่บรรจุกระสุน 3.66 กก. บรรจุกระสุนขนาด 7.92 มม. ด้วยซองกระสุน 5 นัด ซึ่งขนาดกระสุน 7.92 มม.นี้เป็นขนาดกระสุนมาตรฐานของกองทัพนาซีเยอรมันในขณะนั้น ต่างจากขนาดกระสุนของรัสเซียที่ใช้ขนาด 7.62 มม. เล็กน้อย กระสุนของเคร 98 มีความเร็ว 745 เมตรต่อวินาที ระยะยิงได้ไกล 550 เมตรหรือ 600 ห

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-20.jpg



ปืนกลมือ MP 40
คงจะไม่ผิดนักถ้าหากจะกล่าวว่าปืนกลมือ Maschinenpistole MP 40 (schmeisser) เป็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง มันถูกผลิตออกมาโดยบริษัท เออร์ม่า (Erma) มากกว่า 1,000,000 กระบอก จนถึงปี 1945 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความที่ผลิตง่าย ตามความต้องการของกองทัพเยอรมันที่ต้องการปืนที่มีระบบการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้คนงานที่มีความสามารถพิเศษ ก็สามารถประกอบปืนรุ่นนี้ได้ ตัวปืน MP 40 เป็นเหล็กและพลาสติคแข็ง ไม่มีส่วนใดเป็นไม้ บำรุงรักษาง่าย ต้นแบบของมันคือ MP 38 ซึ่งผลิตขึ้นมาในปี 1938 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะเปิดฉากขึ้นเพียงเล็กน้อย และพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็น MP 40 และได้รับสมญาว่า ชมิสเซอร์ (Schmeisser)

ปืนกลรุ่นนี้ใช้กระสุนขนาด 9 มม. ส่งกระสุนด้วยซองกระสุนบรรจุกระสุน 32 นัด อัตราความเร็วในการยิง 500 นัดต่อนาที เป็นปืนที่ทหารเยอรมันใช้ในระยะประชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารของหน่วย เอส เอส มักนิยมใช้ปืน MP 40 เป็นอาวุธประจำกาย รวมทั้งทหารประจำรถถัง หรือหน่วยยานเกราะ ตลอดจนหน่วยพลร่ม ก็ใช้อาวุธชนิดนี้เป็นอาวุธประจำกาย เพราะไม่ยาวเกะกะ มีความคล่องตัวสูง บรรจุกระสุนได้มาก บำรุงรักษาง่าย และมีความทนทาน ไม่แต่เฉพาะทหารเยอรมันเท่านั้นที่ชมชอบปืนรุ่นนี้ ทหารพันธมิตร และทหารรัสเซียก็มักจะนำไปใช้ เมื่อยึดมันมาได้จากทหารเยอรมัน

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-21.jpg




ปืนกล MG 34
ปืนกล Machinengewehr MG 34 นี้ บางคนจัดให้เป็นปืนกลเบา (Light machine gun) แต่บางตำราก็จัดให้เป็นปืนกลหนัก (Heavy machine gun) ปืนกลรุ่นี้ผลิตโดย Louis Stange จากบริษัท Rhinemetall และบริษัท Mauser ของเยอรมันในคราวเดียวกัน ซึ่งการถือกำเนิดปืนกล MG 34 ในปี 1934 นี้ ถือเป็นการก่อกำเนิดของอาวุธปืนกลสมัยใหม่ ในกองทัพเยอรมันเลยทีเดียว

การทำงานของปืนกล MG 34 นี้ ใช้การทำงานผสมผสานระหว่าง การใช้แรงสะท้อนถอยหลังของดินปืน และแก๊ส ในการยิงแต่ละครั้ง นับเป็นการผสมผสาน ที่ไม่ค่อยจะมีใช้กัน ในระบบการยิงของปืนกลในยุคสมัยนั้น และถือเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของการประดิษฐ์ระบบการยิงด้วยวิธีนี้ของ Louis ผู้ผลิตปืนกล MG 34

ปืนกล MG 34 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. ได้ทั้งการใช้สายกระสุน และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 800-900 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.

ปืนกล MG 34 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าปืนกลรุ่นใหม่อย่าง MG 42 จะเกิดขึ้นมาในปี 1942 และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า MG 34 แต่ MG 34 ก็เป็นปืนกลที่ทหารเยอรมันยังคงใช้อยู่ทุกแนวรบ จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-22.jpg



ปืนกล MG 42
ปืนกล Machinengewehr MG 42 หรือปืนกลสแปนเดา (Spandau) นี้ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของกองทัพเยอรมัน ที่ต้องการปืนกลที่มีประสิทธิภาพสูง มีสายการผลิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้ที่รับแนวคิดนี้ไปทำให้เป็นความจริงคือ Dr. Grunow ผู้ซึ่งเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน ในการผลิตแบบสายการผลิตจำนวนมาก ที่ไม่ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาทำการผลิต ผลที่ได้ก็คือ ปืนกลที่ได้ชื่อว่า เป็นปืนกลที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองชนิดหนึ่ง

ปืนกล MG 42 นำเอาปืนกลแบบ MG 34 มาประกอบใหม่ ใช้หลักการเดิม คือการผสมผสานระหว่างแรงสะท้อนของกระสุน และระบบแก๊ส ปืนกล MG 42 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. เหมือนปืนกล MG 34 คือใช้ได้ทั้งการใช้สายกระสุนขนาด 50 นัด และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 1200 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 42 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการสั่นของตัวปืน ขณะทำการยิง ส่งผลถึงความแม่นยำของการยิงก็ตาม มันถูกใช้อย่างแพร่หลายจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายเป็นต้นแบบของปืนกลยุคใหม่อย่างเช่น ปืนกล M 60 ของกองทัพสหรัฐอเมริกา

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-23.jpg



ปืนไรเฟิลจู่โจม STG 44
เอส ที จี 44 มีกำเนิดมาจากปืนกล เอ็ม พี 43 (MP 43 - Machine Pistol 43) ซึ่งพัฒนาขึ้นในปี 1943 เป็นปืนกลที่มีอำนาจการยิงสูง โดยเฉพาะในระยะประชิด มีแรงสะท้อน หรือแรงสะบัดของปืนต่ำ ทำให้มีความแม่นยำ แม้ระยะยิงจะไม่ไกลนัก

ในช่วงแรก ฮิตเลอร์ต้องการอาวุธประจำกายทหารราบที่มีระยะยิงไกลกว่า 2,000 หลา จึงไม่สนใจที่จะให้ผลิตปืนเอ็ม พี 43 ขึ้น แต่อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกระทรวงอาวุธของนาซีเยอรมันในขณะนั้น เห็นว่าเยอรมันมีความต้องการปืนรุ่นนี้เป็นอย่างมาก จึงทำการผลิตปืนรุ่นนี้ขึ้น โดยที่ฮิตเลอร์ไม่รู้ และส่งออกไปให้ทหารเยอรมันในแนวรบด้านรัสเซียได้ทดลองใช้ ปรากฏว่า ทหารราบเยอรมันต่างพอใจในสมรรถนะของปืนรุ่นนี้ ถึงขนาดที่ผู้บัณชาการกองพลของเยอรมันบางกองพล ได้พูดกับฮิตเลอร์ถึงประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมของปืนกลมือ เอ็ม พี 43 ความจริงเลยปรากฏต่อฮิตเลอร์ว่า ปืนรุ่นนี้ได้ถูกผลิตออกมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ก้ได้รับการโน้มน้าวจากฝ่ายเสนาธิการของเขาว่า ปืนกล เอ็ม พี 43 มีประสิทธิภาพมาก และเป็นที่ต้องการของทหารในแนวหน้า ทำให้ฮิตเลอร์ เปลี่ยนใจ และสั่งให้ผลิตปืนเอ็ม จี 43 ออกมาใช้อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้โรงงาน 3 โรงงานรับผิดชอบในการผลิต ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนภายในเล็กน้อย และเปลี่ยนชื่อเป็นปืน สตรุม เกอแวร์ 44 (Sturmgewehr 44 หรือ ปืนไรเฟิลจู่โจม - Assault Rifle) สายการผลิตของปืนรุ่นนี้มีอยู่จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945

รัสเซียได้เข้ายึดโรงงานผลิตปืน เอส ที จี 44 ได้ และนำไปเป็นต้นแบบปืนไรเฟิลของตน ในโลกยุคสงครามเย็น นั่นคือ ปืนไรเฟิล AK 47 อันลือชื่อ โดยมีการปรับเปลี่ยนขนาดลำกล้องจาก 7.92 มม. มาเป็นขนาด 7.62 มม. ซึ่งเป็นขนาดกระสุนมาตรฐานของรัสเซีย จนกลายเป็นปืนที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ยุคสงครามเย็น จนถึงยุคการก่อการร้ายในปัจจุบัน

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-24.jpg


ปืนใหญ่ขนาด 88 มม.
ปืนใหญ่ที่ลือชื่อมากที่สุดของเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คือ ปืนใหญ่ขนาด 88 มม. ที่ปรากฎอยู่ในภาพนี้ ปืนใหญ่นี้มีอานุภาพรุนแรงมาก สามารถทำลายยานเกราะแทบทุกชนิดได้ นอกจากนี้ยังเป็นปืนที่มีความแม่นยำสูง สามารถยิงเป้าหมายทางพื้นดินได้ไกลถึงกว่า 10 กิโลเมตร คือประมาณ 10,600 เมตร และเป้าหมายทางอากาศ ได้ 14,680 เมตร หรือกว่า 14 กิโลเมตร

คุณสมบัติพิเศษของปืนใหญ่รุ่นนี้ คือ สามารถยิงเป้าหมายทางพื้นดิน และทางอากาศได้พร้อมๆกัน โดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ของตัวปืนแต่อย่างใด เพียงแค่เปลี่ยนชนิดของกระสุนจากกระสุนปืนต่อสู้ยานเกราะ เป็นกระสุนต่อสู้อากาศยานแบบแตกอากาศเท่านั้น

ปืนใหญ่ขนาด 88 มม. ชนิดนี้ มีความยาว 25 ฟุต อัตราการยิงเฉลี่ย 8 นัด ต่อนาที ใช้พลประจำปืน 6 คน มีบทบาทตั้งแต่การรบในฝรั่งเศส ในเดือนพฤษภาคม ปี 1940 เมื่อทหารอังกฤษในประเทศฝรั่งเศส นำโดยพลตรี แฟรงคลิน
(Flanklyn) ใช้ชื่อหน่วย Flankforce ซึ่งมีรถถังมาทิลด้า 16 คัน และรถถังอื่นๆอีก 50 คัน พร้อมด้วยทหารราบ ได้ตอบโต้หน่วยทหารเยอรมันของ กองพลยานเกราะที่ 7 นำโดยพลตรีเออร์วิน รอมเมลที่กำลังรุกเข้าไป ทางตอนใต้ของ อาราส (Arras) โดยใช้รถถังแบบ มาทิลดา (MAtilda) เป็นหัวหอก ทหารเยอรมันซึ่งใช้ปืนต่อสู้รถถังขนาดความกว้างปากลำกล้อง 37 มม. พบว่า แม้จะยิงใส่รถถังมาทิลด้าอย่างจังๆ ด้วยกระสุนขนาด 37 มม. แต่ปรากฏว่า ไม่สามารถหยุดรถถังดังกล่าวได้ มาทิลด้าบางคันถูกยิงถึง 14 นัดโดยที่ไม่เสียหายแต่อย่างใด สร้างความตกใจให้กับทหารเยอรมันเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันรถถังมาทิลด้าก็ยังคงรุกเข้ามาด้วยความเร็วสูง ฝ่ายเยอรมันจึงมีการใช้ปืนใหญ่ขนาด 88 มม. ที่ลากจูงไปด้วย ยิงใส่เข้าหน่วยรถถังของอังกฤษ ส่งผลให้รถถังอังกฤษถูกทำลายลงถึง 46 คัน กองพันปืนใหญ่ 88 มม. กองพันหนึ่งของเยอรมัน สามารถทำลายมาทิลด้าลงได้ถึง 9 คัน โดยใช้กระสุนเจาะเกราะ นับแต่นั้นมาชื่อเสียงของปืนขนาด 88 มม. ก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว

ปืนขนาด 88 มม. นี้มาสร้างชื่อโด่งดังอีกครั้ง ในการรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ภายหลังจากที่พันธมิตรยกพลขึ้นบกในวัน ดี เดย์ฝ่ายเยอรมันได้ใช้ปืน 88 มม. ในการตั้งรับอย่างได้ผล รถถังของฝ่ายพันธมิตรถูกทำลายลงอย่างไม่รู้ตัว ตั้งแต่ระยะ 10 กิโลเมตร โดยเฉพาะรถถัง M 4 เชอร์แมน (Sherman)ของสหรัฐอเมริกา ที่มีการติดไฟได้ง่ายมาก หากถูกยิง จนพลประจำรถถังเชอร์แมน มักจะเรียกรถถังของตนเองว่า ไฟแช็ครอนสัน (Ronson Lighter) ซึ่งสโลแกนของไฟแช็ครอนสันขณะนั้นคือ แช็คเดียวติด รถถังเชอร์แมนตกเป็นเหยื่อของปืน 88 มม. เป็นจำนวนมาก

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-25.jpg





เหตุการณ์วันดีเดย์



วันดีเดย์ วันที่ 6 มิถุนายน 1944 ถือว่าเป็นวันดี เดย์ เป็นวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทุ่มกำลังยกพลขึ้นบก โจมตีป้อมปราการยุโรปของฮิตเลอร์ (Fortress Europe) ด้วยกำลังมหาศาลเท่าที่เคยมีมา เพื่อเปิดสงครามด้านที่สองของเยอรมัน ซึ่งกำลังเผชิญกับรัสเซียทางด้านตะวันออก จริงๆแล้วเยอรมันนั้นรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าฝ่ายสัมพันธมิตร จะทำการยกพลขึ้นบกในฝรั่งเศส แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นที่ใด เนื่องจากแนวชายทะเลของฝรั่งเศสด้านที่ติดกับอังกฤษนั้นยาวมาก ฮิตเลอร์และฝ่ายเสนาธิการบางคนเชื่อว่า การยกพลขึ้นบกจะเกิดขึ้นที่ เมืองท่าคาเล่ย์ (Calais) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือและเป็นส่วนที่แคบที่สุดระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ในภาพการเคลื่อนย้ายกำลังเพื่อที่จะเข้าตีในวันดีเดย์

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-26.jpg



ในขณะที่ จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) ของนาซีเยอรมัน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพกลุ่มบี ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือน พย. 1943 เชื่อว่าการยกพลขึ้นบกจะเกิดขึ้นในบริเวณอื่น เขาจึงสั่งการให้สร้างสร้างป้อมและบังเกอร์ขึ้นเรียงรายตามแนวชายฝั่งฝรั่งเศส เพิ่มจำนวนรังปืนกล เครื่องยิงลูกระเบิดหรือปืนครก บนหาดก็มีการสร้างสิ่งกีดขวางสำหรับเรือยกพลขึ้นบก ที่เรียกว่า เม่นทะเลและงาแซง บวกกับการติดทุ่นระเบิดและกับระเบิดจำนวนมากเข้าไป แนวตั้งรับนี้มีชื่อเรียกว่า กำแพงแอตแลนติค (Atlantic Wall)

รอมเมลเชื่อว่าชัยชนะของการต่อต้านการยกพลขึ้นบกจะอยู่ที่ชายหาด ใครที่ยึดหาดได้จะเป็นผู้ชนะ แต่ฮิตเลอร์มองว่า หากการยกพลขึ้นบกเกิดขึ้นจริง การรบขั้นแตกหักจะอยู่บนฝั่งคือปล่อยให้พันธมิตรขึ้นฝั่งแล้วใช้กำลังเข้าบดขยี้

ด้วยความเห็นที่แตกต่างกันนี้เอง ฮิตเลอร์จึงสั่งการให้วางกำลังส่วนใหญ่ไว้ในแนวหลัง เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการยกพลขึ้นบกจะเกิดที่ใด เมื่อมีการยกพลขึ้นบก ก็จะใช้กำลังหลักที่อยู่ส่วนหลังนี้เข้าเสริมกำลังที่ป้องกันชายหาด ส่วนรอมเมลต้องการให้วางกำลังหลักตามแนวชายหาดเพื่อสกัดกั้นการยกพลขึ้นที่ชายหาดได้ทันท่วงที

แน่นอนฮิตเลอร์เป็นฝ่ายชนะในความคิดของเขา ฮิตเลอร์และนายพลรุดชเท็ด (Gerd Von Rundstedt) จึงดึงกำลังสำคัญ เช่น หน่วยยานเกราะ (Panzer) เกือบทั้งหมดไปอยู่ส่วนหลัง เหลือเพียงกองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) ให้รอมเมลบังคับบัญชาเพียงกองพลยานเกราะเดียว

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-27.jpg


นอกจากนี้รอมเมลยังมีกองพลทหารราบอีก 38 กองพล วางกำลังอยู่ตั้งแต่เมืองท่าคาเล่ย์ ของฝรั่งเศส ขึ้นเหนือไปถึงฮอลแลนด์ และเลยลงไปทางใต้ถึงชายแดนสเปน จะเห็นว่าแนวตั้งรับของเยอรมัน มีระยะทางยาวมาก กำลังทหารเยอรมัน จึงดูไม่เพียงพอต่อการต่อต้านการยกพลขึ้นบก ในขณะเดียวกัน กำลังทางอากาศของเยอรมัน(Luftwaffe) ก็มีเครื่องบินขับไล่เพียง 70 ลำ เครื่องบินทิ้งระเบิด 90 ลำ และเครื่องบินอื่นๆ 160 ลำ น้อยเกินไปที่จะรับมือกับฝูงบินพันธมิตรจำนวนมหาศาล

กำลังของพันธมิตร ที่จะทำการยกพลขึ้นบกนั้นประกอบด้วย กองพลทหารราบ 39 กองพล (สหรัฐ 20 กองพล อังกฤษ 3 กองพล คานาดา 1 กองพล ฝรั่งเศสอิสระ 1 กองพลและโปแลนด์ 1 กองพล) มีเครื่องบินขับไล่ กว่า 5,000 ลำ เครื่องร่อน 2,600 ลำ เรือรบและเรืออื่นๆกว่า 6,000 ลำ จะเห็นว่ากำลังทหารราบของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกันที่จำนวน แต่เยอรมันกระจายกันตั้งแต่เหนือจรดใต้ ในขณะที่พันธมิตรทุ่มไปที่จุดๆเดียว
กองทัพนาซีเยอรมันเชื่อว่า การยกพลขึ้นบกจะมีขึ้นในฤดูร้อนของปี 1944 เพราะมีการเตรียมการขนานใหญ่ที่สามารถสังเกตุเห็นได้ชัดในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการระดมพลครั้งยิ่งใหญ่ การระดมเรือทั้งเรือยกพลขึ้นบก เรือลำเลียงขนาดใหญ่ เรือรบนานาชนิด แต่วันเวลาที่แน่นอนนั้น ก็ยังเป็นความลับที่ดำมืด

ฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็พยายามลวงให้เยอรมันมั่นใจว่า การยกพลขึ้นบกจะมีขึ้นที่คาเล่ย์ (Calais) สายลับของทั้งสองฝ่ายทำงานกันอย่างหนัก สายลับพันธมิตรพยายามปล่อยข่าวสถานที่ยกพลขึ้นบกหลายแห่ง จนสายลับเยอรมันในอังกฤษเกิดความสับสน

และแล้วนายพลไอเซนฮาว (Eisenhower) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจว่าการบุกจะเกิดขึ้นที่ใด และเมื่อใด ก็วางแผนที่จะเริ่มการยกพลขึ้นบกในวันที่ 5-
6-7 มิย. 1944 ในเวลารุ่งอรุณ แต่สภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย คลื่นลมบริเวณช่องแคบอังกฤษแรงราวกับทะเลกำลังบ้าคลั่ง ทำให้การปฏิบัติการต้องเลื่อนออกไปอีก 24 ชั่วโมง จนกระทั่งเช้าของวันที่ 6 มิย. ไอเซนฮาวจึงตกลงใจที่จะเริ่มการยกพลขึ้นบก

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-28.jpg



ฝ่ายเยอรมันนั้นก็สับสนกับข่าวการยกพลขึ้นบก ข่าววิทยุจากสถานีวิทยุบี บี ซี ที่กระจายเสียงจากกรุงลอนดอนของอังกฤษ สามารถรับฟังได้อย่างชัดเจนในฝรั่งเศส ซึ่งมักจะส่งข่าวให้พวกใต้ดินในฝรั่งเศส ผ่านทางข้อความที่เป็นรหัสลับ ออกข่าวเป็นเป็นบทกวีว่า "Chanson d'Automne" ซึ่งเป็นสัญญานให้หน่วยใต้ดินฝรั่งเศสทราบว่าการรุกกำลังจะเกิดขึ้น

เยอรมันสามารถจับรหัสนี้ได้ แต่สภาพอากาศที่เลวร้าย ทะเลที่มีแต่คลื่นลมแรง ทำให้เยอรมันตายใจ ไม่คิดว่าการยกพลจะเกิดขึ้นในสภาพอากาศที่เลวแบบนี้ จอมพลรอมเมลเอง ก็เดินทางกลับเยอรมันเพื่อไปเยี่ยมภรรยาของเขา ไม่มีใครคาดคิดว่า การยกพลขึ้นบกที่ยิ่งใหญ๋ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น

และแล้วในคืนของวันที่ 5 ต่อเช้ามืดของวันที่ 6 มิย. พันธมิตรก็ได้ทำแผนลวง เช่น ส่งพลร่มลงที่หมายอื่นๆ ในฝรั่งเศส มีการปฏิบัติการทางอากาศที่เมืองบูโลน (Boulogne) ในขณะเดียวกันกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดก็ออกจากอังกฤษ มุ่งหน้าสู่นอร์มังดี (Normandy) ท่ามกลางความมืดสนิท พลร่มและเครื่องร่อนบรรทุกทหารราบของสหรัฐและอังกฤษ ร่อนลงในดินแดนส่วนหลังของแนวตั้งรับของเยอรมันตามชายหาด และในแผ่นดินใหญ่ เพื่อป้องกันการเสริมกำลังของเยอรมัน

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-29.jpg



หาดต่างๆ ถูกแบ่งออกโดยใช้นามเรียกขานคือ ยูท่าห์ (Utah), โอมาฮ่า (Omaha), โกลด์ (Gold), จูโน (Juno), และซอร์ด (Sword) (ดูแผนที่การยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี)

http://www.iseehistory.com/images/1167365661/ddayZoomInMap.jpg


กองพลพลร่มที่ 6 ของอังกฤษบุกขึ้นบกที่หาดซอร์ด (Sword) และยึดได้อย่างง่ายดาย กองพลพลร่มหรือกองพลส่งทางอากาศของสหรัฐที่ 82 และ 101 อันเลื่องชื่อ บุกเข้ายึดหาดยูท่าห์ (Utah) แต่ได้รับการต้านทานจากเยอรมัน จึงมีการสูญเสียมากกว่าหาดของอังกฤษ เนื่องจากเยอรมันทราบถึงการเข้าโจมตีของทหารพลร่ม จึงต่อสู้อย่างทรหด

แต่เนื่องจากการขาดการเตรียมพร้อม ทำให้เยอรมันต่อต้านได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรจะเป็น กองพลทหารราบที่ 4 ของสหรัฐซึ่งยกพลขึ้นบกที่ยูท่าห์ พร้อมทั้งรถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมน (M 4 Sherman) สามารถรุกเข้าสมทบกับหน่วยพลร่มกองพลที่ 101 ได้ในที่สุด

สถานการณ์รุนแรงที่สุดน่าจะเป็นที่หาดโอมาฮ่า (Omaha) ซึ่งกองพลทหารราบที่ 1 (1st US Infantry Division) ของสหรัฐ ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยรถถังเพียง 5 ลำ ได้พบกับหน่วยทหารเยอรมันที่มีประสบการณ์จากกองพลที่ 352 แม้ปืนเรือจะได้ระดมยิงหาดก่อนการยกพลขึ้นบกอย่างหนัก แต่กำลังของเยอรมันส่วนใหญ่ ก็แทบไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อฝ่ายอเมริกันมาถึงหาดก็พบว่า พวกเขาถูกยิงตรึงอย่างหนาแน่น ยอดผู้บาดเจ็บเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความสูญเสียมีมากถึงขนาดนายพลโอมาร์ แบรดลี่ย์ (Omar Bradly) ของสหรัฐ ได้พิจารณาถึงการถอนตัวจากหาดโอมาฮ่า ก่อนที่มีการสูญเสียมากกว่าที่เป็นอยู่




แต่ในที่สุด เมื่อเวลา 1100 น. หาดโอมาฮ่าก็ตกเป็นของอเมริกัน เยอรมันถูกกดดันให้ถอยร่นไปตั้งรับที่แนวถนนของหาด

ณ หาดจูโน กองพลทหารราบที่ 3 ของแคนาดา พบกับการต้านทานจากฝ่ายเยอรมัน ที่ปักหลักอยู่ตามที่มั่นที่แข็งแรง ตามแนวชายหาด แม้ว่ารถถังของทหารแคนาดาจะไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ เนื่องจากคลื่นลมที่แรงจัด ทหารแคนาดา ก็ต่อสู้อย่าง เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ โดยปราศจากการสนับสนุนของอาวุธหนัก และสามารถรุกคืบหน้าได้ถึง 11
กม.จากชายหาด

ส่วนที่ หาดโกลด์ กองพลทหารราบที่ 50 และกองพลน้อยยานเกราะที่ 8 ของกองทัพอังกฤษที่พรั่งพร้อมไปด้วยรถถัง และอาวุธหนัก ได้บุกเข้าโจมตีแนวต้านทานของเยอรมันตลอดแนวชาย

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-31.jpg



สุดท้ายนี้ขอไว้อาลัยเเละสดุดีเเก่ทหารกล้าทั้งหลาย ทั้งพันธมิตเเละอักษะที่ทุกท่านที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิสมกับคำว่า "ชายชาติทหาร" ครับ RIP
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-32.jpg

ขอบคุณครับ เจ้าของข้อมูลต่างๆด้วยครับ


เครดิตร pantip.com

gotsher000
14th July 2013, 21:01
สาระดีๆ ต้องเจิมครับ

Talon
14th July 2013, 21:03
เจ้า M1903 Springfield rifle ใช่ที่ใช้เรียน นศท. ป่ะนั่น คุ่นๆ

KnocKingMasterM
14th July 2013, 21:05
มาร์คไว้ก่อนเดี๋ยวกลับมาอ่าน

aucrazy
14th July 2013, 21:11
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/05/X12142728/X12142728-32.jpg

ชอบภาพสุดท้ายอะครับ เหมือน"เพื่อนมาเยี่ยมเพื่อน"

sattawat1979
14th July 2013, 21:16
ดูข่าวพวกนี้แล้วอยากเล่นเกม ><'

kabukiput
14th July 2013, 21:16
ขอปักหมุดความน่าอ่านไว้ก่อนนะครับ เดี่ยวมาอ่านพรุ่งนี้ ขอตัวไปนอนก่อน ชอบครับผม หามาลงเยอะๆนะจ๊ะ

OUTbreaK!!!
14th July 2013, 21:20
นศท. ที่ผมเห็น จะเป็น m1 garand, M1 Carbine

TorSeinen
14th July 2013, 21:24
เจ้า M1903 Springfield rifle ใช่ที่ใช้เรียน นศท. ป่ะนั่น คุ่นๆ
น่าจะเป็น M1 Garand มากกว่านะครับ ปี.1-2 ผมใช้แต่ m1 carbin ปี3 ที่ศูนย์ใหญ่ถึงได้จับ garand

DeKidZapper
14th July 2013, 21:33
จริงป่าวถ้าฮิตเลอร์ชนะสงครามเราอาจจะไม่ได้ใช้ภาษาenglish เป็นภาษาสากล ใช้ไหม ? มีคนบอกมาเงี่ย

momothedog
14th July 2013, 21:37
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมชอบการปะทะที่ Stralingrad มากที่สุดแล้ว ...

satsawat7925
14th July 2013, 22:01
เคยอ่านใน ต่วย ตูน พิเศษ แล้วครับบทความนี้ แต่ก็ดีครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้

_SaBasTaiN_
14th July 2013, 23:04
เดี๋ยวกลับมาอ่าน:cool:

hot0892832683
14th July 2013, 23:16
จองไว้ก่อนเดี๋ยวอ่าน !!!
ยาวเกิ็นนน 555

Nonthapon
14th July 2013, 23:26
คิดถึงตอนเรียน ร.ด เลย

ZoMBiE_K
15th July 2013, 00:10
เพิ่งดู series band of brothers จบไปอีกรอบเมื่อไม่กี่วันนี้เอง
พวกเค้าคือกองพลร่ม 101 อันเลื่องชื่อ :cool:

eggmix98
15th July 2013, 00:44
คิดถึงสมัยทหาร รุ่นเก่าๆ ปืนกระปอนนึง ยิงเเล้วชักน่าเศร้าใจยิ่งนัก

akanent
15th July 2013, 00:46
ปืนใหญ่ขนาด 88 มม. ผมชอบอันนี้มากมันต่อต้านรถถังได้โหดสุดๆไปเลย

Patrenko
15th July 2013, 02:22
STG 44 นี้พัฒนาต่อเป็น AK 47 หรอไหงอีกกระทู้ว่าพัฒนาจาก SVT 40 ของรัสเซียเอง

ap10308280
15th July 2013, 02:58
น่าเยอรมันจะหาพวกเยอะๆกว่านี้ก่อนแล้วค่อยทำสงคราม ฝ่ายอักษะ เด่นๆมีแค่ เยอรมัน ญี่ปุ่น อิตาลี จะไปสู้อะไรกับ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศษ รัสเซีย สู้ไปก็มีแต่แพ้กับแพ้ ทำให้คนทั้งโลกเดือดร้อน และ
เสียประเทศอีก ถ้ามี nuke ก่อน สหรัฐว่าไปอย่าง