wanjaiteeruk
22nd July 2013, 14:53
ในฐานะสาวกสงครามเวียดนามคนนึง ผมขอแนะนำ...
http://img0.uploadhouse.com/fileuploads/12173/12173000b2207d0da134adb01837566d0498d460.jpg
(รูปท่วงท่าการเล็งตรวจการณ์ในตำนานของ "คาลอส" ซึ่งภายหลังจะมีคนนำไปลอกเลียนแบบเป็นจำนวนมากทั้งในชีวิตจริงและภาพยนตร์ โดยความจริงท่ายิงแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่บังเอิญว่าภายหลังที่ลุงแกเริ่มมีชื่อเสียงแล้วภาพชุดนี้ก็โด่งดังแลเป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของแกด้วยครับ)
จ่าเอก คาร์ลอส แฮทช์ค็อก (Carlos Hatchcock) นาวิกโยธินที่เข้ารบในเวียดนามปี 1965
แอ็ทค็อกเป็นพลซุ่มยิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเวียดนาม เวียดกงขนานนามให้ชายคนนี้ว่า "ลองจาง" แปลว่า "ขนนกขาว" และแน่นอนที่ GI อเมริกันจะเรียกเขาในชื่อเดียวกันว่า "White Feather" ในสายตาของคนอื่น ผลงานของแฮทค็อกไม่ใช่ผลงานที่น่าภูมิใจนัก เขาสังหารเวียดกงที่ยืนยันแล้ว 92 ศพ (การสังหารที่ได้รับการยืนยัน หมายความว่าต้องมีนายทหาร รวมถึงทหารชั้นประมวลรับรอง 2 คนขึ้นไป และต้องพิสูจน์ศพที่ถูกยิงนั้นแล้ว หมายความว่า ถ้าคุณยิงเวียดกงตายในผ่าฝั่งตรงข้าม 1 คน คุณต้องพานายทหารไปเพื่อไปดูศพและยืนยัน โดยหวังว่าเวียดกงอีกกว่า 200 คนไม่ได้อยู่ตรงนั้น !!!)
แล้วยังงี้ใครจะไปยืนยันให้พี่แก
และแน่นอน การตั้งค่าหัวของแฮทค็อกถูกประกาศว่อนในแวดวงของเวียดกง ทหารสื่อสารของเวียดกงรายหนึ่งถูกจับ และถูกเค้นความลับว่า กองกำลังเวียดกงและกองทัพเวียดนามเหนือ ได้เสนอเงินรางวัลเป็นเงินเดือน 3 ปี !!! ให้กับใครก็ตามที่สามารถเด็ดขนนกสีขาวลงมาจากหมวกของแฮทค๊อกได้...(แฮทค๊อก จะสวมชุดพราง บูนี่แฮ็ท และเสียบขนนกขาวไว้บนหมวกทุกครั้งที่ออกล่า เช่นเดียวกับจีไอคนอื่นๆ ที่ชอบเอาไพ่ แปรงสีฟัน ฯลฯ เสียบไว้บนหมวกเพื่อเป็นเครื่องลาง)
คาร์ลอส แอ๊ทค๊อก อาจจะนับได้ว่าเป็นสไนเปอร์คนแรกของโลกที่ได้ยิงปืนขนาด .50 มม. ไม่ใช่จากปืนเล็ก แต่เป็นจาก....ไอ้นี่ต่างหาก
http://img8.uploadhouse.com/fileuploads/12173/121730188b70b434af0ae6adbade673b23b1ebf0.jpg
เขาเป็นคนธรรมดาๆ คนนึง เข้่าเป็นนาวิกโยธิน ถูกส่งไปยังโรงเรียนพลแม่นผืน และมาจบที่โรงเรียนพลซุ่มยิง
http://img0.uploadhouse.com/fileuploads/12173/121730308d93637c9fc4d434ee57f98c17077f56.jpg
เราลองมาดูคำถามที่นายทหารอเมริกันสมัยนั้นใช้เลือกพลซุ่มยิงกัน
1.นายมาจากไหนไอ้หนุ่ม
..."ผมมาจากโอไฮโอ้ครับ"
2.แกทำอะไรก่อนมาที่นี่
..."ผมเป็นนักกรีฑาโรงเรียนครับหมวด"
3. แกยิงปืนเป็นไหม
..."เคยยิงกระรอกตอนอยู่ในป่าครับ"
4.แกคิดว่าแกยิงปืนแม่นไหม
..."ไม่เคยมีกระรอกตัวไหนรอดจากลูกกระสุนของผมครับหมวด"
"ยินดีด้วยไอ้หนุ่ม แกได้เป็นพลซุ่มยิงแล้วว่ะ"....
(-.-!)
ภารกิจที่ทำให้ชายผู้ยิงปืนแม่นคนนี้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพลซุ่มยิงที่ไม่มี ใครเทียมอย่างเต็มภาคภูมิก็คือ ภารกิจที่เหล่าบรรดากองร้อยสไนเปอร์ของเวียดกงต่างออกล่าเขาตามประกาศค่าหัว "ถ้าใครสามารถเด็ดขนนกสีขาวลงจากหัวของมันได้ คนๆ นั้นจะได้รับการเสนอเงินเดือน 3 ปีเลยทีเดียว"
ครั้งหนึ่ง เเฮ๊ทช์ค็อก ออกลาดตระเวนกับพลชี้เป้าของเขา เบิร์ต ก่อนจะมีข่าวจาก บก. ว่า ตอนนี้ที่ค่ายของพวกเขาโดนพลซุ่มยิงเล่นงาน มันเป่านาวิกไปวันละคน ไม่เคยมีใครเห็นตัวมัน มันไม่เคยยิงเกินวันละนัดและไม่เคยยิงจากตำแหน่งเดิม....ไอ้งูเห่า ชื่อที่นาวิกฯ เรียก
แฮ็ทช์ค็อกกับเบิร์ตออกล่าเจ้างูเห่าเป็นวันๆ 2 วัน 3 วัน เบิร์ตโดนยิง แต่โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ "ไอ้งูเห่าเจาะกระติกน้ำแกเป็นรูโหว่เลยว่ะ" คาร์ลอสปลอบเพื่อนของเขา
พวกเขาลาดตระเวนจนสามารถหาที่พำนักของสไนเปอร์ของเวียดกงได้ ไอ้นี่มันฉลาด มันมีที่พักหลอก ที่พักจริง ที่ซุ่มซ่อน และตำแหน่งซุ่มยิงไม่ซ้ำ มันจะโปรยข้าวสารไว้รอบๆ ที่ซุ่มซ่อนเพื่อเรียกนกมากินข้าว เมื่อมีคนเข้ามาใกล้ นกจะแตกฮือ...และเขาจะรู้ตัวในทันที
เขาสามารถกำจัดสไนเปอร์ของเวียดกงได้ทั้งๆ ที่ไม่เห็นตัว กับดักต่างๆ ของเวียดกงช่างน่าสับสน แสงสะท้อนในป่าอาจจะเป็นกับดักหาตำแหน่งที่ซ่อนของเขากับพลชี้เป้าผู้ช่วย เขาเลือกที่จะยิงโดยไม่เห็นเป้า เล็งกลางแสงสะท้อน ผลก็คือ....(เคยดู Saving Private Ryan ไหมล่ะครับ ยิงเข้ากล้องสไนฯฝ่ายตรงข้าม ตาแตก!!! เข้าบริเวณกลางกล้องเล็งปืนของฝ่ายตรงข้าม กรณีเดียวที่เป็นไปได้คือ ต่างฝ่ายต่างส่องกัน)
โดยในช่วงปลายสงครามเวียดนามนั้น "คาลอส" ได้สร้างวีรกรรมขึ้นครั้งหนึ่งซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาไปตลอดชีวิตครับ กล่าวคือหลังจากปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนามจนครบกำหนดแล้วเขาก็ได้เดินทางกลับอเมริกาครับ แต่พอใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ไปประมาณ1ปีเฮียแกก็ดันอยากกลับมาช่วยพวกน้องๆนาวิกฯจึงขออาสากลับมายังเวียดนามอีกครั้ง
ทว่าในระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนกับกองกำลังทหารราบในวันหนึ่งนั้น รถสายพานในกองกำลังที่เขาร่วมด้วยดันไปเหยียบกับระเบิดรถถังจนกระจุย แลส่งผลให้ทหารหลายคนติดอยู่ในซากรถซึ่งเปลวเพลิงกำลังลุกท่วม ทว่าแทนที่จะหาที่กำบัง "คาลอส" กลับสวมวิญญาณนักรบใจเด็ด ด้วยการวิ่งเข้าไปช่วยเหลือทหารซึ่งติดอยู่ด้านในเปลวเพลิงออกมาได้ถึง7คน กระทั่งผิวหนังแลร่างกายของเขาถูกเปลวไฟคลอกทำร้ายจนอาการสาหัสครับ
แลจากความกล้าหาญเสียสละครั้งนี้ "คาลอส" จึงได้รับเหรียญซิลเวอร์สตาร์(ดาวเงิน)ครับ แต่ผลพวงของอาการบาดเจ็บขั้นรุนแรงนี้ทำให้เขาต้องเข้าพักรักษาตัวเป็นเวลานานแลไม่สามารถออกไปปฏิบัติภารกิจภาคสนามได้อีก ซ้ำร้ายอาการบาดเจ็บยังส่งผลเรื้อรังตลอดเวลาหลังจากนั้นจนคาลอสมาเสียชีวิตเอาในปี 1999 ด้วยอาการเส้นโลหิตตีบตัน
แต่ทว่าช่วงเวลาหลังจนสงครามจนถึงก่อนจะเสียชีวิตนั้น "คาลอส" ได้ผันตัวเองไปเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนพลแม่นปืนของกองทหารนาวิกโยธิน แลเป็นผู้ปรับปรุงหลักสูตรพลแม่นปืนของหน่วยนาวิกโยธินมะริกันให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้นอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันครับ
ซึ่งจากคุณความดีต่างๆที่ "คาลอส" อุทิศให้กับหน่วยแม่นปืน จึงทำให้มีการตั้งชื่อปืนไรเฟิลซุ่มยิงรุ่น "M-25" ที่พัฒนาขึ้นมาในยุค80สำหรับหน่วยรบพิเศษแลนาวีซีลว่า "White Feather" โดยชื่อนี้มีที่มาจากการที่เขาชอบเอาขนนกสีขาวมาติดที่หมวก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิดชูความกล้าหาญแลเสียสละของ "คาลอส" ที่มีต่อหน่วยพลแม่นปืนนั่นเองครับ
(รูปปืนไรเฟิล "M-25 White Feather" ครับ)
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/01/X11552244/X11552244-6.jpg
-------------------------------
ปัจจุบัน แฮ็ทช์ค็อก ได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1999(2542) ด้วยอาการป่วย
เพิ่มเติม
งั้นผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เนิน 55 หรือ ที่เรียกกันแบบประชดพลซุ่มยิงชาวเวียดนามว่า เนิน 30000 เหรียญ [ราคาค่าหัวของ แฮนค๊อก ที่ทางเวียนามเหนือจะจ่ายให้กับคนที่สังหารเค้าได้]
มันคือการดวลกันที่จะกลายมาเป็นเรื่องเล่าว่าเค้ายิงกระสุนทะลุกล้องเล็ง พลซุ่มยิงชาวเวียดนามเหนือ
โดยตลอด 2 ถึง 3 วันที่ผ่านมา ทั้งสองต่างตามแกะรอยซึ่งกันและกัน โดยทางพลซุ่มยิงเวียดนามเหนือที่ถูกเรียกกันว่า I งูเห่า ได้ยิงเพื่อนนาวิกของเค้าไปก่อนหน้านั้น 1 คน
เพื่อเป็นการเรียกเค้าเข้ามาสู่เกมส์แมวไล่จับหนู
ต่างฝ่าย ต่างเดินแกะรอยของกันและกันอย่างเฝ้าระวัง แฮนค๊อกต้องเดินอย่างช้า ๆ กับเพื่อนร่วมทีมของเค้าคือ เมเจอร์ เอ็ดเวิร์ด พวกเค้าต้องคอนสังเกตรอยเดินต่าง ๆ รอยกิ่งไม้หัก
ยอดหญ้าที่พัดไปอย่างผิดปกติ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ พวกเค้าจะต้องหยุดและเฝ้ามองมันจนกว่าจะแน่ใจ บางครั้งอาจจะนานเป็นชั่วโมง
การประทะกันครั้งแรก เกิดขึ้น เมื่อการขยับตัวของ I งูเห่า ทำให้กิ่งไม้หัก ในป่าที่เงียบ เสียงของมันดังมาก
แฮนค๊อกและพลชี้เป้ารีบวิ่งหลบเข้าไปในที่กำบัง I งูเห่าจึงพลาดโอกาสในการสังหารเค้า
หลังจากนั้น แฮนค๊อกก็เป็นฝ่ายทำพลาดบ้าง เมื่ออยู่ ๆ เค้าเกิดเดินสะดุดล้มลง I งูเห่าจับทางได้ จึงทำการยิงเค้าไปในทันที 1 นัด
แฮนค๊อดและ เมเจอร์ ต่างพุ่งหลบนอนราบลงกับพื้น แต่โชคดีที่กระสุนพุ่งไปโดนเอากระติกน้ำของเมเจอร์ เอ็ดเวิร์ดแทน
ก่อนที่แฮนค๊อดจะจับทางได้และยิงส่วนไป I งูเห่าก็ได้หลบออกจากจุดซุ่มยิงไปก่อนแล้ว
แฮนค๊อกและเมเจอร์ เริ่มทำการตามล่า I งูเห่าทันที จุดสุดท้าย ที่แฮนค๊อดเข้าถึงคือ จุดซุ่มยิงเดิมที่ I งูเห่าเคยวางตัวอยู่ ซึ่งอยู่ด้านหลังของภูเขา ซึ่งเป็นที่ร่ม และหันหลังให้กับดวงอาทิตย์
ส่วน I งูเห่า ก็ลงไปอยู่ใกล้กับจุดวางตัวของแฮนค๊อดและเมเจอร์ แทน ซึ่งมันเป็นจุดที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์
ทั้งสองฝ่ายต่างวางตัวลงที่จุดนั้น โดยห่างกันไปประมาณ 280 เมตร
"ในตอนนั้นผมมองเห็นแสงที่สะท้อนมาจากกล้องเล็ง จากปืนของเค้า ผมรู้โดยทันทีว่ามันต้องเป็นเค้า เพราะในป่ามันไม่มีอะไรที่จะสะท้อนแสงได้มากขนาดนั้น
ผมเล็งไปที่แสงนั้น ผมลั่นไกปืนยิงออกไปทันที มันไม่โดนลำตัว แต่มันทะลุกล้องเล็งของเค้าเข้าไปเลย"
"มันคือนัดที่ หนึ่ง ใน ล้าน"
กระสุนทะลุผ่านกล้องเล็งเข้าไปที่ตาของ I งูเห่า เค้าเสียชีวิตทันที หากแฮนค๊อดยิงกระสุนนัดนั้นไปช้ากว่านี้อีกนิดเค้าอาจจะกลายเป็นศพแทนก็ได้
เพราะกระสุนที่ทะลุกล้องเล็งของ I งูเห่า มันบ่งบอกว่า I งูเห่าก็เล็งเค้าอยู่เช่นกัน
เมเจอร์ และ แฮนค๊อดต่างมองหน้ากัน งานในวันนั้นของพวกเค้าจบลงแล้ว
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/01/X11552244/X11552244-11.jpg
เครดิตร www.gamestar.co.th และ pantip
http://img0.uploadhouse.com/fileuploads/12173/12173000b2207d0da134adb01837566d0498d460.jpg
(รูปท่วงท่าการเล็งตรวจการณ์ในตำนานของ "คาลอส" ซึ่งภายหลังจะมีคนนำไปลอกเลียนแบบเป็นจำนวนมากทั้งในชีวิตจริงและภาพยนตร์ โดยความจริงท่ายิงแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่บังเอิญว่าภายหลังที่ลุงแกเริ่มมีชื่อเสียงแล้วภาพชุดนี้ก็โด่งดังแลเป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของแกด้วยครับ)
จ่าเอก คาร์ลอส แฮทช์ค็อก (Carlos Hatchcock) นาวิกโยธินที่เข้ารบในเวียดนามปี 1965
แอ็ทค็อกเป็นพลซุ่มยิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเวียดนาม เวียดกงขนานนามให้ชายคนนี้ว่า "ลองจาง" แปลว่า "ขนนกขาว" และแน่นอนที่ GI อเมริกันจะเรียกเขาในชื่อเดียวกันว่า "White Feather" ในสายตาของคนอื่น ผลงานของแฮทค็อกไม่ใช่ผลงานที่น่าภูมิใจนัก เขาสังหารเวียดกงที่ยืนยันแล้ว 92 ศพ (การสังหารที่ได้รับการยืนยัน หมายความว่าต้องมีนายทหาร รวมถึงทหารชั้นประมวลรับรอง 2 คนขึ้นไป และต้องพิสูจน์ศพที่ถูกยิงนั้นแล้ว หมายความว่า ถ้าคุณยิงเวียดกงตายในผ่าฝั่งตรงข้าม 1 คน คุณต้องพานายทหารไปเพื่อไปดูศพและยืนยัน โดยหวังว่าเวียดกงอีกกว่า 200 คนไม่ได้อยู่ตรงนั้น !!!)
แล้วยังงี้ใครจะไปยืนยันให้พี่แก
และแน่นอน การตั้งค่าหัวของแฮทค็อกถูกประกาศว่อนในแวดวงของเวียดกง ทหารสื่อสารของเวียดกงรายหนึ่งถูกจับ และถูกเค้นความลับว่า กองกำลังเวียดกงและกองทัพเวียดนามเหนือ ได้เสนอเงินรางวัลเป็นเงินเดือน 3 ปี !!! ให้กับใครก็ตามที่สามารถเด็ดขนนกสีขาวลงมาจากหมวกของแฮทค๊อกได้...(แฮทค๊อก จะสวมชุดพราง บูนี่แฮ็ท และเสียบขนนกขาวไว้บนหมวกทุกครั้งที่ออกล่า เช่นเดียวกับจีไอคนอื่นๆ ที่ชอบเอาไพ่ แปรงสีฟัน ฯลฯ เสียบไว้บนหมวกเพื่อเป็นเครื่องลาง)
คาร์ลอส แอ๊ทค๊อก อาจจะนับได้ว่าเป็นสไนเปอร์คนแรกของโลกที่ได้ยิงปืนขนาด .50 มม. ไม่ใช่จากปืนเล็ก แต่เป็นจาก....ไอ้นี่ต่างหาก
http://img8.uploadhouse.com/fileuploads/12173/121730188b70b434af0ae6adbade673b23b1ebf0.jpg
เขาเป็นคนธรรมดาๆ คนนึง เข้่าเป็นนาวิกโยธิน ถูกส่งไปยังโรงเรียนพลแม่นผืน และมาจบที่โรงเรียนพลซุ่มยิง
http://img0.uploadhouse.com/fileuploads/12173/121730308d93637c9fc4d434ee57f98c17077f56.jpg
เราลองมาดูคำถามที่นายทหารอเมริกันสมัยนั้นใช้เลือกพลซุ่มยิงกัน
1.นายมาจากไหนไอ้หนุ่ม
..."ผมมาจากโอไฮโอ้ครับ"
2.แกทำอะไรก่อนมาที่นี่
..."ผมเป็นนักกรีฑาโรงเรียนครับหมวด"
3. แกยิงปืนเป็นไหม
..."เคยยิงกระรอกตอนอยู่ในป่าครับ"
4.แกคิดว่าแกยิงปืนแม่นไหม
..."ไม่เคยมีกระรอกตัวไหนรอดจากลูกกระสุนของผมครับหมวด"
"ยินดีด้วยไอ้หนุ่ม แกได้เป็นพลซุ่มยิงแล้วว่ะ"....
(-.-!)
ภารกิจที่ทำให้ชายผู้ยิงปืนแม่นคนนี้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพลซุ่มยิงที่ไม่มี ใครเทียมอย่างเต็มภาคภูมิก็คือ ภารกิจที่เหล่าบรรดากองร้อยสไนเปอร์ของเวียดกงต่างออกล่าเขาตามประกาศค่าหัว "ถ้าใครสามารถเด็ดขนนกสีขาวลงจากหัวของมันได้ คนๆ นั้นจะได้รับการเสนอเงินเดือน 3 ปีเลยทีเดียว"
ครั้งหนึ่ง เเฮ๊ทช์ค็อก ออกลาดตระเวนกับพลชี้เป้าของเขา เบิร์ต ก่อนจะมีข่าวจาก บก. ว่า ตอนนี้ที่ค่ายของพวกเขาโดนพลซุ่มยิงเล่นงาน มันเป่านาวิกไปวันละคน ไม่เคยมีใครเห็นตัวมัน มันไม่เคยยิงเกินวันละนัดและไม่เคยยิงจากตำแหน่งเดิม....ไอ้งูเห่า ชื่อที่นาวิกฯ เรียก
แฮ็ทช์ค็อกกับเบิร์ตออกล่าเจ้างูเห่าเป็นวันๆ 2 วัน 3 วัน เบิร์ตโดนยิง แต่โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ "ไอ้งูเห่าเจาะกระติกน้ำแกเป็นรูโหว่เลยว่ะ" คาร์ลอสปลอบเพื่อนของเขา
พวกเขาลาดตระเวนจนสามารถหาที่พำนักของสไนเปอร์ของเวียดกงได้ ไอ้นี่มันฉลาด มันมีที่พักหลอก ที่พักจริง ที่ซุ่มซ่อน และตำแหน่งซุ่มยิงไม่ซ้ำ มันจะโปรยข้าวสารไว้รอบๆ ที่ซุ่มซ่อนเพื่อเรียกนกมากินข้าว เมื่อมีคนเข้ามาใกล้ นกจะแตกฮือ...และเขาจะรู้ตัวในทันที
เขาสามารถกำจัดสไนเปอร์ของเวียดกงได้ทั้งๆ ที่ไม่เห็นตัว กับดักต่างๆ ของเวียดกงช่างน่าสับสน แสงสะท้อนในป่าอาจจะเป็นกับดักหาตำแหน่งที่ซ่อนของเขากับพลชี้เป้าผู้ช่วย เขาเลือกที่จะยิงโดยไม่เห็นเป้า เล็งกลางแสงสะท้อน ผลก็คือ....(เคยดู Saving Private Ryan ไหมล่ะครับ ยิงเข้ากล้องสไนฯฝ่ายตรงข้าม ตาแตก!!! เข้าบริเวณกลางกล้องเล็งปืนของฝ่ายตรงข้าม กรณีเดียวที่เป็นไปได้คือ ต่างฝ่ายต่างส่องกัน)
โดยในช่วงปลายสงครามเวียดนามนั้น "คาลอส" ได้สร้างวีรกรรมขึ้นครั้งหนึ่งซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาไปตลอดชีวิตครับ กล่าวคือหลังจากปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนามจนครบกำหนดแล้วเขาก็ได้เดินทางกลับอเมริกาครับ แต่พอใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ไปประมาณ1ปีเฮียแกก็ดันอยากกลับมาช่วยพวกน้องๆนาวิกฯจึงขออาสากลับมายังเวียดนามอีกครั้ง
ทว่าในระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนกับกองกำลังทหารราบในวันหนึ่งนั้น รถสายพานในกองกำลังที่เขาร่วมด้วยดันไปเหยียบกับระเบิดรถถังจนกระจุย แลส่งผลให้ทหารหลายคนติดอยู่ในซากรถซึ่งเปลวเพลิงกำลังลุกท่วม ทว่าแทนที่จะหาที่กำบัง "คาลอส" กลับสวมวิญญาณนักรบใจเด็ด ด้วยการวิ่งเข้าไปช่วยเหลือทหารซึ่งติดอยู่ด้านในเปลวเพลิงออกมาได้ถึง7คน กระทั่งผิวหนังแลร่างกายของเขาถูกเปลวไฟคลอกทำร้ายจนอาการสาหัสครับ
แลจากความกล้าหาญเสียสละครั้งนี้ "คาลอส" จึงได้รับเหรียญซิลเวอร์สตาร์(ดาวเงิน)ครับ แต่ผลพวงของอาการบาดเจ็บขั้นรุนแรงนี้ทำให้เขาต้องเข้าพักรักษาตัวเป็นเวลานานแลไม่สามารถออกไปปฏิบัติภารกิจภาคสนามได้อีก ซ้ำร้ายอาการบาดเจ็บยังส่งผลเรื้อรังตลอดเวลาหลังจากนั้นจนคาลอสมาเสียชีวิตเอาในปี 1999 ด้วยอาการเส้นโลหิตตีบตัน
แต่ทว่าช่วงเวลาหลังจนสงครามจนถึงก่อนจะเสียชีวิตนั้น "คาลอส" ได้ผันตัวเองไปเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนพลแม่นปืนของกองทหารนาวิกโยธิน แลเป็นผู้ปรับปรุงหลักสูตรพลแม่นปืนของหน่วยนาวิกโยธินมะริกันให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้นอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันครับ
ซึ่งจากคุณความดีต่างๆที่ "คาลอส" อุทิศให้กับหน่วยแม่นปืน จึงทำให้มีการตั้งชื่อปืนไรเฟิลซุ่มยิงรุ่น "M-25" ที่พัฒนาขึ้นมาในยุค80สำหรับหน่วยรบพิเศษแลนาวีซีลว่า "White Feather" โดยชื่อนี้มีที่มาจากการที่เขาชอบเอาขนนกสีขาวมาติดที่หมวก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิดชูความกล้าหาญแลเสียสละของ "คาลอส" ที่มีต่อหน่วยพลแม่นปืนนั่นเองครับ
(รูปปืนไรเฟิล "M-25 White Feather" ครับ)
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/01/X11552244/X11552244-6.jpg
-------------------------------
ปัจจุบัน แฮ็ทช์ค็อก ได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1999(2542) ด้วยอาการป่วย
เพิ่มเติม
งั้นผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เนิน 55 หรือ ที่เรียกกันแบบประชดพลซุ่มยิงชาวเวียดนามว่า เนิน 30000 เหรียญ [ราคาค่าหัวของ แฮนค๊อก ที่ทางเวียนามเหนือจะจ่ายให้กับคนที่สังหารเค้าได้]
มันคือการดวลกันที่จะกลายมาเป็นเรื่องเล่าว่าเค้ายิงกระสุนทะลุกล้องเล็ง พลซุ่มยิงชาวเวียดนามเหนือ
โดยตลอด 2 ถึง 3 วันที่ผ่านมา ทั้งสองต่างตามแกะรอยซึ่งกันและกัน โดยทางพลซุ่มยิงเวียดนามเหนือที่ถูกเรียกกันว่า I งูเห่า ได้ยิงเพื่อนนาวิกของเค้าไปก่อนหน้านั้น 1 คน
เพื่อเป็นการเรียกเค้าเข้ามาสู่เกมส์แมวไล่จับหนู
ต่างฝ่าย ต่างเดินแกะรอยของกันและกันอย่างเฝ้าระวัง แฮนค๊อกต้องเดินอย่างช้า ๆ กับเพื่อนร่วมทีมของเค้าคือ เมเจอร์ เอ็ดเวิร์ด พวกเค้าต้องคอนสังเกตรอยเดินต่าง ๆ รอยกิ่งไม้หัก
ยอดหญ้าที่พัดไปอย่างผิดปกติ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ พวกเค้าจะต้องหยุดและเฝ้ามองมันจนกว่าจะแน่ใจ บางครั้งอาจจะนานเป็นชั่วโมง
การประทะกันครั้งแรก เกิดขึ้น เมื่อการขยับตัวของ I งูเห่า ทำให้กิ่งไม้หัก ในป่าที่เงียบ เสียงของมันดังมาก
แฮนค๊อกและพลชี้เป้ารีบวิ่งหลบเข้าไปในที่กำบัง I งูเห่าจึงพลาดโอกาสในการสังหารเค้า
หลังจากนั้น แฮนค๊อกก็เป็นฝ่ายทำพลาดบ้าง เมื่ออยู่ ๆ เค้าเกิดเดินสะดุดล้มลง I งูเห่าจับทางได้ จึงทำการยิงเค้าไปในทันที 1 นัด
แฮนค๊อดและ เมเจอร์ ต่างพุ่งหลบนอนราบลงกับพื้น แต่โชคดีที่กระสุนพุ่งไปโดนเอากระติกน้ำของเมเจอร์ เอ็ดเวิร์ดแทน
ก่อนที่แฮนค๊อดจะจับทางได้และยิงส่วนไป I งูเห่าก็ได้หลบออกจากจุดซุ่มยิงไปก่อนแล้ว
แฮนค๊อกและเมเจอร์ เริ่มทำการตามล่า I งูเห่าทันที จุดสุดท้าย ที่แฮนค๊อดเข้าถึงคือ จุดซุ่มยิงเดิมที่ I งูเห่าเคยวางตัวอยู่ ซึ่งอยู่ด้านหลังของภูเขา ซึ่งเป็นที่ร่ม และหันหลังให้กับดวงอาทิตย์
ส่วน I งูเห่า ก็ลงไปอยู่ใกล้กับจุดวางตัวของแฮนค๊อดและเมเจอร์ แทน ซึ่งมันเป็นจุดที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์
ทั้งสองฝ่ายต่างวางตัวลงที่จุดนั้น โดยห่างกันไปประมาณ 280 เมตร
"ในตอนนั้นผมมองเห็นแสงที่สะท้อนมาจากกล้องเล็ง จากปืนของเค้า ผมรู้โดยทันทีว่ามันต้องเป็นเค้า เพราะในป่ามันไม่มีอะไรที่จะสะท้อนแสงได้มากขนาดนั้น
ผมเล็งไปที่แสงนั้น ผมลั่นไกปืนยิงออกไปทันที มันไม่โดนลำตัว แต่มันทะลุกล้องเล็งของเค้าเข้าไปเลย"
"มันคือนัดที่ หนึ่ง ใน ล้าน"
กระสุนทะลุผ่านกล้องเล็งเข้าไปที่ตาของ I งูเห่า เค้าเสียชีวิตทันที หากแฮนค๊อดยิงกระสุนนัดนั้นไปช้ากว่านี้อีกนิดเค้าอาจจะกลายเป็นศพแทนก็ได้
เพราะกระสุนที่ทะลุกล้องเล็งของ I งูเห่า มันบ่งบอกว่า I งูเห่าก็เล็งเค้าอยู่เช่นกัน
เมเจอร์ และ แฮนค๊อดต่างมองหน้ากัน งานในวันนั้นของพวกเค้าจบลงแล้ว
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/01/X11552244/X11552244-11.jpg
เครดิตร www.gamestar.co.th และ pantip