PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : The Wizard Club ชมรมพ่อมดพันธุ์แสบ



santisook01
18th October 2013, 18:44
The Wizard Club
ชมรมพ่อมดพันธุ์แสบ


ประกาศถึงผู้ทีอยากอ่านต่อ ผมอาจจะไม่โพสลงเว็บนี้อีกแล้ว ถ้าอยากอ่านตอนต่อไปให้มาที่นี่ได้ครับ
http://writer.dek-d.com/santisook01/writer/view.php?id=1060858



ภายในโลกอันกว้างใหญ่ มีสิ่งแปลกประหลาด และสิ่งลี้ลับมากมาย พวกเราหกคนที่มีอยู่ตอนนี้อาจจะเรียกว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดมากกว่าความลี้ลับ เป็นความบ้าบิ่นมากกว่าความถูกต้อง บางครั้งก็เป็นความถูกต้องมากกว่าความเที่ยงธรรม ใช่ ที่พูดมาแล้วมันเหมือนพวกเราไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง! ฮ่า! ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเราก็ยังเป็นตัวของพวกเรา พวกเรายืนหยัดในรูปแบบของเรา ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราเจออะไรมาบ้าง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราทำอะไรได้บ้าง และไม่มีใครรู้ ไม่มีใครคิดว่าพวกเราจะใช้เวทมนต์ได้...




http://upic.me/i/hm/thewizardclub2.jpg (http://upic.me/show/48608326)

ความเป็นมาของชมรม “พ่อมดสัมพันธ์ ต่อต้านความชั่วร้ายทุกรูปแบบ”
ชมรมนี้ก่อตั้งมานานกว่าสิบปีแล้ว โดยชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นตำนานแห่งพ่อมด แต่ชมรมพ่อมด ฯ นี้เป็นชมรมที่ไม่เป็นทางการ ไม่มีครูที่ปรึกษา ไม่มีงบประมาณใด ๆ และไม่มีผลงานอะไรที่จะอวดผู้อื่นได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีที่ประจำการของชมรม

ชมรมนักเวทย์แห่งตะวันออกเฉียงใต้ (MOSE)
ชมรมคู่อริของ WARM ก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากที่ WARM เริ่มเป็นที่รู้จัก



พูดคุยสอบถามนักเขียนได้ที่นี่ครับ (https://www.facebook.com/pages/Silencer/615534385157504)

santisook01
18th October 2013, 18:46
บทนำ

เสียงหายใจแหบแห้งถี่รัวยังดังออกมาไม่หยุด ผมเหนื่อยหอบถึงขีดสุดไม่คิดเลยว่ามันจะแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้

บนสนามประลองผม ประธารชมรม WARM กับหนึ่งในสมาชิกของชมรมนักเวท ฯ หรือ MOSE คู่ปรับ คู่อริของพวกผม เราทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากคำเชื้อเชิญการท้าประลองจากชมรมของพวกผมเอง

“ไม่เลวเลยนี่” ผมพูดและแสยะยิ้มออกไป

“หึหึ” แต่มันกลับหัวเราะอย่างน่าเวทนาในตัวผมออกมา

เจ้านี่ดู ๆ เหมือนจะเป็นผู้หญิงมาก แต่ผมยังไม่ได้เห็นหน้าหรือเห็นเรือนร่างมันได้ชัดเจนสักที เพราะว่ามันใส่ผ้าคลุมและสวมฮูดสีดำปิดบังไปทั้งตัว

ข้อจำกัดของผมก็คือคทา ถ้าหากว่าขาดมันไปแล้วล่ะก็ ชีวิตผมก็จบ อาจจะเรียกได้ว่าพ่อมดอย่างผมเสียเปรียบพวกมันตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้... ต้องหาพวกมาช่วยซะแล้ว
ผมเริ่มท่องคาถา พลางถือคทาไปในแนวตั้งฉาก แขนเหยียดตรงออกไปด้านหน้า

‘พรุบ!’

โทรลร่างยักษ์พลันปรากฏตัวที่ด้านหน้าผม มันทำให้นักเวทอย่างเธอต้องผงะ แต่กลับยิ้มออกมาอย่างสบายอารมณ์

“ครั้งนี้อย่างให้พลาดล่ะ พวกเราต้องประสานงานให้เหมือนอย่างที่ซ้อมมา” ผมเดินไปตบหลัง ‘แบกกี้’ โทรลรับใช้ของผม ร่างของมันสูงกว่าผมถึงสองเท่า

ผัวะ อัก!

ศอกของแบกกี้พุ่งมาชนใบหน้าผมเข้าอย่างจัง ทำเอาผมล้มลงไปกองกับพื้นทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้ แบกกี้ที่เห็นเจ้านายอย่างผมที่กำลังนอนโอดครวญอยู่ถึงกับร้องคำรามใส่เธอคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง พลางวิ่งพุ่งเข้าจู่โจมเธอในทันใด บังอาจมาทำกับเจ้านายข้าได้...

“อะไรกันวะ เฮ้ยเดี๋ยวก่อน” ผมห้ามแบกกี้ไม่ทัน ก่อนที่ผมจะได้ลุกขึ้น ผมเห็นร่างของหมอนั่นกระเด็นลอยอยู่กลางอากาศเหมือนฟองน้ำฟองหนึ่งก็ไม่ปาน “โอ้...ไม่นะ” ร่างของแบกกี้ที่ใหญ่ยังกับวัว ลอยตรงมายังผมที่กำลังทรงตัวลุกขึ้นยืน

‘แอ็ก!’

เหมือนกับกบน้อยข้างถนนซึ่งถูกรถยนต์เหยียบทับบี้แบนจนกลายเป็นแผ่นกระดาษ

santisook01
18th October 2013, 18:51
ตอนที่ 1 : HAHO ของเจมส์

“โอ๊ย! โอ๊ย!” เสียงร้องตะโกนเร่งความเร็วให้จังหวะของโค้ชสั่งลูกทีมหน้าเด็กทั้งหลายอย่างแข็งขัน พวกเด็ก ๆ ก็ทำหน้าที่นั้นอย่างกระตือรือร้น เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าเต็มตาแต่ก็ยังวิ่งอย่างไม่ลดละ ท่ามกลางสนามหญ้าอ่อนสีเขียวขจีในยามสนทยาแบบนี้ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ

ผม “แจส” หรือ “แมคคาร์ที” แต่เรียกแบบแรกมันจะง่ายกว่าและผมก็ชอบชื่อแจสมากกว่าด้วย ผมนั่งมองอยู่ริมระเบียงห้องบนตึกใหญ่ ด้านล่างคืออคาเดมีสอนฟุตบอล รับตั้งแต่เด็กอายุ 5 ขวบจวบจนถึง 12 ปี ผมที่อายุ 17 แล้วจึงเข้าร่วมไม่ได้

พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะได้เป็น ม.6 เต็มตัว ทั้งที่ยังไม่ได้จัดข้าวของที่จะใช้ในการเรียนแท้ ๆ ยังมานั่นดูเด็กเล่นบอลอีก

เสียงประตูห้องเปิดออก เป็นเจมส์ – เจมส์ แมคคาร์ที น้องชายของผมเข้า ม.4 ที่โรงเรียนเดียวกันกับผม หน้าตาหล่อเหลา สาวเห็นเป็นต้องกรีด ร่างเพรียว ผมสีบลอนด์ตัดลองทรงสูง ตาคม นัยน์ตาสีเขียว คิ้วเข้ม ริมฝีปากบาง คาดว่าน่าจะกลับมาจากร้านหนังสือ

“ว่าไงได้อะไรมาบ้าง” ผมหันมองเจมส์แล้วถามออกไป

“มาดูเอาเองสิ” เจมส์ตอบแบบหน่าย ๆ

“ฮึ่ม ไม่น่ารักเอาซะเลยนะ” ผมบ่น

“ชิ ใช้แต่ผมไปซื้อของอยู่ตลอด หัดออกจากรังซะบ้างนะพี่ ทำตัวเป็นกบจำศีลไปได้” เจมส์วางถุงสัมภาระลงบนโต๊ะเล็ก

“แกก็รู้อยู่แล้วนี่นา ว่าถ้าแกมาอยู่แทนมันจะเกิดเรื่องบ่อย ๆ อยู่เรื่อย”

“ข้ออ้างชัด ๆ ไม่จำเป็นต้องไปฟ่งไปเฝ้ามันนักหรอก แค่พี่ให้ซีลคู่ใจของพี่นั่งคุมก็หมดห่วงแล้ว อะไรนักหนา ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน สาว ๆ ก็ไม่ได้เห็นกันพอดี” เจมส์หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้ผมดู
“นี่ หนังสือที่พี่ตามหาอยู่ใช่ไหม” ผมเห็นหนังสือปกเขียวเล่มใหญ่กว่าหนังสือเตรียมสอบเล็กน้อย มีร่องรอยการเปิดและการใช้งานมากโข ผมเบิกตาโพลงทันทีที่เห็น

“โอ้ ขอบใจมากน้องรัก ไม่คิดเลยว่าจะดีขนาดนี้” ผมฉกหนังสือจากเจมส์มาเปิดร่าย ๆ ทันที

“ไม่คิดเหรอ ให้ตายสิ” เจมส์ทำหน้ามุ่ย “เออใช่พี่ รู้จักปีศาจที่ตัวใหญ่ ๆ เท่ารถยนต์คันเล็กไหม”

“พูดให้มันกระจ่างมากกว่านี้หน่อยสิ” ผมยังไม่ละสายตาจากหนังสือ

“คือ... อย่างแรกเลยมันตัวใหญ่ มีสีเขียวเข้มจนเกือบจะเป็นดำ รูปร่างเหมือนมนุษย์แต่แขนมือ ขาและเท้ามันใหญ่กว่าสัดส่วนปกติของมนุษย์ หน้าตาก็ตลก ๆ หน่อย อีกอย่าง มันสวมเสื้อผ้าเหมือนมนุษย์ด้วย”

“นั่นมันโทรล เป็นจำพวกไม่สุงสิงกับผู้อื่น แกไปเห็นมันเข้าเหรอ”

“โทรล... อืมใช่” เจมส์ครุ่นคิดบางอย่าง

ปัง!

ระเบิดเหรอ ผมตาตื่นมองไปที่ประตู เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถีบประตูห้องของพวกเรา ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดโดยแท้ เธอคนนั้นคือ แอน เพื่อนข้างห้องของพวกเราเอง เธอย่างสามขุมเข้ามาหาพวกเรา นี่มันอะไรกัน บรรยากาศแบบนี้มัน

“ยะ ยะโฮ้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ นะ นั่งก่อนสิ” ผมพูดตะกุกตุกัก

“นายรีบไปเอาสัตว์เลี้ยง ประหลาด ๆ ของนายออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” แอนตะโกนใส่พวกเราลั่นห้อง ทั้งผมทั้งเจมส์เหมือนโดนสตั้น

“สะ สัตว์เลี้ยงเหรอ หมะ หมายความว่าไงกัน” เจมส์ถามแอนอย่างตะกุกตะกักไม่ต่างกับผมเช่นกัน พวกเราสองคนขยับเข้าหากันเรื่อย ๆ เพื่อเสริมความกล้า

“รีบมาเดี๋ยวนี้เลย” ไม่ปล่อยให้ตั้งท่าตั้งตัว แอนก็ลากคอพวกเราทั้งสองไปแล้ว ผู้หญิงอะไรแรงเยอะชะมัด

ห้องของพวกเราอยู่ติดกัน จึงทำให้ผมกับเจมส์ไม่ต้องทนเจ็บคอนาน เมื่อผมกับเจมส์เปิดประตูห้องออกก็พบว่า ...โอ้แม่เจ้า วุ้นสีเขียวมหึมาที่ดูเหมือนจะถูกยัดอยู่เต็มห้องทะลักออกมาอัดใส่หน้าของพวกเรา แอนที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องดีกว่า เธอรีบแอบก่อนหน้านั้นแล้ว

“อะ อะไออันอะเอี่ย” ผมพูดไม่เป็นคำเพราะวุ้นสีเขียวใสนี้มันอัดเต็มหน้าเต็มปากผมไปหมด

“อันอืออะไอม์” เจมส์พยายามบอกบางอย่างกับผม

“อา?” ผมไม่รู้เรื่อง ไม่หรอก ไม่ต้องมาคุยกันหรอก ผมควานหาไม้ที่อยู่ในตัวผม มันทำยากมากเมื่อมีอะไรหนึบ ๆ มาเกาะร่างกาย เมื่อคลำเจอแล้วก็เริ่มถ่องคาถา และชี้ไม้ให้ตรงจังหวะการท่อง แวบเดียววุ้นจำนวนมากก็หายลับไป กลายเป็นก้อนวุ้นเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งอยู่กลางห้อง มันคือสไลม์นั่นเอง

“เฮ้อ” พวกเราถอนหายใจพร้อมกัน

“ไหน บอกหน่อยซิว่า ทำไมสไลม์ตัวนั้นถึงมาอยู่ในห้องฉันได้ แอนเดินกอดอกมาด้านหน้าพวกเราตัวเธอเล็กกว่าพวกเรา ทำหน้าเหมือนตุลาการไปหน่อยไหมแม่คุณ

“พี่ทำอะไรก็เคลียร์เอาเองนะ ผมไม่เกี่ยว ขอลา” เจมส์หายวับไป ปล่อยให้ผมรับชะตากรรมอยู่เพียงผู้เดียว

เอาแล้วไงล่ะ จะบอกยังไงดี คนอุตสาห์หวังดีให้เป็นของขวัญเพราะเห็นว่ามันน่ารัก แต่ของขวัญของเรากลับก่อเรื่องซะได้ ตายแน่งานนี้

“เออ ... จะว่าไงดีล่ะ คือ... ความจริงแล้วฉันว่าจะให้มันเป็นของขวัญ แต่ขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ เรื่องครั้งนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” ผมพนมมือก้มหัวเพื่อให้พ้นผิดอย่างเต็มที่

“ขะ ของขวัญเหรอ” เสียงของแอนฟังดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ ผมรู้แล้วว่าความตายของผมจะไม่เกิดขึ้น

“ว่าแต่ทำไมสไลม์มันถึงได้ขยายร่างได้ใหญ่มากขนาดนี้ล่ะ ปกติมันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นี่นา” ท่าทางของผมตอนนี้โล่งแล้วจึงพูดได้เป็นปกติ

“ระ ระเรื่องนั้นมัน... ฝันดีนะ” แวบเดียวก่อนที่แอนปิดประตูอัดหน้าผม หน้าเธอแดงไปถึงหู แต่ผมมองไม่เห็น เพราะเธอก้มหน้าต่ำท่าทางดูน่ารักไปอีกแบบ

“โอ้... ไม่ใช่ยังไม่หายโกรทเหรอเนี่ย เอ๋? ฝันดีเหรอ นี่แอนเข้านอนเร็วขนาดนี้เลยเหรอ มนุษย์นี่ช่างยากหยั่งถึงจริง ๆ” ผมยืนเกาหัวแล้วเดินกลับห้อง ตอนนี้ยังเหนียวตัวอยู่ไม่น้อย

“ไอ้เจมส์ ไอ้น้องห่วย ทิ้งพี่ได้ลงคอ” ผมกะจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแต่กลับไม่เห็นเจมส์เลย เมมโมสีเหลือแปะไว้ที่หน้าต่าง มันเป็นจุดเด่นของห้อง ผมเลยเดินไปอ่าน

“ผมเห็นฟีนิกซ์บินผ่านไป ขอไปจับมันก่อน”

เห็นปีศาจเทพ ๆ เป็นไม่ได้ต้องตาตี่ตาลานออกไปจับอยู่ตลอด ผมที่มีสัตว์เลี้ยงประจำตัวแล้วจึงไม่ได้ยุ่งยากเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าสัตว์เลี้ยงของผมดันเป็นทหาร ปีศาจซีล ที่ชื่อก้องสหรัฐนั่นแหละ เป็นปีศาจที่แปลก จริง ๆ ผมไม่อยากเอามันออกมาเพ่นพ่านในชานเมืองสักเท่าไหร่เพราะมันออกจะอารมณ์ร้อนในเรื่องชาติและภารกิจ เกิดเรื่องทีเป็นต้องมีคนเจ็บ

ผมเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟากลางห้อง ห้องนี้ใหญ่พอควร และครบครันทุกอย่าง การตกแต่งห้องเป็นแบบโมเดิร์น เรื่องราคาย่อมแพงอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเพราะพ่อแม่ผมเป็นคนจัดการ พวกท่านไปทำงานต่างประเทศปล่อยให้ลูกชายสองคนดูแลกันเอง ความจริงแล้วผมยังมีน้องสาวอยู่อีกคน แต่เธอพักอยู่ที่บ้านย่าต่างจังหวัด และเรียนอยู่ที่นั่น ผมในฐานะพี่ชายคนโตจึงต้องคอยดูแลหลาย ๆ เรื่องของครอบครัวเสมอ

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมสะดุ้งตกใจเล็กน้อย

“เออพี่ ตอนนี้ผมมีปัญหาเล็กน้อย ช่วยมารับผมได้ไหม” ปลายสายฟังไม่ค่อยชัดแต่ผมก็ได้ยิน มีเสียงลมกระทบอย่างรุนแรง เหมือนเจมส์กำลังอยู่บนรถ

“ตอนนี้อยู่ไหนล่ะ”

“คือว่า ก็ไม่รู้สินะ แต่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 20,000 ฟุตเหนือเมืองนี้น่ะ” ผมนิ่งไปชั่วครู่เมื่อได้ยิน

“หา?!!!!”


ติดตามต่อ


ตอนที่ 2 : WELCOME

“ทำอะไรบ้าบิ่นอีกแล้ว ไอ้น้องตัวดี” ผมก่นด่าโดยไม่คิดว่านิสัยของตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเลย

ผมคิด... ขบคิด... ค้ำคางคิด... ต้องหาตัวช่วย แบบนี้ไม่ถึงนาทีคงตกถึงพื้นเละแน่ ถ้าหมอนั่นไม่หาทางถ่วงเวลาย่นระยะการตก ... อะ! นึกออกแล้ว พวกเราทั้งสองเคยเล่นเวทดึงเข้าดึงออกด้วยกันอยู่นี่นา แต่ว่าจะทำยังไงถึงจะดึงเจมส์เข้ามาหาได้ล่ะ ผมรีบบึ้งไปที่ระเบียงตึก เห็นร่าง ๆ หนึ่งลอยเคว้งคว้างเหนือท้องฟ้าอย่างเชื่องช้าเหมือนปอยนุ่น เป็นเจมส์แน่นอน เจมส์พยายามโบกแขนไปมาว่า ‘จะไม่ไหวอยู่แล้ว’

ผมที่คิดอะไรดี ๆ ออกก็ยกแขนขึ้นลงติดต่อกันอย่างนุ่มนวล แอนที่เดินออกมาจากระเบียงข้าง ๆ พอดี เห็นผมทำท่าทางแปลก ๆ ก็โพล่งถามขึ้น

“ทำอะไรน่ะแจส ท่าทางเหมือนพวกโรคจิตชะมัด” แอนทำตาเปล่งประกายทุกครั้งเมื่อได้พูดแหย่ผม

“อ้อ เล่นหมากจับกับเจมส์อยู่น่ะ ตอนนี้เจมส์เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่” ผมพูดโดยไม่หันไปมอง ผมเห็นว่าเจมส์ทำสัญญาณว่ามือโอเค ดังนั้นแล้วผมจึงปีนขึ้นขอบลูกกรงทันที แอนที่เห็นการกระทำคล้ายคนสิ้นคิดตาเบิกโพลง

“หนะ หนะ หนะ นายจะทำอะไรของนายน่ะ อย่าพึ่งคิดนะ ยะ ฉัน ฉะ-”

“ฉันขอความเงียบ” ผมพริ้มตาลงเล็กน้อย หยิบแท่งไม้แท่งเดิมออกมาจากหน้าอก ร่ายเวทมนต์ออกไปด้านหน้า และก็...

พรึบ!

“เฮ้ย!!!!” ร่างของผมดันถูกดึงดูดเข้าหาเจมส์ ตอนนี้เราสองคนกำลังร่วงลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูง “อ้ากกกกก!!!!” ผมกับเจมส์ครางออกมาร้องไม่เป็นคำเพราะลมอัดปาก“ทำอะไรของพี่เนี่ยยยย” เจมส์ตะโกนกรอกหูผม เราทั้งสองกอดกันท่ามกลางท้องฟ้า ถ้าเป็นสาววายคงได้เสียเลือดไปแล้ว แต่พวกผมเนี่ยสิกำลังจะเสียชีวิต ทันใดนั้นเอง

พรึบ!

“ออกมาทำบ้าอะไรกัน” ร่างของปีศาจซีล สัตว์เลี้ยงของผมปรากฏขึ้นเบื่องบนของพวกเรา มันมีชื่อว่า “นิก” หัวโล่น ร่างใหญ่ สมกับที่เป็นซีล

“โดดแบบ ฮาโฮ(High Altitude High Opening)เหรอ” เสียงทุ่มของนิกถามท่ามกลางแรงปะทะของลม

“ไม่มีร่มจะเป็นฮาโฮได้ไง ว่าแต่นายออกมาทำอะไรตอนนี้เนี่ย” ผมหันหลังให้พื้น หันหน้าให้ฟ้าถามนิก แต่ผมไม่ได้เป็นชาวนาหรอกนะ(ใช้ผิดแล้ว มันหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินต่างหาก)

“เด็กพวกนี่น่ารำคาญจริง เอะอะก็มีแต่ด่าฉอด ๆ ๆ ....ฉันมีร่ม”

“นี่นายพกร่มติดตัวตลอดเลยเหรอไงกัน” เจมส์ถาม นิกไม่ตอบ

“ฉันจะพาโดดแบบฮาโล(High Altitude Low Opening)-”

“เลิกใช้ศัพท์ทางทหารเหอะ” ผมบอก นิกเงียบ เขาโฉบลงมากอดร่างของผมกับเจมส์แน่น

“อัก!”

ผมรู้สึกว่าผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหักนะ ห๊ะ? กระดูกเหรอ หมอนี่จะรัดแน่นเกินไปแล้ว ผมพูดไม่ออกรวมทั้งเจมส์ด้วย ได้แต่เบิ่งตาใส่นิก เขากลับส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาให้เรา สะใจแกแล้วสิท่า

นิกกระตุกร่มชูชีพที่เขาพายอยู่ด้านหลัง ร่มกางออกดึงเรากลับสู่การร่อนอันเชื่องช้า นิกค่อย ๆ บังคับทิศทางหาจุดลงที่ปลอดภัย

แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ยามเย็นส่องตัดร่างของเราทั้งสาม เหมือนกับว่าวันนี้ท้องฟ้าจะดูสวยเป็นพิเศษ แต่ทำไมกัน ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย

นิกพาพวกเราลงที่ดาดฟ้าของตึกสำนักงานแห่งหนึ่ง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ที่นิกออกมาช่วยเรา แต่ผมกลับต้องเปลี่ยนความคิดนั้นทันทีที่-

‘แอ็ก!’

นิกทิ้งร่างของผมและเจมส์ลงพื้นเหมือนกระเป๋าเดินทาง ยังดีที่เมื่อตอนที่อยู่บนฟ้าตอนที่ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบของกระดูกนั้นเป็นเพียงแค่เสียงของกระดูกอ่อนข้อต่อเท่านั้น

“โอ้ย เจ็บ เจ็บ เจ็บ” เจมส์บิดเบี้ยวตัวไปตามพื้นไม่ต่างไปจากผม

ก่อนหน้าที่พวกเราจะลงเหยียบพื้นของดาดฟ้า ผมเห็นผู้คนชี้มาทางร่มที่พวกเราใช้ร่อนเป็นจำนวนมาก ถ้าผมไม่ได้มองผิดไปล่ะก็ ไม่นานยามของตึกนี้ก็คงจะขึ้นมาจ๊ะเอ๋กับเราในอีกไม่นานแน่

“เหมือนจะหมดหน้าที่ของฉันแล้วสินะ ลาล่ะ” นิกยกแขนโบกลาแล้วหายวับไป

“ให้ตายสิ ยามจะมาก็มายามจะไปก็ไป ใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่วะ”

“ขี้บ่นจริง ๆ” เจมส์พูด มันทำให้ผมหงุดหงิดทันที มันน่านัก ต้องสั่งสอนหน่อยแล้ว

“เป็นไงคราวนี้ ทำอะไรไม่คิด เกือบได้ตายเป็นศพแล้วไหมล่ะ”

“ใครตายแล้วเป็นต้นไม้กัน ตายแล้วก็ต้องเป็นศพอยู่แล้วนี่ แล้วเมื่อกี้มันอะไร แทนที่พี่จะดึงผมแต่กลับกลายเป็นพี่พุ่งเข้าหาผมแทน ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ”

เจมส์พูดหยอกล้อผมด้วยสิ่งที่ทำให้ผมพูดต่อไม่ค่อยได้ ดูอารมณ์ดีแปลก ๆ ผมสังเกตเห็นท่าทางที่ควรจะตึงเครียดแต่กลับมีสีหน้าเปล่งประกายยิ้มแย้มของเจมส์จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“แล้วฟินิกส์ที่ว่าล่ะ จับได้ไหม”

“เรียบร้อย” เจมส์ทุบหน้าอกแสดงความว่า ‘ฝีมือล้วน ๆ’

“แล้วทำไมแกไม่ใช้ฟีนิกส์ฟระ!!!!” ผมตะคิกใส่เจมส์อย่างโมโห

“จะบ้ารึไง ฟินิกส์มันเป็นไฟทั้งตัวนะ ผมไม่อยากเป็นไก่ย่างบนฟินิกส์ซะหน่อย ช่วยไม่ได้นี่” เจมส์เม้มปาก ผมหัวเราะดังลั่น ที่พูดมาก็ไม่ผิด ผมก็ลืมข้อที่ว่าฟินิกส์มันขี้ไม่ได้ไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นนกตัวใหญ่เท่ารถยนต์ก็ตาม

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเกิดว่าแกเป็นอะไรไปจะว่าไง เรื่องคราวนี้ฉันไม่ยอมปล่อยให้มันจบง่าย ๆ แน่” ผมกระชากคอเสื้อของเจมส์ขึ้น ผมสูงกว่าน้องชายตัวแสบเล็กน้อยสงสัยต่อไปมันคงจะตัวโตกว่าพี่ชายมันเป็นแน่

เจมส์ไม่พูดอะไร เขาหลบหน้าผม และผลักมือของผมออกอย่างไม่ใยดี

“ขะ ขอ...โทษ” เจมส์ก้มหน้าต่ำ

นึกว่าจะต่อต้านแต่แท้จริงแล้วก็รู้สึกผิดอยู่สินะ

“ไม่ได้ยิน” ผมพูดแบบจริงจังเหมือนพ่อที่เห็นลูกทำผิด

“รอบเดียวพอแล้ว น้ำเน่าชะมัด” เจมส์หันหลังให้ผม ผมก็รู้สึกว่ามันน้ำเน่าเหมือนกันเลยไม่คาดคั้นอะไร พวกเราพี่น้องเกลียดความน้ำเน่าอยู่แล้ว แต่พูดก็พูดเถอะเมื่อวานตอนนั่งดูอนิเมะเก่า ๆ เรื่องหนึ่งกับเจมส์พอถึงฉากคลายแม็กส์เท่านั้นแหละ เล่นเอาน้ำตาไหลพราก หลังจากดูจบพวกเราไม่พูดคุยกันนานหลายชั่วโมง ผมจึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเกลียดความน้ำเน่า

ผมหันข้อมือดูนาฬิกาดิจิตอล

“โอะ! ตายห่- ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว”

“พี่อย่าพูดเหมือนพวกเราเป็นสัตว์แบบนั้นสิ จะให้บอกอีกกี่รอบว่าถึงเวลามื้อค่ำแล้ว” เจมส์ก็บ่นเป็นเหมือนกัน

“เออ ๆ เวลามื้อค่ำ แต่จะเอาไงดีล่ะ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนของเมืองกันเนี่ย” ผมมองไปรอบ ๆ ตัว ที่เห็นตอนนี้มีเพียงท้องฟ้า ตึกนี้มันสูงที่สุดในละแวกนี้เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็- เรื่องแล้วสิ ห่างกันตั้งสิบกิโล

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังใกล้เข้า คงจะเป็นยามของตึกนี้แน่ ผมชี้ให้เจมส์รีบหลบ พวกเราวิ่งไปหลบด้านข้างผนังอีกด้านของประตูสู่ดาดฟ้า เสียงเข้าใกล้เรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าจะมีมาไม่น้อย เอาแล้วไงล่ะ คราวนี้ซวยแน่ ต้องหาทางออก -ทะลุผนังเหรอ ไม่ใช่ผีซะหน่อย –ฆ่ายามหมกถังขยะเหรอ จะบ้ารึไงโดนตำรวจล่าแหง –ให้โดราเอมอนใช้คอบเตอร์ไม้ไผ่แล้วบินหนี ไปความคิดแจ่ม! ให้ตายสิมันอยู่ญี่ปุ่น หรือว่า

“เลิกคิดดีกว่าพี่ เปล่าประโยชน์” เจมส์ที่ดูเหมือนอ่านใจผมได้เอ่ยว่าผมอย่างแผ่วเบา หนอยบังอาจรู้ทัน

“ใช้เวทอำพรางดีกว่า อย่าให้พลาดเหมือนตอนนั้นอีกล่ะ” เจมส์แนะ

“มะ เรื่องนั้นไม่ทางเป็นได้หรอก” ผมเลิกลักเผลอพูดเสียงแข็ง เจมส์รีบทำปากจู้ให้ผมเงียบ

ตึง!

ประตูถูกเปิดออกอย่างรุนแรง พวกนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยสักนิด พรวดพราดขึ้นมาหาผู้ไม่หวังดีเนี่ยนะไม่นานคงได้ถูกปลดแน่

“นิ่ง ๆ ไว้” พวกเราทั้งสองนอนราบไปกับพื้นร่ายตาข่ายเวทย์อำพรางไว้รอบ ๆ พวกเราต้องอยู่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ได้จบเห่แน่

“กระจายกันออกไปสำรวจ มันหนีไปไหนไม่ได้หรอก ตรวจดูให้ดีที่สุด”

หัวหน้ายามสั่งลูกน้องสามคน พวกผมก็ยังนอนนิ่งอยู่ ไม่ไหวไม่ตีงอะไร ...ผ่านไปห้านาทีก็ยังหาไม่พบ ...สิบนาที ...ยี่สิบนาที พวกยามก็ยังตามหาต่อไป หนึ่งชั่วโมง ยามนายหนึ่งถอดรองเท้าของตัวเองหา ชั่วโมงครึ่งหัวหน้ายามผล็อยหลับไป

กว่าสองชั่วโมงที่เหล่ายามควานหาตัวพวกผมแต่ก็คว้าน้ำเหลว หัวหน้ายามที่ถูกลูกน้องปลุกก็ต่อว่าลูกน้องเพราะว่าอายสุดขีด หลังจากนั้นจึงพากันกลับลงไป

“เฮ้อ กว่าจะลงไป” ยังดีที่พวกยามหน้าโง่ไม่ได้ล็อคประตู ผมกับเจมส์จึงแอบออกมาจากตึกได้ พวกเรามุ่งตรงไปที่ห้องพักทันที ต้องต่อรถกว่าสามสายใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะมาถึง ผมเหลือบดูนาฬิกาติดผนังข้างห้องก็พบว่าตอนนี้ก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว

ปัง!

เอาอีกแล้ว เสียงเหมือนระเบิดแบบนี้ มันไม่ผิดแน่

“นี่คิดจะพังห้องฉันหรือไงกัน ห้องฉันไม่ใช่สนามซ้อมรบนะจะได้มาพังประตูแล้วบุกเข้ามาได้” ผมหันหลังไปพูดใส่แอนที่ยืนอยู่หน้าประตู เอ๋? มีอะไรแปลกไป

“ตาบ้า! ทำอะไรก็ไม่รู้ ตาบ้า! บ้า! บ้า!” แอนวิ่งมาทุบอกผมอย่างอ่อนแรง ขอบตาของเธอแดงเหมือนร้องไห้มาก่อน เหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลโซมกายเธอยังกับว่าเธอไปทำอะไรบางอย่างที่เกินตัวมา

ว่าแต่ สถานการณ์แบบนี้ผมควรจะทำยังไงดี ผมยืนนิ่งคิด

“ถ้าจะบ้าขนาดนั้น จับส่งโรงบาลดีไหมเนี่ย ฮ้าว~ ได้เวลาแล้ว พรุ่งวันเปิดเรียนอย่าทำอะไรแปลก ๆ แล้วไปโรงเรียนไม่ได้ล่ะ... พี่” เจมส์โบกมือลา ผมตะเบ็งใส่เจมส์

“นายรู้ไหมว่าฉันเที่ยวหา- ไม่นายไม่รู้หรอก ไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำ คนอย่างนายน่ะ คนอย่างนายน่ะ” แอนร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงดีได้แต่ใช้มือลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเธอด้วยความอ่อนโยน

“ตาบ้า” แอนเอาศีรษะน่ารัก ๆ ของเธอซบหน้าอกผมแล้วจากนั้นก็

“อ้าว” แอนปัดมือผมออก แล้วเดินออกจากห้องผมไป ปิดประตูอัดใส่ผมอีกที “นี่ต้องการจะพังประตูห้องฉันจริง ๆ สินะ” ผมหันหลังกลับไปทางโซนครัวก็เห็นเจมส์นั่งแดรกข้าวสุดอร่อยของน้ำใสอยู่

ขอพูดกันก่อน พวกผมสองคน ไม่สิ สามคนรวมกับแอนไม่ได้ทำอาหารเย็นกินกันเอง คนที่ทำอาหารให้เราน่ะเหรอ เขาคือ “น้ำใส” สาวผู้มีผมหางม้าเป็นจุดเด่น ร่าเริง ขยัน เธอเป็นคนที่ทำให้พวกเราได้ลิ้มรสอาหารอร่อย ๆ ทุกวัน ตอนนี้นำใสก็อายุได้ 15 ปีแล้ว รุ่นเดียวกับเจมส์ และเข้าโรงเรียนเดียวกันกับเจมส์นั่นก็คือโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ในปัจจุบัน

ในมื้อเย็นของทุกวันจะมีทั้งหมดสี่คนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร นั่นคือผม เจมส์ แอน และน้ำใส เหมือนครอบครัวหนึ่งเลยไหมล่ะ พวกเราทั้งสี่คนถูกเติมเต็มโดยกันและกัน พ่อแม่ของผมและเจมส์ไปทำงานต่างประเทศ แอนเสียพ่อไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ปัจจุบันต้องอาศัยอยู่ในห้องพักคนเดียวเพราะแม่ของเธอก็ต้องทำงานต่างประเทศเช่นกัน น้ำใสที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่น้าเท่านั้นที่ให้ความอบอุ่นกับเธอได้

ความจริงแล้วพวกเราทั้งสี่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ทำไมน่ะเหรอ เพราะว่ามันมีจุด ๆ หนึ่งที่ทำให้พวกเราได้มาพบกันรู้จักกัน สนิทกัน และสามารถที่จะตายเพื่อกันได้ ผมไม่อยากเล่าหรอก เพราะเรื่องมันยาวเกินผมไม่ใช่นักเขียนด้วยสิ

ผมนอนคิดเรื่องนี้อยู่บนเตียงมาได้สักพักแล้วมันทำให้ผมหลับไม่ลง หลังจากที่ทานข้าวกับเจมส์เสร็จพวกเราก็ปรึกษากันเรื่องไปโรงเรียนของวันพรุ่ง เจมส์บอกว่าเขามีคนคนหนึ่งที่อยากให้ผมได้เห็นมาก นั่นยิ่งทำให้ผมนอนไม่หลับเข้าไปอีก

ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียง ไปเปิดตู้เย็นดื่มน้ำแก้วหนึ่ง หยิบแอบเปิ้ลติดมือออกมาด้วย แล้วเดินไปสูดอากาศยามดึกที่ระเบียง

“อูย หนาว” อากาศที่ระเบียงยามนี้มันเย็นได้ใจจริง ผมจึงต้องเดินขดเดินงอออกมาชมวิวของเมืองนี้เหมือนตัวตุ่น ด้านหน้าที่ผมกำลังมองไปอยู่นั้นคือ อาพาร์ทเมนท์เก่า ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมากอัดกันอยู่ มันสูงเพียงแค่สามชั้น ผมที่อยู่ชั้นสี่ของอีกตึกจึงเห็นสัดส่วนทั้งหมดของมัน ผมมองมันแล้วนิ่งคิดไปเรื่อยเปื่อย บางครั้งที่ผมคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วทำให้น้ำตาไหล ผมหยุดความคิดมากมายที่ผมเคยเจอมาไม่ได้จริง ๆ

เหมือนมันมีอะไรแปลก ๆ ที่ดาดฟ้าของอาพาร์ทเมนท์นะ ถ้าผมมองไม่ผิด มันมีชายคนหนึ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงนั้น ผมมองไม่เห็นเพราะว่ามันมืด และดูเหมือนชายคนนั้นก็มองมาที่ผมด้วย

“WELCOME”

โอ้ สิ่งที่ประกฎต่อหน้าผมคือตัวอักษรไฟตัวยักษ์เรียงรายกันอยู่เหนือดาดฟ้าของอาพาร์ทเมนท์นั้น

ติดตามตอนต่อไป

santisook01
20th October 2013, 18:35
ตอนที่ 3 : ออร่านักเวทย์

“ฮ้าว~” ผมง้างปากออกหาวอย่างเหนื่อยอ่อน กว่าจะหลับได้ก็ปาไปตีสี่ นั่งคิดนอนคิดอยู่ทั้งคืน ทั้งเรื่องแอน เรื่องอาหาร เรื่องเปิดเทอม เรื่องสัตว์เลี้ยง เรื่องเรียนต่อ เรื่องเมื่อคืน บลา ๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว หัวปั่นยิ่งกว่ากาแฟปั่นที่อยู่มือผมซะอีก

ตอนนี้ผมเดินอยู่บนฟุตบาตรกลางเมือง มีคนจำนวนไม่น้อยที่เดินสวนและเดินแซงผมไป อุณหภูมิวันนี้ต่ำ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องสวมเสื้อกันหนาวออกจากบ้าน ก้อนเมฆสีเทาเหนือศีรษะผมเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ฝนคงไม่ตกหรอกนะ

หลังจากที่ผมดูดกาแฟแก้ห้วงได้อึกหนึ่งก็ออกเดินเซตรงไปยังประตูโรงเรียนอย่างเชื่องช้าเหมือนรถเก่า ๆ คันหนึ่ง วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ผมตื่นเช้าที่สุดและมาโรงเรียนเร็วที่สุด 07.45 น. นั่นคือเวลาที่ผมเดินได้สองในสามของระยะทางระหว่างโรงเรียนและห้องพักผม

“โอ้ววววว เป็น~ไป~ไม่~ได้~~~” เสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ ของปลาทองลูกครึ่งไทย-เยอรมันเพื่อนร่วมห้องตัวเล็กของผมโพล้งขึ้นจากด้านหลัง ฝีเท้าย้ำรัววิ่งตรงมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า 155 ซม. ผมยาวประบ่า ตาโต ผมสีเกาลัด ผิวขาวเนียนยังกับลูกคุณหนู (หน้าอกเล็ก) นั่นคือสัณฐานคร่าว ๆ ของปลาทองที่ผมเห็นในตอนนี้ ใครเห็นครั้งแรกต้องเอ่ยขึ้นว่า “น่ารักชะมัด” แหงแซะ

“วันนี้ต้องเป็นวันโลกแตกหรือไม่ก็มีใครบางคนลืมใส่กางเกงในมาโรงเรียนแหง ถึงว่า ทำไมกัปตันแจสมาโรงเรียนก่อนเข้าเรียน” เธอยื่นหน้าเอนตัวเข้ามาเย้าผมอย่างสนุกสนาน

“เดี๋ยวก็ส่งด้วยฝ่ามือซะหรอก ถ้าวันนี้โลกแตกจริงฉันก็ไม่มาโรงเรียนให้เปลืองแรงแล้ว และก็นะ เธอโรคจิตตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเหวี่ยงมือใส่หน้าปลาทองให้หลีกทางอย่างเบื่อ ๆ เธอหลีกและเอี่ยวตัวมาเดินข้าง ๆ ผม

“ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย นายต่างหากที่โรคจิต-”

“หยุด หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร” ผมเบลกทันทีแต่ยังเดินต่อไป

“ว่าแต่ ลมอะไรพัดกันถึงได้มาโรงเรียนเร็วแบบนี้ ฉันว่ามันน่าแปลกยิ่งกว่ารถไฟตู้เดียวอีกนะ” ปลาทองก้าวเดินขาโด่งอย่างร่าเริงสดใสเหมือนที่เคยเป็น

“เดี๋ยว ๆ มันไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนะ ไอ้รถไฟตู้เดียวน่ะ ถ้าว่ารถไฟไม่มีรางยังจะฟังเข้าท่ากว่าอีก หา? ไม่ ๆ แบบนี้ฉันก็โดนอยู่คนเดียวสิ” ผมอายเล็กน้อย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายนี่ก็ยังพูดมาได้นะ” หัวเราะอย่างพอใจซะจริ้ง

“หัวเราะไปเถอะยัยโลลิ ระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ หึหึ ฮ้าว~” ผมหาวออกมาอีกครั้ง

“นี่นอนดึกเหรอ แล้วทำไมถึงมาแต่เช้าได้” ปลาทองถาม ผมดูดกาแฟปั่นเข้าไปอีกอึกหนึ่งก่อนจะตอบ

“ฉันนอนไม่หลับน่ะ”

“เหรอ~?” ปลาทองลากเสียง

“อะไร” ผมหันไปมองปลาทอง
“ไม่ใช่ว่านาย— ทั้งคืนหรอกนะ” ปลาทองทำปากพูดบางอย่างที่ผมไม่รู้

“ไอ้ลิปซิงนั่นมันอะไรกัน หลอกด่าฉันสินะ”

“เปล่า~” เธอลากเสียงสูง โกหกเห็น ๆ พวกเราเดินตรงเข้าโรงเรียนพลางพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยต่าง ๆ นา ๆ


โรงเรียน Z โรงเรียงนานาชาติแห่งเมือง Y เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนต่างเชื้อชาติและสัญชาติกว่าหนึ่งพันคน โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่พวกมีฐานะเท่านั้นที่มาเรียน หึหึ ผมก็ไม่อยากจะคุยนักหรอกว่าครอบครัวผมก็มีฐานะอยู่ เพียงแต่ว่า ได้เงินค่าขนมน้อยโคตร! ทุก ๆ เดือนผมกับเจมส์จะได้รับเงินคนละสี่พันห้าร้อยห้าบาท ให้ตายสิ นี่ผมเรียนโรงเรียนระดับคุณหนูคุณชายอยู่นะ

เรื่องอุปกรณ์การเรียน บุคลากร สถานที่ และอิสระในการเรียนรู้นั้นจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโรงเรียนทั้งประเทศ ทั้งวิชาการ ทั้งกีฬาไม่เคยรองใคร เมื่อปีที่แล้วรุ่นพี่ที่จบไปกลุ่มหนึ่งก็ชนะการแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์ระดับโลกมา ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ แต่น่าแปลก ผู้อำนวยการซึ่งออกจะเป็นคนลึกลับไม่เคยคุยโอ้อวดถึงผลงานต่าง ๆ ของโรงเรียนเลยสักที

เปิดเรียนวันแรกทุกคนดูสดใสเป็นพิเศษ ผิดกับอากาศมืดครึ้มของวันนี้มาก เด็ก ม.4 ที่ยังไม่มีเพื่อนก็เดินเข้าอาคารหอประชุมอย่างตื่นเต้น พวก ม.5 ที่มีเพื่อนหน่อยก็เดินเข้าไปชูเล่กันยกใหญ่ ส่วน ม.6 ที่กำลังกลุ้มหนักเรื่องอนาคตก็ทักทายเพื่อนด้วยใบหน้าเกร็ง ๆ

เลิกพูดเรื่องชวนหลับกันดีกว่า สิ่งต่อไปนี้มันน่าสนใจยิ่งกว่าซะอีก ใบหน้าขาว ๆ แก้มป่อง ๆ ตาหวาน ๆ ปากบาง ๆ ยิ้มงาม ๆ ร่างเล็ก ๆ กับผมสีม่วงปลายผมสีฟ้ามันช่างงดงามยิ่งนัก ผมไม่เคยเห็นอะไรที่น่ารักเท่านี้มาก่อนเลย เหมือนเธอจะสะกดให้ผมนิ่งพร้อมกับโลกที่หยุดหมุน เธอเดินผ่านผมไปไม่ไกลจากที่ผมยืน หน้าเด็ก ๆ แบบนี้ต้องเป็นเด็กใหม่แน่

‘ป็อก’

สันมือเล็ก ๆ ของปลาทองกะเทาะกลางหัวผมแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกโรคจิต”

หลังจากเสร็จสิ้นการพูดคุยที่หอประชุมแล้วเหล่านักเรียนหน้าใสทั้งหลายก็แยกย้ายไปหาครูที่ปรึกษาและเข้าห้องเรียน

พักเที่ยง นักเรียนส่วนใหญ่จะมีข่าวกล่อง แต่ผมกับเจมส์ผู้ซึ่งทำอาหารไม่เป็นทั้งจึงต้องมาทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารที่ราคาแต่ละจานก็แพงอยู่ไม่น้อย ปกติพวกเราไม่ได้ทานด้วยกันหรอก

“ว่าไง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ผมเดินไปนั่งตรงข้ามกับออล เพื่อนสนิทร่วมห้องและเพื่อนร่วมชมรมของผมพร้อมกับจานข้าวและน้ำเปล่า ภายในโรงอาหารที่มีผู้คนชุกชม ตอนอยู่ในห้องเรียนพวกเรานั่นคนละโต๊ะกันจึงไม่ได้ทักทาย
“อืม ก็ได้เจอกันแล้วนี่นะ เป็นไง เรื่องที่ว่าจะทำตอนปิดเทอมน่ะ” ออลถามผมหน้าตาย มันก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอดแหละ คิ้วตรง ตานิ่ง ปากโค้งลงคล้ายหน้าบูด

โดยปกติของพ่อมดหรือผู้ร่ายเวทย์มนต์นั้นจะเปล่งรัศมีหรือออราออกมา รู้ตัวเฉพาะพ่อมดด้วยกันเองและปีศาจหรือสัตว์แห่งโลกเวทย์มนต์นั่นแหละ และแต่ละคนก็จะมีรัศมีที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครอีกซะด้วย ตามที่พูดมา ตอนนี้ผมรู้สึกถึงมันได้อย่างดีเลยล่ะ

“ก็... หลาย ๆ อย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดน่ะ เรื่องมันยาวด้วย นายคงไม่อยากฟังหรอกนะ” ผมชำเลืองมองออลเล็กน้อย

“อืม”

แค่นี้เนี่ยนะ

“... บอกว่าอยากสักหน่อยฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ” ผมแบมือยื่นข้อเสนอที่มันไม่มีวันตอบรับ

“นี่นายรู้สึกถึงมันไหม ยิ่งกว่าแสงจากพระอาทิตย์ซะอีก” ออลยื่นหน้าเข้ามากระซิบ

“เปรียบเทียบได้เห่ยมาก... อืม ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน หวังว่าจะเป็นพ่อมดที่ดีอยู่ล่ะนะ เย็นนี้ก็ได้เจอกันแล้ว ถ้าพวกเขามาตามที่ติดไว้” ผมค้ำคางพลางเคี้ยวอาหาร

“ฉันจะรักเธอ รัก~ เธอ...” เสียงอ้อยเพลงภาษาญี่ปุ่นดังมาแต่ไกล ผมรู้จักเสียงของคน ๆ นี้ดี

“กู้ด~~ มิดเดย์ ว่าไงทุกคน ยังอยู่ดีครบสามสิบสองสินะ” เคย์โอ อุรุชิกิ เคย์โอ นั่นคือชื่อของหมอนี่ ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มพวกเรา เขาคือเพื่อนอีกคนหนึ่งของผม เป็นเพื่อนร่วมห้องและเป็นเพื่อนร่วมชมรมเช่นเดียวกับออล มันเดินถือจานข้าวมานั่งด้านข้างผมอย่างร่าเริง ลักษณะที่โดดเด่นก็คือใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาพร้อมกับปากกล่าวไม่หยุด

“หวัดดี” ผมทัก

“...” ออลไม่ทัก

“เปลี่ยนคำทักทายใหม่หน่อยนะ ฟังไม่เข้าหูเอาซะเลย” ผมตักข้าวขึ้นมางับทีนึง

“ก็เกาสิ” ออลเอ่ยออกมา เหมือนจะปล่อยมุขแต่ใบหน้าก็ยังนิ่งเฉยอยู่

“...” ผมกับอุรุชิกินิ่งคิด

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” และก็หัวเราะออกมากันยกใหญ่ อันที่จริงมันไม่ตลกหรอก

“ไม่ใช่เรื่องตลก” ออลพูดแบบหน้าตายอีกแล้ว

“...” ผมกับอุรุชิกิมองหน้ากัน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” และก็หัวเราะออกมากันยกใหญ่ อันที่จริงมันไม่ตลกหรอก


ออดเลิกเรียนของวันนี้ดังขึ้น จุดหมายจุดแรกของแต่ละคนคือห้องชมรม ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว โรงเรียนนี้จะปิดก็ตอนห้าโมงครึ่ง มีเวลาให้นั่ง ๆ นอน ๆ อย่างไร้สาระอยู่มาก

ผมเดินไปที่ชมรมหลักก่อน นั่นก็คือชมรมฟุตบอล ดูเหมือนว่านักเรียนหน้าใหม่ที่สมัครเข้ามาก็มีอยู่ไม่น้อย ก็ไม่อยากจะคุยหรอกนะ ว่าตอนนี้น่ะผมเป็นกัปตันทีม เดี๋ยวหาว่าโม้กันเปล่า ๆ

“หวัดดีครับโค้ช” ผมทำวันทยหัตถ์ต่อโค้ชของผมด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย เขาคนนี้ชื่อไบออส เชื้อกรีซกับไทยและลาว คือ พ่อเป็นลูกครึ่งไทยกรีซ ส่วนแม่เป็นคนลาว ผมก็เลยเรียกแบบนี้ หน้าตาดูอ่อนวัยคล้ายอายุยี่สิบแต่ตอนนี้ก็ปาไปสี่สิบสามแล้ว ร่างสูงเพรียวแลแข็งแกร่ง แต่มีรอยยิ้มอันอ่อนโยนสามารถสร้างกำลังใจให้เหล่าครูสาวในโรงเรียนได้

“หน้าตูดูไม่จืดเลยนะ ไปทำอะไรมาเหรอ?” โค้ชถามพลางหันหน้าไปมองเหล่าเด็กใหม่ที่กำลังวอมร่างกายอยู่

“นิดหน่อยน่ะครับ ว่าแต่สมาชิกเยอะจังเลยนะครับปีนี้” ผมหันไปมองตามโค้ชไบออส

อะ ๆ นั่น เธอคนเมื่อเช้านี้นี่ เธอเข้าชมรมฟุตบอลเหรอ โอ้ ช่างเป็นวันที่ดีอะไรอย่างนี้ คล้ายกับว่าอาการเหงานอนมันหายไปโดยปริยายยังไงอย่างนั้นเลย

“โค้ชครับ ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าอะไรเหรอครับ” ผมชี้ไปที่เธอที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่อย่างตื่นเต้น

“หืมคนไหนเหรอ ชมรมเราไม่เคยมีผู้หญิงเลยนะ” โค้ชตอบแบบงง ๆ

“เอ๋?” ก่อนที่ผมจะถามต่อโค้ชก็ชิงตัดหน้าผมก่อน

“ได้เวลาแล้ว ไปเรียกพวกรวมรุ่นใหม่ แล้วแนะนำตัวหลักของทีม กัปตัน กฎประจำชมรม การซ้อม และรูปแบบการเล่นซะ”

“ดะ ได้ครับ”

อีกแล้ว ความรู้สึกนี้มัน รัศมีของผู้ใช้เวทย์มนต์ มันแผ่ออกมาชัดเจน ในกลุ่มเด็กใหม่นี้ต้องมีแน่ ๆ ผมเรียกสมาชิกชมรมฟุตบอลทุกคนมารวมกันที่ข้างสนามฟุตบอลมานั่งลงทับหญ้าสีเขียวอ่อน ที่เห็นตอนนี้ก็ราว ๆ ยี่สิบคนได้ ถ้ารวมกับสมาชิกเก่าก็คงเป็นสี่สิบคน

“สวัสดีทุกคน” ผมเป็นผู้นำกล่าวทักทาย

“สวัสดีคราบบบบ” ทุกคนตอบรับ

“พี่คือกัปตันทีมชื่อว่าแจสตัน หรือเรียกสั้น ๆ ว่าแจสก็ได้” เด็กใหม่หัวเราะคิกคัก “จะหัวเราะก็ไม่ว่า แต่อย่าล้อชื่อก็แล้วกัน”

“ได้ยินกัปตันแจ็คพูดแล้วสินะ อย่า ล้อ ชื่อ” เอดดี้เด็กอเมริกันรองกัปตันโพล้งขึ้น มันทำให้ทุกคนระเบิดหัวเราะออกมา ผมก็อดหน้าแดงเพราะความอับอายไม่ได้

หลังจากเสร็จสิ้นจากชมรมฟุตบอล ก็ปาไปห้าโมงเย็นแล้ว เหลือเวลาอยู่ครึ่งชั่วโมงที่ผมจะสามารถอยู่โรงเรียนนี้ได้ นักเรียนส่วนใหญ่ที่ทำกิจกรรมชมรมแล้วเสร็จก็จะกลับบ้านกัน เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังขยันทำงานอื่น ๆ อยู่
จุดหมายต่อไปของผมคือห้องชมรม- อาจจะฟังดูพิลึกแต่โรงเรียนนี้ก็มีชมรมแปลก ๆ อยู่ไม่น้อย แน่นอน ชมรมพวกนั้นไม่ได้ถูกก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงแค่มีเงินมาบำรุงก็ทำให้มันอยู่รอดแล้ว เหมือนอย่างชมรมของผม “พ่อมดสัมพันธ์ ต่อต้านความชั่วร้ายทุกรูปแบบ (The Wizard Association Resist Every Malignance : WAREM)” นั่นคือชื่อเต็ม แต่ที่เรียก ๆ กันอยู่ตอนนี้ก็แค่ชมรมพ่อมดเท่านั้น

มันคงไม่เหมือนกับเรื่องที่มีพระเอกใส่แว่นกลม ๆ ใช้คาถาต่อสู้กับไอ้หน้ายาวไม่มีจมูกหรอก เพราะพวกเราไม่ต้องไปสู้กับใคร ถ้าหากสู้กันจริงเรื่องมันคงไม่จบง่าย ๆ แน่ ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม ไม่นานมานี้ผมได้ยินข้าวว่าคุกอาซาร์คุกที่กุมขังพ่อมด****ดนอกรีดที่อยู่ทางยุโรปตอนเหนือถูกระเบิดเป็นจุล แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีนักโทษคนไหนรอดชีวิตออกมาได้

บ้านไม้เก่า ๆ ด้านหน้าติดป้ายว่า “ห้องพัสดุ” ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของโรงเรียน หญ้าก็ขึ้นรกเต็มไปหมด แต่กว่าจะมาถึงที่นี้ก็ต้องใช้เวลาเดินอยู่ไม่น้อย พื้นที่ของโรงเรียนถือว่าใหญ่มากมีอยู่ประมาณเกือบสิบไร่

ผมเปิดประตูไม้ผุ ๆ เข้าไปด้านใน เห็นคนห้าคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คนที่ผมรู้จักมี ออล อุรุชิกิ และเจมส์ ส่วนที่เหลืออีกสองน่าจะเป็นสมาชิกใหม่ ผมยืนนิ่ง-- ธะ เธอคนนั้นอีกแล้ว


ติดตามตอนต่อไป


ตอนที่ 4 : นักเวทย์ปริศนา
เมื่อผมเปิดประตูผุ ๆ พัง ๆ ของห้องพัสดุแล้วก็พบเธอคนนั้น ออร่าที่ผมสัมผัสได้ก็คือเธอ ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าเป็นพ่อมดหรือไม่ เพราะว่าผมไม่สามารถรับรู้ออร่านักเวทย์เลย

“หวัดดีพี่” เจมส์เอ่ยทัก

“ว่าไงประธาร มาสายอีกแล้วนะ แบบนี้ยังจะเรียกว่าประธารอยู่ไหมเนี่ย” อุรุชิกิเย้า

“แล้วไอ้ใครหน้าไหนที่ยกตรูให้เป็นประธารกันฟระ” ผมหันไปเพ่งอุรุชิกิ มันหลบหน้าผมไปคุยกับออลอย่างเนียน

ภายในห้องนี้ก็ไม่มีอะไรตกแต่งมากมาย เป็นห้องเล็ก ๆ จุคนได้ประมาณสิบคน มีก็แต่สิ่งของจิปาถะที่จำเป็นเท่านั้น มีโต๊ะขาพับสีขาวตั้งกลางห้อง เก้าอี้พลาสติกสองสามตัววางเรียงรายกันอยู่ และก็หลอดไฟตะเกียบสองหลอดติดอยู่เพดาน คอยส่องแสงสลัว ๆ ให้มองหน้าและพูดคุยกันได้

“เป็นไงบ้างเรื่องสมาชิกใหม่” ผมหันไปถามเจมส์รู้สึกประหม่าเล็กหน่อยเมื่อรู้ว่าเธอใช้เวทย์มนต์ได้ แต่ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ เพราะอะไรกันนะ

“เท่าที่สำรวจมาทั้งวันแล้วผมสัมผัสได้เพียงแค่สองคนนี้แหละ” เจมส์แบมือไปทางหนุ่มหล่อสวมแว่นกับสาวน้อยผมม่วง ผมพยายามที่จะไม่สบตาเธอ

เจมส์เดินไปจับไหล่เธอคนนั้น ทำอะไรของแกฟระ!!! “คนนี้แหละที่ผมอยากให้พี่ได้เห็น”

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “คนที่แกเล่าให้ฉันฟังเมื่อคืนเหรอ” ผมนึกออกแล้ว

“ผมจะแนะนำให้ก็แล้วกัน” เจมส์เดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างหนุ่มแว่นกับสาวผมม่วง สมาชิกใหม่ของเรา

“ผมขอแนะนำเองดีกว่า” หนุ่มแว่นเอ่ยก่อนที่เจมส์จะอ้าปาก

“ผมจอช์จ อยู่ ม.5 ห้อง A ย้ายมาจากลาว ถนัดสายไกล ปัจจุบันเป็นนักสืบรับจ้าง” หนุ่มแว่นที่เรียกตัวเองว่าจอช์จนั้น ตัวสูง 178 เซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่ ตาคม คิ้วโก่งดำ เป็นบุคคลที่หน้าตาดีไม่น้อย หลังจากที่จอช์จแนะนำตัวไปพวกผมก็อดที่จะขำไม่ได้

“มีเรื่องอะไรน่าตลกกันครับ” จอช์จชงหน้าไม่สบอารมณ์

“เปล่า ๆ” ผมกวักมือว่าไม่มีอะไรต้องห่วง... แค่ปล่อยให้พวกเราหัวเราะก็พอ

มาถึงตาของเธอแล้ว ใจของผมเต้นตึกตัก เหมือนผมจะได้ยินเสียงหัวใจของออลและอุรุชิกิด้วย คงไม่ต่างกันนัก

“ผมฮอน ชื่อจริงพรศักดิ์ ฮวง พึ่งย้ายเข้ามา อยู่ ม.4 ห้อง C” ก่อนที่ฮอนจะพูดต่อกลับต้องชะงักเพราะปฏิกิริยาแปลก ๆ ของพวกเรา

พวกเราตาเหลือก ปากค้าง สมองไร้คลื่นไฟฟ้าไหลผ่าน เหมือนได้ฟังผลสอบประจำภาค ยิ่งกว่าหนังสองมิติใด ๆ เหมือนกับเราอ่านนิยายจนถึงตอนจบแล้วมันเฉลยว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝัน ถ้าเป็นความฝันจริง ๆ ผมก็อยากจะตื่นขึ้นตอนนี้เลย

“เอ่อ... มีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ” ฮอนยื่นมุมปากท่าทางสงสัย ...ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ

“เปล่า ๆ” ผมตั้งสติกวักมือว่าไม่มีอะไรต้องห่วง แค่ปล่อยให้พวกเราทำใจก็พอ

ทุกคนตั้งสติและฟังฮอนต่อ ไม่มีใครคิดจะพูดเรื่องนั้นเลยสักคน ผมก็เหมือนกัน

“เอาใหม่ก็แล้วกันนะครับ” ฮอนส่งรอยยิ้มออกมา โอย~ ดาเมจรุนแรงอะไรขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีดุ้น

“ผมฮอน ชื่อจริงพรศักดิ์ ฮวง พึ่งย้ายมาจากเกาหลีใต้ อยู่ ม.4 ห้อง C ถนัดเวทย์สนับสนุนและช่วยเหลือ ถ้าหากจะถามว่าอยากเป็นอะไรในอนาคตล่ะก็ ยังไม่มีอะไรที่สนใจ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ฮอนส่งยิ้มออกมาอีกรอบทำให้พวกผมต้องระทวยกันไปใหญ่ เขามีส่วนสูงประมาณ 163 เซนติเมตร ตัวเล็กว่าอุรุชิกิที่สูงเพียงแค่ 168 เซนติเมตร ถือว่าก้ำกึ่ง

ยังว่าอยู่ ทำไมมันถึงได้รู้สึกแปลก ๆ เพราะเรื่องนี้นี่เอง จะเป็นไปได้ยังไง ผู้หญิงเนี่ยนะเป็นพ่อมด

“เอ่อ คือพี่สงสัยมาตั้งนานแล้ว ไอ้ผมของฮอนทำไมถึงได้เป็นสีม่วง ๆ ปลายสีฟ้าแบบนี้ล่ะ ไปทำสีมาเหรอ” อุรุชิกิเอ่ยถามอย่างเกรงใจ

“อ้อ มันเป็นเพราะพันธุกรรมน่ะครับ เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว ผมว่าจะไปย้อมให้เป็นสีดำอยู่-”

“ไม่ต้อง!!!” พวกผมห้าคนพร้อมใจกันห้ามปราม

“ทำไมเหรอครับ?” ฮอนตีหน้าสงสัย

“แบบนี้มันก็น่ารักดีแล้ว- มะ ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ หมายถึง...มันดูดีแล้วล่ะ” ผมรีบแก้ต่าง ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

“อย่างนั้นเองเหรอครับ แปลกเหมือนกันนะครับที่มีคนบอกกับผมแบบนี้อยู่บ่อย ๆ” ฮอนเงยหน้ามองเส้นผมตัวเอง

“เอาล่ะ คราวนี้เป็นฝ่ายรุ่นพี่และสมาชิกเก่าจะแนะนำตัวกันบ้าง เริ่มจากพี่ก่อน” ผมกล่าวเจิม ยืดอกให้เต็มที่

“พี่ชื่อแจส อยู่ ม.6 ห้อง C เป็นประธารของชมรมนี้”

“พี่ชื่อออล อยู่ ม.6 ห้อง C เป็นรองประธาร” ออลพูดหน้าตาย

“พี่ชื่ออุรุชิกิ เคย์โอ หรือจะเรียกว่าเทพเจ้าแห่งร็อคก็ได้ อยู่ ม.6 ห้อง C ไม่ได้เป็นอะไร ไม่สิ เป็นสมาชิกของชมรมนี้ ชอบร้องเพลง ไม่ว่าเนื้อเพลงจะเป็นแบบไหนอะไรยังไงพี่ก็ร้องได้หมด” พูดมากพร้อมกับยิ้มแฉ่งตามปกติของหมอนี่

“ผมชื่อเจมส์ เป็นน้องชายของพี่แจส อยู่ ม.4 ห้อง A เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของชมรม มีเรื่องอะไรฉันจะรับรู้ก่อนอยู่แล้ว ฮอนก็น่าจะรู้จักผมก่อนแล้วเพราะได้เจอกันตอนปฐมนิเทศ” ก็แนะนำปกติดี ฮอนพยักหน้าตอบรับ
“เช็คแน่ใจแล้วใช่ไหมว่ามีแค่สองคน” ผมถามเจมส์เพื่อความมั่นใจ

“ครับ แต่ของจอช์จนี่เป็นออร่าที่แปลกและอ่อนมาก ถ้าไม่ตั้งจิตสัมผัสก็ไม่พบเลย” เจมส์ตอบ

“หึหึ นั่นแหละคือความสามารถพิเศษของบุรุษผู้ลึกลับอย่างผม” จอช์จหัวเราะอย่างพอใจ เหมือนตัวร้ายในนิยายเกมส์ออนไลน์

“บุรุษผู้ถูกลืมมากกว่า” พูดได้ถูกใจมากออล!!!!

“เมื่อกี้ว่ายังไงนะครับ ผมฟังไม่ถนัด” จอช์จขยับแว่นตาทีนึง

“เอาเถอะ ทุกคนคงได้อ่านรายละเอียดในใบประกาศแล้วนะว่าชมรมพ่อมดของพวกเราทำอะไรกันบ้าง” ผมตัดพ้องบทสนทนาแบบมาคุระหว่างออลกับจอช์จ

“แล้ว...พวกเราต้องมาที่ชมรมนี้ทุกวันเลยรึเปล่าครับ” ฮอนตั้งหน้าถาม

“อ้อ ไม่หรอก ถ้าหากว่ามีเรื่องจำเป็นหรือต้องการจะบอกอะไรก็จะเรียกตามอีกที เวลาเดิม สถานที่เดิมนี่แหละ” ผมชี่ไปที่ใบประกาศ “เอากลับไปอ่านที่บ้านด้วยล่ะ”

“ผมก็อ่านหมดแล้วนี่ครับ” จอช์จสงสัย

“อ้อ มันยังมีอีกน่ะ ใช้เวทย์หนังสือของทอส แล้วมันก็จะกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งให้” ผมอธิบาย

“โห สุดยอดเลยนะครับ” ฮอนตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

“ส่วนเรื่องเวทย์มนต์และก็ข้อบังคับคงรู้กันดีอยู่แล้วนะ ว่าอย่าใช้มั่วซั้ว อย่าใช้กับคนธรรมดา และอย่าใช้ในที่สาธารณะถ้าไม่จำเป็น แถบนี้ตำรวจเวทย์ยิ่งฝีมือดีกันทั้งนั้น”

“ครับ” เด็กใหม่ขานรับพร้อมกัน


.......................................................................................................................................................

ด้านหน้าโรงเรียนนานาชาติ Z แสงแดดแก่ ๆ สุดท้ายของวันเริ่มลาลับ ชายลึกลับสวมผ้าคลุมสีดำเดินฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ตรงเข้ามาในโรงเรียน

“นี่คุณ-” ก่อนที่จะได้ลุกจากเก้าอีกของป้อมยามหน้าทางเข้าโรงเรียน ยามประจำโรงเรียนก็ผล็อยหลับไปในทันที

“ล้า ละ ลา ละ ลา ลัน ลั่น ล้า...” เขาก็ยังฮัมเพลงต่อ

“นี่น่ะเหรอโรงเรียน Z น่าสนใจอยู่ไม่น้อย” ก่อนที่เขาจะก้าวขา ย่างเข้าสู่เขตของโรงเรียนก็ต้องหยุดพินิจพิเคราะห์อย่างสงสัย “ข่ายเวทย์มนต์งั้นเหรอ ระดับสี่อีกซะด้วย หึหึ น่าสนุกดีนี่”

เขาแสยะยิ้มและก็ฮัมเพลงต่อไป คลื่นสีดำพลันล่องลอยไปมารอบ ๆ ร่างกายเขา


.......................................................................................................................................................

. “หืม?” ผมรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล เหมือนมีอะไรบางอย่างย่างกรายเข้ามาเพื่อจุดประสงค์ด้านลบ

“มีอะไรเหรอแจสสสสสส~” อุรุชิกิลากเสียงหยอกล้อในเวลาที่ผมกำลังเคร่งเครียดอยู่ เจมส์กลับพ่นขำออกมาเล็กน้อย

“มีคนกำลังทำลายตาข่ายเวทย์มนต์” ออลพูดด้วยสีหน้าจริงจังในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “ข่ายเวทย์ที่ฉันสร้างไว้มีการรบกวนอย่างหนักที่ด้านหน้าของโรงเรียน” ทุกคนหันไปฟังออลอย่างใจจดใจจ่อ

“หมายความว่ายังไงกันครับ” จอช์จถาม

“มีผู้ใช้เวทย์กำลังบุกรุกพื้นที่ของพวกเราน่ะสิ โอกาสที่จะเกิดการต่อสู้และใช้เวทย์มีสูงมาก” ออลอธิบาย

“แล้วพวกเราต้องทำยังไงกันดีล่ะครับ” ฮอนถามอย่างเป็นกังวล

“เรื่องนี้ต้องถามประธารแจสมากกว่า” ออลหันมองมาที่ผม ทุกคนมองมาที่ผม อย่างจ้องกันอย่างนี้สิวะมันกดดันรู้ไหม!!!!

“เดี๋ยวฉันจะออกไปต้อนรับเอง” แต่อารมณ์ความรู้สึกของผมตอนนี้ประมาณว่าแก๊งนักเลงอ่อน ๆ แล้วมีอีกแก๊งซึ่งแข็งแกร่งกว่ามาท้ารบ คงจะรู้กันอยู่แล้วว่ามันน่ากลัวแค่ไหน


.......................................................................................................................................................

“ชัด ชัด ชา ด้า ดา ชัด ชัด ชา ด้า ดา ช่า!!!!!” หญิงสาวหุ่นดีในชุดท่องเที่ยวอารมณ์ร่าเริงคนหนึ่ง มาหยุดตรงหน้าห้องพักของเจมส์และแจส

“หึม? ยังไม่กลับงั้นเหรอ” เธอเอานิ้วมาจิ้มริมฝีปากชมพูดสดใสของเธอพลางมองนุ่นนี่ “คงจะอยู่โรงเรียนนั่นล่ะนะ ... ว่าแล้วก็ไปหาเลยดีกว่า ย่า!!!!” เธอออกวิ่งไปที่ลิฟท์อย่างรวดเร็ว


ติดตามตอนต่อไป

santisook01
26th October 2013, 19:09
Wizard CLUB UVERworld


http://youtu.be/qH3GM7sNi64


ปล.
แอบบอกกันก่อนนะครับว่าเรื่องนี้มีเรื่องราวของชายที่อยู่ในเรื่อง Can't Hold Us ด้วย โลกของเรื่องนี้กับ Can't Hold Us เป็นโลกเดียวกันครับ:lol:

santisook01
3rd November 2013, 17:49
ตอนที่ 5 : น้องสาว

นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับความมืดมิด ความมืดมิดที่แท้จริง ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือความเจือจางอยู่ภายใน ผมได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของความมืดนั้นแล้ว

ผมจ้องมองคูเอล หรือที่รู้จักกันในโลกพ่อมดว่า “ราชันรัตติกาล” เขาไม่คิดที่จะทำลายข่ายเวทย์ที่คลอบคลุมป้องกันโรงเรียนแห่งนี้ คูเอลเพียงแต่รบกวนข่ายเวทย์และยืนรอเท่านั้น รอเพื่อให้พวกผมและเหล่าพ่อมดที่มีอยู่ออกมาพบกับเขา

คูเอลยืนกอดอกนิ่งอยู่หน้าประตูโรงเรียน ผมซึ่งเดินมาถึงด้านหน้าของคูเอลแล้วก็หยุดยืนในระยะห่างจากคูเอลเพียงพอที่จะสนทนากันโดยไม่เสียมารยาท

“เจ้าเองเหรอพ่อหนูน้อย ลูกชายของอสูรร้อยมารอันเลื่องชื่อนั้น” คูเอลเอ่ย ผมมองใบหน้าของเขาไม่ถนัด ถึงแม้ว่าคูเอลจะไม่สวมหมวกหรือผ้าคลุมเลยก็ตาม แต่ร่างของเขากลับเลือนรางคล้ายล่องหนอย่างไงอย่างนั้น เสียงของคูเอลที่เปล่งออกมาลุ่มลึกดุจดั่งก้นบึ้งแห่งนรกขุมสุดท้ายก็ไม่ปาน

หลังจากที่ผมได้ฟังคำกล่าวแรกของคูเอล ไฟร้อนแห่งความโกรธาภายในร่างก็ได้พลุ่งพล่านซาบซ่านไปทั่วกาย เลือดสีแดงไหลเวียนไปมาอย่างรุนแรง ใบหน้าของผมพลันสาดแสงความโมโหออกมาทันที

“อย่ามาพูดถึงพ่อผมพล่อย ๆ นะ!” ผมตะโกนออกไปอย่างนั้น ยามนี้ ด้านหน้าประตูของโรงเรียนไร้ผู้คนสัญจรไปมาอย่างน่าประหลาดใจ ผมนึกบางอย่างขึ้นได้ ผมหันหลังกลับไปมองสมาชิกชมรมทั้งห้า เจมส์เห็นว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจจึงตัดสินใจเดินออกมาหาผม ผมยกมือห้ามไว้ “พาทุกคนกลับไปที่ห้องชมรม” ผมสั่ง เจมส์เลิกลักลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ทำตาม

“ข้าว่าอยู่กันทุกคนจะดีกว่านะ ไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดต่อพวกเจ้า” คูเอลกล่าวอย่างเป็นมิตร

“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” ผมหันกลับมาถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง มือขวาของผมคลายออกจากกำปั้น

“ข้าแค่มาบอกข่าวบางอย่างเท่านั้น”

“ข่าวอะไรล่ะ”

“เจ้าต้องเข้ามาให้ใกล้กว่านี้ ข้ามีสิ่งของบางอย่างที่พ่อเจ้าฝากมา”

เมื่อผมได้ยินแบบนั้นถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียว ราชันรัตติกาลศัตรูที่พ่อเคยเล่าว่าเขาคือพ่อมดผู้ฆ่ามนุษย์มานับร้อย แล้วทำไมถึงได้รู้จักและสนิทสนมจนฝากของกันได้ขนาดนี้ล่ะ

“มันเป็นของสำคัญ พ่อเจ้าคงไม่ส่งมาทางไปรษณีย์หรอก เจ้าก็รู้นี่” คูเอลพูด คล้ายหลอกล่อผมให้ติดกับ

“พ่อผมไม่เคยส่งอะไรมาสักที” แต่ผมไม่หลงกลนั้นหรอก ผมสังเกตท่าทางผงะเล็กน้อยของคูเอลได้ ถึงแม้ว่าเขาพยายามจะปิดบังมันแต่คงไม่สามารถลอดพ้นสายตาคู่นี้ของผมไปได้

“ข้ารู้ ข้ารู้ พ่อเจ้าไม่เคยทำอะไรให้เจ้าได้ดีใจเลยสักครั้ง แต่ ข้ามีเวลาไม่มาก ถ้าหากว่าเจ้าหวาดระวังข้ามากขนาดนั้นล่ะก็ ข้าจะวางมันลงตรงนี้- ...ข้าคงต้องไปแล้ว” คูเอลแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีเทายามสนทยา เขาวางกล่องเล็ก ๆ ห้อด้วยกระดาษของขวัญลงบนพื้น แล้วหลังจากที่ผมเงยหน้าขึ้นมามอง ร่างของคูเอลก็หายลับไปแล้ว

ผมรู้ไม่รู้ว่ามันเป็นกับดักหรือว่าของฝาก แต่ความรู้สึกของผมบอกว่ามันเป็นของฝาก และด้วยสัญชาติญาณ มันฉุดให้ผมออกวิ่งเข้าไปเก็บกล่องของขวัญใบนั้นให้เร็วที่สุด มันไร้เหตุผลสิ้นดี

“ของฝาก... เหรอ” ผมแกะกล่องใบนั้นออกทันที มันมีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นผมเล็กน้อย เมื่อผมแกะเปิดกล่องก็พบว่ามีกล่องอยู่ด้านใน และเมื่อเปิดมันอีกก็พบว่ามันมีกล่องซ้อนกันไว้อีกกล่อง ผมเปิดอีกก็ผบกล่องอีก ผมเปิดกล่องเจอกล่องจนไปถึงใบสุดท้าย ดูเหมือนว่ากล่องใบนี้มันถูกร่ายเวทย์แบบพิเศษไว้ ให้กักเก็บสิ่งของที่สามารถเปิดได้เฉพาะผู้ที่อยากให้เปิดเท่านั้น

แน่นอน ผมคือผู้ที่สามารถเปิดมันได้ ด้านในของกล่องใบเล็กมีม่วนกระดาษสองแผ่นวางซ้อนกันอยู่ ผมหยิบแผ่นแรกขึ้นมา ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมเก็บมันแล้วรีบพาทุกคนกลับไปยังห้องชมรมทันที

“พี่แจส~”

เสียงแหลม ๆ เรียกหาผมมาแต่ไกล มันคุ้นหูผมมาก ผมหันกลับไปมองก็ว่า

‘อุบ!’

ร่าง ๆ หนึ่งของสาวถลาเข้ามากอดที่คอผมแน่นขนัด กลิ่นหอมนุ่มละมุลปะทะเข้าจมูกผม เธอหมุนตัวไปมา และกอดผมแนบแน่นมากขึ้น ‘อื้ย~’ ผมรู้สึกสยิวขนลุกพล่านขึ้นมาทันใด หน้าอกของเธอ หน้าอกของเธอ...

“เรอา” เสียงของเจมส์แว่วมา เรียกเธอว่าเรอา เรอาเหรอ?

“พี่เจมส์~”

เรอาหันไปเห็นเจมส์ แต่ก็หันมากอดผมแน่นมากขึ้นอีก ปลุกความเป็นชายในตัวผมให้พลุ่นพล่านไปหมด ‘เฮ้ย ปล่อยได้แล้ว จะไม่ไหวอยู่แล้ว’

“แล้ว ไม่คิดจะมากอดพี่บ้างเหรอ” เจมส์ทำหน้าละห้อย

“ไม่อ่ะ” เรอาตอบ จากนั้นเธอก็ใช้ใบหน้าถูไถไปตามหน้าอกผมอย่างเมามัน ‘เอาเข้าไป’

“โห พี่แจสหัวใจเต้นแรงจัง” เรอาเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างอ่อนโยน ดูดวงตากลมวาวประกายฟ้านั้นสิ

“แล้วเป็นเพราะใครกันล่ะ” ผมจับไหล่ของเรอาทั้งสองข้างแล้วผลักออกเล็กน้อยแต่มือก็ยังจับอยู่ “พี่ว่าเลิกนิสัยนัวเนียเหมือนคู่รักแบบนี้เถอะ ถึงแม้ว่าพี่จะชอบก็ตามที แต่ถ้าคนอื่นเห็นเข้าล่ะก็มันจะเป็นเรื่องใหญ่ไปแทน”

“ไม่ทันแล้วพี่ ดูนั่น” เจมส์ชี้ไปทางกลุ่มพ่อมดที่เหลือ พวกนั้นอ้าปากค้าง ถลึงตาอิจฉาริษยา ไอ้แจสมันทิ้งกันได้ลงคอ ไปมีแฟนน่ารัก ๆ แล้วจู้จี้ต่อหน้าแบบนี้อีก ผมเห็นกรามพวกมันแข็ง สงสัยคงแค้นมาก

“ค่อยอธิบายกันทีหลัง ว่าแต่ เรอาน้องพี่นี่โตขึ้นมากเลยนะเนี่ย โตมากเลยล่ะ” ผมมองไปที่ส่วนสูงและหน้าอก ผมส่ายศีระษะสลัดความคิดนั้นออกไป เรอา น้องสาวแท้ ๆ หนึ่งเดียวของผม เธอมีหน้าตาที่งดงาม หน้าเรียว ตากลมสีฟ้าประกายสดใส ผิวสีขาวนวลผ่อง หน้าอกกำลังพัฒนา ถึงแม้ว่าอายุจะยังแค่ 14 แต่ก็ตัวสูงเท่าไหล่ของผมแล้ว ถือว่าสูงมากในหมู่หญิงสาว

“แล้ว ทำไมถึงได้มาถึงนี่ล่ะ มาเยี่ยมพี่เหรอ” เจมส์เดินทอดน่องเข้ามาถาม

“ย้ายมาน่ะสิ” เรอาตอบหน้านิ่ง

“หา?” พวกเราอุทานพร้อมกัน เธอตกใจกับท่าทางของพวกเราไม่น้อย

“อะไรกัน ไม่อยากให้หนูอยู่ด้วยขนาดนั้นเลยเหรอ พวกพี่ใจร้าย แบบนี้ไม่น่ามาเลย” เรอาพูดหน้าเศร้าเหมือนแมวตัวหนึ่ง แล้วเชิดหน้าหนี ซึน...สินะ

“เปล่า ๆ พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้ย้ายมาอยู่กับพี่ล่ะ ย่าอนุญาตให้เธอออกมาได้แล้วเหรอ” ผมถาม ตาก็ชำเลืองมองการแต่งตัวของเรอา

“ก็พ่อน่ะสิ คะยั้นคะยอย่าจนใจอ่อน อยากให้หนูย้ายเข้ามาเรียนที่นี่ ทำไงก็ไม่รู้ย่าถึงตกลงได้ รู้ไหมว่าย่าพูดถึงพี่กับพี่เจมส์ว่าไง” เรอาหันมาพูดกับผม

“อย่าเลยดีกว่า พี่รู้” ผมตัดบท

“แล้วทำไมถึงได้ใส่ชุดนักท่องเที่ยวแบบนี้ล่ะ” เจมส์ถามคำถามที่ผมกะจะถาม

“อ่อ มันไม่มีชุดดี ๆ เลยน่ะสิ ย่าก็ซื้อแต่ชุดอยู่กับบ้านไว้ให้ ให้หนูไปเลือกก็ไม่ยอมให้ไป ทำยังกะว่ามีอันตรายร้ายแรง 14 ปีที่ผ่านมานี้หนูได้ไปแค่บ้านกับโรงเรียนเท่านั้น เฮ้อ...”

“อย่าเศร้าไปเลยน้องพี่ อยู่ที่นี่พวกพี่ก็ไม่ต่างกันนักหรอก” ผมพ่นขำเล็กน้อยกับชีวิตและการเป็นอยู่ของตัวเอง

“หมายความว่าไง” เรอาตั้งหน้าถามจริงจัง

“เปล่า ๆ ๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” เจมส์รีบแก้ต่าง

“นี่ก็ค่ำแล้ว เจมส์พาน้องกลับบ้านสิ ช่วยน้องจัดห้องด้วย และก็แนะนำแอนกับน้ำใสด้วย” ผมจับไหล่เจมส์แล้วกำสองสามทีเป็นสัญญาณว่าระวังตัวด้วย เจมส์พยักหน้ารับไร้ความสงสัยและยังตบตาเรอาได้เป็นอย่างดีด้วย

“แล้วพี่แจสล่ะ ไม่กลับพร้อมกับหนูเหรอ ทั้งที่หนูมาแล้วทั้งที” เรอาหันมาทำหน้าอ้อนใส่ผม... อย่าทำแบบนั้นเลย พี่ทนไม่ไหว มันน่ารักเกินห้ามใจเกินไป ไม่อย่างนั้นคนอื่นคงเข้าใจผิดว่าพี่เป็นซีสค่อนแน่ หรือว่าเป็นแล้ว ไม่ ไอ้เจมส์ต่างหากที่เป็น

“อ่า เอาเถอะ ๆ มีพี่กลับด้วยแล้วไง พี่แจสเขายังมีงานชมรมที่ต้องสะสางให้เสร็จอยู่น่ะ อย่างไปรบกวนเขาเลย นะ” เจมส์หักห้ามไว้ก่อน

“โห งานชมรมเหรอ ฟังดูน่าสนุกจังเลยนะ ถ้างั้นก็สู้ ๆ นะพี่” เรอาเอ่ยก่อนที่ร่างของเธอกับเจมส์จะหายลับไป เจมส์หันกลับมาบอกว่าช่วยถือกระเป๋ากลับให้ด้วย

ผมเดินกลับไปหากลุ่มชมรม อุรุชิกิรีบบึ่งตรงมากำคอเสื้อผม

“นี่มันหมายความว่าไงแจสสสส! นี่มันขี้โกงกันชัด ๆ นายแอบซุกสาวสวยโดยไม่บอกฉันเลยหรือไงหา แถมยังกอดกันในที่สาธารณะให้พวกฉันเห็นแบบนี้ด้วย สารภาพมาเลยนะ ว่าแม่สาวสุดสายสุดน่ารักนั่นเป็นอะไรกับแก และเธอเป็นใครกันแน่” อุรุชิกิกำคอเสื้อผมแน่น ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากออล หมอนั่นกลับทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น โกรธเหมือนกันสินะ

ผมต้องใช้เวลากว่าห้านาทีเพื่ออธิบายให้มันเข้าใจ ผมบอกให้เด็กใหม่กลับบ้านไปก่อน ยังไม่มีอะไรต้องกังวล ผมพูดไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจมันไม่ใช่

เหลือเพียงแค่ผมและออลที่อยู่เพื่อตรวจระดับความเสียหายของข่ายเวทมนต์เท่านั้น ส่วนอุรุชิกิเห็นบอกว่าต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารก่อนจึงต้องกลับแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมเปิดกล่องนั้นออกมาเพื่ออ่านมันอีกครั้ง โดยไม่ให้ใครรู้เห็นด้วย ในกระดาษแผ่นแรกเขียนไว้ว่า

“ถึงแจส ตอนนี้พ่อกับแม่ยังทำงานอยู่ ลูกคงสงสัยว่าทำไมคูเอลถึงเป็นคนส่งนำของมาฝากให้ ความจริงแล้ว พ่อและคูเอลเป็นสหายร่วมงานกัน เพียงแต่ว่าคูเอลเป็นผู้รับเคราะห์ฆ่าคนแทนพ่อเท่านั้น บนโลกที่ลูกอยู่ใช่ว่าจะมีแค่ปีศาจและพ่อมดเท่านั้นนะที่เป็นอันตรายต่อพวกเรา ศัตรูที่แข็งแกร่งยากต่อกรอีกอย่างก็คือมนุษย์ แต่ตามกฎแล้ว พวกเราไม่สามารถที่จะใช้เวทมนต์ต่อมนุษย์ได้ ถ้าหากเราพลั้งมือโดยไม่ได้ตั้งใจก็ผิดอีกเช่นกัน มันจะทำให้เรากลายเป็นพ่อมนต์ธาตุมืดไปในทันที” ข้อความสิ้นสุดเท่านี้ จากตัวหนังสือที่หยัก ๆ ไม่เป็นระเบียบแล้วพ่อคงรีบมาก ถือว่าข้อความนี้น่าเชื่อถือได้รับหนึ่ง เพราะว่าผมจำตัวหนังสือของพ่อได้ดี มันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้

ผมคลี่กระดาษอีกแผ่น คราวนี้ก็เป็นลายมือพ่อเช่นกัน แต่มันไม่ได้ต่อจากแผ่นแรกเท่านั้น

“เขต 20 แตกแล้ว ลูกควรระวังตัวไว้ด้วย เนื่องด้วยอะไรนั้นยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด การโจมตีปริศนาในครั้งนี้ทำให้คนของเราต้องตายไปเป็นจำนวนมาก มีโอกาสสูงมากที่มันจะบุกโจมตีอีกครั้ง ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่ามันจะเป็นจุดไหน แต่ท่าทางคราวนี้จะเป็นเรื่องใหญ่แน่ คนของสำนักงานมีไม่เพียงพอที่จะวางกำลังป้องกันได้หมดทุกเขต พ่อจึงต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายคือ ขอให้คูเอลคอยปกป้องลูก” จบข้อความอีกแล้ว มันสั้นจนไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย

ผมเก็บแผ่นกระดาษนั้นไว้ แล้วหยิบกระเป๋าสองใบขึ้นบ่า ผมเดินอย่างเชื่องช้าตรงกลับไปยังห้องพัก ที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงเท่านี้มาก่อน ไม่เคยมีการตาย ไม่เคยมีการต่อสู้ ทั้งที่มันควรจะสงบสุขอยู่แล้วแท้ ๆ ผมเพ่งคิดจนหัวปั่น มันสับสนวนเวียนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี

ในขณะที่ผมเดินกลับบนฟุตบาตรไร้ผู้คน โทรลตนหนึ่งยืนบื้อขวางทางผมอยู่



ตอนที่ 6 : โทรล

ในตอนนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า “เรื่องยุ่งยากได้เข้ามาอีกหาตูแล้ว” โทรลร่างใหญ่เดินงุ่มง่ามอยู่บนฟุตบาตรข้างถนนไร้ผู้คนด้านหน้าผม

ผมรู้สึกต้องตากับโทรลตัวนี้มาก ลักษณะเด่นของมันคือขนาดและความสูง ไม่ว่าจะมองจากจุดไกลขนาดไหนก็เห็นมันอยู่ดี อีกทั้งเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของมันก็ทำให้มันเหมือนข้ารับใช้เข้าไปอีก โทรลโดยส่วนใหญ่มีผิวสีน้ำตาลและหยาบมาก ตีกี่ทีก็ไม่เจ็บ และที่เด่นที่สุดคือ มันโง่สุด ๆ

ผมเห็นมันยืนมองซ้ายแลขวาแล้วเกาหัวอย่างสับสน คล้ายกับหลงทาง

คนปกติจะมองเห็นโทรลเป็นเพียงแค่ชายร่างใหญ่สวมผ้าขี้ริ้วท่าทางเหมือนคนบ้าเท่านั้น ส่วนคนที่เป็นนักเวทย์หรือพ่อมดอย่างผม จะเห็นเป็นตัวตนแท้ ๆ ของปีศาจอย่างมันได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ผมก็ทิ้งปีศาจลำบากแล้วเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้ ก็ผมมันคนขี้ใจอ่อนนี่นะ

“เฮ้ นายน่ะ” ผมเดินเข้าไปทัก มันทำหน้าเลิกลัก หันซ้ายหันขวาแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเองว่า “เรียกตูเหรอ”

เมื่อผมเดินไปใกล้ก็ต้องแหงนหน้าพูดคุย ผมสูงเพียงแค่หัวไหล่ของมันเท่านั้น ทั้งที่ผมก็สูง 182 เซนติเมตรแล้วนะ

“เออ นายนั่นแหละ... ฉันแจส แล้วนายล่ะ เจ้าโทรลยักษ์” ผมถามอย่างสนิทเป็นกันเอง ทั้งที่ปกติผมจะไม่ทักใครก่อนง่าย ๆ

“ฉันเป็นโทรล...” เสียงทุ้มต่ำของมันดังเข้าไปถึงท้องผม

“เออรู้แล้วว่าเป็นโทรล ฉันอยากรู้ชื่อของนาย นายชื่อว่าอะไร” ผมถามกลับพลางพลิกข้อมือซ้ายดูนาฬิกาดิจิตอล... ยังมีเวลาอีกมาก

“อ้อ ชื่อสินะ... ฉันชื่อว่าอูลลา อูลลา โทรลชื่อว่า อูลลา อูลลา” มันตอบอย่างเชื่องช้า คล้ายกับว่ามันนึกชื่อตัวเองไม่ออก หรืออาจจะบอกไม่ถูก

“อูลลา อูลลาสินะ” ผมทวน มันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

“กำลังจะไปไหนเหรอ”

“แจส...” อูลลา อูลลาเอ่ย

“มีอะไร”

“นายเป็นพ่อมดเหรอ”

“ใช่ ทำไมล่ะ”

“ฉันไม่ควรพูดคุยกับพ่อมด แถบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีปีศาจดุร้าย ถึงแม้ว่ามันจะมีน้อยก็ตาม แต่ถ้าจะให้ดี นายไม่ควรคุยกับปีศาจ” อูลลา อูลลาพูด

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันคุยกับปีศาจทุกวันอยู่แล้ว”

“หา? คุยกับปีศาจทุกวัน แล้วมันไม่ทำอะไรนายเหรอ” อูลลา อูลลามีท่าทางสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

“นี่นายไม่รู้จักปีศาจเลี้ยงหรือสัตว์เลี้ยงอะไรพวกนี้เหรอ” ผมถามกลับ

“อืม...” อูลลา อูลลามือเท้าคางนิ่งคิด “แล้ว... ทำไมเหรอ” มันเกาหัวทีนึง

“โดยปกติปีศาจจะไม่สามารถอยู่ร่วมกับพ่อมดหรือนักเวทย์ใช่ไหมล่ะ โดยเฉพาะพวกนักเวทย์ที่ไม่ใช่พ่อมดยิ่งต้องออกห่าง แต่สำหรับฉันซึ่งเป็นพ่อมดนั้นไม่ใช่ ฉันแยกแยะออกได้ว่าปีศาจตนไหนอันตราย ปีศาจตนไหนชั่วร้าย ดังนั้นฉันจึงมาคุยกับนายยังไงล่ะ และก็นะ เรื่องสัตว์เลี้ยงนั้นก็อันเดียวกันกับปีศาจเลี้ยงนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงในโลกของเวทย์มนต์เท่านั้น

การที่จะมีสัตว์เลี้ยงได้นั้นต้องเป็นปีศาจที่เราสามารถควบคุมได้และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้เป็นเจ้าของ โดยที่สัตว์เลี้ยงมีหน้าที่รับใช้และปกป้องผู้เป็นนายโดยใจจริง อาจจะไม่ออกมาจากใจจริงก็มี แต่ส่วนน้อยล่ะนะ” ผมอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้นนายก็มีสัตว์เลี้ยงแล้วสิ” อูลลา อูลลาถามอย่างคนฉลาด ถึงแม้ว่าโทรลจะโง่ก็ตามทีแต่ก็ใช่ว่าจะโง่เสมอไป

“ก็ใช่ มันทำให้ฉันได้คุยกับปีศาจทุกวันยังไงล่ะ แล้วนายไม่ค่อยได้คุยกับพวกอื่นที่ไม่ใช่ปีศาจบ้างเหรอ”

“ก็บางครั้งล่ะนะ อืม... อาจจะเป็นตอนที่ฉันหลบหนีพวกตำรวจเวทย์มนต์นั่นแหละ ตอนนั้นฉันตะโกนออกไปว่า ‘เกี่ยวอะไรกัน! ฉันไม่ได้กินไก่นะเฟ้ย!’ ล่ะนะ” อูลลา อูลลาพูดพลางหัวเราะพลาง… นั่นมันไม่เรียกว่าคุยกันแล้ว มันกำลังหนีความผิดต่างหาก

อีกอย่างคือตำรวจเวทย์มนต์ ถ้าจะพูดให้ตรง ๆ ก็คือผู้ใช้เวทย์โดยตรงไม่ต้องใช้ผ่านวัตถุบรรจุเวทย์หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์เหมือนไม้กายสิทธิ์ที่ผมใช้ พวกเขาไม่ถูกกับเหล่าปีศาจอยู่แล้ว ไม่ว่าเหล่าปีศาจจะพูดอะไรพวกเขาก็ไม่ฟัง คล้ายกับมีอะไรบางอย่างกั้นไว้ระหว่างความเป็นมิตรของทั้งสองฝ่าย ใช่ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนดี เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ถูกกับเหล่าปีศาจเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องที่พวกพ่อมดเลี้ยงปีศาจได้นั้นพวกตำรวจรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นพวกเราเหล่าพ่อมดและทางการ (Federation Resists Universe Evil : FRUE) จึงทำสนธิสัญญาวิซาร์ดเดมขึ้นมา เพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่าไม่ควรยุ่งกับปีศาจที่อยู่ในการครอบครองของเหล่าพ่อมด

แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าตกใจเกินนักหรอกถ้าหากว่าตำรวจเวทย์มนต์มาพบว่าผมกำลังพูดคุยกับปีศาจอยู่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าพ่อมดกำลังคุยกับปีศาจเหมือนคนปกติคุยกัน เขาก็จะมองผ่านไป และไม่สนทั้งที่ยังติดใจอยู่
“อย่างนี้นี่เอง เป็นความรู้ใหม่สินะ คงจะจำเป็นไม่น้อย” มันปรบมือเข้าหากันด้วยความทึ่ง

“จำเป็นสำหรับอะไรเหรอ หรือว่านายอยากจะมีเจ้าของกับเขาบ้าง”

“ก็นะ พอได้ฟังแบบนั้นแล้วมันอาจจะทำให้ชีวิตของฉันได้อยู่อย่างสงบสุขขึ้นมาก็ได้ ที่ผ่านมาฉันเหมือนหนูในบ้านแมวเลย” อูลลา อูลลาพูดด้วยสีหน้าเศร้าเล็กน้อย เปรียบเทียบกับหนูเนี่ยนะ ตัวใหญ่ยังกะช้าง ผมรู้สึกเห็นใจจริง ๆ เพราะพวกเหล่าปีศาจก็เลือกเกิดไม่ได้ โตขึ้นมาก็ต้องเจอแต่ความโหดร้ายกับเหล่าปีศาจด้วยกันอีก และถ้าหากจะปลีกตัวออกมาก็ต้องเจอกับคนของทางการหรือตำรวจเวทย์มนต์อีก คล้ายกับบนโลกนี้ไม่มีที่ให้พวกเขาได้อยู่อาศัยเลย

“เอานี่ไป” ผมหยิบหินสีครามประกายให้ “ถ้าหากว่านายมีปัญหาอะไรนายก็ทำลายหินนี้ได้เลย มันเป็นหินที่สามารถส่งสัญญาณหากันได้ ถ้าหากว่ามันแตกสลายไปเมื่อไหร่สัญญาณจะบอกฉันทันทีว่าหินนั้นมันแตกอยู่ที่ไหน แล้วฉันจะไปที่นั่นให้เร็วที่สุด” อูลลา อูลลายื่นมือใหญ่ ๆ ของมันมารับไว้แบบงง แล้วหลังจากนั้นมันก็ยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสาเหมือนเด็ก

“นาย... จะช่วยฉันจริง ๆ เหรอ เรายังไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยนะ ทั้งยังได้คุยกันเพราะเดินทางเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น” อูลลา อูลลาถามอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงฉันก็อยากทดลองเจ้าหินตัวนี้ด้วยเหตุการณ์จริงเหมือนกัน เพราะว่าฉันพึ่งสร้างมันขึ้นมาหลังจากที่ทดลองสร้างมาหลากหลายแบบ ฉันสัญญาเลยถ้าหากว่านายมีอะไรให้ช่วยฉันจะไปอยู่ที่นั่นเอง”
“ถ้าอย่างนั้น... ก็ขอบคุณมากนะ ฉันติดหนี้นายแล้ว” เป็นโทรลที่มีนิสัยดีไม่น้อย

“แล้วว่าแต่ นายกำลังจะไปไหนเหรอ” ผมถาม

“อ้อ...” อูลลา อูลลาลูบหน้าตัวเองแล้วนิ่งคิด “... ขอเวลาฉันนึกก่อน” ผมพยักหน้าว่า ‘ตามบาย’

“ว่าไง” ผมถามหลังจากที่รอมาเนิ่นนาน

“อย่าขัดตอนที่ฉันกำลังจะคิดออกสิ อ้อ! นึกออกแล้ว” อูลลา อูลลาทำตาโตด้วยความดีใจ

“ฉันกำลังจะไปหาราชันรัตติกาลน่ะ” หืม? ผมขมวดคิ้วขึ้นมาทันที... คงไม่ได้หมายถึงคูเอลที่เอาของฝากมาให้ผมหรอกนะ

“ราชันรัตติกาลที่ว่านี่ ชื่อจริงชื่อคูเอลใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ แต่ใจจริงผมไม่อยากให้เป็นคูเอล

“ใช่ ใช่เลย ฉันกำลังนึกชื่อจริงของเขาให้ออกอยู่พอดี ขอบคุณมาก ฉันจำได้แล้ว นายนี่เป็นคนดีจังเลยนะ...” อูลลา อูลลานึกคิดบางอย่าง
“แจส” ผมเสริมให้ ลืมชื่อกันทั้งที่พึ่งคุยกันไปนี่นะ

“ใช่ ใช่ ฉันต้องพูดขอบคุณนายกี่รอบกันเนี่ยถึงจะหมด หึหึ” มันเกาหัวแล้วหัวเราะออกมาเสียงสะเทือน

“แล้วทำไมถึงต้องไปหาคูเอลล่ะ มีอะไรเหรอ” ผมถามตัดเรื่องน่าเคืองไป

“ฉันเป็นคนส่งของน่ะ” ส่งของ อูลลาพูดแบบนั้นออกมาสินะ

“หา?!” ใช้โทรลเป็นคนส่งของนี่นะ ยิ่งตอนนี้มันยังหลงทางอีก

“มีอะไรน่าตกใจเหรอแจส ฉันไม่ได้ส่งอะไรที่มันไม่ดีอย่างนั้นนะ สิ่งที่ฉันขนไปก็เป็นแค่พวกข้าวของจิปาถะเท่านั้น”

“แล้วของที่ว่ามันอยู่ไหนเหรอ” ผมไม่เห็นว่าอูลลา อูลลาจะแบกของหรือลากอะไรมาด้วยเลย

“ก็ฉันพายอยู่ไง นายไม่เห็นเหรอ” อูลลา อูลลากล่าวคล้ายกับผมเป็นคนโง่ ผมงุนงงแล้วเดินไปมองด้านหลังของอูลลา อูลลาก็เห็นกระเป๋าเป้ใบเล็กใบหนึ่งที่มันสะพายไว้บนหลังใหญ่ ๆ ของมัน ใครจะไปเห็นกันฟระ นี่มันภูเขาบังเส้นผมชัด ๆ

‘แจส รีบกลับบ้านเร็ว มีเรื่องสำคัญมาก ๆ ฉันขอบอกให้นายรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น’ นิก ปีศาจหรือสัตว์เลี้ยงของกระซิบมาจากภาชนะบรรจุในตัวผม

‘อะไรนะ เรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ’ ผมใจเต้นตึกตักขึ้นมา เรื่องไม่ดีงั้นเหรอ ทำไมมันเกิดขึ้นเร็วนัก ทั้งที่ฉันพึ่งได้รับจดหมายเตือนให้ระวังจากพ่อเอง

“ขอโทษนะอูลลา อูลลา ฉันมีเรื่องด่วน ขอให้โชคดีกับการเดินทาง แล้วเจอกันใหม่ อ้อ แผนที่ของเมืองจะอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ไปหาทางของนายที่นั่น อีกอย่าง อย่าคุยกับคนที่ชื่อว่าคูเอลให้มากนัก บาย” ผมรีบบึ่งกลับห้องในทันที

ในขณะที่ผมกำลังวิ่งเข้าใกล้ตึกอยู่นั้นก็เห็นควันสีเทา ๆ ลอยออกมาจากหน้าต่างตรงจุดที่น่าจะเป็นห้องของผม หา? ไม่นะ อย่ามาไฟใหม่เอาตอนนี้นะเฟร้ย การ์ตูนที่พึ่งซื้อมายังไม่ได้ดูเลย ... ผมวิ่งเข้าตึกอย่างเร่งรีบเหงื่อแตกออกมาเป็นสาย

ติดตามตอนต่อไป

santisook01
7th November 2013, 17:44
ถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ

คุณรู้สึกว่าเรื่องนี้มัน Y ไหม

แต่ผมที่ตั้งใจแต่งตั้งแต่แรกผมกะจะให้มันเป็นกึ่งฮาเร็มนะ แต่ไหงในเว็บอื่นมีแต่พวก Y เข้ามาอ่านกันจัง

ตอบผมด้วยก็จะดีนะครับ

ASSASSIN S
7th November 2013, 17:57
อืม...ผมเคยเห็นคุณในเว็บ keedkean.com อะนะใช่คนเดียวกันปะ ?

santisook01
8th November 2013, 15:52
อืม...ผมเคยเห็นคุณในเว็บ keedkean.com อะนะใช่คนเดียวกันปะ ?


ใช่ครับ แล้วรู้สึกยังไงครับ(ว่าตัวนิยายมันเป็นแนวแบบไหน)

ASSASSIN S
9th November 2013, 19:16
จะว่าไงดีผมอ่านแล้วรู้สึกเบื่อเพราะแนวนี้มันมีคนทำเยอะเกินไปเช่น เวทมนต์ผมคิดว่าเรื่องที่มีตัวเอกใช่เวทมนต์เป็นหลักมันเยอะเกินไปแล้ว

ปล.ส่วนแนวที่คุนเขียนคือไดอารี่ซึ่งผมว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เรื่องนี้มันแล้วแต่คุณซึ่งผมคงพูดอะไรมากไม่ได้เพราะผมเองก็เขียนนิยายเหมือนกัน

อีกอย่างผมอยากรู้ว่าคุณเคยอ่านเรื่องอะไรบ้างครับ

santisook01
10th November 2013, 17:35
จะว่าไงดีผมอ่านแล้วรู้สึกเบื่อเพราะแนวนี้มันมีคนทำเยอะเกินไปเช่น เวทมนต์ผมคิดว่าเรื่องที่มีตัวเอกใช่เวทมนต์เป็นหลักมันเยอะเกินไปแล้ว

ปล.ส่วนแนวที่คุนเขียนคือไดอารี่ซึ่งผมว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เรื่องนี้มันแล้วแต่คุณซึ่งผมคงพูดอะไรมากไม่ได้เพราะผมเองก็เขียนนิยายเหมือนกัน

อีกอย่างผมอยากรู้ว่าคุณเคยอ่านเรื่องอะไรบ้างครับ

อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่ามาก็ได้ครับ แต่อย่างไงก็ตามผมก็ได้เขียนมันขึ้นมาแล้วเลยก็อย่างนี้แหละครับ

ส่วนเรื่องที่ผมอ่านส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นแนวบู้แอ็คชัน สืบสวน การรบ ซอมบี้ ไวรัส ไลท์โนเวล ตำนาน สารคดีหรืออะไรต่าง ๆ ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้อ่านนิยายออนไลน์น่ะครับ ผมไม่ได้ติดเน็ต

เรื่องเวทมนต์นั้นคงจะเป็นเพราะความชอบส่วนตัวน่ะครับ ผมก็เลยอดที่จะเขียนไม่ได้

ASSASSIN S
10th November 2013, 19:14
อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่ามาก็ได้ครับ แต่อย่างไงก็ตามผมก็ได้เขียนมันขึ้นมาแล้วเลยก็อย่างนี้แหละครับ

ส่วนเรื่องที่ผมอ่านส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นแนวบู้แอ็คชัน สืบสวน การรบ ซอมบี้ ไวรัส ไลท์โนเวล ตำนาน สารคดีหรืออะไรต่าง ๆ ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้อ่านนิยายออนไลน์น่ะครับ ผมไม่ได้ติดเน็ต

เรื่องเวทมนต์นั้นคงจะเป็นเพราะความชอบส่วนตัวน่ะครับ ผมก็เลยอดที่จะเขียนไม่ได้

ที่ผมถามคือชื่อเรื่องหรือชื่อหนังสือครับ

santisook01
10th November 2013, 19:25
ที่ผมถามคือชื่อเรื่องหรือชื่อหนังสือครับ

โทษทีครับ เอาเท่าที่จำได้ก็แล้วกัน
-สไนเปอร์ซีลทีมซิกซ์
-ไวรัสคร่าวิญญาณ Vol1-2
-เกมส์คร่าวิญญาณ จบแล้ว
-ซีรีย์ชมรมวรรณกรรม(เฮียวกะ)
-ไมรอนโบลิทาร์ - หลอก - เล่ม 10
-เชอร์ล็อกโฮร์ม เล่ม 1-3
-เทพนิยายกรีกโรมัน
-ฮิกซ์โบซอน อนุภาคพระเจ้า
-สึคุมุโด ร้านวัตถุโบราณพิศวง
-ดาวตก ผีเสื้อ กระบี้
-เกาทัณฑ์สะท้านพิภพ
-ฯลฯ
ส่วนออนไลน์ก็มี
-มหาวิบัติคน Blood Of Vile และ Jaminer ภาค The knight of dragonไ่ม่ยอมตายที่อยู่ในบอร์ดนี้
-Stranger and Dragons เรื่องนี้ผมอ่านแล้วรู้สึกสนุกมากเลยครับ ลองไปหาอ่านดูนะครับ แนะนำเลย

ASSASSIN S
10th November 2013, 19:27
รองหาเรื่อง the last fantasy the origin มาอ่านดูครับเอาไปเป็นแนวทาง

santisook01
10th November 2013, 19:28
รองหาเรื่อง the last fantasy the origin มาอ่านดูครับเอาไปเป็นแนวทาง

แบบออนไลน์หรือเป็นเล่มครับ

ASSASSIN S
10th November 2013, 19:34
แบบออนไลน์หรือเป็นเล่มครับ

เล่มครับมีอยู่15เล่มยังไม่จบ
origin 6 เล่ม
return 9 เล่ม

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0_%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C_%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B5

santisook01
12th December 2013, 19:05
ตอนที่ 7 : ควันโขมง

“เรอา! เจมส์! เกิดอะไรขึ้น” ผมเปิดประตูเสียงดัง ‘ตึง’ เข้าไปอย่างรีบเร่ง ใจผมอยู่ไม่สุขเลยตลอดทางที่มายังห้องนี้

ผมเห็นว่ากลุ่มควันสีดำลอยล่องพวยพุ่งอยู่เต็มห้องไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไฟไหม้เหรอ

“แค็ก แค็ก” เราอาค่อย ๆ คลานออกมาจากกลุ่มควันสีดำเข้ม ส่วนเจมส์ก็ตามออกมาหลังจากนั้น ใบหน้าของทั้งสองดูมอมแมมและเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าสีเทาดำ ผมรีบไปประคองร่างเรอาทันที พลันควันทั้งหมดค่อย ๆ จางหายลงไปเรื่อย ๆ เผยให้เห็นความจริงว่า... ครัวมันเละไม่เป็นท่าไป ดูเหมือนว่ามีคนกำลังจะทำอาหารอยู่และมันก็ไม่ได้เรื่องเลยซะด้วย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอเรอา” ผมแสร้งทำทีว่ายังไม่เห็นสภาพอันเละเทะของครัว

“พี่ ขอเวลาแปป ให้เรอาพักหายใจก่อน” เจมส์เรียกผมพลางสำลักควันออกมาไม่หยุด ผมให้เรอานอนพักที่โซฟา นำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามร่างกายเพื่อทำความสะอาด ยิ้มให้เธอด้วยความอ่อนโยนแล้วปล่อยให้เธอได้หลับพัก หน้าต่างก็เปิดหมดแล้ว แอร์ก็เปิดแล้ว “นอนพักซักหน่อยนะ” ผมบอก เธอส่งยิ้มกลับมาอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วก็พริ้มตาลง


เจมส์เดินไปหน้าระเบียง ผมเดินตามออกไป

“ตอนที่อยู่โรงเรียน พี่ได้รับอะไรมาจากคูเอล” เจมส์เข้าประเด็นหลักในทันที ผมจึงอธิบายทั้งหมดว่าให้ระวังตัวกันไว้ เพราะเขต 20 เขตจุดยุทศาสตร์สำคัญได้แตกแล้ว เจมส์พยักหน้ารับทีหนึ่ง ขณะที่เขาได้ฟังก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ว่าแต่ เขต 20 นี่มันเป็นแบบไหนเหรอ พี่สงสัยจริง ๆ” ผมตั้งแง่ถามในสิ่งที่เจมส์ควรจะรู้ เพราะว่าเขาชอบศึกษาการทำงานของทางการ(FRUE)อยู่บ่อย ๆ เพราะไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้เข้าทำงานกับ FRUE ก็เป็นได้

เจมส์เอียงคอครุ่นคิด “ถ้าได้ฟัง พี่คงต้องตกใจและเครียดไม่น้อยไปกว่าผมแน่” เจมส์หันหลังให้ระเบียงแล้วเอนกายพิงกับรั้วกั้นสแตนเลต

“ยังไง”

“เขต 20 มีหนึ่งในอดีตสมาชิกของชมรมเราอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาใช่คนอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เขต 20 นั้นอยู่ในเขตชนบทห่างไกลตัวจังหวัดลงมาทางใต้ของอุดรธานี เป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ และมีป่าไม้ภูเขาอุดมสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง...” เจมส์พูดต่อ “ที่ตรงนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ก็มีคนของทางการประจำอยู่มาก ผิดกับจำนวนคนที่มีเพียงน้อยนิดของทางการเยอะ ส่วนหมู่บ้านใกล้เคียงก็มีอยู่ประปรายตามที่ควรจะเป็นอย่างปกติ”

“หมู่บ้านแห่งนั้นชื่อว่าบ้านหูกัง มีคนของทางการซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของทางการประจำอยู่ถึงสี่คน หนึ่งในนั้นคือ “เสรี” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับพี่ เป็นลูกชายของหัวหน้าสำนักงานของภูมิภาค แต่ก็ยังถือว่าเป็นเด็กฝึกงาน-”

“ช่วยเข้าเรื่องตรง ๆ เลยได้ไหม ฉันไม่อยากฟังนิยาย” ผมตัดบทเจมส์ เขาอ้ำอึ้งเล็กน้อยแต่ก็กล่าวต่อ

“ความจริงเรื่องที่ว่าเขต 20 แตกนั้นเรื่องมันกระฉ่อนไปทั่วโลกเลยล่ะ เห็นทางสภาหลักของทางการได้ระดมความคิดและวิเคราะห์เหตุสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้อย่างถี่ถ้วนที่สุด ผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ตอนแรกก็นึกว่าเป็นพียงแค่ข่าวโคมลอย”

“แล้วคนที่ประจำการเขตนั้นรอดสักคนไหม” ผมถาม

“เรื่องนี้ผมไม่รู้ ความลับของทางการใครจะไปรู้กัน ผมว่ามันคงเข้ามาหาพวกเราไม่ได้ง่าย ๆ หรอก เมืองนี้มีการป้องกันดีจะตาย ขนาดออกจากเมืองยังทำไม่ได้เลย” เจมส์ตีหน้าเซ็ง “แต่ว่านะพี่ ผมว่าเราควรต้องจริงจังกับการทำอาหารให้มากกว่านี้แล้วล่ะ” เจมส์หันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าขึงขัง

“นี่สรุปเรื่องทั้งหมดเมื่อกี้เป็นเพราะการทำอาหารสินะ” ผมถาม... ในใจก็อยากให้เป็นแบบนั้น

“ก็ตามนั้นแหละคร้าบ~” เจส์เดินกลับเข้าห้อง ผมมองแลหลังเขาแล้วนึกถึงเด็กใหม่ของชมรมขึ้นมา

“WELCOME สินะ” ผมหันกลับ มองไปยังดาดฟ้าของอาพาร์ทเมนท์ แล้วนึกถึงเรื่องน่าพิศวงเมื่อคืน ตัวอักษรไฟแปลกประหลาดนั้นที่ปรากฏขึ้นมา ตกลงแล้วความหมายที่แท้จริงสำหรับการเชื้อเชิญในครั้งนี้คืออะไรกันแน่ การประลองเหรอ การแข่งขันเหรอ หรือว่าชวนเข้าร่วมกลุ่ม ผมคิดไปต่าง ๆ นา นาครู่หนึ่งแล้วเดินกลับเข้าห้อง

“ยะโฮ้!” ประตูห้องพลันถูกเปิดออกปรากฏเป็นน้ำใสเด็กสาวหน้าสวยในชุดนักเรียนของโรงเรียนสตรี ในมือเธอมีถุงพลาสติกใสด้านในเป็นผักสวนครัวจำนวนมาก เธอคือเชฟคนสำคัญของเรานั่นเอง

“นี่ เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเข้าห้องคนอื่นโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงก่อนนะ เห็นประตูก็เคาะบ้างสิ” เจมส์หันไปแขวะใส่เธอ

“เอาเถอะน่า ๆ ก็ดีว่าไม่มาไม่ใช่เหรอ” ผมเดินไปพิงไหล่เจมส์

“มะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเต็มใจ อีกอย่าง...”

“อีกอย่าง...” ผมกับเจมส์พูดตาม

น้ำใสยิ้มหน้าแฉ่ม ตาเยิ้มเป็นประกายส่องแสงแห่งความสุข “เฮ้ย!” ผมกับเจมส์กระโดนออกจากกัน ลืมไปซะสนิทว่าเธอเป็นสาววาย!

“แล้ววันนี้ทำอะไรกินเหรอ” ผมถาม

“อ้อ วันนี้ว่าจะ-” เธอหยุดชะงักแล้วเบิกตาโพลงไปทางเรอาที่นอนสลบสะไหลอยู่บนโซฟา “นี่อย่าบอกนะคะว่าพวกพี่สองคน... โธ่ นี่หนูอยู่กับคนโรคจิตชอบจับหญิงสาวมาไว้ในห้องมาตลอดเลยเหรอเนี่ย พวกพี่โหดร้าย โหดร้ายที่สุด ไร้ยางอาย ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ โรคจิต...ไม่พอใจเลยค่ะ” น้ำใสมุ่ยปากทำแก้มป่อง

“อย่าเอาของเขามาล้อสิ” ผมรีบโพล้งขึ้น

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นซักหน่อย” เจมส์สวนผมขึ้นมา “ช่วย ๆ ฟังกันบ้างได้ไหมครับคุณน้ำใส กล่าวหาคนอื่นว่าไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษด้วยใบหน้าตายด้านแบบนั้นผมก็ไม่พอใจเช่นกันครับ” เจมส์กล่าว

“เฮ้ย บอกแล้วว่าอย่าเอาของเขามาล้อ” ผมหันไปติเจมส์

“นิจะห่วงอะไรนักหนาเนี่ย” เจมส์เดินเข้าไปใกล้น้ำใสคล้ายกับจะปลอบประโลมคนรัก แต่เขาไม่ใช่คนรักกันหรอก เจมส์ทำเพราะนิสัยพาไปเท่านั้น น้ำใสรู้ข้อนั้นดี เธอจึงตึงตังรีบถอยกลับโดยเร็ว “ให้ตายสิ” เจมส์สบถ น้ำใสหัวเราะคิกคัก จากนั้นผมก็อธิบายว่าหญิงสาวสุดสวยคนนั้นคือใคร จนในที่สุดน้ำใสก็เข้าใจแต่ก็ทำคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือรุ่นน้องของเธอ

เรอางัวเงียแล้วพยุงร่างละอ่อนขึ้นมาปรายตามองไปยังแขกผู้มาเยือน เธอถลึงตาใส่น้ำใสทันทีที่ได้เห็น “เฮ้อ เอาอีกแล้ว” ผมกับเจมส์ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พวกผู้หญิงนี่มันอะไรกันนักนะ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องอธิบายและแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน

“นี่น้ำใส ไม่ได้กลับมาพร้อมกับแอนเหรอ ผมตะโกนถามเธอจากโซฟาหน้าโทรทัศน์ไปยังโซนครัว เธอมีเรอาเป็นลูกมือ ผมค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่ทั้งสองคนเข้ากันได้ดียิ่งกว่าปี่ที่กลายเป็นขลุ่ยซะอีก... จุจุ พูดผิดสินะ

“อ้อ ลืมบอกไป พี่เขามีงานที่นิดหน่อยต้องไปทำน่ะ เลยบอกว่าให้ทานข้าวกันก่อนเลย” เธอตะโกนตอบ ที่ผมถามน้ำใสก็เพราะว่าพวกเธอสองคนเรียนโรงเรียนเดียวกัน คือโรงเรียนหญิงล้วนซึ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ มีนักเรียนราว ๆ สามพันคนได้ คิดแล้วผมก็อยากไปรับพวกเธอสองคนจากหน้าโรงเรียนดูซักครั้งจริง ๆ ... มันต้องมีของสวย ๆ งาม ๆ ให้ชวนชมเป็นแน่


ในขณะที่เรากำลังยัดข้าวเข้าปากบนโต๊ะอาหาร

“นี่เรอา เรื่องโรงเรียนว่าไงล่ะ” เจมส์ถามขึ้น เยี่ยม มันต้องอย่างนี้สิ พี่ชายที่แสนดี

“ไม่มีปัญหา ได้รับอนุมัติแล้วว่าเข้าเรียนได้เลย แต่ก็คงต้องอีกสามวันข้างหน้าล่ะนะ หนูล่ะทึ้งจริง ๆ ทั้งที่พ่ออยู่ต่างประเทศยังทำให้หนูเข้าเรียนได้” เรอาพูดจบแล้วเอาคำข้าวในช้อนเข้าปาก

“โรงเรียนอะไรเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย

“โรงเรียนเดียวกับพี่แจสนั่นแหละ” พวกเราเงียบซักพัก

“จริงดิ” ผมกับเจมส์ถามพร้อมกัน

“อืม” เธอตอบในทันที

“เฮ้~!” พวกเราทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน และหลังจากนั้นพวกเราก็ฝอยเรื่องโรงเรียนให้เรอาฟังตลอดมื้ออาหารนั้น

เสียงแตรสารดังขึ้น เสียงนี้ได้ยินเพียงแค่พ่อมดและผู้ใช้เวทย์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้แล้วจึงทำให้เรอาไม่ได้ยิน พวกเราทำทีทานข้าวไปอย่างปกติ เมื่อใดที่แตรนี้ดังก็คือการประกาศจากทางการว่ามีเรื่องอะไรอัพเดทบ้าง มันก็เหมือน ๆ กับการกระจายข่าวแบบผู้ใหญ่บ้านนั่นแหละ ที่เรอาไม่ได้ยินก็เพราะว่าเธอไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์มนต์ แต่เธอรู้จักเวทย์มนต์อยู่ว่ามันเป็นยังไง

“ประกาศ เนื่องจากเวลานี้มีเหตุไม่สู้ดีเกิดขึ้นในเขตห่างไกล เกรงว่าจะมีการบุกรุกหรือสิ่งร้ายเข้ามา พวกเราจึงขอให้ทุกท่านอย่าได้ออกจากบ้านหลังยี่สิบสี่นาฬิกาด้วย” เสียงแตรสารดังขึ้นอีกครั้งเป็นการจบการประกาศ อันที่จริงมันควรจะยาวกว่านี้ แต่วิธีการกระจายข่าวเพื่อให้ได้ยินเฉพาะบุคคลต้องใช้พลังเวทย์สูงมาก การประกาศแบบนี้จึงมักใช้ในเหตุฉุกเฉินเท่านั้น

หลังจากที่พวกเราทานข้าวและล้างจานเสร็จก็ไปนั่งดูโทรทัศน์พลางสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พวกเราทำแบบนี้อยู่เสมอ มันทำให้เราสนิทกันมากขึ้นทุกครั้ง ผมให้สัญญาณน้ำใสให้ไปนอกระเบียง เธอเดินออกไปก่อน ผมเดินตามออกไป

“ว่าไงพี่แจส” น้ำใสพูด เธอค้ำศอกลงบนรั้วเหล็กของระเบียงแล้วเหม่อมองวิวที่ถูกเติมเต็มด้วยสีสันของไฟแห่งเมืองนี้ “เมื่อวานเห็นว่าวุ่นวายกันหนักเลยนี่นา” เธอคงหมายถึงเรื่องการดิ่งพสุธาของผมกับเจมส์เมื่อวาน

“รู้เรื่องทั้งหมดแล้วเหรอ” ผมถามพลางเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอ

“อืม พี่แอนเล่าให้ฟังน่ะ เป็นห่วงพี่มากเลยล่ะพี่แอน แบบนี้มันน่าสังสัยนะ” น้ำใสทำเสียงหยอกล้อแล้วเอียงหน้ามาพูดกับผม “หนูช่วยได้นะ พี่ทั้งสองคนต้องเข้ากันได้ดีแน่”

“หมายความว่าไงกัน” ผมถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ แต่เธอก็ยิ้มแบบไร้เดียงสาตอบ “เฮ้อ~” ผมถอนหายใจ แล้วหลังจากนั้น ผมก็คุยเรื่องการประกาศฉุกเฉินของทางการและอธิบายเรื่องเขต 20 เธอพยักหน้ารับอยู่เนือง ๆ

“อยู่ใกล้แอนไว้จะดีที่สุด ถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรหาทันทีนะ” ผมบอกเมื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย

“พี่แอนนี่เลือกไม่ผิดคนจริง ๆ เลยเนาะ ฮิ ฮิ” เธอกระดิกศีรษะไปมาอย่างร่าเริง เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว หรือบางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้เกี่ยวกับเรื่องรักใคร่เยี่ยงหนุ่มสาวกับแอน


ส่วนเรื่องสุดท้ายของวันนี้ “เรอา” น้องสาวต่างสายเลือด เขาไม่ใช่ทั้งลูกของพ่อและลูกของแม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่น้อย เธอคือผู้สืบสายโลหิตที่สูงส่งกว่า สูงเกินกว่าที่ผมกับเจมส์จะเป็นพี่ชายเธอได้ แน่นอนว่าเธอยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเรื่องแตกขึ้นล่ะก็คงได้เฮกันหลายยกแน่

เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างน้ำใสก็ลากลับบ้าน เรอาจัดที่นอน ผมกับเจมส์นอนข้างล่าง เธอนอนบนเตียง เจมส์ไปซื้อผ้าปูมาก่อนหน้านี้แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร พวกเราดับไฟ ผมนอนไม่หลับ แหงล่ะ ผมยังไม่ได้ยินเสียงการมาของแอนเลย