PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : The Open World Online ประสบการณ์อิสระไร้ขีดจำกัด



Tohan-kun
26th December 2013, 00:17
https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1381456_160919880781429_144294191_n.jpg


ยินดีต้อนรับสู่ ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ โลกแห่งอิสรเสรีที่คุณจะสามารถทำสิ่งใดก็ได้ในโลกที่แสนน่าจะให้ค้นหา เกมนี้มีระบบมายด์ แคปเจอร์ที่จะช่วยให้คุณสามารถเล่นเกมได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน ด้วยระบบมายด์ แคปเจอร์ ที่สามารถทำให้คุณเล่มเกมได้ในเวลาหลับโดย 1 วันในเกม เท่ากับ 1 ชั่วโมง ในโลกแห่งความจริง โดยมีข้อบังคับให้ผู้เล่นสามารถออนไลน์ได้สูงสุด 9 ชั่วโมง ต่อการออนไลน์ 1 ครั้ง และจะกลับเข้าไปในเกมได้ในอีก 2 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายนั่นเอง

ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ เป็นโลกแฟนตาซีที่น่าค้นหา เต็มไปด้วยการผจญภัยโดยตัวละครในเกมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนหรือมอนสเตอร์ต่างถูกบังคับด้วยเอไอระดับสูง จนบางครั้งคุณอาจเข้าใจผิดว่านั่นเป็นคนจริง ๆ

**อนึ่ง ทางดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ สนับสนุนให้ทุกคนเล่นเกมแต่พอดี
***ข้อแนะนำสำหรับผู้เล่นใหม่ เนื่องจากเกมนี้ให้อิสระแก่ผู้เล่นสูงมาก ดังนั้นจึงขอให้ผู้เล่นใหม่ตรงเข้าไปในเมืองให้เร็วที่สุด และจงระวังผู้เล่นคนอื่นที่เป็นโจรด้วย



https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1484745_185390465001037_327683542_n.jpg


Chapter List
ตอนที่ 1 การเปลี่ยนแปลง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2396160&viewfull=1#post2396160)
ตอนที่ 2 ยอมรับ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2396482&viewfull=1#post2396482)
ตอนที่ 3 ล็อกอินครั้งแรกและตายครั้งแรก (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2396920&viewfull=1#post2396920)
ตอนที่ 4 ฝึก ฝึก ฝึกและเรื่องแปลกใจ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2397505&viewfull=1#post2397505)
ตอนที่ 5 มินิบอส! (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2398089&viewfull=1#post2398089)
ตอนที่ 6 พลังสถิตร่าง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2398706&viewfull=1#post2398706)
ตอนที่ 7 แก้แค้นด้วยเขี้ยว (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2399241&viewfull=1#post2399241)
ตอนที่ 8 ภารกิจที่แสนยืดยาว (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2399961&viewfull=1#post2399961)
ตอนที่ 9 ทะเลเพลิง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2400570&viewfull=1#post2400570)
ตอนที่ 10 ปะทะบอส (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2401303&viewfull=1#post2401303)
ตอนที่ 11 พานพบ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2401774&viewfull=1#post2401774)
ตอนที่ 12 ปริศนา (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2401807&viewfull=1#post2401807)
ตอนที่ 13 จุติ เทพสายฟ้า (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2403391&viewfull=1#post2403391)
ตอนที่ 14 Money in the bank (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2404234&viewfull=1#post2404234)
ตอนที่ 15 วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2404934&viewfull=1#post2404934)
ตอนที่ 16 ภารกิจแห่งป่า (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2405428&viewfull=1#post2405428)
ตอนที่ 17 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2406017&viewfull=1#post2406017)
ตอนที่ 18 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด[2] (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2406616&viewfull=1#post2406616)
ตอนที่ 19 เมืองคนบาป (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2407203&viewfull=1#post2407203)
ตอนที่ 20 แสงสว่างของผู้หมดหนทาง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2407764&viewfull=1#post2407764)
ตอนที่ 21 เผชิญหน้ากับความกลัว (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2408278&viewfull=1#post2408278)
ตอนที่ 22 ตำนานปะทะตำนาน (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2408874&viewfull=1#post2408874)
ตอนที่ 23 เมืองแห่งเสียงดนตรี (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2409379&viewfull=1#post2409379)
ตอนที่ 24 Be Your Self (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2409794&viewfull=1#post2409794)
ตอนที่ 25 บุกรังหนู (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2410343&viewfull=1#post2410343)
ตอนที่ 26 ช่วยเหลือ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2410941&viewfull=1#post2410941)
ตอนพิเศษ เรื่องวุ่น ๆ ของจิ้งจอกสาวและมังกรน้อย (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2411558&viewfull=1#post2411558)
ตอนที่ 27 พลังใหม่ 'ผสาน' (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2411560&viewfull=1#post2411560)
ตอนที่ 28 สู่ป่าเกาลัด (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2412258&viewfull=1#post2412258)
ตอนที่ 29 สงครามครึ่งชั่วโมง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2412943&viewfull=1#post2412943)
ตอนที่ 30 ทบทวน (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2414706&viewfull=1#post2414706)
ตอนที่ 31 พบกันอีกครั้ง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2415435&viewfull=1#post2415435)
ตอนที่ 32 ปฏิบัติการฉกเจ้าหญิง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2415991&viewfull=1#post2415991)
ตอนที่ 33 ความจริงที่ไม่โสภา (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2417083&viewfull=1#post2417083)
ตอนที่ 34 ตรวจจิต ตรวจใจ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2417559&viewfull=1#post2417559)
ตอนที่ 35 เปิดเผยตัวตน (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2418132&viewfull=1#post2418132)
ตอนที่ 36 เบลดมาสเตอร! [ตอนแรก] (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2418930&viewfull=1#post2418930)
ตอนที่ 37 เบลดมาสเตอร์! [ตอนกลาง] (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2419484&viewfull=1#post2419484)
ตอนที่ 38 เบลดมาสเตอร์! [ตอนปลาย] (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2420638&viewfull=1#post2420638)
ตอนที่ 39 พบวิหค (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2420640&viewfull=1#post2420640)
ตอนพิเศษ ยามตะวันรุ่ง (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2420642&viewfull=1#post2420642)
ตอนที่ 40 ความจริงที่เปิดเผย (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2421321&viewfull=1#post2421321)
ตอนที่ 41 เทพอสูร (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2421974&viewfull=1#post2421974)
ตอนที่ 42 กฎแห่งเทพอสูร (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2422391&viewfull=1#post2422391)
ตอนที่ 43 พายุสีดำ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2427359&viewfull=1#post2427359)
ตอนที่ 44 บ้านต้นไม้บนหลังมังกร (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=212124&p=2442721&viewfull=1#post2442721)


ขยายสาขามาลงอีกที่นี่ที่หนึ่งนอกจากเว็บเด็กดี (http://my.dek-d.com/kningbank/writer/view.php?id=919487)กับเว็บแมว (http://www.nekopost.net/project/novel/the_open_world_online_)ครับ หวังว่านิยายเรื่องนี้ของผมจะช่วยให้บอร์คนิยายของเว็บโจ็กเกอร์คึกคักไม่มากก็น้อยนะครับ

นิยายของผมปกติจะอัพทุกวันอาทิตย์ แต่เว็บนี้ผมจะไล่อัพวันละตอนพร้อมกับรีไรท์แก้คำผิด+เนื้อเรื่องที่พลาดไปเรื่อย ๆ วันละตอนนะครับ

ก่อนไปก็เปิดรับสมัครแฟนอาทเสมอนะครับ ใครอยากวาดใครวาดได้เลย(จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ)

-------------------------------


Fan art Corner

http://upic.me/i/su/ccf16012014_00000.jpg

Tohan-kun
26th December 2013, 00:25
ตอนที่1 การเปลี่ยนแปลง

ตอนที่1 การเปลี่ยนแปลง


ท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังหาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตอยู่หรือเปล่า!

ท่านเป็นอีกคนที่กำลังตามหาประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนใช่หรือไม่!

นอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ขอเสนอประสบการณ์สุดล้ำจนเกินบรรยาย พบกับเกมออนไลน์ยุคใหม่ที่ไม่เหมือนเกมใดๆมาก่อน

ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์!!"

กรุบ ๆ

เสียงเคี้ยวเวเฟอร์ช็อกโกแลตดังขัดเสียงโฆษณาบนหน้าจอโทรทัศน์ไร้กระจกที่ตั้งขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถบชานเมืองกรุงเทพมหานคร เด็กหนุ่มนามว่า 'เจน' กำลังยืนมองดูโฆษณาฆ่าเวลาเช่นเดียวกับคนอีกหลายคนที่กำลังยืนดูอยู่ใกล้ ๆ

แม้ว่าเจนจะเป็นผู้ชาย แต่ทั้งรูปร่างหน้าตากลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของเขานั้นออกดูน่ารักซะด้วยซ้ำจนเด็กผู้หญิงยังต้องอิจฉา ผมสีดำมัดทรงเอาไว้ดูสลวย ดวงตาสีดำออกแดงโกเมนดูน่าหลงใหล ขนาดตัวก็เล็ก แขนและขาก็เรียวบางเหมือนกับเด็กผู้หญิงไม่มีผิด ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็อยู่ในชุดนักศึกษาชายจนคนที่เดินผ่านไปมามองอย่างสงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงถึงมาใส่ชุดแบบนี้

มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนชินไปแล้วสำหรับเจนเพราะเขาเกิดมาพร้อมด้วยใบหน้าและรูปร่างเหมือนผู้หญิงเช่นนี้ทำให้ตกเป็นเป้าสายตามาตั้งแต่เด็ก หลายต่อหลายครั้งที่โดนล้อและโดนแกล้งด้วยเรื่องของสภาพร่างกายที่ไม่เป็นปกติ ถึงรูปร่างหน้าตาจะเป็นผู้หญิงแต่ใจของเจนนั้นเป็นผู้ชายเต็มร้อยทำให้เขาเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยู่บ่อยครั้งเพราะไปทะเลาะกับเด็กคนอื่นๆที่มาล้อเลียน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจนเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนนัก

แต่อะไรถึงทำให้คนอย่างเขาต้องมายืนรออยู่ในที่แห่งนี้

"เฮ้ย เจน! โทษทีที่ทำให้รอ!" เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านขายเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้าที่รู้กันว่าเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันแต่กลับตั้งชื่อบริษัทเป็นภาษาเยอรมัน

"อืม หืม ไม่เป็นไร จะไปกันได้หรือยัง?" เจนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เสียงของเขานั้นคล้ายกับเด็กผู้หญิงจนแยกไม่ออกเลยทีเดียว เด็กหนุ่มที่เรียกเจนพยักหน้าแล้วหันหลังไปช่วยเด็กหนุ่มร่างใหญ่อีกคนหนึ่งยกกล่องกระดาษขึ้นรถเข็นแล้วจึงพากันเดินจากไปจากร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

เด็กหนุ่มคนแรกนั้นไว้หนวดไว้เคราแต่ก็ตัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบไม่ดูน่ากลัวแต่อย่างใด กลับกันมันทำให้เขาดูเข้ากับทรงผมสั้นรองทรงดูเด่นขึ้นมาด้วยซ้ำ เสียแต่ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้หล่อสมาทขนาดให้มีสาวติดตาม เป็นแค่ชายหนุ่มสูงร้อยแปดสิบ มีพุงน้อย ๆ และรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ติดตา 'โจ'

โจเป็นลูกครึ่งไทย สเปน แม้หน้าตาจะออกฝรั่งไปบ้าง แต่เขาก็พูดภาษาไทยได้ชัดไม่ต่างจากภาษาสเปนเลย แถมยังชอบอาหารไทยอีกซะด้วย เขาค่อนข้างจะเป็นเด็กที่ติดเกมพอสมควรถึงแม้การเรียนของเขาจะไม่ได้แย่ แต่กลับเป็นโปรในเรื่องของเกมชนิดที่ว่าบล็อกของเขาที่คอยแนะนำเกมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ นั้นมีคนกดติดตามอยู่กว่าครึ่งล้านเลยทีเดียว

เด็กหนุ่มร่างใหญ่อีกคนที่คอยเข็นรถเข็นมาเองก็เป็นลูกครึ่งอีกเช่นเดียวกัน แต่เป็นเม็กซิกันที่อยู่ในอเมริกาและย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย 'แจ็ค' เขาเองก็เป็นเด็กหนุ่มที่ชอบเล่นเกมเช่นเดียวกับโจ แต่ไม่ได้มีบล็อก แค่เล่นเป็นกิจวัตรประจำวันเท่านั้น

ถึงแม้ว่าแจ็คจะเป็นเด็กหนุ่มร่างใหญ่ กล้ามเป็นทรงจนสาว ๆ ควรจะหลง แต่ว่าหน้าตาของเขาก็ดูเจี๋ยมเจี้ยมไม่สู้คนเอาซะเลย จนเป็นสาเหตุให้เขามาเข้าร่วมกลุ่มสามเกลอที่สนิทกันสุดนั่นเอง

"จะว่าไปนายน่าจะมาเล่นด้วยกันนะ เจน เกมนี้น่าสนุกออก ฉันเห็นคนเล่นมาตั้งเกือบเดือนแล้วยังไม่มีใครบ่นว่าเกมห่วยเลย" แจ็คเอ่ยปากชวนเพื่อน เกมที่เขาบอกก็ไม่ใช่เกมอะไรที่ไหน ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์นั่นเอง

เกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ เป็นเกมที่เปิดใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว โดยใช้ระบบมายด์ แคปเจอร์ ซึ่งจะเหมือนกับถอดจิตเข้าเล่นเกมได้โดยตรง ซึ่งจุดเด่นของเกมนี้ที่ทำให้โด่งดังและไม่เหมือนใครก็คือ ความเป็นอิสระของผู้เล่นที่สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่อยู่ใต้กฎบังคับของGm ที่เป็นเสมือนตำรวจในเกม ทว่าผู้เล่นก็สามารถกระทำการใด ๆ ได้หมดแม้จะเป็นเรื่องลับๆระหว่างหนุ่มสาวโดยไม่ถูกห้ามจากระบบใด ๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่ว่าผู้เล่นบางกลุ่มที่ทำการเซ็นเซอร์เอาไว้หรือถูกห้ามเนื่องจากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์

อีกอย่างที่ทำให้เกมนี้เป็นที่นิยมคือระบบมายด์ แคปเจอร์ ที่ก้าวล้ำกว่าเกมที่ให้ผู้เล่นเหมือนลงไปเป็นตัวละครจริง ๆ ในเกม ไม่ว่าจะเป็นการกิน นอน เข้าห้องน้ำ หรืออาการบาดเจ็บ ซึ่งระบบเช่นนี้ปัจจุบันมีอยู่หลากหลายระบบที่ถูกใช้งานจากเกมเจ้าอื่น ๆ แต่ระบบมายด์ แคปเจอร์ที่ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ใช้นั้นมีจุดเด่นคือระยะเวลาของการเล่นเกม

ปกติจิตของมนุษย์จะทำงานได้รวดเร็วมากตอนที่กำลังหลับ ทำให้การเล่นเกมในเวลานอนนั้นสามารถเล่นได้ยาวนานเป็นสัปดาห์ในเกมได้ในคืนเดียวที่โลกแห่งความจริง ดังนั้นจึงทำให้เหล่าผู้เล่นใช้เวลาในการนอนหลับพักผ่อนไปกับการเล่นเกมได้อย่างจุใจ โดยที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังรู้สึกสดชื่นเหมือนกับนอนหลับสนิทมาทั้งคืน โดยทางเกมนั้นไม่จำจัดเวลาเล่นเกม แต่คอยแนะนำให้ผู้เล่นทุกคนเล่นเกมในเวลากลางคืนเพื่อที่จะไม่เป็นผลกระทบต่อชีวิตประจำวันนั่นเอง

เจนหยุดเดินแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถเข็นที่แจ็คเข็นอยู่จนเด็กหนุ่มหน้าอ่อนโวยวายแต่ก็ยอมเข็นต่อไป

"ฉันไม่มีเงินไปซื้อของแบบนั้นหรอก แค่เกมปกติที่ต่อเข้ากับทีวีฉันยังมีเงินไปซื้อไม่ครบทุกเกมเลย" เจนบอกตามความจริง ถึงแม้ในยุคปัจจุบันจะมีเกมที่นอนหลับเวลาเล่นได้แต่ก็มีราคาแพงมาก เพราะเทคโนโลยีนี้เพิ่งเกิดมาไม่ถึงห้าปี ทำให้ราคาปัจจุบันนั้นอยู่สูงพอสมควรเลยทีเดียว

"ก็ขอแม่สิวะ ครอบครัวก็ออกจะมีเงิน แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก" โจว่า "แถมตอนฉันชวนมาทำงานพิเศษก็ไม่ยอมมาทำ ไม่อย่างนั้นได้มาเล่นพร้อมกันทั้งสามคนแล้ว" เป็นจริงอย่างที่โจพูด เพราะวันนี้ทั้งสามคนมาซื้อเครื่องเฮดก็อกเกิ่ลรุ่นล่าสุดที่สามารถรองรับระบบมายด์ แคปเจอร์ได้เพื่อมาเล่นเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ โดยเฉพาะ

"นายก็รู้ว่าทำไมฉันไม่ทำงานพิเศษ..." เจนพูดเสียงเย็นจนแจ็คต้องรีบเข้ามาปราม

"เอาน่า โจ นายก็รู้ว่าทำไมเจนถึงไม่ยอมทำงานพิเศษ เอาไว้เดี๋ยวพวกเราช่วยหาเงินในเกมแล้วค่อยเอาไปแลกซื้อเครื่องเฮดก็อกเกิ่ลให้มันทีหลังก็ได้ เห็นว่ามีโปรโมชั่นใช้เงินโกลด์ซื้อเครื่องได้ในราคาพิเศษด้วยนะ" ที่แจ็คพูดนั้นสามารถทำได้เพราะเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ นั้นสามารถแลกเงินในเกมเป็นเงินจริงได้นั่นเอง ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เกมอื่นๆทำไม่ได้ แต่ที่เกมนี้ทำได้เพราะนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง ซึ่งบริษัทนี้ไม่เพียงแค่มีกิจการอิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียว ยังมีแล็บวิศวะกรรมวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์มากมายหนึ่งในนั้นคือระบบมายด์ แคปเจอร์ ทำให้บริษัทนี้เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ทางโจที่เห็นว่าเพื่อนออกตัวให้ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังมองตาเพื่อนหนุ่มหน้าหวานไม่กระพริบเพราะทางเพื่อนคนนี้ดันมาจ้องหน้าเขาไม่เลิกมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

"มองอะไร... ไอ้ตาแบบนั้นไม่ต้องมาใช้กะฉันเลย นายก็รู้ว่าไอ้นั่นมันใช้กับฉันไม่ได้ผล อย่ามาขู่ซะให้ยาก" โจบอกแล้วหันหน้าหนี ดวงตาของเจนที่กำลังมองโจอยู่นั้นถือเป็นอาวุธเด็ดของเขาเลยก็ว่าได้ มันคือดวงตาพิฆาตที่ทำให้ใครต่อหลายคนต้องเผ่นป่าราบมานักต่อนักแล้ว

เด็กหนุ่มเลิกมองเพื่อนของคนแล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ ถึงจะใช้ดวงตาพิฆาตกับโจและแจ็คไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลกับทั้งสองคนนั้นซะทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อยากใช้กับสองคนนี้เพราะทั้งคู่คือเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา

คนสามคนที่ต่างกันแต่กลับมาเป็นเพื่อนกันได้ อาจจะเป็นเพราะทั้งสามคนมีสิ่งเดียวที่เหมือนกันนั่นก็คือการไม่มีเพื่อน ถึงแม้อาจจะไม่ใช่สาเหตุเดียวกันแต่เมื่อทั้งสามมาพบกันกลับเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด เพราะต่างคนต่างก็คอยรักษาแผลใจให้แก่กันและกันจนเกิดเป็นสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นมา

หลังจากเจนและเพื่อนจัดการธุระเสร็จแล้วก็พากันขนของขึ้นรถแท็กซี่แล้วตรงไปที่บ้านทันที พวกเขาทั้งสามคนอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันทำให้พวกเขาไปไหนมาไหนและกลับบ้านหลังเลิกเรียนด้วยกันเป็นประจำ

รถแท็กซี่จอดอยู่หน้าปากซอยที่ยังมีระยะทางไกลจากบ้านของพวกเจนพอสมควร สาเหตุเป็นเพราะโจและแจ็คใช้เงินทั้งหมดของตนไปกับเฮดก็อกเกิ่ลจนไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่ และแน่นอนว่าค่าโดยสารทั้งหมดต้องตกเป็นหน้าที่ของเจน ซึ่งจากเงินในกระเป๋าทั้งหมดของเขาก็พากันมาได้เพียงเท่านี้ หลังจากทั้งสามคนยกกล่องเฮดก็อกเกิ่ลลงมาจากท้ายรถแท็กซี่ก็รีบเดินตรงไปที่บ้านทันที

"พวกนายเป็นหนี้ฉัน....คนละร้อยเจ็ดสิบบาท พร้อมดอกเบี้ยวันละห้าสิบบาท" เจนพูดเสียงลอยๆแต่เนื้อหากลับกระแทกใจคนฟัง

"เฮ้ย! วันละห้า... เดี๋ยว เขี้ยวไปหรือป่าว เจน" โจรีบพูดขึ้นทันที แต่เขาเองก็พอจะรู้นิสัยเพื่อนตนเองดี

"แล้วจะหาเงินจากไหนมาปลดหนี้ละเนี่ย" แจ็คบอกกับตัวเอง เงินทั้งเก็บทั้งหมดเขาใช้ไปกับเฮดก็อกเกิ่ลจนหมด ถ้าหากเอาเงินของสัปดาห์นี้มาใช้หนี้มีหวังไม่ต้องกินอะไรกันแล้ว

หนุ่มหน้าหวานเดินยิ้มไปต่อด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่ทำกับเพื่อนๆของตัวเองไว้ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ตรงหน้าของทั้งสามคนถูกล้อมด้วยกลุ่มวัยรุ่นหลายสิบคน ซึ่งเจนรู้ว่าคนพวกนี้เป็นแก๊งอันธพาลที่อยู่แถวนี้ ปกติแล้วพวกเจนจะนั่งรถเข้าไปในตัวหมู่บ้านที่พวกมันไม่เข้ามายุ่ง

"วางไอ้กล่องนั่นลงซะไอ้อ้วน แล้วก็ทิ้งกระเป๋าเงินเอาไว้ด้วยถ้ายังอยากกลับบ้านครบสามสิบสอง" ชายร่างสูงคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงต่ำแกมข่มขู่ ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าของพวกอันธพาลพวกนี้อย่างแน่นอน แจ็คและโจทำท่าจะวางกล่องตามที่โดนขู่แต่เจนห้ามเขาเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มทั้งสองมองเพื่อนด้วยความสงสัยแต่พวกเขาก็พอจะรู้ว่าเพื่อนของเขากำลังคิดอะไรอยู่

"พวกแกต่างหากที่ยังอยากจะมีแขนขาอยู่ก็รีบไสหัวไปซะ" เจนเอ่ยเสียงเย็นพลางวางกระเป๋าของตัวเองลง ทางหัวหน้าแก๊งได้ยินเสียงของเจนก็หัวเราะในลำคอก่อนจะพูดกลับมา

"อย่าดีกว่าน้องสาว พวกเราไม่อยากทำร้ายเด็กผู้หญิงหรอกนะ แต่ถ้าจะมาเป็นแฟนพี่ละก็พูดดีๆก็ได้นะจ๊ะ" เมื่อหัวหน้าแก๊งพูดจบ เขาและพวกลิ่วล้อก็พากันหัวเราะอย่างสะใจ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าในตอนนี้เจนยืนนิ่งไปแล้ว

"โอ๊ะโอ่ แย่ละ ไอ้บ้านั่นดันพูดคำๆนั่นไปซะแล้ว รีบถอยก่อนเร็วเข้า!" โจรีบหันไปบอกเพื่อนแล้วรีบวิ่งหลบไปอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง เจนที่ยืนเงียบมาพักก็วิ่งพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วจนเจ้าหัวหน้าแก๊งที่กำลังหัวเราะอยู่ไม่ทันตั้งตัว หมัดคู่ถูกปล่อยออกไป หมัดซ้ายชกขมับขวาของหัวหน้าแก๊ง ส่วนหมัดขวาชกเข้าที่บริเวณเอวจนตัวงอ เมื่อได้จังหวะต่อเจนก็ใช้ศอกเสยปลายคางอย่างแรงจนหัวหน้าแก๊งลงไปนอนนิ่งบนพื้นโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่นิดเดียว

พวกลิ่วล้อต่างพากันเงียบกริบเมื่อมองไปที่หัวหน้าของพวกตนที่โดนเจนอัดหมอบกองอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ดวงตาพิฆาตที่มักจะถูกปล่อยมาเป็นอันดับแรกกลับถูกเอามาใช้หลังจากออกหมัดเพราะอดใจที่จะชกเจ้าหัวหน้าแก๊งนี่ไม่ได้ พวกลิ่วล้อที่สบเข้ากับดวงตาพิฆาตก็ถึงกับหน้าเสีย พากันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วและยังมีบางส่วนลากตัวลูกพี่ของตนหนีไป

โจและแจ็คที่มองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆด้วยความหวาดเสียว "สุดยอดเหมือนเดิม ไอ้บ้านั่นไปแหย่ใครไม่แหย่ ดันมาแหย่เจ้าเจนที่เรียนทั้งหมัดไทเก็กและหมัดวิงชุนมาแบบนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะวะ" โจพูด

"ดันไปว่าเจนเป็นผู้หญิงแบบนี้คงไม่รอดว่ะ แต่รู้สึกว่าคราวนี้มันจบเร็วไปหน่อยหรือเปล่า เล่นแค่หัวหน้าแก๊งคนเดียวแบบนี้ ปกติเล่นยกแก๊งเลยนี่" แจ็คกล่าวด้วยความสงสัย เพราะเพื่อนคนนี้เวลาน็อตจะหลุดเมื่อมีคนไปพูดถึงตัวเองว่าเป็นเด็กผู้หญิง และจุดจบของคนที่พูดมักจบไม่ค่อยสวยทุกครั้งแถมบางครั้งก็มีลูกหลงไปโดนคนใกล้เคียงที่เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ตาม บางครั้งทั้งโจและแจ็คเองก็ไม่รอดเหมือนกัน

โจเองที่เห็นว่าเริ่มผิดสังเกตก็นึกสงสัย เขาและเพื่อนค่อยๆเดินเข้าไปหาเจนอย่างกล้าๆกลัวเพราะเผื่อมีน็อตหลุดก๊อกสอง แต่เมื่อเข้าไปถึงตัวเจนก็ต้องตกใจสุดๆเมื่อเพื่อนหน้าสาวจู่ๆก็ล้มพับลงไปบนพื้น

"เฮ้ย เจน! แจ็คมานี่เร็วเข้า!!" โจตะโกนอย่างลืมตัวแล้ววิ่งเข้าไปหาเพื่อนอย่างรวดเร็ว เขาพลิกร่างของเจนให้หงายหน้าขึ้นมาก็พบว่าเขาหน้าแดงและตัวร้อนสุดๆ
"แย่แล้วว่ะ โจ ตัวร้อนแบบนี้หยั่งกะเป็นไข้เลย หวัดนกป่าววะ" แจ็คถามด้วยความสงสัยแต่มือก็คว้าโทรศัพท์กดโทรเข้าไปที่บ้านของเจน

"นั่นปากหรอนั่นน่ะ รีบๆตามแม่จริยามา แล้วพาหมอนี่ไปโรงพยาบาลด่วนเลย!!"

ในระหว่างที่โจและแจ็คต่างหาทางช่วยเพื่อนของตนให้ได้ เจนนั้นก็ยังไม่ได้สิ้นสติไปซะทีเดียว เขายังคงมองเห็นว่าเพื่อนของเขาพยายามจะช่วยเขาแค่ไหน แต่ร่างกายของเขานั้นกลับไม่ยอมขยับตามเลยแม้แต่น้อย ตัวก็รู้สึกร้อนเหมือนอยู่ในเตาอบ สติของเขาก็เริ่มจะเลือนรางไปทุกที คำพูดคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเจนก่อนที่สติจะดับวูบไป

"นี่เรา...จะตายแล้วงั้นหรือ"




"ค่ะ....นี่ไม่ใช่โรคร้าย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของตัวเขาเอง เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ ถ้าหากเสี่ยงทำอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตนะคะ" เสียงหนึ่งดังแว่วเข้าหูเจน เป็นเสียงที่ฟังดูแล้วทำให้เจนรู้สึกว่าเจ้าของเสียงจะต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก ฟังแล้วชวนให้นึกถึงนักปราชญ์หรือนักวิทยาศาสตร์ยังไงอย่างนั้น แต่เสียงนั้นกลับดูสาวเกินกว่าที่จะให้ความรู้สึกเช่นนั้น

"ล..แล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลย เขาจะรอดใช่หรือเปล่าคะ คุณหมอ" เจนจำเสียงนี้ได้ เสียงที่สั่นเครือนี่เป็นเสียงของแม่ของเขาเอง 'จริยา'



"ค่ะ เขาจะรอดอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าอย่างที่คุณแม่ได้ทราบมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะ....-"

"คุณหมอชยา ที่ห้อง632ด้วยคะ" เสียงประกาศดังขึ้นมาทำให้เจนไม่ได้ยินว่าคนที่กำลังพูดกับแม่ของเขานั้นพูดอะไร แต่ฟังจากเสียงก็สามารถเดาได้แล้วว่าตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาลอย่างแน่นอน

เจนพยายามเปิดตาขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ในห้องสีขาวปลอดเชื้อโดยมีหน้ากากช่วยหายใจสวมอยู่ เขาเหลือบไปมองแม่ที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องที่มีแผ่นพลาสติกใสเส้นเล็กๆกั้นเอาไว้ไม่ให้มีอากาศภายนอกหลุดเข้ามา แต่เสียงก็ยังคงสามารถผ่านเข้ามาได้ เมื่อหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆแม่ของเขา ก็พบว่าเป็นหญิงสาวร่างสูงคนหนึ่ง เธอมีผมสีบลอนทองออกซีดเล็กน้อย สวมชุดกาวน์ของหมอและใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าคู่กับกระโปรงรัดรูปสีดำสั้นสูงกว่าหัวเข่ามาเล็กน้อย

เขาพยายามอ่านป้ายชื่อแต่อ่านออกเพียงแต่ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัวเท่านั้นคือ 'Dr.G..' ชื่อที่เหลือเขาตาพร่าเกินไปกว่าที่จะมองต่อ

"ถ้าแบบนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย แล้วในระหว่างนี้เขาจะฟื้น....หรือรู้สึกเจ็บปวดหรือเปล่าคะ" จริยาถามด้วยน้ำเสียงโล่งใจ แสดงว่าคำตอบที่คุณหมอคนนี้ให้มาต้องพอใจแก่แม่ของเจนมากแน่นอน

"เอ่อ...ถ้าหากจะปล่อยไปอยู่แบบนี้ เขาอาจจะฟื้นขึ้นมาบ้างแต่เขาอาจจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างมากเลยค่ะ" คุณหมอตอบออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล

"แล้วคุณหมอจะช่วยอะไรลูกของดิฉันได้หรือเปล่าคะ อย่างให้ยา..-"

"คุณแม่ ใจเย็นๆก่อนนะคะ คือในกระบวนการนี้ดิฉันไม่คิดว่าการให้ยาใดๆก็ตามจะเป็นเรื่องดี เพราะร่างกายของน้องเจนกำลังปรับสภาพด้วยตัวเองอยู่ นั่นเป็นสาเหตุที่เราจำเป็นต้องให้น้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อเพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพอย่างเต็มที่และมีความเสี่ยงต่อโรคน้อยที่สุด" คุณหมอหยุดไปครู่หนึ่งให้จริยาตามทันแล้วจึงอธิบายต่อ

"กระบวนการที่เกิดขึ้นกับน้องเจนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่โอกาสเกิดได้น้อยมากเท่านั้นเอง มันเป็นการปรับสภาพร่างกายให้สมดุลซึ่งปกติแล้วกระบวนการนี้จะเกิดและเสร็จขึ้นก่อนเกิดเป็นตัวอ่อนในท้องคุณแม่แล้วล่ะคะ แต่ก็มีที่กระบวนการนี้ไม่เสร็จสมบรูณ์ทำให้เด็กเกิดออกมาอย่างคุณแม่เห็นอยู่ทั่วไป แต่ที่หายากยิ่งคือคนที่เกิดการปรับสภาพร่างกายให้สมดุลหลังจากเกิดมาแล้ว ซึ่งส่วนมากเราจะพบในเด็กทารกหรือเด็กเล็กที่อายุยังไม่เกินเจ็ดหรือแปดปี ซึ่งเราจะสามารถแจ้งให้ผู้ปกครองทราบคะ" เมื่อคุณหมอพูดจบจริยาก็ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่



"ค่ะ....เอ่อ แล้ว..-"

"อ่า ขอโทษทีคะ ดิฉันพูดเลยไปนิดหน่อย คือกระบวนการนี้ถ้าหากปล่อยเอาไว้ก็จะกินเวลาหกวันหรืออาจจะหนึ่งสัปดาห์และมีความเสี่ยงที่น้องเจนจะฟื้นและพบว่าความเจ็บปวดในระหว่างที่ร่างกายกำลังปรับสมดุลและแปรสภาพค่ะ แต่.." คุณหมอรีบพูดเมื่อจริยาทำท่าจะถามอะไร "ถ้าให้คุณแม่ยินยอม เราสามารถช่วยเร่งเวลาให้เหลือเพียงสามวันได้"

"แล้วน้องเจนก็จะไม่รู้สึกเจ็บอะไรใช่มั้ยคะ" จริยาถามอย่างมีความหวัง

เจนพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่สองคนนี้พูด แต่ก็เหมือนว่าเขาขาดใจความสำคัญบางอย่างไป ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาในอกอีกครั้ง ความรู้สึกแบบเดียวที่เขารู้สึกก่อนจะหมดสติไปก่อนหน้านี้



"เมื่อน้องเขาตื่นขึ้นมาเขาจะไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวของเขาเลยละคะ อ๊ะ แย่แล้ว ดูเหมือนว่าน้องเขาจะฟื้นขึ้นมาแล้ว ต้องรีบทำให้สลบด่วนเลย" คุณหมอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆพลางใช้นิ้วกดที่แป้นพิมพ์แสงที่ลอยอยู่ข้างตัว

"เอ๊ะ เมื่อกี้คุณหมอบอกว่าห้ามใช้ยาไม่ใช่หรือคะ" จริยารีบถาม แต่คุณหมอกลับยิ้มและกดแป้นพิมพ์ต่อเล็กน้อยก่อนที่จะตอบคำของจริยา

"ไม่ได้มีแค่วิธีเดียวหรอกนะคะที่จะทำให้คนเราสลบได้" เมื่อคุณหมอพูดจบ เจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าเหมือนมีถุงอะไรบางอย่างมาครอบหัว อากาศถูกสูบออกจนเขาเริ่มขาดอากาศหายใจเจนพยายามดิ้นรนแต่ร่างกายก็ไม่ตอบสนองใดๆเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่เจ้าของมันอีกต่อไป ในคราวนี้ ไม่มีอะไรผุดขึ้นมาในหัวของเขาทั้งสิ้นก่อนที่สติจะหลุดลอย




"ฮ้า!!!" เสียงของเจนสูดหายใจเข้าอย่างแรงพร้อมกับยกร่างลุกพรวดขึ้นมาจากบนเตียง เขาพยายามสูดลมหายใจให้ทั่วท้องและสงบสติตัวเองลง ในตอนนี้เขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักคนไข้อีกห้องหนึ่งไม่ใช่ห้องกันเชื้อที่เขาถูกคลุมถุงพลาสติก

เจนรีบไล่เรื่องสยองขวัญพรรณนั้นออกจากหัวและเริ่มสังเกตรอบๆห้อง นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะบอกเวลาว่าวันนี้คือวันจันทร์ เวลาสิบโมงครึ่ง นั่นหมายความว่าเขาหลับมาเกือบสี่วันถ้าไม่นับช่วงที่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ มองไปรอบๆห้องก็พบว่าโจและแจ็คต่างก็กำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาในห้อง เจนอดยิ้มไม่ได้เพราะเพื่อนสองคนนี้ทำเพื่อเขามามากซะเหลือเกิน จนเขาคิดจะลดหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยออกให้หมดและเริ่มคิดดอกเบี้ยใหม่ตั้งแต่วันนี้

เจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือของเขา และมั่นใจได้เลยว่ามันเป็นความอบอุ่นจากมือของแม่จริยาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่เห็นว่าเธออยู่ในห้องนี้เลย เจนคิดว่าแม่ของเขาคงจะไปหาซื้ออะไรกินตามปกติ

พอมานึกดูอีกทีว่าในตอนนี้เขาป่วยเป็นโรคอะไรที่ทำให้หลับไปตั้งสามวัน เจนพยายามนึกให้ออกว่าโรคดัง ๆ ชนิดไหนบ้างที่ทำให้เกิดผลแบบนี้ แน่นอนว่าไข้หวัดนกตัดออกไปได้เลย นี่ปีพ.ศ.2678แล้ว มียารักษาโรคไข้หวัดนกมานานจนมีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้น้อยมาก แต่ให้มานึกถึงโรคชนิดใหม่ ๆ ก็นึกไม่ออกเลยว่ามีโรคใดที่ทำให้ตัวร้อยเหมือนไฟไหม้และหลับไปถึงสามวันเช่นนี้

'คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่ได้เรียนแพทย์ซะหน่อย เอาไว้ไปถามหมออีกทีละกัน' เจนคิดและยกมือบิดขี้เกียดให้ร่างกายยืดเส้นยืดสาย แต่เวลานั้นเองที่เขาพบกับสิ่งผิดปกติของร่างกายตนเอง

เจนสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติเมื่อตอนที่บิดมือขึ้นสูง หน้าอกโค้งนูนที่ผู้ชายไม่ควรจะมีและสิ่งที่ผู้ชายอย่างเจนมีมันกลับหายไป และควรเปลี่ยนคำที่เรียกเจนจาก "เขา" เป็น "เธอ"

"เฮ้ยยยยยย!!!" เสียงหวานร้องตะโกนดังลั่นห้องปลุกสองหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาจากโซฟา

"โน โน! โตสโตเน โน มาส!!(ไม่ ไม่ ไม่เอาโตสโตเนแล้ว)" โจสะดุ้งเตือนและอุทานออกมาเป็นภาษาสเปนเสียงดังลั่น



"หือ... อ้าว! เฮ้ โจ ดูนั่น เจนตื่นแล้ว" แจ็คที่สังเกตเห็นจึงหันไปสะกิดเรียกให้โจเห็น

เด็กหนุ่มทั้งสองลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาหาเจนที่ในเวลานี้นั่งนิ่งไปแล้ว "ไง เพื่อน ตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง" โจถาม แต่ทันใดนั้นเองมือเรียวยาวที่ในตอนนี้ยิ่งเหมือนผู้หญิงเข้าไปอีกก็กระชากร่างของเด็กหนุ่มให้เข้าไปใกล้และตะโกนถามด้วยเสียงดัง

"นี่แกทำอะไรกับตัวของฉัน!!!!

จบตอนที่1

-------------------------

santisook01
26th December 2013, 13:21
ท่าทางผู้แต่งเก่งน่าดูเลยนะครับ ผมจะมาโพสภายหลังนะ

สำหรับคำเกริ่น ผมอยากให้เพิ่มความสละสลวยของภาษาทำให้น่าติดตามมากขึ้นกว่านี้หน่อยนะครับ รู้สึกว่าคุณจะใช้คำแนวราบเรียบเกินไป

ว่าแต่ เว็บแมวนี่มีคนชอบอ่านนิยายประเภทไหนเหรอครับ ผมเคยลงแต่เด็กดี

Tohan-kun
26th December 2013, 14:39
ตอนที่ 2 ยอมรับ

"เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ๆ ใจเย็น ๆ ก่อน เจน ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่ฉันไม่ใช่คนที่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงซักหน่อย" โจบอกแต่ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าเขาเพิ่งหลุดปากคำต้องห้ามสำหรับเจนไปซะแล้ว

"เมื่อกี้....แกพูดว่ายังไงน้าาาาาาาาา!!!" เด็กหนุ่มที่กลายเป็นเด็กสาวง้างมือขึ้นสูงเตรียมจะลงขวานโดยที่แจ็คทำอะไรไม่ได้เลยหรืออาจะไม่กล้าทำเพราะตอนนี้ดวงตาพิฆาตถูกใช้อย่างเต็มที่ ส่วนโจนั้นวิญญาณหลุดลอยไปเรียบร้อย

"อ๊ะ ตื่นแล้วหรือจ๊ะ เจนลูกแม่" โชคดีของโจ ที่เวลานั้นเองจริยาก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหญิงสาวผมทองในชุดกาวน์คนหนึ่งที่ดูคุ้นตาเจนมาก

"แม่! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงกลายเป็นแบบนี้" จริยาเดินเข้าไปหาแล้วดึงตัวเจนเข้าไปกอดแน่นก่อนที่จะหันไปพูดแล้วลูบเส้นผมของลูกสาวที่เป็นอดีตลูกชายอย่างแผ่วเบา ปล่อยให้โจเป็นลมลงไปนอนล้มพับอยู่บนพื้น

"ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูก เอาไว้ให้คุณหมออธิบายดีกว่านะจ๊ะ" จริยาพูดจบแล้วหันไปหาหญิงสาวที่สวมชุดกาวน์อยู่ข้าง ๆ เธอเดินเข้ามาหาแล้วยื่นมือไปให้เจน

"ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันด็อกเตอร์ เกอร์ธูท นอยช์วานสไตล์ เป็นหมอเจ้าของไข้เธอ"

"นอยช์....คุ้น ๆ อ๊ะ หรือว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่นั่น" เจนหลุดปากออกมา เพราะไม่นึกถึงว่าคนที่มีนามสกุลในชื่อของบริษัทอันโด่งดังจะมายืนอยู่ตรงหน้าของเธอ และยังมาบอกว่าเป็นหมอ อีกต่างหาก

"ถูกต้องแล้ว ฉันเป็นเจ้าของบริษัทนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเวลานี้ เอาล่ะลองบอกฉันซิ เธอรู้สึกยังไงบ้าง" เกอร์ธูทถามพร้อมทั้งยื่นหน้าเข้ามาหาเจนจนเธอรู้สึกอึดอัด

"เอ่อ....ก็ปกติดี ไม่สิ! ไม่ได้ปกติซักหน่อย ทำไมตัวผมถึงกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้ได้! เธอใช่มั้ยที่ทำแบบนี้กับฉันน่ะ" เจนพูดอย่างเกรี้ยวกราดแต่จริยาปรามเอาไว้ก่อนที่แม่คุณจะลงไม้ลงมือกับคุณหมอคนดี

"อ่า ขอโทษที ฉันนี่ชอบเอาแต่พูดแต่เรื่องของตัวเองอยู่ตลอดเลย เอาล่ะ!" เกอร์ธูทบอกแล้วจึงลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง "สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ คืออาการร่างกายปรับสมดุลของผู้ที่เป็นอินเตอร์เซ็ก"

"อิน..อะไรนะ?" เด็กสาวถามด้วยความสงสัย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินชื่อนี้

"อินเตอร์เซ็กคืออาการที่บอกถึงความผิดปกติทางร่ายกายโดยหนึ่งคนที่มีความเป็นไปได้ที่เป็นทั้งเพศชายและหญิง อย่างเช่นคนที่มีรูปร่างและจิตใจเป็นเพศหญิงแต่กลับมีอวัยวะของเพศชาย แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นกับเธอคืออาการที่ร่างกายเกิดเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับเพศและมันก็ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเพศใดที่มีมากกว่าภายในร่างกาย แน่นอนว่ากรณีของเธอคือฮอร์โมนเพศหญิง ไงล่ะ" เกอร์ธูทอธิบาย เจนพยายามตามให้ทันและพอเข้าใจได้บ้าง

"ต..แต่ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับผม" เธอพูดเสียงสั่น การเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าเป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับเธอ ตลอดมาเธอพยายามจะเป็นผู้ชายให้สมศักดิ์ศรีเพื่อที่จะล้มล้างคำปรามาสที่เธอโดนล้อมาตั้งแต่เด็ก

"อืม...ความจริงเคสนี้เกิดขึ้นน้อยมากสำหรับคนที่เป็นอินเตอร์เซ็ก คนที่มีอาการแบบนี้และเราค้นพบมีอยู่ไม่ถึงสิบคนเลยด้วยซ้ำ บางทีอาจจะเป็นเพราะการกระตุ้นจากภายนอกก็เป็นไปได้ อย่างเช่นอารมณ์แปรปรวนหรือการใช้แรงงานเยอะ ๆ ....ช่วงนี้เธอไปออกกำลังที่ไหนมาหรือเปล่า" เกอร์ธูทหันไปหาคำตอบจากเด็กสาว ในตอนนี้ในหัวของเจนมีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหลมาเป็นฉาก ๆ เพราะสิ่งที่เกอร์ธูทบอกมานั้นเกิดขึ้นครบถ้วนเลยทีเดียว

"โถ่เอ้ย! เพราะตัวเราเองแท้ ๆ" เจนพูดกับตัวเองพร้อมทั้งกำหมัดอย่างเจ็บใจ การที่เธอกลายมาเป็นผู้หญิงแบบนี้มันเหมือนกับว่ากำลังตอกย้ำสิ่งที่เธอพยายามต่อต้านมาตลอดหลายปี น้ำตา ค่อย ๆ ไหลรินออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นของเด็กสาว

มือบางคว้าใบหน้าของเจนให้เข้ามาซุกที่อก จริยากอดลูกสาวของเธอแน่น "ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง แต่ยังไงลูกก็จะเป็นลูกของแม่อยู่เสมอนะ เจนลูกแม่"

น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังสะท้อนลึกเข้าไปในใจของเจน ใบหน้าที่คอยปลอบปลอบประโลมเธอมาตลอด คอยให้กำลังใจและดูแลเธอมาและยังคงทำต่อแม้ตัวของเจนจะกลายเป็นแบบนี้แต่ความ อ่อนโยนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

"ใช่แล้ว ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ เจน" แจ็คเองก็ไม่ปล่อยให้เพื่อนของตนรู้สึกโดดเดี่ยว พยายามให้กำลังใจ เจนได้ยินดังนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

"ถูกต้องแล้ว เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนหรอกจริงมั้ยพวก" โจที่ฟื้นขึ้นมาได้บอกและยกมือตีกับแจ็คอย่างชอบใจ เจนรู้สึกซาบซึ้งใจกับมิตรภาพที่สองคนนี้มีต่อเธอมาก ในตอนนี้เวลานี้ เป็นเวลาที่ พิสูจน์มิตรภาพที่ดีที่สุด จริยา แจ็คและโจ สามคนนี้จะเป็นคนที่สำคัญต่อเธอที่สุดตลอดไป

"ว่าแต่ต่อไปนี้พวกเราจะเรียกนายว่ายังไงดีล่ะ พวกเรายังไม่อยากโดนหมัดหรอกนะ จะให้เรียกเป็นผู้ชายเหมือนเดิมเดี๋ยวก็โดนเข้าใจว่าเป็นทอ..แอ๊ฟ!" ยังไม่ทันที่โจจะพูดจบประโยคก็โดนหมอนปาเข้าใส่เต็มหน้า ส่วนคนปานั้นก็นั่งหน้าแดงอยู่บนเตียง

"ต...ตามใจพวกนายสิ ฉันเป็นแบบนี้ไปแล้วจะเรียกยังไงก็ช่าง" ใบหน้าเขินอายเวลาที่เจนพูดนั้นดูน่ารักจนจริยาอดดึงเข้าไปสวมกอดอีกครั้งไม่ได้ หลังจากที่เจนยื้อตัวเองหลุดออกจากแม่ของตนแล้วก็พูดขึ้นอีกครั้ง

"แต่ยังไงมันก็มีปัญหาอยู่อีกนะ จะทำยังไงกับที่มหาลัยล่ะ ฉันกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้จะทำยังไง ไหนจะเรื่องระเบียนบ้านอีก เป็นเรื่องยุ่งแน่ ๆ"

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง" เกอร์ธูทพูด

"จะจัดการยังไง นี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาลเลยนะ ถ้าขืนพวกนักวิทยาศาสตร์รู้เข้าล่ะก็มีหวังเจนโดนจับตัวไปทดลองแน่" โจกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ทำเอาใบหน้าของเจนซีดลงเพราะกลัวว่าสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดจะเกิดขึ้นกับเธอจริง ๆ เหมือนที่เคยดูในภาพยนตร์

"มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะ เจ้าบ้า!!" เจนตวาดใส่พร้อมทั้งเขวี้ยงหมอนไปอีกครั้ง
"คือประมาณว่าเพื่อนของฉันสามารถจัดการเรื่องนี้ให้ได้โดยจะไม่มีทางรู้ไปถึงหูของรัฐบาลของประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่ถ้าเธอยังไม่มั่นใจฉันก็จะช่วยจัดการเรื่องความปลอดภัยให้เธอได้นะ" เกอร์ธูทพูดอย่างมั่นใจ จากในฐานะที่เธอเป็นเจ้าของบริษัทอย่างนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว เธอเองก็คงมีเส้นสายอยู่ไม่น้อยเป็นแน่

"ขอบคุณค่ะคุณหมอ แต่คุณช่วยเหลือพวกเรามากเหลือเกิน และดิฉันเองคิดว่าคงไม่มีเงินจะพอจ่ายค่ารักษาทั้งหมดในตอนนี้..-" จริยาพูดอย่างจริงใจ แต่น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัดเพราะครอบครัวของเจนและจริยานั้นมีกันเพียงแค่สองคน พ่อของเจนเสียไปตั้งแต่เธอยังเด็ก งานที่จริยานั้นถึงจะพอหาเลี้ยงชีพได้แต่เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะมีพอใช้จ่ายค่ารักษาทั้งหมดได้

"เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอกคะ โรงพยาบาลนี้เป็นหนึ่งในสาขาของบริษัทนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ ทันทีที่น้องเจนถูกส่งตัวมาที่นี่เราก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นอะไร โชคดีนะคะที่โรงพยาบาลของเราอยู่ใกล้บ้านของคุณจริยาที่สุด ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทางดิฉันขอไม่เก็บเป็นเงินแต่จะเก็บเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ..." เกอร์ธูททิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจจนเจนอดรู้สึกสยองไม่ได้

"ค..คงไม่คิดจะเอาตัวผมไปผ่าตัดใช่มั้ยครับ" เจนพูด ทางเกอร์ธูทได้ยินก็ถึงกลับหลุดหัวเราะออกมาเล็ก ๆ

"ฮะ ๆ ไม่ใช่หรอกจ๊ะ แค่จะขอเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่อไปอีกซักหน่อยนะ อืม....แล้วยังต้องแก้ไขเรื่องนิสัยผู้ชายด้วยสินะเนี่ย" คุณหมอสาวพูดทำให้จริยาเองก็นึกขึ้นมาได้

"จริงด้วยสิคะ น้องเจนอุตส่าห์กลายเป็นเด็กผู้หญิงแถมน่ารักขนาดนี้ แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กผู้ชายน่าเสียดายแย่" คุณแม่สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดาย จนเจนเริ่มรู้สึกไม่ดีตะหงิด ๆ

"เอาอย่างนี้เป็นไงคะ น้องเจนรู้จักเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์หรือเปล่า" เกอร์ธูทถามด้วยน้ำเสียงสดใส

"อ่า ครับ ก่อนหน้านี้เจ้าสองคนนั้นก็ไปซื้อเฮดก็อกเกิ่ลมาเล่นนี่นา" เจนพูดแล้วหันไปมองเพื่อนหนุ่มทั้งสองคน

"งั้นดีเลย เดี๋ยวฉันจะส่งเครื่องเฮดก็อกเกิ่ลรุ่นพิเศษให้ รุ่นนี้ฉันจะดัดแปลงให้คอยตรวจสอบข้อมูลร่างกายของเธอและส่งมาให้ฉันพร้อม ๆ กับที่เธอเล่นเกมนะ แต่ยังไงเธอก็คงต้องมาตรวจที่โรงพยาบาลอย่างระเอียดทุก ๆ สัปดาห์อยู่ดีเพื่อความความแน่ใจ ตกลงตามนี้นะคะคุณจริยา"

"แน่นอนคะคุณหมอ" จริยาตอบรับคำของเกอร์ธูทเสียงใส

"อ๊ะ ไม่ต้องเรียกคุณหมอก็ได้ค่ะ เรียกฉันเกอร์ธูทก็ได้นะคะ" คุณหมอสาวตอบอย่างเป็นมิตร แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันต่อไปอย่างถูกปากถูกคอ สองคนนี้ทั้ง ๆ ที่พบกันเพียงครั้งแรกแท้ ๆ กลับสนิทได้ถึงขนาดนี้ ดูท่าชีวิตของเจนในอนาคตคงจะเป็นเรื่องที่เกินจะคาดคิดซะแล้ว


วันต่อมาเจนก็ออกจากโรงพยาบาลในสภาพเป็นเด็กสาวตัวเล็กหน้าตาน่ารักโดยมีจริยาและเกอร์ธูทไปหาซื้อเสื้อผ้ามาให้ใส่มากมายหลายชุด เจ้าตัวที่รู้ว่าปฏิเสธไม่ได้จึงจำใจใส่และปล่อยให้คุณแม่และคุณหมอทำตามใจ ในขณะที่เธอกำลังเดินออกจากโรงพยาบาล เจนก็ถูกสายตาของผู้ชายหลายคนจับจ้องเป็นตาเดียวเนื่องจากหน้าตาของเธอที่เดิมนั้นก็น่ารักอยู่แล้ว ยังได้ชุดมาเสริมอีกจนเป็นใคร ๆ ก็ต้องมองอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าเธอนั้นรู้สึกอายจนหน้าแดงไปหมดและรีบขึ้นรถที่เกอร์ธูทเตรียมไว้ให้ทันทีโดยไม่รีรอ

เมื่อเจนกลับมาถึงบ้านตัวเองก็พบว่าห้องของเธอนั้นถูกตกแต่งซะใหม่ จากเดิมที่เป็นห้องธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ในเวลานี้กลับถูกทาด้วยสีชมพูสดใส ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะทำงานต่างก็เป็นสีชมพูทั้งสิ้นชนิดเรียกได้ว่าชมพูไม่ถามคนใช้เลย แน่นอนว่าเจ้าตัวโวยวายลั่นบ้านแต่ในเมื่อคนแต่งเป็นสองสาวที่เจนพูดคำว่า 'ไม่' ไม่ได้ จึงจำต้องอยู่ห้องนั้นไปก่อนละหวังเอาไว้ ว่าจะค่อย ๆ แต่งให้กลับมาเหมือนเดิมทีหลัง เจนรีบตรงไปที่เตียงนอนเป็นอันดับแรกเพราะวันนี้แม้เวลาจะยังอยู่ที่เที่ยงวัน เธอที่โดนทั้งแม่จะคุณหมอจับนั่งใส่ชุดกับเจอเรื่องวุ่น ๆ ตั้งแต่เช้าก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน

'เฮ้อ....ชีวิตต้องสู้ แต่ถ้าเจอแบบนี้ทุกวันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ' เด็กสาวคิดก่อนที่จะลืมตาขึ้นแล้วเริ่มสังเกตห้องของตน เจนเหลือบไปเห็นที่คาดผมอันใหญ่สีเขียวอยู่บนโต๊ะ เธอหยิบมันขึ้น มาและเห็นคำว่า Head Goggle พิมพ์ติดอยู่บนนั้น

"อะไรเนี่ย กล่องที่เจ้าพวกนั้นใหญ่เบ้อเริ่ม แต่เจ้าเฮดก็อกเกิ่ลดันอันเล็กแค่นี้เนี่ยนะ" เจนพูดกับตัวเองแล้วลองสวมมันดู ทันใดนั้นเองก็มีหน้าจอแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ มันทำการจดจำ เจ้าของโดยมีชื่อของเธอและใบหน้าปรากฏขึ้นจากนั้นมันก็ดับลงไป แต่ก่อนที่เจนจะได้ทำอะไรต่อเธอก็ได้ยินเสียงของจริยาเรียกหา

"เจน มาทานข้าวเที่ยงกันก่อนสิลูก"

"จะไปเดี๋ยวนี้ละครับ" เจนตอบแล้วจึงเดินออกไปจากห้องโดยที่ยังสวมเฮดก็อกเกิ่ลเอาไว้บนตัวอย่างลืมตัว

เมื่อลงมาถึงห้องครัวก็พบว่าจริยาได้เตรียมกับข้าวเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว โดยข้าวเที่ยงวันนี้เป็นขนมจีนน้ำยาป่า หนึ่งในอาหารโปรดของเจน เธอเลือกที่จะกินอาหารที่เรียบง่ายมากว่าจะเป็นอาหารหรูๆด้วยเหตุผลเดียว เพราะมันได้กินบ่อยกว่าเท่านั้นเอง

"หืม ลูกใส่เฮดก็อกเกิ่ลบนหัวแล้วน่ารักดีนะ ดูสิของแม่ก็มีเหมือนกัน ดูน่ารักมั้ย" จริยาถามพร้อมกับขยับให้เห็นเฮดก็อกเกิ่ลสีชมพูบนหัวของเธอให้เห็นซึ่งดูเหมาะกับเธอมากทีเดียว ประกอบกับที่จริยาอายุเพียงแค่สามสิบกลาง ๆ และยังดูสาวกว่าอายุมากด้วย

"อืม สวยฮะ ว่าแต่ด็อกเตอร์เกอร์ธูทให้เฮดก็อกเกิ่ล****าด้วยหรอ หรือว่าแม่จะเล่นเกมกับผมด้วย" เจนถามด้วยความสงสัย

"เปล่าซักหน่อย คุณเกอร์ธูทเขาให้แม่เอาไว้เพื่อที่จะได้คุยกันต่างหาก เจ้านี่นะเขาบอกว่าใช้แทนโทรศัพท์ได้เลยนะรู้มั้ย" จริยาบอก เฮดก๊อกเกิ่ลนั้นนอกจากจะใช้เล่นเกมแล้วยังสามารถใช้ติดต่อกันโดยเห็นหน้าคนคุยจากจอแสงได้อีกด้วย ซึ่งข้อจำกัดของมันก็คือสามารถคุยแค่คนที่ใช้เฮดก็อกเกิ่ลเหมือนกันเท่านั้น

ทั้งคู่เริ่มทานอาหารเที่ยงโดยคุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไปตามประสาแม่ลูก ทั้งสองคนนี้ปกติแล้วจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา จนเรียกได้ว่าเจนเป็นคนติดแม่ก็ว่าได้ ดังนั้นหลัง ๆ มานี่เธอจึงพยายามตีตัว ออกห่างโดยไปไหนมาไหนกับพวกโจบ่อย ๆ แต่ทั้งสองคนก็ยังคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนเดิมโดยที่ความสนิทสนมไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย

"จริงสิ เจน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลูกก็ลองพูดให้เหมือนเด็กผู้หญิงหน่อยได้มั้ยลูก" จริยาพูดขึ้นในขณะที่กำลังล้างจาน เจนซึ่งกำลังดูทีวีอยู่ถึงกับสะดุ้งตัวโหยง

"แต่ว่า..."

"น่านะ ทำให้แม่ชื่นใจหน่อยนะ" จริยาหันมาและยื่นหน้าเข้ามาหาพร้อมกับส่งเสียงออดอ้อนจนเจนต้องยอมอย่างเสียงไม่ได้

"ก็ได้ครั....ค่ะ"

"ว้ายยยยย น่ารักจังเลย!!" จริยาร้องพร้อมคว้าตัวลูกสาวมากอดจนชื่นใจแล้วจึงหันกลับไปล้างจานต่ออย่างอารมณ์ดี เจนที่เห็นดังนั้นก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกันนั้นเอง เฮดก็อกเกิ่ลของเธอก็ฉายจอแสงขึ้นมาอีกครั้ง ตัวอักษรภาษาไทยปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอบอกว่ามีสายเรียกมาจากโจ อวาเรส และยังถามอีกว่าจะรับสายหรือไม่

"เอ่อ...รับสาย" เมื่อพูด ใบหน้าของโจก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ทันที

"ไงเจน กลับถึงบ้านแล้วสินะเป็นยังไงบ้างเพื่อน" โจถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง พอเจนทำท่ากำลังจะตอบโจก็ขัดขึ้นซะก่อน "อ๊ะ เดี๋ยวนะ เรียกเจ้าแจ็คมาคุยด้วยกันเลย เอาล่ะติดต่อ แจ็ค โลเปส" ไม่นานหลังจากที่โจพูด รูปภาพของแจ็คก็ปรากฏขึ้นมาข้างๆโจ เธอเองสังเกตได้ว่าเฮดก็อกเกิ่ลของทั้งคู่นั้นไม่เหมือนเธอที่เป็นที่คาดผม ของโจและแจ็คกลับเป็นเหมือนกับหูฟังที่คลุมหูด้วยหนังสีขาว

"ทำไมเฮดก็อกเกิ่ลของพวกนายเป็นแบบนั้นล่ะ ของฉันทำไมดันได้เป็นที่คาดผม" เจนถามด้วยความสงสัยปนอิจฉา

"ก็มันมีให้เลือกสองแบบไง ส่วนใหญ่พวกผู้ชายก็เลือกใช้หูฟังนี่ล่ะ ฟันธงได้เลยว่าหมอเกอร์ธูทตั้งใจส่งของผู้หญิงที่เป็นที่คาดผมให้เธอแน่ๆ" แจ็คบอก

"ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงสิ บอกยอมรับนี่หน่อยซิ ส่งข้อเสนอล็อกอินหมู่ เกมดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์" โจพูดแล้วที่หน้าจอของเจนก็มีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆขึ้นมาโดยมันบอกไว้เหมือนกับที่โจพูดไว้ไม่ผิดเพี้ยน เธอได้ยินเสียงแจ็คตอบตกลงเธอก็เลยว่าตาม

"ตกลง ..แล้วอะไรคือล็อกอินหมู่ล่ะ" เด็กสาวถามเพราะเธอนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทั้งเกมดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์หรือเจ้าเฮดก็อกเกิ่ลเลยแม้แต่น้อย

"เอาเถอะ เดี๋ยวเธอก็รู้เองนั่นล่ะ เดี๋ยวพวกเราค่อยล็อกอินเข้าเกมอีกทีตอนสามทุ่มนะจะได้ไม่เสียเวลา ตอนนี้ฉันขอแนะนำว่าให้ไปหาข้อมูลของเกมกันก่อนดีกว่า เกมนี้รายละเอียดเพียบเลย โดยเฉพาะเธอ เจน ทำความเข้าใจกับเฮดก็อกเกิ่ลด่วนเลย เดี๋ยวถึงเวลาแล้วยังเข้าเกมไม่เป็นขึ้นมาละจะเสียเวลา" โจพูดแล้วเขาก็ส่งลิ้งสู่กระดานข่าวสารของเกมมาและตัดการติดต่อทันที


เจนเก็บลิ้งนั้นเอาไว้แล้วออกคำสั่งให้เปิดคู่มือเฮดก็อกเกิ่ลอ่าน ปกติแล้วเจนค่อนข้างเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่สนใจล่ะก็ อย่างเก่งก็ได้แค่อ่านผ่าน ๆ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกันกับหนังสือคู่มือเฮดก็อกเกิ่ลที่ เธอพยายามถ่างตาอ่านแทบตาย เธอก็รู้เพียงแค่วิธีการเข้าเกมและเข้าเว็บไซด์เท่านั้น อีกอย่างที่เธอรู้ก็คือเครื่องเฮดก็อกเกิ่ลนั้นจะต้องติดตั้งแยกอีกเครื่องภายในบ้านหลังจากปิดหนังสือคู่มือไปเธอก็เรียกหน้าเว็บไซด์กระดานข่าวสารของเกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ทันทีโดยตัดสินใจอ่านจากส่วนคู่มือเบื้องต้นก่อน

เกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์นั้นต่างจากเกมอื่น ๆ ตรงที่เวลาเพิ่มระดับของผู้เล่นนั้นนอกจากได้ค่าประสบการณ์จากการจัดการกับมอนสเตอร์ตามปกติแล้วแล้ว ยังสามารถได้เพิ่มจากการทำภารกิจต่างๆที่อยู่ในเกมอีกด้วยแต่มีข้อจำกัดอยู่ว่าจะสามารถเพิ่มระดับได้ทีละ 1 ระดับเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากฆ่ามอนสเตอร์ที่มีระดับสูงกว่าผู้เล่นมาก ๆ หรือได้ค่าประสบการณ์จากภารกิจขั้นสูงก็จะเพิ่มระดับได้เพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้นไม่มีการเพิ่มมากกว่าหนึ่งระดับ แต่ก็สามารถได้ค่าประสบการณ์เพิ่มจากการจัดการมอนสเตอร์หลาย ๆ ตัว หรือได้จากความชำนาญในการต่อสู้ของผู้เล่น ซึ่งตรงจุดนี้จะถูกประมวลผลโดยซุปเปอร์คอมพิวเตอร์แล้วจะทำการเพิ่มค่าประสบการณ์ให้ผู้เล่น ซึ่งจุดนี้ทำให้คนที่มาเล่นเกมต่างถูกใจกับความแปลกใหม่เป็นอย่างมาก

แล้วระดับของผู้เล่นยังถูกแบ่งออกเป็นสี่ยศ นั่นก็คือ ทหาร ขุนนาง ราชา เทพเจ้า ซึ่งการจะเลื่อนระดับในแต่ละยศก็ต้องมี ระดับเต็ม 100 ซะก่อนจากนั้นถึงจะเปลี่ยนยศได้ ซึ่งความยากก็สุดๆที่สามารถเพิ่มนะดับได้เพียงทีละระดับทำให้จนถึงตอนนี้ ในเกมมีคนที่ระดับสูงสุดเพียงแค่ราชา ระดับ60 เท่านั้นเอง จากระยะเวลา 1 เดือนในเกมที่เปิดให้เล่นซึ่งเทียบกับเวลาในเกมก็ คือ 1 ปีก็ถือได้ว่าเร็วมากสำหรับผู้เล่นคนนี้

ส่วนอาชีพในเกมนั้นมีมากมายหลากหลาย โดยทุกคน สามารถรับอาชีพได้มากกว่าหนึ่งอาชีพด้วย ประมาณว่าใครอยากจะเป็นอะไรก็เป็นได้ เป็นกี่อย่างก็ได้ตามต้องการแต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกับการเพิ่มระดับด้วยเช่นกัน ถ้าหากไม่ชำนาญในการใช้ความสามารถของอาชีพทั้งหมดของตน ก็จะกลายเป็นว่าตนเองนั้นอ่อนปวกเปียกซะยิ่งกว่าคนเริ่มเล่นใหม่ซะอีก ดังนั้นคนส่วนมากก็จะเลือกที่จะรับอาชีพกันหนึ่งหรือสองอาชีพเท่านั้น

โลกของเกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์นั้นแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยจะแบ่งออกตามทวีปหลักในโลกจริงๆก็คือ อัลเทเชียคือเอเชีย ยูโรปาก็คือยุโรป ไลเทเชียคือทวีปอเมริกาทั้งหมด และสุด ท้ายคือทารันทา เป็นสถานที่ที่ไม่เคยมีผู้เล่นบุกเบิกมาก่อน ทั้งสามทวีปนั้นก็ยังแบ่งผู้เล่นอยู่ตามประเทศอีกด้วย ทำให้โลกของเกมนี้กว้างขวางมากเลยทีเดียว แต่ความเป็นไปได้ที่จะได้เจอชาวต่างชาติก็ยังมีอยู่ ดังนั้นเกมนี้จึงออกแบบให้มีการแปลภาษาอัตโนมัติทำให้ไม่ว่าใครพูดภาษาอะไรก็สามารถเข้าใจกันได้ทั้งหมด

เจนอ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเกมจนตกเย็นจากนั้นจึงทานอาหารเย็นที่จริยาเตรียมเอาไว้ให้ และแน่นอนว่าเป็นของโปรดของเธออีกตามเคย หลังจากทานเสร็จเธอก็ตัดสินใจที่จะไป อาบน้ำ ถึงแม้ในตอนแรกจะมีปัญหาอยู่เล็กน้อย เพราะเธอเองยังมีจิตใจที่เป็นผู้ชายอยู่ จะให้มาจ้องร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กสาวถึงแม้จะในตอนนี้จะเป็นร่างกายของตัวเองแล้วก็ตามที เจนก็ยังรู้สึกที่จะอายไม่ได้

หลังจากอาบน้ำเสร็จเจนก็ตรงไปที่ห้องนอนและล้มลงเตียงอย่างเหนื่อยล้า เธอต้องรีบปรับตัวให้เร็วที่สุด เพราะถ้าแค่อาบน้ำยังเป็นแบบนี้ทุกวันล่ะก็ในอนาคตเธอก็คงหมดหวังที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแล้ว

เจนหันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ข้างเตียง มันบอกเวลาว่าตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว เธอหยิบเฮดก็อกเกิ่ลมาสวมและทำการติดต่อไปหาโจทันที

"ไง กำลังคิดจะโทรไปพอดี" ภาพของโจปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอโดยมีแจ็คปรากฏขึ้นข้างๆ

"ฉันอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเกมแล้ว ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเพิ่มระดับเท่าไหร่เลย" เจนบอก

"อ่า เรื่องนั้นฉันเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน เอาไว้ไปถามเจ้าหน้าที่ในเกมดู ว่าแต่พวกเราจะล็อกอินกันเลยมั้ย" โจถาม แต่แจ็คแย้งขึ้นมา

"ตอนนี้หรอ ยังไม่สามทุ่มเลยนะ"

"ไม่เป็นไร ๆ ความจริงจะเข้าเร็วหรือช้าก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะยังไงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ" โจพูด จริงอย่างที่เขาว่าเพราะยังไงตอนนี้เจนก็ไม่มีอะไรจะอ่านในกระดานข่าวสาร ของเกมอีกแล้วด้วย

ทั้งสามตกลงที่จะล็อกอินเข้าไปในเกมจึงทำการตัดการสื่อสาร เจนปิดไฟในห้องแล้วล้มตัวลงนอน

"เชื่อมต่อ ดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์" เจนพูด ทันใดนั้นหน้าจอแสงก็ขึ้นบอกว่าทำกำลังการเชื่อมต่อ พร้อมกันนั้นเธอก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างฉับพลัน เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งจนฝืนเปิดอยู่ไม่ไหวแล้วราตรีก็มาเยือนเธออย่างช้า ๆ

'ขอให้สนุกกับดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์' ตัวหนังสือบนจอแสงขึ้นเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่มันจะหายไป ทิ้งให้ห้องตกอยู่ในความมืดมน

จบตอนที่2



-------------------------

ตอบคุณsantisook01 นะครับ สำหรับตรงคำเกริ่นความจริงแล้วนั่นไม่ใช่คำเกริ่นอ่ะครับ แต่เป็นบทนำ ส่วนสำหรับความสละสลวยของภาษาในนิยายเรื่องนี้ผมไม่คิดเขียนให้มันสวยขนาดนั้นอ่ะครับ เพราะตอนที่ผมแต่งผมคิดว่าตอนที่ผมอ่านนิยายผมไม่ค่อยชอบภาษาสละสลวยเท่าไหร่เพราะอ่านเข้าใจยาก เอาภาษาอ่านง่าย ๆ สนุก ๆ น่าจะดีกว่าอ่ะครับ

สำหรับเรื่องเว็บแมว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าคนที่นั่นชอบนิยายแนวไหนบ้าง ผมแค่อยากให้คนอ่านนิยายผมเยอะ ๆ ก็เลยลงหลาย ๆ ที่เท่านั้นเองครับ

Tohan-kun
27th December 2013, 12:33
ตอนที่3 ล็อกอินครั้งแรกและตายครั้งแรก

เมื่อเจนรู้สึกตัวขึ้นเธอก็พบว่าในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในห้องนอนของเธออีกต่อไป เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าตัวเธออยู่ในห้องสีขาวไร้กำแพงกว้างสุดลูกหูลูกตา หันไปอีกทางก็พบพวกโจกำลังเดินเข้ามาหา โดยทั้งคู่สวมชุดสีขาวเนื้อผ้าเบา เมื่อสังเกตตัวเองก็พบว่าเธอเองก็อยู่ในชุดเดียวกัน

"รู้สึกเป็นยังไงบ้าง สำหรับการออนไลน์ครั้งแรก" โจถาม

"รู้สึกไม่ต่างจากปกติเลย นี่พวกเรากำลังอยู่ในโลกออนไลน์จริง ๆ หรือเนี่ย" เจนรู้สึกทึ่งมากสำหรับประสบการณ์ออนไลน์ครั้งแรกของเธอ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเล่นเกมที่สามารถเล่นเป็นตัวละครได้สมบรูณ์แบบเช่นนี้ เดิมทีนั้นเธอเล่นแต่เกมรุ่นเก่าที่ต้องใช้ทีวีในการแสดงผล ถึงเกมรุ่นใหม่ที่สามารถเล่นได้อย่างเหมือนจริงออกมาเกือบสี่ปีและมีอยู่หลายสิบเกมแล้ว แต่เกมรุ่นเก่าก็ยังคงเป็นที่นิยมสำหรับคงที่มีฐานะต่ำอยู่

"ว่าแต่พวกนายมาได้ยังไงเนี่ย ปกติเวลาสร้างตัวละครกันเขาสร้างกันแค่คน...อ้อ นี่เพราะไอ้ล็อกอินร่วมที่ให้กดนั่นล่ะสิ" เจนว่าพลางนึกถึงข้อตกลงที่เด็กหนุ่มส่งมาให้ก่อนหน้านี้

"ถูกต้องแว้ว พวกเรารีบพาเธอไปสร้างตัวละครกันดีกว่า จะได้รีบ ๆ เข้าไปเล่นเกมกัน" โจพูดแล้วรีบผลักเจนเดินไปด้านหน้าโดยมีแจ็คเดินรั้งท้ายตามมา

เมื่อเดินไปซักพักเจนก็มองเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีผมสีบลอนทองมัดเป็นมวย ดวงตาสีเขียวดูน่ารัก และอยู่ในชุดผ้าบางสีขาวทำให้เธอดูอย่างกับนางฟ้าไม่มีผิด เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น

"สวัสดีค่ะ คุณเจนและเพื่อน ๆ ฉันชื่อเมลฟีน่า ด็อกเตอร์เกอร์ธูทขอให้ฉันมาช่วยอธิบายข้อมูลของเกมนี้คุณคุณฟังค่ะ" เธอแนะนำตัวเอง โจได้ยินจึงยกมือขึ้นถาม

"อ่า งั้นขอถามเรื่องการเพิ่มระดับหน่อยได้มั้ยครับ ขอแบบเข้าใจง่าย ๆ หน่อยนะครับ พอดีในกระดานข่าวยังอธิบายไม่ค่อยเข้าใจ" โจถาม

"เข้าใจแล้วล่ะ คงต้องบอกสิ่งที่ไม่มีอธิบายในกระดานข่าวสารก่อนสินะคะ เอ...เนื่องจากเกมนี้ไม่ได้มีค่าประสบการณ์เป็นตัวเลขตายตัว โดยในแต่ละระดับจะนับเป็นเปอร์เซ็นต์ และมอนสเตอร์แต่ละตัวจะให้ค่าประสบการณ์ไม่เท่ากันเนื่องจากระดับของมอนสเตอร์ที่สามารถพัฒนาได้ ความชำนาญในการจัดการมอนสเตอร์ของผู้เล่นและผู้เล่นจะไม่ได้ค่าประสบการณ์จากมอนสเตอร์หรือผู้เล่นที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าอีกด้วยค่ะ และสุดท้ายก็คือผู้เล่นสามารถเพิ่มเลเวลจากมอนสเตอร์หนึ่งตัวต่อหนึ่งเลเวลค่ะ" เมลฟีน่าอธิบาย

"ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่าถ้าหากพวกเราทำภารกิจที่ให้ค่าประสบการณ์มาก ๆ หรือจัดการมอนสเตอร์ที่มีระดับมากกว่าเราเยอะ ๆ ก็เพิ่มระดับได้ทีละระดับอยู่ดีน่ะสิ" แจ็คว่า

"ใช่ค่ะ ค่าประสบการณ์ที่เกินมาในการเพิ่มระดับจะถูกตัดทิ้งไปทั้งหมด แต่ถ้าหากมีกลุ่มอยู่ล่ะก็จะสามารถแบ่งค่าประสบการณ์ไปให้คนในกลุ่มได้ค่ะ แต่ถึงยังไงพอเล่นไปซักพักหนึ่ง การเพิ่มจะดับก็จะยากขึ้นจนต่อให้จัดการมอนสเตอร์ที่มีระดับต่างกันกว่าสามสิบระดับก็ยังได้ค่าประสบการณ์ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยล่ะค่ะ อย่างน้อยถ้าหากคุณจัดการมอนสเตอร์หลาย ๆ ตัวในครั้งเดียวก็ยังสามารถเพิ่มเลเวลได้มากกว่าครั้งละหนึ่งระดับนะคะ และยังมีโบนัสจากมอนสเตอร์ระดับบอสด้วยค่ะ" นางฟ้าอธิบาย

"แล้วอะไรคือความชำนาญหรือครับ มันดูที่ตรงไหน" คราวนี้เจนเป็นคนถามบ้าง เมลฟีน่ายิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ

"ความชำนาญก็คือความชำนาญของคุณเองนั่นแหละค่ะ ไม่ใช่สถานะในเกม ถ้าหากคุณมีฝีมือด้านการใช้อาวุธในโลกจริง ในเกมนี้คุณก็จะมีความชำนาญในการใช้อาวุธสูงทำให้พวกผู้เล่นเหล่านี้ค่อนข้างจะได้เปรียบมากเลยทีเดียวค่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ ที่นี่มีเวลาที่คุณจะฝึกอยู่เยอะและยังมีสถาบันฝึกสอนตามเมืองหรือภารกิจที่ได้พบNpcพิเศษที่เป็นผู้ฝึกสอนเก่ง ๆ อยู่ไม่น้อย ดังนั้นถึงจะสู้ไม่เก่งแต่ไม่เกินหนึ่งเดือนในเกมคุณก็สามารถฝึกตัวเองให้สามารถออกไปผจญภัยได้แล้วล่ะค่ะ" นางฟ้าพยายามอธิบายเมื่อเห็นใบหน้าเบื่อโลกของโจ เป็นความจริงที่มันค่อนข้างจะแปลกที่เกมนี้ตั้งใจจะให้ผู้เล่นมีความรู้ทักษะจริง ๆ แทนที่จะเน้นไปให้ผู้เล่นเล่นเกมอย่างเกมอื่น

"อืม ความจริงนี่ก็สมกันกับชื่อเกมดีนะ เปิดโอกาสให้เราทำได้ทุกอย่างแต่ระบบช่วยเหลือผู้เล่นก็น้อยเหมือนกัน" แจ็คบอก

"ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกคะ อันนี้เป็นแค่เรื่องความชำนาญ ถ้าเป็นเรื่องทักษะอาชีพและทักษะติดตัวสามารถเรียนผ่านสถาบันหรือหนังสือทักษะ หรือได้ตามระดับโดยไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกเหมือนกับเกมอื่น ๆ นั่นล่ะคะ และระบบช่วยเหลือผู้เล่นอื่น ๆ อย่างช่องเก็บของก็ยังมีอยู่ รับรองว่าไม่ลำบากแน่นอนค่ะ" เมลฟีน่าบอกเพื่อให้ทั้งสามคนสบายใจ เธอหยุดเพื่อให้ทั้งสามคนถามแต่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ "ถ้าหากไม่มีคำถามฉันก็ขอเริ่มสร้างตัวละครของคุณเจนต่อเลยนะคะ"

เมื่อพูดจบก็มีกระจกบานใหญ่ปรากฏขึ้นมาด้านหน้าของเจน โดยบนกระจกก็มีปุ่มเล็ก ๆ ที่ใต้ปุ่มนั้นมีรูปส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าแปะอยู่

"ปุ่มพวกนี้เอาไว้สำหรับปรับใบหน้า ปกติแล้วจะสามารถปรับได้ไม่เกิน สิบเปอร์เซ็นต์ แต่..-"

"แจ็คจับเจ้าเจนไว้ ฉันรู้ว่ายัยนี้เหมาะกับหน้าแบบไหน" โจรีบเข้ามาที่หน้ากระจกก่อนที่เมลฟีน่าจะพูดจบ

"เฮ้ย นี่แกคิดจะทำอะไรของแกหาาาาา!! เฮ้ยยย! แล้วแกมาจับทำไมหะแจ็ค ปล่อยช้านนนนนน" เจนโวยวายเสียงดัง เธอพยายามจะดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของเพื่อนร่างใหญ่ แม้เธอจะหมัดหนัก รู้วิชาการต่อสู้แต่ก็ไม่อาจสู้พละกำลังของแจ็คได้อยู่ดี

"โทษทีวะเพื่อน พอดีฉันเองก็อยากเห็นหน้าที่โจมันทำให้เธอเหมือนกัน" แจ็คตอบพลางยิ้มอย่างชอบใจ ขณะเดียวกันนั้นโจก็เริ่มกดโน้นกดนี้อย่างช่ำชอง แต่ที่เจนเห็นนั้นมันตรงกันข้ามชัด ๆ

"เสร็จแล้ว! ผลงานชิ้นโบแดงเลยนะเนี่ย" โจเอ่ยอย่างภูมิใจ

"โห สุดยอดไปเลยโจ อย่างกับโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเลย แต่เป็นอสูรนะ ไม่ใช่โฉมงาม วะฮ่าฮ่าฮ่า!" แจ็คและโจหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ปล่อยให้เจนล้มลงคุกเข้าบนพื้นด้วยความเจ็บใจเพราะในตอนนี้หน้าของเธอนั้นแปลกประหลาดจนดูไม่เป็นผู้เป็นคนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาแต่ละข้างย้ายไปอยู่บนหน้าผาก ปากก็เฉดูน่าเกลียด จมูกก็โตและมันวับ ผมก็ชี้ฟูเหมือนกับโดนไฟช็อต เมลฟีน่าเองก็อดขำไปกับใบหน้าของเจนในเวลานี้ไม่ได้

"หนอยยยแนะไอ้แจ็ค ไอ้โจ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ แล้วฉันจะเปลี่ยนหน้าให้กลับมาเหมือนเดิมได้มั้ยเนี่ย" เจนพูดด้วยความเหนื่อยใจ

ไม่เป็นไรค่ะ ด็อกเตอร์เกอร์ธูทกำฉับฉันมาเลยว่า 'ห้ามเจนเปลี่ยนแปลงใบหน้ากับชื่ออย่างเด็ดขาด และอยู่ในเกมก็อย่าลืมฝึกมารยาทความเป็นเด็กผู้หญิงด้วย' บอกมาแบบนี้ล่ะคะ" เมลฟีน่าพูดคำตามที่เธอถูกกำชับให้มาบอก เจนก็พอจะเข้าใจได้แล้วสำหรับเรื่องแรก แต่ไอ้อันหลังนี่คงเป็นแม่ของเธอคงไปบอกคุณหมอตัวดีแน่ ๆ เลยถึงได้มาจ้ำจี้จ้ำไชถึงในเกมแบบนี้ เจนลุกขึ้นและรีบเปลี่ยนใบหน้าของตัวเองให้กลับเป็นเหมือนเดิม จากนั้นเธอก็ไปพูดแกมบังคับ (แบบสุดๆ) ให้ทั้งโจและแจ็คห้ามปรับแต่งใบหน้าตัวละครและชื่อเช่นเดียวกับเธอ

"ต่อไปก็เรื่องสถานะร่างกายของตัวละครนะคะ โดนปกติแล้วจะวัดจากค่าพื้นฐานตามร่างกายจริง ๆ ของตัวผู้เล่น เพื่อความสมจริงของเกมค่ะ" เมลฟีน่าพูดแล้วเธอก็กดอะไรบางอย่างลงบนหน้าจอแสงด้านหน้าของเธอ เพียงครู่หนึ่งหน้าต่างสถานะของทั้งสามคนก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าของแต่ละคน

ชื่อ:เจน
อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 1
สถานะตัวละคร
พลังชีวิต 105/105 พลังเวทมนตร์ 107/107
ค่าความอิ่ม 100/100 ค่าความเหนื่อย 100/100

สถานะพื้นฐาน
พลังโจมตี 15 ความฉลาด 7
พลังป้องกัน 3 พลังป้องกันเวท 8
ความเร็ว 6 ความอดทน 5
ความแม่นยำ 4 โชค 9

"อืม ทำไมดูน้อยจัง พลังโจมตีแค่สิบห้าเอง" เจนมองสถานะของตัวเองแล้วพูดขึ้นอย่างสงสัย โจที่ได้ยินค่าสถานะของเจนถึงกับต้องหันมามองอย่างตกใจ

"หา! สิบห้า นั่นมันเกินค่ามาตรฐานของคนปกติแล้วนะเว้ย ตอนเริ่มเกมทั่วไปก็มีแค่เก้าก็ถือว่าสูงมากแล้ว ไหนมาดูซิ พลังป้องกันเวทแปด โชคเก้า สถานะระดับท็อป ๆ ทั้งนั้นเลยนี่หว่า"

"หืม แต่ของนายเองก็พอ ๆ กับฉันนี่ ถึงจะไม่ถึงเก้าซักอัน แต่ก็ไม่มีอันไหนต่ำกว่าเจ็ดเลย" เจนพูดเมื่อหันไปมองหน้าต่างสถานะของโจแล้ว จากนั้นเธอจึงหันไปดูของแจ็คบ้าง "โห นายเองก็มีพลังโจมตีเท่ากับฉันเลยนี่นา"

"ไหนดูซิ ค่าพลังป้องกันทั้งสองอย่างและพลังป้องกันเวทก็เกินสิบด้วย แต่ค่าความฉลาดมีแค่หนึ่งเองแฮะ" โจพูดเสริม

"แล้วไงล่ะ ถ้ารวมแล้วค่าสถานะของฉันมากกว่าใครเพื่อนนะเว้ย!" แจ็คกล่าวโอ้อวดตนเอง แต่โจก็ไม่ยอมแพ้จนทั้งคู่ก็เริ่มปะทะคารมกัน เจนที่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับสองคนนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะเดี๋ยวทั้งสองคนก็คงจะเลิกไปเอง เธอจึงหันไปสนใจกับค่าสถานะตัวละครต่อ

"ค่าสถานะพวกนี้มันคืออะไรหรือครับ...คะ" เจนต้องรีบเปลี่ยนคำลงท้ายหางเสียงเมื่อเห็นสายตาของเมลฟีน่า เพราะถ้าหากเจนยังพูดเป็นผู้ชายต่อไปมีหวังเรื่องนี้คงรู้ไปถึงหูจริยาและเกอร์ธูทอย่างแน่นอน และถ้าหากเป็นเช่นนั้นเกอร์ธูทอาจส่งใครมาคุมความประพฤติเธอในเกมก็เป็นได้

"ค่าสถานะพวกนี้ใช้วัดความแข็งแกร่งของร่างกายตัวละครค่ะ อย่างพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์เป็นค่าพื้นฐานหนึ่งร้อย บวกกับสถานะพื้นฐานความอดทนและความฉลาดจะเท่ากับพลังชีวิตและพลังเวททั้งหมดค่ะ ส่วนพลังโจมตีและพลังป้องกันนี่จะเป็นค่าพื้นฐาน จะเพิ่มอีกเมื่อสวมใส่อาวุธและพลังป้องกัน ความเร็วนั้นจะขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าที่สวมใส่ ถ้าหนักเกินไปหรือดูเทอะทะ ความเร็วก็จะลดลง ส่วนค่าสถานะที่เพิ่มมากกว่าหนึ่งอย่างคือความอดทนและความฉลาด ความอดทนนอกจากเพิ่มพลังชีวิตแล้วยังช่วยทำให้ค่าความอิ่มและค่าความเหนื่อยลดช้าลง อีกสองสถานะที่เหลือคงไม่จำเป็นต้องอธิบายนะคะ...อ้อ อีกอย่างหนึ่ง คือค่าสถานะพื้นฐานทั้งหมดไม่เพิ่มจากเพิ่มระดับแต่สามารถเพิ่มได้จากการฝึกฝนนะคะ เว้นก็แต่ค่าโชคที่หาทางเพิ่มยากหน่อย แต่ปกติแล้วค่าพลังนี้จะไม่เพิ่มเลยล่ะค่ะ" เมลฟีน่าอธิบายยาวเหยียดแต่ก็ทำให้เจนได้ความรู้มาไม่น้อย

หลังจากที่สองหนุ่มทะเลาะกันจนเบื่อแล้วจึงเข้ามาสมทบกับเจนและเมลฟีน่า ถึงจะบอกว่าทะเลาะกันแต่ก็เป็นแค่มีปากเสียงธรรมดาตามประสาเพื่อนเท่านั้น เมลฟีน่าเอ่ยปากถามพวกเจนอีกครั้งว่ามีอะไรสงสัยอีกมั้ย ทั้งสามคนส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะต้องการที่จะเข้าไปสัมผัสโลก ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ ซะเต็มแก่แล้ว

"ถ้าอย่างนั้นก่อนไปด็อกเตอร์เกอร์ธูทฝากให้ของรางวัลกับพวกคุณค่ะ เป็นกล่องปริศนาสีทองคนละกล่อง....เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ" เมลฟีน่าถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสามคนจ้องมองกล่องกระดาษสีทองที่ปรากฏออกมาตรงหน้าอย่างแปลก ๆ สามหน่อมองหน้ากันก่อนที่โจจะเป็นคนพูดออกมา

"คืออย่างนี้นะครับ พวกเราไม่ค่อยอยากได้ไอ้พวก เอ่อ...ของแถม ของรางวัลพวกนี้เท่าไหร่ พวกเราอยากหาของพวกนี้เองในเกมมากกว่า"

"ใช่ครับ ได้มาตั้งแต่แรกแบบนี้มันโกงน่ะครับ" แจ็คเสริมคำพูดของโจโดยมีเจนพยักหน้าเห็นด้วย เมลฟีน่าแปลกใจกับความคิดของทั้งสามคนมากเพราะไม่มีใครเคยปฏิเสธของเริ่มต้นสำหรับไอดีระดับโกลด์มาก่อน โดยปกติแล้วคนที่จะได้ไอดีระดับโกลด์ได้จะต้องซื้อเครื่องเฮดก็อกเกิ่ลแบบแพลทตินั่มเท่านั้น ซึ่งสเป็คเครื่องไม่ได้ต่างอะไรกันกับรุ่นปกติเลย เพียงแค่มีลวดลายตกแต่งเพิ่มเติมโดยที่ราคาสูงกว่าปกติสองเท่า ซึ่งเจนได้ไอดีของเธอเป็นระดับโกลด์เพราะเกอร์ธูทเป็นคนจัดการให้ และยังเผื่อแผ่ของรางวัลไปให้สองหนุ่มที่เป็นไอดีธรรมดาอีกด้วย

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณเมลฟีน่าช่วยสุ่มที่เกิดให้พวกเราไปอยู่ในสถานที่ที่ทำให้พวกเราแปลกใจได้ก็แล้วกัน ถ้านั่นไม่เกินคำขอนะ..คะ" เจนพูดเมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าทำหน้าลำบากใจ

"จะดีหรือคะ ถ้าเกิดสุ่มไปเจอมอนสเตอร์ระดับสูงขึ้นมาเดี๋ยวก็ตายหรอก" เมลฟีน่าร้องถามอย่างตกใจ

"เรื่องแค่นั้นสบายใจเถอะครับ ถ้าหากเจอบอสล่ะก็ ผมก็ได้โอกาสแสดงฝีมือของผู้กล้าโจให้มันเห็นไปเลย" โจบอกพร้อมแอ็คท่าอย่างมั่นใจ

"แสดงไปตายอนาถอ่ะสิ ฉันว่านายน่ะแค่สู้กับมอนสเตอร์ยังลำบากเล้ย อย่างที่นายไปลากพวกมอนสเตอร์ระดับต่ำมาใส่ฉันในเกมนั่นไง" แจ็คพูดทับถม จนทั้งสองเริ่มจะมีปากเสียงกันอีกครั้ง เจนที่อยากจะรีบเล่นเกมเร็ว ๆ ก็ต้องลงมือห้ามศึกทั้งคู่ก่อนจะหันไปพูดกับเมลฟีน่าอีกครั้ง

"เรามาเล่นเกมออนไลน์แบบนี้ จะตายซักสิบครั้ง ยี่สิบครั้งมันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร แล้วอีกอย่างพวกเราเพิ่งระดับหนึ่งเองด้วย ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว" เจนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมลฟีน่ามองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เธอยิ้มแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะใช้มือกดลงหน้าจอแสงด้านหน้าของเธออย่างช้า ๆ

"ถ้าอย่างนั้นฉันขอเลือกให้ก็แล้วกันนะคะ ที่นี่รับรองว่าจะต้องชอบใจพวกเธอแน่นอนค่ะ" เมลฟีน่าพูดแล้วใช้นิ้วกดลงบนหน้าจอแสงของเธออีกครั้ง ร่างของทั้งสามคนก็เริ่มที่จะเปล่งแสงออกมา

"พอเข้าเมืองแล้วอย่าลืมไปรับอุปกรณ์เริ่มต้นที่อาคารระบบนะคะ แล้วก็ขอให้โชคดีนะ" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเมลฟีน่าที่เจนได้ยินก่อนที่เธอจะรู้สึกเหมือนตัวถูกยกไปโดยสายลมแรง

ในห้องทำงานของเกอร์ธูท เธอกำลังคุยกับชายสองคนในห้องสีน้ำตาลที่ถูกตกแต่งด้วยตู้เอกสารมากมายซึ่งบรรจุผลงานของด็อกเตอร์สาวเอาไว้ โดยกระดาษแผ่นหนึ่งนั้นมีค่าหลายล้านเพราะในนั้นมีแบบแปลนของเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ มากมายซึ่งคิดค้นโดยตัวเกอร์ธูทเอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำยุคกว่าปัจจุบันมากเลยทีเดียว

ดังนั้นชายทั้งสองคนที่มาคุยกับเกอร์ธูทก็น่าจะมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะการที่คนระดับอย่างเกอร์ธูทที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกและซีอีโอควบกับผู้ก่อตั้งนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์มาคุยกันอย่างเป็นการส่วนตัวเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง แต่ดูจากสีหน้าของทั้งสามที่ยิ้มแย้มราวกับเพื่อนสามคนกำลังพูดคุยกันนั้นคงอนุมานได้ว่าพวกเขาไม่ได้คุยกันเรื่องของธุรกิจเป็นอย่างแน่

เวลานั้นเองเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าของชายหนุ่มผมทองก็ดังขัดการสนทนาของทั้งสามเอาไว้

"โทฮาน บอกแล้วว่าเวลางานอย่าเปิดโทรศัพท์ไง" เกอร์ธูพูดแต่น้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้สนใจนัก

"ขอโทษที พอดีเบอร์คนในครอบครัวน่ะ ว่าไงเมล" ชายหนุ่มตอบคำแล้วจึงหันไปพูดกับคนที่ติดต่อมา

"หึ ก็แปลกดีนะ พวกเรามาอยู่ในยุคที่ทันสมัยขนาดนี้แล้ว เจ้านี่ยังใช้มือถืออยู่เลย" ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้น เขาดูมีอายุมากพอสมควรจนผมสีดำของเขาเริ่มมีเส้นผมสีขาวแซมขึ้นมา แต่ใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลาจนสาว ๆ หลงเสน่ห์ได้ไม่ยาก

"มันก็ใช่ว่าทุกคนจะมีเฮดก็อกเกิ่ลใช้ซะเมื่อไหร่ คนทั่วไปก็ยังใช้มือถืออยู่เหมือนกันแหละน่า นายนี่ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้" เกอร์ธูทตอบ ประจวบเหมาะกับที่ชายหนุ่มผมทองวางสายโทรศัพท์พอดี

"เมลโทรมาน่ะ เรื่องที่เธอขอให้ช่วยจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เห็นว่าเจ้าสามคนนั้นไม่รับของแถมที่เธอส่งไปให้ แต่ขอเป็นสุ่มสถานที่เกิดแทน" ชายหนุ่มบอก เขาเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะด้านหน้าขึ้นดื่ม

"หืม....อุตส่าห์ให้ของไปฟรีแต่กลับไม่รับ ของจากฉันคนนี้เนี่ยนะ เด็กคนนี้นี่น่าสนใจจริง ๆ ฮิฮิฮิ" เกอร์ธูทพูดพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายจนชายหนุ่มทั้งสองเคลื่อนตัวออกห่าง

"เวลาเธอทำสีหน้าแบบนี้ล่ะฉันไม่ชอบเลยจริง ๆ ฉันล่ะสงสารเด็กพวกนั้นซะแล้วสิ ว่างั้นมั้ย มาลิก" ชายหนุ่มผมทองพูดแล้วหันไปหาชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

"ใช่ ยัยนี่ยิ้มแบบนี้ทีไรมีวุ่นทุกที"


เจนรู้สึกได้ถึงลมพัดแรงปะทะเข้าไปหน้า เธอพยายามเปิดตามองเพื่อให้รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าให้กลับไปเปลี่ยนอดีตได้เธอคงไม่อยากเปิดตามองเพราะในเวลานี้เธอกำลังตกจากท้องฟ้าสูงจนไม่เห็นพื้นดิน เมฆสีขาวต่างพุ่งผ่านตัวเธอก้อนแล้วก้อนเล่าจนมองตามแทบไม่ทัน

"ม่ายยยยยยยยยยยยยย!!" เสียงหวานร้องตะโกนดังลั่น เธอรีบมองหาอะไรที่จะช่วยเธอได้แต่ใจมันเต้นกระเส่าจนคิดอะไรไม่ออก ประกอบกับเธอก็เป็นโรคกลัวความสูงด้วยทำให้ตอนนี้เธอดูลนลานสุด ๆ จนไม่เป็นอันทำอะไร

"วู้ววววว!! ใจเย็น ๆ น้องสาว พี่มาแล้วไม่ต้องกลัว!" เสียงของโจดังขึ้นด้านหลังของเธอ ทันใดนั้นร่างโจก็บินโฉบผ่านตัวเธอไปอย่างรวดเร็ว โจแสดงให้เห็นถึงท่วงท่าการบินอย่างหวาดเสียวทั้งตีลังกา หมุนตัว 360 องศา จากนั้นเขาก็กางมือออกแล้วตัวของเขาก็พุ่งขึ้นผ่านตัวของเจนไปอีกครั้ง ถ้าเป็นปกติเจนก็คงรู้สึกประทับใจแต่ตอนนี้เธอกำลังร่วงลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูงจนคิดอะไรไม่ได้แล้ว

"ไม่เป็นไรนะเจน เธอไม่ต้องกลัวหรอกเพราะก่อนเธอจะฟื้นขึ้นมาพวกเราก็ตกลงมาได้ซักพักใหญ่แล้วล่ะ" แจ็คที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาหาพูดขึ้นและพยายามปลอบใจเธอแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

"ม..หมายความว่ายังไง อี้!!" เจนร้องเมื่อตัวของเธอทำท่าจะหมุนตามแรงลมจนแจ็คต้องรีบคว้าตัวเธอเอาไว้ก่อน

"นี่จับมือฉันเอาไว้ เฮ้..โจ มารวมกลุ่มกันก่อนดีกว่า!" เด็กหนุ่มตะโกนเรียกเพื่อนของตนที่กำลังพุ่งผ่านกลุ่มเมฆแล้วตรงเข้ามาจับมือเพื่อนทั้งสองเอาไว้ ทั้งสามคนจับมือกันเป็นลงกลับจนดูคล้ายกับกำลังกระโดดร่ม เสียแต่ว่าไม่มีร่มชูชีพให้กางเท่านั้นเอง

จากที่แจ็คเล่าเมื่อเขาฟื้นขึ้นก็พบว่าพวกเขาทั้งสามกำลังร่วงหล่นจากฟ้า ในตอนแรกเขาและโจที่ฟื้นขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็ไม่ต่างไปจากเจน แต่เมื่อเวลาผ่านได้ไปซักพักก็พบว่าพวกเขายังลงไม่ถึงพื้นซักที และพอมาคิดได้ว่านี่เป็นแค่เกมความกลัวก็มลายหายไปสิ้น ความคะนองกลับมาแทนที่ซึ่งโจก็ได้โอกาสทำหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นแสดงทาทางบินผาดโดนจนชำนาญ ถ้าให้นับเวลามาถึงตอนที่เจนตื่นขึ้นมาก็ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงแล้ว

"เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่าเจน หน้าดูซีด ๆ ชอบกลนะ เอ๊ะ! นั่น เห็นพื้นดินแล้ว!!" โจตะโกนบอก เจนได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปมอง เธอเห็นผืนป่าสีเขียวกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เด็กสาวรีบปิดตาและบีบมืออย่างแรงด้วยความหวาดกลัวจนเพื่อนหนุ่มทั้งสองคนที่จับมือเธออยู่ก็ถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดตาม ๆ กัน

ก่อนที่ทั้งสามจะพุ่งตัวลงพื้นป่า ก็มีกลุ่มเมฆสีเงินเคลื่อนตัวเข้ามาบังทั้งสามเอาไว้เสียก่อน แต่ก็เมฆยังไงก็เป็นแค่ก้อนเมฆ ร่างของสามสหายพุ่งผ่านเมฆก้อนนั้นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย เจนรู้สึกได้ว่ามีก้อนอะไรบางอย่างมากระแทกและติดอยู่ที่ท้องของเธอ แต่เวลานี้ในหัวของเธอไม่คิดแม้แต่จะเปิดตามองเพราะความกลัวกำลังครอบงำอย่างหนัก พวกเจนหลังจากผ่านกลุ่มเมฆมาได้ก็พุ่งลงใส่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีใบขนาดใหญ่มาก มันช่วยดูดซับแรงกระแทกและชะลอความเร็วได้อย่างดีเยี่ยมแต่ทั้งสามก็ยังคงตกลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูงอยู่และด้วยความเร็วระดับนี้พวกเขาคงไปเกิดใหม่อย่างแน่นอน

โชคยังดีที่ใบไม้ใบสุดท้ายที่ทั้งสามกระแทกนั้นหนากว่าใบอื่น ๆ มันช่วยเบี่ยงร่างของทั้งสามแทนที่จะหล่นลงพื้น ไปหล่นลงบ่อโคลนตมที่อยู่ใกล้ๆแทน

แผละ! แผละ! แผละ!

เสียงกระแทกติดๆกันของสามสหายดังไปทั่ว เจนพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวเองขึ้นมาก็พบว่าบ่อโคลนนี้ลึกเพียงแค่เข่าเท่านั้น เธอมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าในตอนนี้ตัวเองหลุดมาอยู่ในใจกลางป่าแห่งหนึ่งที่เงียบสงัด ไร้ร่องรอยของผู้คนหรือแม้แต่ผู้เล่น เสียงของสัตว์ป่าทั้งที่เธอรู้สึกคุ้นและเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกดังสะท้อนให้ได้ฟังอยู่พัก ๆ นี่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลยถ้าไม่นับที่ต้องร่วงลงมาจากฟ้า

"วู้ว!! นี่มันมันส์สุดยอดจริง ๆ เฮ้ย แจ็ค เดี๋ยวพวกเราสร้างตัวใหม่แล้วไปให้คุณเมลฟีน่าเขาส่งพวกเรากลับมาอีกรอบดีมะ" โจเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

แผละ!

"อีกรอบบ้าอะไรล่ะ! ถ้ารู้แบบนี้ให้เขาส่งเข้าเมืองไปตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว" เจนเขวี้ยงก้อนโคลนใส่เต็ม ๆ หน้าของโจจนเขาจมโคลนไปอีกรอบ เจนพยายามจะขึ้นจากบ่อโคลนนี้แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ที่ท้องของเธอ เมื่อคลำดูก็พบว่ามันมุดไปอยู่ใต้เสื้อเรียบร้อยแล้ว เมื่อเธอล้วงมันออกมาก็พบว่ามันมีลักษณะกลมคล้ายกับไข่ มีลวดลายสีฟ้าและสีขาวดูงดงามมากแม้จะเปื้อนโคลนก็ตาม

"นั่นอะไรน่ะ" โจถาม

"ไม่รู้สิ เกมนี้กดดูรายระเอียดสิ่งของ..- อ๊ะ" ยังไม่ทันที่เจนจะพูดจบ หน้าต่างเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาข้าง ๆ ของสิ่งนั้น มันเขียนเอาไว้ว่า

ไข่ก้อนเมฆ ระดับS
ไข่ของมอนสเตอร์ สามารถใช้ประกอบเป็นอาหารได้

"ไข่ก้อนเมฆ เอาไว้กินหรอเนี่ย" เจนพูด

"เฮ้ย เดี๋ยวนะ นั่นมันของหายากระดับSไม่ใช่หรือนั่น อย่าคิดเอาไปกินเชียวนะ ไข่นั่นถ้าเอาขายล่ะก็ได้ไม่ต่ำว่าห้าสิบล้านโกลด์เลยนะจะบอกให้" โจรีบบอก เพราะสิ่งของระดับSนั้นถือเป็นของแรร์ โดยแบ่งได้เป็น E ระดับต่ำสุดไล่ไปถึงA ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุดที่ร้านค้าระบบมีขายระดับที่สูงกว่านี้จะต้องหาเอาจากมอนสเตอร์หรือไม่ก็ตีโดยNPCพิเศษหรือผู้เล่นเท่านั้น ซึ่งไข่ที่เจนถืออยู่เรียกได้ว่าเป็นระดับสูงสุดเลยทีเดียว

"อ๊ะ ฉันก็ได้เหมือนกัน ผลอิกดราซิล ระดับS ด้วยแหนะ สงสัยได้มาตอนตกมาจากต้นไม้แน่เลย" โจพูดขึ้นพร้อมกับชูผลไม้สีเหลืองดูเปรี้ยวปากให้เห็น

"อะไรกัน ทำไมพวกนายถึงได้ของกันหมด มีแต่ฉันที่ไม่ได้คนเดียวล่ะเนี่ย!! โถ่" โจพูดอย่างน้อยใจ แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้าของเขา เมื่อหยิบขึ้นมาและตรวจสอบดูเขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ "เฮ้ย! ไม่เอาน่า! ไข่โคลนตม ระดับA แจ็ค! เอามาเปลี่ยนกันเดี๋ยวนี้เลย"

"เรื่องเด้ะ นายได้ก้อนโคลนนั่นก็เหมาะกับนายดีแล้ว เฮ้ย! ไปไกล ๆ เลยนะ โจ" แจ็คพูดเมื่อเห็นโจกำลังคลานเข้ามาหาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าหื่นกระหาย

เจนที่กำลังหาทางเก็บของอยู่จึงพยายามหาที่เก็บไข่ใบนี้ลงในชุดของเธอ ทันใดนั้นเองก็มีหน้าจอปรากฏขึ้นมาด้านหน้าเธออีกครั้งโดยมันเขียนเอาไว้ว่า

ช่องเก็บของ [ตัวละคร] จำนวน 0/10 ช่อง

เมื่อเจนนำไข่ก้อนเมฆไปวางทาบลงไป ไข่ก็หลุดออกจากมือเธอไปอยู่ในช่องเก็บของตรงหน้า โดยมันกินพื้นที่ไป 1 ช่องของช่องเก็บของของเธอ เจนพบว่าระบบเก็บของของเกมนี้จะใช้พื้นที่เก็บของ 1 อย่างต่อ 1 ช่องโดยไม่นับขนาดของสิ่งของ ซึ่งเป็นอีกอย่างที่ช่วยอำนวยความสะดวกในเกมขึ้นไม่น้อย

เมื่อเจนลองทดลองใช้คำสั่งอื่นในหัวบ้าง ก็พบว่าเธอสามารถเรียกเมนูต่าง ๆ ได้โดยแค่คิดเท่านั้น เมื่อเธอลองเปิดหน้าต่างทักษะขึ้นมาก็พบว่าเธอมีทักษะอยู่ในนั้นหนึ่งทักษะ เจนจึงลองดูรายระเอียดอย่างไม่รีรอ

ทักษะ ตรวจสอบ ไม่ใช้พลังเวท
ทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตรวจสอบมอนสเตอร์และผู้เล่นได้ แต่ถ้าหากเป้าหมายมีระดับมากกว่าผู้ใช้เกิน 20 ระดับ จะสามารถตรวจสอบได้เพียงแค่ชื่อกับยศและระดับเท่านั้น

เจนเริ่มทำความเข้าใจกับวิธีการใช้ทักษะทันทีโดยลองกับโจที่ยังคงไล่ตามเอาของจากแจ็คให้เป็นหนูทดลองทักษะของเธอ

โจ ชั้นทหาร ระดับ 1
อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ฉายา ไม่มี
เลือด 74/108 พลังเวท 108/108

เมื่อเข้าใจกับวิธีการทำงานของทักษะแล้วจึงไปหยุดโจและแจ็คไม่ให้ทะเลาะกันก่อนที่จะพากันขึ้นจากบ่อโคลนอย่างยากลำบาก

"เฮ้อ เปียกหมดเลยแถมเลอะโคลนแบบนี้เป็นการเริ่มการเดินทางที่ไม่ค่อยหน้าประทับใจเท่าไหร่เลยว่ามั้ย" แจ็คพูดพลางสะบัดก้อนโคลนออกจากตัว

"ไม่ตายก็ดีแค่ไหนแล้ว พวกเรารีบหาทางออกไปจากที่นี่กันดีกว่า ถ้ามืดแล้วมันยิ่งอันตราย" เจนบอก เพราะตามปกติของเกมทั่วไปแล้ว มอนสเตอร์ตอนกลางคืนนั้นดุร้ายกว่ามอนสเตอร์ตอนกลางวันเสมอ ในตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มที่จะเคลื่อนลงจากหัวแล้ว ยิ่งอยู่ในป่าก็จะยิ่งมืดเร็วเป็นพิเศษอีกด้วย

"ใช่ นี่ยังดีนะที่พวกเรายังไม่เจอมอนสเตอร์ ถ้าหากมาเจอกันตอนนี้ล่ะก็..." ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค โจก็เงียบไปซะดื้อ ๆ จนเพื่อนอีกสองคนมองหน้าเขาด้วยความสงสัย ปรากฏว่าในตอนี้เด็กหนุ่มกำลังมองค้างไปยังด้านหลังของพวกเธออยู่ เมื่อมองตามไปก็พบว่าด้านหลังของเจนนั้นมีไดโนเสาร์ดูคล้ายกับไทแรนโนซอรัสแต่ยืนด้วยสี่เท้าและมีผิวสีแดงสดทั้งตัวกำลังยืนจ้องพวกเขาอยู่ ขนาดของมันนั้นสูงพอ ๆ กับตึกสามชั้นเลยทีเดียว แค่หัวของมันก็สามารถกลืนคนสามคนได้อย่างสบาย ๆ เท้าทั้งสี่ของมันมีกรงเล็บคมกริบ ส่วนหางของมันถึงจะไม่มีอาวุธแต่ดูจากขนาดแล้วถ้าใช้ฟาดล่ะก็ ต้นไม้ต้นใหญ่พวกนี้ก็คงโค่นเอาได้ง่าย ๆ

เจนรีบใช้ทักษะตรวจสอบทันที มันขึ้นมาว่าล้มเหลวและแสดงเพียงแค่ชื่อกับระดับเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เจนมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

แกรนคริโนซอ ชั้นขุนนาง ระดับ 80



"โอ้ เวรกรรม" เจนหลุดปากออกมา ทันใดนั้นเจ้าแกรนริโนซอก็ส่งเสียงคำรามลั่นป่าแล้ววิ่งตรงมาหาทันที ต้นไม้ตันใหญ่กลายสิบต้นที่ยืนลำขวางอยู่โดนมันชนเพียงแค่ทีเดียวก็ล้มระเนระนาดเป็นแถว บางต้นถึงกับหักเป็นสองท่อน บางต้นก็ถึงกับโดนชนจนรากหลุดขึ้นมาบนพื้นดิน เพียงแค่เห็นขนาดนี้ก็พอจะรู้ว่าพละกำลังของมันนั้นมีมากขนาดไหน เจนและแจ็ครีบกระโดดหลบไปอีกทางส่วนโจนั้นก็รีบวิ่งไปอยู่หน้าบ่อโคลนแล้วตะโกนเรียกเจ้าไดโนเสาตัวยักษ์เสียงดัง

"เฮ้ย!! มาทางนี้สิวะไอ้งี่เง่า!!" โจตะโกนแล้วเขวี้ยงไข่โคลนตมใส่หน้าแกรนคริโนซออย่างแม่นยำ ถึงแม้จะสร้างความเสียหายไม่ได้ แต่ก็สามารถเรียกความสนใจจากแกรนคริโนซอได้อย่างดีเลยทีเดียว มันหันไปหาโจแล้วร้องคำราม จากนั้นมันก็ตะกุยเท้าวิ่งเข้าใส่โดยอ้าปากโชว์ฟันที่แหลมคมหลายสิบซี่เตรียมที่จะเขมือบเจ้าคนที่มาดูถูกมัน

เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เด็กหนุ่มจะกลายเป็นอาหารของแกรนคริโนซอ โจแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วย่อตัวก่อนที่จะกลิ้งตัวหลบฟันอันแหลมคมไปได้อย่างหวุดหวิด ส่วนไดโนเสาตัวใหญ่ที่เมื่อเห็นว่าการโจมตีของมันพลาดเป้าก็พยายามจะหยุดและหันกลับไป แต่เนื่องจากมันวิ่งมาด้วยความเร็วและมันก็พยายามที่จะเลี้ยวอย่างกะทันหัน มันจึงล้มลงและพุ่งไถลลงไปในบ่อโคลนตรงหน้าอย่างหยุดไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่บ่อโคลนบ่อนั้นมันตื้นเกินกว่าที่จะทำให้แกรนคริโนซอจมลงไปได้ มันจึงลุกขึ้นมาและมองไปยังโจที่ตอนนี้หน้าเริ่มซีดเป็นไก่ต้มแล้ว

ก๊าซซซซ!!!

แกรนคริโนซอคำรามเสียงดังอีกครั้งแล้วเริ่มตะกุยเท้าเข้าหา แต่ทันใดนั้นก็เหมือนกับเป็นโชคดีของโจ เมื่อมันเริ่มตะกุยเท้า ร่างของมันก็เริ่มจมลงเรื่อย ๆ เหมือนกับถูกโคลนดูด มันพยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นมาจากบ่อโคลนแต่สุดท้ายกลับยิ่งทำให้ตัวเองจมเร็วขึ้นไปอีก ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถพาตัวเองมาถึงขอบบ่อใกล้กับที่โจยืนอยู่ได้แต่นั่นก็ทำให้มันจบเหลือเพียงแค่หัวเท่านั้นที่ยังโผล่ขึ้นมาเหนือโคลนดูด ดวงตาของมันมองโจด้วยความเคียดแค้นก่อนที่มันจะจมลงบ่อโคลนไปจนหายไป

"วู้ว! ปะ..เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้เลย" โจร้องตะโกนด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังไม่สามารถปิดน้ำเสียงสั่นๆเอาไว้ไม่ได้

"เป็นไปอย่างที่คิดบ้าอะไร นั่นมันยศขุนนาง ระดับแปดสิบเชียวนะ ถ้าโชคไม่ช่วยบ่อโคลนนี่ไม่กลายเป็นบ่อโคลนดูดขึ้นมามีหวังพวกเราไม่รอดกันหมดนี่ล่ะ" เจนพูดด้วยน้ำเสียงตกใจพร้อมกับส่งไข่โคลนตมที่โจเป็นคนปาล่อเจ้าแกรนคริโนซอไปในตอนแรกคืนเจ้าของ ถึงเธอจะพูดตวาดใส่โจแต่เธอเองก็รู้สึกโล่งใจที่เพื่อนของเธอรอดมาได้

"ลีลาระห่ำสุดยอดมากเลยเพื่อน ว่าแต่ทำไมตอนที่พวกเราตกลงไปไม่เห็นโดนดูดเหมือนเจ้านั่นเลย" แจ็คถาม เพราะพวกเขาอยู่ในนั้นกันตั้งนานแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

"คงเพราะพวกเรามีน้ำหนักไม่มากเท่า หรือไม่ก็เพราะว่าพวกเราไม่ได้ทำให้โคลนมันดูด.....ไม่ก็แค่โชคดี" เจนตอบตามความจริง เธอสังเกตเห็นในตอนที่แกรนคริโนซอเริ่มจมลงครั้งแรกเป็นเพราะมันวิ่งตะกุยเท้าเข้ามาหาโจ แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่โจและแจ็คไล่กวดกันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงเป็นเพราะความโชคดีเท่านั้นล่ะที่ทำให้พวกเธอรอดมาได้

ยังไงก็ตาม ผู้กล้าโจก็ทำผลงานเอาไว้ได้อย่างเยี่ยมยอดอีกตามเลย" เด็กหนุ่มพูดเสียงเก๊กหล่อพร้อมกับแอ็คท่าจนเจนและแจ็คอดหมั่นไส้ไม่ได้ เจนรีบวิ่งเข้าไปเขกกะโหลกแรง ๆ ทีหนึ่งโดยมีแจ็คเดินตามมาสมทบ แต่สีหน้าของเขาดูเหมือกำลังมีอะไรข้องใจอยู่

"นายมีอะไรหรือเปล่าแจ็ค" เจนถาม

"อ่า....มันเหมือนกับว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง โจ มันมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่าตอนที่เจ้านั่นจมลงไปน่ะ อย่างระดับหรือมีเสียงประกาศบอกว่าฆ่ามันได้" แจ็คถามด้วยความสงสัย เพราะพวกเขาทั้งสามคนนั้นล็อกอินร่วมเข้ามาด้วยกัน ทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเกม แต่กลับไม่ได้ค่าประสบการหรือมีประกาศบอกอะไรเลยแม้แต่น้อย โจที่ได้ยินดังนั้นจึงเปิดหน้าต่างตัวละครขึ้นมาดู

"ไม่มีค่าประสบการณ์ ไม่มีอะไรเลย....แปลกจังแฮะ" โจเอ่ยด้วยความสงสัย ทั้งสามมองหน้ากันก่อนที่จะหันไปมองจุดที่แกรนคริโนซอจมหายไปเป็นตาเดียวกัน

ตูม!!! ก๊าซซซซซซ!!

เสียงระเบิดของบ่อโคลนดังสนั่นพร้อมกับร่างของแกรนคริโนซอพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปากอันใหญ่โตที่มีฟันคมกริบพุ่งเข้าใส่พวกเจนอย่างไม่ทันตั้งตัว โดยที่พวกเธอยังไม่ทันได้ตกใจเสียด้วยซ้ำ เจนก็รู้สึกเจ็บที่ต้นแขนและท้องอย่างสุด ๆ ก่อนสติจะหลุดลอยหายไป


เจนรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีและพบว่าตัวเองมาอยู่ในป่าไผ่แห่งหนึ่ง บริเวณรอบ ๆ มีกอไผ่ขึ้นเป็นแถวเป็นแนวยาวจนพูดราวกับว่าพวกเธอกำลังถูกต้นไผ่พวกนี้ล้อมอยู่ ไม่นานนักโจและแจ็คก็ฟื้นขึ้นมาสมทบกับเจน

"ที่นี่ที่ไหนเนี่ย พวกเราตายแล้วใช่มั้ยเนี่ย" โจเอ่ยแล้วพยายามลุกขึ้นพร้อมกับสังเกตไปรอบๆ

"ไม่น่าใช่อ่ะ โจ ถ้าเราตายระบบจะถามว่าเราจะล็อกเอาท์หรือเปล่า แต่นี่กลับมาโผล่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้" แจ็คบอก เพราะตามปกติแล้วเมื่อผู้เล่นตายแล้วทางระบบจะถามผู้เล่นว่าจะล็อกเอาท์เพื่อรอเวลาเกิดหรือไม่ ซึ่งถ้าตอบตกลงระบบก็จะทำการล็อกเอาท์ให้ผู้เล่น ซึ่งผู้เล่นสามารถรอเวลาเพื่อกลับไปเล่นใหม่อีกครั้งได้ในอีก 1 ชั่วโมง แต่ถ้าตอบไม่ ผู้เล่นจะถูกส่งไปอยู่โซนรอเกิดอีกที่หนึ่งซึ่งจะต้องรอตามเวลาเกิดปกติ 1 ชั่วโมงในเกม เว้นจะโดนผู้เล่นหรือมอนสเตอร์ระดับบอสหรือมินิบอสฆ่าซึ่งจะเพิ่มเวลาเกิดอีกตามระดับของมอนสเตอร์ ส่วนถ้าหากโดนผู้เล่นด้วยกันฆ่าจะเพิ่มเวลาเกิดอีกครึ่งชั่วโมงซึ่งปกติแล้วผู้เล่นมักจะล็อกเอาท์ออกไปรอดีกว่าเพราะถ้านับเวลาตามในเกมก็จะเป็น 1 วันนั่นเอง

"แล้ว....พวกเราอยู่ไหน" เจนถามขึ้นลอยๆ เพื่อนทั้งสองเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน

เจนและสองหนุ่มเริ่มออกเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ทอดยาว แต่เดินไปเท่าไหร่พวกเธอก็ไม่เจอหนทางที่จะออกไปจากที่นี่เลย ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่นานยังสว่างอยู่เลยแท้ๆ เจนบอกไม่ได้เลยว่าทิศไหนเป็นทิศเหนือใต้ ไร้ซึ่งดวงดาว แสงอาทิตย์มืดสลัวแต่มิอาจบอกได้ว่าดวงอาทิตย์อยู่ทางใด ในตอนนี้เจนมีหนทางเดียวคือเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

"นายแน่ใจนะว่าเราไม่ได้ติดบัคของเกมเข้า แบบประมาณหลุดมาอยู่ในบัคเกมแล้วล็อกเอาท์ออกไปไม่ได้ประมาณนี้" เจนพูด

"เฮ้ย ไม่ใช่หรอกน่า อย่าพูดให้คิดสิยัยบ้า" โจกล่าว ถึงไม่อยากยอมรับแต่เขาเองก็เริ่มจะหวั่น ๆ ว่าเจอกับบัคของเกมเข้าซะแล้ว

"ถ้าคิดในแง่ดี พวกเราอาจจะได้มาเจอภารกิจพิเศษของเกมเข้าก็ได้" แจ็คบอกอย่างมั่นใจ แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เพื่อนอีกสองคนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย

"ภารกิจอะไร เดินจนขาลากหรือไง" โจกัด

"ตลกมากเลย โจ ฮากริบเลยว่ะ" แจ็คกัดตอบ

เจนและสองหนุ่มเธอไปอีกซักพักก็พบกับบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง บริเวณรอบ ๆ มีบ่อน้ำเล็ก ๆ และสวนขนาดย่อม ๆ อยู่ใกล้กัน บ้านนั้นทำจากไม้ทั้งหลัง มีลักษณะเหมือนบ้านจีนโบราญ ไม่มีลวดลายเหมือนกับบ้านทั่วไปแต่การที่มันมาตั้งอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้ทำให้มันดูมีมนต์ขลังอยู่ไม่น้อย ถัดไปเป็นลานกว้างที่มีพื้นพูดเป็นกระเบื้อง ลวดลายบนพื้นเป็นลายหยินหยางขาวดำดูน่าเลื่อมใสยิ่งนัก กอบกับธรรมชาติและลมพัดเอื่อยๆทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง ด้านหน้าบ้านมีคนคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่ จากที่เจนมองดูเขาเป็นชายชราสูงกว่าเธอไม่มาก เขามีศีรษะเกลี้ยงเกลาและไว้หนวดยาวจนถึงหน้าอก

"ดูนั่นมีบ้านคนอยู่ตรงนั้นด้วย รีบไปดูกันเถอะ" เจนว่าแล้วรีบเดินนำพวกโจไปทันที

เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบว่าชายชราตรงหน้ากำลังยืนหลับตาเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่ เขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจนเจนเริ่มคิดว่าเขาอาจจะเป็นรูปปั่นไม่ใช่คนจริง ๆ

"เฮ้ย นั่นมันตาแป๊ะเซียงเพียวอิ้วนี่หว่า..-โอ้ย!!" โจพูดขึ้นเมื่อเดินมาสมทบกันเจน แต่เขากลับโดนก้อนหินจากไหนไม่รู้ปาเข้าใส่หน้าผากอย่างแม่นยำ เมื่อเจนหันไปมองจากต้นทางพบว่าชายชราตรงหน้ากำลังโยนเห็นก้อนเล็ก ๆ สามก้อนในมือแสดงว่าเขาเป็นคนปาก้อนหินใจเพื่อนของเธอแต่เขากลับยังไม่ได้ลืมตาเลยด้วยซ้ำแสดงให้เห็นถึงฝีมือที่ลึกล้ำยิ่ง

"เธอควรมีมารยาทต่อคนที่มีอายุมากกว่าเธออย่างฉัน จริงๆเล้ย เด็กสมัยนี้ไร้มารยาทกันจริง ๆ" ชายชราพูด น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่เจนรู้สึกได้ที่แรงกดดันที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง

"ท..ท่านเป็นใครกัน" เจนถามด้วยความหวั่นเกรง ถ้าหากให้สู้กันเธอคิดว่าต่อให้ทั้งสามคนรุมก็ไม่อาจจะรับมือได้เกินห้าวินาที

"ฉันมีชื่อว่าหมิงเต๋อ และฉันคืออาจารย์ของพวกเธอ"

จบตอนที่3

black jack sdppd
27th December 2013, 16:45
มาให้กำลังใจครับ เรื่องสนุกน่าติดตามครับ
อ่านดีไม่มีสะดุด
บอร์ดนิยายชักจะคึกคักแล้ว
ถ้ามีเวลา ก็แวะไปดูเรื่องอื่นๆในบอร์ดด้วยนะครับ ฮ่าฮ่า

Tohan-kun
28th December 2013, 13:49
ตอนที่4 ฝึก ฝึก ฝึกและเรื่องแปลกใจ

สามสหายมองหน้ากันด้วยความสงสัยเนื่องจากยังคงรู้สึกงง ๆ เพราะจู่ ๆ หมิงเต๋อสลายแรงกดดันไปและมาบอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์ของพวกเธอซะอย่างนั้น


หมิงเต๋อมองเด็กสามคนตรงหน้าที่กำลังมึนงงก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง

"ก็พวกเธอผ่านบททดสอบของฉันแล้วไงล่ะ ตอนนี้พวกเธอก็ได้รับภารกิจฝึกวิชากับฉันแล้ว เข้าใจหรือยัง"

"อ๋อ...." สามเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียงจนหมิงเต๋ออยากจะเอาหินเขวี้ยงใส่อีกซักก้อนแต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้ก่อนเพราะไม่อย่างนั้นมีหวังเขาคงได้ฆ่าลูกศิษย์หน้าใหม่อย่างแน่นอน

"แล้วพวกเราผ่านบททดสอบกันตอนไหนหรือครับ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน" แจ็คเอ่ยปากถามเพราะสุดท้ายที่เขาจำได้คือโดนแกรนคริโนซอเขมือบลงท้องไป

"พวกเธอผ่านภารกิจลับของฉันที่เมื่อตามที่ผ่านการทดสอบข้อแรกสำเร็จก็จะส่งพวกเธอตรงมาหาฉันทันที บททดสอบที่หนึ่งคือพวกเธอต่อสู้กับศัตรูที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเธอ...เฮ้อ พอกันทีกับไอ้การพูดสำบัดสำนวน" หมิงเต๋อถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ


"เอาเป็นว่าบททดสอบคือพวกเธอจะต้องต่อสู้กับกับมอนสเตอร์ที่มียศสูงกว่าหนึ่งระดับโดยที่ไม่คิดจะหนี สองคือลีลาการต่อสู้ของพวกเธอต้องถูกใจฉัน และสามเธอมีความมุ่งมั่นไม่ออกจากเกมจนมาหาฉันเจอที่นี่ นั่นล่ะแบบทดสอบของฉันสามข้อและพวกเธอผ่านมาได้แบบ...เฉียดฉิว" หมิงเต๋อพูด

เจนตกใจกับบททดสอบที่พวกเธอผ่านมาอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความยากที่เกินกว่าคนที่เพิ่งเริ่มเล่นจะทำได้สำเร็จอย่างเช่นบททดสอบแรก การที่จะเจอกับมอนสเตอร์ที่มียศขุนนางขึ้นไปได้ตั้งแต่แรกนั้นแทบเป็นไปไม่ได้และไม่ว่าใครถ้าเจอมอนสเตอร์ที่เก่งกว่าตัวเองขนาดนั้นก็ต้องหนีก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว


แต่ที่ยากของจริงคือบททดสอบที่สอง คือต้องสู้ให้หมิงเต๋อยอมรับในฝีมือ เจนพยายามคิดว่าถ้าหากเป็นสถานการณ์อื่นพวกเธอจะสามารถหาทางสู้กับมอนสเตอร์ระดับแกรนคริโนซอได้มั้ย ส่วนบททดสอบสุดท้ายก็ยิ่งแล้วใหญ่ ใคร ๆ ที่เจอแบบนี้ก็คงต้องล็อกเอาท์ออกมาจากเกมก่อนอย่างแน่นอน เจนมารู้ทีหลังจากหมิงเต๋อว่าถ้าหากล็อกเอาท์ระหว่างทำบททดสอบสุดท้ายล่ะก็จะเข้ามาในนี้ไม่ได้อีกและจะถูกส่งตัวไปยังเมืองเริ่มต้นโดยทันที

หมิงเต๋อกวักมือเรียกให้ทั้งสามคนเข้ามาด้านในบ้านซึ่งพวกเจนต่างก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบว่า การตกแต่งบ้านดูสบายตาไม่ได้หรูหราอะไรออกจะดูว่างเกินไปด้วยซ้ำ มีโต๊ะกลมตัวเล็ก ๆ กับเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ อีกด้านเป็นห้องนอนที่มีเตียงของหมิงเต๋อตั้งอยู่โดยเป็นเพียงเตียงผ้าเล็ก ๆ เท่านั้น ชายชราเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเรียกให้พวกเจนมายืนอยู่ตรงหน้า

"เอาล่ะ ต่อจากนี้เป็นเรื่องสำคัญ พวกเธออยากจะเรียนวิชากับฉันหรือเปล่า" หมิงเต๋อถามพลางเทน้ำชาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะลงบนแก้วแล้วยกดื่ม เจน โจ และแจ็คมองหน้ากันอย่างสับสน

"พวกเรานึกว่าท่านรับพวกเราเป็นลูกศิษย์แล้วซะอีก" แจ็คพูด

"ความจริงมันก็ใช่ พวกเธอผ่านบททดสอบของภารกิจลับแล้วก็สามารถเป็นลูกศิษย์และเรียนวิชาจากฉันได้ แต่ตอนนี้ฉันถามเธออยู่....ว่าอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉันหรือเปล่า" หมิงเต๋อวางแก้วชาลงแล้วพูดต่อ


"วิชาที่ฉันสอนพวกเจ้าต่อจากนี้ฉันรับรองว่ามันจะเหนื่อยยากลำบากจนพวกเธออยากจะเลิก แต่เมื่อตอบตกลงแล้วจะไม่มีวันหวนคืนอีก ถ้าหากยังจะดื้ออยู่อีกละก็...คุกเข่าลงต่อหน้าฉันซะ"

หมิงเต๋อต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อทั้งสามคนต่างคุกเข่าลงกันอย่างพร้อมหน้า สายตาทั้งสามจ้องมองชายชราตรงหน้าอย่างแน่แน่ว

"ศิษย์ทั้งสามน้อมรับคำสั่งอาจารย์ครับ/ค่ะ" เจนกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง เช่นเดียวกับโจและแจ็ค พวกเธอไม่รู้หรอกว่าชายชราตรงหน้านี้จะเก่งแค่ไหนหรือสอนอะไรพวกเธอ แต่เมื่อเป็นถึงภารกิจลับเช่นนี้แล้วจะปฏิเสธไปก็ใช่อยู่



หมิงเต๋อยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยนกับสิ่งที่เด็ก ๆ ตรงหน้าทำ เขารู้ว่าเด็กพวกนี้เลียนแบบตามหนังกำลังภายในเพื่อทำให้เขาประทับใจ แต่สิ่งที่หมิงเต๋อชอบในตัวของเด็กพวกนี้คือการที่ไม่หวั่นในความลำบาก ถึงแม้ว่าทั้งสามจะมีปัญหาเรื่องมารยาท แต่เขามั่นใจว่าเด็กพวกนี้จะเป็นลูกศิษย์ในแบบที่เขาต้องการอย่างแน่นอน

"ดี! ต่อจากนี้พวกเธอจะต้องฝึกวิชากับฉันเป็นเวลาสองเดือน เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดีละ" หมิงเต๋อพูดแล้วลุกขึ้นยืน

"เฮ้ย! เดี๋ยวสิ พวกเราอยู่ในเกมได้แค่เก้าวันในเกมเท่านั้นเองนะครับอาจารย์" โจพูดอย่างตกใจ

"เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ในตอนนี้พวกเธออยู่ในมิติเฉพาะ 'บ้านในสวนไผ่' ในนี้สองเดือนเท่ากับห้าวันในเกมและจำเอาไว้อีกอย่าง ต่อจากนี้พวกเธอจงเรียกฉันว่าอาจารย์หมิง"

"ทราบแล้ว อาจารย์หมิง!" สามเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเธอนั้นกำลังพบเจอประสบการณ์นรกสุดขั้ว


ทางด้านโลกแห่งความจริง จริยาที่กำลังเตรียมตัวนอนก็คิดจะแวะไปหาเจนที่ห้องนอนของเธอ จริยาแง้มประตูเข้าไปก็พบว่าในห้องมืดสนิท ลูกสาวของเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงโดยสวมที่คาดผมสีเขียวเอาไว้บนหัว ใบหน้าของเจนยามหลับนั้นน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุดในใจของจริยา แม้ในตอนนี้ลูกสาวของเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงไม่ใช่เด็กผู้ชายเช่นเดิม แต่ใบหน้ายามหลับในสายตาของจริยาก็ยังคงเป็นเจนลูกรักหัวแก้วหัวแหวนของเธอคนเดิม ความรักที่เธอมอบให้กับเด็กคนนี้และความรักที่เธอได้รับกลับมายังคงแน่นแฟ้นและหอมหวานเช่นเคย

ในตอนที่จริยาได้ข่าวว่าเจนจากแจ็คเธอก็ใจหายวาบ เธอทิ้งงานของตัวเองแล้วรีบตรงไปโรงพยาบาลทันที ลูกของเธอคนนี้เป็นคนเดียวที่เธอเหลืออยู่นับตั้งแต่สามีของเธอเสียไปตั้งแต่เจนยังเด็ก ถ้าหากเจนจากไปอีกคนจริยาคงทนอยู่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน ยังดีที่เจนมาอยู่ในมือของเกอร์ธูทได้ทันเวลา ถ้าไม่อย่างเธออาจจะเสียดวงใจของเธอไปแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นจากความเจ็บปวดที่เจนอาจทนไม่ไหวหรือรัฐบาลที่พบความผิดปกติของเจนแล้วเอาตัวเธอไปถ้าหากรู้เรื่องเข้า

นึกถึงอยู่ก็โผล่มาพอดี หน้าจอแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธอจากเฮดก็อกเกิ่ลที่ยังสวมอยู่ มันบอกว่าเรียกมาจากเกอร์ธูท นอยช์วานสไตล์

"ไงจ๊ะ เกอร์ธูท เดี๋ยวแปปนึงนะ พอดีเจนกำลังเล่นเกมอยู่ เดี๋ยวเสียงดังจะปลุกน้องเจนตื่น" จริยาพูดแล้วค่อยเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมส่งยิ้มไปให้เจนก่อนปิดประตูลงเบา ๆ


"มีอะไรหรือจ๊ะ โทรมาซะดึกเลย"

"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกจ๊ะ พอดีวันนี้ฉันนะ..." เกอร์ธูทพูดเสียงสดใส หลังจากนั้นจริยาก็เดินไปที่ห้องของเธอ โดยระหว่างทางทั้งสองก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระระหว่างผู้หญิงสองคนคุยกัน ทั้งจริยาและเกอร์ธูทรู้สึกชะตาต้องกันเพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองพบกันก็สามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี เวลาเพียงแค่ห้าวันทั้งคู่ก็สนิทกันอย่างกับคบกันมาเป็นปีจริยาเองก็รู้สึกเป็นพระคุณมากอยู่แล้วทำให้เธอรู้สึกไว้ใจเกอร์ธูทอย่างสุดหัวใจ

"พูดถึงเจน วันนี้ตอนที่ฉันฝากของไปให้เด็กคนนั้นกับเพื่อน ๆ แต่เด็กนั่นกลับไม่ยอมรับซะอย่างนั้นน่ะ" เกอร์ธูทพูด น้ำเสียงของเธอดูไม่ค่อยพอใจนัก

"แหม ก็ช่วยไม่ได้นี่ เด็กคนนั้นเวลาเล่นเกมกับเพื่อน ๆ ชอบเล่นแบบเอาจริงเอาจังกันน่ะ เห็นโจบอกว่าจะต้องเล่นให้ยากที่สุดจะได้วัดระดับเกมได้ว่าสนุกมากแค่ไหน"จริยาพยายามบอกเหตุผล เกอร์ธูทส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อยแต่จริยารู้ว่าเพื่อนใหม่ของเธอคนนี้ไม่ได้โกรธเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

"อืม จริงสิ จริยา เธอเคยคิดอยากจะไปดูน้องเจนในเกมบ้างหรือเปล่า" เกอร์ธูทถามคำถามที่ทำให้จริยาต้องส่งเสียงขึ้นมาอย่างแปลกใจ

"เห?"



กลับมาทางพวกเจนที่ต้องฝึกหนักนรก ในเดือนแรกพวกเธอต้องพบกับการฝึกวิ่งขึ้นเขาที่จู่ๆก็โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ หมิงเต๋อให้พวกเธอวิ่งขึ้นลงเขาตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งทุก ๆ วันจะมีการถ่วงน้ำหนักโดยจะให้ใส่เสื้อที่หมิงเต๋อเตรียมเอาไว้ ซึ่งน้ำหนักของมันจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกวันซึ่งก็กินเวลาไปทั้งเช้าและทำให้พวกเจนแทบจะต้องคลานไปกินอาหารเที่ยง


ช่วงบ่ายก็จะเป็นการฝึกความไวและความคล่องตัว หมิงเต๋อให้พวกเจนกลุ่มเสาไม้ซึ่งมันก็มาปรากฏอยู่ที่ลานหยินหยางเพียงชั่วข้ามคืน เจนพยายามวิ่งผ่านกลุ่มเสาที่ว่านั่น แต่ระยะห่างของเสาแต่ละต้นแคบมากจนเธอต้องลดความเร็วลงเพื่อที่จะไม่ชนกับเสาจนเจ็บตัว ส่วนทางโจและแจ็คนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเดินเลยทีเดียวกว่าจะผ่านไปได้ หมิงเต๋อที่เห็นว่าทั้งสามคนชักช้าจึงเร่งโดยการเอาน้ำร้อนไปสาดใส่ซึ่งได้ผลอย่างกับแมวโดนน้ำร้อนลวกเลยทีเดียว แต่ก็ทำให้ทั้งสามเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเป็นผลที่น่าพอใจหมิงเต๋อยิ่ง

พอตกเย็นก็จะเป็นการฝึกช่วงสุดท้ายของวันและมันก็เป็นแค่การนั่งใต้น้ำตกที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ใกล้บ่อน้ำที่หมิงเต๋อกำลังตกปลาอยู่ ตอนแรกโจรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นแค่การฝึกนั่งธรรมดาเท่านั้น คงไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมากนักแต่พอไปนั่งได้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเขาก็ต้องเปลี่ยนใจทันทีเพราะแรงกระแทกของน้ำที่โดนตัวเขาแรงมหาศาลเหมือนกับกำลังโดนกระทืบไปทั้งตัวแถมน้ำยังเย็นจัดทำให้รู้สึกจะหนาวตายซะให้ได้ ยังไม่พอหมิงเต๋อบังคับให้ต้องนั่งอยู่อย่างนี้ถึงสามชั่วโมง กิจวัตรประจำวันเช่นนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนเข้าเดือนที่สอง

ในเวลาเช้ามืดเจนตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติ แต่เมื่อเธอมองไปรอบ ๆ กลับไม่พบตัวของเพื่อนอีกสองคนที่ปกติจะตื่นช้ากว่าเธอเสมอ เจนที่คิดว่าตัวเองไปสายแล้วจึงรีบอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวให้เสร็จแล้วรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านและก็พบเพื่อนสองคนกับภาพที่เธอต้องเอากลับไปเป็นฝันร้ายอีกนาน

"แฮ่ แฮ่ แฮ่ แฮ่" เสียงของโจและแจ็คประสานกันอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทั้งสองคนทำท่าพ่นลมหายใจออกมาทางปากและโยกตัวไปมาอย่างน่าเกลียดจนเจนต้องรีบหันหน้าหนีก่อนที่เธอจะอ้วกใส่ และเธอก็พบกับหมิงเต๋อกำลังยืมมองทั้งสองคนหน้านิ่ง

"เอ่อ....อรุณสวัสดิ์ค่ะอาจารย์หมิง ขอโทษค่ะที่ตื่นสาย" เจนพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ

"อืม อรุณสวัสดิ์ ไม่ต้องขอโทษหรอก เธอไม่ได้สายหรอก ฉันบอกสองคนนั้นไม่ต้องปลุกเธอเองล่ะ" หมิงเต๋อพูดโดยไม่ได้หันไปมอง

"แล้ว...เอ่อ โจกับแจ็คกำลังทำอะไรกันอยู่หรือคะ" เจนถามและกลัวว่าเธอเองจะต้องไปทำตามสองคนนั้น

"ก็พอดีเมื่อวานเห็นสองคนนั้นมานั่งร้องเพลงกัน ฉันก็เลยจับมาฝึกพลังปอด เอามาสูดอากาศบริสุทธิ์ตอนเช้าให้เต็มที่ไปเลย" ตามที่หมิงเต๋อบอกทำให้เจนนึกย้อนกลับไปเมื่อวานก่อนที่เธอจะเข้าไปอาบน้ำ เธอเห็นเพื่อนของเธอทั้งสองคนกำลังนั่งร้องเพลงที่มีคอรัสเป็นหายใจฟังดูเซ็กซี่เป็นเสียงหนุนเนื้อเพลง แต่พอเธอมาฟังเสียงติด ๆ กันและเห็นภาพแบบนี้เข้าก็เริ่มฟังดูขยะแขยงแทนซะแล้ว

"เอาล่ะ เจน ตามฉันมาด้านในบ้าน แล้วสองคนทำต่อไปอย่าหยุดล่ะ" หมิงเต๋อสั่งก่อนที่จะเดินนำเจนเข้ามาด้านในบ้าน


เธอเดินตามไปที่โต๊ะกินข้าว ชายชรารินน้ำชาให้เจนและตัวเองก่อนจะส่งถ้วยชาไปให้เด็กสาวและยกถ้วยของตัวเองขึ้นดื่ม

"ฉันได้ยินมาจากสองคนนั้นว่าเธอเคยฝึกวิชาการต่อสู้มาก่อน จริงหรือเปล่า" หมิงเต๋อถามแล้วยกชาขึ้นดื่มอีกครั้ง

"ค่ะ ศิษย์เคยฝึกไทเก๊กกับวิงชุน แต่ไม่ได้เรียนจริง ๆ จัง ๆ หรอกค่ะ วิงชุนเคยฝึกด้วยตัวเองตอนเด็ก ๆ ส่วนไทเก๊กก็รำตามแม่ตอนเช้าที่สวนสาธารณะเท่านั้นเองค่ะ"เจนบอก ในตอนที่เธอฝึกวิงชุนนั้นเพราะอยากฝึกเอาไว้จัดการกับคนที่มาล้อเลียนเธอสมัยเด็ก ๆ ส่วนไทเก๊กเธอก็มารำเป็นเพื่อนแม่ในช่วงออกกำลังกายตอนเช้าเฉย ๆ ตอนแรก ๆ เธอเองก็รำตามไปอย่างงู ๆ ปลา ๆ แต่พอรำไปเรื่อยๆแลครูฝึกที่คอยรำในตอนเช้ามาช่วยฝึกเธอ จึงทำให้ตอนนี้เธอรำเก่งกว่าจริยาเสียอีก

"ดี แค่นั้นก็ดีแล้ว อย่างน้อยฉันก็มั่นใจว่าเธอคงสามารถเรียนวิชาการป้องกันตัวจากฉันได้ ไม่เหมือนกับสองคนนั้นที่ไม่ได้เหมาะกับการฝึกวิชาต่อสู้อย่างเธอนะสาวน้อย" หมิงเต๋อบอกกับเจนจนเธอรู้สึกสงสัย

"หมายความว่ายังไงหรือคะ"

"เพื่อนของเธอ โจ นายคนนี้เขามีร่างกายพอใช้ได้แต่ไม่ได้สนใจในการต่อสู้ประชิดตัวที่ฉันสามารถสอนให้ได้ เพราะว่าเขาต้องการจะเล่นเป็นสายเวทมนตร์ ส่วนแจ็คเองก็ดูท่าจะรู้เชิงมวยอยู่เหมือนกัน ไม่เหมาะจะมาเรียนมวยอื่นซ้ำซ้อนกันนะ เธอว่ามั้ย" หมิงเต๋อว่าแล้วรินชาให้ตัวเอง

"แล้วทำไมตอนที่ตอบรับอาจารย์พวกนั้นถึงได้..-"

"ก็นั่นน่ะสิ 'ทำไม' กันนะ" หมิงเต๋อพูดขัดและเน้นเสียงตรงคำว่าทำไมโดยเฉพาะ

ทันใดนั้นเองเจนก็คิดได้ว่าทำไม ตลอดเวลาตั้งแต่เด็ก ตลอดเวลาที่เธอเป็นเพื่อนกับสองคนนี้ก็เหมือนกับว่าทั้งคู่ต่างรู้ใจเธอไปหมดไม่ว่าเธอต้องการอะไร และหลายต่อหลายครั้งที่เกือบจะมีเรื่องกับพวกที่เข้ามาล้อเจน ก็ได้สองคนนี้พาเลี่ยงให้ซึ่งบางครั้งเธอก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นจนเธอมารู้อีกทีภายหลัง



"ถ้าหากคนปกติทั่วไปที่มาเล่นเกมอย่างนี้คงไม่คิดจะมาฝึกในสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์กับตัวเองหรอก...อย่างน้อยก็ไม่ได้มีประโยชน์ตรง ๆ อย่างโจล่ะนะ ถ้าเป็นคนทั่วไปตอนนี้คงได้เก็บระดับเพิ่มเลเวลอะไรของพวกเธอไปนานแล้ว" หมิงเต๋อพูดแล้วเว้นช่วงให้เด็กสาวได้คิดก่อนจะพูดต่อ


"สองคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีมากนะเจน ถึงจะเป็นคนแปลก ๆ ไม่ค่อยมีมารยาท แต่ไว้ใจได้ จงอย่าทำให้พวกเขาผิดหวังในตัวเธอ" หมิงเต๋อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


เขาเคยสอนลูกศิษย์มามากแต่ทุกคนล้วนที่จะต้องการเก่งในวิชา จนหลายครั้งที่ศิษย์ในสำนักมาทะเลาะกันด้วยความอิจฉาที่คนอื่นเก่งกว่าตัวเอง เขาเปิดโรงฝึกเพื่อสร้างคนที่สามารถตามอุดมการณ์ของเขาได้แต่กลับไม่พบเลยแม้แต่คนเดียว



จนกระทั่งมีคนติดต่อให้เขามาช่วยในเรื่องเกมออนไลน์ซึ่งในตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยสนใจ แต่เมื่อรู้ว่าเขาสามารถพบกับคนทั้งโลกได้ผ่านเกมนี้เขาก็ตอบตกลงทันที เพื่อที่จะตามหาคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับเขา คนที่นำพลังไปใช้เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง

"ทราบแล้วค่ะ อาจารย์หมิง" เจนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ต่อไปเราก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เธอคิดหรือยังว่าจะใช้อะไรเป็นอาวุธหลัก" หมิงเต๋อถาม เจนมึนงงไปชั่วขณะก่อนที่คิดหาคำตอบ

"คงจะใช้ดาบล่ะมั้งคะ ในใจอยากใช้ดาบสวย ๆ แบบยุโรปอยู่เหมือนกัน แต่ดาบคาตะนะของญี่ปุ่นก็เท่ห์ดี" เจนนึกคิดภาพตัวเองในขณะถือดาบไปสู้กับมอนสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นดาบชนิดใดก็ดูดีทั้งนั้นจนเธอเลือกไม่ถูก

"อืม เอาแบบนี้ละกัน เดี๋ยวฉันจะสอนพื้นฐานการใช้ดาบให้ อาจจะแถมทักษะดาบให้อีกนิดหน่อย แค่นี้คงโอเคนะ" หมิงเต๋อทำท่าครุ่นคิดแล้วจึงเสนอมา เจนรีบตกลงรับทันทีเพราะเธอเองอยากจะฝึกดาบเร็ว ๆ


ชายชรายิ้มรับแล้วชี้มือไปยังห้องที่อยู่ด้านหลัง เจนเดินไปที่ห้องนั้นและเธอก็พบว่ามันเป็นห้องเก็บของ ในนั้นมีของแปลกประหลาดมากมายไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้รูปร่างประหลาดตา ขวดน้ำยาหลากสีนับร้อยขวด ยังไม่นับของจำพวกกระดูกสัตว์และเขาสัตว์แปลก ๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่ที่ต้องตาเจนคือชั้นวางดาบที่มีดาบอยู่หลายสิบเล่มมีทั้งดาบแบบยุโรปที่เจนชอบ ดาบญี่ปุ่นหลายแบบอีกทั้งกระบี่ของจีนและอีกหลายชนิดที่เจนไม่รู้จัก

"เลือกมาหนึ่ง เอาเล่มที่เธอคิดว่าใช่ที่สุดมาแล้วไปเจอข้าที่ลานกว้าง" หมิงเต๋อว่าแล้วเดินออกไปจากบ้านปล่อยให้เจนเลือกอาวุธได้ตามใจ

เจนลองหยิบดาบมาถือดูอยู่หลายเล่มแต่ก็ยังไม่เจอเล่มที่พอใจซักที เธอลองถือดาบยุโรปด้ามเงินมาเล่มหนึ่งแล้วตรวจสอบรายระเอียดของดาบดู

ดาบเหล็กกล้า ระดับ E
พลังโจมตี: 20
ดาบเหล็กธรรมดา มีรูปทรงสวยงาม เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้ดาบ
*ไม่สามารถเสียหายได้
*ไม่สามารถนำออกจาก 'บ้านในสวนไผ่' ได้


เจนวางดาบลงแล้วหยิบเล่มต่อไปขึ้นมาดู แต่ก็ยังไม่เจอเล่มไหนที่รู้สึกเหมาะมือซักเล่มเดียว จนกระทั่งเธอหยิบดาบขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง เพียงแค่จับเธอก็รู้สึกว่ามันต่างจากเล่มอื่นโดยสิ้นเชิง ให้ความรู้สึกแน่นกับมือของเธอและมีน้ำหนักเบา ดาบเล่มนี้เป็นดาบญี่ปุ่นอยู่ในฝักดาบสีดำ เธอลองชักมันออกมาจากด้ามก็พบกับใบมีดสีฟ้าลายครามที่สวยจับใจ

ดาบเหล็กฟ้า(ผนึก) ระดับ E
พลังโจมตี: 15

กรุณาปลดผนึกเพื่อดูรายระเอียด
*ไม่สามารถนำออกจาก 'บ้านในสวนไผ่' ได้

เจนแปลกใจว่าทำไมถึงมีคำว่าผนึกอยู่หลังชื่อแถมพลังโจมตีก็น้อยมากกว่าดาบปกติเสียอีก แต่ใจของเธอกลับบอกให้เธอเลือกดาบเล่มนี้และเธอไม่คิดว่าจะมีดาบเล่มอื่นที่เหมาะมือเธอเท่าดาบเล่มนี้อีกแล้ว เจนเก็บดาบเข้าฝักแล้วเดินไปสมทบกับหมิงเต๋อด้านนอก เมื่อออกไปเจนก็พบว่าตอนนี้แจ็คและโจกำลังนั่งหอบอยู่ข้างบ่อน้ำ สงสัยว่าพวกเขาคงทำท่าประหลาดนั่นอยู่นานทีเดียวกว่าเธอจะมาเจอเข้า พอหันไปที่้ลานกว้างซึ่งกลุ่มเสาที่เจนเคยฝ่าได้หายไปแล้ว เป็นหมิงเต๋อที่กำลังยืนรออยู่ใจกลางลานด้วยท่าทางสงบนิ่ง

"ได้แล้วค่ะอาจารย์หมิง" เจนบอกเมื่อเธอเดินมาถึงลานกว้าง

"ไหนดูซิ โอ้! ตาถึงไม่เบานี่" หมิงเต๋อเอ่ยชมเมื่อเห็นดาบที่เจนหยิบมา

"แต่มันบอกว่าผนึกอยู่ มันคืออะไรหรือคะ" เจนถามด้วยความสงสัย

"ก็ไอเท็มผนึกไง ดาบเล่มนั้นฉันเก็บไว้มานานแล้วแต่ไม่ได้ไปหาคนปลดผนึกซักที ถ้าหากปลดผนึกก็จะได้ดาบที่ดีกว่าเดิมมาก...อืม ดาบเล่มนั้นถ้าฝึกเสร็จแล้วเธอก็เอาไปก็แล้วกัน" หมิงเต๋อว่า

"จริงหรือคะ ขอบพระคุณมากค่ะ อาจารย์หมิง" เจนกล่าวอย่างดีใจพร้อมเอาดาบมาเหน็บไว้ที่เอว

"เอาล่ะ มาเริ่มฝึกกันดีกว่า ชักดาบขึ้นมา" หมิงเต๋อว่า เจนทำตามคำสั่ง เธอชักดาบขึ้นมาแล้วตั้งท่าอย่างทะมัดทะแมงแต่ในสายตาของอาจารย์อย่างหมิงเต๋อแล้วเขาถึงกับต้องส่ายหน้าและเข้าไปแก้ท่าให้กับเจน

"ถ่างขาให้มากกว่านี้ ขาขวานำขาซ้าย นั่นล่ะ แขนอย่าตรึงแข็ง อ่า..ใช่แล้ว แบบนั้นล่ะ" หมิงเต๋อพูดพลางใช้เท้าเขี่ยขาให้เจนตั้งท่าถูกต้อง


จากนั้นหมิงเต๋อก็เริ่มฝึกดาบให้กับเจนตัวต่อตัว โดยหมิงเต๋อให้เจนใช้ดาบฟันตัวเขาให้โดน แต่ไม่ว่าเจนพยายามอย่างไรก็ไม่เฉียดตัวหมิงเต๋อเลยแม้แต่น้อย ทำให้เธอได้รู้ว่าถึงแม้ที่ผ่านมาเธอเคยต่อสู้มามากเพียงใดเคยฝึกวิชามาแค่ไหน แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าคนที่เก่งกว่ามากแล้วก็ไร้ประโยชน์ ทำให้ไฟกำลังใจของเจนเริ่มลุกโชนพยายามจะพัฒนาฝีมือของตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นกว่านี้

ในช่วงแรกของการฝึกในเดือนที่สองกับหมิงเต๋อ เจนได้ฝึกดาบทั้งวันโดยมีหมิงเต๋อคอยให้คำแนะนำอยู่ไม่ขาดซึ่งช่วยให้ฝีมือของเธอพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนในบางครั้งเธอก็เกือบจะโจมตีโดนหมิงเต๋อได้แต่ก็ถูกกันเอาไว้ได้อยู่ดี วิชาดาบที่เจนได้เรียนรู้นั้นไม่ได้ต่างไปจากในหนังกำลังภายในที่เธอเคยดูเลยแม้แต่น้อย แต่หมิงเต๋อบอกกับเธอเอาไว้ว่าความจริงแล้วมันไม่ได้เวอร์เหมือนกับในหนังที่มีพลังอะไรแปลก ๆ แต่พอมาอยู่ในเกมนี้ก็ทำให้พลังเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาได้แต่เขาบอกว่าเจนควรฝึกพื้นฐานให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยไปติดสันใจทีหลังว่าจะฝึกอะไรต่อไป ส่วนแจ็คและโจก็ได้การฝึกที่แตกต่างกันไปแต่เจนเองก็ไม่รู้ว่าทั้งสองไปฝึกอะไรเพราะเห็นว่าถูกหมิงเต๋อให้ไปฝึกที่อื่นจนไม่ได้กลับมาบ้านตลอดเดือน

เมื่อเวลาผ่านไปใกล้จะสิ้นเดือน ระหว่างที่เจนและหมิงเต๋อฝึกดาบกันอยู่ซึ่งในตอนนี้หมิงเต๋อหันมาใช้ดาบโจมตีกลับบ้างแล้ว ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงของแจ็คและโจเดินกลับมาจากภูเขาใกล้ ๆ

"พวกเรากลับมาแล้ว!" เสียงของโจตะโกนด้วยน้ำเสียงแสดงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเจน สภาพตัวของเขาก็โทรมมากซึ่งดูจากชุดที่เคยเป็นสีขาวกลับกลายเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว เช่นเดียวกับโจที่ชุดของเขาก็เละไม่ต่างกัน

"เร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะ ทำดีมากเลยทั้งสองคน" หมิงเต๋อหยุดมือจากการฝึกเจนแล้วหันไปกล่าวชมทั้งสองคน

"อาจารย์หมิงให้สองคนนี้ไปฝึกอะไรหรือคะ" เจนถามเมื่อเห็นสภาพของทั้งคู่

"ความลับ เธอยุ่งเรื่องฝึกของเธอเองไปดีกว่านะ เวลานี้สองคนนี้ได้จบการฝึกของฉันเรียบร้อยแล้วนะ รู้ไว้ซะด้วย" หมิงเต๋อบอก เจนตกใจมากเพราะทั้ง ๆ ที่สองคนนี้ต้องฝึกด้วยตัวเองกลับผ่านการฝึกก่อนเธอเสียอีก

"หา! ได้ไง พวกนายผ่านได้ยังไงกันเนี่ย" เจนร้องด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

"โทษทีน้องสาว คนบางคนก็มีพรสวรรค์ที่คนบางคนไม่มีนะน้อง ฮ่าฮ่าฮ่า" โจหัวเราะเสียงดังโดยมีแจ็คเสริมด้วยอีกคน จนทำให้เจนที่ฟังอยู่ถึงกับฟาดดาบของเธอใส่เป็นเหตุให้ทั้งสองคนต้องกระโดดหลบหนีตายอย่างจ้าละหวั่นแล้ววิ่งเข้าบ้านไป ปล่องให้เจนที่หอบหายใจอย่างแรงเพราะโมโหมองตามด้วยความแปลกใจเพราะทั้งคู่สามารถหลบดาบของเธอได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังทำไม่ได้เลยแท้ ๆ

"แปลกใจล่ะสิใช่มั้ย สองคนนั้นถึงไม่ได้เหมาะกับการฝึกเหมือนกับเธอ แต่พวกเขามีความตั้งใจไม่ต่างไปจากเธอเลย ฉันก็เลยให้พวกเขาไปฝึกพื้นฐานแล้วเขาไปทดสอบกับบททดสอบที่เหมาะกับพวกเขา ฝีมือก็เลยสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดแบบนี้ล่ะ" หมิงเต๋อกล่าว

"แล้วฉันจะได้มีโอกาสรับการทดสอบแบบนั้นบ้างหรือเปล่าคะ" เจนถาม หมิงเต๋อยิ้มแล้วจึงค่อยๆเดินและตั้งท่าดาบขึ้นอีกครั้ง

"เธอกำลังทดสอบอยู่มาตั้งแต่ที่ได้ดาบเล่มนั้นมาแล้ว" ว่าจบ หมิงเต๋อก็เป็นฝ่ายโจมตีด้วยความเร็วสายฟ้าแลบ เขาแทงดาบใส่อย่างรวดเร็วจนเจนเอี้ยวตัวหลบแทบไม่ทัน หมิงเต๋อเมื่อเห็นว่าโจมตีพลาดก็เปลี่ยนการโจมตีเป็นฟาดดาบใส่จากดานข้าง เจนรีบยกดาบเข้ากันแล้วดีดดาบกลับไปหวังจะโจมตีแต่ก็ต้องรีบกลับมาป้องกันอีกครั้งเมื่อดาบที่เจนดีดกลับไปนั้นหมิงเต๋อไม่ได้ต้านแรก แต่กลับใช้แรงของมันหมุนตัวกลับมาแทงเจนอีกครั้ง

เจนที่เห็นว่าหมิงเต๋อคราวนี้เอาจริงกว่าครั้งก่อน ๆ เธอก็เริ่มคิดหาวิธีสู้โดยเป็นฝ่ายบุกก่อน เจนยกดาบเหล็กฟ้าขึ้นแล้วฟาดดาบใส่อย่างต่อเนื่องจนหมิงเต๋อไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ เพราะทันทีที่ดาบของเจนถูกกันได้เธอก็รีบถอนดาบกลับมาแล้วหมุนตัวฟันทันที การโจมตีที่ต่อเนื่องและดุดันทำให้หมิงเต๋อแอบยิ้มอยู่น้อย ๆ เพราะการที่แจ็คและโจกลับมานั้นสร้างแรงกดดันให้แก่เจนมากทีเดียว พอเขาบอกว่าทั้งสองคนฝึกเสร็จแล้วก็ยิ่งกดดันเข้าไปอีก เขาต้องการแรกกดดันนั้นเปลี่ยนเป็นแรงผลักให้เจนพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วจนเธอเผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา เทคนิคที่เจนใช้สู้กับหมิงเต๋อก่อนหน้านี้เป็นแค่การสู้เพื่อที่จะเรียนรู้วิชาดาบมาจากหมิงเต๋อ แต่ไม่ใช่การสู้เพื่อจะเอาชนะ

หมิงเต๋อรับดาบของเจนแล้วดีดกลับไปหาเจ้าของ ทันใดนั้นเจนก็ใช้เทคนิคเดียวกันกับหมิงเต๋อก่อนหน้านี้ที่ใช้พลังจากฝ่ายตรงข้ามให้เป็นกระโยชน์ เธอใช้ปลายเท้าเป็นหลักหมุนตัวแล้วแทงดาบใส่อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหันไปอีกที หมิงเต๋อก็หายไปแล้ว

แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ

"เก่งมาก เก่งมาก ๆ" เสียงของหมิงเต๋อดังขึ้นที่ด้านหลังของเจน เธอตกใจมากเพราะเมื่อรู้เธอยังไม่เห็นชายชราคนนี้อยู่เลยแท้ ๆ

หมิงเต๋อตบมือให้โดยวางดาบอยู่ใกล้ตัวก่อนที่จะผายมือให้เจนเดินตามมา

"ฝีมือของเธอเยี่ยมยอดมาก เธอผ่านการทดสอบแล้วล่ะ" หมิงเต๋อกล่าว

"แต่ท่านอาจารย์ ฉันยังโจมตีท่านไม่โดนเลยนะ" เจนว่า หมิงเต๋อที่ได้ยินดังนั้นจึงยกแขนเสื้อให้ดู และพบว่ามีส่วนหนึ่งขาดแหว่งไป

"ในตอนแรกเธอสู้โดยต้องการจะเรียนรู้วิชาจากฉัน ไม่ได้สู้ตามแบบของตัวเอง ถ้าเธอยังสู้แบบนั้นต่อไป ต่อให้ฝึกจนตายยังไงก็ไม่มีทางโดนตัวฉันได้" หมิงเต๋อกล่าวแล้วไปหยุดอยู่ที่บ่อน้ำ "เมื่อครู่นี้เธอสู้โดยมีพลังที่ผลักดันเธอจนใช้พลังที่เป็นของตัวเธอเองออกมา.... การที่เธอมาฝึกกับฉันไม่ใช่เพื่อเรียนวิชาดาบของคนอื่น แต่มันเป็นการเรียนรู้เพื่อที่จะตามหาตัวเองต่างหาก"

หมิงเต๋อพูดพร้อมกับมองลงไปยังบ่อน้ำ เงาของน้ำสะท้อนมาให้เจนเห็นถึงตัวเธอที่กำลังมองกลับมา ใบหน้าที่คุ้นตาแต่นั่นเป็นใบหน้าที่เธอไม่เคยชอบ จนกระทั่งมาพบกับพวกโจ จนมาถึงเวลานี้อาจจะเป็นอย่างที่หมิงเต๋อบอกเธอ เธอมัวแต่พยายามตามคนอื่น เธอไม่เคยลองที่จะเข้าใจตัวเองเลยแม้แต่น้อย

"แล้วศิษย์ควรทำยังไงดี" เจนถามขึ้นโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเธอถามไปด้วยเหตุผลอะไร หมิงเต๋อยิ้มและเอามือลูบหัวของเจนอย่างอ่อนโยน

"ก็แค่....ยอมรับตัวตนของตัวเองให้ได้ แค่นั้นก็พอแล้ว" เมื่อพูดจบหมิงเต๋อก็ทิ้งให้เจนอยู่คนเดียวแล้วเดินเข้าบ้านไป ส่วนเจนที่ได้คำแนะนำของหมิงเต๋อก็ยิ้มขึ้นมาบาง ๆ ก่อนจะเดินตามอาจารย์ของตนไปพร้อมกับเธอที่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่รู้ไม่ว่าเธอนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างน้อย ๆ โดยที่เธอไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ

ในที่สุดการฝึกระยะเวลาสองเดือนของหมิงเต๋อก็มาถึงวันสุดท้าย ตอนนี้หมิงเต๋อกำลังดื่มชาอยู่บนโต๊ะกินข้าว ส่วนพวกเจนนั้นก็นั่งอยู่บนพื้นด้านหน้าของชายชราอย่างเงียบ ๆ โดยใช้สายตาคุยกันเองด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

"วันนี้ฉันจะขอถามคำถามพวกเธอหนึ่งข้อ ถ้าตอบได้ ฉันก็จะให้รางวัลคนละหนึ่งชิ้น สนใจมั้ย" หมิงเต๋อกล่าวทำให้พวกเจนมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น "เอาล่ะ คำถามคือ จากที่พวกเธอฝึกวิชากับฉันมาตลอดสองเดือนในมิตินี้ พวกเธอได้ฉุกคิดอะไรบ้างหรือเปล่า...หืม หรืออาจจะมีคำถามที่อยากจะถามฉันบ้างมั้ย"

เด็กทั้งสามคนได้ยินคำถามแล้วก็มองหน้ากันอย่างงงงวย เพราะพวกเธอไม่เข้าใจเลยว่าหมิงเต๋อต้องการจะสื่อถึงอะไร แต่ทันใดนั้นเองแจ็คก็ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

"เอ่อ...ที่บ้านผมเปิดเป็นค่ายมวยสากลอยู่ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่พ่อแม่ผมจะต้องคอยดูแลค่ายทั้งวันจนไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย อาจารย์หมิง ท่านมาทำอะไรในเกมหรือครับแล้วสำนักของอาจารย์ในโลกแห่งความจริงล่ะครับไม่ต้องไปดูแลหรือครับ" แจ็คถาม เพราะขนาดที่บ้านเขาเป็นค่ายฝึกเล็ก ๆ เท่านั้น มีคนมาฝึกในยิมอยู่ไม่ถึงสิบคนแต่เขาเองก็ยังต้องไปช่วยที่บ้านดูแลค่ายฝีกด้วย เขาคิดไม่ออกเลยถ้าหากสำนักของหมิงเต๋อจะเป็นอย่างไรถ้าหากเจ้าสำนักมานอนเล่นเกมออนไลน์แบบนี้

"ถามดีมาก ส่วนคำตอบของคำถามนั้นคือ เป็นเพราะฉันปิดสำนักของตัวเองแล้วยังไงล่ะ" หมิงเต๋อตอบแล้วยกชาดื่มอย่างสบายใจ

"แต่ผมไม่เข้าใจ ย่าที่บ้านผมอายุเกือบแปดสิบแล้ว พอ ๆ กับอาจารย์หมิงเลย ...ผมไม่ได้ว่าอาจารย์แก่นะแต่คุณย่าผมตอนนี้ชอบนั่งอยู่เฉย ๆ ดูทีวีเหมือนกับคนแก่ทั่วไปมากกว่า แต่อาจารย์ทั้ง ๆ ที่สำนักก็ปิดไปแล้ว แต่ทำไมยังมาสอนพวกเราในเกมอีก" โจถาม หมิงเต๋อดื่มชาจนหมดแก้วแล้วจึงหันมาตอบคำถาม

"นั่นก็จริง มันก็น่าคิดนะว่ามั้ย" หมิงเต๋อถามกลับไป แจ็คแล้วโจหันหน้ามองด้วยอย่างไม่เข้าใจ แต่เจนกลับมีความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว ความคิดที่เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะคิดได้มาก่อนและมันเป็นความคิดที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะพูดออกมา

"เอ่อ.....อาจารย์หมิงคะ ท่านเป็นเอไอใช่หรือเปล่าคะ" เจมถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แจ็คและโจหันไปมองเจนเป็นตาเดียวเพราะจู่ ๆ มาถามอะไรแบบนี้ แต่หมิงเต๋อกลับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

"ถูกต้องแล้ว ฉันคือปัญญาประดิษฐ์ของหมิงเต๋อ เจ้าสำนักวิชาการต่อสู้ชินหลง" หมิงเต๋อพูดยอมรับออกมาหน้าตาเฉยจนทั้งแจ็คและโจนต่างหันมามองอาจารย์ของตนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เจนเองก็ตกใจเช่นเดียวกันแต่เธอเองก็คิดเอาไว้บ้างแล้ว

"อะ...อาจารย์เป็นเอไอ ไม่อยากจะเชื่อเลย!" แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจมาก เพราะเขาดูไม่ออกเลยว่าชายชราคนหน้านี้ไม่ใช่มนุษย์ ความจริงแล้วไม่มีใครดูออกเลยแม้แต่น้อย

"ที่โฆษณาเอาไว้นึกว่าโม้ซะอีก สงสัยจริง ๆ ว่านอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ไปเอาเทคโนโลยีระดับนี้มาจากไหน" โจว่า เพราะถึงในปัจจุบันจะมีคอมพิวเตอร์อัจฉริยะคอยให้บริการตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ยังไงก็ยังเป็นแค่คอมพิวเตอร์ ไม่ได้มีความฉลาดเหมือนกับปัญญาประดิษฐ์เช่นนี้

เจนมองหน้าอาจารย์ของตนด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ เธอรู้สึกผูกพันกับหมิงเต๋อมากเหมือนกับเป็นศิษย์อาจารย์กันจริง ๆ แต่ต้องกลับมาพบว่าอาจารย์ของเธอกลับเป็นเพียงแค่เอไอเท่านั้น หมิงเต๋อมองหน้าเจนก็รู้ถึงความคิด เขาวางแก้วชาของตนลงแล้วหันไปรินให้ลูกศิษย์ทั้งสามก่อนจะส่งไปให้แต่ละคนโดยตั้งใจส่งให้เจนเป็นคนสุดท้าย

"อย่าเข้าใจผิดสิเจน ถึงฉันจะเป็นเอไอ แต่หมิงเต๋อก็มีชีวิตจริง ๆ อยู่โลกภายนอก และเขาก็รู้เท่าที่ฉันรู้ว่าพวกเธอพยายามฝึกกันมากแค่ไหน" หมิงเต๋อบอก

"หมายความว่ายังไงคะ" เจนถาม

"พวกเรา คือคน ๆ เดียวกัน เขาอยู่โลกแห่งความจริง ทำธุระของตนไปตามภาษาคนแก่ ส่วนฉันอยู่ในนี้ สืบทอดอุดมการณ์ของหมิงเต๋อต่ออยู่ในโลกออนไลน์ ทุกครั้งที่เขานอนหลับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันรู้จะถูกส่งไปยังสมองของหมิงเต๋อ เพราะฉะนั้นถ้าหากเธอพอเจอเขาข้างนอกนั่น รับรองได้เลยว่าเขาจะรู้สึกกับเธอเหมือนที่ฉันรู้สึกในตอนนี้ไงละ" หมิงเต๋อบอกพลางลูบหัวเจนอย่างเอ็นดู

“แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกพวกเธอก็คือ ในเกมนี้ เอไอทุกคนนั้นไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ทำตามที่ถูกโปรแกรมเอาไว้ แต่ทุก ๆ คนจะเป็นเหมือนกับฉันที่ต่างก็มีจิตใจ มีตัวตนเป็นของตัวเอง และถ้าหากตายก็จะไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก ขอให้จำในจุดนี้เอาไว้ให้ดี” ชายชราบอก เด็กทั้งสามพยักหน้ารับฟัง

"เอาล่ะ ดีมากที่ตอบคำถามของฉันได้ ตามสัญญา ยื่นมือมาข้างหน้า" หมิงเต๋อพูดแล้วหันไปหาโจจากนั้นจึงยื่นม้วนคัมภีร์กระดาษสีน้ำตาลให้ไป "นี่เป็นม้วนคัมภีร์เวทที่ฉันได้มาจากเพื่อนคนหนึ่ง หวังว่ามันคงจะมีประโยชน์กับเธอ"

"ส่วนสำหรับเธอ คิดว่าทักษะนี้น่าจะเหมาะกับเธอ" หมิงเต๋อว่าแล้วก็ใช้นิ้วแตะไปที่น้าผาก แจ็คทำท่าดีใจมากเลยทีเดียว จนสุดท้ายเขาก็หันมาหาเจน

"เอาล่ะเจน ฉันขออนุญาตให้เธอเอาดาบเล่มนั้นออกไปได้ แล้วแถมทักษะอีกหนึ่งทักษะหน่อยก็แล้วกัน" หมิงเต๋อบอกแล้วเอานิ้วมาจิ้มที่กลางหน้าผากของเจน

คุณได้รับทักษะ ปลดผนึก จากเจ้าของ 'บ้านในสวนไผ่' หมิงเต๋อ ค่ะ

เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของเจน เธอเปิดหน้าต่างและกดดูรายระเอียดทักษะที่ได้มาใหม่ทันที

ทักษะ ปลดผนึก ใช้พลังเวท 100 ไม่มีระยะเวลาดีเลย์
ทักษะระดับ S สามารถใช้ปลดผนึกอาวุธที่ถูกผนึกอยู่ได้

เจนรู้สึกแปลกใจมากกว่าทักษะที่เธอได้มาเป็นถึงระดับ S แต่กลับเป็นแค่ทักษะปลดผนึกเท่านั้นเอง

"ไหนลองปลดผนึกดาบที่่ให้ไปดูสิ" หมิงเต๋อบอก โจและแจ็คที่ได้ยินก็หันมามองด้วยความสนใจ เจนได้ยินที่หมิงเต๋อพูดจึงนำดาบออกมาแล้วใช้ทักษะปลดผนึกทันที

คุณทำการปลดผนึกดาบเหล็กฟ้า ระดับ E และได้รับ ดาบมังกรคุซานางิ ระดับ S จำนวน 1 เล่ม

ดาบมังกรคุซานางิ(ยังไม่ได้ทำสัญญา) ระดับ S
พลังโจมตี: 500 (-250)
ดาบในตำนาน มีพลังที่ตัดได้แม้แต่ฟ้าดิน ว่ากันว่าเป็นดาบประจำตัวของเทพบนสวรรค์
- สามารถโจมตีได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น
- สามารถใช้ทักษะ ผ่ามิติได้
- สามารถใช้ทักษะ อัญเชิญอสูร ยามาโตะ โนะ โอโรจิ ได้
- สามารถใช้ทักษะ ผนึกอสูร ได้
- สามารถเก็บสัตว์อสูรและมอนสเตอร์ได้ 8 ตัว
*ไม่สามารถเสียหายได้

ทักษะ ผ่ามิติ ใช้พลังเวท 525 ระยะเวลาดีเลย์ 10 วินาที
ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถฟันเป็นคลื่นพลังโจมตีระยะไกลได้ พลังโจมตีเป็นธาตุแสงและไฟ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับพลังโจมตีของผู้ใช้ทักษะ

เจนถึงกับอึ้งไปเมื่อเธอใช้ทักษะปลดผนึกกับของระดับ E กลับได้ของระดับ S มา ซึ่งเธอเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าทำไมของแบบนี้ถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้

"ระดับS!! ดาบระดับสูงสุดของเกม! โอ้ให้ตายเถอะ เจน นี่เธอทำบุญด้วยอะไรวะเนี่ย!!" โจพูดด้วยน้ำเสียงตกใจสุด ๆ เพราะเขามั่นใจเลยว่าของระดับ S ยังไม่มีใครครอบครองมาก่อนแน่ ๆ เพราะถ้ามีล่ะก็เขาต้องรู้แล้ว

"ก่อนหน้านี้ก็ได้ไข่ระดับ S มา แล้วนี่ก็ได้ของระดับสุดยอดอีก คราวหน้าเธอต้องแบ่งพวกเราบ้างแล้วล่ะ" แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา เจนที่เห็นว่าตัวเองได้ของระดับสูงมาก็หันไปหาหมิงเต๋อทันที

"อาจารย์หมิง ของแบบนี้ศิษย์รับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ" เจนพูดแต่หมิงเต๋อกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

"ดาบเล่มนั้นฉันยกให้เธอไปแล้ว อีกอย่างถึงเธอจะคืนฉันมามันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับฉันเลย ได้แต่เก็บเอาไว้ ไม่ได้ใช้อยู่ดี" หมิงเต๋อว่า

"เธอเก็บเอาไว้เถอะ แค่ใช้มันตามที่ใจเธอต้องการก็พอ"

"เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมาค่ะอาจารย์หมิง" เจนกล่าว เธอรับดาบนั้นไว้แล้วเก็บลงช่องเก็บของไปอย่างนิ่มนวล

หลังจากพวกเจนทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเจนจึงเตรียมพร้อมที่จะจากที่และกลับไปยังเมืองเริ่มต้นกันซักที หมิงเต๋อยื่นบัตรสีเขียวทั้งแก่ทั้งสามคนก่อนที่จะออกเดินทาง เจนรับมาและพบว่ามันเป็นบัตรขนาดเล็กเท่าบัตรธรรมดา มีคำว่า 'บ้านในสวนไผ่' อยู่บนนั้น

"นี่คือบัตรที่เอาไว้ใช้มาที่นี่นะ ถ้ามีปัญหาอะไรหรืออยากมาเยี่ยมก็ใช้บัตรนั่นมาหาฉันก็แล้วกัน วิชีใช้ก็แค่บอกว่าเคลื่อนย้าย มันก็จะส่งพวกเธอมาที่นี่เลย ส่วนวิธีกลับออกไปก็แบบเดียวกัน" หมิงเต๋อบอก

"ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ขอลาเลยก็แล้วกันนะคะ อาจารย์หมิง ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ" เจนกล่าวลา แล้วทั้งสามก็ใช้บัตรเคลื่อนย้ายตัวเองกลายเป็นแสงหายไป ทิ้งให้หมิงเต๋อยืนส่งด้วยรอยยิ้ม

"โชคดี....ศิษย์เอกของฉัน"


พวกเจนปรากฏตัวขึ้น ณ ลานกว้างของเมืองแห่งหนึ่ง สิ่งก่อสร้างในเมืองเป็นตึกไม้ในหมู่บ้านไทย ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านกันไปมากันโดยชุดที่พวกเขาสวมต่างบอกได้เลยว่าเป็นชาวเมืองเพราะสวมชุดไทยกันทุกคน พวกเขาไม่ได้สนใจพวกเจนเลยแม้แต่น้อย เพราะคนที่สวมใส่ชุดผ้าสีขาวของผู้เล่นมือใหม่อย่างพวกเธอนั้นมีมาทุกวัน

"ในที่สุดก็เข้ามาถึงเมืองเริ่มต้นกันซักที ถ้าจำไม่ผิดนี่คือเมืองไทรีส เกาะเริ่มต้นของประเทศไทย" โจบอก เจนมองไปรอบ ๆ อีกครั้งเพราะบรรยากาศแบบนี้ถึงจะคุ้น ๆ เวลาที่ไปเที่ยงต่างจังหวัดแต่มันก็ไม่ได้เจอกันทุกวัน

"เอาล่ะ พวกเราจะไปทำอะไรต่อดี" แจ็คถาม

"ก่อนอื่นมาดูกันก่อนดีกว่าว่าสองเดือนที่พวกเราฝึกมาได้อะไรกันบ้าง" เจนเสนอขึ้นมา อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยและไปเปิดดูสถานะของตัวเองทันที

ชื่อ:เจน
อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 1
สถานะตัวละคร
พลังชีวิต 125/125 พลังเวทมนตร์ 114/114
ค่าความอิ่ม 100/100 ค่าความเหนื่อย 100/100

สถานะพื้นฐาน
พลังโจมตี 50 ความฉลาด 14
พลังป้องกัน 16 พลังป้องกันเวท 13
ความเร็ว 30 ความอดทน 25
ความแม่นยำ 11 โชค 9

ช่องเก็บของ
ดาบมังกรคุซานางิ(ยังไม่ได้ทำสัญญา) ระดับ S
พลังโจมตี: 500 (-250)
ดาบในตำนาน มีพลังที่ตัดได้แม้แต่ฟ้าดิน ว่ากันว่าเป็นดาบประจำตัวของเทพบนสวรรค์
- สามารถโจมตีได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น
- สามารถใช้ทักษะ ผ่ามิติได้
- สามารถใช้ทักษะ อัญเชิญอสูร ยามาโตะ โนะ โอโรจิ ได้
- สามารถใช้ทักษะ ผนึกอสูร ได้
- สามารถเก็บสัตว์อสูรและมอนสเตอร์ได้ 8 ตัว
*ไม่สามารถเสียหายได้


ไข่ก้อนเมฆ ระดับS
ไข่ของมอนสเตอร์ สามารถใช้ประกอบเป็นอาหารได้


ทักษะที่มี

ทักษะ ตรวจสอบ ไม่ใช่พลังเวท
ทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตรวจสอบมอนสเตอร์และผู้เล่นได้ แต่ถ้าหากเป้าหมายมีระดับมากกว่าผู้ใช้เกิน 20 ระดับ จะสามารถตรวจสอบได้เพียงแค่ชื่อกับยศและระดับเท่านั้น

ทักษะ ปลดผนึก ใช้พลังเวท 100 ไม่มีระยะเวลาดีเลย์
ทักษะระดับ S สามารถใช้ปลดผนึกอาวุธที่ถูกผนึกอยู่ได้

ทักษะ ผ่ามิติ ใช้พลังเวท 525 ระยะเวลาดีเลย์ 10 วินาที
ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถฟันเป็นคลื่นพลังโจมตีระยะไกลได้ พลังโจมตีเป็นธาตุแสงและไฟ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับพลังโจมตีของผู้ใช้ทักษะ

ทักษะ อัญเชิญอสูร ใช่พลังเวท 5000 ระยะเวลาดีเลย์ 6 ชั่วโมง
ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถอัญเชิญอสูรได้ โดยอสูรที่อัญเชิญมาสามารถได้มาจากทักษะผนึกอสูร หรือ สัตว์อสูรยอมรับเป็นนาย

ทักษะ ผนึกอสูร ใช้พลังเวท 800 ระยะเวลาดีเลย์ 1 ชั่วโมง
ทักษะระดับ A (จากอาวุธ) สามารถทำการผนึกอสูรเพื่อใช้งานได้ โอกาสสำเร็จขึ้นอยู่กับระดับของผู้ใช้และความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร

ช่องเก็บของ [ตัวละคร] จำนวน 2/10 ช่อง


เจนเห็นว่าค่าสถานะพื้นฐานของตนเพิ่มมาไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วเธอก็หันไปถามคนอื่น ๆ บ้าง

"พลังโจมตีของฉันอยู่ที่ห้าสิบแหนะ ค่าความเร็วก็พุ่งไปถึงสามสิบแล้ว" เจนบอก

"ไม่เลว ไม่เลว ของฉันก็พุ่งเกินยี่สิบทุกอย่างแล้วแต่ไม่เกินยี่สิบห้า เว้นอยู่สามอย่าง พลังป้องกันเวทกับความฉลาดนี่พุ่งนำไปสามสิบห้าแล้ว แต่โชคนี่ไม่กระดิกเลย"โจพูดพร้อมกับมองค่าโชคของตนอย่างไม่ค่อยพออกพอใจนัก

"คล้าย ๆ กันเลย แต่ของฉันเป็นค่าความอดทนกับพลังป้องกัน อย่างน้อยได้ฝึกกับอาจารย์หมิงก็ได้สถานะเพิ่มมาตั้งเยอะ แถมได้ทักษะระดับAมาด้วย แค่นี้ก็คุ้มแล้ว" แจ็คบอก

"นายได้ทักษะอะไรวะ แจ็ค ฉันได้คัมภีร์มหาเวทระดับSด้วยล่ะ แต่ต้องเป็นอาชีพสายเวทมนตร์ก่อนถึงจะอ่านได้" โจพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

"ทักษะกำแพงหินน่ะ เพิ่มพลังป้องกันชั่วคราวต่อการโจมตีระยะไกลแปดสิบเปอร์เซ็นต์ และการโจมตีระยะประชิดห้าสิบเปอร์เซ็นต์" แจ็คพูดสรรพคุณอย่างภูมิใจ ถึงแม้เขายังไม่ได้อาชีพสายป้องกันแต่ทักษะนี้ก็มีประโยชน์มากต่ออาชีพทุกสาย แล้วเขาก็หันไปหาเจนและพูดต่อ แต่พูดปลายประโยคด้วยเสียงกระซิบ "แล้วของเธอคงเป็นทักษะปลดผนึกนั่นใช่มะ"

"ใช่ ระดับ S แหนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงระดับสูงขนาดนี้" เจนพูดตามความรู้สึก


ยังไม่ทันที่เจนจะพูดจบก็โดนเพื่อนทั้งสองหิ้วปีกไปจากลานกลางเมืองซึ่งมีผู้เล่นเดินผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก


"ไอ้คุณเพื่อนครับ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ เธออย่าไปป่าวประกาศบอกใครเด็ดขาดว่าเธอมีทักษะแรร์อยู่ ถ้าหากยังอยากเล่นเกมนี้แบบสงบสุขอยู่" โจพูดเสียงกระซิบจนเจนนึกสงสัยว่ามันจำเป็นต้องทำกับแบบนี้เลยหรือเปล่า


ทั้งสองพาเจนมายังใต้ถุนของบ้านทรงไทยหลังหนึ่งซึ่งไม่มีใครอยู่ เว้นแต่เพียงเอไอหนุ่มสาวกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ชายบันได

"จะบอกฉันได้หรือยังว่าทำไมถึงพูดไม่ได้หะ" เจนถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจที่ถูกลากมา โจมองซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟังก่อนจะหันมาบอกเธอ

"ฟังนะ ทักษะนี้น่ะปกติแล้วจะตกลงมอนสเตอร์บอสระดับราชาเท่านั้นแต่ก็ยังไม่ได้มีระดับสูงอย่างของเธอ ทำให้คนที่มี’ทักษะระดับนี้’ ยังไม่มีใครเคยได้เลยด้วยซ้ำนะจะบอกให้" โจพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

"ในตอนนี้คนที่มีทักษะชนิดเดียวกันในปัจจุบันก็เป็นแค่ทักษะคลายผนึก ที่ปลดผนึกได้แค่ของระดับ A เท่านั้นเอง ไอ้ทักษะปลดผนึก ระดับ S ของเธอน่ะปลดผนึกของได้ทุกชิ้นได้เลย มันถึงต้องห้ามเธอไปบอกใครไง ลองนึกภาพพวกผู้เล่นเทพ ๆ มาตามตัวเธอให้เข้ากิลด์ด้วยเหมือนกับดาราโดนปาปาราสซี่ตามในทีวีดูสิ" แจ็คเสริม เจนเริ่มจะคิดว่าหมิงเต๋อให้ของขวัญที่คล้ายกับระเบิดแก่เธอซะแล้ว

เจนสะบัดหัวละความกลัวในใจของเธอออกไปก่อนจะหันไปหาเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตามั่นใจ

"เรื่องนั้นช่างหัวมันไปก่อนเถอะ ถ้าพวกเราเพิ่มระดับให้เก่งขึ้นจนไม่มีใครมาตอแยเราได้ แค่นั้นก็พอแล้วจริงมั้ย" เจนเอ่ย น้ำเสียงและดวงตาแบบนี้ของเจนพวกเขาไม่ได้เจอตั้งนานแล้ว และสายตาแบบนี้ละที่ทำให้พวกเขาและเจนผ่านอุปสรรคใด ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้เสมอๆ

ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ ก่อนทั้งสามจะเริ่มออกวิ่งไปสู่การผจญภัยที่กำลังรออยู่ด้านหน้า

จบตอนที่4

-----------------------

Tohan-kun
29th December 2013, 15:27
ตอนที่5 มินิบอส!



เจนและสองสหายเดินตรงไปยังอาคารระบบเป็นเป้าหมายแรกเนื่องจากเจนยังจำคำของเมลฟีน่าได้ที่ให้ไปรับของสำหรับผู้เริ่มเล่นเกมเป็นครั้งแรก


อาคารระบบนั้นไม่ได้เป็นทรงไทยเหมือนกับอาคารอื่นใกล้เคียง แต่เป็นตึกคอนกรีตแบบยุคปัจจุบันโดยเป็นอาคารที่ไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียว มีป้ายขนาดใหญ่ติดเอาไว้ว่าอาคารระบบทำให้คนที่ตาถั่วขนาดไหนก็สามารถหาเจอได้ไม่ยาก เมื่อเข้าไปด้านในก็พบว่าอาคารระบบนั้นออกแบบมาได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ช่องบริการที่มีมากกว่าห้าสิบช่อง จุดนั่งพักรอสำหรับคนที่กำลังรอคิวและจุดสำหรับผู้ติดตามที่แยกออกมาอีกที่หนึ่ง ซึ่งนั้นมีพื้นพี่กว้างมากโดยจากที่เจนพอเดาดูก็คงประมาณจุคนได้เกือบ ๆ สองร้อยคนเลยทีเดียว



โชคดีที่เวลานี้ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการมากนัก พวกเจนหยิบบัตรคิวและถูกเรียกในแทบจะทันที เธอตรงไปยังเคาท์เตอร์ที่มีหมายเลขบนบัตรคิวของเธอปรากฏอยู่แล้วก็พบกับพนักงานชายที่กำลังยิ้มต้อนรับผู้เล่นอย่างมีอัธยาศัยดีนั่งรออยู่



"สวัสดีครับ คุณเจน อาคารระบบยินดีให้บริการเสมอครับ" พนักงานหนุ่มพูดพร้อมกับมีรูปของเจนปรากฏขึ้นที่หน้าต่างเล็ก ๆ ข้างเคาท์เตอร์



"เอ่อ....ผม..เอ้ย! ฉันมารับอุปกรณ์เริ่มต้นน่ะค่ะ" เจนพูด พนักงานหนุ่มพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าผ้าใบหนึ่งแล้วส่งมาให้เธอ



"นี่เป็นกระเป๋าระดับหนึ่ง มีความจุสิบช่องนะครับ คุณเจนสามารถนำกระเป๋านี้คาดเอวได้ หรือจะนำไปใส่ช่องเก็บของตัวละครเพื่อความปลอดภัยก็ได้ครับ ถ้าหากคุณเจนต้องการกระเป๋าที่มีความจุที่มากกว่านี้ก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายอุปกรณ์หรือซื้อจากผู้เล่นทั่วไปก็ได้นะครับ" พนักงานหนุ่มบอก

"ต่อไปคือของเริ่มต้นด้านในกระเป๋านะครับ จะมีแผนที่ของเกาะนี้ อาวุธเริ่มต้นหนึ่งชนิด โดยคุณเจนสามารถระบุชนิดของอาวุธได้ในตอนเปิดกระเป๋าครั้งแรกนะครับ ส่วนของที่เหลือก็จะเป็นยาเพิ่มพลังชีวิตขนาดเล็ก สิบขวด ยาเพิ่มพลังเวทมนตร์ขนาดเล็ก สิบขวดและข้าวกล่องเริ่มต้นอีกสามกล่องครับ"



เจนรับกระเป๋าผ้ามาแล้วกล่าวขอบคุณกับพนักงานจากนั้นเธอก็เดินจากไป เมื่อเจนพยายามมองหาโจกับแจ็คที่แยกกันเข้าไปรับของเริ่มต้นก็พบว่าทั้งสองคนยังไม่กลับมา เธอจึงไปรออยู่จุดนั่งพักและเริ่มตรวจสอบของที่ได้มา



กระเป๋านักเดินทาง [ความจุ: 10ช่อง]

ระดับ E กระเป๋าสำหรับนักเดินทาง ถูกทำมาด้วยวัสดุทนทานเหมาะสำหรับใส่ของเล็ก ๆ เพื่อการเดินทางระยะไกล



เจนไม่แปลกใจเลยสำหรับจำนวนของที่ใส่ได้สำหรับกระเป๋าใบนี้ เพราะขนาดของมันเองก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ากระเป๋าคาดเอวใบเล็กนอกเกมเลย แต่ที่เจนชอบคือความกะทัดรัดและสามารถพกพาได้อย่างสะดวกสบายนั่นเอง เธอเลิกสนใจตัวกระเป๋าเริ่มที่จะสนของที่อยู่ด้านใน เมื่อเธอเปิดปากกระเป๋าออกมาก็มีเสียงดังขึ้นในหัว



เนื่องจากท่านได้ทำการเปิดกระเป๋าเริ่มต้นเป็นครั้งแรก ท่านสามารถเลือกชนิดของอาวุธได้หนึ่งชนิดค่ะ



"ดาบ" เจนเลือกทันทีโดยไม่ลังเล



ท่านได้รับ ดาบเริ่มต้น ระดับE จำนวน 1 เล่ม



เจนหยิบดาบขึ้นมาดู พบว่ามันเป็นดาบทรงยุโรปโบราณนอกจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษแต่กลับให้ความรู้สึกเหมาะมือมาก เจนลองดูรายระเอียดของอาวุธดู



ดาบเริ่มต้น ระดับE

พลังโจมตี 15

ดาบธรรมดา เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นใช้ดาบเป็นครั้งแรก



หลังจากที่ดูดาบเล่มใหม่ของตนจนพอใจแล้ว เธอก็เริ่มตรวจสอบของอย่างอื่นในกระเป๋าต่อ



แผนที่เกาะเริ่มต้น(ไทรีส)

แผนที่ที่ช่วยบอกตำแหน่งของพื้นที่ [ไทรีส]



ยาเพิ่มพลังชีวิตขนาดเล็ก 10 ขวด

น้ำยารสชาติอร่อยที่สามารถช่วยรักษาบาดแผลได้ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้วินาทีละ 5 เป็นเวลา 5วินาที



ยาเพิ่มพลังเวทมนตร์ขนาดเล็ก 10 ขวด

น้ำยารสชาติอร่อยที่สามารถช่วยฟื้นฟูพลังเวทได้ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังเวทมนตร์ได้วินาทีละ 5 เป็นเวลา 5วินาที



ข้าวกล่องเริ่มต้น 3 กล่อง

ข้าวกล่องรสอร่อย ช่วยฟื้นฟูเรี่ยวแรงให้กลับมาได้ [ใช้สำหรับทานเป็นอาหาร]



เจนพบว่าสิ่งของจำพวกขวดยาและข้าวกล่องหรือของที่มีจำนวนมาก ๆ นั้นสามารถวางซ้อนทับลงในช่องเดียวในได้ในช่องเก็บของ ทำให้ประหยัดพื้นที่ได้มากเลยทีเดียว ในขณะที่เธอจะดูรายระเอียดของแผนที่ โจและแจ็คก็เดินกลับมา เธอจึงเก็บแผนที่ลงกระเป๋าและนำมันคาดเอาไว้ที่เอวแล้วลุกขึ้นไปหาเพื่อนของตนแล้วพากันเดินออกจากอาคารระบบ



พวกเจนตรงไปยังประตูเมืองโดนทันที โดยข้างทางต่างมีพ่อค้าแม่ขายตั้งแผงขายของยาวเหยียด มีตั้งแต่น้ำยาเพิ่มพลังชีวิตไปจนถึงอาวุธที่เจนลองดูแล้วน่าจะเป็นอาวุธระดับสูงอยู่พอสมควรในเกาะเริ่มต้นแห่งนี้ พวกเธอทั้งสามคนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ถึงอยากจะซื้อก็ซื้อไม่ได้เพราะในกระเป๋าไม่มีเงินเลยซักแดงเดียว



เมื่อพวกเจนเดินออกมานอกเมืองก็พบกับทุ่งหญ้ากว้าง มีชายป่าอยู่ไกลออกไปอีกด้านของทุ่ง มีทางเดินยาวตัดผ่านทุ่งหญ้าจากไปถึงป่าแต่ในแถบนี้กลับไม่ค่อยมีคนมากเท่าไหร่ มอนสเตอร์ที่อยู่ในแถบนี้เป็นกระต่ายหลากสีโดยมีทั้งสีน้ำตาล สีขาวและสีดำซึ่งแต่ละตัวต่างก็มีลวดลายไม่ซ้ำกัน พวกมันกระโดดไปมาให้เห็นไปจนทั่วบริเวณแต่กลับไม่มีใครสนใจที่จะจัดการมันเลยแม้แต่น้อยโดยบางทีอาจจะเพราะท่าทางน่ารักของพวกมันเองที่ทำให้รอดชีวิติอยู่ได้ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเจนจึงลองใช้ทักษะตรวจสอบพวกมันดู



กระต่ายป่า ชั้นทหาร ระดับ 1

กระต่ายธรรมดา พบได้ตามป่าทั่วไป มีเนื้อน้อยแต่รสชาติอร่อยมาก

แพ้การโจมตีธาตุไฟ ทนทานต่อการโจมตีธาตุแสง



เจนมองดูหน้าต่างที่มีข้อมูลมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับตอนที่เธอใช้ทักษะตรวจสอบครั้งที่แล้ว โดยครั้งนี้การตรวจสอบสำเร็จเพราะเธอและเป้าหมายของทักษะมีระดับไม่ห่างกันเลย ต่างจากแกรนคริโนซอที่มีระดับแตกต่างกันคนละชั้นเลยทีเดียว



"พวกเราไม่ต้องสนใจมอนสเตอร์ระดับหนึ่งอย่างเจ้าพวกนี้หรอกเพราะจัดการไปก็ได้แค่พวกขนกับเนื้อ ค่าประสบการณ์ก็ไม่ได้ พวกเราเข้าไปด้านในป่าดีกว่า" โจว่าแล้วจึงเดินนำเจนและแจ็คตรงไปที่ชายป่า



"ว่าแต่พวกนายสองคนใช้อะไรเป็นอาวุธล่ะ" เจนถามระหว่างที่พวกเธอกำลังเดินเข้าป่า



"แจ็คใช้ปืนน่ะ ส่วนฉันใช้คทาเวท" โจบอกพลางหยิบอาวุธของตนให้เห็น



"หา! เกมนี้มีปืนด้วย! แล้วนายใช้เวทได้แล้วหรือไง"เจนถามด้วยความแปลกใจ



"คุณผู้หญิง ทีหลังหัดอ่านคู่มือให้ระเอียดหน่อยก็ดีนะ" แจ็คบอกพร้อมกับยกปืนไรเฟิ่ลแบบยุคสมัยปี 70 ขึ้นสะพายบ่าเลียนแบบทหารในสมัยนั้น



ในเกม ดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์ นั้นมีอาวุธหลากหลายมาก แต่เนื่องจากตัวเกมยังอยู่ในยุคโบราณจึงทำให้รูปแบบของอาวุธโบราณตามไปด้วย เช่นปืนของแจ็คที่แม้จะดูได้เปรียบธนูอยู่มากในเรื่องระยะยิง แต่ก็ต้องเสียเวลาเติมกระสุนอยู่มากและยังมีเสียงดังอีกด้วย ต่างจากธนูที่ได้เปรียบเรื่องพลังโจมตีกับความเร็วในการยิง และยังสามารถใช้ลอบโจมตีได้อย่างดีเยี่ยมอีกตางหาก ดังนั้นจึงมีอาวุธให้เลือกมากมายให้ใช้ตามสไตล์ของแต่ละคน



"ฉันยังใช้เวทมนตร์ไม่ได้หรอก แต่ฉันทำแบบนี้ได้ คอยดูให้ดี" โจพูดพร้อมกับยักคิ้วให้แล้วจึงหันไปหากระต่ายป่าตัวหนึ่งที่กำลังนอนเคี้ยวหญ้าอย่างมีความสุข เขายกคทาของตนขึ้นมา ทันใดนั้นหัวคทาก็เปล่งแสงสว่างออกมาพร้อมกับบอลพลังเวทพุ่งเขาใส่เจ้ากระต่ายผู้โชคร้าย



เฟี้ยว!! ตูม!



เป็นโชคดีของกระต่ายป่าตัวนั้นที่มันจ้องมองพวกเจนมาตั้งแต่แรก ทันทีที่ก้อนพลังพุ่งเข้าใส่ มันก็กระโดดหลบอย่างคล่องแคล่วและวิ่งหนีเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว แทนที่จะได้โชว์เพื่อน ๆ โจกลับโดนแจ็คและเจนหัวเราะใส่อย่างสะใจแทน



"เอาล่ะ พอเลย ๆ หัวเราะกันพอแล้ว เห็นหรือยังว่าคทาเวทพอทำอะไรได้บ้าง" โจพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์



"ฮะ ๆ โอเค พอเห็นแล้ว ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกัน" เจนถามเสียงสั่นเพราะพยายามจะหยุดหัวเราะ แจ็คได้ยินดังนั้นก็หยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋า



"ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้บริเวณชายป่าติดกับเมือง แถวนี้มีแค่มอนสเตอร์ระดับหนึ่งเท่านั้นแหละ พวกเราน่าจะไปที่นี่ ป่าชั้นต้น มีมอนสเตอร์ระดับสองถึงยี่สิบให้เก็บระดับยาว ๆ เลย แต่ที่นั่นคนก็เยอะอยู่เหมือนกัน" แจ็คบอกพลางชี้ไปยังจุดทีมีตัวหนังสือบอกเอาไว้ที่เลยจากจุดสีแดงที่แสดงให้เห็นว่าพวกตนอยู่ไปนิดหน่อย



"แล้วถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกล่ะ คนจะน้อยกว่านี้หรือเปล่า" เจนถามเพราะเธอไม่ค่อยชอบอยู่ในที่ ๆ มีคนเยอะ ๆ ซักเท่าไหร่เพราะถ้าไปเก็บเลเวลตรงนั้นมีหวังได้แย่งกันจนมีเรื่องอีก ถ้าให้เลือกเธอจะไปอยู่ในที่ไม่ค่อยมีคนมากกว่า



"เข้าไปอีกก็เป็นป่าชั้นกลาง มอนสเตอร์ก็จะมีอย่างพวกวัวป่าระดับยี่สิบเอ็ดถึงสี่สิบ แต่คนก็ยังเยอะอยู่ดีนั่นแหละเพราะแถบนี้มีแต่มอนสเตอร์ที่ไม่โจมตีก่อนทำให้มีคนตั้งหลักกันอยู่แถวนั้นกันเพียบ" แจ็คบอก อีกสาเหตุหนึ่งทีคนส่วนใหญ่ไปตั้งหลักกันแถวนั้นก็เพราะเป็นจุดเดียวในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถตั้งแค้มป์ได้อย่างปลอดภัย ผู้เล่นส่วนใหญ่จึงสามารถเก็บระดับกันแถวนั้นได้ทั้งวัน



"เฮ้อ....ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาจุดอื่นที่คนน้อย ๆ ดีกว่า ถึงจะเจอมอนสเตอร์ที่โจมตีก่อนก็ไม่เป็นอะไรหรอก พวกเราผ่านการฝึกกับอาจารย์หมิงมาได้แล้วคงไม่เกินฝีมือ จริงมั้ย" เจนบอก เพื่อนทั้งสองคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วจึงพากันเดินไปยังจุดที่ทั้งสามตกลงจะไปเก็บเลเวลกัน



เมืองไทรีสเป็นเมืองเริ่มต้นที่อยู่บนเกาะเช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ ของแต่ละประเทศ จนคนส่วนใหญ่มักจะเรียกชื่อเกาะตามเมืองเริ่มต้นอย่างเช่นที่นี่ เกาะไทริส โดยเกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่และมีภูมิประเทศคล้ายกับประเทศไทยที่ร้อนชื้น ดังนั้นบนเกาะจึงเต็มไปด้วยป่าและภูเขาสูง อย่างเช่นป่าสามชั้นซึ่งเป็นจุดเก็บระดับยอดนิยมของเกาะไทริส เพราะเนื่องจากมีมอนสเตอร์อยู่มากและไม่โจมตีก่อน แล้วยังมีจุดที่สามารถตั้งเต้นค้างคืนได้โดยไม่ถูกมอนสเตอร์โจมตีกลางดึกอีกด้วย ซึ่งปกติแล้วผู้เล่นที่จะตั้งแค้มป์ค้างคืนนั้นจะต้องพบกับมอนสเตอร์ที่ดุร้ายและแข็งแกร่งกว่าตอนกลางวันรวมทั้งโจมตีก่อนด้วย ทำให้ต้องมีคนมาคอยเฝ้ายามสลับกันตลอดคืนเพื่อนความปลอดภัย ยกเว้นเพียงในจุดที่ถูกประกาศว่าปลอดภัยในการตั้งแค้มป์เท่านั้น



สถานที่ที่พวกเจนกำลังเดินทางไปนั้นมีชื่อว่าป่าผลิใบ โดยมอนสเตอร์ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็มีระดับพอ ๆ กันมอนสเตอร์ที่ป่าชั้นกลางคือระดับยี่สิบถึงสี่สิบ แต่ที่ทำให้คนมีคนมาเก็บระดับแถวนี้ไม่มากก็เพราะมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นหมาป่าที่โจมตีก่อน และจิ้งจอกที่จะรุมถ้าหากมีใครไปโจมตีมันนั่นเอง แต่ในทางกลับกันมอนสเตอร์พวกนี่ก็ให้ค่าประสบการณ์ที่มากกกว่ามอนสเตอร์ในระดับเดียวกันอยู่เยอะเลยทีเดียว



เมื่อพวกเจนมาถึงป่าผลิใบก็พบกับจิ้งจอกอยู่หลายสิบตัวกำลังดมกินของอาหารอยู่ เจนเห็นดังนั้นจึงเปิดหน้าต่างช่องเก็บของตัวละครและเตรียมจะหยิบดาบระดับSของเธอ แต่โจก็รีบมาห้ามเอาไว้ก่อน



"เดี๋ยวเจน นั่นเธอกำลังเอา....ของนั่น.. ออกมาใช้ใช่หรือเปล่า" โจถามโดนพยายามพูดเป็นเสียงกระซิบให้เจนได้ยินคนเดียว



"ใช่สิ ดาบดีขนาดนั้นเก็บเอาไว้ก็น่าเสียดายออก" เจนพูดตามความจริง



"ฟังฉันนะ เธอจำที่ฉันบอกเธอเรื่องทักษะระดับ S ของเธอได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าขืนเธอใช้ดาบระดับนั้นให้คนเห็นละก็ มีหวังโดนโจรดักปล้นไม่ก็โดนมีคนมาแอบขโมยไปแน่ ทางที่ดีใช้ดาบเริ่มต้นไปก่อนดีกว่า เอาไว้ระดับสูงพอที่จะใช้ทักษะของดาบได้เต็มที่ค่อยเอามาใช้ก็ยังได้" โจบอก จริงอยู่ว่าเกมนี้ถ้าผู้เล่นฆ่าผู้เล่นด้วยกันจะไม่มีของตก แต่ผู้เล่นสามารถเปิดช่องเก็บของของผู้เล่นคนอื่นได้ด้วยทักษะขโมย แต่ถ้าหากอยู่ในกลุ่มเดียวกันก็จะมีคำสั่ง ใช้ของเพื่อน อยู่เพื่อสามารถใช้อาวุธหรือน้ำยาเพิ่มพลังของเพื่อนได้ในยามฉุกเฉิน



ที่โจเป็นห่วงจริง ๆ ก็คือถ้าหากมีคนรู้ว่าเจนมีดาบระดับ S ล่ะก็ เธอคงถูกตามรังควานจนกว่าจะได้ของที่ต้องการอย่างแน่นอน



"ถ้านายว่าอย่างนั้นก็ตามใจก็แล้วกัน" เจนพูดยอมอย่างทำใจ แต่เธอก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจนักเพราะเธอเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนอย่างเช่นตอนที่พวกเธอทั้งสามกลับมาจากตอนที่ซื้อเครื่องเฮดก็อกเกิ่ล ถึงในตอนนั้นเธอจะจัดการไปได้ด้วยฝีมือของเธอแต่ในตอนนี้เธออยู่ในเกมที่หากระดับต่ำกว่าก็มีโอกาสชนะยาก ดังนั้นเธอจึงตั้งมั่นเอาไว้ในใจว่าเธอจะไล่ตามจัดการเจ้าคนที่ทำตัวแบบนี้ให้หมด และก็แอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะเจอในอีกเร็ว ๆ นี้



เจนเปลี่ยนจากที่จะนำดาบคุซานางิเป็นดาบเริ่มต้นออกมาแทน เช่นเดียวกับพวกโจที่นำอาวุธของตนออกมาเตรียมพร้อมไว้



"ว่าแต่นายใช้ทักษะที่ได้มาได้หรือยังล่ะ แจ็ค" เจนถาม แต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ



"พลังเวทมนตร์ไม่พอน่ะ ทักษะระดับ A จะใช้ได้ตั้งแต่ระดับหนึ่งคงไม่สมกับเป็นทักษะระดับสูงนะ ว่ามั้ย" แจ็คถามกลับ



เจนพยักหน้าเข้าใจก่อนที่เธอจะไปเห็นหมาป่าตัวหนึ่งกำลังยืนจ้องมองพวกเธออยู่ไม่ไกล เจนชี้ให้แจ็คและโจเห็น ทั้งสองพยักหน้าเข้าใจแล้วเตรียมอาวุธพร้อมโจมตี ส่วนเจนรู้ว่าตัวเองต้องเป็นคนเข้าปะทะเนื่องจากเธอเป็นคนเดียวที่มีอาวุธโจมตีระยะประชิดนั่นเอง



ขนของหมาป่าชันขึ้นสูงให้รู้ว่ามันก็เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยเช่นกัน มันส่งเสียงขู่พร้อมกับก้าวเท้าของมันเข้ามาหาเจนอย่างช้า ๆ แต่ก็คอยระวังการโจมตีของแจ็คและโจที่ในตอนนี้มันไม่เห็นเงาของทั้งคู่แล้ว ซึ่งทั้งสองต่างก็หาจุดที่ตัวเองจะโจมตีจากมุมสูงได้อย่างปลอดภัย โดยโจขึ้นไปอยู่ต้นไม้ใกล้ ๆ ในขณะที่แจ็คซุ่มยิงอยู่ในระยะไกล



เจนรู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองกำลังทำอะไรเพราะเธอเคยเล่นเกมกับทั้งคู่มาหลายเกม ถึงจะไม่ใช่เกมออนไลน์เสมือนจริงแต่การที่เธอเกาะติดทั้งสองไม่ว่าจะเป็นตอนที่แนะนำเกมหรือเล่นแฉเทคนิคก็ทำให้เธอได้ซึมซับแผนการต่อสู้ของทั้งสองมาได้เป็นอย่างดี และนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลองสู้กับทั้งสองด้วยจริง ๆ หลังจากมั่นใจว่าทั้งคู่เข้าประจำที่แล้วเธอก็ใช้ทักษะตรวจสอบกับมัน



หมาป่า ชั้นทหาร ระดับ 20

หมาป่าธรรมดา มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ขนของมันสามารถนำไปขายร้านอุปกรณ์ได้

แพ้การโจมตีธาตุไฟ ทนทานต่อการโจมตีธาตุดิน



ดาบยาวถูกวาดออกมาด้านหน้าเพื่อวัดระยะห่างจากเจนกับหมาป่าซึ่งมันก็หยุดเดินเข้ามาหาและค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างๆอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับเจน สายตาของเธอจับจ้องไปที่เจ้าหมาป่าอย่างไม่ละสายตาและคอยดูการเคลื่อนไหวของมันเพื่อคอยหาจังหวะโจมตี



เจ้าหมาป่าเป็นฝ่ายที่เริ่มโจมตีก่อน มันกระโจนใส่เจนอย่างรวดเร็ว เธอตกใจกับความเร็วของมันจึงสมาธิขาดไปครู่หนึ่งจนถูกมันกระแทกเข้าจนล้มลงไปนอนกับพื้นโดยมันยืนคร่อมร่างของเธออยู่ แต่เจนยังตั้งสติทันใช้ดาบดันต้านเอาไว้ก่อนที่จะถูกเขี้ยวของมันขย้ำเต็มคอ



"จะทำอะไรก็รีบทำเข้าซี่!!" เจนตะโกนเสียงดังให้เพื่อนทั้งสองได้ยิน ยังไม่ทันขาดคำบอลพลังเวทก็พุ่งเข้ากระแทกมันกระเด็นไปออกไปจากตัวของเธอ เจนรีบลุกขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าใส่ก่อนที่เจ้าหมาป่าจะตั้งตัวได้ทัน เธอฟาดดาบเข้าใส่มันแต่พลาดเพราะมันกระโดดหลบไปแต่ก็ฝากรอยแผลไว้ที่ลำตัวของมันเป็นทางยาว เมื่อตั้งตัวได้มันก็หันไปมองเจนด้วยความแค้นแล้วมันก็พุ่งเข้าใส่เจนอีกครั้งโดยไม่สนใจบาดแผลของตัวเองเลยแม้แต่น้อย



คราวนี้เจนเตรียมพร้อมอย่างดี เธอกลิ้งตัวหลบแล้วใช้ดาบแทงเข้าที่คอของมันและตวัดออกมาอย่างแรงจนเลือดกระฉูดออกมาจากปากแผล ร่างของเจ้าหมาป่าฟุบลงกับพื้นเหมือนไร้เรี่ยวแรงแล้วก็กระตุกอย่างน่ากลัว จากนั้นมันก็หยุดลงแล้วเสียงประกาศบอกให้เจนรู้ว่าเธอจัดการมันได้แล้ว



คุณจัดการ หมาป่า ชั้นทหาร ระดับ 20



ระดับของคุณเพิ่มจากระดับ 1 เป็นระดับ 2



คุณได้รับทักษะ การใช้ดาบขั้นต้น จากการใช้อาวุธประเภทดาบจัดการมอนสเตอร์



เนื่องจากเกมนี้การจัดการกับมอนสเตอร์นั้นไม่ได้ค่าประสบการณ์ที่แน่นอนเนื่องจากผู้เล่นจะได้ค่าประสบการณ์เพิ่มจากการจัดการด้วยฝีมือที่เฉียบขาด และในบางครั้งมอนสเตอร์ก็สามารถเพิ่มระดับของตัวเองโดยจัดการมอนสเตอร์ตัวอื่นหรือผู้เล่นที่มีระดับมากกว่ามันได้ซึ่งอย่างหลังนั้นมีโอกาสน้อยมาก


เจนได้ยินว่าเธอได้ทักษะใหม่จึงรีบตรวจสอบก่อนในทันที



ทักษะ การใช้ดาบขั้นต้น ระดับ 1

ทักษะพื้นฐาน ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเมื่อใช้อาวุธเป็นดาบ



เจนประหลาดใจเล็กน้อยที่เธอจัดการเจ้าหมาป่าตรงหน้าแล้วระดับของเธอกลับเพิ่มขึ้นมาได้ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีคงเป็นเพราะระดับที่ต่างกันถึงสิบห้าระดับก็ไม่แปลกที่จะเพิ่มระดับง่าย ๆ เช่นนี้ และทักษะที่ได้มาใหม่นั้นเป็นทักษะติดตัวที่แสดงผลตลอดเวลา เธอมองร่างของหมาป่าอย่างแปลกใจเพราะมันยังไม่หายไปเหมือนเกมทั่วไป



"ทำไมร่างของเจ้านี่มันถึงไม่ยอมหายไปซักทีล่ะ" เธอหันไปถามโจที่กำลังปีนลงต้นไม้



"ก็เอาไว้ให้เธอแล่เนื้อไงล่ะ แต่ถ้าเธอปล่อยเอาไว้พักหนึงเดี๋ยวก็หายไปเอง ถ้าไม่อยากรอเธอก็ไปปรับตรงหน้าต่างระบบเอาก็ได้นะ" โจบอก



เนื่องจากเกม ดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์ นั้นมีการเปิดกว้างให้ผู้เล่นทำอะไรได้อย่างหลากหลาย รวมถึงการเก็บของจากมอนสเตอร์ที่เปิดให้ผู้เล่นฮาร์ดคอร์หรือผู้ที่ต้องการได้รับประสบการณ์ที่ผู้เล่นสามารถทำการแล่เนื้อออกจากร่างไร้วิญญาณของมอนสเตอร์ได้ แต่ถ้าหากผู้เล่นมีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดหรือต้องการจะให้ของตกแบบเดิมก็สามารถปรับให้เป็นปกติได้เช่นกัน



เจนเองนั้นไม่ได้พิสมัยการแล่เนื้อสด ๆ นัก เธอจึงรีบเปิดหน้าต่างระบบแล้วรีบเปลี่ยนให้ของตกตามปกติทันที ร่างของหมาป่ากลายเป็นแสงแล้วมีของตกอยู่แทนที่และเธอก็เก็บขึ้นมาทันที



คุณได้รับ หนังหมาป่า 1 ผืน

คุณได้รับ เขี้ยวหมาป่า 2 ชิ้น

คุณได้รับ เนื้อหมาป่า 5 ชิ้น



เจนจัดการนำเอาของเก็บใส่กระเป๋าแล้วหันไปหาโจที่กำลังเดินตามเธอมา



"ของที่ตกต่างคนก็ต่างเก็บเลยก็แล้วกันนะ แล้วค่อยมาแบ่งกันทีหลัง.....แล้วแจ็คล่ะ" เจนถามเพราะไม่เห็นตัวเพื่อนของตนเลย



"หมอนั่นแอบซุ่มอยู่แถวนี้ล่ะ ว่าแต่ระดับของฉันเพิ่มเป็นระดับสองแล้ว เธอล่ะ" โจถามกลับไป



"เหมือนกันเลย ฉันว่าเจ้าแจ็คเองก็เหมือนกัน มาดูกันดีกว่าว่าระดับเพิ่มแล้วมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง" เจนพูแล้วก็เปิดหน้าต่างสถานะตัวละครออกมาทันที





ชื่อ:เจน

อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 2

สถานะตัวละคร

พลังชีวิต 105/175 พลังเวทมนตร์ 214/214

ค่าความอิ่ม 100/100 ค่าความเหนื่อย 100/100



สถานะพื้นฐาน

พลังโจมตี 50 ความฉลาด 14

พลังป้องกัน 16 พลังป้องกันเวท 13

ความเร็ว 30 ความอดทน 25

ความแม่นยำ 11 โชค 9



เจนพบว่าค่าพลังชีวิตของตนเองเพิ่มมาถึง 50 และค่าพลังเวทมนตร์เพิ่มมาถึง 100 เลยทีเดียว แต่ค่าสถานะอื่นนอกจากนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย



"เยี่ยม พลังเวทของฉันเพิ่มมาตั้งเท่าตัวแหนะ บอลพลังเวทลูกหนึ่งก็กินพลังเวทมนตร์ไปตั้งยี่สิบห้าแล้ว แบบนี้ค่อยยิงได้จุใจหน่อย" โจว่า แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ทำอะไรต่อ ระดับของทั้งคู่ก็พุ่งขึ้นเป็นระดับสามอย่างรวดเร็วโดยที่ทั้งเจนและโจไม่ได้จัดการมอนสเตอร์เลยซักตัว



"เฮ้ พวก ฉันว่าเราแยกย้ายกันไปกันไปก่อนดีกว่ามั้ย เมื่อกี้ฉันเพิ่งจัดการกับกวางตัวเบ่อเริ่มได้ตัวหนึง ยิงเข้าไปที่ลูกตาเต็ม ๆ เลย มอนสเตอร์พวกนี้รับมือไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ถ้าพวกเราแยกไปฉันว่าน่าจะเร็วกว่านะ" เสียงของแจ็คดังขึ้นในหัวของเจน นี่คือระบบสื่อสารในกลุ่มของผู้เล่น โดยไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ถ้าอยู่ในกลุ่มเดียวกันทุกคนก็สามารถคุยกันได้อย่างไร้ปัญหา ถึงแจ็คเคยคิดว่าเกมนี้จะมีระบบช่วยเหลือผู้เล่นค่อนข้างน้อย แต่เจนก็ดีใจที่อย่างน้อยเกมนี้ก็ยังมีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นเกมบ้าง



"ฉันเห็นด้วย เอาไว้พวกเราระดับถึงยี่สิบแล้วมาเจอกันที่นี่ก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรก็ติดต่อผ่านระบบสื่อสารกลุ่มนะ" โจบอกกำหนดการณ์ แล้วจากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มแยกย้ายไปหาทำเลเหมาะ ๆ สำหรับตัวเองทันที



เจนเดินแยกออกไปแล้วเริ่มมองหาจุดที่มีมอนสเตอร์เยอะ ๆ เพื่อจะเก็บระดับ เธอพบกับกวางป่าระดับยี่สิบที่เธอก็สามารถจัดการได้ไม่ยากเย็นนักแม้จะมีระดับที่ห่างกันมากก็ตาม นั่นเป็นเพราะพลังโจมตีของเธอที่พุ่งทะลุไปถึง 50 นั่นเอง ซึ่งปกติแล้วคนที่จะมีพลังโจมตีได้ขนาดนี้ก็ต้องฝึกมานานพอสมควรหรือไม่ก็ต้องมีระดับถึงยี่สิบห้าเลยทีเดียว



เมื่อเจนเดินไปต่อก็พบกับหมาจิ้งจอกเป็นจำนวนมาก แต่เธอไม่คิดจะโจมตีมันถึงแม้ของที่ตกจากมอนสเตอร์จะถูกพวกมันวิ่งฉกไปทุกชิ้นเลย นั่นก็เพราะมันจะรุมโจมตีคนที่ทำร้ายเพื่อนของพวกมันอย่างไร้ความปราณีทันที และเธอเองก็เห็นตัวอย่างมาไม่น้อย อย่างเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่มาเก็บระดับใกล้ ๆ กับเธอ เขาโจมตีพลาดไปโดนจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้าจนโดนกองทัพจิ้งจอกรุมจนกลายเป็นแสงไปอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งของเอาไว้บนพื้นซึ่งเจนก็ไม่มีโอกาสได้เก็บไปเลยเพราะเหล่าจิ้งจอกนั้นได้คาบของที่ตกอยู่ไว้แล้ววิ่งหนีหายไปทันที



จนถึงตอนนี้เธอมีระดับพุ่งขึ้นมาถึงระดับสิบแล้วในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วถือว่าไวพอควรเลยทีเดียว เพราะเธอเก็บระดับกับมอนสเตอร์ระดับที่ห่างกันอยู่ค่อนข้างมากและยังได้ค่าประสบการณ์ที่แบ่งจากกับพวกโจอีกด้วยทำให้เวลาเธอจัดการกวางหรือหมูป่าแถวนี้ก็ทำให้ระดับของเธอเพิ่มขึ้นมาทันที แต่มอนสเตอร์ธรรมดาเหล่านี้ก็เริ่มให้ค่าประสบการณ์น้อยลงแต่ก็ยังถือว่าเยอะอยู่ดีถ้าหากไปเก็บเลเวลที่อื่น



ส่วนทักษะการใช้ดาบขั้นต้นก็เพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 15 แล้วก็หยุดลงเหมือนกับว่าการที่เธอสู้กับมอนสเตอร์สัตว์เหล่านี้จะไม่ได้ช่วยเพิ่มฝีมือในการใช้ดาบของเธออีก เมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะตอนนี้ที่เธอสนใจคือระดับของตัวเธอเองมากกว่า



เจนเดินตรงเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ แต่น่าแปลกเพราะว่าเธอเจอแต่จิ้งจอกและสัตว์กินหญ้าทั่วไปเท่านั้นเอง นับตั้งแต่หมาป่าตัวนั้นแล้วเธอก็ไม่เจอมอนสเตอร์ตัวไหนที่โจมตีก่อนอีกเลย รวมทั้งเธอก็ไม่เจอหมาป่าตัวอื่นเลยแม้แต่ตัวเดียว



"แปลกจังแฮะ ไปอยู่ไหนหมดนะพวกหมาป่านั่น" เจนพูดขึ้นลอย ๆ แล้วมองหาหมาป่า คราวที่แล้วเธอพลาดท่าให้เพราะตกใจ แต่เธอเองก็มั่นใจว่าคราวนี้เธอจะไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน



ในตอนนั้นเองที่เธอเห็นหมาป่าตัวหนึ่งกำลังยืนขู่จิ้งจอกตัวหนึ่งอยู่ จิ้งจอกตัวนั้นเธอเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังบาดเจ็บจากขนสีขาวเปื้อนเลือดของมัน เจนรู้สึกว่าจิ้งจอกตัวนี้จะดูแปลก ๆ เพราะขนของมันเป็นสีขาวแทนที่จะเป็นสีน้ำตาลอย่างจิ้งจอกทั่วไป และเจ้าหมาป่าเองก็มีขนสีแดงแทนที่จะเป็นน้ำตาล



"มาสู้กับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีกันดีกว่ามั้ย เจ้าหมาป่า" เจนพูดเสียงดังแล้วเดินเข้าไปหาหมาป่าอย่างไม่เกรงกลัว ดาบในมือถูกวาดออกมาข้างตัวเตรียมพร้อมจะจู่โจมทุกเมื่อ



หมาป่าแดงและจิ้งจอกขาวต่างหันมามองผู้มาใหม่ตาไม่ขยับ เมื่อเจ้าหมาป่าเห็นว่าเจนนั้นดูท่าทางไม่ค่อยเก่งนักมันก็เปลี่ยนเป้าหมายไปยังเจนทันที ปล่อยให้จิ้งจอกขาวที่บาดเจ็บที่ขาจนไม่สามารถเคลื่อนไหวเอาไว้ที่เดิม



ทางจิ้งจอกขาวเองก็ส่งเสียงเห่าอันแหลมเล็กของมันเหมือนกับจะบอกว่าให้รีบหนีไป เจนพอรู้ว่ามันพยายามสื่อสารกับเธอ เด็กสาวส่งยิ้มไปให้แล้วหันกลับมามองคู่ต่อสู้ของเธอแล้วจึงใช้ทักษะตรวจสอบเพื่อประ****คู่ต่อสู้ตรงหน้า



[มินิบอส] หมาป่าขนแดง

ชั้นทหาร ระดับ 39

หมาป่าระดับกลาง มีนิสัยดุร้าย มักอยู่ตามลำพัง มีความไวและพลังโจมตีสูงมาก ขนสามารถนำไปขายได้

แพ้การโจมตีธาตุน้ำ ทนทานต่อการโจมตีธาตุไฟและดิน



เมื่อเจนเห็นว่าหมาป่าตัวนี้เป็นถึงระดับมินิบอสที่เก่งกว่าหมาป่าที่เธอเคยเจอมาก แต่เธอเองก็มีความมั่นใจว่าเธอไม่แพ้มันอย่างแน่นอน โดยความรู้สึกของเธอนั้นรุนแรงมากเพราะเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้มันช่างคล้ายกันกับเหตุการณ์ที่เธอเจอก่อนที่จะได้มาเล่นเกมนี้ซะเหลือเกิน



กรร



หมาป่าขนแดงส่งเสียงขู่และก้าวเท้าไปรอบตัวเจนคล้ายกลับว่ากำลังหาจังหวะจู่โจม เจนที่เห็นดังนั้นก็ไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เธอจำคำที่หมิงเต๋อบอกเธอเอาไว้ขึ้นใจแล้วพุ่งตัววาดดาบใส่หมาป่าขนแดงทันที



เจ้าหมาป่าที่เห็นเจนเข้าโจมตีมันจึงรีบกระโจนใส่ตัวมันบ้าง เจนเอี้ยวตัวหลบการโจมตีของหมาป่าขนแดงไปได้อย่างฉิวเฉียดแล้วสะบัดดาบใส่เข้าเต็ม ๆ ขาของมันแต่กลับไม่สามารถเรียกเลือดจากมันได้เลยแม้แต่น้อย



'โจมตีไม่เข้า!' เจนคิดในใจอย่างตื่นตระหนก เพราะเมื่อครู่เธอโจมตีโดนเข้าเต็ม ๆ ถึงจะไม่ใช่การโจมตีอย่างเต็มที่แต่มันควรจะต้องมีบาดแผลบ้าง ที่เธอรู้สึกได้จากการโจมตีนั้นเหมือนกับว่าเธอกำลังฟาดดาบใส่หินชัด ๆ



เจนรีบทิ้งระยะห่างและหันไปมองหมาป่าขนแดงและพบว่าร่างของมันในตอนนี้ส่องสว่างเล็กน้อย เธอมั่นใจเลยว่ามันใช่ทักษะเสริมพลังป้องกันอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอเลยคิดจะถ่วงเวลาไปก่อนเพราะระดับของเธอและหมาป่าขนแดงตัวนี้ห่างกันเกินไป ถ้าให้สู้กันตรง ๆ เธอคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอน



แต่เจนก็คิดผิดอีกครั้งเมื่อเธอคิดว่ามันใช้ทักษะเพิ่งพลังป้องกันอย่างเดียว เจ้าหมาป่าขนแดงพุ่งเข้าใส่เจนอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมจนแทบมองไม่ทัน ยังโชคดีที่เจนมีสัญชาตญาณไวและยกดาบมาป้องกันการโจมตีเอาไว้ได้แต่ก็ทำให้เธอกระเด็นล้มลงไปกับพื้น ดูท่าทางทักษะที่มันใช้จะไม่ใช่แค่ทักษะเพิ่มพลังป้องกันอย่างเดียวซะแล้ว



ในเวลานี้เจนต้องเพิ่งฝีมือของเธออย่างเดียว เนื่องจากเธอนั้นยังไม่มีทักษะที่ช่วยในการต่อสู้เลย และในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาไปหยิบดาบคุซานางิจากช่องเก็บของตัวละครของเธออีกด้วย เธอนึกแค้นใจตัวเองที่ไม่ย้ายดาบมาใส่เอาไว้ในกระเป๋าของเธอเพื่อที่จะสามารถหยิบออกมาได้อย่างทันท่วงที



ทางเจ้าหมาปาขนแดงที่เห็นว่าเจนเสียเปรียบอย่างเต็มประตูจึงวิ่งเข้าใส่เด็กสาวอย่างรวดเร็วทันทีเพื่อหวังจะจัดการเหยื่อที่หลงทางมาให้เสร็จ ๆ ไปแล้วไปจัดการเหยื่ออีกตัวที่มันทิ้งเอาไว้



แต่แล้วเจนก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจเขวี้ยงดาบใส่เจ้าหมาป่าที่วิ่งเข้ามา แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงชั้นเชิงที่เหนือกว่าด้วยการฉีกตัวหลบออกข้างอย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งที่มันไม่ได้คาดเอาไว้คือหมัดลุ้น ๆ ของเจนที่ตามมาจนหลบไม่ทัน



ผลั้ก!



หมัดของเจนเข้าเป้าเต็มๆแต่นั่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย เจนรีบวิ่งแล้วกระโดดพุ่งตัวใส่อย่างแรงจนมันกระเด็นล้มลงไป เจนตัดสินใจเมื่อสู้ด้วยกำลังเอาชนะไม่ได้ เธอก็จะสู้ด้วยทักษะการต่อสู้ที่เธอมีทั้งหมดแบบทุ่มสุดตัว เจนกดคอของหมาปาขนแดงไว้กับพื้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วใช้เข่ากระหน่ำแทงลงไปที่ท้องของมันอย่างไม่ยั้ง



ดั่งโชคช่วยเพราะทักษะเสริมพลังของเจ้าหมาป่าขนแดงนั้นหายไปพอดี ทำให้การโจมตีของเจนนั้นได้ผลอย่างชะงัก เจ้าหมาป่าขนแดงที่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากก็พยายามจะดิ้นให้ตัวเองหลุดออกจากพันธนาการ แต่มันกำลังอยู่ในท่านอนหงายไม่สามารถหาหลักยันได้ อีกทั้งที่เจนแทงเข่าไปที่ท้องทำให้เรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มหายไป



จนในที่สุดเจนก็หมดแรงเช่นเดียวกัน เธอผละออกมาจากร่างของเจ้าหมาป่าขนแดงที่นอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้นแล้วรีบไปหยิบดาบของเธอที่อยู่ไม่ไกล เมื่อหันกลับมาก็พบว่ามันกำลังพยายามลุกขึ้นมาให้ได้จนเธอชื่นชมความเร็วในการฟื้นตัวและความอึดของมันที่มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก่อนที่เจ้าหมาป่าขนแดงจะได้ทำอะไรต่อ เด็กสาวก็ควงดาบหนึ่งรอบแล้วแทงลงไปกลางกระหม่อมทะลุหัวในครั้งเดียว



ร่างของเจ้าหมาป่าขนแดงแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนก่อนที่จะกลายเป็นแสงไปท่ามกลางสายตาของจิ้งจอกขาวที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา



คุณจัดการหมาป่าขนแดง ชั้นทหาร ระดับ 39

ระดับของคุณเพิ่มจาก 10 เป็น 11

คุณได้โบนัสเนื่องจากกำจัดมอนสเตอร์ระดับมินิบอส

ระดับของคุณเพิ่มจาก 11 เป็น 12



คุณได้รับทักษะ การต่อสู้มือเปล่า จากการใช้มือเปล่าจัดการมอนสเตอร์



คุณได้รับ หนังหมาป่าขนแดง 1 ผืน

คุณได้รับ เขี้ยวหมาป่าชั้นสูง 4 ชิ้น

คุณได้รับ เนื้อหมาป่า 5 ชิ้น

คุณได้รับหนังสือทักษะ เสริมพลังกาย 1 เล่ม

คุณได้รับ มีดขนแดง 1 ด้าม



เจนเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินว่าเธอเพิ่งจัดการมอนสเตอร์ระดับสูงไป เธอรีบตรวจสอบของที่ได้มาอย่างตื่นเต้นโดยเฉพาะหนังสือทักษะและอาวุธใหม่ที่ดูจะถูกใจเธอมากที่สุด



ทักษะ เสริมพลังกาย ใช้พลังเวท 50 ระยะเวลาดีเลย์ 5 นาที

ทักษะระดับ E สามารถเสริมพลังโจมตี พลังป้องกันและความเร็วขึ้นสองเท่าได้ชั่วขณะหนึ่ง



มีดขนแดง ระดับ D

พลังโจมตี 40

มีดขนาดเล็กเหมาะสำหรับใช้แทงและเฉือน มีขนาดเหมาะมือและซ่อนได้อย่างง่ายดาย

- มีโอกาสโจมตีแล้วศัตรูได้รับสถานะ 'เลือดไหล'



ถือได้ว่าของที่เจนได้มานั้นมีค่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะอาวุธระดับ D ในเกาะเริ่มต้นนั้นพูดได้ว่าหายากและราคาสูงเอาการสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเล่น และหนังสือทักษะที่ตกจากมอนสเตอร์นั้นก็ถือเป็นของแรร์เลยทีเดียว



หลังจากที่เก็บของต่างๆเข้ากระเป๋าเริ่มต้นแล้ว เธอก็เหน็บมีดขนแดงเอาไว้ที่สายคาดกระเป๋าเผื่อเอาไว้ และเก็บดาบลงฝักพร้อมทั้งกับเหน็บเอาไว้อีกข้างจากนั้นจึงตรวจสอบสถานะของตัวเอง



ชื่อ:เจน

อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 12

สถานะตัวละคร

พลังชีวิต 675/675 พลังเวทมนตร์ 1214/214

ค่าความอิ่ม 74/100 ค่าความเหนื่อย 49/100



สถานะพื้นฐาน

พลังโจมตี 50 ความฉลาด 14

พลังป้องกัน 16 พลังป้องกันเวท 13

ความเร็ว 32 ความอดทน 25

ความแม่นยำ 11 โชค 9



จากเมื่อครู่เจนพบว่าค่าความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นมาถึงสองเลยทีเดียว แต่สถานะอื่น ๆ กลับไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นตามนอกจากพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มระดับเท่านั้น



หลังจากสำรวจของและสถานะของตนเสร็จแล้วเจนก็หันไปหาจิ้งจอกขาวที่ยังคงนอนอยู่ที่เดิม โดยดวงตาของมันนั้นหลับสนิทราวกับว่ามันยอมรับในชะตากรรมของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจนเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหาก่อนที่จะหยิบขวดยาเพิ่มพลังชีวิตออกมาแล้วเทลงไปบนแผลของจิ้งจอกน้อยตรงหน้า



เจ้าจิ้งจอกขาวลืมตาดูสิ่งที่เจนทำอย่างแปลกใจและหันหน้ามองดูหน้าของเจนสลับกับแผลของตน หลังจากที่ยาหมดขวดเจนก็มองดูบาดแผลของจิ้งจอกขาวที่กำลังค่อย ๆ สมานกันอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าจิ้งจอกขาวลุกขึ้นและสะบัดขาของมันดูแล้วยืนมองเจนด้วยความสงสัย



"เอ้า มัวยืนอะไรอยู่อีกล่ะ รีบไปซะ เดี๋ยวก็เจอเจ้าหมาป่าเมื่อกี้เข้าอีกหรอก" เจนพูดพลางสะบัดมือไล่ เจ้าจิ้งจอกน้อยกระโดดหลบไปยังพุ่มไม้ใกล้ ๆ ก่อนที่จะโผล่หัวออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะมุดกลับเข้าพุ่มไม้ไปอีกรอบ



เจนมองดูการกระทำของจิ้งจอกขาวอย่างรู้สึกเอ็นดู เธอชื่นชมเกมนี้มากเลยทีเดียวที่สามารถเลียนแบบความอยากรู้อยากเห็นของสัตว์ได้เป็นอย่างดี และทำให้มันรู้สึกน่ารักน่าชังไม่น้อย จนตัวเจนเองที่มีรสนิยมที่ชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ อยู่แล้วอยากจะจับเจ้าจิ้งจอกน้อยมากอดให้เต็มรัก



เธอฟังเสียงของจิ้งจอกขาววิ่งผ่านพุ่มไม้ไปจนเธอไม่ได้ยินอีก ก่อนที่จะหันไปติดต่อเพื่อนของเธอผ่านระบบสื่อสารกลุ่ม



"แจ็ค โจ นี่เจนนะ ฉันระดับสิบสองแล้ว พวกนายระดับเท่าไหร่กันแล้ว" เจนถาม



"หา! สิบสองแล้ว ทำไมเธอถึงระดับแซงฉันไปแล้วล่ะ ในกลุ่มมันแบ่งค่าประสบการณ์เท่ากันไม่ใช่หรือ" แจ็คถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้



"เมื่อกี้ฉันจัดการมอนสเตอร์ระดับมินิบอสไปน่ะเลยได้โบนัสเพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แถมได้หนังสือทักษะกับอาวุธมาใหม่ด้วยล่ะ" เจนบอกด้วยน้ำเสียงดีใจ



"มินิบอส! เธอจัดการตัวอะไรไปน่ะ เป็นกวางหรือหมูป่า" โจเดา



"หมาป่าขนแดงน่ะ ฉันได้หนังสือทักษะเสริมพลังกายมาน่ะ ว่าจะลองเรียนดูเลย" เจนตอบ



"เรียนเลยก็ดีนะ ทักษะนี้มีขายในร้านหนังสือทักษะในเมืองแต่มีราคาแพง อีกอย่างทักษะนี้เหมาะกับสายโจมตีระยะประชิดแบบเธออยู่แล้วล่ะ" โจว่า ที่เขารู้ได้นั้นเพราะเขาได้ทำการศึกษามาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นข้อมูลต่าง ๆ ในเกมหรือเหตุการณ์ภายในเกมปัจจุบัน



"เข้าใจแล้ว ฉันจะพักกินข้าวซักหน่อย อืม... ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว เอาไว้ซักบ่ายสามถ้าระดับยังไม่ถึงยี่สิบล่ะก็ไปเจอกันหน้าทางเข้าป่าผลิใบนะ" เจนว่าพลางเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาดูเวลาในเกม โดยมีนาฬิกาบอกเวลานอกเกมด้วย มันบอกว่าตอนนี้เวลานอกเกมนั้นตีสองกว่า ๆ แล้ว



เจนหันไปมองรอบๆว่าเผื่อมีตัวอะไรอยู่แถวนี้ก่อนที่จะหาที่นั่งพัก เธอเลือกเป็นใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีร่มเงาสามารถบังแดดได้เป็นอย่างดี เจนล้มตัวลงนั่งและหยิบข้าวกล่องเริ่มต้นขึ้นมากินทันที คำแรกที่เข้าปากไปนั้นบอกได้เลยว่ามันมีรสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ แต่ต้องบอกว่านี่ยังสู้รสชาติอาหารฝีมือแม่ของเธอไม่ได้



ในขณะที่เจนกินข้าวกล่องนั้น เธอก็หันไปศึกษาหน้าต่างระบบ ที่นอกจากจะมีนาฬิกาบอกเวลาแล้ว ยังมีส่วนล็อกเอาท์จากเกมด้วย อีกด้านหนึ่งที่เป็นส่วนปรับเซ็นเซอร์ที่แบ่งเป็นส่วนย่อยซับซ้อนมาก อย่างเช่นนอกจากส่วนแล่เนื้อมอนสเตอร์แล้วยังมีส่วนที่เกี่ยวกับคู่รัก เช่นจูบหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เจนรีบปิดหน้าต่างระบบลงทันทีพลางคิดในใจว่าเกมนี้มันจะเหมือนจริงไปไหน



'จุดนี้ต้องเป็นฝีมือของหมอเกอร์ธูทแน่ ๆ ไม่มีใครบ้าพอจะใส่ของแบบนี้ลงมาในเกมหรอก' เจนคิดในใจระหว่างส่งข้าวกล่องคำสุดท้ายเข้าปากไป เมื่อจัดการข้าวกล่องหมดแล้วเจนก็เก็บกล่องเปล่าลงกระเป๋า



ทันใดนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่ามีตัวอะไรบางอย่างล้อมเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอรีบชักดาบเริ่มต้นออกมาทันทีเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ เสียงของพวกมันเคลื่อนตัวอยู่ในพงหญ้าดังไปรอยตัวของเจนแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว เธอค่อย ๆ ขยับตัวหลังชิดต้นไม้เพื่อป้องกันการถูกลอบโจมตีพลางคิดนึกโทษตัวเองอยู่ในใจที่ไม่ระวังและลืมเรียนทักษะจากหนังสือทักษะอีกด้วย



หมาป่าขนสีดำตัวหนึ่งเดินออกมาจากพงหญ้าด้านหน้าของเจน มันมีขนาดพอ ๆ กับหมาป่าขนแดงเลยดีเดียว เจนรีบใช้ทักษะตรวจสอบมันทันที



หมาป่าขนดำ

ชั้นทหาร ระดับ 35

หมาป่าระดับกลาง มีนิสัยดุร้าย มักอยู่รวมกันเป็นฝูง มีความไวและพลังโจมตีปานกลางแต่ความอันตรายของมันคือจำนวนฝูงของมัน

แพ้การโจมตีธาตุไฟ ทนทานต่อการโจมตีธาตุดิน



ไม่ใช่มันแค่ตัวเดียวที่เดินออกมาจากพงหญ้า แต่เป็นหมาป่านับสิบยี่สิบตัวที่เดินออกมา มันส่งเสียงขู่พลางเดินล้อมรอบตัวเจนและต้นไม้โดยที่ไม่เข้ามาโจมตีก่อนทำให้เจนรู้ได้ทันทีว่างานนี้ไม่หมูซะแล้ว



จบตอนที่5



-------------------

Tohan-kun
30th December 2013, 16:18
ตอนที่6 พลังสถิตร่าง



ก้อนพลังเวทสีฟ้าพุ่งจากไม้คทาของโจตรงไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็ว มันเป็นมอนสเตอร์ขนาดใหญ่โดยมีความสูงราว 8 เมตร มันมีรูปร่างคล้ายกิ้งก่าแต่ตัวของมันเป็นต้นไม้ทั้งตัว และไม่ได้มีเพียงโจคนเดียวที่กำลังโจมตีมันอยู่ คนกลุ่มใหญ่เลยทีเดียวที่กำลังรุมโจมตีมอนสเตอร์ตัวนี้อยู่รวมทั้งแจ็คที่กำลังใช้ปืนยิงจากระยะไกลพร้อมทั้งลองใช้ทักษะตรวจสอบดู



อสูรพฤกษา

ชั้นทหาร ระดับ 50



โจไม่แปลกใจนักที่เพื่อนของเขาบอกมาว่าตรวจสอบล้มเหลวเพราะมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ตรงหน้านี้เป็นถึงมอนสเตอร์ระดับบอสของป่าแห่งนี้เลยทีเดียว อีกทั้งมันยังมีจุดเกิดที่ค่อนข้างชัดเจนและช่วงเวลาเกิดที่แม่นยำนั่นคือ 1 วัน ต่อ 1 ตัว จึงทำให้เป็นที่นิยมและมีคนจำนวนมากได้มารอดักจัดการมันกันอยู่ทุกวัน



สำหรับโจและแจ็คที่มีระดับเพียงแค่ 11 นั้นไม่อาจต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับนี้ได้แน่นอน แต่เขาก็รู้ว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ปกติแล้วผู้คนบนเกาะเริ่มต้นนั้นจะรวมตัวกันเป็นคนหลายกลุ่มเพื่อช่วยกันจัดการมันตัวเดียว ถึงแม้จะได้ค่าประสบการณ์น้อยแต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะของที่ตกจากมันนั้นจะมีมากตามคนที่มาจัดการมันเลยทีเดียว และราคาที่สามารถขายได้จากร้านค้าระบบมากโขอยู่ในช่วงเริ่มต้นเช่นนี้



โจและแจ็คต่างพยายามโจมตีอสูรพฤกษาจากระยะไกลเช่นเดียวกับหลายคนที่สามารถโจมตีได้จากระยะไกลได้ ส่วนคนที่โจมตีระยะประชิดนั้นทำหน้าที่หลอกล่อให้อสูรพฤกษาไม่ไปหาพวกโจมตีระยะไกลซึ่งเป็นฝ่ายทำความเสียหายหลักและหาโอกาสโจมตีไปเรื่อย ๆ



หลังจากที่รุมโจมตีอยู่นาน ในที่สุดอสูรพฤกษาก็ล้มลงและกลายเป็นแสงไป ซึ่งแน่นอนว่าคนที่จัดการไม่ได้เป็นโจหรือแจ็คเพราะว่าไม่ได้เป็นคนตีเป็นคนแรก แต่พวกเขาก็ได้ค่าประสบการณ์ทำให้เพิ่มระดับจากเดิมที่เขาพยายามเก็บระดับให้ทันเจนจนตอนนี้พวกเขามีระดับอยู่ที่ 13 แล้ว



โจและแจ็ครวมกลุ่มกันจากนั้นจึงเดินเข้าไปยังจุดที่อสูรพฤกษาล้มลงซึ่งบริเวณนั้นมีคนอยู่กันเป็นจำนวนมาก ต่างคนต่างเก็บของที่ตกไปโดยทั้งคู่หยิบของของตัวเองขึ้นมาแล้วไปหาจุดนั่งพักใกล้ ๆ



"เอาล่ะ นี่คงพอสำหรับค่าที่พักคืนนี้" โจพูดแล้วเก็บกิ่งไม้ที่ตกมาจากอสูรพฤกษาลงกระเป๋า เช่นเดียวกับแจ็ค



"ทำไมนายไม่ให้เจนมาช่วยจัดการอสูรพฤกษาด้วยล่ะ แค่นี้พอแค่ค่าที่พักของเราสองคนเท่านั้นเอง ของอย่างอื่นจะขายได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้" แจ็คถามด้วยความสงสัย เพราะตอนก่อนี่เขาทั้งคู่จะเข้าไปร่วมโจมตีอสูรพฤกษานั้นเขาจะติดต่อไปหาเด็กสาวแล้วแต่เพื่อนของเขาห้ามเอาไว้ก่อน



"จะให้มาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก พวกที่เข้าไปโจมตีระยะประชิดส่วนใหญ่น่ะมีระดับสามสิบขึ้นไปทั้งนั้นล่ะ อย่างยัยนั่นเข้าไปล่ะก็มีหวังตายแน่ ๆ" โจบอกพลางหยิบแผนที่ขึ้นมาดู พบว่าจุดที่บอกว่าเจนนั้นยังไม่ขยับไปจากที่เดิมเลยนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่คุยกัน



"เจน ได้ยินหรือเปล่า นี่โจนะ" เด็กหนุ่มพูดแต่ไม่มีเสียงตอบรับ



"สงสัยกำลังสู้อยู่หรือเปล่าถึงตอบกลับไม่ได้.....หรือไม่ก็เผลอหลับไปแล้ว" แจ็คบอกความคิดของตน



"คงจะอย่างนั้น แต่จากที่ดูในแผนที่ ยัยเจนเข้าไปในจุดที่ลึกของป่าพอสมควรเลย ถ้าเดินเข้าไปอีกมีหวังเจอพวกหมาป่าขนดำรุมกินโต๊ะแน่" เด็กหนุ่มพูดขึ้นอย่างกังวลจนทำให้แจ็คสงสัย



"ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ เจนออกจะเก่งคงพอเอาตัวรอดได้มั้ง"



"ถ้าตัวต่อตัวน่ะ หมาป่าดำระดับน้อยกว่าหมาป่าขนแดงซะอีก แต่ปกติแล้วหมาป่าดำชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ อย่างน้อย ๆ ก็สิบตัวขึ้นไป แถมแต่ละตัวระดับอย่างต่ำก็ปาเข้าไปอยู่ที่ระดับสามสิบห้า ต่อให้คนที่มีระดับสี่สิบไปเจอยังลำบากเลย" โจบอก แต่เมื่อเขาติดต่อเพื่อนสาวคนนี้ไม่ได้เขาเลยไม่ได้คิดใส่ใจและหันไปคุยกับเพื่อนของตนต่อโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจนกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก







กลับมาที่เจน เธอพยายามหาทางรอดไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ แต่เนื่องจากจำนวนของหมาป่าดำที่มีมากเกินไป ต่อให้เธอหยิบดาบคุซานางิออกมาใช้ได้ทันเวลาก็ยังไม่รู้ว่าเธอจะรอดไปหรือเปล่าเลย พวกหมาป่าดำนั้นเองก็ใช่ว่าจะประมาท มันคอยสังเกตเจนต่อสู้กับหมาป่าขนแดงมาตั้งแต่ต้นโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ทำให้มันรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้านี้ไม่ได้รอดมาด้วยโชคแต่เป็นฝีมือที่วัดจากที่ตาเห็นไม่ได้



เจนพยายามลองหาทางหนีแต่พวกหมาป่าดำล้อมเธอเอาไว้หมดทุกทางจนเธอหมดหวังจึงคิดจะสู้ตายกับหมาหมู่เหล่านี้ แต่ตอนนั้นเองที่เจนนึกได้ถึงทางรอดอีกหนึ่งทาง แต่ถ้าหากเธอพลาดล่ะก็นั่นหมายถึงความตายของเธออย่างแน่นอน



เด็กสาวจ้องตาหมาป่าดำตัวที่อยู่ข้างหน้าเธอตาไม่ขยับ มันเองก็จ้องตาเธออย่างไม่ประมาทเช่นกัน ทันใดนั้นเองเจนตัดสินใจปาดาบของเธอใส่หมาป่าดำแต่แน่นอนว่าหมาป่าดำกระโดดหลบได้อย่างง่ายดาย ทว่าเจนไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโจมตีแต่เป็นการหลอกล่อ ทันทีที่หมาป่าดำเสียสมาธิ เจนก็หันหลังแล้วคว้ามีดขนแดงออกมาและเริ่มปีนต้นไม้ขึ้นไปทันที



เธอใช้มีดแทงลงไปในต้นไม้เพื่อช่วยในการไต่ขึ้นไปเพราะต้นไม้ต้นนี้มีลำต้นที่หนาแต่ไม่มีที่ให้ปีนขึ้นไปได้เลย เมื่อขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้วเจนก็เหลือบไปเห็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เธอตรงไปที่กิ่งนั้นทันทีเพราะแขนของเธอเริ่มจะหมดแรงซะแล้ว



เมื่อเจนขึ้นมานั่งบนกิ่งไม้ได้อย่างปลอดภัยแล้วเธอก็หันลงไปมองด้านล่าง เห็นพวกหมาป่าดำนั้นเห่าใส่เธออย่างโกรธเกรี้ยวโดยมีดาบเริ่มต้นที่เธอปาใส่นอนนิ่งอยู่ไม่ไกล ถึงจะต้องสละดาบไปแต่ในตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะโดนโจมตีแล้ว เจนคิดในใจ



เมื่อขึ้นมาบนต้นไม้เธอก็มองเห็นได้อีกมุมมองหนึ่ง พบว่าหมาป่าดำพวกนี้มีกันเกือบร่วม 20 ตัว และจัดวางกองกำลังได้อย่างดีมากโดย 15 ตัวนั้นมาล้อมเธอไว้ ส่วนอีก 5 ตัวนั้นอยู่รอบนอกคอยระวังภัยว่าใครจะมาลอบกัดพวกมันและกันเป้าหมายหรือก็คือเจนหนีออกไป ไม่แปลกใจเลยว่าหมาป่าดำนั้นมีความอันตรายกว่าหมาป่าขนแดงที่เป็นถึงมอนสเตอร์ระดับมินิบอส นั่นก็เพราะมันสู้ด้วยหัวไม่ได้สู้ด้วยกำลัง



"ขึ้นมาก็ยังหาทางรอดไม่ได้อยู่ดีแฮะ เรียกพวกโจมาช่วยดีกว่า" เจนพูดกับตัวเอง



"เจน ได้ยินหรือเปล่า นี่โจนะ" เสียงเรียกของเพื่อนเธอดังขึ้นในหัวประจวบเหมาะพอดี เจนกำลังจะตอบไปแต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังที่ทำให้เธอต้องหวั่นไหว



เปรี้ยะ



หัวของเด็กสาวหันไปตามเสียงทันควัน มันคือเสียงแตกของไม้บนกิ่งที่เธอนั่งพักอยู่ และในเวลานี้ก็สายเกินไปแล้วที่เธอจะขยับตัวหนีไปจากที่นี่



เปรี้ยะ ครืน!



กิ่งไม้ขาดออกจากลำต้นและร่างของเจนก็ตกลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง เหมือนกับเวลาเดินช้าลงกะทันหัน มือน้อยพยายามไขว้คว้าหาที่จับแต่ได้มาเพียงแค่ความว่างเปล่า เจนมองดูเหล่าหมาป่าดำกำลังเตรียมตัวกระโดดขึ้นมาหาเธอบนอากาศโดยไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่เป็นทุกตัวที่กำลังเตรียมพุ่งเข้าหาเธอ



ในห้วงเวลานี้ในใจของเจนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เด็กสาวหลับตาสนิทและเอาแขนป้องกันตัวเองเอาไว้ ในหัวมีเพียงคำคำเดียวที่ปล่อยหลุดปากเธอออกมา



"ช่วยด้วย"



ทันใดนั้นเองเจนรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นตาบอด ภาพที่เธอเห็นกลายเป็นความมืดมิดอย่างรวดเร็ว และสิ่งสุดท้ายที่เธอรู้สึกก่อนจะหมดสติไปคือร่างของเธอกำลังร่วงหล่นไปอย่างไม่รู้จบ







เจนฟื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในหนองน้ำตื้น ๆ แห่งหนึ่ง มองไปรอบ ๆ ก็พบว่าบ่อน้ำที่เธออยู่นั้นมีต้นไม้ล้อมรอบโดยพื้นน้ำสะท้อนแสงจันทร์เต็มดวงอย่างสวยงามราวกับว่ามีดวงจันทร์อยู่สองดวงก็มิปาน



เมื่อหันไปอีกทางเธอก็พบกับหินก้อนหนึ่งวางอยู่กลางหนองน้ำ มันเป็นหินก้อนกลมสีเทาซึ่งถ้าหากสายตาของเจนไม่ฝาดไปล่ะก็ ก้อนหินนั่นเรืองแสงได้ด้วยตัวเอง แต่พอลองดูอีกทีเธอก็คิดว่าคงเป็นเพราะแสงจากดวงจันทร์มากกว่า



"นี่เราอยู่ไหนเนี่ย นี่เราตายแล้วงั้นหรือ" เจนถามตัวเองแล้วนั่งลงอย่างหมดแรง แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฟังดูมีอำนาจดังขึ้นด้านหลังของเธอซึ่งเป็นทิศที่มีหินก้อนใหญ่วางอยู่



"ท่านยังไม่ตายหรอก"



เจนรีบหันไปตามเสียงทันที และเธอก็ถึงกับใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อตรงหน้าเธอในตอนนี้คือจิ้งจอกสีทองตัวใหญ่พอ ๆ กับอสูรพฤกษาเลยทีเดียว มันกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินโดยที่เจนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ และหางขนาดใหญ่ทั้ง 9 แผ่ขยายออกไปเหมือนกับรัศมีดูทรงอำนาจ



ร่างของมันมีแรงกดดันมหาศาลที่หมาป่าดำหรือหมาป่าขนแดงเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งแกรนคิโนซอก็ยังทำให้เจนรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะรู้สึกกดดันมหาศาลแต่เจนก็ใช้ทักษะตรวจสอบไปโดยไม่รู้ตัว



เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ

ชั้นเทพเจ้า ระดับ 40



เจนรู้สึกหมดเรี่ยวแรงทันทีเมื่อรู้ว่าเธอได้พบกันมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าที่ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อนในเกมเท่าที่รู้ในกระดานข่าว ขนาดหมาป่าเธอยังพยายามแทบตายกว่าชนะมาได้ นับประสาอะไรกับมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าที่สามารถเป่าให้เธอกลายเป็นเถ้าธุลีได้ในพริบตาเดียว



"ท่านไม่ต้องกลัวไป ไม่มีวันที่ข้าจะทำร้ายคนที่เป็นผู้มีพระคุณของข้าได้หรอก" เสียงของจิ้งจอกเก้าหากดังฟังดูนุ่มนวลพร้อมกับแรงกดดันที่สลายหายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทางจิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ามีสีหน้าคลายความกังวนลงจึงแนะนำตัวเอง



"ข้ามีนามว่า ทามาโมะ มาเอะ ได้โปรดเรียกข้าว่า มาเอะ"



"เอ่อ....ฉันชื่อเจน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" เจนบอกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนถึงจะมาจากจิ้งจอกตัวใหญ่แต่นั่นก็ทำให้เธอวางใจได้บ้าง



"ว่าแต่เมื่อกี้หมายความว่ายังไงหรือคะ ที่ว่าท่านเป็นฉัน เอ่อ...เป็นผู้มีพระคุณน่ะ" เจนถามด้วยความสงสัย



"เพราะท่านเป็นผู้ที่ช่วยบุตรสาวของข้าเอาไว้ ออกมานี่ซิ คิทซึเนะ" มาเอะพูดแล้วหันไปหาลูกสาวของตนที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลัง



เจนจำจิ้งจอกตัวนั้นได้ทันทีเพราะว่าขนสีขาวของจิ้งจอกน้อยที่เธอช่วยเอาไว้ยังติดตาของเธออยู่ในความทรงจำ ถึงแม่ของมันจะพูดแล้วแต่ดูท่ามันก็คงจะขี้อายไม่กล้าเข้ามาหาเจนซักที จนมาเอะต้องใช้หางหนึ่งดันตัวลูกสาวของตัวเองให้เข้ามาหา



" มีมารยาทหน่อย ขอบคุณพี่เขาสิ คิทซึเนะ" มาเอะบอก คิทซึนะหันหน้าไปมาแล้วมองหน้าเจน จากนั้นจึงก้มหัวลงอย่างน่ารักน่าเอ็นดู



'น่ารักจัง...' เจนคิดในใจแต่ความรู้สึกรักสัตว์ตัวเล็ก ๆ ของเธอก็แสดงออกมาทางใบหน้าอย่างชัดเจน



"เนื่องจากท่านได้ช่วยคิทซึเนะเอาไว้ ไม่ว่าท่านอยากได้อะไรขอให้บอกเรามาได้เลย" มาเอะบอกจ้องจดจ้องไปที่เจนด้วยสายตาเฉียบคม ทางเจนที่ได้ยินดังนั้นจึงมองไปที่คิทซึเนะตัวน้อยอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาที่คิทซึเนะด้วยท่าทางสบาย ๆ



"แต่ว่าท่านช่วยฉันเอาไว้แล้ว ท่านก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรแล้วนี่คะ" เจนบอก มาเอะมองเธอด้วยความแปลกใจ



"ท่านไม่ต้องการสิ่งตอบแทนอย่างนั้นหรือ" มาเอะถาม



"ก็ฉันช่วยหนูคิทซึเนะไว้ ท่านช่วยชีวิตฉันเอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราก็หายกันสิ" เจนพูดด้วยหน้าตาเรียบเฉยอีกครั้งราวกับว่าเป็นเรื่องปกติซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับมาเอะไม่น้อย ที่ผ่านมานั้นมีผู้คนมากมายที่เคยมาอยู่ที่นี่ด้วยหลาย ๆ สาเหตุ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเพราะช่วยชีวิตคิทซึเนะเหมือนกับเจนก็ตาม แต่ทุกคนที่สามารถมาที่นี่ได้ต่างก็ต้องการรางวัลตอบแทนกันทั้งสิ้น



ตามปกติแล้วที่นี่คือกับดักมรณะของเหล่าผู้เล่น ซึ่งผู้ที่เข้ามาที่นี่และถามถึงสิ่งตอบแทนจะถูกมาเอะจัดการไปในพริบตา แต่ในคราวนี้กลับมาพบคน ๆ แรกที่ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนต่างจากที่เธอเคยพบมาโดยสิ้นเชิง



มาเอะมองดูเจนอย่างพิจารณาอีกครั้งซึ่งในตอนนี้เด็กสาวกำลังเข้าไปลูบหัวของคิทซึเนะและจิ้งจอกน้อยก็ให้ลูบหัวโดยง่าย ตอนนั้นเองที่มาเอะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วเผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า



"ถ้าเป็นอย่างนั้น.. ท่านช่วยรับฟังคำขอร้องของข้าหน่อยได้หรือไม่" มาเอะเอ่ยปากถาม ทางเจนที่ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย



"เนื่องจากข้านั้นโดนผนึกด้วยมหาเวทโบราณอยู่ที่นี่มาแสนนาน ถึงจะสำแดงพลังได้บางส่วนแต่ก็ไม่อาจมีพลังมากพอที่จะทำลายผนึกออกไปจากที่นี่ได้ ดังนั้นข้าอยากจะขอฝากคิทซึเนะไปกับท่าน เพื่อช่วยหาวิธีคลายผนึกลง" มาเอะบอก เจนที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าตกใจเพราะไม่นึกว่าจู่ ๆ มาเอะจะมาขอให้เธอช่วยทั้ง ๆ ที่เธอมีระดับเพียงแค่ 12 เท่านั้น



"เอ๋! จะดีหรือคะ ฉันเองไม่ได้เก่งเท่าไหร่ ถ้าหากเจอพวกหมาป่าดำแบบเมื่อกี้อีกล่ะก็มีหวังไม่รอดแน่ ๆ" เจนบอก



"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะข้าจะให้พลังแก่ท่าน เพื่อตอบแทนที่ท่านช่วยชีวิตลูกสาวของข้าและเพื่อจิตใจที่ดีงาม บริสุทธิ์ของท่าน" ว่าแล้วร่างของมาเอะก็เปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง หางทั้ง 9 ส่ายไปมาอย่างทรงอำนาจ พลังมหาศาลถูกมารวมกันอยู่ตรงหน้าเจนเป็นก้อน ก่อนที่พลังนั้นจะพุ่งเข้าสู่ร่างของเจนไปอย่างรวดเร็ว



เจนรู้สึกได้ทันทีถึงพลังมหาศาลที่ไหลเข้ามาสู่ร่างของเธอ ความรู้สึกเหมือนกับร่างแทบจะระเบิดออกมาด้วยพลังทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดจนพูดแทบไม่ออก แต่ทันใดนั้นเองความรู้สึกเจ็บปวดนั้นก็หายไปและพลังออร่าสีทองก็มาปกคลุมร่างของเธอเอาไว้สร้างความอบอุ่นให้เธอก่อนที่มันจะสลายหายไปพร้อมกับเสียงประกาศดังขึ้นในหัวของเธอ



คุณได้รับทักษะ พลังสถิตร่าง จากเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ



ทักษะ พลังสถิตร่าง ใช้พลังเวท 1000 หลังจากใช้ทักษะแล้วใช้พลังเวท 100 ต่อ 1 นาทีเพื่อรักษาสภาพ ระยะเวลาดีเลย์ 1 วัน[นับเวลาเริ่มวันใหม่เป็นดวงตะวันขึ้นฟ้า]

ทักษะระดับ S หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว ผู้ใช้จะได้รับพลังมหาศาลซึ่งพลังจะแตกต่างกันไปตามมอนสเตอร์ผู้ให้พลัง

- พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง



เจนตกใจมากเมื่อในตอนนี้เธอได้รับทักษะใหม่มาอีกครั้ง และก็เป็นทักษะระดับ S อีกด้วย ดูแล้วท่าทางจะทรงพลังไม่เบาเลยทีเดียว



"พังสถิตร่างจะทำให้ท่านใช้พลังส่วนหนึ่งของข้าได้ ข้ารับรองว่าเจ้าพวกหมาป่าสวะเหล่านั้นจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป" มาเอะบอก เจนเองก็รู้สึกเช่นนั้น ต่อให้เจอหมาป่าดำอีกซักสามสี่เท่าในเวลานี้เธอก็มั่นใจว่าจะจัดการได้อย่างแน่นอน



"สุดยอดไปเลย ขอบคุณมากค่ะท่านมาเอะ" เจนกล่าวขอบคุณแล้วหันไปอ่านทักษะอย่างระเอียด



"...เจน ข้าขอถามหน่อยได้หรือเปล่า ตอนที่ข้าผสานพลังลงไปในร่างท่าน ข้ารู้สึกได้ถึงพลังอีกขุมหนึ่ง เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าข้ามาก ไม่ทราบว่าท่านได้พลังนั้นมาจากไหนหรือ" มาเอะถาม เพราะในตอนที่เธอพยายามผสานพลังของเธอเข้ากับร่างของเจน เธอสัมผัสได้ถึงพลังอีกขุมและพลังนั่นก็พยายามต่อต้านพลังของมาเอะ แต่สุดท้ายแล้วพลังของมาเอะก็ข่มพลังนั่นได้ในที่สุด แต่พลังที่มาเอะรู้สึกได้นั้นเธอมั่นใจเลยว่าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเธอมากนัก อาจจะเป็นเพราะพลังนั้นหลับไหลอยู่เลยทำให้เธอผสานพลังลงไปในร่างของเจนได้



เจนที่ได้ยินคำถามของมาเอะก็มีสีหน้าแปลกใจก่อนจะหันไปครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้แล้วจึงหยิบดาบคุซานางิออกมาจากช่องเก็บของในตัวของเธอ



"คงจะเป็นเพราะดาบเล่มนี้ล่ะมั้งคะ ฉันได้ตอนไปฝึกวิชามาน่ะ" เจนพูดพลางยื่นดาบไปให้มาเอะดู



"ดาบคุซานางิ! มิน่าล่ะข้าถึงได้พลังขนาดนั้นจากนั้น.. เอ๊ะ ท่านยังไม่ได้ทำสัญญากับดาบเลยนี่" มาเอะพูดด้วยความตกใจก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าดาบนั้นยังไร้เจ้าของ



"พอดีฉันไม่รู้ว่าจะทำสัญญากับดาบมันต้องทำยังไงน่ะ พอดีเพื่อน ๆ ของฉันบอกว่าอย่าเพิ่งใช้ก็เลยเก็บเอาไว้ก่อน ความจริงฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำสัญญาแล้วจะมีอะไรแตกต่างไปหรือเปล่าด้วยน่ะ" เจนพูดตามความจริง



"ถ้าท่านทำสัญญากับอาวุธขึ้นสูงอย่างดาบคุซานางิเล่มนี้ ท่านจะสามารถใช้พลังของดาบได้อย่างเต็มที่ และดาบจะคอยปกป้องท่านจากอันตราย อีกอย่างหนึ่งคือถ้าหากดาบเล่มนี้ถูกขโมยไปโดยผู้ที่ทำสัญญาไม่ยินยอม ดาบจะทำลายผู้ที่ขโมยและจะบอกให้ท่านรู้ได้ค่ะ" มาเอะบอก



"เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าถึงทำสัญญาแล้วก็ยังโดนขโมยได้อยู่ดีน่ะสิ" เจนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจปนผิดหวัง



"ค่ะ แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ ถ้าหากท่านทำสัญญากับดาบเล่มนี้แล้วล่ะก็ ไม่มีใครที่จะต้านทานพลังของดาบคุซานางิได้อย่างแน่นอน ถ้ามีคนขโมยดาบเล่มนี้ไป ไม่เกินหนึ่งวันดาบเล่มนี้จะกลับมาหาท่านเอง" มาเอะบอกอย่างมั่นใจ เพราะพลังของดาบคุซานางินั้นความจริงแล้วเหนือกว่าเธอมาก



"แล้วจะทำสัญญายังไงหรือคะ" เจนถาม มาเอะยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะตอบ



"ดาบแต่ละเล่มจะมีวิธีการทำสัญญาไม่เหมือนกัน บ้างก็มีคำใบ้หรือมีผู้บอกเมื่อได้มา แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ครอบครองดาบที่จะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ดาบทุกเล่มนั้นเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือต้องทำให้ดาบยอมรับในตัวของผู้ครอบครอง.. ไม่ใช่ด้วยฝีมือหรือกำลัง แต่เป็นจิตใจค่ะ" มาเอะเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของเจนเมื่อได้ยินว่าจะต้องลำบาก



"ลองวิธีง่าย ๆ ดูแล้วกัน ท่านลองพูดกับดาบดูสิคะ" มาเอะเสนอความคิด เจนมองหน้าของเทพอสูรจิ้งจอกด้วยความสงสัยก่อนจะหันมามองดาบตรงหน้า



"เอ่อ.... ดาบจ๋า นายจะยอมรับในตัวของฉันแล้วทำสัญญากันไหม" เด็กสาวพูดเสียงเพี้ยนเพราะรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังเพี้ยนไปแล้ว มีใครที่ไหนคุยกับดาบของตัวเองแต่ถ้าให้มานึกดูอีกทีนี่มันอยู่ในเกม อะไรก็อาจเป็นไปได้



ทันใดนั้นเองที่ดาบคุซานางิตรงหน้าก็เปล่งแสงขึ้นมาก่อนดาบจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้าหายลับไป ก่อนที่จะพุ่งกลับมาเข้าหามือของเจนได้อย่างแม่นยำ



ท่านได้ทำสัญญาอาวุธ ดาบมังกรคุซานางิ ได้อย่างสมบรูณ์แล้ว



หลังจากเสียงประกาศดังขึ้นในหัวของเจนอีกครั้ง เธอก็รู้สึกได้ทันทีถึงพลังที่พลุ่งพล่านเข้ามาในร่างของเธอ แต่คราวนี้ไม่ได้เหมือนกับตอนที่มาเอะใส่พลังเข้ามา แต่รู้สึกเหมือนกับน้ำที่ไหลเข้ามาทีละน้อยแต่มาเรื่อย ๆ



"ทรงพลังอย่างที่คาดเอาไว้จริง ๆ ยิ่งกว่าพลังเต็มที่ของข้าซะอีก" มาเอะพูดอย่างพอใจ ทางเจนที่สัมผัสได้ถึงพลังของดาบว่ามันทรงพลังขนาดไหน เธอจึงหันไปมองที่มาเอะสลับกับดาบบนมือของเธอแล้วจึงถามขึ้น



"ถ้าดาบเล่มนี้ทรงพลังขนาดนั้น มันจะสามารถคลายผนึกของท่านได้หรือเปล่านะ" เจนถามด้วยน้ำเสียงสงสัยก่อนที่จะเดินเข้าไปหามาเอะที่ในตอนนี้กำลังมองดูเด็กสาวตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก



เมื่อเจนเข้าประชิดหินสีเทาเธอก็รู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นผนึกที่คุมขังมาเอะเอาไว้อย่างแน่นอน หลังจากที่เจนได้รับพลังของมาเอะมาแล้วเธอก็รู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ในหินก้อนนี้ที่มหาศาลมาก แต่ถ้าเทียบกับพลังของดาบคุซานางิแล้วนั้นถือว่ายังห่างชั้นกันมากนัก



เจนยกดาบขึ้นสูงและเสียบลงไปในก้อนหินจนมิดด้าม ทันใดนั้นหินผนึกก็เปล่งแสงออกมาสว่างจ้าพร้อมกับเสียงร้องของมาเอะ เจนรีบชักดาบออกมาทันทีเพราะนึกว่าเธอไปทำร้ายเทพอสูรจิ้งจอกเข้า



ร่างจิ้งจอกทองสลายกลายเป็นแสงละอองกระจายไปทั่วบริเวณ พร้อมกันนั้นแสงจากดวงจันทร์ก็เปล่งประกายทอลงมาที่ผืนน้ำสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่นานนักประกายแสงสีทองก็เริ่มจับตัวกันเป็นร่างมนุษย์ตรงหน้าหินผนึกที่กำลังเปล่งแสงสว่างจ้า เมื่อแสงของหินผนึกหายไป ร่างที่อยู่ตรงหน้าเจนคือสาวงามร่างสูงในชุดยูกาตะสีเหลืองทองสวยงามเข้ากันกับผมสีทองยาวและแผ่สยายไปบนผืนน้ำดูสง่างามยิ่ง ดวงตาสีเหลืองลืมตาขึ้นมามองดูเด็กสาวตรงหน้าด้วยความอบอุ่น



"ขอขอบคุณท่านจริง ๆ ที่ช่วยคลายผนึกนี้ได้ ในที่สุดข้าก็ได้พลังทั้งหมดกลับคืนมา และยิ่งกว่านั้น คืออิสรภาพของเหล่าเผ่าพันธุ์จิ้งจอกทั้งหลาย" หญิงสาวตรงหน้าพูด แล้วทันใดนั้นแสงจันทร์ก็เผยให้เห็นถึงจิ้งจอกนับพันตัวที่กำลังนั่งล้อมรอบไปอยู่ทั่วบริเวณจนทำให้เจนรู้สึกกลัวไม่น้อยทั้ง ๆ ที่มีดาบคุซานางิอยู่ในมือ



"เจนหาต้องกลัวไม่ ท่านที่ช่วยปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระ ลูกหลานของข้าจะไม่โจมตีท่านอย่างแน่นอน ต่อไปนี้เผ่าพันธุ์จิ้งจอกจะเป็นพันธมิตรของท่านและจะช่วยเหลือท่านกับพวกพ้องของท่านเสมอ แล้วถ้าหากท่านมาเจอข้าอีกครั้งในทวีปอัลเทเชียล่ะก็ ข้าจะให้สิ่งตอบแทนแก่ท่านอย่างแน่นอน" มาเอะพูดอย่างตื้นตันใจ



"เอ๋! หมายความว่าที่นี่ไม่ได้อยู่บนเกาะไทริสงั้นหรือเนี่ย" เจนพูดขึ้นอย่างตกใจเพราะเธอนึกว่าที่นี่เป็นที่ไหนซักที่บนเกาะเริ่มต้นซะอีก



"ไม่ใช่หรอกค่ะ ข้าดึงตัวท่านจากเกาะไทริสมายังที่นี่เอง แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อเจนประสงค์จะกลับไปเมื่อไหร่ ข้าจะส่งท่านกลับไปที่เดิมได้ทันที" มาเอะพูดพร้อมกับยกชายเสื้อมาป้องปากด้วยท่าทางน่ารัก



"นี่กี่โมงแล้วเนี่ย ตายล่ะนี่เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ไอ้พวกนั้นไม่ยอมติดต่อมาเลย แบบนี้ถ้าไม่รีบกลับล่ะก็มีหวังได้นอนกลางป่าแน่" เจนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน เพราะในตอนกลางคืนนั้นประตูเมืองจะปิด ใครที่เข้าเมืองมาไม่ทันจะต้องอยู่ด้านนอกเมืองไปจนกว่าจะเช้า ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่นั้นจะคำนวณเวลาจะเมืองไว้ก่อนเสมอ ถ้าไม่ทันล่ะก็จะไปหาที่พักตรงจุดปลอดภัยเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เจอกับมอนสเตอร์ในเวลากลางคืน



"ถ้าอย่างนั้นข้าของฝากคิทซึเนะด้วยนะคะ" มาเอะบอกพร้อมกับอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมาให้กับเจน



"เอ๋! แต่ว่าฉันคลายผนึกให้แล้วนะคะ ไม่ต้องให้คิทซึนะมาด้วยก็ได้..-"



"ลูกสาวของข้านั้นซนมากเลยค่ะ เวลาใดที่ข้าเผลอล่ะก็ชอบหนีออกไปเที่ยวตลอดเวลาและครั้งนี้โชคดีที่มีเจนช่วยเอาไว้ ถ้าหนีไปอีกคราวหน้าอาจจะไม่โชคดีเหมือนคราวนี้ก็ได้ ถ้าหากมีท่านคอยดูแลข้าก็อุ่นใจ เอาเป็นว่าข้าขอร้องก็แล้วกันนะคะ" มาเอะบอกพร้อมกับยื่นคิทซึเนะไปให้ ซึ่งจิ้งจอกน้อยก็ส่ายหางด้วยความดีใจ



เจนได้ยินดังนั้นจึงหันมามองหน้าคิทซึเนะก่อนจะยิ้มรับแล้วอุ้มตัวจิ้งจอกน้อยมาจากมือของมาเอะ



"ถ้าอย่างนั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะ สหายตัวน้อย" เจนว่าแล้วใช้มือลูบหัวของคิทซึเนะเบา ๆ และมันก็ตอบเธอด้วยการใช้ลิ้นเลียแก้มของเธอจนเธอรู้สึกจั้กจี้



ท่านได้รับสัตว์เลี้ยง จิ้งจอกขาว คิทซึเนะ



"ในตอนนี้คิทซึเนะยังไม่มีพลังอะไร รวมทั้งพูดและแปลงกายเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่ถ้าเจนช่วยให้เธอแข็งแกร่งขึ้นล่ะก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน และในอนาคตข้าเชื่อว่าเธอจะมีประโยชน์แก่ท่านไม่มากก็น้อยค่ะ" มาเอะบอกพลางจ้องมองลูกสาวของตนเลียใบหน้าของผู้มีพระคุณอย่างชอบอกชอบใจ



หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วเจนที่ในตอนนี้นำดาบคุซานางิมาเหน็บไว้กับสายคาดกระเป๋าแทบดาบเริ่มต้น แล้วนำคิทซึเนะใส่เอาไว้ที่กลางอกของเธอโดยได้เสื้อคลุมสีเทาตัวหนึ่งมาจากข้าวของที่เหล่าจิ้งจอกขโมยมาซึ่งมันเป็นเสื้อคลุมระดับ E ธรรมดาไม่ได้มีอะไรพิเศษนักแต่สามารถซ่อนตัวจิ้งจอกน้อยได้อย่างมิดชิดและยังไม่ทำให้เจนรู้สึกเคลื่อนไหวลำบากอีกด้วย



หลังจากปล่อยให้แม่ลูกล่ำลากันเรียบร้อยแล้ว เจนพร้อมทั้งคิทซึเนะในอกเสื้อก็ออกมายืนรอเพื่อให้มาเอะส่งตัวพวกเธอกลับไปยังเกาะไทริสอีกครั้ง



"เมื่อท่านมาถึงทวีปอัลเทเชียและมาที่ยามะไตล่ะก็ ให้ท่านมาที่เทือกเขาไทโกคุ พวกเราจะรอคอยการมาของท่านและเหล่าสหายเสมอ" มาเอะพูดแล้วเธอยกมือขึ้นมาแล้วจึงทำท่าเป่าลมหายใจใส่เจน



ทันใดนั้นเองเจนก็รู้สึกถึงแรงลมปะทะเข้าใบหน้า แต่ไม่ได้รู้สึกรุนแรง มันกลับรู้สึกอบอุ่นและอ่อนเบาราวกับว่าเธอกำลังลอยไปพร้อมกับสายลม ไม่นานนักเจนก็รู้ตัวอีกทีว่าในตอนนี้เธอกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมแล้ว



เจนหันมามองที่ตัวต้นไม้เห็นรองมีดแทงตอนที่เธอปีนหนีหมาป่าดำขึ้นไป แต่เมื่อหันไปมองรอบ ๆ กลับไม่เห็นเงาของหมาป่าดำแม้แต่ตัวเดียว ทว่าทันใดนั้นเอง คิทซึเนะที่ยังอยู่ในอกเสื้อคลุมก็ส่งเสียงเห่าขึ้นมาพร้อมกับดึงตัวเจนไปด้านหน้า



ตอนนั้นเองที่เจนเห็นหมาป่าดำกลับมาอีกครั้ง โดยมันยังคงรักษาแผนจากโจมตีแบบเดิมโดยส่งกำลังส่วนใหญ่มาและให้ส่วนน้อยคอยอยู่ด้านนอก



แต่ในตอนนี้เธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ทั้งความมั่นใจที่เพิ่มสูงขึ้นและอาวุธใหม่ที่ในตอนนี้เจนมั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างแต่นอน



"เอาล่ะ ไหน ๆก็ไหน ๆขอลองทักษะใหม่หน่อยก็แล้วกันนะ เอาทักษะนี้ล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าจะทำอะไรได้" เจนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วเธอก็ใช้ทักษะพลังสถิตร่างทันที



ทันทีที่เริ่มใช้ทักษะ เจนรู้สึกถึงพลังที่พุ่งออกมาจากร่างกาย ร่างของเธอถูกออกร่าสีทองปกคลุมพร้อมกันออร่านั้นก่อตัวขึ้นเป็นเงารูปหางของจิ้งจอกทั้งเก้าเหมือนกับว่าเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า



"สุดยอด!! แบบนี้ล่ะลุยได้มันมือแน่!" เจนเอ่ยขึ้นอย่างสะใจพร้อมทั้งชักดาบออกมาและพุ่งตัวหมายจะจัดการหมาป่าดำที่ในเวลานี้ยืนนิ่งไม่กล้าขยับเพราะรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลมาจากเด็กสาวที่เคยเกือบตกเป็นเหยื่อของพวกมัน



แต่ก่อนที่หมาป่าดำที่เป็นจ่าฝูงจะได้ทำอะไร ร่างของมันก็ถูกผ่ากลายเป็นสองท่อนในดาบเดียว เจนทึ่งในพลังที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล สมแล้วจริง ๆที่เป็นทักษะระดับ S แต่หลังจากเจนจัดการหมาป่าตัวแรกเสร็จแล้วก็ไม่อยู่เฉย เธอพุ่งเข้าปะทะกับหมาป่าทั้งฝูงทันที เสียงร้องโหยหวนของหมาป่านับสิบตัวดังลั่นป่าไปหมด พวกหมาป่าที่อยู่ด้านนอกการต่อสู้ได้ยินเสียงเห่าหอนของเพื่อนในฝูงของตนก็ตัดสินใจรีบวิ่งหนีหายเข้าไปในป่า และตัวที่ไม่ได้อยู่ภายใต้เงาคมดาบของเจนก็พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอดสุดชีวิต



คุณจัดการหมาป่าดำ ชั้นทหาร ระดับ 35 เป็นจำนวน 13 ตัว

ระดับของคุณเพิ่มจาก 12 เป็น 20



ทักษะ การใช้ดาบขั้นต้น เพิ่มจาก ระดับ 15 เป็น 30



คุณสามารถเปลี่ยนอาชีพได้แล้ว โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากกระดานข่าวหรือติดต่ออาคารระบบ



ภายในไม่ถึงนาทีเจนจัดการหมาป่าดำไปได้เกือบหมดฝูง เธอรู้สึกทึ่งกับความสามารถและพลังที่พุ่งสูงขึ้นมาขนาดนี้จนไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้นเองที่เธอหันมองรอบ ๆ เห็นว่ามีแต่ความมืดรอบตัว เธอหันไปมองของที่ตกอยู่บนพื้นอย่างเสียดายก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงกลับไปยังเมืองไทริสเพราะเธอไม่อยากจะอยู่ในที่มืด ๆ กลางป่า จึงตัดสินใจใช้พลังทั้งหมดที่มีมุ่งหน้าตรงกลับไปยังเมืองโดยทิ้งของที่ตกจากหมาป่าดำเอาไว้บนพื้น



แต่โดยที่ไม่รู้เลยว่าในความมืดนั้น มีคนคนหนึ่งได้เฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมดแล้ว



จบตอนที่ 6 พลังสถิตร่าง



------------------------------------

santisook01
30th December 2013, 17:17
เป็นกำลังใจต่อไปครับ อ่านไหลลื่นดี

Tohan-kun
31st December 2013, 12:13
ตอนที่ 7 แก้แค้นด้วยเขี้ยว



"ม่ายยยยยยยย!" เสียงของเด็กสาวดังพร้อมกับร่างบางร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าด้วยความเร็วสูง เธอพยายามหาทางชะลอความเร็วลงแต่ว่าเธออยู่บนกลางอากาศไม่อาจมีสิ่งใดที่จะช่วยเธอได้ พลังเวทมนตร์ของเธอก็หมดแล้ว เจ้าตัวน้อยในอกเสื้อของเธอก็คงช่วยอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน



ในตอนที่เจนพุ่งตัวจากจุดที่เธอปะทะกับหมาป่าดำนั้นเธอจะวิ่งทะลุป่าโดยใช้วิธีการกระโดดสูงเพื่อมองหาทิศทางที่ถูกต้อง แต่กลับกลายเป็นว่าร่างของเธอพุ่งขึ้นฟ้าราวกับบินได้ ดังนั้นเจนจึงพยายามพาตัวเองพุ่งกลับไปยังเมืองไทริสด้วยความเร็วสูง



แต่เนื่องจากพลังเวทของเธอที่มีอยู่น้อยนิด หลังจากที่ได้บินอยู่บนฟ้าอยู่นาทีเดียว ออร่าแสงสีทองสลายหายไปแล้วร่างของเธอก็พุ่งลงสู่พื้นเมื่อปราศจากพลังสถิตร่าง เจนยกมือขึ้นขัดกันที่หน้าอกเพื่อปกป้องคิทซึเนะจากอาการบาดเจ็บโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บหนักหรือไม่



โครม!!



ร่างของเจนพุ่งเข้าลงพุ่มไม้ขนาดใหญ่เสียงดัง โชคดีอย่างเหลือเชื่อเมื่อเธอตกลงมาที่พุ่มไม้แห่งนี้ พลังชีวิตของเธอลดลงถึง 700 เลยแม้จะมีพุ่มไม้รับแรงกระแทก ถ้าหากเธอลงพื้นแข็ง ๆ ล่ะก็รับรองได้เลยว่าเธอคงตายแน่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย



"อู้ย เจ็บเป็นบ้า ดีนะที่ระดับเพิ่มพลังชีวิตก็เพิ่มตาม ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ตกเมื่อกี้ไม่รอดแน่ ๆ ....แล้วหนูเป็นอะไรหรือเปล่า" เจนพูดกับตัวเองแล้วจึงหันไปพูดกับคิทซึเนะที่อยู่ในอกเสื้อ



"โฮ่ง!" เสียงของจิ้งจอกน้อยตอบรับอย่างสดใส บ่งบอกว่ามันไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

หลังจากสำรวจไปรอบ ๆ แล้วแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเธอตกลงมาที่นี่ เจนจึงจัดการนำดาบคุซานางิเก็บเข้าช่องเก็บของตัวละครเพื่อความปลอดภัยและจะได้ไม่เป็นจุดสนใจ จากนั้นเธอจึงเดินกลับไปยังประตูเมืองไทริสโดยมีจิ้งจอกน้อยอยู่ในอกเสื้อ



ไม่นานนักเจนก็เดินทางมาถึงเมืองไทริสแล้วก็พบว่าประตูเมืองปิดไปเรียบร้อยแล้ว บริเวณรอบข้างมีคนมากมายกำลังตั้งเต็นท์นอนพักอยู่เป็นกลุ่ม ๆ อีกด้านหนึ่งดูเหมือนจะเป็นกลุ่มพ่อค้ากำลังเปิดร้านขายของจำพวกเต้นท์และถุงนอน หรือของจำพวกอาหารจากในเมืองซึ่งก็มีคนเข้าไปดูไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เจนนั้นไม่มีเงินติดตัวเลยซักแดงเดียวจึงเป็นอันอดไป



เจนตัดสินใจติดต่อกลับไปหาพวกโจกลับพบว่าทั้งสองคนนั้นไม่ตอบกลับมา เมื่อดูในแผนที่เมืองไทริสก็พบว่าทั้งคู่อยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเรียบร้อยแล้ว ทำให้เจนมั่นใจเลยว่าทั้งคู่ต้องหลับไปแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งเธอไม่ลืมที่จะเก็บแค้นนี้เอาไว้ชำระวันหลังเมื่อเจอกัน



หลังจากเดินดูไปทั่วแล้วเจนจึงตัดสินใจว่าตนคงต้องนอนอยู่นอกเมืองอย่างหลีเลี่ยงไม่ได้ แต่ในตัวของเธอมีแค่หนังมาป่าและเขี้ยวหมาป่าที่พวกพ่อค้าที่เป็นผู้เล่นไม่ค่อยรับซื้อกัน และเนื้อหมาป่าที่เก็บเอาไว้ตอนนี้ก็เน่าเสียหมดแล้วจนเธอต้องทิ้งมันไป



เด็กสาวคิดจะหาที่นอนไกลออกมากลุ่มผู้เล่นซักหน่อย เพราะไม่ต้องการให้คนมารบกวนหรือมาขโมยคิทซึเนะตอนที่เธอหลับซึ่งนี่เป็นความคิดแรกในหัวของเธอเลยทีเดียว และอีกอย่างในเกาะเริ่มต้นแห่งนี้บริเวณหน้าประตูเมืองไม่มีมอนสเตอร์ที่โจมตีก่อนอยู่ จะมีก็เพียงพวกจิ้งจอกซึ่งในเวลานี้พวกมันต่างก็ทำท่าเป็นมิตรกับเจน บางครั้งถึงกับจะคอยช่วยปกป้องเธอจากผู้เล่นคนอื่นด้วยซ้ำไป ดังนั้นเจนจึงวางใจได้ว่าคืนนี้คงไม่มีอะไรมารบกวนแน่นอน



เจนเลือกจะไปพักอยู่ที่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนักจากประตูทางเข้าเมืองนัก ในตอนที่เธอกำลังจะนั่งลงนั้นเองก็มีเสียงเรียกจากด้านหลังของเธอ



"ไงจ๊ะน้องสาว สนใจจะไปพักที่เต้นท์ของพวกเรามั้ยจ๊ะ" เจนหันไปมองตามเสียง พบเป็นกลุ่มผู้เล่นที่แต่งตัวให้เห็นชัดเจนว่าพวกนี้เป็นนักเลงอย่างแน่นอน

เธอมีประสบการณ์กับคนจำพวกนี้เป็นอย่างดีขนาดฟังแค่เสียงก็รู้แล้ว เอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าของที่ใส่อยู่เกือบทั้งตัวของคนพวกนี้จะต้องได้มาจาการปล้นหรือไม่ก็ขโมยมา



คนพวกนี้มากันสี่คน โดยทุกคนนั้นมีอาวุธครบเครื่องทั้งระยะประชิด ระยะไกลและเวทมนตร์ รวมถึงตัวชนที่ดูท่าทางแล้วมีพลังป้องกันไม่น้อยเลยทีเดียว เจนลอบตรวจสอบพลังเวทมนตร์ของตัวเองพบว่าฟื้นฟูขึ้นมาเพียงแค่ 100 เท่านั้น และถ้าในตอนนี้เธอนำยาฟื้นพลังเวทมนตร์ขึ้นมาดื่มมันก็จะกลายเป็นว่าเธอตัดสินใจจะสู้กับคนพวกนี้ทันที



"อยู่ตัวคนเดียวแถวนี้มันอันตรายนะจ๊ะ มากับพวกพี่สิรับรองว่าปลอดภัย" โจรคนเดิมพูดอีกครั้งพร้อมกับเดินเข้ามาหาเจนด้วยท่าทางสบายใจ เจนมั่นใจว่าพวกมันใช้ทักษะตรวจสอบเธอแล้วอย่างแน่นอน คนที่มีระดับ 20 นั้นถือว่าไม่ได้สูงนักในเกาะเริ่มต้นถือได้ว่าเป็นระดับทั่วไป รวมทั้งการแต่งตัวของเจนนอกจากเสื้อคลุมที่ได้มาจากมาเอะแล้วทั้งชุดของเธอก็เป็นชุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง



"ถ้าให้ยอมไปกับพวกแกล่ะก็ ฉันขอยอมสู้กับหมาป่าทั้งคืนดีกว่า ไอ้พวกสวะ" เด็กสาวเอ่ยเสียงเย็นพร้อมกับชักมีดขนแดงออกมา แต่แทนที่พวกโจรจะกลัวอย่างที่เจนตั้งใจ พวกมันกลับทำตาโตเมื่อมองมาที่มีดในมือ



"เฮ้ยดูนั่น มีดขนแดง ตกจากมินิบอสในป่าผลิใบนี่หว่า หรือว่าบางทียัยนี่อาจจะเก่งก็ได้" โจรคนหนึ่งที่มีอาวุธเป็นธนูกล่าว



"แล้วไงวะ ยัยนั่นมีแค่คนเดียว พวกเรามีตั้งสี่คน รีบจัดการไปซะแล้วก็แย่งมากก็จบเรื่อง" โจรร่างใหญ่ที่มีโล่ติดอยู่ด้านหลังบอกแล้วจึงพยักหน้าไปยังโจรที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มซึ่งมีอาวุธเป็นดาบเล่มยาวดูน่ากลัว



"เอาละสาวน้อย พวกเราเปลี่ยนใจแล้ว เธอไม่ต้องมากับพวกเราก็ได้แต่รีบส่งมีดเล่มนั้นมาให้พวกเราดีกว่า แล้วก็ส่งของทุกอย่างที่เธอมีมาด้วยนะถ้าหากยังรักตัวกลัวตายอยู่"



ทันทีที่โจรหัวหน้ากลุ่มพูดจบก็เหมือนกับเส้นเอ็นสุดท้ายของความอดทนของเจนได้ขาดสะบั้นลงไป ดวงตาพิฆาตของเจนได้ถูกใช้ออกมาด้วยความเคยชิน เหล่าโจรทั้งสี่ที่รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลออกมาจากเด็กสาวตรงหน้าถึงกับผงะก้าวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับชักอาวุธออกมา ทางเจนที่เห็นว่าดวงตาพิฆาตของเธอใช้ได้ผลแม้จะอยู่ในเกม และดูเหมือนจะได้ผลกว่าโลกแห่งความจริงอีกด้วย ซึ่งเธอก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงในหัว



คุณได้รับทักษะ จิตคุกคาม เนื่องจากใช้ดวงตาข่มขู่ศัตรู



เจนรู้สึกทึ่งในเกมนี้มากที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ทุกอย่างก็ถูกนำมาทำให้กลายเป็นทักษะซะสิ้น แต่ในเวลานี้สิ่งที่เธออยากจะทำต่อไปไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องทักษะ แต่เป็นเจ้าพวกโจรสี่คนที่กำลังยืนหัวหดอยู่ตรงหน้าเธอ



เด็กสาวรีบใช้จังหวะที่พวกโจรทั้งสี่กำลังตกใจจากจิตคุกคามของเธอพุ่งเข้าใส่คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งโจรคนนี้ก็มีฝีมืออยู่ไม่เบาเพราะเขาสามารถตั้งสติขึ้นมาได้ก่อนที่เจนจะเข้าประชิดตัว เขารีบชักดาบออกมาแล้วฟาดไปยังเจนซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหา แต่แล้วทันใดนั้นร่างของเธอก็เปล่งแสงขึ้นแล้วก็เร่งความเร็วขึ้นมาอีกจนหลบดาบของโจรหัวหน้ากลุ่มได้อย่างฉิวเฉียดพร้อมกันนั้นมีดขนแดงก็แทงเข้าไปที่ท้องของโจรได้อย่างแม่นยำ



"อ้ากกก!! จะมัวรอดูอีกนานมั้ย จะให้ฉันตายก่อนหรือไงวะ รีบฆ่านังนี่ซะ!!" หัวหน้าโจรตะโกนสั่ง เจนที่เห็นว่ามีดจัดการไม่ได้ในทีเดียวจึงรีบถอยออกมาตั้งหลักก่อน ลูกธนูและบอลไฟพุ่งเข้าใส่ตัวเธออย่างรวดเร็วแต่เจนก็สามารถหลบได้อย่างสบาย ๆ จากทักษะเสริมพลังกายที่ยังคงมีผลอยู่



ในขณะเดียวกันนั้นโจรที่มีโล่ก็หยิบอาวุธออกมาพร้อมกับโล่ของตน อาวุธของเขาเป็นขวานขนาดใหญ่ดูน่าเกรงขามมาก เขาเข้าประชิดตัวของเจนทันทีแล้วฟาดสุดแรงเกิด ถึงแม้เจนจะหลบได้อย่างไม่ยากเย็นนักแต่ร่องรอยบนพื้นที่ขวานเล่มยักษ์ฝากเอาไว้นั้นบอกเธอว่าถ้าหาโดนเข้าล่ะก็คงไม่รอดอย่างแน่นอน



ตอนนั้นเองที่โจรหัวหน้ากลุ่มยกขวดยาขึ้นดื่มแล้วใช้น้ำยาส่วนที่เหลือสาดเข้าไปที่แผลถูกแทง ในเวลาไม่นานบาดแผลก็หายไปอย่างน่าประหลาดในสายตาของเจน เขาชักดาบของตนขึ้นมาแล้วย่างสามขุมตรงเข้ามาหาเด็กสาวที่ถูกรุกอยู่ฝ่ายเดียว



"เธอหาเรื่องผิดคนแล้วยัยบ้า ไม่มีใครที่นี่กล้ามีเรื่องกับกิลด์พิฆาตราชา กิลด์อันดับสี่ของเกมนี้หรอกจำใส่หัวของเธอเอาไว้ซะ!" โจรหัวหน้ากลุ่มโจรตะโกนลั่นซึ่งทำให้เจนเดาได้ทันทีเลยว่าพวกนี้จะต้องสังกัดอยู่ในกิลด์ที่ว่ามาแน่นอน



เจนเคลื่อนตัวหลบไปมาแล้วกระโดดถอยออกมาเพื่อสร้างระยะห่าง ถ้าหากเธอได้สู้กับคนพวกนี้ตัวต่อตัวล่ะก็เธอมั่นใจว่าคนพวกนี้ไม่เกินฝีมือเธออย่างแน่นอน แต่พอมารวมตัวกันทำให้ต่างคนต่างปิดจุดอ่อนของกันและกันทำให้เจนยากที่จะเอาชนะ ในระหว่างที่เธอกำลังหาทางสู้อยู่นั้น จิ้งจอกน้อยในอกเสื้อก็กระโจนออกมาแต่ยังดีที่เจนคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน ถึงอย่างนั้นคิทซึเนะก็เห่าใส่พวกโจรด้วยความดุร้ายเท่าที่มันพยายามจะทำได้



"ดูนั่นสิ ยัยนี่มีสัตวเลี้ยงด้วยว่ะ ฮ่ะ ๆ" โจรที่เป็นนักเวทชี้แล้วหัวเราะ



"หมาจิ้งจอกมีขนสีขาวซะด้วย เฮ้ยพวกแก อย่าทำร้ายไอ้หมานั่นนะโว้ย ถ้าจับเอาไปขายได้ล่ะก็รับรองรวยเละโว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า!!" โจรหัวหน้ากลุ่มสั่งอีกครั้งพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาเจนอย่างไม่เกรงกลัว



ในตอนนี้ทักษะเสริมพลังกายหมดฤทธิ์ได้แล้ว ถึงไม่อยากจะใช้แต่ดูท่าดาบคุซานางิจะเป็นทางรอดเดียวของเจนในเวลานี้เสียแล้ว ถึงจะไม่มีพลังเวทพอที่จะใช้ทักษะอะไรก็ตาม แต่เธอก็ยังคิดว่าดาบเล่มนี้คงสามารถสร้างความได้เปรียบกลับมาให้เธออีกครั้ง เจนนำคิทซึเนะเก็บเข้าไปในอกเสื้อพร้อมทั้งเก็บมีดขนแดงลงกระเป๋า



แต่ในระหว่างที่เธอกำลังจะเปิดช่องเก็บของตัวละครอยู่นั้นเอง ก็มีคลื่นแสงพุ่งมาจากด้านในป่าเข้าปะทะโจรที่เป็นนักเวทกลายเป็นแสงไป สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังผู้ที่มาใหม่เป็นตาเดียว เขาอยู่ในชุดคลุมสีน้ำตาลปิดบังเสื้อที่เขาใส่อยู่แต่ถ้ามองชุดชุดเกราะขาสีแดงที่มองดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดเกราะระดับสูงอย่างแน่นอน และดาบเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือของเขานั้นแผ่ออร่าออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ดาบธรรมดาอย่างแน่นอน



"แกมันพยัคฆ์แดง จีโอ! ทำไมผู้เล่นระดับสูงถึงมาอยู่ที่นี่ได้!" หัวหน้าโจรพูดอย่างตกใจเพราะลูกน้องของเขาตายไปเพราะผู้เล่นคนนี้ถือว่ามีฝีมืออยู่อับดับต้น ๆ ของเกมเลยทีเดียว ในตอนนี้ไม่มีทางเลยที่หัวหน้าโจรจะสู้กับเขาคนนี้ได้



"พอดีฉันมาช่วยเพื่อนเก็บระดับอยู่ที่นี่พอดีน่ะ ว่าแต่เมื่อกี้ได้ยินว่าพวกแกอยู่กิลด์พิฆาตราชาสินะ แถมยังมารุมผู้หญิงคนเดียวอีก หน้าไม่อายเลยจริง ๆ พวกแกเนี่ย" จีโอพูดพลางนำดาบของตนพาดไหล่ของตัวเองแล้วเดินเข้าใกล้ด้วยท่าทางสบาย ๆ



"นี่ไม่ใช่เรื่องของแกจีโอ อย่ามาสะเออะ" หัวหน้าโจรโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว



"ฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่งกับพวกแกนักหรอก แต่มาเห็นพวกโจรกระจอกมารังแกเด็กผู้หญิงแล้วมันทนไม่ได้น่ะ เอาเป็นว่าพวกแกรีบไสหัวไปจากที่นี่ก่อนที่คุณผู้หญิงตรงนี้จะอารมณ์เสียดีกว่านะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วฉันคนนี้จะจัดการพวกแกแทน" ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มที่ชื่อจีโอตวัดดาบอีกครั้งสร้างเป็นคลื่นพลังเช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้พุ่งเข้าโจมตีโจรที่เป็นนักธนูกลายเป็นแสงตามเพื่อนไปอีกคน



พวกโจรที่เหลืออยู่เพียงแค่สองคนเห็นว่าพวกของตนโดนจัดการไปได้โดยที่บุรุษตรงหน้าไม่ได้แทบออกแรงเลยด้วยซ้ำ ทั้งคู่จึงจำต้องถอยกลับไปก่อนแต่ก็ยังไม่ทิ้งลายเอาไว้



"ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ! อย่าคิดนะว่าแกจะรอดไปได้น่ะ!!"



หลังจากที่โจรทั้งสองจากไปแล้วจีโอก็เดินเข้ามาหาเจนแล้วยื่นเงินให้มาจำนวนหนึ่ง



"ดูท่าเธอคงจะยังไม่มีเงินซื้อที่นอนล่ะสิถึงได้ออกมาอยู่คนเดียวที่นี่ รับนี่ไปสิ จะได้เอาเงินไปซื้อถุงนอน " ชายหนุ่มบอก



เจนมองเงินที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันหลังให้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา



"ฉันไม่ได้เป็นคนลงมือเพราะฉะนั้นเงินนั่นก็ไม่ได้เป็นของฉัน แล้วอีกอย่างฉันจำไม่ได้ว่าขอให้คนช่วยตอนไหน" เจนปล่อยคิทซึเนะให้ออกมาแล้วจึงเอาหลังพิงต้นไม้เอาไว้



"ไม่เอาน่า ฉันก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง เธอรับไปมันก็ไม่เสียหายอะไรซักหน่อยนี่ จริงมั้ย" จีโอยังคงพูดด้วยสีหน้าสบาย ๆ และนั่นไม่สบอารมณ์เจนเอาเสียเลย



"สิ่งที่เสียหายก็คือศักดิ์ศรีของฉันไง" พูดจบจิตคุกคามก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของเจนออกมาอย่างรุนแรงซะยิ่งกว่าตอนที่สู้กับพวกโจรซะอีก จนจีโอถึงกับตกใจว่าเด็กสาวคนนี้ที่มีระดับเพียงแค่ 20 กลับมีทักษะจิตคุกคามที่รุนแรงเหมือนกับคนที่อยู่ระดับขุนนางเลยทีเดียว



"นายรีบไสหัวตามพวกโจรสองคนนั่นไปดีกว่า คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากจะโชว์ออฟก็หาคนแสดงมาให้ดีกว่านี้หน่อยนะ" เจนพูดแล้วเดินจากไปพร้อมกับคิทซึเนะโดยไม่ฟังเสียงชายหนุ่มที่พยายามปฏิเสธเลย เมื่อเจนเดินหายลับตาไปชายหนุ่มนามจีโอก็ยิ้มแล้วพูดกับตัวเองเบา ๆ



"หืม...ชื่อเจนงั้นหรือ เธอนี่น่าสนใจจริง ๆ"





ทางเจนที่เดินมาซักพักก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง พอตรวจดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ปกติเธอจะนอนเวลาสามทุ่มเป็นนิสัยทำให้ตาของเธอแทบจะปิดเสียให้ได้ เจนจึงตัดสินใจปีนต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะมองหากิ่งไม้ขนาดใหญ่ให้แน่ใจว่าถ้าเธอนอนบนนี้จะไม่หักลงมาอีกเหมือนคราวที่แล้ว



หลังจากที่มั่นใจเธอจึงใช้เท้าวางพาดลงบนกิ่งไม้แล้วเอาหลังพิงลำต้นพร้อมกับกอดคิทซึเนะซึ่งดูท่ามันเองก็รู้สึกง่วงเช่นเดียวกัน ไม่นานนักหนึ่งคนกับหนึ่งตัวก็ร่วงหล่นลงสู่นิตทรา







เจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ เธอค่อย ๆ ปลุกจิ้งจอกน้อยอย่างนิ่มนวลก่อนเธอจะกระโดดลงมาจากต้นไม้ที่เธอนอนอยู่เมื่อคืน ตอนนี้เวลาหกโมงกว่า ๆ เท่านั้น เมื่อเธอกลับไปที่ประตูเมืองพบว่าได้เปิดออกแล้ว แต่คนที่ค้างคืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นส่วนใหญ่ยังนอนหลับอยู่ เจนรู้สึกอิจฉาคนที่มีเต้นท์หรือถุงนอนขึ้นมาทันทีเพราะเธอที่นอนอยู่บนต้นไม้นั้นทำให้รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว



พอลองหยิบแผนที่ขึ้นมาเปิดดูเพื่อหาตำแหน่งของเพื่อนทั้งสองที่ทิ้งให้เธอต้องลำบากมาทั้งคืนก็พบว่าทั้งคู่อยู่ที่โรงแรม แน่ล่ะว่าเธอไม่คิดจะติดต่อไปเพื่อปลุกสองคนนั้นเด็ดขาดเพราะแบบนั้นมันจะเป็นการปราณีเกินไป เป้าหมายแรกของวันนี้สำหรับเจนคือการแก้แค้น!



ในห้องของโรงแรมแห่งหนึ่งของเมืองไทริส สองหนุ่มแจ็คและโจต่างนอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ แสงแดดเบา ๆ พร้อมกับลมเย็น ๆ ยามเช้าพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างช่วยให้รู้สึกเย็นสบายจนไม่อาจทำให้ทั้งสองอยากลุกขึ้นจากเตียง แน่นอนว่าทั้งคู่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำจึงสามารถตื่นได้แต่เช้า หากแต่เพียงแค่สายลมและความนุ่มของหมอนที่รั้งตัวทั้งคู่เอาไว้ เตียงผ้าที่นุ่มราวกับปุยนุ่นเป็นสัมผัสที่ยากจะยั้งใจ แต่หารู้ไม่ว่าฝันร้ายของทั้งคู่กำลังเข้ามาใกล้ทุกขณะ



เสียงเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับเสียงฝีเท้าเบาดังเช่นของผู้หญิง ทำเอาให้โจคิดว่าโรงแรมระดับหนึ่งดาวที่เขามาพักอยู่นี่มีบริการส่งอาหารถึงห้องด้วยงั้นหรือ ครั้นจะลืมตาขึ้นดูก็รู้สึกว่าเปลือกตามันช่างหนักเหลือเกินจึงปล่อยเอาไว้ให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนตนแล้วกัน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่แจ็คคิดอยู่เช่นเดียวกัน



เสียงฝีเท้าหยุดลงพร้อมกับเสียงปิดประตูอีกครั้ง ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งที่คุ้นหูทั้งคู่และเป็นเสียงที่จะทำให้พวกเขาไม่มีวันลืมอีกเลยว่าอย่าลืมเพื่อนเด็ดขาด



"จัดการเลยคิทซึเนะ กัดอย่าให้เหลือ!"



"แง่ง!!" สิ้นเสียง โจรู้สึกเจ็บสะท้านไปถึงดวงใจ ตาสว่างขึ้นมาทันทีพร้อมกับร้องออกมาเสียงดังลั่นจนแจ็คที่นอนอยู่ข้าง ๆ ลุกพรวดขึ้นมามองเห็นภาพของเพื่อนกำลังถูกลูกสุนัขจิ้งจอกที่มีขนสีขาวกัดก้นเต็ม ๆ คำ โดยมีเพื่อนสาวที่กำลังอยู่ในอารมณ์พร้อมระเบิดตลอดเวลายืนมองด้วยความสะใจ



ทางโจที่พยายามจะสลัดคิทซึเนะให้หลุดออกจากก้นตัวเองก็ถึงกับลงไปนอนกลิ้งบนพื้นอย่างเจ็บปวดรวดร้าวพร้อมดิ้นไปมาและหวังว่าจะให้จิ้งจอกน้อยที่มีเขี้ยวคมกริบและกัดเจ็บสุด ๆ นี้หลุดออกไปโดยเร็ว ในที่สุดคิทซึเนะก็ปล่อยโจไปแล้ววิ่งกลับมายืนอยู่ข้างเจน แจ็คมองตามจิ้งจอกขาวมาและมองขึ้นไปที่หน้าของเจนแล้วก็พบกับดวงตาพิฆาตกำลังจ้องมาที่ตัวเขา นั่นทำให้แจ็ครู้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะเจออะไร



"ไม่มีวันซะล่ะ!!" พูดจบเด็กหนุ่มร่างใหญ่ก็พุ่งตัววิ่งหนีออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว



"ตามไปเลยคิทซึเนะ อย่าให้หนีไปได้!" เจนสั่ง



"โฮ่ง!" จิ้งจอกน้อยขานรับแล้วพุ่งตามไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ไม่นานนักเจนก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากนอกหน้าต่างทำให้เธอรู้ว่าคิทซึเนะทำงานได้สำเร็จลุล่วงแล้ว



"นะ....นี่เธอเข้ามาได้ยังไงกันเนี่ย" โจถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงปนโมโห



"ลืมไปแล้วหรือยังว่าพวกเราอยู่กลุ่มเดียวกัน ฉันเข้ามาแล้วถามที่หน้าเคาท์เตอร์ว่าพวกนายอยู่ห้องไหน เขาก็บอกหมายเลขห้องมาเลยยังไงละ คราวหลังจะทิ้งเพื่อนหนีมานอนก็ไล่ฉันออกจากกลุ่มก่อนก็ดีนะ" เจนพูดด้วยท่าทางโมโหสุด ๆ แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนฟุบหน้าลงบนเตียง



โจที่เห็นว่าเพื่อนของเขาเพลียมากโดยฟังจากน้ำเสียงของเธอที่ฟังดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัดจึงไม่คิดจะแก้เผ็ดเธอที่มาปลุกด้วยวิธีการที่เจ็บแสบขนาดนี้



"แล้วเธอได้ไอ้ตัวฟันแหลมมาจากไหนกันล่ะเนี่ย กัดเจ็บเป็นบ้าเลย" โจพูดพลางลุกขึ้นบิดตัวไปมาให้หายเมื่อย



"อย่ามาเรียกคิทซึเนะแบบนั้นนะ ที่พวกนายโดนก็เพราะความผิดของตัวเองนั่นแหละ จะมาหาเรื่องกันหรือไง" เสียงของเด็กสาวเอ่ยทั้ง ๆ ที่ยังคงฟุบหน้าอยู่บนเตียง จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้โจฟังรวมทั้งเรื่องทักษะสถิตร่างด้วย



"หา! ได้ทักษะระดับ S มาอีกแล้ว! นี่เธอทำบุญด้วยอะไรกันแน่เนี่ย" โจพูดด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะทักษะระดับ S นั้นถือว่าเป็นทักษะชั้นสูงมาก ๆ คนทั่วไปที่จะได้ทักษะนี้กันนั้นปกติจะอยู่ช่วงปลายของยศขุนนางแล้วหรือไม่ก็ยศราชา การที่ทั้งโจและเจนต่างก็ได้ทักษะระดับ S มาตั้งแต่เริ่มเกมนั้นถือว่าโชคดีสุด ๆ ไปเลยทีเดียว



"แต่กว่าจะได้มาก็เล่นเอาแย่ไปเหมือนกันนะ" เจนบอกพลางคิดกลับไปเมื่อตอนที่เธอคุยกับมาเอะ ถ้าหากเธอโลภมากขออะไรล่ะก็ เธอคงกลายเป็นศพไปอย่างแน่นอน



"ว่าแต่วันนี้จะไปทำอะไรต่อดีล่ะ"



"ทำอะไรต่องั้นหรือ คงจะไปเก็บระดับต่อนั่นล่ะ ภารกิจในเมืองเริ่มต้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรมาก แถมค่าตอบแทนก็น้อยกว่าไปจัดการมอนสเตอร์นอกเมืองซะอีก เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่ค่อยมีคนทำภารกิจกันเท่าไหร่ เว้นแต่พวกที่จะเล่นเป็นอาชีพสายพ่อค้าหรือสายที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้...ประมาณนั้นอ่ะนะ" โจพูดตามที่เขาอ่านในกระดานข่าว ตามตรงแล้วเขาเองก็แปลกใจที่จะมีเล่นเข้ามาเล่นเกมออนไลน์เสมือนจริงเพื่อจะขายของ ไม่ได้มาเล่นเกม แต่พอมาคิดดูแล้วว่าเกมนี้สามารถแลกเงินในเกมเป็นเงินจริงนอกเกมได้โดยอัตราส่วน 10,000 โกลด์ต่อ 100 ดอลลาร์ และนั่นเป็นเงินเกือบ 3000 บาทเลยทีเดียว



"วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลย ไม่ค่อยอยากออกไปเก็บเลเวลนอกเมืองด้วย นายรู้มั้ยว่าในเมืองมีภารกิจอะไรบ้าง แล้วก็อีกอย่าง ฉันมีระดับยี่สิบแล้ว เอาไว้พวกนายระดับขึ้นมาพอ ๆ กับฉันก่อนค่อยออกไปเก็บเลเวลด้วยกัน" เจนเงยหน้ามาพูดแล้วฟุบลงไปนอนเช่นเดิม



"หา! ยี่สิบ! นี่เธอไป..- ก็ได้ ก็ได้!" โจชะงักเมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องขึ้นมาที่เขา "ภารกิจในเมืองนี้ส่วนใหญ่จะมาจากร้านค้าต่าง ๆ ร้านขายอาวุธ ร้านขายยา อะไรพวกนี้ รายระเอียดภารกิจก็จะเป็นการช่วยเหลือทางร้านอย่างช่วยขายของ ปรุงยาตามสั่ง ตีดาบให้ได้ระดับที่นายช่างต้องการ แต่ถึงจะมีค่าตอบแทนเป็นเงินบ้าง แต่อย่างที่ฉันบอก ยังไม่คุ้มถ้าเทียบกับไปล่ามอนสเตอร์นอกเมือง"



เจนดันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นแจ็คก็เดินเข้ามาพร้อมกับคิทซึเนะที่กระโดดขึ้นมาบนตักของเจนและส่ายหางไปมาอย่างชอบใจ



"วิ่งไวแถมกัดเจ็บเป็นบ้า นี่เธอไปหาเจ้าตัวนี้มาจากไหนเนี่ย" แจ็คกล่าวพร้อมกับทิ้งตัวนั่งข้างเพื่อนสาว



"เอาไว้ให้โจเล่าให้นายฟังก็แล้วกัน เอาล่ะ พวกนายพอมีเงินเหลือบ้างมั้ย" เจนถาม เพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย



"พวกเรามีเหลือจากเงินจ่ายค่าห้องพักอยู่สองสามร้อยโกลด์ ว่าแต่เธอจะเอาไปทำไม" แจ็คถามพร้อมกับยื่นถุงเงินไปให้



"ฉันอยากจะเปลี่ยนชุดน่ะ เข้ามาเล่นในเกมฉันเองก็อยากจะแต่งตัวให้ดูเหมือนหน่อย อย่างที่นายทำไง" เจนพูดและหันหน้าไปหาโจ



"ก็ช่ายนะ... แต่เสื้อผ้าแต่ละชุดมันราคาแพงอยู่นา เงินแค่นี้ซื้อได้แค่หมวกเองล่ะมั้ง" โจว่า



"เอาไว้ฉันคิดหาทางแก้ทีหลังก็แล้วกัน ไว้จะใช้คืนที่หลังนะ ขอบใจมาก!" เด็กสาวพูดแล้วอุ้มจิ้งจอกน้อยเก็บเอาไว้ในอกเสื้อก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เพื่อนสองคนอยู่ในห้องกับรอยแผลที่แก้มก้น





หลังจากออกมาจากโรงแรมที่พวกโจพักอยู่ ที่แรกที่เธอมุ่งไปคือร้านขายเสื้อผ้าซึ่งร้านนี้จะอยู่แยกจากร้านขายอุปกรณ์ป้องกัน เพราะเสื้อผ้าเป็นแค่ชุดที่ใส่เอาไว้กันความหนาวและให้ดูดีแต่ค่าพลังป้องกันต่ำเรี่ยดิน ต่างจากเครื่องป้องกันที่มีค่าพลังป้องกันสูงกว่ามาก แต่ข้อดีของเสื้อผ้าพวกนี้คือเสียค่าซ่อมเพียงแค่ 10 โกลด์เท่านั้น



เจนเข้าไปในร้านก็เหมือนหลุดมาอยู่ในยุคโบราณ เพราะแต่ละชุดที่อยู่ในร้านเป็นชุดไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโจงกระเบน โสร่ง กางเกงเล ชุดผ้าฝ้าย แต่ละอย่างเป็นสิ่งที่เจนไม่คิดว่าจะมาเจอในเกมได้เลย แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่เธอกำลังอยู่ในหมู่บ้านไทยถ้าเกิดลืมกันไปแล้ว



เด็กสาวคนหนึ่งนุ่งโจงกระเบนสีชมพูสดใสและสวมเสื้อผ้าบางสีขาวดูน่ารักในแบบไทย ๆ เธอตรงเข้ามาหาเจนอย่างรวดเร็วทันทีที่เจนเข้ามาในร้าน



"สวัสดีค่ะ สนใจชุดอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ อยากลองสวมชุดผ้าไหมดูมั้ยคะ" เด็กสาวพูดเสียงสดใจ ดวงตาบ๊องแบ๊วจ้องมาที่เจนจนเธอเองก็อดใจเต้นไม่ได้



"อะ..เอ่อ คือว่า..-"



"หรือว่าอยากจะใส่ชุดแบบฉัน ดีเลยค่ะ หน้าตาดีอย่างคุณลูกค้าเนี่ยรับรองว่าต้องออกมาดูสวยแน่ ๆ!" เด็กสาวยังคงพูดต่อไปจนเจนไม่กล้าขัด แต่เธอจำเป็นต้องพูดก่อนที่จะไหลไปตามกระแสของเด็กสาวคนนี้



"คือฉันอยากจะมาซื้อชุดหน่อยน่ะคะ ขอแค่ชุดธรรมดาใส่สบาย ๆ ก็พอ" ทันทีที่เจนพูดออกไป ใบหน้าสดใสของแม่ค้าตัวน้อยก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย



"เฮ่อ...ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนสนใจชุดไทยเลยนะ ทั้ง ๆที่ออกจะสวยขนาดนี้แท้ ๆ" เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่และทำเป็นเหมือนกับว่าเจนไม่ได้อยู่ตรงหน้า



เด็กสาวยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ โดยเกี่ยวกับชุดไทยและทำไมถึงไม่มีคนซื้อ ไม่ว่าเจนจะพยายามพูดขอซื้อเสื้อผ้าเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าเด็กสาวคนนี้จะสนใจเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเจนก็เลยงัดไม้ใหม่ขึ้นมาเล่น



"เมื่อกี้เห็นพูดถึงชุดไทย ไม่ค่อยมีคนสนใจซื้อหรอคะ" เจนรู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้วเพราะทันทีที่เธอพูด สายตาของเด็กสาวก็หันมามองทันที



"ก็ใช่น่ะสิ เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจในชุดไทย ๆ กันเลย ดูสิทั้ง ๆ ที่ออกจะน่ารักขนาดนี้ ถ้าเด็กอายุประมาณนี้มาใส่ล่ะก็ไปที่ไหนใคร ๆ ก็ต้องมองโดยไม่ต้องแต่งตัวโชว์เนื้อโชว์ตัวเลยแท้ ๆ" จากที่มองดู ในร้านแห่งนี้มีแค่เจนและเด็กสาวตรงหน้าเท่านั้นและเธอเป็นคนเดียวที่สวมชุดไทย ทำให้เจนแน่ใจได้เลยว่าร่างที่เด็กสาวตรงหน้าใช้นั้นไม่ใช่ร่างจริงของเธออย่างแน่นอน



"แบบนี้แสดงว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามาซื้อเสื้อผ้าในร้านสินะ" เจนหาเรื่องคุยกลับไป เพราะถ้าปล่อยให้เจ้าของร้านสาวพูดอยู่คนเดียวมันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่ แต่เมื่อเธอพูดออกไปสาวน้อยเจ้าของร้านกลับตีหน้าเครียดใส่เธอแทน



"ใช่ซะที่ไหนล่ะ คนเข้ามาซื้อของก็มีอยู่ตลอดนั่นแหละ แต่มีคนที่ซื้อชุดไทยน้อยเกินไปต่างหากล่ะ" เด็กสาวพูดเสียงดังพร้อมกับพูดต่อไปทำนองว่าเธอพยายามปรับให้ชุดดูเข้ากับในเกมแล้ว ทั้งดูน่ารักและเคลื่อนไหวสะดวกแต่ยอดขายชุดไทยก็ยังคงน้อยกว่าชุดปกติที่เธอขายอยู่ดี



ก่อนที่เจนจะต้องยืนทนฟังคำบ่นของเด็กสาวเจ้าของร้านที่ดูท่าคงอีกยาวอย่างแน่นอน เธอก็รีบพูดเสียงดังเพื่อจัดการกับธุระของเธอเป็นอันดับแรก



"ฉันอยากจะขายของหน่อยน่ะ พวกนี้จะได้เงินเท่าไหร่หรือคะ" เจนถามพร้อมกับเปิดหน้าต่างและนำของที่เธอเก็บจากหลังจากจัดการหมาป่าขนแดงได้เป็น หนังหมาป่าขนแดง 2 ผืน เขี้ยวหมาป่าชั้นสูง 6 ชิ้นเนื้อหมาป่า 10 ชิ้นซึ่งเนื้อหมาป่าทั้งสิบชั้นนั้นดูจะมีสีอมเขียวดูน่าขยะแขยง ต่างจากตอนที่เก็บมาลิบลับเลย



เด็กสาวเจ้าของร้านเหลือบตามองแล้วถอนหายใจก่อนจึงบอกราคาของที่เจนนำมาขาย



"เนื้อพวกนี้มันเน่าแล้ว เธอเอาทิ้งไปเถอะ ไม่มีใครซื้อหรอก ส่วนเขี้ยวนี่ร้านฉันก็รับซื้อนะ แต่ถ้าอยากได้ราคาดีกว่านี้ให้เอาไปขายร้านอุปกรณ์ป้องกันดีกว่า ...อื้ม! หนังหมาป่าขนแดง นี่ฉันให้ราคาผืนละสามร้อยโกลด์ ปกติมีแต่คนมาขายหนังกวางไม่ก็หนังหมูป่าหรือหนังหมาป่าธรรมดา ไม่ได้เห็นของดี ๆ อย่างนี้มาตั้งนานแล้วนะเนี่ย" เจ้าของร้านพูดอย่างอารมณ์ดีถึงแม้จะไม่ได้ขายเสื้อชุดไทยอย่างที่หวัง แต่การที่เห็นวัตถุดิบดี ๆ นั้นก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน



"ฉันอยากจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ซักชุดน่ะ เงินในตอนนี้ของฉันพอหรือเปล่า?"



"อืม.. เธอมีแค่เก้าร้อยโกลด์เอง คงจะซื้อได้แค่เสื้ออย่างเดียวเท่านั้นแหละ แต่ปกติฉันขายชุดเป็นเซตเท่านั้นนะ แค่เสื้อหรือกระโปรงอย่างเดียวน่ะฉันไม่ขายหรอก" เด็กสาวเจ้าของร้านพูดพร้อมกับกอดอกมองเจนที่ในเวลานี้เริ่มคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี เด็กสาวเจ้าของร้านมองหน้าเจนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเธอก็ปิ้งความคิดหนึ่งขึ้นมา



"ฉันมีข้อเสนอให้เธออย่างหนึ่ง ถ้าเธอรับทำฉันจะยกชุดให้เธอชุดหนึ่งโดยไม่เสียเงินเลยซักโกลด์เดียว สนใจมั้ยจ๊ะ" ทันทีที่เจนได้ยินข้อเสนอที่ไม่อาจตอบปฏิเสธได้ แน่นอนว่าเจนตอบรับทันที



"จริงหรอ! ทำสิ ๆ!" เสียงสดใสดังขึ้นต่อหน้าสาวน้อยผู้มีรอยยิ้มมีเลศนัย ภายหลังเจนต้องกลับเอาไปคิดว่าดีแล้วหรือที่เธอตอบรับไปแบบนี้





จบตอนที่ 7 แก้แค้นด้วยเขี้ยว

--------------------------------

Tohan-kun
1st January 2014, 13:31
ตอนที่ 8 ภารกิจที่แสนยืดยาว



บอลพลังเวทนับสิบลูกพุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างจังแต่นั่นก็ไม่สามารถจะล้มหมาป่าขนน้ำเงินระดับ 25 ที่อยู่กันเป็นฝูงได้ แต่ก็ทำให้พวกมันเคลื่อนไหวได้ช้าลงได้อย่างมาก และนั่นเองเป็นสิ่งที่โจต้องการ



ปัง! ปัง! ปัง!



เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในป่าผลิใบและทันทีที่เสียงปืนเงียบลง หมาป่าขนน้ำเงินก็ต้องล้มลงแล้วกลายเป็นแสง ทิ้งขนและเขี้ยวเอาไว้บนพื้น



ในตอนนี้โจและแจ็คมีระดับอยู่ที่ 19 แล้ว ใกล้ที่จะตามเจนทันไปทุกขณะ อีกทั้งฝีมือการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์ของโจก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน ในตอนแรกเขาสามารถยิงบอลพลังเวทได้ทีละลูกเท่านั้นแต่ในตอนนี้เขาสามารถยิงได้ทีละหลายสิบลูกในเวลาเดียวกันและสามารถยิงได้โดยไม่ต้องใช้คทาเวทอีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นผลที่ได้จากทักษะ ผู้ใช้เวทฝึกหัดที่สูงถึงระดับ 50 แล้วนั่นเอง



ทางแจ็คนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า นอกจากเขาพัฒนาทักษะ นักแม่นปืนไรเฟิ่ลสูงขึ้นมากเช่นกัน เขายังได้ทักษะมาอีกคือ ทักษะ ยิงจุดตาย ที่มีความสามารถโจมตีใส่จุดอ่อนของศัตรูด้วยอาวุธระยะไกลทุกชนิด ทำให้เขาสามารถยิงเข้าไปที่จุดตายของมอนสเตอร์ได้บ่อยครั้งจนเหล่ามอนสเตอร์บางตัวถึงกับตายด้วยกระสุนนัดเดียว และค่าความแม่นยำของเขาเองก็พุ่งสูงขึ้นมากอีกด้วย



เหตุที่ทักษะของทั้งสองคนขึ้นสูงได้เร็วกว่าเจนก็เพราะว่าทั้งสองนั้นใช้อาวุธบ่อยกว่านั่นเอง ถึงแม้เจนจะใช้ดาบจัดการมอนสเตอร์ระดับสูงกว่าอย่างหมาป่าดำเป็นจำนวนที่ไม่มากไม่น้อย แต่เนื่องจากเธอใช้ดาบระดับ S และจู่โจมมันในตอนที่ใช้ทักษะพลังสถิตร่าง ทำให้เหล่าหมาป่าดำตายในดาบเดียว ดังนั้นจึงไม่ได้ถือว่าเป็นการฝึกใช้ดาบและไม่ได้ค่าประสบการณ์พิเศษด้วยนั่นเอง ทางโจและแจ็คที่เก็บระดับตามอย่างคนทั่วไปจึงสามารถพัฒนาทักษะการใช้อาวุธของตนได้สูงกว่าจะมีประสิทธิภาพกว่ามาก



"เฮ้อ พักกันซักหน่อยเถอะแจ็ค ฉันเริ่มเหนื่อยแล้วว่ะ" โจพูดหลังจากเก็บของที่ตกจากมอนสเตอร์เสร็จ เขาเดินไปตบไหล่เพื่อนแล้วจึงนั่งพิงต้นไม้โดยมีเพื่อนของเขานั่งข้าง ๆ



"อิจฉายัยเจนจังเลยน้า ได้ทักษะระดับ S มาเพียบ แถมระดับยังนำพวกเราไปด้วยอีก แบบนี้มีหวังตามไม่ทันแหง ๆ" แจ็คบ่น



"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า เก็บระดับไปซักพักเดี๋ยวพวกเราก็ตามทัน อีกอย่างภารกิจในเมืองเริ่มต้นมีแต่ภารกิจที่ค่าตอบแทนเป็นอุปกรณ์กับเงินเท่านั้นแหละ พวกที่ให้ค่าประสบการณ์น่ะมีอยู่ไม่มากแถมแต่ละภารกิจก็ให้ค่าประสบการณ์น้อยนิดเดียว ระดับของยัยนั่นไม่ขยับไปไหนแน่นอน" โจคาดการณ์ เขาศึกษาเกมนี้มาอย่างดีสมเป็นเป็นมืออาชีพเลยมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะไล่ตามระดับของเจนทัน



หลังจากทั้งสองพักจนหายเหนื่อยแล้วจึงเริ่มเก็บระดับต่อไป พวกเขาเดินเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าเขาผ่านป่าผลิใบเข้าสู่เขตป่าเทพารักษ์มาแล้ว ซึ่งปกติจะไม่มีผู้เล่นในเกาะเริ่มต้นคนไหนมาที่ป่านี้ เนื่องจากมอนสเตอร์ทุกตัวในป่าแห่งนี้อยู่ถึงระดับ 40 - 50 ซึ่งสูงสุดบนเกาะเลยทีเดียว และกอปรกับที่พวกมันจะโจมตีก่อนและมีจำนวนมาก ทำให้ผู้เล่นที่หลงเข้าไปต่างก็ตายออกมาเสมอ



แต่ทั้งสองแสดงให้เห็นถึงทีมเวิร์คอันทรงพลังที่สามารถจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์ได้อย่างไม่ยากเย็นนักถึงแม้ระดับจะห่างกันมากก็ตาม โจและแจ็คใช้วิธีค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆพร้อมทั้งกำจัดมอนสเตอร์ที่เข้าจู่โจมทั้งคู่ ด้วยบอลพลังเวทที่พุ่งเข้าใส่อย่างกับปืนกลจนทำให้ไม่ว่ามอนสเตอร์ตัวไหนต้องชะงักลงอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นถึงเป็นหน้าที่ของแจ็คที่จะใช้ทักษะยิงจุดตายจัดการปิดฉากพวกมอนสเตอร์ ถ้าหากมอนสเตอร์ที่เข้าจู่โจมมีพลังป้องกันสูงจนไม่ตายจากทักษะของแจ็ค ทั้งคู่ก็ถอยร่นไปแต่โจก็ยังคงการโจมตีเอาไว้อยู่ในขณะที่แจ็คคอยเฝ้าระวังมอนสเตอร์ที่จะเข้ามาโจมตีจากทิศทางอื่นและหาจังหวะจัดการไปพร้อมกัน การทำแบบนี้ทำให้ทั้งคู่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเวลาที่กว่าจะเข้ามาถึงที่นี่ก็กินเวลาไปทั้งเช้าเลยทีเดียว



ภายในเวลาไม่นานทั้งคู่ก็ต้องหาที่พักที่ปลอดภัยอีกครั้งเพราะมอนสเตอร์นั้นเข้ามาโจมตีทั้งคู่ไม่หยุดเลยทีเดียว เมื่อได้จังหวะโจจึงรีบหลบออกไปก่อนที่จะมีมอนสเตอร์ตัวไหนเห็นพวกเขาเข้า แต่ด้วยระดับและการที่ทั้งคู่จัดการมอนสเตอร์ได้อย่างเฉียบขาดทำให้พวกขาได้ค่าประสบการณ์มาไม่น้อยเลยทีเดียว ในตอนนี้ทั้งคู่มีระดับแซงเจนขึ้นไปที่ 25 แล้ว



โจและแจ็คหลบมอนสเตอร์ไปกินข้าวกล่องเริ่มต้นที่พวกตนเหลืออยู่กล่องสุดท้ายจากเมื่อวานบนต้นไม้ โชคดีที่พลังเวทของแจ็คเพิ่มขึ้นมามากทำให้โจมตีได้เป็นระยะเวลานาน และปืนเริ่มต้นของแจ็คก็ไม่จำเป็นต้องมีกระสุนอีกด้วย ถ้าหากพวกเขาสามารถรักษารูปแบบต่อไปได้เช่นนี้ล่ะก็ มอนสเตอร์พวกนี้ก็คงไม่ครนามือของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย



"เฮ้ โจ พวกเราลองเข้าไปลึกกว่านี้อีกดูมั้ย เผื่อจะได้เจอพวกที่ให้ค่าประสบการณ์ดีกว่านี้หน่อย" แจ็คถามเพื่อนของตนเพราะเขารู้สึกว่าระดับเริ่มขึ้นช้าลงแล้ว โดยพรายต้นไม้ มอนสเตอร์ระดับ 30 มีรูปร่างเป็นตอไม้เดินได้ที่พวกเขาเก็บระดับกันอยู่บริเวณนี้ได้ให้ค่าประสบการณ์เพียงแค่ตัวละ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้เขาได้ถึงตัวละ 15 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว



เกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์นั้นเปิดโอกาสให้มอนสเตอร์สามารถพัฒนาตัวเองได้ ดังนั้นการเข้าไปด้านในลึกของป่านั้นจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นเนื่องจากอาจจะได้พบมอนสเตอร์ระดับสูงที่พัฒนามาจากมอนสเตอร์ที่อยู่บริเวณนั้นและไม่ถูกจัดการโดยผู้เล่น เอไอ หรือมอนสเตอร์ตัวอื่น แต่พวกเขาเก็บระดับมาได้ซักพักแล้ว โจสังเกตถึงมอนสเตอร์ที่ไม่เคยพบเจอจากในกระดานข่าวมาก่อนว่าอยู่บนเกาะนี้อยู่หลายตัว เมื่อดูในแผนที่ก็พบว่าตัวเองนั้นหลุดมาจากจุดที่ตั้งใจไว้ไกลโขเลยทีเดียว แต่ว่าเขาเองก็เก็บระดับอยู่ที่นี่มาได้ซักพักแล้วและยังไม่เพี้ยงกล้ำเลย ค่าประสบการณ์ตัวละ 5 เปอร์เซ็นต์ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นการที่จะไปเสี่ยงหามอนสเตอร์ตัวใหม่ข้างหน้านั้นก็น่าสนใจไม่น้อย จนในที่สุดโจเองก็คิดจะลองเสี่ยงดูเช่นกัน



หลังจากพักจนพลังเต็มเปี่ยมแล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางต่อไป พวกเขาเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง แต่พอเดินเข้าไปลึกขึ้น พวกเขากลับไม่พบเจอมอนสเตอร์เลยแม้แต่ตัวเดียว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังมีพรายต้นไม้เข้ามาอยู่เลยแท้ ๆ โจคิดว่าเป็นเพราะเข้าเขตแดนมอนสเตอร์ตัวอื่น ทำให้พรายต้นไม้ไม่กล้าตามมาและมอนสเตอร์ที่อยู่ในเขตแดนใหม่นี้ก็คงกำลังซุ่มโจมตีอยู่แถว ๆ นี้ ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดที่ถูกเพียงครึ่งเดียว



เดินมาได้ซักพักสภาพป่าโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นป่าทึบ แสงอาทิตย์เวลาเที่ยงวันยังไม่อาจสาดแสงทะลุลงมาสู่พื้นดินในป่าแห่งนี้ได้ มีเพียงความมืดและความเงียบงันปรากฏอยู่รอบตัวไม่มีแม้แต่เสียงนกหรือเสียงแมลงจนดูน่าวังเวงอย่างกับป่าช้า



"โจ นี่พวกเราอยู่ที่ไหนกันน่ะ ใช่ป่าผลิใบหรือเปล่าเนี่ย ไม่เห็นจะมีตัวอะไรโผล่มาเลยซักตัว" แจ็คถามด้วยความสงสัยพลางมองไปรอบๆอย่างไม่ไว้วางใจ



"อา...พวกเราอยู่ในป่าเทพารักษ์แล้ว นี่คงจะเป็นชั้นในของป่าที่ยังไม่มีใครเคยเข้ามาถึงล่ะมั้ง คิดว่านะ" โจบอกพลางมองไปรอบ ๆ และหันมองดูแผนที่อยู่หลายครั้ง



เกาะไทริสที่แม้จะเป็นเกาะเริ่มต้น แต่ขนาดของเกาะก็แทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นเกาะเพราะมีพื้นที่กว้างขวางมากและมีภูมิประเทศหลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นป่าซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะ ภูเขา ทะเลสาป ทะเลทราย และอื่น ๆ ขาดก็เพียงหิมะเท่านั้น ด้วยพื้นที่ขนาดนี้นั่นเองทำให้ไม่เคยมีใครออกสำรวจได้ทั่วเกาะมาก่อน และมอนสเตอร์ระดับสูงสุดบนเกาะก็มีระดับเพียงแค่ 50 เท่านั้น ทำให้ผู้เล่นที่มีระดับถึง50 แล้วไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อและนั่งเรือไปที่ทวีปหลักกันหมดนั่นเอง



"หา! ป่าเทพารักษ์ นี่พวกเรามาทำบ้าอะไรกันในนี้เนี่ย! ถ้าเกิดไปเจอมอนสเตอร์ระดับสี่สิบห้าสิบเดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งคู่หรอก!" แจ็คหันไปว่าโจอย่างตกใจ



"เฮ้ย พูดแบบนี้ได้ยังไง แกนะที่เป็นคนเสนอมาเองนะเว้ย" โจเถียงกลับ



"ก็ตอนนั้นไม่รู้นี่หว่าว่าพวกเราอยู่ที่ไหน นายเป็นคนดูแผนที่ไม่ยอมบอกกันแบบนี้ถ้าเกิดพวกเราตายขึ้นมาล่ะก็เป็นความผิดของนาย โจ" แจ็คเถียงกลับไปอีก ทั้งคู่ทะเลาะกันได้แม้แต่เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแม้จะอยู่ในสถานที่ที่ควรจะเงียบเสียง แล้วตอนนี้เจนที่ปกติจะเป็นคนห้ามทัพก็ไม่ได้อยู่ด้วยทำให้เสียงทะเลาะดังไปทั่วป่า ถ้าหากพวกโจจะโดนมอนสเตอร์รุมจัดการในตอนนี้ล่ะก็ไม่แปลกใจเลย



ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องคำรามดังขึ้น มันเป็นเสียงของสัตว์ป่าที่ฟังดูคุ้นหูโจและแจ็คอย่างมาก เสียงต้นไม้ล้มระเนระนาดดังมาเป็นทาง ชายหนุ่มทั้งสองคนหยุดโต้เถียงกันแล้วรีบหันไปยังทิศที่เสียงดังมา เมื่อรู้ว่านั่นเป็นตัวอะไร ใจของพวกเขาก็ร่วมไปถึงตาตุ่ม เพราะตรงหน้านั้นคืออสูรพฤกษา และยังมีถึงสามตัวด้วยกัน โจและแจ็ครู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่สันหลัง ขนาดตัวเดียวยังต้องใช้คนหลายร้อยคนช่วยกันรุม แล้วนี่มีถึงสามตัวด้วยกัน ไม่มีทางเลยที่ทั้งคู่จะมีโอกาสรอดไปได้แต่นี่จะเป็นเรื่องราวที่จะจารึกชื่อของทั้งคู่ลงบนเกาะไทริสแห่งนี้







"ว้ายยยยยยย!" เสียงร้องของเด็กสาวดังลั่นร้านขายเสื้อผ้ากลางเมืองไทริส เด็กสาวเจ้าของร้านกำลังจ้องเด็กสาวในชุดผ้าไทยสีเหลืองโดยเธอกำลังทำหน้าตายที่สุดในชีวิต



"น้องเจนที่แต่งชุดไหนก็ขึ้นจริงๆ ขอพี่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ซีกสองสามรูปหน่อยนะ ฮิฮิ ได้น้องมาเป็นแบบให้อย่างนี้ช่วยจุดประกายความคิดได้ดีจริงๆเลย หู้ยยย! คิดแบบชุดได้เป็นสิบๆแล้ว" เด็กสาวเจ้าของร้านพูดแล้วก้มหน้าร่างแบบชุดที่อยู่ในหัวลงกระดาษตรงหน้าไฟแลบจนดูเหมือนกับว่าเธอกำลังใช้ทักษะเลยทีเดียว



ข้อเสนอที่เจนได้รับมาคือให้เป็นนางแบบลองชุดในร้านซักหน่อย เนื่องจากเด็กสาวเจ้าของร้านออกแบบชุดมามากมาย แต่กลับไม่มีเด็กสาวหรือลูกค้าคนไหนเลยมาซื้อชุดไทยที่เธอออกแบบเลย ดังนั้นเธออยากจะหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองโดยหาคนมาใส่ชุดไทยของเธอ แต่ไม่มีใครตอบรับภารกิจนี้บนกระดานภารกิจของเมืองเลย ครั้นจะให้เธอแต่งเองก็ไม่ได้ผล ดังนั้นพอเจนตอบรับภารกิจเธอจึงดีใจมากและจับเด็กสาวใส่ชุดแล้วชุดเล่าตั้งแต่เช้า



เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยงวันก็ดูเหมือนว่าเด็กสาวเจ้าของร้านพอใจแล้ว เธอให้เจนเปลี่ยนกลับไปใส่ชุดเริ่มต้นตามเดิมและแน่นอนว่าเด็กสาวรีบเปลี่ยนอย่างไวก่อนจะตามเด็กสาวเจ้าของร้านไปยังห้องรับรองของร้านที่อยู่ด้านหลัง



"แหม ขอบคุณมากเลยนะ พอดีเธอใส่ชุดไหนก็ขึ้นไปหมด เลยติดลมไปหน่อย" เด็กสาวบอกแล้วจึงยกแก้วน้ำส่งให้เจนซึ่งเธอก็รับมาอย่างโดยดี



"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" เจนตอบตามมารยาท แต่คิดในใจว่าต่อให้ตายเธอก็จะไม่มีวันทำภารกิจแบบนี้อีกเด็ดขาด



เหมือนกับว่าเด็กสาวตรงหน้ารู้ความคิดของเจน เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะหันไปดึงเชือกข้าง ๆ เจนสังเกตเห็นว่ามีผ้าม่านสีแดงล้อมรอบอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเด็กสาวเจ้าของร้านดึงเชือกจนสุด ผ้าม่านก็เปิดออกมาให้เห็นชุดที่อยู่ด้านในนับร้อยชุด มันไม่มีเพียงแค่ชุดไทยเท่านั้น มีชุดจากหลายเชื้อชาติมากและเนื้อผ้าก็ดูราคาแพงไม่น้อยเลยทีเดียว



"พวกนี้คือชุดที่ดีที่สุดของร้านฉันเอง เธอจะเลือกชุดไหนไปก็ได้ตามใจเลย เป็นค่าเสียเวลา" เด็กสาวเจ้าของร้านบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้



เจนกล่าวขอบคุณแล้วลุกขึ้นมองดูชุดเหล่านั้นด้วยความตะลึง ในตอนแรกเธอไม่นึกว่าภารกิจเล็กๆแบบนี้จะให้สิ่งตอบแทนที่มีราคาขนาดนี้ด้วยซ้ำความจริงแล้วทั้งภารกิจและของตอบแทนส่วนใหญ่นั้นจะมีของตอบแทนที่ไม่ค่อยแน่นอนนัก ขึ้นอยู่กับตัวคนมอบภารกิจว่าจะให้แบบไหน บางครั้งภารกิจที่ยากจนเกินจะทำได้กลับมีค่าตอบแทนที่น้อยจนดูไม่คุ้ม ครั้งนี้ที่เจนได้ค่าตอบแทนระดับสูงเช่นนี้ก็เป็นเพราะเด็กสาวเจ้าของร้านได้มอบภารกิจมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครมาทำ พอเจนมาโดยไม่ได้ดึงใบภารกิจจากกระดานเลยและยังตอบรับในทันทีจึงเป็นที่ถูกใจของเด็กสาวไม่น้อย



เจนเดินตรงไปเลือกเสื้อแขนยาวสีขาวที่ทำจากผ้าฝ้ายดูใส่แล้วเย็นสบายและเลือกกางเกงขายาวสีขาวเช่นเดียวกันแต่เป็นขากระบอกดูเข้าสมัยพร้อมทั้งเลือกรองเท้าบูทสีดำมาด้วยอีกหนึ่งคู่



"อ้าว ทำไมเธอถึงเลือกชุดแบบนี้มาล่ะ" เด็กสาวเจ้าของร้านถามเพราะชุดที่เธอเลือกมานั้นเป็นของผู้ชาย เด็กสาวรู้สึกเสียดายนิด ๆ ที่เจนไม่ได้เลือกชุดผู้หญิง



"ชุดแบบนี้เอาไว้ใช้เดินทางนะ เคลื่อนไหวสะดวกดี” เจนให้เหตุผล แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของเธอ



เด็กสาวเจ้าของร้านพยักหน้าเข้าใจแล้วทั้งคู่บอกลากัน จากนั้นเจนก็เดินออกมาจากร้านขายเสื้อผ้าพร้อมกับชุดใหม่ของเธอ เจนตัดสินใจที่จะสวมเสื้อคลุมที่ได้มาจากมาเอะทับชุดที่ได้มาใหม่ พอเธอสวมมันก็พบว่าสีเทาเข้ากับสีเสื้อได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวและยังไม่เป็นจุดสนใจอีกด้วย



เนื่องจากชุดที่เธอได้มาจากเด็กสาวเจ้าของร้านขายเสื้อผ้านั้นดูมีราคามากจนอาจจะทำให้คนอื่น ๆ มองเธอว่าเป็นผู้เล่นระดับสูงหรือนำเงินจากภายนอกเข้ามาในเกม ซึ่งมีแต่ผู้เล่นที่มีเงินถังเท่านั้นที่จะซื้อเสื้อผ้าแบบนี้มาเพราะนอกจากราคาที่สูงลิบแล้ว ก็ยังไม่มีความสามารถอะไรอื่นอีกนอกจากใส่เพื่อความสวยงามเท่านั้น เมื่อเทียบกับราคาแล้วถ้าจะซื้อชุดเกราะคุ้มกว่าในเรื่องพลังป้องกัน การที่เจนสวมชุดคลุมทับทำให้ไม่เป็นจุดเด่นและช่วยให้ไม่เสี่ยงที่จะโดนพวกโจรดักปล้นอีกด้วย



เจนนำดาบคุซานางิออกมาเหน็บอยู่ข้างเอวและเตรียมพร้อมใช้ตลอดเวลา ในตอนนี้เธอคิดจะใช้ดาบเล่มนี้อาวุธหลักแล้วเพราะถึงในตอนนี้เธอยังมีระดับต่ำอยู่ แต่ถ้าหากใช้ดาบเล่มนี้ช่วยในการเก็บระดับล่ะก็เธอมั่นใจว่าเธอจะเพิ่มระดับขึ้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่างแน่นอน ถึงแม้เธอจะลืมไปว่าเธอจะไม่ได้ค่าประสบการณ์เพิ่มจากความเฉียบคมในการจัดการมอนสเตอร์และพลาดโอกาสในการพัฒนาทักษะการใช้ดาบขั้นต้นของเธอไป



เจนพบว่าในตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว เธอจึงหาที่นั่งใต้ต้นไม้ใกล้ลานกลางเมืองเพื่อนั่งกินข้าวกล่องเริ่มต้นที่เหลืออยู่ในกระเป๋า โดยเธอแบ่งให้คิทซึเนะกล่องหนึ่งและเธอก็กินเองอีกกล่อง ในระหว่างที่เธอกำลังกินก็คิดไปด้วยว่าเธอต้องไปหาซื้อข้าวกล่องมาตุนเอาไว้



หลังจากกินเสร็จแล้วและกำลังนั่งพักให้อาหารย่อย เจนก็หยิบดาบคุซานางิขึ้นมาตรวจดูว่าหลังจากทำสัญญาแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง



ดาบมังกรคุซานางิ ระดับ S [ผู้ทำสัญญา เจน]

พลังโจมตี: 500 (-250)

ดาบในตำนาน มีพลังที่ตัดได้แม้แต่ฟ้าดิน ว่ากันว่าเป็นดาบประจำตัวของเทพบนสวรรค์

- สามารถโจมตีได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น

- สามารถใช้ทักษะ ผ่ามิติได้

- สามารถใช้ทักษะ อัญเชิญอสูร ยามาโตะ โนะ โอโรจิ ได้

- สามารถใช้ทักษะ ผนึกอสูร ได้

- สามารถเก็บสัตว์อสูรและมอนสเตอร์ได้ 8 ตัว

*ไม่สามารถเสียหายได้



เจนเห็นว่ามีชื่อของเธอปรากฏขึ้นมาด้วย แต่ก็ต้องแปลกใจว่าทำไมข้อมูลยังบอกว่าพลังโจมตีของดาบยังมีอยู่แค่ครึ่งเดียวอยู่ ทั้ง ๆ ที่เธอทำสัญญาแล้ว บางทีมาเอะอาจจะบอกเธอไม่หมดเกี่ยวกับเรื่องการทำสัญญาดาบ เธอจึงคิดเอาไว้ว่าเย็นนี้เมื่อเธอเจอเพื่อนของเธอจะลองถามดู



พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ยังไม่ทันที่เจนจะคิดอย่างอื่น เธอก็เห็นโจและแจ็คปรากฏตัวขึ้นที่ใจกลางลานกว้างซึ่งเป็นจุดเกิดของเมืองไทริสและจุดบันทึกสำหรับการวาปผ่านทักษะของอาชีพสายเวทมนตร์ เจนมั่นใจว่าทั้งสองไม่ได้กลับมาที่เมืองนี้เพราะใช้ของหรือเวทมนตร์แน่นอน เพราะบนหน้าของทั้งสองมันเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน



"โจ แจ็ค!" เจนส่งเสียงเรียกเพื่อนทั้งสอง และพวกเขาก็เดินมาอย่างว่าง่านถึงแม้ดูท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี "ว่าไง พวกนายทำหน้าแบบนี้คงตายกลับมาล่ะสิ"



"ก็ใช่น่ะสิ อยู่ดีไม่ว่าดีเจ้าแจ็คอยากจะเข้าไปลุยในส่วนลึกของป่า..- เดี๋ยวสิ นี่เธอเอาชุดนี้มาจากไหนน่ะ เจน" โจถามด้วยน้ำเสียงสงสัย เพราะเมื่อเช้าพวกเขาทั้งสามคนต่างสวมชุดเริ่มต้นกันอยู่เลย



"นี่หรอ ฉันได้มาจากทำภารกิจที่ร้านขายเสื้อผ้าไง เท่ห์ใช่มั้ยล่ะ" เจนถอดเสื้อคลุมเพื่อจะอวดชุดใหม่ของตน ถึงเธอไม่ค่อยชอบเวลาที่คนอื่นในเมืองมองเธอเป็นตาเดียวเพราะชุดนี้ แต่มันเทียบไม่ได้เลยดับความรู้สึกสะใจที่ได้เอามาอวดเพื่อนของเธอ



"แต่ว่าชุดมันดู เอ่อ... ดูแมนไปหน่อยหรือเปล่า" แจ็คว่า เพราะดูจากชุดที่เจนอยู่ในตอนนี้ แทบจะไม่ต่างจากเดิมตอนก่อนที่เธอจะกลายเป็นผู้หญิงเลย อันที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากแต่แรกอยู่แล้ว



"นั่นสิ แม่เธอกับคุณหมอคนนั้นบอกให้เธอเล่มเกมนี้เพื่อที่จะทำให้เธอคุ้นกับการเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือไง" โจเสริม เจนไม่สนใจคำเตือนของเพื่อนเธอและพูดพร้อมทำท่ากอดอก



"ฉันอยู่ในเกม จะทำเรื่องอะไรมันก็เรื่องของฉันน่า"



"แต่ฉันว่าอย่างน้อยเธอก็อย่าพูดให้เหมือนผู้ชายแบบเมื่อก่อนดีกว่านะ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วถ้าเกิดเธอยังทำตัวไม่เหมือนเด็กผู้หญิงเข้าเดี๋ยวก็โดนแม่จริยาโกรธเอาหรอก แล้วอีกอย่างฉันว่าเธอเหมาะจะเป็นผู้หญิงมากกว่าว่ะ..-โอ้ย!" ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดจบ เจนก็ปากล่องข้าวที่ทานเสร็จแล้วใส่โจทันทีที่ได้ยินประโยคหลังสุด แต่เขาเองก็พูดได้มีเหตุผล ถ้าหากเธอยังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยตามที่จริยาและเกอร์ธูทต้องการแล้วก็อาจจะมีปัญหาตามมาก็ได้ แม่ของเธออาจไม่เท่าไหร่ แต่คนหลังต่างหากที่เจนรู้สึกกังวล



"ระ...รู้แล้วล่ะน่า เรื่องแบบนี้มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปสิ ว่าแต่ตอนนี้พวกนายระดับเท่าไหร่แล้วล่ะ" เจนรีบเปลี่ยนเรื่อง



"ตอนนี้พวกเราระดับยี่สิบสี่แล้วนะ ความจริงก็ยี่สิบห้าแล้วล่ะแต่ตายมาก็เลยโดนลดระดับ ดีที่พวกเราให้เงินทั้งหมดเอาไว้ที่เธอ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็มีหวังหมดตัวแน่ ๆ" แจ็คว่า



การตายในเกมนี้มีบทลงโทษแตกต่างกันไป โดยความหนักของบทลงโทษจะขึ้นอยู่กับการตาย ถ้าหากโดนมอนสเตอร์ธรรมดา ยศทหารและขุนนางฆ่า จะถูกลดระดับ 1 ระดับ และเงินที่อยู่ในตัวทั้งหมดจะตกลงมา รวมถึงมีโอกาสที่อุปกรณ์สวมใส่จำพวกชุดหรือแม้แต่กระเป๋าจะเสียหายด้วย ถ้าหากถูกมอนสเตอร์ระดับราชาและเทพเจ้าฆ่าล่ะก็ จะถูกลดระดับถึง 5 ระดับ รวมถึงเงินทั้งหมดในตัวจะตกลงมาเช่นเดียวกันและความเสี่ยงที่อุปกรณ์สวมใส่จะเสียหายก็สูงขึ้นมากด้วย แต่ถ้าหากเป็นมอนสเตอร์บอสล่ะก็ บทลงโทษก็จะแตกต่างกันออกไปตามระดับของมอนสเตอร์ตัวนั้น



อย่างเช่นบอสอสูรพฤกษา ระดับ 50 คนที่ถูกมันฆ่าจะถูกลดระดับถึง 5 ระดับ และความเสี่ยงที่อุปกรณ์สวมใส่จะเสียหายก็สูงกว่าการถูกมอนสเตอร์ระดับทหารจัดการซะอีก แต่สาเหตุที่โจและแจ็คถูกอสูรพฤกษาจัดการมาและลดระดับเพียงระดับเดียวนั้นเป็นเพราะว่าอสูรพฤกษาทั้งสามตัวนั้นไม่ใช่มอนสเตอร์ระดับบอสนั่นเอง ถึงแม้ว่าในป่าผลิใบมันจะเป็นมอนสเตอร์ระดับบอส แต่ในป่าเทพารักษ์นั้นเป็นหนึ่งในหลายๆที่อยู่ของมอนสเตอร์ระดับสูงบนเกาะ ดังนั้นจึงมีพวกมันอยู่เต็มป่าเทพารักษ์เลยทีเดียว



เจนตกใจกับความเร็วในการเก็บระดับของเพื่อนทั้งสองมาก เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถเก็บระดับแซงหน้าเธอไปแล้ว ทั้งที่ความจริงนี่เป็นเรื่องปกติเนื่องจากพวกเขาเข้าไปจัดการมอนสเตอร์ในป่าที่มีระดับสูงกว่ามากเช่นเดียวกับตอนที่เจนจัดการหมาป่าขนดำและทำให้ระดับเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่ทั้งสองทำถึงจะดูเก่งมากแต่ถ้าหากผู้เล่นทั่วไปจับกลุ่มกันมาก ๆ และฝึกการโจมตีอย่างมีระบบล่ะก็สามารถทำอย่างพวกโจได้เช่นเดียวกัน



"สุดยอดไปเลยพวกนายเนี่ย แล้วจากนี้พวกนายจะไปลุยต่อใช่หรือเปล่า"



"แน่นอนอยู่แล้วสิพวกเราไม่ปล่อยให้ตัวที่จัดการเราลอยนวลไปได้หรอก" โจพูดด้วยท่าทางขึงขัง



"ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้พวกนายโชคดีก็แล้วกัน ช่วงนี้ฉันขอทำภารกิจอยู่ในเมืองดีกว่า พวกนายเอาเงินนี่ไปสิ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง" เจนพูดแล้วส่งเงินทั้งหมด 900 โกล์ดให้โจจากนั้นเธอก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออกแล้วจึงเอ่ยปากถาม "จริงสิ นายรู้มั้ยว่าทำไมดาบ..ของฉันทำสัญญาแล้วมันถึงยังลดพลังโจมตีได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ล่ะ"



"อืม...ไม่รู้เหมือนกัน เพราะอาวุธในระดับของเธอไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อนว่าเคยมีคนได้ แต่ถ้าให้ฉันคิดล่ะก็นะ มันคงจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ใช้พลังของดาบได้อย่างเต็มที่ ยิ่งเป็นดาบที่มีเพียงเล่มเดียวแล้วล่ะก็ บางทีอาจจะต้องถึงกับทำภารกิจให้มันยอมรับเลยก็ได้นะ" โจแสดงความคิดเห็น เพราะข้อมูลของดาบระดับ S นั้นไม่มีใครเคยมาเปิดเผยในกระดานข่าว ทำให้สิ่งที่โจรู้มีเพียงแค่ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น



เมื่อเพื่อนของเธอทั้งสองจากไปแล้วเจนก็มานั่งคิดดูว่าเธอต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะสามารถใช้พลังของดาบได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะใช้ทักษะทั้งหมดได้ก็ตาม แต่เมื่อพลังโจมตีของดาบที่โจบอกว่าน้อยเมื่อเทียบกับอาวุธระดับAแล้ว ถ้ายังมีพลังโจมตีแค่ครึ่งเดียวอีกล่ะก็อาจจะเป็นปัญหาในภายหลังก็ได้



แต่พอคิดไปคิดมา ในตอนนี้บนเกาะเริ่มต้นคงมีมอนสเตอร์ไม่มากที่สามารถทนพลังโจมตีของดาบเล่มนี้แม้จะมีพลังโจมตีเพียงครึ่งเดียวก็ตาม เจนจึงเก็บเรื่องดาบเอาไว้ในใจก่อนและเริ่มทำภารกิจในต่อไป



ในช่วงบ่ายเจนไปรับทำภารกิจที่ร้านขายชุดเกราะและเครื่องป้องกัน โดยเจ้าของร้านนั้นให้เธอไปตีเครื่องป้องกันอะไรก็ได้มาหนึ่งอย่างโดยจะต้องมีคุณภาพดีพอที่เจ้าของร้านพอใจด้วย ถึงจะดูว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ยากมาก แต่ความจริงแล้วนี่ถือว่าเป็นภารกิจที่ง่ายมากเลยทีเดียว เพราะแค่ผู้เล่นตีชุดเกราะระดับต่ำมาได้ก็สามารถผ่านภารกิจนี้ไปอย่างง่าย ๆ เลย



ภายในร้านไม่ได้มีเพียงแค่เจนคนเดียวที่เข้ามาทำภารกิจ มีผู้เล่นหลายสิบคนต่างทำภารกิจแตกต่างกันไปทั่วร้าน บ้างก็พยายามขัดชุดเกราะให้เป็นมันวาว บ้างก็ทุบชุดเกราะที่บุบลงไปให้กลับมาเป็นทรงเดิม บ้างก็กำลังหลอมซากเครื่องป้องกันให้กลายเป็นเหล็กเหลวเพื่อที่จะได้ทำเป็นชุดเกราะตัวใหม่ บรรยากาศที่มีผู้เล่นมากมายรวมถึงเอไอชาวบ้านหลายสิบคนกำลังทำอุปกรณ์เพื่อที่จะนำมาขายหน้าร้านแบบนี้มันช่างต่างกับร้านขายเสือผ้าที่ร้างไม่มีคนแม้กระทั่งเอไอที่จะมาทำชุดขาย



เจนพอใจมากกับการปลอมตัวของตน เพราะก้าวแรกที่เธอเข้ามาด้านในร้าน เจ้าของร้านขายเครื่องป้องกันก็สั่งให้เธอไปหลอมเศษเหล็กตามภารกิจที่ได้รับมาทันที และยังทิ้งท้ายด้วยคำปรามาสว่าเธอเป็นหนุ่มหน้าสวยอย่างกะผู้หญิง ดูท่าทางไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงานนี้ไม่ไหว เจนไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย ยังดีใจด้วยซ้ำไปเพราะว่าทั้งเจ้าของร้านและคนอื่น ๆ รวมทั้งพวกผู้เล่นในตอนนี้ต่างมองเธอเป็นผู้ชายอีกครั้งหนึ่งแล้ว



เจนทำภารกิจนี้อยู่เพียงแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้นเพราะภารกิจของเธอนั้นง่ายมากเมื่อเทียบกับผู้เล่นคนอื่น เธอได้คุยกับผู้เล่นที่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเขาต้องตีเครื่องป้องกันเข่ามาคู่หนึ่ง ซึ่งตอนที่เธอเริ่มทำภารกิจนั้นเด็กหนุ่มก็ใกล้ที่จะเสร็จแล้ว แต่เมื่อพอคุยกับเด็กหนุ่มคนนั้นเธอก็ได้รู้ว่าเขาต้องการที่จะเป็นอาชีพช่างตีเหล็กที่สามารถสร้างอาวุธและเครื่องป้องกันได้ อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ผสมระหว่างสายอาวุธและสายประดิษฐ์ เพราะสามารถเก็บระดับได้ด้วยตัวเองและสามารถสร้างสิ่งของได้เช่นกัน



เด็กหนุ่มคนนี้ทำภารกิจเพื่อที่จะเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการเปลี่ยนอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก เพราะภารกิจแบบนี้จะสามารถรับได้เพียงครั้งเดียว เขาจึงพยายามทำของที่เจ้าของร้านสั่งออกมาอย่างสุดความสามารถ เมื่อเขาทำเสร็จแล้วแต่ก็ยังคงไม่ค่อยพอใจกับผลงานของตนเองนัก เขาจึงส่งเครื่องป้องกันเข่าให้กับเจนและบอกให้เธอหลอมมันตามภารกิจของเธอ การทำอย่างนี้ไม่ผิดและยังช่วยให้ผู้เล่นสามารถฝึกเพื่อเพิ่มระดับทักษะได้อีกด้วย



เจนสงสัยว่าเอไอชาวบ้านมาทำอะไรที่นี่จึงเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มซึ่งกำลังหลอมเหล็กขึ้นมาใหม่ เขาบอกมาว่าเอไอเหล่านี้ก็ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะทำอาวุธหรือเครื่องป้องกันเช่นเดียวกันกับผู้เล่น ชาวบ้านหลายคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นศิษย์ของเจ้าของร้านกันทั้งนั้น พวกเขาเป็นคนทำเครื่องป้องกันที่นำไปขายในร้าน ถ้าหากขาดพวกเขาไปล่ะก็ พวกผู้เล่นสายบู้คงจะไม่มีเครื่องป้องกันระดับต่ำใช้ตอนเริ่มเกมอย่างแน่นอน



ในช่วงที่เจนกำลังหลอมเหล็กนั้น เธอได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านนอก แต่เสียงนั้นดูท่าจะไม่ใช่เป็นเสียงของคนกำลังทะเลาะกัน แต่เหมือนเป็นเสียงของคนกำลังป่าวประกาศอะไรซักอย่างซึ่งดูท่าทางจะมีคนสนใจไม่น้อยเสียด้วยดูจากผู้เล่นจำนวนหนึ่งที่เลิกสนใจภารกิจของตนและออกไปดู แต่เจนคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องของเธอและเธอเองก็ไม่อยากเจอเรื่องยุ่งๆในวันนี้แล้วด้วย เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาหลอมเหล็กของเธอต่อไปโดยไม่ทราบเลยว่าคนที่กำลังตะโกนปาวๆอยู่ในตอนนี้นั้นคือเพื่อนของเธอนั่นเอง



ถึงจะเป็นการกิจง่าย ๆ แต่ก็กินเวลาถึงเย็น เจ้าของร้านเอ่ยปากชมว่าเธอตั้งใจทำภารกิจของเธอดีมากและไม่วอกแว่กต่อสิ่งรบกวนรอบข้าง เธอได้เครื่องป้องกันเขาที่ทำจากเหล็กเป็นค่าตอบแทนสำหรับภารกิจ และเงินอีก 500 โกลด์สำหรับความตั้งใจ เจนแลบลิ้นเลียปากตัวเองให้กับลาภที่ลอยเข้าปากมาง่าย ๆ เพราะว่ามีผู้เล่นและเอไอจำนวนไมน้อยที่หยุดกิจของตนและออกไปฟังโจป่าวประกาศซึ่งเจนยังไม่รู้ เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงทำงานของตนต่อไป



เจนติดต่อไปยังเพื่อนของตนว่าตอนนี้อยู่ไหนแต่ทั้งคู่ตอบกลับมาทำนองว่าวันนี้จะนอนพักด้านนอกเมือง ให้เธอพักในเมืองคนเดียวไปเลยไม่ต้องรอ ดังนั้นเจนจึงตรงไปยังโรงแรมที่พวกโจพักอยู่และตรงขึ้นไปห้องทันที คืนนี้เจนเสียเงินเพียงแค่ค่าอาหารเท่านั้นเพราะเธอนอนในห้องของสองหนุ่มซึ่งพวกเขาจ่ายค่าห้องไปสำหรับสามวันเลยทีเดียว



เวลาล่วงเลยไปอีกสองวันกว่าเจนจะทำภารกิจครบทั้งเมือง เธอได้ทักษะมากมายจากร้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นการตีเหล็ก ปรุงยา ทำอาหาร ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนเป็นโบนัสจากการที่ทำภารกิจต่างๆที่มีค่ากว่าเงินและสิ่งของเล็กๆน้อยๆที่เป็นสิ่งตอบแทนจากภารกิจซะอีก สำหรับเจนซึ่งเป็นสายบู้อย่างแน่นอน การทำภารกิจเช่นนี้ปกติจะเป็นพวกสายประดิษฐ์หรือซัพพอร์ทซะมากกว่า แต่เธอก็คิดว่าทักษะเหล่านี้จะมีประโยชน์กับเธอในอนาคตอย่างแน่นอน



เจนลองตรวจสอบดูว่าตลอดสองวันมานีเธอได้อะไรมาจากภารกิจทั้งหมดในเมืองไทริสบ้าง



เสื้อผ้าไหม ระดับ B

พลังป้องกัน: -

ชุดผ้าทำจากใยไหม กันลม กันแดด กันหนาวได้อย่างดี

-มีคุณสมบัติช่วยให้ผู้สวมใส่รู้สึกเย็นสบาย



กางเกงบุรุษ ระดับ B

พลังป้องกัน: -

กางเกงทรงเข้าสมัย ใส่แล้วทำให้รู้สึกเก๋ไก๋ไม่เบา



สนับเข่าเหล็ก ระดับ E

พลังป้องกัน: 5

เครื่องป้องกันเอาไว้สำหรับป้องกันเข่าจากอาการบาดเจ็บ



ดาบเหล็กกล้า ระดับ E

พลังโจมตี: 13

ดาบทั่วไปสำหรับทหารและชาวบ้าน สามารถใช้ตัดและแทงได้อย่างดี



ตำราการปรุงยาขั้นเริ่มต้น ระดับ E

หนังสือที่รวมรวมวิธีการปรุงยาอย่างถูกวิธี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเรียนรู้การปรุงยา



กล่องรักษาของสดขนาดเล็ก ระดับ E [ความจุ 0/10]

กล่องนี้สามารถเก็บรักษาวัตถุดิบที่สามารถนำมากินให้คงสภาพสดอยู่ได้

*ไม่สามารถเก็บเข้ากระเป๋าเดินทางได้

*ไม่สามารถเก็บเข้าช่องเก็บของตัวละครได้



นอกจากนี้เจนยังได้ของจำพวกยาเพิ่มพลังชีวิตมาอีกจำนวนหนึ่งและเงินมาทั้งหมด 8000 โกล์ด เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ว่าก็ถือว่าหาได้ไม่ยาก เพราะของป่าที่พวกโจเก็บได้ก่อนตายเมื่อสองวันก่อนนั้นสามารถขายทั้งหมดได้เงินมาถึง 2400 โกล์ดเลยทีเดียว ถ้ามาเทียบเวลาแล้วล่ะก็จะเห็นได้ว่าการออกไปเก็บระดับล่าวัตถุดิบนั้นได้เงินเยอะกว่ามาก



'เงินแค่นี้ก็น่าจะพออยู่ได้ซักสัปดาห์ล่ะนะ ว่าแต่ตอนนี้ใกล้ได้เวลาจะต้องล็อกเอาท์ออกจากเกมแล้วด้วยสิ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกโจจะเป็นยังไงบ้างนะ' เจนคิดในใจพลางติดต่อไปหาเพื่อน ๆ ของเธอ



"โจ นี่ฉันเองนะ ตอนนี้พวกนายอยู่ไหนกันน่ะ ใกล้เวลาจะต้องล็อกอินออกจากเกมแล้วนะ" ทั้งโจและแจ็คไม่ตอบ พอเจนจะลอกเรียกอีกครั้งเธอก็ได้ยินเสียงของโจที่ฟังดูท่าทางเหนื่อยหอบ



"รู้แล้ว รู้แล้ว! แฮ่ก..แฮ่ก เธอล็อกเอาท์ออกไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป" พูดจบโจก็ตัดการติดต่อไปทันที ทำให้เจนรู้สึกสงสัยมากว่าทั้งสองคนไปทำอะไรกันแน่ตลอดสองวันที่ผ่านมาเพราะทั้งคู่ไม่ได้กลับมาที่ห้องอีกเลย



เจนพักความคิดเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วจึงไปหาโรงแรมแห่งใหม่เข้าพัก เธอไปเจอโรงแรมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่เป็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ด้านในนั้นมีพนักงานหญิงชายมากมายแต่งชุดไทยคอยให้บริการอยู่ แม้ตัวโรงแรมจะเป็นบ้านไม้แต่ก็ให้ความรู้สึกหรูหราไม่น้อยเลยทีเดียว เจนตรงไปยังที่พนักงานต้อนรับโดยสายตายังคงชื่นชมความงามของตัวโรงแรมแห่งนี้



"สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการค้างกี่คืนคะ" พนักงานหญิงถามเมื่อเจนเดินมาถึง



"เอ่อ..ไม่ทราบว่าที่นี่คิดค่าพักคืนละเท่าไหร่หรือ พอดีกลัวกว่าเงินจะไม่พอจ่ายน่ะ" เจนถาม



"โรงแรมของเราคิดค่าเข้าพักคืนละห้าร้อยโกลด์ล่ะ นี่รวมเป็นค่าห้องธรรมดาและอาหารสามมื้อต่อวันแล้วนะคะ แต่ถ้าเป็นห้องแบบพิเศษจะเป็นราคาคืนละสามพันโกลด์ค่ะ" เจนได้ยินราคาที่พักที่สูงจนน่าตกใจ เธอรีบเลือกเข้าพักห้องธรรมดาทันทีพลางคิดว่าใครมันจะบ้าพักห้องระดับพิเศษกัน ราคาแพงตายชัก



เมื่อบริกรหนุ่มนำทางเธอมายังห้องพักของเธอ เจนก็ต้องรู้สึกทึ่งมากกับสภาพห้อง เพราะมันดูสวยงามมากเลยทีเดียว เตียงไม้ดูยิ่งใหญ่ราวกับเป็นราชาและท่าทางนอนสบายที่สุด ห้องถูกตกแต่งด้วยผ้าสีทองดูสว่างไปหมด อีกทั้งห้องอาบน้ำในตัวที่เป็นฝักบัวแบบทันสมัย เจนคิดว่าถ้าหากมันเป็นบ่อน้ำตักแบบสมัยโบราณล่ะก็บางทีอาจจะเข้าอารมณ์ไปอีกแบบก็ได้



เธอกระโดดลงไปบนเตียงพร้อมกับคิทซึเนะที่วิ่งออกสำรวจห้องไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความรู้สึกแรกต่อเตียงนี้คือความนุ่มจนเหมือนกับว่าเตียงกำลังจะดูดกลืนเธอไปได้เลย อีกทั้งกลิ่นหอมดอกมะลิที่ฟุ้งไปทั่วห้องก็ชวนนอนหลับซะนี่กะไร



โฮ่ง! โฮ่ง!



เสียงร้องของคิทซึเนะเรียกความสนใจของเจน เมื่อหันไปดูเจนก็พบว่าคิทซึนะกำลังดมขวดน้ำหอมอยู่ในห้องน้ำ ดูท่าทางมันจะชอบไม่น้อยเลย เจนเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้คิทซึเนะเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอแล้ว บางทีอาจจะมีหน้าต่างบอกรายระเอียดของมันอยู่ก็ได้



ไวเท่าความคิด หน้าต่างสัตว์เลี้ยงปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเจนทันที



สัตว์เลี้ยง จิ้งจอกขาว คิทซึเนะ

ยศ ทหาร ระดับ 15

ค่าประสบการณ์ 34%



ในหน้าต่างนั้นยังมีแถบอื่นๆอีกมากแต่อย่างเช่นทักษะ พลังพิเศษ แต่ทั้งสองแถบนั้นกลับว่างเปล่าเนื่องจากตัวคิทซึเนะนั้นไม่มีทักษะอะไรเลย พอดูที่แถบค่าสถานะก็เห็นว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้มีค่าสถานะต่ำเกือบทุกอย่าง เว้นแต่ความเร็วที่สูงถึง 40 แต่นั่นก็ยังทำให้เจนเป็นห่วงอยู่ดีว่าอาจจะเกิดอันตรายกับคิทซึเนะขึ้นได้



เมื่อคิดได้ดังนั้นเจนก็กดแบ่งค่าประสบการณ์ครึ่งหนึ่งให้กับคิทซึเนะทันที เมื่อทำแบบนี้แล้วถ้าหากเจนจัดการมอนสเตอร์ได้ ค่าระสบการณ์ครึ่งหนึ่งจะตกเป็นของคิทซึเนะทันที แล้วถ้าหากเธอได้ค่าประสบการณ์จนเพิ่มระดับล่ะก็ ค่าประสบการณ์ที่เหลือก็จะตกเป็นของคิทซึเนะเช่นกัน เว้นแต่เพียงโบนัสจากการจัดการมอนสเตอร์ระดับบอสหรือมินิบอสที่เจนจะเป็นผู้ได้เพียงผู้เดียวถ้าหากเธอเป็นคนจัดการมัน



เมื่อแน่ใจว่าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจนก็บอกกับคิทซึนะให้ทำตัวดี ๆ ระหว่างที่เธอไม่อยู่ โชคดีที่ค่าห้องจะรวมค่าอาหารในแต่ละวันเอาไว้ด้วย ซึ่งเจนสั่งให้พนักงานเอาอาหารมาให้คิทซึเนะในระหว่างที่เธอไม่อยู่ด้วยจึงวางใจได้ว่าจิ้งจอกน้อยคงไม่ต้องทำหิวอย่างแน่นอน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเธอไม่ลืมอะไรเธอจึงนอนลงบนเตียงและหลับตาลงพร้อมล็อกเอาท์ตัวเธอออกจากเกม เพื่อกลับไปใช้ชีวิตสู่โลกแห่งความจริง



จบตอนที่ 8 ภารกิจที่แสนยืดยาว
------------

Tohan-kun
2nd January 2014, 12:46
ตอนที่ 9 ทะเลเพลิง



แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องเข้ามาในห้องนอนสีชมพูผ่านหน้าต่าง เจนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆและพยายามคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ในความรู้สึกของเธอนั้นมันเหมือนกับว่าเวลาได้ผ่านมายาวนานเหลือเกิน เมื่อเธอนอนหลับในเกมและตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่งความจริง ชีวิตของเธอมันช่างราวกับเป็นความฝัน สิ่งที่อยู่ในเกมคือความจริง แต่จิตใต้สำนึกบอกเธอว่าในตอนนี้เธอกำลังอยู่ในโลกแห่งความจริง



ประตูห้องถูกเปิดออกมาโดยจริยาซึ่งเธออยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลือง มือข้างซ้ายถือตะหลิวอยู่ เจนได้กลิ่นไก่ทอดลอยมาเตะจมูกอย่างชัดเจน ดูท่าอาหารเช้าวันนี้คงจะเป็นข้าวผัดอเมริกัน



"อ๊ะ ตายจริง นี่เราตื่นเร็วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ลูก" จริยาถาม เจนเกาหัวอย่างงุนงงแล้วหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องซึ่งบอกเวลาหกโมงเช้า



"ก็นอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม ถ้าตื่นสายก็แย่แล้วล่ะแม่ อีกอย่างเฮดก็อกเกิ่ลมีระบบที่ช่วยปลุกเจนหลังจากออกจากเกมอยู่แล้วด้วย" เด็กสาวบอกกับแม่ของเธอแล้วจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย



เจนและจริยามีนัดที่จะต้องไปสวนสาธารณะในทุกๆเช้าเพื่อออกกำลังกายโดยการรำไทเก๊ก หลังจากที่เจนทานข้าวเช้าเสร็จแล้วเธอก็เดินทางออกจากบ้านไปยังจุดหมายซึ่งอยู่ไมไกลจากบ้านของเธอนัก



ในเวลานี้เจนสวมชุดฝึกแขนยาวสีดำซึ่งเสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่เธอซื้อเก็บเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเด็กผู้ชาย ยังดีที่จริยาไม่ได้เอาเสื้อตัวนี้ไปพร้อมกับเสื้อผ้าของผู้ชายตัวอื่น ๆ ของเธอ เจนอดนึกไม่ได้ว่าทั้งจริยาและเกอร์ธูทจะมีชุดออกกำลังกายแบบไหนมาแทนชุดนี้ถ้าหากจริยาตัดสินใจไม่เก็บมันเอาไว้



สวมสาธารณะที่นี่มีขนาดไม่ได้ใหญ่โตเหมือนสวนสาธารณะชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร แต่ในเวลาเช้าเช่นนี้ผู้คนก็นิยมจะมาที่นี่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ถึงคนส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุที่มาเดินออกกำลังกายตอนเช้าก็ตาม



เจนและจริยาตรงไปหาชายหนุ่มวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดผ้าสีขาวและกางเกงขายาวสีดำแบบคนจีนใส่กัน เขามีหน้าตาที่เรียกได้ว่าดีในระดับหนึ่ง จึงทำให้มีสาวทั้งวัยรุ่นมาเรียนกับเขาเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีคนไม่น้อยที่มาเพื่อต้องการจะออกกำลังกายเช่นเจนและจริยา



"อรุณสวัสดิ์ค่ะอาจารย์ศักดิ์ เช้านี้อากาศดีนะคะ" จริยาเอ่ยทักเมื่อเธอและลูกสาวมาถึงลานออกกำลังกายของสวนสาธารณะ



"อรุณสวัสดิ์ครับคุณจริยา วันนี้ก็ยังสวยเหมือนเดิมนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ยตอบ เจนค่อนข้างแน่ใจว่านั่นไม่ใช่การทักทายแบบปกติอย่างแน่นอน



จริยานั้นสวยจนใคร ๆ ที่เห็นก็ต้องตกหลุมรัก บวกกับนิสัยที่เป็นคนกันเองจึงทำให้มีแต่คนชอบเธอกันทั้งนั้น ที่ผ่านมามีชายหนุ่มรุมตอมจีบเธอย่างกับดอกไม้ยามเช้า แต่ก็มีเจนที่คอยเป็นหนามแหลมคอยป้องกันเอาไว้ไม่ให้แตะต้อง สำหรับอาจารย์ศักดิ์หรือศักดิ์ดานั้นเจนก็คิดว่าเขาเป็นคนค่อนข้างใช้ได้ หน้าตาหล่อเหลาแถมนิสัยดี มีชาติตระกูลมาจากครอบครัวเจ้าของบริษัทนำเที่ยวระดับโลกซึ่งเป็นหลักประกันว่าคอยดูแลแม่ของเธอได้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเป็นคนตัดสินใจ แต่หากเป็นจริยาที่ต้องเป็นผู้เลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป



แต่ในความคิดเจนแล้ว เธอไม่อยากให้ใครหน้าไหนมายุ่งกับแม่ของเธอทั้งนั้น



"สบายดีแล้วหรือเจน เห็นว่าป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปเกือบสัปดาห์เลยนี่" ศักดิ์ดาหันมาคุยกับเจนหลักจากคุยกับจริยาจบแล้ว



"ม...ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ" เจนพูดแต่กลับไม่ยอมมองหน้าคนที่คุยด้วย นี่เป็นอีกอย่างที่เธอเป็นห่วงอยู่ ในเกมเวลาเธอจะคุยกับใครพูดคำลงท้ายคะขาเธอก็ไม่รู้สึกอายเท่าไหร่ แต่มาคุยกับคนที่รู้จักมันเป็นอีกเรื่อง



ศักดิ์ดามองหน้าเจนด้วยความฉงน เขาเจอเจนหลายครั้งและคุยกันก็หลายหน เจนเป็นคนที่พูดน้อยอยู่ทุนเดิมอยู่แล้วแต่ไม่เคยที่จะเลี่ยงสายตาคนที่กำลังคุยกับเธอ จนในบางครั้งเขานี่แหละที่ต้องเป็นคนหลบสายตาอันแข็งกร้าวนั่นซะเอง



"ดูแปลก ๆ ไปนะเราน่ะ มีอะไรหรือเปล่า ไม่สบายใจตรงไหนปรึกษาฉันได้นะ คนกันเองอยู่แล้ว" ศักดิ์ดาบอกพร้อมเข้ามาตบไหล่เบา ๆ แต่ก่อนที่จะได้แตะต้องตัว เจนก็ก้าวเท้าหลบอย่างรวดเร็วจนอาจารย์หนุ่มถึงกับแปลกใจ



"โห เร็วมากเลยนี่เราน่ะ ไม่เจอกันพักเดียวเร็วขึ้นเยอะเลยนี่ อย่างกับไปฝึกกับใครมาเลย" ที่เจนก้าวเท้าหนีนั้นเป็นผลมาจากการฝึกความเร็วในการตอบสนองกับหมิงเต๋อซึ่งเจนเองก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะทำได้ นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เธอฝึกในเกมจะสามารถนำมาใช้นอกเกมได้จริง ๆ



ในระหว่างที่เจนกำลังทึ่งกับความสามารถของเธอที่เพิ่มขึ้นมาเพียงคืนเดียว ศักดิ์ดาก็เข้าไปคุยกับจริยาซึ่งกำลังเตรียมพร้อมที่จะออกกำลังกาย



"รู้สึกเหมือนว่าเจนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะครับเนี่ย ถ้าเทียบกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วล่ะก็เธอยังตามความเร็วของผมยังไม่ทันเลย"



'หือ'



"แหม ไม่หรอกค่ะ เจนก็ยังเป็นลูกสาวของฉันเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ สงสัยเป็นเพราะทำกายภาพบำบัดในโรงพยายามนั่นแหละค่ะ" จริยาพูดออกมาน้ำเสียงระรื่น



"แม่!" เจนพูดเสียงดังพยายามจะกลบเสียงของจริยา แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้คนที่อยู่รอบ ๆ หันมาสนใจสิ่งที่แม่ของเธอพึ่งบอกไปมากขึ้น



"เจนเป็นเด็กผู้หญิงหรอกหรอ แต่เห็นเมื่อก่อนบอกว่าเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลยนี่นา"



"ไม่รู้สิคุณ อยู่กันมาตั้งหลายปีก็ไม่เคยถามคุณจริยาเรื่องนี้เลย เห็นหน้าตาสวยน่ารักตั้งแต่ฉันก็นึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงมาตั้งนานแล้วนะ" แม่บ้านสองคนหันไปคุยกัน เป็นการเริ่มจุดฉนวนประเด็นร้อยที่ทำให้ไม่ว่าใครต่อใครจับจ้องมาที่เจนเป็นสายตาเดียว



โดยเฉพาะศักดิ์ดาที่ควรจะรู้สึกแปลกใจมากที่สุดเพราะเขาเป็นคนฝึกไทเก๊กให้แก่เจนมานานต่อจากปู่ของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าสายตาที่ใช้มองคนของเขสจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่

"เอ๋ พวกคุณแม่พูดอะไรกันครับเนี่ย เจนก็เป็นเด็กผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือครับ พูดกันแบบนี้เดี๋ยวเจนเขาก็เสียความมั่นใจในความเป็นหญิงหมดสิครับ" ศักดิ์ดาพูดเสียงดังและคิดว่าตัวเองกำลังช่วยให้เจนไม่ต้องรู้สึกอาย แต่คำพูดของเขานั่นแหละที่ทำให้เด็กสาวแทบอยากจะเอาหน้าลงไปมุดดินให้รู้แล้วรู้รอดไป



กลายเป็นว่าอาจารย์ศักดิ์ผู้ที่ใช้เวลาอยู่กับเจนมากพอสมควร กลับเข้าใจว่าเจนเป็นผู้หญิงตั้งแต่ ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกอายหรือเศร้ากับศักดิ์ดาดี





หลังจากผ่านวิกฤตซึ่งผ่านมาได้อย่างทุลักทุเล เจนก็กลับมาที่บ้านและจัดการทำธุระส่วนตัวให้เสร็จสิ้นแล้วจึงลงมาเปิดโทรทัศน์ตามปกติ ส่วนจริยานั้นก็ออกไปทำงานหลังจากหยุดดูแลเจนไปสัปดาห์หนึ่ง



เจนเปิดดูรายการไปเรื่อย ๆ ผ่านไปเห็นข่าวการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศตะกันออกกลาง ในตลอดหลายร้อยปีที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี้ สงครามก็ยังคงเกิดขึ้นกับในโลกส่วนที่ยังไม่มีความเจริญเข้าไปถึงราวกับว่ามันเป็นของที่คู่กัน ความขัดแย้งต่าง ๆ นานาไม่ว่าจะเป็นศาสนา ความเชื่อและผลประโยชน์ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากมาตลอด ถึงแม้เจนจะไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ แม้ในยุคที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยแต่ก็มีบางจุดของโลกที่ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าไปถึงอยู่ด้วย



เจนปิดโทรทัศน์ลงแล้วเธอจึงเปิดดูกระดานข่าวสารของเกมผ่านเฮดก็อกเกิ่ล แล้วจากนั้นจึงต่อภาพเข้ากับโทรทัศน์ด้านหน้าของเธอ ถึงเทคโนโลยีจะไปไกลเพียงไหน แต่สำหรับเจนแล้วดูหน้าจอใหญ่ ๆ แบบโทรทัศน์ยังดีกว่าจอแสงเล็ก ๆ ด้านหน้ามากนัก



กระดานข่าวเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์นั้นมีขนาดใหญ่มาก โดยเป็นศูนย์ข่าวร่วมจากผู้เล่นทั่วโลกตั้งแต่เรื่องภารกิจต่าง ๆ จนไปถึงข้อมูลของมอนสเตอร์หรืออาวุธ แม้กระทั่งเทคนิคการเอาตัวรอดหรือการเล่นในแต่ละอาชีพ แต่เนื่องจากเกมนี้มีอาชีพให้เลือกนับไม่ถ้วน จึงมีข้อมูลของอาชีพที่มีคนนิยมเล่นกันเท่านั้น



อีกส่วนหนึ่งคือส่วนข้อมูลเบื้องต้นในเกมที่เจนอ่านมาบ้างแล้ว เจนเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงหรืออสูรติดตามเพื่อที่จะนำไปปรับใช้กับคิทซึเนะ จิ้งจอกน้อยของเธอ



ระบบสัตว์เลี้ยงของเกมนี้ไม่ต่างจากเกมอื่นๆคือการที่จะได้มาต้องกำราบมอนสเตอร์หรือทำให้ยอมรับได้ โดยมอนสเตอร์ตัวนั้นจะเชื่อฟังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ผู้เล่นมีให้โดยไม่เกี่ยวกับระดับ และความสัมพันธ์นี้ไม่มีระบุเป็นตัวเลข ดังนั้นถ้าหากผู้เล่นทำตัวไม่ดีต่อสัตว์เลี้ยงก็อาจจะทำให้สัตว์เลี้ยงหนีไปได้



ผู้เล่นสามารถนำสัตว์เลี้ยงช่วยต่อสู้ได้ แต่มีข้อควรระวังคือถ้าหากสัตว์เลี้ยงตาย จะไม่สามารถคืนชีพได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากผู้เล่นตาย สัตว์เลี้ยงจะเป็นอิสระ สามารถหนีหายไปได้หรือจะตามผู้เล่นกลับมาที่เมืองก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าหากผู้เล่นมีอุปกรณ์เก็บสัตว์เลี้ยงเช่นแหวน สร้อยคอ หรืออะไรก็ตามที่มีความสามารถเก็บสัตว์เลี้ยงได้ เมื่อผู้เล่นตาย สัตว์เลี้ยงก็จะถูกเก็บเข้าไปในอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ



การเพิ่มระดับของสัตว์เลี้ยงนั้นเหมือนกับผู้เล่นทุกประการ รวมถึงการเพิ่มยศด้วยโดยเมื่อมอนสเตอร์คู่หูได้รับการเพิ่มระดับ ในบางครั้งจะเปลี่ยนรูปร่างภายนอกเพื่อให้เหมาะสมกับการต่อสู้ในระดับที่รุนแรงยิ่งขึ้นไป หากผู้เล่นที่ต้องการเสียงเพื่อความสวยงามก็มักจะไม่ปรับเพื่อแบ่งค่าระสบการให้หรือไม่ก็เก็บระดับให้สูงแต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนยศ



หลังจากศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้วเจนจึงกลับไปเปิดหน้ากระดานข่าวสารของเกาะไทริส ก่อนที่เธอจะเข้าไปเจนก็สังเกตเห็นว่าในแต่ละประเทศที่เล่นเกมนี้ต่างมีเกาะเริ่มต้นของประเทศตัวเอง แต่หลังจากเข้าสู่ทวีปหลักแล้วผู้เล่นจะรวมกันเป็นทวีปเดียวกันในแต่ละโซนที่ผู้เล่นอาศัยอยู่ในโลกจริง อย่างเช่นเจนอยู่ในประเทศไทย เกาะเริ่มต้นคือไทริส เมื่อเธอเข้าทวีปหลัก ทวีปที่เธอจะได้ไปคือทวีปอัลเทเชียนั่นเอง



เจนเปิดดูข้อมูลเกาะไทริสและพื้นที่เก็บระดับทั่วทั้งเกาะแล้วเริ่มวางแผนที่จะไปเก็บระดับเนื่องจากเธอทำภารกิจเสร็จทั้งเมืองแล้ว โดยจะตั้งเป้าหมายว่าจะเก็บระดับให้ถึง 50 ก่อนที่จะล็อกอินครั้งต่อไปให้ได้เลย



ตกเย็นหลังจากเจนและจริยาทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เจนก็ขึ้นไปบนห้องกันทีและติดต่อไปหาพวกโจก็พบว่าทั้งสองคนนั้นเข้าไปในเกมก่อนแล้ว นะบอกให้เจนเก็บระดับไปคนเดียวเลย ไว้เสร็จธุระแล้วจะติดต่อไปหา เจนไม่รู้ว่าทั้งสองทำภารกิจหรือมีอะไร แต่ในมือไม่เกี่ยวกับเธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก เจนล้มนอนลงบนเตียงแล้วจึงหลับตาลงช้าๆแล้วเอ่ยปากก่อนจะหลับไป



"เชื่อมต่อ ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์"





เจนลืมตาขึ้นมาในห้องที่โรงแรมโดยมีคิทซึเนะนอนอยู่ข้าง ๆ เธอ เจนค่อย ๆ ลุกขึ้นพยายามไม่ให้จิ้งจอกน้อยตื่นแต่ดูท่าจะสัมผัสไวซะจริง ๆ เพียงแค่เจนขยับเพียงเล็กน้อย คิทซึเนะก็หันมามองหน้าพร้อมกระดิกหางด้วยความดีใจ



หลังจากเช็คเอาท์ออกมาจากโรงแรมเจนก็มุ่งตรงไปยังร้านขายอาหารและจัดการซื้อเสบียงมาให้พร้อม เธอยังไม่ลืมไปซื้อเต็นท์เอาไว้สำหรับนอนกลางป่าด้วย ประสบการณ์นอนกลางป่าเธอมั่นใจได้เลยว่ามันคงไม่ได้สะดวกสบายเช่นเดียวกับนอนบนต้นไม้และเจนก็ไม่คิดจะพบเจอประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว



เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วเจนก็นำแผนที่ออกมาเปิดดู ในเวลานี้โจและแจ็คยังอยู่ในป่าจุดเดิมตั้งแต่ก่อนล็อกเอาท์ออกไป เจนจึงไม่คิดจะไปรบกวนและหาจุดมั่งหมายอื่น เธอเลือกจะตรงไปที่ภูเขาทางเหนือของเกาะเพราะนอกจากจะมีคนไปเก็บระดับน้อยเนื่องจากความยากลำบากในการปีนเขาแล้วมอนสเตอร์บนนั้นก็มีระดับสูงทั้งนั้น ซึ่งมอนสเตอร์ทั่ว ๆ ไปยังมีระดับสูงถึง 30 เลยทีเดียว



"ตอนนี้พวกโจก็คงกำลังเพิ่มระดับของตัวเองอยู่ ฝีมือของพวกนั้นไม่ธรรมดาซะด้วย ถ้าขืนมัวชักช้ามีหวังตามไม่ทันแน่ ๆ คิทซึเนะ มาพยายามด้วยกันเถอะนะ" เจนพูดกับตัวเองแล้วหันไปพูดกับจิ้งจอกน้อย คิทซึเนะเห่ารับแล้วทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเขาไป



หลังจากที่เจนออกเดินทางไปพักหนึ่ง โจและแจ็คพร้อมทั้งคนมากมายเกือบร้อยกว่าคนได้ปรากฏตัวขึ้นที่กลางเมืองไทริสซึ่งทุกคนนั้นมีสีหน้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าตายมายกก๊ก



"เอาล่ะทุกคนฟังทางนี้ ขอให้ทุกคนเอาของไปขาย จากนั้นเอาเงินไปฝากธนาคารพร้อมทั้งอาวุธและเครื่องป้องกันทั้งหมดแล้วกลับมาใช้ของเริ่มต้นแทน ถ้าพวกเราจะจัดการพวกมันได้ มันจะต้องเป็นเพราะความสามัคคีของพวกเรา ไม่ใช้อาวุธที่ทรงพลัง มาแสดงให้เห็นกันเลยว่าระหว่างมนุษย์กับมอนสเตอร์ ใครมันจะแน่กว่ากัน!!" โจตะโกนเสียงดัง เหล่าผู้คนมากมายต่างโห่ร้องตะโกนตอบเสียงอย่างห้าวหาญ เด็กหนุ่มคนนี้ไปทำอะไรมากันแน่นะ?





เจนเดินทางขึ้นมายังบนเขา ระหว่างทางเธอก็พบกับมอนสเตอร์อย่างพวกกวางภูเขาหรือหมาป่าภูเขาเข้ามาให้เธอฝึกฝีมือดาบอยู่เรื่อย ๆ แต่เพราะดาบมีพลังโจมตีสูงมากจึงทำให้เจนสามารุจัดการพวกมันได้ในดาบเดียว ทักษะดาบจึงไม่กระดิกและค่าประสบการณ์ก็ได้น้อยมาก เพียงแค่ตัวละ 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นทั้ง ๆ ที่มอนสเตอร์พวกนี้มีระดับมากกว่าเธอตั้ง 10 เลเวล ควรจะได้ค่าประสบการณ์มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป



นั่นก็เป็นเพราะค่าประสบการณ์ครึ่งหนึ่งของเจนที่แบ่งไปให้คิทซึเนะครึ่งหนึ่งนั่นเอง แต่เจนไม่ได้สนใจนักเพราะด้วยพลังโจมตีของดาบคุซานางิและเจนพอจะสู้ได้อย่างไม่ต้องออกแรงมานัก เธอจึงไล่จัดการเก็บเรียบตั้งแต่หมาป่าภูเขาจนไปถึงผีเสื้อยักษ์เลยทีเดียว



เจนและคิทซึเนะมุ่งหน้าขึ้นเขาไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับจัดการมอนสเตอร์ไปด้วย โดยคิทซึเนะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคอยจัดการมอนสเตอร์ที่หลุดรอดจากการโจมตีของเจนและคอยคาบของที่ตกมาให้เจน จึงทำให้วันนี้เธอมีสัมภาระเต็มกระเป๋าเลยทีเดียว



เมื่อพ้นตีนเขามาก็เจอกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เจนมองเห็นวัวกำลังกินหญ้าอยู่ฝูงหนึ่ง มันมีหนังสีน้ำตาลและมีเขาอันแหลมคมชี้ไปด้านหน้า เจนใช้ทักษะตรวจสอบจากระยะปลอดภัยเพื่อดูว่านั่นคือตัวอะไร



วัวกระทิงภูเขา

ชั้นทหาร ระดับ 40

เป็นวัวกระทิงที่อาศัยอยู่ในแถบหุบเขา มีนิสัยไม่ดุร้ายแต่จะตื่นตัวเมื่อมีภัยเข้ามาใกล้ มักอยู่รวมกันเป็นฝูงโดยหนึ่งฝูงมักจะมีจ่าฝูงอย่างน้อยหนึ่งตัวเสมอ มีพลังโจมตีและพลังป้องกันสูง แพ้การโจมตีธาตุไฟ ทนทานต่อการโจมตีธาตุดิน



เป็นมอนสเตอร์ในแบบที่เจนกำลังต้องการเลยทีเดียว ตอนนี้เธอมีระดับอยู่ที่ 32 แล้ว ส่วนทักษะการใช้ดาบขั้นต้นก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 25 จากการสู้พวกมอนสเตอร์มาก่อนหน้านี้ และถึงแม้ค่าสถานะพื้นฐานจะไม่ได้เพิ่มแต่พลังชีวิตกับพลังเวทมนตร์นั้นพุ่งสูงขึ้นมากทำให้เจนมั่นใจว่าถ้าหากพลาดพลั้ง ตอนนี้เธอก็คงพอจะใช้ทักษะที่มีเอาตัวรอดได้แน่นอน



"เอาล่ะ ขอลองทักษะนี้ดูหน่อยก็แล้วกัน มีพลังเวทเพิ่มขึ้นมาแบบนี้คงพอใช้ได้ซักสามสี่ครั้งล่ะนะ" พูดจบเจนก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาฝูงวัวกระทิงภูเขา เธอหยิบก้อนหินขึ้นมาจากพื้นและเล็งไปยังตัวที่กำลังกินหญ้าห่างออกมาจากฝูง



เธอเขวี้ยงก้อนหินโดนหัวของกระทิงตัวนั้นอย่างแม่นยำ เจ้ากระทิงภูเขาหันมามองผู้ที่ลอบโจมตีมันและตะกุยเท้าเข้าใส่ทันที เสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะพร้อมทั้งท่าทางดุดันของกระทิงภูเขาทำให้เจนเริ่มหวั่นใจนิด ๆ



เมื่อเข้ามาใกล้เจนก็กระโดดหลบเขาที่มันขวิดใส่ได้อย่างเฉียดฉิว ในระหว่างที่กระทิงภูเขากำลังพยายามหยุดและหันกลับมาหาเจน เธอก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ให้หลุดลอยไป เจนตวัดดาบใส่ขาหลังทั้งสองข้างจนเจ้ากระทิงล้มตัวลงนั่ง แต่มันก็มีพลังในการฟื้นฟูอันน่าเหลือเชื่อเพราะมันลุกขึ้นยืนในแทบจะทันที



เห็นดังนั้นเจนก็จึงรีบฟาดดาบใส่ลำตัว พยายามสร้างความเสียหายให้มากที่สุด แต่ก็ต้องรีบกระโดดหลบออกไปเมื่อกระทิงภูเขาหันมาใช้เขาของมันขวิดใส่จนไม่สามารถโจมตีต่อได้



สายตาของทั้งคู่กำลังดูเชิงกันและกัน เจนรู้สึกทึ่งมากเพราะนี่เป็นมอนสเตอร์ตัวแรกที่ตั้งแต่ที่เธอใช้ดาบคุซานางิมาและไม่ตายในการลงดาบเพียงครั้งเดียว ซึ่งเธอโจมตีมันเกือบสิบครั้งแล้วแต่ดูท่าทางเจ้ากระทิงยังแข็งแรงดีอยู่เลย



เลือดจากปากแผลบนลำตัวและขาหลังหยุดไหลแล้ว แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของมอนสเตอร์ระดับ 40 ที่มอนสเตอร์ระดับต่ำลงมาเทียบไม่ได้ ทั้งพลังการฟื้นตัวและพลังโจมตีมหาศาลจนไม่อาจประมาทได้



'มาเจอกระดูกแข็งเข้าแล้วแฮะ ค่อยดีหน่อย แบบนี้สิถึงน่าสนุก' เด็กสาวคิดในใจแล้วพุ่งตัวเข้าใส่ก่อนที่กระทิงภูเขาจะฟื้นตัวได้มากกว่านี้ เจนฟาดดาบใส่แต่มันกลับใช้เขารับเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อเห็นว่าการโจมตีไม่เป็นผลเธอก็กระโดดไปด้านข้างเพื่อเข้าโจมตีจากจุดบอด แต่กระทิงภูเขาก็ไม่ได้โง่ ทันทีที่เจนกระโดดไปที่ข้างตัวของมัน เจ้ากระทิงก็กระโดดหันท้ายให้และใช้เท้าหลังดีดใส่เต็มแรง



เด็กสาวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกดีดใส่กระเด็นลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น พลังชีวิตของเธอลดไปเกือบ 500 แถมทั้งเจ็บทั้งจุกจนแทบลุกขึ้นมาไม่ได้ แต่พอเห็นเจ้ากระทิงวิ่งตะกุยเท้าเข้าใส่เธออีกรอบ เจนจำต้องฝืนกลั้นกลืนความเจ็บปวดเอาไว้และกลิ้งตัวหลบออกไปด้านข้าง



ลมพัดมาจากแรงกระแทกมหาศาลของกระทิงภูเขาที่เจนหลบได้อย่างฉิวเฉียด เจนรีบลุกขึ้นแล้วรีบตามไปจัดการเจ้ากระทิงที่ต้องตั้งหลักใหม่อีกครั้ง เธอพุ่งตัวและฟาดใส่ขาหลังของมันเป็นรอบที่สอง ทว่ารอบนี้ร่างของเธอเปล่งแสงขึ้นเป็นผลมาจากทักษะเสริมพลังกายที่ถูกใช้



เพียงดาบเดียวขาหลังทั้งสองข้างก็ถูกตัดขาดออกจากร่าง เลือดสีแดงไหลรินออกจากร่างใหญ่โตอย่างไม่อาจจะห้ามได้ เจ้ากระทิงล้มแต่ก็พยายามจะหันหน้ามาสู้พร้อมทั้งส่งเสียงร้องให้ฝูงของตนมาช่วย



เจนไม่ปล่อยให้เจ้ากระทิงได้ทำอะไรต่อ เธอปรากฏตัวที่ด้านหน้าของกระทิงภูเขาด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทันพร้อมทั้งใช้ดาบตวัดตัดหัวของกระทิงภูเขาให้ขาดออกแล้วจึงกลายเป็นแสงไปอย่างรวดเร็ว



คุณจัดการวัวกระทิงภูเขา ชั้นทหาร ระดับ 40 เป็นจำนวน 1 ตัว

ระดับของคุณเพิ่มจาก 32 เป็น 33

ทักษะ การใช้ดาบขั้นต้น เพิ่มจาก ระดับ 25 เป็น 28



เจนนั่งพับลงไปบนพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ แต่เธอก็รู้สึกดีที่จัดการกระทิงภูเขาไปได้อย่างสูสี เพราะที่ผ่านมาการจัดการมอนสเตอร์ทั้งหลายได้อย่างง่ายดายเกินไปมันทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสนุกเลยกับการเดินทางครั้งนี้ ถึงเจนไม่ได้เป็นคนที่เลือดร้อนบ้าคลั่งหรือชื่นชอบการต่อสู้ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นพวกที่ชอบความสบายขนาดจนต้องใช้อาวุธที่เกือบจะเรียกได้ว่าโกงเกมเลย



ทั้งเจน โจและแจ็คต่างต้องการเล่นเกมนี้อย่างเสมอภาคกับผู้เล่นคนอื่น ๆ เพื่อลิ้มรสชาติความสนุกของเกม ดังนั้นการจ่ายเงินเพิ่มเพื่อได้ของหรือความสามารถเหนือกว่าคนอื่นจึงเป็นสิ่งที่ทั้งสามคนสัญญาต่อกันว่าจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด แต่สิ่งที่ได้มาหลังจากเข้าเกมแล้วอย่างเช่นทักษะระดับ S ที่เจนและโจได้มานั้นถือว่าได้มาอย่างแฟร์ ๆ เพราะทั้งคู่ต่างจ่ายไปด้วยความพยายามเพื่อที่จะได้มันมา ทว่าเมื่อเจนมาดูดาบคุซานางิที่อยู่ในมือเธอนั้นมันกลับเป็นอีกเรื่อง



ดาบระดับสูงที่จัดการมอนสเตอร์ได้โดยจากวาดดาบเพียงครั้งเดียวดูท่าจะเกินไปหน่อยสำหรับเจน ตอนแรกเธอคิดว่าจะนำดาบเล่มนี้ไปฝากธนาคารเอาไว้และกลับไปใช้ดาบธรรมดาเหมือนเดิม แต่หลังจากที่พบกระทิงภูเขาแล้วความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป พลังของดาบไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินผลการต่อสู้ แต่เป็นคนที่สู้ต่างหากที่จะชี้ชะตานั้น



เจนลุกขึ้นแล้วเตรียมตัวที่จะไปจัดการกับกระทิงภูเขาตัวต่อไป แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองหาเหยื่อก็พบว่าในเวลานี้เธอต่างหากที่กำลังจะกลายเป็นเหยื่อซะเอง ดูท่าเสียงร้องของกระทิงภูเขาก่อนที่จะตายได้เรียกกระทิงทั้งฝูงให้เข้ามาหา แถมยังมีกระทิงตัวใหญ่ที่เจนอดจะใช้ทักษะตรวจสอบกับมันไม่ได้เพราะทั้งขนาดตัวและเขาของมันใหญ่กว่ากระทิงภูเขาตัวอื่น ๆ กว่ามากเลยทีเดียว



จ่าฝูงวัวกระทิงภูเขา

ชั้นทหาร ระดับ 45

วัวกระทิงภูเขาที่มีหน้าที่คอยควบคุมฝูงทั้งฝูง จึงทำให้มันมีร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งกว่ากระทิงภูเขาทั่วไป



ฮูมมมม!!



เสียงร้องคำรามของจ่าฝูงเรียกสติของเจนให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายไปไวกว่าความคิด เจนตั้งท่าดาบขึ้นอีกครั้งแล้วตวัดไปด้านหน้าอย่างรุนแรงพร้อมกับมีคลื่นดาบสีขาวพุ่งเข้าใส่จ่าฝูงกระทิงภูเขาที่กำลังพุ่งเข้าใส่



ผ่ามิติ!!



ทักษะแรกของดาบคุซานางิถูกใช้ไปอย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเจนไม่ได้ตั้งใจใช้หรือมันจะถูกลดความสามารถลงไปหรือไม่ เมื่อคลื่นพลังดาบพุ่งเข้าปะทะจ่าฝูงกระทิงภูเขา มันหยุดชะงักลงแต่กลับไร้บาดแผลภายนอกโดยสิ้นเชิง เธอรีบเก็บดาบลงฝักและเริ่มโกยอ้าวอย่างรวดเร็วเพราะเพียงแค่หัวหน้าฝูงตัวเดียวเธอก็ไม่รู้ว่าจะรับมือได้ยังไงแล้ว แต่คราวนี้มันมาพร้อมกันทั้งฝูง ถ้าหากไม่รีบหนีล่ะก็เธอคงไม่เหลือชีวิตรอดไปจนถึงวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน



'นึกว่าทักษะเมื่อกี้แรงแล้วนะ แต่ไหงกลับทำอะไรมันไม่ได้ล่ะเนี่ย ตายแน่ ๆ งานนี้' เด็กสาวคิดในใจพร้อมกับมองหาทางหนีจากสถานการณ์นี้ แต่ที่ ๆ เธออยู่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เหมาะสำหรับพวกกระทิงภูเขาวิ่งเล่นเป็นอย่างมาก แต่ไม่เพราะสำหรับในการซ่อนตัวเลยซักนิดเดียว



ในขณะที่สถานการณ์กำลังเลวร้ายลง คิทซึเนะก็กระโดดออกมาจากอกเสื้อของเจนทำให้เด็กสาวต้องหยุดวิ่งเพราะเป็นห่วงเจ้าจิ้งจอกน้อย



"คิทซึเนะ กลับมานะ!" เจนร้องตะโกน แต่ทว่าคิทซึเนะกลับทำบางสิ่งที่เหลือเชื่อมากที่เจนไม่เคยคิดมาก่อน



คิทซึเนะที่กำลังหันหน้าเผชิญกับจ่าฝูงกระทิงภูเขาซึ่งมีระดับห่างชั้นกันมากซึ่งระดับของคิทซึเนะในตอนนี้คือ 28 แต่ก็ไม่อาจสร้างความแตกต่างได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าดวงตาสีเหลืองกลับดูมั่นใจมาก ทันใดนั้นเองคิทซึเนะก็พ่นเพลิงสีน้ำเงินออกมาจากปากเป็นวงกว้าง เปลวเพลิงติดกับใบหญ้าที่มีอยู่เต็มไปหมดและลุกลามจนขว้างกั้นระหว่างพวกเจนกับฝูงกระทิงภูเขา



เหล่าฝูงกระทิงที่วิ่งตะบันมาก็ตกใจกับไฟขนาดใหญ่จนต้องรีบหยุดและหนีหายกระจัดกระจายไปไม่เป็นทางรวมถึงตัวจ่าฝูงด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเปลวเพลิงของคิทซึเนะจะไม่สามารถทำอันตรายกับพวกกระทิงภูเขาได้ แต่ถ้าหากใช้ให้ถูกสถานการณ์ เพียงแค่อาวุธที่แย่ที่สุดก็สามารถกลายเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้



"เก่งมากเจ้าตัวน้อย ฉันว่าตอนนี้พวกเราก็หายกันแล้วนะ" เด็กสาวหันไปพูดกับคิทซึเนะและลูบหัวเบาๆอย่างชื่นชม จากนั้นทั้งหนึ่งคนและหนึ่งตัวก็พากันออกไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้โดยไม่หันกลับมามองสิ่งที่ทั้งคู่ได้ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย



ไฟจากเพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะนั้นเดิมทีเป็นของมาเอะแต่เพียงผู้เดียวที่สามารถใช้ได้ แต่เนื่องจากคิทซึเนะเป็นผู้สืบทอดสายเลือดมาโดยตรงทำให้ตัวคิทซึเนะเองก็สามารถใช้ทักษะนี้ได้เช่นกัน ความจริงพลังของมันสามารถกวาดล้างฝูงกระทิงได้ในคราเดียวด้วยด้วยซ้ำไป แต่เนื่องจากคิทซึเนะก็ยังคงเป็นแค่ลูกจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ทำให้พลังของเปลวเพลิงลดถูกลดลงอย่างมากแต่ก็ถือว่ารุนแรงอยู่สำหรับมอนสเตอร์ระดับ 28 อย่างคิทซึเนะ



ไฟลุกลามจนไม่อาจควบคุมได้ เปลวเพลิงเผาไหม้ทุ่งหญ้าที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีไปเรื่อย ๆ จนฝูงกระทิงหลายฝูงต่างวิ่งหนีตายกันอลหม่าน ในที่สุดไฟก็บีบให้ฝูงกระทิงภูเขาต้องละจากถิ่นฐานของมันที่อาศัยมานานลงมาจากภูเขา เหล่าจ่าฝูงทั้งหลายที่ไม่ค่อยได้มาเจอกันบ่อยนักต่างมาปรึกษากันว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น สุดท้ายก็สรุปได้ว่าเป็นฝีมือมนุษย์ที่มาทำลายบ้านของพวกมัน เมื่อเห็นดังนั้นทุกฝูงก็ต่างพร้อมใจกันเดินทางลงเขาและมุ่งสู่เมืองมนุษย์ด้วยสาเหตุเดียว



แค้นนี้ต้องชำระ!!



ทว่าหัวหน้าฝูงตัวหนึ่งกลับติดต่างออกไป มันต้องการที่จะกลับไปตามคนที่จัดการลูกฝูงของมัน แต่เนื่องจากมันเป็นเพียงเสียงส่วนน้อยและมันเพิ่งได้ขึ้นมาแทนจ่าฝูงตัวเก่าได้ไม่นานนัก จึงทำให้จ่าฝูงตัวอื่นๆไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันมากนักและพากันมุ่งหน้าลงไปยังเมืองไทริสโดยไม่สนใจต่อเสียงร้องของมันเลยแม้แต่น้อย



กระทิงภูเขาแม้จะอาศัยแยกกันเป็นฝูงไปอยู่ทั่วทุ่งบนภูเขาแห่งนี้ แต่ทุก ๆ ฝูงต่างก็พึ่งพาอาศัยกันและกันจนเป็นหนึ่งสังคมใหญ่ จ่าฝูงแต่ละฝูงจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มคล้ายกับสภาเพื่อที่จะคอยดูแลลูกฝูงตัวอื่น ๆ เมื่อมีจ่าฝูงตัวไหนตาย ก็จะเป็นหน้าที่ของจ่าฝูงตัวอื่น ๆ ที่จะเลือกจ่าฝูงตัวใหม่จากฝูงนั้นเอง แต่กระทิงหนุ่มที่ถูกเลือกนี้ไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากจ่าฝูงตัวอื่น ๆ ก็เพราะว่ามันเป็นคนฆ่าจ่าฝูงของมันเอง แต่ครั้งจะเลือกให้ตัวอื่นมาเป็นแทนก็ไม่มีตัวใดที่เหมาะไปกว่ากระทิงหนุ่มตัวนี้อีกแล้ว



จ่าฝูงหนุ่มที่รับคลื่นพลังผ่ามิติของเจนเข้าไปได้แต่ยืนมองฝูงของมันจากไปและตัวมันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เวลานี้สิ่งที่มันต้องการจากเจนไม่ใช้การล้างแค้นแต่เป็นการต่อสู้กับเด็กสาวมากกว่า แม้ว่าตัวมันจะมีอายุค่อนข้างน้อยในการที่จะเป็นจ่าฝูง แต่ตัวมันแข็งแกร่งมากในบรรดาจ่าฝูงกระทิงภูเขาด้วยกัน ตลอดเวลาที่มันดำรงตำแหน่ง มันไม่ได้ความช่วยเหลือจากฝูงอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย และจุดที่มันอยู่ก็เป็นจุดที่มีอาหารอยู่น้อยที่สุดในทุ่งจึงทำให้มันไม่ค่อยรู้สึกผิดนักที่ไม่ตามฝูงของมันที่จะเลือกรวมฝูงกับฝูงอื่นแทนที่จะตามผู้นำอย่างตัวมันเอง



ในตอนนี้มันมีจุดมุ่งหมายใหม่แล้ว ครั้งเมื่อตัวมันเป็นจ่าฝูงก็คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่พอมาเจอกันเจนที่มีพลังที่สามารถหยุดการพุ่งชนของมันได้ มันมีความมั่นใจกับพละกำลังของมันมากแต่กลับถูกหยุดด้วยการวาดดาบเพียงครั้งเดียว มันจึงตั้งใจมั่นว่าจะตามหาเด็กสาวคนนั้นและต่อสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะให้จงได้



มันหันกลับไปหาทะเลเพลิงที่อยู่ด้านหลังก่อนจะตะกุยเท้าอย่างรุนแรงและพุ่งเข้าใส่ไฟที่กำลังลุกโหมอย่างรุนแรงโดยไร้ซึ่งความกลัวและความลังเล โดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตของมัน





จบตอนที่ 9 ทะเลเพลิง

-------------------------------

Tohan-kun
3rd January 2014, 16:21
ตอนที่ 10 ปะทะบอส



เวลาเที่ยงวัน ณ เมืองไทริสซึ่งมีแต่ปกติสุข ชาวเมืองและเหล่าผู้เล่นต่างดำเนินชีวิตตามปกติแต่หารู้ไม่ว่าปกติสุขนั้นกำลังหายไปเร็วกว่าที่ใคร ๆ คิดเอาไว้มากนัก



ควันไฟโพยพุ่งมาจากภูเขาทางทิศเหนือของเกาะ มันมีขนาดใหญ่มากจนเห็นได้อย่างเด่นชัด เศษขี้เถ้าจำนวนมากปลิวลงมาในเมืองราวกับเม็ดฝนที่ไร้ชีวิตปกคลุมเมืองจนมีบรรยากาศขาวโพลนไปทั่วบริเวณ



ในขณะที่ผู้เล่นต่างคิดว่ามีกิจกรรมขึ้นและต่างก็ติดต่อคนรู้จักซึ่งไปเก็บระดับให้กลับมาที่เมือง ก็มีชายชราคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาที่ลานกลางเมืองพร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ในที่สุดผู้เล่นสาวคนหนึ่งก็เข้าไปหาชายชราเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น



"คุณปู่ใจเย็น ๆ ก่อนสิคะ ค่อยๆเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น" ชายชราไม่ตอบแต่เงยหน้าขึ้นฟ้าและตะโกนเสียงดัง



"อาเพศ!! ลางร้าย!! วันมหาวิปโยค!! นี่คือสัญญาณว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุก ๆ คนหลบไปอยู่ในบ้าน ห้ามออกมาเด็ดขาด!!" ชายชราว่าแล้วรีบปัดมือของผู้เล่นสาวทิ้งไปและรีบวิ่งเข้าบ้านของตนไปอย่างรวดเร็ว ชามเมืองคนอื่น ๆ รวมถึงทหารยามต่างก็ร้องตะโกนด้วยความตื่นกลัวและวิ่งเข้าที่พักที่ใกล้ที่สุดท่ามกลางความสับสนของเหล่าผู้เล่น



เพียงในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง ทั้งเมืองก็ไม่มีชาวบ้านหรือทหารคนไหนออกมานอกเมืองเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งร้านค้าทั้งหลายต่างก็ปิดลงทั้ง ๆ ที่ฟ้ายังสว่างอยู่ เหล่าผู้เล่นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รีบเร่งให้คนรู้จักรีบกลับมาที่เมืองโดยด่วนเพราะคิดว่าคงเป็นกิจกรรมอะไรซักอย่าง



ทันใดนั้นเองที่ใจกลางเมืองก็มีกลุ่มแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เมื่อแสงหายไปกลายเป็นโจและแจ็คกับกลุ่มผู้เล่นหลายสิบคนกำลังยืนหน้าเครียดอยู่เนื่องจากพวกเขาตายมาหลายรอบจนระดับลดลงไปเยอะแล้ว เมื่อพวกเขากลับมาถึงเมืองก็พบว่าถูกปกคลุมด้วยขี้เถ้าสีขาวไปทั่วทั้งเมืองแบบนี้ความรู้สึกโมโหพลันกลายเป็นความสงสัยทันที



"เฮ้ยนี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ โจ ชาวเมืองทุกคนหายไปไหนหมด ร้านค้าระบบทั้งหมดก็ปิดหมดเลย" แจ็คบอก ทันทีที่เขามาถึงและพบกับความผิดปกตินี้เขาก็รีบมองหาเอไอที่เป็นชาวเมืองก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อที่จะสืบหาข้อมูลของเหตุการณ์นี้ แต่ก็พบว่าไม่มีเลยแม้แต่ทหารเฝ้ายาม



ผู้เล่นหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่า หนูส่งข่าว ทันทีที่กลับมาถึงเมืองเขาก็ไปคุยกับเพื่อนที่อยู่ในเมืองและคนอื่น ๆ ทันทีจากนั้นเขาก็กลับมาหาโจเพื่อบอกข่าวสารที่ได้มา



"ฉันไปคุยกับคนอื่นที่อยู่ในเมืองตอนเกิดเรื่องมาแล้ว เขาเล่ามาว่าตอนเที่ยงวันนี้...ใช่ ตอนที่พวกเราตายนั่นล่ะ เห็นว่าจู่ ๆ ก็มีกลุ่มควันไฟมาจากทางภูเขาแล้วก็ตามมาด้วยขี้เถ้าพวกนี้ จากนั้นก็มีคนแก่ในหมู่บ้านมาโวยวายอะไรก็ไม่รู้ จากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ คนในเมืองทุกคนต่างเอาแต่หลบอยู่ในบ้าน ไม่ยอมออกมาด้วย"



"เอาล่ะรู้แล้ว นายช่วยตรวจสอบในกระดานข่าวทีว่ามีกิจกรรมอะไรที่เมืองเริ่มต้นอื่นหรือเปล่า ส่วนแจ็ค นายรีบพาคนอื่น ๆ ไปเตรียมพร้อม ฉันว่าท่าทางมันเริ่มไม่ค่อยดีแล้วล่ะ" โจหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสองคนแล้วรีบติดต่อไปหาเพื่อนสาวทันทีเมื่อเห็นว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนบนแผนที่



"เจน นี่โจนะ เธอไปทำอะไรบนภูเขานั่นน่ะ"



"ทำไมหรือโจ ก็เห็นว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนมาฉันก็เลยมาเก็บระดับที่นี่ จะได้ฝึกใช้ดาบและทักษะไง" เสียงของเจนตอบกลับมา จากนั้นเสียงของเธอก็ดังเหมือนร้องตกใจและกำลังวิ่งหนีบางสิ่ง "แย่ล่ะ เจ้าพวกเสือพวกนี้มันตามตื้อไม่เลิกซักทีแฮะ โจ! ฉันจะอยู่บนเขานี้ซักสองวันนะแล้วจะรีบลงไป ต้องไปแล้ว ไว้เจอกันนะ"



ไม่ทันที่โจจะได้ถามอะไรต่อเจนก็ตัดการติดต่อไป พอเขาจะติดต่อไปอีกครั้งก็ถูกผู้เล่นคนหนึ่งที่เดินทางไปกับพวกโจตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก



"แย่แล้ว!! ที่ประตูเมืองทางเหนือมีวัวกระทิงมากันเป็นกองทัพเลย ท่าทางกำลังเหมือนกับพวกมันมีเป้ามาที่นี่ด้วย ถ้าหากปล่อยเอาไว้มีหวังเมืองนี้ได้พังทั้งเมืองแน่"



"ว่าไงนะ! โถ่เอ้ย ยัยเจนนะยัยเจน เธอไปทำอะไรเข้าล่ะเนี่ย" เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองเบา ๆ แล้วจึงวิ่งตามกลุ่มผู้เล่นไปยังประตูเมืองทางเหนือทันที







Gm หรือเกมมาสเตอร์ของเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ออนไลน์ นั้นทำงานโดยมีหน้าที่ดูแลความสงบในเกม นอกจากดูแลความปลอดภัยภายในเมืองแล้วยังมีหน้าที่เฝ้าระวังด้วย เพราะถ้าหากสิ่งก่อสร้างในเมืองอย่างตึกราบ้านช่องทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นตึกของทางระบบหรือบ้านของชาวเมือง เจ้าหน้าที่จะต้องเป็นคนรับผิดชอบซ่อมแซมทั้งหมด



ในเกมนี้ไม่ได้มีระบบซ่อมแซมที่จะเสกให้สิ่งต่าง ๆ ให้กลับมาเหมือนเดิมในเวลาไม่นานได้ ทุกสิ่งจะต้องถูกสร้างใหม่ด้วยมือเท่านั้น แต่ที่เป็นส่วนดีก็คือในเกมนี้มีเวทมนตร์ที่ช่วยในการเร่งสร้างอาคารต่าง ๆ ได้หรือถ้าหากโชคดีก็สามารถทำให้ตึกทั้งหลักกลับมาดีดังเดิมได้ในพริบตาด้วยเวทมนตร์ระดับสูง หรือบางทีนอกจากเวทมนตร์แล้วยังใช้อย่างอื่นที่มีอยู่แค่ในเกมเช่นมอนสเตอร์มาช่วยสร้างด้วยนั่นเอง



ดังนั้นเพื่อที่จะจับตามองในแต่ละเมืองได้ ศูนย์ปฏิบัติการของGm จึงอยู่ในเกมด้วยเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ในเกมซะทีเดียวเพราะไม่มีทางเข้าใดในเกมจะนำมาสู่ที่นี่ได้ มีเพียงเจ้าหน้าที่GM หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่มีทักษะเข้ามายังศูนย์ปฏิบัติการของGmได้ ดังนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่จึงสามารถไปที่ไหนก็ได้ในเกมและกลับมาที่ศูนย์โดยการวาปนั่นเพื่อเป็นการทำให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้อย่างสะดวกรวดเร็วนั่นเอง



ภายในห้องสังเกตการเมืองไทริส เหล่าGm สามชีวิตต่างกำลังมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยเพราะพวกเขาเองก็คิดว่ากำลังมีกิจกรรมที่เมืองนี้แต่กลับไม่มีใครแจ้งพวกเขาเลยแม้แต่น้อยทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นคนดูแลเมืองนี้แท้ ๆ



"อะไรกันเนี่ย ดูสิ ขี้เถ้าตกจนขาวไปหมดเลย แบบนี้มีหวังพวกต้นไม้กับมอนสเตอร์รอบเมืองได้ตายกันหมดแน่" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดอย่างหนักใจ



"เฮ้ย ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า พวกเรามีหน้าที่รับผิดชอบแค่ภายในเมือง ถ้าหากเรื่องเกิดนอกเมือง ถ้าไม่เกี่ยวกับผู้เล่นหรือพวกเอไอล่ะก็ ไม่เห็นพวกเราจะต้องไปสนเลย" เจ้าหน้าที่อีกคนบอก พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบแค่ภายในเมือง ส่วนด้านนอกเมืองจะเป็นหน้าที่ของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ถูกเรียกว่า 'แคสซีโอเปีย' ซึ่งชื่อนี้จะถูกจำกัดให้รู้แค่ภายในเท่านั้น ทางนอยช์วานสไตล์ ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ไม่เคยมีการเปิดเผยถึงชื่อนี้ต่อสาธารณะชนมาก่อน



"ใช่ อย่าไปสนเลย ถึงจะดูหนักขนาดนี้นะ เดี๋ยวคอยดูแคสซีโอเปียจัดการ พวกขี้เถ้าพวกนี้ก็จะหายไปหมดไม่เกินวันนี้หรอก พวกเราสิที่ต้องมาจัดการพวกที่อยู่ในเมือง เละขนาดนี้สงสัยคงต้องลงไปจัดการแบบทั้งวันทั้งคืนเลยมั้งเนี่ย" เจ้าหน้าที่คนที่สามบอกพลางหันไปคุยโทรศัพท์ที่เพิ่งเรียกเข้ามา



"ครับ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ... เอาล่ะ ผมติดต่อไปยังเมืองอื่นๆดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเมืองเริ่มต้นที่ไหนก็ไม่มีกิจกรรมจัดทั้งนั้น แล้วข้างบนก็บอกมาว่าไม่ได้มีกิจกรรมอะไรในตารางที่จัดขึ้นที่เมืองไทริสด้วย"



"อ้าว ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นฝีมือของแคสซีโอเปียไม่ก็เป็นฝีมือของผู้เล่นน่ะสิ ใครนะที่ทำแบบนี้ลงไปได้" เจ้าหน้าที่คนที่สองพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เพราะเขานึกภาพตัวเองต้องไปตามเช็ดตามล้างในเมืองแล้ว ถึงจะใช้เวทมนตร์ช่วยได้แต่ก็คงใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว ในตอนนั้นเองที่เจ้าหน้าที่คนที่หนึ่งซึ่งกำลังดูภาพของเมืองอยู่ก็ส่งเสียงดังโวยวายขึ้นมา



"เฮ้ย! เวรแล้วไง พวกกระทิงภูเขามันมาทำไมกันที่เมืองวะเนี่ย" เสียงเรียกเข้าหูเจ้าหน้าที่อีกสองคนจนต้องเบนหน้ามาดูยังภาพบนจอแสงที่เจ้าหน้าที่คนแรกดูอยู่



"สองร้อย...สามร้อย นี่มันบ้าไปแล้ว กระทิงภูเขากว่าสิบฝูงมารวมตัวกันแบบนี้ ทิศทางที่พวกมันกำลังตรงไปคือไทริสแบบนี้มีหวังเมืองได้พินาศแน่" เจ้าหน้าที่คนสองบอกแล้วรีบหันไปติดต่อเบื่องบนทันที



"ไอ้เมืองน่ะไม่เท่าไหร่ พวกผู้เล่นกับเอไอในเมืองสิจะแย่" เจ้าหน้าที่คนที่สามพูดและเปิดภาพภายในเมืองให้ขยายใหญ่ขึ้นมา



ในเวลานี้ในเมืองต่างเกิดความโกลาหลไปทั่ว ผู้เล่นต่างสับสนเพราะการมาของกองทัพกระทิงภูเขาโดยไม่ได้รับการเตือนมาก่อน โดยเฉพาะเหล่าผู้เล่นใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นและที่แย่ยิ่งกว่าคือผู้เล่นใหม่เหล่านี้มีมาเรื่อยๆอีกด้วย แต่ท่ามกลางความโกลาหลนั้นเองที่มีวีรบุรุษปรากฏตัวขึ้นมา ชายคนหนึ่งอยู่ในชุดผู้เล่นใหม่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ กำลังตะโกนบอกให้ทุกคนตรงไปยังประตูเมืองทางด้านเหนือเพื่อป้องกันเมือง ในตอนแรกนั้นไม่มีใครทำตามเลยแม้แต่คนเดียว แต่พอเขาตะโกนพูดปลุกขวัญกำลังใจก็สามารถกล่อมให้ทุกๆคนเข้าร่วมสู้ได้ด้วยความสมัครใจ โดยในเวลานี้ผู้เล่นหลายร้อยคนต่างกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมืองและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ



"ดูนั่น พวกผู้เล่นกำลังขึ้นไปช่วยปกป้องเมืองแล้ว" เจ้าหน้าที่คนแรกเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น



"หมอนั่นใครกัน คนที่ไว้หนวดคนนั้นน่ะ แค่พูดนิดพูดหน่อยจากผู้เล่นใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกลับมาช่วยสู้เพื่อปกป้องเมืองแบบนี้"



"จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ข้างบนบอกมาว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแคสซิโอเปีย นี่เป็นการกระทำของพวกมอนสเตอร์ส่วนสาเหตุนั้นกำลังสืบหาอยู่ แล้วยังบอกมาด้วยว่าถ้าหากเมืองพังไปล่ะก็ พวกเราจะต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดเลยด้วย" เจ้าหน้าที่คนที่สองบอก



"สาธุ ขอให้พวกผู้เล่นป้องกันเมืองได้สำเร็จด้วยเถ้ออออ" เสียงสวดอ้อนวอนของเจ้าหน้าที่คนแรกร้องดังลั่นห้องและนั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าหน้าที่ทั้งสามคิดตรงกัน เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นล่ะก็บางทีเวลาที่พวกเขาใช้เก็บกวาดเมืองหลังจากนี้สองสัปดาห์ในเกมอาจจะกลายเป็นสองสัปดาห์ในโลกจริง ๆ ก็ได้





ทางด้านของเจนที่พบเสือโคร่งภูเขาเข้า ในตอนที่โจติดต่อมาเธอกำลังหลบซ่อนตัวจากพวกมันอยู่ แม้ว่ามันมีระดับเดียวกับกระทิงภูเขาก็จริงแต่ด้วยความที่เธออยู่ในถิ่นของพวกมันและมันยังมีจำนวนมากอีกด้วยทำให้เจนจำเป็นต้องหลบซ่อนด้วย และเสือโคร่งภูเขานี้มีความแข็งแกร่งมากจนเจนไม่สามารถจัดการได้ง่าย ๆ



ตอนที่โจติดต่อมาทำให้พวกเสือโคร่งได้ยินเสียงและพบเจอเธอบนต้นไม้สูง พวกมันกระโดดตามขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วว่องไวราวกับกำลังวิ่งอยู่บนพื้นดิน เจนที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบตัดการติดต่อกับโจแล้วรีบหนีไปทันที ในระหว่างที่กำลังกระโดดไปมาบนต้นไม้เธอก็ตวัดดาบส่งพลังผ่ามิติเข้าใส่พวกมันแต่ด้วยความเร็วของเสือโคร่งภูเขาทำให้ยากที่จะโดนได้ ถึงเจนจะมีพลังเวทอยู่มากถึง 3000 กว่า ๆ แต่ทักษะนี้ก็กินพลังเวทไปมากจนเธอต้องเก็บสำรองพลังเวทเอาไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน



ในที่สุดเจนก็วิ่งหลุดออกมาจากป่าที่เป็นเขตอาศัยของเหล่าเสือโคร่งภูเขามาได้ซึ่งกินเวลาจนถึงเย็นเลยทีเดียว หลังจากตรวจให้แน่ใจแล้วว่าบริเวณที่เธออยู่จะไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนมายุ่งแล้วเธอจึงตั้งเต็นท์สำหรับคืนนี้และรวบรวมฟืนไฟสำหรับตอนกลางคืน เมื่อกางเต็นท์เสร็จเจนก็ตั้งฟืนแล้วหันไปหาคิทซึเนะที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



"ขอแรงหน่อยนะ" เจนว่า เมื่อจิ้งจอกน้อยได้ยินดังนั้นจึงพ่นไฟสีฟ้าใส่กองฟืนที่เจนตั้งเอาไว้ เพลิงสีฟ้าลุกโชนให้แสงสว่างโดยรอบได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว



ถึงเจนจะมีเสบียงเป็นข้าวกล่องที่ซื้อมาเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว แต่เธอก็อยากจะลองทำอาหารในเกมดูซักหน่อย ในตอนนี้เธอเองก็ยังมีเนื้อวัวกระทิงอยู่อีกด้วยมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกอยากลองขึ้นมา เจนนำเนื้อสันในออกมาจากกล่องรักษาของสดจากนั้นจึงใช้มีดขนแดงตัดออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และใช้มีดเสียบแทนไม้ย่างไฟ



เพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะแรงกว่าไฟธรรมดามาก เพียงแค่เจนนำเนื้อไปใกล้เพียงครู่เดียวก็สุกแล้ว เธอลองกัดชิมคำเล็กก็ได้ลิ้มรสความนุ่มของเนื้อวัวสดๆ รสหวานของเนื้อไหลเข้าปากลงไปในลำคออย่างรวดเร็ว แต่เธอยังคิดว่าถ้าหากมีเครื่องปรุงล่ะก็อาจจะทำให้เนื้ออร่อยได้กว่านี้อีกแน่นอน



หลังจากทานจนอิ่มแล้วเธอก็พาคิทซึเนะเข้าไปนอนในเต็นท์โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตานับสิบกำลังมองพวกเธออยู่ในเงามืด รอคอยที่จะมาจัดการเหยื่อที่ไม่ระวังตัวที่โชคร้ายหลงเข้ามาในป่าของพวกมัน เขี้ยวและกรงเล็บของพวกมันนั้นลิ้มรสเลือดมานักต่อนักแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือชาวเมืองก็ตาม และในครั้งนี้เป็นแค่ผู้หญิงคนเดียวอีกด้วย พวกมันมั่นใจว่าคืนนี้จะมีอาหารตกถึงท้องกันทุกตัว



แต่พอจะก้าวเข้าไปที่บริเวณที่แสงไฟส่องถึง มันกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาในจิต มันมองไปยังกองไฟสีฟ้าที่กำลังลุกโชนอยู่มันยิ่งรู้สึกได้ว่าไม่ควรเข้าใกล้กองไฟนั้นอย่างเด็ดขาด ถึงอาหารมันจะอยู่ตรงหน้าแล้วแต่กลับเข้าไปไม่ได้เพราะความกลัวอยู่เหนือกว่าความรู้สึกใด ๆ นั่นก็เป็นเพราะเพลิงจิ้งจอกมีพลังที่จะไล่มอนสเตอร์ที่เป็นสัตว์ป่าได้นั่นเอง แต่ว่าพลังนี้ส่งผลต่อมอนสเตอร์สัตว์ป่าที่มีระดับ 50 ลงมาเท่านั้น มอนสเตอร์ที่อยู่ในเงามืดเห็นว่าตนนั้นทำอะไรไม่ได้พวกมันก็ตัดสินใจรออยู่ด้านนอกจนกว่ากองไฟจะดับลงและดูจากความแรงของเปลวเพลิงนี้คงอีกไม่นานนัก



สิ่งที่พวกมันต้องทำคือรอ อีกไม่นานมันจะได้ลิ้มรสเลือดสดๆของมนุษย์สาวอย่างแน่นอน!



เวลาผ่านไปเลยเที่ยงคืนมานิดหน่อย กองไฟที่มีเพลิงจิ้งจอกลูกโชนเริ่มจะดับลงเพราะฟืนถูกเผาไหม้จนหมดแล้ว ความจริงเจนคิดเอาฟืนใส่ไว้เผื่อแล้วให้ไฟอยู่ได้จนถึงเช้าแต่เนื่องจากเพลิงจิ้งจอกนั้นเผาไหม้ได้รุนแรงกว่าไฟธรรมดามาก เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงฟืนที่สามารถอยู่ได้จนถึงเช้าได้สบาย ๆ กลับถูกไหม้จนเกือบจะมอด มอนสเตอร์ในเงามือต่างรอโอกาสนี้อยู่ แต่ก่อนที่กองไฟจะดับลง เพลิงสีฟ้าก็ลุกโชนขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างน่าตกใจ เหล่ามอนสเตอร์ในเงามืดที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาถูกแสงต้องจนเผยใบหน้าที่ซ่อนอยู่ออกมา



ใบหน้าที่ปรากฏเป็นใบหน้าของเสือตัวใหญ่แต่ดวงตาของมันมีสีเขียวเรืองแสงดูน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวว่าคือมันมีรูปร่างคล้ายมนุษย์มาก พวกมันคือเสือสมิงนั่นเอง ทั้งแขนและขาของมันมีขนปกคลุมอยู่ ส่วนมือและเท้ายังเป็นกรงเล็บของเสืออยู่เช่นเดิม ทว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเสือทั่วไปคือเมื่อมันเจอเข้ากับแสงไฟจากเพลิงจิ้งจอกกลับเหมือนว่าถูกเผาไหม้ทั้งๆที่ไม่ได้เฉียดใกล้กองไฟเลยแม้แต่น้อย พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนและพยายามจะกลับไปหลบในเงามืดอีกครั้ง



คิทซึเนะค่อย ๆ เดินออกมาจากเต็นท์ของเจนอย่างช้าๆและกวาดสายตามองไปรอบ ๆโดยที่ไม่ได้ตื่นตระหนกกับพวกเสือสมิงเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เพลิงจิ้งจอกนอกจากจะมีพลังในการขับไล่มอนสเตอร์ที่มีระดับ 50 แล้ว มันมีพลังที่สามารถใช้กำจัดมอนสเตอร์ที่เป็นวิญญาณและพวกอันเดทได้อย่างรุนแรงมากเลยทีเดียวและดูท่าทางเสือสมิงเหล่านี้จะเป็นมอนสเตอร์ที่เป็นเผ่าวิญญาณอย่างแน่นอน



จิ้งจอกน้อยดูพอใจอย่างมากที่พวกเสือสมิงวิ่งหนีไปอย่างตื่นกลัวเช่นนั้น จริงอยู่ที่เพลิงจิ้งจอกทำอะไรพวกเสือโคร่งภูเขาไม่ได้ แต่พอเข้ามาในเขตนี้เธอก็รู้สึกได้ทันทีถึงพลังวิญญาณของมอนสเตอร์เจ้าถิ่นที่นี่ คิทซึเนะรู้ทันทีว่าเพลิงของเธอสามารถใช้ขจัดมอนสเตอร์ที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้ได้



เธอรอจนเจนหลับไปและรอจนกว่ากองไฟที่จุดไว้ใกล้ดับ เมื่อกองไฟรี่แสงลงจนเหล่าเสือสมิงนี้เข้ามาใกล้มากพอ คิทซึเนะก็เร่งพลังไฟให้พุ่งขึ้นมาอีกครั้งจนสามารถไล่พวกมันไปได้ ความจริงแล้วเพลิงจิ้งจอกนั้นสามารถบังคับให้ดับลงได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ แต่ถ้าหากดับเร็วไปมันก็จะดูน่าสงสัยทำให้คิทซึเนะรอเวลาเช่นเดียวกับพวกเสือสมิงกำลังเช่นเดียวกัน



หลังจากให้แน่ใจแล้วว่ากองเพลิงจิ้งจอกจะไม่ดับลงเป็นครั้งที่สอง คิทซึเนะก็ก้าวเข้าสู่เงามืดอย่างช้าๆ หลังจากนั้นทั้งคืนก็มีเปลวไฟสีฟ้าพุ่งไปมาในป่าตลอดทั้งคืนจนมอนสเตอร์ในบริเวณใกล้เคียงต้องคอยตื่นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นและเตรียมหนีถ้าหากมีภัยมาถึงตัว แต่หารู้ไม่ว่าเป้าหมายของเพลิงนั้นได้ถูกจัดการจนหมดป่าไปแล้ว









รุ่งเช้าเจนลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกได้ถึงหางที่มีขนนุ่มนิ่มจนเธอยกมือลูบคลำมันอย่างอดใจเอาไว้ไม่ได้ ถึงแม้เมื่อคืนพวกเสือจะส่งเสียงร้องดังลั่นป่าแต่เจนกลับไม่ตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นเพราะคิทซึเนะใช้หางมาปิดหูของเจนเอาไว้นั่นเอง พอคิทซึเนะออกไปล่าก็พยายามให้แน่ใจว่าพวกเสือสมิงจะไม่เข้ามาใกล้บริเวณเต็นท์ของเจนและส่งเสียงดังจนทำให้เจ้านายของเธอตื่นขึ้นมา



"อรุณสวัสดิ์คิทซึเนะ ฮ้าว..." เด็กสาวอ้าปากกว้างจนหมดคราบสาวสวย ส่วนจิ้งจอกที่ถูกทักก็เห่าตอบเสียงใสตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



เจนออกมาจากเต็นท์และนำข้าวกล่องออกมากินโดยแบ่งกันคิทซึเนะคนละกล่อง ในระหว่างที่เธอกินข้าวก็ตรวจสอบทักษะของตนเพื่อที่จะวางแผนต่อสู้ให้ดีกว่าเดิม ทว่าเธอต้องกลับตกใจจนทำช้อนตกลงพื้นเมื่อเห็นระดับของเธอที่พุ่งพรวดขึ้นมาในคืนเดียว



ชื่อ:เจน

อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 45

สถานะตัวละคร

พลังชีวิต 2325/2325 พลังเวทมนตร์ 4514/4514

ค่าความอิ่ม 52/100 ค่าความเหนื่อย 100/100



ถึงค่าสถานะจะเท่าเดิม แต่ก็ยังแปลกใจอยู่ดีเพราะจู่ๆระดับก็พุ่งขึ้นมาจนเธอไม่สามารถจะเก็บระดับแถวนี้ได้อีกต่อไปเนื่องจากมอนสเตอร์ที่อยู่แถว ๆ นี้ทั้งหมดนั้นมีระดับสูงสุดคือ 45 นั่นเอง พอลองตรวจสอบคิทซึเนะดูก็พบว่าเธอมีระดับขึ้นมาสูงเท่ากับเจนเช่นเดียวกัน



"เป็นไปได้ยังไง....นี่เธอทำอะไรไปหรือเปล่าหือ คิทซึเนะ" เจนเอ่ยปากถามพลางลูบหัวจิ้งจอกน้อยอย่างเอ็นดู คิทซึเนะเห่าตอบแล้วก้มหน้าลงกินข้าวกล่องต่อไปอย่างเงียบ ๆ



ในตอนแรกเจนคิดจะเก็บระดับอยู่ที่นี่จนถึง 45 แล้วกลับไปพาพวกโจมาด้วยเพราะว่าเธอไม่คิดว่าในตอนนี้เธอจะรับมือกับมอนสเตอร์ระดับ 50 ได้ เพราะเธอได้อ่านมาจากกระดานข่าวสารว่ามอนสเตอร์ระดับ 50 บนเกาะเริ่มต้นนั้นเป็นมอนสเตอร์ที่ไม่สามารถกำจัดได้เพียงตัวคนเดียวอย่างเช่นอสูรพฤกษา มีคนกล่าวว่าพวกมันแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ธรรมดาระดับ 80 ในทวีปหลักเสียอีก จึงเห็นได้ว่าเวลาคนที่มารวมตัวเพื่อจัดการกับอสูรพฤกษานั้นมีจำนวนนับร้อยเลยทีเดียว



แต่เธอต้องเปลี่ยนแผนเนื่องจากเธอเก็บระดับได้เร็วกว่าที่คิด ทำให้เจนอยากจะลองไปสู้กับมอนสเตอร์ระดับ 50 เพียงตัวคนเดียวดู เพราะถึงยังไงถ้าหากเธอสู้ไม่ไหว เธอก็สามารถใช้ทักษะหนีออกมาได้อย่างทันเวลาอยู่แล้วทำให้เจนมีความรู้สึกมั่นใจอยู่ไม่น้อย ประกอบกับเรื่องระดับของเธอที่คิดว่าจะต้องเป็นฝีมือถึงคิทซึเนะอย่างแน่นอน ทำให้เจนคิดว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้เองก็มีฝีมืออยู่ล้นตัวเลยทีเดียวและคงสามารถช่วยเธอได้อย่างแน่นอน



หลังจากเก็บเต็นท์เสร็จเจนและคิทซึเนะที่ตอนนี้ออกมาเดินเองแล้วก็มุ่งขึ้นเขาต่อไป ระหว่างกำลังเดินขึ้นไปบนเขาเจนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่มีมอนสเตอร์มากวนใจเลย ต่างจากพื้นที่ก่อนหน้านี้มากที่เธอโดนพวกเสือโคร่งหินเขาไล่กวดตั้งแต่เข้าไปในอาณาเขตของมันโดยที่ยังไม่ได้ตั้งตัว ถึงแม้เธอจะพอรู้ว่าคิทซึเนะแอบไปจัดการมอนสเตอร์ในป่าตอนที่เธอกำลังนอนหลับอยู่แต่เธอไม่รู้ความจริงที่ว่าคิทซึเนะเพิ่งล้างบางเสือสมิงไปทั้งป่าแบบนี้ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะมีพวกมันตัวใหม่เกิดมา และการล้างบางเมื่อคืนยังส่งผลให้มอนสเตอร์อื่น ๆ ในบริเวณนี้ต้องถ่างตาตื่นกันทั้งคืน พอถึงรุ่งเช้าจึงไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนมากวนใจพวกเจนเลยซักตัวเดียว



ไม่นานนักเจนก็มาถึงยอดเขา เธอพบกับวิวที่สวยงามจนเกินคำอธิบาย ทั้งก้อนเมฆรวมกับผืนป่าทอดยาวลงไปเบื้องล่างมันให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนเธอหายกังวลให้หลายต่อหลายเรื่อง เธอพนันได้เลยว่าเธอคงไม่พบกับภาพนี้ในโลกจริงอย่างแน่นอน เธอปล่อยใจให้ตามสายลมที่พัดใส่หน้าให้ลอยเป็นอิสระ เจนนั่งลงแล้วหยุดคิดเรื่องการเก็บระดับซักพัก และดื่มด่ำไปกับบรรยากาศนี้



มันน่าแปลกที่ช่วงเวลาก่อนหน้าที่เธอรู้สึกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเธอ แต่หลังจากมาเล่นเกมนี้เธอกลับรู้สึกคลายความกังวลไปมาก อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เธอใช้ในเกมซึ่งห้าให้นับจริงๆก็สองเดือนกว่าๆแล้ว หรืออาจเป็นเพราะเธอคิดเรื่องอื่นตลอดเวลาที่อยู่ในเกมแทนที่จะไปหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง เจนรู้สึกดีใจที่หมอเกอร์ธูทส่งเกมนี้มาให้เธอถึงแม้คุณหมอคนนี้จะทำให้เธอรู้สึกแปลกๆก็ตาม



"เอาล่ะ! ไปกันเถอะคิทซึเนะ ถ้าหากไม่รีบมีหวังโจกับแจ็คแซงหน้าพวกเราไปแน่เลย" เจนหันมาพูดกับจิ้งจอกของเธอ คิทซึเนะเห่าตอบแล้วเดินตามเจนไปทันที



แต่เมื่อเจนเดินไปเพียงสามก้าว เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากก้อนหินกองใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เจนยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจนเธอล้มลงไปบนพื้น ทันใดนั้นเธอก็รู้ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวนี้มาจากตัวอะไรและเธอก็ไม่พลาดที่จะใช้ทักษะตรวจสอบในทันที



โกเลมหินผา

ชั้นทหาร ระดับ 50

มอนสเตอร์ระดับบอส เป็นโกเลมผู้ปกปักษ์แห่งขุนเขา มีหน้าที่กำจัดผู้บุกรุกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมอนสเตอร์



มอนสเตอร์บอสระดับห้าสิบที่มีขนาดสูงเกือบยี่สิบเมตร บางทีโชคของเธอในด้านการพบเจอมอนสเตอร์ระดับสูงจะมีค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว



"โอ้ตายล่ะ ทำไมฉันถึงเจอแต่พวกอึด ถึกแบบนี้ล่ะ ขอเจอบอสที่เป็นกระต่ายเชือดง่ายๆบ้างไม่ได้หรือไงเนี่ย!" เด็กสาวร้องตะโกนแล้วรีบกระโดดหลบก้อนหินก้อนใหญ่ที่โกเลมหินผาขว้างมาอย่างแรง



คิทซึนะหลบแล้วพุ่งตรงไปหาศัตรูของเจ้านายของเธอแล้วพ่นเพลิงจิ้งจอกใส่ ไฟปะทะเข้ากับร่างของโกเลมเข้าอย่างจังแต่กลับทำอะไรมันไม่ได้มากนัก เจ้าโกเลมก้าวเท้าของมันเข้ามาหาเจนที่ลุกขึ้นมาตั้งหลักได้อีกครั้ง เธอวาดดาบออกไปด้านข้างแล้วตวัดใส่เจ้าโกเลมอย่างรุนแรง



ผ่ามิติ!!



คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะร่างของโกเลมทำให้มันชะงักลงแต่ก็เหมือนกับตอนที่เธอใช้กับกระทิงหินเขา มีเพียงแค่รอยดาบบนตัวของโกเลมเท่านั้น มันก้มลงมองที่อกของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเจนด้วยท่าทางที่ยัวะสุด ๆ



โก!!!!!



โกเลมหินร้องตะโกนดังลั่น คราวนี้มันไม่ได้แค่ก้าวตรงมาทางเจนอย่างช้าๆตามเคยแล้ว มันวิ่งตรงมาในขณะที่เจนและคิทซึเนะพยายามโจมตีใส่ทั้งใช้ผ่ามิติและเพลิงจิ้งจอก แต่ทุกสิ่งกลับไม่ได้ผลและยิ่งทำให้มันโกรธมากว่าเดิมด้วยซ้ำ



"เยี่ยมไปเลย ทักษะระดับ S โจมตีไม่เข้า!" เด็กสาวตะโกนเสียงดังอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อโกเลมหินผาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เจนจึงมีทางเลือกเดียวคือวิ่งหนี



เจนและคิทซึเนะพยายามจะวิ่งหนีลงจากเขากลับพบว่าก้อนหินที่โกเลมหินผาขว้างมาก่อนหน้าที่ขวางทางเธออยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือความตั้งใจของมัน ตอนนี้เธอมีเพียงแค่สองทางนั่นก็คือสู้ตายไม่ก็หนีไปทางหน้าผา เจนคิดในหัวอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเธอใช้ทักษะพลังสถิตร่างก็จะสามารถหลบหนีไปได้อย่างแน่นอน และด้วยพลังเวทที่เพิ่มขึ้นมาแม้ว่าเธอจะใช้มันไปกับทักษะผ่ามิติจนเหลือไม่ถึงครึ่ง แต่พอคำนวณแล้วก็ยังสามารถใช้พลังได้อย่างมากก็เกือบ 20 นาที พอถมไปที่จะหาที่ลงพื้นดิน



แต่มาถึงที่แถมยังเจอมอนสเตอร์ระดับ 50 อย่างใจหวังแล้ว จะให้คนอย่างเจนหนีน่ะหรือ....ฝันไปเถอะ!



เจนหันหน้าไปเผชิญกับโกเลมหินผาอย่างไม่เกรงกลัว ร่างของเธอสว่างขึ้นด้วยทักษะเสริมพลัง เจนพุ่งตัวอย่างรวดเร็วผ่านกองหินไปยังโกเลมซึ่งกำลังวิ่งเข้ามา โกเลมหินผาเห็นผู้บุกรุกมาหามันเอง มันหยุดวิ่งแล้วฟาดแขนของมันใส่ ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเจนฉีกตัวหลบไปอย่างรวดเร็วและกระโดดขึ้นไปบนแขนของมัน โกเลมหินผาพยายามใช้แขนอีกข้างปัดเจนลงไปแต่เธอก็พุ่งตัวขึ้นกลางอากาศแล้วฟาดดาบใส่ใบหน้าของมันเข้าเต็ม ๆ



เคล้ง!!



เป็นอย่างที่เจนคาดเอาไว้ไม่ผิด ดาบคุซานางิทำได้เพียงแค่ฝากรอยแผลเล็กๆเอาไว้บนผิวหินของมันเท่านั้น โกเลมหินผาร้องตะโกนด้วยความโกรธแล้วฟาดมือมายังศัตรูที่บังอาจมาทำร้ายมัน เจนรีบกระโดดหลบลงมาจากหัวของโกเลมหินผาทันทีทำให้มือของมันฟาดเข้ากับใบหน้าเข้าเต็ม ๆ จนมันเดินเซถอยหลังไป



'สู้ไม่ไหว ฟันไม่เข้า' เจนคิดพลางถอยห่างออกมาเพื่อทิ้งระยะ ถึงเจ้าโกเลมจะตบโดนหน้าตัวเองแต่เมื่อดูแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนักและการโจมตีของเจนและคิทซึเนะต่างไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย



การกระทำเมื่อครู่ของเจนยิ่งไปทำให้โกเลมหินผายิ่งโมโหมากกว่าเดิม มันร้องตะโกนก้องแล้วทุบพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นเองก้อนหินขนาดเล็กจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นด้านหน้าของเด็กสาวอย่างกับกระสุนปืน เจนโยกตัวหลบอย่างรวดเร็วด้วยผลของทักษะเสริมพลังกายที่ยังอยู่ทว่าไม่นานนักพลังของทักษะก็หายไป เจนรู้สึกทันทีว่าร่างกายของเธอช้าลงอย่างมาก ก้อนหินที่ยังคงพุ่งเข้าใส่เธออย่างต่อเนื่องเริ่มจะเฉียดโดนตัวเธอบ้างแล้ว



เจนรู้ว่าถ้าหากปล่อยไปอย่างนี้ล่ะก็เธอคงแพ้แน่ แต่ในตอนนี้เธอไม่มีทักษะไหนแล้วที่จะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่โกเลมตัวนี้เลย ความหวังสุดท้ายของเจนคือพลังสถิตร่างเท่านั้น



เจนกระโดดออกฉากหลบมาอยู่หลังก้อนหินก้อนใหญ่ เธอพลาดโดนก้อนหินสองสามก้อนเข้าที่แขนจนรู้สึกเจ็บไปหมด ในตอนนี้แขนข้างซ้ายของเจนรู้สึกเจ็บจนไม่สามารถถือดาบได้แล้วแต่เธอก็ยังคิดในแง่ดีอยู่ว่ายังจะพอมีทางรอดไปได้



ไม่นานนักกระสุนลูกหินก็หยุดลง เจนเอนตัวเล็กน้อยเพื่อแอบดูว่าเจ้าโกเลมกำลังทำอะไรอยู่ ใจของเด็กสาวก็ต้องตกลงมาอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันกำลังยกก้อนหินขนาดใหญ่และเตรียมที่จะโยนใส่เธอ



"เฮ้ย!! ไม่เอานะ!" เจนตะโกนแล้วใช่ทักษะพลังสถิตร่าง ตัวของเธอเปล่งออร่าสีเหลืองทองออกมาแล้วเธอก็พุ่งตัวเข้าประชิดร่างโกเลมอย่างรวดเร็วและฟาดดาบใส่เข้าเต็มๆ



ต่างจากครั้งที่แล้วดาบคุซานางิสามารถทำความเสียหายให้กับโกเลมหินผาได้แต่ก็ยังน้อยนักถ้าหากจะจัดการบอสตัวนี้ลง ถึงจะฝากบาดแผลเอาไว้บนร่างของมันได้แต่เจนก็ค่อนข้างมันใจว่าพลังเวทต้องหมดก่อนอย่างแน่นอน



เจนทำตามสิ่งที่หัวของเธอคิดออกเป็นอย่างแรก เจนใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาบินฉวัดเฉวียนไปมาพร้อมทั้งใช้ดาบฟันจนมีรอยผ่าเต็มตัวของโกเลม จากนั้นเธอก็พุ่งตัวขึ้นไปเหนือหัวของโกเลมแล้วฟาดดาบลงมาสุดแรง เจ้าโกเลมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและทิ้งก้อนหินหลุดจากมือและกระแทกตัวตัวเอง เจ้าโกเลมยืนเซไปมาทำให้นี่เป็นโอกาสของเจน เธอบินถอยไปตั้งหลักแล้งพุ่งเข้ากระแทกเจ้าโกเลมจนเดินถอยหลังไปให้ตกจากหน้าผา เจ้าโกเลมพยายามต้านแรงเอาไว้ ทำให้เจนเจนต้องเร่งพลังขึ้นมาอีก



ออร่าสีทองเปล่งแสงจ้า เจนร้องตะโกนและผลักออกไปสุดแรง พลังมหาศาลที่แม้แต่มอนสเตอร์ระดับบอสยังไม่อาจต้านทานได้ดันร่างหินขนาดใหญ่ของโกเลมหินผาจนตกลงไปในเหวลึกด้านล่าง เจนลอยตัวอยู่บนขอบผาอย่างเหนื่อยหอบจนได้ยินเสียงกระแทกพื้นเสียงดังแต่กลับไม่มีเสียงประกาศว่ามันตายแล้ว



เจนไปรับคิทซึเนะแล้วตามโกเลมหินผาลงไปพบว่ามันนอนนิ่งอยู่บนพื้น ดินรอบ ๆตัวมันแตกกระจายจากแรงกระแทกที่รุนแรงมากจนทำให้เจนแปลใจว่ามันยังคงรอดอยู่ได้ เจ้าโกเลมส่งเสียงครางออกมาเบา ๆ ดวงตาของมันถึงแม้จะดูอ่อนแรงแต่ก็ยังคงแข็งกร้าวไปด้วยพลังชีวิตที่เหลือล้น



เด็กสาวที่ยังคงร่างพลังสถิตเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางลอยตัวและลงไปที่หน้าอกของโกเลมที่นอนอยู่บนพื้น เธอยกดาบขึ้นมาและรวมพลังไปที่ดาบจนกลายเป็นแสงสีทองเข้มดูทรงพลังมาก เจนเรียนรู้วิธีใช้ทักษะนี้มาตอนที่เธอใช้ดาบฟันตัวของโกเลมหินผา ยิ่งเธอใส่พลังไปที่ตัวดาบมากเท่าไหร่ พลังทำลายก็จะเพิ่มขึ้นมากตามแต่ก็ต้องแลกด้วยพลังเวทที่ลดลงอย่างรวดเร็ว



"ช้าก่อน ท่านผู้กล้า" โกเลมหินผาพูดขึ้นพยายามจะคุยกับเจน แต่ทว่า



ตูม!!



เจนฟาดดาบลงไปเต็มลงที่ใบหน้าของโกเลมจำทำให้หัวของมันกระจายเป็นชิ้นๆ ร่างของมันกลายเป็นแสงพร้อมกับเสียงประกาศในหัวของเจน



คุณจัดการโกเลมหินผา ชั้นทหาร ระดับ 50 เป็นจำนวน 1 ตัว

คุณได้โบนัสเนื่องจากกำจัดมอนสเตอร์ระดับบอส จาก 45 เป็น 47

ทักษะ การใช้ดาบขั้นต้น เพิ่มจาก ระดับ 30 เป็น 48



"เอ๊ะ เมื่อกี้รู้สึกเหมือนจะมีใครพูดด้วย....โจ เมื่อกี้นายเรียกมางั้นหรือ" เจนติดต่อไปหาเพื่อนเพราะนึกว่ามีคนเรียกโดยไม่ได้สงสัยเลยว่าไอ้ตัวที่อยากจะคุยกับเธอจริงๆแล้วน่ะเป็นโกเลมที่เพิ่งถูกระเบิดหัวไปเมื่อกี้



"หะ ป่าวนี่ แต่เธอติดต่อมาก็ดีแล้ว ตอนนี้เธอระดับเท่าไหร่แล้วล่ะ" โจถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ท่าทางสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดมาตลอดหลายวันจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว



"ตอนนี้ฉันระดับห้าสิบกันแล้วนะ ฉันกับแจ็คจองตั๋วเรือที่จะไปทวีปหลักให้แล้ว รีบกลับมาที่เมืองเร็วเข้าเถอะ"



"แต่ฉันยังระดับไม่ถึงห้าสิบเลยนะ" เจนบอกเพราะเธอคิดจะอยู่ต่ออีกซักวันเพื่อเก็บระดับให้เต็มก่อนเข้าทวีปหลัก



"ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวเอาไว้ไปเก็บระดับเอาที่ทวีปหลักเอาก็ได้ ถ้าเธอมาไม่ทันก่อนเย็นนี้ล่ะก็จะต้องรอไปอีกสัปดาห์หนึงเลยนะ ขอล่ะบอกฉันทีว่าเธออยู่ใกล้ๆเมือง" เสียงของโจฟังดูหงอยๆเพราะกลัวจะพลาดเรือออก เจนเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานขนาดนั้นเช่นกัน แต่ว่าระยะทางจากที่นี่ซึ่งเป็นอีกด้านของภูเขากับเมืองไทริสมันค่อนข้างที่จะไกลมากเลยทีเดียว



"ไม่รู้สิโจ ตอนนี้ฉันอยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองพอสมควรอ่ะนะ เอาเป็นว่าฉันจะรีบกลับไปก็แล้วกัน" เจนบอกแล้วรีบตัดการติดต่อทันที เจนตรวจสอบพลังเวทดูก็เห็นว่าพอจะคงสภาพทักษะนี้ได้อีกเกือบห้านาที เมื่อเห็นดังนั้นเจนจึงหยิบขวดยาเพิ่มพลังเวทขวดสุดท้ายมาดื่มรวดเดียวหมดแล้วเธอก็อุ้มคิทซึนะและพุ่งตัวออกไปทันที



ระหว่างทางตาของเจนก็เหลือบไปเห็นวัวกระทิงภูเขาตัวหนึ่งกำลังต่อสู้กับเสือโคร่งภูเขาอยู่ ห้าต่อหนึ่งแต่กระทิงภูเขาก็ยังสามารถรับมือได้อย่างสูสีแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกระทิงตัวนี้ที่สูงกว่าหัวหน้าฝูงทั่วไปเสียอีก เจนตัดสินใจที่หยุดดูก่อนเพราะของแบบนี้อาจจะหาดูไม่ได้ง่ายๆเลย ถึงกระนั้นเจนก็ยังรู้สึกสงสัยนิดๆว่าทำไมกระทิงภูเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ปกติแล้วมันจะอยู่รวมกันเป็นฝูงและจะไม่ล้ำเขตแดนของสัตว์อื่นเด็ดขาด โดยไม่รู้เลยว่าตัวเธอนั่นแหละที่ทำให้พฤติกรรมของเจ้ากระทิงภูเขาตัวนี้ต้องเปลี่ยนไป



แต่ไม่นานนักกระทิงภูเขาตัวนั้นก็เสียท่าให้กับเสือโคร่งทั้งห้าตัว เจนเห็นดังนั้นจึงนึกคิดสงสารและอยากจะช่วยกระทิงภูเขาเพราะลึกๆแล้วเธอแอบเชียร์มันอยู่ที่มีใจสู้พวกเสือโคร่งภูเขาแม้จะโดนรุมก็ตาม เจนพุ่งตัวลงไปก่อนที่กระทิงตัวนั้นจะเป็นอะไรไป เสือโคร่งทั้งห้าตัวเห็นมีบางอย่างกำลังพุ่งลงมาจึงหยุดโจมตีกระทิงที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นและหันไปมองดู พวกมันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันของพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวมันหลายพันเท่า พวกมันจึงรีบหนีไปก่อนที่เจนจะลงมาถึงพื้นเสียอีก



เจนมองตามไปอย่างงงงวยเพราะไม่รู้ว่าพลังสถิตร่างของเธอนั้นได้แผ่ออร่าของผู้ที่มอบพลังให้ซึ่งในที่นี้คือเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะ ถึงแม้ว่าเจนจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ามาเอะในตอนนี้ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นมันไม่ต่างจากมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าเลยแม้แต่น้อย



เมื่อเจนหันกลับมาก็พบวัวกระทิงภูเขาจมกองเลือดนอนหายใจโรยริน เจนยอมรับว่ามันมีใจสู้จริงๆ และความอึดของมันก็ไม่เป็นสองรองใคร ดวงตาที่มันใช้มองเธอนั้นยังคงรู้สึกของการคุกคามมันพยายามจะลุกขึ้นแต่ขาของมันไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าที่จะทำ เจนจึงตัดสินใจเทยาเพิ่มพลังชีวิตทั้งหมดลงไปบนตัวของวัวกระทิงภูเขา ทำให้แผลของมันเริ่มรักษาตัวเองอย่างช้าๆ เมื่อเจนมั่นใจแล้วว่ามันจะรอดแล้วเธอจึงบินจากไปทันทีโดยมีดวงตาดวงหนึ่งมองตามไปด้วยความแค้นและขมขื่น





เวลาล่วงเลยไปจนถึงเย็น เจนซึ่งในตอนนี้พลังเวทได้หมดลงแล้วกำลังวิ่งตรงไปยังเมืองไทริสที่ในตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยสีขาวของขี้เถ้าจนทำให้เจนนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เธอไม่อยู่ รวมทั้งภายในเมืองนั้นก็มีความเสียหายอย่างมากแต่ชาวเมืองทุกคนกลับมีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม และต่างพูดคุยกับพวกผู้เล่นด้วยอัธยาศัยที่ดีมาก ต่างจากก่อนหน้านี้ซึ่งทำกับพวกผู้เล่นเหมือนกับคนอื่นทั่วไป



"อ้าว ท่านนักผจญภัย ออกไปล่าสัตว์กลับมาเป็นยังไงบ้าง" ทหารชาวเมืองคนหนึ่งทักเจนเมื่อเห็นเธอเดินเข้าเมืองมา



"เอ่อ...ก็ดี ขอบใจที่ถาม" เจนตอบกลับไปส่งๆเพราะเธอไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ถึงอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็อยากจะรีบไปขึ้นเรือก่อนที่จะพลาดเที่ยวไป



"โจ นายอยู่ไหนน่ะ ฉันมาถึงเมืองแล้ว" โจติดต่อหาไปยังเพื่อนของเธอผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม



"ตอนนี้พวกเราอยู่บนเรือแล้ว เธอรีบไปยังประตูเมืองทางทิศใต้ด่วนเลย จะมีท่าเรืออยู่ไม่ไกล" แจ็คเป็นคนตอบ เจนตอบรับแล้วรีบวิ่งไปยังทิศที่แจ็คบอกทันที



หลังออกมาจากประตูเมืองทิศใต้เจนก็พบกับทุ่งหญ้าเล็ก ๆ ก่อนจะเป็นชายหาดยาวสุดลูกหูลูกตา ท่าเรือขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่และกำลังมีพวกผู้เล่นเดินขึ้นเรือไปเป็นจำนวนมาก ใกล้ๆกันก็เป็นเอไอที่ดูแล้วน่าจะเป็นลูกเรือกำลังขนสัมภาระขึ้นเรือ เรือที่เจนเห็นเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่พอที่น่าจะสามารถจุคนได้ประมาณห้าร้อยคน ถึงจะบอกว่าเป็นเรือโดยสารซึ่งดูจากรูปทรงแต่มันก็มีปืนใหญ่ติดประจำเอาไว้ตลอดช่วงลำเรือ



เจนรีบเดินหาพวกโจและพวกทั้งคู่กำลังยืนรออยู่ใกล้ๆทางขึ้นไปบนเรือ เจนรีบไปสมทบและพากันขึ้นไปบนเรือทันที



"นี่เธอไปอยู่ไหนมา ทำไมถึงช้านัก" โจถามด้วยน้ำเสียไม่พอใจนิดๆ เพราะถ้าช้าอีกนิดเดียวพวกเขาก็จะพลาดเรือเที่ยวนี้แล้ว



"ขอโทษที พอดีฉันเดินไปไกลหน่อยน่ะ... เอ๊ะ นี่พวกนายเปลี่ยนชุดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ นายมีเงินซื้อชุดหรูแบบนี้ได้ยังไง" เจนว่าเพราะชุดที่ทั้งคู่สวมอยู่ตอนนี้นั้นดูค่อนข้างหรูหรามากไม่แพ้ชุดของเจนเลยทีเดียว



โจนั้นสวมผ้าคลุมสีดำสนิทและสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน แต่ที่น่าแปลกคือเขาสวมรองเท้าผ้าใบที่ไม่น่าจะมีขายในเกมได้ ส่วนทางแจ็คก็เปลี่ยนไปสวมเสื้อแขนกุดสีดำและกางเกงขายาวพร้อมรองเท้าบูทโดยมีปืนสะพายอยู่ที่หลัง



"นายไปได้รองเท้านั่นมาจาไหนกัน แล้วคทาเวทนายล่ะ เก็บไปแล้วงั้นหรือ" เจนถาม



"รองเท้านี่เรอะ ฉันได้มาจากร้านเดียวกับเธอนั่นแหละ ส่วนเรื่องคทาเวทน่ะนั้นเอาไปเก็บแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันใช้เวทมนตร์ได้ด้วยมือเปล่าแล้วนะขอบอก" ไม่ว่าเปล่าโจก็เรียกบอลพลังเวทขึ้นมาในมือให้เห็น เจนมองอย่างทึ่งใจส่วนเรื่องรองเท้าถ้าหากเป็นร้านของเด็กสาวคนนั้นล่ะก็เธอคงไม่แปลกใจนัก



หลังจากนั้นก็ก็ถามถึงเรื่องในเมืองว่ามันเกิดอะไรขึ้น โจจึงค่อยๆเล่าตั้งแต่แรกที่พวกตนไปเจออสูรพฤกษาในป่าถึงสามตัวด้วยกัน หลังจากโดนฆ่าในพริบตาพวกโจจึงระดมคนไปฆ่ามันเป็นจำนวนมากแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากพวกเขามีระดับน้อยเกินไป หลังจากลองอยู่หลายครั้งจนเริ่มที่จะถอดใจก็เหมือนโชคช่วยเพราะจู่ๆที่เมืองก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นและเมืองก็ถูกกองทัพกระทิงภูเขาหลายร้อยตัวเข้าโจมตี โจจึงระดมคนทั้งเมืองไปป้องกันเมือง ถึงจะกินเวลาไปทั้งวันทั้งคืน พวกผู้เล่นที่มีโจเป็นผู้นำก็สามารถป้องกันเมืองเอาไว้ได้ แถมพวกเขายังได้เพิ่มระดับพร้อมทั้งของจำนวนมากเป็นของแถมอีกด้วยด้วยเหตุนี้กองทัพของโจจึงเตรียมพร้อมทั้งระดับ อาวุธและยา จากนั้นพวกเขาก็กลับไปจัดการอสูรพฤกษาอีกรอบและประสบความสำเร็จ



"นี่นายทำอย่างนั้นได้ยังไง กลายเป็นผู้นำคนมากขนาดนั้นทั้งๆที่เพิ่งเล่นเกมนี้มาได้ไม่นานแท้ๆ แล้วอีกอย่าง ฉันเคยสู้กับกระทิงนั่นเหมือนกัน แค่ตัวเดียวยังลำบากเลย นายสู้กับพวกมันตั้งเยอะขนาดนั้นได้ยังไง" เจนถามกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ



"ก็พวกฉันไม่ได้สู้แบบชนมันตรง ๆ น่ะสิ พวกเรามีผู้เล่นที่ใช้ทั้งเวทมนตร์ ธนู ปืนอยู่ตั้งหลายคน กว่าพวกนั้นจะมาถึงประตูเมืองก็จัดการไปได้หลายตัวเลยล่ะ พวกเรายันประตูเอาไว้ทั้งคืน พอรุ่งเช้าพวกเราก็ออกไปจัดการพวกกระทิงที่เหลือรอดอยู่ไม่กี่ตัว ช่วงหลังนี่ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเลยล่ะ" แจ็คตอบพร้อมทำท่ายิงปืน



"ส่วนที่ฉันทำได้ยังไงน่ะหรือ ง่ายนิดเดียว.... ก็เพราะฉันไม่ได้เล่นเกมนี้เป็นเกมแรกน่ะสิ" โจว่าแล้วขยิบตาให้กับเจน



ก็จริงอย่างที่เพื่อนชายของเธอบอก แม้โจเคยเล่นเกมเสมือนจริงมามากและหลายเกมเขาก็เป็นหัวหน้ากิลด์หรือหัวหน้าสมาคมที่ต้องคุมคนเป็นจำนวนไม่น้อย จึงไม่แปลกนักที่โจจะสามารถรวบรวมในยามคับขันเช่นนี้ได้



หลังจากคุยกันจนหายข้องใจแล้วพวกเจนก็พากันไปยังห้องพักของตนที่จองเอาไว้ในขณะที่เรือก็เริ่มจะออกจากท่าและมุ่งตรงไปยังทวีปหลักซึ่งการผจญภัยกำลังรอพวกเจนอยู่



อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาที่ท่าเรือของเกาะไทริสก็มีข่าวลือมาว่ามีวัวกระทิงภูเขาตัวหนึ่งที่แข็งแกร่งมากจนไม่มียามคนไหนสามารถหยุดมันได้ มันวิ่งทะลุประตูเมืองทิศเหนือแล้วมุ่งไปสู่ทิศใต้ จากนั้นมันก็ว่ายน้ำข้ามทะเลตามเรือโดยสารที่เพิ่งแล่นออกไปจนเป็นที่ฮือฮาของเหล่าพวกผู้เล่นกันมาก แต่ไม่นานนักข่าวก็เริ่มซาลงไปจนไม่มีใครพูดถึงมันอีก แต่หารู้ไม่ว่าในอีกไม่ถึงปีจะมีแต่คนพูดถึงมัน ทว่าในชื่ออื่นที่ไม่มีใครนึกมาก่อนว่ามันคือวัวกระทิงตัวเดียวกัน





ในห้องของGm ประจำเมืองไทริส เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนต่างกำลังคุยกันอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้



"ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกผู้เล่นใหม่จะสามารถป้องกันเมืองจากกองทัพวัวกระทิงภูเขาระดับสี่สิบได้" เจ้าหน้าที่คนแรกพูด



"ยังไม่รวมถึงพวกจ่าฝูงระดับสี่สิบห้าอีกกว่าสิบตัวนะ เจ้าพวกนี้น่ะตายก่อนลูกฝูงซะอีก" เจ้าหน้าที่คนที่สองเสริม



"ต้องชมฝีมือของผู้เล่นคนนั้นจริงๆ ถ้าหากเขาไม่ช่วยนำคนเข้าสู้ล่ะก็ ป่านนี้เมืองคงไม่เหลือซากแล้วล่ะ" เจ้าหน้าที่คนแรกบอก ถึงประตูเมืองจะพังจนทำให้มีกระทิงบางตัวเข้ามาทำความเสียหายอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์มันก็ออกมาดีกว่าเมืองพินาศอยู่มากทีเดียว



"ใช่ ผมว่าเขาดูมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ไม่น้อยเลยนะ สั่งให้จัดการจ่าฝูงก่อน พอกำจัดได้แล้วพวกลูกฝูงก็สู้ไม่เป็นขบวนเลย ถ้าหากหมอนี่ตั้งล่ะกิลด์ล่ะก็คงดังแน่ๆ"



ระหว่างเจ้าหน้าที่สองคนคุยกัน เจ้าหน้าที่คนที่สามกลับนั่งเงียบพิมพ์บางอย่างในจอแสงตรงหน้าแล้วกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดจนเพื่อนร่วมงานหันมาทัก



"เป็นอะไรไป GMโอ ทำหน้าอย่างกับโดนลดเงินเดือนไปได้" เจ้าหน้าที่คนแรกเอ่ยถาม Gmโอหันมาครู่หนึ่งก่อนจะชั่งใจว่าจะบอกดีมั้ยแต่ในที่สุดเขาก็บอกไป



"ผมลองสืบค้นของมูลของเขาดู พบว่าเขาเป็นนักเล่นเกมอาชีพ เป็นผู้นำสมาคมในหลาย ๆ เกม ถึงทุกเกมที่เขาเล่นสมาคมของเขาจะไม่ดังเพราะเขาเล่นได้ไม่นาน แต่ก็ถือว่าเป็นสมาคมที่มีอนาคตไกลมากเลยทีเดียว...แล้วอีกอย่าง"



"อีกอย่างอะไร" เจ้าหน้าที่คนที่สองถามเมื่อเห็นว่าGmโอเงียบไป



"เขาเป็นหนึ่งในสามรายชื่อผู้เล่นที่ต้องจับตามองที่เพิ่งเพิ่มมาใหม่โดยระดับบิ้ก ๆ สั่งลงมา" GMบอกแล้วกดเปิดหน้าต่างให้เพื่อนร่วมงานเห็นถึงใบหน้าของโจพร้อมทั้งเจนและแจ็ค



"ทำไมกัน พวกนี้เป็นพวกโกงเกมงั้นหรือ หรือว่าเป็นพวกผู้เล่นแบล็กลิสจากเกมอื่น" เจ้าหน้าที่คนแรกถาม แต่จากท่าทางของสามคนนี้แล้วเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น



"ไม่รู้เหมือนกัน เบื้องบนสั่งมาว่าพวกนี้อยู่ในระดับปลอดภัย แค่ให้จับตาดูและส่งไฟล์ภาพเคลื่อนไหวของทุกกิจกรรมของผู้เล่นภาพตรงกลางทั้งหมดมาด้วย..- ผู้ปกครองของผู้เล่นอนุมัติแล้ว" Gmโอรีบเสริมเมื่อเพื่อนร่วมงานจะแย้งว่านั่นผิดกฎหมายในการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่เขาก็ยังสงสัยว่าพ่อแม่บ้านไหนจะให้บริษัทดูรูปลูกของตัวเองเล่นเกมได้ทั้งวัน



ในขณะเดียวกันนั้นในโลกแห่งความจริง หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งดูรูปของเจนที่กำลังคุยกับเพื่อนทั้งสองอยู่บนดาดฟ้าเรือที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทวีปหลัก เกอร์ธูทยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะกดโทรหาจริยาด้วยเฮดก็อกเกิ่ลของเธอ



"ว่าไงจ๊ะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" เธอถาม



"ตอนนี้สร้างตัวละครเสร็จแล้วล่ะ เกอร์ธูทจะเข้ามาเล่นเมื่อไหร่งั้นหรือ อ้อ! แล้วก็ขอบใจมากเลยนะที่มีชุดให้เลือกมากขนาดนี้ เห็นเจนบอกว่าตอนแรกจะต้องใส่ชุดเริ่มต้นสีขาวเท่านั้น แต่นี่มีแต่ชุดน่ารัก ๆ เต็มไปหมดเลย" เสียงจริยาถามกลับมา ดูท่าเธอจะรู้สึกชอบใจไม่น้อยเลยทีเดียว



"ถ้าเธอชอบฉันก็ดีใจล่ะ เดี๋ยวพอเธอเข้าไปในเกมแล้วฉันจะไปพบเธอเองล่ะ แล้วเจอกันจ๊ะ" เกอร์ธูทว่าแล้วตัดสายทิ้งไป จากนั้นเธอจึงเดินไปที่เตียงนอนในห้องทำงานของเธอ



"เชื่อมต่อ แคสซิโอเปีย"





จบตอนที่ 10 ปะทะบอส



------------------

Tohan-kun
4th January 2014, 11:54
ตอนที่้ 11 พานพบ



นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากเกาะไทริสก็เข้าสู่วันที่ 3 แล้วที่พวกเจนอยู่บนเรือโดยสารนี้ ในตอนนี้เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีเรือโดยสารไปยังทวีปหลักเพียงแค่สัปดาห์ละเที่ยวเท่านั้น คงเป็นเพราะความเร็วในการเดินทางที่คาดคะเนไม่ได้นั่นเอง อย่างในวันแรกที่เจนออกเดินทาง เพียงไม่กี่ชั่วโมงเรือก็เจอเข้ากับเขตไร้ลม กว่าเรือจะขยับไปต่อได้ก็ต้องรอจนเกือบเที่ยงคืน โชคยังดีที่ในเวลานี้ยังไม่เจอพายุซัดหรือมีมอนสเตอร์เข้ามาโจมตี โดยเฉพาะโจรสลัดที่มักจะมาดักโจมตีอยู่เสมอ แต่ดูท่าทางคราวนี้โชคจะเป็นของเจนที่การเดินทางค่อนข้างราบลื่นถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทริสแล้วล่ะก็



เจนคุยกับลูกเรือของเรือลำนี้ดู เขาเล่าว่าความจริงเรือสามารถแล่นได้เร็วกว่านี้มากถ้าหากดัดแปลงให้มีใบพัดใต้ลำเรือที่ใช้พลังงานจากผลึกเวทมนตร์ แต่เนื่องจากต้นทุนการตัดแปลงเรือและผลึกเวทมนตร์นี้มีราคาสูงมาก ถ้ามาลองคิดดูกับค่าซ่อมบำรุงและราคาตั๋วในตอนนี้ที่มีราคาถึง 1000 โกลด์แล้วมันไม่คุ้มจ่าย



จากคำที่ลูกเรือบอก ไม่บ่ายก็เย็นวันนี้เรือจะเทียบท่าเมืองซีโปซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของทวีปอัลเทเชียและเป็นจุดเทียบท่าของเหล่าผู้เล่นจากเกาะเริ่มต้นจากหลายสิบประเทศทำให้เจนอดใจไม่ได้ที่จะรอเห็นเมืองแห่งนี้ ในเมื่อเวลานี้ยังไม่มีอะไรทำ เจนเวลานี้อยู่ในห้องพักกับเพื่อนอีกสองคนก็ค้นกระเป๋าและตรวจสอบดูว่าเมื่อตอนที่เธอจัดการโกเลมหินผานั้นคิทซึเนะเก็บอะไรมาให้บ้าง



ผลึกจิตวิญาณแห่งดิน ระดับ C

ผลึกที่บรรจุพลังแห่งธาตุดินเอาไว้



เจนหันไปหาคิทซึเนะเป็นนัยว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า แค่จิ้งจอกน้อยส่ายหน้าเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เจนสื่อมา เธอถอนหายใจออกหนัก ๆ แล้วมองของที่ได้มาอย่างพิจารณาว่ามันคุ้มมั้ยที่เธอลงแรงไปตั้งขนาดนั้น



"ถืออะไรอยู่น่ะเจน" แจ็คถาม



"ของที่ได้จากตอนที่ไปจัดการกับบอสโกเลมน่ะ เป็นผลึกวิญาณแห่งดิน แถมได้มาแค่ก้อนเดียวด้วย ไม่คุ้มเอาซะเล้ย" เจนว่าแล้วโยนของไปให้แจ็คดู



"บางครั้งถึงจะเป็นบอสแต่ก็ให้ของไม่ดีเหมือนกันนะ อย่างอสูรพฤกษาที่พวกฉันไปจัดการก็ให้แค่ของเอาไว้ขายเท่านั้นเอง ไม่มีของอะไรที่ดีไปกว่าระดับ D เลยแม้แต่ชิ้นเดียว" โจบอก ทางแจ็คมองผลึกอย่างพิจารณาแล้วหันมาหาเจน



"ฉันขอได้มั้ยผลึกก้อนนี้น่ะ"



"ก็ได้นะ.. ว่าแต่นายเอาไปทำไมงั้นหรือ" เจนถามกลับ



"ฉันจะลองเอาไปทำกระสุนปืนธาตุดูน่ะ เอาไว้เปลี่ยนอาชีพเมื่อไหร่จะได้ใช้อาวุธได้หลากหลายหน่อย แจ็คบอกพลางเก็บของใส่ในกระเป๋า



"ขอบใจนะ เอาไว้จะใช้คืนให้ทีหลัง"



"ไม่เป็นอะไรหรอก ถึงฉันเก็บเอาไว้มันก็ไม่ได้ใช้" เจนว่าแล้วลองค้นของดูอีกครั้ง คราวนี้เธอหยิบของที่อยู่ช่องเก็บของตัวละครของเธอมานานมากจนเธอเองก็ลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่



"แล้วตกลงไข่นี่เอาไปทำอะไรได้เนี่ย นายพอรู้บ้างหรือยัง โจ"



"อืม ฉันลองไปถามจากพวกอาชีพเลี้ยงสัตว์อสูรดูแล้ว การฟักไข่ถ้าหากไม่ได้ฝักโดยวิธีธรรมชาติโดยพ่อแม่ของมันล่ะก็ ไข่ที่เราได้มามันก็ไม่มีทางฝักหรอก... แต่! มีแต่นะ ถ้าหากมีตัวกระตุ้นล่ะก็มันก็อาจจะทำให้ไข่ฝักออกมาได้" โจรีบพูดเมื่อเห็นสายตาของเจนที่มองไปยังไข่อย่างไม่ค่อยพอใจ เขาเองก็หวั่นนิด ๆ ว่าเพื่อนสาวคนนี้หากรู้ว่าฝักไข่ออกมาไม่ได้คงจะเอาไข่ระดับ S นี้ไปกินเข้าซะจริง ๆ แน่



"แล้วพวกเราจะใช้อะไรเป็นตัวกระตุ้นล่ะ"



"ก็ได้หลายอย่างนะ ใช้พลังเวทก็ได้ หรือจะใช้ของที่มีระดับสูง ๆ ก็ได้ บางครั้งถ้าใช้ของยิ่งดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่สัตว์เลี้ยงที่ออกมาจากไข่จะดีกว่าที่ควรจะได้ด้วยล่ะ....อย่างผลอิกดราซิลของไอ้แจ็คมันก็ถือว่าไม่เลวนะ" โจว่าแล้วหันไปมองเพื่อนของเขาที่หันมามองเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง



"ไม่ไม่ ฉันกะเก็บเอาไว้ใช้อย่างอื่น....โจ สายตาอย่างนั้นหมายความว่ายังไงน่ะ เดี๋ยว! เธอก็ด้วยอีกคนหรอเจน" แจ็คเริ่มยืนขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองคนวางไข่ลงบนโต๊ะแล้วเข้ามายืนประจันหน้าตน เขาเริ่มมองหาทางหนี แต่อยู่ในห้องเล็ก ๆ แบบนี้คงหนีไปไหนไม่ได้



ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ทำอะไร เจนก็พุ่งไปขวางไม่ให้เขาออกจากห้องได้



"จะเอายังไงดี โจ" หันถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนแจ็คต้องรีบแย้ง



"เฮ้ย จะไม่มาปรึกษาทางนี้กันก่อนหรือ"



"ฉันรู้วิธีขโมยของจะกระเป๋าผู้เล่น ฉันมั่นใจว่าอย่างไอ้แจ็คมันต้องเก็บของเอาไว้ในนั้นแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นเธอจัดการเรื่องใช้แรงก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องของเอง" โจว่า



"เฮ้ย ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แล้วทั้งตากับหูก็ไม่ได้บอดด้วย! วางแผนอะไรได้ยินหมดแล้วนะเว้ย"



"เอาล่ะ แจ็ค....พวกเรามาเพิ่มระดับทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่ากันดีกว่า" เมื่อเจนพูดจบเธอก็พุ่งเข้าใส่แจ็คในทันที เพื่อนหนุ่มคนนี้ถึงแม้จะมีบ้านเป็นค่ายฝึกมวยแต่ก็ใช่ว่าจะสู้เจนได้ หมัดแรกของเจนพุ่งเข้าใส่ท้องน้อย แจ็คตัวงอเป็นกุ้งตามแรงหมัดที่ไม่ธรรมดา ถึงจะไม่ค่อยเจ็บอย่างที่เห็นแต่เขาจุกสุด ๆ เลย



"ฮู้ หมัดเดียวเพิ่มระดับทักษะเป็นสิบเลยนะเนี่ย" เจนว่าด้วยน้ำเสียงระรื่นแล้วกระโจนเข้าใส่พร้อมกับจับล็อกแขนใส่ท่าครอสอาร์มเบรคเกอร์ทันที แจ็คร้องเสียงดังลั่นห้องพลางดิ้นพล่านเพื่อจะทำให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการ ส่วนมืออีกข้างก็ตบพื้นรัวเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าตนนั้นยอมแพ้แล้ว แต่เหมือนกับว่าจะแกล้งกันเพราะคนที่มีหน้าที่ต้องขโมยของนั้นยืนมองอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ลงมือทำอะไรอยู่แม้แต่น้อย



"ไอ้โจ! ช่วยด้วย! ไอ้โจ ช่วย อ้ากกกกกก!!" เสียงร้องโหยหวนดังไม่ยอมหยุด โจหันมาหาคนเรียกและค่อย ๆ เดินเข้าไป จากนั้นจึงบรรจงใช้มือเปิดกระเป๋าที่คาดเอวแจ็คอยู่เพื่อหยิบผลไม้สีเหลืองขึ้นมา



ถึงแม้ว่าโจจะได้ของไปแล้วแต่เจนกลับไม่ยอมปล่อยให้แขนของแจ็คให้หลุดไปได้ง่าย ๆ



"ปล่อยสิเจน โอ้ยย! ปล่อยได้แล้ว ไอ้โจมันได้ของไปแล้วไง อ้ากกกกกกก!!"



"นายเองก็สู้หน่อยซี่ กล้ามแขนก็ใหญ่ออกขนาดนี้แท้ ๆ ฉันสู้แรงนายไม่ได้หรอกน่า ออกแรงนิดเดียวก็หลุดแล้ว ลองดูสิ" เจนส่งเสียงบอกแต่ดูเหมือนไม่เห็นผลของแจ็คยังคงดิ้นพล่านแทบเป็นแทบตาย จนในที่สุดเธอจึงจำเป็นต้องปล่อยแขนของแจ็คให้เป็นอิสระก่อนถ้าไม่เช่นนั้นคงต้องเสียเงินค่ารักษาแขนซึ่งบนเรือนี้ก็แพงอยู่



ทางโจที่ได้ผลอิกดราซิลไปก็เริ่มคั้นมันจนได้เป็นน้ำสีเหลืองใสดูคล้ายน้ำเลมอน โจแบ่งเป็นสามขวดโดยของแจ็คเยอะที่สุด ส่วนของเจนและเขาเองนั้นเท่ากัน



"เอานี่รับเอาไว้ ใช้เป็นน้ำจะคุ้มกว่าใช้ทั้งผลนะ แล้วก็เจน อย่าเพิ่งใช้ที่นี่จะดีกว่า เอาไว้พวกเราเริ่มออกเดินทางนอกเมืองค่อยลองฟักดู" โจว่าแล้วยื่นของไปทั้งเพื่อนทั้งสอง เจนและแจ็ครับเอาไว้แล้วใส่ช่องเก็บของตัวละครทันทีโดยที่แจ็คนั้นพึมพำไม่ได้ศัพท์แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขากำลังพูดอะไร



“อ่ะ ดูนั่นสิ!" เจนพูดแล้วชี้ออกไปนอกหน้าต่างห้องพัก



เรือจากเกาะเริ่มต้นเกาะอื่นปรากฏให้เห็นสู่สายตา ไม่ใช่แค่เรือลำเดียวแต่เป็นเรือหลายสิบลำกำลังล่องเทียบข้างกันเพื่อไปสู่จัดหมายเดียว เมืองท่าซีโป



ทั้งสามคนเดินขึ้นมายังดาดฟ้าเรือพร้อมกับผู้เล่นอีกหลายคนที่ต้องการจะขึ้นมาชมความงามของบรรยากาศยามโพล้เพล้ของเมืองท่าแห่งนี้ ด้านข้างเรือที่พวกเจนอยู่ทั้งสองด้านมีเรือที่เป็นลักษณะเช่นเดียวกันกำลังแล่นขนาบไล่เลี่ยกันมา เจนทราบได้ทันทีว่านั่นคือเรือที่มาจากเกาะเริ่มต้นเกาะอื่น เจนมองไปจนถึงขอบฟ้าเห็นเป็นเรือกำลังตามกันมาใต้ท้องฟ้าสีม่วงครามนั้นมันสวยงามไปอีกแบบ และเรือทุกลำต่างก็กำลังมุ่งไปยังเมืองที่ส่องสว่างแม้ดวงอาทิตย์ยามเย็นคงส่องแสง



เมืองซีโปที่เจนมองจากเรือนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มาก ขนาดของท่าเรือจอดได้นับร้อยลำ พื้นของบริเวนจอดเรือนั้นเป็นก้องหินสีขาวทำให้เห็นจากทีเจนอยู่อย่างชัดเจน ในขณะที่เรือกำลังแล่นตรงเข้าไปยังท่าเรือของเมืองซีโป ก็มีเรืออีกหลายลำที่กำลังแล่นสวนมาเช่นเดียวกัน ทั้งผู้เล่นและชาวเมืองที่อยู่บนเรือต่างโบกมือไปมา เจนและพวกโจก็โบกมือตอบกลับไปอย่างเป็นมิตร



เมื่อเรือจอดเทียบท่าพวกเจนก็พากันเดินลงมาพบกันผู้คนมากมายที่ลงมาพร้อมกันกับเรือลำอื่น ๆ ที่เข้าเทียบท่า เรือบางลำก็เพิ่งเข้าเทียบในขณะที่คนบนเรือต่างมีสีหน้าตื่นเต้นที่จะรอพบเมืองแห่งใหม่จนทนรอแทบไม่ไหว คนที่ลงมาจากเรือนั้นมีหลายรูปร่างหน้าตา บางคนมีตาตี่เหมือนกับมาจากเมืองจีน บางคนตาโตเหมือนออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะหันไปทางไหนเจนก็พบว่าตนนั้นเหมือนกับหลุดมาอยู่ในต่างประเทศอย่างไรอย่างงั้นเลย พอเข้ามาด้านในตัวเมืองก็พบกับสิ่งก่อสร้างรูปทรงจีนโบราณแต่บางลวดลายของอาคารก็ทำให้เจนคิดว่าน่าจะเป็นของสิงคโปร์หรืออินโดนีเซียมากกว่า



เจนตรงไปยังโรงแรมของเมืองก่อนเพราะว่าโจบอกเอาไว้ตั้งแต่อยู่บนเรือว่าให้รีบจองห้องพักก่อนเพราะว่าในช่วงที่ผู้เล่นเดินทางมาถึงเมืองเช่นนี้โรงแรมทั้งหลายจะถูกจองจนเต็มไวมาก ดังนั้นโจจึงนำพวกเจนไปยังโรงแรมที่ใกล้ที่สุด โรงแรมที่โจพาเข้าไปนั้นเป็นโรงแรมระดับสองสามดาว ไม่หรูหรามากนักแต่ก็ไม่ดูแย่ไปกว่าโรงแรมที่เจนเคยเข้าพักเมื่อตอนอยู่บนเกาะเริ่มต้นซักเท่าไหร่ พวกเธอเข้าพักอยู่ในห้องใหญ่ซึ่งเป็นห้องเดียวที่เหลืออยู่ ห้องนี้มีอยู่สองเตียงประกอบด้วยเตียงคู่หนึ่งเตียงและเตียงเดี่ยวอีกหนึ่งเตียง ทำให้เจนยึดเตียงเดี่ยวไปเป็นของเธอโดยบริยายและให้เพื่อนหนุ่มทั้งสองนอนเตียงใหญ่ไป



หลังจากนำสัมภาระไปเก็บไว้บนห้องแล้วเจนก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นจึงชวนเพื่อนทั้งสองคนออกไปเดินเล่นในเมือง



เมืองนี้แบ่งแยกเป็นสามส่วน ส่วนแรกก็คือท่าเรือซึ่งส่วนนี้จะมีคนเดินพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากที่นี่จะมีเรือโดยสารเข้าออกอยู่ตลอดแล้วยังมีเรือประมงทั้งของผู้เล่นและชาวเมืองที่กลับมาจากการทำประมงในทะเลจะนำปลามาคัดแยกขายกันสดๆที่นี่อีกด้วย ดังนั้นจึงมีผู้เล่นมากมายที่สนใจปลาสายพันธุ์แปลก ๆที่มีเฉพาะในเกมนี้และชาวเมืองที่อยากจะซื้อเพื่อไปทำอาหารซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมือง



ส่วนถัดมาคือส่วนธุรกิจที่มีคนเดินไม่ต่างจากส่วนแรก ประกอบด้วยร้านค้าต่าง ๆ มากมายหลายรูปแบบตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายอาวุธ เสื้อผ้าหรือเครื่องป้องกัน ร้านขายของเวทมนตร์ที่โจนั้นให้ความรู้สึกสนใจมากแต่เข้าไปในตอนนี้ก็ยังไม่มีประโยชน์เพราะยังไม่ได้รับอาชีพสายเวทมนตร์ ร้านขายเครื่องประดับที่เจนไม่คิดจะเฉียดเข้าไปใกล้แต่ร้านค้าประเภทนี้ได้รับความนิยมจากสาว ๆ มากมายจนแน่นขนัด ร้านอาหารที่มีอยู่ตั้งแต่ระดับร้านอาหารข้างทางทั่วไปจนไปถึงร้านระดับห้าดาวที่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้ากันเป็นเดือน ๆ บางร้านผู้เล่นหรือชาวเมืองทั่วไปยังไม่สามารถเข้าไปได้เลยด้วยซ้ำ และร้านค้าแผงลอยที่เปิดโดยผู้เล่นและชาวเมืองก็มีอยู่ไปทั่วเช่นกัน ที่ขาดไม่ได้ก็คืออาคารระบบกับโรงแรมก็ตั้งอยู่ในส่วนนี้ สุดท้ายก็คือส่วนที่อยู่อาศัยของชาวเมืองรวมถึงจวนว่าการของเจ้าเมืองแห่งนี้อีกด้วย



"ไอ้ปราสาทใหญ่ๆที่ตั้งอยู่ตรงนั้นมันคืออะไรหรือ โจ" เจนถามและชี้ไปยังป้อมปราการที่ตั้งถัดออกไปจากท่าเรือโดยแยกเป็นอีกส่วนหนึ่งแต่ดูแล้วก็น่าจะยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้



"นั่นก็คือปราการของกิลด์ที่ครอบครองเมืองนี้อยู่ไงล่ะ"



"ปราการ? กิลด์?" เจนถามเสียงสูงแสดงให้เห็นว่าเธอสงสัยมากเพียงไหน แจ็คหันหน้ามามองเจนอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตนนัก



"เอาจริงเรอะ... นี่เธออยู่กับพวกเรามานานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ว่าปราการที่เอาไว้ให้กิลด์ครอบครองมีไว้เพื่ออะไรอีกหรือเนี่ย" แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างผิดหวัง



"ฟังนะ ในแต่ละเมือง โดยเฉพาะเมืองใหญ่ ๆ นะ จะมีปราการที่เป็นเหมือนอย่างที่เธอเห็นนี่แหละ ปราการไหนที่กิลด์ตีได้ก็จะได้รับปราการเป็นที่กำการของกิลด์ นอกจากนั้นภายในปราการยังมีขุมทรัพย์มหาศาลและยังได้สิทธิ์ในการลงดันเจี้ยนลับของเมืองอีกด้วย แน่นอนว่าเข้าได้เฉพาะสมาชิกกิลด์เท่านั้น แต่นี่ยังไม่รวมถึงการได้กำไรเป็นจำนวนห้าเปอร์เซ็นต์ของรายได้จากทั้งเมืองอีกด้วยนะ"



"ยังมีอีก ว่ากันว่าในแต่ละปราการจะมีความลับบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่ บ้างก็เป็นอาวุธ บ้างก็ว่าเป็นพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ บ้างก็ว่าเป็นมอนสเตอร์บอส ระดับเทพเจ้าที่หลับใหลอยู่ในปราการ" โจเสริม



"แล้วตอนนี้ใครครองปราการนี้อยู่ล่ะ"



"กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ครอบครองปราการของเมืองซีโปอยู่ กิลด์นี้เป็นถึงกิลด์อันดับสองของเกมเลยเชียวล่ะ และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่เดียวที่ปราการนี้ครอบครอง" แจ็คเป็นคนตอบ แต่ชื่อของกิลด์นี้กลับทำให้เจนรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก พาลไปนึกหน้าของคนที่ไม่ยากจะนึกถึงเข้าอีกด้วย



"อ๋อ...กิลด์ของไอ้คนขี้เก๊กนั่นน่ะเอง" เด็กสาวพูดพึมพำแต่ก็ยังดังพอที่เพื่อนสองคนได้ยิน



"หืม นี่เธอเคยเจอคนจากกิลด์นี้มาแล้วงั้นหรอ" แจ็คถาม



"ช่างเถอะ พวกนายไม่ต้องรู้นั่นแหละดีแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า" รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินนำไปทันที ปล่อยให้เพื่อนหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างงง ๆแล้วรีบตามไป



พวกเจนทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารระดับสามดาวแห่งหนึ่ง ตอนนี้ทั้งสามคนมีเงินรวมกันแล้วได้ประมาณ 30,000 โกลด์ โดยมีเงินของเจนอยู่ในนั้น 9,000 โกลด์ จากขายของที่ได้มาจากตอนไปเก็บระดับบนภูเขามา เงินอีกส่วนเป็นของแจ็คกับโจที่เหลือจากเสื้อผ้าของทั้งคู่ซึ่งนั่นหมายความว่าเงินที่ทั้งสองได้มานั้นมีอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว



เจนสั่งอาหารทะเลซึ่งเป็นอาหารจานเด็ดของเมืองนี้ แต่ราคาของมันกวนใจของเธอไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน ขนาดร้านอาหารสามดาวยังมีราคาสูงถึงจานละ 1,000 โกลด์ เจนไม่อยากจะไปนึกถึงเลยว่าถ้าเป็นร้านอาหารระดับห้าดาวจะมีราคาขนาดไหน(มีเสียงกระซิบมาจากโจว่าแค่ซุปก้นจานก็ราคาเป็นหมื่นแล้วสำหรับร้านอาหารห้าดาว)



เจนลองลิ้มรสชาติของอาหารทะเลดูและพบว่ามันสดมากๆ ความอร่อยของกุ้งที่กัดลงไปดังกรุบกรุบในปากทำเอาให้เธออดใจสั่งจานที่สองต่อไม่ได้ เช่นเดียวกันกับโจและแจ็คที่ตอนนี้ล่อไปจานที่สี่แล้ว



หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จซึ่งทำเอาทั้งสามกระเป๋าแห้ง พวกเจนตรงกลับไปยังโรงแรมทันทีเพราะกลัวว่าจะห้ามใจตัวเองแวะซื้ออะไรอีกจนไม่มีเงินจ่ายค่าที่พัก



พอกลับมาถึงที่พักซึ่งห้องของพวกเธอมีการตกแต่งได้ดูหรูหราสมราคา ห้องสีฟ้าโทนเขียวทำให้ดูสบายตามาก หลังจากสลับกันอาบน้ำเสร็จเจนก็ไปกระโดดลงบนเตียงของพวกโจเพื่อคุยเล่นกันก่อนนอน แจ็คนั่งเอาหลังพิงเตียงอยู่ในขณะที่โจกำลังดูกระดานข่าวบนเก้าอี้ใกล้ ๆ ส่วนเตียงของเจนนั้นอยู่อีกด้านของห้องด้วยเหตุผลส่วนตัว



"เอาล่ะฉันถามไอ้หนูมาแล้ว เสาเวทมนตร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดของเมืองนี้อยู่ไม่ค่อยไกลเท่าไหร่ หมอนั่นส่งตำแหน่งแถมมาในแผนที่ด้วย แบบนี้ฉันก็คงได้อาชีพจอมเวทไม่เกินวันพรุ่งนี้แน่" โจพูดในขณะที่มือของเขากำลังกดดูข่าวบนหน้าจอแสงตรงหน้า



"ของฉันอาชีพมือปืนต้องไปเปลี่ยนที่ทวีปไลเทเซีย ที่ทวีปนี้ไม่มีแหล่งขายปืนแบบที่ฉันต้องการเลย แต่เดี๋ยวจะไปลองดูในตลาดเผื่อว่ามีพ่อค้าเอามาขายในเมือง" แจ็คบอกแล้วหันไปหาเจนที่กระโดดอยู่บนเตียงกับคิทซึเนะ "แล้วเธอล่ะเจน คิดเอาไว้หรือยังว่าจะเล่นเป็นอาชีพอะไร"



เจนหยุดกระโดดบนเตียงของทั้งคู่แล้วนอนหันหน้ามามองพลางครุ่นคิดตอบคำถาม



"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ยังไม่ได้นึกเหมือนกัน ว่าแต่เมืองนี้จะเปลี่ยนอาชีพอะไรได้บ้างล่ะ" เจนถาม โจได้ยินเพื่อนเอ่ยก็หันไปเปิดกระดานข่าวสารทันที



"อาชีพที่เปลี่ยนได้ทุกที่อย่างพวกพ่อค้า นักบวช แต่อย่างเธอคงไม่ค่อยสนใจ"



"ผ่าน ไม่สน" เสียงของเจนพูดเสริม



"ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ตัดอาชีพสายเวทมนตร์ออก ก็คงจะเป็นชาวประมง"



"อ่าอ่ะ"



"ไม่ งั้นก็ลองช่างตีเหล็ก"



"ผ่าน"



"งั้นลองดูทหารพิทักษ์เมือง"



"ไม่เอา"



"ไม่สนงั้นก็ต่อไป..." โจพูดเสนออาชีพที่พอจะเปลี่ยนได้ในเมืองนี้มาหลายสิบอาชีพ แต่ทุกอาชีพนั้นไม่เข้าตาเจนเลยแม้แค่น้อย



"เฮ้อ นี่ฉันไล่อาชีพที่จะเปลี่ยนได้แถวนี้เกือบจะหมดแล้วนะ อืม... ฉันว่าอาชีพนี้เธอต้องชอบแน่ นักดาบ เป็นไง จะลองดูมั้ย?" โจเสนอแต่เพื่อนสาวกลับให้คำตอบที่น่าแปลกใจ



"ไม่เอา ไม่สนใจ"



"อ้าว เธอใช้ดาบเป็นอาวุธไม่ใช้หรือ?" แจ็คหันหน้าไปถาม



"นั่นก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้อยากเป็นนักดาบซักกะหน่อย" เจนตอบแล้วกลิ้งตัวไปบนเตียงพร้อมกับคิทซึนะอย่างเพลิดเพลิน



"ถ้าอย่างนั้นลองผู้ฝึกอสูรดูเป็นไง อย่างตอนนี้เธอก็มีจิ้งจอกนั่นแล้วด้วย ไปลงทะเบียนเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่สมาคมในเมืองก็ได้แล้ว" แจ็คเสนอ



"ไม่เอาหรอก อาชีพนั้นไม่ได้ใช้ดาบเป็นอาวุธหลักนะ" เจนว่าทำให้แจ็คต้องเปิดกระดานข่าวสารไปอ่านดูรายระเอียดของอาชีพดูบ้าง



"ถ้าอย่างนั้นนี่ก็อาชีพสุดท้ายแล้วล่ะ โจรสลัด ฟังดูเป็นไง" คราวนี้โจเป็นคนเสนอความคิด เจนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เธอลองจินตนาการภาพตัวเองให้เป็นโจรสลัดสุดเท่ห์กำลังล่องเรือไปบนท้องทะเลอันกว้างใหญ่ แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวของเธอในทันที



"เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเป็นจะเปลี่ยนอาชีพเป็นโจรสลัด ทักษะส่วนใหญ่ก็ใช้ได้แค่ในทะเลสิ ไม่เอาดีกว่า"



"ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะเสนออะไรดีแล้วล่ะเจน" โจว่าแล้วปิดหน้าต่างแสงลง



"ทางนี้ก็เหมือนกัน หมดไอเดียแล้ว" แจ็คเสริมแล้วตะเกียกตะกายขึ้นไปนอนบนเตียงกับเจนโดยมีคิทซึเนะนอนแทรกกลาง



"ช่างเถอะ เล่นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวฉันก็หาอะไรถูกใจได้เองนั่นแหละ ขอบใจพวกนายมากนะ" เจนบอกและทุบไหล่ของแจ็คเบา ๆก่อนที่ลุกกระโดดลงจากเตียง



"คืนนี้ฉันไปนอนก่อนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์นะ"



"ฝันดีเจน" โจตอบ



"ฝันดีเหมือนกัน" แจ็คว่า เจนโบกมือลาแล้วตรงไปยังเตียงของเธอ หัวถึงหมอนเพียงครู่เดียวเจนก็รู้สึกว่าเปลือกตาของเธอนั้นหนักอึ้งและหลับไปในเวลาไม่นาน







เจนตื่นเช้ามาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่นเต็มที่ เธอตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนเพื่อนสองคนที่เธอมั่นใจว่าตอนนี้คงยังไม่ตื่นอย่างแน่นอน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเจนก็มุ่งไปยังเตียงของทั้งคู่และเธอก็ต้องแปลกใจเพราะทั้งคู่ตื่นแล้วและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย



"ฉันแปลกใจนะเนี่ยที่เห็นพวกนายตื่นเช้ากันแบบนี้" เจนมองพวกโจกำลังทานอาหารเช้าที่ดูเหมือนพวกเขาจะยกขึ้นมาจากโรงอาหารของโรมแรมมากินบนห้อง เจนหยิบมันฝรั่งทอดที่วางอบู่บนเก้าอี้ข้างเตียงมากินชิ้นหนึ่งแล้วนั่งลงบนเตียง



"พวกเราต้องปรับตัวให้เข้ากับเกมน่ะรู้มั้ย ยิ่งตื่นสายเท่าไหร่เราก็มีเวลาในแต่ละวันน้อยลงเท่านั้น อย่างที่เขาพูดกันว่าตื่นเช้าเป็นกำไรของชีวิตไง" โจพูดอย่างภูมิใจในตัวเอง



"ว้าว ฉันละทึ่งจริง ๆ ว่าคำนี้ออกมาจากปากนายได้"



"เอาเป็นว่าพวกเรารีบกินข้าวเช้ากันดีกว่า แล้วเจน ฉันยกของเธอมาให้แล้วอยู่บนโต๊ะโน้น หยุดกินมันฝรั่งของฉันซักที" แจ็คว่าแล้วยกข้าวเช้าของตัวเองหนีก่อนที่จะถูกกินจนหมด







หลังจากเช็คเอาท์โรงแรมเรียบร้อยแล้วพวกเจนก็ไปจัดการซื้อเสบียงมาเติมให้พอกับการเดินทางระยะไกล ทั้งสามวางแผนที่จะไปเปลี่ยนอาชีพให้กับโจก่อนโดยสถานที่เปลี่ยนอาชีพของโจที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ในสุสานผีดิบซึ่งเป็นแหล่งเก็บเลเวลที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมอนสเตอร์ที่สุสานนั้นเคลื่อนที่ค่อนข้างช้าและแพ้ธาตุไฟกับธาตุแสงอย่างมากแต่ก็มีความอึดตายยากมากเช่นกัน



พวกเจนออกเดินทางในตอนสาย ระหว่างทางพวกเธอไม่ค่อยเหงานักเพราะมีผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่มีจุดหมายเดียวกันชวนคุยอยู่ตลอดเวลา เหมาะสำหรับเจนที่ต้องการทดสอบทักษะในการปลอมตัว(?)ของตัวเองว่าจะมีใครดูออกว่าเป็นผู้หญิงหรือเปล่า เธอชวนคนอื่นคุยกันจนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว



"พี่เจนได้คิทซึเนะมาตอนอยู่เกาะเริ่มต้นหรือคะ ฮิฮิ น่ารักจังเลย" สาวน้อยคนหนึ่งที่คุยกับเจนจนสนิทสนมเอ่ยถามและก้มลงไปเล่นกับคิทซึเนะซึ่งจิ้งจอกน้อยที่ยอมเล่นด้วยอย่างว่าง่าย



เธอมีชื่อว่าซินจู เธอมีทรงผมทวินเทลสีชมพูอ่อนและหน้าตาน่ารักเหมือนกับเด็ก ๆ เหมาะกับรูปร่างเล็กของเธอ ซินจูเป็นผู้เล่นจากประเทศจีนซึ่งเพิ่งมาถึงทวีปหลักเช่นเดียวกับพวกเจน เธอใช้อาวุธหลักเป็นไม้เท้าเวทที่มีขนาดใหญ่กว่าคทาเวทที่โจเคยใช้แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ต่างอะไรมากนัก เธอสวมชุดนักเวทแสงสีชมพูบ่งบอกว่าเธอต้องการจะเล่นสายซัพพอร์ทอย่างเห็นได้ชัด



"อื้ม พี่ช่วยคิทซึเนะมาจากในป่าเลยได้เป็นสัตว์เลี้ยงน่ะ" เจนตอบตามความจริงเพียงครึ่งเดียว เธอตัดสินใจไม่บอกเรื่องที่เธอเจอมาเอะเอาไว้ก่อน



"ดีจังเลยอ่ะเจน มีทั้งคิทซึเนะที่น่ารักเป็นสัตว์เลี้ยงแถมยังหน้าตาดีด้วย แบบนี้ตอนเข้าไปในเมืองคงโดนสาว ๆ ตามติดแจเลยสิ" หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น เธอมีชื่อว่าไมโกะ เป็นผู้เล่นอีกคนในกลุ่มของซินจูแต่มาจากประเทศญี่ปุ่น เธอมีผมสีดำขลับยาวจนถึงกลางหลังเข้ากับใบหน้าคมดูมีความมั่นใจในตัวเองสูง และรูปร่างสูงโปร่งราวกับนางแบบของเธอทำให้ใครต่อใครมองตามเธออย่างไม่ละสายตา ไมโกะอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลมีเกราะอกป้องกันเอาไว้ ส่วนช่วงล่างเธอใส่กางเกงขาสั้นสีดำทำให้เหมาะในการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ซึ่งเหมาะกับเธอที่ใช้มีดคู่เป็นอาวุธหลักมาก



เจนที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ตอบอะไรเพราะนี่เป็นการย้ำว่าเธอปลอมตัวเป็นผู้ชายได้สำเร็จแล้วแต่นั่นกลับทำให้ตอนนี้ดูมีบุคลิกที่น่าหลงใหลเข้าไปอีกจนทั้งซินจูและไมโกะแอบหน้าแดงเล็กน้อย ขนาดผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเจนก็ยังต้องมองตามเลยทีเดียว



อีกด้านหนึ่งพวกโจก็กำลังคุยกับเสือซ่อนลายและยูสตาร์ซึ่งเป็นผู้เล่นจากประเทศเกาหลีและมาพร้อมกับพวกซินจู โดยเสือซ่อนลายนั้นมีรูปร่างใหญ่แต่ดูปราดเปรียว เขาสวมชุดเกราะสีขาวที่มีขายอยู่ตามร้านทั่วไปและมีดาบกับโล่เป็นอาวุธซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นพวกสายรับการโจมตี ส่วนยูสตาร์นั้นเป็นหนุ่มสวมแว่นตารูปร่างผอมพอประมาณและมีความสูงพอ ๆกับเสือซ่อนลาย เขามีธนูยาวเป็นอาวุธหลักเหมาะกับชุดผ้าสีเขียวที่เขาสวมอยู่มากทีเดียว



บังเอิญทั้งสองคนนั้นรู้จักกับโจผ่านวีดีโอบล็อกที่โจอัดเอาไว้ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ติดตาม เมื่อทั้งคู่เห็นหน้าโจก็จำได้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือใคร



"ผมนี่โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอพวกคุณในเกมแบบนี้ ตอนแรกที่คุณโพสข้อความขึ้นไปบนบล็อกผมก็รีบชวนเพื่อน ๆ มาเล่นเกมนี้ทันทีเลย น่าเสียดายเพื่อนในกลุ่มของผมว่างแค่ยูสตาร์คนเดียว ถ้าไม่อย่างนั้นคงได้ไปเก็บระดับพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยแท้ ๆ เชียว" เสือซ่อนลายบอก น้ำเสียงของเขาดูเกรงใจโจอยู่ไม่น้อย



"จะมาเรียกคงเรียกคุณอะไรกัน พวกเราไหน ๆ ก็มาเป็นเพื่อนกันแล้วแค่เรียกชื่อกันก็พอแล้ว นายเรียกฉันว่าโจ ส่วนฉันก็จะเรียกนายแค่เสือกับยู จะได้สนิท ๆ กันไว ๆ ไง" โจพูดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเป็นมิตร ทำให้ทั้งคู่รู้สึกโล่งใจมากเลยทีเดียว



"อ่าดีเหมือนกัน เพราะถ้าให้เรียกเด็กที่อายุน้อยกว่าว่าคุณมันก็รู้สึกแปลก ๆ เนอะว่ามั้ย ฮ่าฮ่า" ยูสตาร์พูดติดตลกทำให้การสนทนาของทั้งสี่มีแต่เสียงหัวเราะดังไม่หยุด



หลังจากทั้งเจ็ดคนทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าร่วมกลุ่มกันทันทีโดยมีโจเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทุกคนก็รีบมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายหรือก็คือสุสานผีดิบโดยตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากพาโจและซินจูไปเปลี่ยนอาชีพได้แล้วจะเข้าไปเก็บระดับต่อเลย



เมื่อมาถึงสุสานผีดิบพวกเจนก็พบว่าที่นี่นั้นเป็นสุสานที่เป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงแบบตะวันออก ทางเข้าสุสานเป็นเสาไม้ดูคล้ายของประเทศจีนหรือญี่ปุ่นทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว หากไม่ใช้ว่าที่แห่งนี้มีคนอยู่มากกว่าจำนวนมอนสเตอร์ผีดิบที่กระโดดไปมาอยู่ด้านใน



ทางเข้าของดันเจี้ยนแห่งนี่นั้นมีบรรยากาศคล้ายกับตลาดนัดที่มีพ่อค้าแม่ขายตั้งร้านแผงลอยขายของอยู่เป็นจำนวนมาก ของที่นำมาขายก็มีตั้งแต่น้ำยาเพิ่มพลังชีวิตจนไปถึงอาวุธหรือแม้กระทั้งพ่อครัวมาเปิดร้านอาหารใกล้ให้คนมากินกันก็ยังมี และแน่นอนก็มีคนเปิดโรงแรมให้นอนแต่ก็เป็นเพียงแค่เต็นท์ขนาดใหญ่ที่ด้านในมีฟูกเท่านั้นเอง



พอเข้ามาด้านในก็ยังไม่วายมีผู้เล่นหลายกลุ่มกำลังป่าวประกาศหาคนเข้าร่วมกลุ่ม บ้างก็ติดป้ายหาอาชีพที่มีคุณสมบัติตามกลุ่มที่ตนต้องการอยู่ไปทั่ว จากดันเจี้ยนที่ควรจะให้บรรยากาศสยองขวัญในตอนนี้กลับไร้กลิ่นอายนั้นไปซะสิ้น



"ฉันว่าพวกเรารีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ฉันว่ายิ่งเสียบรรยากาศ" ไมโกะว่า พวกผู้ชายทั้งหลายต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย มีเพียงซินจูคนเดียวเท่านั้นที่ยังรู้สึกกลัวได้ ขนาดเจนที่ไม่ค่อยถูกโรคกับพวกหนังผีนักยังรู้สงสารผีดิบพวกนี้เลยด้วยซ้ำ



หลังจากเจนเดินผ่านกลุ่มคนที่พยายามดึงสาว ๆ เข้าปาร์ตี้ของตนโดยที่ไม่มีใครมายุ่งกับเธอเลย(ซึ่งเจนก็รู้สึกพอใจไม่น้อย) เจนก็พบกับผีดิบตัวแรกซึ่งกระโดดพุ่งโจมตีใส่เสือซ่อนลายที่เดินนำขบวนเป็นคนแรก



เสือซ่อนลายเองก็ถือว่าเป็นคนที่เก่งพอตัว เขายกโล่กันมือของผีดิบที่ฟาดเข้ามา เสียงกระทบของมือคนตายประทะกับโล่เหล็กดังลั่น ดูท่าทางพลังโจมตีของมันจะไม่ใช่น้อย ๆ เพราะมันทำให้โล่ของเสือซ่อนลายถึงกับบุบในการโจมตีเพียงครั้งเดียว สีหน้าของเสือตอนนี้ก็รู้สึกประหลาดใจกับเรี่ยวแรงมหาศาลของมัน



ทหารผีดิบ

ชั้นทหาร ระดับ 58

ศพของทหารสมัยโบราณถูกนำมาฝังไว้ยังสุสานแห่งนี้ วิญญาณเหล่านี้ลุกขึ้นมาจากหลุมเพราะห่วงที่ยังมีอยู่ในโลกและไม่อาจกลับไปยังโลกหลังความตายได้

พลังป้องกันธาตุความมืดและดินสูง แพ้ธาตุไฟและแสงสว่าง



เจนรีบตรวจสอบจึงรู้ได้ว่าตรงหน้าที่คือทหารผีดิบ ก่อนหน้านี้เธอสั่งให้คิทซึเนะคอยช่วยปกป้องซินจูเอาไว้ถ้าไม่อย่างนั้นผีดิบในสุสานแห่งนี้คงมีชะตาไม่ต่างจากเหล่าเสือสมิงบนเกาะเริ่มต้นอย่างแน่นอน เจนชักดาบของเธอออกมาแล้วพุ่งเข้าฟันทหารผีดิบทันที



ดาบตัดมือของผีดิบขาดออกจากร่างในชุดเกราะ แต่สีหน้าของมันกลับไม่ได้รู้สึกรู้สากับแขนข้างนั้นเลยแม้แต่น้อย มันหันไปหาเจนผู้ซึ่งทำร้ายมันและฟาดมือเข้าใส่ เจนโยกตัวหลบพร้อมทั้งโจมตีสวนกลับไปจนมีแผลเหวอะหวะดูขยะแขยงแต่น่าทึ่งที่มันกลับไม่ล้มลง



"อะไรเนี่ย เจ้านี่เป็นอมตะหรือยังไงกัน" เจนถอยออกมาดูเชิงเพราะถ้าหากเธอสู้ต่อไปเธออาจจะเสียท่าได้



"เจ้านี่พลังชีวิตสูงมาก ทำให้เกิดแผลแค่นั้นฆ่าไม่ได้หรอก มันต้องอย่างนี้" ไมโกะพูดแล้วโยนระเบิดเพลิงใส่ ลูกไฟระเบิดใส่ทหารผีดิบเข้าเต็ม ๆ ร่างของมันเผาไหม้อย่างรวดเร็วแต่ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้นมันก็ยังสามารถเดินเข้ามาหาพวกเจนได้อยู่ จนในที่สุดร่างของมันก็ล้มลงและกลายเป็นแสงหายไป ทิ้งกองกระดูกเอาไว้บนพื้นพร้อมกับเศษผ้านิดหน่อยเท่านั้น



"โหย ไอ้ตัวผีดิบแบบอึดตายยากแบบนี้ใครจะไปฆ่าได้ล่ะเนี่ย ฉันเองก็โจมตีพวกธาตุไม่ได้ซะด้วยสิ" แจ็คโวยวาย



"ทางนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะอย่างนั้นพวกเราถึงต้องรีบไปเปลี่ยนอาชีพให้ซินจูเร็ว ๆ ไง เธอจะได้มีเวทสายแสงสว่างที่ช่วยพวกเราได้ เห็นว่าโจเองก็มีคัมภีร์เวทอยู่เหมือนกันนี่ เวทสายไหนหรือ" ยูสตาร์ถาม



"ไม่รู้เหมือนกัน ฉันได้มาเพราะมีคนมอบให้อ่ะนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเวทมนตร์อะไร หวังว่าคงจะถูกใจฉันล่ะนะ" โจบอกตามความจริงเพราะตอนที่ได้มาจากหมิงเต๋อเขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่านี่คือเวทมนตร์อะไร แค่รู้ว่าเป็นม้วนคัมภีร์เวทระดับ S ก็ดีใจมากแล้ว



เมื่อได้รู้ว่าอยู่แถวนี้พวกตนยังทำอะไรไม่ได้มากจึงเร่งเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายให้ถึงโดยไว แถวนี้ถึงจะเป็นบริเวณที่ตั้งของสุสานแต่ก็ยังมีคนมาสู้อยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีทหารผีดิบไม่กี่ตัวที่มาถึงมือพวกเจน ตัวที่หลุดมาก็จะเป็นหน้าที่ของไมโกะที่จะใช้ระเบิดเพลิงจัดการพร้อมกับเพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะ โดยมีปืนของแจ็คและธนูของยูสตาร์คอยสนับสนุน



เพลิงจิ้งจอกนั้นสามารถจัดการพวกผีดิบได้อย่างเห็นผลยิ่งกว่าระเบิดเพลิงของไมโกะเสียอีก เพียงแค่ไม่ถึงนาทีเพลิงสีน้ำเงินของคิทซึเนะก็เผาพลาญร่างของผีดิบนับสิบไปได้โดยไม่ทันให้ใครได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย



"โอ้ สัตว์เลี้ยงของเธอนี่สุดยอดจริงๆเลย เจน ถ้าแบบนี้พวกเราก็คงไม่ต้องกังวลเท่าไหร่แล้วล่ะ ถ้าหากเราพลาดเมื่อไหร่ล่ะก็ ให้คิทซึเนะมาช่วยก็รอดแล้ว" เสือซ่อนลายกล่าว



"ให้คิทซึเนะรับหน้าที่จัดการพวกผีดิบไปไม่ดีกว่าหรือคะ พี่เสือ" ซินจูถาม เธอยังคงเกาะหลังเจนแน่น



"ไม่ได้นะน้องซิน ถ้าทำแบบนั้นพวกเราก็ไม่ได้ฝึกฝีมือกันพอดี การมาครั้งนี้ของพวกเราก็ไม่มีความหมายน่ะสิ ถึงจะทำอะไรไม่ได้มากก็อย่าอู้นะ” เสือซ่อนลายพูดแล้วหันกลับไปหาพวกโจ



“พวกแจ็คกับยูสตาร์แล้วก็ว่าที่นักเวทคอยโจมตีระยะไกล ไมโกะ เธอคอยคุ้มกันพวกนั้นเอาไว้ดี ๆ นะ ถ้ามีตัวไหนหลุดรอดก็ใช้ระเบิดเพลิงจัดการไปเลย"



"เข้าใจแล้ว ไว้ใจได้เลย" หญิงสาวตอบพลางโยนระเบิดในมือเล่น



"ส่วนเจนกับฉันจะพยายามจัดการผีดิบให้มากที่สุด ให้คิทซึเนะจัดการผีดิบที่เข้ามามากเกินไปก็พอนะ ซักสองสามตัวฉันว่าเราสองคนคงยังน่าจะพอสู้ไหวอยู่" เสือซ่อนลายเสริม เจนพยักหน้าเข้าใจแล้วไปถ่ายทอดคำสั่งแก่คิทซึเนะ



ทั้งเจ็ดคนค่อย ๆ มุ่งหน้าสู่สุสานชั้นในไปเรื่อย ๆ ด้วยการวางแผนการโจมตีอย่างดีทำให้พวกเจนแทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ถึงจะเข้ามาลึกขึ้นและมีผีดิบจำนวนเยอะขึ้นแต่ก็ไม่มีตัวไหนที่หลุดรอดเพลิงจิ้งจอกไปได้ คิทซึเนะเพียงปล่อยผีดิบไปหาเจนกับเสือซ่อนลายทีละสองตัวตามคำสั่ง จากนั้นมันก็ไปช่วยพวกซินจูที่คอยป้องกันตัวเองอยู่ไม่ไกล



ทว่าเมื่อทุกคนเดินทางเข้ามาจนถึงบ้านทรงจีนหลังใหญ่ที่น่าจะเป็นทางเข้าในสู่ดันเจี้ยนสุสานขุนนาง และยังเป็นสถานที่ที่มีเสาเวทมนตร์ซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถเปลี่ยนอาชีพของนักเวททั้งหลาย แต่ที่ผิดปกติคือแถวนี้มีคนหลายกลุ่มมาตั้งเต็นท์อยู่บริเวณทางเข้า แถมพวกนั้นยังมองหน้าคนที่มาเก็บระดับแถวนี้ตาขวางจนหลายคนไม่กล้าเข้าไปใกล้เลย



"อะไรกันไอ้พวกนี้ ทำอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของดันเจี้ยนอย่างนั้นแหละ" ไมโกะพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนักเพราะเธอเห็นผู้เล่นชายหญิงคู่หนึ่งจะเดินเข้าไปแต่กลับถูกผู้เล่นพวกนั้นไล่กลับมาโดยไม่ที่สามารถทำอะไรได้



"เกมนี้ทำแบบนี้กันได้ด้วยงั้นหรือ" เจนหันไปถามโจและเขาก็ยักไหล่ให้เป็นคำตอบ



"ในเกมนี้ใครจะทำอะไรก็ได้ ถึงภายในเมืองจะมีพวกทหารประจำเมืองกับGm คอยดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ก็เถอะ แต่ก็ยังมีบางครั้งที่มีคนถูกปล้นหรือขโมยของ การลอบฆ่าในเมืองก็ยังมีให้เห็นอยู่เลย ยิ่งออกมานอกเมืองแบบนี้ไม่มีใครคอยมาคุมเพราะไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น พวกนั้นมีคนเยอะมากมันถึงได้ไม่กลัวไงว่าจะมีใครมาหาเรื่อง แต่ดูท่าทางที่พวกนี้มาพักอยู่ในเขตมอนสเตอร์ชุมขนาดนี้ได้ หมายความว่าพวกนี้ก็มีฝีมืออยู่เหมือนกัน" โจอธิบาย ถึงเขาจะไม่พอใจเช่นเดียวกันแต่เขาทำอะไรไม่ได้



"แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ ถ้าขืนเป็นแบบนี้พวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนอาชีพกันพอดีสิคะ คนอื่น ๆ เองก็พลอยลำบากไปด้วยแบบนี้แย่จริง ๆ เลย" ซินจูพูดอย่างไม่พอใจ



เจนเองก็อยากจะเข้าไปจัดการคนพวกนี้จะแย่ แต่ในนี่คือเกมที่เธอไม่อาจประมาทคนอื่น ๆ ได้เพราะทุกคนสามารถเก่งได้เหมือนกันหมด ถ้าหากทะเล่อทะล่าเข้าไปนั่นอาจจะหมายถึงความตายของเธอก็ได้ และบางอย่างบอกเธอว่านั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดด้วย



จบตอนที่ 11 พานพบ



--------------------

Tohan-kun
4th January 2014, 12:42
ตอนที่ 12 ปริศนา



ในเวลานี้พวกเจนตัดสินใจเก็บระดับกันอยู่บริเวณทางเข้ากันก่อนแล้วค่อยหาทางเข้าไปในดันเจี้ยนทีหลัง เสือซ่อนลายนำพวกเธอไปยังจุดหนึ่งที่สามารถสังเกตการณ์กลุ่มคนที่อยู่หน้าทางเข้าดันเจี้ยนได้อย่างชัดเจน พวกเจนได้ฝึกฝีมือและเก็บระดับกับทหารผีดิบจำนวนมากแต่เนื่องจากความห่างของระดับมีไม่ต่างกันนักและเจนยังแบ่งค่าประสบการณ์ให้คิทซึเนะครึ่งหนึ่งจึงทำให้ระดับเพิ่มขึ้นมาไม่มาก ในขณะที่คนอื่น ๆ มีเลเวลไปถึง 55 แล้ว แต่เจนเพิ่งมีระดับเพียงแค่ 51 และคิทซึเนะก็ขึ้นมาถึงระดับ 49 เท่านั้นเอง อย่างน้อยตอนนี้ทักษะการใช้ดาบขั้นต้นก็เพิ่มขึ้นเป็นระดับ 65 และเปลี่ยนชื่อเป็นทักษะการใช้ดาบขั้นสูงซึ่งช่วยเพิ่มพลังโจมตีของดาบได้มากกว่าเดิม



เวลาผ่านไปได้พักหนึ่งเริ่มมีคนเข้ามามากขึ้นแต่เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้เป็นผู้เล่นหน้าใหม่เช่นเดียวกับพวกเจนและต้องการจะเข้าไปเก็บระดับด้านในสุสานขุนนาง แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีผู้เล่นกลุ่มนี้คอยเฝ้าทางเข้าอยู่ ต่างจากผู้เล่นหน้าเก่าที่จะอยู่บริเวณอื่นกันมากกว่าเพราะรู้ว่าไม่สามารถเข้าไปได้ ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้เล่นหน้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และตัดสินใจจะรออยู่ในบริเวณนี้เช่นเดียวกับพวกเจน



"เฮ้ ทุกคนฟังนี่นะ ฉันติดต่อกับเจ้าหนูส่งข่าวที่รู้จักกันตอนอยู่เมืองเริ่มต้น...คนที่ให้ข่าวเรื่องเสาเวทมนตร์ที่นี่ไง เจ้านั่นบอกมาว่าพวกนี้เป็นนักเล่นเกมอาชีพที่คอยเฝ้าดันเจี้ยนที่เป็นแหล่งเก็บระดับดีๆอย่างที่นี่เอาไว้ให้แต่พวกตัวเองและไม่ปล่อยให้ผู้เล่นอื่นเข้าไปเลย แถมไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เดียวนะ คนพวกนี้มีอยู่ทุกทวีปเลยล่ะ ถึงจะตรวจสอบแล้วว่าพวกนี้เป็นผู้เล่นไร้สังกัด แต่ไอ้หนูบอกใคร ๆ ก็รู้ว่าไอ้พวกนี้มันอยู่ในสังกัดของกิลด์พิฆาตราชา พอจำพวกนั้นได้มั้ย เจน" โจหันไปหาเพื่อนสาวแล้วจึงถาม



เจนพยักหน้าเบา ๆ พร้อมสังเกตพวกผู้เล่นอันธพาลอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้เนื่องจากมีผู้เล่นมาตั้งที่พักแบบเจนอยู่เป็นจำนวนมากทำให้พวกเธอไม่ต้องคอยกังวลเรื่องทหารผีดิบมาคอยโจมตีบ่อยนัก ถึงตอนนี้จะไม่มีใครกล้าเข้าไปหาพวกผู้เล่นอันธพาลแล้วก็ตาม แต่การที่มีผู้เล่นคนอื่นจำนวนมากมาตั้งแค้มป์กันแถวนี้ก็ทำให้พวกนั้นรู้สึกไม่ค่อยชอบใจอย่างแน่นอน



เธอเคยพบเจอพวกผู้เล่นที่มีนิสัยแบบนี้มาก่อนแถมยังพบเจอบ่อยยิ่งกว่าในโลกจริง เธอพอจะเดาออกว่าถ้าหากปล่อยเวลาผ่านเลยไปล่ะก็มีปัญหาอย่างแน่นอน และเรื่องแบบนี้เธอมักเดาถูกเสมอซะด้วย ยังไม่ทันไรเจนก็เห็นผู้เล่นสองคนมาคุยกันก่อนที่จะเดินเข้าไปหากลุ่มผู้เล่นที่กำลังสู้กับทหารผีดิบตัวหนึ่งอยู่



"เฮ้ย! อย่างมาแย่งเหยื่อของข้านะโว้ย!" ผู้เล่นอันธพาลคนหนึ่งตะโกนใส่กลุ่มผู้เล่นเหล่านั้นและฟาดดาบฟันทหารผีดิบจนตายในครั้งเดียว ร่างของมันกลายเป็นแสงปล่อยให้ของตกอยู่บนพื้นแต่ไม่มีใครกล้าเก็บ



'เอาเข้าแล้วไง' เจนคิดแล้วรีบหันไปหาเพื่อนของเธอ



"แจ็ค! เจวัน ด่วนเลย"



เจนพูดรหัสที่รู้กันเพียงแค่พวกเจนสามคนเท่านั้นที่รู้ มันเป็นรหัสที่ใช้เวลาที่พวกเธอเจอนักเลงมาหาเรื่องและให้ทั้งสองคนนั้นหลบไปให้เร็วที่สุดก่อนจะโดนลูกหลง แต่ครั้งนี้เธอหมายถึงให้พาทุกคนหลบไปและพวกโจเองก็เข้าใจดี พวกเขารีบดึงตัวพวกเสือซ่อนลายให้หลบออกไปพร้อมกัน ส่วนเจนนั้นก็รีบเข้าไปในกลุ่มคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



"อย่าได้แตะ ของ ๆ ข้าเด็ดขาดเชียวนะโว้ย! ให้มันรู้ซะบ้างว่าแถวนี้มันถิ่นใคร!" ผู้เล่นอันธพาลคนเดิมตะโกนอย่างไม่เกรงกลัว หน้าของเขาแดงอย่างผิดธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด เจนพอจะเดาได้ว่าคนๆนี้กำลังเมาอย่างแน่นอน เมื่อหันไปมองกลุ่มของพวกผู้เล่นอันธพาลและพบว่าพวกนั้นกำลังดื่มเหล้ากันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย



"โจ ในเกมนี้มีเหล้าด้วยงั้นหรือ" เจนติดต่อไปทางช่องสื่อสารกลุ่ม



"มีสิ ลืมไปแล้วหรือไงว่านโยบายของเกมนี้คืออะไร แต่อย่างน้อยเขาก็กำหนดอายุที่จะดะ..-"



"แค่นั้นก็พอแล้ว" เด็กสาวตัดบท "ทุกคนเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อว่าเกิดเรื่องขึ้นนะ"



"เข้าใจแล้วเจน ทุกคนพร้อมเรียบร้อย คิทซึเนะก็อยู่ทางนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ" เสือซ่อนลายเป็นคนตอบกลับมาทำให้เจนรู้สึกอุ่นใจว่าอย่างน้อยเพื่อน ๆ ของเธอจะปลอดภัยเพราะสิ่งที่เธอกำลังจะทำนั้นอาจจะอันตรายอยู่บ้าง



กลับไปที่ผู้เล่นอันธพาลตอนนี้หยิบของที่ตกอยู่ใส่กระเป๋าของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่สังเกตบรรยากาศรอบข้างเลยแม้แต่น้อย สายตานับสิบคู่ต่างจ้องมองมาที่ผู้เล่นอันธพาลเพียงคนเดียวด้วยความไม่พอใจแต่ไม่กล้าลงมือทำอะไรเพราะฝีมือที่เขาเพิ่งแสดงให้เห็นนั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามีระดับสูงกว่าพวกผู้เล่นใหม่แถวนี้มาก ส่วนเจนก็กำลังคิดว่าจะหาโอกาสลอบโจมตีหรือจะยุผู้เล่นคนอื่นให้รุมพวกอันธพาลพวกนี้ดีซึ่งนั่นทำให้เธอจะได้ไม่ต้องเป็นจุดสนใจมากนัก



"ไอ้พวกขี้ขลาด แค่นี้ก็ปอดแหกไม่กล้าเข้ามาซักกะคน แบบนี้เลิกเล่นเกมแล้วออกไปเล่นทำกับข้าวดีกว่ามั้งพวกแกน่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!" ผู้เล่นหนุ่มคนนั้นยังคงพูดไม่หยุด กลุ่มของเขาเองก็ไม่มีใครคิดจะสนใจอีกด้วยแถมยังร่วมหัวเราะอีกต่างหาก เจนพบคนแบบนี้มาก็มากและเธอก็มั่นใจว่าไอ้พวกดีแต่ปากแบบนี้เป็นได้แค่ลูกสมุนเท่านั้น แต่เธอก็ประมาทไม่ได้เพราะถึงแม้ตรงหน้าจะเป็นแค่ลูกน้องชั้นล่างไม่ค่อยมีฝีมือแต่ระดับเป็นตัวชี้วัดชัยชนะได้อย่างมากเลยทีเดียว



ทันใดนั้นสายตาของเจนก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในดันเจี้ยนพร้อมกับถาดที่มีขวดเหล้าวางอยู่ เธอเป็นเด็กสาวตัวเล็กมีผมสีฟ้าสั้นประบ่าดูน่ารัก โดยวัยของเธอนั้นเจนคิดว่าคงไม่เกิน 14 - 15 ปี เธอสวมชุดค่อนข้างซอมซ่อถ้าเทียบกับผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งมาถึงเกาะเริ่มต้นอย่างพวกเจน เธอสวมชุดผ้าสีดำขาด ๆ โดยไม่มีเครื่องป้องกันอื่นเลยจากที่เจนเห็น



เด็กคนนั้นนำขวดเหล้าไปส่งให้พวกนักเลงที่กำลังนั่งดื่มกันอยู่ในที่พักของตน พอเธอจะกลับเข้าไปด้านในก็ถูกนักเลงคนหนึ่งขัดขาให้ล้มลงไปบนพื้น เสียงหัวเราะดังออกมาจากกลุ่มอันธพาลดังไปทั่ว ส่วนผู้เล่นชายที่แสดงฝีมือก่อนหน้านี้ก็เข้าร่วมหัวเราะด้วยเช่นกันโดยไม่รู้สึกผิดโดยแม้แต่น้อย



"เฮ้ย! เดินภาษาอะไร ดูหน่อยสิวะ ขาคนนะเว้ยเดินสะดุดมาได้" เขาเดินเข้าไปหาเด็กสาวแล้วยกขวดเหล้าอยู่เหนือหัวของเด็กสาวและเทรดบนหัวของเธอ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนรวมทั้งเจนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้น เหล่าผู้เล่นพวกนี้ทำสิ่งผิดกฎหมายได้อย่างหน้าตาเฉย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทารุณกรรมเช่นนี้แล้วด้วย



สีหน้าของเด็กสาวแสดงถึงความเจ็บปวดออกมา เสียงสะอื้นดังออกมาพร้อมกับเสียงเล็ก ๆ พึมพำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่เสียงหัวเราะกลับดังกว่าทำให้แทบไม่มีใครได้ยินแต่เสียงน้อย ๆ ไม่พลาดหูของเจนไปได้ คลื่นใต้น้ำในจิตใจของเจนเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ความคิดเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็วและมือของเจนเคลื่อนไหวในพริบตา



มีดพุ่งออกจากมือเรียวปักเข้าที่คอของชายหนุ่มอย่างแม่นยำ แขนที่ถือขวดเหล้าของชายหนุ่มกระตุกหนึ่งครั้งก่อนที่มันจะหลุดจากมือและกลายเป็นแสงหายไปก่อนจะตกโดนหัวของเด็กสาวพร้อมกับร่างของเขา สายตาทุกคู่เวลานี้ต่างมองเจนเป็นสายตาเดียวในขณะที่มือของเธอยังยื่นออกไปเป็นหลักฐานคาตาว่าฝีมือขว้างมีดของเธอนั้นอยู่ในระดับไหน



"ซวยแล้วไง!" เสียงของโจดังขึ้นในหัวของเจนแต่ในเวลานี้เธอไม่สนใจแล้ว เด็กสาวชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่พวกนักเลงที่ยังไม่ทันได้สติดี เธอแทงดาบเข้าใส่ผู้เล่นที่อยู่ใกล้ที่สุดทะลุหัวใจแล้วดึงดาบออก จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงหายไปโดยที่ไม่ได้ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย



"ฆ่าไอ้เวรนี่ซะ!!" ผู้เล่นอันธพาลคนหนึ่งที่รวมสติได้เร็วกว่าร้องตะโกนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มพุ่งเข้าใส่เจนทันที



ดาบงามถูกใช้ปัดป้องการโจมตีจากอาวุธอื่นได้อย่างรวดเร็ว เจนก้มตัวหลบธนูที่นักเลงคนหนึ่งยิงมาทางเธอและตวัดดาบใส่นักเลงอีกคนที่วิ่งเข้าใส่เธอจนเซล้มลงไปชนคนอื่น ๆ ที่พยายามจะเข้ามาฆ่าเจนจนล้มระเนระนาดตามกันไป ถึงการโจมตีของเจนจะไม่สามารถจัดการพวกนี้ได้ทันทีเนื่องจากความห่างชั้นของระดับ แต่เธอก็ยังสามารถสู้กับคนจำนวนมากกว่าได้อย่างไม่ลำบากนักเพราะแต่ละคนกำลังอยู่ในอาการเมาซึ่งทำให้ความเร็วและความแม่นยำลดลงมาก



แต่ยิ่งสู้นานเข้าเธอก็เริ่มรับมือได้ลำบากมากขึ้นเพราะสติของพวกนักเลงนั้นเริ่มจะกลับมาแล้ว ทำให้เจนต้องคิดหาทางจัดการพวกนักเลงให้เร็วที่สุด ร่างของเธอส่องสว่างจากทักษะเสริมพลังทำให้เจนเพิ่มความเร็วขึ้นจนพวกนักเลงเริ่มตามไม่ทัน เธอพุ่งผ่านร่างของนักเลงสองคนและตวัดดาบผ่านลำคอของคนแรกพร้อมทั้งใช้หมัดต่อยหน้าของคนที่สองจนล้มลงกองกับพื้นจากนั้นจึงใช้ดาบปักทะลุร่างจนหายเป็นแสงไป





ผู้เล่นอันธพาลที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายเห็นว่าเพื่อนของตนนั้นตายไปหมดแล้วจึงรีบยกร่างของเด็กสาวซึ่งกำลังมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจให้ลุกขึ้นมาและยัดดาบใส่มือเธอ จากนั้นจึงผลักเธอใส่เจนพร้อมตะโกนเสียงดัง



"รีบ ๆ จัดการมันซะ ไม่อย่างนั้นได้เจอดีแน่" เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็หยิบแผ่นกระดาษขนาดเล็กออกมาแผ่นหนึ่ง เขารีบฉีกมันออกจากนั้นร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เจนที่เห็นดังนั้นจึงวางใจลงถึงแม้จะไม่รู้ว่าชายคนนั้นใช้อะไรถึงหายตัวไปแบบนั้นได้ พร้อมกันนั้นแสงจากร่างของหญิงสาวหายไปเป็นการบอกว่าระยะเวลาของทักษะนั้นได้หมดลงแล้ว



ทว่าการต่อสู้ยังไม่จบ เด็กสาวตรงหน้าของเจนพูดทั้งน้ำตา


"ขอโทษนะคะ" แล้วทันใดนั้นร่างของเธอก็หายไปจากสายตาของเจน



เสียงลมแว่วเข้าหูของเจนทำให้เธอหันไปต้นทางของเสียงโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นเธอก็เห็นร่างของเด็กสาวกำลังแทงดาบเข้ามาอยู่ตรงหน้า เจนเอียงตัวหลบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ก็หลบไม่พ้นโดนแทงเข้าที่เอวจนทะลุ ความเจ็บปวดเป็นสิ่งแรกที่เจนรู้สึกได้แต่ก่อนที่จะทำอะไรต่อ เด็กสาวก็ถอนดาบกลับและถอยออกไปตั้งหลักอยู่ที่เดิมด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทัน



'เร็ว! เด็กคนนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก' เจนคิดพลางใช้มือขวาถือดาบเตรียมพร้อมสู้และใช้มือซ้ายกุมบาดแผลของเธอที่ในตอนนี้อาการบาดเจ็บกำลังทำให้เธอเสียเปรียบยิ่งกว่าเดิม เจนรู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงของเธอกำลังลดลงเรื่อย ๆ จากเลือดที่ไหลออกจากปากแผล เพียงแค่ยืนจับดาบให้มั่นคงได้ตอนนี้ก็แทบจะหมดแรงแล้ว



เด็กสาวตรงหน้าไม่ปล่อยโอกาสของเธอให้หลุดลอยไป เธอเริ่มฟาดดาบใส่เจนต่อทันที เจนก้าวเท้าเคลื่อนที่หลบดาบของเด็กสาวอย่างรวดเร็วแต่ความเร็วของเด็กสาวนั้นเหนือกว่าเจนมาก ถึงจะหลบการแทงตรง ๆ ได้แต่ก็ฝากแผลเล็ก ๆ บนตัวของเจนเอาไว้มากมาย แต่ละบาดแผลก็ยิ่งดึงให้เรี่ยวแรงของเจนลดลงอีก เธอรู้ว่าถ้าหากปล่อยเอาไว้แบบนี้เธอจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน ถ้าหากจะรอดคงต้องใช้ทักษะพลังสถิตร่างที่เจนอยากจะเก็บไว้ในตอนที่ฉุกเฉินกว่านี้แต่ถ้าไม่ใช้เธอคงไม่รอดจากตรงนี้แน่



ทว่าทันใดนั้นเองเจนก็พลาดสะดุดขาตัวเองล้มลงไปบนพื้น เธอในตอนนี้ไร้ความสามารถในการป้องกันตัวโดยสิ้นเชิงและแน่นอนเด็กสาวตรงหน้าก็ไม่คิดจะให้เจนลุกขึ้นมาอีก เธอพุ่งตัวเข้าใส่และยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมจะลงดาบปลิดชีวิตของเจน เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เจนและเด็กสาวสบตากันแต่เจนกลับรู้สึกยาวนานจนเจนสามารถมองเห็นหน้าตาของเธอได้อย่างชัดจน แทนที่เจนจะยกดาบขึ้นพยายามป้องกันตัวเองแต่มือเจนกลับทำอย่างอื่นที่ไม่ควรทำในเวลานั้นที่สุด



ก่อนที่ดาบจะเรียกเลือดของเจนเป็นครั้งสุดท้าย เสียงปืนก็ดังขึ้นพร้อมกับเด็กสาวยกดาบขึ้นกันกระสุนที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างเฉียดฉิว เธอรีบกระโดดถอยออกไปห่างและหันไปมองยังที่มาของกระสุน



เด็กสาวมองดูชายหนุ่มร่างโตที่เล็งปืนมาทางเธอโดยมีโจและซินจูเตรียมปล่อยบอลพลังเวทอยู่ข้าง ๆ เสือซ่อนลายและไมโกะวิ่งมาอยู่ด้านหน้าเจนพร้อมทั้งชูอาวุธของตนขึ้นมาเตรียมพร้อมสู้ ส่วนยูสตาร์นั้นก็เข้าไปหาเจนพร้อมทั้งใช้ยาเพิ่มพลังชีวิตรักษาแผลโดยมีคิทซึนะเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง



"ถ้าหากคิดจะมาทำร้ายเพื่อนเราล่ะก็คิดใหม่ได้นะ" เสือซ่อนลายพูด เขายกโล่บังเจนเพื่อไม่ให้เธอได้รับอันตราย



เมื่อเด็กสาวเห็นว่าเจนมีคนมาช่วยจึงลดดาบลงแล้วเดินถอยออกไปจากนั้นเธอก็ทำในสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง เด็กสาวเปลี่ยนมือจับดาบให้ด้านคมหันเข้าหาตัวเอง มือน้อย ๆ กดดาบแทงทะลุร่างของตัวเองโดยไร้ความลังเล เลือดซึมออกมาจากร่างและหยดลงสู่พื้นดิน เด็กสาวคุกเข่าลงช้า ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตามองพวกเจนตรงหน้าด้วยสายตาอาวรณ์ก่อนจะกลายเป็นแสงไป







หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพวกเจนพร้อมทั้งผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็พากันเข้ามาด้านในสุสานขุนนาง และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังทำให้ชื่อเสียงของเจนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้เล่นใหม่เป็นอย่างมากที่กล้าต่อกรพวกผู้เล่นอันธพาลได้ ผู้เล่นหลายคนที่เคยสู้กับคนเหล่านี้ต่างบอกว่าพวกนี้เป็นนักเลงซึ่งนอกจากจะไม่ให้ใครเข้าไปด้านในดันเจี้ยนแล้ว ยังเที่ยวไปรังแกผู้เล่นคนอื่น ๆ ทั้งปล้นและตามรังควานจนเป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว



มีผู้เล่นหลายคนไปแจ้งไปทางGMและขอความช่วยเหลือ แต่เหล่าGmนั้นมีกฎนั่นก็คือไม่สามารถเข้าแทรกแซงการกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นนอกเมืองได้ไม่ว่าจะเกิดจากผู้เล่นหรือไม่ก็ตาม เมื่อจะขอให้เหล่าผู้เล่นที่มีระดับสูงมาให้ช่วยแต่พอได้ยินว่าพวกผู้เล่นอันธพาลเหล่านี้อยู่ในสังกัดของกิลด์พิฆาตราชาต่างก็ไม่มีใครอยากจะเข้ามายุ่ง แม้กระทั่งกิลด์สองราชาพยัคฆ์ยังไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย ดังนั้นสิ่งที่เจนทำลงไปนั้นจึงเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากพร้อมทั้งมีคนมาขอบคุณเธอกันขบวนใหญ่ และนั่นทำให้ชื่อเสียงของเธอโด่งดังไปทั่วทวีปอัลเทเชียโดยที่เจ้าตัวไม่ทราบเรื่องนี้โดยแม้แต่น้อย



ตอนนี้เจนกำลังตั้งเต็นท์พักอยู่บริเวณชั้นหนึ่งของดันเจี้ยนเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน และเจนเองก็ยังต้องพักหลังจากที่บาดเจ็บมาเนื่องจากเสียเลือดมาก ถึงยาเพิ่มพลังชีวิตจะช่วยในเรื่องนั้นแต่อาการเหนื่อยที่แสดงบนแถบค่าสถานะนั้นลดลงมากทีเดียวซึ่งวิธีแก้ในตอนนี้ก็มีวิธีเดียวง่าย ๆ ก็คือนอนพักซักคืน



พวกเสือซ่อนลายกับพวกโจในเวลานี้กำลังนั่งคุยกันระรื่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพวกสาว ๆ นั่งอยู่ข้างเจนคอยดูแลอาการอย่างใกล้ชิด คิทซึเนะเองก็นั่งเฝ้าอยู่บนตักไม่ห่าง หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าจะทำยังไงคิทซึเนะก็ไม่ออกห่างตัวเจนเกินสองเมตรอีกเลย



"พี่เจนลองกินอะไรหน่อยดีมั้ยคะ บ้านของหนูเปิดร้านอาหารรับรองว่าหนูทำออกมาอร่อยแน่นอนค่ะ" ซินจูบอก เธอกำลังต้มสตูอยู่ในหม้อสนามใบใหญ่ กลิ่นหอมลอยโชยไปทั่วเตะจมูกคนจากเต็นท์อื่นที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้เลยทีเดียว



"อืม ขอบคุณมากนะซินจู" เจนพูดพึมพำตอบทำให้ซินจูไม่ค่อยชอบใจนักที่เจนไม่สนใจเธอแต่ก็ทำได้แค่ระบายอารมณ์โดยการออกแรงคนหม้อสตูตรงหน้าแทน ในหัวของเจนนั้นมัวแต่คิดถึงใบหน้าของเด็กสาวตรงหน้าที่ยังติดตราตรึงไม่หายไป



"จะว่าไปพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนทำอะไรกันแน่ ทั้งที่โดนทำถึงขนาดนั้นแท้ ๆ กลับยังช่วยพวกมันอีก ทำคุณบูชาโทษชัด ๆ" เสือซ่อนลายพูดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่พลางตักสตูใส่ปากอย่างเกรี้ยวกราด



"ใช่ เจอไปตั้งขนาดนั้นเป็นฉันล่ะก็หนีไปจากพวกนั้นตั้งนานแล้ว เผลอ ๆ ฉันคงเลิกเล่นเกมนี้เลยด้วยซ้ำไป อ๋า ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ น้า.." ยูสตาร์ว่าเสียงสูง



"บางทีเด็กคนนั้นอาจจะเล่นละครและตั้งใจอยากจะสู้กับคนอื่นตั้งแต่แรกแล้ว ใช้พวกนักเลงหาโอกาสให้คนมาเริ่มโจมตีก่อนจะได้บอกว่าเป็นการป้องกันตัว แบบนี้จะไม่มีปัญหาทีหลังด้วยถ้าหากเหตุการณ์แย่อย่างที่เกิดนี้ ส่วนที่ฆ่าตัวตายก็คงเป็นเพราะเห็นพวกเราเยอะขนาดนี้คงสู้ด้วยไม่ไหวล่ะมั้ง" ไมโกะแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล



"แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอก" เจนพูดขึ้นท่ามกลางกลุ่มสนทนา น้ำเสียงของเธอฟังดูเอาจริงเอาจังกว่าที่ผ่านๆมา



"ลองคิดดูสิ อย่างที่พวกพี่บอกโดนทำไปตั้งขนาดนั้นใครมันจะทนอยู่ได้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน..... ฉันอยากจะช่วยเด็กคนนั้น"



เสือซ่อนลาย ยูสตาร์และไมโกะต่างมองหน้ากันจากนั้นจึงหันไปหาเจน



"แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงต้องทนอยู่ได้ล่ะ ทางเลือกก็มีอย่างที่ฉันกับยูบอก ไม่มีใครชอบที่จะโดนกดขี่อย่างนั้นหรอกนะ" เสือซ่อนลายว่า



"ถึงพวกเราจะไปช่วยเธอมันก็มีปัญหาอยู่นะ คนพวกนี้ถึงไม่ได้อยู่ในกิลด์แต่ก็เป็นกลุ่มผู้เล่นที่ได้รับการว่าจ้างมาจากกิลด์พิฆาตราชา กิลด์นี้มีอิทธิพลอยู่ไปทั่วทั้งเกมขนาดกิลด์อันดับหนึ่งหรือกิลด์อันดับสองยังไม่กล้าแตะต้องพวกนี้เลยด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่เป็นกิลด์อันดับสี่ แล้วอีกอย่างพวกเรายังไม่รู้ชื่อของเด็กคนนั้นเลยด้วยซ้ำ จะเริ่มต้นค้นหาก็ยังทำไม่ได้เลย" ไมโกะบอก



"อามีร่า..." เจนพูดเสียงค่อย



"หือ?" โจส่งเสียงเพราะเขาได้ยินไม่ค่อยชัด



"เธอมีชื่อว่าอามีร่า และเธอมีระดับชั้นขุนนาง เลเวลยี่สิบ ถ้าหากในตอนนั้นอามีร่าเลือกที่จะสู้แทนฆ่าตัวตายล่ะก็ ต่อให้พวกเราช่วยกันสู้ก็อาจจะแพ้เธอด้วยซ้ำไป" เจนว่าแล้วแสดงหน้าต่างของทักษะตรวจสอบที่เธอใช้ก่อนจะถูกแจ็คช่วยเอาไว้



ทุกคนต่างหันมามองที่หน้าต่างที่เจนแสดงเป็นสายตาเดียว เห็นเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่ดูดีกว่าที่เห็นล่าสุดมาก แต่ทว่าสีหน้าของเธอกลับดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย และที่ทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่าคือที่เจนพูดทุกอย่างเป็นความจริง



"เป็นไปได้ยังไง ไอ้พวกนักเลงนั่นฉันลองตรวจสอบดูแล้วมีระดับอย่างมากก็แปดสิบ แค่นี้เด็กคนสู้ด้วยมือเปล่ายังไหวเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมกัน.." โจพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น



"ทำไมหรือคะ ยศขุนนาง ระดับยี่สิบก็เท่ากับระดับร้อยยี่สิบสินะคะ แค่คนเดียวพวกเราช่วยกันสู้ก็น่าจะไม่มีปัญหาไม่ใช่หรือคะ" ซินจูถามเพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกโจถึงกังวล แม้กระทั้งเสือซ่อนลายและไมโกะเองก็พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน



ความจริงแล้วเจนเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้แต่จากที่เธอเจอเข้ากับมอนสเตอร์ชั้นขุนนางอย่างแกรนคิโนซอรัสแล้ว ขนาดจนบ่อโคลนดูดที่เป็นกับดักแห่งความตายของธรรมชาติยังไม่สามารถฆ่ามันได้ เธอก็พอจะอนุมานได้ว่าผู้เล่นระดับนั้นก็คงจะเก่งกาจไม่ต่างกัน



"ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอก ความจริงแล้วเกมนี้เมื่อพ้นระดับห้าสิบไปแล้วการเพิ่มระดับจะเริ่มยากขึ้นมาก ๆ ยิ่งพอไปถึงระดับที่หนึ่งร้อยและทำภารกิจเปลี่ยนยศแล้วก็จะยิ่งเพิ่มระดับยากขึ้นไปอีกและนั่นก็หมายถึงความเก่งกาจกับพลังที่เพิ่มมากขึ้นด้วย" โจบอก "เพราะฉะนั้นต่อพวกเรารุมก็ไม่มีทางที่จะจัดการเด็กอามีร่านั้นได้แน่"



"ถ้าอย่างนั้นคำถามก็คือทำไมเธอถึงยอมพวกนั้น" แจ็คเริ่มประเด็น



"และทำไมเธอถึงไม่เอาจริงตอนที่สู้กับเจน" เสือซ่อนลายต่อ



"สุดท้ายคือทำไมเธอถึงไม่สู้กับพวกเรา...แล้วเลือกที่จะยอมแพ้" ไมโกะพูดจบ ทั้งเจ็ดคนก็ตกไปอยู่ในห้วงความคิดโดยไม่มีใครเอ่ยปากพูดกันเรื่องนี้อีกเลยในคืนนั้น







เช้าวันถัดมาพวกเจนทานอาหารเช้าซึ่งซินจูเป็นคงลงมือทำให้ และแน่นอนว่าเป็นอาหารเช้าระดับภัตตาคารที่คนอื่น ๆ ต้องอิจฉา



เจนตัดสินใจจะเก็บปัญหาเรื่องอามีร่าเอาไว้ก่อนเพราะในตอนนี้ถึงคิดอะไรไปก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ ทางที่ดีเธอควรจะเก็บระดับเปลี่ยนยศให้เท่ากับอามีร่าเป็นอย่างน้อยและตามหาเธอเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง



หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเจนก็เริ่มเดินทางเข้าไปด้านในสุสานขุนนาง ด้านในของสุสานนี้เป็นทางเดินยาวมีทางซับซ้อนไปมาคล้ายเขาวงกต ตามทางมีเพียงตะเกียงไฟเรียงยาวตามผนังที่ติดเพียงบางดวงเท่านั้นแต่ก็ยังพอมีแสงมองเห็นทางเดินต่อไป



ขุนนางผีดิบนั้นอ่อนแอกว่าทหารผีดิบที่อยู่ด้านนอก สิ่งที่ทำให้มันน่ากลัวกว่าก็คือมันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ โชคดีที่อย่างน้อยมันก็ยังแพ้ไฟเช่นเดียวกับญาติผีดิบของมัน ขุนนางผีดิบมีพฤติกรรมที่จะคอยหลบอยู่ในเงามืดคอยซุ่มโจมตีผู้เล่นจนหลายคนต้องเคลื่อนไปช้า ๆ อย่างระมัดระวัง และบรรยากาศที่น่ากลัวต่างจากด้านนอกทำให้คนขวัญอ่อนอย่างซินจูแทบจะไม่ปล่อยชายเสื้อของเจนเลยแม้แต่น้อย



ขุนนางผีดิบตัวแรกที่พวกเจนเจอนั้นแอบซุ่มโจมตีพวกเธอจากด้านหลัง เป้าหมายของมันเป็นยูสตาร์ที่เดินตามรั้งท้ายซึ่งเขาก็ไม่ทันระวังจึงโดนโจมตีด้วยกรงเล็บคมกริบเข้าเต็ม ๆ เจนที่อยู่ใกล้ที่สุดเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยในทันที เธอยกดาบฟาดเข้าไปที่คอของขุนนางผีดิบเต็มแรง หัวของมันหลุดออกจากบ่าในดาบเดียวแต่ทันใดนั้นมีกรงเล็บจากเงามืดพุ่งมาทางเจนต้องเอียงตัวหลบอย่างรวดเร็ว



กลายเป็นว่าเจนโดนขุนนางผีดิบวางกับดักเอาไว้เพราะหลังจากเจนหลบการโจมตีของมันแล้วเธอก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่ขา เมื่อก้มลงมองดูก็พบว่ามีโครงกระดูกพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินจับขาของเธอเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหนได้ พอเงยหน้าขึ้นมาเจนก็เจอกับขุนนางผีดิบสองตัวกำลังร่ายเวทรอเธออยู่ ทันใดนั้นหอกน้ำแข็งสองแท่งพุ่งเข้าใส่เจนด้วยความเร็วสูง เด็กสาวยกดาบฟาดหอกน้ำแข็งแตกกระจายได้เพียงแค่หนึ่งแท่งแต่ยังมีอีกแท่งที่พุ่งเข้ามาหาเธออยู่ก่อนที่มันจะพุ่งถึงตัวของเจนก็มีลูกไฟสีฟ้าพุ่งเข้าปะทะจนทำให้หอกน้ำแข็งละลายหายไปในพริบตา



คิทซึเนะซึ่งแน่นอนว่าเป็นคนพ่นเพลิงจิ้งจอกเพื่อปกป้องเจนแต่ความร้อนแรงของเพลิงนั้นไม่หยุดเพียงแค่หอกน้ำแข็งเท่านั้น ลูกไฟพุ่งเผาผลาญขุนนางผีดิบทั้งสองตัวกลายเป็นจุลจนไม่เหลือซาก ทันทีที่ผู้ร่ายเวทตายลง โครงกระดูกที่ยึดขาของเจนอยู่ก็กลายเป็นควันดำหายไป



"เฮ้ย นั่นมันอะไรกัน ซอมบี้ใช้เวทมนตร์ได้ด้วยงั้นหรือ! ฉันคิดว่ามันจะใช้พวกเวทคำสาปหรืออะไรพวกนั้นซะอีก" โจพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ



"ใช่ เวทคำสาปมันก็ใช้ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนได้มั้ย ใครก็ได้มาช่วยฉันก่อนเถ้ออออ!" ยูสตาร์ตะโกนเสียงดัง ในตอนนี้เขานอนนิ่งอยู่บนพื้นขยับไปไหนไม่ได้ ท่าทางการโจมตีของขุนนางฝีดิบจะแฝงคำสาปมาจริง ๆ ด้วย



ซินจูและแจ็ครีบเข้าไปลากตัวยูสตาร์ไปยังที่ปลอดภัยและใช้น้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์แก้คำสาปของขุนนางผีดิบให้ ส่วนเจนนั้นอุ้มคิทซึเนะขึ้นมาและลูบหัวอย่างชื่นชม เธอเดินกลับมารวมกลุ่มกับพวกเสือซ่อนลายแล้วเริ่มออกเดินทางต่อไป



หลังจากรู้ว่าขุนนางผีดิบทำอะไรได้จึงพยายามเดินทางกันอย่างระมัดระวังมากขึ้น ในช่วงแรกที่พวกเจนเข้ามาด้านในก็มีคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ยิ่งเดินทางลึกมากขึ้นก็ยิ่งเจอผู้เล่นคนอื่นน้อยลงและยังพบว่าที่นี่ไม่ได้มีขุนนางผีดิบเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในนี้ นอกจากทหารผีดิบหลายสิบตัวที่เจอพบแล้วพวกเธอยังเจอมอนสเตอร์ลูกไฟวิญญาณซึ่งตรวจสอบดูแล้วว่าเป็นมอนสเตอร์ที่มีประดับสูงถึง 60 เลยทีเดียว มันก็มีพลังชีวิตสูงมาก นอกจากนั้นโจยังบอกว่าอาวุธทั่วไปก็ไม่อาจทำอันตรายลูกไฟพวกนี้ได้อีกด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นไม่ว่าแจ็ค ยูสตาร์หรือเสือซ่อนลายต่างก็ลองทดสอบกันถ้วนหน้าซึ่งผลก็ออกมากลายเป็นอาวุธของพวกเขาต่างไม่สามารถแตะต้องลูกไฟเหล่านี้ได้เลย แต่พอไมโกะจะโยนระเบิดไฟใส่ โจก็รีบห้ามเอาไว้ทันที



"เดี๋ยวก่อน! คุณผู้หญิง! นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ" โจถามเสียงดังพลางดึงระเบิดออกจากมือสาวมั่น



"ก็จะลองพิสูจน์ตามที่นายบอกไง ถ้าที่นายพูดถูกระเบิดนี่ก็ทำอะไร..ไม่ได้สิ!" ไมโกะว่าแล้วดึงเอาระเบิดเพลิงของเธอกลับมา



"ที่ฉันบอกคือการโจมตีปกติ แต่ระเบิดเพลิงมันเป็นการโจมตีธรรมดาซะที่ไหนล่ะ ถ้าใช้พวกเวทมนตร์หรือการโจมตีเป็นธาตุก็ทำร้ายเจ้าพวกนี้ได้นะ แถมถ้าแตะต้องพวกนี้แม้แต่ตัวเดียว มีหวังโดนพวกลูกไฟอื่น ๆ ไล่ตามฆ่าไม่หยุดแน่" โจบอกอย่างเหนื่อยใจพลางวิ่งไปหยุดซินจูที่กำลังจะลองใช้บอลพลังเวทใส่อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ



"อืม อย่างนั้นถ้าชั้นลองดูก็คงไม่เป็นอะไรสินะ" เจนพูดแล้วลองใช้ดาบคุซานางิจิ้มลูกไฟตรงหน้าดู ทว่าพอดาบแทงทะลุผ่านไป ลูกไฟวิญญาณกลับส่ายไปมาและสลายไป เจนได้ยินเสียงประกาศได้รับค่าประสบการณ์ในหัวเพียงครู่เดียวแล้วทันใดนั้นก็มีร้องโหยหวนดังไปทั่วทางเดิน



กรี้ดดดดดดดด!!



"นะ...นั่นมันเสียงอะไรน่ะ!!" เสือซ่อนลายตะโกนโต้เสียงไปพร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างปิดหูของตนเพราะเสียงที่ดังออกมานั้นทั้งดังและแหลมสูงจนทำเอาแก้วหูแทบแตก



เจนเองก็ต้องรีบเอามืออุดหู แต่พอเสียงนั้นหายไปพวกเจนก็พบกันลูกไฟวิญญาณนับร้อยดวงอยู่ตรงหน้าของพวกเธอยังยังมีอีกนับพันด้านหลังพวกมันจนสว่างไปทั่วทางเดิน เจนจ้องเหล่าลูกไฟตาค้างเพราะมันเยอะมากจนพูดไม่ออก สภาพของเธอนั้นไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่นิดเดียว



ทันใดนั้นเองเหล่าลูกไฟวิญญาณก็ส่องสว่างขึ้นอีกครั้งและนั่นก็ไม่ได้เป็นสัญญาณดีอย่างแน่นอน



"วิ่งเร็ว!!" เสือซ่อนลายได้สติก่อนใครเพื่อนตะโกนเสียงดังเรียกสติทุกคนและตะกุยเท้านำโดยไม่รีรอ



ไมโกะรีบจับมือซินจูออกวิ่งตามแทบจะเวลาเดียวกับที่เสือซ่อนลายตะโกน ส่วนยูสตาร์เองก็ตกใจกับเสียงแล้วเริ่มออกวิ่งตามไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ทางด้านโจและแจ็คต่างก็รีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เท้าของเขาจะทำได้พลางส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกออกมาอย่างลืมตัว ทางเจนเองก็รีบออกวิ่งเช่นเดียวกัน เธอรีบคว้าตัวคิทซึเนะที่กำลังจะหันไปประจันหน้ากับลูกไฟเหล่านั้นและออกวิ่งตามสุดชีวิตโดยมือทั้งสองต่างถือทั้งจิ้งจอกน้อยและดาบของเธอเอาไว้ในมือ



เหล่าผู้เล่นอื่น ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างก็เดินเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะแสงสว่างที่ยาวไปแทบจะตลอดทางเดินนั้นก็ดึงดูดผู้คนมากพออยู่แล้ว พอเหล่าผู้เล่นเดินเข้าไปดูกลับพบว่าพวกเขาถูกเผาและตายไปในพริบตา มีผู้เล่นนับสิบคนตายจากขบวนลูกไฟวิญญาณเหล่านี้จนกลายเป็นข่าวลือว่าพบบอสระดับเทพเจ้าในสุสาน จนภายหลังจึงไม่มีใครเลยที่กล้าเข้าใกล้ลูกไฟวิญญาณเหล่านี้ทำให้พวกมันได้อยู่กันอย่างสงบสุขไปอีกนานเท่านาน



หลังจากพากันวิ่งมาพักใหญ่ พวกเจนก็หลบขบวนลูกไฟมาได้ ถึงแม้จะไม่มีใครบาดเจ็บแต่ก็ทำเอาเหนื่อยจนก้าวเท้าต่อไปไม่ได้อีก เจนนั่งหอบลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ในตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าคำอธิบายที่ว่าดาบของเธอสามารถโจมตีได้ทุกอย่างหมายความว่าอะไร ลูกไฟวิญญาณเหล่านี้สามารถโดนโจมตีจากการโจมตีเป็นธาตุเท่านั้นหรือมอนสเตอร์บางชนิดที่จะสามารถโดนโจมตีเพียงอาวุธหรือพลังพิเศษบางประการเท่านั้น แต่อาวุธบางอย่างนั้นสามารถโจมตีได้ทุกอย่างไม่ไม่ข้อยกเว้นอย่างเช่นดาบคุซานางิของเจนที่มีความสามารถนั้น



"แฮ่ก...คราวหลัง.. ฟังที่ฉัน แฮ่ก..พูดบ้างก็ดีนะ" โจบอกอย่างยากลำบาก ให้บอกกันตามตรง ในชีวิตเขาไม่เคยวิ่งหนีอย่างนี้มากก่อนในชีวิต ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ในเกมก็ตาม



"แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่า..แฮ่ก ดาบของฉันมันโจมตีพวกลูกไฟบ้านั่นได้" เจนโต้กลับ



"เอ๋ ทำไมดาบของพี่เจนถึงโจมตีพวกไฟผีนั่นได้ล่ะคะ" ซินจูถามอย่างสงสัย เรียกสายตาจากอีกสามคนที่ยังไม่รู้มองตามหมายจะคั้นความจริง เจนเห็นดังนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก เวลานี้เธอค่อนข้างจะสนิทกับพวกเสือซ่อนลายแล้วและไม่อยากจะปิดบังไว้เป็นความลับ เธอหันไปขอความเห็นจากพวกโจแต่ท่าทางของพวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงดี



"ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากจะบอกพวกเราก็เข้าใจดี ใครๆก็ต้องมีความลับที่อยากจะปิดอยู่แล้ว จริงมั้ย" เสือซ่อนลายพูด เจนรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เมื่อโจพยักหน้าเชิงอนุญาต เจนจึงลุกขึ้นแล้วส่งดาบไปให้เสือซ่อนลาย



ชายหนุ่มรับดาบมาอย่างสงสัยแล้วตรวจสอบดู พอได้เห็นว่าดาบที่อยู่ในมือของเขาเป็นดาบอะไรก็ถึงกับต้องทำตาโตแม้ว่าจะทำได้ไม่มากเพราะตาตี่อยู่แล้ว เมื่อเขาส่งดาบต่อไปให้คนอื่น ๆ ก็ต้องทำท่าทางไม่ต่างจากเสือซ่อนลายนัก



"ดาบระดับ S! ไม่อยากจะเชื่อ ของแบบนี้มาอยู่กับเธอได้ยังไง" ยูสตาร์พูดด้วยน้ำเสียงตกใจพลางยื่นดาบกลับคืนสู่เจ้าของ เจนรับมาและเก็บมันลงฝักก่อนจะตอบ



"พอดีพวกเราโชคดีได้ภารกิจลับตอนเริ่มเกมน่ะ แจ็คได้ทักษะระดับ A ส่วนโจก็ได้คัมภีร์เวทระดับ S มาเหมือนกัน"



"ว้าว จริงหรอคะพี่โจ แบบนี้พี่คงได้เป็นจอมเวทที่เก่งแน่ ๆ เลย" ซินจูได้ยินที่เจนบอกแล้วหันไปพูดกับโจด้วยความชื่นชม โดยเจ้าตัวคนถูกชมก็อดไม่ได้ที่จะต้องเก๊กท่าทางให้ดูมีภูมิฐาน



"ว่าแต่ดาบเล่มนั้นพลังโจมตีแค่สองร้อยห้าสิบเองงั้นหรือ" เสือซ่อนลายถาม



"อืม เห็นโจก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าถ้าฉันทำให้ดาบยอมรับในตัวฉันได้ก็จะเพิ่มพลังโจมตีของดาบเป็นห้าร้อยได้นะ"



"แต่ก็ยังน้อยอยู่ดีนะสำหรับดาบระดับสูง ลองเอาดาบของฉันไปดูสิ ฉันซื้อมาจากที่ซีโป ราคาห้าพันโกลด์เชียวนะ" เสือซ่อนลายว่าแล้วส่งดาบให้ เจนรับดาบมาแล้วลองตรวจสอบดู ปรากฏว่ามันเป็นดาบระดับ B ที่มีพลังโจมตีถึง 350 เลยทีเดียวถึงแม้ว่ามันจะมีน้ำหนักมากไปหน่อยสำหรับเธอแต่ก็รู้สึกเหมาะมือมากทีเดียว



"จริงด้วยแฮะ แต่คงอาจจะเป็นเพราะทักษะที่ได้มาจากดาบเล่มนี้ก็ได้มั้งถึงทำให้เป็นดาบระดับสูง ยังมีอีกตั้งหลายทักษะที่ฉันเองก็ยังไม่เคยลองใช้ดูเหมือนกัน" เจนบอกพลางนึกถึงทักษะอัญเชิญอสูรที่เธออยากจะลองใช้ดู แต่ในเวลานี้พลังเวทของเธอไม่พอที่จะลองใช้และบางทีอาจจะใช้ไม่ได้ด้วยเพราะดาบยังไม่ยอมรับในตัวเธอ



"เจ้านายไม่เห็นจำเป็นต้องกังวลไปเลย ไม่ว่าตัวอะไรจะมาล่ะก็ ถ้าหากทำให้เจ้านายต้องเจ็บล่ะก็เดี๋ยวหนูจะจัดการให้เรียบเลย"



"อืม ขอบจะ..- เอ๊ะ!" เจนพูดแล้วหันไปหาคิทซึเนะ แต่เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเสียงที่พูดออกมานั้นเป็นเสียงเล็กแหลมน่ารักที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน แถมยังออกมาจากเจ้าจิ้งจอกที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธออีกด้วย



"เอ๋------!!!" เสียงของทุกคนร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจไม่เว้นแม้แต่ตัวเจนเอง



"คะ..คะ..คิทซึเนะจังพูดได้ด้วยหรือเนี่ย!" ไมโกะพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ เธอมองเจ้าตัวที่ยังเอียงคอด้วยความสงสัยจนเธออดใจจะเข้าไปหาไม่ได้ และเจนเองก็กำลังห้ามตัวเองอย่างสุดๆอยู่เช่นกัน ถ้าหากไม่ติดว่าตอนนี้จู่ ๆ คิทซึเนะพูดขึ้นมาได้แล้วล่ะก็เธอคงจะจับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ขึ้นมากอดรัดให้หนำใจเลยทีเดียว



"นะ..นี่ คิทซึเนะ เธอพูดได้แล้วงั้นหรือเนี่ย"



"ก็ใช่น่ะสิเจ้านาย หนูไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ แถมหนูยังทำได้มากกว่านั้นอีกนะ ดูนี่สิ" คิทซึเนะว่า แล้วจิ้งจอกน้อยก็ลุกขึ้นมา



ทันใดนั้นร่างของคิทซึเนะก็เปล่งแสงสีขาวออกมาอ่อน ๆ หางที่เคยมีอยู่เพียงหนึ่งกลับกลายเป็นสองก่อนที่ร่างของคิทซึเนะจะเปล่งแสงออกมาจนมองไม่เห็นตัวอีก เมื่อแสงจางลงร่างของจิ้งจอกก็ถูกแทนด้วยเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเจน



เด็กสาวคนนี้มีผมสั้นสีขาวเป็นประกายสวยงามเป็นทรงแหวกกลางดูน่ารัก ดวงตาสีเงินที่กำลังมองหน้าของเจนดูแล้วชวนให้เธอนึกถึงมาเอะอย่างบอกไม่ถูก ส่วนชุดที่เด็กน้อยกำลังใส่อยู่นั้นเป็นยูกาตะแขนยาวดูทะมัดทะแมงดี ถ้ามองอย่างผิวเผินก็แทบแยกไม่ออกเลยว่าเด็กตรงหน้าต่างจากเด็กอายุ 10 ขวบตรงไหนเว้นแต่เพียงหูจิ้งจอกคู่หนึ่งที่กระดิกอยู่บนหัวของเธอกับหางที่กระดิกไปมาตรงบั้นท้ายของเธอ



"เห็นมั้ยเจ้านาย หนูแปลงร่างได้แล้วนะ หนูเก่งหรือเปล่า ฮี่ฮี่" เสียงเล็กๆพูดแล้วกระโจนเข้ากอดเจนที่กำลังทึ่งกับสิ่งที่เห็นอยู่



"อะ..เก่งจ๊ะ เอ่อ นี่เธอคือคิทซึเนะ เอ้ยไม่สิ นี่เธอแปลงร่างเป็นคนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยคิทซึเนะ" เจนถาม



"ก็ตั้งแต่เจ้านายจัดการเจ้าวิญญาณเร่ร่อนที่ลอยไปมาอยู่นั่นไงล่ะ ความจริงแค่โดนดาบเทพเข้าไปนิดเดียวเจ้าพวกนั้นก็ไปสู่สุขติแล้วแท้ ๆ แถมเมื่อกี้พวกนั้นยังมาเข้าคิวจะให้เจ้านายส่งพวกมันไปสุขติด้วยนะ"



"หะ..หา! เมื่อกี้อ่ะนะ ดาบเล่มนี้มันทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือเนี่ย"



"ใช่สิเจ้านาย ดาบเล่มนี้มีพลังสูงส่งยิ่งกว่าท่านแม่อีกนะ แค่วิญญาณพวกนั้นแตะต้องโดนดาบก็เหมือนกับโดนส่งวิญญาณแล้ว แต่พวกนั้นมากกันตั้งเยอะ หนูก็กลัวว่าเจ้านายจะเหนื่อยเลยจะไล่พวกนั้นไป แต่เจ้านายดันวิ่งหนีมาซะก่อนก็เลยเหนื่อยเปล่า ๆ เลยสิ" คิทซึเนะวิ่งแล้วหันตัวนั่งลงบนตักของเจนอย่างสบายใจ



"อะ...อ่า คิทซึเนะจัง จำฉันได้หรือเปล่าจ๊ะ" ซินจูคลานเข้ามาหาคิทซึเนะเพราะทนความน่ารักของเธอไม่ไหว



"ต้องจำได้สิ พวกเราเล่นอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้วนะพี่ซินจู แถมหนูยังจำคนอื่นได้ด้วย นั่นก็พี่ไม พี่เสือ พี่สี่ตา แล้วเจ้าสองคนที่ทิ้งเจ้านายให้นอนอยู่บนต้นไม้ อย่าคิดนะว่าหนูจะลืมเรื่องนั้น" คิทซึเนะพูดแล้วชี้นิ้วน้อย ๆ ไปเรียงคนก่อนจะหันมาเขม่นใส่โจและแจ็คที่ไม่ได้รู้สึกกลัวเธอเลยแม้แต่น้อยในตอนนี้



"อ้าว ก็ตอนนั้นมันดึกแล้วนี่น่า อย่างมามองพวกเราอย่างนั้นสิ" แจ็คว่า



"ช่าย เรื่องมันก็นานมาแล้ว ลืม ๆ ไปเถอะนะ" โจเสริม เขายังไม่ลืมความเจ็บปวดที่ฟันเล็กของเด็กสาวคนนี้เคยทำเอาไว้จนต้องลูบกันอย่างลืมตัว



"เอาน่า ยกโทษให้สองคนนั้นเถอะนะคิทซึเนะ เธอเองก็จัดการลงโทษพวกนั้นไปแล้วนี่นะ" เจนก้มลงไปพูดกับจ้องจอกน้อยที่อยู่ในร่างเด็กสาว แต่ดูท่าทางที่คิทซึเนะส่งเสียงขู่เล็กๆที่ฟังดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว แต่เธอทำแบบนี้แสดงว่าคงยังไม่หายโกรธง่าย ๆ แน่



"งั้นเดี๋ยวเอาไว้เข้าเมืองให้สองคนนั้นซื้อของอร่อย ๆ ให้ก็แล้วกันนะ"



เจนคุยกับคิทซึเนะโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของผู้เสียหายทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย เมื่อมั่นใจว่าเด็กน้อยคนนี้พอใจกับสิ่งที่ตนได้แล้วเจนจึงเริ่มตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของจิ้งจอกน้อย



หลังจากลองตรวจสถานะสัตว์เลี้ยงดูแล้วพบว่าคิทซึเนะมีระดับอยู่ที่ 50 พอดี และได้ทักษะใหม่มาอีกทักษะหนึ่งคือทักษะแปลงร่างซึ่งแสดงอยู่ในแถบทักษะสัตว์เลี้ยง ส่วนเรื่องการพูดได้นี่คงเป็นอย่างที่มาเอะเคยบอกเธอเอาไว้ ในตอนนี้คิทซึเนะสามารถใช้เพลิงจิ้งจอกได้เหมือนเดิมแต่แทนที่จะพ่นออกจากปากตามปกติในร่างของจิ้งจอก ตอนนี้เธอสามารถใช้มันได้เหมือนกับร่ายเวทมนตร์และสามารถใช้ได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากขึ้นทั้งเป็นลูกไฟลอยอยู่เฉย ๆ เพื่อให้แสงสว่างหรือจะเป็นลูกบอลระเบิดที่เธอเลียนแบบระเบิดไฟของไมโกะ



"ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกันนะว่าเมื่อสัตว์เลี้ยงมีระดับที่สูงขึ้นแล้วจะสามารถพูดคุยกับเจ้าของได้ แต่ไม่เคยนึกเคยฝันเหมือนกันว่าจะพูดภาษาคนออกมาแบบนี้แถมยังแปลงร่างได้อีก" ไมโกะพูด



"อ่า เรื่องแปลงร่างนี่เป็นทักษะของคิทซึเนะอ่ะนะ แต่เรื่องพูดแบบนี้ฉันก็พอจะรู้มาบ้างเหมือนกัน" เจนบอก



"เอาล่ะ ถ้าพวกเราพักกันพอแล้วก็รีบไปต่อกันดีกว่า จะได้กินข้าวเที่ยงกันที่บริเวณเสาเวทมนตร์ด้วย แถวนั้นเป็นเขตปลอดมอนสเตอร์ด้วย จะได้พักกันสบาย ๆ" เสือซ่อนลายบอกแล้วจึงพากันออกเดินทางกันต่อ



การเดินทางที่เหลือนั้นค่อนข้างราบลื่นเพราะคิทซึเนะที่ตอนนี้กำลังทดลองการใช้เพลิงจิ้งจอกในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีเหล่าผีดิบเป็นเป้าซ้อมมือ พวกผีดิบไม่ว่าจะเป็นทหารผีดิบหรือขุนนางผีดิบต่างก็ไม่อาจจะทนไฟได้ก็กลายเป็นเถ้าถ่านกันถ้วนหน้า โดยพวกเจนต่างไม่ได้ลงมืออะไรกันเลยซักนิด แต่อย่างน้อยค่าประสบการณ์และของที่ตกจากพวกผีดิบก็ยังตกมาเป็นของพวกเธอ



ในที่สุดทางเดินยาวก็จบลง พวกเจนพบห้องขนาดใหญ่ซึ่งภายในห้องนั้นเป็นที่โล่งกว้างและยังไม่มีผู้เล่นคนไหนมาถึงยังที่แห่งนี้เลยเนื่องจากขบวนลูกไฟนั้นได้จัดการส่งผู้เล่นทุกคนที่ขวางทางไปเกิดใหม่หมด ในห้องมีเพียงซากโต๊ะกับซากเก้าอี้ไม่กี่ตัววางอยู่ที่มุมห้องและใจกลางคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าเสาเวทมนตร์ ในตอนแรกเจนคิดว่าเสาเวทมนตร์คงเป็นเสาหินอะไรซักอย่าง แต่พอเธอมาเห็นจริง ๆ ก็พบว่ามันต่างจากที่เธอคิดเอาไว้มากนัก



ใจกลางห้องนั้นไม่ได้มีสิ่งใดที่เป็นเสาหินอยู่เลย มีเพียงแค่แสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากพื้นและทะลุขึ้นเพดานห้องไป มีหมอกสีขาวบาง ๆ แผ่ออกมาจากเสานั้นแต่เจนไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นเลย เธอรู้สึกอะไรบางอย่างที่คล้ายว่าเธอกลับไปอยู่ในห้องที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นความรู้สึกที่ว่าก็หายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน



"ก็สมกับเป็นเสาเวทมนตร์ดีนะ แต่ฉันรู้สึกอะไรแปลก ๆ ด้วย มีใครรู้สึกบ้างมั้ย" เจนถามขึ้น



"เวทมนตร์ไงเพื่อน เวทมนตร์" โจบอกด้วยท่าทางสบาย ๆ



ซินจูเป็นคนเริ่มทำพิธีก่อน เธอหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาจากกระเป๋า คัมภีร์ของซินจูนั้นเป็นกระดาษสีขาวดูใหม่กว่าของโจมากนัก เธอเดินเข้าไปที่เสาเวทมนตร์อย่างช้า ๆ แล้วยื่นม้วนคัมภีร์เข้าไปใจกลางของเสาเวทมนตร์แล้วปล่อยมือออก ม้วนคัมภีร์ลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์ ทันใดนั้นก็มีตัวหนังสือลอยออกมาจากคัมภีร์นั้นและซินจูก็เริ่มร่ายคาถาตามที่ตัวอักษรที่ลอยอยู่



เมื่อเด็กสาวเริ่มพูดคำคาถา เสาแสงก็เริ่มเปล่งแสงสีขาวออกมาและก็มีวงเวทรอบตัวของซินจู ร่างของเธอลอยขึ้นจากพื้นและวงเวทก็เริ่มจะหมุนรอบตัวเธอพร้อมทั้งเปล่งแสงออกมาจนดูคล้ายกับว่าในตอนนี้เธออยู่ด้านในเสาแสงที่เพิ่มขึ้นมาอีกเสาหนึ่ง



"นี่คือพิธีกรรมทำสัญญากับเวทมนตร์ ปกติแล้วคนที่จะเปลี่ยนอาชีพเป็นสายเวทมนตร์สามารถเปลี่ยนได้ที่โรงเรียนเวทได้เลย แต่ถ้าได้ม้วนคัมภีร์เวทมาอย่างฉันหรือซินจูก็สามารถนำไปประกอบพิธีในโรงเรียนแทนเวทระดับต่ำหรือจะมาทำที่เสาเวทตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลกก็ได้" โจพูด



"แล้วมันต่างตรงไหนล่ะระหว่างทำพิธีที่นี่กลับที่โรงเรียน" เจนถามกลับไป ทั้งสองกำลังยืนดูพิธีอย่างใจจดใจจ่อโดยมีคิทซึเนะยืนอยู่ข้าง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นแยกย้ายไปหาที่พักและเตรียมทำอาหารกลางวัน



"มันต่างกันตรงระดับพลังที่ได้ ถ้าทำพิธีที่โรงเรียนก็จะได้เวทมนตร์ตามที่บอกในม้วนคัมภีร์ แต่ถ้าหากมาทำที่เสาเวทมนตร์ที่อยู่ในดันเจี้ยนหรือที่อื่นอย่างเสานี้ พลังที่ได้จะการทำสัญญาก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าปกติและบางครั้งก็จะสามารถยกระดับเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งมากขึ้น แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่ถึงระดับความเข้มข้นของพลังเวทของแต่ละที่ด้วยนะ"



"อ๋อ ก็เหมือนกับที่ใช้ของที่ดีเท่าไหร่มากระตุ้นให้ไข่สัตว์เลี้ยงฟักที่นายเคยบอกก่อนหน้านี้สินะ" เจนพูดพลางนึกถึงสิ่งที่โจเคยอธิบาย โดยทั้งไข่ก้อนเมฆและน้ำผลอิกดราซิลต่างก็ยังวางอยู่ในช่องเก็บของตัวละครของเธอทั้งคู่



"ใช่ และอีกอย่างนะ ถ้าไปทำพิธีที่โรงเรียนเวทก็จะได้แค่อาชีพนักเวทฝึกหัดเท่านั้น แต่ถ้ามาทำพิธีข้างนอกก็อาจจะได้อาชีพใหม่ก็ได้ แต่ก็เหมือนเป็นการพนันอยู่เพราะมันมีความเสี่ยงเหมือนกันว่าจะได้อาชีพที่ไม่เหมาะสมกันที่ตั้งใจน่ะนะ" โจอธิบาย ในตอนนี้เสาแสงที่ล้อมรอบตัวซินจูหายไปแล้ว แทนที่ด้วยปีกสีขาวที่ออกมาจากหลังของเธอสร้างความประทับใจให้เจนไม่น้อย ดูท่าทางคัมภีร์ของซินจูเองก็ไม่ใช่ระดับต่ำเช่นกัน



"ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย เจน" โจพูดขึ้น เด็กสาวหันมามองด้วยความสงสัยก่อนพยักหน้าให้พูดต่อ "เธอรู้สึกตัวหรือเปล่าว่าตัวเธอเปลี่ยนไปนะ"



"เปลี่ยน? นายหมายความว่ายังไง ฉันเปลี่ยนไปตรงไหน อย่าพูดเชียวนะเรื่องที่ฉัน..." เจนรีบพูดขึ้นมาก่อนแต่โจยกมือปรามไว้



"เปล่าไม่ใช่เรื่องนั้น...ความจริงมันก็อาจจะเกี่ยวแต่นั่นไม่ใช่ที่ฉันตั้งใจจะถาม เธอลองคิดดูซิว่าเมื่อก่อนเธอเป็นยังไงถ้ามาเทียบกับตอนนี้" เด็กหนุ่มหันหน้ามองเด็กสาวที่ยังคงไม่เข้าใจ



"เมื่อก่อนเธอเอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดเอาอยู่หน้าเดียว ตอนเรียนมัธยมเวลามีใครเข้ามาทักก็ทำหน้ายักษ์เข้าใส่จนไม่มีใครกล้าคุยด้วย ถ้าฉันกับแจ็คไม่เข้าหาเธอก็คงมีคนคิดว่าเธอเป็นใบ้แล้วมั้ง ดูตอนนี้สิ เธอพูดมากขึ้น ไม่ทำหน้าเป็นยักษ์เป็นมาร แถมยังคุยกับคนแปลกหน้าอย่างพวกเสือได้ปกติเลยด้วยซ้ำ และอีกอย่างที่ยืนยันคือจู่ๆเธออยากจะช่วยเด็กอามีร่าคนนั้น ถ้าเป็นเธอเมื่อก่อนน่ะหรือ..เหอะ ไม่มีทาง"



เมื่อได้ฟังโจบอกเจนก็เริ่มกลับไปคิด เมื่อก่อนเธออาจจะเป็นคนอย่างที่โจเคยพูดจริง ๆ เพราะแผลที่เคยฝังใจสมัยเด็ก แต่หลังจากเกิดเรื่องที่ทำให้เธอกลายมาเป็นเด็กผู้หญิงก็มีเรื่องราวมากมายต่างระดมเทกันมาใส่เธอทำให้ตัวเธอต้องเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่อง ทัศนคติที่เธอมองคนอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนไปรวมทั้งแผลในใจที่เริ่มสมานกันโดยที่เธอไม่รู้ตัว



ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างพวกเสือซ่อนลายไม่ได้ง่าย ๆ แน่ แต่ตอนนี้เธอถึงกับต้องการที่จะบอกความลับเรื่องดาบที่พยายามปิดเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้เจนยังไม่บอกพวกเขาเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงแต่ในใจของเธอไม่ได้รู้สึกแย่ถ้าหากพวกเขารู้เรื่องนี้



"ไม่รู้สิ...คงจะนิดหน่อยล่ะมั้ง" เด็กสาวว่าแล้วยืนพิงตัวของเพื่อนหนุ่มที่หัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วดันตัวเธอกลับ ไม่ยอมให้พิง



เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดซินจูก็ทำพิธีจนเสร็จเรียบร้อย แสงจากพิธีกรรมทั้งหมดหายไปเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เด็กสาวค่อย ๆ ลอยลงมาสัมผัสกับพื้นหินแล้วจึงลืมตาขึ้น เมื่อซินจูตรวจสอบสถานะของตัวเองและทำหน้าตกใจพยายามเก็บยิ้มเอาไว้ไม่มิดและรีบวิ่งมาหาเจนและโจโดยมีพวกเสือซ่อนลานเดินมาสมทบ



"พี่เจน พี่โจ! ดูนี่สิคะ หนูได้อาชีพปราชญ์แห่งแสงด้วยล่ะ แถมทักษะเกราะแสงประดับ B ก็เพิ่มเป็นระดับ A กลายเป็นทักษะเกราะเทพพิทักษ์ ด้วยล่ะค่ะ" ซินจูพูดอย่างดีใจเพราะนอกจากเธอได้ทักษะระดับสูงมาแล้ว หลังจากเปลี่ยนอาชีพเธอยังได้ทักษะพื้นฐานของนักเวทสายซัพพอร์ททั้งหมดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นเวทรักษาบาดแผลหรือพิษ แม้กระทั่งเวทแก้คำสาปก็ยังมีด้วยเช่นกัน



"ไม่เลวนี่ อย่างนี้พวกเราก็วางใจได้หน่อยแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยเราก็มีนักเวทสายเสริมพลังแล้วก็คงจะสู้ได้ง่ายขึ้นมาบ้างล่ะนะ" เสือซ่อนลายบอก



"เอาล่ะ! คราวนี้ตาฉันบ้างล่ะ อวยพรให้ด้วยนะ!" โจพูดแล้วเดินตรงไปยังเสาเวทมนตร์



เพื่อน ๆ ต่างส่งเสียงเชียร์แล้วพากันจับตามองดูโจ ผู้ที่ครอบครองคัมภีร์เวทระดับ S ถึงแม้ในเกมตอนนี้จะมีผู้เล่นจำนวนมากที่มีเวทมนตร์ระดับเดียวกันอยู่ก็ตาม แต่ต่างก็มีระดับยศอยู่อย่างน้อยคือยศขุนนาง ซึ่งมีผู้เล่นอยู่น้อยมากนักที่จะมีเวทมนตร์ระดับสูงในยศทหารเช่นนี้ และทุกคนที่ได้รับในปัจจุบันต่างก็เป็นคนระดับสูงในกิลด์ใหญ่ ๆ หรือไม่ก็เป็นผู้เล่นที่มีคนกล่าวถึงอยู่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว



โจยื่นคัมภีร์เข้าไปในเสาเวทมนตร์แล้วปล่อยให้มันลอยอยู่บนนั้นแล้วเริ่มท่องคาถา ทันใดนั้นเองบรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป



แทนที่จะมีวงเวทรอบตัวและมีเสาแสงครอบเหมือนอย่างซินจู ร่างของโจลอยขึ้นสูงมากกว่าเด็กสาวเสียอีก ทันใดนั้นเขาก็ถูกสายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งทะลุผ่านร่าง เขาร้องออกมาอย่างน่ากลัวจนเพื่อน ๆ กลัวแทนและพยายามจะเข้าไปหา แต่ก็มีสายฟ้าพุ่งออกมาจากตัวคัมภีร์อย่างต่อเนื่องจนไม่มีโอกาสที่ให้พวกเจนจะเข้าประชิดตัวได้เลย



ก่อนที่พวกเจนจะได้ทำอะไรต่อร่างของโจก็ระเบิดสายฟ้าออกมาพร้อมกับแสงสว่างจนพวกเจนมองไม่เห็นอะไรอีก





จบตอนที่ 12 ปริศนา



----------------------
วันนี้ลงสองตอนนะครับเพราะพรุ่งนี้ผมไม่อยู่ในกรุงเทพ คงไม่ว่างจะมาลง

แล้วก็สวัสดีปีใหม่นะครับ

Tohan-kun
7th January 2014, 11:25
ตอนที่ 13 จุติ เทพสายฟ้า



ณ ที่ทำการใหญ่ของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ เมืองลั่วหยาง

ชายคนหนึ่งอยู่ในชุดเกราะสีน้ำตาลดูท่าทางหรูหรามีราคากำลังเดินอย่างรีบร้อน ทางเดินที่เขาเดินผ่านทุกวันในตอนนี้กลับรู้สึกยาวไกลกว่าทุกวันจนเขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา



เมื่อเขาเดินทางมาถึงจุดหมายและเปิดประตูไม้ที่มีหัวพยัคฆ์เป็นกลอนประตูออกมา จากนั้นเขาเดินเข้ามายังห้องซึ่งมีขนาดใหญ่ ภายในตกแต่งเป็นโทนสีแดงคล้ำ มีชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดผ้าสีเบจกำลังนั่งอ่านข่าวอยู่บนกระดานข่าวสารหลังโต๊ะทำงานในห้อง ด้านข้างมีชุดเกราะงามสีขาวแขวนอยู่ชั้นวางเกราะ เพียงแค่มองก็อนุมานได้เลยว่าต้องเป็นชุดเกราะระดับสูงหาใดเทียบและมีราคาสูงกว่าชุดเกราะสีน้ำตาลที่เขาสวมอยู่อย่างแน่นอน



ชายหนุ่มเงยหน้าจากสิ่งที่อ่านอยู่และมองตามไปยังผู้ที่เดินเข้ามาซึ่งมีสีหน้านิ่งตามปกติที่เขารู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มานาน



"มีอะไรงั้นหรือ จีจิน ปกติตอนนี้นายจะไปอยู่กับพวกลูกกิลด์ในเมืองไม่ใช่หรือ" ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เขามีใบหน้าคมได้รูปจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเทพบุตรลงมาเดินดินเลยทีเดียว ดวงตาสีน้ำตาลลึกล้ำมีประกายเข้ากับผมสั้นสีดำกันอย่างดี



"พอดีมีข่าวมาจากซีโปครับคุณฟาง เห็นว่ามีผู้เล่นหน้าใหม่ได้ทำการต่อสู้กับพวกคนที่เกี่ยวข้องกับพวกกิลด์พิฆาตราชา จะให้ส่งคนไปดูมั้ยครับ" จีจินบอกด้วยเสียงหอบเพราะต้องการรีบส่งข่าวให้กับชายคนนี้รู้ ตัวเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันกับชายตรงหน้า ใบหน้านิ่งที่อยู่ใต้แว่นตากับดวงตาสีม่วงดูน่าหลงใหล ผมยาวมัดเป็นหางม้าทำให้เด็กสาวมากมายหัวใจละลายมาไม่น้อย



"หืม...ได้ยินว่าจีโอกลับไปที่เมืองเริ่มต้นนี่ ส่งข่าวไปให้หมอนั่นช่วยเหลือผู้เล่นแถวนั้นซะ และกำชับเอาไว้ด้วยว่าอย่าเพิ่งไปลงมือกับคนของกิลด์พิฆาตราชา" ฟางหรือชื่อเต็ม หย่งฟางตอบแล้วก้มหน้าลงไปอ่านข่าวของตนต่อ



"เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นหรอกครับ ผู้เล่นพวกนั้นจัดการพวกนักเลงได้เกือบหมด แต่ที่ผมอยากแจ้งให้ทราบคือสายข่าวบอกว่าเขาพบ 'อีกา' ที่อยู่ที่นั่นยังไม่กล้าประมือกับผู้เล่นคนนั้นและหนีไปด้วยครับ" เมื่อหย่งฟางได้ยินเพื่อนของตนพูดถึง อีกา ก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างสนอกสนใจ ชื่อนี้เป็นชื่อที่เขาพยายามติดตามข่าวมานานแล้วแต่ยิ่งตามหาเขาก็จับได้เพียงแค่ขนที่ตกทิ้งเอาไว้เท่านั้น



"หนีไปงั้นหรือ....ได้ชื่อของผู้เล่นที่สู้ด้วยหรือเปล่า" หย่งฟางทำท่าครุ่นคิดก่อนถามขึ้น จีจินพยักหน้าตอบ



"ผู้เล่นที่ประมือกับอีกามีชื่อว่า เจน ครับ คน ๆ นี้รวมกลุ่มกับผู้เล่นหน้าใหม่เช่นเดียวกันอีกหกคนและมีสัตว์เลี้ยงอีกหนึ่งตัวเป็นจิ้งจอกขนสีขาว จะให้หาข้อมูลเพิ่มมั้ยครับ" จีจินถาม



ชายหนุ่มคำนวณข้อมูลที่ได้มาในหัวอย่างชั่งใจก่อนพูดขึ้นมา



"ช่วยหน่อยแล้วกัน ส่งข่าวบอกให้คนในกิลด์คอยมองดูเอาไว้ว่าผู้เล่นนี้ไปที่ไหนบ้างแต่ไม่ต้องให้ใครติดตามไปนะ แค่ให้รายงานเมื่อพบก็พอ....แล้วส่งข่าวนี้ไปให้จีโอด้วย ฉันว่าหมอนั่นต้องชอบแน่ ๆ"



"จะดีหรือครับ" จีจินถาม เพราะเขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวคนที่ชายตรงหน้าพูดถึงนักในเรื่องการทำตามคำสั่ง



"ดีสิ คราวนี้ปล่อยให้หมอนั่นทำตามใจดู คงไม่เกิดเรื่องหรอก แล้วคอยสอดส่องดูว่ามีสายของกิลด์อื่นมาติดตามคนพวกนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะกิลด์วิหคเทเวศ ถ้ามีผู้หญิงในกลุ่มนั้นล่ะก็พวกนั้นคงไม่พลาดที่จะดึงตัวเข้ากิลด์แน่ ๆ" หย่งฟางบอกแล้วยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก



"แล้วไม่ต้องให้คนดูสายของกิลด์พิฆาตราชาหรือครับ" จีจินถามอีกทั้ง ๆ ที่เขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว



"ไม่ต้องหรอก....เรื่องแบบนี้พวกลูกน้องของคราวลี่ย์มันไม่พลาดอยู่แล้ว"







เจนและคนอื่น ๆไม่อาจลืมตาได้เพราะแสงนั้นสว่างมากเกินกว่าดวงตาจะรับไหว เมื่อผ่านไปได้พักหนึ่งแสงก็อ่อนแรงลงจนพวกเธอลืมตาขึ้นมาและพบว่าในตอนนี้โจกำลังลอยตัวอยู่ด้านหน้าเหนือหัวพวกเธอ ร่างของเขามีกระแสไฟฟ้าระเบิดออกมาอยู่ตลอดเวลาอย่างน่ากลัว ดวงตาของโจนั้นดูน่าเกรงขามมากเมื่อเปล่งเป็นแสงสีฟ้าและมีไฟฟ้าเป็นประกาย ผ้าคลุมสีดำลอยปลิวไสวดูท่าทางทรงอำนาจถ้าเขาไม่พูดอะไรออกมาเช่นนี้



"จงเรียกฉันว่า ธันเดอร์โจ!" ชายหนุ่มว่าแล้วสายฟ้าก็ระเบิดออกมาจากตัวเขาเสียงดังโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่ปิดเช่นนี้เสียงก็ยิ่งดังก้องจนทุกคนต้องรีบอุดหูไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าตัวที่เป็นคนปล่อยสายฟ้าออกมา



"โอ๊ย! โจ! นายทำบ้าอะไรเนี่ย!" เจนตะโกนเสียงดังโดยที่มือยังคงอุดหูอยู่



"หา! อะไรนะ!" โจตะโกนตอบ ท่าทางหูคงกำลังอื้อเพราะเสียงสายฟ้าระเบิดของตัวเอง



"ฉันบอก...อ้า!! ช่างมันเถอะ" เจนพูดอย่างหัวเสียแต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปโมโหโจต่อเพราะเธอรู้จักเพื่อนคนนี้มาดีเกินไป



"เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมตอนทำพิธีนายถึงโดนสายฟ้าผ่าใส่ด้วยล่ะ ตอนซินจูทำพิธีไม่เห็นมีอย่างนี้เลย"



"มีสิ แค่เพราะเวทของฉันเป็นระดับ S ก็เลยดูอลังการกว่าไง แล้วไอ้ที่ร้องเมื่อกี้ฉันก็ร้องให้มันเข้ากับบรรยากาศเฉย ๆ อ่ะ" โจพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย จนทำให้เจนอดไม่ได้ที่จะตบหัวแรง ๆ ซักที



"นายนี่มัน...เหลือเกินจริง ๆ" เจนกัดฟันพูดพยายามไม่ทำร้ายร่างกายเพื่อนของตนไปมากกว่านี้



"เอาล่ะ ๆ พอได้แล้ว แล้วตกลงนายได้อาชีพอะไรมาล่ะ" เสือซ่อนลายถาม การที่ใช้คัมภีร์ระดับ S ในการทำพิธีน่าจะได้อาชีพระดับสูงมากในความคิดของเสือซ่อนลาย



"ฉันได้อาชีพจอมเวทเทพสายฟ้า แค่ชื่อก็ฟังดูแข็งแกร่งสุด ๆ แล้ว ฮ่าฮ่า!" โจว่าแล้วเปิดดูทักษะของตน



"ไหนดูซิ... มีเวทไม่มากเท่าไหร่เลยแฮะแถมมีแต่เวทสายฟ้าทั้งนั้นเลยด้วย อย่างน้อยก็มีเวทใช้โจมตีระยะใกล้และไกล แบบนี้ค่อยดีหน่อย"



"เรื่องนั้นไว้ก่อน พวกเรามากินมื้อเที่ยงกันเถอะ ไว้ดูไปกินไปก็ได้ ฉันเตรียมอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว" ไมโกะบอกโดยเธอนำมื้อเที่ยงออกมาแบ่งให้กับทุกคน โดยมื้อนี้เป็นข้าวปั้นฝีมือของเธอเอง



หลังจากที่โจและซินจูต่างศึกษาทักษะของตัวเองที่ได้มาใหม่อยู่พักหนึ่งพร้อมทั้งทานอาหารกับคนอื่นแล้วจึงเริ่มออกเดินทางกันต่อ พวกเจนเริ่มมุ่งหน้าเข้าไปด้านในของสุสานขุนนางต่อโดยคราวนี้เสือซ่อนลายบอกให้โจและซินจูเป็นคนลงมือก่อนเพื่อเป็นการฝึกฝนไปในตัวด้วย



ชายหนุ่มเริ่มโจมตีขุนนางผีดิบตัวแรกที่พบโดยไม่มีโอกาสที่มันจะได้ลอบโจมตีพวกเจนเลยเพราะเพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะที่ถูกใช้ออกมาให้แสงสว่างเป็นวงกว้างจนเห็นผีดิบทุกตัวตลอดทางเดิน



เขาใช้สายฟ้าพุ่งเข้าโจมตีขุนนางผีดิบตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ด้วยระดับของโจที่สูงถึง 56 แล้วในขณะที่ขุนนางผีดิบยังมีระดับอยู่ที่ 58 เช่นเดียวกับทหารผีดิบ สายฟ้าของโจเผาร่างของขุนนางผีดิบได้ในพริบตาจนกลายเป็นแสงไปทั้ง ๆ ที่ดูจะเป็นแค่เวทสายฟ้าธรรมดาเท่านั้น พวกเจนเองที่เห็นพลังทำลายระดับไม่ธรรมดาก็ถึงกับอึ้งในพลังของโจที่เพิ่มขึ้นมาเหมือนกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว



"โห นี่นายเล่นใช้เวทระดับสูงตั้งแต่แรกเลยงั้นหรือ อ๋าาา! รู้จักเพลา ๆ มือมั้งซี่ แบบนี้จะเรียกว่าฝึกได้ยังไง" ยูสตาร์พูด



"ป่าวนะ นี่ฉันใช้เวทโจมตีธรรมดาเท่านั้นเอง เวทสายฟ้าไร้ลักษณ์นี้ใช้ได้ทั้งโจมตีระยะใกล้และระยะไกลแถมยังกินพลังเวทน้อยด้วย แต่ไหงพลังโจมตีถึงได้แรงแบบนี้ล่ะ รายละเอียดทักษะในนี้ไม่เห็นบอกพลังโจมตีเอาไว้เลย" โจพูดพร้อมกันแสดงหน้าต่างให้ยูสตาร์ดู



"เฮ้ย จริงด้วย แค่เวทธรรมดายังแรงขนาดนี้ ถ้านายใช้เวทระดับสูงไม่ทำเอาดันเจี้ยนนี้พังเลยหรือไงกันเนี่ย"



"โกงกันหรือเปล่า ขนาดยัยเจนยังไม่มีพลังโจมตีสูงขนาดนั้นเลยนะเว้ย" แจ็คว่าถึงแม้เขาจะยังไม่เคยเห็นเจนใช้ทักษะจากดาบคุซานางิหรือใช้ทักษะพลังสถิตร่างเลยก็ตาม แต่เจนก็ยอมรับว่าเวทมนตร์ที่โจเพิ่งใช้ไปนั้นรุนแรงมากจนเห็นความต่างของคนที่ยังเป็นแค่นักผจญภัยฝึกหัดกับคนที่ได้เปลี่ยนอาชีพแล้วอย่างเห็นได้ชัด



หลังจากที่เจนหยุดศึกน้ำลายของเพื่อนสนิทของเธอได้แล้วเสือซ่อนลายจึงสั่งให้ซินจูออกมาแสดงฝีมือบ้างแต่ดูท่าทางตัวเธอนั้นไม่มั่นใจเอาซะเลย



"แต่ว่าพี่เสือคะ ทักษะส่วนใหญ่ที่หนูมีก็แค่พวกทักษะสายสนับสนุนทั้งนั้นเลยนะคะ เวทที่ดูจะใช้โจมตีได้ก็มีแค่เวทเดียวเท่านั้นเอง แถมยังต้องใช้เวลาร่ายเวทนานอีกด้วย" เด็กสาวบอกด้วยสีหน้าแสดงถึงความหวั่นใจไม่น้อย



"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปช่วยถ่วงเวลาเอง ซินจูก็ลองใช้เวทสนับสนุนดูด้วยก็แล้วกันนะ พร้อมที่จะลองใช้เวทที่ว่านั่นเมื่อไหร่ก็ให้สัญญาณได้เลย" เจนเสนอตัวพร้อมชักดาบออกมาเตรียมพร้อม ซินจูจ้องมาหาเจนด้วยความซาบซึ้งใจ



"ขอบคุณค่ะพี่เจน ซินจูจะพยายามให้ดีที่สุดเลยค่ะ" เด็กสาวตอบรับอย่างแข็งขัน เจนพยักหน้าให้กำลังใจแล้วจึงหันไปหาคิทซึเนะที่ตอนนี้กำลังมองพวกเจนด้วยความสงสัย



"เจ้านายกำลังพูดเรื่องอะไรหรือคะ ฟังดูเข้าใจยากจังหนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย" สาวน้อยจิ้งจอกเอนหัวถามด้วยความสงสัย



"เดี๋ยวฉันจะออกไปสู้กับพวกผีดิบกับพี่ซินจูเขาน่ะ ทำตัวดี ๆ แล้วคอยอยู่ตรงนี้กับพี่ไมนะ" เขาบอกและเอามือลูบหัวอย่างเอ็นดู



“แค่เจ้าพวกนั้นเดี๋ยวคิทซึเนะใช้ไฟเผาเอาก็ได้ แปปเดียวหนูก็จัดการหมดแล้ว" เด็กสาวไม่พูดเปล่า เธอเร่งเพลิงจิ้งจอกที่ลอยอยู่เหนือหัวจนเปล่งแสงจ้า ทำให้เจนต้องรีบห้ามเอาไว้ก่อนที่จะไม่เหลือผีดิบให้ฝึกฝีมือ



"ไม่ใช่แบบนั้นคิทซึเนะ ฉันกับซินจูจะออกไปสู้กับผีดิบเพื่อเป็นการฝึกฝีมือ เวลาสู้จริง ๆ จะได้รู้ว่าสู้ยังไง เพราะอย่างนั้นก็อยู่เฉย ๆ ตรงนี้นะ เอาไว้ถ้ามีใครจะโดนทำร้ายค่อยลงมือจัดการเจ้าผีดิบตัวนั้นก็แล้วกัน เข้าใจนะ" ถึงแม้คิทซึเนะจะยังไม่เข้าใจนักแต่เธอก็รับปากว่าจะทำตามที่เจนสั่ง



เป้าหมายที่เจนเลือกเป็นทหารผีดิบสองตัวที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี เธอพยักหน้าให้ซินจูก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหาผีดิบทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว



"ข้าแต่พลังแห่งแสงสว่าง จงเพิ่มพลังให้แก่มิตรของข้าด้วยเถิด ไลท์ อิมเพาเวอร์!!" ซินจูร่ายคำเวท ทันใดนั้นเจนรู้สึกได้เลยว่าพละกำลังของเธอเพิ่มขึ้นและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วขึ้นอย่างมาก เผลอ ๆ ยิ่งกว่าทักษะเพิ่มพลังกายของเธอด้วยซ้ำ



เมื่อเห็นว่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นมาเจนก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น เธอพุ่งเข้าหาทหารผีดิบตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดและฟาดดาบออกไปที่แขนของมัน แขนที่เน่าเปื่อยของทหารผีดิบขาดออกจากร่างด้วยเพียงการลงดาบเพียงครั้งเดียวทั้ง ๆ ที่มีชุดเกราะคอยป้องกันเอาไว้อยู่ทำให้เห็นได้ชัดว่าพลังโจมตีของเธอก็เพิ่มขึ้นมามากเลยทีเดียว



เจนจัดการปิดบัญชีตัดหัวของทหารผีดิบตรงหน้าแล้วเข้าปะทะทหารผีดิบอีกตัว คราวนี้เธอตั้งใจให้ทหารผีดิบโจมตีใส่ดูบ้าง ถ้าเป็นตามปกติเมื่อเจนโดนทหารผีดิบโจมตีก็ถึงกับทรุดเลยทีเดียว แต่คราวนี้เจนรู้สึกเหมือนแค่โดนกระแทกแรง ๆ เท่านั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมาก พลังชีวิตที่ลดก็100 ต้น ๆ เท่านั้น แต่ทว่าเมื่อทหารผีดิบเห็นว่าศัตรูของมันตรงหน้าไม่ได้รับบาดเจ็บจึงพยายามจับตัวของเจนเอาไว้ เด็กสาวที่รู้ว่าตนกำลังโดนจับตัวจึงรีบกระโดดถอยหลบออกมาแต่เนื่องจากทหารผีดิบกำแขนเสื้อของเธอเอาไว้แน่นจึงทำให้เสื้อคลุมและเสื้อผ้าฝ้ายด้านในขาดจนเห็นแขนเรียวยาวของเด็กสาว



ในตอนนี้เจนไม่สนเรื่องเสื้อผ้าของตัวเองโดยแม้แต่น้อย ในหัวของเธอมีแต่ความคิดจะจัดการเจ้าผีดิบตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ก่อนที่เจนจะเข้าไปฟาดดาบใส่เข้าผีดิบ เธอก็ได้ยินเสียงเรียกของซินจูจากด้านหลัง



"เวทพร้อมแล้วค่ะพี่เจน ตอนนี้ถอยออกมาได้แล้วล่ะค่ะ!" เมื่อได้ยินดังนั้นจึงนึกได้ว่าเธอกำลังช่วยซินจูฝึกอยู่จึงผ่อนคลายอารมณ์ลงแล้วถอยออกมา



โฮลี่ เซอเคิ่ล!



สิ้นเสียงบริเวณที่อยู่โดยรอบพวกเจนและพวกเสือซ่อนลายก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวสว่างจ้า แทนที่เจนจะรู้สึกแยงตาจากแสงนี้กลับรู้สึกสบายตาและอบอุ่นเหมือนกับว่าเธอถูกแสงนี้โอบกอดเอาไว้ แต่มันมีผลตรงกันข้ามต่อพวกผีดิบแบบสุดขั้ว พวกมันร้องเสียงโหยหวนเหมือนกับว่ากำลังโดนไฟแผดเผา ร่างของทหารผีดิบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วเงยหน้ามองซินจูก่อนจะมีเงาของทหารในชุดเกราะโบราณหลุดออกมาจากร่างผีดิบและกลายเป็นแสงไป



"ยอดไปเลยซินจู! แค่ทีเดียวก็จัดการพวกผีดิบได้เป็นสิบเลย" เสือซ่อนลายชมขณะมองเวทของนักเวทย์สาวที่กำลังแผ่ขยายไปจัดการผีดิบตัวอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก่อนจะจากหายไป



"แบบนี้ถ้าหากเจอพวกผีดิบเยอะ ๆ ล่ะก็ใช้เวทเมื่อกี้ล่ะก็ ตู้ม! เรียบร้อย" แจ็คพูดด้วยความตื่นเต้นแทนคนร่ายบทเวท ซึ่งตอนนี้เธอก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จากคำชมของคนอื่น ๆ ในกลุ่ม



"อะ...เอ๋! ฉันไม่เก่งไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ใช้เวทไปแค่ครั้งเดียวพลังเวทมนตร์ของฉันก็หมดแล้ว แบบนี้ใช้เก็บระดับไม่ได้หรอกค่ะ" ซินจูตอบตามความจริง ถึงทักษะนี้จะรุนแรงมากก็ตาม แต่มีผลเพียงแค่มอนสเตอร์ธาตุความมืดและมอนสเตอร์ชนิดอันเดธกับวิญญาณเท่านั้น ถ้าหากปะทะเข้ากับมอนสเตอร์ชนิดอื่นก็ไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย



"อย่างที่น้องซินพูดนั่นล่ะ อย่างน้อยพวกเราต้องพึ่งตัวเราเองก่อน ทักษะนั้นเอาไว้ใช้จัดการพวกมอนสเตอร์บอสหรือใช้ในยามฉุกเฉินจะดีกว่า ส่วนแค่ผีดิบธรรมดาพวกเราก็คงจัดการกันเองไหว" เสือซ่อนลายพูด



"อ๊ะ พี่เจนเสื้อผ้าขาดหมดเลย ขอโทษนะคะ เป็นเพราะซินจูร่ายเวทช้าแท้ ๆ" เด็กสาวเอ่ยด้วยใบหน้าเสียใจเมื่อสังเกตเห็นแขนเสื้อของเจน ท่าทางของเด็กสาวทำอย่างกับว่าเป็นคนทำแขนเสื้อของเจนขาดซะเองจนเธอเริ่มลำบากใจ



"อะ..เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกนะ ซินจู ฉันเองที่คิดจะลองให้ทหารผีดิบลองโจมตีใส่ดู ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ" เจนพูดปลอบจนซินดูมีสีหน้าดีขึ้นมา



"ขอบคุณค่ะ เอ..ว่าแต่พี่เจนนี่ผิวเนียนดีจังเลยนะคะ ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่ผิวสวยกว่าซินจูซะอีก" คำพูดของเด็กสาวตรงหน้าทำให้เจนต้องลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เจนหันไปมองแขนเรียวยาวของเธอที่เผยออกมาให้เห็นผิวสีชมพูสว่างใสของเธอที่ถูกเปิดเผยออกมา คนอื่น ๆ ที่ได้ยินจึงหันไปมองตามบ้าง



"จริงด้วย ผิวเนียนจริง ๆ เลยเจน เธอทำยังไงหรือถึงได้ผิวสวยขนาดนี้" ไมโกะถามแล้วเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ



"หืม ไม่นึกว่านายจะเป็นผู้ชายที่หมั่นดูแลตัวเองแบบยูสตาร์เลยนะเนี่ย อย่างฉันแค่ออกกำลังกายกับกินผักเยอะ ๆ ก็พอแล้ว ใช่มั้ยพี่ยู" เสือซ่อนลายเอ่ยแล้วหันหาไปยูสตาร์



"ใช่ ฉันเองก็แค่ทาครีมบำรุงบ้างเท่านั้นเองยังไม่ได้แบบนั้นเลยนะเนี่ย ผิวเนียนขาวเป็นสีชมพูอย่างกับผู้หญิงจริง ๆ" เมื่อได้ยินที่ยูสตาร์ว่าและสายตาทั้งสี่คู่จับจ้องมาทางเธอ เจนก็รีบหันข้างก่อนที่พวกซินจูจะนึกอะไรบางอย่างที่เจนพยายามจะปิดบังออกมา



"อะ..เอ่อ อ๋อ! นี่หรอ มันก็แค่.. เอ่อ" เจนพูดตะกุกตะกัก ในหัวของเธอนั้นขาวโพลนไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรดี เธอโกหกไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วและก็คงคิดว่าคงจะไม่สามารถทำได้อีกในครั้งนี้



ชายหนุ่มสองคนมองเพื่อนสาวอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเดินเข้าไปลากเจนออกมาโดยปล่อยให้โจเป็นคนรับหน้าที่เจรจาเอง ถึงเจนจะไม่มั่นใจนักเรื่องที่ให้โจเป็นคนพูดเพราะเธอรู้สึกหวั่นว่าสิ่งที่ออกจากปากเพื่อนคนนี้นั้นจะเป็นอะไรเกินจริงหรือบางอย่างที่เธอจะไม่มีทางทำแน่ ๆ แต่ในตอนนี้เขาคือทางออกที่ดีที่สุดของเจนถึงแม้การบอกความจริงจะทำให้เจนรู้สึกดีกว่าก็ตาม



"นี่โจ เมื่อกี้นายไปโกหกว่าอะไรงั้นหรือ" เจนถามเมื่อเพื่อนหนุ่มเดินกลับมาหา โจยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องสบาย ๆ แต่มันไม่ได้ทำให้เจนรู้สึกสบายใจขึ้นเลย



"ก็ไม่มีอะไรมาก บอกแค่ว่าแม่เธอเป็นคนรักสวยรักงามแล้วเห็นเธอหน้าตาเหมือนผู้หญิงก็เลยฝึกนิสัยให้ดูแลตัวเองคล้ายผู้หญิงตั้งแต่เด็ก ถ้าตัดไอ้ตรงที่ 'ตั้งแต่เด็ก' ออกฉันก็ไม่ได้โกหกพวกนั้นซักนิดเลยนะ เรื่องจริงทั้งนั้น" เมื่อได้เห็นที่โจบอกเจนก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนี่ช่วยเธอไว้โดยไม่ทิ้งปัญหาเอาไว้เหมือนทุก ๆ ครั้งและแน่นอนว่าเมื่อเจนทราบสิ่งที่โจบอกพวกซินจูไปภายหลังเธอก็คงไม่ลืมมาเก็บบัญชีอย่างแน่นอน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปในอนาคต



หลังจากที่นั่งพักฟื้นพลังเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อ คราวนี้การเดินทางยิ่งง่ายเข้าไปอีกเมื่อได้นักเวทตัวจริงมาเป็นกำลังทัพของกลุ่ม ยิ่งมีทั้งเวทสนับสนุนที่สามารถช่วยเหลือได้แทบทุกสถานการณ์และเวทโจมตีที่แม้จะไม่ใช่สายที่พวกผีดิบแพ้โดยตรง แต่เวทสายฟ้าไร้ลักษณ์ของโจก็ทรงพลังมากจนเขาสามารถวิ่งเข้าไปโจมตีระยะประชิดโดยทำใช้มือแตะที่ตัวของผีดิบแล้วปล่อยไฟฟ้าออกจากมือช็อตให้ผีดิบตายในพริบตา



พวกเจนตกลงกันเอาไว้ว่าจะไม่ไปแตะต้องพวกลูกไฟวิญญาณอีกดังนั้นจึงทำให้พวกเสือซ่อนลายมีระดับขึ้นสูงสุดเพียงแค่ 58 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของพวกผีดิบในตอนนี้ ขณะเดียวกันที่เจนมีระดับเพิ่มมาถึง 55 และ 54 ของคิทซึเนะที่ตามมาติด ๆ ดังนั้นพวกเธอจึงโจมตีเหล่าผีดิบที่เข้ามาโจมตีพวกเธอก่อนเท่านั้น โดยกลุ่มยังคงมุ่งหน้าเดินทางเข้าไปด้านในของสุสานต่อไป



"ทำไมพวกนายถึงจะไปต่อล่ะ ตอนนี้ระดับของพวกนายถึงจะสู้กับพวกนี้ไปก็ไม่ขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ" เจนหันไปถามเสือซ่อนลายที่เพิ่งจัดการขุนนางผีดิบไปอีกตัวหนึ่ง หลังจากเก็บของเสร็จเขาจึงหันมาหาเด็กสาว



"เรื่องนั้นฉันรู้แล้วล่ะ แต่จะให้ทิ้งเพื่อนไว้แล้วเดินไปต่อฉันทำไม่ได้หรอก จริงมั้ยพี่ยู" เสือซ่อนลายหันไปถามยูสตาร์ที่เพิ่งยิงธนูพุ่งเข้าปักหัวของผีดิบที่ไมโกะกำลังสู้อยู่



"ใช่ ๆ ๆ อย่าเพิ่งชวนคุยตอนนี้ได้มั้ยเนี่ย" ชายหนุ่มพูดอย่างไม่สบอารมณ์เพราะกำลังถูกรบกวนสมาธิ เขาหันกลับมาหรี่ตาเล็งแล้วยิงศรอีกดอกส่งให้ทหารผีดิบให้เป็นแสงตามพรรคพวกของมันไป



"อย่ากังวลเลยน่าเจน ก็ถือซะว่าให้โจกับซินจูฝึกใช้ทักษะด้วยไง แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่ได้มีคนเข้ามานานแล้ว พวกนักเลงคงไม่ได้เข้ามาถึงลึกขนาดนี้หรอก เอาเป็นว่ามาสำรวจถ้ำดูก็ไม่เห็นจะเสียหายนี่นา" ไมโกะว่าและเดินเข้ามาตบไหล่เจนเบา ๆ ซึ่งทำให้เธออุ่นใจมาก คนพวกนี้ทำดีต่อเธอเหลือเกินเหมือนกับว่ารู้จักกันมานานแล้ว เจนไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะพบน้ำใจขนาดนี้ในยุคปัจจุบัน



"จะว่าไปปกติแล้วตามสุสานพวกนี้มักจะมีของอย่างพวกสมบัติซ่อนเอาไว้อยู่ไม่ใช่หรือ อย่างพวกในภาพยนตร์หรือในเกมอะไรแบบนี้ไง" แจ็คพูดขึ้นมา



"ใช่ แบบเกมที่เราเล่นกันก่อนหน้านี้ไงโจ ที่มีผู้ชายสวมหมวกหนังถือแส่นั่นน่ะ สร้างเป็นภาคที่สิบแล้วมั้ง" โจเสริม



"เดี๋ยว ๆ นี่นายหมายถึงตอนไหนกัน" เจนถามด้วยความสงสัย



"ก็ช่วงที่ออฟไลน์ไง ถามมาได้"



"นายนี่เหลือเชื่อจริง ๆ ตอนตื่นนายก็เล่นเกม ตอนหลับก็เล่นเกม หัดไปทำอย่างอื่นบ้างสิ"



"ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้เป็นไง จำที่เราซ้อมกันไว้เมื่อเดือนที่แล้วได้มั้ย เอาไว้ออฟไลน์แล้วพวกเราไปทำกันเลยมั้ย บอกไว้ก่อน นี่ความคิดเธอนะ" โจพูดทำให้เจนนึกถึงความคิดบ้า ๆ ที่เธอเคยคิดจะทำร่วมกับพวกโจเมื่อนานมาแล้ว ไม่คิดว่าเจ้าเพื่อนคนนี้จะจำได้แล้วเอามาใช้กับเธอซะอย่างนั้น



ในอีกซักพักต่อมาเจนและเพื่อนๆก็พบกับทางตัน ทางเดินที่ควรจะมีต่อถูกซากปรักหักพังขวางทางเอาไว้จนไม่สามารถไปต่อได้ นี่เป็นเส้นทางสุดท้ายที่พวกเธอสำรวจ เส้นทางอื่นนอกเหนือจากนี้ถ้าไม่เจอทางตันก็พบซากแบบเดียวกันนี้ขวางทางเอาไว้อยู่



"เสาพวกนี้คงหักลงมาเองตามธรรมชาติเหมือนกันที่อื่น ๆ ในส่วนนี้ของสุสานคงสร้างมานานแล้ว ไม้พวกนี้ดูเก่ากว่าตรงทางเข้ามากเลย" ยูสตาร์พูดด้วยท่าทางเหมือนกับเป็นมืออาชีพจนเจนอดสงสัยไม่ได้



"นายรู้ได้ยังไงน่ะ นอกเกมนายทำงานเป็นนายพรานงั้นหรือ"



"เปล่า ฉันซื้อหนังสือทักษะตามรอยมาตอนอยู่ที่เมืองเริ่มต้น ทักษะนี้ช่วยให้ฉันสามารถตามรอยของมอนสเตอร์หรือผู้เล่นได้จากร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ แต่ฉันใช้บ่อยจนทำให้มันเพิ่มระดับและรู้ได้ถึงรายระเอียดของร่องรอยอื่น ๆ ด้วย ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ แต่มันก็มีประโยชน์ดีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักสืบไปเลยล่ะ" ยูสตาร์ตอบ ท่าทางเขาชอบทักษะนี้มากเลยทีเดียว



"แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้พวกเราติดอยู่ในนี้ หาทางไปต่อไม่ได้ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันจะไม่ค้างคืนในนี้แน่" ไมโกะพูด



"ซินจูก็เหมือนกันค่ะ ตอนนี้รู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว" เสียงใสพูดเสริม ตามจริงเจนเองก็คิดอย่างนั้นอยู่เช่นเดียวกัน เธออยากจะกลับไปในเมืองแล้วซ่อมเสื้อผ้าของเธอจะแย่



"เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกเราก็..-"



"ตรงนี้มีทางไปต่อด้วยล่ะ" คิทซึเนะพูดขัดเจนขึ้นมา ทุกคนหันไปมองเด็กสาวจิ้งจอกก็พบว่าเธอกำลังยืนอยู่หน้าช่องแคบ ๆ ที่เจนไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นช่องขนาดเล็กที่อาจจะไม่ทันมองได้หากไม่สังเกตดี ๆ



"เป็นไปได้ยังไง ฉันว่าเมื่อกี้ฉันสำรวจดูแล้วนะว่าไม่มีทางลับตรงไหน" ยูสตาร์ผู้รับหน้าที่เป็นคนนำทางพูดอย่างไม่อยากจะยอมรับว่าตนนั้นพลาดไป



"ไม่แปลกหรอกที่พี่สี่ตาจะไม่เห็น เมื่อกี้ตรงนี้ถูกลงมนตร์ลวงตาระดับสูงเอาไว้ ถ้าพี่ไม่ใช่จิ้งจอกอย่างหนูหรือพวกทานูกิล่ะก็ไม่มีทางเห็นหรอก" คิทซึเนะพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ



"หมายความว่ายังไงหรือจ๊ะคิทซึเนะ ที่ว่าจิ้งจอกกับทานูกิน่ะ" ซินจูถาม



"ท่านแม่บอกว่าพวกเราจิ้งจอกกับพวกทานูกิเป็นเผ่าที่มีพลังแห่งภาพลวงตาสูงที่สุดที่บ้านหนูในหุบเขา เพราะอย่างนั้นท่านแม่เลยสอนให้หนูถึงวิธีคลายมนตร์ลวงตาตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ"



ทุกคนได้ยินคิทซึเนะพูดก็ถึงกับอึ้ง ไม่เพียงมีพลังที่เทียบได้กับผู้เล่นยศขุนนาง แต่ยังสามารถคลายเวทลวงตาซึ่งเป็นเวทระดับสูงเลยทีเดียว ขนาดผู้เล่นระดับราชาบางคนยังไม่มีทักษะคลายเวทลวงตาเลยด้วยซ้ำ และที่ทุกคนสงสัยยิ่งกว่าคือ 'ท่านแม่' ที่คิทซึเนะพูดถึงคือใคร แม้ว่าเจนจะรู้แล้วแต่เธอก็ไม่คิดจะบอกใครอย่างเด็ดขาดถึงเรื่องของมาเอะ



พวกเจนตัดสินใจว่าจะเข้าไปยังทางลับต่อ หลังจากผ่านช่องนั้นมาได้อย่างทุลักทุเลเพราะขนาดของมัน โดยเฉพาะสองจอกับเสือซ่อนลายโดยเสือกับแจ็คนั้นติดเพราะทั้งสองตัวใหญ่และมีกล้ามโต ในขณะที่โจติดเพราะขนาดของพุงที่ลอกมาจากโลกจริง



ตอนนี้เจนหลุดมาอยู่ในทางเดินยาวอีกครั้ง แต่ตรงนี้ต่างจากที่ผ่านมาเพราะผนังโดยรอบนั้นดูสภาพดีกว่ามาก โคมไฟก็ถูกจุดติดทุกดวงตลอดทางเดินยาวที่ไม่มีทางแยกอื่นเลย พวกเจนเดินอยู่บนพรมแดงปููยาวตลอดทางและไม่มีมอนสเตอร์เลยแม้แต่ตัวเดียวในทางเดินนี้จนรู้สึกแปลก ๆ และน่าขนลุก



พวกเจนเดินไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องกว้าง ครั้งนี้ห้องมีขนาดใหญ่กว้างกว่าห้องที่เจนเจอเสาเวทมนตร์มาก ตรงกลางห้องมีรูปปั้นทหารดินเผายืนอยู่นับร้อยตัวและอีกด้านก็เป็นรูปปั้นคนที่อยู่ในชุดคล้ายกับขุนนางจำนวนพอ ๆ กัน นั่นไม่ทำในเจนรู้สึกวางใจเลยแม้แต่น้อย ใจกลางของเหล่ารูปนั้นเป็นโลงศพขนาดใหญ่และพูดอลังการที่สุดที่เจนเคยพบเพราะมันประดับด้วยเพชรและอัญมณีนับไม่ถ้วน นี่ยังไม่รวมถึงเสาสี่ต้นที่ล้อมโลงศพอยู่นั้นทำจากทองคำทั้งแท่ง



"ดูนั่นไง สมบัติที่ว่า เห็นมั้ยบอกแล้วไม่มีผิด ฮ่า ๆ !" โจพูดและหันไปตีมือกับแจ็คดังฉาดใหญ่แล้วจึงพากันเข้าไปที่โลงศพนั้นพร้อมกับยูสตาร์ที่ตามไปอีกคน



"มันง่ายไปหน่อยหรือเปล่า จู่ ๆ ก็มาเจอทางลับที่พาตรงมาถึงคลังเก็บสมบัติแบบนี้เนี่ยนะ" ไมโกะพูดขึ้นด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก ซินจูเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันแต่พูดกันตามจริงเธอก็ไม่เคยรู้สึกดีกับที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว



"มันอาจจะง่ายจริง ๆ ก็ได้ ลองคิดดูสิว่าจะมีใครผ่านเวทลวงตามาได้ ไม่ว่าใครก็คงหาทางผ่านมาไม่ได้ง่าย ๆ แน่ ถ้าไม่ได้คิทซึเนะพวกเราเองก็คงจะกลับเมืองไปแล้ว จริงมั้ย"



"จริงด้วยค่ะ พี่เสือ" คิทซึเนะพยักหน้าตอบคำเสือซ่อนลายและได้ลูบหัวเป็นรางวัล หางของเธอส่ายไปมาอย่างชอบใจ



ถึงคิทซึเนะจะพูดอย่างนั้นก็ตามแต่เจนก็ไม่คิดว่ามันจะมีอยู่แค่นั้นอย่างแน่นอน เธอหันไปมองดูรอบ ๆ ว่าเผื่อจะสังเกตเห็นอะไรแต่เธอก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ที่โลงศพในตอนนี้สามหนุ่มกำลังพยายามงัดอัญมณีออกมาจากโลงศพ โดยแจ็คและยูสตาร์ต่างใช้มีดพยายามงัดมันออกมาในขณะที่โจจัดการเสาทองคำ



เท่าที่เห็นทั้งแจ็คและยูสตาร์ต่างไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักกับอัญมณี ต่างกับโจที่ใช้ทักษะให้เป็นประโยชน์ เขาใช้สายฟ้าคลุมมือแล้วเริ่มหลอมทองให้หลุดออกจากฐานและนำใส่กระเป๋าได้ ในตอนแรกก็ทำไม่สำเร็จจนเด็กหนุ่มต้องเร่งพลังให้สูงขึ้นจนมีแสงแวบวับออกจากมือของเขาไปทั่วห้อง จนในที่สุดโจก็หลอมเสาทองคำทั้งสี่เสาให้กลายเป็นทองคำก้องสี่ก้อนแล้วจึงเก็บใส่กระเป๋าและเข้าไปสมทบพวกยู



ทว่าทันใดนั้นเองชายหนุ่มทั้งสามก็เหมือนกับถูกพลังบางอย่างกระแทกใส่จนทำให้ร่างลอยกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง พวกเจนที่เหลืต่างชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมสู้ทันที



โลงศพที่เคยตั้งอยู่เฉย ๆ นั้นลอยขึ้นสูงเหนือพื้นดินราวกับมีเวทมนตร์ คิทซึเนะแยกเขี้ยวขู่แล้วรีบวิ่งไปด้านหน้าเจนเพื่อปกป้องเจ้านายอย่างรวดเร็วทำให้เธอรู้ว่าคราวนี้เธอเจอเข้ากับบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาเข้าซะแล้ว



ตูม!!



โลงศพระเบิดออกอย่างรุนแรง เพชรและ อัญมณีที่เคยล้ำค่าตอนนี้เป็นดั่งกระสุนถูกสาดออกไปทั่วทิศทางจนไม่สามารถหลบได้เลย โชคดีที่ซินจูใช้ทักษะเกราะเทพพิทักษ์ทันทีตั้งแต่เธอได้ยินเสียงระเบิด ก่อนที่เหล่าเพชรและอัญมณีจะทำร้ายพวกเจนและพวกโจที่นอนไม่ได้สติอยู่มุมต่าง ๆ ของห้อง ก็มีโล่ขนาดใหญ่ซึ่งทำจากแสงสีขาวนวลมาขว้างกั้นเอาไว้ กระสุนพุ่งปะทะโล่แล้วกระเด็นออกไปอย่างง่ายดายโดยไม่สามารถฝากไว้แม้แต่รอยขีดข่วน



พอควันจากการระเบิดจางลงก็ปรากฏร่างสูงในชุดสีม่วง ใบหน้าของร่างนั้นเน่าเฟะ ดวงตาสีดำขลับกำลังจ้องมายังผู้บุกรุกที่กล้ามารบกวนการนอนของมัน แล้วทันใดนั้นมันก็ตะโกนร้องออกมาเสียงดังราวกับเป็นเสียงคำรามของอสูรร้าย เสียงอันแหบห้าวสะท้อนไปทั่วห้องอย่างน่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นกำลังปรากฏต่อหน้าพวกเจนแล้ว



เหล่ารูปปั้นดินเผาต่างสั่นไปมาทันทีที่ร่างที่ลอยอยู่ตะโกน ไม่ต้องรอนานเกินสงสัยเพราะเหล่าทหารผีดิบและขุนนางผีดิบต่างกะเทาะร่างของมันหลุดออกมาจากรูปปั้น ไม่เพียงเท่านั้นเพราะทางเดินที่พวกเจนผ่านมาก็มีผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเดินตรงหน้ามาเช่นเดียวกัน



จักรพรรดิผีดิบ

ชั้นทหาร ระดับ 90

ราชาของเหล่าผีดิบ มีทั้งความแข็งแกร่งและใช้เวทมนตร์ได้อย่างทรงพลัง เมื่อมันตื่นจักทำลายผู้ที่มารบกวนการนิทราให้สิ้น

การโจมตีธาตุความมืดไม่มีผล แพ้ธาตุไฟและแสงสว่าง



"แย่ล่ะ นี่มันมอสเตอร์บอส!! ทุกคนรีบมารวมตัวกันก่อนเร็วเข้า!" เสือซ่อนลายตะโกนเสียงดังและยกโล่ชูขึ้นมาเตรียมต่อสู้ แจ็คและโจต่างรีบวิ่งเข้ามารวมกลุ่มแต่ยูสตาร์นั้นกระเด็นออกไปไกลกว่ามากและในตอนนี้เขาก็ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าผีดิบซะแล้ว



"พี่ยู!!" ซินจูตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นว่าพี่ชายของเธอนั้นอยู่ในอันตรายจึงจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ก่อนที่เธอจะออกไปจากกลุ่ม เจนก็จับไหล่ยั้งตัวเธอเอาไว้แล้วพูดขึ้น



"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันไปช่วยพี่เขาเอง" ว่าแล้วเจนพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เหล่าผีดิบที่เห็นศัตรูเข้ามาหาถึงที่จึงพุ่งเป้าไปหาเจนแทนแต่ก็ยังมีผีดิบอีกเป็นจำนวนมากที่ยังคงเข้าไปหายูสตาร์โดยที่เขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย



ผ่ามิติ!!



คลื่นดาบขนาดยักษ์พุ่งตัดผ่านร่างนับสิบในพริบตา เหล่าผีดิบที่โดนทักษะนี้ไปต่างก็กลายเป็นแสงอย่างไร้ทางป้องกัน เปิดช่องว่างให้เจนวิ่งเข้าไปหายูสตาร์และพยุงตัวเขาขึ้นมาได้



"หะ เฮ้ย! เมื่อกี้มันทักษะอะไรน่ะเจน!" ยูสตาร์ถามด้วยความตกใจ



"ทักษะของดาบน่ะ รื่องนี้เอาไว้ก่อน ถ้ารอดแล้วค่อยว่ากัน ตอนพอนี้วิ่งไหวมั้ย" เจนถามกลับเพราะเธอยังต้องรอเวลาอีกครู่หนึ่งเพื่อจะใช้ทักษะได้อีกครั้ง แต่สิบวินาทีมันเหมือนจะนานเกินไปหน่อยเพราะจำนวนมหาศาลของผีดิบนั้นต่างท้วมท้นเข้ามาโดยผ่ามิติของเจนที่ใช้ไปเมื่อครู่นั้นแทบไม่ได้สร้างความแตกต่างเลยแม้แต่น้อย



ยูสตาร์รู้สถานการณ์ดี เขาพยักหน้าแล้วเตรียมตัวที่จะวิ่งไปสมทบกับพวกเสือซ่อนลาย เจนใช้ผ่ามิติออกไปอีกครั้งผ่าเหล่าผีดิบให้กลายเป็นแสงไปอีกรอบ ทั้งสองออกวิ่งทันทีที่คลื่นดาบพุ่งออกจากดาบแต่เหล่าผีดิบต่างก็ดาหน้าเข้ามากันไม่หยุดจนปิดดั้นทางหนีเอาไว้ ไร้ซึ่งทางรอด



"วิ่งต่อไปเซ่! หยุดพักทำไมเล่า!!" เสียงของโจตะโกนดังก้อง ทันใดนั้นสายฟ้าสายนับไม่ถ้วนก็พุ่งมาจากด้านหน้าของเจนเผาเหล่าผีดิบนับร้อยให้กลายเป็นเถ้าในครั้งเดียว ตรงหน้าของเธอนั้นเป็นชายหนุ่มที่มีสายฟ้าวิ่งพล่านไปทั้งตัว ดวงตาของเขาเรืองแสงและมีสายฟ้าพุ่งออกมาตลอดเวลา 'ธันเดอร์โจ'



"มีทักษะแบบนี้ทำไมไม่รีบใช้ตั้งแต่แรกหะ" เจนหันไปถามเมื่อพายูสตาร์มาสมทบกลุ่มอย่างปลอดภัย



"เธอเองก็เหมือนกันแหละ เมื่อกี้ฉันใช้พลังเวทไปเยอะมากจนเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว เอาไงดีเสือ" โจหันไปหาชายหนุ่มผู้ถือโล่อันใหญ่ที่กำลังพยายามมองสถานการณ์โดยรอบ



"เจน ทักษะเมื่อกี้ใช้ได้อีกกี่ครั้ง" เสือซ่อนลายถาม



"อีกประมาณสี่ครั้ง แต่ทักษะนี้มีดีเลย์อยู่สิบวิ ใช้ติดต่อกันไม่ได้ อย่างเร็วฉันก็คงใช้ได้อีกสามครั้งก่อนพวกผีดิบมาถึงตัว ผ่ามิติ!! สองครั้งแล้ว!"



"ระเบิดเพลิงของฉันก็เหลืออยู่ไม่มากแล้วด้วย มีแผนอะไรก็รีบ ๆ เลยเร็วเข้า" ไมโกะร้องตะโกนพร้อมกับปาระเบิดใส่กลุ่มผีดิบที่ใกล้เข้ามา



แต่ในขณะที่พวกเจนไม่ทันสังเกต จักรพรรดิผีดิบที่ลอยตัวอยู่นั้นก็กำลังร่ายมนตร์ ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เหนือหัวพวกเธอโดยไม่มีใครมองเห็น แต่เมื่อแจ็คหันไปพบและร้องเตือนก็สายไปซะแล้ว ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่ากับรสบัสกำลังพุ่งเข้าหาพวกเจนโดยไร้ทางหยุดโดยในตอนนี้เจนก็ไม่สามารถใช้ผ่ามิติได้เนื่องจากติดดีเลย์



แต่ในความสิ้นหวังนั้นเองความหวังก็ปรากฏตัวขึ้น คิทซึเนะพุ่งขึ้นฟ้าและปล่อยบอลเพลิงจิ้งจอกนับสิบลูกเข้าปะทะก้อนน้ำแข็ง ในตอนนี้เธอไม่สามารถร่ายเพลิงจิ้งจอกที่มีขนาดใหญ่สู้กับก้อนน้ำแข็งของจักรพรรดิผีดิบได้ แต่เธอก็ทดแทนด้วยจำนวนเข้าสู้จนน้ำแข็งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ถึงมีบางก้อนกระทบพวกเจนบ้างแต่ก็บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



จิ้งจอกน้อยลงสู่พื้นโดยสวัสดิภาพ สายตาของเธอจ้องมองไปที่จักรพรรดิผีดิบที่จ้องมองกลับมาด้วยความโกรธ คิทซึเนะไม่รีรอส่งเพลิงจิ้งจอกเข้าใส่ทันที ร่างของราชาผีดิบโดนเพลิงจิ้งจอกเข้าเต็ม ๆ แต่ก็ยังไม่อาจจะจัดการมันได้เพราะเพลิงสีน้ำเงินที่ไหม้อยู่บนร่างของมันนั้นดับลงจากการสะบัดผ้าคลุมเพียงครั้งเดียว แต่คิทซึเนะก็สามารถสร้างความเสียหายไปให้แก่มันไปไม่น้อย



"ยอดไปเลยคิทซึเนะ! จัดการเผามันให้เกรียมไปเลย!" เจนชมสัตว์เลี้ยงของเธอ แต่พอเธอสังเกตดูอีกทีก็พบว่าสีหน้าของจิ้งจอกน้อยนั้นดูไม่ค่อยดีนัก



"หนูเจ็บขาจังเลยอ่าเจ้านาย เหนื่อยด้วย เวทน้ำแข็งเจ้าผีบ้านั่นส่งมาระเบิดมาโดนขาหนูอ่ะ เจ็บจนกระโดดไม่ไหวแล้ว" คิทซึเนะร้องโอดโอย เมื่อเจนก้มลงดูอาการบาดเจ็บก็พบว่าขาของจิ้งจอกน้อยนั้นบวมและห้อเลือดจนดูอาการหนักกว่าที่เด็กสาวพูดซะอีก



"แย่ล่ะสิ คิทซึเนะมาบาดเจ็บแบบนี้ก็ไม่มีใครไปยันกลับเจ้าผีดิบบนนั้นสิ แค่พวกผีดิบธรรมดา พวกเราก็แทบจะเต็มกลืนแล้ว" โจว่าพร้อมส่งสายฟ้าใส่ทหารผีดิบที่เข้ามาถึงตัวให้กลายเป็นแสงไปโดยส่งเพื่อน ๆ ของมันด้านหลังอีกนับสิบตามไปด้วย



ในตอนนี้เจนไม่คิดจะส่งคิทซึเนะออกไปสู้กับจักรพรรดิผีดิบอีกอย่างแน่นอน เจนรีบหันไปหาพวกเสือซ่อนลายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



"พวกนายยันพวกผีดิบเอาไว้จนกว่าซินจูจะร่ายเวทโฮลี่ เซอเคิ่ลเสร็จ เดี๋ยวฉันยันเจ้าผีดิบบ้านั้นเอง"



"จะบ้าหรือไงเจน ขนาดคิทซึเนะยังบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น เธอออกไปก็สู้มันไม่ไหวหรอก" ไมโกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่ตอนนั้นเองเธอก็มองดูใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของเจน เธอขยิบตาให้ก่อนที่จะตอบกลับ



"ไม่เป็นไร ฉันเองก็ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่เหมือนกัน..." เมื่อพูดจบพวกเสือซ่อนลายก็รู้สึกได้ทันทีถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งเหล่าผีดิบก็หยุดโจมตีด้วยเพราะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากร่างของหญิงสาวตรงหน้า



พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ออร่าสีทองพุ่งออกมาจากตัวของเจน เงาของจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าพวกเสือซ่อนลายที่ทำอะไรไม่ถูก พวกโจเองก็ถึงกับอ้าปากค้างถึงแม้เขาจะรู้ว่าเจนมีทักษะระดับ S ที่พวกเขายังไม่เคยเห็นแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้ แม้กระทั่งจักรพรรดิผีดิบก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างของเด็กสาวตรงหน้า



"ฉันอยู่ในร่างนี้ได้อีกไม่นานนัก ต้องใช้เวลาเท่าไหร่งั้นหรือถึงจะร่ายเวทเสร็จ" เจนในร่างที่ถูกปกคลุมด้วยออร่าสีทองของจิ้งจอกเก้าหางหันมาถาม เด็กสาวยังไม่ตอบและมองค้างไปที่เจนจนไมโกะสะกิดเบา ๆ จนรู้สึกตัว



"อ๊ะ! ค่ะ! ห้านาทีค่ะ! ขอเวลาห้านาที!" ซินจูตอบ เจนพยักหน้ารับแล้วหันไปหาเสือซ่อนลาย ทั้งสองพยักหน้าให้กันและเจนก็พุ่งเข้าใส่จักรพรรดิผีดิบทันทีก่อนที่มันจะฉวยโอกาสเล่นงานพวกเธอตอนกำลังเผลอ



"ซินจู หลังจากเธอร่ายเวทเสริมพลังให้ทุกคนเสร็จแล้วก็เริ่มร่ายเวทได้เลย" เสือซ่อนลายตะโกนเสียงดัง



"เข้าใจแล้วค่ะ!"



"คนอื่น ๆ ปกป้องซินจูเอาไว้ให้ได้!!"



"โอ้!!!" ทุกคนตะโกนรับไม่เว้นแม้แค่คิทซึเนะ หลังจากซินจูร่ายเวทเสริมพลังให้กับทุกคนเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็เริ่มร่ายเวทโฮลี่ เซอเคิ่ลทันทีพร้อมกันกับช่วงเดียวกันที่เหล่าผีดิบต่างเริ่มโจมตีอีกครั้ง



เจนพุ่งเข้าปะทะกับจักรพรรดิผีดิบ เธอเข้าระยะประชิดอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่ามันคงเป็นสายเวทมนตร์เช่นเดียวกับขุนนางผีดิบ ไม่ถนัดการโจมตีระยะประชิด แต่ทันใดนั้นมันก็ชักดาบออกมาจากฝักดาบข้างตัวแล้วฟาดใส่เด็กสาวอย่างรุนแรง เมื่อรู้ว่าตัวเองคำนวณพลาดไปเจนช้าเกินกว่าที่จะหลบแล้ว เจนจึงรีบยกดาบเข้ากันการโจมตี



เปรี้ยง!!!



เสียงปะทะระหว่างดาบสองเล่มดังสนั่นไปทั่วและเกิดแรงกระแทกจนต้องถอยกลับไปทั้งสองฝ่ายแต่ดูเหมือนคนที่ถอยไปไกลกว่าจะเป็นฝ่ายจักรพรรดิผีดิบ เจนรีบพุ่งเข้าโจมตีทันทีโดยไม่รอให้ตั้งตัวได้ทัน แต่จักรพรรดิผีดิบก็ยังสามารถยกดาบขึ้นมากันเอาไว้ได้



ยิ่งนานเข้าเจนก็รู้สึกได้ว่าดาบของจักรพรรดิผีดิบก็เริ่มทวีกำลังและความเร็วมากขึ้น แม้ว่าเจนยังตามความเร็วดาบของจักรพรรดิผีดิบได้ไม่ยากแต่เห็นได้ชัดว่าร่างพลังสถิตนี้เน้นไปที่ความเร็ว เพราะถึงจะเพิ่มพละกำลังขึ้นมามากแต่ก็ยังไม่อาจเทียบกำลังของจักรพรรดิผีดิบได้



เจนเริ่มคิดหาทางสู้โดยเลี่ยงการปะทะตรง ๆ และบินด้วยความเร็วสูงพร้อมใช้ดาบตวัดใส่เหมือนกับตอนที่สู้กับโกเลมหินผา แต่ว่าเมื่อเธอบินถอยออกห่างเพื่อเพิ่มความเร็วก็ต้องเจอกับหอกน้ำแข็งที่จักรพรรดิผีดิบร่ายขึ้นมาโจมตีใส่ ถึงมันจะมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ด้วยจำนวนมหาศาลทำให้เจนยากที่จะหลบเลี่ยงและต้องเข้ามาจู่โจมในระยะประชิดที่เธอเสียเปรียบอีกครั้ง



เมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ จักรพรรดิผีดิบก็ยิ่งรุกหนักมากยิ่งขึ้นจนเจนทำได้แค่ยกดาบกันการโจมตีเอาไว้จนมือรู้สึกด้านชาไปหมด ถ้าหากเจนยังไม่หาวิธีเอาชนะได้ในเร็ว ๆ นี้ล่ะก็เธอคงไม่รอดอย่างแน่นอน



ในขณะเดียวกันนั้นเองพวกเสือซ่อนลายก็เจอเข้ากับฝูงผีดิบก็ไม่ได้มีสถานการณ์ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก แม้โจจะสามารถจัดการพวกผีดิบเหล่านี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ด้วยจำนวนมหาศาลขนาดนี้และพลังเวทของเขาแทบจะไม่เหลือแล้วทำให้สถานการณ์เริ่มที่จะขับขันมากขึ้น คนอื่น ๆ อย่างยูสตาร์และแจ็คที่มีพลังโจมตีไม่มากนักก็แทบไม่ได้สร้างความแตกต่างเลย มีเพียงเสือซ่อนลายและไมโกะที่เก่งกาจในการโจมตีระยะประชิด พอจะทำให้พวกผีดิบออกห่างจากตัวซินจูที่ยังร่ายเวทอยู่ แต่ระยะห่างก็เริ่มแคบลงเรื่อย ๆ เนื่องจากจำนวนของผีดิบ



ขุนนางผีดิบตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังและใช้เวทให้โครงกระดูกล็อกขาของไมโกะเอาไว้พร้อมกับฟาดกรงเล็บใส่



"กรี้ดดด!" เธอส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด



ยูสตาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงยิงธนูใส่ผีดิบขุนนางที่โจมตีใส่ไมโกะให้ถอยออกห่างจากเด็กสาว ลูกธนูพุ่งเข้าปักที่หัวอย่างจังทำให้มันเซล้มลงไปบนพื้น ในขณะเดียวกันแจ็คก็รีบยกร่างของไมโกะที่ติดคำสาปทำให้ขยับไม่ได้เข้ามาในวงล้อมใกล้กับซินจูแต่มันอาจจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วเมื่อผีดิบได้ฝ่าวงล้อมเข้ามาแล้ว



เจนเหลือบไปมองยังพวกซินจูเมื่อเธอได้ยินเสียงร้องของไมโกะ ใจของเธอหายวาบเมื่อเห็นแจ็คกำลังพาร่างของเพื่อนสาวหลบเหล่าผีดิบที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอมองไปที่โจเพื่อเป็นความหวังว่าจะช่วย ทว่าเธอเห็นโจที่กำลังดื่มยาขวดสีฟ้าและปล่อยสายฟ้าใส่กองทัพผีดิบอยู่อีกด้าน ซึ่งจุดที่เขาอยู่นั้นไม่มีทางเลยที่จะไปช่วยพวกไมโกะทัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่โจไม่อาจละไปจากที่นี่ได้ก็เพราะซินจูที่อยู่ด้านหลังเขาซึ่งกำลังร่ายเวทอาจเป็นอันตรายได้ทุกเมื่อ



อีกด้านซึ่งเสือซ่อนลายสู้อยู่เพียงคนเดียวนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าด้านอื่น ๆ นัก ตัวเขานั้นยังไม่มีอาชีพแต่ก็สามารถยันเหล่าผีดิบได้มาถึงขนาดนี้ได้ด้วยโล่และพลังป้องกันสูง แต่เขาเองก็ไม่ได้จัดการผีดิบไปมากนักทำให้มีจำนวนผีดิบอยู่ทางด้านนี้เป็นจำนวนมาก ร่างของเสือซ่อนลายเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ ตัวเขาที่เจอการโจมตีจากทหารผีดิบที่รุมดาหน้าเขามา ในขณะที่พวกขุนนางผีดิบนั้นอยู่อีกด้านในฝั่งที่พวกไมโกะเผชิญ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาเองก็คงประสบชะตากรรมเดียวกันไปแล้ว



ในตอนนี้พลังชีวิตเขาลดลงต่ำมากและบางทีเขาเองอาจจะตายเป็นคนแรกก็ได้โดยไม่สามารถถอยไปไหนได้เลยเนื่องจากร่างน้อย ๆ ของคิทซึเนะที่บาดเจ็บจนไม่สามารถสู้ต่อไปได้อีกนอนอยู่ด้านหลังของเขา



เมื่อเจนเห็นร่างของคิทซึเนะในหัวของเธอก็ขาวโพลนไปหมด โดยไม่ทันคาดคิดเจนหันหลังให้กับคู่ต่อสู้และยกดาบขึ้นสูงก่อนจะฟาดลงมาพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น



ผ่ามิติ!!!



ครั้งนี้ทักษะนั้นต่างจากเคย คลื่นดาบสีทองพุ่งออกจากดาบด้วยความเร็วสูงก่อนกระทบลงพื้นตรงหน้าระหว่างพวกยูสตาร์และเมือซ่อนลาย ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นเป็นวงกว้าง แรงระเบิดทำให้เหล่าผีดิบกระเด็นออกจากพวกเสือซ่อนลายและช่วยพวกเขาได้อย่างเฉียดฉิว เหล่าผีดิบจำนวนมากที่อยู่ใกล้ต่างก็สลายกลายเป็นผุยผงไม่เหลือแม้แต่ซาก ความรุนแรงของทักษะที่จู่ ๆ สูงขึ้นมาขนาดนี้ทำให้ตัวเจนเองแปลกใจมากเช่นกัน



"เจน ระวัง!!!" เสียงร้องตะโกนของเสือซ่อนลายเรียกสติของเจนให้กลับมา เธอรีบหันกลับไปหาจักรพรรดิผีดิบ แต่เบื้องหน้าของเธอในเวลานี้คือดาบเล่มใหญ่ที่กำลังจะผลาญชีวิตของเธอในชั่วขณะ พลังเวทมนตร์ของเธอลดลงจนเหลือไม่ถึง 300 ไม่ว่าทักษะใดที่ตัวเธอมีในตอนนี้ก็ไม่อาจทำให้เจนรอดไปได้...นอกจากปาฏิหาริย์เท่านั้น



โฮลี่ เซอเคิ่ล!!



สิ้นเสียงของซินจู ก็ปรากฏอาณาเขตแสงสีขาวครอบคลุมทั้งห้อง เหลาผีดิบทุกตัวร้องตะโกนโหยหวนไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิผีดิบที่ทิ้งดาบลงสู่พื้นและร้องตะโกนอย่างทรมาน เพียงพริบตาเดียวเหล่าผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นผง ทิ้งเอาไว้เพียงร่างสีขาวของเหล่าทหารและขุนนางในอดีตซึ่งมองพวกเจนด้วยสายตาอบอุ่นราวกับกำลังกล่าวขอบคุณและร่างเหล่านั้นก็จางหายไป



เจนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่ทันใดนั้นเองออร่าสีทองที่ห้อหุ้มตัวเธออยู่ก็สลายไปแล้วร่างของเธอก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างควบคุมไม่ได้ เจนรู้ทันทีว่าตอนนี้พลังเวทของเธอเพิ่งหมดลง



"ม้ายยยยยยย!!"



ตุ้บ!!



เสียงตะโกนของเด็กสาวดังและตามมาด้วยเสียงกระแทกสู้พื้นกระเบื้อง แขนข้างซ้ายของเจนรู้สึกเจ็บจนขยับไม่ได้เนื่องจากเธอใช้มันเป็นที่กันกระแทก ดีที่เธอลอยอยู่เหนือพื้นไม่สูงมากนักเลยบาดเจ็บแค่เล็กหน่อย ถ้าหากเธออยู่สูงกว่านี้บางทีคงไม่ใช่เจ็บแค่แขนอย่างเดียว



"อู้ย เจ็บ ๆ ๆ" เจนพูดและลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก



"พี่เจน! เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ รอก่อนนะคะเดี๋ยวซินจูจะรีบรักษาให้เดี๋ยวนี้ล่ะ" เด็กสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา เธอใช้มือประคองเอาไว้ใกล้กับแขนของเจนจากนั้นก็มีแสงสีเขียวส่องออกมาจากมือของซินจู อาการบาดเจ็บที่แขนของเจนก็เริ่มรู้สึกบรรเทาลง



"ขอบคุณนะ...ทั้งเรื่องแผล ทั้งเรื่องที่ช่วยทุกคนเอาไว้ ขอบคุณมากเลย ซินจู" เจนกล่าว ซินจูยิ้มและหัวเราะเบา ๆ ด้วยความอายและตั้งหน้าตั้งตารักษาแขนของเจนต่อไป โดยพวกเสือซ่อนลายต่างเดินมาสมทบกับพวกเธอ



แต่ตอนนั้นเองเสียงครางที่คุ้นหูของเจนก็ดังขึ้นอีกครั้งจากด้านหลัง เด็กสาวรีบคว้าตัวผู้เยียวยาและใช้ตัวเองบังร่างของเธอเอาไว้โดยสัญชาติญาณ เจนมองร่างเน่าเปื่อยตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะว่าจักรพรรดิผีดิบยังรอดอยู่ได้ ร่างของมันในตอนนี้ส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่านคล้ายกับถูกเผา ดวงตาของมันจดจ้องมาที่ซินจูและเจนอย่างโกรธแค้น



"บะ...บ้าน่า! มันยังรอดอยู่อีกหรอเนี่ย!" เสือซ่อนลายพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาพยายามวิ่งเข้าไปช่วยแต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่สะสมทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้าเกินไป



เจนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน และตอนนี้พลังเวทไม่เหลือพอที่จะต่อกรกับจักรพรรดิผีดิบได้เลย ซินจูเองก็เช่นเดียวกัน



จักรพรรดิผีดิบยกดาบขึ้นสูงอีกครั้งเตรียมจะฟันอริผู้ที่สังหารเหล่าทาสของมันไปจนสิ้น มันร้องตะโกนสุดเสียงแล้วฟาดลงมาโดยไม่ออมแรง



กระสุนสายฟ้า!!



ตูม!!



เสียงตะโกนดังพร้อมกับก้อนสายฟ้าขนาดเล็กพุ่งเข้าปะทะดาบของจักรพรรดิผีดิบเข้าอย่างจังก่อนที่มันจะทะลุไปพร้อมทั้งทำลายตัวดาบเป็นชิ้น ๆ



ก้อนสายฟ้าไม่หยุดเพียงแค่นั้น มันพุ่งเข้าปะทะร่างของราชาผีดิบเข้าเต็ม ๆ โดยที่มันไม่มีโอกาสได้ป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย เพียงเสี้ยววินาทีพลังสายฟ้าก็พุ่งทะลุร่างของมันไปทิ้งรูขนาดใหญ่พอ ๆ กับลูกบอลและยังพุ่งต่อไปพร้อมทั้งทำลายกำแพงห้องซะกระจุยทิ้งให้พวกเจนมองอย่างไม่เชื่อสายตาในพลังทำลายมหาศาลของกระสุนเวทนั้น



เมื่อหันกลับไปยังที่มาของเสียงเจนก็พบว่านั่นเป็นฝีมือของโจที่ยืนชี้นิ้วไปยังจักรพรรดิผีดิบโดยมีควันลอยอยู่ที่นิ้วชี้ของเขา โจยกนิ้วมาจรดปากก่อนเป่าเบา ๆ ให้ควันหายไปและทำท่าเก็บซองปืนเลียนแบบคาวบอย



"กลับลงหลุมไปซะเถอะ ไอ้บ้าเอ้ย!"





จบตอนที่ 13 จุติ เทพสายฟ้า
---------------------------

santisook01
7th January 2014, 15:58
พึ่งอ่านจบไปสองตอน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อ่านนิยายแนวนี้มาก่อนก็ตามแต่คงต้องบอกว่า...
-เนื้อเรื่องสนุกมาก
-บทบรรยายก็ดีเยี่ยมเห็นภาพได้ชัด
-การวางโครงเรื่องและความเป็นมาเป็นไปถือว่าลงตัว
-มีการใช้คำผิดความหมายเล็กน้อยแต่โดยรวมถือว่าดีมาก
-เรื่องคำเกริ่นที่ผมกล่าวไปตั้งแต่คราวแรกถ้าหากว่าผู้เขียนแก้ได้ก็จะดีมากนะครับ เพราะคำที่ใช้ในเนื้อเรื่องมันดีกว่าที่คุณเกริ่นไว้
-สิ่งที่ผมชอบที่สุดขณะอ่านคือ "เจน" จากคำบรรยายของคุณคงเป็นคนที่น่ารักจริง ๆ (ฮา)

Tohan-kun
8th January 2014, 12:47
ตอนที่ 14 Money in the bank



เจนยังตกใจมองตาค้างอยู่ที่รูขนาดใหญ่บนกำแพง พระจันทร์เต็มดวงปรากฏอยู่บนฟ้าส่องแสงลงมาผ่านรูที่โจทำเอาไว้ ซ้ำร้ายกำแพงนั้นก็เริ่มพังทลายลงมาจนไม่เหลือชิ้นดีจนทำให้เธอมองเห็นป่าเลยออกไปจากบริเวณสุสานได้อย่างชัดเจนจากจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้



"งืม...อืม.." เสียงครางของคิทซึเนะดังขึ้นให้เจนหันไปมอง ตอนนั้นเองเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าจิ้งจอกน้อยได้รับบาดเจ็บอยู่จึงรีบดึงร่างของซินจูเข้าไปหาทันที



เมื่อไปถึงตัวคิทซึเนะก็พบว่าร่างของเธอนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากเหล่าผีดิบและขาของเธอที่บวมจากก้อนน้ำแข็งของจักรพรรดิผีดิบก่อนหน้านี้ แต่ที่น่าแปลกคือบาดแผลทั่วตัวของเธอกำลังประสานตัวกัน ถึงจะช้าแต่แผลขนาดเล็กก็ค่อย ๆ ปิดลงจนหายดี



"ดูนี่สิพี่เจน แผลพวกนี้กำลังรักษาตัวเองด้วยล่ะ แต่ว่าซินจูยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ" เด็กสาวพูดขึ้น ตอนนี้เธอพลังเวทหมดลงแล้วจึงคว้าน้ำยาเพิ่มพลังสีฟ้าในกระเป๋าและยกขึ้นดื่ม แต่ตอนที่เธอกำลังรอให้พลังเวทฟื้นฟูกลับมาก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนร่างของจิ้งจอกน้อย



เจนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้านี่เป็นความสามารถพิเศษของคิทซึเนะล่ะก็มันควรจะมีอยู่ในแถบข้อมูลสัตว์เลี้ยง เมื่อลองเปิดดูเจนก็พบว่ามันมีอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ในแถบทักษะของคิทซึเนะมีทักษะใหม่เพิ่มขึ้นมา



ทักษะ ทายาทแห่งดวงจันทร์ ไม่ใช้พลังเวท ทักษะติดตัว

ทักษะระดับ S ผู้ที่มีทักษะนี้ได้จะต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่บูชาเทพแห่งดวงจันทร์เท่านั้น จะสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์ได้เล็กน้อยเมื่อร่างต้องแสงจันทร์



"มีทักษะใหม่จริง ๆ ด้วย สงสัยได้มาตอนเพิ่มระดับแน่ เป็นทักษะที่ฟื้นพลังตัวเองได้เมื่ออาบแสงจากพระจันทร์....แต่มันช้าจังเลยแฮะ" เจนว่า เพราะถึงสามารถฟื้นพลังได้แต่ก็เร็วกว่านั่งพักเฉย ๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอหันมาหาเด็กสาวจอมเวทแล้วพูดต่อ



"ซินจู ช่วยทีนะ"



เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วเริ่มลงมือรักษาทันที เพียงแค่ครู่เดียวบาดแผลทั้งหมดของคิทซึนะก็หายเป็นปลิดทิ้ง รอยบวมที่ขาก็ค่อย ๆ ลดลงจนหายเป็นปกติ ใบหน้าของเธอดูดีขึ้นมามากเพียงแต่ยังไม่ตื่นขึ้นมาเท่านั้นเอง



อีกด้านพวกโจก็เข้ามาสมทบกับเจนและซินจู หลังจากเด็กสาวรักษาบาดแผลของทุกคนเสร็จแล้วจึงพากันไปเก็บของที่ตกจากผีดิบและผีดิบตัวพ่อที่อยู่ไม่ไกล แน่นอนว่าทุกคนตรงไปหาตัวที่จัดการยากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก



"เจ้าผีดิบตัวหัวหน้านั่นจะให้ของอะไรมานะ ถ้าไม่ได้ของดี ๆ ล่ะก็น่าดู" โจพูดขึ้นมาพลางคิดต่าง ๆ นา ๆ ว่าจะได้ของระดับสูง



"นายทำใจเอาไว้บ้างก็ดีนะ โจ บางทีเกมนี้ก็โหดร้ายอยู่เหมือนกัน จัดการมอนสเตอร์บอสได้แต่ให้ค่าประสบการณ์น้อยนิด แถมยังได้ของธรรมดาอีกต่างหาก" เสือซ่อนลายบอก



"นายพูดถึงไอ้ตัวอสูรพฤกษาระดับบอสที่เกาะเริ่มต้นใช่มั้ย"



"ใช่ ไอ้ตัวนั้นแหละ ฉันไปจัดการมันตายกลับมาหลายรอบ ของที่ได้มาขายได้ไม่ถึงห้าร้อยโกลด์แถมค่าประสบการณ์ก็ไม่คุ้มเท่าที่เสียไปด้วย" เสือซ่อนลายบ่นออกมาอย่างเหนื่อยใจ



"แปลว่านายคงยังไม่รู้เรื่องนี้ล่ะสิ ไอ้อสูรพฤกษาตัวนั้นเป็นแค่มอนสเตอร์พิเศษที่ตั้งให้เป็นระดับบอสเท่านั้นแหละ ความจริงแล้วไอ้ตัวนั้นเป็นแค่มอนสเตอร์ระดับธรรมดาอยู่ป่าลึกเข้าไปอีก และให้ของดีกว่าตัวนั้นกับให้ค่าประสบการณ์มากกว่าด้วย" จากนั้นโจก็ เริ่มเล่าเรื่องราวการผจญภัยของตนและแจ็คที่นำผู้เล่นจำนวนมากไปจัดการอสูรพฤกษา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่เขาป้องกันเมืองจากฝูงกระทิง ซึ่งเจนที่ได้ยินเข้าก็รู้สึกหนาวสันหลังเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้เนื่องจากเธอเองที่เป็นต้นเหตุในเรื่องนั้น



เจนรีบเดินออกห่างจากทั้งสองคนโดยอุ้มคิทซึเนะที่หลับอุตุขึ้นหลังมาด้วย เมื่อมาถึงจุดที่จักรพรรดิผีดิบสลายไปเจนก็พบกับกระดูกกองเล็กอยู่ข้าง ๆ มีดาบธรรมดาหนึ่งเล่มและผ้าคลุมสีแดงดูหมอง ๆ กองอยู่บนพื้นอีกผืน



"อ๋าาาา มีของตกมาแค่สามอย่างเอง ดูเหมือนพวกเราจะได้กระดูกของราชาต้องสาปมานะ ส่วนดาบกับผ้าคลุมเป็นไอเท็มปิดผนึก" ยูสตาร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนักเพราะของที่ได้มาดูไม่ค่อยคุ้มค้ากับที่เจอฝูงผีดิบรุมซักเท่าไหร่



"แบบนี้ก็แย่สิ พวกเราไม่รู้จักคนที่มีทักษะคลายผนึกซะด้วย อย่างนี้ก็เสี่ยงไปเจอพวกโจรหลอกรับคลายผนึกของอีก คงต้องเก็บเอาไว้ก่อนล่ะ" ไมโกะพูดพลางยกดาบและผ้าคลุมขึ้นมาดู



"ไหน ของฉันดูหน่อย" เจนบอกแล้วรับของทั้งสองอย่างมาจากไมโกะ ไอเท็มทั้งสองชั้นในตอนนี้เป็นแค่ของธรรมดาที่ขึ้นเอาไว้ว่าถูกปิดผนึกอยู่ในรายระเอียด เจนใช้ทักษะปลดผนึกกับของทั้งสองทันที



ดาบอสูรคลั่ง ระดับ A

พลังโจมตี: 700

ดาบที่ถูกตีขึ้นโดยเผ่าอสูร ถูกลงอาคมเวททำให้มีพลังทำลายสูงกว่าดาบทั่วไป แต่เนื่องจากดาบทำขึ้นเพื่อเหล่าอสูรจึงมีขนาดใหญ่ ทำให้ใช้ได้ลำบาก ว่ากันว่าผู้ใดที่ไม่ใช่อสูรเป็นผู้ถือครองจะถูกครอบงำด้วยพลังของดาบ

- เพิ่มพลังโจมตี 100 ต่อศัตรูที่จัดการได้ แต่มีโอกาสจะติดสถานะคลั่งเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน



ผ้าคลุมปราชญ์เวท ระดับ A

พลังป้องกัน: 60

ผ้าคลุมจอมเวทจากดินแดนแห่งเวทมนตร์ มีพลังเปลี่ยนสภาพไปตามเวทมนตร์ที่ผู้สวมใส่ใช้ ช่วยเพิ่มให้เวทมนตร์ที่ร่ายออกมาทรงพลังยิ่งขึ้น

- เพิ่มพลังเวทมนตร์สูงสุดอีก 1000

- สามารถผนึกเวทเอาไว้จำนวน 1 บท และสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องร่ายเวท พลังเวทมนตร์และดีเลย์

- สามารถผนึกเวทเพื่อกำหนดธาตุของผ้าคลุมโดยจะป้องกันการโจมตีจากธาตุนั้น 100 เปอร์เซ็นต์ ธาตุอื่น ๆ 50 เปอร์เซ็นต์ และธาตุที่เสียเปรียบ 25 เปอร์เซ็นต์

- ช่วยให้พลังโจมตีของเวทมนตร์ที่ใช้สองเท่าเมื่อเป็นเวทมนตร์ธาตุเดียวกับที่ผนึกไว้บนผ้าคลุม



"โอ้โห! ทั้งสองอย่างเป็นของระดับ A ซะด้วย ดาบอสูรคลั่งกับผ้าคลุมปราชญ์เวท ฉันว่าก็ไม่เลวนะ" เจนบอกแล้วส่งคืนให้ไมโกะ



"อ้าว นี่เธอมีทักษะคลายผนึกด้วยหรอเนี่ย แบบนี้ก็สบายแล้วสิ ทีหลังได้ของมาก็เอามาให้คลายผนึกให้ ไม่ต้องไปเสี่ยงโดนพวกหัวขโมยหลอก" ยูสตาร์กล่าว เจนไม่ได้บอกไปว่าทักษะที่เธอมีไม่ใช่แค่ทักษะคลายผนึกธรรมดา แต่เป็นทักษะปลดผนึกที่เวลานี้ทั้งเกมมีเธอเป็นคนเดียวที่มีทักษะนี้ เธอคิดว่าในตอนนี้แค่ดาบกับทักษะอื่น ๆ ที่เธอให้พวกเสือซ่อนลายเห็นก็น่าตกใจพออยู่แล้ว ยังไม่มีความจำเป็นต้องให้พวกเขารู้สึกตกใจกับทักษะปลดผนึกเพิ่มในตอนนี้



"หืม ดาบนี่พลังโจมตีสูงมากเลย จะเอาไปใช้ดูมั้ยเจน" เสือซ่อนลายถามหลังจากรับดาบมาดู แต่เจนส่ายหัวปฏิเสธ



"ไม่ล่ะ ฉันมีดาบใช้อยู่แล้ว คงไม่เปลี่ยนเร็ว ๆ นี้หรอก พี่เสือเอาไปใช้เถอะ"



"จะดีหรือ ฉันเองไม่ค่อยได้ช่วยสู้อะไรเลยนะ เอาดาบนี่ไปขายก็น่าจะได้เงินมามากอยู่..." เสือซ่อนลายกล่าวอย่างถ่อมตัว เขารู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้เขาไม่สมควรที่จะได้ของระดับสูงเช่นดาบอสูรคลั่งเล่มนี้เลย



"เอาไปเถอะน่า ยังไงในกลุ่มพวกเราก็มีนายกับเจนแค่สองคนที่ใช้ดาบ ถ้าเอาไปขายมันก็น่าเสียดายออก เอาเก็บไว้ใช้เถอะ" โจบอกจนเสือซ่อนลายตกลงรับดาบไป ถึงดาบจะมีขนาดใหญ่แต่เสือซ่อนลายก็สามารถถือได้ด้วยมือข้างเดียวได้อย่างสบาย ๆ



ดาบที่เขาถืออยู่เป็นดาบเหล็กเนื้องามรูปทรงยุโรปโบราณ ด้ามจับพันด้วยหนังทำให้เสือซ่อนลายรู้สึกเหมาะมือเป็นอย่างมาก



"แล้วผ้าคลุมนี่ล่ะ รู้สึกว่าจะเป็นผ้าคลุมสำหรับนักเวทนะ ถ้าอย่างนั้นคนที่ควรจะได้ไปคงจะเป็นโจไม่ก็ซินจูสิ ได้อาชีพแล้วทั้งคู่เลยนี่" แจ็คบอก แต่เมื่อซินจูมองดูรูปร่างของมันก็ทำหน้าเบ้ทันที



"หนูไม่เอาหรอกนะผ้าคลุมอันนั้นน่ะ ไม่เห็นสวยเลยอ่ะ แถมดูน่ากลัวด้วย" ดูท่าทางรสนิยมของเธอจะอยู่เหนือเกมนี้ซะแล้ว



"ซินจู ของแบบนี้มันหาไม่ได้ง่าย ๆ นะ ของดีแบบนี้ใคร ๆ ก็อยากได้" เจนหันไปบอกเด็กสาว แต่ท่าทางของเธอปฏิเสธอยู่ท่าเดียว เจนหันไปมองผ้าคลุมก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าทำไม



ผ้าคลุมปราชญ์เวทเป็นชุดคลุมคล้ายกับที่โจกำลังสวมอยู่ โดยเนื้อผ้าส่วนด้านหน้าจะเป็นสีดำและส่วนของผ้าคลุมสีแดง ชายผ้าก็มีรอยขาดทำให้ดูเก่าโทรมจนไม่น่าใช้จนเหมือนกับของที่ทิ้งแล้ว บริเวณด้านหน้ามีลูกแก้วเวทมนตร์ติดอยู่ตรงหน้าอก ไม่แปลกที่เด็กผู้หญิงรักสวยรักงามอย่างซินจูจะไม่ชอบผ้าคลุมผืนนี้



"ถ้าอย่างนั้นฉันขอก็แล้วกันนะ ยังไงของแบบนี้ก็เหมาะกับฉันอยู่แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!" โจหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เจนรู้สึกหมั่นไส้อยากจะริบผ้าคลุมไปให้ซินจูซะเหลือเกิน ถ้าไม่ติดที่ว่าโจเป็นคนจัดการจักรพรรดิผีดิบล่ะก็



ชายหนุ่มเปลี่ยนผ้าคลุมของตนทันที เดิมชุดคลุมของโจก็ทำให้เขาดูเหมือนผู้เล่นระดับสูงอยู่แล้ว พอได้ผ้าคลุมมาก็ยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นมากเลยทีเดียว ยิ่งตอนนี้โจได้มีเวทมนตร์ที่สุดยอดอยู่แล้วด้วย



"นี่ ฉันขอกระดูกของราชาต้องสาปได้มั้ย ถึงฉันไม่ค่อยได้ช่วยอะไร แถมยังเป็นตัวถ่วง...-"



"ถ่วงอะไรกันล่ะคะพี่ไม ถ้าไม่ได้พี่ค่อยช่วย ซินจูก็คงร่ายเวทไม่จบแน่ๆ"



"ใช่แล้วล่ะ พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีหน้าที่กันทุกคน ไม่มีใครเป็นตัวถ่วงหรอก ถ้าเธออยากได้ก็เอาไปเถอะ" เสือซ่อนลายพูดเสริมซินจู



ไมโกะได้ยินดังนั้นจึงยิ้มให้พร้อมก้มหัวให้กับทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณแล้วจึงเก็บของใส่กระเป๋าไป



"เอาล่ะ ตอนนี้ของก็แบ่งกันเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือพวกเราก็เก็บของที่ตกอยู่บนพื้นไปขายกันเถอะ พวกเพชรกับอัญมณีที่ระเบิดออกมาเมื่อกี้คงขายได้เยอะน่าดูเลย" ยูสตาร์พูดขึ้น



แต่เมื่อทุกคนกำลังจะแยกย้ายไปเก็บของที่ตกอยู่ เจนก็ได้ยินเสียงเสียงพูดคุยกันเสียงดังมาจากซากกำแพงที่เวทของโจทำเอาไว้ ท่าทางคนอื่น ๆ เองก็ได้ยินเช่นเดียวกันแต่ตอนนี้โจกลับดูมีท่าทางตื่นตกใจที่สุดอย่างไม่รู้สาเหตุ



"แย่ล่ะ ทุกคนรีบกลับเมืองเร็วเข้า!" เด็กหนุ่มตะโกนบอก



"หา พูดอะไรของนายน่ะโจ จะให้ทิ้งของพวกนี้แล้วกลับตอนนี้เนี่ยนะ ไม่มีทางซะล่ะ" แจ็คบอก เจนเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ทำไมจะต้องกลับเมืองในตอนนี้ด้วย กองเงินรออยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องทิ้งมันเอาไว้ คนอื่นเองก็มองอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน



"ฟังนะ พวกเราเพิ่งจัดการมอนสเตอร์บอสได้นะ แล้วถ้ามีคนมาเห็นพวกเราตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น คิดดูสิ" โจว่า ในตอนแรกเจนก็ยังไม่เข้าใจที่โจพูด แต่ทันใดนั้นเองเธอก็เห็นภาพของผู้เล่นกิลด์พิฆาตราชาลอยเข้ามาในหัว



"พวกเราจะโดนปล้น? แต่บางทีถ้าพวกนั้นเป็นแค่ผู้เล่นทั่วไปก็น่าจะไม่มีปัญหาไม่ใช่หรือไง" เจนถาม



"ฉันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นโจรหรือไม่นะ ถ้าเกิดคนอื่นมาเห็นของมากมายขนาดนี้ตกอยู่บนพื้น ใครๆก็ต้องคิดว่าต้องเป็นมอนสเตอร์บอสแน่ และของที่ตกไปทั่วแบบนี้เป็นเพชรกับของราคาแพงเป็นจำนวนมากแล้วด้วยก็ต้องคิดอีกว่าไอเท็มที่ได้มาบอสจะต้องมีค่ามหาศาลแน่นอน" เสือซ่อนลายที่คิดได้บอกถึงความเห็นของตน



"ใช่ แล้วในตอนนี้พวกเราก็ไม่พร้อมที่จะสู้กับใครทั้งนั้น พวกเรารีบไปจากที่นี่ก่อนที่จะโดนรุมยำดีกว่าเร็วเข้า" โจว่าแล้วจึงรีบล้วงไปยังกระเป๋าของตนและควานหาอะไรบางอย่าง เขาหยิบแผ่นกระดาษใบเล็ก ๆ ขึ้นมาสามใบก่อนจะส่งให้เจนและแจ็คคนละใบ เสือซ่อนลายเองก็ส่งกระดาษแบบเดียวกันให้คนในกลุ่ม



กระดาษแบบนี้เจนรู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน มันเป็นกระดาษแบบเดียวกับที่ผู้เล่นอันธพาลที่เจอหน้าทางเข้าสุสานขุนนางนั่นเอง เจนพอจะเข้าใจแล้วว่ากระดาษแผ่นนี้ใช้ทำอะไรและใช้ยังไง



เมื่อทุกคนได้รับกระดาษ โจก็ฉีกมันออกเป็นสองชิ้น ร่างของโจกลายเป็นแสงหายไปทันที คนอื่นๆทำตามแล้วก็หายไปเช่นเดียวกัน เจนรีบใช้ปากฉีกกระดาษของเธอเพราะมืออีกข้างเธอกำลังใช้อุ้มคิทซึเนะอยู่ เธอรู้สึกเหมือนร่างกำลังลอยอยู่บนฟ้า แสงสว่างส่องเข้าตาของเธอจนมองไม่เห็นอะไรในขณะที่ร่างกำลังกลายเป็นแสงและหายไปจนที่ ๆ เธออยู่



ร่างของเจนหายไปทันเวลาพอดีที่ผู้เล่นนับร้อยเดินเข้ามาทางซากกำแพง พวกเขาต่างมาดูเพราะเห็นแสงสีฟ้าพุ่งทะลุขึ้นมาจากจุดนี้ เสียงระเบิดของมันดังมากจนไม่มีใครที่อยู่ในบริเวณสุสานผีดิบไม่ได้ยิน คนส่วนใหญ่ไม่กล้ามาที่นี่เพราะกลัวว่าจะเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงอาละวาดหรือเป็นการต่อสู้ของผู้เล่นระดับสูง ส่วนผู้เล่นที่มาดูเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น โดยไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้รางวัลสำหรับความกล้าหาญ เมื่อพวกเขาผ่านเข้ามาได้ก็พบกับเพชรและอัญมณีจำนวนมากตกอยู่ไปทั่วบริเวณ นอกจากนั้นยังมีกระดูกและเศษผ้าจากขุนนางผีดิบที่ขายได้ราคาดีตกอยู่ทั่วบริเวณ



ผู้เล่นเหล่านั้นต่างวิ่งเข้ามาเก็บของกันชุลมุน นอกจากนั้นเขายังส่งข่าวบอกเพื่อน ๆ ของตนอีกด้วยทำให้จุดที่ควรจะเป็นจุดที่ลึกลับที่สุดของดันเจี้ยนแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยผู้เล่นมากมายที่มาค้นหาสมบัติกัน ถึงของราคาแพงอย่างเพชรหรืออัญมณีนั้นหมดไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้วก็ตาม แต่จุดนี้ยังมีไอเท็มธรรมดาที่ตกจากทหารผีดิบกับขุนนางผีดิบอยู่มหาศาลจนเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ทว่างานรื่นเริงนี้ก็อยู่ได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น



ในช่วงเวลาเดียวกันของอาทิตย์ต่อมา ขณะที่เหล่าผู้เล่นกำลังสำรวจพื้นที่ตามปกติอยู่นั้นก็มีควันสีม่วงปรากฏขึ้น ณ ใจกลางห้อง ผู้เล่นหลายคนต่างนึกดีใจว่ามีกิจกรรมเกิดขึ้นที่นี่จึงเรียกเพื่อนๆให้มารวมตัวกัน โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพียงเวลาไม่นานแต่ก็เพียงพอที่เรียกรวมคนมาจากเป็นจำนวนมาก จักรพรรดิผีดิบก็กลับมาจากโลกแห่งความตายอีกครั้ง แต่ห้องอันเป็นที่พักพิงของมันที่เคยสงบสุขกลับวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้เล่นจำนวนมาก และวินาทีที่มันปรากฏตัวขึ้นก็ยังถูกรุมโจมตีจากเวทหลายสิบบทและอาวุธนานาชนิด แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีพลังโจมตีมากพอที่จะทำอันตรายมันได้



ทันใดนั้นเองจักรพรรดิผีดิบก็เสกให้เหล่าผีดิบมหาศาลตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผีดิบที่อยู่ในสุสานขุนนางหรือนอกสุสานต่างผุดขึ้นมาจากพื้นดินจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับมดที่แตกรัง พวกมันต่างพุ่งตรงเข้าจัดการเหล่าผู้เล่นที่ตื่นตะลึงกับจำนวนของผีดิบตรงหน้า เพียงสิบนาที ห้องนั้นก็ไม่เหลือผู้เล่นแม้แต่คนเดียว เหล่าผีดิบยังไม่หยุดเท่านั้น พวกมันตรงไปยังด้านนอกของสุสานขุนนางแล้วเริ่มจัดการผู้เล่นทุกคนที่มันเห็นให้ออกไปจากบริเวณสุสานจนหมดสิ้น จากนั้นเองสุสานผีดิบแห่งนี้ก็เป็นดันเจี้ยนที่ถือว่าอันตรายมากเนื่องจากจำนวนของผีดิบที่มหาศาลและอยู่กันเป็นกลุ่มตลอดเวลา ส่วนจักรพรรดิผีดิบเมื่อมันรู้ว่าสมบัติของมันได้หายไป มันก็ส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นดังลั่นฟ้าพร้อมกับร่างของมันพี่พุ่งหายไป จากนั้นก็มีข่าวลือว่าคนที่ครอบครองเพชรและอัญมณีของได้มาจากที่แห่งนี้อยู่ต่างก็ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนเพชรและอัญมณีที่ว่าก็ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย







ร่างของพวกเจนปรากฏตัวขึ้นที่ลานใจกลางเมืองซีโป คนทั่วไปต่างเดินทำธุระของตนโดยไม่สนใจพวกเธอเลยซักนิดเพราะภาพที่เหล่าผู้เล่นโผล่ออกมาใจกลางเมืองในสภาพสะบักสะบอมนั้นเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตา ดังนั้นเมื่อมีผู้เล่นส่งเสียงดังที่ใจกลางเมืองเช่นนี้ คนที่อยู่แถวนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอต่างก็หันมามองเพียงแวบเดียวและเมินไม่สนใจ



เจนยังรู้สึกมึนไม่หายกับการวาปครั้งแรกของเธอ มันให้ความรู้สึกต่างจากที่เธอถูกส่งเข้าเกมหลังจากสร้างตัวละครเอามาก ๆ เลยทีเดียว หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าคิทซึเนะยังอยู่บนหลังของเธอ จากนั้นเธอจึงหันไปหาพวกเสือซ่อนลายที่กำลังคุยกันถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น



"ฟู่! เกือบไปนะ ถ้าเกิดช้ากว่านั้นบางทีพวกเราอาจจะโดนไถไอเท็มไปแล้วก็ได้" เสือซ่อนลายพูดด้วยท่าทางรู้สึกโล่งใจ



"หรือไม่ก็พลาดโอกาสที่จะได้เงินไปกินของอร่อย ๆ เฮ้อ...คิดแล้วก็ยังเสียดายไปหายเลย" แจ็คว่า ดูท่าทางเขาจะคิดถึงเพชรเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวว่าเขาเพิ่งรอดจากเขียงไปหยก ๆ



"เอาน่า ของที่เราเก็บเอาไว้ตั้งแต่ไปถึงสุสานผีดิบมาตั้งแต่ต้นคงขายได้เยอะอยู่เหมือนกันแหละ พวกเราก็ได้ของมาไม่น้อยเหมือนกันนะ" เสือซ่อนลายว่าแล้วจึงพากันไปหายของที่ได้มา



พวกเจนปรึกษากันว่าจะนำของไปขายให้กับผู้เล่นที่เปิดร้านรับซื้อ เพราะได้ราคาดีกว่าไปขายให้กับพ่อค้าเอไอ เนื่องจากผู้เล่นเหล่านี้จะนำของไปขายต่อให้แก่ผู้เล่นที่เป็นสายประดิษฐ์ซึ่งจะนำของที่ได้มาไปทำเป็นเสื้อหรืออาวุธ ดังนั้นจึงมีร้านค้ารับซื้อของผู้เล่นมากพอ ๆ กับร้านค้าเอไอเลยทีเดียว เสือซ่อนลายพาไปยังร้านค้าแผงใหญ่แผงหนึ่งที่เขาเคยมาขายของจากเกาะเริ่มต้นแล้วได้ราคาค่อนข้างดี เขาบอกว่าได้เงินจากที่นี่ไปซื้อดาบระดับ B ที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ และคิดว่าร้านนี้คงยังรับซื้อของในราคาดีอยู่เช่นเคย



"สองพันโกลด์?...นี่นายให้แค่สองพันโกลด์เองงั้นหรือ ของเยอะขนาดนี้เนี่ยนะ" เสือซ่อนลายพูดเสียงสูงอย่างไม่พอใจกับพ่อค้าหนุ่ม เพราะของที่เขาเพิ่งขายไปนั้นเป็นของที่ทุกคนรวมกันและมีจำนวนรวมแล้วอยู่ร่วมร้อยชิ้นเลยทีเดียว มิหน่ำซ้ำยังรวมไปถึงดาบเล่มเก่าของเขาที่ขายเข้าร้านเพิ่มไปด้วย



"ใช่แล้วเพื่อน ความจริงของพวกนี้ฉันให้แค่พันสามร้อยโกลด์ก็ถือว่ามากแล้วนะ แต่นายเอาดาบเล่มนี้มาขายด้วยก็เลยเพิ่มให้อีกเจ็ดร้อยโกลด์" พ่อค้าหนุ่มพูดพร้อมยกดาบของเสือซ่อนลายให้ดู



"แต่ว่าดาบเล่มนี้ฉันซื้อมาตั้งห้าพันโกลด์เลยนะ นายให้ราคามาไม่ถึงพันโกลด์แบบนี้มันจะมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า แล้วของตั้งแต่ทำไมนายถึงตีราคาน้อยแบบนี้ล่ะ มันควรจะได้ถึงหมื่นโกลด์ด้วยซ้ำไป" เสือซ่อนลายโต้อย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกเหมือนถูกโกงเงินไปต่อหน้าต่อตา



"ถ้านายไม่พอใจก็เอาของไปขายร้านอื่นก็ได้ แต่ฉันรับรองว่านายจะไม่ได้ราคาดีเท่านี้อีกแล้ว" พ่อค้าหนุ่มบอกโดยไม่ได้สนใจสีหน้าของเสือซ่อนลายซักนิด เขายกดาบเล่มเก่าของนักรบหนุ่มแล้วพูดขึ้น



"ถ้านายรักษาดาบดี ๆ หรือเอาไปลับให้มันคมซักหน่อยฉันก็อาจจะให้ราคาซักพันโกลด์นะ แต่ดาบของนายมันทั้งบิ่นทั้งทู่จนฟันไม่เข้าแบบนี้มันก็หมดค่าแล้ว"



เมื่อพูดเสร็จเขาก็แสดงให้เห็นโดยเอานิ้วของตนลูบไปที่คมดาบ แต่ไม่เกิดรอยบาดเลยแม้แต่น้อย เสือซ่อนลายที่เห็นดังนั้นจึงรีบดึงดาบกลับมาตรวจสอบดูแล้วก็พบว่ามันเป็นอย่างที่พ่อค้าหนุ่มพูดจริง ๆ



"แล้วของพวกนี้ล่ะ ทำไมถึงขายได้น้อยแบบนี้ พวกเราอุตส่าห์หาไปทั้งวันเลยนะ" คราวนี้เจนเป็นคนถาม พ่อค้าหนุ่มเหลือบตามามองเธออย่างไม่ใส่ใจก่อนพูดตอบ



"แล้วคิดว่ามีแค่พวกนายกลุ่มเดียวหรือไงที่มาขายของเข้าร้านแบบนี้ มีผู้เล่นเป็นพันเป็นหมื่นกลุ่มที่ก็เหมือนนาย ไปล่าของในสุสานผีดิบแล้วเอามาขายให้พวกพ่อค้าแม่ค้า จนตอนนี้ของเริ่มล้นตลาด ราคามันก็เลยตก การตลาดมันก็แบบนี้แหละพวก สรุปว่าตกลงจะขายหรือไม่ขาย" พ่อค้าหนุ่มถามอีกครั้ง เสือซ่อนลายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ววางดาบลงก่อนจะตกลงขายในราคาสองพันหนึ่งร้อยโกลด์ โดยพ่อค้าหนุ่มแถมให้เป็นน้ำใจแสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำเห็นแต่ได้ ที่เขาพูดมาเองก็มีเหตุผลอีกด้วย



"ทำไงดี สองพันโกลด์ยังพักโรงแรมที่เรานอนเมื่อวานยังไม่ได้เลยนะ แบบนี้สงสัยต้องหาโรงแรมราคาถูก ๆ นอนแล้วล่ะมั้งเนี่ย" ยูสตาร์พูดอย่างหมดทางเลือก ต่อให้รวมเงินส่วนตัวทั้งหมดตอนนี้ก็ยังไม่ถึงหมื่นโกลด์ด้วยซ้ำ ความคิดที่จะไปกินอาหารหรู ๆ ก็เป็นอันต้องล้มไป



แต่ก่อนที่ทุกคนจะเดินจากไป โจก็ร้องขึ้นมาเหมือนกับว่านึกอะไรได้ เขารีบเรียกทุกคนให้กลับมาอีกครั้งแล้วพุ่งไปหาพ่อค้าหนุ่มคนเดิมที่เพิ่งกวาดของลงกล่องวัตถุดิบเสร็จ



"นี่ นายรับซื้ออย่างอื่นอีกหรือเปล่าเพื่อน" โจถาม เขายังคิ้วไปมาให้เหมือนกับว่าเป็นคนรวย แต่ผ้าคลุมของเขาที่ดูโทรมกลับบอกอีกอย่างหนึ่ง



"เอ่อ..ก็รับนะ นอกจากพวกวัตถุดิบที่ได้จากมอนสเตอร์แล้วก็ยังซื้ออาวุธปิดผนึก คัมภีร์เวท ทุกอย่างที่นายเสนอมาฉันคิดว่ารับซื้อได้หมดล่ะ" พ่อค้าหนุ่มบอก เขาคิดใจในว่าต่อให้ชายหนุ่มตรงหน้านี้มีอะไรมาขาย เขาก็คงสามารถซื้อได้หมดซึ่งคงมีไม่มากนักหรอก



"แล้วถ้าหาก....เป็นทองล่ะ นายจะให้ราคาเท่าไหร่" พ่อค้าหนุ่มหูผึ่งขึ้นมาทันทีก็ได้ยินคำว่าทองคำ แต่พอดูสารรูปที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมจากที่ไปลุยสุสานผีดิบมาทำให้เขาไม่คิดว่าโจจะมีของที่พูดจริง ๆ



"ก็ถ้านายมีทองมาขายจริง ๆ ล่ะก็นะ ฉันจะรับในราคาน้ำหนักกิโลกรัมละสี่หมื่นโกลด์เลย แต่ถ้าเป็นพวกเครื่องประดับหรือแค่ก้อนทองเล็ก ๆ ล่ะก็ฉันคงต้องลองตีราคาดูอีกที"



โจลอบยิ้มที่มุมปาก เขาก้มลงหยิบของบางอย่างขึ้นมาวางเอาไว้บนชั้นขายของของพ่อค้าหนุ่มซึ่งทำให้ตาของเขาเบิกกว้างอย่างตกใจเช่นเดียวกับพวกเจนที่เห็นมัน โจเพิ่งนำเสาทองคำขนาดยาวประมาณเมตรครึ่งออกมาวาง ผิวของมันส่องแสงสะท้อนจากคบเพลิงดูน่าหลงใหล ท่าทางน้ำหนักของมันจะไม่ใช่น้อย ๆ เลยทีเดียว



"เอาล่ะ ทีนี้นายลองช่วยตีราคาของให้หน่อยซิเพื่อน ขอราคาที่ทำให้ฉันพอใจหน่อยนะ" โจบอกโดยมีรอยยิ้มยียวนประดับอยู่ที่มุมปากแล้วหันกลับมามองพวกเจนที่ยังตกใจไม่หายในขณะที่พ่อค้าหนุ่มเริ่มตรวจสอบสินค้าโดยไม่พูดไม่จา



"นะ...นี่นายไปได้ของอย่างนี้มาตอนไหนเนี่ย!" เจนพูดเสียงสูงอย่างลืมตัว เด็กหนุ่มยิ้มให้แล้วตอบกลับด้วยท่าทางสบาย ๆ



"ก็ตอนที่พวกเราเข้าไปในห้องนั้นไง จำไม่ได้หรือ"



"อ๋อ ตอนที่ฉันกับแจ็คไปดูที่โลงศพนั่น... อ๋าาา ฉันคิดว่านายเองของนั่นออกมาไม่ได้ซะอีก" ยูสตาร์ว่า เพราะในเกมนี้ไม่สามารถหยิบของที่ถือไม่ได้เข้ากระเป๋าได้ อย่างเช่นเรือ ม้าหรือกล่องสมบัติ เขาที่เห็นเสาทองจึงไม่สนใจเพราะไม่มีความสามารถที่จะนำมันลงมาได้



"ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่นั้นนะ ฉันเอาออกมาได้ทั้งสี่ต้นเลยด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า!" ไม่พูดเปล่า โจเปิดกระเป๋าให้ดูและแสดงช่องเก็บของให้เพื่อเป็นการยืนยัน มันมีเสาทองคำอยู่ในนั้นอีกสามต้น เด็กสาวทั้งสองคนของกลุ่มวิ่งเข้าไปกอดโจอย่างลืมตัว โดยที่ชายหนุ่มที่เหลือทั้งสองบวกกับเจนอีกคนต่างยิ้มหน้าบานไม่ยอมหุบ



เมื่อเวลาผ่านไปซักพักพ่อค้าหนุ่มก็ตรวจสอบเสาทองคำต้นแรกเสร็จ แต่สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก



"ว่าไง.. อย่าบอกเชียวนะว่าเสาทองคำนี่เป็นของปลอม" โจถาม



"เปล่า เสาทองคำของนายเป็นของจริง ของแท้ บริสุทธิ์มากเลยด้วย" พ่อค้าหนุ่มตอบเสียงค่อย



"ถ้าอย่างนั้นมันมีปัญหาอะไรล่ะ ทำไมนายถึงมีท่าทางแบบนั้น"



พ่อค้าหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าจะตอบดีหรือไม่ ก่อนสุดท้ายแล้วเขาก็ยอมพูด



"พูดตรงเลยนะ ฉันวัดน้ำหนักของเสานี้แล้วและประเมินราคาเบื้องต้นดู ฉันคิดว่าคงมีราคาอยู่ที่ห้าล้านโกลด์" เจนได้ยินเสียงจำนวนเงินมากขนาดนี้ก็ถึงกับใจเต้นจนแทบจะร้องออกมาด้วยความยินดี เงินมหาศาลเช่นนี้เธอเคยได้ยินเพียงแค่ในหนังเท่านั้น เธอไม่เคยแตะต้องเงินจำนวนมากมาก่อน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นและแน่ใจว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน



"แต่ฉันขอสารภาพตามตรงว่าฉันเป็นแค่พ่อค้าธรรมดาเท่านั้น ทักษะตรวจสอบของฉันระดับไม่สูงมาก อาจจะะตีราคาทองคำของนายต่ำเกินไปก็ได้ แต่ฉันจะให้ราคาเจ็ดล้านโกลด์ซื้อทองคำนี้จากนาย นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ฉันมีอยู่ตอนนี้" พ่อค้าหนุ่มพูดออกมาจากจริงใจ โจหันมามองพวกเจนเพื่อขอคำปรึกษา เจนพยักหน้าให้เขาแล้วชายหนุ่มจึงหันกลับมาคุยธุรกิจต่อ



"เอาอย่างนั้นก็ได้ ถือซะว่าตอนนี้พวกเรากำลังร้อนเงินอยู่พอดีก็แล้วกัน" คำตอบของโจทำให้พ่อค้าหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นมาทันตา



"แต่ว่านายพอจะมีทางปล่อยของพวกนี้เร็ว ๆ บ้างมั้ย ฉันไม่อยากจะพกของแบบนี้ติดตัวเอาไว้นาน ๆ น่ะ"



พูดจบ โจก็นำเสาทองคำอีกสามเสาออกมา พ่อค้าหนุ่มตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าเพราะไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น แต่เขาก็รีบเก็บอาการอย่างรวดเร็วราวกับเป็นมืออาชีพ



พ่อค้าหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จนเจนเริ่มคิดที่จะบอกให้โจไปร้านอื่น ตอนนั้นเองพ่อค้าหนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นมา



"ตอนแรกฉันคิดว่าจะให้นายไปขายให้กับพวกพ่อค้าเอไอ แต่คงให้ราคาไม่ดีเท่าไหร่นัก จะให้ไปขายกับพ่อค้าคนอื่นฉันก็กลัวพวกนายจะโดนโกงแล้วพวกนายจะกลับมาเล่นงานฉันแทน" พ่อค้าหนุ่มคาดการณ์จนทำให้เจนอดชื่นชมเขาไม่ได้ แต่ยังไงเรื่องเงินก็ไม่เข้าใครออกใคร ถ้าหากชายหนุ่มคนนี้ซื้อไม่ได้ เจนก็จะบอกให้เพื่อนของเธอเก็บทองเอาไว้ก่อนจะดีกว่า



"ฉันมีอยู่อีกทางหนึ่ง รับรองว่าจะได้ราคาที่ดีมาก ๆ และมีการรับประกันด้วย แต่อาจจะใช้เวลามากอยู่ คงซักประมาณห้าถึงหกวัน"



"นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร" ยูสตาร์ถามอย่างสงสัย



"ฉันกำลังพูดถึงการประมูล ฉันจะเป็นนายหน้านำทองคำที่เหลือของพวกนายไปประมูลขายในตลาด รับรองว่าต้องได้ราคาดีแน่ ฉันขอแค่ส่วนแบ่งนายหน้าห้า..ไม่สิ แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็พอ พวกนายมีน้ำใจมากที่ยอมขายทองให้ฉันทั้ง ๆ ที่ไม่คุ้มราคา ฉันขอแค่ส่วนแบ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์แล้วฉันจะเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เอง" พ่อค้าหนุ่มพูดอย่างจริงใจ



"แล้วพวกเราจะเชื่อใจนายได้ยังไง ไม่ใช่จู่ ๆ นายจะเชิดเอาทองคำไปขายแล้วหนีไปซะล่ะ" เสือซ่อนลายถาม ท่าทางเขายังคงไม่พอใจที่พ่อค้าหนุ่มตีราคาดาบเล่มเก่าของเขาต่ำเกินไป พ่อค้าหนุ่มเข้าใจดีและตอบกลับมา



"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าพวกนายตกลงฉันให้นายกรอกใบสมัครตรงนี้เลยว่าให้โอนเงินจากการประมูลสินค้าคือเสาทองคำสามแท่งนี้เข้าบัญชีธนาคารโดยตรง ข้อตกลงเดียวคือหักเงินค่านายหน้าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทำแบบนี้แล้วถ้าฉันโกง พวกนายก็เอาสัญญาไปยื่นให้กับอาคารระบบได้เลย แล้วพวกนายจะได้ทองคำกลับคืนมา" พูดจบพ่อค้าหนุ่มก็หยิบกระดาษทำสัญญาออกมาให้พวกเจนดู บนนั้นมีหัวกระดาษเขียนว่าเป็นใบสมัครเข้าร่วมส่งของเข้างานประมูล โดยมีสัญญาที่เขียนเอาไว้เข้าใจได้โดยง่ายเหมือนกับที่พ่อค้าหนุ่มพูดทุกประการ



"นั่นก็น่าสนใจนะ แต่ว่าพวกเราไม่มีบัญชีธนาคารนี่สิ แถมตอนนี้จะมีธนาคารที่ไหนเปิดอยู่ล่ะ" ยูสตาร์ว่า



"อ้าว พวกนายไม่มีบัญชีธนาคารงั้นหรือ" พ่อค้าหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ



"ผู้เล่นใหม่อย่างพวกเราไม่มีของอย่างนั้นหรอก ถ้าจะเปิดบัญชีได้ต้องมีเงินอยู่ในธนาคารอย่างน้อยตั้งหมื่นโกลด์ ถ้าไม่ใช่คนที่มีไอดีระดับโกลด์โน้นแหละถึงจะมีบัญชีธนาคารตั้งแต่เริ่ม" คำพูดของไมโกะเข้าหูของผู้มีไอดีระดับโกลด์ทั้งสามคนเข้าเต็ม ๆ



"เอ่อ...พวกเราบังเอิญมีไอดีระดับที่เธอว่าล่ะ" แจ็คบอก สายตาทั้งสี่คู่รวมพ่อค้าหนุ่มมองพวกเจนด้วยความตกใจ



"นี่อย่าบอกนะว่าพวกนายซื้อเฮดก็อกเกิ่ลรุ่นแพลตตินั่มมาด้วย นี่รู้หรือเปล่าว่านั่นมันรุ่นหลอกขาย" พ่อค้าหนุ่มเอ่ยปากถาม โจรีบพูดแย้งขึ้นมาทันที



"เฮ้ย! ฉันไม่ได้ซื้อซักหน่อย แค่ได้ไอดีระดับโกลด์มาโดยบังเอิญเฉย ๆ"



"เอาล่ะ แล้วพวกเราจะใช้บัญชีใครดีล่ะ ของฉัน ของเจน หรือว่าของโจ" แจ็คเอ่ยปากถามแต่เสียงคำตอบก็ดังขึ้นมาก่อนที่จะมีใครได้ทันคิดด้วยซ้ำ



"ใช้บัญชีของฉันก็แล้วกัน" เจนพูดเสียงเรียบ



"เดี๋ยวสิเจน! อย่ามาพูดเองเออเองแบบนี้สิ นี่มันเงินส่วนรวมนะ ต้องให้ทุกคนโหวตกันสิ" โจรีบแย้งแต่ก็เจอเข้ากับดวงตาพิฆาตที่ไม่เจอซะนานก็เงียบปากลงโดยอัตโนมัติ



"ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าพวกนายทั้งสองคนยังติดเงินฉันอยู่นอกเกมนะ แล้วอีกอย่าง ฉันไม่มีทางปล่อยให้เงินก้อนใหญ่ไปอยู่กับคนมือเติบอย่างพวกนายแน่" เด็กสาวว่าแล้วเบียดแจ็คให้ออกไปจากทางและเซ็นชื่อลงไปในช่องว่างที่พ่อค้าหนุ่มชี้อย่บนกระดาษแบบฟอร์มการประมูล



"ถ้าเงินอยู่กับพี่เจนแบบนี้พวกเราก็วางใจแล้วล่ะ ใช่มั้ยค่ะพี่เสือ" ซินจูถาม แต่ดูท่าเสือซ่อนลายยังคงรู้สึกลังเลอยู่จนซินจูต้องเข้าไปหยิกให้ต้องรีบตอบออกมา



"เป็นอันว่าคะแนนโหวตออกมาเอกฉันนะ ฉัน ซินจู เสือแล้วก็เจนโหวตให้เงินอยู่กับเจน" ไมโกะว่า



"เดี๋ยว มีโหวตให้ตัวเองด้วยงั้นเรอะ แบบนี้มันยุติธรรมมั้ยเนี่ย" โจแย้งขึ้นมาอีก



"แล้วถ้าอย่างนั้นพวกนายจะโหวตให้ใครล่ะ" เจนเอ่ยปากขึ้นมาขณะกำลังอ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วน ถึงเธอรู้คำตอบที่ทั้งคู่จะพูดออกมาอย่างแล้วก็ตาม



"ต้องโหวตให้ตัวเองแน่นอนอยู่แล้ว" เสียงของโจและแจ็คเอ่ยออกมาพร้อมกัน



"แล้วพี่ยูจะโหวตใครล่ะ" เสือซ่อนลายถาม ชายหนุ่มตีสีหน้าเรียบเขาเช็ดแว่นตาก่อนจะสวมกลับเข้าที่แล้วพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก



"จะโหวตให้ใครเงินมันก็ไม่ได้อยู่ที่ฉันอยู่ดีนั่นแหละ"



ในที่สุดเจนก็ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อย ในใบสมัครที่มีสัญญากำกับอยู่มีชื่อของเจนที่เป็นเจ้าของสินค้าและผู้รับเงินผ่านทางบัญชีธนาคาร และมีชื่อของพ่อค้าหนุ่มเป็นชื่อนายหน้า พ่อค้าหนุ่มนำกระดาษแบ่งเป็นสำเนาด้วยทักษะของพ่อค้าและส่งตัวจริงให้กับเจนและเก็บสำเนาเอาไว้เพื่อยื่นให้กับที่ประมูล



"ขอบใจพวกนายมากจริง ๆ ฉันขอเอาชื่อแมกส์ เทรดดิ่งคอมปานีเป็นประกันเลย ขอเวลาห้าวันแล้วฉันจะติดต่อไปเอง รับรองว่าพวกนายจะไม่เสียใจแน่" พ่อค้าหนุ่มนามแมกส์ให้คำมั่น จากนั้นเขาจึงส่งเงินค่าทองก้อนแรกให้แก่พวกเจนโดยแบ่งให้คนละหนึ่งล้านโกลด์พอดี







หลังจากทำธุระเสร็จแล้วโจก็นำพวกเจนไปยังโรงแรมที่หรูที่สุดของเมืองทันที



โรงแรมที่โจนำพวกเจนมานั้นเป็นโรงขนาดใหญ่มาก ดูจากภายนอกแล้วให้ความรู้สึกหรูหรามาก ขนาดบริเวณทางเข้ายังรายล้อมไปด้วยพ่อบ้านในชุดสูทสีดำและเมดในชุดโกธิกยืนต้อนรับอยู่เป็นจำนวนมาก พอเข้ามาด้านในก็พบกับห้องโถงกว้างสีขาวตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมาย มีเหล่าพ่อบ้านและเมดคอยให้บริการอยู่แทบทุกจุดของโรงแรม



ในตอนแรกสายตาของผู้ทั่วที่อยู่ในโรงแรมแห่งนี้ต่างก็หันมามองพวกเจนด้วยท่าทางสงสัยและแปลกใจ มีบางคนที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งเลยว่ารังเกียจพวกเธอ บางทีอาจจะเป็นเพราะสารรูปที่ดูสกปรก เนื้อตัวต่างเลอะไปด้วยเศษดินเศษไม้เต็มไปหมด แต่เจนก็ยังชื่นชมพนักงานโรมแรมแห่งนี้ที่ต่างทำการต้อนรับพวกเธอโดยไม่สนรูปลักษณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย สมกับที่เป็นโรงแรมระดับสิบดาวแห่งเดียวของเมือง



"สวัสดีครับ ดิ เอ็มพีเรียลยินดีต้อนรับครับ มากันเจ็ด...แปดท่านนะครับ ไม่ทราบว่าจะต้องการห้องพักชนิดใดดีครับ" พนักงานหนุ่มคนหนึ่งที่เดินมาต้อนรับพวกเจนถึงที่ถามอย่างสุภาพ เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งเพราะนับคิทซึเนะเพิ่มที่ยังคงหลับอยู่บนหลังของเจน



"พวกเราอยากได้ห้องพักใหญ่ ๆ ที่อยู่ติดกันสี่ห้องแบบเชื่อมกันได้นะ" โจบอกโดยไม่ถามความคิดเห็นคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย ซินจูกำลังจะขัดแต่เจนยั้งเอาไว้แล้วบอกให้เงียบ ๆ ไปก่อน



"ได้ครับ จะรับเป็นเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ดีครับ"



"ขอเป็นเตียงคู่ก็แล้วกัน" โจตอบอีกครั้ง โดยที่เพื่อนๆต่างยังคงเงียบไม่เปิดปากใดๆ



"ทราบแล้วครับ ขอเชิญทางนี้" พนักงานหนุ่มว่าแล้วเดินนำพวกโจไปยังเคาท์เตอร์ด้านใน เขาหันไปคุยกันพนักงานสาวที่ยืนประจำอยู่จากนั้นก็หันมาหาโจอีกครั้งพร้อมกับสมุดเล่มบางที่มีรายชื่อของแขกคนก่อนหน้าเรียงอยู่ไม่มากนัก



"โปรดเซ็นชื่อตรงนี้ครับ ค่าใช้จ่ายสำหรับห้องพักคือสามแสนโกลด์ต่อคืนนะครับ ค่าใช้จ่ายนี้ไม่รวมค่าอาหารนะครับ สนใจจะสั่งอาหารขึ้นไปทานบนห้องมั้ยครับ?" พนักงานหนุ่มถาม แต่ตอนนี้พวกเจนแทบไม่มีใครจะอยากสั่งอะไรเพราะได้ยินราคาที่สูงลิบลิ่ว ขนาดเจนที่ทำใจเอาไว้ว่าจะต้องเสียเงินเยอะแน่ ๆ ยังตกใจกับราคาที่สูงกว่าที่คาดไว้มาก แต่ผิดกับโจที่คว้าถุงเงินของตนจ่ายไปอย่างไม่ยี่ระพร้อมทั้งบอกให้ยกอาหารขึ้นไปบนห้องอีกด้วย



พนักงานหนุ่มรับเงินมาแล้วคืนถุงเงินไปให้กับโจก่อนจะผายมือให้เดินตามตนไปยังห้องพัก เมื่อมาถึงห้องเขาก็ใช้กุญแจดอกสีทองไขเข้าไปยังประตูสีขาวบานใหญ่แล้วเปิดประตูออกมา เผยให้เห็นถึงภาพด้านในของห้องและส่งกุญแจให้กับโจโดยไม่ลืมบอกว่าอาหารจะขึ้นมาถึงภายในสิบนาที



พวกเจนเดินเข้ามาในห้องก็พบกับความรูปหราสุดจะบรรยาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเจนก็พบเครื่องใช้ดูมีราคาแพง ผ้าม่านสีขาวนวลที่ประดับอยู่ตามมุมผนังชวนสบายตา ห้องนี้ห้องใหญ่จนสามารถแบ่งได้ออกอีกสี่ห้อง โดยห้องที่พวกเจนอยู่ตรงนี้เป็นห้องโถงเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่พร้อมกับเก้าอี้แปดที่นั่งตั้งอยู่ เลยไปอีกนิดเป็นประตูสี่บานที่จะนำไปสู่ห้องนอนซึ่งเป็นเตียงคู่ตามที่โจสั่งโดยในห้องนั้นก็มีห้องน้ำอยู่ในตัวอีกด้วย สบกับที่เสียเงินไปถึงสามแสนโกลด์นับได้ว่าเงินโกลด์ถูกใช้ไปจนคุ้มจริง ๆ



"โอ้ ว้าว! นี่มันหรูสุด ๆ ไปเลยนะคะเนี่ย ดูโต๊ะนี่สิ เป็นหินอ่อนซะด้วย" ซินจูพูดแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น



"ดูนี่สิ ผ้าที่เอามาใช้ทำผ้าม่านนี่มันเป็นผ้าเนื้อดีเลยนะ ฉันเคยเห็นที่ร้านขายเสื้อผ้าอยู่ตัวหนึ่ง มีราคาสูงมากเลย" ยูสตาร์บอก เขาไม่กล้าที่แม้จะแตะต้องผ้าม่านสีขาวใกล้ตัว เพราะกลัวว่าจะไปทำให้เปื้อนแล้วต้องจ่ายค่าทำความสะอาด



"ห้องราคาคืนละเกือบครึ่งล้านแบบนี้ใครมันจะมาพักกันล่ะเนี่ย นี่นายไม่เสียดายเงินบ้างหรือไงกัน" ไมโกะหันไปถามโจ



"หึหึ ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ไว้ถ้าได้เงินจากการประมูลมาเมื่อไหร่ก็สบายแล้ว"



"นี่นายลืมไปแล้วหรือยังไงว่าถึงจะได้เงินมาแล้วแต่ก็ไม่ได้อยู่ที่นายอยู่ดี นายจะได้เอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่ายก็แค่เงินที่ติดตัวนายในตอนนี้เท่านั้นล่ะ" เจนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบพลางวางร่างของคิทซึเนะลงบนโซฟาที่มุมห้อง เสียงของโจครวญครางอย่างเศร้าใจเพราะลืมไปว่าตนไม่ได้เป็นคนเก็บเงิน เขาพยายามกล่อมเจนให้แบ่งเงินกันเท่า ๆ กันหลังจากได้เงินจากการะประมูลมาแล้ว ทว่าพวกเสือซ่อนลายเห็นด้วยที่จะให้เจนเป็นคนเก็บเงินทั้งหมดเอาไว้ในธนาคารเพราะปลอดภัยกว่า แต่สุดท้ายแล้วเจนก็บอกให้พวกเสือซ่อนลายไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อที่จะสามารถแบ่งเงินไปไว้ในบัญชีของตนได้ เพื่อที่เวลาต้องการใช้เงินฉุกเฉินจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาติดต่อเจนในภายหลัง



หลังจากเลือกห้องกันได้แล้วโดยเสือซ่อนลายและยูสตาร์พักห้องเดียวกัน เช่นเดียวกับสองสาวและสองหนุ่มที่เหลือ ส่วนเจนนั้นนอนกับคิทซึเนะไปโดยบริยาย เจนเลือกห้องระหว่างโจและเสือซ่อนลาย เมื่อเธอเข้าไปด้านในก็เห็นเตียงสีขาวดูน่านอนมาก อีกทั้งความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันทำให้เจนรู้สึกง่วงเต็มที่ แต่เธอนั้นก็รู้สึกเหนียวตัวเกินกว่าจะนอนได้



ในตอนนั้นเองคิทซึเนะก็ตื่นขึ้นมา ถึงแม้จะรู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อยแต่ก็ทำความเข้าใจได้ทันทีว่าเธอไม่ได้อยู่ที่สุสานผีดิบแล้ว เจนที่เห็นจิ้งจอกน้อยฟื้นแล้วจึงพาเธอเข้าไปอาบน้ำพร้อมกันเลย เจนรู้สึกดีที่ตอนนี้เธอพอจะชินร่างของผู้หญิงจนไม่ค่อยรู้สึกอายเท่าไหร่ ดังนั้นการอาบน้ำให้คิทซึเนะเองก็ไม่ได้เป็นปัญหานักสำหรับเจน โดยที่เหนื่อยก็มีแค่ต้องสอนให้คิทซึนะอาบน้ำในร่างมนุษย์ยังไงและสอนให้รู้จักกับสบู่อีกด้วย ตอนที่เจนสระผมให้กับคิทซึเนะก็นึกได้ว่าคงต้องสอนให้หนูน้อยคนนี้ใช้ช้อนส้อมอีก



หลังจากอาบน้ำเสร็จเจนก็สวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของโรงแรมโดยสวมให้จิ้งจอกน้อยเช่นเดียวกันแต่เธอต้องเจาะรูที่กางเกงเพราะติดหางของหนูน้อย ท่าทางเจนคงจะเสียเงินค่ากางเกงตัวนี้ซะแล้ว



พอเจนออกมาจากห้องก็พบว่ามีอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นซุปครีม เนื้อย่างและขนมปัง อาหารพื้น ๆ ที่อยู่ในบริการโรมแรมปกติ พวกผู้ชายนั่งรออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วโดยทุกคนต่างก็อยู่ในชุดสีขาวเช่นเดียวกันเจน ทั้งสองเดินไปนั่งบนที่ว่างแล้วรอหญิงสาวที่ยังคงไม่ออกมาจากห้องของพวกเธอ



"แหม เธอนี่อาบน้ำนานเหมือนกันนะเนี่ย ชักจะเหมือนผู้หญิงไปทุกทีแล้วนะ" โจที่นั่งอยู่ข้างเจนเอนหัวมาพูดกระซิบกับเธอ



"ฉันรักษาความสะอาด ไม่เหมือนพวกนายซักหน่อย อีกอย่างฉันอาบน้ำให้คิทซึเนะด้วยก็เลยนานกว่าปกติ" เจนตอบ พยายามไม่สนใจใบหน้ากวนโอ๊ยของเพื่อนคนนี้ เธอรู้ว่าเขากำลังพยายามหยอกล้อเธออยู่ บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องเงินก็ได้



"เหรอ....ว่าไปแล้วเธอก็ใส่เสื้อตัวนี้แล้วก็ดูเหมาะดีนะ หน้าอกเธอไม่โตเท่าไหร่ เลยดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเลยนะเนี่ย" เจนรีบหันไปค้อนใส่โจโดยไม่พูดอะไรตอบ จากนั้นเธอก็รีบกระทืบเท้ากลับเข้าไปในห้องและออกมาอีกครั้งพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาวของทางโรงแรม ไม่นานนักซินจูและไมโกะก็ออกมาจากห้องด้วยเสื้อคลุมตัวเดียวกับที่เจนใส่



ในระหว่างที่กำลังทานอาหารเย็นกันพวกเจนก็ตรวจสอบระดับของตัวเองไปด้วย พบว่าระดับของทุกคนรวมทั้งคิทซึเนะด้วยเพิ่มมาอีกหนึ่งระดับเป็น 59 จากที่จัดการจักรพรรดิผีดิบลงได้ ส่วนโจที่เป็นคนลงมือก็ได้โบนัสเพิ่มอีกระดับเป็น 60 อยู่คนเดียว กลายเป็นว่าในกลุ่มเป็นโจที่มีระดับสูงที่สุด



สถานะพื้นฐานของเจนเองก็เพิ่มขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะพลังโจมตี ความเร็วและค่าความอดทนที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าค่าสถานะอื่น ๆ ที่รองลงมาก็เป็นค่าพลังป้องกันและค่าความแม่นยำ มีแค่ค่าโชคเท่านั้นที่ยังไม่กระดิกไปไหน แต่เจนก็ยังคงไม่รู้ว่ามันมีเอาไว้เพื่ออะไรกันแน่ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก



หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเจนก็ตกลงจะพูดคุยถึงการเดินทางต่อไปในวันพรุ่งนี้เพราะเหนื่อยกันมาก แล้วทุกคนก็กล่าวราตรีสวัสดิ์ให้แก่กันโดยซินจูกับคิทซึเนะนั้นท่าทางจะกล่าวกันยาวกว่าคนอื่น ๆ เจนถอดเสื้อคลุมออกเหลือแต่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น เธอล้มลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง ความเหนื่อยเข้าจู่โจมตัวเธอทันทีที่ตัวสัมผัสถึงหมอน ก่อนที่จะหลับไปเจนรู้สึกได้ว่าคิทซึเนะเข้ามานอนด้วย เธอยกมือให้จิ้งจอกน้อยในร่างเด็กสาวสอดเข้ามาและกอดกันตัวกลม ถึงเจนจะชอบคิทซึเนะในร่างของลูกจิ้งจอกมากกว่า แต่ในร่างนี้เองก็ไม่เลวนัก เจนคิดก่อนที่เธอและคิทซึเนะจะหลับไปทั้งคู่ในท่านั้น





เจนตื่นขึ้นมาในเวลาสายของอีกวัน ถึงเมื่อคืนจะไม่ได้นอนกันดึกเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความเหนื่อยสะสมก็ทำให้หลับสนิทยาวถึงเช้าเลยทีเดียว ตอนนี้คิทซึเนะก็ตื่นแล้วและกำลังจ้องลงไปยังถนนเบื้องล่างที่มีผู้คนเดินไปมาด้วยความสนใจ เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเธอตื่นแล้วจึงรีบกระโดดกลับขึ้นมาบนเตียง



"ตื่นแล้วหรือคะ เจ้านาย หนูหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ นะ ๆ" จิ้งจอกน้อยขอร้องพร้อมกับจับชายเสื้อ เจนถอนหายใจแล้วยิ้มก่อนจะรับคำและพากันไปอาบน้ำ



"นี่คิทซึเนะ คราวหลังเธอเรียกฉันว่าอย่างอื่นได้หรือเปล่า เรียกว่าเจ้านายเดี๋ยวคนอื่นเขาเข้าใจผิดกันพอดี" เจนถามขณะกำลังสระผมให้กับจิ้งจอกน้อย



"ทำไมล่ะคะ เจ้านาย ก็เจ้านายก็คือเจ้านายของคิทซึเนะ จะให้เรียกอย่างอื่นได้ยังไงล่ะคะ?" เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ด้วยจิตใต้สำนึกของเจนที่กำลังบอกเธอว่าถ้าปล่อยไปอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ตามมาก็เป็นได้



"เรียกอย่างอื่นเถอะนะ เรียกชื่อ..-"



"เรียกว่าพี่เจนได้มั้ยคะ พี่ซินจูชอบให้เรียกแบบนี้บ่อย ๆ เจ้านายชอบหรือเปล่าคะ" คิทซึเนะนึกได้แล้วรีบถามขึ้นมาทันที เจนรู้สึกตกใจจนพูดอะไรไม่ถูก หัวใจของเธอรู้สึกพองโต แถมกลิ่นหวานๆของแชมพูก็หอมหวนขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ทราบสาเหตุ



"เจ้านายไม่ชอบหรอคะ?" คิทซึเนะถามเมื่อเห็นว่าเจนเงียบไป ทำให้หญิงสาวต้องรีบเรียกสติกลับคืนมาโดยเร็ว



"อ่ะ.. ชอบสิ ชอบมาก ๆ เลยด้วย"



"ฮิฮิ พี่เจน พี่เจน" คิทซึเนะหัวเราะคิกคักแล้วพูดชื่อของเจนอย่างชอบใจ ท่าทางเธอเองก็ชอบมิใช่น้อย ซึ่งเจนเองก็รูสึกแปลก ๆ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีไปอย่าง



หลังจากอาบน้ำเสร็จเจนก็สวมเสื้อผ้าตัวเก่าของเธอและพบว่าแขนเสื้อข้างขวาที่ยังขาดอยู่ จึงวางแผนเอาไว้ในหัวว่าวันนี้คงต้องเอาไปซ่อมซักหน่อย พอเจนออกมาจากห้องก็พบว่าทุกคนกำลังรออยู่แล้ว



"อรุณสวัสดิ์เจน เมื่อคืนหลับสบายดีหรือเปล่า" เสือซ่อนลายทักเป็นคนแรก โจและแจ็คหันมาพยักหน้าให้ตามปกติ เจนพยักหน้าตอบทั้งสองคนแล้วหันไปตอบในขณะที่คิทซึเนะวิ่งไปหาพวกซินจู



"อรุณสวัสดิ์ หัวถึงหมอนก็หลับยาวแบบไม่ต้องฝันเลย สมราคาจริง ๆ"



"เอาล่ะ ตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้ว วันนี้พวกเราจะไปไหนกันดีล่ะ" แจ็คถาม



"ว่าแต่พวกนายจะไปไหนกันต่อล่ะ คิดจะเปลี่ยนอาชีพเป็นอะไรกันงั้นหรือ" เสือซ่อนลายถามกลับ เจนคิดว่าถ้าได้ไปด้วยกันต่อก็คงจะน่าสนุกไม่น้อย



"ฉันยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเล่นเป็นอาชีพอะไรดี ส่วนแจ็คเห็นบอกว่าจะเป็นมือปืนหนิ" เจนกล่าว



"ใช่ ฉันคิดจะไปเปลี่ยนอาชีพที่รีเด็มชั่นทาวน์บนทวีปไลเทเชีย พวกนายล่ะ?"



"น่าเสียดายจัง พวกเรากะจะไปเปลี่ยนอาชีพให้ไมโกะที่ยามะไตก่อน แล้วฉันกับพี่ยูก็จะไปเปลี่ยนอาชีพต่อที่ยูโรปา ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าไปคนละทางสินะ" เสือซ่อนลายเอ่ย น้ำเสียงฟังดูค่อยลงมากเหมือนกับว่าไม่อยากจะแยกทางกับพวกเจนในตอนนี้



"เอ๋ พวกเราจะไม่ได้ไปด้วยกันหรอกหรอคะ" ซินจูพูดออกมาอย่างตกใจ ท่าทางของเธอบอกอย่างเด่นชัดมากว่าไม่อยากแยกกลุ่ม



เจนเองก็ยังอยากอยู่ด้วยกันต่อ แต่ว่าสิ่งแรกที่ผู้เล่นใหม่ต้องทำเมื่อมาถึงทวีปหลักนั่นก็คือการเปลี่ยนอาชีพ เพราะการเก็บระดับต่อไปนั่นจะยากขึ้นมากสำหรับผู้เล่นที่ยังไม่มีอาชีพ อย่างเจนเองถ้าหากไม่มีดาบคุซานางิหรือทักษะระดับสูงก็คงไปไม่รอดตั้งแต่แรกแล้ว ความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากโจและซินจูนั้นทำให้เจนเองก็ต้องเริ่มมองหาอาชีพบ้างแล้ว



"งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ วันนี้ก็คงต้องแยกกันไปก่อน ไม่ใช่ว่าจะไม่เจอกันแล้วอีกนี่นา จริงมั้ย" ยูสตาร์พูดปลอบทุกคน ทันใดนั้นเองโจที่เงียบมานานก็พูดขึ้น



"ถ้าอย่างนั้น วันนี้พวกเราก็มาเที่ยวในเมืองด้วยกันเถอะ อีกคงพักใหญ่กว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก"



"เห็นด้วยค่ะ! รีบไปกันเถอะค่ะพี่เจน ไปซื้อเสื้อใหม่ให้พี่กัน" ซินจูพูดแล้วลากแขนเจนวิ่งออกไปทันที คนอื่น ๆ มองหน้ากันแล้วรีบตามออกไปโดยโจไม่ลืมที่จะไปเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพราะกลัวจะโดนคิดเงินเพิ่ม แน่นอนว่าเขาต้องจ่ายค่ากางเกงของคิทซึเนะด้วย





ตลอดบ่ายซินจูลากพาเจนไปยังร้านค้านับสิบร้านและยังซื้อเสื้อผ้าให้เธออีกหลายชุด จนบางชุดเธอก็ดูเหมือนจะเธอลืมไปว่าซื้อให้ผู้ชายเพราะมีชุดที่ได้มาเป็นกระโปรงผู้หญิงติดมาด้วย แต่ดูเหมือนในตอนนี้วิญญาณนักช็อปจะสิงเข้าร่างของซินจูไปเรียบร้อย ไม่ว่าเจนจะทักท้วงยังไงเธอก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เป็นอันว่าจากที่จะซื้อชุดให้กลายเป็นคนถือของซะอย่างนั้น ทางพวกเสือซ่อนลายเองก็รู้สึกสนุกไปกับการซื้อของใช้ต่าง ๆ มากเพราะตอนนี้มีเงินให้ใช้แล้ว จึงจัดการซื้อชุดเกราะและเสื้อผ้าใหม่กันถ้วนหน้า คิทซึเนะเองก็ได้ชุดใหม่ ๆ จากที่ซินจูซื้อให้เช่นกัน



หลังจากซื้อของเสร็จก็พากันไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารสุดหรู แน่นอนว่าคราวนี้โจไม่ได้เป็นเจ้ามืออีกต่อไป แต่เนื่องจากต่างคนต่างมีเงินแล้วจึงสั่งของมาได้ตามใจอยาก หลังจากอิ่มแล้วจึงพากันมานั่งพักกันที่สวนใกล้ลานกลางเมือง



ตอนนี้เจนสวมชุดใหม่แล้ว เป็นเสื้อแขนยาวสีฟ้าสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีแดง ส่วนกางเกงเป็นขายาวสีดำซึ่งชุดพวกนี้เป็นชุดที่นำเข้ามาจากโลกจริง เลยทำให้ดูแปลกประหลาดในโลกเกมแฟนตาซีแห่งนี้ เจนไม่ได้ถึงกับไม่ชอบแต่เธอแค่ไม่แต่งตัวแบบนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังสวมรองเท้าสีแดงคู่เดิมของเธอ ขณะที่คิทซึเนะยังสวมชุดเดิมอยู่ถึงแม้จะมีชุดที่ซินจูซื้อให้หลายสิบชุดก็ตาม



คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก ซินจูซื้อชุดนักเวทสีครีมที่เพิ่มพลังปองกันเวทมนตร์มาใส่ และเปลี่ยนคทาให้เป็นแบบที่ช่วยเพิ่มพลังเวทมนตร์ ไมโกะเองก็เปลี่ยนชุดให้ดูคล่องตัวมากขึ้นแต่ทำให้ผู้ชายหันมามองเป็นสองเท่าเพราะดูเซ็กซี่สุด ๆ เสือซ่อนลายได้ชุดเกราะเซ็ท 'เกราะแห่งอัศวิน' มาจากผู้เล่นคนหนึ่งในราคา 150,000 โกลด์ เป็นราคาไม่น้อยแต่ก็คุ้มกับพลังป้องกันที่เพิ่มขึ้นมากของเกราะนี้



ยูสตาร์ซื้อเสื้อสีเขียวมาแค่ตัวเดียวเพราะกะจะไปซื้อที่ทวีปยูโรปาซึ่งมีของสำหรับผู้ที่ใช้อาวุธเป็นธนูโดยเฉพาะเยอะกว่า ส่วนแจ็คเองก็รอซื้อของที่ทวีปถัดไปเช่นกัน จึงเหลือแต่โจที่ไม่ได้ซื้ออะไรเลยเพราะเขาใช้เงินไปกับค่าโรงแรมไปแล้วถึง 300,000 โกลด์ เจนยุให้เขาซื้อคทาเวทใช้แต่เขาก็แย้งกลับมาว่าถนัดใช้เวทมือเปล่ามากกว่า



"พี่เจนคะ พวกเรามาบันทึกเป็นชื่อเพื่อนกันดีกว่า เวลาคุยกันจะได้ติดต่อกันง่าย ๆ" ซินจูพูดขึ้นมาขณะกำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องทั่วไป



"บันทึกชื่อเพื่อนงั้นหรือ... ก็พอจะเข้าใจนะว่ามันคืออะไรแต่ฉันทำไม่เป็นอ่ะ" เจนว่า เธอพอจะรู้เพราะคล้ายเป็นเกมอื่น ๆ ที่มีระบบนี้แต่ในชื่อที่ต่างออกไป



"ไม่ยากหรอกค่ะ แค่กดในแถบเมนูเพื่อนในหน้าต่างแล้วพูดชื่อของคนที่จะต้องการบันทึกลงไปแบบนี้ไงคะ" เด็กสาวว่าแล้วเปิดหน้าต่างแสงออกมา "เจน"



ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเตือนขึ้นในหัวของเจน เด็กสาวเปิดหน้าต่างออกมาและมีคำขอเป็นเพื่อนมาจากซินจู เจนกดรับไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เมื่อเจนเปิดดูแถบรายชื่อเพื่อนก็พบว่ามีชื่อของซินจูอยู่บนนั้นและบอกว่ากำลังออนไลน์อยู่ ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนชื่อกันจนครบทุกคนแล้วแยกย้ายกันไป



พวกเสือซ่อนลายนั้นจะขึ้นขบวนรถม้าด่วนที่วิ่งตรงไปยังเมืองใกล้เคียง ส่วนพวกเจนนั้นจะกลับไปขึ้นเรืออีกครั้งและตรงไปยังทวีปไลทาเชียเลย



"โชคดีนะทุกคน หวังว่าคงจะได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้นะ" เจนกล่าวลา



"หนูขอโทษนะคะพี่ซิน ตอนนี้หนูยังไม่อยากกลับไปที่บ้าน ถ้ากลับไปล่ะก็ท่านแม่คงไม่ให้หนูไปกับพี่เจนต่อแน่เลย" คิทซึเนะพูดด้วยความเสียใจเพราะนึกว่าเป็นเพราะตนทำให้ไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน ถึงซินจูจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ลูบหัวของคิทซึเนะด้วยความเอ็นดู



"ไม่ได้เป็นเพราะคิทเนะหรอกนะ แค่ตอนนี้พวกเราต้องแยกไปกันธุระกันก่อน ไว้ทำธุระเสร็จพวกเราก็ได้มาเจอกันแล้ว เพราะฉะนั้นอดใจรอกับพี่เจนก่อนนะ" คิทซึเนะพยักหน้ารับอย่างร่าเริง เจนที่เห็นสัตว์เลี้ยงของเธอเชื่อฟังคนอื่นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่แล้วเธอก็ถูกมือเรียงของไมโกะคว้าเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว



"ขอบคุณมากเลยนะเจน คราวหน้าเจอกันฉันจะเก่งกว่านี้อีก เราจะได้ช่วยกันสู้อย่างสูสีกันซักที"



"อะ..อื้ม! แล้วฉันจะคอยนะ" เจนที่ยังรู้สึกตกใจเล็กน้อยตอบ



ช่วงเดียวกันนั้นเองพวกหนุ่ม ๆ ก็กำลังกล่าวลากันอยู่



"ขอบใจพวกนายมากเลยนะ ถ้าไม่ได้มาเจอพวกนายฉันคงไม่ได้ทั้งดาบทั้งเงินทั้งเพิ่มระดับได้ไวขนาดนี้ เผลอ ๆ บางทีตอนนี้คงยังเข้าไปในสุสานขุนนางไม่ได้เลยมั้ง ฮ่า ๆ" เสือซ่อนกลายกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง



"ไม่หรอก นายเองก็เก่งใช่ย่อยนะ ยันผีดิบเป็นกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียวน่ะ อีกไม่นานฉันว่านายคงจะเก่งกว่าฉันแน่เลยล่ะ พวกนายเองอย่าเพิ่งไปเข้ากิลด์ใครล่ะ เอาไว้ถ้าฉันหากิลด์ดี ๆเข้าได้หรือไม่ก็ตั้งกิลด์เองเมื่อไหร่ นายก็มาอยู่กิลด์เดียวกันฉันนะ" โจว่าแล้วยื่นมือออกไป เสือซ่อนลายยิ้มแล้วจับมือเอาไว้



"แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะรอคำเชิญของนายเสมอ" อีกด้านกับสองหนุ่มนักธนูและมือปืนก็กำลังคุยกันอยู่อย่างสนิทสนม



"แจ็คอ่า คราวนี้พวกเราไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เลยนะ คราวหน้าที่เราเจอกันพวกเราจะต้องเก่งกว่านี้ เอาให้ทุกคนตะลึงไปเลย เข้าใจมั้ย" ยูสตาร์พูดแล้วเข้าสวมกอดกับแจ็คแบบลูกผู้ชาย



"แน่นอนเพื่อนเกลอ ไว้เจอกันเมื่อเราเจอกัน" แจ็ครับคำและตบหลังยูสตาร์เป็นมั่นเป็นเหมาะ



หลังจากนั้นเจนก็เดินไปส่งพวกเสือซ่อนลายที่จุดรถม้าด่วน หลังจากล่ำลากันอีกครั้งพวกเขาก็ขึ้นรถม้าและจากไปโดยมีพวกเจนยืนโบกมือลาอยู่จุดเดิม



"เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันมั่งเถอะ ไม่รู้ว่าเรือจะออกตอนไหนด้วย รีบไปกันดีกว่า" เจนว่า แล้วทั้งสี่ก็เดินไปยังท่าเรือด้วยความรวดเร็ว







ในตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนห้าโมงครึ่งแล้ว ที่ท่าเรือก็ยังคงคึกคักอยู่เช่นเดิม ผู้คนมากมายต่างเดินไปมาหมายจะทำธุระของตน ร้านค้าปลาที่มีปลาชนิดแปลก ๆ และสดใหม่อยู่ตลอดเวลาก็ต่างเรียกลูกค้าแข่งกันเพราะไม่แค่แย่งลูกค้ากับร้านอื่น พวกเขายังต้องแข่งกับเวลาที่ปลาจะหมดความสดอีกด้วย



เจนรีบดึงตัวคิทซึเนะจากตลาดปลามาและตรงไปยังบูธขายตั๋วเรือเพราะกลัวจะพลาดเที่ยวเรือสำคัญ แต่ก็รู้สึกโล่งใจเพราะเรือที่จะเดินทางไปทวีปอื่นนั้นมีอยู่ทุกวัน และวันละหลายเที่ยวอีกด้วย ถึงเรือเพิ่งจะออกไปไม่นานแต่เรือเที่ยวต่อไปก็พร้อมที่จะออกในอีกสองชั่วโมง หรือเวลาหนึ่งทุ่มตรงนั่นเอง



เมื่อเห็นดังนั้นพวกเจนจึงกลับเข้าไปในเมืองแล้วซื้อขนมให้กับคิทซึเนะเผื่อเอาไว้ในตอนออฟไลน์และหาซื้อหนังสืออ่านบนเรืออีกด้วย ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะไปถึงทวีปไลเทเชียแต่ทั้งสามคนต่างก็หาซื้อของแก้เบื่อไปเยอะทีเดียว



เมื่อใกล้ได้เวลาขึ้นเรือพวกเจนก็กลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้วแต่ที่แห่งนี้แสงแดดยังไม่หมดไป ท้องฟ้าสลัวเป็นสีม่วงเหมือนกับตอนที่เจนมาถึงเมืองนี้แต่ทว่าเวลานี้เธอกำลังจะจากเมืองนี้ไปทำให้รู้สึกใจหายเล็กน้อยแต่ใช่ว่าจะไปแล้วไปลับซะหน่อย



เมื่อมาถึงบริเวณท่าเรือเจนก็เห็นคนมากมายต่างยืนอออยู่จนไม่สามารถเดินขึ้นไปบนเรือได้ เจนพยายามเดินแหวกผู้คนไปด้านหน้าเพื่อนจะได้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอหลุดฝูงคนออกมาเจนก็เห็นผู้เล่นในชุดสีดำจำนวนมากกำลังยืนกั้นคนไม่ให้เข้าไปที่ท่าเรือ แต่ละคนต่างมีอาวุธอยู่ในมือและดูอันตรายไมใช่น้อย ยิ่งดูจากเครื่องป้องกันที่ใส่แล้วเจนมั่นใจว่าคนพวกนี้จะต้องมีระดับเป็นยศขุนนางเป็นอย่างน้อยแน่ ๆ



"แย่จังเลย ไอ้พวกคนจากกิลด์พิฆาตราชามาปิดท่าเรือแบบนี้พวกเราก็ขึ้นเรือไม่ได้น่ะสิ อีกไม่นานเรือก็จะออกแล้วด้วย" ผู้เล่นคนหนึ่งพูดขึ้น



"ก็นั่นน่ะสิ เห็นว่าจะแสดงให้เห็นถึงอำนาจของกิลด์ตัวเองเพราะมีคนกล้าไปแหยมกับพวกนี้เมื่อวานไง" ผู้เล่นอีกคนหนึ่งตอบ



เจนรู้ทันทีว่าพวกมันกำลังประกาศศักดา พยายามวางกำลังเพื่อเอาชื่อเสียงที่โดนเจนทำลายไปกลับคืนมา บางทีมันอาจจะกำลังตามหาเจนด้วยซ้ำในแต่ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนชุดแล้วทำให้ไม่สามารถตามหาด้วยรูปพรรณเดิมได้ และคงไม่มีใครในกลุ่มพวกโจรนั้นจำหน้าพวกเจนได้เพราะเมาไม่ได้สติกันซักคน ส่วนอามีร่าที่เธอสู้ด้วย เจนก็มีความเชื่อมั่นว่าเธอคนนั้นคงจะไม่บอกถึงหน้าตาของเจนไปตรง ๆ อย่างแน่นอน....อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่



เจนหันหน้ามามองโจและแจ็ค ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าไม่อาจสู้กับผู้เล่นที่มียศสูงกว่าด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ถ้าหากแจ็คกับโจที่มีอาชีพระดับสูงมาช่วยล่ะก็อาจจะมีหวัง แต่นั่นคือกรณีที่มีคู่ต่อสู้เพียงคนเดียว ครั้งนี้คู่ต่อสู้มีจำนวนมากกว่า ระดับมากกว่าและยังพร้อมสู้ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกด้วยทำให้เจนคิดหนัก แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเธอได้



แต่เมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเหมือนที่สุสานผีดิบที่ไร้เจ้าของ มีแสงปรากฏขึ้นระหว่างเหล่าผู้เล่นและคนจากกิลด์พิฆาตราชา เมื่อแสงจางหายไปก็ปรากฏเป็นชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เขาเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาของเขานั้นบอกได้เลยว่าไม่มีการแต่งเติมจากตัวเกมเลยแม้แต่น้อย เจนพอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนไทยจากหน้าตา แต่ชุดที่เขาสวมอยู่นั้นเป็นชุดสูทสีขาวทั้งตัว มีโซ่สีทองห้อยอยู่ระหว่างกระเป๋าเสื้อกับกางเกง เนคไทสีแดงมีตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนเอาไว้ว่า GM



"ทุก ๆ ท่านกรุณาอยู่ในความสงบด้วยครับ" เขาพูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบแต่ได้ยินกันทุกคน ผู้เล่นต่างทำตามโดยดีไม่เว้นแม้แต่พวกผู้เล่นจากกิลด์พิฆาตราชาที่แสดงสีหน้าไม่พอใจมาอย่างเด่นชัด



"ผมคิดว่าทุกคนคงรู้แล้วว่าผมออกมาที่นี่ทำไม... เนื่องจากผู้เล่นจากกิลด์พิฆาตราชาทำการปิดท่าเรือของเมืองซีโป ทำให้เหล่าผู้เล่นและชาวเมืองต้องเดือดร้อนเนื่องจากชาวเมืองไม่อาจทำธุระของตนได้ ผิดกฎข้อที่ห้า ห้ามขัดขวางกิจธุระของชาวเมืองหรือ..-"



"นี่ไม่ใช่เรื่องของแก ไอ้GM พวกเรามานี่ไม่เกี่ยวกับเอไอพวกนี้ รีบไสหัวไปก่อนจะโดนร้องเรียนว่ามายุ่มย่ามกับผู้เล่นดีกว่า" ผู้เล่นคนหนึ่งจากลุ่มของกิลด์พิฆาตราชาตะโกนขัดGM ดูท่าทางเขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ซะด้วย



GMยังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าของเขานั้นยังเรียบเฉย ดูท่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารับมือสถานการณ์แบบนี้ แต่เจนก็ยังมองไม่ออกว่าเขาจะหาทางออกไปได้อย่างไร



"พวกคุณบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชาวเมือง แต่สิ่งที่คุณทำนั้นมีผลกระทบต่อชาวเมือง ดังนั้นผมจะขอให้คุณจากไปแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นผมคงต้องทำตามกฎและส่งคุณไปยังคุกต่างมิติเพื่อรับการลงโทษเป็นเวลาหกชั่วโมง" GMหนุ่มพูดโดยไม่สนใจเสียงร้องค้านของพวกกิลด์พิฆาตราชาเลยแม้แต่น้อย เหล่าผู้เล่นเองก็เริ่มส่งเสียงคุยกันไปมาพร้อมทั้งรีบเรียกคนในละแวกใกล้เคียงมาดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น



ตอนนั้นเองเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด ผู้เล่นจากกิลด์พิฆาตราชาคนหนึ่งอดทนไม่ไหวแล้วร่ายเวทใส่GM ลูกไฟระเบิดสีดำพุ่งเข้าหาGMหนุ่มแต่เขาไม่คิดที่จะหลบหรือป้องกันเลยแม้แต่น้อย



ตูม!!



เสียงระเบิดดังลั่นไปทั่วบริเวณ ผู้เล่นที่กำลังมุงอยู่ต่างรีบถอยออกไปเพราะกลัวจะโดนลูกลง เหลือแต่เพียงพวกเจนกับผู้เล่นที่มั่นใจในฝีมือไม่กี่คนยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น ตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องไปยังจุดที่GMยืนอยู่ เมื่อควันจางหายไปทุกคนก็ถึงกับตะลึงเพราะเขายังยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่มีแม้แต่ร่องรอยของอาการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย พื้นที่รอบๆตัวเขาที่ควรจะเสียหายก็เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น



'การโจมตีของผู้เล่นไม่มีผลกับ GM!' คำตอบของเหตุการณ์ตรงหน้าผุดขึ้นมาในหัวของเจนทันที คำอธิบายเดียวที่สามารถบอกเล่าถึงสาเหตุของสถานการณ์ตรงหน้าได้ แต่เพราะพลังที่เหนือกว่าผู้เล่นทุกคนเช่นนี้เอง ทำให้GMนั้นไม่สามารถไปยุ่งกับผู้เล่นได้ถ้าหากผู้เล่นไม่ทำผิดกฎ



"เอาล่ะ ดูเหมือนว่าผู้เล่นของกิลด์พิฆาตราชามีเจตนาจะก่อความวุ่นวายขึ้นในเมือง ถือว่านี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย ขอให้พวกคุณรีบออกจากเมืองไปซะ" GMหนุ่มพูดเสียงเรียบตามเดิม แต่ครั้งนี้เจนจับน้ำเสียงของเขาได้ว่าเอาจริงกว่าทุกครั้ง เมื่อGMประกาศคำขาดมาเช่นนี้ก็ทำให้เหล่าผู้เล่นจากกิลด์พิฆาตราชาทำอะไรไม่ถูก ท่าทางพวกมันคงได้รับคำสั่งมาอีกทีหนึ่ง ถ้าหากทำพลาด พวกมันคงจะโดนลงโทษอย่างแน่นอนแต่ถ้าหากยังลงมือต่อไปก็คงจะโดนGMลงโทษแทน



"เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นหรอกครับ คุณGMประวิทย์ พวกนั้นอยู่ในเมืองของพวกผม ดังนั้นก็ให้พวกผมเป็นคนจัดการเถอะครับ" เสียงฟังคุ้นหูเจนดังขึ้นจากด้านหลังกลุ่มผู้เล่นที่กำลังมุงดูอยู่ พอเหล่าผู้เล่นเห็นว่าเป็นเสียงของใครต่างก็เปิดทางให้โดยดี ทำให้เจนเห็นชุดเกราะสีแดงและดาบยาวดูคุ้นตาและใบหน้าที่ทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งโดยไร้สาเหตุ



พยัคฆ์แดง จีโอ หนึ่งในสองหัวพยัคฆ์แห่งกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่!!





จบตอนที่ 14 Money in the bank
---------------------------------


ขอบคุณมากครับที่ชม ผมจะมาลงเรื่อย ๆ นะครับ สำหรับนิยายเรื่องอื่น ๆ ในบอร์ดนั้นผมก็กำลังไล่อ่านอยู่ครับ แต่เป็นเพราะผมต้องแต่งนิยายตอนละสัปดาห์กับช่วงนี้ติดสัมนาที่มหาลัยก็เลยไม่ค่อยว่างอ่ะครับ

santisook01
8th January 2014, 16:24
พึ่งอ่านไปได้ 4 ตอนครึ่ง ขอบอกว่าหยุดอ่านไม่ได้เลยล่ะครับ เรื่องนี้ รอเวลาว่างอ่านต่อครับ สู้ ๆ นะครับ

Tohan-kun
9th January 2014, 16:38
ตอนที่ 15 วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา



"คุณจีโอ ถ้าหากคุณจะต้องการจัดการเรื่องนี้เองก็ขอให้รู้เอาไว้ว่า ความเสียหายทั้งหมดทางกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ที่ปกครองเมืองนี้อยู่จะต้องจ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของ...”



"รู้แล้วน่า ๆ สรุปผมต้องจ่ายทั้งหมด...แล้วก็อย่าลืมกฎข้อแรกใช่มั้ยล่ะ คุณบอกผมตั้งหลายรอบแล้วผมเข้าใจแล้วล่ะ ทีนี้ก็ช่วย..." จีโอบอกแล้วยกมือทำให้บอกให้GMประวิทย์หลบออกไป



GMหนุ่มที่ถูกพูดแทรกก็ไม่ได้ถือสา และยังยิ้มออกมาครู่หนึ่งก่อนจะตีสีหน้าดังเดิมแล้วก็หายตัวไปราวกับว่าเขาได้ไว้ใจให้จีโอจัดการเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนทางพวกผู้เล่นจากกิลด์พิฆาตราชาที่เห็นจีโอปรากฏตัวออกมาก็ตกอยู่ในสภาพตรึงเครียดมากกว่าตอนเผชิญหน้าGMซะอีก จีโอเห็นว่าGM ไปแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เขาหันมามองพวกคนจากกิลด์พิฆาตราชาเหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่เขาจะต้องรับมือคนพวกนี้เพียงลำพัง



"เอาล่ะพวก ตอนนี้พวกแกคงจะเดาออกใช่มั้ยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น" เขาพูดด้วยท่าทางยโสโอหังและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เจนไม่ชอบใจนัก ความอวดดีของเขาที่ทำเหมือนกับทุกเรื่องเป็นเรื่องง่าย ๆ "ต่อจากนี้เรื่องที่เกิดขึ้นจะไปได้อยู่สองทาง หนึ่งคือพวกแกถอยกลับออกไปจากเมืองของฉันดี ๆ ทุกอย่างก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเรื่อง ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเจ็บตัว หรือจะเป็นอีกทาง ฉันว่าทางนี้พวกแกทุกคนคงจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ส่วนฉันก็จะได้ออกกำลังนิดหน่อย แต่รับรองว่าไม่ทันที่ฉันจะรู้สึกเหนื่อยหร้อก"



จีโอยกดาบเล่มใหญ่ด้วยมือเดียวอย่างสบาย ๆ คราวนี้เจนเห็นดาบของเขาได้อย่างชัดเจน มันเป็นดาบใหญ่คมด้านเดียว ส่วนสันดาบเป็นเหล็กสีแดงหุ้มเอาไว้อยู่บางส่วน เช่นเดียวกับที่กั่นดาบและด้ามจับเป็นสีแดงทั้งหมด คมดาบเล่มนี้เป็นเหล็กเลื่อมแดงดูน่าสะพรึง ชุดเกราะของเขาที่เคยหลบอยู่ใต้ผ้าคลุมเมื่อครั้งที่เจนเห็นตอนที่อยู่เกาะเริ่มต้นตอนนี้ไม่ได้หลบซ่อนอีกต่อไป ชุดเกราะสีแดงเพียงแค่อยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง ผ้าคลุมผืนใหม่ที่ไม่ใช่ผ้าคลุมชุดโทรม ๆ เป็นผ้าคลุมสีดำที่ดูมีอำนาจยิ่งเสริมให้เขาดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น


"ได้เวลาเลือกแล้วเพื่อน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะเลือกให้" จีโอพูด ทันใดนั้นแรงกดดันมหาศาลก็พุ่งออกมาจากตัวอย่างรุนแรง เจนที่อยู่ไม่ไกลนักจึงรู้สึกได้ ขนาดเธอที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายยังรู้สึกว่ามันหนักหน่วงมากกว่าที่เธอทำได้เสียอีก ถ้าหากโดนไปตรง ๆ คงทำให้เข่าอ่อนได้อย่างไม่ยากเลย



ทว่าทางพวกกลุ่มผู้เล่นจากกิลด์พิฆาตราชากลับทำได้ดีกว่าที่เจนคาดเอาไว้ พวกเขาแสดงสีหน้าเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัดแต่ยังคงยืนอยู่ได้ อาวุธในมือพร้อมสู้และพวกนักเวทต่างเริ่มร่ายมนตร์ คนพวกนี้ใจสู้กว่าที่เจนคิด ถ้าหากเป็นเธอคงจะยอมจากไปแต่โดยดีแล้วแต่นั่นมันคงไม่เกิดขึ้นเพราะเจนคงไม่คิดจะทำตัวมีปัญหาในเมืองอย่างที่คนพวกนี้ทำ แต่พอลองคิดอีกทีถ้าหากแค่มีเรื่องกับจีโอล่ะก็คงเป็นไปได้สูงทีเดียว



ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงแสยะยิ้มอย่างชอบใจ เขาค่อย ๆ ปลดผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ ทันทีที่ผ้าคลุมสีดำตกถึงพื้นร่างของจีโอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เจนมองไม่ทันด้วยซ้ำว่าเขาหายไปก่อนหรือหลังจากผ้าคลุมตกถึงพื้น แต่เจนรู้ว่าเขาจะไปที่ไหน เมื่อเจนหันไปหาพวกกิลด์พิฆาตราชาก็พบกับจีโออีกครั้ง แต่ผิดจากที่คิดอยู่นิดหน่อย เพราะเขาไม่ได้ลอบโจมตีจากข้างหลัง แต่เป็นการโจมตีตรง ๆ ด้านหน้าเลย



ตูม!!!



ชายหนุ่มยกดาบแล้วฟาดลงพื้น ประกายระเบิดเพลิงประทุออกมาจากดาบของจีโอราวกับใช้เวทมนตร์ หัวหน้ากลุ่มและพรรคพวกอีกเกือบสิบคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตายกลายเป็นแสงในดาบเดียวบ่งบอกให้เห็นถึงพลังที่เหนือล้ำกว่าหลายเท่า ไม่เพียงเท่านั้น จีโอพุ่งตรงไปยังคนที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมตวัดดาบใส่อย่างรวดเร็วทั้ง ๆ ที่ดาบเล่มยักษ์น่าจะมีน้ำหนักจนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ง่าย ๆ แต่เขากลับทำได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไวจนตัดร่างของชายหนุ่มคนนั้นขาดเป็นสองท่อน เหล่านักเวทที่ตั้งสติได้ก็รีบโจมตีใส่จีโอทันที เวทนับสิบชนิดต่างพุ่งเข้าใส่ตัวชายหนุ่มยังไม่ปราณี



ในตอนแรกเจนคิดว่าจีโอคงจะแสดงความแข็งแกร่งของตนที่เวทเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เธอคิดผิดและเด็กหนุ่มก็ทำให้เจนประหลาดใจ เขาก้าวเท้าหลบเวทจำนวนมากด้วยความเร็วสูง เพียงพริบตาเวททั้งหมดพุ่งถล่มตลาดปลาจนเละไปหมด ทว่ามันกลับไม่เฉียดโดนจีโอเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกลับมายืนอยู่ในจุดเดิมอีกครั้งด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาส่งยิ้มให้แก่พวกกิลด์พิฆาตราชาที่เหลือซึ่งในตอนนี้พวกเขาต่างหน้าซีดเป็นไก่ต้ม



สิ่งที่จีโอทำนั้นถึงเจนจะรู้ว่าต้องเป็นผลจากทักษะหรือไม่ก็ค่าสถานะจะระดับที่สูงมาก แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้เช่นนั้น มันต้องเกิดจากการฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วนและประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน อีกหนึ่งจุดที่เจนประเมินจีโอผิดไป เขาไม่ใช่คนที่อวดดี แต่เป็นคนที่มีดีอยู่ล้นตัว



"เอาล่ะ พวกเรามาพักกันก่อนดีกว่ามั้ย พอดีฉันไม่อยากโดนเทศน์จนหูชากับจ่ายค่าซ่อมแซมเมืองบานตะไท" จีโอว่าแล้วปักดาบลงกับพื้น "เอาเป็นว่าฉันจะให้โอกาสพวกแกให้กลับไปบอกนายของแก และพวกแกต้องฟังให้ชัด ๆ เพราะฉันอยากจะให้แน่ใจว่านายของแกจะไม่เข้าใจผิดไป"


สีหน้าของจีโอตอนนี้ดูผิดไปจากเดิมราวกับเป็นคนละคน ท่าทางสบาย ๆ หายไปเหลือแต่ชายผู้ที่เป็นที่เคารพของคนนับพัน ชายผู้ที่เป็นผู้นำของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ ขนาดเจนเองยังลืมอคติที่มีต่อจีโอไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว


"แกต้องไปเล่าทุกอย่าง..ฉันหมายถึงทุกอย่างจริงๆตั้งแต่เรื่องที่คนของแกโดนผู้เล่นหน้าใหม่เล่นงานที่สุสานนั่น เรื่องที่พวกของแกโดนจัดการยับที่นี่ แล้วบอกด้วยว่าฉันจะรับผิดชอบการกระทำทั้งหมดนั่นเอง ไปพูดให้หัวหน้าของแกฟังอีกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ห้ามคนของกิลด์พิฆาตราชาเข้ามาเหยียบในเมืองที่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ปกครองอีก"



เมื่อพูดจบ ทั้งเหล่าผู้เล่นที่กำลังมุงดูอยู่ก็ส่งเสียงคุยกันอย่างตกใจในสิ่งที่จีโอกล่าวออกมา พวกกิลด์พิฆาตราชาเองก็ดูจะตะลึงไปเช่นเดียวกัน จีโอหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนดาบขึ้นมาจากพื้นและแบกขึ้นหลังก่อนจะพูดในสิ่งที่จะทำให้ทุก ๆ คนแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง



"อ้อ... ฉันของฝากคำพูดไปบอกคราวลี่ย์ด้วยล่ะกันนะ บอกมันว่า คราวนี้ มันกับฉัน เราจะได้เห็นดีกันแน่...ทุกๆคน ฟังทางนี้!" จีโอหยุดแล้วหันหลังมาพูดกับผู้เล่นคนอื่นที่มุงอยู่ทั่วบริเวณ


"ขอให้ทุกคนเป็นพยานในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ด้วย และส่งต่อข่าวออกไปให้ทั่วทุกดินแดน บอกทุกคนไปว่านับแต่บัดนี้ ผม พยัคฆ์แดง จีโอ แห่งกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ จะขอประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชา!!"



แค่นั้นทุก ๆ คนถึงกับอ้าปากค้างไม่เว้นกระทั่งเพื่อนหนุ่มทั้งสองของเจน ตัวเจนเองก็พอจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แต่เธอไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าที่เธอคิดแน่ จีโอเลื่อนดาบลงมาข้างตัวแล้วจ้องไปยังกลุ่มของกิลด์พิฆาตราชา พวกมันที่ได้สติต่างก็รีบวิ่งกลับไปที่เรือของพวกตนแล้วออกจากท่าไปในทันที



เสียงร้องแสดงความยินดีของเหล่าผู้เล่นและชาวเมืองต่างตะโกนก้องไปทั่วบริเวณ แสดงความยินดีที่จีโอสามารถจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมดไปได้ แต่ที่น่ายินดียิ่งกว่าคือการประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาที่เป็นชื่อกิลด์ที่ผู้เล่นทุกคนทราบถึงข่าวในทางลบมาตลอด การที่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ประกาศสงครามในเมืองที่มีคนหลายร้อยเป็นพยานเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าหัวหน้ากิลด์อย่างจีโอนั้นได้ประกาศเป็นฝั่งตรงข้ามกับกิลด์พิฆาตราชาอย่างเป็นทางการ นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนต่างเฝ้ารอมานานแล้ว



ผู้คนมากมายต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับจีโอกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเขาก็ต่างยอมให้ทุกคนเข้ามาถึงตัวโดยไม่รู้สึกรังเกียจต่างจากคนที่อยู่ในสถานะสูงหลาย ๆ คน ในชั่วขณะหนึ่งจีโอเหลือบไปเห็นใบหน้าของผู้เล่นคนหนึ่งที่คุ้นตา เหมือนกับว่าเคยพบมาก่อน หน้าตาเหมือนกับเด็กสาวที่เขาเจอมาเมื่อไม่นานมานี้ เพียงแค่ชุดของเธอในตอนนี้กลายเป็นสวมชุดที่ดูคล้ายกับผู้ชาย ครั้นจะตามไปเขาก็ถูกฝูงชนที่ขวางทางจนเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ เขามองตามไปจนลับสายตาไปทางท่าเรือ





หลังจากเกิดเรื่องขึ้นพวกเจนก็รีบพากันขึ้นไปบนเรืออย่างรวดเร็วพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ต่างมีจุดหมายเดียวกัน ทั้งสามตรงไปยังห้องพักในตัวเรือที่ดูหรูหราขึ้นกว่าเรือที่ออกมาจากเกาะเริ่มต้นมาก แน่นอนว่าราคาตั๋วสูงกว่ามากถึง 5000 โกลด์ ความจริงมีเรือที่หรูหรากว่านี้และโจเสนอให้ทุกคนขึ้นไปบนเรือลำนั้นแต่เจนบอกทันทีว่าถ้าหากจะขึ้นเรือลำนั้นก็ซื้อแยกไปเองทำให้โจจำต้องซื้อตั๋วเรือราคาปกติเช่นเดียวกับเพื่อนของเขา



ภายในห้องเป็นเตียงสี่เตียงตั้งอยู่คนละมุม และมีโต๊ะอยู่อีกหนึ่งตัวเอาไว้เขียนหนังสือหรือเขียนจดหมาย เจนจองเตียงของตัวเองและนำของที่ซื้อมาไปวางเอาไว้บนโต๊ะแล้วกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างหมดแรง



"ให้ตายสิ ขอวันธรรมดา ๆ ซักวันไม่ได้หรือยังไงกัน ตั้งแต่เข้ามาในเกมนี้ก็มีแต่เรื่องตลอดเลย" เจนว่า



"นี่เธอเข้ามาเล่นเกมนะ ถ้าอยากจะพักก็ออกไปนอนนอกเกมสิ" โจบอก เขานอนเหยียดขาลงบนเตียงอย่างสบายใจ ถึงจะไม่ได้เป็นเตียงระดับดีเยี่ยมแต่ก็ให้ความรู้สึกสบายไม่ต่างกันนักเมื่อเขารู้สึกเหนื่อยเช่นนี้



"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหมอนั่นจะเก่งสุดยอดขนาดนี้ คิดว่าเป็นแค่ไอ้ตัวอวดเก่งคนหนึ่งซะอีก"



"นี่เธอหมายถึงใคร จีโองั้นหรือ?" แจ็คถาม



"ใช่ ฉันเคยเจอหมอนั่นเมื่อตอนที่อยู่ไทริส ตอนที่พวกนายทิ้งฉันกับคิทซึเนะเอาไว้นอกเมืองไง" เจนไม่บอกความจริงทั้งหมด นั่นเป็นเพราะเธอไม่ยอมรับว่าจีโอช่วยเธอเอาไว้จากพวกโจรของกิลด์พิฆาตราชา



"นี่เธอเคยเจอกับจีโองั้นหรือเนี่ย! ทำไมเรื่องแบบนี้ไม่เคยเล่าให้ฟังกันบ้าง" แจ็คถามด้วยน้ำเสียงตกใจ



"ฉันเคยเล่าให้พวกนายฟังแล้ว ที่โรงแรมนั่นหลังจากที่คิดบัญชีกับพวกนายตอนเช้านั่นไง"



"เธอเล่าบอกว่าเจอโจรดักปล้น แต่ไม่ได้บอกว่าเจอหัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ซักหน่อย"



"มันเป็นเรื่องของฉัน จะเล่าหรือไม่เล่าให้นายฟังมันก็ไม่เกี่ยวซักหน่อย" เจนว่าแล้วหันไปค้อนใส่จนแจ็คต้องยอมแพ้ไป



"แต่ก็นึกไม่ถึงเลยนะว่าจู่ ๆ จีโอจะประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาแบบนี้" โจพูดขึ้น



"ฉันเองก็กำลังสงสัยอยู่พอดี พี่เสือเคยเล่าว่ากิลด์พิฆาตราชามีข่าวเน่าขนาดนั้น เป็นกิลด์อันดับสี่แต่กิลด์อันดับสองเพิ่งมาประกาศสงครามตอนนี้เนี่ยนะ ถ้าให้ฉันเป็นหมอนั่นล่ะก็คงจะเปิดฉากลุยตั้งนานแล้ว" เจนพูด ปฏิเสธที่จะเอ่ยชื่อของจีโอ



"ก็...ทำไปนานแล้วล่ะ"



"หะ?" เจนหันไปมองหน้าโจไม่กระพริบ "เมื่อกี้นายพูดว่ายังไงนะ"



"นี่ไม่ใช่การประกาศสงครามครั้งแรกต่อกิลด์พิฆาตราชาหรอกนะ อย่างกิลด์วิหคเทเวศที่เป็นกิลด์อันดับสาม แถมสมาชิกหญิงล้วนด้วย ฝีมือก็สุดยอดระดับพระกาฬแต่ก็ยังโค่นกิลด์พิฆาตราชาไม่ได้ หรือจะเป็นหย่งฟาง หัวหน้ากิลด์อีกคนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ก็เคยประกาศสงครามกวาดล้างเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ต้องเจรจาสงบศึกในที่สุดและยอมจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเมืองที่เคยปกครองอยู่หลายเมืองและเงินหลายล้านโกลด์" โจพูดจนเจนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถ้าหากคนที่ชื่อหย่งฟางนั้นเป็นคนระดับเดียวกับจีโอล่ะก็ ฝีมือก็คงจะไม่ต่างอะไรมาก แต่ก็ยังไม่สามารถสู้กิลด์พิฆาตราชาได้



"ส่วนกิลด์อันดับหนึ่ง กิลด์หกราชันย์ ฟังชื่อก็คงจะรู้นะว่ากิลด์นี้มีผู้นำกันกี่คน" คงเดาไม่ยาก เจนคิด "หัวหน้ากิลด์สามคนเคยยกทัพไปจัดการเมืองที่ตั้งหลักของกิลด์พิฆาตราชาถึงทวีปยูโรปา แต่ก็ล้มเหลวกลับมา หลังจากนั้นชื่อเสียงของกิลด์พิฆาตราชาก็โด่งดังขึ้นในฐานะเป็นกิลด์ที่แข็งแกร่งมาก และก็ไม่มีกิลด์ไหนเคยประกาศสงครามกับกิลด์นี้อีกเลย แต่เคยมีคนคุยกันในกระดานข่าวว่า ถ้าหากหนึ่งในสามกิลด์นี้ประกาศศึกอีกครั้งล่ะก็ มันจะต้องเป็นศึกใหญ่ที่ตัดสินชะตาทั้งสามทวีปเลยล่ะ"



ในตอนแรกนั้นเจนคิดว่านี่เป็นแค่เกม เล่นกันสนุก ๆ แต่พอหลังจากได้สัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความสมจริงจนแยกไม่ออกจากโลกภายนอกเลยทีเดียว พอมาได้ยินของกิลด์ที่โจเล่าให้ฟังก็ทำให้เจนได้คิดว่านี่ไม่ใช่แค่กลุ่มคนร้อยหรือสองร้อยคนเท่านั้น แต่เป็นการทำสงครามกันจริงด้วยด้วยอาวุธและเวทมนตร์กับคนจำนวนนับล้าน เพราะฉะนั้น จีโอที่เป็นหนึ่งในสองหัวหน้ากิลด์ระดับโลกก็ถือได้ว่าเป็นคนที่ไม่ได้เก่งแค่ปากอย่างที่เธอคิด ต้องเป็นคนที่เก่งจริง ๆ และมีพรสวรรค์รวมทั้งความพยายามอย่างสูงถึงจะมาอยู่ในจุดนั้นได้



"ขอบอกตามตรงเลยนะ เจน ฉันว่าเรื่องที่เกิดมาทั้งหมดที่เมืองซีโปนั่น ตามที่ฉันคิดนะ สาเหตุทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเพียงคน ๆ เดียว" คราวนี้แจ็คพูดขึ้นบ้าง เจนหันไปหาแต่ไม่ได้เอ่ยปากอะไร ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงพูดต่อโดยจ้องไปที่หญิงสาวเพียงคนเดียวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง



"คน ๆ นั้นที่สู้กับอำนาจที่ไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย คน ๆ นั้นที่หัวหน้ากิลด์ใหญ่อย่างจีโอถึงกับออกตัวประกาศปกป้องไปทั่วโลก คน ๆ นั้นจะต้องเป็นที่จับตามอง ไม่ว่าจะเป็นคนจากกิลด์ดีหรือเลว หรือแม้กระทั่งผู้เล่นยอดฝีมือไร้สังกัด....และคน ๆ นั้นคือเธอ"







หลังจากผ่านไปสองวันก็ถึงเวลาต้องออฟไลน์ ตลอดเวลาที่เจนอยู่เป็นเพื่อนคิทซึเนะก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปด้วย อาจจะจริงที่แจ็คว่า เธอเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้สงครามนั้นบังเกิดขึ้น ถึงโจจะบอกว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรก็ตาม แต่เธอควรจะรับผิดชอบหรือเปล่า หรือว่าเธอควรจะไปเข้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่หรือไม่...



ไม่มีวัน! เธอเข้ามาเล่นเกมนี้เพื่อต้องการจะสนุกกับพวกโจ ไม่ได้จะมายุ่งวุ่นวายเช่นนี้ สงครามจะเกิดก็เกิดไป ถ้าหากมันยังไม่เกี่ยวกับตัวของเธอหรือทำความเดือดร้อนให้กับเพื่อน ๆ ของเธอ เจนก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด ถึงอย่างนั้นเจนก็เห็นใบหน้าของอามีร่าลอยขึ้นมาในความคิด ถ้าเธออยากจะช่วยเด็กคนนั้น บางทีการเข้าร่วมสงครามอาจจะดีกว่าก็ได้



เจนลูบหัวคิทซึเนะอย่างอ่อนโยนแล้วบอกให้อยู่ในห้องนี้ดี ๆ อีกหกวันจะกลับมา เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างมั่นเหมาะแล้วเจนก็ทำการออฟไลน์ไป ถึงเธอจะเป็นห่วงคิทซึเนะอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ยังจำต้องทำการออฟไลน์ไปอยู่ดี



เธอลืมตาตื่นขึ้นมามองเห็นเพดานสีชมพูอ่อนของห้องนอนตัวเอง เจนหันไปมองนาฬิกาที่แหวนอยู่บนผนังบอกเวลาเกือบจะหกโมงเช้าแล้วซึ่งเป็นไปตามที่เจนคาดเพราะเธอออฟไลน์ออกมาก่อนกำหนดเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกสดชื่นเหมือนปกติ ในระหว่างที่เจนอาบน้ำเธอได้ยินเสียงของจริยาเรียกและบอกว่าพวกโจมาหา เธอจำได้ทันทีว่าพวกเขามาทำไมและนั่นทำให้เธอเริ่มปวดหัวขึ้นมาทันที เมื่อเธอมาถึงห้องกินข้าวก็พบโจและแจ็คนั่งกินรออยู่แล้ว ส่วนจริยานั้นก็กำลังยกจานส่วนของเจนและส่งให้เธอ



"นี่จ๊ะเจน กินเยอะ ๆ เลยนะ วันนี้ต้องออกแรงเยอะใช่มั้ยจ๊ะ" จริยาพูด ท่าทางไอ้ตัวแสบทั้งสองจะบอกแม่เธอทุกอย่างแล้ว แต่ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วจริยาก็คงจะรู้อยู่ดี



อาหารเช้าในวันนี้เป็นไข่กวนกับเบค่อนโดยมีขนมปังจานใหญ่ให้ทุกคนหยิบอยู่กลางโต๊ะ อาหารทานง่ายแต่ให้พลังงานไม่มาก จริยาจึงทำไข่กวนเยอะมากเป็นพิเศษซึ่งให้พลังงานสูงที่สุดในอาหารมื้อนี้ หลังจากทานเสร็จแล้วจริยาก็ไปแต่งตัวพร้อมกับออกไปที่สวนสาธารณะพร้อมกับพวกเจน



"นี่พวกนายขนอะไรมาเยอะแยะเนี่ย" เจนถามเมื่อเธอเห็นโจแบกกระเป๋าสะพายมา แจ็คเองก็ลากกระเป๋าเหล็กสีเทาใบใหญ่ตามมาเช่นกัน



"ก็ถ้าลำโพงไม่ใหญ่เพลงก็ไม่ดังน่ะสิ ถ้าจะเต้นมันต้องมีเพลงดัง ๆ จริงมั้ย"



"แล้วเพลงจะดังได้ก็ต้องมีลำโพงใหญ่ ๆ จริงมั้ย โจ" แจ็คพูดและยกมือของตนไปตีกับเพื่อนดังฉาดใหญ่อย่างชอบใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจนดีใจด้วยเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นเธอก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว นึกได้แต่ด่าทอตัวเองที่ไปยุเพื่อนในเกม ความจริงเธอไม่น่าจะคิดทำเช่นนี้แต่แรกเลยด้วยซ้ำ



เมื่อหลายเดือนก่อนทั้งสามคนได้เข้าร่วมแข่งขันในเกมเต้นทัวร์นาเมนท์ ซึ่งตอนนั้นพวกเธอเพียงแต่เต้นผ่านเครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหวของเครื่องเล่นเกมที่ต่อกับจอโทรทัศน์ แต่น่าทึ่งที่ทั้งสามสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ถึงจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศแต่ก็ถือได้ว่าทำได้ดีเพราะการแข่งขันที่พวกเจนลงแข่งนั้นเป็นการแข่งเกมเต้นระดับโลกเลยทีเดียว แต่ก็ยังเป็นสังคมเล็กที่มีคนอยู่ไม่กี่ล้านคนเท่านั้นที่เล่นเกมนี้



จนผ่านการแข่งขันมาแล้ว ทั้งสามยังคงมีอารมณ์ที่จะเต้นอยู่และคิดกันว่าจะไปเต้นกันนอกเกมเลยทีเดียว พวกเธอถึงกับตัดต่อเพลงเต้นสนุก ๆ มัน ๆ หลายเพลงและหาท่าเต้นมาเพื่อเพลงนี้โดยเฉพาะ แต่ว่านั่นก็มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วเพราะโจและแจ็คหันไปทำงานพิเศษเพื่อซื้อเฮดก็อกเกิ่ล ในเมื่อเพื่อน ๆ ไม่ได้สนใจเรื่องเต้นแล้วเจนเองก็ไม่ได้ฝึกต่อเช่นกัน ทำให้โครงการนี้ของทั้งสามคนถูกลืมไปแต่ท่าเต้นที่ฝึกกันมาก็จำได้อยู่ติดหัวไปแล้ว



เมื่อมาถึงสวนสาธารณะ เจนและจริยานั้นก็ไปรำไทเก๊กตามปกติ ปล่อยให้โจและแจ็คกันการเตรียมเครื่องเสียงอยู่ใกล้ ๆ เพราะพวกเขาจะใช้ลานนี้ต่อเนื่องจากที่นี่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนกันสวนสาธารณะดัง ๆ ของกรุงเทพ เป็นเพียงแค่สวนสาธารณะหมู่บ้านที่เอาไว้ให้ชาวบ้านมาออกกำลังกาย พักผ่อนหรือรวมตัวกันในงานหรือนอกเทศกาลเท่านั้น จึงมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมเพียงแค่ลานเดียว



ในระหว่างที่รำ เจนนั้นไม่ค่อยมีสมาธิซักเท่าไหร่จนอาจารย์ศักดิ์ต้องทักอยู่บ่อยครั้ง เพราะยิ่งเวลาผ่านไปก็ใกล้ได้เวลาที่เธอต้องเต้นต่อหน้าคนมากมาย ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอคิดทำอย่างนี้ได้ยังไง แถมพวกโจนั้นไม่รู้ว่าคิดยังไงถึงขุดเรื่องนี้มาอีกครั้ง ไม่รู้สึกอายบ้างหรือไง แต่อย่างนั้นพอรำไทเก๊กเสร็จแล้วเวลาก็จะเลยไปช่วงสาย เจนคิดเอาไว้ว่าถึงตอนนั้นคนก็น่าจะน้อยลงแล้ว



ทว่าเรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปตามที่เจนคาด วันนี้เป็นวันเสาร์ทำให้คนมาที่สวนสาธารณะมากมาย แล้วเมื่อเห็นพวกโจกำลังตั้งลำโพงอยู่ จึงพากันรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มแม่ๆและอาจารย์ศักดิ์ที่รอดูอยู่เช่นเดียวกัน



"นี่ พวกนายแน่ใจนะว่าจะทำกันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพวกนายลืมไปแล้วหรือว่าเต้นกันยังไง" เจนพูดกับเพื่อนของเธอ พยายามตะล่อมให้ทั้งสองถอนตัวให้ได้



"สบายมาก พวกเราจำได้ทุกท่านั้นล่ะ ถ้าเธอลืม พอเปิดเพลงแล้วเดี๋ยวเธอก็จำได้เองนั้นแหละ" โจพูดแล้วเสียบสายไฟเข้ากับปลั๊ก ในขณะที่โจกำลังยกลำโพงเข้าประจำที่



พอทั้งสองเช็คเครื่องเสียงเรียบร้อยแล้ว โจก็เปิดกระเป๋าของตนขึ้นมาแล้วเรียกเจนเข้าไปหา เขาส่งถุงพลาสติกสีขาวให้และชี้ไปยังห้องน้ำใกล้ ๆ แต่เมื่อเจนก้มลงดูว่าอะไรอยู่ในถุงก็ต้องส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน



"นี่นายจะบ้าหรือ เต้นให้คนอื่นดูแบบนี้ก็น่าอายอยู่แล้ว ยังจะให้ใส่ของแบบนี้อีกงั้นหรือ ไม่มีทางซะหรอก" เจนพูด เพราะที่อยู่ในถุงคือชุดที่เจนไม่มีวันจะใส่อย่างแน่นอน



"ชุดนี้ฉันไม่ได้เป็นคนเตรียมนะ ถึงบอกให้เธอรู้เธอก็ไม่มีทางหาชุดมาใส่แน่อยู่แล้ว พวกเราก็เลยเตรียมแค่ของตัวเองมาเท่านั้นเอง ส่วนคนที่เตรียมชุดนี้ให้เธอยืนโบกมืออยู่โน้น" โจพูดแล้วชี้ไปทางกลุ่มคนด้านหลัง เจนหันไปดูและเห็นแม่ของเธอกำลังยืนโบกมือให้พร้อมกับส่งยิ้มกว้าง ตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าชุดนี้มาจากไหน



เจนเดินตามสองหนุ่มไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ถึงเธอไม่ยากจะใส่แต่ถ้าปฏิเสธล่ะก็เธออาจจะมีปัญหาที่บ้านแน่ การทำให้จริยาโกรธอยู่ในรายการห้ามทำในกฎในบ้านของเจน ถึงเวลาจริยาโกรธจะไม่ได้ทำลายข้าวของหรือตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่นบ้าน แต่เป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นมาก จริยาเป็นคนประเภทที่โกรธ 'เงียบแต่น่ากลัว'



เจนหลับหูหลับตาสวมชุดที่จริยาให้มาให้เสร็จไป เพียงแค่อยู่ในชุดนี้ก็ทำให้เธออายจนไม่กล้าออกไปจากห้องน้ำ ขนาดมองตัวเองให้กระจกก็ยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ เจนได้ยินเสียงของโจเรียกเธอจากหน้าห้องน้ำหญิง เธอรู้ว่าต่อให้รอนานแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องออกไปอยู่ดี ดังนั้นเจนจึงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำใจแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำ



โจและแจ็คที่กำลังรอเพื่อนสาวอยู่ ทั้งสองตอนนี้อยู่ในชุดเดียวกัน เป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คขายาวกับแจ็คเก็ตแขนยาว ที่ต่างกันก็แค่สีของเสื้อผ้าโดยโจใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงและกางเกงสีดำพร้อมทั้งเสื้อแจ็คเก็ตคลุมสีแดงและดำ ส่วนแจ็คเป็นเสื้อเชิ้ตสีเขียวเท่านั้น



ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าคงต้องรอเวลาอีกซักพักเพราะทั้งคู่เห็นชุดที่จริยาจะให้เจนใส่แล้วคงอีกนานแน่กว่าเจนจะออกมา แต่เมื่อเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกก็ทำให้ทั้งคู่แปลกใจไม่น้อยกับตัวเจนในตอนนี้



"ม...มัวแต่มองอะไรอยู่เล่า รีบๆทำแล้วรีบกลับบ้านเถอะ" สาวน้อยพูดเสียงสูงเพราะรู้สึกเขินอาย เธอกำลังสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวโดยมีเสื้อคลุมกะลาสีแขนกุดสีน้ำเงินพร้อมกับโบกระต่ายสีชมพูที่ปกเสื้อดูน่ารักมาก เธอสวมกระโปรงสั้นสีชมพูเปิดเผยให้เห็นขาวเรียวสวยที่ถุงน่องสีดำปิดอยู่แต่ยังมีพื้นที่สีขาวเล็ก ๆ ระหว่างกระโปรงกับถุงน่องที่ดึงสายตาของสองหนุ่มจนไม่สามารถละสายตาไปได้



เมื่อเห็นว่าคำพูดของตัวเองไม่สามารถเรียกสติของเพื่อนทั้งสองให้กลับมา เธอจึงยกเท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบสีดำเตะเท่าที่กระโปรงจะเอื้อความสูงให้ได้และรีบผลักทั้งคู่ไปยังลานที่เธอรำไทเก๊กซึ่งตอนนี้กำลังจะกลายเป็นฟลอร์เต้นรำของพวกเธอ



เมื่อไปถึงลานที่ตอนนี้ลำโพงสองตู้ตั้งหันออกไปทางผู้ชมจำนวนมาก ในขณะที่เธอเดินเข้ามายืนอยู่กลางลานแห่งนั้นเธอได้ยินเสียงของคนคุยซุบซิบซึ่งเจนพอจะเดาได้ว่าคงจะพูดถึงเธอและชุดที่กำลังใส่อยู่ ใบหน้าของเจนตอนนี้แดงก่ำเป็นมะเขือเทศเพราะความอาย ไอ้ขาที่กะจะก้าวเท้าหนีก็ดันก้าวไม่ออกเพราะในใจไม่อยากจะยอมแพ้แต่ความอายของเธอนั้นกำลังพุ่งขึ้นมาอย่างสูสีกันเลยทีเดียว



ในตอนนั้นเองที่แจ็คและโจดึงหัวเธอให้หันมาด้านหลังพร้อมทั้งกอดคอกันเป็นวงกลมเหมือนกับกำลังสุมหัวประชุมกัน



"เอาล่ะ ฟังนะ แค่ทำตามที่เคยซ้อมมาก็พอ ถึงจะพลาดก็ช่าง แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ" โจพูดให้กำลังใจ



"ต..แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าเริ่มยังไง มันทั้งอายทั้งตื่นเต้นจนคิดไม่ออกแล้ว" เจนพูดตามความจริง น้ำเสียงสั่นเพราะตื่นเต้น เสียงหัวใจของเธอเต้นดังจนเพื่อนทั้งสองคนจะได้ยินอยู่แล้ว



"ไม่เป็นไรน่า ก็อย่างที่โจพูดไง เต้นไปตามเพลงแล้วที่พวกเราฝึกมามันก็จะผุดขึ้นมาในหัวเอง จำความรู้สึกตอนนั้นของพวกเราให้ได้สิ เอาล่ะ สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปล่อยออกมาช้าๆนะ" แจ็คบอก เจนทำตามคำแนะนำ หัวใจของเธอค่อยๆเต้นช้าลงถึงแม้จะไม่ได้กลับมาเป็นปกติ แต่เธอก็ใจเย็นลงมาก แต่แล้วเธอก็เห็นกล้องจากกลุ่มคุณแม่ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ทำให้ใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง



"แย่ล่ะ มีกล้องด้วย มีกล้องด้วย มีกล้องด้วย งานนี้แย่แน่ แย่แน่ แย่แน่ แถมฉันแต่งตัวแบบนี้อีก ทุกคนต้องหัวเราะเยาะแน่..-"



"ใจเย็นน่า เจน สูดหายใจ หายใจ" แจ็ครีบหยุดพร้อมเขย่าตัวของเพื่อนสาวให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง



"ไม่มีใครหัวเราะเยาะเธอหรอก เชื่อฉันสิ ตอนนี้เธอดูน่า....ดูดีจะตายไป" โจพูด เขาเว้นช่วงไปหน่อยหนึ่งเพื่อเปลี่ยนคำแต่ตอนนี้เจนไม่ทันคิดเรื่องนั้นแล้ว



"จริงหรือ..."



"จริงสิ ถ้าไม่เชื่อพวกเราก็ลองหันไปดูเองสิ" คราวนี้แจ็คเป็นคนพูด



เจนทำตามที่เพื่อนหนุ่มบอกและหันไปดู ตอนที่พื้นที่โดยรอบถูกคนในหมู่บ้านจับจองเพื่อรอดูพวกเจนว่าจะทำอะไร หลายคนที่มีกล้องติดมือมาด้วยหรือจะเป็นกล้องมือถือกำลังเตรียมถ่ายภาพ ไม่มีใครเลยที่กำลังหัวเราะเยาะ มีแต่สายตาอยากรู้อยากเห็นกับสายตาที่คาดหวังในตัวเธออีกหนึ่งคู่จากแม่ที่แสนดีของเธอ



ในตอนนี้เจนรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และหันกลับมาหาพวกโจอีกครั้ง



"เอาล่ะ ฉันรู้ว่าพวกเราไม่ได้พร้อมเหมือนเมื่อก่อน นี่แค่ทำตามที่เธอพูดในเกมเฉย ๆ แต่พวกเราต่างจำความรู้สึกในตอนที่ผ่านเข้ารอบชิงได้ใช่มั้ย" ชายหนุ่มในเสื้อสีแดงพูด เจนบอกได้เลยว่าตอนนี้เขาก็ตื่นเต้นเช่นกัน



"ใช่เลย ตอนนั้นเราดิ้นกันสุด ๆ เปิดเพลงดังลั่นบ้าน ไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไงแค่ขอได้เต้นก็พอ" แจ็คพูดและนึกย้อนกลับไป ในตอนนี้ความรู้สึกที่ว่านั้นกำลังกลับมาอีกครั้ง



"ถ้าพลาดก็ทำเหมือนตอนแข่ง ไม่ต้องสนใจเต้นต่อไป เข้าใจนะ แล้วเธอล่ะเจน พร้อมหรือยัง" เพื่อนหนุ่มหันไปถาม คราวนี้เด็กสาวยิ้มให้เป็นคำตอบ



"จะพูดอีกนานมั้ย เสียเวลา" เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้เพื่อน ๆ ทั้งสองคนยิ้มออกมา มือของโจและแจ็คที่จับไหล่เจนบีบแน่น เธอเองก็ทำเช่นเดียวกัน



"จำเอาไว้ พวกเราทำได้!"



"โอ้!!" ทั้งสามตะโกนปลุกกำลังใจตัวเองแล้วขยับเข้าไปยืนประจำที่ตัวเอง



ตอนนี้เจนยืนอยู่ตรงกลาง ส่วนแจ็คยืนขนาบข้าง โจนั้นจะมายืนอีกข้างของเจนแต่เขาต้องทำหน้าที่ผู้ประกาศชื่อซะก่อน เขาจึงต้องมายืนอยู่ข้างหน้าเธอ



"สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน! ผมนั้นได้รับเกียรติจากทุกๆท่านที่จะมานำเสนอความบันเทิงแก่ทุกๆท่านในวันนี้!" โจพูดด้วยเสียงที่ดังกังวาน ถึงน้ำเสียงจะสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้นแต่ก็ยังฟังดูมั่นใจ "นักเต้นทรีโอ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล! ที่สุดแห่งยุค! ที่สุดของจักรวาล!! ขอให้ทุกท่านปรบมือต้อนรับ ทริ้ปเปิ้ล เจ!!"



เสียงปรบมือและผู้คนส่งเสียงร้องดังไปทั่วสวน โจกดปุ่มเล่นเครื่องเสียงแล้วรีบวิ่งกลับมาประจำที่ของตน



เสียงเพลงเริ่มดังขึ้น จังหวะเริ่มจากช้า ๆ และเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเนื้อร้อง เพลงนี้เป็นเพลงที่ส่วนใหญ่จะเปิดในงานปาร์ตี้ จังหวะสนุกสนานที่แค่ฟังก็รู้สึกสนุกตาม ท่าเต้นของพวกเจนนั้นไม่ได้เป็นท่าที่ดูโลดโผนหรือดูเหมือนนักเต้นเลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงแค่ท่าที่โบกมือไปมาหรือขยับขาซ้ำ ๆ กันเกือบทั้งเพลง เพราะพวกเธอเอาท่านี้มาจากเกมที่เล่นเช่นเดียวกับเพลงที่นำมาเต้นนี้ พวกเธอสามคนไม่ใช่นักเต้นอาชีพจึงยากที่จะคิดท่าเต้นขึ้นมาเองได้



แต่ถึงอย่างนั้นท่าเต้นของพวกเจนก็เรียกเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือดังจนไม่ขาดสาย เมื่อขึ้นเพลงที่สองก็ยิ่งมีท่าทางที่เรียกเสียงหัวเราะได้ยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะโยกตัวไปมาเหมือนเก้าอี้โยก หันตัวไปด้านข้างพร้อมกับยกแขนชี้ฟ้า หรือเมื่อขึ้นเพลงที่สามซึ่งเป็นเพลงที่ผู้หญิงร้อง ทำให้ท่าที่เต้นเป็นท่าของผู้หญิงแต่โจและแจ็คยังคงเต้นตาม เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ ในขณะที่เจนเต้นแต่ทำให้หนุ่ม ๆ หลิ่วตามองจนไม่กล้าละสายตา



เพลงต่อไปถูกนำมาเล่นเรื่อยๆ ท่าต่างๆที่ทั้งสามเต้นก็ยิ่งดูตลกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบางเพลงที่มีเว้นช่วงยาวก็เปิดโอกาสให้ทั้งสามเต้นอิสระตามใจชอบซึ่งจุดนี้เรียกเสียงตะโกนชอบใจจากทุกคนดังกระหึ่มอย่างท่าที่ทั้งสามคนมายืนซ้ำกันแล้วโยกแขนไปมาจนดูเหมือนมีหกแขน ในตอนนี้เจนไม่สนอีกแล้วว่าผู้คนจะมองพวกเธอยังไงอีกต่อไป เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้อีก สายตานับสิบคู่ที่มองมาทางเธอทำให้ตัวเจนรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น หัวใจเต้นรัวราวกับว่าจะหลุดออกมาจากอก แต่คราวนี้ไม่เหมือนก่อน แทนที่เจนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่กลับกลายเป็นว่าทุก ๆ คนกลับเป็นแรงผลักดันให้เธอเต้นต่อไปอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย



กว่าสิบนาทีที่ทั้งสามเต้นท่าเดิมๆ แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย เมื่อจบเพลงเสียงปรบมือดังอย่างไม่ขาดสาย จำนวนคนที่ดูเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้กว่าสองเท่าแต่เจนกลับรู้สึกดีใจมากที่มีคนมาดูเยอะขนาดนี้ ในตอนแรกมันเป็นคนความคิดคึกคะนองของเด็กสามคนที่อยากจะแสดงในสิ่งที่พวกตนชอบให้คนอื่นได้เห็น ถึงจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปจะมองว่าไร้สาระหรือเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่การลงมือทำต่างหากที่เป็นเรื่องยาก และผลลัพธ์ของมันนั้นก็คุ้มค่านัก นั่นก็คือความภาคภูมิใจนั่นเอง



เวลาล่วงเลยจนมาถึงเกือบจะเที่ยงวัน จริยาให้รางวัลกับเจนโดยให้เงินไปทานข้าวเที่ยงนอกบ้าน โดยเธอจะขนลำโพงกลับไปที่บ้านเอง ในตอนแรกเจนจะปฏิเสธเพราะไม่อยากให้แม่ของเธอยกของหนักกลับบ้าน แต่อาจารย์ศักดิ์อาสาไปส่งที่บ้านให้จึงทำให้เจนวางใจและไปกับพวกโจ ซึ่งทั้งสามเดินไปที่ร้านอาหารที่ไม่ไกลมากนัก ในเวลานี้ทั้งสามกลับมาสวมชุดลำลองปกติแล้วแต่ว่าชื่อของพวกเธอ...โดยเฉพาะเจน ต่างรู้ถึงหูทุกคนในหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ขนาดที่คุณป้าเจ้าของร้านอาหารที่พวกเธอไปทานข้าวเที่ยงยังเอ่ยปากชมว่าเจนเต้นเก่งมาก แถมยังเอ่ยชมว่าชุดที่ใส่ตอนนั้นน่ารักอีกด้วย



น่าแปลกที่ตอนเวลาเต้นอยู่บนลานนั้น เจนกลับไม่มีความรู้สึกอายโดยแม้แต่น้อย แต่พอมาถึงตอนนี้เธอกลับแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองทำอย่างนั้นลงไปได้จริง ๆ เจนพยายามลืมๆมันไปซะแล้วรีบทานข้าวมื้อนี้ให้เสร็จไป



หลังจากทานเสร็จพวกเจนก็ไปจ่ายเงินโดยป้าเจ้าของร้านลดราคาให้เป็นพิเศษ ทั้งสามเดินออกมาจากร้านแล้วตรงไปที่บ้านของเจนทันที โดยเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด แต่ว่าเมื่อพอเดินเข้าไปในตรอกเปลี่ยวซึ่งเป็นทางลัดยาวตรงไปยังบ้านของเจนซึ่งปกติใช้อยู่ทุกวัน แต่ในวันนี้กลับมีคนยืนรออยู่เป็นจำนวนมาก ละหน้าตาของคนเหล่านั้นก็ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเจนไม่น้อย



ตรงหน้าของพวกเจนเวลานี้คือพวกนักเลงที่ดักปล้นพวกเจนเมื่อหลายวันก่อน และยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายของเจนกลายเป็นผู้หญิงอีกด้วย แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลที่เจนคิดไปเองคนเดียว ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มของนักเลงตอนนี้ยังคงบวมเป็นสีม่วงจากหมัดของเจน ที่คางยังคงมีพลาสเตอร์สีขาวแปะเอาไว้และยังคงมีเฝือกคอสวมอยู่ด้วย ท่าทางยังคงเจ็บหนักแต่สามารถออกมาเดินปร๋อได้แบบนี้คงจะไม่เป็นอะไรแล้ว เจนคิดในใจไม่ได้พูดออกมา



"เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย! ดูซิว่าใครมา!" หัวหน้านักเลงคนนั้นพูด เขาเดินเอียงเพราะยังบาดเจ็บบริเวณลำตัวอยู่



"เพราะพวกแกไปเต้นเปิดเพลงเสียงดังอยู่ที่สวยสาธารณะ วันนี้หน้าหมู่บ้านก็เลยไม่มีใครเฝ้า พวกเราจะได้มาจัดการคิดบัญชีแค้นซักที"



เจนยืนเงียบหันไปมองเพื่อนสองคนอย่างรู้ใจ เพื่อนหนุ่มก้าวถอยหลังไปแต่ยังคงอยู่ไม่ห่างนักเพราะเป็นห่วงเพื่อนที่กลายเป็นผู้หญิงไปแล้วถึงจะจิตใจยังคงห้าวเป็นผู้ชายอยู่ก็ตาม



"รีบ ๆ เข้ามาซักที มัวแต่พูดเสียเวลา" เด็กสาวพูดแล้วก้าวเท้าเดินออกไปทันที



เธอจ้องตรงไปยังกลุ่มนักเลงที่ตอนนี้พยายามล้อมเจนเอาไว้ แต่พอเจอเข้ากับสายตาพิฆาตที่แผ่จิตคุกคามมาจนไม่มีใครกล้าเดินเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เจนก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายรับอยู่อย่างแน่นอน เธอพุ่งตรงเข้าไปยังนักเลงที่อยู่ใกล้ที่สุดและชกเข้าไปที่หน้าเต็ม ๆ จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าหาคนต่อไปโดยไม่รอดูผลงาน เธอพุ่งเข้าถีบนักเลงอีกคนจนล้มลงไปก่อนที่จะถอยมาตั้งหลัก



ทันใดนั้นเจนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมันไม่เหมือนเดิม นักเลงทั้งสองคนที่เธอเพิ่งเล่นงานไปนั้นสามารถลุกขึ้นมายืนได้เหมือนกับไม่เป็นอะไรเลย แถมยังดูบาดเจ็บน้อยกว่าที่ควรเป็นอีกด้วย



โจและแจ็คเมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดแปลกไปก็เริ่มใจเสีย ทั้งคู่ต่างรีบวิ่งตรงมาคว้าตัวเพื่อนสาวแล้ววิ่งทะลุกลุ่มนักเลงที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หัวหน้านักเลงที่อยู่แนวหลังนั้นตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อน เขารีบตะโกนบอกให้ลูกน้องไล่ตามไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะทั้งสามพุ่งหายเข้าไปในซอยถัดไปซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยที่พวกนักเลงเหล่านี้ไม่กล้าเข้าไป







ทั้งสามกลับมาถึงบ้าน โจก็รีบโทรศัพท์หายามหมู่บ้านให้มารีบจัดการพวกนักเลงโดยเร็ว ส่วนเจนและแจ็คนั้นนั่งลงบนโซฟาพยายามคิดให้ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงทำอะไรพวกนักเลงนั่นไม่ได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอเพิ่งจะอัดหัวหน้าของพวกมันเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว



"นี่เธอออมแรงเอาไว้หรือเปล่า เจน หรือว่าเหนื่อยหลังจากเต้นไปเมื่อตอนเช้า" แจ็คถาม พยายามช่วยคิดแต่เจนส่ายหน้าเป็นคำตอบ



"ฉันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นซักหน่อย แถมข้าวเที่ยงก็กินมาแล้ว และฉันก็ออกแรงเต็มที่เลยด้วย แต่ทำไมพวกนั้นยืนขึ้นมาได้ซะงั้นล่ะ" เด็กสาวพูด เธอมีท่าทางวิตกอยู่ไม่น้อย



จริยาได้ข่าวจากโจก็รีบเข้ามาหาเจนและถามด้วยความเป็นห่วง แจ็คและโจรู้ดีเพราะถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับเจนอีกล่ะก็ จริยาคงจะหัวใจวายไปเพราะความเป็นห่วงแน่ๆ



"เป็นอะไรหรือเปล่าเจน เจ็บตรงไหนมั้ย"



"เจนไม่เป็นอะไรหรอก แม่"



"เป็นสาวเป็นนางไปมีเรื่องกับพวกนักเลงแบบนั้นได้ยังไงกัน" จริยาติลูกสาวของตัวเอง



"ก็ไอ้พวกนั้นมาหาเรื่องก่อนนี่นา แต่ไม่เข้าใจเลย ทั้ง ๆ ที่ชกไปเต็มหมดแล้วแท้ ๆ แต่พวกมันกลับยืนขึ้นมาได้เหมือนไม่เป็นอะไรเลย"



"เรื่องนั้นเดาได้ไม่ยากหรอกเจน" โจว่า เรื่องนี้เขาคิดเอาไว้แล้วว่าซักวันมันคงจะเกิดขึ้นก็เลยพยายามไม่ให้เจนออกจากหมู่บ้าน แต่ไม่นึกถึงเลยว่าพวกนั้นจะเข้ามาหาเรื่องถึงในหมู่บ้านเช่นนี้ "ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงนะ ไม่ใช่ผู้ชาย ตอนนี้เธอไม่มีแรงพอที่จะไปเทียบกับพวกนั้นได้หรอก"



"เดี๋ยวก่อนโจ แต่ในเกมฉันยังต่อยแจ็คอยู่เลยนะ นายเองก็อยู่ด้วยนี่" เจนว่า เพื่อนหนุ่มพยักหน้ายืนยันเพราะในเกมตอนที่โดนเจนชกนั้นรู้สึกเจ็บไม่ต่างจากเดิมเลย



"นั่นมันในเกม แต่นี่โลกจริงนะ เพิ่งผ่านมาแค่เกือบสิบวันเองนะตั้งแต่วันนั้นที่เธอล้มลงไป บางทีร่างกายของเธออาจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ก็ได้ แต่ฉันว่าเป็นเพราะเธอกลายเป็นผู้หญิงมากกว่าเลยทำให้เรี่ยวแรงของเธอหายไป"



พอได้ฟังที่โจพูดเจนก็เก็บเอาไปคิด บางทีอาจจะจริงอย่างที่เพื่อนของเธอบอกเอาไว้ การที่ร่ายกายของเธอกลายมาเป็นผู้หญิงทำให้หมัดที่สามารถจัดการผู้ชายตัวใหญ่ได้ในทีเดียวนั้นหายไป เรี่ยวแรงที่เคยมีก็รู้สึกลดลงเช่นกัน ในตอนแรกเจนคิดว่าเป็นเพราะร่างกายกำลังปรับตัว แต่หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาได้เธอก็ไม่รู้สึกว่าจะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาอีกเลย แม้จะทำกิจวัตรประจำวันตามปกติได้แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีกลับไม่มากเท่าก่อน



พอคิดได้ดังนั้นเจนก็ผุดลุกขึ้นมาทันที สายตาของเพื่อนหนุ่มทั้งสองและคุณแม่ยังสาวมองตามด้วยความสงสัย



"ฉันตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่นี้ไปฉันจะออกกำลังกาย เรียกเอาพละกำลังที่เคยมีกลับคืนมา และเพื่อความปลอดภัย พวกนายสองคนจะต้องไปพร้อมกับฉันด้วยจะได้ไม่โดนพวกนั้นดักเล่นงานอีก"



เสียงค้านดังออกมาจากเพื่อนทั้งสองทันทีที่ได้ยินขอเสนอแกมบังคับของเจน แต่พอเจอดวงตาพิฆาตเข้าก็ไปหุบปากลงทันควัน จะมีอะไรที่เหมือนเดิมสำหรับพวกโจแล้วคงต้องเป็นดวงตาคู่นี้แหละที่ทำให้พวกเขาต้องยอมเพื่อนคนนี้ไปซะทุกอย่าง แจ็คสาบานได้เลยว่าดวงตาพิฆาตของเจนดุดันน่ากลัวกว่าตอนที่เป็นผู้ชายเสียอีก







เจนกลับเข้าออนไลน์อีกครั้งหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จและดูโทรทัศน์กับจริยา คืนนี้แม่ของเธอบอกว่าต้องรีบนอนแต่หัวค่ำเพราะมีงานต้องทำในวันพรุ่งนี้ จึงเป็นเหตุให้เจนเข้าเกมก่อนพวกโจชั่วโมงหนึ่ง เมื่อเธอเข้ามาก็เห็นคิทซึเนะกำลังนอนหลับอยู่บนกองถุงขนมจำนวนมาก เมื่อลองดูดีๆก็พบว่าของกินที่เจนซื้อมาเผื่อให้จิ้งจอกน้อยตัวนี้ลดลงจนแทบไม่เหลือจนทำให้เธอสงสับว่าคิทซึเนะตัวเล็กนิดเดียวเอาเอาของจำนวนมากพวกนี้ไปไว้ที่ไหนกัน



เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่ามีดวงจันทร์ดวงใหญ่กำลังฉายแสงกระทบลงบนผืนน้ำทะเลเบื้องหน้า เมื่อดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เสียงจากนอกห้องก็มีแค่ลูกเรือเดินตรวจยามตามปกติ ตอนนี้เจนคิดว่าคงมีผู้เล่นไม่มากนักที่กำลังออนไลน์อยู่ เธอจึงตัดสินใจออกไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือ เจนเดินออกจากห้องโดยไม่ปลุกคิทซึเนะ เดินไปตามทางและถามลูกเรือจนสามารถขึ้นมาบนดาดฟ้าได้ ลมพัดกระแทกเข้าใบหน้า เธอได้กลิ่นเค็มจากน้ำทะเลมากับมัน



ในตอนนี้เจนกำลังคิดถึงวิธีการต่อสู้ของตัวเอง นอกเกมนั้นเธอพึ่งหมัดของเธอกับทักษะการต่อสู้ที่ฝึกมาทำให้เอาตัวรอดไปได้ไม่ยาก แต่เข้ามาในเกมเธอใช้ทักษะการต่อสู้ที่มีอยู่ก็สามารถทำให้ได้เปรียบผู้เล่นคนอื่น ๆ มากในช่วงแรก แต่มันยังไม่พอ ถึงเธอจะฝึกวิชาดาบจากหมิงเต๋อแล้วก็ตาม พอหันไปมองคนใกล้ตัวก็เห็นว่าโจนั้นมีวิธีการต่อสู้เฉพาะตัว เขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้รุนแรงและมีระยะการโจมตีที่หลากหลาย ทำให้เขาสามารถวางแผนการต่อสู้ได้เยอะมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นนักเวททำให้มีพลังป้องกันไม่มาก จึงรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคอยวางแผนอยู่แนวหลัง ในขณะเดียวกัน แจ็คที่ตัวใหญ่ก็พอจะสามารถเป็นตัวชนได้ แต่เขาก็เลือกอาวุธเป็นปืนที่อยู่แนวหลังเช่นเดียวกัน



ดังนั้นหน้าที่ชนกับคู่ต่อสู้ก็ตกเป็นของเจนโดยบริยาย ในกลุ่มสามคนมีเธอเพียงคนเดียวที่ใช้อาวุธระยะประชิด เมื่อหันไปมองตอนที่รวมกลุ่มกับพวกเสือซ่อนลายเจนก็พบว่าพวกเขาวางแผนการต่อสู้ได้ดีมาก เขาวางหน้าที่ของแต่ละคนอย่างชัดเจน หรืออาจจะเพราะแต่ละคนมีวิธีการต่อสู้ของตัวเองอย่างเด่นชัดก็เป็นได้จึงจัดวางตำแหน่งได้ง่าย ดังนั้นตอนนี้เจนจึงพยายามคิดหาวิธีต่อสู้ของตนเพื่อที่จะนำไปใช้สู้กับมอนสเตอร์หรือพวกผู้เล่นซึ่งในอย่างหลังนี้ เจนมั่นในว่าเธอจะต้องเข้าสู้ด้วยอย่างแน่นอน



ในตอนนี้เจนรู้แล้วว่าพลังสถิตร่างของเธอนั้นไม่ได้ทรงพลังอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ตอนนี้ร่างสถิตเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางนั้นเธอรู้ว่าเป็นร่างที่เน้นในเรื่องของความเร็ว ซึ่งตั้งแต่ที่เธอใช้สู้มอนสเตอร์ระดับบอสอย่างโกเลมหินผาหรือจักรพรรดิผีดิบยังเร็วเทียบเธอไม่ได้เลย แต่ยังห่างไกลจากความเร็วของจีโอที่เธอเห็นเมื่อสี่วันก่อนมากนัก



มีอยู่สองอย่างที่เจนรู้สึกมั่นใจกับทักษะนี้ก็คือมันสามารถพัฒนาไปพร้อมกับเธอได้ด้วย เจนรู้สึกได้ทุกครั้งที่ใช้ทักษะนี้ว่าพลังได้เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน ถ้าหากเธอมีระดับที่สูงขึ้นล่ะก็เจนมั่นใจว่าคงจะเพิ่มพลังได้มากขึ้นตามอย่างแน่นอน และอีกอย่างหนึ่งที่เจนคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ก็คือทักษะนี้อาจจะสามารถเพิ่มพลังสถิตร่างได้อีกนั่นเอง แต่ทำอย่างไรนั้นเจนก็ยังคงต้องหาคำตอบทีหลัง



ถึงอย่างนั้นก็ตามเจนก็คิดว่าเธอไม่ควรจะไปหวังพึ่งเอาแต่ทักษะพลังสถิตร่าง เพราะถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เธอไม่สามารถใช้ทักษะนี้ได้ตอนต่อสู้คงลำบากอย่างแน่นอน พอมาดูว่ามีทักษะอะไรบ้างก็พบว่าตัวเธอนั้นมีทักษะอยู่ไม่กี่อย่างและมีทักษะที่ใช้ต่อสู้อยู่น้อยมาก แต่ก็มีทักษะที่เจนยังไม่เคยใช้อย่างเช่นทักษะผนึกอสูรที่น่าจะใช้ได้แค่เพียงกับพวกมอนสเตอร์เท่านั้น ทักษะอัญเชิญอสูรที่ในตอนนี้เจนยังไม่มีพลังเวทเพียงพอที่จะสามารถใช้ได้และเธอเองก็ยังไม่มีอสูรจะให้อัญเชิญด้วยซ้ำไป



พอมาดูทักษะที่เหลือตอนนี้ก็มีเพียงทักษะเพิ่มพลังกายที่เป็นแค่ทักษะระดับต่ำสุดแต่ก็มีประโยชน์มาก เพราะเพิ่มพลังโจมตีและความเร็วถึงสองเท่าแถมยังกินพลังเวทน้อยทำให้ใช้ได้บ่อยอีกด้วย และอีกหนึ่งทักษะก็คือผ่ามิติที่มีความรุนแรงมากและเมื่อใช้คู่กับพลังสถิตร่างก็ยังสามารถเพิ่มพลังขึ้นมาได้อีก มีข้อเสียที่เป็นทักษะที่กินพลังเวทมากและมีดีเลย์ทำให้เจนใช้ติดต่อกันไม่ได้แต่เธอก็ยังใช้ได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นจากพลังเวททั้งหมดของเธอ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นทักษะที่ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้นั่นก็คือทักษะปลดผนึกกับทักษะตรวจสอบ และทักษะพื้นฐานต่าง ๆ ที่เป็นทักษะติดตัว เธอถอนหายใจออกอย่างน้อยใจเพราะตนนั้นมีทักษะให้ใช้น้อยเหลือเกิน



สิ่งที่เจนยังไม่รู้คืออาชีพนักผจญภัยฝึกหัดนั้นเป็นอาชีพเริ่มต้นที่มีทักษะตรวจสอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนอาชีพไปได้แล้วจะมีทักษะอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาตามอาชีพนั้น และเมื่อเพิ่มระดับไปเรื่อย ๆ ก็จะมีทักษะที่รุนแรงและเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่อาชีพนักผจญภัยฝึกหัดนั้นไม่เคยมีใครเล่นเกินระดับ 90 มาก่อนเพราะว่าการเก็บระดับต่อจากนั้นหากไร้ทักษะช่วยเหลือแล้วก็แทบจะสู้ตัวอะไรในระดับเดียวกันไม่ได้เลย ดังนั้นตัวเธอที่มีทักษะอยู่หลายทักษะแถมเป็นทักษะระดับ S อีกด้วยก็ถือได้ว่าโชคดีมากแล้ว



ในตอนนี้คิดอะไรไปก็คงยังไม่เกิดประโยชน์ เจนยกมือขึ้นสูงแล้วบิดขี้เกียดไปมาแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องพักอีกครั้ง บนเตียงของโจและแจ็คนั้นยังว่างเปล่าและในรายการเพื่อนยังไม่ออนไลน์แสดงว่ายังไม่ได้เข้าเกมมา ส่วนคิทซึเนะนั้นยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงเดิม ไม่ได้ขยับไปไหน เจนเองก็เริ่มรู้สึกง่วงนอนแล้วเช่นกัน ท่าทางกิจกรรมที่ทำจากนอกเกมเองก็ส่งผลมาถึงในเกมด้วย เธอนอนลงบนเตียงของเธอแล้วหลับไปในเวลาไม่นาน







ณ ที่ทำการใหญ่ของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ หย่งฟางตอนนี้อยู่ในชุดสีเบจตัวเดิมกำลังนั่งอ่านกระดาษรายงานของกิลด์ตามปกติ เขาเปลี่ยนจากอ่านบนจอแสงเป็นทำให้รายงานทุกชิ้นที่เขาได้รับกลายเป็นกระดาษเพราะจะได้เข้ากับสถานที่ ตั้งแต่เขาตั้งกิลด์นี้ร่วมกับจีโอ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเขาเริ่มไม่ค่อยได้ออกไปจากที่ทำการกิลด์นี้เลยเนื่องจากต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ ของกิลด์ไม่ว่าจะเป็นการคลังหรือการจัดกำลังพล ความจริงแล้วเขาอาจจะมีเวลาว่างมากกว่านี้ถ้าหากหัวหน้ากิลด์อีกคนที่ดำรงตำแหน่งคู่กับเขามาช่วยกันทำงานนี้



ปกติแล้วการตั้งกิลด์เช่นนี้ควรจะมีรองหัวหน้ากิลด์มาช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ไม่รู้ทำไมหลายต่อหลายคนต่างเก่งแต่เรื่องใช้กำลัง ไม่มีหัวในเรื่องตัวหนังสือเช่นนั้น หย่งฟางจึงจำต้องทำงานเพียงคนเดียว โชคดีที่เร็ว ๆ นี้เพื่อนของเขาจากนอกเกมอย่างจีจินเข้ามาเล่นด้วย ทำให้แบ่งเบางานขึ้นเยอะ แต่งานมหาศาลที่เพิ่มเข้ามาทุก ๆ วันเช่นนี้คงยากที่จะทำเสร็จได้เพียงคนสองคน



ความจริงรองหัวหน้ากิลด์ที่มีอยู่สี่คนนอกจากจีจินก็มีอยู่คนหนึ่งพอจะมาช่วยงานได้ แต่เธอคนนั้นต้องไปคอยคุมสมาชิกกิลด์ที่ไปเก็บระดับ ดังนั้นจึงมีแค่บางโอกาสเท่านั้นที่จะมาช่วยงานเขาได้ ส่วนอีกคนนั้นน่ะหรือ ลืมไปได้เลย นิสัยแย่กว่าจีโอซะอีก ไม่มีทางมาทำงานนั่งโต๊ะแบบนี้ได้หรอก ถึงตอนนี้เขาคิดไปก็เปล่าประโยชน์ หย่งฟางสนใจกับงานตรงหน้าแล้วเริ่มลุยต่อทันทีแต่ก็ต้องหยุดเมื่อจีจินเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยท่าทางตื่น



"คุณฟาง เกิดเรื่องใหญ่แล้วล่ะครับ คุณจีโอเขาเพิ่งประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาไปเมื่อครู่นี้เองครับ" จีจินพูดด้วยน้ำเสียงหอบ ท่าทางเขาคงจะวิ่งมาตลอดทางโดยรักษากฎไม่ใช้พลังในที่ทำการกิลด์ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องฉุกเฉินแบบนี้



"อืม ฉันรู้แล้วล่ะ หมอนั่นส่งข้อความมาบอกตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว" หย่งฟางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สายตายังคงอ่านเอกสารตรงหน้า



จีจินที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับเขามาก เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ เลย แต่อีกใจหนึ่งเขาก็รู้สึกโล่งอกเพราะว่าเมื่อเห็นหัวหน้ากิลด์ของเขาสงบนิ่งเช่นนี้แสดงว่าเขาต้องหาทางออกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว



"การประกาศสงครามครั้งนี้ฉันกับโกปรึกษากันตั้งนานแล้ว แต่จะให้พวกเราเปิดกระดานมันก็คงจะดูไม่ดีในสายตาผู้เล่นทั่วไปถึงกิลด์พิฆาตราชาเป็นกิลด์ที่ชื่อเสียงแย่อยู่แล้วก็เถอะ โชคดีที่ผู้เล่นคนนั้นไปมีเรื่องกับกิลด์พิฆาตราชา พวกลูกกิลด์เลยตามมาหาเรื่องถึงในเมืองทำให้เราใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดสงครามได้" หย่งฟางเรียกชื่อนอกเกมของจีโอที่ไม่ค่อยมีใครใช้ในเกมนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาสนิทกับมากเลยทีเดียว



"แล้วที่คุณจีโอบอกประกาศปกป้องผู้เล่นคนนั้นล่ะครับ ถ้าหากกิลด์พิฆาตราชาอ้างว่าเป็นคนของเราที่ไปหาเรื่องพวกนั้นก่อนเพื่อยั่วให้ทางนั้นบุกเข้ามาและประกาศสงครามล่ะครับ" จีจินเสนอความเห็น หย่งฟางวางกระดาษเอกสารลงแล้วหันไปยิ้มให้กับจีจิน เพื่อนของเขาคนนี้มีความคิดที่ไม่เหมือนใครและยังรอบคอบเสมอ แต่เขาก็เป็นคนที่ซื่อตรงมากจนถือได้ว่าเป็นคนที่คิดมากเกินไป



"พวกนั้นไม่ทำอย่างนั้นหรอก ถึงต่อให้พวกนั้นทำเรื่องมันก็เกิดไปแล้ว พวกเราประกาศสงครามแล้วและไม่ว่าพวกนั้นจะพูดอะไรก็เหมือนกับเป็นการแก้ตัวเพราะชื่อเสียงของกิลด์ไม่ได้ดีมาตั้งแต่แรก ต่อให้พิสูจน์ได้ก็ต้องใช้เวลาตามหาตัวผู้เล่นคนนั้นมาถึงจะพิสูจน์ได้ซึ่งก็คงใช้เวลานานจนไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นไปแล้วล่ะ"



หย่งฟางตอบอย่างถี่ถ้วน เขาคิดเอาไว้อย่างดีแล้วสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุก ๆ อย่างลงตัวและเข้าทางพวกเขาอย่างน่าประหลาด มีเพียงอย่างหนึ่งที่เขายังไม่ได้บอกจีจิน นั่นก็คือคราวลี่ย์ หัวหน้ากิลด์พิฆาตราชาที่น่าจะกำลังรอเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เหมือนกัน และก็คงหาทางรับมือเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเมื่อสงครามครั้งก่อน







เรียวแจนยาวชูเหนือหัวของหญิงสาวพร้อมกับบิดขี้เกียดสุดแรง เจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ คิทซึเนะที่ขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกับเจนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ยังคงหลับปุ๋ยอยู่ข้างตัวของเธอ เจนหันไปมองที่เตียงอีกสองตัวก็พบว่าเพื่อนของเธอนั้นเข้ามาในเกมแล้วและกำลังนอนกรนเสียงดัง



ตอนแรกเจนคิดว่าปล่อยให้ทั้งสามนอนต่อไปเพราะตื่นขึ้นมาก็คงไม่มีอะไรทำ แต่ไม่นานนักคิทซึเนะก็ตื่นขึ้นมาและบอกหิวข้าว เจนจึงลุกขึ้นไปปลุกทั้งสองคน จากนั้นไม่นานนักพวกเจนก็พากันลงไปกินอาหารที่โรงครัวบนชั้นลอยของเรือ



ที่นี่ถือได้ว่าเป็นเรือระดับสามดาวที่หรูหราพอสมควร ทั้งห้องนอนที่นอนสบายใช้ได้ เรือทั้งลำสะอาดและถูกสุขอนามัยรวมไปถึงห้องครัวที่เสิร์ฟอาหารเป็นเวลา โดยพวกเจนขึ้นไปถึงพบว่าอาหารเช้ากำลังตั้งรออยู่บนโต๊ะแล้ว



"อีกนานมั้ยว่าพวกเราจะไปถึงทวีปไลเทเชีย" เจนถามขึ้นมา เพราะเธอไม่ค่อยชอบการเดินทางบนเรือมากนักเพราะใช้เวลานาน แถมยังไม่ค่อยมีอะไรทำซึ่งผลาญเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ โชคดีที่พวกเธอทั้งสี่ไม่มีใครเมาเรือ ถ้าเกิดว่ามีคนเมาเรือล่ะก็การเดินทางคงไม่น่าประทับใจเท่าไหร่แน่ ๆ

"คงอีกนานเลยล่ะ จากเมืองซีโปจะต้องล่องเรืออ้อมทวีปไปยังท่าเรือของทวีปไลเทเชียก็กินเวลานานโขอยู่ ยังไงพวกเราก็คงต้องออฟไลน์อีกครั้งอยู่ดีนั่นล่ะ" โจบอกตักตักซุปใส่ปาก



"นานขนาดนั้นเลยเหรอ! แบบนี้ก็ไม่มีอะไรทำเลยสิ จะให้เข้าเกมมาอ่านหนังสืออย่างเดียวมันก็ไม่ไหวหรอกนะ" เจนบอกพลางนึกถึงหนังสือที่เธอซื้อมาตอนอยู่ที่เมืองซีโป มันเป็นหนังสือการใช้ดาบซึ่งบอกวิธีการใช้ดาบหลากหลายชนิด เธออ่านไปไม่กี่หน้าแต่ก็ทำให้ทักษะการใช้ดาบขั้นสูงเพิ่มเป็นระดับ 70 ได้แล้ว



"ก็ไม่เชิงจะอย่างนั้นหรอก ปกติแล้วการเดินทางด้วยเรือก็จะเสี่ยงเจอกับมอนสเตอร์จากทะเลอย่างพวกอสูรปลาหรือสัตว์ยักษ์ทั้งหลาย หรืออาจจะเจอพายุจนเรืออับปาง ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะเจอโจรสลัดบุกปล้นเรือด้วย ถ้าหากเอาชนะพวกโจรสลัดได้ล่ะก็จะได้ทรัพย์สมบัติมหาศาลเลย ส่วนใหญ่จะเป็นอาวุธและเครื่องป้องกันก็เถอะ หรือดีหน่อยก็ได้แผนที่ขุมทรัพย์จากกัปตันเรือโจรสลัดแต่คงยากหน่อยเพราะว่าโจรสลัดทุกคนมียศถึงระดับขุนนางกันหมด ดังนั้นจึงมีแต่คนที่จัดกลุ่มโดยเฉพาะเพื่อมาจัดการกับโจรสลัดถึงจะพอสู้ได้"



"แล้วก็อีกอย่างหนึ่งนะ เรือข้ามทวีปอย่างนี้มักจะจอดแวะที่เกาะกลางทะเลเพื่อเติมเสบียง ดังนั้นพวกเราก็อาจจะมีเวลาวันหนึ่งหรือมากกว่านั้นในการลงไปเดินดูบนเกาะ" แจ็คบอก เขาไปถามจากลูกเรือก่อนหน้านี้ไม่นานนัก



"แล้วพวกเราจะแวะลงเกาะอะไรล่ะ"



"ก็ทุก ๆ ครั้งเรือแต่ละลำจะแวะลงเกาะไม่เหมือนกันนะ แล้วแต่ต้นหนเรือกับกับตันว่าจะแวะเกาะไหน แต่ฉันไปถามมาแล้ว เรือลำนี้กำลังจะไปเทียบท่าเกาะสวรรค์แดนใต้ ซีลาโก"





จบตอนที่ 15 วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
-------------------------------------------------

Tohan-kun
10th January 2014, 11:40
ตอนที่ 16 ภารกิจแห่งป่า



เรือที่พวกเจนอยู่กำลังจอดเข้าเทียบท่าเกาะแห่งหนึ่ง จากบนดาดฟ้าเรือเจนมองเห็นชายหาดยาวสุดลูกหูลูกตา น้ำทะเลใสจนเจนมองเห็นปลาที่แหวกว่ายอยู่ใต้น้ำไม่ไกลจากท่าเรือที่พวกเจนกำลังเข้าเทียบท่า เป็นชายหาดมีผู้เล่นมากมายกำลังพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะเดินเล่นหรือก่อปราสาททรายอยู่บนชายหาด หนุ่มสาวหลายคนต่างกำลังเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนานในชุดว่ายน้ำบ้าง ชุดวันพีชบ้าง บอกได้เลยว่าหลายคนที่เจนเห็นนี้เป็นผู้เล่นอย่างแน่นอน



เกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่ากับเกาะเริ่มต้น ลูกเรือคนหนึ่งบอกเจนเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมมากของทวีปอัลเทเชีย นอกจากเรือโดยสารที่เจนขึ้นมาแล้วยังมีเรือลำอื่นที่มีจุดหมายมาที่เกาะแห่งนี้โดยเฉพาะอยู่ไม่น้อย



เขายังบอกเธออีกว่าในแถบนี้มีอยู่หลายเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเช่นเกาะซีลาโด แต่เพราะเกาะนี้มีผลซีลักส์ซึ่งเป็นผลไม้ที่อร่อยที่สุดทวีปแห่งนี้ซึ่งมีแค่ที่นี่ที่เดียว ดังนั้นจึงมีการกำหนดจำนวนเรือที่จะเข้ามายังเกาะแห่งนี้ ดังนั้นพวกเจนถือว่าโชคดีมากที่มาขึ้นเรือได้ถูกลำ



ก่อนลงจากเรือ กัปตันเรือประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่าเรือจะเทียบท่าเพื่อเตรียมเสบียงเพียงวันเดียวเท่านั้น ทำให้พวกเจนไม่ต้องไปที่โรงแรมซึ่งบนเกาะนี้มีอยู่เพียงแห่งเดียว



"เอาล่ะ ไหนๆพวกเราก็ได้มาเที่ยวบนเกาะทั้งที ไปเล่นน้ำทะเลกันมั้ย?" โจพูดขึ้นระหว่างเดินลงมาจากท่าเรือ ผู้เล่นที่อยู่บนเรือหลายคนต่างพากันลงมาชมความงามของเกาะแห่งนี้ แต่ก็มีบ้างที่คิดจะอยู่บนเรือแต่นั่นก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น



"อย่าเพิ่งดีกว่า พวกเรามีเวลาแค่ก่อนพระอาทิตย์ตกเองนะ ฉันได้ยินว่าที่นี่มีของขึ้นชื่อเป็นผลไม้อย่างหนึ่งที่รสชาติดีที่สุดในอัลเทเชีย พวกเราไปลองกินดูดีกว่า เอาไว้บ่าย ๆ ค่อยไปเล่นน้ำกัน" เจนบอก แต่ความจริงแล้วเธอไม่ค่อยอยากไปเล่นน้ำนักเพราะที่ชายหาดมีคนเยอะเกินไป และอีกอย่างเธอไม่อยากจะใส่ชุดว่ายน้ำซะด้วยเมื่อมีร่างกายแบบนี้



เมื่อตกลงกันได้ว่าจะไปหาอะไรกินกันก่อนถึงแม้จะทานข้าวเช้ากันมาแล้วก็ตาม พวกเจนตรงมายังร้านอาหารริมทะเลที่มีชื่อว่ากุ้งมังกรสีรุ้ง ที่นี่เป็นร้านอาหารสามดาวขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ เป็นร้านแบบเปิดโล่งทำให้คนที่เข้ามากินได้กลิ่นน้ำทะเลสดชื่นโชยเข้ามาในเวลารออาหาร ด้วยบรรยากาศที่ดีขนาดนี้ทำให้มีคนอยู่เต็มร้าน เด็กสาวและชายหนุ่มหน้าตาดีมากมายในชุดว่ายน้ำลายดอกสีแดงเดินไปมา คอยยกอาหารที่ลูกค้าสั่งไปอยู่ทั่วร้าน



"ขออะไรก็ได้ที่ทำจากผลซีลักส์สี่ที่นะ ได้ข่าวว่าที่นี่อร่อยที่สุดเลย" โจพูดหยอกกับพนักงานเสิร์ฟทีนทีที่นั่งลงบนโต๊ะ พวกเจนได้ที่นั่งริมสุดและยังสามารถมองเห็นทะเลได้จากจุดนี้อีกด้วย



พนักงานสาวยิ้มรับแล้วเดินจากไป เจนรีบหันไปพูดกับเพื่อนตัวดีทันทีที่พนักงานเดินไปไกลจนไม่น่าจะได้ยินเสียงของเธอแล้ว



"นี่! นายทำแบบนี้ได้ยังไง ทำไมไม่ขอดูรายการอาหารก่อนล่ะ ถ้าเกิดเขาเอาของแพง ๆ มาให้เราจะทำยังไง" เธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



"ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ที่นี่ไม่ใช่ร้านห้าดาวซักหน่อย ไม่มีของแพง ๆ อย่างนั้นหรอก" โจกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความกังวล เจนพอฟังเหตุผลนั้นขึ้นมาจึงปล่อยไปแต่ก็ยังไม่ค่อยพอใจนัก



"ก็นิสัยของนายเป็นซะอย่างนี้ จะให้ฉันปล่อยให้เงินก้อนใหญ่อยู่กับนายได้ยังไง"



"ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันว่าเงินที่ได้มาคงมีเยอะอยู่แล้ว ใช้ไม่หมดหรอก"



"สมมติว่านายใช้เงินซื้อของหมดขึ้นมา แล้วนายจะทำอะไรต่อไป....ใช่โจ นายก็จะมายืมฉันไม่ก็เจน พวกเราสองคนรู้อยู่แล้วว่านายนิสัยห่วยแตกแค่ไหน" แจ็คถามขึ้นแล้วตอบด้วยตัวเอง โจหันไปมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพุ่งเข้าใส่ทันที ทันใดนั้นบรรยากาศภายในร้านก็เหมือนจะร้อนระอุขึ้นมากว่าเดิม



เจนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความเหนื่อยใจแล้วจึงรีบไปห้ามศึกก่อนจะทำความวุ่นวายให้ร้านมากกว่านี้ แม้ว่าทั้งสองจะทะเลาะกันด้วยด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง และไม่เคยโกรธกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ว่าการมีเรื่องแต่ละครั้งก็ดูจะผิดกาลเทศะไปซักหน่อย ในที่สุดเจนก็จับทั้งคู่แยกกันพอดีกับที่พนักงานเสิร์ฟกลับมาที่โต๊ะ



ของที่พนักงานสาวนำมาเสิร์ฟนั้นเป็นน้ำผลไม้สีชมพูอ่อนคล้ายกับน้ำลิ้นจี่ ขอบแก้วประดับด้วยผลไม้เฉือนบาง ๆ เสียบเอาไว้ที่เจนคิดว่าน่าจะเป็นผลซีลักส์ เนื้อของผลไม้ชนิดนี้ดูไปก็คล้ายกับผลเลมอนในโลกจริง แต่มีเนื้อสีชมพูและเปลือกสีฟ้าอ่อนปนชมพูดูแปลกตา



"น้ำซีลักส์คั้นผสมโซดากับเนื้อผลซีลักส์ฝานบาง ๆ ค่ะ" พนักงานบอกชื่อของน้ำผลไม้ให้ฟัง



เจนยิ้มและพยักหน้าให้แล้วก้มดื่มโดยไม่รู้ว่าพนักงานสาวคนนั้นเองก็จ้องตัวเธออยู่นานแล้ว พอได้เห็นรอยยิ้มที่เจนส่งให้ก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะละลาย หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแต่ก็ยังคงทนยืนอยู่ด้วยจิตวิญญาณของพนักงานเสิร์ฟ



'เค้ายิ้มให้กับเราด้วย อ้ายยยย' พนักงานสาวร้องกรี้ดในใจ หัวใจของเธอเต้นรัว ขาที่เคยยืนได้เป็นวันสบาย ๆ กลับเริ่มอ่อนลงและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง



ไม่ใช่แค่พนักงานสาวคนเดียวเท่านั้นที่มองกลุ่มของเจน...ความจริงแล้วแค่เจนกับคิทซึเนะซึ่งจิ้งจอกน้อยถูกนับไปด้วยเพราะมีหน้าตาน่ารักน่ากอด ส่วนอีกสองคนเป็นแค่ตัวเกะกะสายตา ผู้หญิงทั้งร้านไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอต่างมองใบหน้าของเจนตาไม่กระพริบด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ



สายตาของพวกเธอที่มองเจนนั้นไม่ต่างไปจากเด็กหนุ่มร่างเล็กที่มีใบหน้างดงามราวกับรูปสลักชิ้นเอกของลีโอนาโด ดาวินชีก็ไม่ปาน บางคนถึงกับชี้นิ้วไปยังเจนอย่างออกหน้าออกตา บางคนถึงกับจะเดินเข้ามาคุยด้วยแต่ก็ไม่รู้จะคุยกันเรื่องอะไรดี ถ้าหากมีกล้องถ่ายรูปล่ะก็เจนคนโดนรุมถ่ายไปเรียบร้อยแล้ว



ความจริงเกมนี้มีระบบบันทึกรูปซึ่งสามารถนำไปใช้ทั้งในเกมและนอกเกม ในเกมนั้นส่วนใหญ่จะใช้เพื่อบันทึกหน้าไปใช้ตั้งค่าหัว ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่จะแค่นำชื่อไปยื่นที่อาคารนักล่าค่าหัวกันมากกว่าเพราะใช้ได้เหมือนกันและไม่ยุ่งยากเท่ากับการถ่ายรูป ซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าเจนโดนถ่ายรูปผ่านทางระบบนี้เป็นที่เรียบร้อย



ทั้งสามลองดื่มน้ำซีลักส์ตรงหน้าดู เจนรู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยวมาเป็นอันดับแรกแล้วตามด้วยหวานอ่อน ๆ กำลังดีมาพร้อมกับความซ่าของโซดา รสชาติที่แปลกใหม่นี้ทำให้เจนต้องจิบแล้วจิบอีกอย่างแปลกใจ ปกติเมื่อกินน้ำผลไม้รสชาติแบบนี้แล้วจะรู้สึกเลี่ยนหรือเสียวฟัน แต่น้ำซีลักส์กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกนั้นเลย แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเพิ่งดื่มน้ำเปล่าลงไปเท่านั้นแถมกลิ่นหอมสดชื่นที่ไม่ได้เป็นกลิ่นเปรี้ยวหรือกลิ่นหวานเกินไปก็ทำให้หัวโล่งอีกด้วย



"สุดยอดไปเลย อร่อยจริง ๆ! สมกับเป็นผลไม้ที่นิยมของทวีปอัลเทเชีย ของแบบนี้กินเท่าไหร่ก็ได้นะเนี่ย" แจ็คพูดออกมาหลังจากดื่มเข้าไปอึกใหญ่



"ใช่ ตอนแรกฉันคิดว่ารสชาติจะเหมือนกับน้ำลิ้นจี่ซะอีก แถมเจน ลองดูนี่นะ" โจพูดแล้วหันไปหาเธอและเอาหน้าเข้าประชิดแล้วพ่นลมหายใจใส่จมูก เจนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็สูดหายใจเข้าไปเต็ม ๆ แต่ก่อนที่เธอจะง้างหมัดใส่ก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อนด้วยความแปลกใจ



"นี่มัน...ไม่มีกลิ่นเลย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย"



"นี่เป็นความภาคภูมิใจของเกาะซีลาโดเลยล่ะค่ะ ผลไม้ที่มีสรรพคุณแปลกประหลาด รสอร่อย กลิ่นหอมสดชื่นและไม่ทำให้มีกลิ่นปากแถมช่วยดับกลิ่นอื่น ๆ ได้อีกด้วย ถ้าคุณลูกค้าลองเข้าไปในเมืองจะพบกับผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากผลไม้ชนิดนี้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอมหรือยาชูกำลังและอย่างอื่นอีกมากมาย" พนักงานสาวบอก พร้อมกันนั้นที่คิทซึเนะวางแก้วน้ำผลไม้ลงบนโต๊ะ



"พี่เจน น้ำนี่อร่อยจัง หนูขอแบบนี้อีกแก้วนะ" คำพูดของคิทซึเนะทำให้เจนต้องแปลกใจและอดยิ้มไม่ได้ในเวลาเดียวกัน เพราะน้ำผลไม้ที่ได้มานั้นเป็นแก้วที่มีก้นลึกและขนาดใหญ่อยู่พอสมควรนั้นทำให้ชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอนั้นไม่สามารถดื่มหมดได้ในเวลาอันรวดเร็วได้ เด็กสาวคนนี้กลับทำได้ แต่ที่แก้มของเธอก็เลอะเนื้อผลซีลักส์ไปหมดเช่นกัน



เจนหันไปสั่งแบบเดิมมาเพิ่มอีกชุดและขอแบบกระติกพร้อมหลอดดูดทำหรับเด็กให้คิทซึเนะเผื่อเอาไว้อีกหลายชุดเพราะท่าทางจิ้งจอกน้อยคนนี้จะชอบมากเลยทีเดียว



"ไม่ทราบว่าปลูกผลซีลักส์ยังไงหรือ ทำไมถึงมีแต่ที่เกาะนี้เกาะเดียวล่ะ" เจนหันไปถามระหว่างรออีกสามคนจัดการกับน้ำผลไม้ของตน พนักงานยิ้มให้และตอบด้วยความยินดีโดยไม่ปิดบัง



"ที่ต้นซีลักส์ปลูกได้ที่เกาะนี้แห่งเดียวเป็นเพราะว่าต้นซีลักส์จะเติบโตได้เฉพาะในสภาพอากาศและอุณหภูมิที่พอเหมาะเท่านั้นค่ะ ที่นี่ก็มีอากาศที่เหมาะกับผลซีลักส์ต้องการพอดี ก็เลยทำให้ที่เกาะแห่งนี้จึงเป็นที่แห่งเดียวที่สามารถปลูกต้นซีลักส์ได้ค่ะ"



เจนได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับรู้แล้วยกน้ำผลไม้ในมือขึ้นดื่มอีกครั้ง พนักงานสาวทำท่าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเจน



"ความจริงฉันไม่ควรบอกเรื่องนี้ให้กับใครรู้ แต่สำหรับคนหน้าตาดีอย่างคุณเจนแล้วฉันจะบอกให้เป็นกรณีพิเศษเลยก็แล้วกันนะคะ" เธอขยิบตาให้กับเจน เด็กสาวได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เป็นการขอบคุณพลางคิดว่าพนักงานสาวคนนี้เริ่มมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลก ๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว



"มีเรื่องเล่ามาตั้งแต่โบราณของเกาะนี้อยู่ ว่าในป่าลึกเข้าในด้านในของเกาะมีต้นไม้โบราณอยู่ในป่า ว่ากันว่าใครก็ตามที่ผ่านการทดสอบของป่าไปได้จะสามารถขอสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา"



"จริงหรือเนี่ย ของที่สุดยอดขนาดนั้นแต่ไม่เห็นได้ข่าวของอย่างนี้มาก่อนเลย นี่เรื่องจริงงั้นหรือ" เจนถามด้วยความสนใจ เพื่อนหนุ่มทั้งสองคนเองก็แสดงความสนใจไม่น้อย



"มันเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่บนเกาะนี้ค่ะ ฉันเองอยู่ที่นี้มาตั้งแต่เด็กแล้วก็ได้ยินเรื่องนี้มาโดยตลอด ถ้าให้พูดตามจริงแล้วฉันคิดว่าเป็นแค่เรื่องหลอกเด็กมากกว่าน่ะค่ะ แต่ก็ยังไม่มีใครรู้เพราะไม่มีใครเคยเข้าไปสำรวจในป่าเลย บางทีคุณเจนอาจจะลองเข้าไปดูแล้วขอเมล็ดต้นซีลักส์ที่สามารถปลูกที่ไหนก็ได้ดูสิคะ" พนักงานบอกแล้วส่งบิลค่าน้ำผลไม้ให้ เจนหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าน้ำผลไม้พวกนี้นั้นมีราคาไม่แพงมากอย่างที่โจบอกเอาไว้จริง ๆ



เจนจ่ายเงินค่าน้ำผลไม้ส่วนของเธอและคิทซึเนะรวมไปถึงส่วนที่ใส่กระติกไม้ให้จิ้งจอกน้อยของเธอกินระหว่างเดินทางต่อด้วย พนักงานสาวรับเงินจากทั้งสามแล้วบอกให้รอซักครู่เพื่อจะนำน้ำผลไม้ใส่กระติกมาให้ทีหลัง ในระหว่างที่กำลังรออยู่พวกเจนก็หันหน้ามาคุยกัน



"พวกนายได้ยินเมื่อกี้หรือเปล่า ขอสิ่งใดตามที่ปรารถนาเลยนะ" เจนพูดและยิ้มไปยังเพื่อนของเธอ



"ตอนนี้...จะสิบโมงแล้ว ถ้าหากพวกเรารีบหน่อยอาจจะกลับมาทันขึ้นเรือก็ได้ ไม่รู้ว่าพวกนายทั้งสองคนจะว่าไง แต่ฉันเอาด้วย" แจ็คพูดแล้วหันไปสบตากับเจนอย่างรู้ใจ จากนั้นทั้งสองก็หันมาหาโจที่ยังไม่ได้คำตอบ เด็กหนุ่มเห็นว่าเพื่อนทั้งสองคนกำลังเค้นคำตอบจากตนก็พยักหน้าและแบมือออกมาสองข้างอย่างไร้อารมณ์



"ถ้าพวกนายสองคนไปกันแล้วจะให้ฉันพูดอะไรได้อีกล่ะ เอาเถอะ ใช่ว่าครั้งนี้พวกเราจะไปเสียเปล่าซักหน่อยล่ะนะ"







หลังจากที่ได้กระติกไม้ที่มีน้ำผลซีลักส์ของคิทซึเนะมาแล้ว พวกเจนก็พากันออกมาจากร้านอาหารและเดินออกไปนอกเมือง จากแผนที่ซึ่งเจนไปซื้อมาแสดงให้เห็นว่าเกาะแห่งนี้มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าทึบ โดยจุดที่เจนอยู่นั้นเป็นส่วนทางตะวันออกของเกาะ โดยประกอบด้วยส่วนที่รองรับนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนแรกที่เจนมาถึง จากนั้นเป็นส่วนที่พักอาศัยของชาวเกาะแห่งนี้ซึ่งบ้านของพวกเขานั้นเป็นรูปทรงธรรมดาทั่วไปทำจากไม้และหินซึ่งเจนเดาไม่ออกเลยว่าทำได้ยังไงเพราะดูแผ่นหินที่เป็นส่วนกำแพงบ้านนั้นถูกตัดจนเรียบเนียนมากเหมือนกับใช้เครื่องจักรทำ ดีไม่ดีจะเนียนกว่าเครื่องจักรซะอีก



เมื่อออกมานอกเมืองเจนก็เห็นพื้นที่ส่วนที่ชาวเมืองกั้นเอาไว้ปลูกต้นซีลักส์และผลไม้อื่นๆ ต้นซีลักส์นั้นดูไปก็คล้ายกับต้นแอปเปิลที่มีลำต้นสูงไม่มากนัก แต่มีกิ่งก้านสาขาที่กว้างมากกว่า บนต้นมีใบไม้สีเขียวอ่อนขึ้นทึบและผลซีลักส์ที่มีฟ้าอ่อนปนสีชมพูขึ้นอยู่เต็มต้น เจนมองดูทุ่งผลไม้ที่มีสีสันสดใจมากดูสวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว อีกด้านเธอก็เห็นชาวไร่ที่กำลังใช้เวทมนตร์ยกต้นไม้ขึ้นจากพื้นดินอย่างสบาย ๆ แล้วพาไปลงปลูกอีกหลุมหนึ่งไกลออกไป ไม่ไกลกันนักเป็นเด็กผู้หญิงกำลังใช้เวทมนตร์เก็บผลไม้ใส่ตะกร้าได้อย่างรวดเร็ว การทำไร่ที่แปลกใหม่สำหรับเจนนี้ดูเพลิดเพลินไม่น้อย



เป้าหมายของพวกเจนในครั้งนี้ค่อนข้างจะระบุได้ลำบาก เพราะเป็นแค่การเดินตามคำบอกเล่า ไม่ได้เป็นภารกิจอย่างที่รับมอบเป็นทางการซึ่งจะระบุเป้าหมายและสถานที่ไว้อย่างชัดเจน แถมด้านหน้ายังเป็นป่าทึบที่ไม่มีใครเคยเข้าไปสำรวจมาก่อน ผู้เล่นส่วนมากที่มายังเกาะแห่งนี้มักจะมาเพื่อพักผ่อนหรือไม่ก็มาลิ้มรสผลไม้ขึ้นชื่อซะมากกว่า มีจำนวนไม่มากนักที่เข้าไปด้านในป่าแต่ก็ต้องล้มเลิกกลับมาเพราะในป่านั้นทึบมากจนเดินทางได้ลำบากมาก และเมื่อเข้าไปก็เจอกับความร้อนชื้นของป่าแถบนี้เข้าเต็ม ๆ จนไม่สามารถเข้าสำรวจป่าจนทั่วได้



ส่วนชาวเกาะเองก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องออกเข้าไปในป่า พวกเขาอยู่เท่าที่มีได้ด้วยผลซีลักส์ที่เป็นสินค้าส่งออกหลักของทวีป แถมเกาะแห่งนี้ยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่แล้ว ทำให้ทุกคนบนเกาะมีเงินใช้กันไม่ขัดสน



ในตอนแรกพวกเจนเข้าไปในป่านั้นเจอกับความร้อนจนเหงื่อท่วมตัว แต่แค่นี้พวกเธอทนได้สบายมาก ป่าทึบนั้นเต็มไปด้วยแมลงตัวเล็ก ๆ มากมาย เส้นทางที่พวกเธอใช้นั้นก็เดินทางได้อย่างยากลำบากมากเพราะไม่มีทางเดินให้ใช้ ต้องเดินตัดผ่านหญ้ารกชัฏ แหวกเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้หลายสิบเส้นกว่าจะผ่านไปได้



มอนสเตอร์ที่อยู่ในป่าแห่งนี้นั้นไม่โจมตีก่อนแต่ก็มีอันตรายอยู่เช่นกัน อย่างลิงกับดักที่จะคอยทิ้งผลไม้ใส่คนที่เข้ามาในอาณาเขตของมัน เจนเองก็ไปเหยียบเปลือกกล้วยที่มันทิ้งเอาไว้จนล้มก้นกระแทก หรือจะเป็นงูผลไม้ที่มีเกล็ดเป็นสีสดใสเหมือนผลไม้ แถมตัวของมันยังปล่อยกลิ่นหอมหวนเหมือนกับผลไม้ออกมาเพื่อล่อสัตว์ป่าที่ชอบผลไม้ให้เข้ามาหามัน แต่พวกเจนไม่ได้เข้าไปยุ่งกับสัตว์พวกนี้นักเพราะมีระดับเพียง 65 และตอนนี้พวกเจนอยากจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเก็บเลเวล







การเดินป่าอันยากลำบากนี้ดำเนินต่อไปได้ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ทำให้เจนรู้ว่าทำไมถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ ถึงยอมแพ้กัน อากาศที่ร้อนขนาดนี้รวมกับต้นไม้ขึ้นรกทำให้การเดินทางลำบากขนาดนี้ รวมกับความไม่รู้จุดมุ่งหมายที่จะไปมันก็บั่นทอนกำลังใจไม่น้อยเพราะไม่รู้ว่าจะไปถึงเมื่อไหร่



"แฮ่ก แฮ่ก...นี่ เจน พอมีน้ำบ้างหรือเปล่า คอฉันแห้งไปหมดแล้ว" โจพูดขึ้นอย่างยากลำบาก คอของเขาแห้งผาก น้ำลายก็เหนียวจนกลืนแทบไม่ลง



"ฉันมีแต่น้ำซีลักส์ที่ซื้อให้คิทซึเนะมา รับนะ เอ้า" เจนว่าแล้วโยนกระติกไม้ให้กับโจ เขายกขึ้นดื่มแล้วส่งกลับคืนให้เด็กสาว



"นี่ขนาดแค่เดินมาชั่วโมงกว่า ๆ รู้สึกเหมือนกลับเดินมาทั้งวัน ฉันว่าคงมีผู้เล่นคนอื่นตั้งหลายคนพยายามทำเหมือนกับพวกเราแต่ก็คงยอมถอยกันหมดเพราะแบบนี้แหละ พวกเขาทำไม่ได้พวกเราก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้มีเวลาทั้งวันด้วยนะพวกเรากลับกันเถอะ เจน" แจ็คว่า



เจนเองก็คิดอยู่เหมือนกัน ต่อให้เสียเวลาทั้งวันไปก็คงไม่พบต้นไม้โบราณที่พนักงานสาวคนนั้นเล่าให้ฟังเป็นแน่ และบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องโกหกหรือนิทานของคนเก่าคนแก่ของชาวเกาะแห่งนี้ก็ได้ใครจะไปรู้ แต่พอจะพูดเสริมความเห็นของแจ็ค คิทซึเนะก็ชี้นิ้วไปยังทิศหนึ่งซึงตอนนี้เจนไม่รู้แล้วว่าทิศไหนเป็นทิศไหน



"พี่เจน หนูได้กลิ่นอายของเวทมนตร์มาจากทางนั้นด้วยล่ะ" คิทซึเนะพูดแล้วกลับไปดูดน้ำซีลักส์ต่อ



"กลิ่นอายเวทมนตร์อะไร ฉันได้แต่กลิ่นเหม็นเขียวไปหมดแล้วเนี่ย" โจพูดน้ำเสียงล้อเลียนและทำท่าสูดจมูกดมไปรอบ ๆ จนทำให้คิทซึเนะแยกเขี้ยวใส่และพุ่งเข้าไปกัดตะลุมบอนจนล้มลงไปกลิ้งบนพื้น



เจนส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจพลางลากจิ้งจอกตัวน้อยออกห่างจากเพื่อนตัวดีของเธอ ตอนนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะโมโหโจที่ไปแกล้งคิทซึเนะแบบนั้น และความจริงเขาก็โดนจิ้งจอกน้อยของเธอเอาคืนอย่างสาสมไปแล้ว



ทั้งสี่เดินตามทิศที่คิทซึเนะชี้มาได้อยู่พักหนึ่งก็เจอกับกำแพงต้นไม้ขนาดใหญ่ขวางกันอยู่ ทั้งสามต่างรู้สึกโล่งอกเพราะพวกเธอมาถึงที่นี่ได้ในที่สุด เห็นทีคงไม่เสียแรงเปล่าท่ำยายามมาจนถึงตรงนี้



"เก่งมากเลย คิทซึเนะ จมูกไม่ใช่ย่อยจริง ๆ" แจ็คเอ่ยชม ส่วนคนถูกชมนั้นตอนนี้ยืนยิ้มร่าอยู่ข้าง ๆ



"ใช่ ถ้าไม่ได้จมูกของเธอ พวกเราคงไม่มาถึงที่นี่แน่ ขอบใจมากนะ คิทซึเนะ" เจนกล่าวและลูบหัวจิ้งจอกน้อย ซึ่งเจ้าตัวก็ปล่อยให้มือของเจ้านายของเธอขยี้หัวเธอตามใส คิทซึเนะเองก็ดีใจไม่น้อยเช่นกัน ดูจากหางที่ส่ายไปมาอย่างรวดเร็วของเธอ



"ช่าย ๆ เก่งมาก ว่าแต่พวกเราจะไปยังไงต่อล่ะเนี่ย เจอกำแพงไม้ขวางอยู่แบบนี้ ฉันว่ากว่าจะพังได้คงเสียทั้งแรงทั้งเวลาไม่น้อยเลย" โจบอก เจนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ในตอนนี้ค่าความเหนื่อยของเธอลดลงจนเหลือไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าลดลงไปมากกว่านี้ล่ะก็พวกเธออาจจะมีแรงไม่พอที่จะกลับไปที่เมืองก็ได้



"จะให้หนูใช้ไฟเผามั้ยคะ?" เสียงใสถามพร้อมเสกลูกไฟสีฟ้าขึ้นมา พวกเจนต่างรีบห้ามแทบไม่ทัน ต้นไม้ในป่าแห่งนี้แม้จะติดไฟได้ยากเพราะมีความชื้นสูง แต่ถ้าเป็นเพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะล่ะก็ ต่อให้ป่าใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีเหลือ



"ดูนั่น มีอะไรเขียนอยู่บนนั้นด้วย" แจ็คพูดและชี้ไปบนผนังไม้ใกล้ ๆ



"แต่ฉันอ่านไม่ออกแฮะ ตัวยึกยือไม่เคยเห็น"



"ฉันเองก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน แต่ฉันว่าฉันเคยเห็นตัวอักษรแบบนี้ที่ไหนมาก่อนนะ" เจนพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออก



"ผ่านเนตรแห่งผู้ร่ายมหามนตรา ประจักอักขราบอกทาง..." เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นเรียกสายตาของทั้งสองคนกับหนึ่งตัวหันไปหาด้วยความแปลกใจ



"อะไร? ฉันเองก็เป็นนักเวทนะ แค่อักขระเวทแค่นี้ฉันอ่านออกอยู่แล้ว"



"แต่นี่เป็นอักขระเวทโบราณเลยนะ หนูเคยเห็นตอนที่อยู่ที่บ้านแต่หนูยังอ่านไม่ออกเลย แล้วพี่หนวดจะอ่านได้ยังไง" คิทซึเนะถามกลับเสียงแหลมอย่างไม่เชื่อว่าโจจะอ่านอักขระพวกนี้ได้

โจที่ได้ยินจิ้งจอกตัวน้อยเรียกเขาว่าพี่หนวดก็ชะงักเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าตัวเล็กๆจะปากกัดได้แสบขนาดนี้ เขามองไปยังเจ้าของที่คงเป็นคนสอนให้พูดอย่างไม่ต้องสงสัย



"ก็จากที่เขียนอยู่ บอกว่า 'ผ่านเนตรแห่งผู้ร่ายมหามนตรา' แล้วรู้อะไรมั้ย คัมภีร์เวทที่ฉันเอาไปทำพิธีเพื่อเปลี่ยนอาชีพมันก็เป็นคัมภีร์มหาเวทซะด้วย แบ้ม!! ผู้ร่ายมหามนตรา ฉันเอง!!" โจยกมือแสดงท่าทางน่าหมั่นไส้ออกมาทันที แต่เจนก็ต้องยอมรับว่าถ้าหากไม่ได้โจที่อ่านอักขระโบราณได้ล่ะก็คงไปต่อไม่ได้แล้ว เช่นเดียวกันกับถ้าหากขาดคิทซึเนะไปก็คงไม่มาถึงที่นี่แหมือนเดียวกัน



"ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า รีบอ่านต่อได้แล้ว" แจ็คพูดโดยไม่สนใจโจเลยแม้แต่น้อย จอมเวทหนุ่มหันมองเพื่อนของเขาและมาอ้าปากค้าง



"นี่ถ้าไม่ได้ฉัน พวกนายก็ผ่านไปไม่ได้นะ หัดสำนึกบุญคุณเอาไว้ซะบ้าง"



"แล้วไงอ่ะ ถ้านายมามัวแต่พล่ามอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้ไปต่ออยู่ดี ตกลงว่าจะอ่านต่อหรือเปล่า" แจ็คถามหน้าตาย ทำให้โจต้องจำใจหันกลับไปอ่านอักขระบนกำแพงไม้ต่อ แต่เขาก็อดพึมพำก่นด่าเพื่อนของตังเองเบา ๆ ไม่ได้ซึ่งแจ็คก็โต้กลับทุกคำเช่นกัน เจนที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ไอ้เจ้าสองตัวนี้มันจะหยุดทะเลาะกันบ้างได้มั้ยเนี่ย



"..บอกทาง เส้นทางแสนวกวน ที่แท้จริงมีเพียงหนึ่ง" โจเริ่มอ่านต่อ



"สติปัญญาเป็นสิ่งนำทาง จงมองและก้าวโดยเร็ว หากเวลาผ่านล่วงเลย นับหกสิบทางออกพลันจักหายไป..." ทันทีที่โจอ่านจบ อักขระที่อยู่ตรงหน้าก็เลือนหายไป กลายเป็นแผนที่เขาวงกตมาแทนที่ แต่ยังไม่ทันไรแผนที่นั้นก็จางหายไปอีกและกำแพงไม้ก็ยกตัวเองขึ้นมา เปิดเผยทางเข้าที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นเขาวงกตอย่างไม่ต้องสงสัย



"เมื่อกี้จำได้หรือเปล่า? เฮ้ย แจ็ค นายจำได้หรือเปล่า ฉันกำลังมึนเลยไม่ทันได้มอง" โจถามน้ำเสียงตกใจ เช่นเดียวกับแจ็คที่มีท่าทางลนลานไม่ต่างกัน



"ฉันมัวแต่คิดแปลไอ้สำนวนที่นายพูดอยู่จะไปจำได้ยังไง ไอ้ที่นายอ่านเมื่อกี้ 'นับถึงหกสิบ' ฉันว่าหมายถึงหกสิบวินาทีแหงเลย พอนายอ่านจบ จู่ ๆ ก็มีรูปแผนที่เขาวงกตขึ้นมา ไม่ถึงห้าวิก็หายไปแล้ว แบบนี้่ใครจะจำได้"



"ฉันจำได้..." เสียงของเจนพูดขึ้นเบาๆเรียกสายตาของพวกเขาหันตามไป "ฉันจำได้! รีบตามมาเร็วเข้า!"



พูดจบเด็กสาวก็รีบจับมือของคิทซึเนะแล้วก็วิ่งตรงไปยังด้านใน ทำให้เพื่อนหนุ่มทั้งสองคนต้องเก็บคำถามของตนเอาไว้ในใจและวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว



หลังจากตรงเข้ามาเจนก็พบกับเส้นทางสลับซับซ้อน ด้านหน้าของเจนมีทางแยกเต็มไปหมด แต่เธอกลับเลี้ยวไปทางซ้ายอย่างมั่นใจและตรงต่อไปตามแผนที่ที่ยังอยู่ในหัวของเธอ ถ้าตามตามที่แจ็คบอกนั้นถูกต้องจริงก็แปลว่ามีเวลาไม่มากนัก แต่นั่นอาจจะไม่สำคัญแล้วเพราะในเวลาน้อยกว่านั้นเธออาจจะจำแผนที่ตรงหน้าไม่ได้แล้วก็เป็นได้



ตอนที่เธอเห็นแผนที่ของเขาวงกตแห่งนี้นั้นมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมาก ซึ่งยากที่จะเดินทางทันภายในเวลา 60 วินาที นั่นหมายความว่าเส้นทางที่แท้จริงจะต้องไม่ใช่ทางที่สลับซับซ้อนมากนัก มันต้องเป็นทางตรงและมีทางแยกไม่มาก เธอกวาดตาเพียงครู่เดียวก็พบกับทางออก แต่ถึงจะรู้แล้วว่าต้องไปทางไหน เจนมีความสามารถจดจำรายละเอียดได้อย่างชัดเจนมากแต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ถ้าหากเธอไม่รีบล่ะก็เธอก็คงจะลืมก่อนเวลาที่ทางออกจะหายไปซะอีก



เจนวิ่งตรงไปตามทางไม่ยอมหยุดเพราะเวลากำลังกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ จากนั้นเธอก็เลี้ยวขวาตามที่จำได้ในหัวและวิ่งตรงไปตามทางลาดสั้น ๆ ที่จะนำไปสู่ทางออกที่เจนจำได้ แต่ทันใดนั้นเองเธอก็พบทางแยกอีกครั้ง แต่ว่าแผนที่ที่เจนจำเอาไว้ได้เลือนหายไปจากความทรงจำแล้ว เจนรีบพยายามทบทวนสิ่งที่เธอจำได้แต่นึกไม่ออกเลยว่าจะต้องไปทางไหน



"เจน เร็วหน่อย เวลากำลังจะหมดแล้วนะ" โจเร่ง ยิ่งทำให้เจนต้องรีบตัดสินใจ แต่หากเลือกผิดล่ะก็คงไม่มีเวลาย้อนกลับมาทางเก่าอีกแล้ว



"จะเลือกอะไรก็รีบเลือกเธอเจน พวกเราเชื่อใจเธออยู่แล้ว" โจบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน



ในตอนนี้ทุกคนหวังพึ่งการตัดสินใจของเธอแล้ว เจนหายใจออกเบา ๆ ก่อนจะติดสินใจ



"ฟู่ ขวาร้าย ซ้ายดี! ขวาร้าย ซ้ายดี!.... ไปทางขวาก็แล้วกัน!!"



"เฮ้ย!" สองหนุ่มอุทานพร้อมกันเสียงดัง แต่พอพวกเขาจะวิ่งไปตามที่เจนพูดกลับต้องชะงักอีกครั้งเพราะเธอใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่จับมือของโจและลากคอของแจ็คมาพร้อมกัน ทางที่เธอกำลังไปนั้นไม่ใช้ทางขวาอย่างที่เธอพูด แต่เป็นทิศตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง



เจนพาโจโดยพ่วงแจ็คมาด้วยมือข้างซ้ายและคิทซึเนะด้วยมือข้างขวาวิ่งตรงมาทางแยกข้างซ้ายจากเมื่อครู่ ในตอนนี้เธอไม่สนใจแล้วว่าทางที่เธอเลือกนั้นจะถูกหรือไม่ เพราะถ้าหากเธอไม่ไปถึงทางออกให้เร็วที่สุดมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี จนใกล้จะถึงสุดทางเธอก็มองเห็นทางออกจนได้ แต่ว่าจากที่เธอเห็นทางออกกำลังถูกกิ่งไม้ปิดทางลง ด้วยความเร็วตอนนี้ไม่มีทางเลยที่เจนจะไปทันได้ เมื่อเห็นได้ดังนั้นเจนจึงต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง



พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ร่างของเจนเปล่งประกายสีทองขึ้นมาอีกครั้ง เท้าของเธอลอยอยู่เหนือพื้นพร้อมทั้งพาร่างของทั้งสามลอยขึ้นมาด้วย เจนใช้พลังทั้งหมดเร่งความเร็วสูงสุดจนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นภาพช้าเหมือนมีคนกดรีโหมดหยุดเอาไว้ แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจกับพลังมหาศาลที่เธอเพิ่งใช้ไปตอนนี้และพาร่างของตัวเองและเพื่อน ๆ พุ่งทะยานผ่านทางออกไปอย่างเฉียดฉิว



ฟ้าวว!! ตูม!



เสียงเสียดสีของลมดังแสบหูเจนเป็นสัญญาณให้เธอรีบปล่อยมือทั้งสองข้างออก เพียงพริบตาเดียวร่างของเธอก็พุ่งเข้ากระแทกต้นไม้ต้นใหญ่ เธอรู้สึกทั้งเจ็บ ทั้งมึน ทั้งจุกจนพูดไม่ออก ร่างของเธอร่วงลงสู่พื้นและรู้สึกชาจนแทบขยับไม่ได้ เจนเปิดหน้าต่างสถานะขึ้นมาดูก็พบว่าพลังชีวิตลดไปกว่าครึ่ง ค่าพลังเวทมนตร์ของเธอนั้นก็ลดลงจนเหลือ 0 เรียบร้อยแล้วทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งใช้ทักษะไปเท่านั้น ส่วนค่าความเหนื่อยก็ลดลงจนเหลือแค่ 10



'อู้ยยยย เจ็บเป็นบ้า... หายใจก็ไม่ค่อยออก..' เจนคิดในใจเพราะไม่มีแรงพอที่จะพูดออกมา



"เจ้านาย! เจ้านายต้องไม่เป็นอะไรนะ เจ้านายต้องไม่เป็นอะไร" คิทซึเนะเข้ามาถึงตัวของเจนก่อน ใบหน้าของเธอดูตระหนกตกใจมากจนลืมเรียกชื่อของเธอตามที่เคยสอนเอาไว้ มือน้อยๆเขย่าร่างของเจนไปมาพยายามจะเรียกให้เจ้านายของเธอลุกขึ้นแต่ในตอนนี้เรื่องนั้นยังยากเกินไปสำหรับเจน เธอยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆแล้วลูบหัวของคิทซึเนะอย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนจากมือของเจนส่งผ่านไปให้กับจิ้งจอกน้อย เธอเลื่อนมือลงมาปาดน้ำตาของเด็กสาวแล้วพูดปลอบ



"ฉันไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงนะ" เสียงของเจนแหบแห้งจนน่าตกใจแต่ใบหน้าของเธอที่คงประดับด้วยรอยยิ้มยังคงเป็นขวัญกำลังใจให้แก่คิทซึเนะเสมอ



จิ้งจอกน้อยรีบนำกระติกน้ำผลไม้ของตนเอาไปให้เจนดื่ม ทันทีที่เจนได้รับสัมผัสรสชาติเปรี้ยวหวานที่คุ้นเคยอีกครั้งเธอก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เริ่มกลับคืนมา ความเหนื่อยก็เริ่มบรรเทาลงจนน่าแปลกใจ ถึงจะไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้มากนักแต่ก็มีสรรพคุณที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ายาราคาแพงเลย



แจ็คเข้ามาพยุงร่างของเด็กสาวให้ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ แล้วพาไปนั่งพักที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ



"ขวาร้ายซ้ายดีงั้นหรือ เจน" แจ็คพูดและส่งน้ำยาเพิ่มพลังให้ เจนรับมายกขึ้นดื่มก่อนตอบคำของเพื่อนหนุ่มคนนี้



"มันติดนิสัยน่ะ นายก็รู้ว่าปกติฉันไม่เชื่อเรื่องโชคลางเท่าไหร่ แต่กันเอาไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย"



"แล้วนั่นมันอะไร บอกจะไปทางขวาแต่กลับไปซ้าย" คราวนี้โจเป็นคนพูด ดูท่าทางเขายังคงตื่นเต้นจากเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่หาย



"ก็เพื่อเป็นการหลอกโชคร้ายไง หลอกให้ไปอีกทางแล้วพวกเราก็รีบไปหาโชคดี" เจนว่าและยิ้มบาง ๆ



"ช่ายเจน เธอนี่ไม่เชื่อเรื่องโชคลางเอาซะเลย" โจพูดและเลิกคิ้วอย่างเหนื่อยใจจากนั้นเขาก็ทิ้งเจนเอาไว้ที่เดิมและออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบ แจ็คเองก็ตามไปสมทบด้วยเช่นกัน



คิทซึเนะยังคงอยู่ข้างตัวของเจนไม่ห่าง ราวกลับว่ากลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเธออีก ดังนั้นเจนจึงนั่งอยู่เฉยๆและสังเกตบริเวณโดยรอบจากจุดที่เธอนั่งอยู่



ในตอนนี้พวกเธอนั้นเหมือนกับว่าหลุดเข้ามาในป่าอีกแห่ง เพราะต้นไม้บริเวณโดยรอบนี้ต่างจากก่อนหน้าราวกับฟ้ากับเหว จากก่อนหน้านี้ที่เป็นป่าดงดิบจนไม่มีใครอยากจะเข้ามา ส่วนที่เจนพักอยู่นี้กลับเป็นป่าสีเขียวอ่อน เธอกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวราวกับอยู่บนสนามหญ้า ต้นไม้ที่เธอมาใช้อาศัยอยู่นั้นเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีใบขนาดเล็กบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาในแถบนี้ได้อย่างน่าแปลกใจ แสงสลัวตอนนี้ช่วยให้เจนรู้สึกผ่อนคลายได้มาก



หลังจากที่รู้สึกดีขึ้นมาแล้วเจนก็เข้าไปสมทบกับพวกโจที่ยืนอยู่หน้าพื้นที่กว้างยาวเป็นกว่าร้อยเมตรถ้าหากวันตามสายตาของเจน โดยฝั่งตรงข้ามนั้นมีซุ้มต้นไม้สีเขียวตั้งอยู่ราวกับว่าเชิญชวนให้พวกเจนเข้าไปหา



"ทางไปต่ออยู่นั่นไม่ใช่หรือ พวกนายยืนรออะไรอยู่" เจนถาม โจเป็นคนบอกคำตอบให้โดยชี้ไปยังพื้นตรงหน้า



พื้นที่ซึ่งขวางกั้นระหว่างพวกเจนกับซุ้มต้นไม้นั้นไม่ได้เป็นพื้นหญ้า แต่เป็นช่องพื้นไม้สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หลากสีกันไป ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวปกติ สีเหลือง สีน้ำตาล สีแดง สีม่วงและสีน้ำเงิน แต่ละช่องดูท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นัก และคำตอบของช่องเหล่านั้นก็โผล่ออกมาทันที ตรงหน้าพวกเจนมีผลไม้ลูกหนึ่งตกมาจากต้นไม้ใกล้เคียง มันกลิ้งลงและไปหยุดอยู่ที่ช่องสีม่วง ทันใดนั้นพื้นไม้ก็เปิดออกและก็มีดอกไม้ขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาเขมือบผลไม้นั้นหายไปในพริบตาจนทำให้ทั้งสี่คนพร้อมใจก้าวถอยออกมาคนละหลายก้าว



"โอ้ให้ตาย นี่มันอะไรกันวะเนี่ย"







จากล่าสุดพวกเจนมาถึงที่นี่ก็ราวบ่ายโมง แต่ตอนนี้เวลาบ่ายสามโมงแล้ว เวลาสองชั่วโมงโดยใช้ไปสูญเปล่าโดยไม่สามารถไปต่อได้เลย เจนและแจ็คต่างนั่งพักอยู่ใกล้กับพื้นที่ช่องสี่เหลี่ยม ขณะเดียวกันโจและคิทซึเนะก็กำลังปาหินเล่นไปที่ช่องสี่เหลี่ยมพวกนั้นเพื่อทำให้มีอะไรแปลกๆโผล่ขึ้นมาให้เห็น



ตอนนี้นอกจากช่องพื้นไม้สีม่วงที่เจนมั่นใจแล้วว่าเป็นดอกไม้จอมหม่ำ เธอก็รู้แล้วว่าช่องสีอื่น ๆ นั้นทำอะไรได้บ้างอย่างเช่นสีเขียวนั้นจะมีเถาวัลย์หนามจะพุ่งมาจับสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาด้านในเขตและดึงหายไป หรือสีน้ำเงินที่จะมีดอกไม้พ่นน้ำเมือกสีฟ้าใส่ ส่วนที่โดนเมือกนั้นเข้าก็มีควันขึ้นฟุ้งและละลายหายไปในเวลารวดเร็ว ส่วนสีเหลืองนั้นจะปล่อยละลองสีเดียวกันออกมาจนเต็มไปทั่วบริเวณซึ่งกินพื้นที่มากพอสมควรจนเป็นช่องที่ควรจะระวังมากที่สุด สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือสีแดงที่จะเปิดให้สิ่งที่เข้ามาในอาณาเขตตกลงไปในช่องนั้นซึ่งคิทซึเนะคิดว่าได้กลิ่นกรดเหม็นเปรี้ยวมาจากช่องนั้นด้วย



สุดท้ายคือช่องสีน้ำตาลซึ่งทั้งโจและคิทซึเนะลองทดสอบดูแล้วว่าเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดโดยเป็นแค่พื้นไม้ธรรมดา แต่ช่องที่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่จะสามารถกระโดดไปไหว ทำให้ทั้งสี่คนต้องมานั่งจมอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว



"นี่เธอใช้ พลังสถิตร่างพาพวกเราข้ามไปไม่ได้หรือ" แจ็คถาม



"ตอนนี้พลังเวทไม่พอ แต่ถึงให้มีพลังเวทเต็มก็ยังติดดีเลย์ทักษะอยู่ดี"



"แล้วอีกนานมั้ย?"



"ก็คงราว ๆ พรุ่งนี้เช้า" เด็กสาวตอบน้ำเสียงเรียบ ฟังดูเบื่อหน่าย เจนนั้นไม่ค่อยชอบการรอเท่าไหร่นัก การที่เธอมาเสียเวลาอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่



ในตอนนี้พวกเจนยังไม่อาจทำอะไรได้เพราะยังติดทางหน้าหน้าไปต่อไม่ได้ ครั้งจะกลับก็ทำไม่ได้เพราะทางที่ผ่านมาได้ปิดลงไปแล้ว ที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือรออยู่เฉย ๆ เท่านั้น



ทั้งสองหันไปมองดูโจและคิทซึเนะโยนหินใส่พื้นกับดักแก้เบื่อ ก้อนหินของคิทซึเนะปาเข้าไปยังช่องพื้นไม้สีแดง เพียงครู่เดียวพื้นไม้ก็เปิดออกและก้อนหินก็ร่วงลงไปด้าน เสียงชี่เหมือนกับน้ำเดือดดังขึ้นมาและพื้นไม้ก็ปิดลง



แจ็คกระโดดลุกขึ้นทันทีที่เห็น เขารีบหันไปมองช่องเหล่านั้นโดยรอบพลางส่งเสียงอู้อ้าออกมาทำให้อีกสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ หันไปมองด้วยความสงสัย



"นี่นายทำอะไรน่ะ คิดอะไรได้แล้วงั้นหรือ" เจนถามขึ้นแล้วเข้าไปยืนข้างๆ เช่นเดียวกับโจและคิทซึเนะที่กำลังเดินเข้ามาหา



"ดูที่พื้นสิ เมื่อกี้ฉันเห็นตอนที่ก้อนหินตกลงไปในช่องสีแดง มันมีช่วงเวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่พื้นไม้จะเปิดออก ฉันว่าฉันน่าจะผ่านมันไปได้นะ"



"นี่นายจะบ้าหรือแจ็ค นั่นมันกับดักชัด ๆ ทางที่เราจะไปต่อได้มีแต่ช่องสีน้ำตาล นี่หัวนายกระทบกระเทือนหรือเปล่าถึงได้พูดออกมาแบบนี้" โจว่า



"ไม่ใช่ สีน้ำตาลต่างหากที่เป็นกับดัก นายลองสังเกตดูดีๆสิโจ รอบ ๆ ช่องสีน้ำตาลมีแต่ช่องที่พวกเราต่างรู้แล้วว่าเป็นกับดักที่จะทำงานทันทีที่มีอะไรแตะถึงพื้น แต่ไม่มีช่องสีแดงเลยที่อยู่ใกล้กับสีน้ำตาล"



เมื่อหันไปสังเกตตามที่แจ็คพูด เจนก็เห็นอย่างนั้นจริง ๆ พื้นที่รอบ ๆ ช่องสีน้ำตาลนั้นถูกล้อมด้วยช่องสีอื่น ๆ และการจะกระโดดไปยังช่องสีน้ำตาลถัดไปนั้นก็มีระยะทางไกลจนมีแค่คนที่มีพละกำลังขาระดับซุปเปอร์ฮีโร่เท่านั้นถึงจะทำได้



"ทางนั้นพวกเราไม่มีทางจะไปได้อยู่แล้ว แต่ลองดูช่องสีแดงสิ มันสลับกันเป็นฟันปลาจนไปถึงสุดทางเลย"



"ถึงอย่างนั้นฉันว่าไม่มีใครทำแบบนั้นได้อยู่ดีนะ แจ็ค ระยะทางจากนี่ไปถึงสุดทางก็สองร้อยกว่าเมตรได้เลยมั้ง...นั่นมันครึ่งสนามฟุตบอลเลยนะ"



"ใช่ อย่างที่เจนบอก ถ้าแค่วิ่งเฉย ๆ สองร้อยเมตรน่ะสบาย ๆ แต่นี่มันวิ่งสลับขาเลยนะ แต่ละก้าวก็ต้องยืดขาสุด ๆ แค่ผิดจังหวะนิดหน่อยก็หมายถึงตายได้นะเพื่อน" โจบอกด้วยความเป็นห่วง แต่เพื่อนของเขากลับยิ้มเหมือนว่านั่นไม่ใช่เรื่องยาก



"นั่นมันสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นนักกีฬาล่ะก็แค่นี้ทำกันทุกวันจนชิน แล้วรู้อะไรมั้ยโจ แบ้ม! ฉันเองก็ทำแบบนี้ทุกวันล่ะ" เด็กหนุ่มหันกลับมาล้อเลียนเพื่อนของตน แต่ก่อนที่โจจะเข้าไปทะเลาะด้วย เจนก็รีบห้ามเอาไว้ก่อนเพราะเสียเวลามามากแล้ว



"แล้วนายแน่ใจหรือเปล่าว่าจะผ่านไปได้" เด็กสาวถาม



"มันก็ไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ยังไงนี่ก็เป็นทางเดียวที่เหลืออยู่นี่นะ" แจ็คพูดแล้วส่งปืนไรเฟิ่ลของเขาฝากให้เจนเพื่อลดน้ำหนักของตัวเองออก เขายืดเส้นยืดสายอยู่ครู่หนึ่ง



"ฟู่! เอาล่ะ อวยพรให้ด้วยนะ"



พอพูดจบแจ็คก็กระโดดไปยังช่องสีแดงที่ใกล้ที่สุด ทันทีทีเท้าของเขาแตะบนพื้นเขาก็รีบก้าวต่อทันทีซึ่งทันเวลาฉิวเฉียดที่พื้นไม้สีแดงเปิดออก แจ็คสับเท้าไปมาอย่างช่ำชองด้วยความเร็วสูง สายตาของเขาจดจ้องกับพื้นไม้สีแดงตรงหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยความที่เข้าตั้งสมาธิอย่างสูงทำให้เขาสามารถรักษาความเร็วไปปกติแต่นั่นก็เรียกเหงื่อให้ออกมาจนชุ่มตัว



ทางพวกเจนที่กำลังลุ้นจนตัวโก่ง ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่แจ็คพูดนั้นเป็นความจริงมิใช่น้อย การสับขาไปมาในช่องสี่เหลี่ยมนั้นจะต้องใช้ความเร็วและความอดทนที่สูงมาก ถ้าหากช้าไปหรือเร็วเกินไปจนเสียจังหวะก็มีสิทธิ์พลาดได้ทุกเมื่อ ถ้าหากเป็นเจนหรือโจล่ะก็คงไปไม่รอดถึงครึ่งทางอย่างแน่นอน



แต่ในตอนนี้แจ็คไปได้เกินกว่าครึ่งทางแล้ว อีกไม่กี่สิบเมตรเขาก็จะผ่านไปได้ ในตอนนี้เขารู้สึกเหมือนขากำลังจะระเบิดออกมา การก้าวสับด้วยความเร็วสูงและระยะทางยาวขนาดนี้มันเป็นการทรมานร่างกายตัวเองมากกว่าการออกกำลังกายเสียอีก จากนอกเกมนั้นเขาออกกำลังกายแบบนี้เพียงวันละห้าสิบเมตรเท่านั้นซึ่งเป็นมาตรฐานของการฝึกของที่บ้านเขา ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือผู้มาใช้ยิม ในตอนแรกแจ็คมั่นใจมากกว่าถึงระยะทางจะยาวกว่าเดิมแต่เขาคงจะทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้เขากลับเริ่มไม่มั่นใจอย่างนั้นแล้ว



เป็นโชคดีของเขาที่ก้าวสุดท้ายได้ผ่านพ้นไป แจ็คกระโดดพุ่งข้ามทางเข้าสู่เขตปลอดภัยในอีกฝั่งหนึ่งได้สำเร็จด้วยร่างที่เหงื่อโทรมกาย พื้นไม้ทั้งหมดค่อย ๆ กลายเป็นสีน้ำตาลจนพวกเจนสามารถเดินข้ามไปได้อย่างปลอดภัย



"สุดยอดไปเลยแจ็ค นายนี่มันไอ้ตัวอึดสุดยอดจริง ๆ" โจพูดอย่างดีใจแล้วเข้าไปตบหลังเพื่อนที่กำลังนอนคว้ำอย่างหมดแรงอยู่บนพื้น



"ใช่ ทำได้แจ๋วมากเลย แต่ฉันขอแค่ชมนายจากตรงนี้ก็พอนะ ตัวนายในตอนนี้เหม็นสุด ๆ เลย" เจนบอกแล้วส่งน้ำกระติกน้ำซีลักส์ให้เพื่อนของเธอดื่นแก้เหนื่อย ส่วนเจ้าตัวนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเพราะไม่มีแรงพอที่จะพูดไหวแล้ว



หลังจากที่โจดื่มน้ำซีลักส์กระติกสุดท้ายของเจนที่ตอนแรกตั้งใจจะซื้อมาให้คิทซึเนะหมดแล้ว พวกเจนก็ตรงไปที่ซุ้มต้นไม้สีเขียวซึ่งเป็นทางออกเดียวในตอนนี้ ซุ้มนี้เป็นโครงสูงที่เป็นต้นไม้ขึ้นเป็นทางเข้า มีใบไม้เขียวขจีอยู่เต็มโครงซึ่งตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ในพื้นที่แห่งนี้ เมื่อเจนมองทะลุไปก็เห็นเป็นป่าอีกแห่งซึ่งต่างจากป่างที่เจนอยู่ในตอนนี้ พอจะเดาได้ว่านี่คงเป็นประตูมิติอะไรซักอย่าง



ทั้งสี่เดินเข้าผ่านประตูมิติมาพบกับทางเดินยาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีคำใบ้ ไม่มีพื้นที่แปลกประหลาด เป็นเพียงทุ่งหญ้าภายใต้ร่มเงาจากต้นไม้สูงใหญ่ ใจกลางนั้นเจนเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่เธอเคยเห็นมาจนเธอคิดว่าคงใหญ่กว่าต้นไม้ที่เธอเห็นตอนที่เริ่มเล่นเกมซะอีก ส่วนอีกด้านหนึ่งเธอเห็นต้นไม้ดูคุ้นตาอยู่หลายสิบต้น และผลไม้สีฟ้าอ่อนปนชมพูแต่มีขนาดใหญ่กว่าที่เธอเคยเห็นหลายเท่า



"ผลซีลักส์ยักษ์!! ว้าว!!!" เสียงของคิทซึเนะตะโกนเสียงดังอย่างดีใจและวิ่งเข้าไปหาทันที แจ็คและโจเองต่างก็ตรงเข้าไปหาอย่างสนใจเช่นเดียวกัน



แต่เจนนั้นกลับสนใจต้นไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้ามากกว่า มันเป็นต้นไม้สูงใหญ่ กิ่งก้านสาขาของมันมีความกว้างจนสามารถปกคลุมทุ่งหญ้าทั้งหมดโดยรอบได้ เมื่อเจนเดินเข้าไปถึงก็พบว่าลำต้นของมันมีขนาดใหญ่มากกว่าสิบคนโอบที่บ่งบอกได้ถึงความเก่าแก่ของมันต้องไม่ต่ำกว่าพันปีอย่างแน่นอน



เพียงครู่เดียวที่เจนสังเกตเห็นแสงที่หางตา เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นเป็นเมล็ดสีเขียวอ่อนอยู่ในรูของตาไม้บนลำต้นกำลังลอยอยู่บนน้ำใส เจนยื่นมือไปหยิบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว



เมล็ดพันธุ์แห่งบ้านต้นไม้ ระดับ S

เป็นเมล็ดอ่อนที่สามารถปลูกขึ้นมาโตเป็นบ้านต้นไม้ได้



ของระดับ S แต่มีคำอธิบายเพียงเล็กน้อยเช่นเดิม ทำให้เจนนึกถึงไข่ก้อนเมฆที่เก็บเอาไว้นานแล้ว เธอเก็บเมล็ดพันธุ์แห่งบ้านต้นไม้เข้าช่องเก็บของแล้วหยิบไข่ออกมาพร้อมกับน้ำผลอิกดราซิลที่ได้มาจากแจ็คเมื่อก่อนหน้านี้



"เจน!" เสียงเรียกของโจดังขึ้นจากด้านหลังเธอ เขาและแจ็คกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมกับสีหน้าที่เบิกบานใจสุด ๆ ส่วนคิทซึเนะนั้นเดินกลับมาตั้งแต่ที่เจนเรียกครั้งแรกแล้วพร้อมกับผลซีลักส์ขนาดใหญ่เท่ากับผลแตงโมสามลูกอย่างสบายอารมณ์



"ดูนี่สิเจนผลซีลักส์ขนาดบะเหิ่มเลย คุ้มจริง ๆ กับที่ฝ่าด่านพวกนั้นมากได้ โอกาสดี ๆ แบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว" โจพูดด้วยน้ำเสียงระรื่นและชี้ให้เห็นผลซีลักส์ที่อยู่กับคิทซึเนะแต่เจนไม่สนใจเรื่องนั้นนัก เธอรับผลซีลักจากจิ้งจอกน้อยเก็บใส่กระเป๋าและยกไข่ก้อนเมฆและน้ำอิกดราซิลขึ้นมาให้เห็น



"ฉันว่าที่นี่พวกเราคงฟักไข่พวกนี้ได้แล้วล่ะ ไม่มีใครมาเห็นแน่นอน ว่าแต่จะต้องทำยังไงล่ะถึงจะฝักไข่นี้ได้" เจนถาม



"ก็แค่เทน้ำลงไปบนไข่เท่านั้นก็พอ" โจบอกพลางหยิบไข่โคลนตมของตนขึ้นมา



"หา แค่นั้นน่ะนะ นายแน่ใจหรอโจ" แจ็คเป็นคนถามด้วยความสงสัย เพราะมันดูง่ายดายซะเหลือเกิน



"ก็แค่นั้นแหละ ถึงเกมนี้จะเน้นความเป็นจริงแต่ยังไงมันก็เป็นแค่เกมนะ หรืออยากจะใช้เข็มฉีดเข้าไปในไข่ก็ได้ ไม่มีใครห้ามหรอก"



เจนพอเข้าใจสิ่งที่โจบอก ถึงเกมนี้จะมีจุดขายที่เน้นความเป็นจริงมาก แต่ถ้าหากมากเกินไปก็คงไม่มีใครชอบเช่นกัน ถ้าหากเจนจะต้องทำอย่างที่โจบอกเพื่อกระตุ้นไข่ให้ฝักจริง ๆ ล่ะก็ เธอคงใช้วิธีฟักธรรมดาแล้วเก็บน้ำอิกดราซิลไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่า



ทั้งสองคนยกขวดน้ำอิกดราซิลขึ้นเหนือไข่ของตน เจนและโจมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าให้สัญญาณ ทั้งสองเทน้ำจากผลอิกดราซิลลงบนไข่ทั้งสองใบพร้อมกันและถอยห่างออกมาเพื่อรอดูผลที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้พักหนึ่งกลับยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย



"อะไรล่ะเนี่ย ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ" เด็กสาวพูดขึ้นด้วยความแปลกใจแล้วหันไปหาเจ้าตัวต้นคิดที่มีสิทธิ์จะทำให้แจ็คต้องเสียน้ำอิกดราซิลไปฟรี ๆ



"แต่ว่าตอนที่ฉันอ่านในคู่มือมันบอกแบบนั้นนี่หว่า หรือว่าฉันจะจำอะไรผิดไปหรือเปล่า...อ๊ะ นั่น!" โจพูดด้วยน้ำเสียงตกใจและชี้ไปยังไข่ทั้งสองใบที่เริ่มมีปฏิกิริยา



ไข่ของโจนั้นดูท่าจะมีปัญหาเล็กน้อยเมื่อมันกลิ้งลงไปตามทางลาดจนทำให้เขาต้องวิ่งตามไปเก็บ ส่วนไข่ก้อนเมฆของเจนนั้นเริ่มส่ายไปมาจนเจจนต้องเข้าไปประคองก่อนที่จะล้มลงไป แต่มันคงไม่เป็นแบบนั้นเมื่อไข่ใบสีขาวของเธอได้กะเทาะออกมาแล้ว



เจนมองมังกรตัวเล็กสีขาวออกมาจากไข่ตรงหน้า มันเป็นมังกรที่มีลำตัวยาวแบบจีนแต่มีปีกเล็ก ๆ อยู่สี่คู่ระหว่างขาหน้าและขาหลังดูแปลกตา ดวงตาสีน้ำเงินใสของมันมองหน้าของเด็กสาวด้วยความสงสัยแล้วเอียงหัวจนทำให้เธอและคิทซึเนะเอียงตามอย่างไม่ตั้งใจ ตอนนั้นเองเจนได้ยินเสียงในหัวของเธอ



ท่านได้รับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ มังกรฟ้า โปรดตั้งชื่อ



"เอ๋ เอาชื่ออะไรดีล่ะ ชื่ออะไรดี...." เจนคิด เธอนั้นไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน การที่จะตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยงตัวเองแบบนี้ เธอไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงมาก่อนในชีวิต ถึงจะเป็นคนรักสัตว์ตัวเล็ก ๆ มากแค่ไหนก็ตามแต่เธอก็ไม่มีเวลาพอที่จะให้กับสัตว์เลี้ยงของเธอ



พอได้โอกาสมีสัตว์เลี้ยงกับคนอื่นบ้างในเกมแห่งนี้ คิทซึเนะนั้นก็มีชื่อของตัวเองแล้วจึงไม่มีปัญหา แต่พอมาถึงตามังกรฟ้าตัวนี้เธอนั้นก็คิดหัวหมุนเลยทีเดียวที่จะคิดชื่อให้แก่มัน



'ตายแล้วคิดไม่ออกเลย ว่าแต่นี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะเนี่ย' เจนคิดในใจ ถึงจะเป็นสัตว์เลี้ยงแต่เธอชอบเรียกให้ว่าเป็นคนซะมากกว่า



"พี่เจน มังกรตัวนี้ได้เป็นสัตว์เลี้ยงของพี่เจน แสดงว่าต้องเธอเป็นน้องสาวของหนูใช่มั้ยคะ" เสียงใสเอ่ยถาม



"เอ๋ นี่คิทซึเนะดูออกหรอว่าเป็นผู้หญิง" เจนหันไปถามด้วยความแปลกใจ แต่คิทซึเนะกลับมองมาที่เจนด้วยสีหน้าสงสัย



"ก็ต้องดูออกอยู่แล้วสิว่าน้องเป็นผู้หญิง พี่เจนดูไม่ออกหรือคะ จะให้คิทซึเนะบอกให้ว่ามันต้องดูตรงไหน" จิ้งจอกน้อยเสนอแต่เจนปฏิเสธไปดีกว่าเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าครั้งต่อไปเมื่อเจอมังกร สิ่งแรกที่เจนจะมองหาคือเพศของมันซะอย่างนั้นเอง



"เป็นผู้หญิงหรอก...ถ้าอย่างนั้นเอาชื่อฟีบีฟังดูเป็นไง" เจนหันไปพูดกับมังกรตัวน้อย มันยังคงมองเจนด้วยความสงสัยอยู่เหมือนกับว่าไม่เข้าใจ



"ตั้งแต่นี้ไป เธอมีชื่อว่า ฟีบี นะ เข้าใจหรือเปล่า" เจนบอกและเอามือลูบหัวมังกรสีขาวตัวน้อยซึ่งมันก็ร้องอย่างชอบใจงับนิ้วของเจนเบา ๆ แสดงความเป็นมิตร



"ฉันชื่อว่าเจนนะ ส่วนนี่คือคิทซึเนะ เป็นพี่สาวของฟีบี เข้าใจนะ" เจนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำแล้วหันไปหาจิ้งจอกน้อยที่มองฟีบีด้วยดวงตาลุกวาว "ตั้งแต่นี้เป็นฟีบีกลายเป็นน้องสาวของคิทซึเนะแล้ว ดังนั้นต้องดูแลน้องดี ๆ เข้าใจนะ"



"เข้าใจแล้วค่า!" เสียงใสพูดตอบแล้วเข้าไปหาฟีบีที่ตอนนี้กำลังเดินเข้าไปดมตัวของคิทซึเนะด้วยความอยากรู้อยากเห็น



ในขณะเดียวกันนั้นโจก็เดินกลับมาพร้อมกับบางสิ่งที่คล้ายกับก้อนหินก้อนใหญ่ในมือ



"เฮ้! โจ! นั่นนายถืออะไรมาน่ะ" แจ็คตะโกนถามเมื่อเห็นตัวเพื่อนของเขาเดินกลับมา



แต่โจไม่ตอบคำและวางก้อนหินลงบนด้านหน้าของเจนจากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นมา "นี่...คือสัตว์เลี้ยงของฉัน"



"หะ...นี่มันอะไร ก้อนหิน?...หรือว่าเป็นเต่า?" เจนถามและก้มลงไปสำรวจด้วยความสงสัย



"เปล่า....นี่คือมังกร"



จบตอนที่ 16 ภารกิจแห่งป่า

manmao
10th January 2014, 13:46
เข้ามา ปั๊มกระทู้ Go to 300 เป็นกำลังใจครับ

เห็นแล้ว รู้สึกนับถือความตั้งใจ:cool:


ชีวิตผมทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักที:sweat เรียนก็ไม่จบ:sweat ก็มีแต่เกมเท่านั้นแหละ ที่เล่นจนจบได้:o:o:o

Tohan-kun
11th January 2014, 12:42
ตอนที่ 17 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด



"หะ นี่นายกำลังบอกว่าเจ้าก้อนหินนี่เป็นมังกรงั้นหรือ ไข่ระดับ A ของนายเนี่ยนะ" แจ็คพูดถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเกมนี้ถือว่ามังกรเป็นมอนสเตอร์สัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเกม มีคนจำนวนไม่มากที่เคยได้ฆ่าพวกมัน และมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าที่จะมีอาชีพเกี่ยวกับมังกรหรือมีพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงเช่นนี้ สุดท้ายคือยังไม่เคยมีใครพบเจอมอนสเตอร์มังกรระดับบอสมาก่อนเลยในเกม



"ใช่ เจ้านี่เป็นมังกรหิน พอออกจากไข่มันก็พุ่งลงใส่แตงนี่ทำให้ตัวมันใหญ่ขึ้นมาแบบนี้ แต่ว่ามันไม่คุ้มเลย" โจบอกแล้วยืนแตงใบเล็กสีเขียวอ่อนขึ้นมา เจนรับไปแล้วลองตรวจสอบดู



แตงโตวันโตคืน ระดับ B

ผลไม้ที่มีผลช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากใช้กับสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์อสูรจะสามารถทำให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่จะต้องเข้าจำศีลจนกว่าระดับของสัตว์เลี้ยงจะเพิ่มเป็นตามระดับที่ต้องการ



"ตัวโตแต่เล่นเข้าจำศีลตั้งแต่เกิดแบบนี้เลยหรือ ฉันเองก็ว่าไม่คุ้ม" เจนบอกแล้วส่งแตงคืนไป แต่โจบอกให้เจนเก็บเอาไว้เพราะไม่อยากจะแตะต้องมันอีก เด็กสาวจึงเก็บผลไม้ใส่กระเป๋าพร้อมคิดว่าอาจจะมีโอกาสใช้มันก็ได้ในอนาคต



"แล้วนายจะทำยังไงต่อ จะยกเจ้านี้กลับไปที่เมืองงั้นหรือ"



"เรื่องสิ ฉันเตรียมเอาไว้ตั้งแต่อยู่เมืองเริ่มต้นแล้ว ดีนะที่เจ้านี่ยังเป็นยศทหารอยู่ คงเอาใส่ในนี้ได้" โจว่าแล้วล้วงเอาสร้อยคออกมาจากในเสื้อคลุม เป็นสร้อยเงินธรรมดาที่มีอัญมณีสีเหลืองอำพันเป็นแกนกลางดูราคาไม่แพงมากนัก เขายื่นหินอำพันเข้าหาเจ้ามังกรหินที่นอนหลับอยู่ตรงหน้าแล้วพูดคำว่าผนึก มันใดนั้นร่างของมันก็กลายเป็นแสงแล้วถูกดูดเข้าไปในสร้อยทันที



"เฮ้ย! นั่นอะไรวะ! นายทำอะไรกับเจ้าตัวนั้นน่ะ!" เจนตะโกนด้วยความตกใจจนเผลอสบถออกมาโดยไม่ตั้งใจ



"ใจร่ม ๆ เจน นี่มันเกมนะอย่าลืมสิ ฉันแค่เก็บเจ้าโอร็อกของฉันเข้าไปในสร้อยเฉย ๆ จะได้เดินสบาย ๆ ไง" โจบอก



"โอร็อก...ฮ่ะ ๆ เซ้นส์ในการตั้งชื่อของพวกนายนี่พอ ๆ กันเลย" แจ็คพูดพลางพยายามกลั้นหัวเราะ



"เรื่องของฉันน่า" โจโต้กลับแล้วหันมามองฟีบีที่กำลังทำความคุ้นเคยกับคิทซึเนะ



"เธอเองก็ได้มังกรงั้นหรือ แต่มีลักษณะแบบนี้ดูเด่นมากเลยนะ ฉันว่าเธอเก็บเข้าที่เก็บสัตว์เลี้ยงดีกว่า"



"แบบสร้อยของนายนั่นน่ะหรือ"



"ใช่ ฉันซื้อเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมืองไทริสแล้ว...อย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้ซื้อเอาไว้"



เจนให้คำตอบด้วยการส่ายหัว เธอไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยเพราะในตอนแรกนั้นเธอมัวแต่สนใจกับเรื่องอื่นอยู่ อันที่จริงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของอย่างนั้นอยู่ด้วย ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีของสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้ เธอรีบยกดาบคุซานางิขึ้นมาดูและก็พบว่านอกจากทักษะที่เก่งกล้าแล้ว ยังสามารถเก็บสัตว์เลี้ยงได้ถึง 8 ตัว



"ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ รู้สึกว่าดาบเล่มนี้จะสามารถใช้เป็นที่เก็บมอนสเตอร์ได้ด้วยนะ แถมได้เยอะซะด้วย" เจนบอก



"ฉันก็ไม่แปลกใจหรอก ดาบระดับนั้นจะมีความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้อยู่ก็ถือว่าธรรมดา” โจจ้องมองดูฟีบีที่กำลังหันเดินอยู่ตรงหน้าแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง



“ฉันคิดว่าเธอควรจะเก็บมังกร..ฟีบี เข้าไปในดาบไว้ก่อนนะ อย่างคิทซึเนะเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ แต่คนทั่วไปอาจจะเข้าใจผิดได้ว่าเป็นเอไอเพราะเธอมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ว่ากับฟีบีแล้วมันต่างกัน คนที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นมังกรนั้นทั่วไปจะเป็นแค่พวกมังกรที่เป็นแบบมังกรยุโรปหรือลำตัวยาวแบบมังกรจีน อย่างมากก็เป็นแค่มังกรธรรมดาเท่านั้น แต่ว่าเฉพาะมังกรที่มีลักษณะเด่นอย่างมีสี่ปีกแบบนี้จะต้องมีคนอยากได้มากแน่ ๆ" โจบอก



เจนในตอนนี้ก็เริ่มสังเกตข้อนั้นได้เช่นกัน รูปร่างของฟีบีไม่ว่าใครต่างเห็นก็ต้องยากที่จะลืมได้ ไม่ว่าคนที่ต้องการจะเอามันไปเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่นหรือสัตว์อสูรเอาไว้ต่อสู้จะต้องเข้ามาหาเธอ หรือบางที เข้ามาขโมยฟีบีน้อยไปจากเธอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น



"ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคิทซึเนะเองค่ะ หนูเป็นพี่สาวของฟีบี หนูจะปกป้องน้องไม่ให้ใครมายุ่งเด็ดขาดเลย" เสียงใสพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ เธอแสดงสีหน้าที่มุ่งมั่นมากจนเจนยากจะปฏิเสธ แต่ถึงคิทซึเนะออกตัวขนาดนั้นมันก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ง่าย ๆ



"แต่ว่าถ้าคิทซึเนะทำอย่างนั้น ก็ยิ่งสร้างปัญหาให้กับเจนนะ ถึงยังไงก็ตาม ถ้าหากฟีบียังไม่สามารถดูแลตัวเองจากคนอื่น ๆ ได้ก็ยังอันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้มีคนเห็นในเมือง แล้วอีกอย่าง ราคาของมังกรในตลาดก็สูงอยู่มาก ยิ่งเป็นมังกรเด็กแล้วล่ะก็ยิ่งเป็นที่ต้องการของพวกผู้ฝึกสัตว์อสูรเลยล่ะ" แจ็คบอก



"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็มีทางเลือกอยู่ทางเดียว จนกว่าพวกเราจะออกนอกเมืองไปหาที่เก็บระดับกันอีกที ฟีบีคงต้องอยู่ในดาบไปก่อน เว้นช่วงที่นอนในเต็นท์หรือในโรงแรมก็คงไม่มีปัญหาถ้าหากยังตัวเล็กอยู่แบบนี้นะ"



"เอ๋! แต่ว่าหนูอยากอยู่กับฟีบีนี่นา" คิทซึเนะค้านคำของโจ สงสัยเธอคงจะเป็นเด็กสาวติดน้องเข้าซะแล้ว



"ถ้าอย่างนั้นคิทซึเนะก็เข้าไปอยู่กับฟีบีก็แล้วกันนะ" เจนเสนอ



"แต่ว่า..." จิ้งจอกน้อยพูดพึมพำ ท่าทางของเธอบอกเจนได้เลยว่าแม้เธออยากจะอยู่กับฟีบี แต่ก็ไม่อยากออห่างจากเจนเพราะกลัวเธอจะเป็นอันตราย



"ไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเรียกคิทซึเนะออกมาแน่ ๆ"



เมื่อได้ยินคำของเจ้านาย คิทซึเนะก็ยิ้มร่าออกมา เจนจัดการยื่นดาบไปด้านหน้าและผนึกทั้งสองเข้าไปในดาบซึ่งก็ไม่ต่างไปจากตอนที่โจเก็บมังกรหินของตนเท่าไหร่นัก



หลังจากแน่ใจแล้วว่าทั้งคู่ปลอดภัยแล้วเจนก็หันมาหาเพื่อนทั้งสองคนและส่งเมล็ดพันธุ์แห่งบ้านต้นไม้ให้ทั้งสองคนดู



"ฉันได้นี่มาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ดูท่าทางเรื่องเล่าที่ว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการสงสัยจะไม่เป็นจริงซะแล้ว" เจนบอกแล้วรับเมล็ดคืนมาและเก็บใส่ช่องเก็บของ



"ใครบอกว่าไม่จริง พวกเราอยากได้ผลซีลักส์ขนาดใหญ่แบบนี้ตั้งแต่ฟังเรื่องนั้นแล้ว แถมพวกเราเก็บมารวมกันก็ได้เป็นร้อยลูก เอาไว้กินได้อีกนาน" โจบอกด้วยท่าทางร่าเริง



"ลองคิดดูสิว่าถ้าพวกเราเอาไปขายในเมืองจะได้ราคามากแค่ไหร่ กำไรเหนาะ ๆ"



"นี่แจ็ค นายมีเงินเป็นล้านอยู่กับตัวอยู่แล้ว นี่นายยังจะหาเงินอีกงั้นหรือ" เจนพูด ในตอนนี้เธอไม่รู้สึกต้องการหาเงินเพิ่มเท่าไหร่แล้ว และนอกจากนี้ยังมีเงินอีกจำนวนมากที่พวกเธอจะได้จากการประมูลทองคำที่โจหามาก่อนหน้านี้อย่างไรก็ตาม เจนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากเร็ว ๆ นี้ซักหน่อย



"เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราต้องการจะเงินนะ มีเอาไว้ก่อนดีกว่าเสียใจ" แจ็คทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่จะนั่งพักก่อนเดินทางออกจากป่าแห่งนี้







หลังจากที่เจนพักจนหายเหนื่อยแล้ว เธอและพวกโจพากันเดินออกมาจากป่าแห่งนั้นมา โดยเส้นทางกลับนั้นเร็วและสบายกว่ามาก ป่าทึบที่เคยผ่านตอนนี้กลับกลายเป็นป่าสนธรรมดาเท่านั้น ทั้งเถาวัลย์ ทั้งความร้อนชื้นที่เคยสัมผัสกลับหายไปซะสิ้น เมื่อออกมานอกป่าก็พบว่าพวกเจนเดินใช้เวลาเดินทางเข้าไปเป็นชั่วโมง แต่ขากลับออกมาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง ระยะทางที่ใช้เดินก็ไม่ได้ไกลเลยด้วยซ้ำไป



ตอนนี้เจนไม่คิดจะสงสัยอะไรทั้งนั้นเพราะเธอทั้งรู้สึกเหนื่อยมาก เธอตรงกลับเข้าเมืองโดยแวะซื้อของกินที่เป็นเนื้อหลาย ๆ ชนิดเพื่อจะเอาไว้ให้ฟีบีลองกินดู และก็ไม่ลืมซื้อขนมสำหรับคิทซึเนะและตัวเธอเองด้วย ถึงแม้บนเรือจะมีห้องอาหารเตรียมพร้อมและรสชาติก็ไม่เลว แต่ไม่ค่อยมีของหวานมากนัก และท้องของคิทซึเนะที่สามารถจุของหวานได้มหาศาลก็ทำให้เจนต้องซื้อขนมเอาไว้เยอะ ๆ เลยทีเดียว



หลังจากใช้บริการห้องอาบน้ำเสร็จแล้วพวกเธอก็ตรงขึ้นเรือทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้เล่นน้ำทะเลอย่างที่หวังไว้ แน่นอนว่าเป็นแค่โจและแจ็คหวังเอาไว้แค่สองคน เจนนั้นไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนคิทซึเนะนั้นมั่วแต่เล่นกับฟีบีอยู่ในห้องจนไม่ไดสนใจเรื่องเล่นน้ำซักนิด



จากนั้นไม่นานเรือก็ออกจากท่าตามกำหนดการ เจนมองเกาะซีลาโกผ่านกระจกของห้องพักที่กำลังเล็กลงเรื่อย ๆ ถึงเธอจะอยู่บนเกาะไม่นานนักแต่ก็มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ซึ่งแต่ละเรื่องก็เป็นที่น่าจดจำจนเจนคิดในใจว่าจะต้องกลับมาที่เกาะนี้อีกครั้งให้ได้เลยทีเดียว



"เจน มาลองกินนี่สิ เนื้อผลซีลักส์นี่อร่อยยิ่งกว่าน้ำคั้นที่ดื่มบนเกาะอีก" โจเรียกเด็กสาว เมื่อหันไปเจนก็พบว่าทั้งสามรวมถึงฟีบีกำลังกินผลซีลักส์ที่ถูกผ่าเป็นซี่คล้ายกับแตงโมวางอยู่เต็มพื้นห้อง ฟีบีกำลังกัดเนื้อผลไม้สีชมพูอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีจิ้งจอกน้อยที่คืนร่างเดินนั่งกินอยู่ข้าง ๆ ถึงจะไม่กี่ชั่วโมงที่มังกรน้อยเพิ่งเกิดมาและจะเป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน แต่คิทซึเนะก็ทำหน้าที่พี่สาวได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว



ทางฟีบีเองก็ท่าทางปรับตัวได้เร็วมาก ปกติแล้วเธอจะคลุกตัวกับคิทซึเนะเป็นส่วนมาก แต่มังกรน้อยก็ชอบเข้ามาคลอเคลียอยู่กับเจนอยู่เป็นประจำ คงจริงอย่างที่ว่ากันไว้ เมื่อฟีบีเกิดขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเห็นคือใบหน้าของเจนที่กำลังมองเธอด้วยความตื่นเต้น ในตอนนี้เจนกลายเป็นคุณแม่จำเป็นอย่างเป็นทางการของฟีบีเป็นที่เรียบร้อย เธอได้แต่หวังว่าฟีบีของเธอจะไม่มองโจหรือแจ็คเป็นพ่อเท่านั้นเอง



เจนรับชิ้นของผลซีลักซ์ที่โจส่งมาให้ มันถูกตัดเป็นเสี้ยวแบบเดียวกับที่ตัดแตงโม เธอลองกัดดูหนึ่งคำ รสเปรี้ยวหวานแผ่ซ่านไปทั่วปาก เธอรู้สึกได้ถึงน้ำผลไม้ที่ทะลักท้วมปากทุกครั้งที่เคี้ยวเนื้อผลไม้ สิ่งที่ผลซีลักส์ดีกว่าแตงโมก็คือมีน้ำมากกว่าและมีเม็ดน้อยกว่าทำให้กินได้อย่างสบายใจ



"อร่อยจริง ๆ ดีนะที่นายเก็บมาเยอะ" เจนเอ่ยชมแล้วนั่งลงกินข้าง ๆ เพื่อนทั้งสองคน ในขณะที่คิทซึเนะและฟีบีนั่งกินอยู่บนพื้น



"หึหึ บอกแล้วว่าโอกาสแบบนั้นหาไม่ได้อีกแล้ว" โจว่า เขากัดผลไม้หนึ่งคำแล้วหันไปพูดกับแจ็ค "จากนี้อีกประมาณสามวัน พวกเราคงไปถึงทวีปไลทาเชีย จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปที่เมืองรีเด็มชั่นเลยใช่มั้ย"



"ใช่ ที่นั่นเป็นเมืองที่มีปืนกระบอกเล็กที่ดีที่สุดในเกม ฉันอย่างจะลองหามาใช้ดูบ้าง และจะได้โอกาสเปลี่ยนอาชีพเป็นมือปืนด้วย...แต่ถ้าหากมีอาชีพอะไรที่ดีกว่าก็น่าลอง"



"แล้วจากเมืองที่เราจะไปเทียบท่าถึงเมืองนั้นอยู่ไกลหรือเปล่า" เจนถาม



"ไม่ไกลหรอก แต่อาจจะต้องเตรียมการเดินทางอยู่ซักหน่อย เพราะแถวนั้นเป็นทะเลทราย ถึงไม่ใช่ทะเลทรายระอุแบบไม่มีอะไรเลยก็เถอะ แต่สภาพแวดล้อมก็โหดร้ายใช่เล่น" โจเป็นคนตอบ



"งั้นก็แปลว่าต้องอยู่ไปแบบนี้อีกสามวันงั้นหรือ....เฮ่อ น่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหน่อยน้า อยู่เฉย ๆ แบบนี้มันน่าเบื่อจริง ๆ" เด็กสาวรำพึงขณะก้มลงกินผลไม้ตรงหน้า โจเหลือบมองเล็กน้อยแล้วตอบคำของเธอ



"ระวังในสิ่งที่เธอขอนะเจน เพราะบางทีมันอาจจะเป็นจริงเข้าซักวันก็ได้..."







ตูม!!!



เสียงระเบิดดังก้องจากนอกห้อง เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกับเพื่อนทั้งสองคนและจิ้งจอกน้อย ส่วนฟีบีนั้นยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว



เจนหันไปหาพวกโจและพยักหน้าให้กันก่อนจะหันกลับมาหาคิทซึเนะ







"เดี๋ยวพวกเราจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น คิทซึเนะคอยเฝ้าฟีบีอยู่ตรงนี้นะ"







"เข้าใจแล้วค่ะพี่เจน" จิ้งจอกน้อยกล่าวตอบและกลายร่างเป็นมนุษย์ทันที ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าร่างมนุษย์เช่นนี้แม้จะใช้พลังได้ไม่รุนแรงเท่าร่างเดิมของเธอแต่ก็สู้สะดวกกว่ามาก







หลังจากมั่นใจแล้วว่าสัตว์เลี้ยงทั้งสองของเจนจะปลอดภัยอยู่ในห้องนี้โดยเจนกำชับเอาไว้ว่าอย่าออกมาจากห้องเด็ดขาด แล้วทั้งสามก็ออกมาพร้อมอาวุธในมือ เจนไม่ลืมคว้าเสื้อโค้ทสีแดงที่ซินจูซื้อมาสวมด้วยเพราะตอนนี้เธอสวมเพียงแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นเพียงเท่านั้น



เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง เรือเริ่มส่ายโคลงไปมา เจนสังเกตเห็นว่ามีผู้เล่นจำนวนมากที่ออกมาจากห้องเช่นเดียวกับเธอเพื่อที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้น





"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย เราโดนโจมตีงั้นหรือ" เจนเอ่ยขึ้นพลางพยายามทรงตัวอย่างยากลำบากจากที่ตัวเรือส่ายไปมา







"ใช่แล้ว โจรสลัดไงเจน สมพรปากเธอแล้วไง" แจ็คตะโกนบอกแข่งกับเสียงระเบิดจากปืนใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเป็นปืนใหญ่ของเรือลำนี้หรือว่าเรือของโจรสลัดกันแน่







"โจรสลัดบุกขึ้นเรือมาแล้ว พวกเรารีบไปจัดการพวกมัน เร็วเข้า!" เสียงผู้เล่นคนหนึ่งตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งออกไปสู่ดาดฟ้าเรือโดยมีผู้เล่นคนอื่น ๆ อีกหลายสิบคนตามไปด้วย



แต่ก็มีผู้เล่นไม่น้อยที่เปิดประตูออกมาดูและกลับเข้าไปอยู่ในห้อง แจ็คเคยบอกเอาไว้ว่าในเมื่อมีอีเวนท์โจรสลัดบุกเรือแบบนี้ ที่ๆปลอดภัยที่สุดของผู้เล่นคือในห้องพักของตัวเอง เพราะโจรสลัดจะไม่เข้ามายุ่งในส่วนที่พักของผู้เล่นเว้นแต่ว่าพวกโจรสลัดสามารถยึดเรือได้ ซึ่งมีทางแก้ทางสุดท้ายคือล็อกเอาท์ออกจากเกม เมื่อล็อกอินกลับมาอีกครั้งผู้เล่นก็จะอยู่ในเมืองที่ใกล้ที่สุดนั่นเอง



สำหรับผู้เล่นที่ต้องการต่อสู้กับโจรสลัด นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุด แต่โจรสลัดไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายดายนักเพราะเป็นพวกนี้ไม่ใช่แค่มอนสเตอร์ธรรมดาแต่เป็นเอไอที่เก่งกว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ในระดับเดียวกันมาก ซึ่งปกติแล้วเกมนี้จะมีบทลงโทษสำหรับผู้เล่นที่ทำร้ายเอไอเอาไว้อย่างร้ายแรง ทว่าก็มีข้อยกเว้นสำหรับเอไออย่างโจรภูเขาหรือโจรสลัดเป็นต้นที่ผู้เล่นสามารถเข้าสู้ได้อย่างอิสระ และก็มีข้อยกเว้นอยู่ในบางอีเวนท์และบางภารกิจที่จำต้องสู้กับเอไอธรรมดาด้วยเช่นกัน



พวกเจนตามผู้เล่นคนอื่นไปที่ดาดฟ้าเรือก็พบว่าในตอนนี้เหล่าโจรสลัดกำลังเข้าปะทะลูกกับเรือและเหล่าผู้เล่นกันอย่างสูสี แต่พอเจนตรวจสอบพวกโจรสลัดดูแล้วก็พบว่าคนพวกนี้มีระดับที่สูงกว่าเธอมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือทุกคนมียศอยู่ระดับขุนนางกันหมด จำนวนผู้เล่นที่มีอยู่ในตอนนี้ถึงจะมีมากกว่าเหล่าโจรสลัดที่อยู่บนเรือโดยสาร แต่เรือโจรสลัดสีดำที่แล่นขนาบข้างเรืออยู่นั้นยังมีโจรสลัดอยู่อีกเป็นจำนวนมาก



เจนฟาดดาบเข้าใส่โจรสลัดที่กำลังพุ่งมาทางเธอ โจรสลัดยกดาบขึ้นรับได้อย่างรวดเร็วสมกับที่อยู่ในระดับยศขุนนาง แต่ดาบที่เขาใช้นั้นยังไม่อาจเทียบชั้นกับดาบคุซานางิได้และถูกฟันขาดเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย เจนกระโดดหมุนตัวเตะโจรสลัดคนนั้นกระเด็นตกเรือไปและเข้าไปช่วยลูกเรือจัดการกับโจรสลัดที่เหลือทันที



ทางด้านโจเองก็ยิงบอลสายฟ้าเข้าสกัดพวกโจรสลัดที่กำลังข้ามมาที่เรือโดยสารอย่างต่อเนื่อง แต่ในตอนนี้เขาไม่อยากจะเปิดเผยถึงเวทของตนมากนัก จึงใส่พลังเวทลงไปไม่มากพอที่จะจัดการพวกโจรสลัดได้ในทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าโจจะประเมินโจรสลัดพวกนี้น้อยไป เพราะโจรสลัดที่โดนสายฟ้าของเขาเข้าไปนั้นกลับลุกขึ้นมาสู้ต่อเหมือนกับว่าไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย



แจ็คนั้นทำได้แค่เพียงใช้ปืนยิงจากระยะไกล สร้างความเสียหายให้กับพวกโจรสลัดไม่ได้มากนัก แต่โชคดีที่ผู้เล่นส่วนมากที่อยู่บนเรือลำนี้มีระดับขุนนางหรือกำลังจะเปลี่ยนเป็นยศขุนนางแล้วทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี



บนเรือโดยสารนั้นเต็มไปด้วยแสงสีจากเวทมนตร์ของนักเวทและเสียงการต่อสู้จนดังระงม ผู้เล่นนั้นแม้จะมีระดับน้อยกว่าแต่ก็สามารถต้านทานเหล่าโจรสลัดที่บุกเข้ามาในเรือได้อย่างทัดเทียม



เจนนั้นแสดงลีลาการใช้ดาบได้อย่างเต็มที่เพราะมีพื้นที่กว้าง เธอฟาดดาบใส่โจรสลัดสองคนตรงหน้าเธอจนดาบโค้งของพวกเขาหักสะบั้นลงในดาบเดียว แล้วเธอก็ยกขาเตะก้านคอล้มพับไปทั้งคู่ ดูเหมือนเธอลืมไปว่าตอนนี้เธอนั้นแต่งตัวยังไม่เรียบร้อย ขาขาวเนียนนั้นต้องตาทั้งผู้เล่นและโจรสลัดหลายคนจนหยุดต่อสู้และมองน้ำลายย้อย ยิ่งตอนที่เจนกระโดดเตะจนเสื้อคลุมสะบัดเผยให้เห็นเอวขาวก็แทบทำให้หัวใจละลาย



เด็กสาวร่างบางที่ในตอนนี้เธอเปียกไปด้วยน้ำทะเลที่ซัดขึ้นมาจนโชกไปทั้งตัวยังไม่รู้ว่าสายตาของผู้ชายหลายคนกำลังจับจ้องมาที่เรือนร่างอันเซ็กซี่ของเธอ จนท้ายที่สุดผู้เล่นหญิงที่เป็นเพื่อนหรือแฟนสาวต้องมาลากตัวออกไป ส่วนพวกโจรสลัดนั้นก็ถูกจัดการไปอย่างง่ายดาย เป็นผลประโยชน์ให้แก่เหล่าผู้เล่นโดยที่เจนไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย



แต่แล้วสิ่งที่ทำให้โจรสลัดมีชัยทุกครั้งก็ปรากฏต่อหน้าของพวกเจนและผู้เล่นทุกคน เรือโจรสลัดสีดำที่แล่นเคียงเรือโดยสารนั้นได้เปิดช่องปืนใหญ่ข้างลำเรือออกมา เจนเห็นเป็นปืนใหญ่หลายสิบกระบอกกำลังชี้มาที่เรือที่พวกเธอกำลังยืนอยู่



ตูม!!!



เรือถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงจนสั่นสะเทือนไปทั้งลำ ลูกกระสุนสีดำปลิวว่อนไปหมดจนเจนแทบหาที่หลบไม่ทัน ในตอนนี้สภาพเรือโดยสารไม่ต่างไปจากซากเรือที่กำลังรอเวลาจมลงก้นทะเล เหล่าลูกเรือต่างกระโดดลงสู่ผืนทะเลเพื่อเอาตัวรอด บ้างก็ไปปลดเรือพายและหนีไปโดยไม่สนใจผู้โดยสารเลย แม้แต่น้อย แต่เหล่าผู้เล่นเองก็พอจะมองสภาพการณ์ออกแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต่างส่งข้อความด่วนให้แก่เพื่อนที่อยู่ในห้องพักถึงผลการต่อสู้แล้วรีบกระโดดลงทะเลตามพวกลูกเรือไปเพื่อออกจากพื้นที่การต่อสู้และล็อกเอาท์ออกจากเกม ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เหล่าผู้เล่นที่อยู่ในห้องพักก็คงกำลังออกจากเกมไปเช่นกัน



แต่เจนกลับทำเช่นนั้นไม่ได้



"เจน! รีบออกจากเกมเร็วเข้า พวกโจรสลัดยึดเรือลำนี้ได้แล้ว พวกเราสู้ไม่ได้หรอก" โจตะโกนบอกพลางปล่อยบอลสายฟ้าใส่โจรสลัดที่อยู่ใกล้ ๆ



"ไม่ได้! พวกคิทซึเนะยังอยู่ที่ห้อง ถ้าหากพวกเราไปตอนนี้ ทั้งสองคงไม่รอดแน่!" เจนตะโกนตอบพลางตวัดดาบใส่โจรสลัดที่เธอกำลังต่อสู้ด้วย แต่เขากลับหลบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เธอรู้สึกได้เลยถึงความแตกต่างของมอนสเตอร์ประเภทสัตว์และเอไอมนุษย์ที่สู้ได้ยากกว่ากันมาก



"บ้าฉิบ! เดี๋ยวฉันจะไปคุ้มกันสองคนนั้นที่ห้องเอง!" แจ็คตะโกนบอกแล้วถอนร่นกลับไป เจนตัดสินใจที่จะยืนหยัดสู้อยู่ที่นี่เพราะดาบคุซานางินั้นเป็นดาบยาว ในที่แคบ ๆ อย่างบนทางเดินจะทำให้เจนไม่สามารถใช้ดาบได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมองไม่เห็นทางออกไปจากเหตุการณ์ตรงนี้ได้เลย









ทันใดนั้นเองพวกโจรสลัดก็หยุดโจมตีเข้ามาและยืนล้อมเจนและโจอยู่รอบๆเท่านั้น ทำให้เธอมีโอกาสสังเกตสภาพรอบๆ และก็พบว่าตอนนี้บนดาดฟ้าเรือนั้นเหลือเพียงแค่พวกเธอเท่านั้น ไม่มีผู้เล่นหรือเอไออื่นเลยนอกจากโจรสลัดที่ยังคงล้อมพวกเธอเอาไว้ ไม่โจมตีเข้ามา



เจนรีบเปิดดูหน้าต่างสัตว์เลี้ยงดูก็รู้สึกโล่งใจเพราะมันแสดงว่าคิทซึเนะและฟีบียังคงปลอดภัย เธอคิดว่าแจ็คเองปลอดภัยก็เช่นเดียวกัน



"ทำไมพวกมันถึงไม่โจมตีเข้ามา...พวกมันกำลังรออะไรอยู่" เจนหันหลังชนกับเพื่อนหนุ่มและกระซิบถาม



"ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าพวกนี้จะฆ่าเราล่ะก็ คงทำไปแล้วล่ะ"



"นายหมายความว่ายังไงน่ะ พวกเรากำลังจะโดนจับเป็นเชลยงั้นหรือ" เด็กสาวถาม ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเธอไม่ยอมแพ้โดยที่ไม่ได้สู้แน่ เจนเตรียมพร้อมใช้ทักษะพลังสถิตร่างทุกเมื่อ



แต่แล้วเจนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากเรือโจรสลัด ชายคนหนึ่งโหนเชือกกระโดดข้ามมายังเรือโดยสารด้วยท่าทางช่ำชอง เมื่อเขาเดินเข้ามาหาพวกเจนทำให้เธอได้สังเกตตัวของเขาอย่างชัดเจน



บุรุษโจรสลัดผู้นี้สวมเสื้อคลุมกัปตันเรือสีแดงยาว ที่เอวผูกด้วยผ้าสีเหลืองดูโทรม ๆ โดยมีดาบเล่มหนึ่งเหน็บเอาไว้อยู่และอีกข้างเป็นปืนพกกระบอกเล็กแบบที่โจรสลัดพกกัน กางเกงขายาวอยู่ในรองเท้าบูทสีน้ำตาลที่เลอะคราบขี้เกลืออยู่แสดงให้เห็นว่าเขาอยู่บนเรือมาเป็นเวลานานมากเลยทีเดียว



"ไหน ลองมาดูกันหน่อยซิ พวกเราเจอเข้ากับอะไรกันล่ะเนี่ย" ดวงตาสีน้ำเงินมองสังเกตทั่วตัวของเจนอย่างรวดเร็ว เขาปัดผมสีน้ำตาลยาวไปด้านหลังแล้วค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหาพวกเจนด้วยท่าทางสบาย ๆ



"ขอบอกตามตรงนะ ฉันค่อนข้างประหลาดใจเมื่อยังมีคนที่ยังสู้อยู่ทั้ง ๆ ที่คนอื่นสละเรือกันไปหมดแล้ว ให้ตายสิ ขนาดกัปตันยังทิ้งเรือตัวเองไปเลยนะเนี่ย" เขาพูดเสียงสูง สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่เจนไม่ห่าง



"คุณเป็นใคร" เจนถามสั้น ๆ และกระชับเสื้อคลุมของเธอ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าร่างของเธอกำลังเปียกโชกจนเห็นรูปร่างที่เป็นผู้หญิงของเธอ ไม่ยากเลยที่จะมีคนดูออกว่าเธอเป็นผู้หญิง เจนทำได้แค่พยายามใช้ตัวของโจบังเธอเอาไว้ และสายตาของบุรุษโจรสลัดคนนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง



"ชายที่พวกนายกำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้คือ กัปตันคิดด์ แห่งเรือโจรสลัดแมรี่วิลเลี่ยม หัดให้ความเคารพหน่อย พรรคพวก...เฮ้ย! โจ นั่นนายงั้นหรือ" เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาพูดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเจอโจมาก่อน และเขาเองก็เคยพบเพื่อนคนนี้มากแล้วเช่นเดียวกัน



"ไอ้หนูส่งข่าว! ทำไมนายถึงไปอยู่กับพวกโจรสลัดได้เนี่ย!" โจเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้พบเพื่อนผู้สืบข่าวคนนี้มาตั้งแต่เกาะเริ่มต้นแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันอีกโดยเฉพาะในที่แห่งนี้



"หือ นี่คนรู้จักของแกหรือ ไอ้หนู" กัปตันคิดด์ถามหนูส่งข่าว



"ครับ กัปตันเคยจำที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้มั้ยที่ผมช่วยเมืองไทริสเอาไว้น่ะ โจนี่แหละที่เป็นคนนำทุกคนป้องกันเมืองเอาไว้" หนูส่งข่าวหันไปบอกกัปตันคิดด์ เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแล้วหันมาหาเด็กหนุ่ม



ในระหว่างที่พวกผู้ชายกำลังคุยกัน เจนก็กำลังตะลึงอยู่กับชื่อของโจรสลัดตรงหน้าที่เธอไม่คิดฝันว่าจะได้มาเจอโจรสลัด วิลเลี่ยม คิดด์ หรือกัปตันคิดผู้ที่มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับขุมทรัพย์ของเขาที่ซ่อนอยู่ เธอเคยทราบเรื่องราวของเขามาบ้างจากหนังสือหรือภาพยนตร์และรู้ว่าเขาเป็นโจรสลัดที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ดังนั้นเมื่อเขามาอยู่ในเกมเช่นนี้ เธอก็มั่นใจว่าเขาคงไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน



กัปตันคิดด์ [วิลเลี่ยม คิดด์]

ยศ ราชา ระดับ 50





เด็กสาวแทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นระดับของบุรุษโจรสลัดตรงหน้าถึงแม้จะพอจะคาดเดาจากแรงกดดันที่เธอรู้สึกได้เมื่อครู่ ยิ่งในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าพวกโจรสลัดต้องการอะไรจากพวกเธอ และด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ ไม่มีทางเลยที่พวกเจนจะสู้ได้ ต่อให้เธอใช้พลังสถิตร่างและโจใช้พลังเวทเต็มที่ก็ตาม



ทันใดนั้นกัปตันคิดด์เหลือบตามองไปทางเจนแล้วยิ้มที่มุมปาก



"ดูเหมือนว่าตอนนี้เพื่อนของนายจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่นะ ไอ้หนู" ชายหนุ่มพูด



เจนรู้สึกเสียววาบเมื่อเธอรู้ว่าชายคนนี้สามารถรู้ตัวว่าถูกใช้ทักษะตรวจสอบ แต่ถึงอย่างนั้นนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เจนกังวลมากที่สุด



"กัปตัน! ดูเหมือนยังมีคนอยู่ด้านในส่วนห้องพักด้วยครับ! แต่มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ยิงปืนกันเอาไว้ไม่ให้เราเข้าไปได้ จะเอายังไงดีครับ!" ลูกเรือโจรสลัดคนหนึ่งตะโกนบอก ใจของเด็กสาวเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว เธอรู้ทันทีว่าลูกเรือคนนั้นกำลังหมายถึงแจ็คและพวกคิทซึเนะที่ยังอยู่ในห้องพัก ซึ่งถ้าหากเกิดอะไรขึ้นพวกนั้นล่ะก็ เจนที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้เลย



คิดด์หันไปมองลูกเรือก่อนจะหันกลับมาเห็นสีหน้าตื่นตระหนกที่อยู่บนใบหน้าของเจนอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขาใช้มองเด็กสาวนั้นเหมือนกับกำลังมองลึกเข้าไปด้านในจิตใจของเธอและรู้ทุกสิ่งที่เธอกำลังคิด



กัปตันโจรสลัดแสยะยิ้มมองเด็กสาวแล้วหันไปพยักหน้าให้กับลูกเรือของเขา แต่นั่นก็เป็นการส่งสัญญาณให้กับเจนเช่นเดียวกัน



พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ร่างสีเหลืองพุ่งเข้าปะทะกับลูกเรือคนนั้นกระเด็นตกทะเลก่อนที่จะพุ่งใส่กัปตันโจรสลัด เจนชักดาบออกมาและฟาดใส่คิดด์ทันทีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ชักดาบของตนออกมากันเองไว้ได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้ความเร็วของเจนในร่างพลังสถิต



"ฉันไม่มีวันให้แกแตะต้องพวกเขาแน่!!" เด็กสาวตะโกนก้องแล้วเร่งพลังขึ้นมาอีกจนกัปตันคิดด์ต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ด้านโจเองที่เห็นเจนเปิดฉากโจมตีแล้วก็ระเบิดพลังสายฟ้าออกมาจนโจรสลัดหลายคนกระเด็นตกลงน้ำไปบ้างก็นอนนิ่งอยู่บนพื้นเพราะชาจากประแสไฟฟ้า แต่ไม่มีใครกลายเป็นแสงเนื่องจากระดับของโจนั้นยังต่ำเกินไป



กัปตันคิดแสยะยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่สูงส่งจากตัวของเด็กสาวและเด็กหนุ่มตรงหน้าของเขา นานมาแล้วที่เขารู้สึกได้ถึงคนที่มีพลังมากพอที่จะให้เขารู้สึกตื่นตัวขนาดนี้ได้ แต่เมื่อเขาคิดจะโต้กลับไปก็เหลือบไปเห็นดาบที่เจนกำลังถืออยู่ เขาเลิกตาขึ้นอย่างตกใจก่อนที่จะสะบัดดาบให้เจนกระเด็ดออกไป เมื่อเด็กสาวจะหวนเข้าโจมตีอีกครั้งก็ต้องแปลกใจเมื่อคู่ต่อสู้ตรงหน้ากลับเก็บอาวุธของตนลงในฝัก



“เอาล่ะ ฉันยอมแพ้แล้ว” บุรุษโจรสลัดพูดแล้วยกมือขึ้นสูงเหมือนกับยอมจำนน



"คิดจะทำอะไร" เจนถาม เธอยังคงชี้อาวุธไปทางคิดด์อย่างไม่ไว้วางใจ ตัวของเธอยังคงปล่อยพลังของพลังสถิตร่างอย่างต่อเนื่อง



กัปตันหนุ่มยิ้มและหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนที่จะตอบกลับไป



"วางใจเถอะ เมื่อกี้ฉันเป็นฝ่ายผิดเอง ต้องขอโทษด้วย" ชายหนุ่มกล่าวตอบอย่างใจจริง "เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ถ้าหากพวกเธอต้องการอะไร ทางกลุ่มโจรสลัดคิดด์จะทำให้...ถ้าหากทำได้"



เด็กสาวหันไปมองเพื่อนของเธอด้วยความงุนงง แต่โจเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองพยักหน้าให้กันแล้วจึงรีบวิ่งกลับไปหาพวกแจ็คเป็นอันดับแรก โดยที่พวกโจรสลัดต่างปล่อยให้พวกเธอผ่านไปโดยไม่ทำอะไร



หนูที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงเพราะตลอดหนึ่งเดือนเขาอยู่บนเรือโจรสลัด ไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนที่ทำให้กัปตันของเขาเอาจริงได้มาก่อน และก็ไม่เคยมีใครทำให้เขายอมรามือไปได้แบบนี้เช่นเดียวกัน



"เกิดอะไรขึ้นครับกัปตัน ทำไมถึงจู่ ๆ ก็ยอมพวกนั้นได้ล่ะครับ" หนูส่งข่าวถามอย่างสงสัย ลูกเรือหลายคนพูดคุยพึมพำสนับสนุนคำพูดของหนูส่งข่าว ถึงเขาไม่ได้อยากจะให้พวกโจต้องมาตายด้วยฝีมือของกัปตันเรือของเขาก็ตาม แต่ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งพลังมหาศาลของบุรุษผู้นี้ได้



"ดาบนั่น...ไม่ใช่ดาบธรรมดา ถ้าหากฉันลงมือล่ะก็มีหวังไอ้ตัวที่อยู่ในดาบนั่นได้ออกมาปกป้องผู้ทำสัญญาแน่ ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นชื่อของกัปตันคิดด์คงจะจบอยู่ในวันนี้อย่างแน่นอน" คิดด์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนหนูส่งข่าวตะลึงงันเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นกัปตันของเขากำลังรู้สึกกลัวเช่นนี้







เมื่อไปถึงห้องก็พบว่าทั้งสามยังคงปลอดภัยดี คิทซึเนะและฟีบีนั้นนั่งอยู่ในห้องด้วยท่าทางกังวล ส่วนแจ็คนั้นใช้ปืนเล็งออกมาที่ทางเดินไม่ให้ใครผ่านมาได้ พอเจนกลับเข้ามา ก็เกือบจะยิงไปโดยเด็กสาวเข้า ดีที่เธอยังไม่ได้ปลดพลังสถิตร่างออกทำให้เธอหลบกระสุนปืนของแจ็คได้อย่างฉิวเฉียด



"เฮ้ย! ยัยเจน! ไอ้โจ! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ข้างนอกนั่นมันเกิดอะไรขึ้นน่ะ" เด็กหนุ่มตะโกนถาม แต่เจนไม่สนใจเขาในตอนนี้ เธอพุ่งเข้ามาหาคิทซึเนะและฟีบีก่อนจะดึงทั้งสองเข้ามาสวมกอดด้วยความเป็นห่วง



"หนูไม่เป็นอะไร ฟีบีก็สบายดีเหมือนกันค่ะ" สาวน้อยจิ้งจอกบอกและสวมกอดเจนแน่น เธอเองก็รู้สึกกลัวไม่น้อย ยิ่งเมื่อเธอสัมผัสได้ถึงพลังของกัปตันคิดด์ก็แทบจะพุ่งออกไปหา หากแต่เธอยังมีหน้าที่ต้องดูแลน้องสาวคนใหม่ของเธออยู่ มังกรน้อยเองก็ส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขเมื่อเห็นเจนมาหาตน



เจนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอปลดพลังสถิตร่างออกแล้วยื่นดาบเข้าหาฟีบีและเก็บมังกรน้อยเข้าไปในดาบ "คิทซึเนะก็เข้ามาในนี้ด้วยนะ จะได้ปลอดภัย"



"ไม่เอาหรอก! คิทซึเนะก็จะสู้ด้วย หนูไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพี่เจนเป็นอันขาด" จิ้งจอกน้อยพูดเสียงดัง เธอแสดงสีหน้าเอาจริงเอาจังจนเจนไม่อาจปฏิเสธได้



"แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นน่ะเจน เมื่อกี้มีเรื่องกันอยู่ดี ๆ ทำไมกัปตันนั่นถึงได้ยอมง่าย ๆ แบบนั้น" โจถาม







"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันติดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับดาบคุซานางิแน่ บางทีอาจจะมีพลังอะไรที่ฉันเองก็ไม่รู้จักอยู่ก็ได้" เจนตอบพลางสวมเสื้อผ้าชุดเดิมแล้วเก็บข้าวของเพราะดูท่าทางเธอคงจะโดยสารเรือลำนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว





"ก็เป็นอย่างที่พูดนั่นแหละ ดูเหมือนกัปตันจะกลัวไอ้ตัวที่อยู่ในดาบเล่มนั้นเอามาก ๆ เลยล่ะ" เสียงที่ไม่ได้เป็นของพวกเจนดังขึ้นที่ประตูห้องพัก พอหันไปก็พบว่าเป็นหนูส่งข่าวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น



คิทซึเนะส่งเสียงขู่พร้อมทั้งร่ายเพลิงจิ้งจอกขึ้นในมือ เตรียมพร้อมจู่โจมผู้มาใหม่ทุกเมื่อ แต่ก่อนที่คิทซึเนะจะได้ลงมือทำอะไร ก็เป็นโจที่พุ่งเข้าจับคอเสื้อของหนูส่งข่าวและผลักตัวของเขาชนเข้าประชิดกำแพง



"นี่แกคิดจะทำอะไรวะ พาโจรสลัดเข้าปล้นเรือโดยสารเนี่ยนะ" โจตะคอกใส่ด้วยความโมโห เด็กหนุ่มร่างเล็กพยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือของเขาแต่ก็สู้แรงของโจไม่ได้





"ใจเย็นก่อนสิวะ! ใครจะไปรู้ล่ะว่าเรือลำนี้จะมีพวกนายเดินทางมาด้วย แล้วนายคิดว่าหากฉันรู้จะทำอะไรได้งั้นหรือไง" หนูส่งข่าวพยายามอธิบาย



"แล้วทำไมนายถึงไม่ห้ามหัวหน้าของนายล่ะ อย่างน้อยก็อย่าปล้นพวกผู้เล่นก็ยังดี" แจ็คพูด คนฟังได้ยินหันมาถลึงตาใส่และตอบด้วยเสียงดัง



"ขอโทษทีนะ แจ็ค เป็นโจรสลัดจะให้เลือกปล้นคนนั้น ไม่ปล้นคนนี้ก็มีหวังอดตายกันพอดี แถมกัปตันเรือที่นายกำลังพูดถึงคือกัปตัน คิดด์ เชียวนะ แถมเขามียศราชา ระดับ50 จะให้ฉันที่เป็นแค่โจรล้วงกระเป๋าธรรมดาแถมยังไม่ได้ทำภารกิจเปลี่ยนยศด้วยซ้ำ นายจะให้ฉันไปบอกเค้าว่าอย่าปล้นงั้นหรือ ไม่บอกให้กัปตันคิดเลิกเป็นโจรสลัดไปเลยล่ะ"



แจ็คถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินว่าผู้ที่มานั้นเป็นใคร เขาหันไปหาเจนและโจเพื่อยืนยันคำกล่าวของหนูส่งข่าวซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ายืนยัน ชายหนุ่มปล่อยร่างของลูกเรือโจรสลัดลงแล้วกลับเข้าไปเก็บสัมภาระของตน



"แล้วนายมาที่นี่ต้องการอะไรกันแน่" แจ็คถาม



"ก็อย่างที่กัปตันคิดด์บอกพวกนายนั่นแหละ ตอนี้เรือลำนี้พังจนไปไหนต่อไม่ได้แล้ว กัปตันเลยเชิญให้พวกนายขึ้นไปบนเรือแมรี่วิลเลี่ยม และจะไปส่งให้ถึงจุดหมายที่พวกนายต้องการเลย...ว่าแต่เธอให้เด็กคนนั้นดับไฟก่อนได้มั้ย เห็นแล้วมันเสียวนะ"



พวกเจนหันมามองหน้ากันเองก่อนที่หันหันกลับไปหาหนูส่งข่าว



"ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกกัปตันของนายเลยว่า พวกเราต้องการให้ไปส่งที่ทวีปไลเทเชีย.... แล้วก็บอกไปด้วยว่าพวกเราต้องการค่าทำขวัญด้วย ขอของให้คุ้มกับที่ทำให้การเดินทางของพวกเราต้องล้าช้าแบบนี้หน่อยล่ะ" เจนยื่นคำขาดแล้วหันหลังให้กับหนูส่งข่าว เขามองไปมาระหว่างเด็กสาวที่เขาเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มที่กล้าเอาเปรียบกัปตันคิดด์ได้อย่างไม่มีใครกล้าทำ เพื่อนทั้งสองคนของเขาที่กำลังตกใจไม่แพ้กัน ส่วนคิทซึเนะนั้นได้ดับเพลิงจิ้งจอกของเธอลงแล้วแต่สายตาก็ยังคงจ้องไปยังเด็กหนุ่มอย่างไม่วางใจ



ตอนนี้หนูส่งข่าวเดินถอยหลังกลับไปส่งข้อความตามที่ตนได้รับมาถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจนักว่าจะไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง แต่เจน เพื่อนใหม่ที่เขารู้จักกำชับให้บอกมาตามนั้นเขาก็คงปฏิเสธอะไรไม่ได้



"นี่เธอประสาทไปแล้วหรือยังไง! พูดไปแบบนั้นมีหวังได้หัวกุดกันหมด!" แจ็คร้องตะโกน ไม่มีทางเลยที่ทั้งสามจะรับมือกับเอไอระดับราชาได้ แค่คิดแจ็คก็รู้แล้วว่าตัวเองจะมีสภาพเป็นยังไง



"ไม่หรอก ฉันมั่นใจว่าพวกโจรสลัดจะไม่ทำอะไรพวกเราแน่ เจ้าหนูยังบอกเลยว่ากัปตันกลัวอะไรบางอย่างที่อยู่ในดาบคุซานางิ หมอนั่นคงไม่เสี่ยงทำร้ายพวกเราหรอก" เจนพูดแล้วเหลือบมองไปยังดาบของเธอที่นิ่งสงบอยู่ในฝัก เธอมั่นใจว่าต้องเป็นบางอย่างที่อยู่ในดาบเล่มนั้นมาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ ฟีบี มังกรน้อยของเธอที่ถูกเก็บเอาไว้ในนั้นอย่างแน่นอน



"แล้วเธอมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ตัวที่กัปตันคิดด์กลัวจะปกป้องพวกเราหะ" คราวนี้โจถามขึ้นบ้าง เขาเองก็ตกใจเช่นเดียวกันที่เธอกล้าส่งข้อความที่แสดงความไม่พอใจให้กับกัปตันคิดด์อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น แต่ว่าเธอเองก็เคยฟาดดาบใส่คู่กรณีมาก่อนหน้านั้นแล้ว ครั้งนี้คงไม่น่ามีปัญหานักถ้าเทียบกันแล้ว



เจนทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งที่แล้วยกนิ้วสองนิ้วขึ้นมาที่แสดงความหมายว่า 'นิดนึง' ให้กับเพื่อนทั้งสอง



"โอ้ตายละ ทางหนึ่งก็เจอเอไอระดับราชาเจี๋ยนทิ้ง อีกทางก็เจอสิ่งที่เอไอระดับราชากลัวเด็ดหัว ไม่ว่าทางไหนก็มีแต่ตายกับตาย รู้งี้ฉันน่าจะแยกไปนั่งเรือหรู ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่น่าเลยโจเอ๋ย" ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตัวเอง ทางแจ็คเองก็มีสถานะไม่ต่างกันนัก



เมื่อเจนเห็นเพื่อนทั้งสองคนกำลังวิญญาณล่องลอย เธอจึงดึงทั้งคู่เข้ามากอดไหล่และตีหลังเบา ๆ เหมือนกับกลุ่มผู้ชายคุยกัน แต่ว่าความจริงนั้นคนหัวหอกจะเป็นหญิงสาวแสนสวยก็ตาม



"เอาน่า ไม่มีเรื่องพรรณนั้นเกิดขึ้นหรอกน่า เชื่อมือฉันคนนี้ซะอย่าง เคยที่ไหนที่ฉันทำให้พวกนายต้องผิดหวังน่ะ หืม?"



จบตอนที่ 17 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด
------------------------------

santisook01
11th January 2014, 19:54
ไรเตอร์จะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะวาดเจนมาแปะ (ภาพขาวดำนะครับ)

Tohan-kun
12th January 2014, 13:09
ตอนที่ 18 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด[2]



ที่ห้องกัปตันเรือโจรสลัดแมรี่วิลเลี่ยม



กัปตันคิดด์กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำของตน บนโต๊ะมีแผนที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบเต็มไปหมด แต่น่าแปลกคือไม่มีขวดเหล้าอยู่ในห้องนี้เลยแม้แต่ขวดเดียวซึ่งปกติแล้วโจรสลัดจะดื่มเหล้าจัดมากโดยเฉพาะกัปตันเรือ



กัปตันคิดด์ค่อย ๆ หยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาม้วนเป็นแท่งแล้วโยนใส่ลังไม้ใกล้ ๆ จนหมด และยกลังนั้นเขาไปซ่อนอยู่หลังม่านสีแดงที่ปกปิดส่วนที่เหลือของห้องเอาไว้พอดีกับที่หนูส่งข่าวเดินเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตูซึ่งกัปตันคิดด์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร



เด็กหนุ่มมองหน้าของกัปตันเรือด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าจะต้องการเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยปากออกมา



"ว่าไง ไอ้หนู แขกของพวกเราว่ายังไงบ้าง" ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าหนูส่งข่าวยังยืนนิ่งอยู่



"กำลังเก็บของมาที่เรือของเราครับ ...เอ่อ" หนูส่งข่าวลังเลที่จะพูด แต่ถ้าหากไม่บอกล่ะก็ เขาอาจจะโดนคนที่ฝากข้อความเล่นงานเอาก็ได้ ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ "เจน.. คนที่ประดาบกับท่านเมื้อกี้ฝากมาบอกท่านว่าต้องการ เอ่อ..ค่าเสียหายที่มาโจมตีเรือลำนั้น....ครับ"



แทนที่จะแสดงอารมณ์โมโหออกมา กัปตันคิดด์เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบหนูส่งข่าวด้วยน้ำเสียงปกติ



"โอเค เดี๋ยวนายออกไปรับพวกนั้นไปส่งห้องเก็บของที่ท้องเรือ จากนั้นก็พาขึ้นมาที่ห้องนี้ได้เลย"



"เอ๋!? กัปตันไม่โมโหหรือครับ?" หนูส่งข่าวถามด้วยความแปลกใจ



"เห็นหน้าของฉันกำลังแยกเขี้ยวอยู่หรือไง" กัปตันเรือตอบ



"แล้วจะยืนบื้ออยู่อีกนานมั้ย ไอ้คุณหนู หรือว่าจะลืมที่ฉันคนนี้สั่งไปแล้ว"



กัปตันคิดบอกพร้อมกับลุกขึ้นมาจากโต๊ะ หนูส่งข่าวเห็นแล้วจึงรีบตอบรับคำและวิ่งหนีออกไปจากห้องทันที ถึงเขาจะเป็นลูกเรือของเรือโจรสลัดลำนี้แล้วก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของกัปตันคิดด์อย่างเด็ดขาด ไม่จะแม้แต่คิดด้วยซ้ำ







หลังจากที่พวกเจนเก็บสัมภาระของตนเสร็จแล้วก็พากันออกมาที่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ในตอนนี้เจนอยู่ในชุดสีแดงครบเครื่องจึงทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมองออกว่าเธอเป็นผู้หญิงเพราะตรงนี้มีแต่เอไอโจรสลัด ถึงอย่างนั้นก็ตามคนที่เจนจะต้องกังวลก็มีเพียงแค่หนูส่งข่าวคนเดียวเท่านั้น



พวกลูกเรือโจรสลัดในตอนนี้กำลังขนสัมภาระจากใต้ท้องเรือโดยสารที่เจนอยู่กลับไปยังเรือโจรสลัด ไม่ว่าจะเป็นเสบียงอาหารหรือของมีค่าที่ลูกเรือทิ้งเอาไว้



ถึงเจนจะรู้สึกไม่ชอบใจนักที่คนพวกนี้จะปล้นข้าวของต่อหน้าต่อตา แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยังต้องอาศัยเรือของคนเหล่านี้ไปถึงจุดหมายอยู่ และกัปตันคิดด์ที่มีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอจะสู้ด้วยได้ในตอนนี้



รออยู่ไม่นานหนูส่งข่าวก็มารับพวกเจนไปยังที่พักที่จัดให้พวกเธอ



"มีที่ว่างเป็นห้องเก็บของใต้ท้องเรือ นั่นดีที่สุดแล้วในตอนนี้ หวังว่าพวกนายคงจะพออยู่กันได้นะ" หนูส่งข่าวบอกขณะก้าวข้ามลงมาบนเรือโจรสลัด







ทั้งสามคนไม่ตอบเพราะถึงทักท้วงไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ระหว่างทางเดินลงไปใต้ท้องเรือ เจนมองเห็นสถานที่ ๆ พวกลูกเรือโจรสลัดนอนกัน ซึ่งเป็นเพียงแค่เปลผ้าเท่านั้น รอบ ๆ ก็เป็นทั้งที่เก็บเสบียงและช่องปืนใหญ่ซึ่งส่งกลิ่นอับออกมาจนเธอแทบทนไม่ได้



"ว่าแต่ตกลงนายขึ้นมาอยู่บนเรือลำนี้ได้ยังไงกัน ตอนอยู่บนเกาะไทริสนายก็ไม่ได้ขึ้นมาบนเรือกับพวกเรานี่นา เห็นว่านายจะไปทำภารกิจพิเศษอะไรก็ไม่รู้...ว่าแต่มันมีด้วยหรือ ภารกิจพิเศษบนเกาะเริ่มต้นเนี่ย" โจถามตอนที่เขากำลังเดินตามหนูส่งข่าว เด็กหนุ่มหันมามองก่อนที่จะตอบคำ







"ความจริงมันก็ไม่ใช่ภารกิจของระบบอะไรหรอก ฉันแค่กำหนดขึ้นมาเองไม่ได้เกี่ยวกับเกม ประมาณว่าสิ่งที่ฉันต้องทำน่ะ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นพวกนายคงต้องจ่ายให้ฉันก่อนนะถึงจะได้รู้" หนูส่งข่าวพูดและใช้นิ้วถูกัน โจที่ตั้งใจจะถามต่อต้องเงียบปากลงโดยอัตโนมัติ



เมื่อมาถึงที่จุดหมายก็พบว่าห้องที่จะกลายเป็นห้องพักของพวกเจนนั้นดูดีมากเมื่อเทียบกับพวกลูกเรือคนอื่น ๆ มีเตียงยาววางอยู่ถึงห้าตัว ถึงจะเป็นแค่เตียงไม้และมีผ้าปูรองเท่านั้นก็ตามแต่ก็ถือว่าดูสบายกว่านอนพื้น



"วางสัมภาระเอาไว้ที่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครขโมย" หนูส่งข่าวพูด "กัปตันอยากจะเจอพวกนายหน่อยนะ ฉันรออยู่ข้างนอกนะ"



พูดจบเจ้าตัวก็ปิดประตูห้องลง โจกับแจ็คนั้นจับจองเตียงสองชั้นที่อยู่ตรงริมห้อง ส่วนเจนก็วางสัมภาระของเธอเอาไว้ที่เตียงใกล้ ๆ



"ทำไมถึงกัปตันคิดด์อยากจะเจอพวกเราด้วย ถ้าหากเกิดกว่าเป็นกับดักขึ้นมาจะทำยังไงดี" แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกและเดินไปเดินมาด้วยความกังวล เจนรีบคว้าตัวเพื่อนของตนให้หยุดเดินแล้วดันให้เขานั่งลงบนเตียง



"ไม่หรอกน่า ถ้าหากหมอนั่นจะทำอย่างนั้นจริงก็คงทำไปนานแล้ว นายเลิกกังวลซักทีเถอะ ถ้าหากนายไม่อยากไปล่ะก็ ฉันไปคนเดียวก็ได้"



"โชคดีนะเจน เดี๋ยวฉันจะอยู่กับแจ็คเป็นเพื่อนเอง" โจพูดขึ้นมาอย่างทันท่วงที เด็กสาวหันมาจ้องเขม็งประมาณว่าจะคิดบัญชีทีหลังและเดินออกจากห้องไป



เจนพบกับหนูส่งข่าวอยู่ด้านนอกห้อง เธอพยักหน้าให้เด็กหนุ่มแล้วทั้งคู่ก็ออกเดินขึ้นไปยังบนดาดฟ้าเรือโดยมีคิทซึเนะยังคงตามเจนไม่ห่าง



"ฉันได้ยินว่านายบอกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำภารกิจเปลี่ยนยศ หมายความว่ายังไงงั้นหรือ" เจนถามขึ้น หนูส่งข่าวหันหลังกลับมามองก่อนจะเดินขึ้นบันไดมายังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง



"ก็หลังจากที่เก็บเลเวลไปได้จนครบหนึ่งร้อยแล้วก็จะสามารถเปลี่ยนยศได้แต่ต้องไปขอภารกิจที่อาคารระบบไง”

“หมายความว่านายมีเลเวลเต็มหนึ่งร้อยแล้วงั้นหรือ แต่นายออกมาจากเกาะเริ่มต้นทีหลังไม่ใช่หรือไง” เจนถามด้วยความสงสัย



“ฉันเองก็นั่งเรือออกมาจากเกาะเริ่มต้นต่อจากพวกเธอนั่นแหละ แต่เรือของฉันโดนเรือโจรสลัดปล้นเข้า ตอนแรกฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่พอมาเจอกัปตันคิดด์ ฉันก็เลยมีความคิดอยากจะติดตามเขาไปด้วยก็เลยขอเป็นลูกเรือ อาจจะไม่ตลอดไปแต่ก็น่าจะคุ้มที่จะเสียเวลาอยู่กับเขา แล้วก็ดูสิว่าตอนนี้ฉันเป็นยังไง แล้วเธอจะตกใจว่าในท้องทะเลมีมอนสเตอร์ระดับสูง ๆ อยู่มากแค่ไหน" หนูส่งข่าวเล่า



"แล้วไงต่อ นายขอเป็นลูกเรือ แล้วเขาก็รับนายเลยงั้นหรือ มันจะง่ายเกินไปหน่อยหรือเปล่า"



"ก็ไม่หรอก เขาบอกให้ฉันหาทางพิสูจน์ว่าตัวเองมีค่าพอที่จะเป็นลูกเรือของเขา ฉันก็เลยเอาของที่ล้วงกระเป๋าพวกผู้เล่นคนอื่น ๆ บนเรือที่ฉันอยู่ออกมาให้กัปตันดู" เด็กหนุ่มพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เจนตอนนี้กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



"นี่! นายล้วงกระเป๋าผู้เล่นคนอื่นเนี่ยนะ นายทำได้ยังไงกัน จะล้วงกระเป๋าได้ต้องเป็นอาชีพที่เกี่ยวกับโจรไม่ใช่หรือ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ออกจากเกาะเริ่มต้นเลยแต่มีอาชีพแล้วเนี่ยนะ ฉันเคยฟังมาจากโจว่านายเป็นพวกนักข่าวรวบรวมข่าวสารไม่ใช่หรอ" เจนถาม



"แล้วเธอจะตกใจว่าพวกโจรน่ะแลกเปลี่ยนข่าวสารได้ไวกว่าพวกสายสืบที่ขายข่าวสารอย่างกิลด์ปีกพิราบซะอีก เพราะโจรไม่เกี่ยงว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอ ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนข่าวสารกันทั้งนั้นด้วยราคาที่เหมาะสม ต่างจากกิลด์นั้นที่ได้ข่าวมาจากผู้เล่นของกิลด์เท่านั้นและทุกคนก็มีอาชีพเป็นพวกนักสืบ นายพรานหรือนักฆ่าเท่านั้น ไม่มีที่สำหรับพวกอาชีพโจรอย่างฉัน อ้อ ส่วนเรืองอาชีพที่ฉันมาได้ยังไง ถ้าหากนายอยากจะรู้ก็คงต้องจ่ายมาก่อนนะ" เจนไม่ถามต่อ เธอได้เรียนรู้แล้วว่าเพื่อนใหม่คนนี้มีนิสัยที่เหมาะจะเป็นพ่อค้ามากกว่าโจรซะอีก



"ถ้านายบอกว่ากิลด์ปีกพิราบนั่นเป็นกิลด์ที่ให้บริการข่าวสารในเกมจริง แล้วทำไมกิลด์นั้นถึงไม่ซื้อข่าวสารจากพวกโจรล่ะ" เด็กสาวถามก่อนที่พวกเธอจะเข้าไปในห้องกัปตันพอดี



หนูส่งข่าวหันมามองก่อนที่จะหันพิงราวบันไดที่ขึ้นไปสู่คันบังคับหางเสือเรือแล้วพูดขึ้น



"เรื่องมันก็เกิดมานานแล้วนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรอก แต่ในกระดานข่าวสารของพวกผู้เล่นโจรที่ไม่ได้อยู่ในเว็บไซด์เดียวกันกับของเกมเล่าเรื่องนี้เอาไว้อย่างระเอียดเลยล่ะ"



จากนั้นหนูส่งข่าวก็เล่าเรื่องราวของกิลด์ปีกพิราบที่ขายข้อมูลในราคาที่แพงมาก และยังไม่มีความเป็นกลางในฐานะสื่ออีกด้วย โดยรับเงินในการปกปิดข่าวสารที่ควรจะเปิดเผย อย่างเช่นข้อมูลของกิลด์พิฆาตราชาเป็นต้น ดังนั้นกิลด์ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใช้บริการข่าวสารของกิลด์ปีกพิราบนี้ แต่ไปดูข่าวที่อยู่บนกระดานข่าวสารของเว็บไซด์เกมถึงแม้บางครั้งจะมีข่าวที่ไม่ใช่เรืองจริงบ้าง หรือบางครั้งก็ไม่มีข่าวสารครบถ้วนแต่ก็เป็นข่าวสารที่ผู้เล่นเอามาแบ่งปันกันทำให้พอไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง ส่วนกิลด์ใหญ่ ๆ จะจัดตั้งหน่วยสืบข่าวของกิลด์ตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะแต่ก็ทำได้เพียงไม่กี่กิลด์เท่านั้นเพราะสิ้นเปลืองงบประมาณมาก



เขาเล่าต่ออีกว่าครั้งหนึ่งกิลด์ปีกพิราบเคยขอซื้อข่าวสารจำนวนมากจากกลุ่มโจรใต้ดินซึ่งเป็นเพียงโจรธรรมดากลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่กิลด์ปีกพิราบกลับไม่ยอมจ่ายค่าข่าวสาร ครั้นพอกลุ่มโจรกระจายข่าวสารเรื่องนี้ไป กิลด์ปีกพิราบก็โต้กลับมาว่ากลุ่มโจรใส่ร้ายกิลด์ของตน ประกาศว่าข่าวสารทุกอย่างนั้นทางกิลด์เป็นคนหามาเองและกระจายข่าวสารต่าง ๆ ของเหล่าโจรเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นที่กบดาน ยศ ระดับ ทักษะจนหมดเปลือก มิหน้ำซ้ำยังตั้งค่าหัวพวกโจรเอาไว้สูงลิบจนพวกเขาหนีออกจากเมืองแทบไม่ทัน



"พวกโจรทำใจเอาไว้แล้วล่ะว่าจะต้องมีเรื่องแอบอ้างวาเป็นคนหามาเอง แต่พวกโจรไม่พอใจเรื่องค่าหัวและเรื่องที่โดนเบี้ยวเงินนี่แหละ ทำให้โจรทุกคนในโลก ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้ไม่ถูกกับกิลด์ปีกพิราบซักเท่าไหร่"



"แล้วกลุ่มโจรพวกนั้นล่ะ พวกนั้นเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้วงั้นหรือ" เจนถามเมื่อหนูส่งข่าวหันหลังจะไปเปิดประตูห้องกัปตัน



เด็กหนุ่มใช้มือจับที่กลอนประตู เขาหันหลังมาตอบก่อนจะเปิดประตูเข้าไป "กลุ่มโจรพวกนั้นมีทั้งเอไอและผู้เล่น หลังจากเกิดเรื่องขึ้น พวกเขาแยกย้ายกันไปจนไม่มีใครได้ข่าวอีก แต่มีอยู่สองคนที่ฉันพอรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน...คนแรกเป็นผู้เล่น ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าของกิลด์อันดับหนึ่งของเกม ส่วนอีกคนเป็นเอไอ ว่ากันว่าเป็นโจรสลัดชื่อดังอยู่ในท้องทะเล บางทีนายอาจจะเคยเจอกับเขาแล้วก็ได้นะ"







ภายในห้องกัปตันเป็นเหมือนกับห้องที่เจนเคยเห็นในภาพยนตร์ เว้นแต่ที่ด้านหนึ่งของห้องมีม่านสีแดงปิดเอาไว้ซึ่งเจนคิดว่าคงเป็นห้องนอนของกัปตันคิดด์อย่างแน่นอน ส่วนตัวกัปตันนั้นกำลังนั่งยกเท้าวางเอาไว้บนโต๊ะขณะที่กำลังฮัมเพลงอย่างสบายใจ



"ยินดีต้อนรับสู่เรือแมรี่วิลเลี่ยม ไอ้หนู ฉันอยากจะคุยกับแขกของเราเป็นการส่วนตัว ออกไปรอข้างนอกก่อน" คิดด์พูดกับหนูส่งข่าว เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจนยืนมองหน้ากัปตันโจรสลัด ด้านหลังของเธอมีคิทซึเนะที่ใช้ดวงตาสีเหลืองจ้องอยู่ไม่วางตา



"หืม จิ้งจอกงั้นหรือ.. ถึงจะไม่ใช่จิ้งจอกธรรมดาแต่ก็เหมาะกับสาวน้อยแบบเธอดีนะ" เจนเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินคิดด์เรียกเธอว่าเป็นผู้หญิง เจนคิดว่าเขาคงรู้ได้เพราะเธอยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยก็ตาม และถึงเขาจะไม่ได้เป็นผู้เล่นจึงไม่มีผลอะไรมากนักหากเขารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง



"ไม่ต้องทำหน้าตาเครียดขนาดนั้นหรอก" คิดด์พูด เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้



"นายรู้ได้ยังไง" เด็กสาวถามเสียงห้วน



"ไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันไม่คิดจะไปบอกคนอื่นหรอก อีกอย่าง ตอนนี้เธอแต่งตัวได้ดีอยู่แล้ว คนทั่วไปถ้าไม่คอยจับผิดก็ดูไม่ออกหรอกว่าเธอเป็นผู้หญิง ส่วนที่ถามว่าฉันรู้ได้ยังไงนั้น ตัวเธอเองน่าจะรู้ตัวดีนะว่าเล่นแต่งตัวอย่างนั้นออกไปสู้ ขยับนิดขยับหน่อยฉันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิง แปลกที่ไอ้หนูนั่นยังไม่รู้" กัปตันคิดด์กล่าว ถึงอย่างนั้นเจนก็ยังไม่ไว้ใจชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ดี



เจนนั่งลงบนเก้าอี้ที่คิดด์ลากมาให้ โดยเขาไม่ลืมที่ลากมาสองตัวเผื่อคิทซึเนะอีกด้วยหลังจากที่แน่ใจว่าทั้งคู่นั่งสบายแล้ว กัปตันคิดด์จึงนั่งลงบนเก้าอี้ของตนแล้วพูดต่อ



"ฉันอยากจะคุยกับเธอเรื่องดาบที่เธอเป็นเจ้าของอยู่ เธอรู้ใช่มั้ยว่าดาบเล่มนั้นมันไม่ใช่ดาบธรรมดา ไม่ใช่ดาบที่นักผจญภัยอย่างพวกเธอควรจะถือครอง" กัปตันคิดด์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดต่างจากเดิมที่ฟังดูเหลาะแหละ ไม่เอาจริงเอาจัง



"พวกนักผจญภัยมีความสามารถที่จะตรวจสอบดูรายระเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้ เธอคงจะรู้สินะว่าดาบเล่มนั้นมีพลังอะไรและผนึกตัวอะไรเอาไว้ขางใน" ฟังที่บุรุษตรงหน้าพูดเจนจึงทราบได้ทันทีว่าพวกเอไอนั้นไม่สามารถตรวจสอบสิ่งของหรือมีทักษะตรวจสอบมอนสเตอร์อย่างที่เหล่าผู้เล่นที่เขาเรียกว่านักผจญภัย



เมื่อเจนตรวจสอบดาบของเธอดูอีกครั้งก็พบทักษะหนึ่งที่เจนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่นักในตอนแรกเพราะเธอยังใช้ไม่ได้ แต่ในตอนนี้เธอเข้าใจดีเลยว่านี่คือทักษะที่เอาไว้อัญเชิญสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในดาบออกมา 'ยามาตะ โนะ โอโรจิ'



"อย่าไปฟังที่เจ้าคนตัวเหม็นคนนี้พูดนะคะพี่เจน ท่านบอกบอกเสมอว่าพลังขึ้นอยู่กับคน จะเกิดเรื่องดีหรือร้าย สิ่งที่ผิดไม่ใช่พลัง แต่เป็นคนที่จะควบคุมมันได้หรือเปล่าต่างหาก" คิทซึเนะพูดเสียงดังจนเจนและกัปตันคิดด์ต้องหันมามองตาม



"หึ...ดูท่ามุมมองของฉันกับยัยหนูจะแตกต่างกันนะ แล้วตกลงเธอรู้มั้ยว่าดาบเล่มนั้นผนึกตัวอะไรเอาไว้" คิดด์ถามอีกครั้ง เจนไม่เห็นว่าเหตุใดจะต้องปกปิดจึงตอบไปอย่างง่ายดาย



"นี่คือดาบคุซานางิ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าดาบเล่มนี้ผนึกตัวอะไรไว้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเรียกยามาตะ โนะ โอโรจิ ออกมาได้"



ไม่มีเสียงตอบจากบุรุษโจรสลัด เขามองนิ่งไปที่เด็กสาวไม่ละสายตาเหมือนกับว่าเจนพูดบางอย่างที่ผิดพลาดออกมา



"ยามาตะ โนะ โอโรจิ...พูดจริงงั้นหรือ"



"จริงสิ ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ ฉันพอรู้มาบ้างว่ามันคือตัวอะไร แต่ไม่รู้ว่าในเกม...ในโลกแห่งนี้มันทำอะไรได้บ้าง" เจนเกือบหลุดปากออกไป เธอนึกถึงคำพูดของหมิงเต๋อขึ้นมาได้ เกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ สำหรับเอไอทุกคนมันคือโลกของพวกเขาจริง ๆ ไม่ใช่แค่เกมสำหรับพวกผู้เล่นอย่างเจนและพวกโจ ดังนั้นเธอจึงให้ความเคารพว่าที่นี่เป็นโลกจริง ๆ ไม่ใช่เกมเช่นเดียวกัน



"ก็พอรู้มาบ้าง ฉันไม่เคยเห็นตัวจริงหรอกนะ เคยฟังแค่ตำนานตอนที่ฉันไปเทียบท่าที่ทวีปอัลเทเชียเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่นักผจญภัยยังไม่มาที่นี่เลยด้วยซ้ำ" ประโยคหลังที่คิดด์พูดทำให้เจนสงสัยจนเขาสังเกตได้จากสีหน้าของเธอจึงพูดเสริม



"เธอไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ จริงสิ...พวกนักผจญภัยอย่างเธอส่วนใหญ่เพิ่งปรากฏตัวบนทวีปทั้งสามเมื่อปีที่แล้วเองแต่ตอนนี้มีอิทธิพลยิ่งกว่าคนที่อยู่มาก่อนอย่างพวกเจ้าเมืองซะอีก"



"เรื่องนั้นฉันก็รู้มาบ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าดาบของฉันมีอยู่มาก่อนหน้าที่พวกคนอย่างฉันเข้ามาที่โลกแห่งนี้งั้นหรือ.... แล้วทำไมฉันถึงได้ดาบเล่มนี้มาจากอาจารย์หมิงได้ล่ะ" เด็กสาวพูดกับตัวเอง เมื่อเธอรู้สึกถึงสายตาของกัปตันคิดด์กำลังมองเธอด้วยความสงสัยจึงจ้องกลับไปเป็นนัยน์ให้เล่าต่อ



"พูดถึงยามาตะ โนะ โอโรจิ ฉันเคยได้ยินมาว่าเป็นอสรพิษแปดหัวขนาดยักษ์ มีลำตัวยาวจนสามารถรัดภูเขาขนาดใหญ่ได้แปดรอบ แต่ละหัวเป็นตัวแทนของพลังแต่ละด้านของธรรมชาติเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ความมืด แสงสว่าง สายฟ้าและพิษที่แสดงถึงความเป็นอสรพิษของตัวมันเอง ว่ากันว่าตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันสร้างหายนะให้แก่โลกไว้มากมายจนเหล่าเทพต้องผนึกมันเอาไว้ลงในดาบซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นดาบที่อยู่กับเธอในตอนนี้ไง" กัปตันคิดด์กล่าว เขาเว้นช่วงแล้วเสริมขึ้นมาอีก



"ฉันขอแนะนำให้เธอเอาดาบเล่มนั้นไปคืนใครก็ตามที่ให้เธอมาหรือทิ้งมันไปซะ อย่าเก็บเอาไว้ใกล้มือเธอหรือใครก็ตามจะเป็นดีที่สุด เพราะถ้าหากอสรพิษแปดหัวหลุดออกมาจริง ๆ ล่ะก็ ต่อให้มีตัวฉันซักร้อยคนก็ยังหยุดมันไม่ไหว"



เจนได้ฟังถึงกับทำให้เธอต้องครุ่นคิดไปชั่วขณะ แต่เธอก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุดพร้อมกับลูบหัวคิทซึเนะที่จับแขนของเจนเอาไว้



"อาจจะจริงอย่างที่นายพูด แต่ฉันก็เชื่อที่คิทซึเนะบอกเช่นกัน เวลาจะตัดสินว่าฉันจะสามารถคุมพลังของดาบเล่มนี้ได้หรือไม่เอง" เจนบอกแล้วหันไปมองรอบ ๆ ห้องก่อนจะไปหยุดที่ผ้าม่านสีแดง



"แล้วเรื่องค่าเสียหาย..-"



"รู้แล้วน่า... ตามฉันมา" กัปตันคิดพูดเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ลุกขึ้นและเดินนำเจนไป เขาเลิกผ้าม่านออกเผยให้เห็นสิ่งที่ทำให้เด็กสาวต้องอ้าปากค้างด้วยความตะลึง



ภูเขาเหรียญทองกองพะเนินอยู่ตรงหน้าของเจน ยังมีดาบเล่มงามมากมายที่สุมกองรวมกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ยังไม่รวมถึงอาวุธอื่น ๆ มากมายที่ดูมีราคาแพงไม่ต่างกันเลย อีกด้านก็เป็นชุดเกราะทองที่สวมอยู่กับหุ่นตั้งแสดงอยู่ แต่ก็มีชุดเกราะอีกมากที่ถูกวางอยู่บนพื้นเพราะมีหุ่นสวมไม่พอ มหาสมบัติที่อลังการยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เจนพบในสุสานผีดิบ เธอมั่นใจว่าแค่ชุดเกราะไม่กี่ตัวก็มีมูลค่ามากกว่าเสาทองคำที่เจนนำไปประมูลอย่างแน่นอน



"ฉันไม่รู้ว่าจะทำให้ยังถึงจะชดเชยได้ เอาเป็นว่าเธอหยิบของไปอย่างละชิ้นสำหรับเพื่อน ๆ ของเธอก็แล้วกัน" กัปตันคิดด์บอกแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนโดยไม่มาเฝ้าราวกลับว่าเขาไม่กลัวว่าเจนจะหยิบของไปมากกว่าที่เขาให้



แต่เธอเองก็มีศักดิ์ศรีมากพอ เธอไม่ยอมให้โจรสลัดคนนี้มาว่าเธอเป็นหัวขโมยอย่างเด็ดขาด เจนเริ่มครุ่นคิดทันทีว่าจะหยิบอะไรไปบ้าง ในเวลาไม่นานนักเธอก็ได้ปืนพกมาหนึ่งกระบอกซึ่งเธอตั้งใจจะเอาไปให้แจ็ค มันเป็นปืนที่ปิดผนึกอยู่เลยดูไม่ค่อยมีราคาเท่าไหร่นัก ส่วนของโจเป็นปลอกแขนกำไลข้อมือทองคำที่มีรูปสายฟ้าประดับอยู่ คิดว่ามันคงเหมาะกับเพื่อนของเธอที่ใช้เวทมนตร์สายฟ้าดี ส่วนเจนนั้นหยิบแผนที่ออกมาจากลังไม้โดยสุ่มหยิบขึ้นมา ส่วนคิทซึเนะก็หยิบไปเพียงแค่เหรียญทองเหรียญเดียวเท่านั้น



เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วเธอก็นำของพวกนั้นไปวางบนโต๊ะของกัปตันคิดด์ เขามองสลับไปมาระหว่างของบนโต๊ะกับในหน้าของเด็กสาวแล้วพูดออกมา



"แค่นี้เองงั้นหรือ ฉันคิดว่าเธอจะหยิบของมีค่ายิ่งกว่านี้ซะอีก"



"ถ้านายอยากจะเสียของที่มีค่ามากกว่านี้ก็ได้นะ ฉันจะได้ไปเปลี่ยน" เจนว่า แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอกลับยิ้มระรื่น ไม่ได้ห้ามเธอเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวเก็บของลงกระเป๋าด้วยความรู้สึกเสียหน้า ชายคนนี้อ่านเธอออกทะลุปรุโปร่งเลยจริง ๆ



"แล้วอีกนานมั้ยกว่าที่จะไปถึงทวีปไลเทเชีย" เจนถาม เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง กัปตันหนุ่มยิ้มแล้วตอบคำ



"ถ้าไม่นับเวลาที่ใช้ลำเลียงของ ฉันขอรับลองได้เลยว่าเธอจะไปถึงทวีปไลเทเชียโดยไม่รู้ตัวเลยเชียวล่ะ"





พวกโจรสลัดใช้เวลาเกือบทั้งวันในการยกข้าวของที่เหลือจากเรือโดยสารลำเก่าจนหมด พวกเขายังรื้อไม้บางส่วนที่ยังมีสภาพดีอยู่และปืนใหญ่ที่ใช้งานได้มาอีกด้วย เรียกได้ว่าการปล้นครั้งนี้ไม่มีอะไรเสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย



เมื่อเจนกลับมาที่ห้องพัก พวกโจก็เข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง เจนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกโจฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่กัปตันคิดด์รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงและเรื่องที่ยามาตะ โนะ โอโรจิอยู่ในดาบของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนหนุ่มทั้งสองนั้นจะตกใจมาก แต่ก็ถือว่าควบคุมตัวเองไม่ให้โวยวายเหมือนปกติได้ดีทีเดียว



"ให้ตายสิ ตอนแรกที่เธอได้ดาบนั่นมาฉันอิจฉาแทบตาย แต่มาตอนนี้ขอบอกเลยว่าฉันโล่งใจมากที่ไม่ได้ของระดับ S มาอย่างเธอ มีมอนสเตอร์ระดับนั้นอยู่ในดาบ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหลุดออกมาฆ่าเธอหรือพวกเราล่ะเนี่ย" แจ็คว่า



"ไม่หรอก ฉันทำสัญญากับดาบเล่มนี้เอาไว้แล้ว อย่างที่กัปตันคิดกลัวคือถ้าหากฉันเป็นเป็นอะไร ยามาตะ โนะ โอโรจิก็จะออกมาเพื่อปกป้องฉันที่เป็นคู่สัญญา แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถคุมมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าได้หรือเปล่านี่สิ"



"เรื่องนั้นช่างไปก่อนเถอะ เอาไว้พวกเราขึ้นไปถึงทวีปไลเทเชียค่อยหาทางแก้เอาทีหลัง วันนี้ฉันเพลียเกินกว่าจะคิดอะไรได้แล้ว" โจพูดด้วยน้ำเสียงหมดแรง ทำให้เจนเองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน



สองหนุ่มเข้าไปนอนบนเตียงของตน ส่วนเจนและคิทซึเนะขึ้นมานอนเตียงเดียวกันใกล้ ๆ กับเพื่อนของเธอ ถึงเจนยังไม่ไว้ใจพวกโจรสลัดและกลัวว่าจะเข้ามาปล้นข้าวของพวกเธอกลางดึก แต่ตอนนี้ความเหนื่อยอ่อนเป็นฝ่ายมีชัย ส่งเธอและคิทซึเนะเข้าสู่นิทราไปอย่างรวดเร็ว





การเดินทางบนเรือโจรสลัดนั้นเร็วกว่าเรือโดยสารอย่างมากเลยทีเดียว เพียงแค่วันเดียวเท่านั้นหลังจากที่พวกเจนขึ้นมาบนเรือ ตอนนี้เธอเห็นแผ่นดินใหญ่ตรงหน้าแล้ว ทวีปไลเทเชีย



ท่าเรือที่กัปตันคิดด์พาพวกเจนมาเทียบท่าไม่ใช่ท่าเรือขนาดใหญ่อย่างที่พวกเธอวางแผนเอาไว้แต่แรก โดยกัปตันคนเก่งให้เหตุผลว่าเขาไม่สามารถเข้าเทียบท่าในเมืองได้เพราะเขาเป็นโจรสลัด ถ้าทำอย่างนั้นเขาก็คงถูกยิงจนเรือจมก่อนจะได้คิดหนีอย่างแน่นอน ซึ่งเจนเองก็คิดว่าสมเหตุสมผลดี



หลังจากกล่าวลากับพวกโจรสลัดแบบไม่ค่อยมีเยื่อใย ทั้งสี่คนตรงไปยังร้านอาหารประจำเมืองเป็นอย่างแรก เนื่องจากอาหารที่พวกเธอได้กินบนเรือโจรสลัดนั้นรสชาติไม่ได้ถูกปากคนธรรมดาเอาซะเลย



เมืองแห่งนี้มีบรรยากาศแบบตะวันตก มีรถม้าทำมือกำลังขนลังไม้จำนวนมากออกไปจากท่าเรือ ผู้คนที่นี่ต่างแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตกับรองเท้าหนังและทุกคนต่างพกปืนกันไม่เว้นแม้แต่แม่ค้าขายของอยู่ข้างทาง



ร้านอาหารของเมืองนี้มีเพียงอยู่ที่เดียวและมีขนาดไม่ใหญ่มากนักเพราะเป็นเมืองท่าเล็ก ๆ เท่านั้น นั่นทำให้ไม่มีทหารประจำอยู่และมีโจรอยู่ชุก ตัวร้านมีลักษณะคล้ายกับบาร์เหล้า ประตูทางเข้าบานเล็กเป็นแบบยกสูงที่สามารถเปิดได้ทั้งสองฝั่ง ด้านในมีโต๊ะไม้วางเรียงอยู่ อีกด้านเป็นบาร์เครื่องดื่ม ด้านในสุดเป็นเปียโนสีดำตัวใหญ่ซึ่งเจนคิดว่าคงจะมีเอาไว้สำหรับบรรเลงเพลงกล่อมคนที่เข้ามากินอาหารที่นี่ในเวลากลางคืน



ทั้งสี่คนนั่งลงบนโต๊ะ ไม่นานนักก็มีบริกรเข้ามาถามว่าจะสั่งอาหารหรือเปล่า แต่ที่นี่มีเมนูเพียงแค่เมนูเดียวนั่นก็คือซุปและขนมปัง ตอนนี้พวกเจนหิวจนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นมากนักเลยพนักหน้ารับทันที บริกรคนนั้นเดินจากไปและยกชามซุปกับขนมปังมาให้พวกเธอคนละสามก้อนก่อนจะเก็บเงินค่าอาหารแล้วจากไป



"ว่าแต่ตอนที่เธอเข้าไปหากัปตันคิดด์ได้ของอะไรมางั้นหรือ" โจถามขึ้นพร้อมกับกัดขนมปังคำใหญ่



"จริงด้วย ฉันเกือบลืมไปแหนะ เอานี่ ของพวกนาย" เจนว่าแล้วหยิบปืนกับปลอกแขนกำไลข้อมือออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ทั้งสองหยิบของของตัวเองไปทันที



ของโจนั้นเป็นปลอกแขนกำไลข้อมือทองคำที่ปิดยาวตั้งแต้ข้อมือจนเกือบถึงศอก เมื่อเขาลองใส่ดูแล้วกลับดูไม่เทอะทะขยับลำบากอย่างที่เจนคิด







"ใส่แล้วรู้สึกสบายกว่าที่คิดแฮะ ไหนลองดูหน่อยซิว่าเพิ่มพลังอะไรหรือเปล่า" ชายหนุ่มพูดแล้วทำการตรวจสอบ และทันใดนั้นเขาก็ต้องตาแทบถลนเมื่อเห็นคำอธิบายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า



"หูยยย สุดยอดด!!"



"ไหน ๆ ขอฉันดูหน่อยซิ" เด็กสาวพูดแล้วเคลื่อนตัวไปด้านหลังเพื่อนของเธอ



ปลอกแขนเทพสายฟ้า [เซตชุดเทพสายฟ้า] ระดับ S

ปลอกแขนแห่งเทพสายฟ้า ว่ากันว่าจะมอบพลังหมาศาลแก่ผู้สวมใส่

- เพิ่มพลังโจมตีของเวทมนตร์สายฟ้าขึ้นสองเท่า

- ลดการเสียพลังเวทจากเวทมนตร์สายฟ้าลง 50%

*ไม่มีวันเสียหาย

*จะได้สถานะพิเศษต่อเมื่อสวมใส่ครบเซตเทพเจ้าสายฟ้า



"นี่มันของดีมากเลยนี่นา เหมือนกับมีเอาไว้ให้กับนายเลยนะเนี่ย" เจนบอก เพราะปลอกแขนนี้เสริมพลังเวทสายฟ้าโดยเฉพาะและไม่มีใครที่เหมาะกับของชิ้นนี้ไปกว่าโจอีกแล้ว



"เฮ้ เจน ปืนที่เธอให้มามันเป็นของผนึกอยู่นี่ ช่วยปลดผนึกให้หน่อยสิ" แจ็คบอกแล้วยื่นปืนให้กับเด็กสาว เจนทำการปลดผนึกแล้วลองตรวจสอบดู



ปืนกระสุนโลกันต์ ระดับ A

พลังโจมตี 500

เป็นอาวุธในตำนาน มีพลังที่สามารถสร้างกระสุนเพลิงนรกจากพลังเวทที่ว่ากันว่าทำลายได้แม้แต่เกล็ดมังกร

- สามารถใช้ทักษะ กระสุนโลกันต์ ได้

- สามารถใช้พลังเวทบรรจุลงปืนแทนกระสุนได้



"นี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ลองดูสิ" ว่าแล้วเธอก็ส่งปืนไปให้กับแจ็ค



ตอนนี้จากปืนลูกโม่ธรรมดาที่เจนได้มาบนเรือโจรสลัด ตอนนี้กลายเป็นปืนพกลูกโม่สีแดงมีลวดลายสีทองขนาดใหญ่ จากที่เจนเห็นปืนกระบอกนี้สามารถบรรจุได้ทีละ 6 นัด แต่หัวกระสุนมีขนาดใหญ่มากเลยทีเดียว ถ้าหากโดนเข้าจังๆล่ะก็มีหวังไม่ตายก็กระอักแน่ ๆ



"นี่มันเยี่ยมไปเลย ปืนแบบนี้แหละที่ฉันกำลังหาอยู่ ที่เหลือก็หาปืนดี ๆ แบบนี้มาอีกกระบอก ขอบใจมากนะเจน" แจ็คกล่าวตอบ เจนยิ้มให้แล้วก้มหน้าลงจัดการกับอาหารของเธอให้หมด







ณ ที่แห่งหนึ่งในทวีปไลเทเชีย



ชายผมยาวในชุดเกราะสีดำขนาดใหญ่กำลังอ่านข่าวที่เขาเพิ่งได้รับมาอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยเนื้อหาข่าวนั้นระบุชื่อของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่และจีโอเอาไว้เยอะมาก และอีกชื่อที่ปรากฏออกมาคือผู้เล่นหน้าใหม่ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน มันหมายถึงเจนนั่นเอง



ในรายงานตรงหน้าของชายหนุ่มนั้นมีรูปของจีโอตอนที่ประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาอยู่ ส่วนอีกรูปเป็นรูปของอามีร่าหรือที่มีฉายาว่า 'อีกา' กำลังสู้กับเจนที่ตอนนั้นสวมชุดคลุมสีขาวอยู่ ในรายงานบอกเอาไว้ว่าผู้เล่นคนนี้สามารถเอาชนะอามีร่าได้ แต่จากสายข่าวของเขานั้นกลับบอกอีกอย่างและเป็นเรื่องที่เขาไม่ชอบใจเอาซะเลย



"คุณบิชอปครับ ถึงเวลาประชุมแล้วนะครับ" ชายคนหนึ่งเดินมาบอก บิชอปพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นก่อนจะกลายเป็นแสงหายไปด้วยทักษะ



เขามาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอยู่ในห้องสีดำห้องหนึ่ง กลางห้องมีโต๊ะยาววางอยู่พร้อมกับเก้าอี้ข้างละสองตัวตั้งอยู่ เก้าอี้แต่ละตัวมีคนจับจองอยู่แล้ว เหลือแต่เก้าอี้อยู่หนึ่งตัวที่เป็นของเขาและเก้าอี้หัวโต๊ะซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของจะยังไม่มาถึงในที่แห่งนี้



"แหม ๆ พวกเรามาพร้อมหน้ากับอย่างนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้วนะเนี่ย" เสียงหนึ่งดังขึ้น เจ้าของเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีทองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับบิชอป เขามีรูปร่างไม่ใหญ่มากนักดูแล้วไม่น่าเก่งกาจ แต่การที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ได้รับรองว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



"ที่พวกเราไม่ได้ประชุมอย่างนี้บ่อย ๆ นั่นก็เพราะว่ามันไม่จำเป็นต่างหาก หัดจำเอาไว้ด้วย ไวรัส" คนที่ตอบเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผมยาวสีน้ำตาล ใบหน้าที่ดูน่ารักราวกับตุ๊กตาพร้อมกับร่างสูงโปร่งของเธอทำให้เธอตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่ม ๆ ได้อย่างไม่ยาก แต่ชายหนุ่มทุกคนในห้องนี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับเธอเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีนามว่าไวรัสและบิชอป โดยไวรัสแค่หันไปยิ้มเยาะให้เท่านั้น ส่วนบิชอปแค่พยักหน้าให้เป็นการทักทายก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตนแล้วไม่พูดอะไร



"อะไรกันหือ ไอวี่ แค่นี้ก็ต้องทำเป็นดุใส่กันด้วย มาอยู่ที่นี่แปบเดียวก็ทำท่าหงุดหงิดขนาดนั้นเลยหรอ วัน ๆ เอาแต่ปลูกต้นไม้สงสัยคงจะเก็บกดไม่ค่อยได้ออกแรงล่ะสิท่า" ไวรัสเอ่ย ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่ใบหน้าของเขาที่ประดับด้วยรอยยิ้มยียวน นั้นทำให้อารมณ์ของเด็กสาวพลุกพล่านด้วยความโมโหยิ่งขึ้นไปอีก



"คนปากเสียอย่างแกมันน่าจะโดนสั่งสอนซะให้เข็ด วันนี้ล่ะฉันจะทำให้ปากเน่า ๆ ของแกมันใช้ไม่ได้อีกเลย!" หญิงสาวนามไอวี่ตะโกนเสียงดังแล้วลุกขึ้นชี้นิ้วไปที่ไวรัส ชายหนุ่มเองก็ไม่น้อยหน้า ใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิม เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและชักมีดออกมาจากด้านหลังเตรียมพร้อมสู้



"เอาซี่ยัยบ้าต้นไม้! วันนี้เราจะได้รู้กันว่าใครจะมีพิษที่เหนือกว่ากันซักที!!"



แต่ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งเข้าปะทะกัน ก็มีเสียงทุบโต๊ะดังสนั่นจนทั้งคู่ต้องหันไปมอง เป็นชายสูงวัยคนหนึ่งที่วางมือเอาไว้บนโต๊ะนั้น เขามีผมสีดำแซมด้วยผมหงอกสีขาว แสดงว่าเขามีอายุมากแล้ว บางทีอาจจะมากที่สุดในห้องนี้เลยด้วยซ้ำไป เขาอยู่ในชุดผ้าแขนยาวสีขาว กางเกงสีดำดูทะมัดทะแมง



"พวกเธอนี่อยู่เงียบ ๆ ให้เหมือนกับบิชอปไม่ได้หรือยังไง นี่ไม่ใช่ลานประลอง ถ้าหากอยากจะสู้กันก็ออกไปข้างนอกโน้น!" เสียงใหญ่ฟังดูมีอำนาจของเขาดังลั่นห้อง คู่กรณีทั้งสองคนต่างยอมถอยคนละก้าวและกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่ปริปากออกมาอีก



"ขอบคุณมากครับท่านหยาง" บิชอปเอ่ยขึ้น ชายสูงวัยตอบเพียงพยักหน้าให้เท่านั้น



ชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงกะเทาะจากคบเพลิงที่อยู่บนผนังเท่านั้นที่ดังท่ามกลางความเงียบงันนี้ แล้วทันใดนั้นเองบิชอปและหยางก็ลุกขึ้นทำให้อีกสองคนต้องลุกขึ้นตามเช่นกัน และเขาก็รู้ว่าทำไม



"นั่งลงได้แล้ว... พวกเราจะได้เริ่มประชุมกันซักที" เสียงเย็นราบเรียบดั่งทะเลน้ำแข็งดังขึ้น ที่หัวโต๊ะในเวลานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ ทั้ง ๆ ที่ห้องนี้มีแต่ยอดฝีมืออยู่แต่กลับจับไม่ได้เลยว่าเขามานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพียงหยางและบิชอปเท่านั้นที่พอรู้ตัวก่อน แต่ทั้งคู่ก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมาปรากฏตัวก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวอย่างแน่นอน



เด็กหนุ่มคนนี้มีผมสั้นสีดำถูกหวีเป็นทรงอย่างดี เขาสวมแค่ชุดผ้าธรรมดาสีดำเช่นเดียวกันแต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นชุดที่มีพลังป้องกันสูงหรือมีพลังพิเศษอะไรนัก แต่ก็เหมาะกับเด็กหนุ่มที่ดูมีอายุราว ๆ 24 ปีเลยทีเดียว



"ก่อนที่จะคุยกันฉันขอออกคำสั่งให้กระจายคนของเราไปทั่วทุกทวีปก่อน บิชอป..คนของนายเป็นคนทำพลาดตั้งแต่แรก นายจัดการคุมทวีปไลเทเชียซะ" เด็กหนุ่มพูดโดยไม่สนใจเลยว่าคู่สนทนาด้วยจะมีอายุมากกว่าเขามากนัก แต่บิชอปกลับพยักหน้ารับคำ



"ส่งแม่นั่นไปที่เมืองใหญ่ ๆ ถ้าหล่อนเจอไอ้ตัวผู้เล่นนั่นจะได้ชี้ตัวถูก"



"ครับ ท่านคราวลี่ย์" บิชอปเอ่ย ถึงแม้ว่าเขาอยากจะสืบหาเองว่าผู้เล่นคนนั้นเป็นใคร แต่เมื่อเป็นคำสั่งของหัวหน้ากิลด์เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะเขาเองเป็นแค่หนึ่งในสี่รองหัวหน้ากิลด์พิฆาตราชา



"พวกที่เหลือ คอยป้องกันเมืองจากกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่เอาไว้ แล้วพร้อมกันนั้นก็พยายามสอดส่องดูด้วยว่ามีข่าวเกี่ยวกับผู้เล่นคนนั้นด้วยหรือเปล่า ฉันฝากนายไปสั่งการกิลด์ปีกพิราบด้วยนะ ไวรัส" คราวลี่ย์พูดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มผมทองยิ้มรับไม่ตอบอะไร



"ฉันอยากได้ชื่อกับ ใบหน้าของไอ้คนนั้น หามาให้ได้ ฉันจะเชือดไก่ให้ลิงดูว่าคนที่มาหาเรื่องกิลด์ของฉันมันจะต้องเจออะไรบ้าง" คราวลี่ย์พูดเสียงเย็นแต่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว คนอื่นๆในห้องต่างไม่กล้าสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อยเพราะรู้ว่าเมื่อคน ๆ นี้โมโห ต่อให้ใครก็ไม่มีทางหยุดเขาได้ ไม่ว่าจะในเกมหรือนอกเกมก็ตาม "ฉันจะทำให้มันไม่ได้เข้ามาออนไลน์อีกเป็นครั้งที่สอง"







จบตอนที่ 18 เผชิญหน้ามหาบุรุษโจรสลัด[2]
-------------------------------------



เชิญเลยครับคุณsantisook01 ยินดีมากเลยครับ

Tohan-kun
13th January 2014, 12:26
ตอนที่ 19 เมืองคนบาป





หลัง จากที่กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเจนก็ตรงไปยังรถม้าที่ให้บริการเดินทางข้ามเมือง ซึ่งที่นี่นั้นจะมีราคาค่าบริการถูกกว่ามากเพราะต่างจากทวีปอัลเทเชียที่แต่ ละเมืองจะอยู่ห่างกันมากและมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ไม่มากนัก ที่ทวีปแห่งนี้มีอากาศที่ร้อนมากจนคิทซึเนะถึงกับหอบแฮ่กจนเข้ามาขอให้เจนเก็บเธอเข้าไปอยู่ในดาบคุซานางิ เจนจึงถือโอกาสให้จิ้งจอกน้อยนำอาหารและน้ำเข้าไปให้ฟีบีที่ยังอยู่ในดาบด้วยเลย



ที่ทวีปไลเทเชียนั้นมีหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นจำนวนมากและตั้งอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงชั่วโมง ทำให้มีบริการรถด่วนไปส่งในแต่ละหมูบ้านอยู่เยอะ โดยรถม้าบริการนี้จะคล้าย ๆ กับแท็กซี่เพราะแค่จ่ายค่าโดยสารขึ้นไปเป็นรายคน โดยราคาจะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับหมู่บ้านที่ต้องการจะไป ส่วนรถม้าอีกแบบที่พวกเสือซ่อนลายใช้ที่ทวีปอัลเทเชียนั้นจะใช้สำหรับเดินทางระยะไกลและเป็นแบบเหมาจ่าย ต้องรอคนไปจนครบจำนวนก่อนเท่านั้นถึงจะออกรถ ค่าโดยสารนั้นก็มีราคาแพงแต่ก็โอกาสน้อยที่จะมีมอนสเตอร์มารบกวนการเดินทาง ยกเว้นจะโดนโจรป่าดักปล้นและที่ในแถบนี้ก็ขึ้นชื่อซะด้วย



ทั้งสี่ขึ้นรถม้าและวิ่งออกจากเมืองทันที ในระยะแรกนั้นการเดินทางค่อนข้างราบรื่น ไม่มีมอนสเตอร์หรือโจรโผล่มาเลยแม้แต่น้อย พวกเจนตอนนี้จะมีระดับ 59 และ 60 แต่มอนสเตอร์แถบนี้ก็ไม่ได้มีเลเวลมากไปกว่าไปกว่าพวกผีดิบที่สุสานซักเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเธอจึงตกลงกันว่าจะไปเก็บเลเวลหลังจากที่เปลี่ยนอาชีพให้กับแจ็คได้แล้ว



"จะไปทำอะไรที่เมืองรีเด็มชั่นล่ะไอ้หนู จะไปหามือปืนรับจ้างงั้นหรือ" สารถีของพวกเจนเอ่ยถามขึ้น เขาเป็นชายสูงอายุ รูปร่างสูงผอม มีหนวดรุงรังประดับบนใบหน้า เขาแต่งตัวคล้ายชาวเมืองคนอื่น ๆ คือเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวกับรองเท้าบูทและ แน่นอนว่าเขามีปืนพกเอาไว้ที่เข็มขัด



"เปล่าลุง พวกเราจะไปทำธุระอย่างอื่นน่ะ" เจนตอบ



"ไม่ได้ไปจ้างมือปืนแล้วไปทำอะไรในเมืองแบบนั้นกัน เข้าไปให้ตัวเองโดนปล้นหรือไง ฮ่าฮ่าฮ่า!!" สารถีชราหัวเราะลั่น แต่เจนไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องที่น่าขำตรงไหน



"ว่าแต่เมืองรีเด็มชั่นเป็นยังไงหรือลุง ทำไมลุงถึงคิดว่าพวกเราจะโดนปล้นได้ล่ะ" เจนถามอีกครั้ง เธออยากจะรู้เรื่องราวของเมืองที่เธอกำลังจะไปบ้าง โดยเมืองที่ดูท่าทางจะมีปัญหาเช่นนี้แล้วต้องยิ่งรู้ให้ได้เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้หาทางหนีทีไล่ทัน



คุณลุงหันมามองเด็กสาวอย่างแปลกใจก่อนจะพูดขึ้น



"นี่ไอ้หนู พวกนายไม่รู้ว่าเมืองที่กำลังเป็นเมืองแบบไหนหรือเนี่ย นี่มันฆ่าตัวตายชัด ๆ"



"พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเมืองนั้นเป็นยังไง มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่อง" แจ็คบอก โจเองก็พยักหน้าเป็นนัยว่าเขาเองก็ทราบเช่นกัน



"ลุงช่วยประหยัดเวลาของพวกเราแล้วบอกเพื่อนของเราหน่อยว่าที่เมืองนั้นมันเป็นยังไง"



มันช่วยไม่ได้ที่เจนจะรู้สึกเหมือนโดนพวกโจล้อเลียน เพราะในตอนนี้ทั้งคู่ต่างส่งยิ้มหน้าระรื่นมาให้เธอเพื่อเยาะเย้ยโดยไม่กลัวหมัดของเธอแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นเจนก็ยังจะคิดจะฟังเรื่องราวของเมืองรีเด็มชั่นจากปากของคุณลุงสารถีอยู่ดีเพราะหากไปคาดคั้นเอาจากเพื่อน ๆ ของเธอคงจะเสียเวลาและเสียแรงไปไม่น้อยทีเดียว และเจนก็ยังไม่คิดอยากจะใช้กำลังในตอนนี้แต่แค้นต้องชำระอย่างแน่นอน



"ก็ได้ไอ้หนู พวกแกจ่ายเงินนี่นะ" ลุงสารถีพูดแล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้า



"เมืองที่พวกแกกำลังจะไปน่ะไม่ต่างจากรังโจร เป็นแหล่งศูนย์รวมของพวกนอกกฏหมายเท่าที่ฉันคิดออก แต่ที่นั่นเองก็ยังเป็นแหล่งรวมมือปืนที่เก่งที่สุดในโลก ถ้าใครที่อยากจะเป็นมือปืนก็ต้องไปที่นั่นเท่านั้น แต่ตอนนี้คนธรรมดาอย่างฉันไม่มีใครไปที่นั่นกันแล้ว มีแค่พวกนักเดินทางอย่างพวกแกนั่นแหละที่ไปที่นั่น ได้ยินว่ามีกิลด์เป็นเจ้าถิ่นแทนพวกโจรแล้วด้วย ชื่อกิลด์อะไรน้า...พิฆาตอะไรนี่แหละ"



"ใช่กิลด์พิฆาตราชาหรือเปล่า" เจนถามทันทีที่ได้ยินชื่อที่คุ้นหู



"ใช่ กิลด์นั่นแหละ พอพวกเราไปถึงแล้วพวกแกจะไม่เชื่อเลยว่าคนพวกนั้นจะคุมทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีโจรชุมขนาดนั้นแท้ ๆ"



ทั้งสามหันหน้ามามองกันทันทีที่ได้ยินว่ากิลด์ที่เจนไปมีเรื่องนั้นเป็นเจ้าของ เมืองที่พวกเธอกำลังเดินทางไปอยู่ ในตอนนี้พวกเธอชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ดี



"เอายังไงดีเจน เสี่ยงไปหรือเปล่าที่พวกเราจะไปเมืองรีเด็มชั่นตอนนี้ ถ้าหากมีคนจำเธอได้ล่ะก็ มีหวังได้หนีหัวซุกหัวซุนแน่" โจพูด



"ถึงอย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องไปที่เมืองนั้นอยู่ดี ไม่ว่ายังไงก็พวกเราต้องเปลี่ยนอาชีพให้กับแจ็คก่อน แล้วฉันเองก็อยากจะสืบเรื่องของอามีร่าด้วย ถ้าหากเจอพวกนั้นอาจจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้างก็ได้" เด็กสาวพูด ใบหน้าเปื้อนน้ำตาฉายขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง เจนยังไม่ลืมใบหน้าของอามีร่าไปอย่างแน่นอน



"ขอบใจมากนะ เจน" แจ็คกล่าวขอบคุณที่เธอยังคงนึกถึงเขาอยู่ ถึงแม้นั่นจะหมายถึงเธออาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ตาม



"ว่าแต่ทั้ง ๆ ที่อันตรายขนาดนี้แล้วทำไมลุงถึงยังคิดจะพาพวกเราไปที่เมืองนั้นอีกล่ะ" โจถามอย่างสงสัยเพราะถ้าหากสถานที่แห่งนั้นอันตรายจริง คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็อาจจะเป็นอันตรายไปด้วยแน่ ไม่ควรจะมีใครที่จะอยากเข้าใกล้ที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน



ลุงสารถีหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ "ก็ถ้าหากฉันไม่รับแล้วมันจะมีใครพาพวกแกไปหะ ไอ้หนู แล้วอีกอย่างฉันเองก็กำลังเงินขาดมืออยู่ด้วย ในยุคนี้ถ้าอยากจะกินข้าวครบทุกมื้อล่ะก็ไม่ว่าใครจะบอกให้พาไปไหนมันก็ต้อง รับหมดนั่นแหละ"



ตอนนั้นเองก็มีจดหมายบินเข้ามาทางหน้าต่างรถ มันเป็นจดหมายสีชมพูติดปีกดูน่ารักพุ่งตรงมาที่ตักของเจนก่อนปีกคู่นั้นจะเป็นแสงหายไปเหลือแต่จดหมายตกอยู่ที่ตักของเธอ



"นี่มันอะไรล่ะเนี่ย จดหมายงั้นหรือ" เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เธอหยิบจดหมายขึ้นมาแล้วลองเปิดดู ทันใดนั้นเสื้อผ้าสองสามชุดที่ดูคุ้นตาของเธอก็ปรากฏออกมา



"นี่มันเสื้อผ้าของฉันนี่นา ซ่อมเสร็จแล้วด้วย... ไอ้จดหมายเมื่อกี้มัน...-"



"ใช่แล้วเจน ระบบส่งข้อความอีกรูปแบบหนึ่งของเกมนี้ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เท่าไหร่เพราะผู้เล่นมักจะส่งข้อความผ่านทางหน้าต่างข้อความด่วนที่เร็วกว่าหรือคุยกันผ่านช่องสื่อสารกลุ่มเลย แต่ข้อดีของจดหมายนี่ก็คือสามารถส่งถึงพวกชาวเมืองได้และใช้ส่งพร้อมกับสิ่งของได้ด้วย" โจอธิบาย



ถึงเจนจะได้ชุดเก่าตัวเก่งของเธอกลับมาแล้ว แต่ในตอนนี้เธอคิดว่าควรจะใส่ชุดเดิมที่ซินจูเลือกให้ไปก่อนเพราะเสื้อกับผ้าคลุมสีขาวในตอนนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้เล่นนิรนามที่คนทั่วไปกล่าวถึง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ดีที่เจนเก็บชุดเก่าของเธอเอาไว้



"เฮ้ ขอแรงคนข้างในรถหน่อยได้หรือเปล่า!" เสียงของคุณลุงสารถีดังจากนอกรถทำให้ทั้งสามคนต่างหันไปหา ดูท่าทางของเขาตื่น ๆ ต่างจากปกติ



"เกิดอะไรขึ้นหรือลุง?" แจ็คถาม แต่ไม่ทันที่ลุงสารถีจะตอบคำ ทั้งสามก็รู้แล้วว่าสิ่งใดที่กำลังทำให้เขาต้องตื่นตกใจเช่นนี้



เจนเห็นกลุ่มคนกำลังควบม้าเข้ามาหารถม้าที่เธอกำลังนั่งอยู่ เท่าที่เธอเห็นนั้นมีอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคนแน่นอน และในมือของพวกเขานั้นมีปืนอยู่ครบมือกำลังเล็งมาที่เธอบนรถม้าซึ่งกำลังวิ่งอยู่



ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!



เสียงปืนดังรั่วสนั่น ห่ากระสุนพรุ่งมาจนเจนแทบหลบไม่ทัน แจ็คที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงรีบดึงตัวเพื่อนสาวหลบกระสุนก่อนที่มันจะเจาะรูบนหน้าของเธอ ทั้งสามต่างหมอบลงบนพื้นรถม้าทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่ลุงสารถีไม่ได้โชคดีเช่นนั้น



"คุณลุง!" เจนรีบเข้าไปหาทางประตูคนขับ เธอพบว่าเขาถูกยิงเข้าที่ท้องจนเลือดไหลออกมาอย่างน่ากลัว เธอรีบดึงเขาเข้ามาด้านในก่อนจะโดนยิงเข้าอีกนัด



"แค่ก! แค่ก! หนอยแนะ! ไอ้พวกโจรกระจอก ถ้าหากฉันหนุ่มกว่านี้อีกซักสิบปีล่ะก็พวกแกไม่รอดแน่!" คุณลุงสารถีพยายามตะโกนโต้ โจที่กำลังควักขวดยาออกมารักษาแผลก็ต้องรีบห้ามเอาไว้



"หยุดโม้ก่อนเถอะลุง แทนที่จะย้อนกลับไปสิบปี เดี๋ยวจะได้อดใช้ชีวิตต่ออีกสิบปีนะ"



ระหว่างที่โจพยายามรักษาแผลของคุณลุงสารถีอยู่นั้นพวกโจรก็ไม่ได้หยุดรอ พวกมันระดมยิงใส่รถม้าโดยไม่ยั้ง พวกเจนได้แต่เพียงก้มตัวหลบเท่านั้นโดยมีแค่แจ็คที่สามารถโจมตีพวกโจรจากบนรถม้าได้เพียงคนเดียว



ปัง! ปัง!



แจ็คก้มหลบกระสุนได้อย่างเฉียดฉิวและหันกลับมาเห็นเพื่อนทั้งสองคนกำลังรักษาบาดแผลของสารถีที่ดูหนักพอสมควร แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง



"เดี๋ยวนะ พวกนายสองคนกำลังรักษาตาลุงนี่คนอยู่ในนี้ แล้วใครกำลังบังคับรถม้าอยู่?"



ทั้งสามหันไปหาที่นั่งคนบังคับทันทีที่แจ็คพูดจบ ตำแหน่งที่เขาพูดถึงนั้นว่างอยู่แล้รถม้าคันนี้กำลังวิ่งตรงไปยังโขดหินขนาดใหญ่โดยเจ้าม้าสีน้ำตาลที่ทำหน้าที่ลากรถไม่คิดจะวิ่งหลบเลยแม้แต่น้อยเพราะมันตกใจเสียงปืนที่ยังคงดังลั่นตามมาอยู่เช่นนี้



เจนที่อยู่ใกล้ที่นั่งคนขับที่สุดรีบพุ่งไปคว้าเชือกบังเหียนแล้วดึงหลบสุดแรงเกิด รถม้าหันกลบก้อนหินไปอย่างฉิวเฉียดแต่ปัญหาคือเจนไม่รู้ว่าจะควบคุมม้ายังไงดี ตอนนี้ที่เธอทำได้แค่จับเชือกเอาไว้ให้ม้าวิ่งตรงไปเท่านั้น



"เฮ้ย! พวกนายมีใครบังคับม้าเป็นบ้าง ฉันทำไม่เป็นหรอกนะ!" เด็กสาวตะโกน



"คิดว่าหน้าอย่างพวกฉันจะเคยขี่ม้างั้นหรือไง มีแต่พวกเราสองคนที่โจมตีระยะไกลได้ เธอก็แค่ดึงเชือกไปมาเท่านั้นแหละ ไม่น่ายากหรอก!" โจตะโกนตอบพลางปล่อยสายฟ้าใส่พวกโจรที่วิ่งมาตกม้าไป



"ไม่ได้ช่วยเลย!!" เด็กสาวตะโกนตอบแล้วรีบดึงเชือกเพื่อให้ม้าหักหลบอีกครั้งเพราะคราวนี้เกือบจะวิ่งไปชนต้นกระบองเพชรเข้า



เป็นการยากที่เจนจะบังคับให้ม้าวิ่งตรงเส้นทางเมื่อนี่เป็นครั้งแรกในการขี่ม้าถึงแม้จะเป็นรถม้าก็ตาม แล้วต่อให้เธอเป็นคนที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางที่เธอจะตั้งสมาธิได้ในเมื่อมีปืนไล่ยิงหลังอยู่แบบนี้ ยิ่งเส้นทางข้างหน้าทั้งคดเคี้ยวและขรุขระทำให้ยากมากขึ้นที่จะบังคับอยู่ใน ทิศทางที่ถูกต้อง



โจรคนหนึ่งวิ่งนำขึ้นมาขนาบข้างเจนและเล็งปืนมาทางเธอ ถ้าเป็นปกติเจนคงจะสามารถหลบได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ตอนนี้มือทั้งสองข้างของเธอกำลังจับเชือกอยู่ทำให้เธอไม่อาจเคลื่อนตัวหลบได้



ปัง!



เสียงปืนดัง เจนหลับตาปี๋เพราะคิดว่าตัวเองคงโดนยิงเข้าแล้ว แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย พอลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าโจรคนที่ยกปืนขึ้นมาเล็งที่เธอโดนปืนไรเฟิ่ลของแจ็คยิงร่วงลงไปแล้ว เด็กสาวจะหันไปขอบคุณแต่ใบหน้าของเพื่อนหนุ่มคนนี้กลับดูตื่นตระหนกและพยายามชี้ไปด้านหลังของเธอ



"เฮ้ย!! เจน ข้างหน้า!! ดูทางข้างหน้า!"



เมื่อเธอหันกลับไปดูก็ต้องดึงให้ม้าเลี้ยงหักศอกอีกครั้งเพราะไม่มีทางที่จะไปต่อ หน้าผาด้านหน้านั้นถึงจะไม่ลึกมากและเห็นก้นที่กลายเป็นทางผ่านใต้หุบเขา แต่ด้วยความสูงขนาดนั้นก็สามารถรับประกันได้เลยว่าสามารถฆ่าทุกคนบนรถได้อย่างแน่นอน โชคดีที่เจนหักเลี้ยวได้ทันเวลา รถม้าเลี้ยวตามแรงจนแทบจะแหกโค้งจนล้อรถทั้งสองล้อวิ่งอยู่บนขอบผา



เจนพยายามพารถม้ากลับมาวิ่งบนทางปกติแต่พวกโจรที่ยังคงคอยยิงสกัดอยู่แบบนี้ทำให้เจนไม่สามารถบังคับให้รถวิ่งกลับไปที่ทางวิ่งได้ "พวกนายรีบทำอะไรเข้าซักอย่างสิ!! ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้มีหวังได้ตกหน้าผาตายแน่"



"ก็กำลังพยายามอยู่นี่ไงเล่า!!" โจตะโกนตอบพร้อมกับปล่อยสายฟ้าจัดการโจรให้ตกลงจากหลังม้าไปอีกราย



ทางแจ็คเองก็พยายามยิงปืนใส่พวกโจรอยู่เช่นกันแต่ในขณะที่รถวิ่งอยู่บนเส้นทางที่ขรุขระเช่นนี้จึงทำให้เขาไม่สามารถใช้ทักษะเล็งจุดตายได้ แค่เล็งยิงธรรมดายังลำบากเลย โชคดีที่ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่แจ็คใช้นั้นมีความรุนแรงอยู่มาก ถ้าหากเขาสามารถยิงโดนซักนัดล่ะก็สามารถทำให้พวกโจรเสียหลักจนตกจากหลังม้าและตามพวกเขาต่อไม่ได้แต่ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี



"พวกมันมีมากเกินไป! แจ็ค นายมีทักษะอะไรหรือเปล่าที่ทำให้พวกนี้ตามพวกเรามาไม่ได้น่ะ!" เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับยิงปืนของตนไปอีกนัดแต่พลาดเป้าไป



โจรีบเปิดหน้าต่างทักษะดูอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ทำท่าดีใจเหมือนกับพบอะไรซักอย่าง เขารีบหันไปหาเจนและตะโกนบอกเสียงดัง



“ฉันมีหนทางที่พวกเราจะรอดแล้ว! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พยายามคุมม้านั่นให้อยู่นะเจน!"



"ฉันก็กำลังทำอยู่นี่ไงเล่า!!" เสียงหวานตะโกนตอบย้อนคำของชายหนุ่มอย่างเสียอารมณ์



เด็กหนุ่มหันกลับมาแล้วเริ่มร่ายบทเวทซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ตอนนี้ในมือของเขามีก้อนพลังสายฟ้าดูท่าทางทรงอำนาจลอยอยู่ โจยกก้อนพลังนั้นขึ้นมาตรงหน้าแล้วโยนไปยังกลุ่มโจรที่ยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ



ไลทนิ่ง วอร์เท็กส์!!



ทันทีที่ก้อนพลังตกถึงพื้น ก็เกิดระเบิดสายฟ้าดังสนั่นฟ้าราวกับเกิดฟ้าผ่า คลื่นพลังกระแทกพวกโจรจนทำให้ตกจากม้าไม่เว้นแม้แต่คนเดียว เมื่อเจนเห็นดังนั้นจึงถือโอกาสรีบวิ่งไปที่สะพานข้ามหน้าผาแล้วข้ามไป เมื่อแน่ใจว่าไม่มีพวกโจรตามมาแล้วเธอจึงหันมาด้านหลังรถม้า



"มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า" โจและแจ็คไม่ตอบคำ เพียงแค่ยกมือปัดบอกประมาณว่าสบาย ๆ มีแต่คุณลุงสารถีที่เบิกตากว้างอย่างตกใจและมองพวกเจนทั้งสามคนอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเธอเพิ่งพาเขารอดชีวิตมาได้



"กะแล้วเชียวว่ารับพวกแกมามันรู้สึกลางไม่ค่อยดี คราวหลังอย่ามาขึ้นรถของฉันอีกนะ"







ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่เพราะเนื่องจากถูกพวกโจรไล่ปล้นทำให้พวกเจนสามารถเดินทางได้เร็วกว่าเดิมมาก เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นจากที่ควรจะใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง ตอนนี้เจนมาถึงเมืองรีเด็มชั่นแล้ว



เมืองแห่งนี้เองก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองอื่น ๆ บนทวีปไลเทเชียนัก บ้านเรือนส่วนมากทำจากไม้ เป็นตึกที่มีความสูงมากที่สุดสองชั้น แต่ที่ทำให้มีความแตกต่างคือเมืองนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มองครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นโจร ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอต่างกำลังนั่งดื่มเหล้าอย่างสนุกสนานอยู่เต็ม ข้างทาง บ้างก็กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวอยู่กระหนุงกระหนิง แต่เจนสังเกตเห็นว่ามือของหญิงสาวนั้นกำลังล้วงลงไปในกระเป๋าของชายหนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว ดูท่าทางเมืองนี้คงจะเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของพวกโจรอย่างแท้จริง



ในตอนนี้เจนคิดว่าที่ ๆ ควรจะไปเป็นที่แรกคือพาคุณลุงสารถีไปหาหมอก่อน ถึงน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตจะช่วยพยุงชีวิตของลุงได้จนมาถึงที่เมือง แต่อย่างไรเขาก็เป็นเอไอ น้ำยาเพิ่มพลังชีวิตไม่ได้ช่วยรักษาบาดแผลเหมือนกับที่มีผลกับผู้เล่น ดังนั้นถ้าหากบาดเจ็บก็ต้องทำการรักษาตามปกติเช่นคนธรรมดาทั่วไปถึงจะหายเป็นปกติได้



คลินิกของเมืองแห่งนี้ในตอนแรกเจนนึกว่าจะเป็นตึกเล็ก ๆ โทรม ๆ แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าที่แห่งนี้ถึงจะมีขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ที่นั่นก็สะอาดพอสมควรเลยทีเดียวและยังมีหมอที่ดูไว้ใจได้อีกด้วย



"อืม...โดน ยิงเข้าที่ชายโครง แต่กระสุนทะลุ คงไม่ได้โดนจุดสำคัญอะไร เพราะถ้าโดนล่ะก็คงตายไปนานแล้ว ไม่ได้มานอนอยู่ตรงนี้หรอก ไม่ต้องเป็นห่วง เขารอดแน่" หมอตอบหลังจากตรวจดูอาการของคุณลุงสารถีเรียบร้อยแล้ว ทำให้เจนรู้สึกโล่งใจมากเลยทีเดียว



เด็กสาวเดินเข้าไปหาลุงสารถีที่นอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น "ขอบคุณมากเลยนะลุงที่พาพวกเรามาที่นี่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันอันตราย แล้วก็ต้องขอโทษเรื่องรถม้าของลุงด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าพยาบาลเองก็แล้วกัน"



ไม่ว่าเปล่า เธอหยิบเงินออกมากว่า 50,000 โกลด์แล้วยื่นให้กับหมอที่รักษาลุงสารถีอยู่ทันที



"หวังว่านี่คงพอค่ารักษานะ แล้วก็นี่เอาให้ลุงเอาไว้ซ่อมรถม้านะ" เจนว่าแล้วควักเงินออกมาอีก 50,000 ให้กับลุงสารถี เขาถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อจู่ ๆ มีคนยื่นเงินก้อนใหญ่มาให้เขา เพียงแค่หมื่นเดียวเท่านั้นก็สามารถซื้อรถม้าดีๆได้ซักคัน แต่เด็กตรงหน้ากลับยื่นเงินมาให้โดยไม่ได้รู้สึกอะไรเลยซักนิด



"เฮ้ย...นี่ไอ้หนู เอาเงินเยอะขนาดนี้ให้ฉันคิดดีแล้วงั้นหรือ"



"เอ...ก็ ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่ลุง เรื่องแบบนี้มันก็ปกติอยู่แล้วนี่นา" เด็กสาวตอบด้วยใบหน้าไร้เดียงสา เธอพูดออกมาจากใจจริงทำให้ชายชราตรงหน้าถึงกับยิ้มออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยทีเดียว



คุณลุงสารถียันตัวเองลุกขึ้นมาแล้วพูดขึ้น "ต่อจากนี้พวกแกจะไปไหนต่อล่ะไอ้หนู"



"คงจะไปที่สำนักงานนายอำเภอก่อนล่ะ ในกระดานข่าวบอกเอาไว้ว่าที่นั่นจะมีภารกิจเปลี่ยนอาชีพเป็นมือปืน...ทำไม หรือลุง ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า" แจ็คถามเมื่อเห็นสีหน้าของลุงสารถีที่กำลังมองมาที่เขา



"คิดดีแล้วหรือไอ้หนู ไปหานายอำเภอในเมืองที่เต็มไปด้วยโจรแบบนี้เนี่ยนะ" ลุงสารถีพูดทำให้พวกเจนเองก็คิดขึ้นมาได้เช่นกันว่าเมืองที่ไร้กฎหมายเช่นนี้จะมีนาย อำเภออยู่ได้ยังไงกัน



"ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไปที่บาร์กระสุนดำ..."



"หือ หมายความว่ายังไงกันลุง" แจ็คถามอีกครั้ง แต่คุณลุงสารถีกลับไม่ยอมตอบและหันไปหาหมอที่ยังยืนอึ่งกับเงินที่เพิ่งได้รับมาอยู่



"หมอ! รีบ ๆ รักษาซักที ฉันง่วงจะแย่อยู่แล้ว"



"หะ..หือ เข้าใจ เดี๋ยวจะเริ่มทำการรักษาแล้ว หลังจากทำการรักษาเสร็จต้องให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน พวกเธอออกไปทำธุระของพวกเธอเถอะ" พูดจบเขาก็ดันทั้งสามออกไปจากคลินิกและปิดประตูใส่หลังมา



พวกเจนยังไม่ทันตั้งสติได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ตอนนี้จะให้กลับเข้าไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอยู่ดี



"เอา ล่ะ ตกลงว่าพวกเราควรจะไปที่ไหนดี ไปที่สำนักงานนายอำเภอหรือจะไปที่บาร์อย่างที่ลุงนั่นบอก" โจพูดขึ้น เขาไม่ค่อยอยากจะอยู่ในที่แบบนี้นานซักเท่าไหร่ เพราะมันเสี่ยงที่จะเสียเงินในประเป๋าของเขาโดยใช่เหตุมากเลยทีเดียว



"ฉันว่าพวกเราไปตามที่คุณลุงบอกดีกว่านะ นายล่ะว่ายังไง เลือกเอาเลย นี่เป็นทีของนาย" เจนพูดแล้วหันไปหาแจ็คที่อยู่ข้าง ๆ



เด็กหนุ่มยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนแล้วตอบออกมาอย่างมั่นใจ "ไปตามที่ตาลุงนั่นบอกเถอะ บางทีพวกเราอาจจะเจอภารกิจพิเศษก็ได้นะ"



"ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงว่าไปที่บาร์...อะไรนะ"



"บาร์ กระสุนดำไงเล่า นายเนี่ยน้า.." เจนส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ แล้วรีบพาเพื่อนทั้งสองเดินจากไปทันที เพราะถ้าหากยังอยู่นานกว่านี้มีหวังอาจจะโดนปล้นเอาก็ได้







ในระหว่างที่พวกเจนเดินทางไปยังบาร์กระสุนดำที่เป็นจุดหมายนั้น พวกเธอได้เจอโจรเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอที่เข้ามาดักปล้น แต่เมื่อเจอกับทักษะการต่อสู้ของเจนกับพลังเวทของโจก็จัดการไล่พวกนั้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่าสิ่งเจนรู้สึกกังวลตอนนี้คือพวกกิลด์พิฆาตราชามากกว่าเพราะถึงตอนนี้เธอจะยังไม่เห็นว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าพวกกิลด์พิฆาตราชากำลังเฝ้ามองอยู่ที่ไหนซักแห่งอย่างแน่นอน หวังได้เพียงว่าคนของกิลด์พิฆาตราชาจะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นผู้เล่นที่พวกมันกำลังตามหาอยู่



"เฮ้ย ส่งของมีค่ามาให้หมดถ้ายังอยากมีชีวิตออกไปจากเมืองนี้!" โจรคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง ดูท่าทางเขาคงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของคนพวกนี้ ด้านหลังของเขามีลูกน้องอยู่นับสิบพร้อมอาวุธครบมือ



"เฮ่อ... เอายังไงดีเจน นี่พวกเราโดนขู่แบบนี้เป็นรอบที่สิบแล้วนะตั้งแต่มาถึงเมืองนี้ มันชักจะหมดความตื่นเต้นแล้วสิ" โจพูดพร้อมกับชูมือที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านขึ้นอย่างน่ากลัวจนทำให้พวกโจรไม่กล้าเข้ามา



"จะทำยังไงได้ล่ะ ลุงเขาก็บอกอยู่เมืองนี้มีแต่โจร พวกนายเองหาข้อมูลของเมืองนี้มาแล้วไม่ใช่หรือไง" เจนว่าแล้วชักดาบคุซานางิออกมา พวกโจรเห็นดาบถึงกับผงะเพราะไม่เคยเห็นดาบที่ดูทรงพลังขนาดนี้มาก่อน แต่ในเวลาเดียวกันความโลภก็ก่อตัวขึ้นจนไม่มีใครยอมถอย



"ก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะโดนเจอแบบนี้แน่ แต่ไม่คิดว่าจะเจอบ่อยเป็นเซเว่นอีเลเว่นแบบนี้นี่หว่า" แจ็คพูดแล้วเก็บปืนเข้ากระเป๋า



"นี่!! นายเก็บปืนไปทำไม" เจนถามอย่างตกใจ ถึงในตอนนี้แจ็คจะยังทำอะไรไม่ได้มาก การเก็บอาวุธไปแบบนี้ก็ไม่ใช่การกระทำที่ควรในตอนนี้แน่



"ใครเขาจะบ้าใช้ปืนไรเฟิ่ลไปสู้ระยะประชิดกันเล่า หวังว่าปืนโลกันต์จะพอเอาอยู่นะ" ว่าแล้วเขาก็ชักปืนลูกโม่สีแดงออกมาเตรียมพร้อม



"เฮ้ย!! ข้าคุยกับพวกแกอยู่นะเว้ย!! อย่าคิดว่าจะเมินกันได้แบบนี้นะ พวกเรา ฆ่ามัน!!!" หัวหน้าโจรผู้นั้นตะโกนเสียงดัง แล้วพวกโจรก็ดาหน้าเข้าใส่พวกเจนทันที







โจรคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่แจ็คก่อนใครเพื่อนเพราะเขามีแค่ปืนพกในมือจึงคิดว่าน่าจะจัดการได้ง่ายกว่า แต่เขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองคิดผิดเพราะเมื่อพุ่งเข้ามาในระยะ แจ็คก็ยกปืนขึ้นชี้เป้าหมายอย่างรวดเร็วก่อนจะกดลั่นไก



ตูม!!!



แทนที่จะเป็นเสียงปืนปกติกลับกลายเป็นเสียงระเบิดดังลั่น ลูกไฟพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนโลกันต์เข้าใส่ร่างของโจรที่กำลังโจมตีใส่ แทนที่จะพุ่งเข้าถึงตัวแจ็คกลับโดนลูกไฟกระแทกใส่กระเด็นกลับไปหาพรรคพวกของตัวเอง ถึงแม้จะยังไม่ตายแต่ก็ทำให้โจรคนนั้นสลบเหมือดไป บนร่างของเขามีบาดแผลไฟไหม้ราวกับโดนเวทลูกไฟใส่



เมื่อพวกโจรได้ยลพลังของปืนโลกันต์ก็รีบถอยห่างออกไปเพราะไม่อยากจะเป็นอย่างโจรคนนั้นที่กำลังโดนลากออกไปแล้ว



"สุดยอด!!" เจนร้องตะโกน เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ปืนกระบอกเล็ก ๆ เท่านั้นสามารถสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้



"แจ๋ว... ให้มันได้แบบนี้สิ ฮ่าฮ่า!" แจ็คหัวเราะอย่างสะใจ ตั้งแต่เริ่มเกมมาเขาเป็นคนที่มีพลังน้อยที่สุดในกลุ่ม ของที่ได้ก็ธรรมดาที่สุดเช่นกัน ทำให้ความสำคัญของเขาดูน้อยลงมาถ้าเทียบกับเพื่อนทั้งสองคน พอเขาได้อาวุธระดับสูงมาบ้างทำให้ตอนนี้เขาเพิ่มระดับขึ้นมาพอจะเทียบเท่ากับเพื่อนทั้งสองแล้ว



"อย่าไปกลัวสิวะไอ้พวกบ้า! มันพวกมีแค่สามคน พวกเรามีกันเยอะกว่านะโว้ย รีบฆ่าพวกมันเซ่!!" โจรหัวหน้ากลุ่มออกคำสั่งอีกครั้ง พวกโจรคนอื่น ๆ ได้สติแล้วต่างก็พุ่งโจมตีทั้งสามอีกครั้งด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิม



แทนที่จะตกใจเพราะศัตรูมีจำนวนมากกว่าและยังมีระดับที่สูงกว่าอีกด้วย แต่ว่าโจนั้นกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายและชูมือขึ้นฟ้าพร้อมกับปล่อยพลังสายฟ้าออกมาอย่างรุนแรง



ธันเดอร์บลาส!!!



สายฟ้าระเบิดออกจากมือของโจและกระจายเป็นวงกว้างเสียงดังสนั่น แรงระเบิดกระแทกร่างของพวกโจรกระเด็นลอยไปไกลคนละทิศคนละทางไม่เว้นแม้แต่ตัวหัวหน้าเองที่ยืนอยู่ไกลที่สุดก็ตาม เจนและแจ็คที่รู้อยู่แล้วว่าโจจะทำอะไรจึงหมอบลงกับพื้นรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ว่าด้วยพลังขนาดนี้ที่ทำให้เกิดเสียงดังและแสงสว่างจ้าไปทั่วเมืองก็ทำให้ในตอนนี้ทั้งสามตกเป็นจุดสนใจของคนบริเวณโดยรอบเข้าซะแล้ว



เจนที่เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบดึงร่างของเพื่อนทั้งสองคนวิ่งออกไปจากที่แห่งนั้นก่อนจะมีคนมามากกว่านี้ ดีไม่ดีอาจจะพาพวกกิลด์พิฆาตราชามาหาโดยที่ไม่ได้เกี่ยวเรื่องผู้เล่นที่กำลังตามหาเลยก็เป็นได้



หลังจากที่ทั้งสามหลบออกมาจากจุดเดิมแล้ว พวกเธอก็มาหลบอยู่ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครผ่านมาเห็นแล้วเจนก็รีบหันไปหาเจ้าตัวต้นเรื่องทันที



"นี่ นายทำบ้าอะไรลงไปรู้ตัวมั้ยเนี่ย เล่นทำแสงสีเสียงไปขนาดนั้นถ้าหากพวกกิลด์พิฆาตราชามาเจอพวกเราเข้า นายจะว่ายังไงหือ!" เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



"อ้าว! ก็ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าจะใช้เวทแบบที่สามารถจัดการพวกโจรที่มาปล้นพวกเราในครั้งเดียวไง" โจพูดขึ้นเหมือนกับเป็นคำถาม



"ใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะโจ่งแจ้งแบบนั้นล่ะ แบบนี้มีหวังคนทั้งเมืองได้พลิกแผ่นดินตามหาพวกเราแน่เลย"



"ว่าแต่เมื่อกี่พวกนายสังเกตหรือเปล่าว่าพวกเราจัดการพวกโจรไปได้เท่าไหร่ ฉันไม่ได้ยินระบบรายงานว่าได้ค่าประสบการณ์จากโจรคนที่ฉันเพิ่งยิงไปเลยอ่ะ" แจ็คพูดขึ้น



พอได้ยินเช่นนั้นเจนก็ลองมาเปิดดูหน้าต่างรายงานดูบ้าง เช่นเดียวกับโจที่ก้มลงมองหน้าต่างแสงตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ



"จริงด้วย ไม่มีขึ้นบอกเลยว่าได้ค่าประสบการณ์จากพวกโจร ฉันเองยังมีเลเวลห้าสิบเก้าอยู่เลย" เจนว่า



"ของฉันก็เหมือนกัน ลองย้อนดูไปตั้งแต่ตอนที่เราโดนโจรไล่บนรถม้าหรือจะย้อนไปตั้งแต่ตอนที่เราอยู่บนเรือก็ด้วย ดูท่าทางพวกเราจะไม่ได้จัดการไอเอไปเลยแม้แต่คนเดียวนะ" โจว่า ทั้ง ๆ ที่เขาทุ่มพลังลงไปเต็มที่ตั้งแต่ตอนที่สู้กับพวกโจรสลัดหรือจะเป็นโจร ไล่ตามบนรถม้า และล่าสุดคือเมื่อครู่นี้ด้วย



"อย่างนี้ก็แปลว่าพวกเอไอเองก็ไม่ได้จัดการง่ายๆอย่างพวกมอนสเตอร์เลย ฉันลองใช้ทักษะตรวจสอบดูแล้ว พวกนั้นมีระดับยศขุนนางกันทุกคน ฉันว่าถ้าพวกเรายังมีระดับต่ำอยู่แบบนี้ล่ะก็คงมีปัญหาทีหลังแน่ ๆ"



"เอาไว้พวกเราเปลี่ยนอาชีพให้แจ็คก่อนแล้วค่อยไปหาที่เก็บเลเวลก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราไปหาที่ซ่อนตัวก่อนดีกว่า" เจนแสดงความคิดเห็น เธอแอบมองออกไปข้างนอกตรอกที่เธอกำลังอยู่มีคนเดินผ่านไปมาอยู่ไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่ทั้งสามจะออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว



"เอ่อ...เจน เธอจำบาร์ที่ลุงนั่นบอกได้มั้ยว่ามันชื่ออะไร" แจ็คถามขึ้นระหว่างมองไปที่อะไรบางอย่าง โจเองก็กำลังมองอยู่เช่นกัน



เจนที่มองไปอีกทางก็หันมาตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ มีเธอแค่คนเดียวกันหรือยังไงที่ฟังลุงสารถีพูดเนี่ย "ลุงเขาบอกว่าบาร์กระสุนดำไงเล่า พวกนายเนี่ยช่วยหัดจำ...เอ๋"



เจนค่อย ๆ เงียบเสียงไปเมื่อมองเห็นป้ายที่แขวนอยู่อาคารที่ตั้งอยู่ข้างตรอกที่ทั้งสามเคยหลบซ่อนอยู่ 'กระสุนดำ'



"เอาจริงอ่ะ บทจะหาง่ายมันก็ง่ายแบบนี้เลยหรือเนี่ย"



"คงจะอย่างนั้นพวกเราเข้าไปกันเถอะ" โจตอบเพื่อนของเขาแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน



เรื่องราวเหมือนกับว่าจะเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเจน หากแต่มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองพวกเธอกำลังเข้าไปในบาร์ตรงหน้าอยู่ ทันใดนั้นสายตาคู่นั้นก็หายไปในเงามืดโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่นิดเดียว







ภายในบาร์กระสุนดำที่พวกเจนเดินเข้ามาไม่ได้แตกต่างไปจากบาร์ธรรมดาเท่าไหร่นัก ที่นี่มีแค่คนอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นกำลังนั่งอยู่ที่มุมของร้าน และมีอีกหนึ่งคนกำลังดื่มเครื่องดื่มอยู่บนเคาน์เตอร์ซึ่งมีบาร์เทนเดอร์กำลังเช็ดแก้วตามประสา ทุกคนในร้านต่างแต่งตัวคล้ายกันคือเสื้อโค้ทหนังสีดำไม่ก็สีน้ำตาล กางเกงดำคล้ำกับรองเท้าบูทดำและหมวกคาวบอยอยู่บนหัวรวมถึงตัวบาร์เทนเดอร์ เองด้วย และก็เป็นที่แน่ใจสำหรับเจนแล้วทุก ๆ คนในเมืองต่างก็พกปืนเอาไวที่เข็มขัดไม่เว้นแม้แต่คนเดียว



เมื่อทั้งสามเดินผ่านประตูมาสายตาทุกคู่ที่อยู่ในร้านต่างก็มองมาที่ทั้งสามเป็นตาเดียว ดวงตาเย็นชาของพวกเขาที่มองมาแทบทำให้เธอรู้สึกก้าวขาแทบไม่ออก พวกโจเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก พอพวกเจนไม่กล้าขยับกันแม้แต่คนเดียว บาร์เทนเดอร์ที่มองอยู่ก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งแบบยุคตะวันตก



"ที่นี่ไม่ใช่ที่เที่ยวสำหรับเด็ก ๆ รีบออกไปซะ" บาร์เทนเดอร์พูด แล้วทันใดนั้นเจนก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่เคยจ้องมองพวกเจนอยู่ได้หายไป คนอื่นๆที่อยู่ในร้านต่างก็หันกลับไปทำกิจของตนไม่สนใจผู้มาให้ทั้งสามอีกต่อไป



แจ็ครู้ว่าเขาเป็นคนที่ขอให้ทุกคนมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่นแล้วพูดขึ้น "คือมีคนบอกว่าถ้าอยากเป็นมือปืนก็ให้มาที่นี่น่ะครับ"



พูดจบเจนก็รู้สึกได้ถึงดวงตาทุกดวงจ้องมาที่พวกเธออีกครั้ง ถ้าหากทุกครั้งที่เปิดปากพูดจะต้องเจอแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ



"มือปืนงั้นหรือ ได้ยินว่านักเดินทางอย่างพวกเธอจะกลายเป็นมือปืนได้ก็ต้องไปหานายอำเภอไม่ใช่หรอกหรือไง..." บาร์เทนเดอร๋ตอบ เขาสวมหมวกปีกกว้างปกปิดใบหน้าเอาไว้ ทำให้เจนมองไม่เห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก แต่ก็พอมั่นใจว่าคงมีอายุไม่น้อยเลยจากน้ำเสียงและผมสีขาวยาวของเขา



แจ็คไม่ตอบคำ เจนและโจก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี บาร์เทนเดอร์เห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบาขึ้น "แต่ก็นะ ในเมืองแบบนี้จะไปมีนายอำเภอได้ยังไงจะเจอก็แต่มหาโจรซะมากกว่า หึหึ..."



"แล้วพวกเธอไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกันหือ ไอ้หนู" บาร์เทนเดอร์ถามเสียงต่ำพลางวางแก้วที่เช็ดอยู่ลงและหันมาตั้งใจคุยกับพวกเจน



"พวกเราเดินทางมาที่นี่กับคุณลุงคนหนึ่ง ระหว่างทางพวกเราถูกโจรดักปล้นแต่ก็หนีมาได้ พวกเราพาลุกแกไปส่งที่คลินิก พอรู้ว่าผมอยากเป็นมือปืนก็บอกให้ผมมาที่นี่น่ะครับ" แจ็คตอบอย่างสุภาพ เขาไม่อยากจะมีเรื่องกับคนพวกนี้ถ้าเป็นไปได้



บาร์เทนเดอร์ได้ยินดังนั้นจึงเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ เขาหัวเราะเบาๆแล้วจึงกวักมือเรียกมาที่เคาน์เตอร์ ทั้งสามเดินเข้าไปต้อยๆอย่างว่าง่าย ดูไปก็น่าขันไม่น้อย



"ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่ามีคนแนะนำมาล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องมากความ" บาร์เทนเดอร์พูดแล้วถอดหมวกปีกกว้างออก เจนมองเห็นใบหน้าของชายตรงหน้าที่ทำให้เธอถึงกลับกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ



"ฉัน มีชื่อว่าไวแอท เอิร์ป ยินดีต้อนรับพวกเธอสู่บาร์กระสุนดำของฉัน..เอ่อ นั่นเพื่อนของเธอเป็นอะไรหรือเปล่า" บุรุษตรงหน้าพูดแนะนำตัวเอง ใบหน้าซีกขวาของเขานั้นเป็นเหมือนกับเทียนที่ถูกไฟลน มีผิวหนังส่วนหนึ่งบนใบหน้าเชื่อมติดกับริมฝีปากล่างดูน่ากลัวและยังปากแบะจนเห็นฟันสีเหลืองในปากของเขาเลยทีเดียว





พวกเจนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นใบหน้าของเอิร์ปแบบกระชั้นชิดเช่นนี้ ขนาดโจเองก็ถึงกับเป็นลมสลบไปในทันที ถึงเจนจะไม่เคยไดัรู้จักประวัติศาสตร์ของคนคนนี้มามากนัก แต่เธอก็มั่นใจว่าเขาเองก็คงเป็นมือปืนผู้เก่งกาจคนหนึ่งเช่นกันแต่เธอก็มั่นใจอยู่ว่าตามประวัติศาสตร์ใบหน้าของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้แน่



เมื่อเอิร์ปเห็นว่าเด็กทั้งสามไม่กล้าพูดอะไรตอบ เขารู้ว่ามีสาเหตุมาจากใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเขา แต่เรื่องพรรณนั้นเขาเจอจนชินไปเมื่อนานมาแล้ว เพียงแค่เด็ก ๆ ตรงหน้าเขาไม่ตกใจจนวิ่งหนีออกจากร้านก็ถือว่าดีแล้ว



"เอาล่ะ ใครที่อยากจะเป็นมือปืนลองเอาปืนที่ใช้อยู่ออกมาดูหน่อยซิ"



แจ็คได้สติจากเสียงดังของเอิร์ป เขารีบนำปืนโลกันต์กับปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นออกมาให้ดูทันที เมื่อเอิร์ปเห็นปืนทั้งสองกระบอกก็ถึงกับพยักหน้าขึ้นลง เจนหวังว่านั่นคงเป็นพยักหน้าในแบบที่มีความหมายดีๆ



"ไม่เลว...ปืนโลกันต์ ไม่ได้เห็นของดีแบบนี้มาหลายปีแล้ว น้ำหนักและระยะยิงเป็นเลิศ เสียอย่างเดียวแค่แรงดีดเยอะไปหน่อย ยิงต่อเนื่องไม่ได้" ชายชราพูดและลองยกปืนเช็คศูนย์เล็ง เป็นอย่างที่เอิร์ปพูดไม่มีผิดเพราะตอนนี้มือของโจยังรู้สึกชาจากแรงกระแทกของปืนโลกันต์อยู่เลย



เอิร์ปมองไปที่ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่วางอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะเมินหันมามองพวกเจนอย่างรวดเร็วโดยที่ทั้งสามไม่รู้เลยว่าเขามองปืนไรเฟิ่ลที่วางอยู่ด้านหน้า



"ปืนของนายดีมาก แต่จะให้เป็นมือปืนมันก็น่าเสียดายอยู่ เอาเป็นว่าฉันจะเสนออย่างอื่นที่ทำเงินได้มากกว่ามือปืน....สนใจมั้ยไอ้หนู" เอิร์ปพูด แจ็คได้ยินดังนั้นก็รีบหันหลังไปหาเพื่อนด้วยความตกใจแล้วรีบหันกลับมาพยัก หน้าตอบตกลงทันที



"อาชีพอะไรหรือครับที่ดีกว่ามือปืน!?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงดีใจ เพราะจากที่ฟังดูท่าทางเขาจะได้อาชีพใหม่แบบโจที่เป็นอาชีพที่เก่งกว่าอาชีพธรรมดาปกติทั่วไปซะอีก



"นักล่าเงินรางวัล..." เอิร์ปพูด



"ถ้าอยากจะเป็นนักล่าเงินรางวัล แกคงต้องผ่านการทดสอบของฉันซะก่อน มากับฉันที่หลังร้านทิ้งเพื่อนของแกเอาไว้ที่นี่ ใช้เวลาไม่นานหรอก"



"ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะอยู่เฝ้าโจเอง นายไปเถอะ" เจนพูดขณะที่เธอก้มลงไปดูอาการของโจ เขาไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เจนจึงปล่อยเขานอนอยู่ที่เดิม



แจ็คพยักหน้าแล้วเก็บปืนของเขาเข้าซองและสะพายปืนไรเฟิ่ลจากนั้นจึงเดินตาม เอิร์ปไปด้านหลังร้าน ทิ้งเอาไว้ให้เจนนั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ส่วนโจนั้นเจนก็ปล่อยให้นอนอยู่บนพื้นบาร์โดยไม่สนสายตาของคนในร้านที่กำลังมองอยู่เลยแม้แต่น้อย ดูท่าทางการถูกจ้องมองบ่อยๆแบบนี้ก็ทำให้เจนรู้สึกชินไปเหมือนกัน



ระหว่างที่กำลังรอแจ็คอยู่นั้นเจนก็ลองค้นคว้าข้อมูลของไวแอท เอิร์ป ดู ปรากฏว่าเขาเป็นนายอำเภอของเมืองเล็กๆในสหรัฐอเมริกาในอดีต โดยเขานั้นมีประสบการณ์โชกโชนในการปราบโจรและพวกนอกกฎหมายมานับไม่ถ้วน จนได้ฉายาว่านายอำเภอชาติเพชรแห่งเมืองทูมสโตน เมื่อค้นลึกลงไปอีกก็พบว่าในประวัติศาสตร์จริงๆนั้นเขาไม่ได้มีแผลบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวนั่นก็คือเขาได้แผลมาจากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในเกมนี้ แต่เธอก็คิดว่าถ้าไม่รู้คงจะดีกว่า และต่อให้อยากรู้อดีตนายอำเภอที่ผันตัวมาเป็นบาร์เทนเดอร์คนนี้ก็ไม่น่าจะบอกคนอย่างพวกเธอ อย่างแน่นอน



หลังจากเจนได้ยินเสียงปืนไปเกือบร้อยนัด ซึ่งเจนไม่แน่ใจว่ามันเป็นเสียงปืนของแจ็คเพียงคนเดียวหรือไม่ หรือว่าจะเป้าที่ยิงมันคืออะไร เพราะเสียงปืนนั้นเหมือนกับเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ หลังจากเวลาผ่านไปได้เกือบสองชั่วโมง โจก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับที่แจ็คและเอิร์ปกลับเข้ามาในร้านพอดีซึ่งใบหน้าของแจ็คนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้ม



"เรียบร้อย! ฮ่าฮ่า!" เด็กหนุ่มตะโกนอย่างดีใจแล้วเข้าไปหาเพื่อน ๆ ของตน ในขณะที่เจนรีบตบหน้าเพื่อนของตัวเองให้ได้สติเพราะสลบไปอีกรอบจากการเห็นใบหน้าของไวแอท เอิร์ป



"เดี๋ยว เอาไว้ฉันปลุกเจ้าอ้วนตาขาวนี่แล้วแล้วจะไปแสดงความยินดีด้วยนะ ว่าแต่ตอนนี้นายมีทักษะอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้างล่ะ" เจนถาม มือของเธอนั้นยังพยายามเขย่าร่างของโจราวกับกำลังเขย่าตุ๊กตา



"เจ๋งสุด ๆ ไปเลยล่ะ แต่ละทักษะช่วยให้ยิงปืนได้เข้าเป้าได้อย่างกับจับวางเลย มีทักษะทำให้ยิงปืนได้ทุกสถานการณ์ และก็ยังมีทักษะที่ช่วยตามตัวพวกคนที่มีค่าหัวได้อีกด้วย" แจ็คบอก แต่ละทักษะที่เขาพูดมานั้นก็เหมาะสมกับอาชีพนักล่าค่าหัวมากเลยทีเดียว



"เฮ่ ไอ้หนู ไอ้ปืนไรเฟิ่ลนั่นน่ะ มันไม่ธรรมดาไปหน่อยหรือ ได้เวลาเปลี่ยนแล้วมั้ง" เอิร์ปพูดพลางมองไปที่ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นอย่างไม่ละสายตา แจ็คเหลือบไปมองดูปืนของตนก่อนจะกล่าวปฏิเสธไป



"ไม่ดีกว่าครับ ปืนกระบอกนี้มันยิงได้เรื่อย ๆ โดยไม่จำกัดกระสุน ผมไม่ค่อยชอบขนกระสุนไปเยอะ ๆ ให้หนักตัวอยู่แล้ว ตอนนี้ปืนทั้งสองประบอกของผมไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนแบบนี้น่ะเหมาะกับผมอยู่ แล้ว"



ปืนนั้นเป็นอาวุธที่ไม่สามารถเพิ่มพลังโจมตีได้เหมือนอาวุธอื่น ๆ อย่างเช่นดาบสามารถนำไปตีเสริมพลังได้ด้วยแร่เหล็กหลากหลายชนิด หรือใช้ไม้ชนิดพิเศษในการทำคันธนูที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับปืนนั้นใช้แบบนั้นไม่ได้เพราะการทำปืนนั้นไม่ว่าเหล็กจะแข็งแกร่ง เท่าไหร่ก็ไม่ทำให้ปืนนั้นสามารถยิงแรงยิ่งขึ้นได้จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของกระสุนที่เพิ่มพลังโจมตีของปืนแต่ก็ไม่มากนักเมื่อ เทียบกับอาวุธอื่น ๆ ดังนั้นหลายๆคนจึงคิดกันว่าปืนเหมาะที่จะเป็นอาวุธรองมากกว่าอาวุธหลักจึงมีผู้คนไม่มากนักที่จะใช้ปืนเป็นอาวุธหลักอย่างแจ็ค

ถึงจะมีปืนชนิดพิเศษอย่างปืนโลกันต์ก็ตาม แต่ปืนแบบนี้มีอยู่จำนวนอยู่น้อยมากในเกมดิ โอเพ่นเวิล์ด ออนไลน์ และยังเทียบกับอาวุธพิเศษอื่นๆไม่ได้ในของระดับเดียวกันอีกด้วย แต่สิ่งที่ปืนทำได้ในขณะที่อาวุธอื่นทำไม่ได้คือการเสริมอุปกรณ์อย่างที่เก็บเสียงหรือกล้องเล็งระยะไกลหรือเปลี่ยนกระสุนที่ใช้ยิง ดังนั้นการที่โจเก็บปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่มีพลังโจมตีสูงที่สุดในหมู่อาวุธเริ่มต้นคือ 100 และยังสามารถยิงได้ไม่จำกัดกระสุนจึงเป็นอาวุธที่ถือได้เป็นอาวุธระดับ S เลยทีเดียวถ้าหากถูกปรับแต่งดี ๆ



อีกอย่างหนึ่งที่พิเศษเกี่ยวกับอาวุธปืนก็คือมีโอกาสที่จะจัดการศัตรูได้ในการยิงเพียงนัดเดียว แต่นั่นก็ต้องยิงไปที่จุดตายอย่างหัวใจหรือที่หัวเท่านั้นเช่นเดียวกับอาวุธอื่น ๆ แต่ปืนสามารถยิงได้ทั้งระยะใกล้และไกล เพียงแค่เหนี่ยวไกเท่านั้นไม่จำเป็นต้องออกแรงเหมือนดาบและธนู



ไวแอท เอิร์ปยิ้มที่มุมปาก เด็กคนนี้นั้นหัวไวอยู่มากที่รู้จักการใช้ปืนเช่นนี้ ปกตินั้นปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นไม่ว่าใครจะหามาใช้ก็ได้ถ้าหากเลือกตั้งแต่ตอนเปิดกระเป๋าเริ่มต้น แต่สิ่งที่ทุกคนไม่นึกถึงคือความสามารถพิเศษของอาวุธประเภทปืนนั่นก็คือยิงกระสุนได้ไม่จำกัด ดังนั้นผู้เล่นที่เลือกอาวุธเริ่มต้นเป็นปืนหลังจากที่ได้อาวุธใหม่แล้วก็พากันทิ้งปืนเริ่มต้นกันเสียหมด ดังนั้นทำให้คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่พวกเอไอระดับสูงกับเหล่าผู้เล่นไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้และเก็บเอาไว้เป็นความลับจากผู้เล่นคนอื่น ๆ เพราะกลัวจะทำให้ระบบของเกมแก้ไขในเรื่องนี้และทำให้อาวุธของตนกลายเป็นหมันไปซะ



ชายชราเดินกลับเข้าไปที่เคาน์เตอร์บาร์แล้วก้มลงหยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้ววางเอาไว้ด้านหน้าของแจ็ค มันเป็นกล้องเล็งประกอบสำหรับปืนสไนเปอร์ไรเฟิ่ลและปืนพกพิสตอลอีกหนึ่งกระบอกที่มีพลังโจมตีน้อยกว่าปืนลูกโม่แต่สามารถเติม กระสุนได้เร็วกว่าโดยการเปลี่ยนแม็กกาซีน



"นี่เป็นของขวัญให้กับนักล่าเงินรางวัลที่ถูกต้องตามกฎหมายในรอบยี่สิบปีและที่ช่วยเอิร์ลเอาไว้....ขอบใจ" อดีตนายอำเภอกล่าวแล้วส่งของไปให้กับแจ็ค



เด็กหนุ่มรับมาด้วยความยินดีจากนั้นทั้งคู่ก็จับมือกันก่อนทั้งสามจะกล่าวลาและจากออกมาอย่างสบายใจเพราะในตอนนี้เท่ากับว่าแจ็คได้ทั้งปืนกระบอกที่สามซึ่งกลายเป็นปืนคู่และอุปกรณ์ติดปืนไรเฟิ่ลซึ่งแจ็คก็ทำการติดตั้งในทันที ทำให้ปืนไรเฟิ่ลกลายเป็นปืนสไนเปอร์ไรเฟิ่ลกำหรับยิงระยะไกลไปเรียบร้อย ติดอยู่แค่ว่าแรงยิงยังไม่เท่ากับปืนยิงระยะไกลเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากโจสามารถหาอุปกรณ์เสริมที่ทำให้ปืนยิงแรงยิ่งกว่าเดิมได้ล่ะก็ ปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นกระบอกนี้ก็จะเป็นปืนที่ยิงแรงได้อย่างไม่คาดฝันเลยทีเดียว



แต่พอทั้งสามออกมาจากบาร์กระสุนดำแล้วก็พบเข้ากับเรื่องไม่คาดฝันอีกอย่าง เมื่อนอกอาคารนั้นถูกล้อมด้วยคนในชุดคลุมสีดำนับร้อยคนดูคุ้นตาเหมือนกับพวกที่เจนเคยพบก่อนหน้านี้



พวกกิลด์พิฆาตราชา!!



และในใจกลางวงล้อมนั้นมีร่างบางยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าและทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เจนที่เห็นใบหน้าของเธอถึงกับพูดออกอย่างแผ่วเบา



"...อามีร่า"





จบตอนที่ 19 เมืองคนบาป
----------------------------------------------

Tohan-kun
14th January 2014, 11:55
ตอนที่ 20 แสงสว่างของผู้หมดหนทาง





"เธอ...รู้ชื่อของฉันได้ยังไง" อามีร่าเอ่ยปากคุยกับเจนเป็นครั้งแรก สีหน้าของเธอดูตกใจมาก



เจนทำท่าจะเดินเข้าไปหาอามีร่า แต่เพื่อนทั้งสองคนกลับรั้งตัวเธอเอาไว้ก่อน "เดี๋ยวก่อนเจน ตอนนี้พวกเรากำลังถูกล้อมอยู่นะ ถ้าขืนเดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าพวกเราเสร็จแน่"



"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คนอื่น ๆ ถูกสั่งแค่มากันไม่ให้พวกคุณหนีเท่านั้นเอง ฉันจะเป็นคนที่ลงมือเพียงแค่คนเดียว" อามีร่าพูดขึ้นเมื่อได้ยินที่โจกล่าว



"นี่มันหมายความว่ายังไงกัน" แจ็คพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน ทำให้อามีร่ายิ่งมีสีหน้าหดหู่ลงเมื่อได้ยินเสียงเช่นนั้น แต่เธอกลับชินซะแล้วกับการกระทำแบบนี้ ตั้งแต่ที่เธอได้ฉายาที่เธอแสนเกลียดว่า 'อีกา'



"....ฉันได้รับคำสั่งมาให้มายืนยันตัวผู้เล่นที่ต่อต้านกิลด์พิฆาตราชาประจำเมืองแห่งนี้" เมื่อพูดจบเธอก็มองตาของเจนคล้ายกับว่าจะขอโทษ



"หลังจากยืนยันได้แล้ว ฉันก็ได้รับคำสั่งมาให้กำจัดพวกคุณค่ะ"



โจและแจ็ครีบตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ทันทีที่อามีร่าพูดจบ แต่เจนกลับส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามแก่ทั้งสองคน


"ฉันจัดการเรื่องนี้เอง พวกนายถอยไปเถอะ"



"จะบ้าหรือไง! เจอเข้าไปคราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีก ยัยนี่มีระดับยศขุนนางเชียวนะ เธอสู้คนเดียวไม่มีทางชนะหรอก" โจพูดด้วยน้ำเสียงดุดันแต่เจนก็ยังไม่ยอมและหันไปสบตากับแจ็ค



เพียงแค่มองตากันครั้งเดียวแจ็คก็พอจะรู้ว่าเธอต้องการที่จะให้เขาทำอะไร ชายหนุ่มพยักหน้าตกลงแล้วส่งของบางอย่างให้ จากนั้นจึงดึงตัวเพื่อนของตนให้ถอยกลับออกมา


"ฉันเข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ ถึงเธอจะมีทักษะนั้นอยู่แต่ฝั่งตรงข้ามก็มีฝีมือไม่ธรรมดาเหมือนกัน"



เด็กสาวพยักหน้าแล้วรับสิ่งของนั้นเอาไว้แล้วจึงหันกลับไปหาอามีร่า เจนก้าวเดินเข้าไปหาเด็กสาวโดยไม่กลัวเหล่าคนชุดดำที่ยืนล้อมอยู่จะเข้ามาโจมตีเธอเลยแม้แต่น้อย สายตาของเธอในตอนนี้จับจ้องไปที่เด็กสาวผมดำตรงหน้าของเธอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



"ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เธอกำลังทำผิดอยู่นะ เธอมากับฉันสิ ฉันสัญญาจะหาทางช่วยเธอเอง"



อามีร่ารู้สึกประหลาดใจที่เจนไม่ยอมแพ้และพยายามจะกล่อมเธอทั้ง ๆ ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเธอมาก่อน คนส่วนใหญ่ที่เจอเธอนั้นก็มีอยู่บ้างที่พยายามช่วยเหลือเธอ แต่ไม่ใช่เมื่อมันเป็นการเจอกันเป็นหนที่สองเช่นนี้ แล้วยิ่งเมื่อรู้ว่าตอนนี้เธอตกอยู่ในเงื้อมมือใครแล้วล่ะก็ยิ่งไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยวกับเธออีก บางคนถึงกับตราหน้าเธอว่าเป็นตัวกาลกิณีด้วยซ้ำไป



แต่เมื่อเธอมาพบเจนที่ทำตัวต่างกันออกไป ครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอกันนั้นต่างคนต่างแทบจะไม่คิดจะสู้กันเลย แต่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับจึงทำให้เด็กสาวต้องลงมือ เมื่อดาบสุดท้ายของอามีร่ากำลังจะบั่นคอของเจนแต่เจ้าตัวกลับไม่คิดจะยกดาบมาป้องกันเลยด้วยซ้ำ เจนทำเพียงแค่มองตาของอามีร่าด้วยความรู้สึกสงสารอย่างสุดหัวใจ



แต่ไม่ว่ายังไง ก็ไม่มีใครช่วยเหลือเธอออกมาจากฝันร้ายได้



"คุณช่วยฉันไม่ได้" เด็กสาวพูดย้ำคำในจิตใจออกมาให้คนตรงหน้าได้ยินพร้อมกับชักดาบคาตะนะออกมา


"ขอโทษนะคะ..."



สิ้นคำ ร่างของอามีร่าก็หายไปในพริบตา เธอมาปรากฏตัวอีกทีต่อหน้าเจนพร้อมกับฟาดดาบใส่ แต่ตอนนี้เจนก็เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว


ร่างของเจนเปล่งแสงออกมาด้วยพลังของทักษะแล้วเธอก็ชักดาบคุซานางิออกมากันอย่างทันท่วงที เด็กสาวผมดำเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะว่าคนตรงหน้าสามารถรับดาบของเธอได้ในความเร็วระดับนี้ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้ แต่อีกใจเธอก็รู้สึกโล่งใจเช่นกันที่เจนอาจจะมีโอกาสสู้กับเธอและหนีรอดไปได้



เจนรีบปัดดาบของอามีร่าออกไปก่อนถอยออกมาตั้งหลัก ตอนนี้เธอไม่มีแผนอยู่ในหัวเลย ถึงระดับของเจนจะเพิ่มขึ้นมาจากครั้งก่อนที่เคยสู้กันแล้วก็ตามแต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เจนได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้ได้



ในตอนนี้ทางรอดทางเดียวคือต้องหวังใช้พลังสถิตร่างเพื่อจัดการอย่างรวดเร็วซึ่งเจนก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แต่ต่อให้เจนสามารถชนะได้จริง ๆ เธอก็ไม่มีแผนที่จะพาทั้งตัวเองและอามีร่าออกไปจากที่แห่งนี้ได้เลย ทุก ๆ อย่างฝากไว้กับพวกโจหมดแล้วและหวังว่าสองคนนั้นจะทำสำเร็จทันเวลา



ก่อนที่ทักษะเสริมพลังจะหมดเวลา เจนรีบพุ่งเข้าโจมตีใส่อามีร่าก่อน เธอไม่ได้คิดจะสู้จนตัวตาย แต่จะพยายามสู้ไปจนกว่าเด็กสาวผมสีดำตรงหน้าสู้ไม่ไหวเท่านั้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เจนคิด คราวนี้เจนพุ่งเข้าไปฟาดดาบอย่างเต็มกำลังแต่อามีร่ากลับสามารถก้าวหลบได้อย่างง่ายดายและฟันสวนกลับมา


ทักษะเสริมพลังยังมีผลอยู่ เจนจึงฉีกตัวหลบดาบและถอยออกมาก่อนจะเสียเปรียบไปมากกว่านี้ ดาบที่อามีร่าฟันสวนมาเมื่อครู่นั้นเจนมองทันเพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้น ถ้าหากพลาดไปแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวเธอก็คงจะหัวขาดไปแล้ว



ทักษะเสริมพลังกายได้หมดเวลาลง เจนมองหน้าไปยังเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง แม้ว่าคราวนี้เธอจะไม่มีทักษะช่วยเหลือแต่ใช่ว่าเธอจะแพ้แล้วซักหน่อย



"นี่! อามีร่า เธอมากับฉันเถอะ ไม่ว่าเธอจะมีปัญหาอะไร พวกเราจะช่วยแก้ไปด้วยกัน" เจนพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้งและหวังว่าอย่างน้อยเด็กสาวคงจะยอมพูดอะไรบ้าง



"ปัญหานี้มันใหญ่เกินตัวคุณ! คุณช่วยฉันไม่ได้ ไม่มีใครทำได้!" อามีร่าตะโกนก้องแล้วพุ่งเข้าใส่เจนด้วยความเร็วที่สูงกว่าเดิม ดาบคาตะนะเฉือนผ่านเรียวแขนบางจนเลือดสีแดงไหลออกมาบนเสื้อโค้ทสีแดงจนทำให้เป็นสีแดงยิ่งกว่า



ดาบของอามีร่ายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เธอพุ่งกลับเข้ามาปะทะเจนอีกครั้งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว คราวนี้เจนยกดาบขึ้นมากันเอาได้ทันด้วยสัญชาติญาณของเธอที่เตือนถึงอันตรายในวินาทีสุดท้าย แต่ก็ยังพลาดดาบที่สามที่ฟันปาดเอวของเจนไปจนได้แผลลึก ความเจ็บปวดพุ่งปรี๊ดจนแทบจะทำให้เธอร้องตะโกนออกมา แต่เจนพยายามกัดฟันทนเอาไว้ให้ได้เพราะเธอต้องตั้งสมาธิเพื่อรับมือดาบต่อไปของอามีร่า แต่เจนมั่นใจว่าอามีร่านั้นยังไม่ได้ตั้งใจจะปลิดชีวิตของเธอ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงหัวขาดไปตั้งแต่แรกแล้ว



ตอนนี้เจนรู้ซึ้งแล้วว่าความแตกต่างของผู้เล่นระดับทหารอย่างเจนและระดับขุนนางอย่างอามีร่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ต่อให้เจนมีอาวุธหรือไอเท็มระดับสูงอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามมีพลังมากกว่า ต่อให้พยายามซักเท่าไหร่ เจนก็ไม่มีวันก้าวผ่านกำแพงที่เรียกว่าระดับไปได้



ตอนนี้เจนมีบาดแผลอยู่ทั่วตัวที่ได้มาจากดาบของอามีร่า แม้ว่าเจนจะพอมองตามได้ทันแต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามได้อย่างทันท้วงที ทำได้แค่พยายามเคลื่อนตัวหลบและลดความเสียหายให้มากที่สุด แต่ดูท่าทางบาดแผลที่เอวนั้นสาหัสเอาการ เจนรู้ว่าถ้าหากยิ่งปล่อยเอาไว้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสียเปรียบ เธอต้องพยายามจัดการจบเรื่องให้เร็วที่สุดแต่ยังทำไม่ได้ถ้าหากยังตามความเร็วของอามีร่าไม่ทันเช่นนี้



ในที่สุดอามีร่าก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง แต่ร่างของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดของเจน โดยเฉพาะที่ดาบนั้นโชกเลือดจนกลายเป็นสีแดงทั้งด้าม ของเหลวสีแดงหยดไหลจากตัวดาบเหมือนกับน้ำที่ไหลออกจากก๊อก สีหน้าของอามีร่านั้นเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทำร้ายคนที่พยายามจะช่วยเหลือเธอ ไม่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึงครั้งที่สอง



ดาบคุซานางิส่องประกายวูบวาบจนทำให้เหล่าคนชุดดำเริ่มมีการเคลื่อนไหวเพราะไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นจะทำอะไรได้แต่พวกเขาได้รับคำสั่งมาอย่างชัดเจนจึงไม่กล้าลงมือเข้าแทรก เจนรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดแสงนั่นไม่ใช่ดาบแต่เป็นคิทซึเนะและฟีบีที่พยายามออกมาจากดาบเนื่องจากรับรู้ว่าเจนกำลังบาดเจ็บหนัก แต่ถึงทั้งสองตัวจะออกมาก็ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้และอาจจะเป็นอันตรายต่อทั้งคู่ คงเป็นการปลอดภัยกว่าที่จะให้ทั้งสองอยู่ในดาบต่อไป



ครั้นจะพยายามเคลื่อนไหวหนีแต่ในตอนนี้เจนกลับทำได้อย่างยากลำบาก แค่ใช้มือถือดาบได้ก็สุดแรงแล้ว ในตอนนี้เธอได้รับบาดเจ็บมากเกินไปจนสู้ต่อไปไม่ไหว หากเจนยังไม่คิดหาทางออกให้ได้ล่ะก็ เธอคงได้ตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน



"ยอมซะเถอะค่ะ ฉันจะจัดการคุณในพริบตา คุณแทบไม่รู้สึกหรอกค่ะ.... หลังจากที่คุณเกิดใหม่แล้วถ้าไม่เลิกเล่นเกมนี้ไปซะก็อยู่ห่าง ๆ จากกิลด์พิฆาตราชานะคะ เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง" อามีร่ากล่าวแล้วค่อยๆย่างก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวตรงหน้าของเธออย่างช้า ๆ เธอไปหยุดอยู่ตรงหน้าและยกดาบทาบที่คอของเจน เตรียมพร้อมที่จะลงดาบเพื่อตัดขาดสายสัมพันธ์สุดท้ายที่แม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่



"นั่นเธอคิดจะทำอะไรของเธอ..." เสียงเย็นของเจนดังขึ้น อามีร่าที่ไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน น้ำเสียงของเจนไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าปองร้ายหรือเกลียดเลยแม้แต่น้อย



"ค..คุณหมายความว่ายังไง" เด็กสาวเอ่ยถามเสียงสั่น



"เธอบอกว่าจะจัดการฉัน... แต่คนที่คิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็ ไม่ร้องไห้แบบนั้นหรอก!" เจนเปล่งเสียงออกมาดังก้อง เธอจ้องไปยังใบหน้าที่อาบน้ำตาของอามีร่า มือน้อย ๆ สั่นไหวเหมือนกับไม่มีแรงแต่ยังพยายามจับดาบให้มั่น



น้ำตาของเด็กสาวร่วงลงสู่พื้น ไม่มีทางเลยที่อามีร่าจะลงมือกับคนที่ยอมเสียสละเพื่อเธอได้มากถึงขนาดนี้ได้ลงคอ นานมากแล้วที่อามีร่าได้พบแต่ความเกลียดชังจากผู้เล่นที่เธอถูกสั่งให้ไปฆ่า ความโหดร้ายที่เธอพบมาตลอดจากคนที่เธอทำงานด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นค่าของเธอไปมากกว่าเครื่องมือที่ไร้จิตใจจนตัวเธอเองก็เริ่มจะตายด้านไปแล้ว แต่แล้วก็มีแสงที่นำทางเธอกลับมา แสงที่ให้ความอบอุ่นที่เธอแทบจะลืมไปแล้วว่ารู้สึกอย่างไร แสงนั้นคือเจนนั่นเอง



"ฉันบอกเธอแล้วว่าจะช่วยเธอให้ได้ คนอย่างฉันพูดอะไรแล้วไม่มีวันคืนคำง่าย ๆ แน่!!" เจนตะโกนก้อง แล้วทันใดนั้นร่างของเธอก็เปล่งแสงสีทองออกมาสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ



พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ทันทีที่ใช้ทักษะ ร่างกายของเจนก็ฟื้นฟูพลังขึ้นมาจนเกือบสมบรูณ์ ถึงจะไม่ได้มีพละกำลังเต็มร้อย แต่ก็เพียงพอที่จะต่อสู้ต่อไปได้แล้ว



ผ่ามิติ!!



เด็กสาวตวัดดาบอย่างรวดเร็วและคลื่นแสงก็พุ่งออกมาจากดาบเข้าใส่เป้าหมาย แต่แทนที่จะพุ่งใส่อามีร่า คลื่นทักษะผ่ามิติกลับพุ่งเข้าปะทะพวกคนชุดดำโดยที่พวกนั้นไม่ทันตั้งตัว



ตูม!!!



คลื่นดาบระเบิดออกอย่างรุนแรงทำให้พวกคนชุดดำถูกแรงกระแทกออกไปคนละทิศคนละทาง แต่มีเพียงคนที่โดนเข้าจัง ๆ เท่านั้นที่กลายเป็นแสงไป



ปัง! ปัง! ปัง!



พร้อมกันกับที่เจนโจมตีใส่กลุ่มคนชุดดำ เสียงปืนก็ดังรัวอย่างถี่ยิบ เหล่าโจรที่อยู่ในเมืองนับร้อยวิ่งออกมาจากอาคารใกล้เคียงและระดมยิงไปยังเหล่าคนชุดดำจนเกิดความวุ่นวายไปทั่ว



เจนเห็นอดีตนายอำเภอไวแอท เอิร์ปกำลังนำกองโจรกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับกลุ่มคนในชุดดำที่กำลังเข้ามาทางนี้หวังจะจับตัวเจนเอาไว้ให้ได้ ทำให้พวกเขาต้องรีบหาที่หลบห่ากระสุนของพวกพวกเอิร์ปกันแทบไม่ทัน



ดูท่าทางแผนที่โจไปจัดการจะลุล่วงไปได้ด้วยดี ดีเกินไปด้วยซ้ำ



เมื่อย้อนไปตอนที่หลังจากที่พวกโจถอนตัวออกไป พวกเขาก็ไปขอความช่วยเหลือจากอดีตนายอำเภอ โดยเจนได้มารู้ทีหลังว่าเขานั้นเป็นผู้นำกองกำลังโจรที่รอคอยจะยึดเมืองกลับมาจากกิลด์พิฆาตราชาอยู่ ดังนั้นเมื่อได้โอกาสจัดการพวกกิลด์พิฆาตราชาที่ปกตินั้นจะหาตัวได้ยากภายในเมืองแห่งนี้ จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อถึงเวลาเก็บภาษีที่สูงลิบเท่านั้น ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ยินดีจะเข้าร่วมเมื่อได้โอกาสจะได้เตะก้นคนของกิลด์พิฆาตราชาเช่นนี้



"ตอนนี้แหละ รีบหนีเร็วเข้า!" เสียงของโจดังขึ้นพร้อมกับมือหนาพุ่งเข้ามาจับมือบางของเจน



ตอนแรกเธอลังเลเพราะใจหนึ่งก็อยากจะอยู่ช่วยพวกไวแอท เอิร์ป เพราะเจนคิดว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาต้องมีกำลังเสริมอย่างแน่นอน กองโจรที่เอิร์ปรวบรวมมานั้นมีจำนวนมากแต่คงไม่พอเมื่อเทียบกับกองทัพผู้เล่นระดับสูงของกิลด์พิฆาตราชา เหล่าโจรส่วนใหญ่ที่ยังไม่ออกมาเข้าร่วมเพราะส่วนหนึ่งยังคงคอยดูท่าทีอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พวกเอิร์ปจะชนะได้ แต่เขาก็สามารถสร้างความวุ่นวายได้มากพอที่พวกเจนจะหนีไปได้โดยไม่มีใครคอยขัดขวาง



ทันใดนั้นเองเจนก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว เธอรีบหันไปหาอามีร่าซึ่งในตอนนี้เธอกำลังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนไม่ทันรู้ตัวว่าเจนนั้นเข้ามาถึงตัวแล้ว



"ตอนนี้ล่ะอามีร่า หนีไปกับพวกเราเถอะ!" เจนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและจับมือของอามีร่าอย่างนุ่มนวล



เด็กสาวผมดำมองหน้าของเจนด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบในอกขึ้นมาถึงใบหน้า มันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน มันทำให้เธออยากจะแสดงความรู้สึกบนใบหน้าจนแทบจะปริยิ้มออกมาซึ่งเธอแทบจะลืมไปแล้วว่าทำยังไง แต่ทันใดนั้นเธอก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาหดหู่ลงอีกครั้งแล้วปล่อยมือออกจากมือของเจน



"ไม่ได้หรอกค่ะ... ถึงฉันจะหนีไปได้ในเกม แต่นอกเกมฉันก็หนีไปไหนไม่ได้ คุณช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ" อามีร่ากล่าวปฏิเสธ น้ำเสียงของเธอดูเศร้าหมองลงดังเดิมอีกครั้ง แต่เจนก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่อยู่ในน้ำเสียง ต่างจากตอนแรกที่ฟังดูไร้วิญญาณ



"เธอพูดอะไรของเธอ...-"



"ไม่มีเวลาอธิบายแล้วค่ะ ตอนนี้กองกำลังหลักใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้ารีบหนีไปตอนนี้อาจจะหนีพ้นก็ได้" อามีร่าตัดบทแล้วรีบผลักไล่ให้พวกเจนหนี แต่เจนยังคงยืนกรานคำเดิมและไม่ยอมถอย เด็กสาวจึงหันไปหาโจและแจ็คเพื่อขอความช่วยเหลือ



ทั้งสองต่างก็รู้สึกแปลกใจเมื่อจู่เด็กสาวที่เคยพยายามจะฆ่าเพื่อของพวกเขากลับมาขอร้องให้รีบพาเจนหนีไปแบบนี้ แต่ความคิดของพวกโจตรงกันกับเด็กสาว "เจน เชื่อที่เด็กคนนี้พูดเถอะ ถ้าหากพวกเราหนีไปตอนนี้ ก็ยังมีโอกาสที่จะช่วยเด็กคนนี้..อามีร่าได้อยู่นะ แต่ถ้าเธอโดนจับได้ล่ะก็ ทุกอย่างก็จบทันที"



"ใช่แล้ว ถ้าอยู่ไปพวกเราก็สู้พวกนี้ไม่ได้อยู่ดี ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา ที่ลุงนายอำเภอมาช่วยเราก็เสียเปล่าน่ะสิ" แจ็คเสริม



เมื่อเจนได้ยินดังนั้นจึงต้องว่าตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอามีร่าอยู่ ทว่าทางเลือกนั้นมีอยู่ไม่มากนักและเวลาก็บีบกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ



"เจน! ไปเถอะ เร็วเข้า!" โจย้ำอีกครั้ง แต่เธอไม่อยากจะทิ้งอามีร่าไปจริง ๆ อย่างน้อยก็ไม่ไปโดยที่ทิ้งเด็กสาวตรงหน้าเอาไว้โดยที่ไม่บอกชื่อ



"เอ่อ อย่างน้อยฉันก็อยากจะบอกชื่อให้เธอรู้เอาไว้ ฉันมีชื่อว่าเจน...แต่เธอคงจะรู้อยู่แล้วนี่เนอะ" เด็กสาวพูด จากนั้นเธอก็หยิบมีดขนแดงออกมาแล้วส่งไปให้อามีร่า

"เก็บมีดนี่เอาไว้เป็นของค้ำประกันก็แล้วกัน ฉันจะกลับมาช่วยเธอแน่ ๆ ...ฉันให้สัญญา!"



พูดจบเจนก็รีบพุ่งขึ้นฟ้าไปโดยพาเพื่อนทั้งสองคนไปด้วย เพียงพริบตาเดียวอามีร่าก็มองไม่เห็นพวกเจนอีก เธอก้มลงมองมีดในปลอกสีแดงดูน่ารัก พร้อมกับมีขนฟูสีแดงกระดับอยู่ตรงด้าม เธอเก็บมีดเข้าช่องเก็บของแล้วตอนนั้นเองที่ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านหลังของเธอ



"รู้สึกว่าสามคนนั้นไปแล้วสินะ ยัยหนู" เสียงต่ำห้าวดังขึ้น อามีร่าเพียงหันไปสบตาเพียงครู่เดียวแล้วก็หันกลับไปมองทิศที่พวกเจนจากไป



"ค่ะ....พวกเขาหนีพ้นแล้ว"



"โอเค ถ้าอย่างนั้นงานของฉันก็จบลงเพียงเท่านี้..." เจ้าของเสียงห้าวนั้นพูดก่อนจะเก็บปืนลงซอง แต่เขากลับชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมันออกมาอีกครั้ง



"พวกนั้นไม่ได้ขอให้ฉันช่วยในเรื่องนี้หรอกนะ แต่ฉันคิดว่าเธอคงอยากได้ความช่วยเหลือนิดหน่อย จริงมั้ย?"



อามีร่าไม่ตอบ เธอเพียงก้มหน้าลงแล้วยืนนิ่งก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ



ปัง!!



เสียงปืนดังหนึ่งนัด พร้อมกับร่างบางในชุดสีดำกลายเป็นแสงไปอย่างช้า ๆ เจ้าของเสียงควงปืนหนึ่งรอบก่อนจะเก็บเข้าซองปืน เขาขยับหมวกปีกกว้างเล็กน้อย เผยให้เห็นแผลบนใบหน้าอย่างชัดเจนขณะที่เขากำลังเดินตรงไปยังบาร์กระสุนดำที่อยู่ใกล้ ๆ เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร



"ฉันช่วยเท่าที่ช่วยให้แล้วนะ ...ไอ้หนู"





เจนพาโจและแจ็คลงสู่พื้น ณ ที่ห่างจากเมืองรีเด็มชั่นอยู่พอสมควร เธอปลดทักษะพลังสถิตร่างออกแม้ความจริงเจนอยากไปไกลกว่านี้หน่อย แต่เพื่อนหนุ่มทั้งสองนั้นแหกปากร้องเสียงดังมาตลอดทางจึงจำต้องลงสู่พื้นอย่างช่วยไม่ได้



"พวกนายนี่มันน่าหนวกหูจริง ๆ โวยวายอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีก" เจนบ่นออกมาเพราะต้องฟังคนเสียงตะโกนของทั้งสองมาตลอดทาง ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนพาบินขึ้นฟ้ามาแท้ ๆ



"คราวหลังก็ช่วยพาไปให้มันดีกว่านี้หน่อยได้มั้ย หา!! เล่นจับขาห้อยหัวมาแบบนี้ เป็นใครก็ต้องร้องกรี้ดแบบพวกเรานี่แหละ!" โจตะโกนว่า



"หมุนติ้ว ๆ ด้วย" แจ็คเสริมอีกคนแล้วทำท่าจะคายของเก่าออกมาให้ได้



พอเห็นเพื่อนของเธอเป็นอย่างนั้นไป เจนจึงไม่คิดจะเถียงต่อ เธอนั่งลงบนก้อนหินใกล้ ๆ พร้อมกับหันไปมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกลง ณ ขอบฟ้า



"พวกเราตั้งแค้มป์ที่นี่ละกัน เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางกันต่อ" เด็กสาวพูด จากนั้นเธอจึงนำเต็นท์ออกมากาง เช่นเดียวกันกับพวกโจที่ทำตามอย่างว่าง่าย



หลังจากกางเต็นท์เสร็จแล้ว เจนจึงออกไปเก็บฟืนเพื่อที่จะก่อไฟ เมื่อกลับมาถึงที่ตั้งแค้มป์ก็พบว่าพวกโจกางเต็นท์ของพวกตนเสร็จเรียบร้อยและกำลังนั่งคุยกันเสียงเบา เธอไม่ได้ยินว่าสองคนคุยอะไรกันบ้าง แต่เจนก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน



เจนวางท่อนฟืนลงแล้วปล่อยให้เพื่อนทั้งสองคนทำหน้าที่ก่อกองไฟ ส่วนเธอนั้นหันไปปล่อยสัตว์เลี้ยงของเธอออกมาจากดาบ หลังจากที่เก็บทั้งสองเอาไว้ทั้งวัน



“ฟี้!!!”



"เจ้านายยยยย!! เสียงร้องของฟีบีและคิทซึเนะดังพร้อมกับทั้งคู่กระโจนออกมาจากดาบและพุ่งเข้าใส่เจนจนล้มกระแทกไปบนพื้น มังกรน้อยนั้นยังคงตัวเล็กเท่าเก่าวิ่งมาที่ข้างตัวและเลียใบหน้าของเจนอย่างกับลูกสุนัข ส่วนจิ้งจอกสาวน้อยนั้นกอดตัวเธอแน่น ปากก็พลามพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา



"โอเค โอเค พอได้แล้วทั้งสองคน ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว" เด็กสาวพูดและพยายามจะดันทั้งสองออกไป ฟีบีนั้นนั่งส่ายหางไปมาอย่างว่าง่าย แต่สัตว์เลี้ยงอีกตัวของเธอนั้นยังไม่ยอมหยุด



"ไม่ยอมหรอก! คราวนี้หนูโกรธเจ้านายจริง ๆ ด้วย! ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยให้พวกเราออกมาล่ะ! ทำไมถึงไม่ยอมให้พวกเราช่วย!"



เจนถึงกับตกใจกับคำพูดของจิ้งจอกน้อยตรงหน้าเจนซึ่งตะโกนออกมาด้วยอารมณ์รุนแรงมากที่สุดเท่าที่เจนเคยได้ยินจิ้งจอกน้อยพูดกับเธอ ยิ่งแล้วเมื่อเจนรู้สึกเหมือนกับว่าคิทซึเนะใช้คำพูดที่เจนพูดกับอามีร่ากลับมาที่ตัวเธอเอง ใบหน้าของจิ้งจอกน้อยเลอะไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นของเด็กสาวทำให้เจนอดรู้สึกผิดอย่างช่วยไม่ได้



เธอยกมือบางขึ้นบาดน้ำตาของจิ้งจอกน้อยแล้วจึงลูบหัวเบาๆ "ฉันขอโทษ จะไม่มีคราวหน้าอีก ต่อไปนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้นพวกเราจะสู้ไปด้วยกัน"



"สัญญานะ..ฮึก" คิทซึเนะสะอึกจากการร้องไห้ เธอยกมือน้อยๆขึ้นปาดน้ำตาของตัวเอง



"สัญญาสิ ถ้าหากเธอสัญญาว่าอย่าเรียกฉันว่าเจ้านายอีก.. สัญญานะ" เจนพูดแล้วยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้กับคิทซึเนะ จิ้งจอกน้อยดูสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยกนิ้วก้อยเกี่ยวสัญญาตามเจ้านายของเธอ



"อื้อ!"







หลังจากที่เจนกล่อมคิทซึเนะและฟีบีให้สงบลงได้แล้ว ทั้งสามก็เข้ามาสมทบกับพวกโจซึ่งพวกเขาก่อกองไฟเรียบร้อยแล้วและกำลังนำอุปกรณ์ทำอาหารออกมาเตรียมพร้อมให้เจนลงมือทำ เนื่องจากในกลุ่มนี้มีเพียงแค่เจนเท่านั้นที่เคยลงมือทำอาหารจริง ๆ อยู่เพียงแค่คนเดียว อย่างโจและแจ็คนั้นอย่างมากก็ได้แค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น



เจนจัดการย่างเนื้อที่ซื้อเก็บเอาไว้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองซีโป คราวนี้เธอไม่พลาดเหมือนตอนที่เธออยู่ที่เกาะเริ่มต้นเพราะครั้งนี้เจนมีเครื่องปรุงใช้หมักเนื้อไว้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเกลือ พริกป่น หรือน้ำตาล นอกจากนี้เจนยังได้น้ำซอสชนิดพิเศษซึ่งมีอยู่ในเกมเท่านั้น ถึงเจนจะรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่แต่แม่ค้าที่ขายน้ำปรุงนี้มาก็ยืนยันว่าจะทำให้อาหารมีรสอร่อยอย่างแน่นอน และราคาของมันเองก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย



ไม่นานจากที่นำเนื้อไปย่างไฟโดยเจนเสียบไม้เหมือนกับทำบาร์บีคิว กลิ่นหอมละมุนก็ลอยเตะปากทุกคนจนรู้สึกน้ำลายสอ ท้องของพวกโจและสัตว์เลี้ยงทั้งสองร้องออกมาคล้ายกับเพลงบรรเลงจนทำให้เจนรู้สึกขำขึ้นในใจเล็ก ๆ



"หอมจังเลย แบบนี้กินได้แล้วมั้งเนี่ย" โจพูดพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางเข้าหาเนื้อเสียบไม้ที่กำลังย่างอยู่



"รีบถอยออกไปเลยนะ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาหน่อยสิถึงจะอร่อย" เจนพูดแล้วใช้ไม้เสียบที่เหลืออยู่แทงให้ชายหนุ่มให้ถอยออกไป



"แต่กลิ่นมันก็หอมจริงๆนะเนี่ย เธอใช้เครื่องปรุงอะไรเนี่ยถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้เนี่ย" แจ็คถามขึ้นบ้าง เจนไม่ตอบแต่ส่งยิ้มไปให้ราวกับจะบอกว่าเป็นความลับของพ่อครัว หรือจะต้องพูดให้ถูกว่าเป็นแม่ครัวแล้วในตอนนี้



ไม่นานเนื้อย่างก็เสร็จเรียบร้อยเจนก็จัดการส่งเนื้อย่างไปให้ทุกคนและจัดการหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆและนำไปให้ฟีบีที่กำลังคอยอยู่ใกล้ ๆ จากนั้นเจนจึงหยิบเนื้อส่วนของตนขึ้นมาทานบ้าง



ง่ำ



"อื้ม!!" สี่เสียงดังประสานกันเมื่อได้ลิ้มรสของเนื้อย่างที่ถูกปรุงแต่งรสมาอย่างดี เจ้ามังกรน้อยเองก็ดูท่าทางจะชอบเหมือนกันเพราะฟีบีก้มหน้าลงกินเนื้อของตัวเองอย่างมูมมาม บอกกันตามตรงเจนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะทำอาหารออกมาได้รสชาติอร่อยถึงขนาดนี้ ดูท่าทางน้ำซอสปรุงรสที่เธอซื้อมาคงจะคุ้มไม่ใช่น้อย



ท่านได้รับทักษะ คนครัวมืออาชีพ จากการปรุงอาหารรสเลิศ



เจนได้ยินเสียงในหัวของเธอแล้วจึงเปิดหน้าต่างดู พบว่าทักษะใหม่ที่ได้มานี้นั้นไม่ได้เพิ่มความสามารถในการทำอาหารหรือการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นทักษะที่ทำให้เจนสามารถเข้าร่วมอยู่ในการจัดระดับกุ๊กของโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้ ซึ่งจากเท่าที่ดูแล้วเธอนั้นอยู่ในระดับล้านกว่า ๆ เลยทีเดียว ดูถ้าหากเธอต้องการจะไต่ระดับขึ้นมาก็คงต้องหาวิธีทำอาหารให้อร่อยกว่านี้ซะแล้ว



"แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะเจน.... เรื่องเด็กอามีร่าคนนั้นน่ะ" โจถามขึ้นระหว่างที่กำลังยกเนื้อย่างขึ้นมากิน



ความจริงแล้วเจนก็กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ที่เธอหนีออกมาจากเมืองรีเด็มชั่นเธอนั้นก็หยุดคิดถึงเรื่องของอามีร่าไม่ได้ซักที แม้ครั้งนี้เด็กสาวจะยอมคุยกับเธอและเปิดใจให้มากขึ้น แต่อย่างนั้นเจนก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวของอามีร่ามากเท่าที่ควรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เลยว่าเธอจะต้องช่วยเด็กสาวจากใครและจากอะไร



"ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันให้คำสัญญากับอามีร่าเอาไว้แล้วว่าฉันจะต้องหาทางช่วยเธอให้ได้" เจนพูดออกมาจากใจจริง เธออยากจะช่วยเด็กสาวคนนั้นมากเหลือเกิน มันน่าแปลกเพราะเจนเคนคุยกันเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ในครั้งแรกที่คุยกันยังไม่แน่ใจว่าจะควรนับหรือเปล่าเพราะเธอไม่ได้เอ่ยปากเลยแม้แต่คำเดียว



"แล้วจะช่วยยังไงล่ะ ถึงตอนนี้ฉันจะพอเห็นแล้วว่าเด็กคนนั้นกำลังเดือดร้อนอยู่ แต่เธอต้องให้ฉันเตือนความจำหรือเปล่าว่าตอนนี้เรากำลังพูดถึงกิลด์พิฆาตราชาเดียวนะ กิลด์ที่ต่อกรกับกิลด์อันดับสองและอันดับสามได้สบาย ๆ แล้วก็ยังเป็นกิลด์ที่เพิ่งไล่เตะก้นพวกเราออกมาจากเมืองอีกต่างหาก ยังไม่รวมถึงที่พวกเรายังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอามีร่านอกจากชื่อของเธอเลย"



"ฉัน!!...ฉันรู้แล้วล่ะน่า" เจนพยายามจะโต้แย้ง แต่ก็จริงอย่างที่โจพูด เธอยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวอามีร่ามากพอที่จะช่วยเธอได้



"มันต้องมีทางไหนซักทางสิ ที่เราจะรู้เรื่องราวนี้ให้ได้...จริงสิ! ให้หนูส่งข่าวลองไปสืบดูจะได้มั้ย"



"ถ้าเป็นข่าวในเกมน่ะพอได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนอกเกมล่ะก็ลืมไปได้เลย พวกเรากำลังเล่นเกมอยู่นะ" แจ็คพูดแย้งขึ้นมาบ้าง



นั่นทำให้เจนรู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่ยังไงนี่ก็ยังเป็นแค่เกม สิ่งเธอที่ได้นั้นถูกจำกัดเพียงแค่อยู่ในเกม เธอไม่สามารถช่วยแก้ไขหรือรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากนอกเกมได้อยู่ดี



"มีทางเดียวที่พวกเราจะรู้ได้ก็คือต้องเข้าไปถามเจ้าตัวเองนั่นล่ะ แต่ไม่มีทางเลยว่าพวกเราจะรู้ได้ว่าหลังจากนี้อามีร่าจะไปอยู่ที่ไหน" แจ็คบอก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจนที่ดูซึมเศร้าลงจึงพูดเสริมขึ้นมาอีก



"พวกเราลองให้ไอ้เจ้าหนูไปสืบว่าอามีร่าอยู่ที่ไหนดูก็ได้...พอพวกเรารู้ข่าวแล้วค่อยไปถามเธอต่อหน้าก็ยังไม่สาย"



"แต่แบบนั้นพวกเราก็อาจจะเข้าไปหาพวกกิลด์พิฆาตราชาเลยนะ ยิ่งตอนนี้พวกนั้นคงรู้ชื่อเธอแล้วด้วย" โจรีบพูดขึ้นมา แต่แจ็คและเจนกลับส่งยิ้มให้กันก่อนเจนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาให้เพื่อนของเธอให้เห็น



"พวกนั้นไม่รู้หรอก ตราบใดที่ฉันยังมีเครื่องรางชิ้นนี้อยู่" เจนว่า ในมือของเธอมีตราที่ทำจากเหล็กสีเงินชิ้นหนึ่ง ตรงกลางมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวห้าแฉกคล้ายกับตรานายอำเภอ



"นี่เป็นเครื่องรางแห่งกลุ่มผู้ลึกลับ จะทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถตรวจสอบชื่อและสถานะคนที่พกเครื่องรางนี้ได้ แจ็คได้เครื่องรางนี่มาจากตอนที่เปลี่ยนอาชีพกับลุงเอิร์ปน่ะ" เจนว่าแล้วส่งเครื่องรางคืนไปให้เพื่อนของเธอ แต่เขาส่ายหน้าแล้วตอบกลับ



"เธอเก็บเอาไว้เถอะ ในตอนนี้มันมีประโยชน์กับเธอมากกว่าฉัน"



"ขอบใจนะ" เจนตอบแล้วเก็บเครื่องรางในมือลงกระเป๋าแล้วพูดต่อ



"ถึงตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ชื่อของฉัน แต่พวกเราก็ยังสู้พวกนั้นไม่ได้เพราะระดับและเลเวลต่างกันมากเกินไป ฉันจึงคิดว่าพวกเราก็ควรจะเก่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะได้รับมือกับพวกกิลด์พิฆาตราชาและคนอื่น ๆ ที่จะมาหาเรื่องกับพวกเราได้"



"งั้นก็แปลว่าพวกเราจะไปหาที่เก็บเลเวลใช่มั้ย" แจ็คถาม พอเห็นเด็กสาวพยักหน้ารับแล้วเขาจึงพูดขึ้นต่อ



"แล้วพวกเราจะไปที่ไหนดีล่ะ"



"ที่แน่ ๆ ฉันคิดว่าพวกเราคงจะอยู่ในทวีปนี้นานไม่ได้ กิลด์พิฆาตราชารู้แล้วว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน คงได้พลิกแผ่นดินตามหาเรากันล่ะ" เจนบอก



"นายมีความคิดเห็นอะไรมั้ยโจ"



ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวแล้วทำท่าครุ่นคิดประกอบกับมือคว้าแผนที่ทวีปนี้ที่ซื้อมาตั้งแต่ที่เขามาถึงทวีปนี้ขึ้นมาดู "เฮ้อ...ตอนนี้ที่ ๆ พวกเราควรจะทำก่อนก็คือหาทางออกไปจากเกาะแห่งนี้ ฉันพนันเลยว่าท่าเรือทุกท่าคงโดนเฝ้าเอาไว้หมดแล้ว ถ้าเกิดพวกเราไปก็เท่ากับว่าเดินเข้ากับดักของพวกนั้นพอดี"



"แล้วจะทำยังไงดีล่ะ แบบนี้พวกเราก็หนีไปไหนไม่ได้น่ะสิ" เจนพูดอย่างกังวลใจเพราะยิ่งพวกเธออยู่ในทวีปแห่งนี้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่กิลด์พิฆาตราชาจะหาเธอพบมากขึ้นเท่านั้น



"มีอยู่ทางหนึ่ง.." โจพูด แต่ดูเขาท่าทางจะไม่ค่อยชอบทางนี้ซักเท่าไหร่ มันแสดงออกมาทางสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน



"มีทางออกไปจากทวีปแห่งนี้อยู่อีกทางหนึ่งนอกจากข้ามทะเลนั่นก็คือขึ้นเรือเหาะไป"



"เรือเหาะ!? ในเกมนี้..- ทำไมนายถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ" เจนรีบถามเพราะตอนนี้เพื่อนหนุ่มทั้งสองกำลังรี่ตามองเธอจนทำให้เจนรู้สึกเหมือนกำลังโดนหมิ่นน้อย ๆ



"แล้วมันมีปัญหาอะไรล่ะ เรือเหาะก็ไม่น่ามีอะไรมากนี่ หรือว่าจะมีสลัดอากาศด้วย" เจนรีบเปลี่ยนเรื่อง



"ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก..แค่ในตอนนี้น่ะนะ ที่เป็นปัญหาคือเมืองที่เราต้องไปนั้นมีชื่อว่าเมืองคริสตัลเบล มันตั้งอยู่ไกลจากจุดที่เราอยู่ในตอนนี้มากและผ่านเมืองที่กิลด์พิฆาตราชายึดครองอยู่ด้วย มีความเสี่ยงสูงที่พวกเราจะโดนจับได้" โจพูดด้วยน้ำเสียงเครียด



"แล้วพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ มันไม่มีทางเลี่ยงหรือทางที่จะทำให้พวกเราเข้าใกล้เมืองคริสตัลเบลได้ไวกว่านั้นแล้วหรอ" เจนว่า เพราะถ้าหากยิ่งใช้เวลาจนถึงมากจนถึงช่วงที่พวกเธอต้องออฟไลน์ไปล่ะก็ มันก็ยิ่งทำให้เสี่ยงที่จะโดนตามจับไดัมากตามขึ้นไปอีก ถ้าเป็นไปได้เจนก็ต้องการที่จะออกไปจากทวีปแห่งนี้ก่อนที่จะหมดเวลาออนไลนหรืออีก 6 วันในเกม



"ความจริงมันก็สีทางอยู่อีกทางหนึ่งนะ" แจ็คพูด



"เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าผ่านภูเขา ไม่เอานะเว้ยไอ้แจ็ค ถ้าเกิดเข้าไปทางนั้นมีหวังตายลูกเดียวแน่" โจหันไปแย้งอย่างรวดเร็ว



"แต่ถ้าพวกเราขืนมัวแต่ค่อยหลบพวกกิลด์พิฆาตราชาไปแบบนี้ อีกหน่อยก็โดนจับอยู่ดี สู้เสี่ยงไปทางผ่านภูเขาจะไม่ดีกว่าหรือ" แจ็คว่า ถึงเจนจะยังไม่เข้าใจแต่ที่เพื่อนมือปืนของเธอพูดก็ดูสมเหตุสมผลดี



"ถ้ามันเคยมีคนรอดมาได้มันก็น่าเสี่ยงอยู่ แต่นายเคยยินหรือเปล่าว่าเคยมีใครรอดมาจากถ้ำแห่งนั้นบ้าง"



'โอเค มันเริ่มชักไม่สมเหตุสมผลแล้วสิ' หญิงสาวคิด



"เดี๋ยว ๆ นี่พวกนายพูดถึงอะไรกันเนี่ย" เจนถามขึ้นท่ามกลางการสนทนาของพวกโจ



"ที่แจ็คมันพยายามจะบอก็คือมีทางอีกทางหนึ่งที่จะทำให้พวกเราไปถึงเมืองคริสตัลเบลได้เร็วขึ้นและยังไม่มีพวกกิลด์พิฆาตราชามาตามหาเราที่นั่นด้วย นั่นก็คือทางผ่านเขาเหมืองทองโบรดี้" โจเล่า



"มันก็ฟังดูดีนี่นา ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว...ไม่สิ สามตัวเลย" เจนว่า แต่ท่าทางของโจยังบอกเธอว่านั่นเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก



"แล้วเธอรู้มั้ยว่าทำไมกิลด์พิฆาตราชาไม่ไปตามหาพวกเราที่นั่น" เจนส่ายหน้าเป็นคำตอบ



"นั่นก็เพราะที่นั่นต้องสาปยังไงล่ะ!"



"ต้องสาป!" เจนอุทานขึ้นมาเสียงดัง



"ของจริงงั้นหรือเนี่ย"



"ในกระดานข่าวสารมีเรืองเล่าถึงเจ็ดสิ่งอาถรรพ์ของเกมนี้ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เหมืองโบรดี้เองก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งอาถรรพ์เช่นกัน ว่ากันว่าเคยมีผู้เล่นระดับสูงเคยเข้าไปในเหมืองนั้นเพราะต้องการที่จะขุดทอง แต่เขากลับขาดการติดต่อไปเป็นสัปดาห์เลย กว่าที่เขากลับมาก็เกือบจะถึงเวลาออฟไลน์อยู่แล้ว เขาดูตัวซีดท่าทางตื่นกลัวมาก ชุดเกราะขั้นสูงที่เขาสวมอยู่ก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ไม่ทันที่ใครจะได้ถามอะไรเขาก็รีบออกจากเกมไปทันที จากนั้นเขาก็ประกาศออกกระดานข่าวเลยว่าเหมืองทองโบรดี้เป็นสถานที่ที่มีวิญญาณอาถรรพ์สถิตอยู่ ห้ามใครเข้าไปอย่างเด็ดขาด"



เจนฟังถึงกับลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ใจหนึ่งของเธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เป็นเพราะไม่ถูกโรคกับพวกผีนักจึงทำให้เธอรู้สึกกลัวออกนอกหน้าถึงขนาดนี้



"ล..แล้วไงล่ะ ฉันว่านั่นคงจะเป็นแค่ข้ออ้างไม่ให้มีใครเข้าไปในเหมืองมากกว่าล่ะมั้ง จะได้ขุดทองได้เพียงคนเดียวไง ว่าแต่หมอนั่นเป็นใครกัน เลิกเล่นเกมนี้ไปแล้วงั้นหรือ" เจนพูดเสียงสั่นจนฟีบีเข้ามาหาด้วยความสงสัยและโดนคว้าไปกอดเป็นตุ๊กตาทันที



"ยังไม่ได้เลิกไปไหนหรอก หมอนั่นตอนนี้เป็นหัวหน้ากิลด์อันดับสิบของเกม มีชื่อว่าไซก้า แล้วก็ในตอนแรกก็มีคนคิดแบบเธอเหมือนกัน ก็เลยคิดจะลองดีเข้าไปในเหมืองกัน ไซก้าพยายามเตือนเท่าไหร่ก็ไม่มีใครฟังก็เลยปล่อยไปแล้วไม่สนใจอีก ส่วนคนที่ลองดีก็หายตัวไปและกลับมาในสภาพไม่ต่างจากไซก้าตอนที่เพิ่งกลับมาจากเหมืองเลย ฉันถึงได้บอกอยู่นี่ไงว่าพวกเราผ่านทางนั้นไม่ได้" โจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แถมเรื่องราวของเขาก็เริ่มโน้มน้าวใจของเจนไปไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะตรงเรื่องวิญญาณอาถรรพ์



"แต่พวกเราไปเพราะแค่ต้องการผ่านทาง ไม่ได้ไปขุดทองหรืออะไรซักหน่อยนี่นา ฉันว่าความจริงอาจจะเป็นเพราะในเหมืองมีมอนสเตอร์ระดับสูงอาศัยอยู่ก็ได้ พวกเราจะได้ทำการเก็บเลเวลไปในตัวด้วยไง" แจ็คบอกด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จากความรู้สึกของคนที่ไม่กลัวผี เจนรู้สึกอิจฉาที่เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่กลัวเรื่องผีเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่เจนอิจฉาในตัวเพื่อนคนนี้ของเธอ



"แล้วก็ใช่ว่าพวกเราจะมีทางเลือกซะเมื่อไหร่ ถ้าหากพวกเราอ้อมภูเขาไปก็มีจะโดนกิลด์พิฆาตดักทางเอาไว้เปล่า ๆ คิดหรือว่าพวกเรานึกเรื่องเรือเหาะออกแล้วพวกนั้นจะนึกไม่ออก ถ้าหากช้าไม่ว่าพวกเราจะไปทางไหนก็มีค่าเท่ากัน" แจ็คเสริมอีก ทำให้โจและเจนเริ่มคล้อยตาม ทั้งสองมองหน้ากันแล้วจึงหันไปพยักหน้าตกลงอย่างจนใจ



"ฉันมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องนี้เลย" โจพูด



"แต่ฉันสงสัยอยู่อย่าง ทำไมกิลด์พิฆาตราชาถึงไม่ไปยึดเมืองคริสตัลเบลซะเลยล่ะ ถ้าทำอย่างนั้นการเดินทางด้วยเรือเหาะและเรือของทวีปแห่งนี้ก็ถูกกิลด์พิฆาตราชายึดครองเอาไว้หมดเลยแท้ ๆ" เจนถามขึ้น โจและแจ็คหันมามองตากันก่อนจะหันกลับมาตอบเจนด้วยคำตอบที่ทำให้เธอกระจ่างแจ้ง



"เพราะว่าเมืองคริสตัลเบลเป็นเมืองหลักของกิลด์หกราชันย์ กิลด์อันดับหนึ่งของเกมนี้น่ะสิ"



จบตอนที่ 20 แสงสว่างของผู้หมดหนทาง
------------------------------------

nakiann123
14th January 2014, 16:04
แหม่ อัพเดททุกวันเลยนะครับเรื่องนี้

PheoMetalhead
14th January 2014, 23:58
ติดตามผลงานครับ สนุกจริง ๆ อ่านเพลินเลย

Tohan-kun
15th January 2014, 12:33
ตอนที่ 21 เผชิญหน้ากับความกลัว



เช้าวันถัดมา เจนตื่นขึ้นมาเป็นคนแรกพร้อมกับฟีบีและคิทซึเนะที่นอนอยู่ข้างกาย เธอลุกขึ้นมาเตรียมคำกับข้าวโดยไม่ไปดูสองหน่อซึ่งเจนมั่นใจว่าคงกำลังหลับสนิทอยู่อย่างแน่นอน



แย่หน่อยที่เมื่อวานเจนลองทดสอบปรุงอาหารในเกมทำให้เครื่องปรุงส่วนใหญ่ที่เธอซื้อมาไม่มากนักถูกใช้ไปเกือบหมด โดยเฉพาะน้ำซอสปรุงรสที่เจนซื้อมาในราคา 10,000 โกลด์นั้นถูกใช้ไปจนเหลือเพียงก้นขวด แถมยังย่างเนื้อส่วนมากไปแล้วด้วยทำให้เช้านี้เหลือวัตถุดิบอยู่ไม่มากนัก ดูท่าทางอาหารเที่ยงจะต้องล่าเนื้อสัตว์กินระหว่างทางซะแล้ว



เจนขอให้คิทซึเนะช่วยจุดไฟให้แล้วจึงตั้งหม้อต้มน้ำที่ยังมีอยู่เหลือเฟือ ด้วยเครื่องปรุงและเนื้อที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ เจนจึงจะทำแค่ซุบเนื้อในแก้วสำหรับดื่ม กลิ่นของน้ำซุบที่เจนบรรจงปรุงแต่งอย่างพิถีพิถันหอมโชยไปทั่วบริเวณและช่วยประหยัดแรงของเธอไม่ต้องไปปลุกเพื่อนทั้งสองของเธอจากในเต็นท์



สองหนุ่มตื่นขึ้นมาไม่พูดพล่ามทำเพลงก็ตรงเข้าหาแก้วซุปที่เจนเตรียมไว้ให้ทั้ง ๆ ที่ยังตาปรือเหมือนยังไม่ตื่นเลยแท้ ๆ เจนจึงจัดการไล่ทั้งสองให้ไปล้างหน้าโดยบอกว่าให้ใช้น้ำดื่มของตัวเองแทนน้ำล้างหน้าเพราะในแถบนี้เป็นทะเลทราย ไม่ถึงกับแห้งแล้งมากจนไม่มีต้นไม้ทำให้การหาน้ำเป็นไปได้ยาก คิทซึเนะบอกว่าได้กลิ่นของน้ำอยู่ห่างไปยังทิศทางที่พวกเจนกำลังจะมุ่งหน้าไปพอดี ดังนั้นเธอจึงเชื่อจมูกของจิ้งจอกน้อยหวังว่าคงจะได้ไปเติมน้ำยังทางข้างหน้า



หลังจากที่จัดการอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเจนก็เก็บข้าวของแล้วออกเดินทางกันต่อ โจบอกเอาไว้ว่าเหมืองทองโบรดี้อยู่ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อเจนมองไปยังทิศที่กำลังมุ่งหน้าไปก็พบกับภูเขาสูงตระหง่านตั้งอยู่ตรงหน้า ยอดของภูเขาลูกนี้พุ่งทะลุเหนือกลุ่มเมฆขึ้นไปจนไม่อาจมองเห็นได้และขนาดของมันก็ใหญ่มากจนต้องใช้เวลานานหากจะต้องอ้อมไปอย่างที่แจ็คบอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปีนเขาเลย



หลังจากเดินทางมาได้อยู่พักหนึ่งทิวทัศน์รอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นมาบนพื้นดินปนทรายสีเหลืองให้เห็นไปทั่ว พุ่มไม้สีเขียวก็เริ่มมีมากขึ้นเช่นเดียวกับสัตว์ป่าอย่างตัวไคโยตี้ที่มีลักษณะคล้ายกับจิ้งจอกแต่มีตัวใหญ่กว่าจนดูคล้ายกับหมาป่า หรือจะเป็นงูหางกระดิ่งที่คอยสั่นหางเพื่อเตือนไม่ให้ใครเข้าใกล้มันแต่ทั้งหมดนั่นเป็นสัญญาณให้เจนรู้ว่าเธอใกล้ถึงแหล่งน้ำที่คิทซึเนะบอกแล้ว







เมื่อพักซักพักเจนก็เจอแหล่งน้ำที่ว่า เพียงแค่มันไม่ใช่โอเอซิสอย่างที่เจนคิดเอาไว้ ตรงหน้าเจนคือแม่น้ำกว้างไหลเชี่ยวที่เป็นเหมือนดั่งทองคำในทะเลทรายแห่งนี้ ดูจากแผนที่แล้วแม่น้ำไหลมาจากภูเขาลูกใหญ่ตรงหน้าของเจน ถ้าหากเดินเลียบไปตามแม่น้ำจนไปสุดสายก็จะไปถึงทะเลสาบซึ่งเป็นที่ตั้งของเป้าหมายของเจน นั่นก็คือเมืองคริสตัลเบลนั่นเอง



แต่สาเหตุที่เลือกจะไม่ไปก็เพราะว่ามันเดาได้ง่ายสำหรับกิลด์พิฆาตราชาและตลอดทางสายนี้ก็มีแต่เมืองที่กิลด์พิฆาตราชาครอบครองอยู่ทั้งนั้น



"พวกเราควรเก็บตุนน้ำที่นี่ให้มากที่สุด ถ้าพวกนายมีอะไรใส่น้ำเก็บเอาไว้ได้ก็เอาออกมาเลยนะ" โจพูดแล้วจึงนำกระบอกใส่น้ำของตัวเองมาเติมน้ำให้เต็มเช่นเดียวกับแจ็คที่ตอนนี้นำกระบอกน้ำขวดที่สองมาเติมแล้ว





"จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรอ" เจนถามขึ้นอย่างสงสัย





"ทางที่เราจะเดินทางไปต่อไม่มีแหล่งน้ำจะให้เติมเสบียงแบบนี้อีกแล้ว หลังจากผ่านเหมืองโบรดี้ไปได้...'ถ้า' ผ่านมาได้นะ พวกเราก็จะไปโผล่ที่ตรงนี้ ด้านหลังของภูเขาที่ไม่มีแหล่งน้ำใกล้เคียงอื่นอีกนอกจากทะเลสาบใกล้กับเมืองคริสตัลเบล แถมระยะทางจากที่นี่จนไปถึงเมืองก็อาจจะกินเวลาหลายวันเชียวล่ะ" โจอธิบายระหว่างใช้กล่องข้าวเติมน้ำจนเต็มแล้วจึงเก็บเข้าช่องเก็บของส่วนตัวเพื่อกันหก โดยเขาเน้นพิเศษไปที่คำว่าถ้า สงสัยเขาจะเชื่อเรื่องเล่าของเหมืองทองโบรดี้จริง ๆ



เมื่อเห็นเพื่อน ๆ ของตัวเองทำถึงขนาดนั้นเจนก็ไม่คิดจะขัดศรัทธา เธอเติมน้ำจนเต็มกระติกของเธอแล้วก็ทำตามทั้งสองคนเช่นกัน เพราะเจนก็ไม่รู้ว่าระยะทางข้างหน้าจะไกลซักเพียงไหนและเธอก็ต้องตักน้ำไปเผื่อฟีบีและคิทซึเนะอีกด้วย ยังไม่รวมถึงเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดอย่างสองหน่อกินน้ำเยอะเกินไปอีกต่างหาก



ในระหว่างที่เจนกำลังจะเตรียมพร้อมออกเดินทางนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างที่มีปีกบินเข้ามาหา พอมองชัด ๆ ก็พบว่านั่นเป็นจดหมายติดปีกนี่เอง มันร่อนลงมาที่มือของเธอและปีกก็กลายเป็นแสงหายไป เจนเปิดจดหมายขึ้นมาอ่านดูก็ต้องทำตาโตเป็นไข่ห่าน เพราะสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายเป็นตัวเลขที่มากกว่าหกหลักและเธอก็แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ตัวเลขที่ไม่มีความหมายแน่ ๆ



"เป็นอะไรไปน่ะเจน จดหมายนั่นเขียนว่ายังไงหรอ?" แจ็คถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวยืนนิ่งไป แต่พอเขาเดินเข้าไปดูว่าเธอกำลังอ่านอะไรอยู่ก็ถึงกับอุทานออกมาเสียงดังลั่น



"โอ้แม่เจ้าโว้ยยย!! ร้อยแปดสิบล้าน!!"



"เฮ้ย ไหน ๆ !" โจได้ยินที่แจ็คพูดก็รีบเข้ามาดูด้วยอีกคนแล้วก็ทำตาโตเช่นเดียวกัน คิทซึเนะและฟีบีต่างนั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย พวกเธอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ความจริงทั้งสองไม่รู้ว่าเงินคืออะไรด้วยซ้ำไป



ในตอนนี้เจนพยายามถือแผ่นกระดาษตรงหน้าอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามันมีค่ามหาศาล เธอค่อย ๆ วางมันลงบนก้อนหินอย่างเบามือแล้วจึงพยายามอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง



"จดหมายนี่ส่งมาจากแมกส์ เทรดดิ้งคอมพานี...ฉันจำได้แล้ว หมอนี่คือพ่อค้าที่พวกเราเอาเสาทองคำไปให้ประมูลขายไง"



"อ้า! หมอนั่นน่ะเอง ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่าเสาทองคำพวกนี้ก็ขายได้ราคาดีมากเลยน่ะสิ! ...แต่เดี๋ยวก่อนนะ หมอนั่นบอกว่าจะขอส่วนแบ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี่นา" แจ็คพูดออกมาแล้วพยายามคิดเลขในหัว แต่แค่รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่หัวไปขนาดนั้น



"ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวไปหรอก ในนี้บอกว่าหักส่วนแบ่งออกไปแล้วเงินทั้งหมดเป็นของพวกเราโดยสมบรูณ์แล้ว ตอนนี้เงินถูกโอนเข้าบัญชีของฉันเรียบร้อยแล้ว" เจนพูดแล้วก็เปิดหน้าต่างผู้เล่นออกมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้าบัญชีของเธอแล้วจริง ๆ



ในหน้าต่างผู้เล่นนั้นมีฟังชั่นอยู่หลากหลายแบบมาก การตรวจสอบบัญชีธนาคารเองก็เป็นหนึ่งในนั้นถ้าหากผู้เล่นมี แต่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝากถอนหรือโอนเงินจะต้องเข้าไปทำที่อาคารระบบเท่านั้นซึ่งเป็นสถานที่ ๆ จะใช้ฝากเงินสำหรับผู้เล่นโดยเฉพาะและมีความปลอดภัยสูงที่สุด



สำหรับธนาคารธรรมดาก็มีเช่นเดียวกัน แต่ที่นั่นจะรับฝากเงินของชาวเมืองด้วยและมีโอกาสที่จะถูกปล้น นอกจากนั้นยังไม่สามารถตรวจสอบจากหน้าต่างผู้เล่นได้อีกด้วย แต่ข้อดีของการฝากเงินในธนาคารแบบนี้คือจะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียนในราคาสูงเหมือนธนาคารระบบ แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ยังคงยอมไปฝากเงินที่ธนาคารระบบซะมากกว่าเพราะให้จ่ายเงินไปจำนวนมากก็ยังดีกว่าสูญไปทั้งหมดอยู่ดี



"ได้มาตั้งร้อยแปดสิบล้านแบบนี้ ถ้าแบ่งให้พวกเสือด้วยก็จะได้คนละเท่าไหร่กันนะ.." แจ็คพูดลอย ๆ พลางพยายามคิดทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหัวของตัวเองไม่ได้ชอบคณิตศาสตร์เลย แต่ทำตอบออกออกมาเร็วจนน่าตกใจจากปากคนที่ไม่น่าจะพูดออกมาได้



"ร้อยแปดสิบล้านแบ่งกันเจ็ดคน ก็เท่ากับคนละยี่สิบห้าล้านกับเจ็ดแสนกว่า ๆ ..." โจพูดพลางทำสีหน้าครุ่นคิด เจนและแจ็คต่างมองหน้าของเขายังไม่เชื่อหูของตัวเอง



"ทำไม เด็กติดเกมอย่างฉันจะหัวไวไม่ได้หรือไง หา"



"นายหัวไวอย่างนี้ก็น่าจะไปเรียนพวกคณะอื่นที่ไม่ใช่คณะมนุษยศาสตร์สิ ทำไมถึงมาอยู่กับพวกเราได้" เจนถามอย่างแปลกใจ



"ทำได้มันก็ไม่ได้หมายความว่าชอบซักหน่อย แล้วเรื่องนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้พวกเรามาสนใจกับเรื่องในตอนนี้ก่อนจะดีกว่ามั้ย"



จริงอย่างที่โจบอก และเจนเองก็ไม่ควรจะไปยุ่มย่ามในเรื่องส่วนของคนอื่นให้มากนักเพราะขนาดเธอเองก็ยังไม่ชอบเลย ดังนั้นเจนจึงสลัดความคิดนั้นไปแล้วหันมาสนใจกับกระดาษอันล้ำค่าตรงหน้าต่อ



"เดี๋ยวฉันจะส่งจดหมายไปหาพวกพี่เสือหน่อยดีกว่า จะได้บอกพวกนั้นให้รู้ว่าได้เงินมาแล้ว ว่าแต่ฉันจะเขียนจดหมายยังไง.. อ๊ะ คิดปุ้บก็มาปั้บ" เจนพูดพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นและปากกาขนนกแบบโบราณก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทุก ๆ อย่างที่เป็นระบบอัตโนมัติ เพียงแค่คิดก็ออกมาแบบนี้มันช่างสบายเสียจริง ๆ น่าเสียดายที่เจนยังต้องเขียนจดหมายด้วยตัวเองอยู่ แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าระบบทำให้หมดทุกอย่าง เกมนี้ก็คงจะเสียจุดขายไปที่ว่า 'เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทำทุก ๆ อย่างได้อย่างอิสระ'



เมื่อเขียนเสร็จเจนก็พับกระดาษและสอดเข้าซองจดหมายก่อนที่จะปิดผนึก เธอโยนจดหมายขึ้นเหมือนกับรู้ว่าต้องทำยังไง ทันใดนั้นก็มีเสียง เปาะ เบา ๆ แล้วจดหมายก็มีปีกสีขาวปรากฏขึ้นมาจากนั้นมันก็บินขึ้นฟ้าก่อนจะหายไปในพริบตา



"เอาล่ะ พวกเราเองก็รีบไปกันต่อเถอะ ขืนชักช้าจะเสียเวลา" เจนว่าแล้วทั้งสามคนกับสองตัวก็เริ่มออกเดินทางต่อ





ตลอดการเดินทางช่วงเช้าแจ็คก็ฝึกใช้ปืนไรเฟิ่ลของตนยิงไคโยตี้และหาอาหารไปในตัวด้วย แต่ก็ถูกเจนห้ามเอาไว้ก่อนเพราะคิทซึเนะเองก็ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์สุนัขเหมือนกัน จะให้สุนัขมากินสุนัขก็คงจะไม่ดี แจ็คจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นกวางหรือกระต่ายป่าแทน โดยมีฟีบีเป็นผู้ช่วยคอยบินไล่ต้อน



เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงแล้ว เจนจัดการเอาฟีบีเก็บเข้าไปในดาบเพราะไม่อยากให้เจอกับความร้อนจากแสงแดดแต่พอจะให้คิทซึเนะเข้าไปด้วย เจ้าตัวกลับไม่ยอมซะอย่างนั้นเพราะกลัวว่าเจนจะโดนทำร้ายแล้วไม่ยอมเรียกตนออกมาช่วยดังนั้นจึงจะเดินไปเองพร้อมกับเจนถึงแม้ตนจะรู้สึกร้อนจนลิ้นห้อยก็ตาม



เจนไม่ลืมที่จะปรับแบ่งค่าประสบการณ์ไปให้ฟีบีโดยแบ่งกับตัวเจนเอง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคิทซึเนะนั้นเจนปรับให้แบ่งค่าประสบการณ์จากเธอไปอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเก็บเลเวลได้ช้าไปบ้างแต่เธอก็ยังอยากให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองของเธอเก่งขึ้นจนสามารถปกป้องตัวเองจากพวกกิลด์พิฆาตราชาได้หน่อยก็ยังดี



ตรงหน้าเด็กสาวมองเห็นต้นไม้ต้นใหญ่พอที่จะบังร่มได้เพียงพอสำหรับทุกคน ดังนั้นทั้งสามจึงตกลงว่าจะพักทานมื้อเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยจึงเดินทางไปต่อ เจนจัดแจงย่างเนื้อกระต่ายให้จนครบทุกคนแล้วจึงหันไปดูสถานะตัวละครของเธอเองและสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว





ชื่อ:เจน

อาชีพ นักผจญภัยฝึกหัด ชั้นทหาร ระดับ 63

สถานะตัวละคร

พลังชีวิต 3179/3179 พลังเวทมนตร์ 6315/6315

ค่าความอิ่ม 48/100 ค่าความเหนื่อย 61/100





[สัตว์เลี้ยง] จิ้งจอกขาว คิทซึเนะ

ยศ ทหาร ระดับ 63



[สัตว์เลี้ยง] มังกรฟ้า ฟีบี

ยศ ทหาร ระดับ 18



เรื่องที่ระดับของฟีบีเพิ่มขึ้นนั้นเจนยังไม่แปลกใจนักเพราะการที่มังกรน้อยได้ช่วยเพื่อนของเธอล่าสัตว์ก็ถือว่าเป็นการเก็บเลเวลไปในตัวเพราะพวกสัตว์ป่าธรรมดาส่วนมากนั้นก็มีระดับอยู่ที่ 10 เป็นอย่างน้อย ส่วนที่ทำให้เจนแปลกใจจริง ๆ คือระดับของเธอและคิทซึเนะที่พุ่งขึ้นมาเช่นนี้ แต่พอลองตรวจสอบย้อนหลังไปก็พบว่าเธอได้จัดการผู้เล่นของกิลด์พิฆาตราชาไปจำนวนหนึ่งทำให้ระดับของเธอเพิ่มขึ้นมานั่นเอง



"ดูนี่สิ เลเวลของฉันกับแจ็คเพิ่มมาเป็นหกสิบห้าแล้ว ของเธอเพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า เจน" โจเอ่ยปากถาม เด็กสาวพยักหน้าตอบ



"ของฉันเพิ่มเป็นหกสิบสามเหมือนกับคิทซึเนะ คงเป็นตอนนั้นที่ฉันใช้พลังสถิตร่างจัดการกับพวกกิลด์พิฆาตราชาแน่เลย ไม่รู้ว่าจัดการไปกี่คนถึงระดับเพิ่มมาขนาดนี้นะเนี่ย" เจนพูดพลางคิดว่าถ้าหากในอนาคตเธอคงต้องพบกับคนจากกิลด์พิฆาตราชาอีกมากแน่ ๆ แบบนี้คงไม่ต้องไปเก็บเลเวลกับพวกมอนสเตอร์เลย



"ถ้าเธอกำลังคิดว่าจะจัดการพวกนั้นแทนเก็บเลเวลจากมอนสเตอร์ล่ะก็ เธอคิดผิดแล้วล่ะสาวน้อย" โจพูดขึ้นทำให้เจนหันไปมองด้วยความสงสัยทันที



"ทำไมล่ะ?"



"จำที่ฉันเคยบอกไม่ได้หรือยังไงล่ะ ถ้าหากเธอยิ่งมีระดับสูงขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งเก็บเลเวลยากขึ้นไปเท่านั้น ความจริงเธอเองก็น่าจะพอรู้สึกตัวแล้วนะว่าเธอจัดการคนของกิลด์พิฆาตราชาที่มีเลเวลและระดับยศสูงกว่าเธอแต่เลเวลกลับเพิ่มขึ้นมาไม่มาก อย่างพวกฉันเองที่แบ่งค่าประสบการณ์มาจากเธอยังเพิ่มเลเวลมาแค่ห้าระดับเอง เธอคงจะใช้ทักษะนั้นของเธอทุกครั้งที่เจอกับพวกนี้ไม่ได้หรอกนะ"



พอโจพูดถึงก็ทำให้เจนนึกขึ้นมาได้ คนในชุดดำจากกิลด์พิฆาตราชานั้นมีระดับยศขุนนางกันทุกคน หมายความว่าอย่างน้อยพวกนั้นจะต้องมีเลเวลสูงกว่าเจน 40 ระดับเป็นอย่างน้อย แต่ค่าประสบการณ์ที่เจนได้มานั้นต่อให้แบ่งกันในกลุ่มและแบ่งให้คิทซึเนะอีกครึ่งหนึ่งก็ควรจะเพิ่มระดับของเจนมากกว่านี้ซึ่งกลายเป็นคำยืนยันของโจได้อย่างดี



"ถ้าอย่างนี้กว่าจะเก็บเลเวลได้สูง ๆ ก็ลำบากมากเลยน่ะสิ" เจนพูดขึ้นด้วยความกังวล ตอนนี้เป้าหมายของเธอคือจะเก่งขึ้นเพื่อที่จะไปหาอามีร่าอีกครั้ง ถ้าเธอเพิ่มระดับได้ช้าก็เป็นเหตุให้เด็กสาวต้องรอเธอนานขึ้นไปอีกและนั่นเป็นสิ่งที่เจนยอมไม่ได้อย่างแน่นอน



"ไม่ต้องรีบกังวลไปตอนนี้หรอก ถึงยังไงของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลา ยิ่งเร่งมันก็ยิ่งช้า" เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงระรื่นแล้วยกกระบอกน้ำของตนขึ้นดื่ม



ถึงเพื่อนของเธอจะบอกให้ใจเย็นแต่เจนทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้ใจของเธอมันร้อนรนยิ่งกว่าแสงแดดที่ส่องลงมาซะอีก เด็กสาวดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นและหันไปพูดกับเพื่อนของเธอ



"เอาล่ะ! พวกเรารีบไปกันได้แล้ว!"



"หา! นี่พวกเราเพิ่งพักไปได้แปบเดียวเองนะ กว่าจะถึงภูเขาก็อีกตั้งไกล แถมยังต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าจะเดินทะลุเหมืองได้..-"



"ก็เพราะอย่างนั้นแหละ วันนี้พวกเราจะไปนอนพักกันที่หน้าเหมืองจากนั้นพรุ่งนี้เช้าก็จะออกเดินทางให้พ้นเขตภูเขา เอ้า! รีบ ๆ ลุกกันได้แล้ว!" เด็กสาวไม่สนใจเสียงบ่นของเพื่อนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เธอลากพวกเขาให้ลุกขึ้นมาแล้วออกเดินนำไปโดยมีพวกโจเดินตามต้อย ๆ โดยมีคิทซึเนะเดินตามไม่ห่าง







พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมา แสงแดดก็เริ่มน้อยลงจนเจนรู้สึกได้ถึงอากาศที่เริ่มเย็นขึ้น กอปรกับที่พวกเธอเห็นทางเข้าเหมืองที่ถูกทิ้งร้างอยู่ตรงหน้าทำให้มีขวัญกำลังใจขึ้นมาไม่มากก็น้อย



บริเวณทางเข้าเมืองนั้นเป็นพื้นราบเรียบ มีอุปกรณ์ทำเหมืองอย่างเสียม จอบ พลั่วเจาะหินวางทิ้งเอาไว้อยู่เป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ของเหล่านั้นก็ถูกสนิมกินจนใช้การไม่ได้แล้ว อีกด้านเจนเห็นรถเลื่อนที่ดูจากสภาพแล้วน่าจะยังใช้การได้แต่เธอไม่ค่อยมั่นใจว่ารางจะพาเธอไปไหน



พวกเจนตั้งเต็นท์ห่างออกมาจากทางเข้าเล็กน้อย กองไฟถูกก่อขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยคราวนี้ใช้ไฟของคิทซึเนะซึ่งเจ้าตัวเสนอมาเองเพราะเธอรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณบริเวณโดยรอบ เฉพาะอย่างยิ่งมาจากด้านในเหมืองทำให้ร่างบางต้องคว้าตัวจิ้งจอกน้อยมาอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ยอมให้ห่างไปไหนเลย



"อะไรกัน เจน ขนาดเจอพวกผีดิบเป็นกองทัพยังไม่มีสั่น แค่ผีธรรมดาดันกลัวซะงั้น" แจ็คแกล้งถามแล้วทำเสียงผีออกมาจากปากของตน



"ก็พวกซอมบี้ พวกผีดิบฉันใช้ดาบสู้มันได้นี่นา แต่ผีแบบพวกนี้ฉันไม่รู้ว่าจะสู้ยังไง บ้าจริง ทำไมต้องเป็นผีด้วยนะ" เด็กสาวบ่นพึมพำ อาหารเย็นที่เธอเป็นคนลงมือทำแทบไม่พร่องลงเลย ขณะที่คิทซึเนะซึ่งนั่งอยู่บนตักของเจนนั้นกลับเจริญอาหารอย่างดีเยี่ยม



"ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่าเจน ผีพวกนี้ก็คงเป็นมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่พวกเราจะสู้หรอก ความจริงมันก็คล้ายกับพวกลูกไฟวิญญาณที่เราเคยเจอ เธอแค่ใช้ดาบเล่มนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย" โจพยายามปลอบใจของเจนซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมามากเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดีและได้แต่หวังว่าคืนนี้คงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี





เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะความรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว เจนพบว่าตอนนี้ตัวเธอนั้นไม่ได้อยู่ในเต็นท์อีกต่อไปแล้ว บริเวณรอบข้างตัวเธอในตอนนี้มืดมิดไปหมดจนแทบมองไม่เห็นมือของตังเองและยังได้กลิ่นอับเหม็นหึ่งอีกด้วย



'ที่นี่มันที่ไหนกัน เรากำลังฝันอยู่งั้นหรือ' เด็กสาวคิดแต่พอลองยิกแก้มตัวเองดูก็พบว่ารู้สึกเจ็บจริง แสดงว่าเธอไม่ได้กำลังฝันไป



ถึงยังไม่มั่นใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกที่เจนทำคือตรวจสอบว่าเธอยังมีอาวุธเตรียมพร้อมอยู่หรือไม่ โชคดีที่เธอเก็บดาบคุซานางิเอาไว้ในช่องเก็บของส่วนตัว ถ้าหากเธอวางเอาไว้ในเต็นท์หรือเก็บไว้ในกระเป๋าเริ่มต้นล่ะก็คงแย่แน่ แต่ถึงอย่างไรกระเป๋าเริ่มต้นก็เต็มไปด้วยของที่ตกจากมอนสเตอร์จนไม่มีที่ยัดลงไปอยู่ดี



สิ่งที่พอใช้ได้อยู่ติดตัวนอกจากดาบแล้วก็เป็นชุดเก่าที่เพิ่งได้คืนมาไม่นาน ตอนนี้เจนถอดเสื้อนอกทิ้งเอาไว้ในเต็นท์เหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงขายาวเท่านั้น ทำให้ตอนนี้เธอสัมผัสถึงลมเย็นยะเยือกได้แบบถึงพริกถึงขิง เด็กสาวคว้าชุดเดิมมาใส่ในทันที โดยในใจเริ่มจะกังวลว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนและมาที่นี่ได้ยังไง



"นี่ฉันมาที่นี่ได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ไม่มีแผนที่...ช่วยไม่ได้แฮะ คงต้องลองติดต่อไปหาพวกโจดูก่อน" เจนพูดกับตัวเองแล้วก็หันไปพูดทางช่องพูดคุยกลุ่มแต่เจนสังหรณ์ใจว่ามันคงไม่เวิร์ค



"โจ..แจ็ค นี่เจนนะ ตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหนน่ะ"



เงียบฉี่ ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา ดูท่าทางคงจะหลับสนิทไปแล้วแน่ ๆ คงจะไม่ตื่นง่าย ๆ อย่างแน่นอน



'ช่วยไม่ได้แฮะ สงสัยคงต้องหาทางออกไปจากที่นี่เองซะแล้ว' เจนคิดในใจและนำดาบคุซานางิออกมาเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน







หลังจากคลำทางเดินมาได้ซักพัก เจนก็เริ่มรู้สึกกลัวนิดหน่อยเพราะเธอไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยว่าตนนั้นมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ยังไง อีกใจก็รู้สึกเป็นห่วงพวกคิทซึเนะที่อยู่ในเต็นท์ว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะถ้าหากมีใครหรืออะไรทำให้เธอออกมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พวกคิทซึเนะจะโดนเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน



แสงสว่างมีอยู่ไม่มากแต่ก็พอที่จะมองเห็นเส้นทางด้านหน้าได้เพียงเล็กน้อย เจนค่อย ๆ ก้าวไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้า ในใจพลางนึกไปถึงหลุมกับดักที่เคยเห็นในหนังผีแล้วจัดการฆ่าตัวเอกของเรื่องอย่างน่าสยดสยอง เธอได้แต่โทษพวกโจที่บังคับให้เธอดูหนังพรรณนี้ทำให้เธอจำภาพติดตาจนทำให้เธอไม่กล้านอนคนเดียวไปหลายคืน



เจนใช้หลังพิงกำแพงและเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ เธอรู้ว่ากำแพงที่เธอพิงอยู่เป็นกำแพงหินที่มีไม้เป็นคานรับน้ำหนักอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้เจนรู้ว่าที่นี่คงจะเป็นถ้าอะไรซักอย่างและไม้คานนั่นคงจะเป็นเสริมความแข็งแรงของถ้ำไม่ให้ถล่มลงมา ความคิดที่แว่บเข้ามาในหัวของเจนเป็นอย่างแรกก็คือเหมืองทองโบรดี้



ทันใดนั้นเองเจนก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากข้างหน้าพร้อมกับเสียงเหล็กกำลังเสียดสีกับพื้นเหมือนกับว่ากำลังถูกลากอยู่ เธอรีบหยุดแล้วพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจึงพบว่าเสียงนั่นกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวเจนขึ้นเรื่อย ๆ เจนไม่รู้ว่าควรจะส่งเสียงเรียกไปดีหรือไม่เพราะถ้าหากเจ้าสิ่งที่ทำเสียงนี้เป็นศัตรูล่ะก็เท่ากับว่าเป็นการบอกที่อยู่ของตัวเองให้รู้



“นั่นใครน่ะ!” เด็กสาวตะโกนเรียกเพราะอยากจะออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ แต่กลับไม่มีเสียงดังตอบกลับมา มีเพียงเสียงเหล็กกำลังเคลื่อนที่ตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว



เด็กสาวพยายามเพ่งมองเข้าไปในความมืดตรงหน้าเพื่อระบุตัวของเจ้าของเสียงว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่ทันใดนั้นเสียงก็เงียบลง เจนพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากเสียงลมที่พัดผ่าน เมื่อแน่ใจว่าเจ้าตัวที่ทำเสียงนั้นหายไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง แต่เธอก็ไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างจังจนล้มก้นกระแทกลงไปกับพื้น



"อู้ยยย...เจ็บ ๆ" เด็กสาวพูดขึ้นพลางใช้มือบางลูบก้นที่ระบบจากการล้มกระแทก เธอพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าอีกครั้งแต่ก็เห็นเพียงแค่เงาสีดำเท่านั้นเอง



โออออออออ!!



เสียงร้องตะโกนดังก้องสะท้อนผนังถ้ำจนเจนต้องยกมือปิดหูของตนแทบไม่ทัน และตอนนั้นเองก็มีแสงไฟส่องสว่างขึ้นที่ด้านหน้าของเธอ



"เฮ้่ย!!! นี่มันตัวอะไรเนี่ย!" เจนร้องเสียงหลง เพราะตรงหน้าของเธอเป็นร่างโครงกระดูกสูงเกือบสองเมตรกำลังยืนอยู่ตรงหน้าและที่น่ากลัวคือร่างนั้นถือพลั่วเจาะหินอันใหญ่อยู่ในมือ แสงสว่างที่เกิดขึ้นนั้นมากจากหมวกนิรภัยติดไฟที่อยู่บนหัวของมัน



โครงกระดูกคนเหมือง

ยศทหาร ระดับ 80

ร่างของคนงานเหมืองที่ถูกคำสาป ทำให้วิญญาณติดอยู่ในโครงกระดูกไม่ไปผุดไปเกิด คอยล่าผู้ที่บุกรุกเข้ามายังในที่ของมัน

มีพลังโจมตีสูง แพ้ธาตุแสง



โครงกระดูกคนเหมืองยกพลั่วเจาะหินขึ้นสูงราวกับว่าไร้น้ำหนักแล้วฟาดลงมาที่เจน เธอรีบกลิ้งตัวหลบอย่างรวดเร็วและใช้ดาบฟันสวนกลับไป แต่ว่าร่างโครงกระดูกขนาดใหญ่นั้นไม่ได้นิยามการเคลื่อนไหวของมันเลยแม้แต่น้อย ปีศาจโครงกระดูกเคลื่อนตัวหลบอย่างผิดธรรมชาติและหวดพลั่วเจาะหินเข้าใส่เธออีกครั้ง



แต่คราวนี้เจนเตรียมพร้อมสู้ สติถูกปลุกให้ตื่นตัวเต็มที่ ร่างของเธอส่องสว่างจากผลของทักษะเสริมพลัง จากนั้นเธอจึงฉีกตัวหลบแล้วฟาดดาบไปที่ลำคอของโครงกระดูก



ฟึ้บ! แกร้ก! ก้อง!



เสียงของหัวกะโหลกหลุดจากร่างใหญ่และหล่นลงสู่พื้นพร้อมกับหมวกนิรภัยที่ตกอยู่ออกไปไม่ไกลฉายแสงมาที่ตัวของเจน เด็กสาวนึกว่าจบเรื่องแล้วจึงลดดาบลง แต่ทันใดนั้นเองเสียงเหล็กครูดกับพื้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง มือกระดูกก้มลงหยิบหัวกะโหลกบนพื้นไปใส่ที่เดิมและก้าวเท้าเข้ามาหาเจนโดยดวงตาที่กลวงโบ๋จ้องมาที่เธอจนรู้สึกขนลุกซู่



'ขนาดหัวหลุดแต่ก็ยังฆ่าไม่ตายอีก แบบนี้จะจัดการมันได้ยังไงกัน' เด็กสาวคิดพร้อมยกดาบขึ้นเตรียมพร้อม ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีแดงเหลือบไปเห็นกลุ่มก้อนพลังสีดำที่อยู่ใต้ทรวงอกของโครงกระดูกคนเหมือง



เจนมั่นใจอย่างมากว่านั่นต้องเป็นจุดอ่อนของเจ้าโครงกระดูกนี่แน่ ๆ เธอพุ่งเข้าไปหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอพกความมั่นใจเอาไว้เต็มกระเป๋า



โครงกระดูกเห็นเจนกำลังพุ่งเข้ามาหาตนจึงตะโกนร้องเสียงดังและฟาดพลั่วเข้าใสอีกครั้ง เจนฉีกตัวหลบได้อย่างง่ายดายทำให้พลั่วฟาดใส่พื้นอย่างแรงจนเศษหินแตกกระจายเหมือนกับโดนระเบิด ถ้าหากเจนโดนเข้าไปซักทีล่ะก็ถ้าไม่ตายก็สู้ต่อไม่ได้แน่



แต่ถึงพลังจะมากเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าโจมตีไม่โดนก็เปล่าประโยชน์ เจนมีความเร็วที่เหนือกว่าโครงกระดูกคนเหมืองมากนัก ต่อให้เธอจะไม่ใช้ทักษะเสริมพลังก็ไม่มีทางที่จะถูกโจมตีง่าย ๆ แน่ เธอพุ่งเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วแล้วแทงดาบทะลุอกของปีศาจโครงกระดูกในดาบเดียว



อ้าาาาาาาาา!



โครงกระดูกคนเหมืองร้องคำรามลั่น ร่างของมันส่ายไปส่ายมาพยายามจะสลัดให้เจนหลุดออก แต่เด็กสาวยึดดาบเอาไว้แน่น แล้วในที่สุดร่างของมันก็หยุดเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิงพร้อมกับก้อนพลังใต้อกที่ถูกดาบคุซานางิแทงทะลุก็เริ่มมีปฏิกิริยาส่องแสงแลบออกมาอย่างน่ากลัว เจนที่เห็นดังนั้นจึงรีบใช้เท้ายันกับร่างของโครงกระดูกคนเหมืองแล้วออกแรงให้ดาบหลุดออกมา



ร่างบางร่วงลงพื้นอย่างแรงเพราะความสูงแต่เธอไม่มีเวลามาโอดครวญในตอนนี้ เพราะร่างโครงกระดูกกำลังส่องแสงกระพริบออกมาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นไม่ใช่สัญญาณดีแน่ เจนคิดได้เพียงแค่ต้องรีบถอยห่างออกมาจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุดถึงจะมองไม่เห็นทางด้านหน้าเลยก็ตาม



ตูมมม!



เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดนั้นรุนแรงจนสามารถยกร่างของเจนลอยขึ้นไปกระแทกกำแพงอย่างแรง เจนรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัวจนไม่รู้ว่าส่วนไหนโดนกระแทกไปบ้าง เธอนอนคุ้ดคู้พยายามป้องกันร่างตัวเองจากก้อนหินที่ร่วงหลนลงมาเอาไว้ให้มากที่สุดเนื่องจากแรงระเบิดขนาดนี้บางทีอาจจะทำให้เหมืองถล่มลงมาก็ได้



หลังจากเวลาผ่านไปและมั่นใจว่าเหมืองจะไม่ถล่มลงมาแล้ว เจนก็ลุกขึ้นยืนแล้วสำรวจไปบริเวณรอบ ๆ เธอเห็นเพียงแสงเล็ก ๆ ส่องลอดผ่านอยู่ใต้กองก้อนหินที่ร่วงมาจากเพดานถ้ำจากแรงระเบิด พอลองเข้าไปค้นดูก็พบว่าเป็นแสงจากหมวกนิรภัยของโครงกระดูกคนเหมืองเมื่อครู่นี้ แต่คงจะใช้ต่อไม่ได้แล้วเพราะตัวหมวกนั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือแต่ส่วนที่ให้แสงสว่างที่ยังคงทำงานดีอยู่



เจนหยิบขึ้นมาดูก็พบว่านั่นไม่ใช่ไฟฉายอย่างที่เจนเข้าใจ แต่มันเป็นอัญมณีสีเหลืองที่เรืองแสงที่ส่องสว่างออกมาด้วยตัวเอง พอหันมามองที่เหมวกก็พบว่ามีตัวเปิดเปิดทำให้สามารถใช้ได้เหมือนไฟฉาย



อัญมณีหิ่งห้อย ระดับ B

เป็นอัญมณีที่ส่องแสงสว่างออกมาเมื่ออยู่ในความมืด สามารถใช้ได้โดยไม่มีวันดับแสง



เจนยิ้มออกมาทันที อัญมณีนี้เป็นสิ่งที่เธอกำลังอยากได้อยู่พอดีเพราะถ้าหากเธอพบกับโครงกระดูกคนเมืองอีกครั้งหรือมอนสเตอร์ตัวอื่นอีกล่ะก็ อย่างน้อยเธอก็มองเห็นพวกมันก่อนและสามารถสู้ตอบได้อย่างไม่เสียเปรียบนัก



"เจน..เจน!" เสียงของแจ็คดังขึ้น เธอรีบหันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่มาของเสียง แต่ก็พบว่าเสียงนั่นมาจากช่องสนทนากลุ่ม



"แจ็ค! นี่พวกนายปลอดภัยดีหรือเปล่า" เจนถาม



"ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอ พวกเราอยู่ที่เต็นท์กันครบ มีแต่เธอนั่นแหละที่หายไปอยู่คนเดียว ตอนนี้โจกำลังไปดูพวกคิทซึเนะอยู่ ตอนนี้เธออยู่ไหนกันเนี่ย" เด็กหนุ่มถามอย่างร้อนรน



"เอ่อ...ฉันว่าตอนนี้ฉันคงอยู่ในเหมืองโบรดี้..ล่ะมั้ง"



"หา!! นี่เข้าไปทำอะไรไม่ทราบหะแม่คุณ!" เสียงร้องตะโกนของแจ็คดังลั่นจนทำให้เจนอยากจะอุดหู แต่เสียงนี่มันดังอยู่ในหัวเลยไม่รู้ว่าจะไปอุดตรงไหน



"จะไปรู้ได้ยังไงเล่า ฉันตื่นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง" เจนตอบตามความจริง



"เดี๋ยวก่อนนะ.... ตายล่ะ นี่เธอไปโผล่อยู่อีกฟากของภูเขาได้ยังไงกันเนี่ย" ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูท่าทางเธอคงจะออกมาไกลจากพวกแจ็คมากทีเดียว ทำให้เจนยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง



"แล้วจะเอายังไงดี จะให้ฉันเดินกลับไปหรือเปล่า"



"อะไรนะ? ไม่ต้อง ๆ " เด็กหนุ่มรีบตอบปฏิเสธ "ตอนนี้เธออยู่ไกลมากจากทางเข้ามากกว่าทางนี้ ให้พวกเราเข้าไปหาเธอดีกว่า รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวพวกเราเก็บของตรงนี้เสร็จแล้วจะรีบตามไปหา"



"เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ เมื่อกี้ฉันเจอโครงกระดูกดูท่าทางเหมือนเป็นคนงานเหมืองอยู่ด้วย มันมีจุดอ่อนอยู่ที่กลางอกนะ แต่ถ้าทำลายจุดอ่อนมันแล้วมันจะเกิดระเบิดรุนแรงมาก พยายามอยู่ห่าง ๆ เอาไว้ล่ะ" เจนเตือน



"อืม แบบเสียงระเบิดเมื่อกี้ล่ะสิ ขนาดอยู่หน้าทางเข้ายังได้ยินเลยนะเนี่ย" แจ็คว่า "เอาเป็นว่าอีกเดี๋ยวเจอกัน ตอนนี้คิทซึเนะและฟีบีแทบจะพุ่งเข้าไปในเหมืองแล้ว"



"ฮะ ฮะ เข้าใจแล้ว ฝากดูแลพวกนั้นด้วยนะ" เจนตอบแล้วตัดการติดต่อไป



หลังจากใช้เวลาอยู่ครึ่งชั่วโมงสำรวจบริเวณรอบ ๆ ดูอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าบริเวณที่เธออยู่นี่เป็นทางเดินยาวของคนงานเหมือง ดูจากสภาพไม้ค้ำเพดานแล้วคงถูกสร้างมานานแล้วเลยทีเดียว เจนยังรู้สึกแปลกใจอยู่ว่าเหมืองแห่งนี้ยังอยู่มาได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เจอแรงระเบิดไปขนาดนั้นแท้ ๆ แต่คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาจึงเลิกสนใจเรื่องนั้นไป



การรอคอยกับเจนนั้นไม่ได้เป็นของคู่กันเลย ถึงแจ็คจะบอกว่าให้รออยู่เฉย ๆ แต่แค่ 10 นาทีก็สุด ๆ แล้วสำหรับเจน



"ขอล่วงหน้าไปดูหน่อยก็แล้วกันว่ามีอะไรบ้าง เรามีแสงไฟแล้วคงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรหรอก" เจนพูดกับตัวเองแล้วเริ่มออกเดินทางไปด้านหน้า



การเดินทางของเจนนั้นพบเจอพวกโครงกระดูกคนเหมืองอยู่บ้าง โชคดีที่เธอเจอเพียงแค่ทีละตัวจึงสามารถค่อย ๆ ลอบจัดการทีละตัวได้ ยิ่งแล้วที่ตอนนี้เจนรู้จุดอ่อนของมันทำให้ฆ่าง่ายยิ่งกว่าหมาป่าที่เจนเคยเจอบนเกาะเริ่มต้นซะอีก



เจนใช้วิธีค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังโดยพยายามก้าวเท้าให้เงียบเชียบที่สุด จากนั้นจึงแทงดาบทะลุหน้าอกจากนั้นก็รีบวิ่งรีบออกมาโดยทิ้งให้มันระเบิดตัวเอง ถึงวิธีนี้จะสามารถจัดการโครงกระดูกเหล่านี้ได้ง่ายแต่เธอก็ไม่ได้ของตกจากตัวมันเลยนอกจากอัญมณีหิ่งห้อยที่ได้จากซากหมวกของโครงกระดูกคนเหมืองซึ่งบางครั้งก็ได้มา บางครั้งก็โดนทำลายไปเพราะแรงระเบิด



ในตอนนี้ระดับของเจนนั้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 64 แล้วจากการลุยกับโครงกระดูกพวกนี้ ถึงจะมีเลเวลมากกว่าเจน 17 เลเวลก็ยังต้องจัดการตั้งหลายตัวกว่าที่เจนจะเพิ่มระดับขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยค่าประสบการณ์อีกครึ่งหนึ่งก็จะถูกแบ่งไปให้กับฟีบีซึ่งในตอนนี้น่าจะมีเลเวลเพิ่มขึ้นมากทะลุ 20 ขึ้นไปแล้ว



หลังจากพักจนหายเหนื่อยเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อไป ถึงตอนนี้พลังชีวิตของเธอจะยังเพิ่มขึ้นมาไม่ถึงครึ่งจากตอนที่โครงกระดูกคนเหมืองระเบิดในครั้งแรกเลยก็ตาม แล้วตอนนี้เธอเองก็ไม่มีน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตติดตัวเลยซักขวดบวกกับเธอรู้สึกใจร้อนเกินกว่าจะนั่งรอให้พลังเพิ่มขึ้นมาจนเต็มทำให้เธอต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นอีก



เมื่อเดินลึกเข้าไปเจนก็เริ่มพบกับทางแยกมากมาย แต่ละทางมีรางเลื่อนแยกไปแสดงว่าต้องเป็นส่วนที่ใช้ขุดทองอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรก็ตามที่เหมืองแห่งนี้ก็เป็นเหมืองทองอยู่แล้ว รางเลื่อนคงเป็นรางที่เอาไว้ใช้ให้รถเลื่อนขนทองออกจากเหมือง เจนไม่คิดจะเดินแยกไปทางเหล่านั้นเด็ดขาดเพราะเธอยังจำที่โจเล่าได้เป็นอย่างดี



มาถึงตอนนี้เธอนั้นตัวแข็งทื่อจนเป็นหุ่นกระบอก ความกลัวของเธอพุ่งขึ้นสูงจนแทบก้าวขาไม่ออกจนต้องก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงต้องมาคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้



เธอทำตามคำบอกของแจ็คเป็นอย่างดี ถ้าหาเธอไม่ไปยุ่งกับทองพวกนั้นก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ อีกอย่างก็คือตอนนี้เธอเองก็มีเงินอยู่มหาศาลอยู่แล้วไม่มีความจำเป็นต้องหาเงินเพิ่มในตอนนี้ ความคิดของเด็กสาวที่เคยเป็นคนตระหนี่ถึงขั้นขี้เหนียวคิดออกมาได้ ถ้าเป็นธรรมดาเธอคงจะแว่บเข้าไปดูซักหน่อยแล้วเชียว



ในที่สุดเจนก็มีถึงในกลางของเหมืองทองโบรดี้ ที่เธอรู้ได้เพราะเส้นทางทุกเส้นมาบรรจบกันในที่แห่งนี้ ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยรถรางเลื่อนอยู่หลายคันและอุปกรณ์ทำเหมืองมากมาย เพดานถ้าที่ยกสูงเป็นพิเศษโดยมีโคมไฟที่เป็นอัญมณีหิ่งห้อยให้แสงสว่างแก่พื้นที่แห่งนี้อยู่จนทำให้เจนไม่ต้องใช้อัญมณีของเธอเลย



แสงสว่างควรจะทำให้ใจกลางของเหมืองแห่งนี้ดูน่ากลัวน้อยลง แต่อากาศที่เย็นทะลุเสื้อคลุมของเธอกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่เธอเข้ามาในเหมืองแห่งนี้แล้วเธอยังไม่เจอสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นระดับสูงอย่างไซก้าซึ่งเป็นถึงหัวหน้ากิลด์อันดับ 10 ของเกมขนหัวลุกได้ขนาดนั้น เจนมั่นใจว่าไม่ใช่พวกโครงกระดูกพวกนี้อย่างแน่นอนเพราะถ้าเธอจัดการได้จะมีหรือที่ไซก้าจะทำไม่ได้



'รีบ ๆ ไปดีกว่า อยู่แถวนี้แล้วรู้ถึงหนาว ๆ ยังไงก็ไม่รู้' เจนคิด แต่ว่าจู่ๆเธอกลับก้าวขาไม่ออก เหมือนกับว่ามีใครมาจับขาเอาไว้ เสียงหวานแทบจะหลุดร้องกรี้ดออกมาเพราะในตอนนี้สติกระเจิงไปหมดแล้ว



พอก้มลงไปดูก็พบว่าเท้าของเธอนั้นถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยมือที่ผุดออกมาจากพื้นดิน เจนพยายามสลัดให้หลุดสุดชีวิตแต่ยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ มือนั่นก็ยิ่งจับแรงมากขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บ ตอนนั้นเองที่หมอกจำนวนมหาศาลเริ่มเทเข้ามาจากทุก ๆ ด้านเหมือนกับคลื่นที่โถมเข้าใส่ จนในที่สุดเจนก็มองอะไรไม่เห็นอีก



ตอนนี้เจนรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ากำลังฝันอยู่ แต่บางส่วนของเธอนั้นกลับรู้สึกเหมือนจริงมาก ท่ามกลางหมอกควันเจนได้ยินเสียงประหลาดขึ้นรอบ ๆ ตัว เสียงกรีดร้องที่ทำให้เธอต้องขวัญผวาเหมือนกับที่เธอเคยได้ยินในหนังผีหรือบ้านผีสิง แต่เมื่อเธอหันไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงกลับพบแต่หมอกสีขาวเพียงเท่านั้น



หัวใจของเจนเต้นถี่ยิบราวกับกำลังจะระเบิดออกมา ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวแต่เหงื่อกลับโทรมกาย ทันใดนั้นเองเธอก็เหลือบไปเห็นสุนัขสีน้ำตาลตัวใหญ่กำลังตั้งท่าขู่เหมือนจะเข้ามากัดเธออยู่ตรงหน้า เจนจำสุนัขตัวนี้ได้เพราะมันเป็นสุนัขที่กัดเธอในตอนที่เธอยังเด็ก ถึงมันจะตายไปนานแล้วแต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเลิกผวาเวลาที่เดินผ่านซอยแถวบ้านไม่ได้ซักที



ไม่ทันที่เจนจะได้ทำอะไร หมอกสีขาวก็เข้ามาบดบังร่างของสุนัขตัวนั้นให้หายไปจากสายตา แต่เสียงของมันยังคงอยู่และวนเวียนรอบ ๆ ตัวของเจน



แฮ่!!



เสียงของสุนัขเห่าจากด้านหลังพร้อมกับร่างขนสีน้ำตาลกระโดดเข้าใส่หมายจะขย้ำร่างบางอย่างที่มันเคยทำในอดีต เจนที่ไม่ทันตั้งตัวจึงหลบไม่ทันและโดนมันกระแทกจนล้มลงไป เด็กสาวลืมตาขึ้นมาเห็นเขี้ยวสีขาวกำลังจะขย้ำคอของเธอจึงรีบยกแขนขึ้นกันเอาไว้ให้สุนัขตัวนั้นกัดแทน



เจนรู้สึกเจ็บบริเวณที่โดนกัดทำให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพภาพลวงตา เธอรีบสะบัดร่างของมันให้ออกไปจากตัวเธอแล้วรีบคว้าดาบคุซานางิขึ้นมาเพื่อเตรียมจะสู้ ครั้งก่อนที่เธอพบกับสุนัขตัวนี้เธอยังเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เธอเติบโตจากตอนนั้นมามากแล้ว ถึงแม้ร่างกายจะกลายเป็นผู้หญิงก็จะไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน



ทว่าร่างของสุนัขตัวนั้นกลับหายไปในกลีบเมฆ ม่านหมอกบดบังสายตาของเจนอีกครั้งแต่เธอก็ยังคงมั่นใจว่ามันยังคงอยู่ใกล้ๆคอยรอจังหวะกลับมาโจมตีเธออยู่



ตอนนั้นเองที่เจนรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองเจนอยู่จากด้านหลัง เธอจึงรีบหันหลังไปเพราะคิดว่าเป็นสายตาของเจ้าสุนัขตัวนั้น แต่กลับพบกว่าคนที่เธอไม่คาดคิดจะมาอยู่ที่ตรงนั้นได้



"แจ็ค! โจ!" เด็กสาวตะโกนเรียก แต่ทั้งสองไม่ตอบคำและเดินหายเข้าไปในม่านหมอก เจนพยายามวิ่งตามแต่สองนั้นได้หายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าเธอจะพยายามเรียกหาเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบจากโจหรือแจ็คเลยแม้แต่น้อย



ความรู้สึกโหวงในอกแปลก ๆ นี้ทำให้เจนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง แรงใจที่มีอยู่ค่อย ๆ ลดลง ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่เจนอยู่โดดเดี่ยวไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้าง และนั่นเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิตของเธอ



แต่ก่อนจะได้ทำอะไรต่อ เธอก็เหลือบไปเห็นร่างของคิทซึเนะและฟีบีนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น



เจนรู้สึกเจ็บแปรบขึ้นมาที่หน้าอก น้ำตาที่พยายามอดกลั้นก็เริ่มรินไหลออกอย่างหยุดไม่อยู่ เจนพยายามจะเรียกหาคิทซึเนะและฟีบีแต่เสียงของเธอกลับไม่ยอมเปล่งออกมา สิ่งที่ดังอยู่มีเพียงแค่เสียงสะอื้นของเธอเท่านั้น



เด็กสาวเงยหน้าขึ้นก็ต้องเบิกตากว้างเพราะด้านหลังกองเลือดนั้นคืออามีร่าในชุดสีดำที่เปื้อนคราบเลือดและดาบเล่มยาวที่กลายเป็นสีแดง เจนอ้าปากค้าง เธอทำได้เพียงแค่นั้นเพราะจะความเศร้ามันถาโถมเข้ามามากเกินจนรับความโกรธไม่ไหว ในหัวได้เพียงแค่คิดว่าทำไมอามีร่าถึงต้องทำแบนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอพยายามจะช่วยเหลือเธอแท้ ๆ แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับพรากสิ่งสำคัญไปจากเธอได้



ม่านหมอกเริ่มเข้ามาบดบังร่างทั้งสามอีกครั้ง เวลานี้มีเพียงเสียงสะอื้นจากลำคอของเจนที่เธอหยุดมันไม่ได้ ความรู้สึกกลัว โกรธ เหงาและความโศกเศร้ามันพุ่งเข้าใส่เธอคิดต่อกันจนจิตใจที่เคยเริ่มเข้มแข็งเริ่มจะพังทลาย แล้วทันใดนั้นเองภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเจนกลายเป็นภาพที่เธอวิงวอนเหลือเกินว่าไม่ใช้ปรากฏออกมาให้เห็นอีก เป็นหญิงสาวร่างสูงซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่ของเจน กำลังยืนร้องไห้อยู่บนเตียงซึ่งผู้ที่นอนอยู่บนนั่นเป็นชายหนุ่มผมสีดำในชุดทหารอากาศแต่งตัวเต็มยศ...ศิลา พ่อของเจน



"....คุณพ่อ" เสียงเอื้อนเอ่ยพร้อมทั้งเด็กสาวค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหา แต่ก่อนที่เธอจะเข้าไปถึงกลับมีหมอกเข้ามาบดบังเธอเสียก่อน



"ไม่นะ!! อย่าเพิ่ง! ขอให้ฉันเห็นหน้าพ่อของฉันก่อน เอาพ่อของฉันกลับมา!!" เด็กสาวร้องตะโกนสุดเสียง มีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ตอบเธอกลับมา



ศิลาเป็นทหารอากาศของกองทัพไทย เจนเองก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับพ่อของเธอมากนักเพราะเขาเสียไปตั้งแต่ที่เจนยังเล็ก ๆ แต่ตลอดช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ เจนและศิลานั้นตัวติดกันอย่างกับเป็นคน ๆ เดียวกัน ไม่ว่าจะนอนหรือกินข้าวต่างก็ไม่ออกห่างจากกันเลย เว้นแต่ช่วงที่ศิลาต้องเข้าไปประจำการซึ่งเขาจะต้องแยกจากลูกของตนไป แต่เขาก็ติดต่อกลับมาหาเจนอยู่เสมอ



แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น เธอยังไงเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างดี มันเป็นวันที่ฝนตกหนัก มีเสียงกริ่งดังมาจากหน้าบ้านในขณะที่เจนกำลังดูโทรทัศน์อยู่ จริยาที่กำลังทำข้าวเย็นเดินเข้าไปเปิดประตูนั้นซึ่งถ้าหากกลับไปเปลี่ยนได้เจนก็ไม่อยากให้แม่ของเธอเป็นคนไปเปิดประตูบ้านเลยด้วยซ้ำ



เจนไม่ได้สงสัยเลยว่าใครมาอยู่ที่หน้าประตูจนกระทั่งจริยาก็ส่งเสียงสะอื้นดังออกมา ทำให้เจนซึ่งอยู่ในวัย 8 ขวบปิดโทรทัศน์และเข้ามาหาด้วยความสงสัย จริยากำลังนั่งทรุดลงบนพื้นบ้านกำลังพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ออกมาจนตัวสั่น ที่ประตูบ้านเป็นชายชราในชุดทหารคล้ายกับพ่อของเธอ โดยสีหน้าของเขาดูเศร้าหมอง เขาถอกหมวกออกและถือมันเอาไว้บนอกเหมือนกับแสดงความเคารพ เจนได้ยินเขาพูดว่า 'เสียใจด้วย' อยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้จริยาหยุดร้องไห้เลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดเจนก็พลอยร้องไห้ตามแม่ของเธอไปอีกคน



หลังจากนั้นเจนก็ขึ้นรถไปพร้อมกับจริยาและชายชราคนนั้นมุ่งหน้าที่สถานที่ซึ่งเหมือนกับเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เจนจำเหตุการณ์ในตอนที่เธอเข้าไปยังโรงพยาบาลไม่ได้มากนัก แต่ภาพหนึ่งที่จำได้ติดตาคือร่างไร้วิญญาณของศิลาในชุดทหารที่เขาภาคภูมิใจกำลังนอนสงบอยู่บนเตียง



ในขณะที่มีคนจำนวนหนึ่งในชุดทหารเช่นเดียวกันกำลังยืนล้อมศิลาเอาไว้และจริยาร้องไห้เสียงดังอยู่ข้าง ๆ ร่างของสามี ในตอนนั้นเองที่เจนรู้ตัวแล้วว่าเธอเพิ่งเสียพ่อของเธอไป...ตลอดกาล



เจนทรุดร่างลงไปบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง สิ่งที่เธอเพิ่งเจอไปนั้นมันรู้สึกมากเกินไปสำหรับเด็กสาวอย่างเธอหรือต่อใครก็ตาม ความรู้สึกต่างๆที่ผสมปนเปกันจนกลายเป็นความสิ้นหวัง เจนไม่อยากจะขยับไปไหนอีกแล้วเพราะกลัวที่จะเจอกับสิ่งที่เธอเพิ่งพบมาอีกครั้ง



"ไม่เอา.. ไม่เอาแล้ว...ฮึก ไม่อยากจะเจอความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว" เด็กสาวคร่ำครวญ น้ำตาไหลหยดลงปลายดาบคุซานางิที่อยู่บนพื้นแต่เจนไม่มีกำลังพอที่จะหยิบมาขึ้นมาอีก



'ถ้าเช่นนั้นก็จงหยุดพักเถอะ....เจน' เสียงกระซิบลอยเข้าหู เป็นเสียงที่ไร้เจ้าของแต่กลับมีพลังโน้มน้าวจิตใจอย่างมหาศาล เรี่ยวแรงที่มีอยู่เริ่มเหือดแห้งไป ดวงตาที่มองเห็นกลับเริ่มพร่ามัว ทว่าจิตใจที่ฟุ้งซ่านนั้นกลับเริ่มสงบลงตามเสียงกระซิบปริศนา



'จงพักซะ ปล่อยวางทุกอย่างไป ละทิ้งความเศร้า ความเจ็บปวด ความทรมานไปซะ แล้วจงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง...ของความมืด' เสียงกระซิบยังคงลอยมาเรื่อยๆ จิตใจของเจนคล้อยตามไปอย่างง่ายดาย ดวงตาของเธอพร้ามัว เด็กสาวทิ้งร่างของตนลงบนพื้นพร้อมกับสติที่เริ่มจะเลือนรางไปอย่างช้า ๆ



ซูมมม!!!



เหมือนกับมีคลื่นพลังกระแทกพัดให้กลุ่มหมอกกระจายออกไปอย่างรุนแรง สายลมพัดปั่นป่วนไปมาอย่างรุนแรงอย่างน่าพิศวง เมื่อหมอกสีขาวหายไปเปิดเผยให้เห็นถึงร่างโครงกระดูคนเหมืองจำนวนนับร้อยตัวกำลังยืนล้อมรอบตัวของเจนอยู่ และตรงหน้าของเธอคืออสูรตัวใหญ่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน



เทพแห่งความมืด เซอร์โนบอท

ยศ เทพเจ้า ระดับ 90



เทพอสูรตนนี้ระดับสูงยิ่งกว่ามอนสเตอร์ตัวไหนที่เจนเคยพบมา ไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างในชุดเกราะสีดำขนาดใหญ่แทบจะทำให้เธอแข็งไปทั้งตัว ผ้าคลุมสีดำยาวแผ่สยายดูน่าเกรงขาม ส่วนหัวของเทพอสูรนั้นสวมหมวกเกราะเอาไว้ทำให้ไม่เห็นใบหน้าแต่ดวงตาสีแดงสดเรืองแสงทะลุออกมาและจ้องมองมาที่ร่างของเจนอย่างใจเย็น มือข้างซ้ายไม่ได้ถืออาวุธแต่เป็นกรงเล็บคมกริบ มืออีกข้างถือดาบสีดำขนาดใหญ่กว่าร่างของเทพอสูรที่สูงกว่าสิบห้าเมตรซึ่งสูงเกือบพอๆกับตึกห้าชั้นเลยทีเดียว โชคดีที่เซอร์โนบอทสูงเพียงเท่านี้เพราะถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็คงพุ่งทะเลเพดานเหมืองไปแล้ว



'ถ้าหากเจ้าต้องการพลังที่จะยึดเหนี่ยวสิ่งที่เจ้าต้องการจะปกป้องล่ะก็ จงเรียกข้าออกมา' เสียงคำรามราวกับเสียงของสัตว์อสูรดังก้องไปทั่วบริเวณ เจนที่ได้ยินเสียงนั้นก็ได้สติขึ้นมา เรี่ยวแรงค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นหลังจากที่ม่านหมอกหายไป เด็กสาวมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงและในที่สุดเธอก็พบว่าเสียงนั่นมาจากดาบคุซานางิที่ลอยอยู่ด้านหน้าเธอ



เธอยกมือขึ้นจับดาบและรู้สึกได้ถึงพลังที่วิ่งเข้ามาที่ร่างของเธอเหมือนกับตอนที่เธอทำพันธสัญญาอาวุธเป็นครั้งแรก เจนรู้สึกร้อนวาบตั้งแต่ปลายนิ้วจนไปทั่วทั้งร่าง พละกำลังของเธอกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งและความคิดของเธอก็กลับมากระจ่างชัดขึ้น



เหมือนกับเจนรู้ว่าเธอต้องทำอะไร ราวกับมันเป็นสิ่งที่เธอเคยทำมาแล้ว เด็กสาวยกดาบขึ้นสูงและตะโกนเสียงดังลั่น



อัญเชิญเทพอสรพิษแปดหัว ยามาตะ โนะ โอโรจิ!!



สิ้นเสียง ดาบคุซานางิก็ส่องแสงประกายจ้า แล้วร่างของอสรพิษขนาดใหญ่พลันปรากฏตัวออกมาจากดาบ หัวทั้งแปดร้องคำรามดังสนั่นขู่เซอร์โนบอทอย่างไม่เกรงกลัวโดยร่างของหัวทั้งแปดนั้นเป็นลำตัวยาวเหมือนกับงูโดยใช้เป็นลำตัวเดียวกัน



เทพอสรพิษแปดหัว ยามาตะ โนะ โอโรจิ

ยศ เทพเจ้า ระดับ 90



เจนเบิกตากว้าง เพราะต่อไปนี้เธอกำลังจะได้เป็นพยานของการต่อสู้ระหว่างมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าทั้งสองที่จะเปลี่ยนอนาคตของโลกดิ โอเพ่นเวิลด์ไปตลอดกาล





จบตอนที่ 21 เผชิญหน้ากับความกลัว
---------------------------------------------



ขอบคุณที่ติดตามครับ พอดีผมเอาจากเว็บเด็กดีมาลงน่ะครับ ลงวันละตอนจนกว่าจะเท่ากับตอนปัจจุบันล่ะครับ จากนั้นคงจะเป็นสัปดาห์ละตอนหรือมากกว่านั้น

Tohan-kun
16th January 2014, 12:46
ตอนที่ 22 ตำนานปะทะตำนาน



หัวทั้งแปดของยามาตะ โนะ โอโรจิร้องคำรามขู่เซอร์โนบอทเสียงดังสนั่นแต่เทพอสูรแห่งความมืดกลับไม่ได้แสดงท่าทางเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมจะสู้กับเทพอสรพิษซะด้วยซ้ำไป หัวหนึ่งของยามาตะ โนะ โอโรจิก้มลงมาหาเจนแล้วพูดด้วยเสียงคำรามฟังดูทรงอำนาจยิ่ง



"รีบไปหาที่ปลอดภัย เดี๋ยวข้าจะเปิดทางให้" ไม่พูดเปล่า หัวนั้นก็อ้าปากปล่อยพลังแสงใส่กองทัพโครงกระดูกให้หายไปแบบไม่เหลือซากในพริบตา เจนได้ยินเสียงรายงานว่าเธอเพิ่งจัดการฆ่าโครงกระดูกคนเหมืองไปจำนวนมากแต่ในตอนนี้เธอไม่สนใจที่จะฟังรายระเอียดและรีบวิ่งตรงไปยังทางที่หนึ่งในแปดหัวของยามาตะ โนะ โอโรจิเพิ่งสร้างให้ก่อนที่เธอจะโดนหนึ่งในสองเทพตรงหน้ากระทืบจมดิน



เด็กสาววิ่งผ่านขี้เถ้าของโครงกระดูกคนเหมืองเข้าไปหลบยังทางแยกทางหนึ่งของถ้ำ เธอแนบร่างชิดกำแพงแล้วพยายามทบทวนความทรงจำของเธอเพราะเรื่องต่าง ๆ มันเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอตามไม่ทัน



เธอจำได้ว่ามีหมอกมาล้อมรอบตัวเธอจากนั้นเธอก็เห็นภาพต่าง ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เธอไม่อยากจะเห็นเช่นการที่โจและแจ็คเลิกคบเธอเป็นเพื่อนหรืออามีร่าลงมือฆ่าคิทซึเนะและฟีบี หรือจะเป็นความทรงจำในอดีตอย่างเจ้าสุนัขสีน้ำตาลกับภาพของจริยากำลังร้องไห้อยู่เหนือศพของพ่อเธอ



ถึงความทรงจำในตอนนั้นจะเลือนลางเหมือนกับว่าเธอแค่ฝันไป แต่ความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ในอกมันเป็นของจริงและเจนก็มั่นใจอย่างมากว่าจะต้องเป็นพลังของเซอร์โนบอทที่ทำให้เธอเห็นภาพเหล่านั้น



เสียงคำรามของยามาตะ โนะ โอโรจิดังคำรามขึ้นอีกครั้งทำให้เจนต้องโผล่หัวจากที่กำบังออกไปดู เทพอสูรทั้งสองยังคงดูเชิงกันอยู่ ไม่ยอมเข้าปะทะกัน



เซอร์โนบอทนั้นมีรูปร่างเหมือนมนุษย์สวมชุดเกราะทั้งตัวและยังมีอาวุธระยะกลางอย่างดาบเล่มยักษ์และอาวุธระยะประชิดอย่างกรงเล็บขนาดใหญ่ทำให้มันได้เปรียบกว่ายามาตะ โนะ โอโรจิมากในการต่อสู้ในพื้นที่แคบเช่นนี้



ถึงเซอร์โนบอทจะมีรูปร่างที่สามารถสู้ในระยะประชิดได้ดีกว่าแต่มันก็ไม่มีทางป้องกันจากการโจมตีจากหัวทั้งแปดพร้อมกันได้เช่นกัน ระดับของทั้งสองพอ ๆ ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ผู้แพ้คือผู้ที่พลาดพลั้งก่อนเท่านั้น



พญาอสรพิษเริ่มจู่โจมก่อนด้วยลำแสงสีขาวที่ใช้กำจัดโครงกระดูกคนเหมือนเมื่อครู่แต่ครั้งนี้ลำแสงมีขนาดใหญ่และเข้มข้นกว่ามาก



เซอร์โนบอทเห็นดังนั้นก็เอนตัวหลบอย่างว่องไวต่างจากขนาดตัว แต่ก็ไม่ไวพอที่จะหลบลูกไฟที่พุ่งเข้าใส่จากปากของอีกหัวของยามาตะ โนะ โอโรจิได้



ตูม!!!



เสียงระเบิดดังสนั่น ลูกบอลเพลิงเข้าปะทะร่างของเทพอสูรเข้าอย่างจัง เทพอสรพิษไม่หยุดเพียงแค่นั้น หัวที่เหลืออยู่ต่างปล่อยพลังต่างชนิดออกมานับไม่ถ้วน เสียงระเบิดดังอย่างต่อเนื่องจนร่างของเทพอสูรถูกพลังดันติดกำแพงถ้ำด้วยแรงกระแทก ควันจากระเบิดฟุ้งกระจายไปทั่วจนมองไม่เห็นร่างยักษ์ของเซอร์โนบอทแต่ยามาตะ โนะ โอโรจิก็ไม่ประมาท สายตาทั้ง16คู่ยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มควัน



ทันใดนั้นเองที่กรงเล็บสีดำก็พุ่งออกมาพร้อมกับเกราะทมิฬที่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ดาบเล่มยักษ์ฟาดใส่หัวหนึ่งที่อยู่ในระยะดาบของเซอร์โนบอท ตัวดาบถูกหุ้มดัวยพลังสีดำมะเมื่อมดูน่ากลัวและทรงพลังจนทำให้บรรยากาศรอบตัวดาบถึงกับบิดเบี้ยว เจนอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันเพราะเธอไม่คิดกว่าเกล็ดสีดำของยามาตะ โนะ โอโรจิจะป้องกันพลังทำลายของดาบเล่มนี้ได้



แต่ก่อนที่ดาบจะตัดหัวพญาอสรพิษลงก็มีกำแพงน้ำแข็งขึ้นมากั้นเอาไว้ระหว่างดาบและหัวของพญางู ถึงกำแพงน้ำแข็งจะไม่สามารถป้องกันการโจมตีของดาบได้แต่ก็ทำให้ดาบช้าลงจนยามาตะ โนะ โอโรจิหันหัวของตนหลบคมดาบอย่างฉิวเฉียด ในพร้อมกันนั้นเองที่อีกเจ็ดหัวที่เหลือทำการโจมตีกลับไปดัวยพลังหลากชนิดซึ่งดูแล้วก็มีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าพลังดาบของเทพอสูรเลย



เจนมองการต่อสู้ของมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าอย่างตื่นเต้นจนลืมเรื่องอื่นไปเสียสิ้น พลังมหาศาลของทั้งยามาตะ โนะ โอโรจิและเซอร์โนบอทนั้นอยู่คนละชั้นกับมอนสเตอร์ที่เคยเจอมาเป็นไหน ๆ ขนาดที่มาเอะซึ่งเป็นจิ้งจอกเก้าหาง มอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าเช่นเดียวกันก็มีพลังเทียบเสี้ยวของหนึ่งในมอนสเตอร์ตรงหน้านี้ไม่ติด



โครงกระดูกคนเหมืองที่อยู่รอบ ๆ ถูกเทพทั้งสองป่นจนไม่ต่างราวกับมดปลวก เพราะไม่ว่าทั้งสองจะเคลื่อนไหวไปที่ใด ก็เป็นอันทำให้ร่างของเหล่าโครงกระดูกต้องกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปทุกครา ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีของทั้งคู่เลยที่แค่เฉียด ร่างของเหล่าโครงกระดูกก็สลายไปจนไม่เหลือซาก พลังที่ต่างระดับชั้นกันราวกับฟ้ากับเหวทำให้เจนเริ่มหวั่นใจว่าเหมืองแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรองรับความคลั่งนี้ได้



ยามาตะ โนะ โอโรจินั้นสามารถโจมตีได้ถึงแปดครั้งติดต่อกันจากหัวทั้งแปด ในแต่ละหัวนั้นมีพลังแตกต่างกันไป โดยสองหัวแรกมีพลังในการควบคุมหินและสายลมที่อยู่รอบตัวได้ สามหัวถัดมามีพลังที่จะปล่อยพลังสายฟ้า เพลิงและน้ำออกจากปากรวมถึงควบคุมได้ตามใจนึกอย่างการทำให้น้ำเป็นน้ำแข็งเป็นต้น



สองหัวสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดมีพลังที่พิเศษกว่าหัวอื่นนั่นคือแสงสว่างและความมืด ซึ่งเป็นพลังเฉพาะที่จะแฝงอยู่ในพลังอื่น ๆ เช่นเพลิงจิ้งจอกของคิทซึเนะที่เป็นธาตุไฟแฝงธาตุแสงทำให้เปลวเพลิงมีพลังที่มอนสเตอร์ประเภทวิญญาณขยาด ดังนั้นพลังของหัวทั้งสองนี้จึงรุนแรงและอันตรายมากทีเดียว



สุดท้ายก็คือถ้าหากพูดถึงพญางูก็คงต้องนึกถึงพิษงู ดังนั้นหัวที่แปดจึงมีอาวุธที่ขาดไม่ได้สำหรับงูนั่นก็คือพิษและยังเป็นพิษร้ายที่อันตรายถึงชีวิตโดยเพียงแค่หยดเดียวก็อาจจะฆ่ามอนสเตอร์ระดับราชาได้ไม่ยาก ถ้าหากโดนกัดจนพิษเข้าสู่ร่างกายโดยตรงต่อให้เป็นเซอร์โนบอทเองก็ล้มได้ และแต่ละหัวแทบแยกกันไม่ออกว่าหัวใดมีพลังโจมตีอะไร ทำให้คาดเดายากต่อการป้องกัน



ทางเซอร์โนบอทนั้นใช่ว่าจะมีพลังด้อยกว่าพญาอสรพิษ ตัวมันของจากจะมีอาวุธและเกราะที่แข็งแกร่งแล้วยังมีพลังแห่งความมืดที่ทรงพลังยิ่งกว่าใคร ๆ พลังแห่งแสงสว่างของยามาตะ โนะ โอโรจินั้นมีพลังด้อยกว่าพลังความมืดของมันมาก ถึงพญาอสรพิษจะใส่พลังเต็มที่จนอาจจะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้ก็ตาม แต่ไม่มีทางที่พลังแห่งแสงในตัวของยามาตะ โนะ โอโรจิจะฆ่าเทพอสูรตนนี้ได้อย่างแน่นอน



เหมือนกับว่าทั้งคู่รู้จุดแข็งของอีกฝ่าย ทำให้การโจมตีที่ทั้งสองห้ำหั่นใส่กันนั้นถึงจะดูรุนแรงในสายตาของเจนแต่ก็เป็นเพียงแค่การลองเชิงเท่านั้น ทั้งสองต่างไม่ใช้พลังของตนอย่างเต็มที่แต่ความจริงแล้วทั้งสองเองก็ไม่ได้ใช้พลังออกมาไม่ถึงครึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตามแรงจากการปะทะระดับเทพเจ้าก็ทำให้ถ้ำสั่นสะเทือนจนแทบจะถล่มลงมาอยู่รอมร่อ



เสียงของแรงสั่นสะเทือนดังสนั่นพร้อมกับก้อนหินที่ตกลงมาจากเพดานถ้ำบอกให้เจนรู้ว่าเหมืองแห่งนี้เริ่มไม่มั่นคงเสียแล้ว และการที่เธอจะอยู่แถว ๆ นี้ที่เป็นจุดศูนย์กลางของของการต่อสู้ก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก



เด็กสาวรีบวิ่งหนีออกมาจากบริเวณนั้นก่อนเพราะการต่อสู้ของเทพทั้งสองนั้นรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวินาที เจนเก็บดาบแล้วรีบสับเท้าอย่างรวดเร็วไปตามทางตรงหน้าที่ควรจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์กลับว่างเปล่า เหมือนกับว่าโครงกระดูกทุกตัวจะถูกเรียกไปยังในกลางเหมืองทำให้เจนวิ่งหนีออกมาโดยไร้สิ่งกีดขวาง เว้นเพียงแต่ก้อนหินที่คอยหล่นใส่ตามเสียงการต่อสู้ด้านหลัง



ตอนนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่ามีตัวอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เธอจากด้านล่างโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย พอก้มลงไปดูเธอก็เห็นใบหน้าแป๋วแหววกับดวงตาสีเหลืองที่ดูคุ้นตา



"คิทซึเนะ!" เจนร้องชื่อจิ้งจอกน้อยเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังกอดร่างของเธอแน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนฟีบีนั้นก็บินวนอยู่รอบ ๆ ด้วยท่าทางดีใจโดยมีสองหนุ่มที่เพิ่งวิ่งมาตามมาถึง



"เฮ่อ.. เจอตัวซักที! เอ้า นี่ของ ๆ เธอ ...ตกลงมันเกิดเรื่องบ้าอะไรเนี่ยเจน" โจกล่าวพร้อมกับโยนกระเป๋าเริ่มต้นไปให้เด็กสาว



เธอยกมือรับได้อย่างแม่นยำแล้วนำไปคาดที่เอวทันที ถึงตอนนี้เธอจะมีน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตเตรียมพร้อมและอยู่กับเพื่อน ๆ กันพร้อมหน้า แต่เจนกลับไม่รู้สึกอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย



"เอาไว้เล่าทีหลัง ตอนนี้ถ้ำกำลังจะถล่มลงมาแล้ว พวกเรารีบหนีออกจากถ้ำกันก่อนดีกว่า" เจนบอกพลางแกะมือของคิทซึเนะที่เกาะแน่นอย่างกับตุ๊กแก



"ทางข้างหน้าตอนนี้อันตรายเกินไป กลับไปทางที่พวกนายมาจะปลอดภัยกว่า"



"จะบ้าหรือไง พวกเราวิ่งกว่าจะมาถึงตรงนี้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ให้ถอยกลับไปไม่ทันแน่ ๆ อีกอย่างแรงสะเทือนขนาดนี้มีหินถล่มปิดทางไปหรือยังก็ไม่รู้" แจ็คแย้งขึ้นมา ท่าทางของเขาดูเหนื่อยหอบและเหงื่อซึมเต็มออกจากเสื้อจนชุ่มไปทั้งตัว



เด็กสาวเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของแจ็ค แต่ถ้าหากไปด้านหน้าก็เจอสองเทพปะทะกันก็ไม่ต่างจากเข้าไปหาที่ตาย การจะไปอยู่ตรงกลางระหว่างศึกของยักษ์แบบนั้นมีหวังได้โดนเหยียบไม่ก็เจอลูกหลงแบบโครงกระดูกคนเหมืองแน่ ๆ



ทางรอดก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย หนึ่งในนั้นคือให้กลับไปทางเก่าแต่มีหวังถ้ำได้ถล่มลงมาก่อนอย่างที่เพื่อนหนุ่มของเธอพูด หรือไม่ก็โดนทำลายไปพร้อมกับภูเขาลูกนี้จากพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิไม่ก็เซอร์โนบอท หรืออีกทางคือใช้ความเร็วของพลังสถิตร่างพาทุกคนหนีออกจากถ้ำแต่ด้วยพลังเวทที่เหลืออยู่ไม่มากและเวลาก็คงมีไม่พอที่จะใช้น้ำยาฟื้นพลังเวทได้ทันก็เลยต้องตกไป



ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ตอนนั้นเองดวงตาสีแดงก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ทำให้ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาบนหัวเจน ทางออกจากที่นี่แบบติดราง!



"รถรางไง! พวกเรานั่งไปบนรถรางก็อาจจะไวพอที่จะหนีทันก็ได้ แต่.." เจนรีบเปลี่ยนความคิดเพราะเมื่อพอนึกเห็นภาพพวกเธอผ่านเข้าไปใกล้บริเวณที่ยามาตะ โนะ โอโรจิกำลังต่อสู้อยู่จะเป็นยังไง ถึงจะใช้ความเร็วของรถรางแต่ภาพในหัวที่เจนเห็นนั้นก็ไม่ได้ออกมาดีนัก สงสัยเธอจะต้องหาทางอื่นซะแล้ว



แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของพญาอสรพิษควรจะอยู่ห่างออกไปกลับดังขึ้นในหัวของเจนเหมือนกลับอยู่ใกล้ ๆ



'ไมต้องเป็นห่วง ข้าจะดึงตัวอสูรตนนี้ให้ห่างออกจากพวกเจ้าเอง ขอให้หนีออกไปจากที่นี่ไปได้ก็พอ'



"เอ๊ะ เสียงนี้ ยามาตะ โนะ โอโรจิงั้นหรือ" เจนพูดขึ้นเสียงดังจนพวกโจหันมามองอย่างสงสัยว่าเธอกำลังพูดกับใคร



'ข้าคุยกับเจ้าผ่านทางจิต มีเจ้าซึ่งเป็นคู่พันธะสัญญาของข้าสามารถที่ได้ยินข้าพูดเพียงคนเดียวเท่านั้น' เสียงคำรามขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง



"ตอนนี้เจ้ารีบพาเพื่อนหนีออกไปก่อนเถอะ ดูเหมือนเจ้าอสูรนี่ไม่คิดจะเก็บภูเขาลูกนี้เอาไว้แล้ว"



"อะ เอ่อ..เข้าใจแล้ว" เจนรีบตอบเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนสั่ง ถึงรู้ว่าตัวเองควรจะทำตัวเป็นนายแต่มาเจอเสียงที่ฟังดูน่ากลัวขนาดนี้คงจะทำไม่ไหว



เจนรีบพาทุกคนกระโดดขึ้นไปบนรถรางอย่างรวดเร็วและไม่ลืมเก็บฟีบีเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งสี่พาตัวเองยัดลงไปในรถรางคันเล็กอย่างแน่นขนัดโดยมีเจนและคิทซึแนะนั่งอยู่ด้านหน้าและสองหนุ่มจอจานอยู่ด้านหลัง



"เฮ้ย! นั่นมือของใครจับก้นฉันอยู่ รีบเอาออกไปเลยนะ" เจนร้องโวยวาย เธอพยายามดิ้นแต่พื้นที่นั้นช่างไม่อำนวยเอาเสียเลย



"ก็ที่มันมีอยู่แค่นี้จะให้เอามือไปไว้ตรงไหนกัน หา" เด็กหนุ่มตอบและพยายามจะขยับตัวหามุมที่นั่งให้สบายขึ้น แต่กลายเป็นว่าไปจับตัวของเจนเข้าอีกจนโดนเพื่อนสาวใช้มือตบหน้าโดยไร้ทางป้องกัน



"ทั้งสองคนมัวแต่เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย ถ้าไม่รีบมีหวังโดนหินถล่มใส่ตายกันอยู่ตรงนี้แหละ" แจ็คว่า ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ลำบากมากเพราะมีขนาดตัวใหญ่ที่สุดจากทั้งสามคน



เขาหันหลังให้เพื่อนทั้งสองโดยมือข้างซ้ายติดอยู่จนขยับไปไหนไม่ได้ ส่วนมือข้างขวายังเป็นอิสระเพราะไม่มีที่จะให้ยัดจึงต้องเอาออกมาห้อยอยู่ข้างตัวรถราง จากท่านั่งของเขานั้นทำให้คนตัวใหญ่อย่างแจ็ครู้สึกอึดอัดมากจนหายใจแทบไม่ออก ถ้าหากไม่รีบไปล่ะก็ แจ็คอาจจะขาดอากาศหายใจตายแทนโดนหินถล่มใส่ก็ได้



ส่วนจิ้งจอกน้อยนั้นนั่งหูตกอยู่ข้าง ๆ เจนก็รู้สึกอึดอัดด้วยเช่นกัน ในใจก็พลางนึกอิจฉาฟีบีที่ได้เข้าไปหลบอยู่ในดาบอย่างสบาย ๆ ทว่าจิตใต้สำนึกของเธอนั้นบอกให้เธอปกป้องเจ้านายของตนถึงแม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม และคิทซึเนะเองก็มีบทเรียนในเรื่องนี้อยู่หลายรอบจนไม่คิดจะทำผิดอีกซ้ำสอง



"เอาล่ะฉันว่าพวกเราออกไปก่อนดีกว่า ไว้จัดท่านั่งให้สบาย ๆ แล้วค่อย..-"



ครืนนนน!!



เสียงของหินถล่มดังมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ทั้งสี่หันมามองหน้ากันเหมือนกับนัดเอาไว้ แจ็ครีบเอื้อมมือไปยังคันโยกเบรกที่อยู่ท้ายรถอย่างยากลำบากเพื่อปล่อยให้รถรางไหลไปตามเส้นทาง ล้อเหล็กค่อย ๆ หมุนไปด้านหน้าเมื่อตัวหยุดที่อยู่เหนือล้อถูกปลดออก รางด้านหน้าเป็นทางลาดลงทำให้ความเร็วของรถรางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นกำแพงหินแค่เพียงแว่บเดียวเท่านั้น



เมื่อความเร็วของรถรางเพิ่มสูงขึ้นจนคล้ายกับรถไฟเหาะตีลังกา เจนรู้สึกเหมือนกับหัวใจของเธอตกอยู่ไปที่ท้องน้อย เด็กสาวใช้มือจับขอบของรถรางเอาไว้ไม่ปล่อย ริมฝีปากบางขบกันแน่นด้วยความกลัวจนเธอรู้สึกชา ความจริงแล้วเจนก็ไม่ได้เกลียดหรือกลัวรถไฟเหาะนัก ยิ่งชอบด้วยซ้ำถ้าหาได้ขึ้นไปพร้อมกับเพื่อน ๆ เช่นนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ถ้ำกำลังใกล้ที่จะถล่มใส่หัวพวกเธอและรถรางมันก็ไม่ได้มีความปลอดภัยอย่างรถไฟเหาะเลยแม้แต่น้อย



ยิ่งรถรางเคลื่อนเข้าใกล้ไปเท่าไหร่ เจนก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเพราะพวกเธอกำลังเข้าใกล้เซอร์โนบอทขึ้นทุกที ถึงยามาตะ โนะ โอโรจิจะบอกว่าจะรั้งตัวอสูรชุดเกราะเอาไว้แต่เธอก็ยังอดหวั่นใจไม่ไหวถ้าหาเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา ไม่มีอะไรเลยที่ทั้งสี่จะทำได้ถ้าหากอยู่ต่อหน้าเซอร์โนบอท



"โจ พอจะมีวิธีเปลี่ยนเส้นทางของรางนี้บ้างมั้ย?" เด็กสาวถามขึ้นเพราะไม่อยากจะไปเจอเซอร์โนบอทอีก



"ก็อาจจะมี ทำไมงั้นหรือ ทางข้างหน้ามีอะไร" โจถามสวนกลับไป



"เอาเป็นว่าฉันไม่อยากให้พวกนายสติแตกกันตอนนี้ก็แล้วกัน" เจนพูดพลางนึกภาพตาม



เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่เรื่องขนาดที่ทำให้เขากับแจ็คสติแตกได้แบบนี้แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ถึงอยากรู้ว่ามันคืออะไรแต่โจก็ตัดสินใจรอจนกว่าเพื่อนสาวจะบอกเองทีหลังดีกว่า



จอมเวทหนุ่มเบือนสายตาจากเพื่อนสาวและมองทางข้างหน้าเพื่อจะหาอะไรบางอย่างที่ช่วยเปลี่ยนให้รถรางคันนี้วิ่งไปทางอื่นได้ ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นป้ายเหล็กสีเหลืองด้านหน้าติดอยู่บนผนังกำแพงหิน โจรู้ว่ามันคืออะไรเขาจึงพยายามยกมือเพื่อยิงเวทใส่แต่มือทั้งสองข้างของเขาติดจนขยับตัวไม่ได้ และป้ายเหล็กอันนั้นก็กำลังจะผ่านไปแล้ว



"แจ็คโว้ย! ยิงไอ้ป้ายสีเหลืองนั่นเร็วเข้า!" โจตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่พัดผ่าน



"หา ทำไมอ่ะ" แจ็คตะโกนถามกลับไป



"บอกให้ยิงก็ยิงไปเถอะน่า! เฮ้ย! จะเลยแล้ว!"



เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของโจ แจ็คจึงรีบหยิบปืนออกมาแล้วเล็งไปยังเป้าหมายก่อนที่จะเหนี่ยวไก



ปัง!



เสียงระเบิดของกระสุนที่ถูกส่งออกมาจากรังเพลิงดังคำรามราวกับสัตว์ร้าย ปืนโลกันต์ปล่อยกระสุนไฟพุ่งใส่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว



แต่ต่อให้มีปืนที่ยิงได้รุนแรงแค่ไหนถ้ายิงไม่โดนก็ไร้ความหมาย กระสุนไฟพุ่งเข้าปะทะกำแพงแต่ไม่เฉียดใกล้ป้ายสีเหลืองเลยแม้แต่น้อย ทิ้งให้ทั้งสี่มองมันผ่านไปจนลับสายตา



การยิงปืนนั้นแค่แม่นอย่างเดียวไม่พอ จะยิงให้โดนเป้าหมายได้ต้องอาศัยประสบการณ์และความเยือกเย็น อดทนรอจนเวลาเหมาะสมที่จะลั่นไก แจ็คเองก็ไม่เคยจับปืนมาก่อนในโลกแห่งความจริง ตลอดเวลาที่เขาเล่นเกมมาก็ถือได้ว่าตัวเองฝึกยิงปืนมาเยอะแต่ทุกครั้งไม่มีครั้งไหนเลยที่เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ที่ต้องใช้สมาธิและความแม่นยำในเวลาเสี้ยววินาที ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ต้องใช้ประสบการณ์และการฝึกฝนหลายปี จึงไม่แปลกนักที่เขาจะยิงพลาด แต่เพื่อนของเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย



"โถ่เอ้ย! ฉันบอกให้รีบ ๆ ยิงตั้งแต่แรกดันมามัวถามอยู่นั่นล่ะ ยิงพลาดเลยเห็นมั้ยเล่า" โจส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ พลอยทำให้คนถูกว่าเริ่มอารมณ์เสียไปด้วย



"เอ้า! จู่ๆก็มาบอกให้ยิงโน้นยิงนี่แบบนี้ใครจะไปทำได้ล่ะ แถมตัวมาติดอยู่แบบนี้มันไม่ใช่ว่าจะยิงได้ง่าย ๆ นะ" เด็กหนุ่มแก้ตัว



เด็กสาวที่นั่งตัวติดอยู่ด้านหน้าของทั้งสองคนนั้นไม่ได้อยากจะฟังด้วยเลยและเธอเองก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะมาห้ามศึกของทั้งคู่ในตอนนี้ แต่ถ้าหากทั้งสองคนมาทะเลาะกันในตอนนี้คงจะลำบาก เธอจึงพูดปรามทั้งสองโดยไม่หันหัวกลับไปเพราะขยับไม่ได้



"พวกนายเลิกทะเลาะกันซักทีเถอะ ขนาดสถาน..- เฮ้ย! นั่น รีบยิงเร็วเข้า!!" เจนร้องตะโกนเมื่อเห็นป้ายสีเหลืองอีกอันโผล่ขึ้นมา



คราวนี้แจ็คไม่ยอมโดนว่าอย่างคราวที่แล้วแน่ เขาต้องลบคำปรามาสของเพื่อนของเขาออกไปให้ได้ แต่การที่จะยิงเป้าหมายในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเช่นนี้นั้นยังเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับเขา แต่ในโลกออนไลน์ยังมีสิ่งที่โลกแห่งความจริงทำไม่ได้อยู่ นั่นก็คือการใช้ทักษะนั่นเอง



อะดรีนาลีนบูธ!



เด็กหนุ่มใช้ทักษะที่เพิ่งได้มาจากการเปลี่ยนอาชีพเมื่อไม่ถึงหนึ่งวันก่อน ทักษะอะดรีนาลีนบูธจะทำให้ผู้ใช้ทักษะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวช้าลงเหมือนกับสโลว์โมชั่น โดยช่วยให้แจ็คมีเวลาเล็งปืนเพิ่มอีกนิดแต่ทักษะนี้ไม่ได้ทำให้เขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มจำเป็นต้องยกปืนขึ้นเล็งไปล่วงหน้าพร้อมกับที่ตาจับจ้องไปที่เป้าหมาย



ทักษะนี้ไม่ได้เป็นทักษะเฉพาะของอาชีพนักล่าค่าหัวเท่านั้น มีหลายอาชีพที่มีทักษะเดียวกันแต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพที่ใช้อาวุธโจมตีระยะไกลเป็นหลัก ซึ่งมีประโยชน์มากในยามฉุกเฉินเพราะไม่เพียงแค่จะใช้เล็งยิงอาวุธระยะไกลได้ แต่ยังสามารถใช้เพื่อวางแผนในช่วงเวลาคับขันอีกด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ผู้เล่นจำนวนมากพยายามหาอาชีพที่มีทักษะนี้มาครอบครอง แต่การที่จะได้ทักษะนี้มาใช้นั้นก็ยากมากเพราะต้องใช้อาวุธโจมตีระยะไกลจนกว่าจะได้ทักษะพื้นฐานจนเต็มหรือมีทักษะพื้นฐานอื่น ๆ เต็มด้วย และนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยทีเดียว



แจ็ครู้สึกได้ถึงแรงลมที่กระแทกเข้าใบหน้าอย่างละเอียดจนขนาดถึงกะได้ว่าลมพัดแรงแค่ไหน เขามองเห็นสิ่งรอบ ๆ เคลื่อนที่ได้ช้าลงจนเหมือนกับว่าเขาแยกมาอยู่ในโลกอีกใบ มือหนาค่อย ๆ เลื่อนปืนเล็งไปที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่ทว่าในหัวของแจ็คในตอนนี้กลับมีบางอย่างบอกว่าถ้าเขายิงไปในตอนนี้ก็ยังไม่โดนเป้าอยู่ดี ซึ่งนี่คือผลของอีกหนึ่งทักษะของแจ็คที่ได้มาหลังจากเปลี่ยนอาชีพ



ลางสังหรณ์มือปืน



ทักษะนี้เป็นทักษะติดตัวที่เขาได้มาหลังจากเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งเป็นทักษะพิเศษสำหรับอาชีพที่ใช้ปืนระดับสูงเท่านั้น ความสามารถของทักษะคือทำให้ผู้ที่มีทักษะนี้สามารถรู้สึกได้ว่าจะยิงได้ที่ตรงไหน เวลาใดถึงจะถูกเป้า แต่มันเป็นแค่ความรู้สึกจึงไม่สามารถใช้ได้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่มีเวลามาตัดสินใจ แต่เมื่อใช้ร่วมกับทักษะอะดรีนาลีนบูธแล้วทำให้ทักษะนี้สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์จนเป็นการผสานทักษะที่เยี่ยมยอดเลยทีเดียว



เด็กหนุ่มเคลื่อนปืนออกไปด้านข้างแล้วลั่นไกโดยทันทีทั้ง ๆ ที่ตรงหน้าของปืนในเวลานี้คือกำแพงหินไม่ใช่ป้ายสีเหลืองที่เพื่อนของเขาต้องการให้ยิง แต่ทันใดนั้นก็เหมือนกับว่าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ด้วยความเร็วของรถรางวิ่งทำให้ช่วงที่แจ็คลั่นไกตรงกับเวลาที่รถรางวิ่งผ่านป้ายสีเหลืองพอดิบพอดี



ตูม!!



เสียงของกระสุนพุ่งกระแทกใส่ป้ายอย่างแรงและระเบิดออกเพราะเป็นกระสุนจากปืนโลกันต์ เวลาเดียวนั้นเองที่รางด้านหน้าก็ถูกสับทำให้รถรางวิ่งในทางแยกอีกทางแทนที่จะวิ่งตรงไปหาสองเทพที่ยังคงปะทะกันจนถ้ำสั่นสะเทือน



ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสองคน แจ็คที่เห็นว่าเขายิงได้ถูกเป้าหมายจึงยกปืนกระบอกแดงของตนมาจรดปากและเป่าเบา ๆ เหมือนกับคาวบอยแต่ควันที่ควรมีนั้นถูกลมแรงพัดหายไปหมดแล้ว



"โว้ว! สุดยอดไปเลยแจ็ค แม่นอย่างกับจับวางเลย" เจนตะโกนบอกทั้งๆที่หันหลังให้ ถึงเธอไม่เห็นว่าเพื่อนของเธอทำได้ยังไงแต่สำหรับเจนแล้วเธอทำแบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน



"ฝีมือระดับนี้แล้ว.. แถมทักษะอีกสองสามอย่าง ไม่โดนก็แย่แล้ว" แจ็คพูดเสียงสบาย ๆ เขาจะเก็บปืนลงในแต่ถูกโจบอกห้ามเอาไว้ก่อน



"อย่าเพิ่งเก็บปืนนะแจ็ค เดี๋ยวนายต้องยิงป้ายสลับรางอีกรอบให้พวกเรากลับไปยังรางที่จะพาออกไปนอกเหมือง" เพื่อนมือปืนพยักหน้าเข้าใจและหันกลับมามองทางด้านหน้าเตรียมพร้อมที่จะยิงอีกครั้ง



"ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าป้ายนั้นจะสับรางให้ไปทางอื่น" เจนถาม



"ตลอดทางที่เดินผ่านมาฉันไม่ได้แค่ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียวนี่ ฉันสังเกตเห็นป้ายสีเหลืองแบบนั้นทุกครั้งก่อนที่จะเจอทางแยก พอฉันเข้าไปดูใกล้ ๆ ถึงจะรู้ว่าเป็นป้ายที่คนงานเหมืองเอาไว้ใช้พลั่วขุดตีเพื่อเปลี่ยนเส้นทางรถราง" ชายหนุ่มอธิบายราวกับเป็นผู้รอบรู้ ใครจะไปรู้ว่าชายที่กำลังพูดอยู่ในตอนนี้ซึ่งชอบเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจจะช่างสังเกตขนาดนี้



เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งส่งผลให้ถ้ำเหมืองสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ทั้งสี่จับรถรางที่ตนอยู่แน่นโดยสองหนุ่มก็นึกสงสัยว่ามันเกิดจากอะไรแต่มีทางเดียวที่จะรู้ได้ก็คือรอให้เพื่อนสาวเป็นคนอธิบายเอง



เจนมองเห็นป้ายสีเหลืองอีกครั้งแต่คราวนี้อยู่คนละฝั่งจากครั้งที่แล้วจึงรีบตะโกนบอกเพื่อนให้ได้รู้ ไม่นานนักเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้งและตามมาด้วยเสียงระเบิด จากนั้นรางก็ถูกสับให้รถรางแล่นเลี้ยวไปด้วยความเร็วสูงกลับเข้าสู่ทางออกไปจากเหมืองทองต้องสาปแห่งนี้



ครืน!!



เสียงของถ้ำสั่นสะเทือนแรงขึ้น เสียงฟังเหมือนกับกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัว ตอนนี้พวกเธอคงกำลังเข้าใกล้จุดที่ยามาตะ โนะ โอโรจิสู้กับเซอร์โนบอทเต็มทีแล้ว



"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ยเจน ทำไมจู่ ๆ เธอถึงเข้ามาในเหมืองนี่ได้ แล้วยังมาบอกว่าไม่รู้ตัวอีก ถ้าบอกว่าละเมอล่ะก็คราวหน้าเห็นทีจะต้องมัดเธอเอาไว้ติดกับเตียงแล้วล่ะ" แจ็คพูดขึ้น



เจนเองก็สงสัยในเรื่องนั้นเช่นกัน แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นฝีมือของเซอร์โนบอทอีกอย่างแน่นอน ถึงไม่รู้ว่าทำได้ยังไงก็ตาม



"ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันคิดว่าฉันรู้จักคนที่จะช่วยอธิบายให้ได้...อันที่จริงก็ไม่ใช่คนหรอกนะ" เจนตอบ เพราะเธอกำลังพูดถึงยามาตะ โนะ โอโรจิ ถ้าหากเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพเช่นเดียวกันล่ะก็ คงสามารถช่วยให้คำตอบที่เธออยากรู้ได้อย่างแน่นอน



ตูม!!!



เสียงระเบิดดังพร้อมกับก้อนหินแตกกระจายไปทั่วบริเวณ เจนรีบหันโอบตัวคิทซึเนะ ป้องกันไม่ให้หินกระเด็นใส่ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองด้านหลังต่างก้มตัวหลบให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้



เมื่อเงยหน้าขึ้นมาทั้งสี่ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะกำแพงหินด้านข้างนั้นหายไปทั้งแถบ เผยให้เห็นเทพอสูรทั้งสองที่เด็กสาวไม่คิดอยากจะเข้าใกล้มากที่สุด แต่ตอนนี้เธอกลับเข้ามาเจอในระยะเผาขนจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจของพญางูกำลังต่อสู้พัวพันจนดูเหมือนว่าจะไม่ทันสังเกตถึงรถรางที่กำลังวิ่งอยู่



ทางที่เจนอยู่ในตอนนี้เป็นทางแล่นขึ้นขนาบข้างใจกลางเหมืองโดยเป็นทางเลี่ยงเพื่อที่จะตรงไปยังทางออกเหมืองโดยตรง และมีเมื่อการต่อสู้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนทำลายผนังหินทางที่พวกเจนผ่านมาพอดีจนทำให้เธอมองเห็นการต่อสู้ของเทพอสูรได้อย่างถนัดตา



หัวหนึ่งของยามาตะ โนะ โอโรจิถูกกรงเล็บของเซอร์โนบอทจับคอเอาไว้จนเคลื่อนไปไหนไม่ได้ มือซ้ายของมันยกดาบขึ้นสูงเตรียมจะฟันลงมาแต่ถูกอีกหัวของพญางูพ่นน้ำแข็งใส่หยุดการเคลื่อนไหวอย่างชะงัก ส่วนหัวอื่น ๆ นั้นก็เข้าพันร่างเหมือนกับงูรัดเหยื่อด้วยแรงมหาศาลที่รัดชุดเกราะแน่นจนเกิดเสียงร้าวแสบแก้วหู



โจและแจ็คต่างอ้าปากค้างไม่ยอมหุบ ตามองเหลือกจนแทบจะหลุดจากเบ้า เพียงแค่เวลาไม่กี่วินาทีที่รถรางแล่นผ่านไปก็เกินพอที่จะทำให้ชายหนุ่มทั้งสองสติกระเจิดกระเจิงไปเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก้มลงมามองคิทซึเนะก็พบว่าร่างของจิ้งจอกน้อยสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความกลัว ดูท่าทางพลังระดับเทพเจ้าจะมีผลกับมอนสเตอร์อย่างคิทซึเนะมากกว่าผู้เล่นกว่ามากนัก



"เป็นอะไรหรือเปล่าคิทซึเนะ จะเข้าไปอยู่ในดาบกับฟีบีก่อนมั้ย" เจนถามด้วยความเป็นห่วงแต่คิทซึเนะยังคงดื้อดึงส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะซีดไปด้วยความกลัวแล้วก็ตาม



เห็นดังนั้นเจนก็ไม่คิดจะขัดใจจิ้งจอกน้อย แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะก็ เธอก็จะเก็บคิทซึนะเอาไว้ในดาบทันทีโดยไม่สนใจเสียงแย้งของตัวคิทซึเนะเลย เจนคิดเอาไว้ในใจโดยไม่พูดออกมา



"พวกนายสองคนล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า" เด็กสาวถามขึ้นเพราะเธอไม่เห็นใบหน้าของเพื่อนทั้งสองคน แต่ถ้าหากเธอเห็นคงไม่คิดจะเอ่ยปากถามแน่นอน



"มะ..เมื้อกี้ตัวอะไรกันเนี่ย! อย่าบอกนะว่าเธอโดนไอ้สองตัวนั้นมาเข้ามาในนี้" แจ็คตะโกนโวยวายเสียงดัง ส่วนโจนั้นไม่ปริปากซักแอะเพราะยังไม่หายจากอาการช็อก



"ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ฉันมั่นใจว่าตัวที่มีหลาย ๆ หัวอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ส่วนไอ้ตัวใส่ชุดเกราะนั่นก็เป็นศัตรูอย่างแน่นอน"



"นั่นเธอรู้ได้ยังไง...อ่า อย่าบอกนะว่า.." แจ็คพูดเสียงสูงแต่ก็เงียบไปเมื่อเห็นทางด้านหน้าที่ทำให้ใจของเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง



ตรงหน้าของทั้งที่นั้นคือทางออกไปสู่นอกเหมืองที่เป็นปลายทางของรถรางคันนี้ แต่รางเหล็กที่จะนำพวกเจนลงสู่พื้นกลับขาดลงโดยทางตรงหน้านั้นกลายเป็นว่าทำหน้าที่เป็นแท่นกระโดดสู่พื้นเบื้องล่าง ถ้ายังคงฝืนแล่นไปต่อมีหวังได้พากันบินตกภูเขาแน่ ๆ เพราะจากที่เห็นเมื่อครู่ ตอนนี้พวกเจนอยู่ระดับที่สูงกว่าพื้นดินมากนัก



มีเวลาไม่ถึงสิบวินาทีที่จะหาทางทำอะไรซักอย่าง แต่ด้วยความเร็วที่สูงมากจนไม่สามารถทำอะไรได้ และรถรางก็พุ่งทะยานออกไปกลางอากาศอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้ง



ทันทีที่รถวิ่งหลุดออกจากราง รถที่กลายสภาพเป็นกล่องเหล็กทิ่มหัวไปด้านหน้าลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง ร่างทั้งสี่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศเพราะถูกเหวี่ยงออกมาและกำลังร่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างที่อยู่สูงจนเจนอนุมานได้ทันทีเลยว่าถ้าตกลงไปล่ะก็คงไม่มีทางรอดแน่ แต่ในตอนนี้พวกเธอเองก็กำลังร่วงตามสิ่งที่ในอนาคตจะเป็นเศษเหล็กลงไปติด ๆ



ในหัวของเจนคิดหาทางให้ทุกคนรอดไปจากสถานการณ์ตรงนี้ให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มีทางเลือกเดียวเท่านั้น ถึงเจนจะไม่รู้ว่าตัวเองจะมีพลังเวทเพียงพอที่จะทำมันได้หรือเปล่าก็ตาม แต่ใช่ว่าเธอจะมีทางเลือกอื่นเสียเมื่อไหร่



เจนหันไปมองเพื่อนสองคนที่ร้องตะโกนโหยหวนอยู่ไม่ไกลและรีบคว้าคิทซึเนะเข้าชิดตัว ร่างของเธอเข้าใกล้พื้นหญ้าสีเขียวดูนุ่มสบายเข้าทุกที แต่เวลากระแทกลงสู่พื้นมันคงไม่รู้สึกนุ่มสบายอย่างที่เห็นแน่



"คิทซึเนะ เกาะหลังฉันเอาไว้แน่น ๆ นะ" เจนพูด



จิ้งจอกน้อยเหมือนกับจะรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อจึงทำตามอย่างว่าง่ายและใช้มือน้อยๆกอดคอของเจ้านายของเธอแน่น



พอมาถึงระยะที่เจนกะเอาไว้แล้ว เจนก็เตรียมใจให้พร้อมและใช้ทักษะทันที



พลังสถิตร่าง จิ้งจอกเก้าหาง!



ร่างของหญิงสาวส่องประกายสีทอง เจนรู้สึกทันทีว่าพลังของเธอเพิ่มสูงขึ้นมากจากครั้งล่าสุดที่เธอใช้พลังนี้มาก แต่พลังเวทของเธอเองก็เหือดแห้งลงไปแทบหมดตัวเช่นกัน บ่งบอกให้รู้ว่าเวลาของพลังสถิตร่างยังคงอยู่อีกไม่นานนัก เจนรีบหันไปคว้าตัวเพื่อนทั้งสองคนแล้วพุ่งสู่พื้นอย่างเร็วที่สุด



พอเจนพุ่งตัวลงไปใกล้จะถึงพื้นหญ้าก็รีบเบรกสุดตัว แต่ทันใดนั้นเองแสงสีทองก็จางหายไปพร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ เจนปล่อยร่างของพวกโจออกจากมือแล้วรีบหันไปโอบร่างของจิ้งจอกน้อยเพื่อป้องกันแรงกระแทก แต่มันสายเกินไป



เด็กสาวพยายามเชิดหัวขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้ร่างของตัวเองลงไปโหม่งโลก ร่างของเจนกระแทกพื้นอย่างแรงจนเธอรู้สึกเจ็บจนแทบจะสิ้นสติแต่ก็ยังประคองลมหายใจเรียกสติกลับมาได้ พวกโจและคิทซึเนะกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง แขนและขาของเด็กสาวที่ไถลไปตามพื้นหญ้ารู้สึกปวดจนแทบขยับไม่ได้ เมื่อเจนพยุงตัวขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือคิทซึเนะที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า



เจนพยุงร่างที่บอบช้ำเข้าไปหาอย่างยากลำบาก แขนซ้ายของเธอยกไม่ขึ้นเช่นเดียวกับขาที่เจ็บจนต้องเดินกระเผกจนไปถึงร่างของจิ้งจอกน้อย เจนรีบประคองหัวของคิทซึเนะขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วงและยิ่งร้อนรนเมื่อภาพร่างคิทซึเนะในกองเลือดกลับมาฉายซ้ำในหัวของเธออีกครั้ง แต่ความรู้สึกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าคิทซึเนะแค่สลบไปเท่านั้น



เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลอื่น ๆ แล้วก็ใช้ดาบเก็บร่างของคิทซึเนะเข้าไปสมทบกับฟีบีก่อนเพื่อความปลอดภัยสองหนุ่มที่มีสภาพไม่ต่างจากเธอเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ



เจนใช้หลังของแจ็คเป็นที่พิง ดวงตาทั้งสามคู่ต่างจ้องมองไปยังภูเขาขนาดยักษ์ที่ส่งเสียงระเบิดดังสนั่นออกมาไม่หยุด และยังมีก้อนหินขนาดเล็กหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง



"ทำไมพวกเราถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ตลอดเลยด้วยเนี่ย..." เสียงหวานเอ่ยอย่างอ่อนแรง ตอนนี้พวกเธออยู่ห่างจากภูเขามากพอสมควรเพราะรถรางพุ่งออกมาจากทางเหมืองด้วยความเร็วสูง ทำให้ตอนนี้พวกเจนอยู่นอกระยะอันตรายของก้อนหินที่กำลังตกลงมา



"แบบนี้มันก็ตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือไง มีอะไรให้ทำตลอดเวลา" โจพูดตอบ น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งเหมือนคนอดนอน แต่ถ้าหากมาลองคิดดูแล้วทั้งคืนที่ผ่านมาพวกเขาได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง



"แต่ถ้าให้เจอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ" แจ็คบอก เขาปล่อยให้เพื่อนสาวใช้เขาเป็นที่พิงโดยไม่ปริปากอะไร



ถึงทั้งสามคนจะตกลงมาบาดเจ็บพอ ๆ กัน แต่รูปร่างของผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างกันมากนัก อาการบาดเจ็บของสองหนุ่มดูเบาไปเลยเมื่อเทียบกับอาการของเจน เจนเธอเองก็นึกอิจฉาโจและแจ็คไม่ได้ที่มีร่างกายที่แข็งแรง ต่างจากเธอที่มีร่างกายบอบบางมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว



"ว่าแต่ไอ้มังกรแปดหัวนั่น มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอแน่ ๆ ใช่มั้ยเจน" แจ็คที่นึกขึ้นได้แล้วจึงถามออกมา



เจนคิดเอาไว้แล้วว่าจะบอกให้ทั้งสองคนรู้เรื่อง แต่ในตอนแรกเธอคิดจะให้พวกเขาฟังจากปากของยามาตะ โนะ โอโรจิเลยจะดีกว่า แต่ในเมื่อเจ้าตัวถามมาแบบนี้เธอก็คงตอบให้เท่าที่มั่นใจ



"ใช่... จำที่ฉันเคยบอกได้มั้ยว่ามีทักษะอีกทักษะหนึ่งที่ฉันไม่เคยใช้ มันคือทักษะอัญเชิญสัตว์อสูรอย่างยามาตะ โนะ โอโรจิเนี่ยแหละ.. แล้วอีกอย่าง ยามาตะ โนะ โอโรจิเป็นงูต่างหาก ไม่ใช่มังกร"



"อะไรนะ! ฉันว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเพราะเธอแน่ ๆ" โจพูดเสียงดังขึ้นมา



"ว่าแต่ทั้งสองตัวเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพเลยนะ พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้จะไม่เป็นอะไรงั้นหรือ แถมเสียงที่สองตัวนั้นสู้กันดังแบบนี้มีหวังพวกผู้เล่นคนอื่น ๆ ในเมืองคริสตัลเบลได้แห่กันมาดูแน่"



ฟังที่โจพูดแล้วก็ทำให้เจนคิดได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอยังอยู่ในเหมือง ถึงการต่อสู้ของทั้งคู่จะดูรุนแรงแต่เจนคิดว่าพลังของมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าจะรุนแรงยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน พอเจนมาเจอยามาตะ โนะ โอโรจิอีกครั้งก่อนที่จะออกมาจากเหมืองเมื่อครู่ เธอก็พบว่าการต่อสู้ดูรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีกเธอจึงคิดได้เลยว่างูแปดหัวจะต้องออมแรงเพื่อซื้อเวลาให้เธอออกไปจากถ้ำอย่างแน่นอน



ทั้งคู่ไม่ได้สู้กันด้วยพลังอำนาจเท่านั้น แต่เป็นการสู้กันด้วยพละกำลัง ในตอนนี้พวกเจนออกมาจากเหมืองได้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่พญางูจะออมแรงเอาไว้อีกต่อไป





ตูม!!!!



เสียงระเบิดดังลั่นราวกับเสียงฟ้าฝ่า แผ่นดินสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ดวงตาของเจนเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อมองเห็นภูเขาที่เธอเพิ่งออกมาถล่มลงราวกับเป็นเพียงแค่ก้อนทราย ยอดเขาค่อย ๆ ลดความสูงลงเหมือนกับลูกโป่งถูกสูบลมออกจากก้น เพียงพริบตาเดียว ภูเขาสูงตระหง่านกลับกลายเป็นแค่เนินเขาสูงที่เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมากเท่านั้น



กลุ่มควันกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ เจนรีบยกน้ำยาเพิ่มพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์ขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วเตรียมพร้อมที่จะหนีทุกเมื่อ พลังเวทค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่พลังชีวิตของเธอนั้นเป็นปัญหาหลักในตอนนี้เลยทีเดียว ถึงแถบพลังชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังไม่ทุเลาลงเลย โดยเฉพาะที่แขนของเธอนั้นยังระบมจนขยับไม่ได้ ถ้าหากการต่อสู้ยังคงมีต่อล่ะก็เป็นการยากที่เธอจะหนีรอด



"ฉันว่า...ทุกคนในเมืองคงรู้เรื่องแล้วล่ะว่ามีเรื่องขึ้นที่นี่ บางทีอาจจะเป็นทั้งทวีปเลยด้วยซ้ำ" โจว่า และคงเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ เพราะจู่ ๆ ภูเขาลูกใหญ่มาหายไปในเวลาช่วงข้ามคืนแบบนี้ ไม่มีทางที่จะไม่ตกเป็นข่าวอย่างแน่นอน



ทันใดนั้นเอง ก้อนแสงสีขาวก็พุ่งทะลุกลุ่มควันออกมาและตรงมายังพวกเจน โจและแจ็ครีบเตรียมพร้อมต่อสู้ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีทางชนะก็ตาม แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ก้อนแสงนั้นก็พุ่งเข้าใส่ดาบคุซานางิแล้วจางหายไป



"น...นั่นนายงั้นหรือ?" เจนพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว ๆ และแน่นอนว่าเธอกำลังหมายถึงยามาตะ โนะ โอโรจิ



"ถ้าหากพวกเจ้าไม่อยากจะเจอคนอื่นมาถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่ะก็ ข้าแนะนำให้เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะมีใครมาดีกว่า" เสียงทรงอำนาจของพญางูดังขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เสียงภายในหัวของเจนอีกต่อไป แต่เป็นเสียงที่ดังออกมาจากดาบของเจน



"เฮ้ย! นั่นเสียงตัวอะไรน่ะ!" โจพูดเสียงดัง



ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวตอนนี้นัก แต่เจนเองก็พอจะนึกภาพตามที่ยามาโตะ โนะ โอโรจิออกได้ การออกไปให้ไกลจากที่นี่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้



"ฉันว่าพวกเรารีบไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า ภูเขาถล่มอย่างต้องเรียกความสนใจคนทั้งทวีปมาหาแน่ ถ้าเกิดพวกกิลด์พิฆาตราชามาเจอพวกเราล่ะก็พวกเราจบเห่แน่" เจนว่าแล้วจึงลุกขึ้นพลางหันมองหาทางที่จะไปต่อ



"เดี๋ยว เธอรู้ใช่มั้ยว่าไอ้แสงเมื่อกี้มันคืออะไร เจน" แจ็คพูดแล้วรีบลุกขึ้น เช่นเดียวกับโจ ดูท่าทางทั้งสองคนจะมีคำถามมากมายเลยทีเดียวที่จะถามเธอแต่เวลานั้นกำลังกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าเธอไม่ออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ นี้ คงจะไม่ใช่คำถามของพวกโจเท่านั้นที่เธอจะต้องตอบ



"เดินไปคุยไปเถอะ คนที่จะตอบคำถามของพวกนายได้อยู่ตรงนี้แล้ว ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนัก" เจนว่าและยกดาบให้ทั้งสองเห็น เธอหันไปมองแสงที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้าประชันกับแสงดาว ไม่ใช่พระจันทร์ มันคือระฆังแก้วที่ลอยอยู่เหนือเมืองคริสตัลเบล





จบตอนที่ 22 ตำนานปะทะตำนาน

santisook01
16th January 2014, 16:44
นี่ครับ ตามคำสัญญา ไม่ค่อยมีเวลาวาด ภาพก็เลยไม่สวยเท่าไหร่ แฮะ ๆ

http://upic.me/i/su/ccf16012014_00000.jpg (http://upic.me/show/49140546)

Tohan-kun
17th January 2014, 14:47
ตอนที่ 23 เมืองแห่งเสียงดนตรี





ฝุ่นควันลอยฟุ้งเหมือนกับหมอกกำลังลงบดบังภูเขาที่เหลือเพียงแต่กองหินเท่านั้น คงต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าที่ฝุ่นควันเหล่านี้จะจางลงได้



ตอนนี้มีผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังยืนมองอย่างทึ่งระคนสงสัย พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่ในแถบนี้ของทวีปมานานและทุกคนก็ทราบเรื่องราวของภูเขาขนาดมหึมาแห่งนี้ดี โดยเฉพาะเหมืองที่อยู่ใต้มัน ความอาถรรพ์ของเหมืองที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แม้แต่เอไอชาวเมืองเองยังไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึง



ชายผิวดำร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนมองซากภูเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขาอยู่ในชุดเกราะสีเงินแนบเนื้อทั้งตัวดูราวกับเป็นหุ่นยนต์หลุดออกมาจากภาพยนตร์ซักเรื่อง ยิ่งกล้ามเนื้อส่วนแขนที่เป็นมัด ๆ บ่งบอกได้ว่าเขามีพละกำลังแบบไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



ผู้คนโดยรอบที่สังเกตเห็นเขาก็พากันกระซิบคุยกันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ถึงชายหนุ่มผิวสีผู้นี้ไม่ได้เป็นคนหน้าหล่อเหลานักแต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนพากันพูดถึงเขาเช่นนี้ก็คือตำแหน่งและวีรกรรมที่เขาเคยทำเอาไว้ในอดีตจนได้รับการขนานนามว่ากำปั้นเหล็ก ไรรี่ย์ และเขายังเป็นถึงหนึ่งในผู้นำแห่งกิลด์หกราชันย์!



ถึงไรรี่ย์จะเคยเห็นผู้เล่นหลายคนที่สามารถถล่มภูเขามามากต่อมากแล้วก็ตาม แต่คนที่มีพลังที่สามารถทำให้ภูเขาขนาดใหญ่ที่ขวางกันเมืองคริสตัลเบลกับเขตทะเลทรายกึ่งทุ่งหญ้าซะวันนาซึ่งเป็นดินแดนของกิลด์พิฆาตราชาเอาไว้ถูกทำลายจนพินาศเช่นนี้ถือได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพลังที่สามารถทำลายภูเขาอาถรรพ์แห่งนี้ได้ภายในพริบตา แม้แต่เขาเองที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่มีพลังโจมตีสูงที่สุดในเกมก็ยังมีพลังทำอย่างนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ



"นายว่ายังไง คิดว่าเป็นฝีมือของพวกกิลด์พิฆาตราชาหรือเปล่า?" เสียงหวานดังขึ้นด้านหลังของชายหนุ่ม เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของเสียงคือใคร



"ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าเป็นฝีมือของพวกมันจริง ๆ ล่ะก็ คงไม่ส่งให้คนมาประกบพวกเราแบบนี้หรอก" ไรรี่ย์เอ่ยเสียงเย็นพลางเผยอหน้าไปด้านหลัง เมื่อหันมองตามไปก็พบว่ามีคนในชุดคลุมอยู่หลายกลุ่มอยู่ทั่วบริเวณ และกำลังจับจ้องมายังเขาและหญิงสาวที่อยู่ไม่ละสายตา



"แหม นายไม่ได้มีฉายาตาเหยี่ยวซักหน่อย ทำตัวช่างสังเกตซะจนน่าจะได้สมญานามอีกซักชื่อจริง ๆ" หญิงสาวแกล้งยอ



เธอเป็นคนที่มีหน้าตาสวยหยดจนไม่ว่าใครก็ต้องใจในความงาม ดวงตาสีฟ้าราวกับท้องสมุทรเข้ากับผมสีทองยาวเป็นประกาย ชุดที่เธอสวมใส่เป็นผ้าคลุมจอมเวทสีแดงพร้อมกับลวดลายดอกไม้สีทองดูมีราคาไม่น้อย ใต้ผ้าคลุมเป็นเสื้อเกาะอกที่ทำจากผ้ากำมะหยี่สีเลือดหมูเผยให้เห็นร่องอกสีขาวนวลดึงดูดสายตา ยังไม่นับส่วนล่างซึ่งเป็นกระโปรงยาวที่แหวกจนไปถึงต้นขาดูเซ็กซี่จนทำให้หลายต่อหลายคนต้องน้ำลายหกกันเป็นแถว



แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่กล้าจะเข้าไปตอแยกับเธอเพราะคทายาวที่อยู่ในมือเรียว ขนาดของคทาเรียวเล็กแต่มีความยาวเกือบสองเมตร บนหัวประดับด้วยอัญมณีเม็ดใหญ่ที่แผ่ออร่าของพลังเวทเข้มข้นออกมาจนมองเห็นเป็นแสงสีแดงอย่างชัดเจน ถ้าหากเข้าไปใกล้คงไม่แคล้วโดนเวทของหล่อนฆ่าตายแน่



"ชื่อแบบนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว และฉันก็ไม่อยากจะมีชื่ออื่นหรอกนะ โรซ่า แต่ถ้าเธออยากฉันก็.."



"แหม หยอกนิดหยอกหน่อยก็ทำเป็นเอาจริงเอาจังไปได้ ทำตัวอย่างกับหุ่นยนต์แบบนี้เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาบ้างซักทีล่ะจ๊ะ" หญิงสาวนามโรซ่ารีบเอ่ยขัด เธอหันหน้าหลบฉากวูบหนึ่งมาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกลับไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มดังเดิม



ไรรี่ย์ไม่ตอบคำในทันที เขายืนเงียบราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดอะไรออกไป เพราะหญิงสาวตรงหน้าของเขานี่มีทักษะการแปลงข่าวสารขั้นสูง หากเขาพูดอะไรออกไปโดยไม่ระมัดระวังล่ะก็ มีหวังถูกเจ้าหล่อนเอาไปโพทะนาจนเสียหายแน่ ๆ



“นั่นมันเรื่องของฉัน..." ชายหนุ่มร่างสูงพูดคำตอบในหัวที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด พูดเพียงคำสั้น ๆ ได้ใจความแบบนี้คงจะให้คิดอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ แต่หารู้ไม่ว่าเขาเพิ่งประมาทความสามารถนึกคิดของเธอไปซะสนิท



"ตายจริง ฉันนี่แย่จริง ๆ อยู่ด้วยกันมาตั้งนานเพิ่งมารู้ตัววันนี้ว่าเพื่อนตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงซักหน่อย ขอโทษนะไรรี่ย์ ถ้านายไม่บอกฉันเองก็ไม่รู้จริง ๆ นะเนี่ย อุ้ย จากนี้ไปต้องเรียกว่าตัวเองสิเนอะ"



"เฮ้ย! นั่นเธอพูดบ้าอะไรออกมาน่ะ รีบถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ชายหนุ่มรีบพูดแย้งออกมาเสียงดังซะหมดมาดขรึม



จอมเวทสาวที่เห็นเพื่อนหนุ่มของเธอหลุดมาดขี้เก๊กได้ก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ผู้คนรอบข้างเองก็มองตามอย่างละเหี่ยใจกับความขี้เล่นของหญิงสาว ถ้าหากไม่รู้มาก่อนหน้าล่ะก็คงไม่มีใครจะไปคิดว่าเธอเองก็เป็นหัวหน้ากิลด์หกราชันย์เช่นเดียวกับไรรี่ย์อย่างแน่นอน



"เธอนี่ทำตัวให้สมกับที่เป็นผู้นำของกิลด์ซักหน่อยได้มั้ย ถ้ามีใครมาเห็นเธอตอนนี้มีหวังชื่อ 'กุหลาบเพลิง' ของเธอได้ป่นปี้หมด" ไรรี่ย์พูดเสริม แต่เขาก็ทราบอยู่แล้วว่าตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าของสมยานามกุหลาบแดงเป็นเช่นไร



"อย่างกับฉันจะสนอย่างนั้นแหละ นั่นมันก็แค่ชื่อที่คนอื่นมาตั้งให้ ไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ของเราซักหน่อย...ว่าแต่นายจะปล่อยให้เจ้าพวกนั้นมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้จะดีหรือ นี่มันพื้นที่เขตของพวกเรานะ" ที่โรซ่าพูดถึงก็คือพวกกิลด์พิฆาตราชา ถ้าหากเธออยู่ตรงนี้เพียงคนเดียวล่ะก็ พื้นที่แถบนี้คงกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว



"ถ้าพวกมันไม่ยุ่งกับผู้เล่นคนอื่นหรือพวกชาวเมืองก็ยังไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา แต่ตอนนี้พวกมันอยู่ในพื้นที่ของกิลด์หกราชันย์ ถือได้ว่าพวกมันรุกล้ำเขตแดน..."



ครืน!!!



เสียงของพลังเวทระเบิดออกมาจากร่างของจอมเวทสาว ตัวของเธอเปล่งแสงสีแดงออกมาอย่างน่ากลัวพร้อมกับปล่อยไอร้อนจนหญ้าบนพื้นเริ่มมีควันลอยขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าดูน่ากลัวขึ้นมาเมื่อประดับด้วยรอยยิ้ม*****มบนใบหน้า โดยเฉพาะกลุ่มคนชุดดำทั้งหลายที่โดนดวงตาคู่นี้จับจ้องก็ต่างก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว



"จะไปดี ๆ หรือจะเป็นศพกลับไป!!" เสียงตะโกนของโรซ่าดังขึ้นต่างจากน้ำเสียงขี้เล่นเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน



กลุ่มคนชุดดำทั้งหลายที่ได้ยินคำขู่ต่างพากันใช้ใบวาปกลับเมืองกันแทบไม่ทัน เสียงฉีกกระดาษดังขึ้นพร้อมกับแสงจากการเคลื่อนย้ายกลับเมืองสว่างไปทั่ว ผู้เล่นบางคนก็ตกใจพากันวิ่งหนีแต่ก็ถูกผู้เล่นที่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนรั้งตัวเอาไว้เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่เป้าหมายของกุหลาบเพลิง



หลังจากที่เห็นว่าไม่มีคนของกิลด์พิฆาตราชาอยู่แถวนี้แล้ว โรซ่าจึงคลายพลังเวทลงจนบรรยากาศกลับมาสงบเหมือนเดิม หญิงสาวหันมาส่งยิ้มให้ไรรี่ย์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศโดยรอบยังคงร้อนระอุเพราะแค่พลังเวทของเธอและผืนหญ้าใต้เท้ามีร่องรอยถูกเพลิงไหม้เป็นหลักฐานอย่างดีถึงพลังเวทย์ที่เข้มข้นของเธอ



"ทีนี้พวกจุ้นจ้านก็หมดไปแล้ว นายคิดว่ายังไงกันแน่ หือ? ถ้าหากไม่ใช่ฝีมือของพวกนั้น แล้วจะเป็นฝีมือของใคร" หญิงสาวถาม



ชายผิวเข้มมีสีหน้าครุ่นคิด เขาเหลือบไปมองซากก้อนหินแล้วหันกลับมาก่อนจะพูด "อาจจะเป็นฝีมือของเอไอพิเศษระดับสูงหรือไม่ก็มอนสเตอร์ ถ้าเป็นฝีมือของมอนสเตอร์จริง ๆ ต้องมีระดับยศไม่ต่ำกว่าราชาหรือบางทีอาจจะสูงถึงระดับเทพเจ้าด้วย แต่ถ้าเป็นฝีมือของผู้เล่นก็หมายความว่าตอนนี้มีผู้เล่นอิสระที่มีความสามารถเหนือกว่าพวกเราอยู่ข้างนอกนั่น"



"แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุไหนก็ตาม เหตุการณ์ในครั้งจะต้องทำให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของโลกดิ โอเพ่นเวิร์ด ออนไลน์อย่างแน่นอน"







อีกด้านหนึ่ง เจนและพวกโจเดินห่างออกมาจากบริเวณภูเขาได้โดยไม่มีคนพบเห็น เมื่อสังเกตเห็นเงาคนได้ทั้งสามก็รีบเดินหนีออกห่างก่อนจะถูกพบ แถมมียามาตะ โนะ โอโรจิคอยบอกว่ามีคนอยู่ในทิศทางไหนอยู่ตลอดเวลาทำให้พวกเธอสามารถหลบพวกไรรี่ย์ได้อย่างเฉียดฉิว ที่ทำเช่นนี้เพราะเจนไมอยากจะตอบคำถามของคนอื่นว่าเกิดอะไรขึ้น แถมพญาอสรพิษก็เตือนเธอว่าถ้าหากถูกจับได้ ความวุ่นวายคงตามมาอย่างแน่นอน



"แถวนี้ไม่มีใครแล้ว จะเล่าได้หรือยังว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" โจกระซิบเสียงค่อย ถึงปากจะบอกว่าไม่มีใครแต่ตัวเองก็ยังคงระมัดระวังอย่างเต็มที่



"จริงด้วย ยามาตะ โนะ โอโรจิ เริ่มจากเรื่องที่ฉันไปโผล่อยู่ในเหมืองได้ยังไงก่อนเลย" เจนเอ่ยขึ้นกับดาบของเธอ ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมาจนเจนคิดไปว่ายามาตะ โนะ โอโรจิจะไม่ตอบเพราะศักดิ์ศรีของสัตวอสูรระดับสูงที่จะไม่ยอมให้ใครมาสั่ง



ระหว่างที่กำลังคิดหาทางให้พญางูพูดอยู่นั้นเองที่เสียงคำรามก็ดังออกมาจากดาบคุซานางิอีกครั้ง



"สิ่งที่เจ้าคิดอยู่ก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว เป็นฝีมือของอสูรในชุดเกราะที่เป็นนำร่างของเจ้าไปอยู่ในที่แห่งนั้น"



"อสูรในชุดเกราะ? อ้อ หมายถึงเซอร์โนบอทใช่มั้ย" แจ็คเอ่ยถาม แต่มีแค่เสียงแค่นลมหายใจเป็นคำตอบเท่านั้น



"ทำไมงั้นหรือ ชื่อของเจ้านั่นมันมีอะไร" เจนถาม



"การขานนามสำหรับมนุษย์อย่างเจ้าเป็นแค่เรื่องธรรมดา แต่สำหรับเทพอสูรอย่างข้ามันหมายถึงการให้ความเคารพแก่กัน การยอมรับและการยกย่อง นั่นคือสาเหตุที่ข้าไม่เอ่ยนามของมัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เทพอสูรเท่านั้นที่จะเข้าใจ เช่นเดียวกับพวกข้าเพิกเฉยต่อคำด่าถากถางใด ๆ ที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าถือกัน"



เจนพยักหน้าเข้าใจถึงแม้จะยังสับสนอยู่บ้าง เธอรู้สึกแปลก ๆ กับยามาตะ โนะ โอโรจิมากเพราะวิธีคิดและพูดออกมานั้นแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดเลยว่าแตกต่างจากมนุษย์แค่ไหน ถึงอย่างนั้นเธอเองก็ยังรู้สึกทึ่งด้วยเช่นกัน



"แต่เมื่อกี้ก็เห็นแล้วว่าเจ้าเซอร์โนบอทนั่นมีพลังมหาศาลขนาดไหน จะฆ่ายัยเจนไปง่ายนิดเดียว ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นด้วย" โจถาม



"ที่พูดมานั้นถูกต้อง แต่อสูรในชุดเกราะนั้นอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตที่นักผจญภัยอย่างพวกเจ้ามีอยู่จนเหลือล้น มันจึงต้องพาร่างของเจ้าเข้าไปในถ้ำเพื่อดูดพลังชีวิตออกมาจากร่าง"



พอได้ยินที่พญาอสรพิษพูดเจนก็นึกเสียวพร้อมทั้งโล่งใจที่ตัวเองรอดมาได้ หากไม่ได้ยามาตะ โนะ โอโรจิช่วยเอาไว้มีหวังเธอคงมีสภาพไม่ต่างไปจากโครงกระดูกคนเหมืองแน่ ๆ



"แต่นั่นยังไม่อธิบายเรื่อง...สิ่งที่ฉันเห็น" เจนกล่าวด้วยเสียงที่ค่อยลงมา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนทั้งสองคนที่มุ่งตรงมาที่ตัวเธอ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สองคนนั้นเป็นห่วง



"การดูดพลังชีวิตมีหลากหลายรูปแบบ สิ่งที่เจ้าเจอเป็นอีกวิธีหนึ่งที่อสูรในชุดเกราะใช้ดูดพลังชีวิต แค่การแทรกแซงจิตใจ พลังแห่งความมืดระดับที่ข้ามีอยู่ก็สามารถทำให้คนนับพันเจอกับฝันร้ายได้ อสูรในชุดเกราะมีพลังแห่งความมืดสูงกว่าข้ามากนัก ไม่มีทางที่มนุษย์เช่นเจ้าจะป้องกันได้แน่นอน" ยามาตะ โนะ โอโรจิบอก



ถึงจะเป็นแค่ภาพหลอนแต่สิ่งที่เธอเห็นก็สามารถเปิดแผลในใจของเธอที่ปิดไปเมื่อนานมาแล้วได้ พลังที่นำความทรงจำที่ขมขื่นมาทำร้ายศัตรูเช่นนี้ช่างน่ากลัวและชั่วร้ายนัก ในใจของเจนคิดจะหาวิธีป้องกันพลังแบบนี้ให้ได้ เพราะในอนาคตเธออาจจะเจอกับมอนสเตอร์ที่มีพลังคล้ายกันนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นผู้เล่นคนอื่นที่ใช้พลังนี้ใส่ผู้เล่นด้วยกันเอง!



"แต่ดีนะเนี่ยที่ภูเขาถล่มไปแบบนั้น เจ้านั่งคงไม่มีทางรอดแหง ๆ" แจ็คกล่าว แต่เจนที่ได้ยินกลับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีและพูดขึ้นมา



"มันยังไม่ตายหรอกนะ แจ็ค"



เพื่อนหนุ่มทั้งสองอดที่จะหันมามองเด็กสาวด้วยความตกใจอีกครั้งไม่ได้ เพราะพลังระเบิดที่รุนแรงขนาดที่ทำให้ภูเขาสูงนับพัน ๆ เมตรกลายเป็นกองหินได้ขนาดนั้นย่อมทำให้คิดว่าไม่มีอะไรที่จะรอดมาจากพลังนั้นอย่างแน่นอน แต่เทพอสูรที่รอดมาได้กลับไม่โต้แย้งอะไรเช่นนี้ก็แสดงว่าที่เจนพูดเป็นความจริง!



"ถึงภูเขาจะถล่มจนทำให้มันบาดเจ็บไปบ้าง แต่แค่นี้ไม่สามารถทำให้มันตายได้หรอก ถ้าหากข้ารอดมาได้ มันก็ต้องยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน" ยามาตะ โนะ โอโรจิกล่าวเสริม



"ต..แต่ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ทำไมมันถึงไม่ตามออกมาฆ่าพวกเราล่ะ" คราวนี้โจเป็นคนถาม



"สัตว์อสูรที่มีพลังสูงส่งหรือมีพลังอันตรายบางตนนั้นจะถูกผนึกให้อยู่กับอะไรบางอย่าง บ้างก็เป็นฝีมือของเทพ บ้างก็เป็นฝีมือของอสูร บ้างก็เป็นฝีมือของมนุษย์ เทพอสูรอย่างตัวข้านั้นก็ถูกผนึกอยู่ในตัวดาบเล่มนี้ ตราบใดที่เจ้ายังเป็นคู่สัญญาของข้า ข้าก็มีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเจ้า เช่นเดียวกับเจ้าอสูรในชุดเกราะ มันถูกผนึกอยู่ในภูเขาแห่งนั้นทำให้มันไม่สามารถออกมาได้"



ถึงจะตกใจที่เซอร์โนบอทจะยังไม่ตาย แต่พอได้ยินว่ามันออกมาตามฆ่าพวกตนไม่ได้ ทั้งสามก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ต่อจากนี้จะให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงเจนก็ไม่มีทางจะเฉียดเข้าไปในที่แห่งนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ยังไม่วายที่พญาอสรพิษจะทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเงียบไป



"แต่ถึงจะอยู่ได้แค่ในภูเขา มันก็คงจะไม่อยู่เฉย ๆ แน่ มันเองก็เป็นถึงเทพอสูร ข้าว่าจะต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างแน่นอน"





หลังจากที่พวกเจนเดินต่อไปได้อีกพักหนึ่งก็พบกับต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ทั้งสามจึงตัดสินใจที่จะนอนพักกันที่นี่ก่อน ความเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแล้วยังจะมาเจอเรื่องวุ่นๆแบบเมื่อกี้อีก ในตอนนี้ดวงตาของเจนก็แทบจะปิดลงมาแล้ว เธอนำถุงนอนออกมาแล้วปูรองพื้นโดยไม่กางเต็นท์เพราะเหนื่อยเกินไป เด็กสาวล้มตัวลงนอนและผล่อยหลับไปในทันทีที่หัวตกถึงหมอน





"พี่เจน! ตื่นได้แล้วนะพี่เจน ตอนนี้เที่ยงแล้วนะ หนูกับฟีบีหิวแล้วนะ" เสียงเล็ก ๆ ของคิทซึเนะดังขึ้นที่ข้างหู เมื่อเจนลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องยี้ตาอย่างรวดเร็วเพราะเจอเข้ากับแสงแดดจ้า เมื่อปรับสายตาก็พบว่าตอนนี้สว่างแล้ว แดดก็แรงได้ทีสมกับเป็นตอนเที่ยงวันตามที่จิ้งจอกน้อยบอก โชคดีที่ใต้ต้นไม้ที่เจนนอนอยู่นั้นมีร่มไม้ใหญ่พอที่จะเป็นร่มเงาบังแดดได้



ตอนนี้เจนรู้สึกได้ถึงเหงื่อเพราะอากาศร้อนจนเหนียวตัวไปหมด ในใจนึกถึงฝักบัวอาบน้ำแต่ในตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้อย่างมากก็คือล้างหน้าหน้าเท่านั้นเอง ทันทีที่เธอลุกขึ้นมาก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวเพราะการผจญภัยเล็ก ๆ ที่เจอมาเมื่อคืน เจนหันไปใช้เท้าเขี่ยโจและแจ็คข้าง ๆ แล้วจึงยกกระติกน้ำขึ้นดื่มและใช้ล้างหน้า



ความรู้สึกเย็นฉ่ำของน้ำช่วยให้ร่างกายของเจนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เธอหันไปมองให้แน่ใจว่าเพื่อนของเธอจะไม่กลับไปนอนอีกครั้งแล้วจึงมองหากระเป๋าของเธอ แต่เธอกลับเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมสีฟ้ากำลังนั่งเคี้ยวผลซีลักแก้มตุ่ย เธอสวมชุดผ้าบางสีฟ้าเช่นเดียวกันแถมมีขนาดตัวเล็กน่ารักจนทำให้เธอแอบกู่ร้องในใจ ดูท่าทางเด็กคนนี้จะมีอายุประมาณ 5 - 6 ขวบ



เอ่อ...คิทซึเนะ เด็กคนนี้เป็นใครนะ" เจนหันไปถามจิ้งจอกน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แต่เธอกลับได้สายตาที่แสดงถึงความแปลกใจมาแทน



"ถามอะไรน่ะพี่เจน นี่ฟีบีไง"



เจนแทบจะตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อได้ยินที่คิทซึเนะพูด ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นตอนที่เธอเห็นคิทซึเนะกลายร่างเป็นมนุษย์นั่นเอง



"นี่...ฟีบีงั้นหรือ" เจนก้มลงถามเด็กน้อย เธอจ้องตาของเจนตอบพร้อมกับยิ้มร่าแล้วกระโดดเข้าโผกอด



"แม่จ๋า!" เสียงใสตะโกนเสียงดังที่เรียกความสนใจของสองหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาในทันที เจนเองที่ได้ยินเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน



"แม่จ๋า! แม่จ๋า! แม่จ๋า!.." ฟีบียังคงร้องเสียงดังไม่เลิก ถึงเจนอยากจะให้เด็กน้อยคนนี้หยุดพูดแล้วมาคุยให้รู้เรื่องแต่พอเห็นสีหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงที่ฟังดูมีความสุขของเด็กคนนี้แล้วก็ห้ามไม่ลง ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาหาแต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเช่นกัน



"ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาเรียกเจนว่าแม่ได้ล่ะเนี่ย" โจพูดขึ้นอย่างสงสาย สายตาของเขายังคงมองไปที่ฟีบีในร่างของเด็กน้อยอยู่ด้วยความสงสัย



"ถ้าเด็กคนนี้เป็นฟีบีในร่างมนุษย์แบบคิทซึเนะจริง ๆ ล่ะก็ คงเป็นเพราะสัญชาติญาณแรกเกิดที่เห็นเจนคนแรกเป็นแม่ แบบเด็กอ่อนหรือสัตว์ที่เพิ่งออกจากไข่แบบนั้นไง" แจ็คตอบ



ในขณะเดียวกันเจนก็รีบเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาตรวจสอบดูทันที พบว่ามีรายงานบอกว่าเธอได้จัดการโครงกระดูกคนเหมือนหลายพันตัวจนทำให้เลเวลของทั้งเธอ คิทซึเนะและฟีบีพุ่งไปที่ 100 โดยทันที ถ้าหากเกมนี้สามารถเพิ่มระดับได้มากกว่านี้โดยไม่ต้องทำภารกิจเปลี่ยนยศล่ะก็ ทั้งสามรวมไปถึงพวกโจด้วยคงจะมีเลเวลพุ่งไปอยู่ระดับกลาง ๆ ของยศขุนนางแล้ว



ความจริงแล้วถ้าหากยึดตามแบบที่คิทซึเนะเจอ ฟีบีคงจะสามารถพูดได้และแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่เลเวล 50 แล้ว แม้ความความจริงนั้นเผ่าพันธุ์มังกรจะมีความสามารถเช่นนั้นได้จะต้องมีระดับถึง 90 เลยทีเดียว การที่ได้เพิ่มเลเวลก้าวกระโดดเช่นนี้ทำให้เจนไม่รู้ถึงข้อนั้นไป แต่นั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์กันเจนซักเท่าไหร่นัก ถ้าหากเธอเป็นอาชีพสายผู้ฝึกสัตว์อสูรล่ะก็ นี้จะเป็นข้อมูลที่สำคัญมากเลยทีเดียว



เมื่อเจนได้พิจารณาดูตัวของฟีบีใกล้ ๆ ก็พบว่าเธอมีร่างที่เล็กมากและยังมีน้ำหนักน้อยกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่คงจะใช้หลักการของคนธรรมดากับฟีบีไม่ได้ เพราะเธอเองนั้นไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว



พอหันไปหาคิทซึเนะ เจนก็สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงไปของเด็กสาวผมขาว ในตอนนี้คิทซึเนะมีความสูงมากขึ้นจนเกือบจะถึงไหล่ของเจนแล้ว ดูราวกับเด็กอายุ 13 - 14 ปี หน้าตาก็ดูคม สวยขึ้นกว่าเดิมที่จะออกดูน่ารักสมวัย ทำให้เจนรู้ว่าการเพิ่มระดับเป็นการทำให้เหล่ามอนสเตอร์เติบโตขึ้นนั่นเอง



หลังจากพยายามแกะมือของฟีบีออกอยู่นานเจนก็ทำให้เด็กน้อยตรงหน้าใจเย็นลงได้แต่ก็ยังไม่ยอมออกไปอยู่ห่างจากเจนซักที



"เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมทั้งสองคนถึงออกมาจากดาบได้ล่ะเนี่ย" เจนนึกขึ้นได้แล้วเอ่ยปากถาม



"ข้าเป็นคนปล่อยเด็กทั้งสองคนออกมาเอง" เสียงต่ำดังออกมาจากดาบคุซานางิที่เธอไม่ได้เก็บเข้าช่องเก็บของตัวละครไปเมื่อคืน แน่ล่ะ ต้องเป็นฝีมือของยามาตะ โนะ โอโรจิอยู่แล้ว เพราะถ้าทั้งสองออกมาจากดาบได้เองจริง ๆ คงจะออกมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเมืองรีเด็มชั่นแล้ว ถึงยามาตะ โนะ โอโรจิจะทำลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจน แต่เรื่องนี้ถ้าเป็นเธอแทนที่ของยามาตะ โนะ โอโรจิก็คงจะทำเช่นเดียวกัน



"แม่จ๋า แม่จ๋า ตอนที่อยู่ในดาบหนูเห็นงูแปดหัวด้วยล่ะ ตัวหย่ายม้ากกกกมากเลยด้วย" เด็กสาวทำท่าทางประกอบจนเจนอดยิ้มไปกับท่าทางของเธอไม่ได้



"จริงด้วย ก่อนหน้านี้ที่พวกเราอยู่ในดาบยังไม่เห็นอยู่ด้านในเลย แต่เมื่อคืนหลังจากที่หนูตื่นขึ้นมาก็เจองูตัวนั้นมาอยู่กับพวกเราแล้ว" คิทซึเนะเสริม



"อย่างนั้นเองหรอกหรือเนี่ย.. แต่ว่านะฟีบี ช่วยเรียกฉันว่าพี่เจนเหมือนกับพี่คิทซึเนะได้มั้ย?" เจนนั่งลงคุยกับฟีบี



"ทำไมล่ะ แม่จ๋าเป็นแม่ของฟีบีไม่ใช่หรือ ฟีบีก็ต้องเรียกแม่ว่าแม่จ๋าสิ พี่คิทซึเนะก็เป็นพี่ของฟีบีถึงเรียกพี่ได้นะ" มังกรน้อยตอบด้วยสีหน้าสงสัย แต่เจนกลับมีสีหน้าหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้ฟีบีเข้าใจ ถ้าหากมีคนได้ยินฟีบีเรียกเธอว่า****ีหวังโดยรู้กันหมดแน่ว่าเธอเป็นผู้หญิง ถึงแม้มันจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังเลยก็ตาม



"เรื่องนั้นช่างมันเถอะเจน เล่นเกมไปตามปกติก็พอแล้ว ไม่ต้องไปปิดบังให้มันยุ่งยากไปหรอก เดี๋ยวถ้าหมอเกอร์ทูธกับแม่จริยารู้เข้าเธอก็มีหวังโดนเล่นเอาหรอก" เสียงของโจดังขึ้นมาโดยมีแจ็คพูดสนับสนุน แต่เพียงแค่เจนหันไปมองด้วยดวงตาพิฆาตเพียงครั้งเดียว ทั้งคู่ก็หุบปากลงแต่โดยดี





"ปล่อยให้ฉันจัดการเองค่ะพี่เจน" คิทซึนะพูดขึ้นแล้วดึงตัวฟีบีไปคุยกันที่ข้างต้นไม้ เพียงครู่เดียวทั้งสองก็เดินกลับมาด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาน



"พี่เจน! หนูหิวแล้วค่า!" เสียงร้องร่าเริงของฟีบีดังขึ้นอีกครั้ง เจนพยายามหาทางกล่อมให้ฟีบีมาเรียกเธอว่าพี่จนหัวหมุน แต่คิทซึเนะพาตัวไปคุยเพียงครั้งเดียวกลับเปลี่ยนใจของมังกรน้อยได้ ดูท่าจิ้งจอกน้อยตนนี้เติบโตขึ้นมาแล้วเช่นกัน



หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่ก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองคริสตัลเบลโดยที่ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าหรือแม้แต่อาหารเที่ยง ถึงแม้จะมีเนื้อกวางที่เก็บเอาไว้อยู่แต่โจคิดว่าน่าจะไปกินมื้อเที่ยงในเมืองทีเดียวจะดีกว่า โดยที่ไม่เสียเวลากล่อมให้ฟีบียอมอดทนไปกินอาหารในเมือง เพียงแค่บอกว่าจะได้กินของอร่อย ๆ เท่านั้นก็ตอบตกลงทันที



การเดินทางจากจุดที่พวกเจนอยู่ไปยังเมืองคริสตัลเบลนั้นใช้เวลาไม่นานนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่ทำให้เจนสบายใจมากที่สุดในการออนไลน์รอบนี้เลยทีเดียว ตั้งแต่เธอออนไลน์มาก็เจอกับโจรสลัดมาดกวน เจอพวกกิลด์พิฆาตราชาไล่ล่า แถมไปเจอเข้ากับเซอร์โนบอทที่ทำให้เธอเจอภาพที่ไม่อยากจะเห็นอีกครั้ง



แต่เมื่อผ่านมาอีกด้านของภูเขากลับต่างกันราวกับฟ้ากับเหว ทัศนียภาพรอบ ๆ ที่แห่งนี้เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายอยูตามทางทำให้รู้สึกรื่นรมมาก เมื่อเดินไปอีกก็พบกับทะเลสาบกว้างขวางที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองคริสตัลเบล มองออกไปมีเรือลำเล็กแล่นอยู่กลางทะเลสาบดูเหมือนว่ากำลังมีคนนั่งตกปลาอยู่บนนั้น ในขณะเดียวกันที่บริเวณโดยรอบมีคนจำนวนมากกำลังพักผ่อนหย่อนใจอยู่ บรรยากาศต่างจากการเดินทางเมื่อวานแบบสุดขั้วจริง ๆ



เมื่อเข้าใกล้เมืองก็ยิ่งเจอกันผู้คนมากขึ้น หลายคนเป็นผู้เล่นที่ดูท่าทางจะมีฝีมืออยู่พอตัวทีเดียว แต่ที่น่าแปลกสำหรับเจนคือทุก ๆ คนมีเครื่องดนตรีติดตัวกันทั้งนั้น เธอได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ แต่พอเธอเข้ามาในเมืองก็เข้าใจทันทีว่าทำไม



เสียงดนตรีหลากหลายชนิดถูกบรรเลงจากผู้เล่นและชาวเมืองประสานกันอย่างไพเราะเสนาะหู บริเวณทางเข้าเมืองตรงทางเดินทั้งสองข้างทางต่างเต็มไปด้วยนักดนตรีนับร้อยคนกำลังเล่นดนตรีอยู่ โจพูดเกี่ยวกับเมืองคริสตัลเบลว่ามันมีอีกชื่อหนึ่งนั่นก็คือเมืองแห่งเสียงเพลง เป็นเมืองที่นักดนตรีไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไออยากจะมาให้ได้ เพราะเมืองแห่งนี้เปิดให้นักดนตรีได้บรรเลงเพลงของตนได้ทุกที่ในเมือง



ถึงเรื่องแบบนี้จะไม่ใช่ของแปลก แต่การที่ได้มาเล่นดนตรีในเมืองแห่งนี้ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของอาชีพในโลกแห่งนี้เหมือนกับนักกีฬาได้จารึกชื่อลงในหอเกียรติยศและแน่นอนว่ามีเงินจำนวนมหาศาลเป็นค่าตอบแทนถ้าหากได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดที่มีอยู่ทุก ๆ เดือน แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักของคนที่จะมาที่แห่งนี้อย่างแน่นอน



เดินเลยจากวงออเครสต้าข้างประตูเมืองไปเจนก็พบกับกลุ่มผู้เล่นที่มีเครื่องดนตรีทันสมัยอย่างกีตาร์ไฟฟ้า เบส กลองชุด มิหน่ำซ้ำยังมีลำโพงตั้งส่งเสียงอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย



"พี่เจน นั่นมันคืออะไรหรอ" ฟีบีชี้นิ้วไปยังกลุ่มผู้เล่นที่เริ่มบรรเลงเพลงแนวป็อปร็อคที่มีผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าที่ร้องนำ เสียงของเธอเพราะใช้ได้เลยทีเดียว มือของเธอก็ดีดสายกีตาร์เร่งจังหวะให้เพลงเร้ามากยิ่งขึ้น



"อ๋อ.. นั่นคือกีตาร์น่ะ ว่าแต่มีของอย่างนั้นในเกมด้วยหรือเนี่ย" เจนเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะเครื่องดนตรีที่ผู้เล่นกลุ่มนั้นใช้อยู่ทันสมัยเกินกว่าที่จะมีในเกม



"ของแบบนั้นไม่มีในเกมหรอก แต่เป็นของที่ผู้เล่นทำขึ้นเองภายในเกม ไม่ได้เป็นฝีมือของเอไอ" โจอธิบายขณะที่กำลังเดินผ่านวงดนตรีไปในช่วงท่อนฮุคของเพลง เขาขยับหัวตามจังหวะพลางฮัมเพลงตาม



น่าแปลกที่เมืองแห่งนี้น่าจะเป็นเมืองที่มีความวุ่นวายเพราะมีนักดนตรีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทุกคนต่างมีน้ำใจเล่นตามคิวโดยแบ่งเป็นส่วน ๆ ของเมือง ในแต่ละส่วนจะมีวงดนตรีหรือนักดนตรีเล่นได้เพียงแค่เพลงเดียว เมื่อเพลงจบวงต่อไปที่ต่อคิวรออยู่จะเริ่มเล่นเพลงของตนทันที ทำให้ทั้งเมืองมีแต่เสียงเพลงดังไปทั่วและไม่ตีกันจนน่ารำคาญ



เมืองแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามมาก ตึกขนาดใหญ่แบบยุโรปสีขาวเรียงรายกันเป็นแถบอย่างเป็นระเบียบ ทั้งห้าเดินตรงไปยังที่ร้านอาหารก่อนเพราะท้องร้องมาตั้งแต่ก่อนที่ได้เข้ามาในเมือง เจนเลือกร้านอาหารดูท่าทางราคาไม่แพงมากนักและเดินนำไปทันที ถึงตอนนี้จะมีเงินอยู่เหลือเฟือแต่เธอก็ไม่อยากจะใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยจนเกินไป ถึงแม้จะเป็นเงินในเกมก็ตาม



พวกโจในตอนนี้ก็หิวเกินกว่าจะมาโต้แย้งเรื่องร้านอาหาร ทั้งสองสั่งอาหารเน้นเฉพาะเนื้อจำนวนมากทันทีที่หย่อนก้นถึงเก้าอี้ ส่วนคิทซึเนะและฟีบียังไม่เคยมากินร้านอาหารแบบนี้มาก่อน จึงเป็นหน้าที่ของเจนที่ต้องสอนให้ทั้งสองสั่งอาหารให้ตัวเอง ส่วนเธอนั้นก็สั่งอาหารประจำวันมาก่อนเลยเมื่อจานอาหารมาถึงโต๊ะ ทั้งห้าก็เริ่มลงมือทานอย่างรวดเร็ว สองหนุ่มกับหนึ่งมังกรนั้นรีบทานอย่างมูมมามจนเจนต้องรีบปราม ต่างจากเธอและคิทซึเนะที่ค่อย ๆ กินอย่างเรียบร้อย ถึงอย่างนั้นอาหารจำนวนมากบนโต๊ะก็ถูกจัดการจนหายเรียบไปในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น



"หลังจากนี้พวกเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะ" เจนถามขึ้นแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม เธอรีบยกผ้าไปเช็ดปากของฟีบีที่กินไอศกรีมจนเลอะเต็มหน้า



"ตอนนี้พวกเรามีเลเวลเต็มร้อยกันทุกคนแล้ว ก็คงต้องไปที่อาคารระบบก่อนจะได้ไปรับภารกิจเปลี่ยนยศ" โจตอบ



"ถ้าไปที่อาคารระบบเธอก็ไปโอนเงินให้พวกพี่เสือก่อนด้วยนะ ถ้าหาก พวกนั้นต้องการเงินตอนที่พวกเราอยู่นอกเมืองล่ะก็คงลำบากแน่" แจ็คพูดเตือน



"จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกนายไปซื้อเสบียงเพิ่มก่อนแล้วกัน ไว้ฟีบีกินของหวานเสร็จแล้วจะถามไป"



"โอเค พวกเราไปก่อนแล้วกัน จากนั้นจะเลยไปดูเที่ยวบินของเรือเหาะด้วย พอได้รับภารกิจแล้วก็จะได้รีบออกเดินทางเลย แล้วเจอกันที่อาคารระบบนะ" โจพูดแล้วลุกขึ้นยืนโดยมีแจ็คเดินตามไป ส่วนเจนนั้นต้องรอให้ฟีบีกินของหวานให้เสร็จก่อน ซึ่งในตอนนี้เธอถูกคิทซึเนะดูแลเป็นอย่างดีสมกับที่เป็นพี่สาว



หลังจากที่ฟีบีกินเสร็จ เจนก็จัดการจ่ายเงินโดยเธอไม่ลืมที่จะซื้ออาหารกล่องเอาไว้สำหรับเดินทางไว้เผื่อสัตว์เลี้ยงทั้งสองและเทพอสูรในดาบด้วย แต่ช่องเก็บของในกระเป๋าเริ่มต้นในตอนนี้ไม่พอที่จะใส่ได้อีก เจนจึงจำเป็นต้องเก็บก่องอาหารเข้าในช่องเก็บของส่วนตัวซึ่งจะทำให้อาหารเสียเร็วขึ้น ในใจพลางคิดว่าคงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนกระเป๋าใหม่ซะแล้ว



ทั้งสามเดินเข้าไปยังส่วนการค้าของเมืองที่มีคนเดินซื้อของอยู่มากมายและนักดนตรีที่ยังคงบรรเลงเพลงอยู่ไม่ขาด เจนมองเข้าไปในร้านตีเหล็กเห็นเป็นดาบเล่มงามวางอยู่ในตู้กระจกหน้าร้าน ป้ายราคาแปะเอาไว้อยู่เกือบแสนโกลด์แต่ตอนนี้เธอมีดาบใช้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นความสวยของมันก็ต้องตาคนเจนทำให้อดเหลียวมองไปไม่ได้



เจนรีบตั้งสติก่อนที่จะเผลอไปซื้อของอย่างอื่นที่ไม่ได้ต้องการ ในใจก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะปกติแล้วเธอไม่ได้เป็นคนที่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือยแบบนี้ เธอรีบพาคิทซึแนะและฟีบีตรงไปยังร้านขายอุปกรณ์ที่ใกล้ที่สุดทันที ภายในร้านขายของมีอุปกรณ์ต่าง ๆ วางอยู่เต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นใบวาปกลับเมืองที่เธอเคยใช้วางเรียงเป็นแผ่นอย่างระเบียบเรียบร้อย เสื้อผ้าหนาสำหรับนักเดินทางถูกแขวนเอาไว้ที่มุมห้องมีป้ายราคาติดอยู่ อีกด้านเป็นของจำพวกเต็นท์และถุงนอนวางเรียงกันหลายแบบและหลายขนาด ใกล้ ๆ กันเป็นเครื่องครัวสนามกับขวดเครื่องปรุงวางเป็นชุดดูน่าสนใจไม่น้อย



"ยินดีต้อนรับครับ คุณลูกค้าสนใจเกี่ยวกับการทำอาหารครือครับ ทางร้านมีโปรโมชั่นพิเศษถ้าหากคุณลูกค้าซื้อเซตเครื่องครัวจะแถมตำราปรุงอาหารให้ฟรีนะครับ" เจนหันไปมองเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังมองเธออยู่จากด้านในเคาท์เตอร์ทำให้รู้ทันทีว่าต้องเป็นพนักงานของร้านนี้แน่



"สนใจมั้ยครับคุณลูกค้า หรือว่ากำลังมองหาอย่างอื่นอยู่" คนขายถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจนไม่ตอบ



"ฉันอยากได้กระเป๋าสำหรับไว้เดินทางน่ะ ขอขนาดเล็ก ๆ แบบใบนี้แต่ใส่ของเข้าไปได้เยอะ ๆ มีหรือเปล่า" เจนถาม คนขายส่งยิ้มกลับมาแล้วจึงตอบคำ



"กระเป๋าใบเล็กแต่จุของได้เยอะถ้าเป็นกระเป๋าธรรมดาไม่มีหรอกครับ ต้องเป็นกระเป๋าระดับ A ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะจุของได้เยอะแต่ก็ไม่เท่ากับกระเป๋าเดินทางทั่วไปหรอกนะครับ" คนขายหนุ่มบอกแล้วยกกระเป๋าออกมาสองใบจากใต้เคาท์เตอร์



ใบแรกเป็นกระเป๋าใบใหญ่ดูเทอะทะ แต่พอตรวจสอบดูก็พบว่าสามารถใส่ของได้เป็นร้อย ๆ อย่างเลยทีเดียว อีกใบเป็นกระเป๋าคาดเอวแบบเดียวคล้ายกับที่เจนใช้อยู่แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าสามารถใส่ของได้ราว ๆ สี่สิบอย่าง ถึงจะมากกว่ากระเป๋าเริ่มต้นของเจนแต่ก็ไม่มากเท่ากระเป๋าเดินทางใบที่แล้ว พอไปดูราคากลับพบว่ากระเป๋าใบเล็กมีราคาสูงกว่าถึงสองเท่าของกระเป๋าเดินทางทีเดียว



"ที่มีราคามากกว่าเพราะคนส่วนใหญ่ก็นิยมใช้กระเป๋าใบเล็กเหมือนกันครับ ทำให้ผลิตออกมาไม่ค่อยทันขายจึงมีราคาสูง กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไม่ค่อยมีคนซื้อจึงราคาตกครับ" คนขายเห็นใบหน้าของเจนก็รีบอธิบาย



ตอนนี้เจนสองจิตสองใจว่าจะเอากระเป๋าใบไหนดี เอาใบใหญ่นอกจากจะมีราคาถูกแล้วยังใส่ของได้มากกว่ามาก แต่ก็ไม่สะดวกเวลาที่จะต้องสู้ ในขณะเดียวกันกระเป๋าใบเล็กนั้นสามารถพกพาสะดวกสบาย แถมยังสามารถเข้าต่อสู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องวางของก่อนอีกด้วย เจนยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปถามคนขายอีกครั้ง



"กระเป๋าใบเล็กมีแบบที่จุของได้เยอะกว่านี้อีกมั้ย" เจนตัดสินใจเลือกใช้กระเป๋าใบเล็กเพราะเน้นไปที่ความสะดวกมากกว่าใช้เก็บของ ถึงยังไงก็ตามเจนก็ไม่ค่อยเก็บของอะไรมากมายอยู่แล้ว



คนขายที่ได้ยินหญิงสาวถามหาของเพิ่มก็ยิ้มหน้าบาน เขารีบเดินไปที่หลังร้านและกลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าคาดเอวสีขาว เขาค่อย ๆ วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะแล้วรีบนำเสนอสินค้าทันที



"นี่เป็นกระเป๋าผ้าระดับ Aอย่างดีเลยครับ มีน้ำหนักเบาแถมฉีกขาดยาก มีความจุอยู่ที่แปดสิบช่องครับ สนนราคาอยู่ที่หนึ่งแสนโกลด์เท่านั้นเองครับ" เมื่อได้ยินราคาก็ทำให้เจนถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แต่ราคานี้ก็อาจจะดูสมเหตุสมผลเพราะกระเป๋าใบเล็กเมื่อครู่เองก็มีราคาเกือบห้าหมื่นโกลด์เลยทีเดียว



หลังจากที่คิดอยู่นานเจนก็ตัดสินใจซื้อและเพิ่มอุปกรณ์ครัวสนามอีกชุดด้วยโดยไม่ลืมเซตเครื่องปรุงและตำราอาหารที่เป็นของแถมจาดนั้นจึงเดินออกมาจากร้าน เจนรีบย้ายสัมภาระจากกระเป๋าใบเก่าไปที่กระเป๋าใบใหม่ทันทีรวมถึงข้าวกล่องและของอื่น ๆ ที่อยูในช่องเก็บของส่วนตัว เหลือเอาไว้แต่เมล็ดบ้านต้นไม้ที่เก็บเอาไว้ในช่องเก็บของส่วนตัวไปเหมือนเดิม





จากนั้นทั้งสามก็พากันไปซื้อเสบียงมาเพิ่มโดนเจนคิดว่าเมื่อได้เครื่องปรุงมาเพิ่มเช่นนี้คงจะทำอาหารได้อร่อยขึ้นแน่ ๆ ก่อนจะไปต่อ คิทซึเนะก็ไปเจอเข้ากับร้านขายเสื้อผ้า จิ้งจอกสาวกระตุกเสื้อของเจนและขอเข้าไปดูของในร้านซึ่งเจนเองก็ไม่ได้ขัดข้องจึงพาทั้งสองเข้าไปด้านใน



เมื่อครั้งก่อนที่คิทซึเนะได้แต่เล่นสนุกกับเสื่อผ้าในร้านเหมือนกับฟีบีตอนนี้ แต่ภาพที่เจนเห็นตรงหน้าคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าที่แทบจะไม่ต่างไปจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ในร้านเลย เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วันแต่ตอนนี้คิทซึเนะโตขึ้นมากจนต้องเรียกว่าเป็นจิ้งจอกสาวแทนที่จะเป็นจิ้งจอกน้อยซะแล้ว



คิทซึเนะเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าโดยเดินพาฟีบีไปเลือกซื้อด้วย ส่วนเจนนั้นนั่งรออยู่บริเวณหน้าร้าน ไม่ได้คิดจะซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่แต่อย่างใด แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ดวงตาสีแดงก็กวาดมองไปรอบ ๆ ก็สะดุดกับชุดเดรสสีขาวตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมแต่ตอนนี้เจนละสายตาจากชุดนั้นไม่ได้เลย เธอลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปลองจับชุดดูก็พบว่าเนื้อผ้านุ่มมากแถมยังสะท้อนเงาเป็นประกายอีกด้วย



'สวยจังเลย...อย่างเราจะใส่ได้มั้ยนะ ..หือ!' เจนรีบหยุดความคิดของตัวเองทันที เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเพิ่งคิดว่าจะอยากได้เสื้อผ้าผู้หญิงแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเจนแทบไม่มีความคิดที่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยด้วยซ้ำ ชุดที่ใส่อยู่เป็นชุดที่จริยาซื่อมาให้ทั้งนั้น นี่หรือว่าเธอกำลังเริ่มที่จะมีความคิดแบบผู้หญิง!



หญิงสาวรีบสลัดความคิดออกไปแล้วรีบหันหลังให้ชุดเดรสนั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเธอก็ยังหันหลังเหลือบมามองชุดด้วยสายตาโหยหาอย่างอดไม่ได้



"พี่เจน มีอะไรหรือคะ เห็นมองชุดที่แขวนอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" เสียงของคิทซึเนะดังขึ้นทำเอาเจนแทบสะดุ้ง



เมื่อหันไปมองก็พบว่าทั้งสองถือเสื้อผ้ามาคนละสองสามชุดดูท่าทางจะเลือกชุดที่จะซื้อได้แล้ว เจนรีบหยิบเงินให้คิทซึเนะแล้วบอกให้ไปจ่ายเงินจากนั้นจึงรีบวิ่งออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สองสาวหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัยเพราะใบหน้าของเจ้านายของพวกเธอนั้นแดงก่ำอย่างกับลูกมะเขือเทศ



หลังจากที่เจนออกมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่หน้าร้านได้พักหนึ่ง พวกคิทซึเนะก็ออกมาจากหน้าร้านด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง เธอไม่ถามอะไรทั้งสองเพราะอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เจนรีบเดินนำคิทซึเนะและฟีบีออกจากย่านการค้าและตรงไปที่อาคารระบบโดยไม่แวะไปที่อื่นเลย



เมื่อมาถึงที่หน้าอาคารระบบก็พบว่าพวกโจได้มาถึงก่อนแล้ว ทั้งคู่เองก็ซื้อกระเป๋าใหม่มาเหมือนกันโดยโจเป็นถุงผ้าเล็ก ๆ ที่มีเชือกเอาไว้รัดปากและถือได้ ส่วนแจ็คนั้นเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ดูเหมาะกับเขาดีที่ต้องขนกระสุนไปมาก ๆ ถึงแม้ตอนนี้เขามีปืนกระบอกเดียวที่ต้องใช้กระสุนก็ตาม



"ทางนี้! มาเถอะ รีบเข้าไปรับภารกิจกัน....ว่าแต่เธอเป็นอะไรล่ะนั่น หน้าแดงมาเชียว" โจถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเจน หญิงสาวเดินผ่านไปโดยไม่สนใจคำพูดของเพื่อนหนุ่มเลย



"ช่างฉันเถอะน่า รีบเข้าไปได้แล้ว!" เจนว่าแล้วเดินเข้าไปด้านในอาคารระบบทันที



อาคารระบบทุกที่จะออกแบบเหมือนกันหมดทำให้ผู้เล่นรู้ว่าส่วนไหนทำอะไรบ้าง อย่างเช่นเคาท์เตอร์สอบถามจะมีหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับการเล่นเกมและระบบของเกมรวมไปจนถึงรับแจ้งข้อผิดพลาดของเกมซึ่งยังไม่เคยพบมาก่อนในเกมนี้ ส่วนที่สองคือบริการสอบถามเกี่ยวกับภารกิจต่าง ๆ ไม่ว่าเป็นภารกิจที่เป็นของระบบหรือภารกิจของผู้เล่นที่นำขึ้นกระดานภารกิจด้วย นั่นรวมไปถึงภารกิจเปลี่ยนยศที่พวกเจนจะต้องมาสอบถาม



ส่วนที่สามนั่นก็คือส่วนของธนาคารที่บริการทำธุรกรรมการเงินของผู้เล่นทุกอย่าง เช่นการโอนเงินที่เจนจะทำ เธอเข้าไปที่เคาท์เตอร์แล้วแจ้งความต้องการให้กับพนักงาน หลังจากพนักงานตรวจสอบเพียงครู่เดียวก็ถามถึงชื่อของหลายทางที่จะให้โอนไปถึง ซึ่งถ้าหากเป็นคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนหรือคนในกิลด์เดียวกันก็สามารถโอนเงินได้เลยโดยไม่ต้องการเลขบัญชีของปลายทาง ยกเว้นถ้าหากคนที่ต้องการโอนเงินไปให้ไม่ได้เปิดบัญชีธนาคาร แต่พวกเสือซ่อนลายเปิดบัญชีธนาคารเอาไว้แล้วอย่างแน่นอนตามที่เจนแนะนำ พนักงานถามเพื่อความชัดเจนอีกครั้งว่าต้องการจะโอนเงินไปให้พวกโจและพวกเสือซ่อนลายอีกครั้ง เพราะเงินจำนวน 25,700,000 กับเศษอีกนิดหน่อยสำหรับคนเจ็ดคนนั้นเป็นเงินไม่ใช่น้อย ๆ เลย



เจนตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล แล้วเงินจำนวนมากก็ถูกส่งแจกจ่ายไปให้ทุกคน สรุปแล้วในตอนนี้พวกเจนรวมไปถึงพวกเสือซ่อนลายนั้นมีเงินอยู่คนละยี่สิบหกล้านโกลด์ เงินจำนวนขนาดนี้สามารถตั้งกิลด์ได้ด้วยตัวเองได้อย่างสบาย ๆ เลย



หลังจากเสร็จธุระตรงจุดนี้แล้ว ทั้งห้าก็เดินตรงไปยังเคาท์เตอร์บริการสอบถามภารกิจต่อ โดยพวกเจนไปออรวมอยู่ในที่เคาท์เตอร์เดียว ส่วนคิทซึเนะนั้นพาฟีบีไปนั่งรอที่เก้าอี้ใกล้ ๆ



"ยินดีต้อนรับสู่อาคารระบบค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการทราบเกี่ยวกับภารกิจอะไรดีคะ" พนักงานสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ



"พวกเรามารับภารกิจเปลี่ยนยศครับ" โจตอบไป พนักงานสาวก้มหน้าลงดูที่จอแสงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วข้าง ๆ เคาท์เตอร์ก็มีรูปใบหน้าของโจกับแจ็คปรากฏขึ้นมา



"ยืนยันว่าเป็นคุณโจกับคุณแจ็คนะคะ ภารกิจเปลี่ยนยศของคุณตอนนี้ได้ถูกส่งเข้าไปในหน้าต่างภารกิจเรียบร้อยแล้วนะคะ ส่วนคุณเจนกรุณารออีกซักครู่นะคะ" พนักงานสาวพูดแล้วขมวดคิ้วอย่างสงสัยเพราะหน้าต่างแสงของเธอนั้นบอกว่ากำลังประมวลผลภารกิจของเจนอยู่



เวลาผ่านไปได้ซักพักในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ออกมา แต่คำตอบที่ได้ก็ยิ่งทำให้พนักงานสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นอะไรแบบนี้ บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกของเกมนี้ด้วยซ้ำ



"มีอะไรงั้นหรือ" เจนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าภารกิจของเธอยังไม่มาซักที พนักงานสาวได้แค่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้แล้วหันหน้าไปคุยคนเดียวเหมือนกับกำลังโทรศัพท์ปรึกษาใครอยู่ เธอพยักหน้าอยู่สองสามครั้งจึงหันกลับมาหาเจน



"ขออภัยที่ให้รอนานนะคะ เนื่องจากคุณเจนยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพมาตั้งแต่เริ่มเกมทำให้ระบบคำนวณให้ภารกิจเลื่อนยศของคุณเจนเป็นภารกิจอาชีพพิเศษนะคะ ดังนั้นหลังจากที่คุณเจนทำภารกิจนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเลื่อนยศขึ้นไปให้อยู่ยศขุนนางพร้อมกับจะได้อาชีพพิเศษมาด้วยค่ะ"



"อาชีพพิเศษ!?" เจนหลุดปากถามออกไปด้วยความสงสัย จะว่าไปเธอก็เล่นเกมนี้มาได้ซักพักหนึ่งแล้วจนลืมว่าตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพ คงต้องขอบคุณที่ยามาตะ โนะ โอโรจิช่วยจัดการโครงกระดูกคนเหมืองจนทำให้เลเวลพุ่งมาจนเต็ม ถ้าไม่อย่างนั้นเจนคงต้องเสียเวลาเก็บค่าประสบการณ์อีกนานเลยทีเดียว



"ค่ะ ถ้าหากมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับอาชีพพิเศษ กรุณาติดต่อเคาท์เตอร์สอบถามนะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ" พนักงานสาวพูดแล้วเรียกคิวต่อไป ทิ้งให้เจนเดินออกมาอย่างสงสัยว่าเธอได้ภารกิจอะไร



เมื่อเจนเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดูก็พบว่ามีภารกิจใหม่อยู่บนนั้น และตัวหนังสือที่บอกเธอก็ทำให้เธอต้องแปลกใจ



'ภารกิจผู้กล้า'





จบตอนที่ 23 เมืองแห่งเสียงดนตรี
--------------------------------------------------




----------------------
ขอบคุณคุณsantisook01มากเลยครับ วาดภาพสวยมาก ๆ เลย ผมชอบมากเลยครับ
ผมขออนุญาตนำไปเผยแพร่ได้มั้ยครับ

Tohan-kun
18th January 2014, 12:49
ตอนที่ 24 Be Your Self



ภารกิจผู้กล้า



ให้ความช่วยเหลือชาวเมืองจำนวน 0/1000



เจนอ่านคำอธิบาย และก็ต้องกลับไปอ่านซ้ำอีกรอบเพราะนั่นเป็นคำอธิบายภารกิจทั้งหมดของเจน สั้นกะทัดรัดและได้ใจความ แต่คนอ่านกลับไม่เข้าใจเลยว่าจะทำได้ยังไง



"นี่มันอะไรกันเนี่ย โจ ขอดูภารกิจเลื่อนยศของนายหน่อยได้มั้ย" เจนหันไปถามเพื่อนของเธอ เมื่อก้มลงดูคำอธิบายภารกิจของเพื่อนหนุ่มนั้นให้ไปจัดการมอนสเตอร์ระดับบอสสายเวทมนตร์ด้วยตัวคนเดียว ถึงจะดูยากแต่ก็เข้าใจว่าให้ทำอะไร



"แบบนี้ก็แย่น่ะสิ ให้ไปจัดการมอนสเตอร์บอสสายเวทมนตร์คนเดียวเนี่ยนะ ไอ้บอสแบบนั้นมันมีตัวกระจอก ๆ ซะที่ไหนล่ะเนี่ย" โจบ่น การให้ผู้เล่นคนเดียวไปจัดการกับมอนสเตอร์ระดับบอสเพียงคนเดียวถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากแสนสาหัสเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ใช่ยอดฝีมือจริง ๆ คงเป็นไปได้ยาก



"ของฉันก็เหมือนกัน ให้ไปล่าค่าหัวคนที่มีเงินรางวัลมากกว่าห้าแสนโกลด์ขึ้นไป ให้คนที่มียศทหารไปล่าค่าหัวเนี่ยนะ พวกที่มีค่าหัวขนาดนั้นจะมีระดับขุนนางปลาย ๆ แล้วไม่ใช่หรือไงเนี่ยแถมยังต้องทำคนเดียวอีกต่างหาก" แจ็คเกาหัวอย่างหนักใจ จะให้คนที่ยังมีระดับยศเพียงแค่ยศทหารไปฆ่าคนที่มียศสูงกว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากไม่มีพลังที่แข็งแกร่งอย่างดาบของเจน เขามีเพียงแต่ปืนสองกระบอกที่ยิงกระสุนได้ไม่จำกัดและปืนอีกกระบอกที่ไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก



"ของพวกนายรู้ว่าให้ไปทำอะไร แต่ของฉันสิ บอกให้ไปช่วยคนพันคน ไม่บอกอะไรอย่างอื่นอีกแบบนี้จะรู้มั้ยว่าจะต้องไปทำอะไร" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ถ้าหากบอกให้ไปสู้กับพวกมอนสเตอร์มือเปล่ายังจะดีซะกว่า



"แบบนั้นเธอก็ลองไปถามที่เคาท์เตอร์สอบถามดูก็แล้วกัน เผื่อจะรู้ว่าภารกิจของเธอตกลงว่าให้ทำอะไรกันแน่" โจบอก เจนได้ยินก็พยักหน้าตกลงเพราะไม่มีทางอื่นแล้ว



เจนเดินไปกดบัตรคิวแล้วมานั่งรอคิวกับพวกโจและคิทซึเนะ ระหว่างที่รอเจนก็ถามเรื่องเรือเหาะที่พวกเขาไปดูเที่ยวเรือมาก็ได้ความว่าเรือเหาะเที่ยวที่เร็วที่สุดจะออกเวลาตีสี่ของวันพรุ่งนี้ โดยจะมีจุดหมายบินไปที่ทวีปอัลเทเชีย จากนั้นจึงไปทีทวีปยูโรปาและกลับมาที่เมืองคริสตัลเบลอีกครั้ง โดยทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น การเดินทางด้วยเรือเหาะจึงเป็นการเดินทางที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในตอนนี้



แน่นอนว่าการเดินทางด้วยวาร์ปจะปลอดภัยและรวดเร็วกว่า แต่ไม่มีบริการในส่วนนั้นอยู่ทุก ๆ เมือง นอกจากนั้นยังมีแค่จอมเวทเท่านั้นที่จะมีทักษะนั้นได้ ทำให้การวาร์ปจึงเป็นการเดินทางที่มีราคาแพงและตัวเลือกไม่มากนัก



โจจองตั๋วเรือเผื่อเอาไว้สำหรับทุกคนเรียบร้อยแล้วเพราะไม่ว่าภารกิจจะเป็นอะไรก็ตาม ทั้งสามต่างตกลงกันว่าจะไปจากทวีปไลเทเชียเพื่อหนีการตามล่าของกิลด์พิฆาตราชาเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยมาคิดว่าจะทำยังไงกับภารกิจเลื่อนยศทีหลัง



ในที่สุดก็มาถึงคิวของเจน เธอเดินเข้าไปในช่องที่เรียกหมายเลขบนบัตรคิวของเธอ ด้านหลังเคาท์เตอร์เป็นพนักงานหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มให้เธอ



"สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าต้องการสอบถามเกี่ยวกับอะไรดีครับ" พนักงานหนุ่มคนนั้นพูด



"เอ่อ คือฉันอยากสอบถามเรื่องภารกิจที่ได้รับมาหน่อย คือฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าภารกิจต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่" เจนว่าแล้วทำท่าจะแสดงหน้าต่างภารกิจของเธอให้ดูแต่พนักงานหนุ่มกับพูดขึ้นมาเสียก่อน



"ภารกิจที่คุณเจนพูดถึงคือภารกิจผู้กล้าใช่มั้ยครับ"



เจนพยักหน้า มันไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เขาจะรู้เพราะยังไงเขาก็เป็นพนักงานที่เกี่ยวกับเกมนี้อยู่แล้ว ถ้าเขาเข้าไปดูภารกิจของเธอไม่ได้สิถึงแปลก



พนักงานหนุ่มเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจ้องหน้าต่างแสงที่แสดงคำอธิบายอันน้อยนิดของภารกิจของเจน เขาพูดพึมพำกับตัวเองซึ่งเจนได้ยินประมาณว่าทำไมถึงส่งให้คนถามเรื่องภารกิจมาที่เคาท์เตอร์สอบถาม จากนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนกับกำลังติดต่อกับใครซักคนเหมือนกับพนักงานหญิงที่ให้ภารกิจของเจนมาเมื่อครู่ เขาพยักหน้าสองสามทีจากนั้นกล่าวอะไรบางอย่างกับปลายทางที่กำลังคุยดัวยแล้วหันมาหาเจนอีกครัั้ง



"ภารกิจผู้กล้าของคุณเจนนะครับ คำอธิบายบอกให้คุณช่วยเหลือชาวเมืองจำนวนหนึ่งพันคน ในที่นี้ชาวเมืองที่พูดถึงคือเอไอนะครับ ไม่นับผู้เล่นแต่รวมพวกมอนสเตอร์ได้นะครับ ส่วนการที่จะช่วยคนหนึ่งพันคนนี้คุณเจนอาจจะต้องไปหาอีเวนท์พิเศษทำอย่างพวกอีเวนท์สัตว์อสูรบุกเมืองหรือปกป้องเมืองจากโจรป่าครับ" พนักงานหนุ่มอธิบาย เจนถึงกับร้องอ๋อขึ้นมาทันที ความจริงพอฟังดูแล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่เธอคิด เพียงแค่ต้องหาอีเวนท์ที่ว่าให้เจอเท่านั้น



"ถ้าหากมีคนช่วยทำภารกิจก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย" เจนถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ



"ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ" พนักงานหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม



ในตอนนี้เจนพอจะรู้แล้วว่าเธอจะต้องทำอะไรถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนต่อ แต่เจนรู้ว่าจะต้องมีโอกาสที่เธอจะได้ทำภารกิจอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาพวกเธอเจอแต่เรื่องวุ่นวายมาตลอด คงไม่มีเหตุผลที่มันจะมาหยุดตอนนี้



เจนเดินกลับมาสมทบพวกโจแล้วพากันเดินออกมาจากอาคารระบบ เมื่อหันไปมองดูที่นาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เพิ่งบ่ายสามโมงเท่านั้นเอง



"อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาที่เรือเหาะจะออกจากท่า เธอซื้อของเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้วหรือยัง" โจหันไปถามเจนและเธอพยักหน้ารับ



"ฉันอยากจะไปเดินดูของที่ตลาดของเมืองนี้อยู่เหมือนกัน ฉันเบื่อชุดเก่าจะแย่ อยากลองไปหาซื้อชุดใหม่ดู" แจ็คพูดขึ้นมาทำให้เจนเห็นภาพตัวเองในร้านขายเสื้อผ้าขึ้นมาในหัวอีกครั้ง



"ไม่! ฉันจะไม่เข้าไปในตลาดนั่นเด็ดขาด!" ใบหน้านวลที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อรีบเอ่ยปฏิเสธทันที สองหนุ่มหันมามองเพื่อนของตนด้วยความสงสัย คิทซึเนะและฟีบีเองก็เช่นกัน



"ทำไมอ่ะ ฉันแค่จะไปซื้อชุดใหม่เอง ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยหรอกน่า" แจ็คบอก เขาคิดว่าเจนไม่อยากให้เขาใช้เงินมากเกินไปจึงพูดแบบนั้นออกมา แต่เจนกลับทำท่าอิดออดไม่ยอมตอบคำแถมพยายามหลบสายตาของทุกคนเช่นนี้แสดงว่าไม่ใช่สาเหตุที่เขาคิดอย่างแน่นอน



โจสังเกตท่าทางของเพื่อนสาวก็พอจะรู้ว่าสาเหตุที่เจนทำตัวแปลกไปต้องเป็นสาเหตุที่เธอเองก็ยังอธิบายไม่ได้แน่ ๆ เพราะตลอดหลายปีที่รู้จักกันมาเขารู้ว่าเจนเป็นคนที่มีอะไรก็จะพูดตรง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนก็จะปิดปากไม่พูดเลยแม้แต่คำเดียว อาการหน้าแดงเช่นนี้ถ้าหากเป็นเจนเมื่อก่อนล่ะก็ไม่มีทางที่จะแสดงออกมาได้อย่างเด็ดขาด



ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากันแว่บหนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้กัน ทันใดนั้นทั้งคู่ก็พุ่งเข้าล็อกแขนเจนด้วยความเร็วจนไม่ทันตั้งตัว โจหันหน้ามาพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังจากที่จะลากตัวเธอไป



"ฉันว่าเธอต้องมาหาที่นั่งคุยกันแล้วล่ะ"





เมืองคริสตัลเบลนั้นแบ่งเมืองออกเป็นสามส่วนด้วยกัน โดยสองส่วนแรกนั้นคล้ายกับเมืองซีโปนั่นก็คือส่วนการค้าและส่วนที่อยู่อาศัยของชาวเมือง อีกหนึ่งส่วนที่เมืองซีโปไม่มีคือปราการที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่ต่างจากซีโปที่แยกออกมาอีกส่วนนอกเมือง แต่นั่นก็ทำให้เมืองคริสตัลเบลมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า รวมทั้งระฆังคริสตัลที่ลอยอยู่เหนือปราสาทเป็นจุดเด่นของเมืองจนหลายคนอยากที่จะมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้



บริเวณด้านหน้าปราสาทเป็นลานกว้าง พื้นเป็นก้อนหินเรียงเป็นลวดลายสวยงามและมีสีเขียวของหญ้าแทรกดูสบายตา ซึ่งจุดนี้จะถูกใช้ในการจัดแสดงในงานใหญ่ ๆ อย่างงานประกวดดนตรีประจำเมือง และในยามสงครามก็จะเป็นที่รวมกำลังพลของกิลด์หกราชันย์ ในยามปกติลานแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองและผู้เล่นที่ต้องการพักจากการเดินทางและต่อสู้ ดังนั้นนักดนตรีทั้งหลายต่างมาแสดงดนตรีกันอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน



มีเพียงแค่ส่วนหน้าปราการเท่านั้นที่ทางกิลด์หกราชันย์เปิดให้ผู้คนใช้ได้สาธารณะ ส่วนในปราการเป็นเขตหวงห้ามสำหรับคนทั่วไปจึงถูกป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา ถึงแม้ตรงทางเข้าจะมีแค่ชุดเกราะอัศวินยืนเฝ้าอยู่สองตัวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นที่ปราการนี้ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าอ้างว่าเคยบุกเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว



เจนถูกโจและแจ็คลากมานั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณลานกว้างแห่งนั้นโดยสองสาวจิ้งจอกและมังกรนั้นพากันไปเดินเล่นที่อื่น คิทซึเนะตอนนี้ที่โตจนน่าจะดูแลตัวเองได้แล้วเจนจึงไว้ใจให้เธอไปเที่ยวภายในเมืองกับฟีบี และเมืองแห่งนี้ก็มีการคุ้มครองคนในเมืองได้ในระดับที่ดีมาก ถึงจะมีเรื่องอะไรขึ้นก็คงจะมีคนมาช่วยทันเวลาอย่างแน่นอน



เสียงเพลงทำนองน่ารักสดใสดังขึ้นไปทั่วบริเวณ ณ ใจกลางลานกว้าง เป็นคิวของเด็กผู้หญิงสองคนที่ขึ้นร้องเพลงต่อจากนักร้องชายประสานเสียงกลุ่มหนึ่งที่ร้องได้ไพเราะไม่เลว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวทั้งสองคนร้องประสานอย่างเข้ากัน คนหนึ่งมีเส้นผมสีขาวและอีกคนมีผมสีแดงประกายต่างร้องเพลงด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ต่างจากเจนในตอนนี้ที่โดนสองหนุ่มนั่งประกบโดยทั้งสามคนไม่พูดอะไรกันมาพักหนึ่งแล้ว



"ฉันขอโทษ" เจนตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาก่อน เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นถึงจะเป็นเพราะอารมณ์และความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไปตวาดใส่พวกโจแบบนั้น หลายอยู่หลายครั้งที่เจนตะโกนเสียงดังใส่เพื่อนทั้งสองคนแต่ทุกครั้งเป็นเพราะสิ่งที่ทั้งคู่กระทำครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายที่ผิด



"บางทีเธอควรจะอธิบายมาตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้นนะ" โจพูด แจ็คไม่ได้เอ่ยปากแต่ก็พยักหน้าสนับสนุน ทำให้เจนต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา



"เรื่องมันเกิดขึ้นที่ร้านขายเสื้อผ้า พวกคิทซึเนะอยากจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ ฉันก็เลยให้สองคนนั้นไปเลือกกันเอง แต่พอฉันไปเห็นชุดเดรสชุดหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทำไมแต่ฉันรู้สึกอยากจะใส่ชุดนั้นมาก ถึงขนาดที่ฉันจิตนาการภาพตัวเองกำลังใส่ชุดนั้นอยู่เลย!" เจนพูดออกมาเสียงดัง ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอาย โจและแจ็คหันหน้ามามองกันก่อนที่แจ็คจะพูดขึ้น



"ก็ไม่เห็นแปลกนี่ เวลาใครเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ขนาดฉันกับโจยังเป็นเลย"



"แต่นั่นมันเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงนะ! ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นผู้ชาย..-"



"เธอเป็นผู้หญิง!!" เสียงของสองหนุ่มประสานกันเสียงดังจนหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางสะดุ้ง



"จะให้บอกอีกกี่ครั้งกันว่าเธอตอนนี้น่ะกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว ด็อกเตอร์เกอร์ธูทก็บอกอยู่ว่าเปลี่ยนให้เธอกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ ถึงให้เธอเข้ามาเล่นเกมนี้ที่จะได้ชินกับการเป็นผู้หญิงไง" โจว่า



ในใจลึก ๆ แล้วเจนเองก็รู้ดีว่ามันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงกลัวการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ ตั้งแต่ที่เจนกลายมาเป็นผู้หญิงก็มีเรื่องต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาในชีวิต บางสิ่งก็ดี บางอย่างก็ร้าย และนั่นก่อให้เกิดคำถามในใจว่าหากเธอไม่ได้กลายเป็นผู้หญิง สิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับเธอมั้ย และนั่นทำให้เจนกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยิ่งเมื่อภาพที่ทั้งสองคนทิ้งเธอเอาไว้ในเหมืองทำให้ความกลัวนี้เริ่มเข้ามาอิทธิพลในจิตใจของเธออย่างที่เจนไม่เคยคิดมาก่อน



"ต..แต่ว่าพวกนายไม่รู้สึกแปลก ๆ บ้างหรือไงที่จู่ ๆ ฉันกลายมาเป็นผู้หญิงแบบนี้"



"ถ้าเธอคิดว่าพวกเราสองคนจะเกลียดเธอเพราะเรื่องแบบนี้ล่ะก็ พวกเราสองคนคงไม่มายุ่งกับเธอตั้งแต่แรกแล้วล่ะ" แจ็คบอกแล้วเอียงตัวพิงเพื่อนสาว แขนใหญ่คล้องคอของเจนเหมือนเมื่อก่อนที่เด็กทั้งสามคนกอดคอกันไปมาอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ



"ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความเป็นตัวของเธอเองไปทั้งหมดหรอกนะ เอาเป็นว่าตอนนี้เธอเชื่อในสัญชาติญาณของผู้หญิงของเธอก็พอ" โจบอกแล้วหันมายิ้มให้เหมือนทุกครั้ง



"ถ้าอย่างนั้นสัญชาติญาณผู้หญิงของฉันควรจะบอกฉันว่าอะไรดีล่ะ" หญิงสาวเอ่ยปากถาม ครั้งนี้น้ำเสียงของเธอนิ่งเรียบเหมือนสายน้ำไหล ไม่ฟังดูสับสนเหมือนเมื่อครู่เพราะในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าต่อจากนี้พวกโจจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอต่อให้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น และเจนเองก็จะไม่มีวันทิ้งพวกเขาไปเช่นกัน



"จ่ายเรื่องกินน้อยลง เอาเงินส่วนใหญ่ไปซื้อเสื้อผ้าแพง ๆ ให้มากขึ้นล่ะมั้ง" แจ็คทำท่าครุ่นคิดและพูดขึ้น สำหรับเขาคงจะยากที่จะคิดเรื่องแบบนี้เพราะแม่ของเขาเองก็เป็นนักกีฬา ไม่ได้ทำตัวคล้ายกับผู้หญิงทั่วไปซักเท่าไหร่



เจนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงมั่นคงดังเดิม เหมือนปกติที่เธอพูดกับเพื่อนของสองสองคนนี้



"ไม่มีทาง ของแพง ๆ อย่างนั้นฉันไม่จ่ายเงินซื้อด้วยหรอก" ได้ยินที่เพื่อนสาวพูดออกมาพวกโจก็ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเจอไปเจออะไรเข้าในเหมืองโบรดี้ แต่จากที่ฟังดูเธอและยามาตะ โนะ โอโรจิคุยกันแล้วก็บอกได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน พวกเขารู้ว่าการที่จู่ ๆ ร่างกายของตนเองเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกเพศหนึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องที่จะปรับตัวได้ง่าย ๆ ถ้าหากมีอะไรที่รบกวนจิตใจของเจนในเวลานี้พวกเขาก็อยากจะแบ่งเบามาจากเธอและช่วยเธอให้พ้นไปจากช่วงเวลานี้ให้ได้



สองหนุ่มมองหน้ากันและคิดในใจ 'นั่นล่ะ ยัยเจนตัวแสบที่พวกเรารู้จัก'







ต่อจากนั้นทั้งสามก็นั่งคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่จะพากันไปตามที่นัดกับพวกคิทซึเนะเอาไว้ ก่อนที่สองสาวจะพากันไปเดินเล่น เจนได้กำชับเอาไว้ว่าให้มาเจอกันที่หน้าอาคารระบบดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกลัวว่าทั้งสองจะหลงทาง อีกทั้งจมูกของคิทซึเนะสามารถดมตามกลิ่นของเจนได้อีกด้วย และไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอะไรมากนักเพราะในตอนนี้คิทซึเนะมีความรับผิดชอบขึ้นมากทีเดียว



ทั้งสามค่อย ๆ เดินผ่านลานกว้างตัดไปยังอาคารระบบโดยค่อนข้างใช้เวลาในการฟังเพลงที่บรรเลงอยู่รอบ ๆ เพลงที่เด็กสาวสองคนร้องไปนั้นเพิ่งจบลงไป ผู้ชมที่ยืนดูอยู่ปรบมือให้รวมทั้งพวกเจน ถึงแม้ทั้งสองจะแค่ใช้หน้าต่างระบบเปิดเพลงจากนอกเกมแล้วร้องตาม แต่ทั้งคู่นั้นร้องได้ไพเราะมากจริง ๆ จึงทำให้ผู้คนที่ยืนชมรวมไปถึงพวกเจนและนักดนตรีคนอื่นที่กำลังรอคิวอยู่ยอมรับในน้ำเสียงของพวกเธอ



พวกเจนเดินผละออกมาจากลานกว้างในขณะที่วงดนตรีวงต่อไปกำลังเริ่มบรรเลง เจนเริ่มมองเห็นมุมที่สวยงามของเมืองแห่งนี้มากขึ้นเมื่อได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา ครั้งนี้เธอเริ่มที่จะยอมรับตัวเองมากขึ้นในสิ่งที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วเธอก็นึกไปถึงอาจารย์หมิงเต๋อที่เคยบอกกับเจนเอาไว้ให้ยอมรับตัวเองให้ได้ ในตอนนั้นเธอยังไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่าเธอกลัวการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่อาจารย์กลับสามารถมองเห็นถึงความรู้สึกของเจนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจนตั้งมั่นเอาไว้ในใจกับตัวเองว่าหลังจากช่วยอามีร่าได้แล้วอยากจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์หมิงซักครั้ง ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะไอเจอตัวจริงของเขาด้วย



พวกเจนตรงกลับไปที่อาคารระบบที่อยู่ในส่วนที่ธุรกิจ แต่เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออยู่มากเจนจึงตัดสินใจที่จะเดินอ้อมไปยังส่วนของที่พักอาศัยของชาวเมืองดูเพราะเธอไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วว่าที่แห่งนี้เป็นยังไง



ส่วนที่พักของชาวเมืองนั้นคล้ายกับหมู่บ้านธรรมดาที่อยู่นอกเกมมาก บ้านแต่ละหลังถูกแบ่งเป็นตรอกเป็นซอยอย่างเป็นระเบียบ บ้านบางหลังก็ตั้งแยกออกมาจากบ้านหลังอื่นทำให้มองเห็นเลยว่าบ้านนี้ต้องมีเงินอยู่พอสมควร นอกจากนั้นในที่แห่งนี้ยังมีร้านค้าขายของต่าง ๆ อาทิเช่นอาหารสด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือพืชผัก หรือจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่จะเน้นไปที่ความสบายและความถูกมากกว่าร้านเสื้อผ้าในส่วนธุรกิจ และแน่นอนเสื้อผ้าแบบนี้มีแต่เสื้อธรรมดาเท่านั้น ไม่มีชุดเกราะแต่อย่างใด



"ที่นี่ดูร่มรื่นดีจัง ถึงจะไม่ใหญ่เท่าลานกว้างหน้าปราการก็เถอะ แต่ก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างกันเลย" เจนว่า เธอมองดูเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ ชาวเมืองหลายคนต่างมาพักผ่อนหลังเลิกงานพร้อมกับครอบครัว ภาพตรงหน้านี่แทบไม่ต่างไปจากโลกภายนอกเลย



ตั้งแต่ที่เจนเริ่มเล่นเกมนี้มา มีหลายต่อหลายสิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความอลังการสมจริงของพลังที่ผู้เล่นทำได้ ยังเป็นความสมจริงของเอไอที่แยกไม่ออกไปจากคนจริง ๆ ดูตัวอย่างจากคิทซึเนะจิ้งจอกสาวที่เติบโตขึ้นตามเลเวลของเธอ แถมนิสัยก็ยังพัฒนาขึ้นอย่างเหมือนเด็กสาวจริง ๆ เพียงเวลาแค่เกือบหนึ่งเดือนในเกมที่อยู่ด้วยกันมา เจนมองเด็กสาวคนนี้ไปไม่ต่างจากน้องสาวจริง ๆ ไปแล้ว



หมิงเต๋อเคยพูดกับพวกเจนว่าเอไอในโลกในเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้มีจิตใจเหมือนกัน มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่ต่างจากคนทั่วไป ทำให้ในแต่ละเมืองและหมู่บ้านถึงมีส่วนที่อยู่อาศัยแยกออกมาโดยเฉพาะเลยทีเดียว



แต่ว่าความสงบเช่นนี้มักมีอยู่ไม่ได้นาน เสียงดังเอะอะโวยวายมาจากอีกด้านของสวนสาธารณะเรียกความสนใจของเจน ในหมู่บ้านที่เจนอาศัยอยู่ การส่งเสียงดังแบบนี้หมายความได้อยู่อย่างเดียวนั่นก็คือปัญหา เธอรู้ว่าในเกมนี้ก็คงไม่แตกต่างกันนัก



ทั้งสามคนหันมาสบตากันอย่างรู้ใจและพุ่งไปยังที่มาของเสียงทันที เมื่อไปถึงเจนเห็นชายหลายคนกำลังยืนล้อมเด็กสาววัยรุ่นสองคนอยู่ แต่ที่น่าแปลกก็คือชายเหล่านั้นเจนบอกได้ทันทีจากการแต่งตัวว่าเป็นชาวเมืองเช่นเดียวกับเด็กสาวทั้งสอง แต่ทำไมถึงมาทำตัวเป็นอันธพาลแบบนี้ได้



"ดูสิ เจ้าลาซาสเอาเข้าอีกแล้ว เสียทีที่เป็นผู้ชายกลับทำตัวเป็นนักเลงชอบรังแกผู้หญิง" เสียงของหญิงชาวเมืองคนหนึ่งที่กำลังยืนมองเหตุการณ์พูดขึ้น



เจนหันไปมองก็พบว่าไม่ได้มีแค่พวกเธอเท่านั้น มีชาวเมืองอีกหลายคนต่างมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพวกนักเลงมีจำนวนคนอยู่มาก แถมยังมีอาวุธกันครบมือ ชาวเมืองรอบ ๆ มีแค่ผู้หญิงและเด็กเท่านั้น ส่วนผู้ชายก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเพราะสู้กำลังของพวกนั้นไม่ได้



"คราวนี้เป็นลูกสาวของตาดาริอุสงั้นหรือเนี่ย ถ้าทั้งสองคนถูกเอาตัวไป ตาแกก็ไม่มีคนดูแลน่ะสิ" อีกเสียงด้านหลังของเจนดึง



"คราวก่อนที่โดนจับไปก็เป็นลูกสาวบ้านคีลี พอกลับมาก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดอะไรเลย"



เสียงคุยดังไปมาด้านหลังของเจนทำให้รู้ว่ากลุ่มของนักเลงที่ชื่อว่าลาซาสเป็นคนในเมืองนี้เช่นกันและมีอิทธิพลอยู่มากพอสมควร มีลูกน้องอยู่หลายร้อยคนภายในเมืองนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าไปยุ่ง เมื่อก่อนเคยมีคนไปแจ้งให้กับทางการแล้วแต่ไม่มีการดำเนินเรื่องเพราะมีคนในของแก็งค์กันไม่ให้เรื่องไปถึงเบื้องบน แถมพวกนักเลงก็กลับมาเล่นงานคนที่แจ้งเรื่องจนปางตาย



แค่นี้ก็เกินพอที่จะทำให้เจนตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้นักเลงพวกนี้ได้ทำชั่วต่อไปอย่างแน่นอน เธอยกมือขึ้นจับดาบทำท่าจะเดินออกไปแต่ถูกแจ็คจับรั้งไว้เสียก่อน



"จะทำอะไรของเธอน่ะ" เพื่อนหนุ่มมือปืนกระซิบถาม



"จะออกไปจัดการพวกนั้นไง นายก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ จะปล่อยให้พวกนี้เหลิงต่อไปไม่ได้แล้ว" เจนตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่ถูกรั้งเอาไว้



"แค่นี้ฉันรู้แล้วน่า แต่ว่าถึงออกไปเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ"



"นายหมายความว่ายังไง" หญิงสาวถามกลับ ดวงตาสีแดงจ้องไปที่เพื่อนของเธอด้วยความไม่พอใจ



"กฎของผู้เล่นไงเจน พวกเราทำร้ายเอไอไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงแต่พวกเราออกไปก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาหรอก" โจพูดและเดินเข้ามาขนาบข้างตัวของเจน สีหน้าของเขาเองก็ดูไม่พอใจเช่นเดียวกันแต่กลับทำอะไรไม่ได้เพราะกฎที่ออกขึ้นเพื่อเอาไว้ปกป้องเอไอแท้ ๆ



"เฮ้ย ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้นะไอ้พวกเลว!!" เสียงตะโกนแหบแห้งไร้กำลังดังขึ้น เจนหันไปมองเจ้าของเสียงเป็นชายชราคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามา เขามีดวงตาสีฟ้าเหมือนกับเด็กสาวสองคนที่โดนจับยืนยันคำพูดเขาได้ว่าเขาเป็นพ่อผู้บังเกิดเกล้าของเด็กสาวทั้งสองอย่างแน่นอน



หัวศีรษะล้านไร้เส้นผมและรอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกได้ถึงอายุที่มากแล้ว แต่ดวงตาและรอบแผลที่แขนของเขามันบอกได้อีกอย่างว่าเขายังคงเป็นนักสู้ที่มีไฟอยู่ เมื่อเขามาถึงก็ใช้ไม้เท้าที่คอยค้ำพยุงร่างฟาดเข้าใส่นักเลงที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที



แต่ไม้เท้าย่อมไม่อาจสู้ดาบได้ นักเลงคนนั้นใช้ดาบปัดไม้เท้ากระเด็นหลุดจากมือชายชราออกไปอย่างง่ายดาย ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปบนพื้นเพราะขาดที่ค้ำยัน เด็กสาวทั้งสองร้องตะโกนเรียกชื่อพ่อของตนเสียงดังและสลัดร่างหลุดออกจากมือที่รั้งตัวพวกเธออยู่ ทั้งสองเข้าสวมกอดพ่อของตัวเองที่ล้มอยู่บนพื้น เขาใช้มือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงโอบตัวลูกสาวของเขาเอาไว้และพยายามพูดปลอบ ทั้ง ๆ ที่ในใจเขารู้ดีว่าไม่มีทางรอด เด็กสาวทั้งสองด้วยเช่นกัน



เจนที่เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เธอสลัดมือของแจ็คออกมาและพุ่งเข้าหาพ่อลูกที่นอนอยู่บนพื้นทันที มือบางชักดาบออกจากฝักและชี้ไปยังพวกนักเลงก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง



"พวกแกจะได้ทำเลวครั้งสุดท้ายแค่นั้นแหละ!!" เจนต้องแปลกใจเพราะเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้เป็นเสียงของเธอคนเดียว เมื่อหันไปข้าง ๆ ก็พบกับผู้เล่นอีกคนหนึ่งกำลังยกศรธนูเล็งไปที่พวกโจรเช่นกัน



ผู้เล่นที่ยืนอยู่ข้างเจนเป็นหญิงสาวอายุพอ ๆ กันกับเธอ ผมสั้นเพียงประบ่าทรงบ๊อบเทสีดำเข้ากับดวงตาสีฟ้าเข็มแข็ง แววตาของเธอนั้นดูคล้ายกับเจนมากจนน่าแปลกใจ เธอสวมเสื้อคลุมสีดำที่มีปกคอสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีแดงอีกที สวมด้านล่างเธอสวมกางเกงหนังสีดำแลพรางเท้าบูทดูทะมัดทะแมง



"เธอ..." ทั้งสองหลุดปากออกมาคำเดียวกันอีกเป็นครั้งที่สอง ดวงตาทั้งสองสบกันก่อนจะยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ถึงจะยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม แค่การกระทำก็เพียงพอแล้วสำหรับเจนและหญิงสาวผมสั้นผู้นี้



"ฮ่า ๆ ๆ! ดูซิวะ วันนี้พวกเรามีแขกจากนอกเขตด้วยโว้ย พวกนักผจญภัยอย่างพวกแกหลงทางเข้ามากันหรือไงเนี่ย" ลาซาสพูดขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้ามาหาพวกเจน เขาสวมเสื้อผ้าหรูหราดูมีราคา ดาบที่ถืออยู่ก็น่าเป็นดาบชั้นสูงเลยทีเดียว



"ลูกพี่ ระวัง ดูอาวุธที่พวกมันถืออยู่น่ากลัวออกนะ" ลูกน้องนักเลงคนหนึ่งพูดขึ้น แต่ลาซาสยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า



"เฮ้ย! อย่าไปกลัวสิวะ ไอ้พวกนักผจญภัยพวกนี้มันทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอกโว้ย! เจ้าดีไนน์บอกข้าว่าถ้าหากพวกมันลงมือกับคนอย่างพวกเราล่ะก็จะโดนลงโทษหนัก แค่นี้พวกมันก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราแล้วโว้ย" ลาซาสพูดแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ



เจนถึงกับตะลึงเมื่อชายตรงหนารู้ว่าผู้เล่นอย่างพวกเธอจะโดนลงโทษหากทำร้ายเอไอ ดูท่าทางคนที่ชื่อดีไนน์คงจะเป็นคนให้ข่าวนี้แน่ การที่เขาบอกข้อมูลนี้ได้แปลว่าเขาต้องเป็นผู้เล่นอย่างแน่นอนแต่ทำไมถึงมาร่วมมือกับพวกนักเลง



ในขณะที่กำลังหมดหนทางอยู่นั้นเอง ตรงหน้าของเจนก็มีหน้าต่างแสงเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เจนคนเดียว เมื่อเธอหันไปมองดูหญิงสาวผมสั้นที่อยู่ข้าง ๆ และพวกโจที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นหน้าต่างแสงด้วยเช่นกัน เจนหันกลับมามองหน้าต่างแสงตรงหน้าที่ยังไม่มีข้อความขึ้นมา เพียงครู่เดียว ข้อความสั้น ๆ ที่ทำให้เจนถึงกับยิ้มออกมาได้ก็ปรากฏขึ้น



'คุณกำลังเข้าสู่อีเวนท์ขับไล่อันธพาล ต่อจากนี้คุณจะสามารถทำร้ายเอไอที่เป็นศัตรูได้ แต่ห้ามลงมือจนถึงแก่ชีวิต ทำให้นักเลงทุกคนไม่สามารถสู้ต่อหรือไม่มีนักเลงอยู่ในพื้นที่แล้วอีเวนท์ถึงจะจบลง ขอให้โชคดี'



เจนแสยะยิ้มออกมาแล้วก้าวเท้าออกไปด้านหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเช่นเดียวกับหญิงสาวข้าง ๆ พวกโจเองตอนนี้ก็เดินออกมาจากกลุ่มคนเข้ามาสมทบกับพวกเจนโดยถืออาวุธอยู่ในมือพร้อมสู้



"มาได้จังหวะดีจริง ๆ นะ กว่าจะประกาศก็เล่นเอาเกือบไม่ทันเหมือนกันนะเนี่ย" หญิงสาวผมสั้นพูดขึ้น เหมือนว่าเธอจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอคงเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากกว่าเจนไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะเรื่องประกาศเช่นนี้แม้แต่โจเองก็ยังไม่รู้เพราะไม่มีอยู่บนกระดานข่าวหรือในคู่มือ



"เธอรู้หรอว่าจะมีอีเวนท์แบบนั้นเกิดขึ้น" เจนหันไปถามด้วยความสงสัย หญิงสาวผมสั้นหันมายิ้มให้แล้วตอบคำ



"อื้ม! มีคนอยู่ไม่มากหรอกนะที่รู้เรื่องนี้ การที่ผู้เล่นจะลงมือกับเอไอได้มีอยู่แค่กรณีเดียวคือในอีเวนท์ที่มีเอไอเป็นศัตรู ส่วนมากจะเป็นเอไอที่เป็นโจรป่าหรือนักเลงอะไรพวกนี้ที่พบบ่อย ถ้าลองเล่นเกมนี้ไปซักพักก็จะรู้เองล่ะว่าตอนไหนจะมีอีเวนท์ จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อริน ยินดีที่ได้รู้จัก" หญิงสาวผมสั้นแนะนำตัวเองแล้วยื่นมือเข้ามาหาเจน เธอยิ้มรับแล้วยื่นแขนออกไปจับ



"ฉันเจน ส่วนนี่โจกับแจ็คเป็นเพื่อนของฉันเอง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน" เจนแนะนำตัวเองกับพวกโจให้เพื่อนใหม่ จากนั้นทั้งสองก็หันมาหาลาซาสที่ตอนนี้เขาก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัวเพราะบรรยากาศที่ผิดปกติ



"พวกแกจะทำอะไรน่ะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าถ้าทำร้ายพวกข้าจะโดนลงโทษนะโว้ย!" ลาซาสตะโกนเสียงดัง แต่ในตอนนี้คำพูดของเขากลับไม่มีผลต่อพวกเจนเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามกลับยิ่งเป็นการเชื้อเชิญพวกเจนเข้ามาหาด้วยซ้ำไป



"แจ็ค นายช่วยคุ้มครองสามคนนั้นที ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยสนับสนุนด้วย แต่อย่าให้ถึงตายนะ" เจนว่า



แจ็คควงปืนหนึ่งรอบก่อนจะลั่นไก กระสุนพุ่งตรงไปยังนักเลงที่อยู่ข้าง ๆ ลาซาส โดนกระสุนพุ่งเข้าไปที่ขาจนล้มลงไปบนพื้นท่ามกลางความตกตะลึงของพวกนักเลงและชาวเมืองคนอื่น ๆ



"โทษที นำหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วพรรคพวก" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จากตรงที่เขายืนอยู่สามารถปกป้องดาริอุสและลูก ๆ ไปพร้อมกับจัดการพวกนักเลงด้วยปืนพกในมือ



เจนเห็นดังนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจและหันกลับมาหาลาซาส ดาบคุซานางิในมือขยับเตรียมพร้อมลงมือทุกเมื่อ



"ใช้ธนูแบบนั้นจะสู้ระยะประชิดได้หรือ ถอยออกไปยืนกับไอ้แจ็คดีกว่ามั้ง" โจเดินขึ้นมาขนาบข้างเจนหันไปมองอาวุธในมือของรินและพูดขึ้น



หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาแล้วตอบกลับไป



"ฉันสู้ได้ก็แล้วกันน่า ว่าแต่นายเถอะ เป็นนักเวทตัวบาง ๆ ไปยืนอยู่แนวหลังดีกว่ามั้ง"



ชายหนุ่มที่ได้ยินคำปรามาสก็เร่งพลังสายฟ้าขึ้นทันที ร่างกายของเขาตอนนี้มีประกายไฟฟ้าพุ่งออกมาไม่หยุด เสียงระเบิดของสายฟ้าดังน่ากลัวจนชาวเมืองและพวกนักเลงต้องก้าวถอยหลังออกไป รินที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มเยาะจากนั้นจึงยกศรขึ้นคันธนูเตรียมพร้อมที่จะยิง เช่นเดียวกับเจนที่ตั้งท่าดาบรออยู่แล้ว



เร็วดั่งสายฟ้า ลูกธนูของรินพุ่งออกจาแล่งเข้าใส่ขาของลาซาสล้มลงไปกับพื้นจากนั้นก็ยิงนักเลงอีกคนที่ไหล่เข้าอย่างแม่นยำโดยที่เจนและโจยังไม่ทันได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ



"อ้ากกกก! มัวทำอะไรอยู่วะ! มันมีกันแค่สี่คน รีบไปจัดการพวกมันซี่!!" ลาซาสตะโกนสุดเสียงพร้อมทั้งพาร่างของตัวเองออกไปจากที่ตรงนั้น



พวกนักเลงถึงจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เมื่อหัวหน้าสั่งมาก็ต้องทำตาม อีกอย่าง พวกเขามีอยู่กันร่วมเกือบยี่สิบคน แค่จัดการคนสี่คนมันคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร



แต่นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไปผิดถนัด สายฟ้าพุ่งออกจากมือของชายหนุ่มเข้าใส่พวกนักเลงห้าคนในทีเดียว ร่างทั้งห้าสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนจะล้มลงไปนอนบนพื้นโดยมีควันลอยฉุยขึ้นมา



"โจ! เบามือหน่อย ถึงพวกเราจะสู้กับพวกนี้ได้แต่ห้ามฆ่านะ" เจนร้องเสียงดังเพราะสายฟ้าที่โจปล่อยออกมาดูรุนแรงมาก เธอเข้าไปจับชีพจรของผู้โชคร้ายทั้งห้าก็โล่งอกเพราะแค่สลบไปเท่านั้น



"นี่ล่ะเบาสุดแล้ว แค่เร่งพลังฉันยังใช้พลังเวทมากกวานี้เลย" โจบอก เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้มันไม่พอที่จะสู้ได้เลย แค่ลงมือนิดหน่อยก็ล้มซะแล้ว



เจนลุกขึ้นยืนประจันหน้าพวกนักเลงที่เหลืออยู่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่เมื่อเห็นสายฟ้าของโจก็พากันวิ่งหนีไปไกลหมดแล้ว ที่เหลืออยู่นั้นแค่ทำใจดีสู้เสือเท่านั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดหนีไปหรือไม่เมื่อรู้ว่าหัวหน้าที่พวกเขาสู้เพื่อนั้นหายตัวไปนานแล้ว



เจนพุ่งเขาใส่นักเลงตรงหน้า ดาบยาวตวัดขึ้นด้วยความเร็วสูง เพียงครั้งเดียวก็ตัดดาบหนาที่นักเลงถือให้ขาดเป็นสองท่อนได้ เจนมองผลงานของตัวเองอย่างชื่นใจก่อนที่จะใช้หมัดตะบันหน้าของชายตรงหน้าให้สลบไป



พลังและความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นของเจนในตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งและมั่นใจมากขึ้น ถ้าหากเธอใช้ทักษะเสริมพลังคงจะทรงพลังและเร็วมากกว่านี้อีก เจนอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะใช้ทักษะพลังสถิตร่างเพื่อที่จะดูว่าตอนนี้เธอจะเก่งขึ้นอีกซักแค่ไหน



แต่ในตอนนี้เจนต้องตั้งสติอยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า เธอสลัดความคิดในหัวทิ้งไปก่อน ถึงยังไงเธอก็ต้องมีโอกาสที่ได้ใช้ทักษะพลังสถิตร่างอีกอย่างแน่นอน ตรงหน้าของเจนเหลือนักเลงอยู่สองสามคนที่ตัวสั่นเมื่อเห็นเจนย่างเท้าเข้าไปหา เพียงพริบตาเดียวเจนก็พุ่งตัวเข้าใส่พร้อมกับใช้หมัดซัดหน้าของนักเลงคนหนึ่งจากนั้นก็จับแขนของนักเลงอีกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ล็อกแขนและหักเสียงดังลั่นแล้วชกให้สลบก่อนที่นักเลงคนนั้นจะส่งเสียงร้องซะอีก



นักเลงคนสุดท้ายเห็นว่าเพื่อนของตัวเองไม่หนีไปก็โดนเล่นงานจนหมดแล้ว แถมหัวหน้าของตนดันเผ่นไปก่อนใครเพื่อนจึงรีบวิ่งตามไป เจนปล่อยให้นักเลงคนนั้นหนีไปเพราะยังไงก็ตามเธอก็คิดจะไปลุยถึงรังพวกนั้นอยู่แล้ว เจนหันกลับมาหาพวกโจที่ตอนนี้กำลังพยาบาลชายชราอยู่



เมื่อเจนและรินเดินเข้ามาหาทั้งสามพ่อลูกต่างก็เข้ามาขอบคุณพวกเจนกันยกใหญ่ ชาวเมืองที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เข้ามาหาพวกเธอราวกับเป็นคนดัง หน้าต่างแสงกระพริบที่หน้าของเจน พอเธอเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดูก็พบว่าภารกิจที่แสดงอยู่ว่า 3/1000 ทำให้เจนรู้ว่าภารกิจที่เธอทำนั้นจะต้องช่วยเหลือชาวเมืองที่เป็นเอไอเช่นนี้นี่เอง



"ถ้าหากหมอนั่นหนีรอดไปได้ล่ะก็คนในหมู่บ้านต้องเดือนร้อนแน่ ฉันว่าพวกเรารีบตามไปกันดีกว่า" เจนพูดหลังจากที่ทุกคนผละออกจากกลุ่มคนได้ โดยเฉพาะดาริอุสและลูกสาวทั้งสองยืนยันว่าจะตอบแทนให้ได้ถึงขนาดจะพาไปเลี้ยงข้าวที่บ้าน ดีที่หาข้ออ้างว่ามีธุระจึงรอดมาได้



"ทิศที่หมอนั่นหนีไปเป็นสลัม มีตรอกซอกซอยเยอะมากเหมือนกับรังมด พวกเราเข้าไปมีโอกาสหลงกันได้ง่าย ๆ อีกอย่างป่านนี้หมอนั่นคงวางกับดักเอาไว้รอพวกเราแล้วล่ะ" รินบอก



"ฉันสงสัยว่าทำไมหมอนั่นถึงได้กล้าลงมือแบบนี้ทั้ง ๆ ที่เมืองนี้มีกิลด์หกราชันย์ปกครองอยู่แท้ ๆ แถมยังเป็นคนในเมืองเหมือนกันด้วย สงสัยเอไอก็มีทั้งนิสัยดี นิสัยเลวไม่ต่างจากคนทั่วไปสินะเนี่ย" แจ็คเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย



"ฉันคิดว่าต้องมีผู้เล่นคอยชักใยเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังแน่ ถึงจะเป็นนักเลงแต่คงไม่กล้าทำอะไรถึงขนาดนี้หรอกถ้าหากไม่มีคนคอยให้ท้าย" โจบอกให้เห็นถึงความคิดของเขา



"ฉันได้ยินหมอนั่นหลุดปากชื่อดีไนน์ออกมา อาจจะเป็นคนกุมอำนาจของกลุ่มหรือไม่ก็อาจจะเป็นเบาะแสให้ลองสืบต่อ" เจนว่า ถึงเธอจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นซักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องตามหาลาซาสและคนที่ชื่อดีไนน์ให้เจอให้ได้



"แต่พวกเราคงไปไหนต่อไม่ได้ถ้าหากไม่รู้ว่าที่กบดานของพวกมันอยู่ไหน" รินเอ่ยแล้วจึงพยายามมองหาเบาะแสที่จะชี้ว่าทั้งสองคนที่พวกเธอกำลังตามหาอยู่ที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย



ทันใดนั้นเองร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า ทั้งสองร่อนตัวลงบนพื้นตรงหน้าเจนท่ามกลางความตื่นตะลึงของชาวเมืองและรินที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นทั้งคู่



"พี่เจน เมื่อกี้หนูรู้สึกได้ว่าพี่กำลังต่อสู้อยู่ พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" คิทซึเนะพูดขึ้นและวิ่งเข้าไปหาเจนทันที



"ฉันไม่เป็นอะไรหรอก....จริงสิ คิทซึเนะตามกลิ่นของคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันได้มั้ย" จิ้งจอกสาวได้ยินที่เจนพูดก็มองหน้าของเธอด้วยความสงสัยก่อนจะพยักหน้ารับ



เจนแสยะยิ้มแล้วหันไปหาเพื่อนทั้งสาม ในตอนนี้เธอหาทางตามหารังที่ลาซาสกำลังอยู่ได้ คราวนี้แหละที่ผู้ล่าทั้งหกจะเข้าไปหาถึงรังมด ต่อให้มดมีจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม คราวนี้คงถูกกระทืบจนแบนติดดินแน่ ๆ



จบตอนที่ 24 Be Your Self



------------------------

Tohan-kun
19th January 2014, 12:21
ตอนที่ 25 บุกรังหนู



เขตย่านที่อยู่อาศัยของเมืองคริสตัลเบลแบ่งออกเป็นหลายส่วน ตั้งแต่ที่อยู่ของชนชั้นสูงและพวกที่มีรายได้ค่อนข้างมาก จนไปถึงสลัมที่รวมผู้คนที่เป็นชนชั้นแรงงานเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้เขตนี้กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งของเมืองหรือมีขนาดพอ ๆ กับเมืองซีโปเลยทีเดียว



ในแต่ละส่วนต่างมีสังคมและแหล่งการค้าเป็นของตัวเองไม่ต่างจากส่วนธุรกิจที่รวบรวมสินค้าที่ผู้เล่นต้องใช้เอาไว้ เพียงแค่แหล่งการค้าของเขตที่อยู่อาศัยนี้จะเน้นขายของจำพวกปัจจัยสี่ ส่วนของพวกชุดเกราะหรืออาวุธนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ระดับของอาวุธและราคาจะต่ำกว่าร้านที่อยู่ในเขตธุรกิจมากจนไม่เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วไปเว้นแต่จะไม่มีเงินจริง ๆ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จึงจะเข้ามาซื้อ



สถานที่เริงรมย์อย่างบาร์เหล้าเองก็ไม่แตกต่างเช่นกัน ในเขตสลัมแห่งนี้มีร้านเหล้าอยู่หลายสิบร้านแต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่ร้านเล็ก ๆ ที่เปิดแย่งลูกค้ากันเองในบริเวณใกล้ ๆ เท่านั้น



มีเพียงแห่งเดียวที่เป็นบาร์ขนาดใหญ่และยังตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ไม่ถูกแย่งลูกค้าอีกด้วย ความจริงแล้วไม่มีใครกล้าไปเปิดร้านใกล้ที่บาร์แห่งนั้นต่างหาก เพราะทุกคนต่างรู้ว่าบาร์แห่งนั้นมีเจ้าของที่เป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในสลัมแห่งนี้ หากมีใครขืนกล้าเฉียดเข้าไปแย่งลูกค้า วันต่อมาจะพบว่าร้านเหล้าแห่งนั้นจะถูกพังจนไม่เหลือซากอย่างไร้สาเหตุ แต่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะ 'บาร์แฮงแมน'



ชายหนุ่มในชุดผ้าสีขาวกำลังวิ่งขากระเผกตรงยังบาร์แห่งนั้นด้วยความเร่งรีบ ที่ขาขวาของเขามีลูกธนูปักอยู่จนเลือดสีแดงไหลออกมาจนกางเกงสีอ่อนกลายเป็นสีแดงเลือดดูน่ากลัว ใจของลาซาสเต้นรัวด้วยความกลัวตาย เหงื่อไหลโซมกายแต่เขารู้สึกหนาวไปทั้งตัวเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพยายามวิ่งไปถึงจุดหมายแม้ว่าขาจะเจ็บเท่าไรก็ตาม เพราะทางรอดเดียวของเขาตอนนี้คือการวิ่งต่อไป



เมื่อมาถึงหน้าประตูบาร์ที่มีชายร่างใหญ่ยืนเฝ้าอยู่ เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือดที่ขาของลาซาส แม้ใจอยากจะเอ่ยปากถามแต่เมื่อเห็นสายตาของบุรุษตรงหน้ามองมาเขาก็รีบเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว ลาซาสวิ่งขากะเผลกเข้าไปในบาร์โดยไม่เหลียวไปมองชายร่างใหญ่ที่เปิดประตูให้เลยแม้แต่น้อย



ด้านในบาร์ตกแต่งเหมือนกับบาร์ทั่ว ๆ ไปแต่ฉากหลังของที่แห่งนี้เป็นฐานหลักของกลุ่มนักเลงที่คุมสลัมแห่งนี้อยู่ แถมยังเป็นสถานที่เก็บตัวของชาวบ้านที่โดนลักพาตัวมาอีกด้วย จึงไม่แปลกที่สถานที่แห่งนี้จะมีคนเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา



ในตอนนี้เป็นเวลาเย็นตะวันใกล้จะตกดิน ทำให้ภายในบาร์เริ่มจะมีคนเข้ามาดื่มอยู่ด้านในบ้างแล้ว แต่ส่วนมากก็เป็นคนของลาซาสเองที่มาดื่มที่นี่ แต่เมื่อเห็นหัวหน้าของตนวิ่งหน้าตื่นมา ทุกคนต่างวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว



"ไอ้ดีไนน์มันไปหดหัวอยู่ที่ไหน! เรียกมันออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!" ลาซาสตะโกนเสียงดังแล้วลงไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับลูกน้องคนหนึ่งเอาขวดเหล้าและขวดยาเพิ่มพลังชีวิตพร้อมผ้าพันแผลมาให้



ชายหนุ่มจับยกขวดสุราขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วเพื่อดับความเจ็บปวด สายตามองอยู่ที่แผลและลูกธนูที่ขาของเขาซึ่งเริ่มรู้สึกเจ็บมากขึ้นทุกที ลูกน้องของเขาใช้มีดตัดขากางเกงเผยให้เห็นแผลฉกรรจ์ที่หากไม่ทำการรักษาอาจอันตรายถึงตายได้ เขาหันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาหยิบผ้ามากัดแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น



ความเจ็บปวดพุ่งเข้ามาที่สมองของลาซาสจนอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมานพร้อมกับสูดลมหายใจเสียงดัง ลูกน้องของเขาเพิ่งดึงลูกธนูออกมาจากขาของเขา เลือดที่กำลังไหลอยู่ก็ไหลออกมาเหมือนกับเปิดก๊อกน้ำทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าต้องรีบเทน้ำยาสีแดงลงไปที่แผลก่อนที่เขาจะตายจากการเสียเลือด



แผลที่สัมผัสกับน้ำยาเพิ่มพลังชั้นสูงก็เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ลาซาสยกขวดขึ้นดื่มน้ำยาที่เหลือจนหมดตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้วถึงแม้แผลจะยังไม่ปิดก็ตาม เขาปล่อยให้ลูกน้องใช้ผ้าพันแผลให้เสร็จขณะที่เขามองเห็นคนที่เขากำลังตามตัวอยู่กำลังเดินเข้ามาหา



"ว่าไงลาซาส สภาพดูไม่ได้เลยนะ" เสียงดังมาจากด้านหน้าของลาซาส ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดคลุมสีดำยาวทั้งตัว ดาบเล่มยาวพาดเอาไว้บนหลังท่าทางจะมีพลังทำลายไม่น้อย ข้างหลังของเขามีพรรคพวกอีกสามคนยืนอยู่ ทุกคนต่างแสดงอาวุธบ่งบอกถึงอาชีพของตนอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นธนู โล่กับขวาน และสุดท้ายคือคทาเวท ทุกคนต่างสวมชุดคลุมดำจนเรียกได้ว่าไม่ต้องถามถึงกิลด์ที่สังกัดเลย



"ว่าแต่แกไปโดนอะไรมากันล่ะเนี่ย" ดีไนน์ถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสแสร้งอย่างจัดเจน



ลาซาสได้ยินดังนั้นถึงกับเลือดขึ้นหน้า เขาจะลุกขึ้นไปโวยใส่แต่ความเจ็บปวดที่ขาของเขายังคงเหลืออยู่ทำให้ต้องกลับลงไปนั่งทีเดิมอีก ทำได้เพียงแค่หันไปมองอย่างแค้นใจ



"ไหนเจ้าบอกว่าพวกนักผจญภัยแตะต้องพวกข้าไม่ได้ ดูที่ข้านี่! ดูว่าข้าโดนอะไรมา!" ลาซาสตะโกนเสียงดังแล้วโยนลูกธนูใส่ แต่ดีไนน์สามารถยกมือขึ้นรับได้อย่างสบาย ๆ



เมื่อยกลูกศรขึ้นมาดูก็พบว่านั่นเป็นแค่ลูกธนูธรรมดา ราคาถูกที่หาซื้อได้ตามร้านขายอาวุธทั่วไป ถึงลักษณะของอาวุธจะบอกอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับตัวเจ้าของ แต่ดีไนน์ก็ฟันธงไปแล้วว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องกังวล



"แกมันเป็นคนโชคร้ายเอง ลาซาส เล่นขนคนไปเยอะขนานนั้นคงทำให้เกิดอีเวนท์อะไรเข้าแน่ บางทีถ้าแกพากันไปไม่กี่คนตามที่ฉันบอก เรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้" ดีไนน์บอกคณะใบหน้าของเขายิ้มกริ่ม



ในตอนแรกเขาก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่มีผู้เล่นทำร้ายเอไอได้โดยไม่มีความผิด แต่เขาก็คิดได้ทันทีว่านี่อาจจะเป็นข้อมูลที่มีค่ามหาศาล หากเขานำไปแจ้งให้พวกระดับสูงของกิลด์ล่ะก็ เขาจะต้องได้เลื่อนขั้นอย่างแน่นอน แต่พอคิดไปคิดหา หรือว่าเขาจะเอาข้อมูลไปขายเอาเงินดี ไม่ว่าทางไหน เส้นทางของเขาก็มีแต่กลีบกุหลาบทั้งนั้น



"เรื่องนั้นช่างมันก่อน พวกนั้นกำลังตามข้ามา เจ้ากับคนของเจ้ารอดักจัดการพวกมันซะ พวกมันเองก็มีอยู่สี่คนแต่อาจจะพาพวกชาวบ้านมาด้วยก็ได้ ระวังให้ดี" ลาซาสบอกแล้วกวักมือเรียกให้พยุงตนเองก่อนที่จะเดินไปด้านหลัง



ไม่มีเสียงตอบจากดีไนน์ เขายืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งลาซาสเดินหายลับไปแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาที่ลาซาสนั่งอยู่เมื่อครู่ คนในกลุ่มของเขาคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหู



"เอายังไงดีหัวหน้า พวกผู้เล่นที่กำลังมาอาจจะเป็นพวกกิลด์หกราชันย์ก็ได้นะ"



ดีไนน์แค่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้องคนนั้น



"ไม่ต้องกลัวไปหรอก ดูจากลูกธนูที่ใช้ก็รู้แล้วว่าเพิ่งออกมาจากเกาะเริ่มต้นได้ไม่นาน แถมคนไร้ฝีมืออย่างลาซาสยังหนีมาได้แบบนี้คงมีระดับไม่ได้สูงมาก ขนาดมันเองก็น่าจะมีระดับไม่มากไปกว่าหกสิบหรือเจ็ดสิบเลย พวกเราเลเวลเก้าสิบกันทุกคนแล้วนะโว้ย จะไปกลัวอะไร"



"โอ้โห ดูแค่อาวุธก็บอกได้ถึงขนาดนี้ สมกับที่เป็นหัวหน้าจริง ๆ" ลูกน้องอีกคนหนึ่งพูด ดีไนน์ยิ้มกว้างแล้วยกขวดเหล้าของลาซาสที่วางอยู่ขึ้นดื่ม



"ให้พวกมันมา! งานนี้ฉันจะปิดประตูตีแมวให้ดิ้น!"





"อยู่ในรูลึกแบบนี้หาตัวยากอย่างกับหนูจริง ๆ ถ้าหากไม่ได้จมูกของคิทซึเนะช่วยคงอีกนานแน่กว่าจะหาเจอ" เสียงของรินดังขึ้น ตอนนี้เธอและพวกเจนอยู่นอกหน้าต่างในตรอกด้านนอกบาร์ ในเวลายามโพล้เพล้อาทิตย์จะใกล้ตก การที่คนหกคนรวมกลุ่มกันอยู่เช่นนี้ดูไม่น่าแปลกเท่าไหร่ พวกเธอจึงไม่ได้เป็นจุดสนใจของคนทั่วไปนัก



คิทซึเนะที่ได้ยินคำชมก็ยิ้มเผยฟันขาว หางของเธอส่ายไปมาบอกให้รู้ว่าดีใจกับคำชมแค่ไหน ครั้งนี้เธอดูกระตือรือร้นที่จะสู้มากเลยทีเดียว ในตอนแรกที่คิทซึเนะหาแหล่งกบดานของลาซาสพบก็เกือบจะใช้เพลิงจิ้งจอกเผาอาคารทั้งหลังไปแล้วหากจนไม่ห้ามเอาไว้ก่อน ซึ่งมั่นใจแน่นอนเลยว่าคงไม่ได้มีแค่บาร์แฮงแมนอย่างเดียวแน่ที่จะโดนเผา



"แต่นี่มันเหมือนกับในหนังเลยนะ พวกเราตามโจรมาที่กบดานอยู่ในบาร์ ไอ้เจ้าพวกนี้ทำตามแบบฉบับสมกับเป็นตัวร้ายจริง ๆ" แจ็คพูด



"ขมวดคิ้วจนจะพันกันแบบนั้นมีอะไรงั้นหรือ เจน" โจถามเมื่อเห็นเพื่อนสาวเพ่งมองเข้าไปด้านในบาร์จนแทบจะเอาหน้าไปแนบกับหน้าต่าง เมื่อมองตามไปเขาก็เห็นเพียงแค่ชายสี่คนจากกิลด์พิฆาตราชาที่อยู่ในชุดคลุมสีดำกำลังคุยกันอยู่



"ฉันว่าฉันเคยเห็นไอ้พวกนี้ที่ไหนน้า...โดยเฉพาะคนที่สะพานดาบยาวคนนั้น ฉันรู้สึกคุ้นตามากเลย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก" เจนบอก เธอพยายามคิดทบทวนความจำแต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็เห็นแค่ภาพลาง ๆ จนสุดท้ายเจนก็เลิกสนใจเพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ



"พวกเราตามมาเจอพวกนี้แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อ" แจ็คถามแล้วหันไปมองเจน



"ฉันว่าพวกนี้คงต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือพวกเราอยู่ ขืนเข้าไปโต้ง ๆ แบบนี้คงได้แลกหมัดกันวุ่นวายแน่" เจนพูดแล้วหันไปหารินที่อยู่ข้าง ๆ



"ไอ้เจ้าพวกนี้ฉันว่าไม่น่าจะเกินฝีมือพวกเราหรอก ฉันว่าพวกเรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะรับมือพวกนักเลงที่อยู่ด้านในยังไง" รินพูดแล้วหันไปหาคิทซึเนะ



"หนูได้กลิ่นของมนุษย์อยู่หลายคนข้างใน แต่พี่เจนบอกว่าห้ามทำอันตรายพวกนั้นถึงตายแบบนี้จะลำบากนะ สู้ทำให้พวกนั้นสลบไปเลยไม่ดีกว่าหรือคะ" จิ้งจอกสาวว่าแล้วหันกลับไปหาโจที่ในตอนนี้ทุกคนต่างมองไปที่เขาเป็นสายตาเดียว



"ถ้าหากพวกนั้นคิดจะใช้บ้านของตัวเองเป็นกับดักแล้วล่ะก็ พวกเราก็มาทำให้แน่ใจว่าเจ้าพวกนั้นคิดผิดแล้วว่าบ้านของมันปลอดภัย ให้มันรู้กันไปว่าใครมันจะแน่ไปกว่ากัน" โจเอ่ยพร้อมกับแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์จากนั้นก็ก้มลงไปมองฟีบีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



"หนูหิวแล้วอ่ะ เมื่อไหร่จะถึงเวลากินข้าวหรอ"







พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้พวกเจนเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ตามแผนที่โจวางเอาไว้ เจนและรินจะบุกเข้าไปด้านหน้าตรง ๆ ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองจะต้องเจอเข้ากับกับดักถ้าหากว่ามี



ตอนแรกโจคิดจะเป็นคนที่เข้าไปประตูหน้าพร้อมกับเจนแต่รินยืนยันว่าตัวเธอเองนั้นมีระดับสูงกว่าทุกคนแต่ไม่ได้บอกว่าเท่าไหร่ พอเจนลองใช้ทักษะตรวจสอบดูกลับบอกว่าไม่สามารถตรวจสอบได้ พอลองถามนักธนูสาวดูก็จึงได้รู้ว่าเธอเองก็มีไอเท็มปกปิดสถานะเช่นเดียวกับที่แจ็คให้กับเจนเอาไว้ แต่เป็นอะไรนั้นเธอไม่ได้พูดออกมา



เมื่อเห็นว่ารินยืนยันที่จะบุกทางประตูหน้าโจจึงไม่ได้คัดค้าน แม้ทุกคนเพิ่งจะรู้จักกันได้มาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็สามารถเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้พวกเจนปกติจะเป็นพวกที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้วถ้าไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงมาก่อน เหมือนกับที่เจนสนิทกับพวกเสือซ่อนลายภายในเวลาอันรวดเร็ว ทว่ากับรินนั้นมันต่างออกไป



เพียงแค่แรกสบตากัน เจนรู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างที่ตัวเธอมีเหมือนกับริน และสิ่งนั้นทำให้เจนรู้สึกได้ทันทีว่าสามารถเชื่อในตัวของหญิงสาวคนนี้ได้



ทั้งสองคนยืนรอเวลาที่โจได้บอกเอาไว้ ในอีกไม่กี่นาทีทุกคนจะเข้าประจำตำแหน่งและเริ่มดำเนินแผนการทันที หน้าต่างแสงเด้งขึ้นมาที่หน้าของเจนและรินเพื่อเตือนว่าถึงเวลาที่ได้ตั้งเอาไว้แล้ว ทั้งสองพยักหน้าให้กันก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปที่บาร์แฮงแมนทันที







ชายร่างใหญ่มองเห็นร่างของหญิงสาวผมสั้นกับชายหนุ่มร่างเล็กคล้ายกับผู้หญิงกำลังเดินตรงเข้ามาหา เขาเป็นคนยืนเฝ้าประตูมาหลายปี จำหน้าทุก ๆ คนที่ผ่านประตูนี้ไปได้หมดและรู้กฎว่าคนที่จะผ่านเข้าไปด้านในต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าของเขาหรือลาซาสซะก่อน



จากเครื่องแต่งกายแล้วเขารู้ทันทีว่าทั้งสองคนเป็นนักผจญภัย และมีนักผจญภัยแค่สี่คนเท่านั้นที่ลาซาสอนุญาตให้ผ่านเข้าไปได้ซึ่งทุกคนต่างก็อยู่ข้างในเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ทั้งสองคนอาจจะเป็นกำลังเสริมที่นักผจญภัยด้านในเรียกเข้ามา แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะปล่อยให้เข้าไปโดยไม่มีคำอนุญาตจากหัวหน้าของเขาอย่างเด็ดขาด ถึงแม้มันอาจจะทำให้เขาถูกตำหนิก็ตาม



"ไง พี่ชายตัวโต ขอให้พวกเราผ่านทางเข้าไปด้านในหน่อยได้มั้ย" ชายหนุ่มถาม เสียงของเขาเล็กซะจนคล้ายกับผู้หญิงแต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนเฝ้าประตูอย่างเขาจะต้องไปสนใจ



"ไม่มีคำอนุญาตจากท่านลาซาส ไม่ว่าใครก็ผ่านตรงนี้ไปไม่ได้" ชายร่างใหญ่พูดเสียงดังพร้อมกับเดินหน้าเขามาขว้างประตูเอาไว้ แต่หนุ่มสาวทั้งสองคนยังคงเดินหน้าเข้ามาเหมือนกับไม่ได้ยินที่เขาพูด



"บอกแล้วไงว่าพวกเจ้าผ่านเข้าไปไม่ดะ-"



โครม!!



ร่างยักษ์ของชายตรงหน้าลอยกระเด็นเข้าไปชนกับประตูบานใหญ่เข้าอย่างแรงจนพังจากพลังหมัดของเจน ร่างของเธอเปล่งประกายแสงสว่างออกมาก่อนจะค่อย ๆดับไประหว่างที่ทั้งสองคนกำลังก้าวผ่านร่างใหญ่ของคนเฝ้าประตูที่สลบเหมือดอยู่บนพื้น



"โห หมัดแรงน่าดูเลยนี่นา ว่าแต่ท่าทางดูทะมัดทะแมงเหมือนกับว่าเคยมีประสบการณ์เลยนะ" รินถามน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นเล็กน้อย



"ตอนอยู่นอกเกมฉันเคยโดนหาเรื่องบ่อย ๆ ทำให้พอรู้รับมือเรื่องพวกนี้ได้น่ะ แล้วไอ้เมื่อกี้ถ้าฉันไม่ได้ใช้ทักษะเสริมพลังก็คงทำไม่ได้หรอก ตัวใหญ่ขนาดนี้" เจนกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก



เมื่อทั้งคู่เดินเขามาด้านในอาคารก็ถูกล้อมแทบจะในทันที นักเลงหลายสิบคนต่างดาหน้าเข้ามาด้วยอาวุธครบมือ บนชั้นลอยมีปืนและธนูอย่างละสองคนเล็งมาที่เจนและริน แต่ทว่าทั้งคู่กลับยืนเฉย ไม่แสดงออกใด ๆ ทั้งสิ้น สายตาของเจนจ้องมองไปยังชายทั้งสี่ในชุดคลุมสีดำตรงหน้าตาไม่ขยับ



"มาถึงกันจนได้นะ ปล่อยให้รอจนจะเป็นง่อยแล้วนะเนี่ย" ชายผู้สะพายดาบยาวที่กลางหลังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเบื่อหน่าย ทั้งสีหน้าและท่าทางทำให้เจนมั่นใจว่าชายคนนี้ต้องเป็นดีไนน์อย่างแน่นอน



"พวกแกเองสินะที่เป็นคนเล่นงานเจ้าลาซาสซะขาเดี๋ยงแบบนั้น แต่ว่าหมอนั่นก็มีระดับเท่ากับผู้เล่นเลเวลห้าสิบเท่านั้นเอง จะแพ้ให้พวกแกมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่" ดีไนน์เอ่ยพลางค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาหาพวกเจน



รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของหมอนี่ทำให้เจนรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย แต่ทั้งเสียงและท่าทางกลับทำให้เจนรู้สึกคุ้นหูคุ้นตายิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ยังทำให้เจนนึกออกไม่ได้ว่าเคยเจอดีไนน์ที่ไหนมาก่อน



"ยอมแพ้ซะแล้วออกไปจากเมืองนี้ด้วย ไม่ว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาอย่างแกวางแผนอะไรเอาไว้ก็ตาม ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัวก็ล้มเลิกแผนนั้นลงซะ" เจนพูดเสียงนิ่ง สิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้จากการต่อยตีก็คือ หากจะเป็นฝ่ายมีชัย จะต้องเป็นคนที่กุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ในมือให้ได้!



สิ่งที่เจนทำลงไปแม้จะดูห่ามไปบ้าง แต่นั่นจะสร้างความสงสัยให้แก่ฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย ไม่ว่าพวกดีไนน์จะมีกับดักหรือทีเด็ดอะไรซ่อนอยู่อีกหรือไม่ เขาจะระวังตัวมากขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเห็นท่าทีของเธอที่เข้ามาด้วยจำนวนคนที่น้อยกวาแล้วยังพูดได้อย่างไร้ความลังเลเช่นนี้ แล้วไม่ว่าเขาจะวางแผนอะไรอยู่ ทุกอย่างก็จะถูกชะลอลงจากเหตุการณ์นี้



ท่าทางของดีไนน์ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นหายไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เจนทำลงไปนั้นได้ผล พวกนักเลงคนอื่น ๆ เองก็มองเลิ่กลั่กกันไปมาไม่กล้าเข้าไปโจมตี ชายในชุดคลุมอีกสามคนด้านหลังเองก็เอียงหัวปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี



"แล้วถ้าหากยังไม่ยอมล่ะก็ พวกเราคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะไปบอกให้กิลด์เจ้าถิ่นที่นี่รู้ว่าพวกแกกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ตรงนี้ พวกแกคงไม่อยากให้กิลด์หกราชันย์มาไล่กระทืบแกที่นี่ใช่มั้ยล่ะ" รินพูดด้วยน้ำเสียงสูง ส่อเป็นนัยว่าพวกเธอนั้นเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าเพราะต่อให้พวกดีไนน์ฆ่าพวกเจนได้ ก็ไม่สามารถตามไปจัดการพวกเจนที่จุดเกิดได้ นั่นก็เพราะที่เมืองคริสตัลเบลแห่งนี้มีการวางยามรักษาความปลอดภัยที่จุดเกิดของเมืองเอาไว้อย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาดักฆ่าผู้เล่นตอนเกิดในเมืองแห่งนี้



เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวเท่านั้นสีหน้าของดีไนน์ก็เปลี่ยนไปทันที แววตาของเขาจ้องเขม็งมาที่พวกเจนอย่างมุ่งร้าย ดาบที่อยู่กลางหลังถูกชักออกมาและชี้ไปที่รินที่ยังคงตีหน้ายิ้มกวนโมโหโดยไม่ทะทกสะท้านกับท่าทีของดีไนน์เลยแม้แต่น้อย



"พูดจาระวังปากหน่อย ถ้าแค่ทำให้พวกแกนอนหมอบอยู่ที่นี่แล้วค่อยลอบพาออกจากเมืองมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกิลด์พิฆาตราชาหรอกนะ แต่กับแค่คนสองคน ฉันคนนี้เพียงคนเดียวก็จัดการอยู่แล้ว"



แววตาของดีไนน์กลับมาฉายแววประกายเจ้าเล่ห์อีกครั้ง คราวนี้เขาหันไปสั่งให้พวกนักเลงเข้ามาจัดการพวกเธอแทน ถึงตอนนี้พวกเจนจะสามารถจู่โจมพวกนักเลงที่เป็นเอไอได้ แต่พวกเธอไม่สามารถฆ่าคนพวกนี้ได้และทำให้ต้องละความสนใจที่ตอนนี้เพ่งไปที่พวกดีไนน์เพื่อต่อสู้ และนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสที่จะให้ดีไนน์ลงมือจัดการกับเธอ ทว่านั่นก็เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนของโจมาตั้งแต่แรกแล้ว



ปัง!!



เสียงปืนดังลั่นอย่างไม่รู้ที่มา แต่เจนและรินยังคงยืนหยัดอย่างมั่นใจขณะที่กระสุนพุ่งเข้ามาจากด้านหลังของทั้งสองเข้าใส่ขาของนักเลงคนหนึ่งลงไปนอนบนพื้นพร้อมกับพวกนักเลงต่างวิ่งหนีกันอย่างอลหม่าน



รอยยิ้มของดีไนน์หายไป แทนที่สีหน้าตื่นตะลึงเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาเยือนไม่ได้มีเพียงแค่สอง



ปัง!!



เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด คราวนี้มันไม่ได้มีเป้าหมายไปที่นักเลงคนไหนเพราะพวกนักทุกคนต่างพากันวิ่งอุตลุดไม่สนใจพวกเจนอีกต่อไป แต่เป้าหมายของกระสุนคราวนี้คือหัวของผู้สะพายดาบยาวไว้ที่กลางหลัง!



แก้ง!



เจนกำหมัดแน่นอย่างน่าเสียดายเพราะกระสุนที่แจ็คยิงมานั้นยิงถูกโล่ขนาดใหญ่จากชายร่างยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังที่ยกเข้ามากันเอาไว้อย่างทันท่วงที และเธอก็มั่นใจว่าพรรคพวกของเธอที่กำลังแอบซุ่มอยู่ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวยืนอยู่เฉย ๆ เพราะชายชุดดำตรงหน้าทั้งสี่คนเตรียมพร้อมที่จะเข้าต่อสู้แล้ว



"แกไปตามล่าไอ้มือปืนนั่น รีบฆ่ามันให้ได้ก่อนที่มันจะมีโอกาสยิงปืนนัดต่อไปอีก!" ดีไนน์หันไปสั่งชายชุดดำที่ใช้ธนูเป็นอาวุธ เขาพยักหน้ารับก่อนที่จะวิ่งกระโดดพุ่งทะลุหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว



เมื่อเห็นว่าหนึ่งในเป้าหมายหนีหลุดรอดไปได้ เจนก็รีบติดต่อไปยังเพื่อนของเธอผ่านช่องสื่อสารกลุ่มทันที



"แจ็ค! กำลังมีคนเข้าไปหานายแล้ว ท่าทางฝีมือจะไม่เบาเลย"



"รับทราบแล้ว จากนี้ต่อไปคงจะช่วยยิงสนับสนุนไม่ได้แล้ว ระวังตัวด้วยนะ" เสียงของแจ็คตอบกลับมา



"ฝากบอกคิทซึเนะให้เพลา ๆ มือหน่อยล่ะ อย่าให้เธอพลั้งมือเผาเมืองซะนะ" เจนว่า ในตอนนี้เธอเก็บฟีบีเข้าไปไว้ในดาบก่อนเพราะมังกรน้อยยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้แบบจริง ๆ จัง ๆ อย่างคิทซึเนะ ถ้าหากออกมาตอนนี้อาจจะบาดเจ็บได้



ส่วนคิทซึเนะนั้นก็เข้าไปประจำที่อยู่กับแจ็คเพื่อคุ้มกันหากมีคนลอบทำร้ายเขาระหว่างที่กำลังซุ่มยิงอยู่ ดังนั้นเมื่อชายนักธนูในชุดดำได้ออกไปหาตัวมือปืนซุ่มยิงจึงไม่ค่อยทำให้เจนกังวลมากนัก เพราะยังไงก็สองรุมหนึ่ง แจ็คและคิทซึเนะคงเอาชนะได้ไม่ยาก



ทันใดนั้นเองบอลไฟลูกใหญ่ก็พุ่งตรงเข้ามาหาเจนโดยที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว รินทำท่าจะควักธนูออกมายิงสกัดแต่เธอก็ยั้งมือเอาไว้ก่อนแล้วใช้นิ้วขึ้นมาอุดที่หูทั้งสองข้างเมื่อเหลือบไปเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง



ธันเดอร์บลาส!!



ตูม!!!



เสียงตะโกนของโจดังขึ้นแทบจะพร้อมกับเสียงระเบิดรุนแรงจนทำให้ลูกเพลิงที่กำลังพุ่งเช้าใส่เจนกระจายหายไปแทบจะทันที เจนรีบก้มตัวหลบเศษไม้ที่ปลิวว่อนไปทั่วอย่างกับกระสุนปืน เช่นเดียวกับพวกดีไนน์ที่เข้าไปหลบอยู่หลังโล่ของชายร่างใหญ่ได้ทันเวลา มีเพียงรินเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเธอเองก็ยังไม่ถูกลูกหลงจากพลังเวทของโจอย่างน่าพิศวง



"ไอ้โจ! ทำอะไรอย่าให้มันโอเวอร์เสียงดังแบบนี้จะได้มั้ยหา! ขืนอยู่กับนายไปนาน ๆ มีหวังแก้วหูได้แตกหมดพอดี" หญิงสาวในคราบชายหนุ่มตะโกนบ่นเสียงดัง หูของเธอลั่นเอี๊ยดได้ยินเพียงแค่เสียงวิ้ง ๆ เหมือนมีแมลงบินอยู่ในหัว



ชายหนุ่มผู้ที่ถูกกล่าวถึงค่อย ๆ ลอยเข้ามาจากรูระเบิดทำเอาไว้อย่างช้า ๆ ผ้าคลุมสีดำสะบัดไปตามลมอย่างพลิ้วไหวซึ่งโจพยายามลอยตัวอยู่อีกพักใหญ่ถ้าหากเจนไม่บอกให้เขารีบลงมาล่ะก็คงจะลอยอยู่แบบนั้นอีกพักใหญ่แน่เพราะเขาคิดว่ามันเท่ห์



"แหม ตั้งแต่ฉันเปลี่ยนอาชีพมายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ซักที ไหน ๆ ก็จะสู้กันแล้วก็ขอลุยให้เต็มพิกัดหน่อยเถอะ" โจพูดพร้อมกับร่อนตัวลงพื้น



"แต่ถ้าพลังของนายมันทำให้เมืองพังไปครึ่งหนึ่งแล้วจะคุ้มกันมั้ยหะ" เจนโต้หลังจากที่สะบัดหัวให้หายมึนแล้ว



โจยักไหล่ตอบแล้วจึงหันไปหาพวกดีไนน์ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความระมัดระวังเมื่อเห็นพลังเวทที่ไม่ธรรมดาของคนที่เพิ่งมาใหม่ ในตอนนี้พวกเขานั้นเริ่มหวาดหวั่นเพราะนักเวทของพวกเขาเองก็มีพลังที่เทียบกับระเบิดเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงอีกสองคนที่เขามองว่าเป็นพวกไร้ฝีมือในตอนแรก บางทีอาจจะมีฝีมือยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป



"ย..แย่แล้วหัวหน้า ผมนึกออกแล้ว ไอ้หมอนั่นมันที่อยู่ในประกาศตามล่าตัวของกิลด์เรานี่! ชายผมยาวในชุดสีขาวกับดาบคาตะนะสีดำ ผู้เล่นหน้าใหม่ที่จัดการยัยอีกานั่นไง!" นักเวทในชุดคลุมโพล่งออกมาเสียงดัง



ดีไนน์ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว คนที่มีฝีมือเอาชนะนักฆ่าระดับตำนานของกิลด์ได้นั้นไม่ใช่คนที่เขาควรจะตอแยด้วยเลย



"เอาล่ะ สามต่อสามพอดี แบ่งจัดการทีละคนดีมั้ย" รินเดินเข้ามาสมทบแล้วพูดขึ้น เธอมองชายหนุ่มทั้งสามอย่างชั่งใจราวกับกำลังเลือกซื้อของอยู่ยังไงอย่างนั้น



"ฉันขอเจ้านักเวทละกัน อยากจะลองดูว่าเวลาสู้กับนักเวทคนอื่นฉันจะสู้ได้ซักแค่ไหน" ไม่พูดพร่ำทำเพลงโจก็ปล่อยสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างของนักเวทในชุดคลุมกระเด็นไปอีกห้อง แล้วเขาก็พุ่งตามไปทันที



"ส่วนฉันจัดการเจ้านักดาบนั่นเอง ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามหมอนั่นซักหน่อย" เจนบอก จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าหาดีไนน์แล้วฟาดดาบใส่



ชายหนุ่มกัดฟันกรอดแล้วชักดาบออกมากันอย่างรวดเร็ว เสียงดาบปะทะกันดังลั่นแสบหู มือของเขารู้สึกชาแทบจะถือดาบต่อไปไม่ได้แสดงให้เห็นว่าพลังของดาบที่ฟาดมานั้นรุนแรงมาก



ดีไนน์รีบดันดาบของเจนกลับไปอย่างยากลำบากแล้ววิ่งหนีไปทันที แต่แน่นอนว่าเจนไม่มีทางที่จะปล่อยให้เขารอดไปจากเงื้อมมือของเธอได้



รินยืนมองดูเจนวิ่งตามดีไนน์ไปจนลับตาแล้วหันกลับมามองชายร่างใหญ่ที่ยังคงถือโล่ยักษ์และชี้ขวานมาที่เธอเหมือนกับว่าพร้อมที่จะต่อสู้



แม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่ใหญ่โตเป็นอาวุธและแทบไม่เคยพ่ายให้แก่ใคร แต่พอมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนนี้กลับทำให้เลือดในตัวของเขาเย็นเฉียบราวกับกำลังเป็นเหยื่อที่ถูกจ้องจากสัตว์นักล่า ทั้ง ๆ ที่เธอยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ตั้งท่าป้องกันอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับรู้สึกได้เลยว่าหากเข้าไปโจมตีในตอนนี้ล่ะก็ เขาเองจะเป็นฝ่ายที่ถูกจัดการซะเอง



"สุดท้ายก็เหลือแต่นายสินะ เอาเป็นว่าฉันจะพูดก่อนตรงนี้ก็แล้วกัน ถ้านายยอมตอบคำถามฉันแล้วถอนตัวออกจากกิลด์พิฆาตราชาไปอย่างโดยดีล่ะก็ ฉันจะปล่อยนายไปอย่างไร้รอยขีดข่วน...." หญิงสาวกล่าวพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ไม่กล้าแม้แต่จะเดินถอยหลัง ที่น่าแปลกก็คือตอนนี้เธอกำลังทิ้งธนูที่เป็นอาวุธของเธอลงกับพื้น



"แต่ถ้าไม่ล่ะก็...ฉันก็ขอรับรองเลยว่าสิ่งที่แกจะเจอต่อจากนี้มันจะค่อนข้างช้าและเจ็บปวดทีเดียวล่ะ"





แจ็คยกปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นที่เสริมกล้องเล็งระยะไกลขึ้นจากพื้นและชันเข่าเตรียมพร้อมกับศัตรูที่กำลังตรงเข้ามาหาเขา ถึงกระสุนของปืนไรเฟิ่ลเริ่มต้นจะไม่มีวันหมดแต่ก็ยิงไม่รุนแรงเท่ากับปืนไรเฟิ่ลทั่วไป เขาจึงตัดสินใจเก็บปืนไรเฟิ่ลลงแล้วควักปืนพกทั้งสองกระบอกที่เหน็บอยู่ในซองข้างตัวขึ้นมา



"นี่คิทซึเนะ เจนฝากมาบอกให้สั่งลุยได้ ลงมือได้เต็มที่ไปเลยแต่อย่าพลาดไปเผาเมืองเข้าล่ะ" เขาตัดสินใจที่จะพูดโกหกนิดหน่อยเพราดูจากท่าทางของคิทซึเนะแว่บเดียวก็รู้ว่าอยากจะสู้ขนาดไหน ในลักษณะนี้ต่อให้บอกออมมือก็คงไม่ฟังแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้จิ้งจอกสาวลงมือได้เต็มที่ไปเลยดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง...และเขาด้วย



คิทซึเนะพยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งขัน เธอกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ต่อสู้อย่างจริง ๆ จัง ๆ ถึงแม้เจนจะไม่ได้อยู่ดูเธอแต่นี่คือการต่อสู้ที่จะวัดฝีมือของตัวเองและเรียกความมั่นใจให้กลับมาเพื่อที่คิทซึเนะจะสามารถอยู่เคียงข้างกับเจนได้



หลังจากที่เธอเป็นผ่านมาเธอเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องมาตลอดตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรก ถึงแม้มาเอะ..แม่ของเธอ จะไม่ได้ขอให้เจนพาเธอมา คิทซึเนะก็จะหนีตามมาอยู่ดี เธอติดตามเจนมาเพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากเจ้าหมาป่าขนแดง ทว่าหลังจากที่เธอมาถึงเกาะเริ่มต้น หลายต่อหลายครั้งเธอกลับไม่สามารถทำตามความต้องการได้ ซ้ำยังพลาดท่าจนทำให้เจนเป็นฝ่ายที่ถูกช่วยซะเองจนรู้สึกน้อยใจตัวเองที่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่เคียงข้างเจนได้



มาครั้งนี้คิทซึเนะมีพลังสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจนเทียบไม่ติด แต่เธอก็ไม่ประมาท เตรียมเร่งพลังเต็มที่โดยไม่สนใจคำเตือนที่แจ็คพูดทิ้งท้ายเอาไว้เลย



ทันใดนั้นเองกลิ่นหนึ่งลอยมาตามลมเข้าจมูกของจิ้งจอกสาว มันเป็นกลิ่นที่คุ้นจมูกของเธอมากเพราะมันเป็นกลิ่นของเผ่าพันธุ์สุนัขเช่นเดียวกัน แต่เธอบอกได้ว่านี่คือศัตรูเพราะมันคือกลิ่นของหมาป่าขนแดง!



"ศัตรูค่ะพี่แจ็ค กำลังตรงมาจากทางด้านหลังของเราสองตัว" คิทซึเนะลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงดัง ทำให้แจ็คเหลียวหลังกลับไปดูแต่ไม่พบอะไร



"ตัวงั้นหรือ?" ชายหนุ่มถามเพราะเขาแน่ใจว่าที่เจนบอกว่ากำลังมาหาเป็นคนแน่นอน หรือบางทีอาจจะเป็นอาชีพที่สามารถแปลงเป็นสัตว์ได้



"ค่ะ เป็นหมาป่าขนแดงกำลังวิ่งตรงมาหาพวกเราเดี๋ยวหนูจัดกะ..- ระวัง!!" จิ้งจอกสาวตะโกนร้องเสียงดังลั่นเมื่อหันไปหาแจ็ค แต่เธอกลับไปเห็นชายในชุดดำโผล่มาจากไหนไม่รู้กำลังเล็งธนูที่มีลูกศรคมกริบไปที่พี่ชายของเธอ



แจ็คได้ยินเสียงร้องของคิทซึเนะก็รู้ทันทีว่าตนกำลังถูกลอบโจมตี เขาใช้ทักษะอะดรีนาลีน บูธพยายามเคลื่อนตัวหลบแต่ทักษะนี้ทำได้เพียงแค่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ช้าลงเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มความเร็วของตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แจ็คต้องการเพียงแค่หลบให้ลูกธนูไม่โดนจุดสำคัญเท่านั้น เขาเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะรับความเจ็บปวดโทษฐานที่ประมาทเกินไปเอาไว้แล้ว



ลูกศรหลุดจากแล่งและพุ่งเข้าหาตัวของเขาอย่างช้า ๆ แจ็คมองเห็นลูกธนูเคลื่อนตัวเข้าหาเขาทุก ๆ ช็อตแต่ทำได้เพียงเอี้ยวตัวหลบจากกลางอกเป็นแขนขวาเท่านั้น ทันทีที่ลูกศรพุ่งเข้าเนื้อ ความรู้สึกเจ็บปวดก็พุ่งเข้ามาแทบจะในทันที แต่แทนที่ความรู้สึกนี้จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันกลับดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้าเพราะทักษะอะดรีนาลีน บูธที่ยังคงส่งผลอยู่ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ตาย แจ็คคิดปลอบใจตัวเอง



ในที่สุดทักษะก็หมดเวลาลง แจ็คพุ่งถอยหลังตามแรงธนูของชายในชุดคลุมแต่เขาก็ไม่ยอมโดนยิงเฉย ๆ แน่ ทักษะลางสังหรณ์มือปืนถูกใช้งานอีกครั้ง มือข้างซ้ายที่ถือปืนพกอยู่เคลื่อนเล็งไปที่ชายในชุดดำโดยอัตโนมัติแล้วลั่นไกจนหมดแมกกาซีนทันทีโดยไม่สนใจว่าจะโดนหรือไม่



โชคร้ายที่กระสุนของแจ็คพลาดเป้าไปทั้งหมดเพราะเมื่อชายในชุดดำปล่อยลูกศรออกไป เขาก็กลิ้งตัวหลบฉากออกไปอย่างทันท่วงทีแล้วหายตัวไปอีกครั้งโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่นิดเดียว



แจ็คเก็บแมกกาซีนเก่าแล้วรีบหยิบแมกกาซีนอันใหม่ขึ้นมาเติมเพราะตอนนี้เขาเหลือแขนอยู่เพียงข้างเดียวที่ใช้การได้ และไม่สามารถใช้ปืนโลกันต์ได้อีกด้วยเพราะแขนซ้ายของเขาไม่มีแรงมากพอที่จะถือปืนที่มีแรงสะท้อนมหาศาลได้ จึงเหลือปืนพกเพียงกระบอกเดียวที่เขาใช้ได้ แต่เป็นยากที่เขาจะจัดการกับศัตรูที่มีทักษะการพรางตัวเช่นนี้



ทางคิทซึเนะเองก็ตกใจกับการปรากฏตัวของชายชุดดำเช่นเดียวกัน เธอได้กลิ่นของหมาป่าขนแดงสองจุดที่กำลังเข้ามาเรื่อย ๆ ได้อย่างแม่นยำแต่กลิ่นของผู้ชายคนนั้นเธอกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเขามาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของแจ็คก็ยังไม่ได้กลิ่นเหมือนกับว่าเขาไม่อยู่ที่ตรงนั้น แสดงว่าเขามีทักษะพรางตัวอยู่ในระดับที่สูงมากจนจิ้งจอกสาวจับไม่ได้



ตอนนี้คิทซึเนะไม่สนใจเรื่องที่ว่าทำไมเธอถึงจับกลิ่นของชายชุดดำไม่ได้ แต่กลับไปพยายามหาว่าตอนนี้ชายคนนั้นไปอยู่ที่ไหนมากกว่า เพราะถ้าหากหมาป่าขนแดงทั้งสองตัวมาถึงที่นี่ล่ะก็คงเกิดเรื่องยุ่งแน่ ๆ



"คิทซึเนะ เธอรีบไปจัดการกับหมาป่าสองตัวนั้นซะ เดี๋ยวฉันจะลุยกับเจ้าหมาลอบกัดนี่เอง" แจ็คบอก คิทซึเนะรีบหันกลับไปมองพี่ชายร่างใหญ่ของเธอทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น



"แต่ว่าพี่บาดเจ็บอยู่นะ! จะให้หนูทิ้งพี่ไปตอนนี้..-"



ปัง! แกร้ง!



เสียงปืนดังโดยที่จิ้งจอกสาวไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นเสียงจากปืนพกของแจ็คยิงใส่ธนูของชายชุดดำที่หลบหายไปอีกครั้ง แจ็ครู้ว่าชายคนนี้กำลังหาจังหวะที่พวกเขาเผลอเพื่อที่จะยิงสังหาร เพราะถ้าสู้กันตรง ๆ พวกแจ็คเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยอย่างแน่นอน แจ็คยกปืนขึ้นเตรียมพร้อมยิงอีกครั้งแล้วหันไปพูดกับคิทซึเนะด้วยความมั่นใจ



"รีบไปเถอะน่า หมอนี่ฉันแค่ใช้แขนข้างเดียวก็จัดการมันได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง" แจ็คส่งยิ้มให้เพื่อให้คิทซึเนะรู้สึกอุ่นใจ



เมื่อเห็นรอยยิ้มของแจ็คและสิ่งที่เขาทำได้เมื่อครู่ก็ทำให้รู้ว่าถึงอยู่ไปตอนนี้ก็รังจะเป็นตัวถ่วงซะเปล่า ๆ ดังนั้นคิทซึเนะจึงตัดสินใจทำตามที่พี่ชายมือปืนของเธอบอกแล้วพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง



แจ็คมองดูร่างสีขาวพุ่งตัวจากไป ทิ้งให้เขาต้องรับมือกับชายชุดดำเพียงคนเดียว ถึงแม้เขาจะพูดไปเหมือนกับว่าจะสู้ได้ แต่ในสภาพที่บาดเจ็บอยู่เช่นนี้มันแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะเอาชนะ



"แกไม่น่าไล่ยัยนั่นไปเลย ไอ้มือปืน ถ้าหากอยู่ด้วยก็มีเพื่อนตายด้วยแท้ ๆ" เสียงเย็นของชายชุดดำดังขึ้นด้านหลังของแจ็ค เขารีบหันหลังไปและยกปืนขึ้นยิงสวนลูกธนูที่พุ่งเข้ามา กระสุนและลูกศรปะทะกันกลางอากาศก่อนที่จะร่วงลงพื้น



แจ็คมองเห็นใบหน้าแสยะยิ้มของชายชุดดำอย่างชัดเจน ถึงอยากจะยิงใส่เท่าไหร่แต่เดี๋ยวก็คงหลบได้อยู่ดี ในตอนนี้อาวุธในมือของเขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย



"เดี๋ยวพอยัยหนูนั่นจัดการหมาป่าทั้งสองตัวของแกเดี๋ยวก็กลับมาช่วยฉันกระทืบแกเองนั่นแหละ" แจ็คตอบ ปืนยังคงเล็งไปที่ชายชุดดำ ในหัวพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้



แทนที่ชายชุดดำจะพูดโต้หรือเงียบไม่ตอบ เขากลับหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างน่าสงสัยจนทำแจ็คอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกไป



"นั่นแกหัวเราะหาอะไรวะ!"



ชายหนุ่มยืนมองชายในชุดดำพยายามที่จะทำให้ตัวเองหยุดหัวเราะอย่างช้า ๆ และหันกลับมาจ้องหน้าด้วยสายตาเหยียดหยามและรอยยิ้ม*****มที่ทำเอาแจ็คถึงกับรู้สึกหนาวอย่างที่ไม่เคยพบมานาน



"ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกแกไปรู้เรื่องหมาป่าของฉันมาจากไหน แต่ถ้าหากแกคิดว่าหมาป่าของอาชีพนายพรานจะเป็นแค่หมาป่าขนแดงธรรมดา ๆ แล้วล่ะก็ ยัยหนูนั่นคงตายไปแล้วล่ะ ไอ้โง่เอ้ย! ฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของชายในชุดดำดังขึ้นอีกครั้ง คำพูดของเขาเกือบจะทำให้แจ็ครู้สึกเป็นห่วงคิทซึเนะขึ้นมา...แค่เกือบน่ะนะ







จิ้งจอกสาวพุ่งตัวตรงไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงไปยังทิศทางที่เธอได้กลิ่นของหมาป่าแดงทั้งสองตัว ด้วยความเร็วระดับนี้และพวกหมาป่าเองก็กำลังตรงเข้ามาหาเธอเช่นกัน คงอีกไม่ไกลแล้วที่เธอจะได้แสดงฝีมือ



ในใจของคิทซึเนะเองก็นึกเป็นห่วงแจ็คอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกผิดที่ทำให้แจ็คได้รับบาดเจ็บกำลังรบกวนจิตใจของเธอ ถ้าหากเธอจับกลิ่นของชายในชุดดำได้คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นด้วยซ้ำ จิ้งจอกสาวได้แต่โทษความอ่อนหัดของตนเองโดยที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะทักษะของอาชีพนายพรานที่ชายในชุดดำมีอยู่ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพวกมอนสเตอร์ทำให้คิทซึเนะไม่สามารถจับกลิ่นได้ แต่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของนักล่าสังหารผู้ที่ไม่เคยพลาดเหยื่อของตนที่ผู้เล่นและเหล่าโจรที่มีค่าหัวต่างหวาดกลัว



ทันใดนั้นเองคิทซึเนะก็หยุดลงบนหลังคาของบ้านหลังหนึ่ง กลิ่นของหมาป่าขนแดงที่กำลังมาคู่กันตอนนี้แยกออกเป็นสองทางแถมยังเร่งความเร็วขึ้นอีก แสดงว่าว่าหมาป่าขนแดงต้องได้กลิ่นเธอแล้วแต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะตอนนี้เธออยู่เหนือลม กลิ่นของพวกหมาป่าขนแดงลอยเข้ามาหาเธอเต็มที่ทำให้คิทซึเนะรู้ตำแหน่งคร่าว ๆ ของหมาป่าขอแดงทั้งสองตัวได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นและยังรู้ตำแหน่งของเธอทั้ง ๆ ที่อยู่เหนือลมเช่นนี้แปลว่าเธอกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



ดวงตาสีเหลืองกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวงระไว พลางมองหาจุดที่จะมองให้เห็นศัตรูได้อย่างถนัดตา บนหลังคาบ้านที่เธออยู่ในตอนนี้ก็สามารถมองเห็นได้แต่เป็นพื้นที่เปิดโล่งมากเกินไป สามารถถูกโจมตีจากทางใดก็ได้ทำให้ยากต่อการป้องกัน จิ้งจอกสาวเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจและเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่จะมาได้ทุกเมื่อ



ทว่าเธอคิดช้าเกินไป กลิ่นที่คุ้นจมูกกลับมาอีกครั้ง ร่างที่มีขนสีแดงดูคุ้นตาปรากฏขึ้นมาด้านหน้าของเธอแต่มันกลับมีรูปร่างแตกต่างไป หัวที่เป็นหัวของหมาป่าขนแดงยังอยู่คงเดิม แต่ร่างของมันเป็นมนุษย์คล้ายกับเสือสมิงที่เธอเคยเจอตอนที่อยู่บนเกาะเริ่มต้น มือขนาดใหญ่พร้อมด้วยเล็บสีดำยาวกำลังพุ่งเข้าตะปบร่างบางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง



จะขยับตัวหลบตอนนี้ก็ช้าเกินไปและถูกโจมตีจากทั้งสองด้านเช่นนี้ก็ไม่มีทางป้องกันได้แน่ ในหัวของจิ้งจอกสาวตอนนี้มีเพียงอยู่ความคิดเดียวที่ดูจะเข้าท่า โจมตีสวนกลับ!



มือไวเท่าความคิด ก่อนที่กรงเล็บจะมาถึงตัวของคิทซึเนะ ร่างของเธอก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างจ้าก่อนที่แรงระเบิดจะดันให้หมาป่าขนแดงรูปร่างมนุษย์ทั้งสองตัวกระเด็นไปคนละทิศละทาง

คิทซึเนะเงยหน้ามองพื้นที่รอบ ๆ ที่เสียหายจากระเบิดเพลิงจิ้งจอกที่เธอใช้ได้โดยบังเอิญ นอกจากตอนนี้จะควบคุมได้หลากหลายพิศดาลมากขึ้นแล้ว พลังทำลายยังสูงมากขึ้นตามอีกด้วย แต่ถ้าเจนมาเห็นภาพบริเวณรอบ ๆ ในตอนนี้คงจะช็อกจนทำอะไรไม่ถูกแน่เพราะบ้านในพื้นที่รอบ ๆ กำลังลุกเป็นไฟ!



ก่อนที่เพลิงจะลุกลามไปมากกว่านี้ จิ้งจอกสาวก็บังคับให้เปลวเพลิงดับลงอย่างง่ายดาย ที่ทำลงไปเพราะไม่ได้นึกถึงคำพูดของแจ็คแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอรู้ว่าหมาป่าทั้งสองตัวนั้นยังไม่ตาย



เพียงแค่ไฟดับลงเพียงครู่เดียว ร่างของมหาป่าขนแดงทั้งสองตัวก็กระโดดขึ้นมาบนหลังคาอีกครั้ง ถึงตัวมันจะส่งกลิ่นเหม็นไหม้และควันลอยอุตุก็ตาม แต่ก็ไร้ซึ่งบาดแผลฉกรรจ์ใด ๆ ขนาดเพลิงธรรมดายังทำให้เสือสมิงดิ้นพล่านถึงตายได้ แต่เพลิงที่เพิ่มระดับขึ้นมาขนาดนี้กลับทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายของมนุษย์หมาป่าขนแดงสองตัวนี้ไม่ได้เลย



แต่นั่นก็ไม่ทำให้คิทซึเนะกังวลเลยแม้แต่น้อย จิ้งจอกสาวยิ้มที่มุมปากแล้วเสกลูกไฟขึ้นมาแปดลูกเตรียมพร้อมสู้เต็มอัตราศึก ถึงจะยังไม่รูว่าเพลิงจิ้งจอกของเธอจะทำอะไรใหม่ ๆ ได้บ้างหรือเจ้าหมาป่าขนแดงนี่กลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่คิทซึเนะก็มั่นใจว่าเธอจะต้องชนะอย่างแน่นอน



"เข้ามาเลย คราวนี้ล่ะฉันจะแก้แค้นกับที่พรรคพวกของแกทำกับฉันเอาไว้ให้สาสม!" คิทซึเนะพูดแล้วจึงเริ่มจูโจมทันที



ลูกไฟสีฟ้าสองลูกพุ่งเข้าใส่หมาป่าทั้งสองด้วยความเร็วสูง แต่ยังช้ากว้าความเร็วของเจ้าหมาป่าที่หลบได้ทันควัน ทว่าแทนที่ลูกเพลิงจะกระทบลงสู่พื้นกลับบินวนกลับเข้ามาโจมตีมนุษย์หมาป่าขนแดงจากด้านหลัง

ตูม!



เอ๋ง! เอ๋ง!



เสียงร้องโหยหวนของสุนัขทั้งสองดังไปทั่วบริเวณ แต่การโจมตีของคิทซึเนะยังไม่หมดแค่นั้น ลูกไฟที่เหลือต่างก็วิ่งเข้าใส่หมาป่าทั้งสองอย่างต่อเนื่องจนเกิดบาดแผลไฟไหม้ทั่วตัวของพวกหมาป่า เมื่อลูกบอกทั้งแปดลูกหมดลงการโจมตีก็ไม่มีต่อ แต่พอมนุษย์หมาป่าเงยหน้าขึ้นมาดูก็พบกับลูกเพลิงสีฟ้าจำนวนมหาศาลและลูกใหญ่กว่าเมื่อก่อนหน้านี้ซะอีกกำลังรอโจมตีระรอกต่อไป



รอยยิ้มเผยให้เขี้ยวเล็ก ๆ บนใบหน้าหวานแฝงความซุกซนอยู่บนใบหน้าของจิ้งจอกสาว หมาป่าทั้งสองจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้ถึงโชคชะตาของตัวเองในอนาคตได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็จะไม่แพ้โดยที่ยังไม่สู้ถึงอย่างที่สุดแน่ และนั้นหมายความว่ามันพร้อมที่สู้แบบไม่สนใจชีวิตของตัวเองแล้ว



ว่ากันว่าเวลาหมาจนตรอกนั้นอันตรายที่สุด และนี่เป็นบทเรียนที่คิทซึเนะยังไม่เคยได้สัมผัส สภาพของพวกหมาป่าทั้งสองในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรเธอได้อีกแล้วในสายตาของจิ้งจอกสาว แต่เธอกำลังจะเรียนรู้ความผิดพลาดของเธอที่ประมาทเกินไป



ในตอนที่คิทซึเนะกำลังชื่นชมกับชัยชนะของตนอยู่นั้นเอง มนุษย์หมาป่าทั้งสองก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเธอด้วยระดับความเร็วที่มันไม่คิดจะยั้งเอาไว้อีกต่อไป ไม่มีแบบแผน ไม่มีการล้อมกรอบ เป็นการบุกเข้าปะทะตรง ๆ แบบเลือดแลกเลือด



คิทซึเนะที่ไม่ทันระวังตัวก็ถูกกรงเล็บยาวข่วนที่ต้นแขนและใบหน้า เมื่อรู้ว่าตัวเองประมาทก็สายเกินไปแล้วเพราะการโจมตีระรอกต่อไปของมนุษย์หมาป่าขนแดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง



จิ้งจอกสาวรีบยกแขนขึ้นกันทันที เธอเร่งพลังเพลิงขึ้นมาป้องกันแบบเมื่อตอนทีระเบิดพลังออกไปครั้งแรกแต่กลับรวบรวมพลังขึ้นมาได้น้อยมาก ยิ่งรีบก็ยิ่งทำให้เธอลนลาน การหายใจเริ่มผิดจังหวะ ในหัวของเธอขาวโพลนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงคำ ๆ เดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว 'ไม่อยากตาย'



ถึงแม้พลังที่คิทซึเนะรวบรวมมาได้จะไม่มาก แต่ก็พอจะป้องกันการโจมตีส่วนมากจากกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าขนแดงได้ เมื่อพวกมันเห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีเป็นใช้เขี้ยวขนาดใหญ่ที่เป็นอาวธที่ทรงพลังที่สุดของพวกมันเตรียมที่จะขย้ำเหยื่อตรงหน้า



กรามที่มีเขี้ยวสีขาวขนาดพอ ๆ กับมือของคิทซึเนะกำลังเข้ามาเตรียมที่จะปลิดชีวิตของเธอ ดวงตาสีเหลืองทองเบิกกว้างด้วยความตกใจ น้ำตาไหลออกมาเพราะความกลัวที่กำลังเข้าจับที่ขั้วหัวใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอพบกับคมเขี้ยวเช่นนี้ ครั้งแรกคือที่ป่าผลิใบซึ่งก็รอดมาได้เพราะได้เจนช่วยเหลือเอาไว้ แต่ในครั้งนี้แม้แต่เจนก็ไม่อาจจะช่วยเธอได้



"ไม่นะ!!" เสียงหวานตะโกนดังลั่น ทันใดนั้นเองก็เหมือนกับว่าเกิดปาฏิหาริย์ ร่างของจิ้งจอกสาวเรืองแสงสีฟ้าขึ้นมาอีกครั้งและครั้งนี้สว่างยิ่งกว่าครั้งก่อนจนเทียบไม่ติด



ตูม!!



เสียงระเบิดดังราวกับฟ้าลั่น แต่รัศมีของแรกระเบิดกลับไม่ไกลไปกว่าบริเวณรอบตัวของคิทซึเนะเลย ร่างของมนุษย์หมาป่าทั้งสองถูกแรงระเบิดอัดกระเด็นไปอย่างรุนแรงจนหมาป่าขนแดงตัวหนึ่งถึงกับระเบิดเป็นชิ้น ๆ



คิทซึเนะนั่งทรุดลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง พลังที่เธอใช้นั้นเป็นพลังที่เธอเองก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีอยู่แต่ไม่สามารถควบคุมมันได้ ทั้งสองครั้งที่ใช้ออกมาเป็นเพราะตกใจสุดขีด มันคือพลังที่สืบทอดผ่านทางสายเลือดของนางพญาจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะ ผู้เป็นมารดา และจะไม่มีจิ้งจอกตนใดจะมีพลังเทียบเท่าคิทซึเนะได้ซึ่งถ้าหากเธอต้องการจะใช้พลังนี้ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนควบคุม



พลังที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ยังคงหลับใหลอยู่ในร่าง ดังนั้นการที่เธอใช้พลังออกมาได้นั้นถือว่าโชคดีสุด ๆ เพราะพลังที่แฝงอยู่ในร่างเช่นนี้มักจะไม่บังเอิญใช้ออกมาได้ติดต่อกันเช่นนี้



ร่างบางค่อย ๆ พาตัวเองเข้าไปหามนุษย์หมาป่าขนแดงที่กำลังกลับสภาพกลายเป็นร่างเดิมของมัน ลมหายใจรวยรินพ่นออกมาจากปากและจมูกอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่แต่ริบหรี่เต็มทีแล้ว ดวงตาของมันปิดลงดูแล้วคงหมดสติไปเพราะอาการบาดเจ็บจากพลังระเบิดของคิทซึเนะ



นัยน์ตาสีเหลืองก้มลงมองร่างขนฟูสีแดงด้วยความสังเวชปนชื่นชม เธอเห็นบาดแผลบนร่างของหมาป่าขนแดงที่ไม่ได้เกิดจากการต่อสู้เมื่อครู่ แต่เป็นบาดแผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ทำให้มันเก่งถึงเพียงนี้ มิหน้ำซ้ำยังถูกทำให้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าถึงแม้คิทซึเนะจะไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างแน่นอน สิ่งต่าง ๆ ที่หล่อหลอมทำให้หมาป่าตัวนี้กลายเป็นนักรบที่ทรนง ไม่ยอมแพ้



การต่อสู้ครั้งนี้ถึงแม้ว่าคิทซึเนะจะเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่เหนือร่างที่โชกเลือดของศัตรู เธอกลับไม่รู้สึกเลยว่าเป็นผู้ชนะแม้แต่น้อย เธออยากจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากหมาป่าขนแดงตัวนี้ด้วยซ้ำไป



จิ้งจอกสาวก้มลงไปหาร่างของหมาป่าขนแดงแล้วทาบมือเอาไว้บนปากแผล ไฟสีน้ำเงินอ่อน ๆ ลุกโชนที่มือบางของเธอ แต่แทนที่ไฟนั่นจะลุกไหม้ร่างของหมาป่าขนแดง มันกลับค่อย ๆ รักษาบาดแผลของหมาป่าขนแดงจนหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้วจิ้งจอกสาวก็ลุกขึ้นยืนและใช้เพลิงจิ้งจอกที่เพิ่งใช้รักษาตัวเองบ้าง



"ไม่รู้ว่าแกจะได้ยินฉันหรือเปล่านะ แต่ฉันอยากจะเจอแกอีกในสภาพที่พร้อมมากกว่านี้ พวกเราจะได้สู้กันอย่างเท่าเทียบให้มันชัดกันไปเลย..." คิทซึเนะกล่าวเหนือร่างของหมาป่าแดงที่ลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้ว ในไม่ช้ามันคงจะสามารถลุกขึ้นมาได้ ร่างบางทำท่าจะเดินกลับไปสมทบกับแจ็คแต่เธอเหลียวหลังกลับมาพูดคำ ๆ หนึ่งก่อนที่จะจากไป



"การต่อสู้หนนี้ แกเป็นฝ่ายชนะ"







แจ็คยังจดจ้องไปยังชายในชุดดำตาไม่ขยับ เขามั่นใจว่าถึงแม้หมาป่าสองตัวที่คิทซึเนะกำลังตรงไปหาคงทำอะไรเธอไม่ได้แน่ สิ่งที่เขาต้องกังวลมากกว่าคือชายตรงหน้าในตอนนี้เพราะถ้าหากเขาหาทางโจมตีให้โดนไม่ได้ล่ะก็ เขานี่แหละที่จะเป็นศพก่อนใครเพื่อน



"เป็นอะไรไป ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือไง" ชายชุดดำถามขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากแจ็ค ปกติแล้วเขาขู่คนอื่นไปแบบนี้มันก็ควรจะต้องมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง แต่กับชายร่างใหญ่ผู้นี้กลับนิ่งเงียบ



เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชายชุดดำ แจ็คก็เลิกคิ้วขึ้นมาเหมือนกับกำลังตกใจ..หรืออาจจะเป็นเพราะเหม่อจนไม่ได้ฟังที่นายพรานตรงหน้าพูด



"หือ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ พอดีไม่ทันได้ฟัง" แจ็คตอบด้วยน้ำเสียงซื่อซะจนน่าหงุดหงิดสำหรับชายชุดดำจนอยากจะง้างลูกศรใส่



"นี่แกหาเรื่องข้าหรือไงวะ! ขอบอกไว้ก่อนนะโว้ย ถึงข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนหัวหน้าดีไนน์ แต่สถิติการฆ่าอยู่สูงที่สุดในกลุ่มนะโว้ย!" ชายชุดดำตะโกนใส่ แต่ถึงอย่างนั้นแจ็คก็ยังคงไม่เปลี่ยนท่าทางหรือมีสีหน้าตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อยจนชายชุดดำได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้นเพราะนึกว่าชายหนุ่มกำลังล้อเลียนตนอยู่



"บอกหน่อยได้มั้ยว่าที่แกพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่ เรื่องหมาป่านั่นน่ะ" แจ็คถาม ทางชายชุดดำที่เห็นแจ็คตอบโต้มาบ้างแล้วจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้วเผลอตอบคำถามไปทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ



"ก็หมาป่าของข้าถูกร่ายเวทให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่าไงล่ะ ทั้งพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นสูงแถมยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะเป็นอมตะ ข้าถึงบอกไงล่ะว่ายัยเด็กนั่นไม่รอดแน่ ๆ แถมคนที่เหลือทั้งนักเวทของพวกข้าก็เป็นมีเวทระดับสูงแล้วยังเป็นคนร่ายเวทให้หมาป่าของข้าเองอีกด้วย แถมพวกแกก็ไม่มีใครที่จะโจมตีทะลุโล่ของบีเกิ้ลได้แน่ และคนสุดท้ายก็คือหัวหน้าดีไนน์ที่ทั้งหน้าตาดี ฉลาดและแข็งแกร่งที่สุด ต่อให้ไอ้คนที่ชื่อว่าเจนก็ทำอะไรลูกพี่ข้าไม่ได้แน่" ชายในชุดดำสาธยายคนในกลุ่มของตนพร้อมอย่างเสร็จสรรพแบบที่แทบไม่ต้องถามต่อเลย



"มีอีกคำถามหนึ่ง นี่แกมีชื่อว่าอะไรงั้นหรือ"



ชายในชุดดำชะงักครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง



"ข้ามีชื่อว่าเอซี ถามทำไมวะ" ชายในชุดดำตอบอย่างง่ายดาย เขานึกว่าแจ็ครู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้จึงคิดจะเจรจา เขาจะยอมเล่นด้วยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วไอ้ตัวโตนี่ก็ต้องตายด้วยธนูของเขาอย่างแน่นอน!



ทว่าใบหน้าของแจ็คกลับไม่ใช่สีหน้าของคนที่กำลังจะยอมแพ้ เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบคำ



"ฉันจะได้รู้ไงล่ะว่าฉันเพิ่งจัดการใครไป!" พูดจบแจ็คก็ใช้มือข้างขวาที่บาดเจ็บโยนอะไรบางอย่างออกด้านหน้าแล้วรีบกระโดดหลบไปข้าง ๆ



ชายในชุดดำหรือเอซีเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่นึกว่าชายตรงหน้าจะมาไม้นี้ เขารีบยกแขนขึ้นกันเต็มที่เพราะว่าสิ่งที่แจ็คโยนมาคือระเบิด เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็ เขาคงบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว



ปุ! ฟู่~~



เสียงระเบิดเล็ก ๆ ดังขึ้นด้านหน้าแล้วต่อด้วยเสียงเหมือนลมรั่วออกจากยางรถ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตรงหน้าของเขาไม่ใช่ระเบิดอย่างที่เขาคิด แต่เป็นระเบิดควันต่างหาก!



"สู้ไม่ได้เลยจะหนีหรือไงวะไอ้ขี้ขลาด! คิดว่าแค่ควันขี้ประติ๋วแค่นี้จะหลบสายตาจากข้าได้หรือไง!" เอซีตะโกนเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดเพราะถูกลูบคมเข้าให้อย่างแรง สายตาดุดันกวาดมองไปทั่วแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา มีแต่ควันสีขาวที่ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ



ไม่มีคำว่าหลบซ่อนอีกต่อไป เอซีก้าวเดินไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะมองหาอริผู้ที่เขาคิดว่ายังคงหลบอยู่แถวนี้และกำลังรอคอยที่จะหาทางจัดการเขาให้ได้ แต่ไม่มีทาง เพราะเขานี่แหละที่จะเป็นคนเห็นมันก่อนและจัดการสั่งสอนให้รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร



ทันใดนั้นเอซีก็เหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่บนพื้นใกล้ ๆ เมื่อเข้าไปดูก็พบว่าเป็นลูกธนูเปื้อนเลือดที่เขายิงใส่แจ็คก่อนหน้านี้ แต่เจ้าคนที่เขายิงใส่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา



"หน่อยแกไอ้ลูกหมา หายหัวไปไหนแล้ววะ" เอซีพูดกับตัวเอง ไม่ได้หวังจะให้มีใครตอบคำของเขา แต่เมื่อมีเสียงดังตอบจากด้านหลังก็ทำให้เขาต้องเหลียวหลังไปมองด้วยความตกใจ



"อยู่นี่ไง"



พลั้ก!!



พูดจบ หมัดหนาก็ชกเข้าไปที่หน้าของเอซีเต็ม ๆ ร่างของชายชุดดำกระเด็นล้มกลิ้งไปบนพื้นก่อนจะนอนนิ่งไม่ได้สติ แจ็คค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาพร้อมกับยกยาเพิ่มพลังชีวิตขึ้นดื่มและราดที่แผลโดนธนูยิงจนหายสนิท



"ดีนะที่ก่อนหน้านี้ไปหาซื้อระเบิดตามที่ลุงไวแอทแนะนำเอาไว้ แต่เอามาใช้กับคนอย่างแกนี่มันไม่ค่อยคุ้มเลย รู้มั้ยว่ามันราคาลูกละพันโกลด์เลยนะเว้ย" ชายหนุ่มกล่าว ดูท่าทางเขาจะติดนิสัยจากเจนเข้าแล้ว



ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ เห็นดังนั้นแล้วแจ็คจึงหยิบปืนขึ้นมาและลั่นไกใส่ร่างของเอซีจนกลายเป็นแสงหายไปแล้วก็มีหน้าต่างแสงเด้งขึ้นมาบอกเขาว่าเงินค่าหัวที่เขาได้จากการจัดการจับเอซีนั้นต่ำกว่ากำหนดที่ภารกิจต้องการ



"เงินรางวัลที่ได้จากหมอนี่แค่สองหมื่นเองงั้นหรือเนี่ย ว้า คิดว่าจะมีค่าหัวมากกว่านี้ซะอีก แต่อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนล่ะวะ" แจ็คพูดกับตัวเองพลางนึกไปถึงคิทซึเนะที่ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง แต่ที่สำคัญกว่าคือพวกโจที่อยู่อีกด้านของสลัม







ตูม!!



เสียงระเบิดของการปะทะจากเวทมนต์ดังสนั่น แรงกระแทกดันให้สิ่งของที่อยู่ใกล้ ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียง



โจและนักเวทในชุดดำอยู่ในส่วนรับรองแขกระดับสูงที่เป็นเหมือนเลาจ์กว้าง เก้าอี้ยาวตั้งอยู่ใจกลางห้องเหมือนกับห้องประชุมนั้นถูกพลังเวทของทั้งสองทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี โดยที่ผู้ร่ายมนต์ต่างยังคงไร้ซึ่งบาดแผล



ในตอนแรกโจคิดว่าการต่อสู้นี้คงจะใช้เวลาไม่นานนัก แต่พอพบว่าเวทสายฟ้าที่เขายิงใส่นักเวทในชุดดำในตอนแรกนั้นกลับไม่มีผลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาคิดว่าคงเป็นเพราะเครื่องป้องกันอะไรบางอยางที่นักเวทตรงหน้าใส่อยู่อย่างแน่นอน



แต่เมื่อเริ่มสู้กันอีกครั้งโจก็พบว่าการต่อสู้ด้วยเวทมนต์นั้นมีเพียงแค่พลังเวทที่สูงกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป ภายในห้องถึงจะกว้างใหญ่โออ่าเหมาะที่จะใช้สู้กัน แต่เวทสายฟ้านั้นเหมาะแก่การต่อสู้ในพื้นที่เปิดกว้างกว่านี้ ในตรงกันข้าม ห้องนี้กลับช่วยให้เวทลูกไฟของนักเวทในชุดดำสำแดงเดชออกมาได้อย่างเต็มที่จนทำให้โจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ



'ทำอะไรมันไม่เลย ห้องเล็กแบบนี้จะใช้เวทอะไรก็ไม่ค่อยถนัด มีเวทอะไรพอที่จะใช้ได้บ้างหว่า' โจคิดในและแล้วเปิดหน้าต่างทักษะออกมาดูพร้อมกับระวังท่าทีของนักเวทในชุดดำด้วย



ไม่ทันจะได้เลือกดูทักษะ นักเวทในชุดดำก็ปล่อยบอลเพลิงมาอีกลูกเข้าใส่โจ ทำให้เขาต้องรีบปิดหน้าต่างลงแล้วยิงสายฟ้าสวนกลับไป



ตูม!!



เสียงระเบิดของบอลเพลิงปะทะเข้ากับสายฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง โจหันหน้าหลบเศษไม้และฝุ่นที่กระเด็นมาตามแรง กลุ่มควันยังคงคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณเป็นโอกาสที่เขาจะคิดหาทางเอาชนะนักเวทชุดดำคนนี้ให้ได้



เวทมนตร์ทุกบทที่โจมีนั้นเป็นเวทสายฟ้า ทำให้รูปแบบการโจมตีนั้นค่อนข้างที่จะจำกัด และยิ่งต้องมาสู้ในอาคารเช่นนี้ทำให้การโจมตีจากเหนือหัวที่เป็นหนึ่งในจุดเด่นของเวทสายนี้ต้องบอดไป



ความจริงแล้วโจจะใช้เวทระดับสูงระเบิดนักเวทนั่นไปเลยก็ได้ แต่ว่าเขาคงจะต้องระเบิดที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กันด้วยแน่ และเขาก็ต้องการที่จะฝึกฝีมือการใช้เวทให้ชำนาญ เพราะหากเขาต้องไปสู้กับนักเวทที่มีเวทระดับสูงแบบเดียวกันล่ะก็ คงจะใช้พลังเวทมากกว่าเข้าสู้คงไม่ได้ ถ้าหากเขาไม่มีหลักการใช้เวทของตัวเองล่ะก็ต่อไปคงลำบากแน่



จากเวทมนตร์ทั้งหมดที่โจเคยใช้ มีเพียงแค่เวทสายฟ้าไร้ลักษณ์ที่พอจะใช้ได้ในที่แคบ ๆ เช่นนี้ แต่ถ้าให้เทียบกับบอลเพลิงนั้นแรงระเบิดที่เกิดขึ้นในห้องปิดอย่างนี้จะรุนแรงกว่าเดิมมาก ถึงกับมีความรุนแรงระดับเดียวกันกับเวทธันเดอร์บลาสทีเดียว



ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางกลุ่มควันที่ยังคงลอยฟุ้ง ลูกไฟขนาดเล็กเท่าลูกปิงปองนับสิบพุ่งทะลุออกมาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจอมเวทเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่นึกว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นไม้นี้ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเวทสายฟ้ามีระยะการโจมตีที่สั้นกว่าจึงทำให้โจไม่เคยคิดจะใช้การโจมตีแบบสุ่มเช่นนี้



ลูกไฟแต่ละลูกถึงจะไม่ใหญ่มากแต่จำนวนก็ทดแทนพลังทำลายที่ขาดไปได้ ถ้าหากปล่อยให้เข้ามาใกล้ล่ะก็มีหวังบาดเจ็บสาหัสแน่ โจรีบเร่งพลังเวทของตนขึ้นมาแล้วปล่อยสายฟ้าออกจากมือโดยพยายามกระจายพลังออกให้กว้างที่สุด หวังจะทำลายลูกบอลเพลิงให้หมดก่อนที่จะมาถึงตัว



บรึ้ม!!



เสียงระเบิดของลูกไฟปะทะกับสายฟ้าดังระงม มีลูกไฟบางลูกหลุดรอดสายฟ้าของโจมาได้และพุ่งเข้าระเบิดใส่ร่างของเขาจนล้มลงไปบนพื้น จอมเวทหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดบริเวณขาที่ลูกไฟเข้าปะทะจนเกือบจะร้องตะโกนออกมา แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ได้เพราะตอนนี้ควันจากระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้นยังสามารถบังตัวเขาได้อยู่ เมื่อหันมาดูพลังชีวิตของเขากลับลดไปไม่มากนัก คงเพราะผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่แน่ ๆ ที่ช่วยป้องกันความเสียหายส่วนมากเอาไว้



ตอนนั้นเองขาของโจก็รู้สึกหนักอึ้งจนขยับไปไหนไม่ได้ ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่ก็ตามขาของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ราวกับว่าขาข้างนี้เป็นหนึ่งเดียวกับก้อนหินไปแล้ว



'นี่มันอะไรกัน เราโดนคำสาปงั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?' โจนึกได้เพียงคำตอบเดียวของสาเหตุที่ทำให้ขาของเขาขยับไม่ได้ แต่เขาไม่รู้ว่านักเวทในชุดดำสาปเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตั้งแต่เริ่มสู้กันเขาก็ไม่ได้เข้าใกล้นักเวทคนนั้นเลยแม้แต่น้อย



"แปลกใจล่ะสิ.. มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เคยมีใครรอดจากคำสาปของซีซ่าคนนี้ได้" เสียงเย็นเอ่ยดังพร้อมกับนักเวทในชุดดำก้าวผ่านกลุ่มควันเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้อยู่ในระยะโจมตีของสายฟ้า คำสาบของซีซ่านั้นลามขึ้นมาถึงแขนของโจแล้วจนทำให้ตอนนี้มีเพียงแต่ตัวกับคอเท่านั้นที่ยังพอจะขยับได้



"แกคงสงสัยล่ะสิว่าโดนคำสาปได้ยังไงกัน... หึหึ ลองคิดดูดี ๆ ซี่" ซีซ่าหัวเราะเยาะอย่างเป็นผู้ที่มีชัย



ชายหนุ่มพยายามคิดทันทีเพราะการที่ซีซ่าเดินเข้ามาใกล้แล้วถามถึงขนาดนี้ หากให้มันเฉลยล่ะก็ศักดิ์ศรีในฐานะจอมเวทคงป่นปี้หมดแน่ ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบไปมองแผลไหม้ที่ขาของเขา ความคิดหนึ่งก็สว่างขึ้นมาในหัวทันที โจกัดฟันแน่นให้กับความโง่ของตัวเองและโทษที่ว่าทำไมตัวเองถึงไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้



"ลูกไฟนั่น...แกใช้คำสาปเสริมเข้ามาในลูกไฟสินะ" โจกล่าว ซีซ่ายิ้มและยกมือขึ้นตบให้เบา ๆ ราวกับเป็นรางวัลที่ตอบคำถามได้ถูกต้อง



"หัวไวดีนี่ ถ้าอย่างนั้นแกคงจะหัวไวพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปใช่มั้ย ไอ้กระจอก" รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของซีซ่าช่างกันประสาทของโจได้ดีจริง ๆ แถมซีซ่ายังเข้ามายืนในระยะประชิดขนาดที่โจจะถ่มน้ำลายใส่ได้ แต่เขาไม่ทำแบบนั้นอย่างแน่นอน การที่ทำแบบนั้นมันแสดงให้เห็นว่าตัวเองจนตรอก



"แกไม่มีทางรอดไปจากที่นี่แน่ คอยดูสิ" โจว่าและพยายามเร่งพลังเวทขึ้นมาเพื่อที่จะให้ตัวเองหลุดออกจากคำสาป แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวเหมือนก้อนหิน



ซีซ่าจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าดิ้นรนด้วยความสะใจ สายฟ้าที่โจมตีเขาในครั้งแรกนั้นแทบจะฆ่าเขาได้เลยทีเดียว ถ้าหากไม่ได้เครื่องประดับที่มีความสามารถป้องกันการโจมตีจากเวทระดับสูงได้หนึ่งครั้งต่อวันที่เขาได้มาจากมอนสเตอร์ระดับบอสล่ะก็คงตายไปแล้ว ดังนั้นเขาไม่ปล่อยให้โจตายง่าย ๆ แน่



"แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นว่ะ เพื่อน ๆ ของแกไม่รอดจากพรรคพวกของฉันแน่ ส่วนไอ้คนที่ชื่อเจนป่านนี้คงโดนหัวหน้าจัดการไปเรียบร้อยแล้วล่ะ" ซีซ่าหัวเราะแล้วเหลือบไปมองประดูสีดำที่อยู่สุดห้องที่เจนและดีไนน์วิ่งผ่านไปก่อนหน้าที่ทั้งสองจะปะทะกัน



"แกคงรู้ใช่มั้ยว่ามีเพียงแค่สามวิธีที่แกจะหลุดออกจากคำสาปได้ อย่างแรกคือฉันเป็นคนปลดคำสาปออกเอง อย่างที่สองคือมีคนมาแก้คำสาปให้ซึ่งคงไม่มีใครโผล่มาช่วยแกแน่ ส่วนอย่างสุดท้าย..-"



ยังไม่ทันที่ซีซ่าจะพูดจบ เสื้อคลุมของโจก็ส่องแสงออกมาพร้อมกับสายฟ้าจำนวนมหาศาลแผ่กระจายออกมาไม่หยุด ดวงตาของนักเวทชุดดำเบิกกว้างด้วยความตกใจเกราะเขานั้นก้าวเข้ามาอยู่ในระยะของเวทสายฟ้าของโจเข้าให้แล้ว แต่ร่ายกายของเขาโดนคำสาปเข้าไปแล้วดังนั้นชายตรงหน้าของเขาก็ไม่น่าจะร่ายเวทได้ ทว่าพอเขาเหลือบไปเห็นอัญมณีกลางอกที่เป็นต้นกำเนิดของสายฟ้าทั้งหมดก็รู้ทันทีว่าทำไม



ไลท์นิ่ง สวาม!!!



ระเบิดสายฟ้าเกิดขั้นอีกครั้งโดยมีโจเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ไม่ได้เป็นระเบิดที่รุนแรงเสียงดังเหมือนเวทธันเดอร์บลาส มันเป็นเหมือนเวลาที่หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและปลดปล่อยไฟฟ้าออกมาอย่างไร้ทิศทางรอบตัวเอง ถึงแม้จะมีระยะไม่ไกลมากแต่ซีซ่าที่ยืนอยู่เกือบจะชิดตัวขนาดนั้นไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน



ถึงมือจะถูกสาปให้แข็งจนร่ายเวทไม่ได้แต่เขาก็ยังสามารถใช้เวทที่ผนึกที่เสื้อคลุมได้อยู่ ในตอนแรกเขายังชั่งใจว่าจะผนึกเวทนี้ลงไปดีหรือไม่เพราถึงแม้จะเป็นเวทระยะประชิดที่ใช้ป้องกันตัวได้อย่างดีเยี่ยม แต่เวทนี้ก็มีผลกับตัวเองด้วยเช่นกัน



สายฟ้าที่ระเบิดออกมาทำเอาโจแทบจะทรุดลงไปกับพื้น ผมของเขาฟูชี้โด่เพราะสายฟ้า ควันลอยออกมาจากตัวเหมือนกับเพิ่งเดินผ่านเตาอบมา แต่อย่างน้อยซีซ่าก็ไม่เหลือแม้แต่ซากให้เห็น ดีที่ผู้ร่ายเวทอย่างเขาจะได้รับความเสียหายแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น และปลอกแขนเทพสายฟ้าที่เขาสวมอยู่ก็ช่วยลดความเสียหายจากเวทสายฟ้าของเขาอีกครึ่งหนึ่งด้วย



"อย่างสุดท้ายก็คือผู้ร่ายคำสาปตายยังไงเล่า ไอ้เบื้อกเอ๊ย!" โจพูดให้จบประโยคที่ซีซ่าทิ้งเอาไว้ ถึงเขาจะชนะมาได้เพราะโชคช่วยแต่ซักวันโชคของเขาคงหมดไปแน่ เห็นทีคงต้องหาเวลาฝึกใช้เวทสำหรับต่อสู้บ้างซะแล้ว โจคิดในใจพลางหันไปมองยังทิศที่เจนและดีไนน์วิ่งไป ซึ่งการต่อสู้ของทั้งคู่น่าจะรู้ผลได้แล้ว





จบตอนที่ 25 บุกรังหนู

--------------------------------

Tohan-kun
20th January 2014, 13:03
ตอนที่ 26 ช่วยเหลือ



ปัง!!



เสียงของประตูถูกกระแทกเปิดออกมาอย่างรุนแรง ร่างสูงวิ่งเข้ามาแล้วก้าวลงบันไดอย่างรู้ทางมุ่งไปยังชั้นใต้ดิน โดยมีร่างในชุดสีขาววิ่งตามมาไม่ห่าง สายตาที่มุ่งมั่นของผู้ที่กำลังวิ่งตามมานั้นดูราวกับแมวที่กำลังวิ่งไล่หนูกลับเข้ารูตัวเอง



เขาไม่นึกถึงเลยว่าผู้ที่เล่นงานพวกลาซาสนั้นจะกลายเป็นคนที่ทางกิลด์พิฆาตราชาต้องการตัวที่สุด อย่าว่าแต่จะจัดการเลย แค่คิดจะสู้กับคนที่จัดการนักดาบระดับพระกาฬของกิลด์อย่างอามีร่าได้ก็ไม่กล้าแล้ว ดังนั้นทางเดียวที่ดีไนน์คิดออกคือวิ่งหนีหาที่ซ่อนแล้วค่อยซุ่มโจมตี!



ทางใต้ดินที่เขาวิ่งมานั้นเป็นห้องเก็บเหล้าของบาร์ โดยภายในห้องจะกว้างแต่ก็เต็มไปด้วยชั้นวางขวดเหล้าเป็นชั้นตั้งชิดกันจนน่าจะทำให้เจนใช้ดาบไม่ค่อยสะดวกนัก และมันมืดทำให้ง่ายต่อการซุ่มโจมตี ส่วนเขานั้นรู้เส้นทางภายในห้องนี้เป็นอย่างดีเพราะมาหยิบเหล้าบ่อยจนทำเส้นทางได้

ขึ้นใจ แม้ดาบที่เขาใช้อยู่จะยาวกว่าน่าจะทำให้ใช้ลำบากแต่ใช่ว่าเขาจะมีอาวุธเพียงแค่ดาบเสียเมื่อไหร่ล่ะ คราวนี้แหละเขาจะทำสิ่งที่พวกหัวหน้าหน่วยในกิลด์ก็ยังทำไม่ได้ เงินและอำนาจมหาศาลกำลังจะตกมาเป็นของเขาแล้ว







เจนวิ่งตามดีไนน์มาอย่างประชั้นชิดแต่ว่าฝ่ายนั้นสามารถเร่งความเร็วหลุดรอดสายตาเธอไปได้ ส่วนเจนนั้นต้องหยุดหลบสิ่งกีดขวางและคอยจัดการพวกนักเลงที่เข้ามาขวางทางเธอเอาไว้ แต่เส้นทางด้านหน้ามีแค่ทางเดียว ดังนั้นถ้าหากเธอตรงไปเรื่อย ๆ รับรองว่าต้องไล้ต้อนจนดีไนน์เผย

ตัวออกมาได้แน่



ในที่สุดเจนก็วิ่งมาถึงประตูบานใหญ่บานเดียวที่อยู่สุดทาง เธอออกแรงยกเท้าถีบประตูนั้นจนกระเด็นหลุดออกจากบานพับแต่ทว่าหลังบานประตูเธอกลับพบเพียงชั้นวางขวดเหล้าสูงอยู่หลายสิบชั้นในห้องที่มีเพียงไฟสลัว จากคบเพลิงอยู่ที่มุมห้องเท่านั้น แต่เจนก็มั่นใจว่าดีไนน์ต้องยังคงอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน



ร่างบางก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีแดงของเธอกวาดมองไปรอบตัวอย่างช้า ๆ เพื่อจะมองหาสิ่งที่ดูมีพิรุธภายในห้องนั้นแต่ว่ามันมืดเกินไปที่เธอจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจน ถึงอย่างนั้นเจนก็ไม่ประมาท เธอสูดหายใจลึกและตั้งสติให้มั่น มือบางจับดาบที่เอวเตรียมพร้อมที่จะชักออกมาทุกเมื่อ หูก็เงี่ยฟังเสียงฝีเท้าของดีไนน์อยู่ตลอด ถ้าหากได้ยินเสียงแม้แต่เพียงนิดเดียวล่ะก็เธอจะรู้แน่นอนว่ามาจากทางใด



"แกติดกับแล้ว ไอ้หน้าโง่!" เสียงของดีไนน์ดังมาจากด้านหลังของเจน หญิงสาวสะดุ้งและรีบหันกลับไปและชักดาบออกมาทันที แต่ทำไม่ได้เพราะชั้นวางตั้งอยู่ใกล้กันเกินไป เจนจึงทำได้แค่กระโดดถอยหลังออกมาให้พ้นระยะโจมตี



เสียงหัวเราะแหบแห้งดังเมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่สามารถชักอาวุธออกมาสู้ได้ เสียงเหมือนผ้าสะบัดดังเบา ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าดีไนน์กำลังเคลื่อนที่แต่ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าและนั่นทำให้เจนขมวดคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจและต้องหนักใจเพราะนอกจากจะไม่สามารถใช้อาวุธที่อยู่ข้างตัวได้แล้วยังไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ที่

ไหนอีก ถึงจะดูไม่เหมือนนักแต่ตอนนี้เจนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว



"นึกไม่ถึงว่าคนที่จัดการ'อีกา'ลงได้อย่างแกจะยังไม่มีอาชีพแบบนี้ แสดงว่าตอนที่สู้กับยัยนั่นคงฟลุกล่ะสิท่า ไอ้พวกฝ่ายข่าวสารให้ข้อมูลมาผิด ๆ แบบนี้ มันน่าฆ่าทิ้งให้หมดจริง ๆ" ดีไนน์ดูเกือบจะถูกต้อง เสียงของเขาดังมาจากด้านข้างของเจนที่อยู่หลังชั้นวางเหล้าไปเพียงไม่ถึงเมตร ทำให้ เธอต้องรีบถอยกลับมาเพราะคิดว่าจะถูกลอบโจมตี ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกคน ๆ นี้ล้อมกรอบเอาไว้จนไม่มีทางตอบโต้เลยแม้แต่น้อย



"แค่เลเวลมากกว่าสิบระดับอย่าคิดนะว่ามันจะทำอะไรให้แตกต่างไปได้ ฉันมีอาชีพมือดาบเชียวนะโว้ย ไอ้นักผจญภัยฝึกหัดอย่างแกน่ะไม่มีทางสู้ได้หรอก!" สิ้นเสียง เจนก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แขนของเธอ หญิงสาวรีบถอยห่างออกมายังจุดที่แสงจากคบเพลิงส่องถึงทันทีและเพ่งมองไปด้านหน้า ทั้ง ๆ ที่เธอระวังตัวมากแล้วแท้ ๆ กลับถูกลอบโจมตีได้ เสียงของดีไนน์เธอจับได้ว่ามากจากด้านหน้าของเธอทำให้เธอเตรียมพร้อม แต่เธอกลับกะระยะการโจมตีผิดไปเพราะความยาวของดาบที่เขาใช้นั้นยาวกว่าปกติมากนัก



จนถึงตอนนี้ตาของเจนก็ยังไม่ชินให้มองในความมืดนี้ได้เนื่องจากแสงไฟจากคบเพลิงด้านหลัง ต่างจากดีไนน์ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ รู้จึงส่วนต่าง ๆ ของห้องทุกตารางวาทำให้ความมืดไม่ได้เป็นปัญหากับเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็โชคดีที่เจนถอยออกมาทันเวลาทำให้เธอโดนดาบเฉือนไม่ ลึกมากนัก แต่การที่เธอโจมตีสวนกลับไม่ได้เช่นนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก



อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอได้หลุดมาจากที่ระหว่างชั้นวางขวดเหล้ามาได้แล้ว และพื้นที่บริเวณมุมห้องก็กว้างพอที่จะใช้ดาบได้ เจนจึงรีบชักดาบออกมาป้องกันตัวเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าถ้าหากเธอกลับเข้าไปในความมืดอีกก็จะใช้ดาบได้ไม่สะดวกนัก แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถใช้ดาบป้องกัน ตัวเองได้แล้ว



"คิดหรือว่าแค่มีดาบอยู่ในมือแล้วฉันจะกลัว! เอานี่ไปกินซะ!" เสียงของดีไนน์ตะโกนก้อง



ทันใดนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เจนมาจากต้นทางของเสียงตะโกน หญิงสาวรีบยกดาบขึ้นกันตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อสิ่งนั้นปะทะกับดาบของเจนกลับมีแรงกระแทกไม่มากอย่างที่คิด เสียงแตกดังทำให้รู้ว่าสิ่งนี้ทำจากแก้ว เธอรู้สึกได้ว่ามีของเหลวแตกออกมาจากแก้วนั้นหกรดเต็มตัวเธอและกลิ่นแรงที่ลอยมาเขาจมูกของเจนก็บอกทันที่ว่ามันคือเหล้า!



"เป็นไงล่ะ รสชาติเหล้าเถื่อนเป็นยังไงบ้าง แรงดีใช่มั้ยล่ะ!" เสียงตะโกนของดีไนน์ดังลั่น กลิ่นของแอลกอฮอล์เหม็นหึ่งเต็มตัวของเจนจนทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวคล้ายกำลังจะเมา แม้จะพยายามรวบรวมสติเอาไว้ได้แต่ก็คงอีกไม่นานแน่หากเธอไม่รีบล้างเหล้าออกจากตัว



"รู้มั้ยว่าทำไมที่นี่ถึงเก็บเหล้าในที่มิดชิดขนาดนี้..." ดีไนน์ถามหยั่งเชิง เจนไม่ตอบเพราะเธอพยายามตั้งสติให้พร้อมสู้ ถ้าเธอเมาล่ะก็คงมีสภาพไม่ต่างจากนักเลงที่เธอเคยสู้ด้วยแน่



"เป็นเพราะกลิ่นที่เธอกำลังสูดอยู่นั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ เหล้าที่อยู่ในห้องนี้มีส่วนประสบของแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูง จึงทำให้มันเป็นเหล้าที่แรงมากและรสชาติเผ็ดร้อน และแน่นนอนว่ามันติดไฟได้ง่ายด้วย เพราะอย่างนั้นฉันจะใช้เหล้าทุกขวดที่มีอยู่ในห้องนี้เผาแกซะ!"



เจนพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าพูดจบจะต้องโจมตีมากอีกอย่างแน่นอน และในสภาพของเจนในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะโจมตีมาด้วยดาบของเขาเอง ใช้คบเพลิงที่อยู่เหนือตัวเธอเผาร่างหรือจะปาขวดเหล้ามาอีกขวดก็ไม่มีทางที่จะกันได้เลย ดังนั้นหญิงสาวในคราบชายหนุ่มจึงตัดสินใจโจมตีสวนกลับไปก่อนที่ดีไนน์จะมีโอกาสจะลงมือ



ผ่ามิติ!



คลื่นดาบถูกฟาดออกไปด้านหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เล็ง แต่คลื่นพลังก็มีพลังมากพอที่จะทำลายชั้นวางขวดเหล้าที่ดีไนน์กำลังซ่อนอยู่อย่างเหลือเฟือ



ตูม!!



เสียงระเบิดของคลื่นพลังปะทะเข้ากับชั้นวางเสียงดัง ตามมาด้วยเสียงแตกของขวดเหล้าที่ดังกลบเสียงโวยวายของดีไนน์ซะมิด เมื่อลืมตาขึ้นมาดูผลงานก็พบว่าผ่ามิติขิงเธอนั้นได้เพิ่มพลังขึ้นสูงมากจนทำให้ชั้นวางขวดเหล้าทั้งหมดอยู่ทำลายจนมีเหล้าที่แตกออกมาเจิ่งนองบนพื้นห้อง กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งไปหมดยิ่งทำให้สติของเจนยิ่งเลือนรางจนแทบคิดอะไรไม่ได้แล้ว



"แค่นี้...แกก็จุดไฟไม่ได้แล้ว ....มาฟัดกันให้จบไปซักที" เจนพูดอย่างยากลำบากเพราะกลิ่นเหล้าที่ฉุนขึ้นจมูก ดวงตาสีแดงจ้องไปยังร่างที่เปียกโชกของดีไนน์ที่พยายามจะลุกขึ้นมาด้วยท่าทางโซเซ แปลว่าเขาเผลออ้าปากกลืนเหล้าเข้าไปไม่น้อยตอนที่เจนใช้ผ่ามิติเมื่อครู่



ตัวของเขามีบาดแผลเล็ก ๆ จากเศษแก้วบาดเต็มตัว แต่กลับรอดจากผ่ามิติไปได้อย่างเฉียดฉิว ดวงตาของดีไนน์เบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะกับดักที่เขามาเหยื่อเขามาติดกับถูกทำลายในพริบตาด้วยพลังที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าทำไมคนที่อยู่ตรงหน้าถึงสามารถเอาชนะอีกาได้ สติที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะฤทธิ์เหล้าก็กระเจิดกระเจิงไปทันที



เขารีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตรงไปยังผนังห้องที่เป็นรูจากคลื่นพลังผ่ามิติเข้าปะทะเมื่อครู่จนมีแสงสว่างลอดออกมาได้ เขาวิ่งเซและพลาดพุ่งเข้ากระแทกกับกำแพงอย่างแรงจนทะลุไปอีกด้าน เจนรีบตามไปให้เร็วที่สุดที่เธอจะใช้สติที่เริ่มจะเลือนรางพาไปได้ ตอนนี้เธอรู้สึกเนื้อตัวหนักอึ้ง หญิงสาวพยายามจะเดินเป็นเส้นตรงแต่ก็เหมือนกับมีใครเอาโลกทั้งใบมาโยนเล่นจนทำให้เจนเดินโคลงเคลงไปมาอย่างลำบาก ลมหายใจที่สูดเข้าไปก็เจอแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิมอีก ในตอนนี้สิ่งที่เจนต้องการมากที่สุดก็คืออากาศบริสุทธิ์



เมื่อข้ามผ่านซากกำแพงมาได้แทนที่จะพบกับอากาศที่สดชื้น กลับเจอเข้ากับกลิ่นเหม็นอับชวนอ้วกแทนยิ่งทำให้อาการวิงเวียนหนักขึ้นอีก แต่เมื่อมองไปข้างหน้า สิ่งที่เธอเห็นนั้นแทบจะทำให้เจนนั้นลืมหายใจ ดวงตาสีแดงโกเมนเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง สติที่เลือนลายกลับมาตื่นตัวเต็มที่ เพราะในที่ที่เจนเพิ่งเข้ามานั้น มีกรงขังที่มีผู้คนถูกขังอยู่นับร้อย!



ในหัวของเจนมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย แต่ทุกคำถามล้วนเริ่มต้นจากคำ ๆ เดียว นั่นก็คือคำว่า 'ทำไม'



หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า มองผ่านลอดลูกกรงเหล็กไปเห็นเป็นเด็กสาวในชุดสีฟ้าสกปรกกำลังนั่งชันเข่าอยู่โดยมีโซ่สีดำทะมึนล่ามขาของเธอเอาไว้กับลูกกรง นัยน์ตาของเด็กสาวดูเลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นร่างว่างเปล่าไร้วิญญาณ แม้ว่าตัวเจนจะเดินเข้าไปหาก็เหมือนกับว่าเด็กสาวตรงหน้าจะไม่รู้ตัวว่าเจนยืนอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย จากเสื้อผ้าของเธอทำให้เจนมั่นใจว่าต้องเป็นชาวเมืองที่โดนลักพาตัวมาอย่างแน่นอน



เมื่อสังเกตดู ก็พบว่าทุกกรงมีหมายเลขกำกับอยู่ราวกับว่าคนพวกนี้เป็นสิ่งของอย่างหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เห็นทำให้เจนพูดอะไรไม่ออก เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคน ๆ หนึ่งจะทำอย่างนี้กับคนอื่นได้ลงคอ ถึงแม้จะเคยได้เห็นข่าวเรื่องแบบนี้มาบ้างแต่พอได้มาเห็นภาพต่อหน้าเช่นนี้ความรู้สึกที่มีมันเกินจะรับได้



คนอื่นในกรงขังอื่นต่างก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน บางคนแย่กว่าด้วยซ้ำ เจนเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่ร้องสะอื้นเพราะรอยแผลบนร่างของเขาที่แดงจนน่ากลัว ชายร่างใหญ่ที่ถูกโซ่ล่ามมือเอาไว้ทั้งสองข้างจนเท้าลอยจากพื้น สิ่งที่เขาพวกนี้เจอทำให้เจนนึกไปถึงหน้าของอามีร่าที่สภาพแทบไม่ต่างไปจากชาวเมืองเหล่านี้ในตอนที่พบเธอครั้งแรก



นัยน์ตาสีแดงหันมามองร่างสูงที่กำลังวิ่งโซเซไปไม่ไกลนัก ความโกรธของหญิงสาวสะสมขึ้นในจิตใจตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าชายตรงหน้าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของชาวเมืองอย่างที่ดาริอุสและลูก ๆ ของเขาเกือบจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย ยิ่งพอมาเห็นสภาพของคนที่โดนจับมาก็ยิ่งทำให้ความโกรธแทบจะระเบิดออกมาจนห้ามเอาไว้ไม่อยู่ เธอจ้องเขม็งไปที่ดีไนน์พร้อมทั้งก้าวเท้าไปหาโดยไม่ลังเล



ชายหนุ่มเห็นยมทูตในชุดสีขาวเข้ามาใกล้ก็รีบใช้ดาบของตนแกว่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง แต่ในสภาพที่ไร้สติเช่นนี้ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรหญิงสาวได้ เจนใช้ดาบคุซานางิในมือตวัดใส่จนดาบเล่มยาวหลุดมือของชายหนุ่มแล้วพุ่งเข้าประชิดตัวในพริบตา เธอดันร่างของดีไนน์เข้าชิดกับกรงที่ขังของเด็กสาวเมื่อครู่และใช้ดาบในมือจ่อที่คอหอยพร้อมจะปลิดชีวิตทุกเมื่อ



"ไอ้สารเลว! นี่แกเห็นคนพวกนี้เป็นอะไรกัน!!" เจนระเบิดเสียงตะโกนลั่น เธอจ้องเขม็งไปยังดวงตาที่ตื่นกลัวของดีไนน์ มือที่จับคอของเขาบีบแน่นในขณะที่ดีไนน์พยายามกระเสือกกระสนพยายามเอาตัวรอดด้วยสติที่ยังหลงเหลืออยู่



"มองดูให้ดีว่าแกทำให้คนพวกนี้เจอกับอะไร!! ทำไมแกถึงทำแบบนี้!!"



"มันเป็นแค่ธุรกิจ!! มันเป็น....แค่ ธุรกิจ"



เสียงตะโกนของดีไนน์ทำให้เจนถึงกับปล่อยมือออกจากตัวของเขา ไม่ใช่เพราะเธอตกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกมาแต่เป็นเพราะเธอไม่อยากจะแตะต้องตัวคนอย่างเขา คนที่เรื่องแบบนี้ว่าเป็นธุรกิจออกมาได้อย่างเขาแค่อยู่ใกล้มันก็ทำให้เจนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา แต่ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้คนอย่างเขารอดตัวไปแน่



เจนใช้เท้ายันรางของเขาเอาไว้บนพื้น ดาบยาวชี้ไปที่หน้าของชายหนุ่มแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนดีไนน์รู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง



"บอกฉันมาว่าตอนนี้อามีร่าอยู่ที่ไหนถ้าไม่อยากทรมาน"



ไม่ว่าคนตรงหน้าจะมีข้อแก้ตัวอะไรก็ตามแต่เธอก็จะไม่สนใจอีกแล้ว ต่อให้คำพูดของดีไนน์จะหอมหวานเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อการกระทำมันบอกถึงเจตนาขนาดนี้มีเพียงโทษสถานเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้รับ และเจนก็จะทำให้แน่ใจว่าเข้าจะได้รับมันอย่างสาสม



"อามีร่า...ใคร ฉันไม่รู้จัก!" ดีไนน์ตะโกนปฏิเสธโดยดูท่าทางแล้วแม้แต่เจนเองก็ยังดูออกว่าไม่ได้โกหกบวกกับตอนนี้เขาก็กำลังเมาไม่ได้สติอยู่แล้วด้วย แต่นั่นทำให้เจนยิ่งโมโหขึ้นมาอีก แม้กระทั่งชื่อของคนที่ถูกกดขี่ข่มแหงขนาดนั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ



ในเมื่อเป็นแบบนี้เจนก็ไม่คิดจะถามอะไรต่ออีกเพราะมันคงไม่มีประโยชน์ เธอยกดาบขึ้นเตรียมที่จะจัดการสำเร็จโทษให้เด็ดขาด



"ฝากไปบอกเจ้านายของแกด้วยว่าจากนี้ฉันจะไม่หยุดตามล่าพวกแกจนกว่าจะกิลด์พิฆาตราชาจะพินาศ เริ่มจากแกเป็นคนแรก!!"



ผ่ามิติ!!



ดาบคุซานางิในมือเรียวสว่างวาบ ทั่วทั้งห้องสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีไนน์จ้องใบหน้าของเจนอย่างตื่นตระหนก ก่อนหน้าที่เจนจะลงดาบเพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนตรงหน้าจากที่ไหนซักแห่ง แต่ทุกอย่างก็ดับวูบลงไปก่อนที่เขาจะนึกอะไรออก



คลื่นพลังดาบฟาดกระแทกลงสู่ร่างบนพื้นห้องอย่างรุนแรง เสียงระเบิดดังสะท้านพร้อมกับแรงกระแทกที่อัดมาเต็มใบหน้าของหญิงสาวจนลอยกระเด็นจากจุดที่เธอยืนอยู่ สิ่งสุดท้ายที่เจนเห็นก่อนที่จะหมดสติไปคือเพดานหินที่มีโคมไฟแขวนอยู่







กลิ่นหอมสดชื่นลอยเข้าจมูกของเจนปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาจากนิทราเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอนั้นอยู่ในห้องที่มีความกว้างเพียง3คูณ5เมตรเท่านั้น เตียงที่เธอนอนอยู่เป็นเตียงสามชั้นโดยเธออยู่ชั้นล่างสุด ฝั่งตรงข้ามก็เป็นเตียงแบบเดียวกันโดยโดยมีฟีบีกำลังนอนหลับสนิทอยู่และคิทซึเนะนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของเจน



พอจะยกตัวลุกขึ้นมาเจนก็รู้สึกหัวหนักอึ้งและปวดแทบจะระเบิดให้ได้อย่างไม่รู้สาเหตุ ลองพยายามจะคิดว่าเป็นเพราะอะไรก็คิดไม่ออก แม้กระทั่งตอนนี้เธออยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้



"ตื่นแล้วหรอ หลับไปนานน่าดูเลยนะ" เสียงของรินดังขึ้นจากด้านบน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูก็พบว่าหญิงสาวกำลังห้อยหัวลงมาคุยกับเธอจากเตียงชั้นบน



เจนจะอ้าปากตอบแต่อาการปวดหัวยังคงไม่ทุเลาลงจึงทำได้แค่ส่งเสียงครวญคราง แล้วทันใดนั้นความรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนก็วิ่งขึ้นมาจากท้องทำให้เจนรีบคว้าถังไม้ข้างเตียงขึ้นมารับอาหารมื้อก่อนที่กำลังย่อยได้ทันเวลา



"ดีนะที่โจเตรียมเอาไว้ให้ ถ้าไม่อย่างนั้นเตียงคงเลอะจนนอนต่อไม่ได้แน่" รินว่าแล้วจึงกระโดดลงมานั่งบนเตียงของเจน



"แล้ว...สองคนนั้นล่ะ" หญิงสาวเอ่ยปากถาม หลังจากได้อาเจียนออกมาทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาก พร้อมทั้งอาการปวดหัวก็ลดลงแทบจะในทันที



เพื่อนสาวคนใหม่ไม่เอ่ยปากตอบแต่ชี้ไปยังเตียงชั้นสองทางฝั่งที่ฟีบีกำลังนอนอยู่แทน



"นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมรู้สึกปวดหัวจังเลย" เจนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเซื่องซึม เธอยังรู้สึกเหนื่อยล้ามากแม้ว่าจะเพิ่งตื่นก็ตาม แถมยังจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลยด้วย ขนาดในตอนนี้เธออยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ



หญิงสาวเลิกตาขึ้นอย่างแปลกใจก่อนเอ่ยถาม



"นี่เธอไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเมื่อวานเธอเมาขนาดไหน"



"เมา!? ฉันไปกินเหล้าตอน..อ๋อ จำได้แล้ว" เมื่อมีเครื่องกระตุ้นความทรงจำ ภาพก็ไหลเข้ามาในหัวของเจนเหมือนกับเครื่องเล่นวีดีโอ เธอจำได้ว่าเธอเจอเข้ากับกลิ่นของแอลกอฮอล์เข้าเต็ม ๆ และโดนเหล้าสาดใส่ทั้งตัว คงเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นที่ทำให้เธอเมา ในใจได้แต่ก่นด่าความเหมือนจริงของเกมนี้เพราะอาการเมาค้างในเกมยังเอาเข้ามาด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเอามาเลย



"ไว้พวกโจตื่นแล้วก็ไปขอบคุณสองคนนั้นด้วยล่ะ รู้มั้ยว่าเธอน่ะเป็นพวกเมาอาละวาดหนักมาก ดีนะที่ได้สองคนนั้นช่วยพาเธอมาถึงห้องนี้ได้ ถ้าขืนปล่อยเธอเอาไว้ล่ะก็มีหวังอาละวาดจนเมืองพังแน่" บางทีมันอาจจะแย่กว่าที่รินพูดก็ได้



เจนรู้ดีว่าตัวเธอนั้นมีนิสัยตอนเมายังไง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอดื่มกับพวกโจ ผลที่ออกมาคือทั้งสองคนนั้นน่วมไปทั้งตัวโดยที่ตัวเจนเองนั้นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลย ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เลยไม่ได้ดื่มเหล้าอีกเลย(และแน่นอนว่าพวกโจก็ไม่เอ่ยปากชวนอีกเช่นกัน)



ตอนนั้นเองเจนก็นึกถึงพวกกิลด์พิฆาตราชาขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยถามรินทันที



"อ๋อ พวกนั้นน่ะหรือ โดนจัดการหมดแล้วล่ะ ส่วนพวกชาวเมืองคนอื่น ๆ ก็ถูกส่งกลับบ้านทุกคนแล้วล่ะไม่ต้องเป็นห่วง" เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสาว เจนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก



"ตอนที่เธอหลับอยู่ฉันก็เอาข่าวไปแจ้งให้กับกิลด์หกราชันย์ไปแล้ว พวกนักเลงที่เป็นเอไอทุกคนถูกจับเข้าคุกรอการดำเนินการจากเจ้าเมือง จากนี้ไปในเมืองคงจะมีการตรวจที่เข้มมากขึ้นจนไม่มีเหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยอีกแล้วล่ะ"



"แล้วลาซาสล่ะ หมอนั่นไปไหนแล้ว" เจนพูด หนึ่งในตัวหลักของเหตุการณ์ในครั้งแน่ แถมยังเป็นเอไออีกด้วย ถ้าหากยังไม่รู้แน่ ๆ ว่าหมอนี่ถูกจับแล้วก็ยังไม่น่าไว้วางใจ



"น่าเสียดายแต่หมอนั่นหนีออกจากเมืองไปแล้วล่ะ ฉันได้ข้อมูลมาจากเจ้ายักษ์ใหญ่ก่อนจะจัดการเสร็จ" รินพูดพลางถอนหายใจด้วยความเสียดาย เธอเองก็คงอยากจะจัดการกับลาซาสมากไม่ต่างจากเจนเช่นกัน



"ฉันรู้มาว่าเจ้าลาซาสเป็นมือขวาของตัวการหลักในตลาดค้าทาสของโลกนี้เลยล่ะ ว่ากันว่าทาสทุกคนถูกตีตราโดยมันทุกคน ฉันตามล่าหมอนี่มาตั้งนานไม่เคยเจอตัว มาครั้งนี้นี่แหละที่เกือบจะได้ตัวแล้วเชียว" รินพูดอย่างเจ็บใจ



ตัวเจนเองก็เจ็บใจไม่แพ้กันที่รู้ว่าลาซาสหนีไปได้ เธอไม่อาจจะทนคิดว่าจะมีอีกกี่คนที่ต้องทนทรมานเหมือนกับชาวเมืองคริสตัลเบลที่เจอในชั้นใต้ดินของบาร์แห่งนั้น



"ทำไมคนพวกนี้ถึงทำเรื่องอย่างนี้ได้ลงคอนะ" เจนพูดอย่างเศร้าใจกับสิ่งที่เธอพบ เธอไม่อาจหาเหตุผลที่ดีมาอธิบายการกระทำของลาซาสได้เลยถึงแต่เธอจะพยายามคิดมากแค่ไหนก็ตาม



ดวงตาสีฟ้าของรินจ้องมองเจนก่อนถอนหายใจออกมาเบา ๆ



"เอไอก็เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ หลงในความโลภ อำนาจ และเงินตราจนโงหัวไม่ขึ้นถึงกับยอมขายชีวิตของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นคน เอไอหรือเผ่าพันธุ์ไหนก็มีคนแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ"



"เธอหมายถึงเผ่าอื่นในเกมที่ไม่ใช่ชาวเมืองงั้นหรือ" เจนถามเมื่อได้ยินคำพูดของริน หญิงสาวหันมายิ้มให้แล้วจึงตอบคำ



"ก็ประมาณนั้นแหละ"







หลังจากนั้นเจนก็ได้ฟังเรื่องราวหลังจากที่เธอจัดการดีไนน์ได้แล้ว พวกโจมาพบเธอสลบไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องขังแถมหลังจากที่ปลุกก็เมาอาละวาดอีก จนสุดท้ายแล้วจึงต้องลงมือมัดแขนมัดขาของเจนเอาไว้ก่อนและค่อยช่วยชาวเมืองที่ถูกจับออกมา



ถึงจะไม่ได้อยู่ร่วมแบบมีสติในตอนที่ชาวเมืองทุกคนได้พบกับคนที่รักอีกครั้ง แต่แค่ฟังจากที่รินเล่าก็ทำให้เจนรู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย รินยังบอกอีกว่าชาวเมืองฝากของคุณเจนมาด้วย ขนาดถึงจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ แต่น่าเสียดายที่เจนนั้นยังไม่สร่างเมาและพวกเธอต้องรีบไปขึ้นเรือเหาะที่มีกำหนดออกในวันพรุ่งนี้เช้า



"จะว่าไปแล้วตอนนี้เราอยู่ในเรือเหาะสินะ อีกนานมั้ยกว่าเรือเหาะจะขึ้นบิน" หลังจากฟังเรื่องราวทำให้เจนพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าตอนนี้พวกเธอต้องอยู่บนเรือเหาะอย่างแน่นอน



เพื่อนสาวได้ยินคำถามของเจนก็ทำหน้าแปลกใจก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงมือให้ลุกตามขึ้นมา



"ตามฉันมาสิ ออกไปสูดอากาศข้างนอกกันหน่อย"





เจนนึกภาพภายในตัวเรือเหาะเอาไว้ต่างจากความเป็นจริงมากเพราะเธอคิดว่ามันจะมีขนาดเล็กเพื่อที่จะใช้ถุงอากาศอัดแก๊สฮีเลี่ยมยกตัวเรือให้ลอยขึ้นเหมือนกับที่เธอเคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่พอมาเจอเข้ากับห้องโถงที่มีความกว้างใหญ่โอ่อ่าราวกับอยู่ในโรงแรมแบบนี้ก็ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เธอยังอยู่ในเกม



ในตอนนี้เจนยังคงรู้สึกปวดหัวตุ้บ ๆ อยู่แต่ก็ไม่มากจนทำอะไรไม่ได้ พอได้มาเดินสูดอากาศแบบนี้ก็พอจะทำให้ความรู้สึกคลื่นไส้หายไปเป็นปลิดทิ้ง นับว่าเป็นจังหวะเหมาะจริง ๆ ที่รินพาเธออกมาเช่นนี้



ในตอนแรกเจนคิดจะชวนคนอื่นมาด้วยแต่พอรู้ว่าทุกคนเหนื่อยจากการดูแลเจนกันมามากโดยเฉพาะคิทซึแนะที่เฝ้าอยู่เกือบจะตลอดเวลาโดยไม่หลับเลย ทำให้เจนตัดสินใจอุ้มจิ้งจอกสาวลงนอนบนเตียงของเธอเองและออกมาโดยปล่อยให้ทั้งสี่พักผ่อนอยู่เช่นเดิม อย่างน้อยพวกนั้นก็สมควรได้รับหลับซักเต็มตื่น



รินดึงมือหญิงสาวขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ พอก้าวเท้าเยียบลงบนดาดฟ้าก็ทำให้ดวงตาสีแดงโกเมนต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะในตอนนี้พวกเธออยู่บนเรือเหาะที่กำลังลอยลำอยู่เหนือท้องฟ้า และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่จุดหมายแรกของมันนั่นก็คือทวีปอัลเทเชีย



ลมแรงพัดเข้ากระแทกใบหน้านำเอาอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเข้าเต็มปอด ท้องฟ้ายังคงมืดมิดแต่เจนเห็นแสงสีส้มอยู่ที่ปลายฟ้าเหนือหมู่เมฆบ่งบอกสัญญาณใกล้รุ่ง มองไปรอบกายพบว่ามีคนอยู่ไม่มากนักที่อยู่บนดาดฟ้าเรือแห่งนี้ ส่วนมากจะเป็นลูกเรือในชุดเสื้อแขนยาวสีฟ้าดูเรียบร้อย ต่างจากเรือที่แล่นบนท้องทะเลที่ลูกเรือจะสวมชุดแขนกุดเพื่อความสะดวกในการทำงาน การขึ้นมาบนดาดฟ้านอกจากจะทำให้เจนตะลึงแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ทำให้เธอได้สังเกตเห็นเรือเหาะได้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกอีกด้วย



รูปร่างของตัวเรือเหาะนั้นแทบจะไม่มีอะไรไปกว่าเรือเดินสมุทรทั่วไป มีเพียงไปพัดอันใหญ่ที่ถูกติดตั้งอยู่ด้านหน้าของเรือที่กำลังหมุนแรงราวกับว่าเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรือแล่นต่อไปด้านหน้า เสากระโดงเรือขนาดใหญ่กลางลำเรือตั้งตระหง่านเป็นเสาค้ำยังให้ใบเรือได้รับลม แต่ทั้ง ๆ ที่ตัวเรือกำลังเคลื่อนตัวไปด้านหน้าต้านแรงลม แต่ใบเรือกลับถูกลมพัดให้ตัวเรือไปด้วยความเร็ว



ข้างลำเรือทั้งสองข้างมีผลึกหินลอยขนานข้างอยู่ ผลึกนั้นเรืองแสงสีเขียวขณะที่ลอยขึ้นลงไมมาอย่างมั่นคง แม้เจนจะไม่รู้ว่ามันมีไว้ทำอะไรแต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเกี่ยวกับการที่ทำให้เรือลำนี้ลอยอยู่บนฟ้าได้อย่างแน่นอน



"นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย" เจนพูดขึ้นลอย ๆ แต่รินก็ตอบคำ



"เธอหลับไปตั้งแต่ตอนที่จบเรื่อง รวม ๆ แล้วก็ประมาณเกือบเจ็ดชั่วโมงได้ ตอนนี้เรือก็เพิ่งออกบินได้ราว ๆ ชั่วโมงเศษ พรุ่งนี้เช้าก็คงไปถึงเมืองยามะไต"



'ยามะไตงั้นหรือ' เจนพูดในใจ



เมื่อคิดถึงจุดหมายที่กำลังเดินทางไปถึงแล้วเธอก็นึกถึงคำพูดของมาเอะ จิ้งจอกเก้าหางผู้เป็นมารดาของคิทซึเนะ ที่ว่าหากเธอไปที่ภูเขาไทโกคุที่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองยามะไตเท่าไหร่นัก ทำให้ถ้าหากไปถึงแล้วเจนก็คิดจะแวะเข้าไปหาซักหน่อย และเธอเองก็ไม่ได้พบพวกเสือซ่อนลายมานานแล้วด้วย ถ้าหากพวกนั้นอยู่ที่ทวีปอัลเทเชียเจนก็อยากจะไปพบหน้ากันอีกซักครั้งก่อนจะไปหามาเอะ



"ถ้าอย่างนั้นฉันคงจะลงจากเรือที่เมืองยามะไตล่ะนะ อยากจะไปเจอเพื่อนที่แยกทางกันมาด่อนหน้านี้พอดีเลย ...แล้วเธอล่ะริน จะมาด้วยกันหรือเปล่า" เจนหันไปถามเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



"คงจะไม่ได้ล่ะ ฉันมีธุระต้องไปทำที่ทวีปยูโรปา ท่าทางพวกเราคงต้องจะแยกทางกันแล้วล่ะนะ"



เจนรู้สึกใจหายเมื่อจะต้องแยกทางกับเพื่อนสาวคนนี้ น่าแปลกที่เธอรู้จักกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เท่านั้นเองแต่กลับสนิทกันราวรู้จักกันมาหลายปีแล้ว ขนาดตัวเจนเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะคุยกับเธอให้มากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะอยู่ในเกมหรืออยู่ในโลกแห่งความจริง



"งั้นหรือ..แปลกจังเลยนะ ทั้ง ๆ ที่พวกเราเพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ แต่กลับสนิทกันขนาดนี้" หญิงสาวพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา และนั่นทำให้เพื่อนสาวยิ้มปานจนหุบไม่อยู่



"ฉันเองก็คิดเหมือนกันเลย แบบนี้เขาเรียกว่าพรหมลิขิตแน่ ๆ ว่ามั้ย" เสียงเราะเราะดังออกมาจากปากหญิงสาวโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของเธอนั้นทำเอาคนฟังหน้าแดงไปหมดแล้ว แม้ว่าคำที่รินพูดจะไม่ได้หมายความอย่างที่เจนคิดก็ตาม



"ว่าแต่เธอคิดจะแต่งตัวแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน หน้าตาก็ออกจะสวยแท้ ๆ แต่ดันแต่งตัวเป็นผู้ชาย"



คำพูดของรินที่ดังออกมาทำเอาเจนแทบปรับอารมณ์ไม่ทัน จากที่กำลังหน้าแดงเราะความเขินอายกลายเป็นตกใจเพราะโดนมองออกวาเธอเป็นผู้หญิงได้อย่างง่ายดาย



"ท..เธอรู้"



"ก็รู้สิ แต่ถ้าหากแค่มองผ่าน ๆ หรือคนทั่วไปมองคงไม่รู้หรอก ฉันมันพวกช่างสังเกตน่ะ แค่มองตั้งแต่แรกก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิง" รินกล่าวปลอบเป็นนัยเพราะสีหน้าของเจนที่แสดงออกมาบ่งบอดว่าผิดหวังมากที่โดนรู้ความจริงเข้า



"เธอรู้แต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ!" เจนพูดเสียงดังอย่างลืมตัว



"ก็พวกเราเพิ่งเจอหน้ากันจะให้ฉันพูดออกมาได้ยังไง แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ รับรองว่าฉันจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับอย่างแน่นอน" รินว่าพร้อมทั้งขยิบตาให้อย่างมีเลศนัย



เจนมองเพื่อนใหม่ของเธอด้วยความแปลกใจปนกังวลเล็กน้อย เจนไม่ได้กังวลที่รินล่วงรู้ความลับนี้ของเธอ แต่ถ้าหากมีคนสังเกตเห็นได้มันก็หมายความว่าคนอื่นก็อาจล่วงรู้ได้ถึงความลับของเธอเช่นกัน!







หลังดูพระอาทิตย์ขึ้นผ่านเหนือทะเลเมฆ เจนและรินก็พากันกลับไปที่ห้องของพวกเธอโดยเมื่อกลับไปถึงก็พบว่าทุกคนได้ตื่นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคิทซึเนะทำท่ากำลังจะออกไปตามหาเจนพอดิบพอดี แน่นอนว่าเจนต้องโดนคิทซึเนะโวยวายใส่ว่าทำไมถึงไม่ปลุกให้ตนไปด้วย แต่คำพูดทุกคำนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใยจากจิ้งจอกน้อยทำให้เธอไม่รู้สึกแย่นักในแต่ละครั้งที่ต้องฟังเสียงว่าของคิทซึเนะ



ระหว่างทางไปห้องอาหารเจนก็บอกให้พวกโจรู้เรื่องที่รินมองออกว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงแล้ว ทั้งสองแสดงท่าทางตกใจอย่างที่เจนคาดแต่เธอกลับรู้สึกว่าทั้งสองแค่แสร้งทำจนออกนอกหน้าเท่านั้น บางทีสองคนนี้อาจจะมีเรื่องที่ปิดบังอะไรเธออยู่...หรือไม่ก็คิดว่าการปลอมตัวของเธอมันห่วยจนดูออกได้ไม่ยากตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้แต่จะไม่แน่ใจนักแต่เธอก็คิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า บางทีเธออาจจะต้องคิดกลับไปแต่งตัวให้สมกับเป็นผู้หญิงอย่างที่ทั้งสองบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกน่าจะดีกว่า แต่นั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่เจนจะเก็บไว้คิดทีหลัง



ห้องอาหารของเรือเหาะนั้นไม่ได้ใหญ่ไปกว่าห้องอาหารบนเรือล่องทะเลที่เจนเคยโดยสารนัก แต่ราคากลับมากกว่าสองเท่าเพราะความรวดเร็วในการเดินทางนั่นเอง ส่วนเรื่องอาหารนั้นมีหลากหลายกว่าและรสชาติอร่อยจนเรียกได้ว่าสมกับราคาตั๋วเลยทีเดียว แถมวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างนั้นเป็นทะเลเกรียวคลื่นสีขาวก็ดูแปลกไปอีกแบบ



เจนนึกขึ้นได้ว่าเธอช่วยเหลือชาวเมืองไปเมื่อคืนน่าจะช่วยให้ภารกิจของเธอไม่มากก็น้อยจึงเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู



ภารกิจผู้กล้า



ให้ความช่วยเหลือชาวเมืองจำนวน 218/1000



เจนตกใจกับจำนวนคนที่ถูกช่วยเหลือบนแถบความคืบหน้าของภารกิจ เธอไม่คิดเลยว่าคนที่ถูกจับจะมีจำนวนมากถึงขนาดนี้ แต่ก็เป็นเคราะห์ดีทั้งชาวเมืองและตัวเธอเองที่พวกเขาถูกเจนช่วยเอาไว้แล้วช่วยเสริมให้ภารกิจของเธอใกล้สำเร็จเข้าไปอีกด้วย นับว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝั่งเลยทีเดียว



ถึงอย่างนั้นเจนก็ไม่รู้สึกชอบใจนักที่เธอมาใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือในการทำภารกิจเช่นนี้ ดังนั้นถ้าหากเธอเจอพวกเสือซ่อนลายเมื่อไหร่ล่ะก็เธอคงจะมีหลายเรื่องเกี่ยวกับกิลด์พิฆาตราชาที่ต้องไปปรึกษากับพี่ชายคนนี้อย่างแน่นอน



และหนึ่งในนั้นก็คือการช่วยเหลืออามีร่าออกมาจากกิลด์พิฆาตราชา!



เวลาในช่วงเช้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในตอนแรกเจนก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ขึ้นมาบนเรือเหาะที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์แปลก ๆ มากมาย แต่สุดท้ายแล้วพวกเจนก็เริ่มรู้สึกเบื่อและพากันกลับไปที่ห้องพัก อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางนานเหมือนบนเรือเดินทะเลที่กินเวลาเป็นสัปดาห์ เพียงอดทนรอซักวันหนึงก็พอแล้ว



แต่ทว่าเรื่องยุ่ง ๆ ที่คอยเข้ามาหานั้นมันไม่ต้องรอจนถึงพวกเจนถึงบนพื้น บนฟากฟ้าแสนว่างเปล่านี้นี่แหละที่เรื่องวุ่นวายจะบังเกิดขึ้น



"มองอะไรอยู่งั้นหรือ" เจนหันไปถามรินเมื่อเห็นเพื่อนสาวจ้องเขม็งออกไปนอกหน้าต่างมาได้พักหนึ่งแล้ว รินดูท่าทางเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแต่เหมือนยังไม่มั่นใจนักจึงส่ายหน้าไปมาและหันกลับมาหาเจน



"เมื่อกี้ฉันแค่เห็นอะไรบางอย่างที่หางตา แต่ฉันลองดูแล้วมันไม่มีอะไร สงสัยคงตาฝาดไปเองน่ะ"



"ว่าแต่นะ ริน เธอมีเลเวลเท่าไหร่กันแน่เนี่ย แล้วไอ้เครื่องป้องกันการตรวจสอบสถานะนั่นคืออะไรกันแน่" โจหันมาถามด้วยความสงสัยซึ่งเป็นคำถามที่เจาก็กำลังคิดจะพูดอยู่เช่นกัน



หญิงสาวผมสั้นกระพริบตาปริบ ๆ อย่างกับไม่เข้าใจในคำถาม ทันใดนั้นเธอก็ทำท่าตีมือเสียงดังเหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออก



"อ๋อ ฉันอยู่ยศขุนนางแล้วล่ะ ส่วนเรื่องการตรวจสอบสถานะล่ะก็มันคือเสื้อคลุมที่ฉันสวมอยู่ตัวนี้ไง มันไม่มีค่าพลังป้องกันมากนักแต่ช่วยไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นตรวจสอบเราได้ดีทีเดียวล่ะ อีกอย่างฉันก็ชอบมันด้วย ใส่แล้วดูเหมือนผู้ดีอังกฤษดีมั้ยล่ะ" รินว่าแล้วยืนโพสท่าโดยจับชายผ้าคลุมสีแดงเลิกขึ้นมาเหมือนกับเจ้าหญิง แว่บหนึ่งที่เจนเห็นหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในชุดเจ้าหญิงจริง ๆ แต่เธอก็กลับมาเห็นภาพของเพื่อนสาวในชุดผ้าคลุมสีแดงและกางเกงหนังสีดำตามเดิม คงเป็นเพราะกิริยาท่าทางของรินเองที่ทำให้เจนถึงกับตาฝาดไป



แม้ว่าทั้งสามคนจะตกใจกับระดับของรินแต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรไปจากเดิมมากนัก การที่เธอรับมือกับพวกดีไนน์ได้โดยไม่มีแม้แต่บาดแผลนั้นถือเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอมีเลเวลสูงกว่าพวกเจนมาก ทว่าที่พวกโจให้ความสนใจมากกว่าในตอนนี้คือการปกปิดสถานะของตัวเอง เพราะตอนนี้มีเพียงแค่เจนที่มีตราสัญลักษณ์ที่สามารถปกปิดตัวเองได้ แต่ถ้าหากพวกกิลด์ราชาตามหาตัวเจนผ่านพวกโจล่ะก็มันคงมีค่าไม่ต่างกัน



"ก็ดีนะ แต่ที่ฉันอยากจะรู้คือมันจะหาได้จากที่ไหน เวลาพวกกิลด์พิฆาตราชาตามล่าพวกเราจะได้พอหลบซ่อนตัวได้หน่อย" ชายหนุ่มจอมเวทสายฟ้าถามขึ้นอีกครั้ง



"นี่นายเคยเข้าไปถามในร้านขายเสื้อผ้าดูหรือยังล่ะหือ ของแบบนี้มีขายอยู่ทุกร้านนั่นแหละ แถมยังมีบางร้านที่รับทำให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่สามารถป้องกันทักษะตรวจสอบได้ด้วยนะ" รินพูด ทำให้โจที่ควรจะเป็นคนที่รู้ทุกเรื่องของเกมนี้หน้าแตก แจ็คที่นั่งดูเหตุการณ์หัวเราะสีหน้าของโจจนน้ำตาเล็ดคู่กับฟีบีที่หัวเราะตามโดยไม่รู้ว่าเขากำลังหัวเราะเพราะอะไรกันแน่



"มีของแบบนั้นด้วยหรือเนี่ย... เอาตรานี่คืนแจ็คไปแล้วฉันเอาเสื้อคลุมตัวนี้ไปทำบ้างดีกว่าจะดีมั้ยนะ" เจนพูดพึมพำแต่เสียงของเธอก็ไม่อาจรอดหูของเพื่อนทั้งสามและจิ้งจอกน้อยไปได้



"นี่ ถ้าเธอจะไปทำฉันว่าเอาเป็นชุดผู้หญิงดีกว่ามั้ง"



"ใช่ เดี๋ยวแม่จริยากับด็อกเตอร์รู้ว่าเธอยอมแต่งเสื้อผ้าผู้หญิงน่ารัก ๆ ในเกมเดี๋ยวจะได้รางวัลนอกเกมด้วยไง"



"จะไปทำชุดทำไมเล่าพวกนายนี่ หน้าตาอย่างเจนต้องทำพวกเครื่องประดับสิ"



"ใช่แล้วค่ะ อย่างพี่เจนต้องใส่ของพวกตุ้มหูสวย ๆ จะยิ่งทำให้หน้าตาดูดีขึ้นนะคะ"



เสียงพูดคุยกันนัวไม่ได้คิดจะปรึกษาคนที่จะต้องเป็นคนแต่งกายตามที่พวกนั้นพูดบ้างเลย แม้กระทั่งคิทซึเนะก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย เมื่อสังเกตดี ๆ ก็พบว่าที่หัวของเจนมีเครื่องประดับเป็นกิ๊บหนีบผมสีแดงดูเขากับเธอประดับอยู่ น่าสงสัยจริง ๆ ว่าตอนที่เจนปล่อยให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองไปเที่ยวกันเองนั้นไปเจออะไรมาบ้าง เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้จิ้งจอกสาวผู้อ่อนต่อโลกกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่นำเทรนแฟชั่นไปซะแล้ว



ทันใดนั้นเองระหว่างที่ทั้งสี่คนคุยกันรวมทั้งเจนที่ต้องนั่งฟังไปด้วยจนไม่ได้สังเกตที่นอกหน้าต่างกำลังมีอะไรบางอย่างกระโดดพุ่งขึ้นมาจากหมู่เมฆ และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเดียวแต่มีเป็นนับร้อยตัว ทว่าการเคลื่อนไหวของมันนั้นพลิ้วไหวและสงบนิ่งจนไม่มีใครบนเรือได้ทันสังเกต ถ้าหากมีเสียงใด ๆ ตอนที่มันเคลื่อนที่ด้วยเสียงลมไปจนสิ้นแล้ว



ทว่ากลับมีดวงตาเล็ก ๆ กำลังจ้องมองพวกมันผ่านหน้าต่างของห้องที่เจนอยู่ ฟีบีมองเห็นพวกมันกระโดดผ่านหมู่เมฆราวกับเป็นปลาโลมาอยู่บนท้องทะเล รูปร่างของมันเองก็มีลักษณะคล้ายกับปลาอยู่ไม่น้อย ร่างสีขาวกลมกลืนไปกับผิวเมฆที่เรียวเล็กมีขนาดพอ ๆ กับปลาสวายทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ครีบของมันยาวและกว้างเหมาะสำหรับใช้เป็นปีกบิน แต่ครีบหลังที่ไม่มีความจำเป็นบนท้องฟ้าแห่งนี้กลับมาขนาดและความยาวพอ ๆ กันทำให้น่าสงสัยว่ามันเองไว้เพื่ออะไร



ทุกอย่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในสายตาของมังกรน้อยหมดแล้ว ทว่าเธอกลับคิดว่าสิ่งที่เธอเห็นไม่ได้มีภัยจึงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงระรื่นจนคนอื่น ๆ ในห้องไม่ได้สังเกต



ตูม!!!



เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากด้านนอกลำเรือ แรงสั่นสะเทือนทำให้เรือเหาะถึงกับเอนเอียงจนเจนรู้สึกใจหาย ทั้งสี่หันหน้ามามองกันด้วยอาการสงสัยไม่แตกต่างกัน ทุกคนรู้ทันทีว่าตอนนี้เรือกำลังเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแล้ว



"นั่นมันเสียงระเบิดนี่ เกิดอะไรขึ้น!" แจ็คพูดเสียงดังแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร



"อย่าบอกนะว่าพวกเราถูกโจรสลัดปล้นอีกแล้ว บนนี้ยังสลัดอากาศด้วยงั้นหรอ" เจนหันไปถามโจซึ่งตอนนี้ก็มีสีหน้าตื่นตกใจไม่ต่างกัน ในตอนนี้ภาพลักษณ์ของโจรสลัดในสายตาเจนนั้นมีกัปตันคิดด์อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเธอไปเจอคนที่มีนิสัยอย่างเขาอีกล่ะก็คงมีหวังหัวระเบิดตายแน่ ๆ



"ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เรือเหาะเพิ่งจะมีมาได้แค่เดือนสองเดือนในเกมเท่านั้นเอง แถมฉันก็ได้ข่าวมาว่าราคาในการผลิตเรือเหาะแต่ละลำไม่ใช่น้อย ๆ ไม่น่าจะมีโจรคนไหนน่าจะสร้างได้ในตอนนี้หรอก... แต่ก็ไม่รู้สิ อาจมีโจรขโมยเรือเหาะมาก่อนหน้านี้ก็ได้" โจกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักเพราะเรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้หาข้อมูลเอาไว้



ครืน!!!



เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งแต่เบากว่าครั้งแรก ทว่าสิ่งที่ตามมานั้นกลับทำให้เจนตกใจมากยิ่งกว่าแรงสั่นสะเทือน เพราะตอนนี้เรือเหาะกำลังเอียงไปด้านข้างและกำลังลดระดับความสูงลงอย่างรวดเร็วจนดูราวกับว่ากำลังจะร่วงลงจากฟ้า!



พวกเจนกลิ้งไปบนพื้นตามแรงโน้มถ่วง เจนพยายามคว้าร่างของฟีบีไม่ให้พุ่งเข้าใส่กำแพงได้ทันเวลาก่อนจะตีลังกากลับลงมายืนได้อย่าปลอดภัยเช่นเดียวกับรินและคิทซึเนะ ส่วนสองหนุ่มนั้นโชคร้ายเพราะจุดที่ทั้งสองอยู่นั้นอยู่ตรงบริเวณประตูห้องพอดี ทำให้ทั้งคู่พุ่งออกนอกห้องไปทันที



รินและคิทซึเนะที่เห็นทั้งสองหลุดหายไปก็รีบกระโดดตามไปทันที ส่วนเจนนั้นรีบเก็บฟีบีเข้าไปในดาบแล้วจึงตามไปทีหลัง



เมื่อออกมานอกห้องก็พบว่าในตอนนี้เจนกำลังยืนอยู่บนผนังทางเดินในขณะที่เพื่อน ๆ ของเธอกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงแม้จะดูแปลกดีแต่มันไม่ดีแน่เพราะมันหมายความว่าเรือกำลังเอียง 180 องศาและกำลังร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง



ตึง!!



เสียงดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่เสียงระเบิด ตัวเรือเริ่มยกตัวขึ้นกลับมาตั้งตรงตามเดิมท่ามกลางความตื่นตกใจของเหล่าลูกเรือและผู้โดยสารที่ต่างเปิดประตูออกมาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



"ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะเนี่ย แต่ดูท่าคนอื่น ๆ ก็คงจะไม่รู้เรื่องเหมือนกันแฮะ" โจมองดูผู้เล่นที่ออกมาในสภาพเตรียมพร้อมแต่จากสีหน้าของแต่ละคนยังเต็มไปด้วยคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



"ฉันว่าพวกเราเตรียมตัวแล้วรีบขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือกันดีกว่า ถ้าหากมีอะไรจะได้ช่วยพวกลูกเรือได้" รินว่า



ทั้งสี่พยักหน้ารับคำแล้วจึงรีบสวมชุดพร้อมรบของตน จากนั้นจึงพากันตรงไปยังดาดฟ้าเรือ ที่ซึ่งผู้เล่นหลายคนต่างกำลังไปเช่นเดียวกัน







เมื่อวิ่งมาถึงบนดาดฟ้าเจนก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เหล่าผู้เล่นหลายคนพร้อมทั้งลูกเรือต่างนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นโดยไม่มีใครยืนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เมื่อพอจะมองหาผู้ที่โจมตีเรือเหาะและเหล่าผู้บาดเจ็บนี้ ทว่ากลับไม่มีใครอื่นที่อยู่บนดาดฟ้านอกจากคนเหล่านี้และพวกเจนกับผู้เล่นอื่น ๆ ที่เพิ่งจะมาถึง



"นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำกัน!" เจนรีบก้มลงดูอาการของลูกเรือที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาอาการไม่ได้สาหัสมากนัก เขามีบาดแผลเล็ก ๆ อยู่ทั่วตัวราวกับโดนมีดบาด โดยรูปแบบของแผลในแต่ละคนนั้นบอกได้เลยว่าใครหรืออะไรที่ทำเช่นนี้ได้ต้องมีความเร็วที่สูงมากและไม่ได้ทำการเล็งให้ดีตอนลงมือ ทำให้บางคนมีบาดแผลไม่หนักมากในขณะที่บางคนถูกกรีดเข้าที่อวัยวะสำคัญจนต้องได้รับการปฐมพยาบาลโดยเร่งด่วน



มองไปรอบ ๆ เจนก็เห็นร่องรอยบนตัวลำเรือที่ดูคล้ายกับรอยใบมีดกรีดขนาดใกล้เคียงกับแผลที่พวกลูกเรือโดนอยู่ทั่วลำ มีควันไฟพุ่งออกมาจากผลึกหินที่ลอยอยู่ด้านข้างเรือโขมงจนดูน่ากลัว รอยบาดบนผลึกหินนั้นบ่งบอกว่ามีบางอย่างพยายามจะทำลายผลึกทำให้เรือถึงกับสูญเสียพลังที่จะลอยไปชั่วครู่ โชคดีที่มันสามารถจะกลับมาทำงานได้อีกครั้งแม้จะยังดูร่อแร่ พังแหล่มิพังแหล่ก็ตาม มิเช่นนั้นถ้าหากผลึกอีกด้านโดนทำลายล่ะก็มีหวังเรือลำนี้ได้เป็นทัวร์นรกดิ่งพสุธาแบบที่เจนเคยเจอมาตอนเริ่มเกมแน่



"พี่เจน ดูนั่น!!" เสียงเรียกของคิทซึเนะทำให้เจนหันมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ออกไปบนฟากฟ้า



สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เจนถึงกับรู้สึกว่าน้ำลายเหนียวไปถนัด เพราะตรงหน้าของเธอคือฝูงปลาบินที่มีครีบเป็นใบมีดคมกริบจำนวนนับพัน



จบตอนที่ 26 ช่วยเหลือ
-------------------------------

Tohan-kun
21st January 2014, 10:37
ตอนพิเศษ เรื่องวุ่น ๆ ของจิ้งจอกสาวและมังกรน้อย





ระฆังแก้วใบใหญ่ล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาสีฟ้าจดจ้องระฆังใบนั้นด้วยความหลงใหลเพราะเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ยิ่งดูก็ยิ่งเพลินไม่มีเบื่อ มือน้อย ๆ จะยื่นออกไปหาเพราะอยากจะลองสัมผัสผิวที่เรียบวาวของมัน จนเด็กสาวมีความรู้สึกแปลกประหลาดรวมกับว่าเธอกำลังจะบินไปหาระฆังนั้น



"ฟีบี มัวเหม่ออะไรอยู่" เสียงหวานดังมาจากด้านหลังพร้อมกับมือบางวางที่ไหล่น้อย ๆ ทำให้เจ้าของเรือนผมสีฟ้าต้องหันไปมอง



เมื่อเธอเห็นว่าใครเป็นผู้ที่เรียกเธอไปก็ยิ้มกว้างออกมาและเรียกชื่อของหญิงสาว



"พี่คิทซึเนะ!" ร่างบางพุ่งตัวกระโดดกอดพี่สาวต่างสายพันธ์ด้วยความดีใจเละรับไอศกรีมสีชมพูโคนใหญ่มาเลียกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่ในมือของคิทซึเนะเองก็มีไอศกรีมก้อนสีเขียวอยู่เช่นกัน



จิ้งจอกสาวแลบลิ้นเลียรสชาติเปรี้ยวของไอศกรีมในมืออย่างอารมณ์ดีเพราะเจนบอกให้เธอและมังกรน้อยน้องสาวไปเที่ยวเล่นในเมืองได้ตามอิสระ ส่วนตัวเจ้านายเธอนั้นไปกับพวกโจโดยก่อนหน้านี้ทั้งสามคนดูเหมือนจะทะเลาะกันด้วย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้างแค่เมื่อเจนบอกให้เธอพาฟีบีไปเที่ยวในเมืองกันสองคนก็คงปฎิเสธไม่ได้ หวังว่าทั้งสามคนคงจะเข้าใจกันได้เมื่อเธอกลับไปแล้ว



ก่อนจากมาเจนให้เงินจำนวนหนึ่งเอาไว้กับคิทซึเนะราว ๆ สองหมื่นโกลด์ ส่วนตัวเธอนั้นยังมีเงินเหลืออยู่กับตัวอีกหมื่นกว่าโกลด์ จากที่เธอไปซื้อเสื้อผ้ามาก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้คิทซึเนะมีเงินอยู่เกือบสี่หมื่นโกลด์ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับชาวเมืองหรือสัตว์อสูรของผู้เล่น ถ้าหากเจนออฟไลน์ไปคิทซึแนะก็สามารถอยู่ได้ด้วยเงินจำนวนนี้เป็นเดือนเลยทีเดียว



ครั้นจะพามังกรน้อยไปเดินเที่ยวแต่คิทซึเนะเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เธอคิดได้แค่พาไปหาของอร่อย ๆ กินเท่านั้นซึ่งร้านไอศกรีมนี้ก็เป็นร้านที่สี่แล้วที่ทั้งสองแวะเข้ามา แต่กระเพาะของทั้งคู่ที่เหมือนหลุมดำนั้นยังคงยากที่จะเติมเต็ม



ยังมีสถานที่อีกแห่งที่คิทซึเนะรู้สึกติดใจอยู่ เธอพาฟีบีเดินไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่ก่อนหน้านี้เธอรบเร้าเจนให้พาเข้ามา แต่พอเธอเห็นอาการผิดปกติของพี่สาวคนนี้จึงยังไม่ได้เลือกซื้อเสื้อผ้าได้อย่างหน่ำใจ ต้องรีบออกมาตามเจนซะก่อน



เหลือบไปมองดูฟีบียังคงเอร็ดอร่อยกับไอศกรีมในมือจึงคิดจะแวะเข้าไปดูหน่อยคงไม่เป็นอะไร ถึงอยากจะทำหน้าที่พี่สาวของตนมากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เธออยากจะไปดูเสื้อผ้าสวย ๆ มากกว่า



เดินเข้าไปในร้านที่ยังคงมีเด็กสาวอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นนักผจญภัยสาวหรือชาวเมืองจำนวนมากก็ต่างเดินดูเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังราวกับกำลังเดินเข้าไปสู่สนามรบ น่าแปลกที่คิทซึเนะเองก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน



ส่วนผู้ชายในร้านก็มีอยู่บ้างแต่จำนวนบางตากว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นพนักงานของทางร้านก็จะเป็นคนจะคอยถือของทำหน้าเบื่อโลกนั่งอยู่ที่จุดพักราวกับเป็นการรวมกลุ่มประชุมชาย แต่ก็มีผู้ชายบางคนที่เขาไปเลือกเสื้อผ้าปนรวมอยู่กันกับเหล่าผู้หญิงด้วย โดยเฉพาะการแต่งกายที่สีฉูดฉาดและแต่งหน้าซะหนาเตอะทำให้คิทซึเนะสงสัยแต่ก็ไม่ได้เข้าไปคุยกับผู้ชายเหล่านั้น



เมื่อมองไปยังเสื้อผ้าบนราวก็ทำให้หัวใจของจิ้งจอกสาวพองโต สีสันและความหน้ารักของเสื้อผ้านั้นกำลังตะโกนบอกให้เธอเข้าไปหามัน ราวกับถูกสะกดจิต คิทซึเนะค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกเย็นที่มือ พอมองลงไปก็เห็นไอศกรีมที่เธอถืออยู่กำลังจะละลาย ทำให้หญิงสาวมองไประหว่างเสื้อผ้าชุดสวยกับไอศกรีมในมือว่าจะทำอะไรก่อนดี



ใจหนึ่งก็อยากจะกินไอศกรีมให้หมดเพราะถ้าละลายไปก็น่าเสียดาย แต่อีกใจก็กลัวจะโดนคนอื่นแย่งเสื้อผ้าที่หมายตาเอาไว้ ในหัวมีความคิดสองฝ่ายต่างตีกันจนวุ่นวาย ทว่าในที่สุดความคิดด้านเสื้อผ้าก็เป็นฝ่ายชนะ



คิทซึเนะนำไอศกรีมรสมะนาวของเธอยัดมือของฟีบีที่กำลังเลียไอศกรีมรสสตอเบอรี่ของตนแล้วหันมาพูดเสียงเข้ม



"กินไอศกรีมเสร็จแล้วรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่มา" ว่าแล้วเธอก็มุ่งหน้าตรงไปหาชุดสวยที่เธอหมายตาอยู่ทันที



ฟีบีจ้องมองสลับระหว่างพี่สาวจิ้งจอกกับไอศกรีมในมือของเธอด้วยความสงสัยแต่ก็ถูกลืมเลือนไปพร้อมกับรสเปรี้ยวหวานอร่อยของไอศกรีมในมืออีกข้างไปซะสิ้น



โชคดีที่ตอนนี้ฟีบีสนใจไอศกรีมในมือมากกว่าเสื้อผ้ารอบ ๆ ตัว คงเป็นเพราะยังเด็กเกินกว่าจะสนใจในเรื่องแบบนี้แต่ก็ทำให้คิทซึเนะมีเวลาอีกซักพักในการที่จะหาเสื้อผ้าสวย ๆ ได้ซักตัวสองตัว



จิ้งจอกสาวเริ่มจากค้นเสื้อราวแล้วราวเล่าแต่ก็ยังไม่เจอชุดที่ตัวเองสนใจ ครั้งมีชุดที่ต้องตาก็ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นซะแล้ว จึงทำให้เธอต้องก้มหน้าก้มตาค้นหาต่อไป



ตอนนั้นเองที่นัยน์ตาสีเหลืองทองเหลือบไปเห็นชุดสีขาวต้องตา มือยาวรีบคว้าไปที่ชุดนั้นอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะมีใครมาแย่งไป เมื่อหยิบชุดมาดูให้ดีก็พบว่าชุดนี้เป็นเดรสผ้าสีขาวตัวเดียวกับที่พี่สาวของเธอจ้องมาก่อนหน้านี้นี่เอง



คิทซึเนะรู้ทันทีว่าทำไมเธอถึงรู้สึกชอบชุดนี้ ไม่ใช่เพราะว่ามันเหมาะกับตัวเธอ แต่เป็นเพราะว่ามันเหมาะกับเจนต่างหาก



"ว้าย! ชุดสีขาวตัวนี้ดูน่ารักจังเลย!" เสียงหวานดังมาจากด้านหลังของคิทซึเนะ เสียงนั้นดูคล้ายกับเสียงของใครบางคนที่เธอฟังเสียงอยู่ทุกวันจนเธอเกือบจะเรียกชื่อขึ้นมา แต่พอหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้เป็นคนเดียวกับที่เธอคิด



เจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงสาวผมสีดำยาวสลวย ดวงตาสีน้ำตาลของเธอดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด แต่สิ่งที่ทำให้คิทซึแนะรู้สึกคุ้นกับหญิงสาวคนนี้คือโครงหน้าที่ดูคล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จัก



"อ๊ะ ขอโทษทีนะคะ พอดีชุดนั้นน่ารักมาเลยไม่ได้สังเกตว่ามีคนกำลังดูอยู่” หญิงสาวคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและแสดงออกว่าเสียใจจริง ๆ ทำให้คิทซึเนะยิ่งรู้สึกดีกับเธอมากขึ้น



"ไม่เป็นไรค่ะ" จิ้งจอกสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้มตามที่เจนสอนเธอเอาไว้ว่า 'หากคนอื่นทำดีกับเราให้ทำดีตอบ แต่ถ้าหากมีคนมาทำไม่ดีกับเราให้เอาคืนเป็นสองเท่า'



"จริยา เธอหาชุดที่ถูกใจได้หรือยัง นี่เธอถึงเมืองไหนก็เข้าแต่ร้านขายเสื้อผ้าตลอดเลยนะ" อีกเสียงดังมาจากด้านหลังของหญิงสาวตรงหน้าของคิทซึเนะที่ตอนนี้รู้แล้วว่ามีชื่อ จริยา



หญิงสาวที่มาใหม่นั้นมีรูปร่างผอมสูงเหมือนกับนางแบบ เธอมีดวงตาสีม่วงอยู่ภายใต้แว่นไร้กรอบ ผมสีดำยาวดูมีเสน่ห์ที่ให้ความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ต่างไปจากจริยา จิ้งจอกสาวรู้สึกว่าเธอคนนี้มีแรงดึงดูดมากกว่าซะอีก



เธออยู่ในชุดผ้าสีดำเข้ากับสีผม ท่าทางของเธอแม้จะดูคล้ายกับนักเวททั่วไปแต่สัญชาติญาณจิ้งจอกของคิทซึเนะบอกตัวเธอว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่เบา ทำให้คิทซึเนะรู้สึกไม่ชอบในตัวของผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นแต่ก็ได้เก็บเอาไว้ในใจเพราะหญิงสาวตรงหน้ายังไม่ได้ทำอะไรให้เธอเดือดร้อนซักหน่อย



จริยาได้ยินเพื่อนของตนพูดก็ยิ้มให้ก่อนจะตอบ



"แหมเกอร์ธูท ก็ชุดสวย ๆ มันเยอะมากเลยนี่นา แบบนี้จะห้ามใจอยู่ได้ยังไงล่ะ" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้หญิงสาวที่ชื่อเกอร์ธูทส่ายหน้า



"ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกฉันแค่ธูทก็พอ เรียกชื่อเต็มแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นรู้ก็เกิดเรื่องยุ่งซะเปล่า ๆ"



"ขอโทษทีจ๊ะ เกอ..ธูท" จริยาตอบด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ถึงเกอร์ธูทจะถอนหายใจออกมาเพราะนิสัยของหญิงสาวตรงหน้าแต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้



จริยาหันกลับมาหาคิทซึเนะที่ยืนอยู่ที่เดิม



"ว่าแต่เธอเองก็ดูเหมาะกับชุดนี้นะ แต่สีผมมันไม่ค่อยเข้ากันกับสีชุดเท่าไหร่" จริยาวิจารณ์พร้อมกับมองสลับระหว่างคิทซึเนะและชุดเดรสขาวในมือ พบว่าสีของชุดนั้นกลืนไปกับสีผมของคิทซึเนะจนกลับจุดเด่นของชุดไปซะหมด



"เปล่าค่ะ หนูไม่ได้คิดจะซื้อไปใส่เองหรอกค่ะ จะซื้อไปให้พี่สาวของหนู" คิทซึเนะตอบ แม้ว่าเธอจะคิดว่าที่จริยาพูดออกมาก็เพื่อตะล่อมเอาชุดนี้ไปจากเธอ แต่ในใจของคิทซึเนะกลับไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะทำเช่นนั้นได้ลง เมื่อเธอลองเอาชุดทาบกับอกแล้วมองตัวเองผ่านกระจกก็พบว่าสีผมชองเธอมันกลืนไปกับสีชุดจริง ๆ อย่างที่ว่าไว้



"อย่างเองหรอเนี่ย... ฉันเองก็น่าจะซื้อชุดไปเผื่อลูกสาวบ้างดีมั้ยน้า"



"ลูกสาวหรือคะ... แต่หน้าของคุณจริยายังดูอายุยังน้อยอยู่เลยนะคะ" คิทซึเนะรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพราะเธอพูดในสิ่งที่เธอคิดออกไปเมื่อได้ยินคำพูดจริยา



หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจแล้วจ้องไปที่หน้าขาวของจิ้งจอกน้อยที่มีสีแดงระเรื่อขึ้นมาจากอาการอาย



"ขอบใจมากจ๊ะ ฉันถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกันนะ ตอนนี้ฉันเพิ่งอายุสามสิบแปดเองนี่เนอะ" เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากลำคอระหง แต่เมื่อเธอเห็นดวงตาสีเหลืองของคิทซึเนะจ้องมาที่เธอ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวและความคิดนั้นก็ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจริยา



"ฉันมีชื่อว่าจริยา ส่วนนี่เพื่อนของฉันเองมีชื่อว่าธูท แล้วเธอล่ะจ๊ะมีชื่อว่าอะไร"



"คิทซึเนะค่ะ" จิ้งจอกสาวตอบชัดถ้อยชัดคำโดยไม่คิดจะปฏิเสธ



"หน้าตาก็สวยชื่อก็น่ารัก แต่ชุดของเธอมันออกจะเก่าไปหน่อยนะ ให้ฉันเลือกชุดให้เธอดูดีมั้ย"



คนฟังได้แต่ยืนตาปริบเพราะจู่ ๆ หญิงสาวตรงหน้ามาเสนอช่วยเธอซะอย่างนั้น แต่ข้อเสนอของเธอก็ทำให้คิทซึเนะสนใจอยู่ไม่น้อย



ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ ทั้งสิ้น จริยาก็ลากตัวคิทซึเนะไปทันทีโดยไม่ฟังคำตอบรับของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เธอหยิบเสื้อแล้วมาทาบตัวของคิทซึเนะจากราวสู่อีกราวอย่างรวดเร็วจนตัวจิ้งจอกสาวเองก็ยังตกใจ สาวตาที่เคยอ่อนโยนกลับคมกริบมองเสื้อผ้าไปตัวแล้วตัวเล่าที่เหมาะเข้ากับตัวของคิทซึเนะ เมื่อพบตัวที่ใช่เธอก็โยนใส่แล้วพาไปเลือกชุดอื่นต่อ ทิ้งให้เกอร์ธูทมองตามแต่เธอชินซะแล้วกับนิสัยของเพื่อนของเธอคนนี้



ทางคิทซึเนะเองก็ไม่ได้ต่อต้าน ยิ่งเดินไปกับจริยาเธอก็ยิ่งพบว่าเสื้อผ้านับสิบตัวได้ถูกโยนให้เธอถือจนเต็มมือ ทว่าแต่ละตัวนั้นถือว่าเป็นเพชรในตม ลวดลายสีสันนั้นเหมาะกับตัวของคิทซึเนะมากจนเธอสงสัยว่าหญิงสาวสามารถเลือกชุดให้เธอได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่เพิ่งพบกันเท่านั้นเอง



แต่เหตุการณ์นี้ก็เป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ(?) เมื่อครั้งต่อไปที่เธอเดินตลาดกับซินจู เธอจะทำให้พี่สาวของเธอต้องตะลึงและอิจฉากับทักษะการแต่งตัวที่เรียนรู้มาจากจริยาจนถึงแก่นเลยทีเดียว







ฟีบีที่เพิ่งกัดไอศกรีมคำสุดท้ายหมดไปก็กำลังมองหาตัวพี่สาวจิ้งจอกของเธอที่ตอนนี้คงกำลังไปเรียนวิชากับจริยาอยู่ มังกรน้อยจึงได้แต่ยืนรอเพราะที่คิทซึเนะสั่งเธอเอาไว้



ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีฟ้าหันไปเจอกับระฆังแก้วผ่านหน้าต่างของร้าน ร่างน้อย ๆ เดินออกไปอย่างไม่รู้ตัวโดยมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่เธอตั้งมั่นเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยขนาดตัวที่เล็ก ความสูงไม่ถึง 140 เซนติเมตรทำให้ไม่มีใครทันสังเกตฟีบีเลยแม้แต่น้อย เธอเดินออกไปตามทางในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ระฆังคริสตัลเหนือปราการสูง น่าทึ่งเธอไม่เดินชนอุปสรรคใด ๆ อย่างน่าประหลาด



เมื่อเดินเข้ามาถึงในตรอกแห่งหนึ่ง ร่างของมังกรน้อยก็ลอยขึ้นสูงราวกับมีปีกอยู่ที่หลังของเธอ ฟีบีบินสูงขึ้นเหนืออาคารรอบตัวแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเบื้องล่างต่างสนใจแต่ธุระของตนโดยไม่คิดจะมองขึ้นมาที่ระฆังคริสตัลที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลยแม้แต่คนเดียว



ในที่สุดฟีบีก็ลอยขึ้นมาถึงตัวระฆัง มือบางยื่นออกไปสัมผัสกับผิวแก้วด้านหน้า ความรู้สึกที่ได้นั้นแทนจะเป็นความร้อนของผิวแก้วที่ต้องแสงแดด ฟีบีกลับรู้สึกเย็นสบายราวกับไม่มีแสงอาทิตย์ส่องไปยังระฆังแก้วตรงหน้า ใบหน้าบางยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างชอบใจเพราะเธอได้ทำในสิ่งที่เธออยากจะทำสำเร็จแล้วนั่นก็คือการสัมผัสระฆังคริสตัลใบนี้



จุดประสงค์ของมังกรน้อยที่อยากจะทำนั้นไม่ได้มีอะไรลึกลับซับซ้อน ที่เธอทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเธออยากจะทำ ถึงจะเป็นมังกรแค่เธอก็ยังคงเป็นลูกมังกรตัวน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาจากมนุษย์และจิ้งจอกน้อยทำให้ไม่ได้มีลำดับความคิดตามสัญชาติญาณอย่างเช่นมังกรหรือสัตว์ทั่วไป ความคิดของเธอนั้นไร้เดียงสาและบริสุทธิ์อีกทั้งยังเรียบง่ายแต่มันก็เติมเต็มความสุขจนทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างร่าเริง



ทว่าตอนนั้นเองที่ระฆังแก้วกลับส่องสว่างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้คนจำนวนมากที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้จึงพากันชี้ขึ้นมาที่ระฆังแสงอย่างตื่นตกใจ ผู้เล่นก็พากันคิดไปว่ากำลังจะมีอีเวนท์พิเศษเกิดขึ้นซึ่งทำให้ในเวลาต่อมาจะมีผู้คนหลั่งไหลมาที่เมืองคริสตัลเบลเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมากเพราะเหตุการณ์นี้



ร่างเรืองแสงตัวเล็กจิ๋วเท่านิ้วก้อยลอยออกมาจากระฆังที่ค่อย ๆ จากแสงลงอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นบินวนตัวของฟีบีที่มองตามด้วยความสนุกสนานก่อนจะบินหลบเข้าไปในชุดของมังกรน้อย เมื่อเธอลองแหวะเสื้อในจุดที่ร่างเรืองแสงพุ่งเข้าไปหลบดูแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า



มันหายไปแล้ว



หลังจากพยายามหาอยู่นานฟีบีก็ยอมแพ้และหันไปมองรอบตัวอีกครั้งก็พบกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยบ่าย เธอนึกขึ้นได้ถึงคำที่คิทซึเนะได้บอกเธอเอาไว้ให้รออยู่ที่เดิมจึงรีบบินกลับไปที่ร้านขายเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว



แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดต่างอยู่ในสายตาของผู้ที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ผู้คนหลายสิบต่างวิ่งตามร่างที่ลอยลงมาจากระฆังแก้วที่จากแสงลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นใบหน้าของคนที่ลอยเข้าไปหาระฆังคริสตัลเพราะระดับความสูง แต่พวกเขาก็เห็นจุดที่ร่างนั้นร่อนลงสู่พื้นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบใครทำให้คนเหล่านั้นพากันตระเวนค้นหาร่างนั้นจนพากันเกิดความวุ่นวานไปทั่วบริเวณ เป็นโชคดีของฟีบีที่ไม่มีใครสงสัยเด็กตัวเล็กอย่างเธอแน่นอน



ร่างน้อยพุ่งลงมาด้วยความเร็วเร็วและเงียบเฉียบลงในตรอกเดิมที่เธอบินออกมาแล้วจึงวิ่งตรงกลับไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่พี่สาวของเธอพาเข้าไปโดยปราศจากผู้รบกวน เมื่อกลับมาถึงฟีบีก็ยังไม่เห็นเงาของพี่สาวของเธอเลย แต่ไม่ต้องคอยนานเธอก็เห็นคิทซึเนะเดินตรงมาหาเธอพร้อมกับถุงใส่เสื้อผ้าในมือด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข



"ยิ้มแบบนี้แปลว่าพี่คิทซึเนะไปเจออะไรดี ๆ เข้าหรอคะ" มังกรน้อยถาม



จิ้งจอกสาวหันมายิ้มให้กับน้องสาวแล้วจึงตอบคำ



"จ๊ะ เรื่องดีมาก ๆ เลยล่ะ พี่ของโทษนะที่วันนี้ไม่ได้พาไปเที่ยว" คิทซึเนะพูด เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนักเพราะวันนี้เธอเอาแต่ไปยังสถานที่ที่ตัวเธออยากไปโดยทิ้งให้น้องสาวของเธออยู่คนเดียว



ฟีบีได้ยินจึงส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มออกมา



"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ วันนี้หนูเองก็เจอเรื่องดี ๆ เหมือนกัน"



ถึงแม้คิทซึเนะจะแปลกใจกับคำพูดของฟีบีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สงสัยคงเป็นเพราะเธอได้กินไอศกรีมเยอะจึงอารมณ์ดีเช่นนี้ ดังนั้นก่อนจะกลับไปยังจุดนัดพบที่เจนได้บอกเอาไว้เธอจึงแวะซื้อไอศกรีมให้กับน้องสาวของเธออีกหนึ่งโคนเพื่อเป็นการไถ่โทษ เธออาจจะไม่มีวันได้รู้เลยว่าความจริงแล้วน้องสาวของเธอได้ไปทำอะไรบ้างในวันนี้



จบตอน
--------------------------------

Tohan-kun
21st January 2014, 10:39
ตอนที่ 27 พลังใหม่ 'ผสาน'



ฝูงปลาบินได้นับร้อยพุ่งเข้าใส่เรือเหาะราวกับคลื่นที่สาดซัดเข้าตัวเรือ เพียงแต่คลื่นน้ำไม่ได้มีปลาที่มีครีบเป็นใบมีดคมกริบเช่นนี้ ถึงแม้ว่าตัวเรือเหาะจะถูกออกแบบมาให้คงทนต่อแรงกระแทกและแข็งแกร่งพอที่จะเหาะฝ่าพายุได้ ทำให้ใบมีดของปลาเหล่านี้ไม่ระคายผิวของตัวเรือเท่าไรนัก ทว่าหินผลึกเวทที่เป็นสิ่งที่ทำให้เรือเหาะลอยขึ้นฟ้านั้นกลับเป็นจุดอ่อนหลักของเรือเพราะติดอยู่ขางลำเรือจนแทบจะไร้การป้องกัน เมื่อโดนใบมีดโจมตีมากเข้า ผลึกหินก็สูญเสียพลังจนเรือเกือบจะตก โชคดีที่ผลึกลอยตัวกลับมาทำงานอีกครั้งทันเวลา



แต่สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่นัก ยิ่งตอนนี้ลูกเรือส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า หากผลึกหินลอยตัวเกิดสูญเสียพลังอีกครั้งล่ะก็ มีหวังคราวนี้ได้ตกจากฟ้าจริง ๆ แน่



ปลาบินครีบใบมีด ชั้นทหาร ระดับ80

ปลาบินเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปตามน่านฟ้าเหนือท้องทะเล ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ปกติจะมีนิสัยรักสงบ แต่ถ้าหากถูกรุกรานในพื้นที่อยู่อาศัยล่ะก็จะร่วมกันขับไล่อย่างทันที

แพ้สายฟ้า พลังป้องกันธาตุแสงและน้ำสูง



เจนใช้ทักษะตรวจสอบอย่างยากลำบากเพราะต้องวิ่งหลบใบมีดที่พุ่งจะเชือดเฉือนร่างของเธอไปพลาง เล็งหาตัวปลาบินครีบใบมีดไปพลาง แถมยังต้องพาคนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งที่เป็นลูกเรือหลบแล้ว ยังต้องช่วยผู้เล่นที่เพิ่งขึ้นมาอีกต่างหาก



ผู้เล่นคนอื่นที่ต่างพากันขึ้นมาดูเหตุการณ์ส่วนใหญ่นั้นก็เหมือนมาช่วยเพิ่มภาระให้เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้วยังมาถูกปลาบินครีบใบมีดจัดการอีกต่างหาก คนไหนที่โชคร้ายหน่อยก็ถูกโจมตีที่จุดสำคัญจนกลายเป็นแสงก่อนที่จะมีคนมาช่วยเอาไว้ทัน แต่ก็มีผู้เล่นไม่น้อยเช่นกันที่ตั้งสติได้แล้วเริ่มโจมตีโต้ไปยังฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาบนอากาศ



โจและแจ็คนั้นต่างมีความสามารถในการโจมตีระยะไกลอยู่แล้ว จึงทำให้ทั้งคู่สามารถจัดการปลาบินเหล่านี้ได้ไม่ยาก แม้ว่าเลเวลของพวกมันจะสูง แต่พลังชีวิตของมันกลับมีไม่มากนัก เป็นเพราะพลังโจมตีและความเร็วที่สูงนี้เองที่ทำให้พวกมันมีระดับถึงเพียงนี้



เนื่องจากพลังชีวิตที่ไม่มากนั้นเองทำให้โจและแจ็คสามารถจัดการพวกมันได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แม้จะมีความเร็วสูงจนเล็งเป้าได้ยากแต่ทั้งคู่ต่างก็มีวิธีของตนเองที่จะจัดการพวกมันลงได้



เมื่อสนามรบเป็นท้องฟ้าทำให้เวทสายฟ้าของโจสำแดงเดชออกมาได้อย่างเต็มที่ เขารู้ดีว่าเขาไม่มีทางตามความเร็วของปลาบินครีบใบมีดทันแน่ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น



ไลทนิ่งสวาม!!



เวทสายฟ้าที่โจเคยลิ้มรสชาติพลังของมันมาด้วยตัวเองถูกใช้ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ใช้แบบประชิดตัว เขาปล่อยเวทออกมาที่กลางอากาศด้านหน้าที่ฝูงปลาบินวนอยู่เป็นจำนวนมากแทน



ระเบิดสายฟ้าระยะสั้น ๆ ปลดปล่อยพลังออกมาอย่างรุนแรงเช่นเคย ด้วยพลังที่ระเบิดออกมาอย่างไร้ทิศทางทำให้โจไม่จำเป็นต้องเล็งและปลาบินก็ไม่สามารถหลบทันเพราะความเร็วของมันเอง ไม่นานนักปลาย่างสุกก็ร่วงลงสู่ฟ้าราวกับฝนตก



ส่วนแจ็คนั้นดูจะลำบากกว่าเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้มีทักษะที่โจมตีกระจายเหมือนกับเพื่อนของเขา แต่เขานั้นก็มีทักษะที่สามารถใช้ในการต่อสู้ในศึกนี้ได้พอ ๆ กัน



ลางสังหรณ์มือปืน



ทักษะประจำตัวของอาชีพนักล่าคาหัวถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง แจ็คไม่คิดจะเสียเวลาเล็งปืนให้มากมาย เมื่อปืนคู่ทั้งสองกระบอกในมือเขาเลื่อนไปที่จุดหมายแล้วจึงลั่นไดทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองเป้า ถึงกระสุนจะไม่ได้เข้าเป้าทุกนัดเพราะไม่ได้ใช้คู่กับทักษะอะดรีนาลีน บูธแต่เกินกว่าครึ่งที่ยิงไปก็จัดการให้ปลาบินครีบใบมีดร่วงลงจากฟากฟ้าได้ ยิ่งเขาใช้ปืนโลกันต์ที่ใช้กระสุนจากพลังเวทแล้วด้วย ทำให้จำนวนปลาที่เขาจัดการนั้นไล่ตามโจไปติด ๆ เลยทีเดียว



เจนมองผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างหาวิธีจัดการปลาบินสารพัด แต่ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือตัวเธอเองนี่แหละ เพราะตั้งแต่ขึ้นมาบนนี้เธอยังไม่สามารถจัดการปลาบินครีบใบมีดได้เลยแม้แต่ตัวเดียว!



จุดด้อยที่ตัวเธอเองยังคาดไม่ถึงต่างบินอยู่เต็มท้องฟ้า เจนนั้นถึงจะมีพลังโจมตีสูงแต่ระยะการโจมตีจำกัด แม้ผ่ามิติจะมีระยะการโจมตีมากพอที่จะจัดการปลาบินเหล่านี้ได้แต่เธอไม่อาจตามความเร็วของพวกมันได้ทันและการที่พวกมันอยู่กระจัดกระจายกันแบบนี้ พลังเวทของเธอคงจะหมดก่อนที่จะจัดการพวกมันจนหมดอย่างแน่นอน



ขนาดคิทซึเนะเองยังใช้เพลิงจิ้งจอกรูปแบบใหม่ โดยเธอร่ายบอลเพลิงจิ้งจอกออกมานับสิบและใช้มันจัดการเผาปลาบินครีบใบมีดตัวแล้วตัวเล่าอย่างรวดเร็วไม่แพ้กับพวกโจเลย เจนที่เห็นพลังรูปแบบใหม่ของจิ้งจอกสาวก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถของเธอที่พัฒนาขึ้นมาเช่นนี้



แต่ท้ายที่สุดแล้วเจนก็ทำได้แค่เพียงช่วยเหลือพวกที่บาดเจ็บไปพร้อมกับพวกผู้เล่นที่มีอาวุธระยะประชิดอีกหลายคนซึ่งต่างไม่สามารถช่วยอะไรอย่างอื่นได้เลยในสถานการณ์เช่นนี้



"พวกมันเล็งจะเล่นงานผลึกหินลอยตัว! ปกป้องผลึกหินเอาไว้!" เสียงของโจตะโกนดังลั่นเมื่อเห็นว่าฝูงปลาบินครีบใบมีดไปรวมกลุ่มกันอยู่บริเวณผลึกหินทั้งสองด้าน



ความจริงแล้วปลาเหล่านี้ไม่ได้มีสำนึกคิดเหมือนอย่างพวกมอนสเตอร์ระดับสูงอย่างกระทิงภูเขาหรือหมาป่าขนแดงที่เจนเคยเจอ ถึงแม้จะมีระดับที่สูงกว่าแต่ไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์จะมีความฉลาดระดับเดียวกับมนุษย์กันทุกตัว ปลาเหล่านี้เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานที่คิดได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น



หนึ่งในสิ่งที่มันคิดได้คือหนึ่งในหลายสาเหตุที่ทำให้มันเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงเช่นนี้ ก็คือการวิเคราะห์จุดอ่อนนั่นเอง แม้จะไม่ถึงขนาดวิเคราะห์วางแผนได้เหมือนมนุษย์แต่ก็รู้จักว่าจะจัดการจุดอ่อนของศัตรูได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ที่มันเริ่มโจมตีและทำให้ผลึกหินลอยตัวหยุดการทำงานลง พวกมันจึงรู้ว่าจะจัดการตรงไหนจึงจะทำลายศัตรูของพวกมันลงได้



เมื่อโจสังเกตเห็นจึงรีบตะโกนบอกให้เพื่อนของเขาได้ยินพร้อมกับตัวเองก็วิ่งไปป้องกันผนึกอีกด้านทันที ยังดีที่ผู้เล่นคนอื่นที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มต่างพากันไปช่วยป้องกันผลึกหินลอยตัวด้วย เพราะอย่างไรก็ตามทุกคนบนเรือลำนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หากไม่ช่วยกันคงเป็นการยากที่จะรอดไปได้



เหลือเพียงแต่เจนและผู้เล่นที่ถนัดการโจมตีระยะประชิดจำนวนหนึ่งได้แต่เพียงคอยพยาบาลและเฝ้าคนเจ็บเท่านั้น แม้ว่าเธอจะอยากเข้าไปช่วยมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้



ในที่สุดความอดทนของหญิงสาวก็หมดลง ในหัวตอนนี้มีความคิดที่จะใช้ทักษะพลังสถิตร่างเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แน่นอนว่าความเร็วของพลังสถิตร่างจิ้งจอกเก้าหางนั้นเหนือว่าปลาบินครีบใบมีดอยู่มาก ทำให้เจนสามารถเข้าร่วมสู้ได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ในตอนแรกคิดจะเก็บทักษะนี้เอาไว้เพราะยังไม่อยากให้ผู้เล่นคนอื่นรู้และเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่สนใจในจุดนั้นอีกแล้ว



ทว่าก่อนที่เจนจะได้ลงมือทำอะไร ลูกธนูที่ส่องสว่างราวกับว่าทำจากแสงหลายสิบลูกก็พุ่งเสียบทะลุร่างของปลาบินเข้ากลางลำตัวอย่างแม่นยำ เมื่อหันไปมองที่มาของธนูเหล่านั้นก็พบว่าเป็นรินที่กำลังยืนเล็งคันศรไปยังฝูงปลาตรงหน้า



สาวผมสั้นชะงักเพียงครู่เดียวก่อนจะง้างคันธนูอีกครั้งพร้อมกับธนูแสงปรากฏขึ้นที่ร่องนิ้วของเธอ แทบไม่เสียเวลาเล็ง รินปล่อยลูกธนูในมือพุ่งเข้าใส่ปลาบินครีบใบมีดเข้าที่กลางลำตัวอีกครั้ง



ทั้ง ๆ ที่ปลาบินเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงแท้ ๆ เธอกลับยิงธนูออกไปได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ถึงไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าได้ใช้ทักษะอะไรหรือไม่ แต่การที่ทำเช่นนี้ได้ก็ถือว่ามีฝีมืออยู่ในระดับสูงมาก ทว่าไม่มีใครกลับรู้สึกคุ้นหน้าของเธอกันแสดงว่าเป็นผู้เล่นยอดฝีมือที่ไร้สังกัดอย่างแน่นอน



ทว่าต่อให้พวกโจและผู้เล่นคนอื่น ๆ พยายามซักเท่าไหร่ก็ตาม ทว่าจำนวนของปลาบินครีบใบมีดนั้นมีมาจนเกินกว่าจะรับมือไหว ถือว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเจนโชคร้ายสุด ๆ เพราะปกติแล้วปลาบินเหล่านี้เป็นสัตว์ที่รักสงบมาก น้อยครั้งนักที่จะทำการโจมตีเรือเหาะเช่นนี้ แต่นั่นจะเป็นเรื่องราวที่เจนจะได้รู้ภายหลัง....หลังจากที่เธอผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญที่กำลังจะเกิดขึ้น



เจนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเมื่อฝูงปลาบินครีบใบมีดที่ต่างเคลื่อนตัวเข้าโจมตีเรือเมื่อครู่เป็นระรอกกลับจู่ ๆ ก็แตกตื่นราวกับว่ามีอะไรทำให้มันตกใจ เดิมที่บินไปพร้อมกันเป็นแนวเดียวกลับแตกกระจายไม่เป็นระเบียบ การโจมตีที่พวกโจเริ่มจะต้านไม่ไหวได้หยุดลงอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาสามารถสังเกตมองเหตุการณ์ตรงหน้าได้เช่นกัน พอจะหันไปหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้จะหันไปหาใคร แม้แต่รินเองที่น่าจะมีข้อมูลมากที่สุดก็ยังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้า



ไม่ต้องรอนาน คำตอบก็โฉบลงมาเหนือเมฆด้วยความเร็วสูง ปีกขนาดใหญ่ทำให้ทุกคนถึงกับมองตาค้างไม่กล้าลงมือทำอะไรทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เป็นเจาของปีกนั้นไม่ได้มาเพียงแค่ตัวเดียว แต่มาได้นับร้อยตัว



ไวเวิร์นทะเล ชั้นขุนนาง ระดับ 60

สัตว์อสูรเผ่ามังกร เป็นญาติห่าง ๆ ของมังกรแต่มีขนาดเล็กกว่า อยู่อาศัยรวมกันเป็นฝูงหากินทั้งเหนือน้ำทะเลและใต้ทะเล มีนิสัยรักสงบแต่จะดุร้ายทันทีเมื่อถูกคุกคาม



แพ้สายฟ้า พลังป้องกันธาตุดินและน้ำสูง



"ถ้าอยากจะรอดไปจากที่นี่ ทุกคนอย่าไปลงมือกับพวกมันเด็ดขาด!" เสียงของรินตะโกนเสียงดัง แต่ถึงเธอไม่พูดก็ไม่มีใครคิดจะไปสู้กับพวกมันอย่างแน่นอน



ฝูงไวเวิร์นพุ่งเข้าใส่ฝูงปลาบินครีบใบมีดที่ตกใจกับการมาของพวกมันจนบินกระจายไปทั่วอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่ฝูงไวเวิร์นนั้นกลับแยกฝูงออกไปบินต้อนเอาไว้จนเหล่าปลาบินไม่สามารถหนีออกไปได้



รูปร่างของมันไม่ใหญ่มาก วัดจากสายตาความสูงเพียงสี่เมตร หัวของมันมีขนาดใหญ่กว่าลูกบาสเกตบอลเพียงเล็กน้อยทำให้สามารถกลืนปลาบินได้ในคำเดียวอย่างสบาย ๆ โดยไม่ได้สนใสครีบที่เป็นใบมีดเลยแม้แต่น้อย ผิวหนังที่เป็นเกล็ดหนาสีฟ้าท้องทะเลของมันทำให้ครีบใบมีดไม่แม้แต่จะทำให้เป็นรอยเลยได้เลยด้วยซ้ำ



มหกรรมการกินเกิดขึ้นโดยพวกไวเวิร์นไม่ได้มาสนใจกับเรือเหาะเลย มีเพียงบางตัวบินโฉบเข้ามาใกล้ ๆ แล้วจากไปโดยไม่ทำอะไร มีลูกไวเวิร์นตัวหนึ่งบินมาที่ดาดฟ้าเรือเพื่อเก็บกินซากปลาที่เหล่าผู้เล่นจัดการเอาไว้ มีผู้เล่นบางคนนึกครึ้มคิดจะจับลูกไวเวิร์นมาเป็นสัตว์เลี้ยงแต่ก็ถูกเพื่อน รีบห้ามเอาไว้ทันควันแล้วชี้ไปยังข้างลำเรือเป็นร่างไวเวิร์นสีฟ้าตัวใหญ่กำลังจ้องมองไปที่ไวเวิร์นน้อยไม่ละสายตา นั่นต้องเป็นแม่ของมันอย่างไม่ต้องสงสัย



"ทำไมพวกมันถึงไม่โจมตีพวกเรา" เจนที่เข้ามาสมทบกับพวกโจถาม



"ก็เพราะมันไม่เห็นพวกเราเป็นอาหารยังไงล่ะ" รินเป็นคนตอบคำถามของเจน



"ท่าทางฝูงนี้คงกำลังออกหาอาหารอยู่ โชคดีที่พวกมันสนใจปลามากกว่าคน ถ้าไม่อย่างนั้นได้ลุยกันจนเรือพังแน่"



ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดของรินต่างพากันกลืนน้ำลายกันอย่างยากลำบาก พวกเขาตรงนี้มีเลเวลเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ยศ ทหาร เลเวล 80 กันทั้งนั้น มีไม่กี่คนที่มียศขุนนางแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปสู้กับเหล่าฝูงไวเวิร์นนี้ได้ แค่เลเวลก็เทียบกันไม่ติดแล้ว



"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้มาเห็นภาพแบบนี้ในระยะเผาขน ถึงจะดูไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่แต่รู้สึกอย่างกับดูสารคดีสัตว์โลกอยู่อย่างนั้นล่ะ" โจว่า



"ดูนี่สิ ในกระดานข่าวสารมีเรื่องของปลาบินครีบใบมีดกับไวเวิร์นด้วย มันเขียนเอาไว้ว่ามีโอกาสแค่ห้าเปอร์เซ็นเท่านั้นที่จะเจอฝูงปลาโจมตีพวกเรา แล้วยิ่งน้อยลงมาอีกที่จะมีโอกาสเจอฝูงไวเวิร์น" แจ็คที่สลับหน้าที่เป็นคนหาข้อมูลแทนโจพูดขึ้น



โอกาสต่ำแต่ดันแจ็คพ็อตแตกมาเจอทั้งสองอย่างในวันเดียวได้ จะบอกว่าโชคดีสุด ๆ และดวงซวยสุด ๆ ก็ได้ล่ะมั้ง เจนคิดในใจพร้อมกับเริ่มคิดว่าบางทีเกมนี้อาจจะมีอีเวนท์สุ่มขึ้นมาให้ผู้เล่นเจอตลอดก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะเป็นตัวของเธอเองที่มันสมพงค์กับเรื่องแบบนี้ซะเหลือเกิน



เรือเหาะที่อยู่ในสภาพโทรมไปทั้งลำค่อย ๆ เคลื่อนผ่านฝูงไวเวิร์นอย่างช้า ๆ จนกระทั้งทิ้งพวกมันเอาไว้ข้างหลัง เจนได้ยินเสียงถอนหายใจของหลายคนด้านหลังเธอเมื่อเห็นว่าพวกไวเวิร์นไม่ได้ตามมา เจนก็แอบรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยเมื่อเห็นปลาบินครีบใบมีดที่ลดจำนวนอย่างรวดเร็วจนอาจจะไม่พอปากพอท้องของเหล่าไวเวิร์น และพวกมันจะหันมาหาเนื้อบนเรือลอยฟ้าลำนี้แทน



"เฮ้อ...ขอล่ะไอ้เรื่องน่าตื่นเต้น ให้การเดินทางหลังจากนี้มันราบลื่นไปจนจบทีเถอะ" เจนรำพันกับตัวเองแต่ก็เสียงดังพอที่จะทำให้เพื่อน ๆ ได้ยิน



แต่มีคำกล่าวว่า 'เกลียดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น' และโชค(?)ของเจนก็ไม่เคยทิ้งในเวลาที่เธอเรียกหา



ขณะที่นึกว่าหมดเรื่องแล้ว ทุกคนจึงพากันกลับเข้าไปในตัวเรือโดยมีบางส่วนที่แยกไปดูแลคนเจ็บและรักษาพวกลูกเรือ และบางส่วนนั้นกำลังซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของเรือเท่าที่ทำได้ ตอนนั้นเองผลึกหินลอยตัวทั้งสองก็ดับแสงลงและเรือก็พุ่งลงด้านล่างโดยเอาท้ายปักพื้นอย่างรวดเร็ว



พวกเจนที่ยังไม่ได้ลงไปจากดาดฟ้าเรอต่างรีบหาที่เกาะแทบไม่ทัน มีผู้เล่นบางคนที่ไม่ทันตั้งตัวกับเหตุการณ์นี้พลัดตกลงไปจากเรือและลอยหายไป โชคดีหน่อยพวกเขาคงจะกลับไปเกิดที่จุดเซพในทวีปอัลเทเชีย แต่ถ้าโชคร้ายก็คงจะกลับไปทวีปไลเทเชีย เสียทั้งเวลา ทั้งค่าเรือเหาะไปเปล่า ๆ



"เกิดอะไรขึ้น!! ทำไมเรือถึงกำลังจะตกได้ล่ะ!!" เจนตะโกนเสียงดัง มือบางคว้าเชือกใกล้ตัวเอาไว้ได้ทัน เมื่อหันไปมองเพื่อน ๆ ของเธอก็พบว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก



"บ้าชะมัด!! ผลึกหินหมดพลังแล้ว ต้องเป็นเพราะการโจมตีไอ้ปลาพวกนั้นแน่!" เสียงที่ตอบมานั้นไม่ค่อยคุ้นหูของเจนเท่าไหร่นัก เมื่อหันไปมองเป็นลูกเรือที่แต่งตัวคล้ายกับช่างเครื่องกำลังเกาะที่กั้นใกล้กับผลึกหินลอยตัวเอาไว้



"เรื่องนั้นช่างมันก่อน พอมีทางจะซ่อมมันได้มั้ย!" รินตะโกนถาม



ลูกเรือช่างเครื่องผู้นั้นรีบหันไปดูผลึกหินลอยตัวทันที แต่จากสีหน้าของเขาแล้วสภาพของผลึกก็คงไม่ดีนัก



"ไม่ไหวครับ! ถึงตัวผลึกจะเสียหายไม่มาก แต่เพราะถูกเจ้าพวกปลานั่นโจมตีจนเสียหายจนพลังเวทรั่วออกมาจนหมด แบบนี้ต่อให้ซ่อมได้ก็ไม่มีพลังเวทที่จะทำให้ผลึกทำงานได้อยู่ดี" ช่างเครื่องหนุ่มส่ายหน้า ดูท่าทางเขาคงจะปลงตกไปเรียบร้อยแล้ว



"ถ้านายซ่อมได้มันจะกลับมาทำงานได้ใช่มั้ย" รินถามอีกครั้งให้แน่ใจ



"ครับ แต่ยังไงก็ต้องเติมพลังเวทใส่เข้าผลึกอยู่ดี ข้าเห็นพวกท่านมีจอมเวทอยู่แล้วคนนึง แต่ต้องใช้จอมเวทสองคนถึงจะเติมพลังเวทได้ทั้งสองผลึกพร้อมกัน"



สถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ปัญหา ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็กลับเข้าไปในตัวเรือกันหมดแล้ว หากจะไปตามคงจะไม่ทันการณ์แน่ ถึงพลังเวทของเจนตอนนี้จะเต็มเปี่ยมแต่คงจะไปเทียบกันจอมเวทไม่ได้ แต่เจนไม่ยอมแพ้จึงขออาสาช่วย แต่เมื่อโจที่ใช้พลังเวทพยุงร่างไปตรวจสอบผลึกหินมาบอกว่าต้องใช้พลังเวทเป็นจำนวนอย่างน้อยถึงสองหมื่นที่จะทำให้ผลึกทำงานได้ ก็ทำให้เจนแทบจะหมดแรง



"ฉันเองก็เป็นจอมเวท ให้โจไปเติมพลังผลึกด้านนั้น ส่วนอีกด้านฉันจัดการเอง" เสียงของรินดังขึ้นราวกับฟ้ามาโปรด มอบความหวังให้ในสถานการณ์ที่กำลังหมดจนตรอกอยู่ทันที



"อ้าว! ฉันนึกว่าเธอเป็นนักธนูซะอีก" แจ็คเอ่ยถาม



"นั่นมันเป็นอาชีพแรกที่ฉันได้ อาชีพที่สองของฉันคือนักเวทก็เลยทำให้ฉันมีอาชีพเป็นจอมธนูเวทยังไงละ" ไม่พูดเปล่า หญิงสาวก็เร่งพลังเวทของเธอขึ้นมาในแบบที่โจทำ จนทำให้ร่างของเธอเปล่งแสงสีแดงอ่อน ๆ ออกมา ช่างเครื่องหนุ่มเห็นดังนั้นถึงกับยิ้มออกมาไม่หุบ



"โอ้! เยี่ยมยอดไปเลยครับ! ทั้งสองคนรีบไปเติมพลังใส่ผลึกเลยครับ ตอนนี้ถ้าจะรอให้ซ่อมเสร็จก่อนแล้วค่อยเติมพลังเวทคงจะไม่ทันการณ์ ถึงจะสิ้นเปลืองพลังเวทไปหน่อยแต่การทำให้ผลึกกลับมาทำงานอีกครั้งต้องมาเป็นอันดับแรกครับ"



"เข้าใจแล้ว!" เสียงของโจและรินดังประสานกัน จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งตัวออกไปนอกตัวลำเรือแล้วเริ่มเติมพลังเวทลงในผลึกหินลอยตัวทันที



เจนหันหน้าไปมองเพื่อนสาวที่กำลังใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสกับผลึกหินสีเขียวที่ดูเหมือนผลึกคริสตัลทั่วไป จากนั้นไม่นานเจนก็รู้ได้ทันทีเลยว่ารินกำลังถ่านโอนพลังเวทจากตัวเธอเข้าไปยังในผลึกเมื่อตัวผลึกหินลอยตัวเริ่มเปล่งแสงออกมาจาง ๆ สร้างความหวังให้กับพวกเจนและช่างเครื่องหนุ่มอย่างมาก



ทางช่างเครื่องหนุ่มก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เขามัดเชือกเอาไว้ที่เข็มขัดตัวเองและเสากระโดงเรือ จากนั้นก็กระโดดออกมายังผลึกหินพร้อมกับหยิบผลึกหินอีกก้อนออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบยัดมันลงไปในรอยบาดที่ปลาบินครีบใบมีดทำเอาไว้ โดยไม่รอช้าช่างเครื่องหนุ่มหยิบค้อนที่เอวของตนแล้วลงมือฟาดลงไปในจุดที่เขาเพิ่งยัดก้อนผลึกลงไปเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



ในตอนแรกเจนตกใจเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ช่างเครื่องหนุ่มทำนั้นจะเป็นการซ่อนผลึกหินนี่ได้ยังไง ตรงกันข้ามมันกลับเป็นการทำลายให้เสียหายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เมื่อจุดที่เขาทุบค้อนลงไปเริ่มมีสีส้มราวกับกำลังร้อนจัดเช่นเดียวกับค้อนของเขา รอยแผลบนผลึกเริ่มผสานตัวกันกับผลึกหินที่เขายัดลงไปจนปิดรอยรั่วจนเสียสิ้น



ช่างเครื่องหนุ่มไม่รอให้รอยบาดที่เพิ่งซ่อมเสร็จที่ร้อนจนกลายเป็นสีส้มเย็นลง เขารีบกระโดดไปยังจุดต่อไปอย่างชำนาญและเริ่มลงมืออุดรอยรั่วอีกครั้ง เมื่อรอยรั่วเกือบทั้งหมดถูกอุดลงแล้ว ผลึกหินลอยตัวตรงหน้าก็เริ่มส่องสว่างออกมาจนรู้สึกได้ว่าตัวเรือกำลังค่อย ๆ ตกด้วยความเร็วที่ช้าลงในขณะที่ลำเรือค่อย ๆ เอนไปทางด้านของโจเพราะพลังเวทที่รินถ่ายโอนเข้าไปนั้นไม่มีจุดใดให้ไหลรั่วออกมาแล้ว



ถึงช่างเครื่องจะกระโดดหันไปซ่อมผลึกทางฝั่งโจแล้วแต่รินก็ยังไม่หยุดถ่ายพลังเวทแค่นั้น เพราะถึงจะไร้จุดที่พลังเวทจะรั่วไหลแต่ก็ไม่มีทีว่าทางผลึกจะกลับมาทำงานเต็มที่อีกครั้งซักที มันยังคงส่องแสงกระพริบจาง ๆ เหมือนกับไฟตกอยู่ไม่ปาน แต่อย่างน้อยตอนนี้เรือก็กลับมาตั้งลำได้เช่นเดิมแล้ว



ไม่นานนักช่างเครื่องหนุ่มก็ปีนกลับเข้ามาในตัวเรือแล้วตรงมาหาเจน แทนที่จะมีสีหน้ายินดีแต่เขากับแสดงสีหน้าหดหู่ออกมาอย่างชัดเจน



"เป็นอะไรไป นายซ่อมผลึกเสร็จแล้วไม่ใช่หรอ แบบนี้พวกเราก็น่าจะรอดแล้วสิ" แจ็คพูด แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าสำร้างความฉงนให้ทั้งเจนและแจ็คอย่างมาก



"ผลึกทั้งสองก้อนซ่อมเสร็จแล้วก็จริงครับ แต่.."



"แต่อะไร" เจนเร่งเมื่อช่างเครื่องหนุ่มไม่ยอมพูดต่อ ถึงเรือจะกลับมาตั้งลำแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมลอยขึ้นอยู่ดี ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ชะตาของพวกเธอก็คงไม่ต่างไปจากเดิมแน่



"มันช้าเกินไปครับ ถึงทั้งสองคนจะใส่พลังเวทลงไปจนทำให้ตัวผลึกกลับมาทำงานได้ มันก็ยังต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าที่จะทำให้เรือตกช้าลงโดยที่ไม่ทำให้เรือกลายเป็นชิ้น ๆ ไปซะก่อน แต่เมื่อครู่ผมมองไปลงข้างล่าง วัดจากระยะสายตาผมคิดว่าคงอีกไม่กี่นาทีพวกเราคงจะตกลงทะเลแน่ครับ แต่ด้วยความสูงระดับนี้พวกผมคงไม่รอดแน่ ๆ"



ช่างเครื่องหนุ่มรู้ว่าพวกเจนผละผู้เล่นคนอื่น ๆ เมื่อตายไปจะกลับไปเกิดที่เมืองได้ราวกับเป็นอมตะ แต่สำหรับเขาและพวกลูกเรือคนอื่น ๆ ที่เป็นเอไอนั้นมันไม่ใช่ ถ้าเกิดเรือลำนี้ร่วงหล่นสู่ผืนทะเลด้านล่าง พวกเขาจะกลายเป็นศพที่อยู่กลางทะเลไม่มีใครพบ ไม่มีใครที่แม้จะเหลียวแล



โจและเจนต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก แม้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ จะยังไม่ได้ฉุกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักแต่สำหรับพวกเจนนั้นต่างกันออกไป พวกเธอได้รับการบอกกล่าวจากตัวหมิงเต๋อเองและพบกับประสบการณ์ตรงจากเมืองคริสตัลเบลทำให้ตอนนี้ที่เคยมองพวกเอไอเป็นแค่ตัวละครประกอบทั่วไป กลายเป็นว่าทั้งสามคนต่างเริ่มให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ขึ้นมาเทียบเท่ากับผู้เล่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ในบางครั้งอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ



บางทีอาจจะเป็นเพราะคิทซึเนะและฟีบีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นเอไอที่หากตายแล้วก็จะไม่มีวันกลับมาอีก เจนมองทั้งสองคนไม่ต่างจากพี่น้องจริง ๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย จนทำให้พวกโจพลอยรู้สึกตามไปด้วย ดังนั้นถ้าหากมีอะไรที่ช่วยได้ เจนก็ไม่คิดจะยั้งมือเอาไว้อย่างเด็ดขาด



"เฮ้ย! เจน ทำอะไรน่ะ!" เสียงร้องตะโกนอย่างตกใจของแจ็คดังขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวกระโดดออกไปนอกลำเรือทั้ง ๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า



แทนที่ร่างของเจนจะตกลงไปด้านล่างแต่กลับมีลมพัดใส่ร่างเธอจนลอยอยู่เหนือเรือเหาะที่เธอเพิ่งกระโดดออกมา ทว่าแรงลมนี้กลับไร้ความหมายเมื่อเรือเหาะนั้นมีน้ำหนักและขนาดใหญ่กว่าตัวเธอมากนัก แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย



พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ร่างในชุดสีขาวถูกห่อไปด้วยออร่างสีทอง พลังที่เพิ่มพูนขึ้นมาจนทำให้เจนรู้สึกได้และยังยืนยันความคิดของเธอได้อย่างดีว่าทักษะพลังสถิตร่างจะพัฒนาไปตามระดับเลเวล ยิ่งเลเวลของเจนมากเท่าไหร่ พลังที่ทักษะแสดงออกมาก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ตอนนี้เจนมองดูเรือเหาะที่กำลังตกลงไปยังเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง แต่ด้วยความเร็วระดับนั้น ในร่างพลังสถิตเทพจิ้งจอกเก้าหางนี้สามารถตามทันโดยแทบไม่ต้องออกแรงเลย



เพียงพริบตาเดียวเจนก็กลับลงมาที่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ช่างเครื่องหนุ่มมองเจนตาค้าง ตัวนิ่งแข็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ร่างที่แผ่ออร่าสีทองออกมานั้นยังมีแรงดันของพลังที่ปล่อยออกมาจนทำให้ฝูงไวเวิร์นที่อยู่ไกลออกไปถึงกับต้องรีบบินหนี นอกจากช่างเครื่องหนุ่มแล้วทั้งลูกเรือคนอื่น ๆ และผู้เล่นต่างจ้องไปที่เจนเป็นสายตาเดียวด้วยความรู้สึกที่ช่างเครื่องหนุ่มรู้สึก 'น่าเกรงขาม'



"เดี๋ยวฉันจะพยายามทำให้เรือตกช้าลงเท่าที่ทำได้ นายไปช่วยรินกับโจเสริมพลังเวทลงในผลึกซะ"



ไม่รอฟังคำตอบของคนถูกถามใด ๆ ทั้งสิ้น เจนพุ่งไปใต้เรือและเร่งพลังขึ้นมาเต็มที่แล้วใช้มือยันตัวเรือลำใหญ่เอาไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่ร่างนี้ทำได้



แต่ก็แทบจะกลายเป็นใช้หัวแบกทันที่เมื่อเจนรับแรงมาทั้งหมด น้ำหนักของเรือหลายร้อยตันและรวมไปถึงสัมภาระต่าง ๆ พร้อมทั้งทุกชีวิตที่อยู่บนเรือกดมาที่เจนเพียงจุดเดียว ความรู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับร่างจนแทบขยับไม่ได้เช่นนี้ทำให้เจนพอเข้าใจความรู้สึกของแซนวิชในเครื่องปิ้งแล้วว่าเป็นยังไง



พลังสถิตร่างแทบไม่มีผลเลยกับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเรือ แม้ว่าเจนจะเร่งพลังออกมามากซักเพียงใดแต่ก็ไม่ทำให้ความเร็วในการตกชะลอลงเลย คำตอบนั้นง่ายแสนง่ายและเจนเองก็พอจะคิดเองได้ก่อนที่เธอจะใช้พลังสถิตร่างเสียอีก นั่นก็คือพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเป็นความเร็วและพลังที่เสริมทักษะอื่น ไม่ใช่พละกำลังที่สามารถยกเรือทั้งลำให้ลอยขึ้นฟ้าได้ ต่อให้มาเอะผู้มอบพลังนี้มาให้กับเจนมาอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็ยังเป็นไปได้ยากที่จะหยุดไม่ให้เรือตกจากท้องฟ้า



แม้ว่าเจนรู้ว่าร่างนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักแม้ว่าจะมีพลังเพิ่มขึ้นมามากก็ตาม แต่จะให้เธออยู่เฉย ๆ อย่างไร้ความหวังนั้นเธอไม่มีทางทำได้ แม้ความหวังจะมีเพียงเล็กน้อย ถ้าหากมันจะช่วยคนเหล่านี้ได้ เธอก็จะทำมัน เพียงแค่ครั้งนี้เธอหมดหนทางที่จะช่วยแล้ว แม้จะทุ้มลงไปสุดตัวก็ไม่เพียงพอที่จะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้



"บ้าเอ้ย! ถ้าหากเรามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็.."



"หากเจ้าต้องการพลัง เพียงแค่เอ่ยปากขอเท่านั้น..."



เสียงลึกลับดังขึ้นในหัวของเจน มันเป็นเสียงที่เจนไม่ได้ยินมาพักหนึ่งแล้วจนไม่ได้สนใจ แต่เจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ที่เธอไม่อาจลืมไปได้ ยามาตะ โนะ โอโรจิ!



"นั่นนายงั้นหรอ ยามาตะ โนะ โอโรจิ นึกว่านายหลับอยู่ซะอีก แล้วนี่นายอยู่ในดาบนี่นา แล้วพูดกับฉันได้ยังไง" หญิงสาวพูดขึ้น เสียงแค่นลมหายใจดังขึ้นในหัวเบา ๆ ตีกับเสียงลมจนฟังไม่ค่อยได้ชัดนัก



"ข้าสามารถตอบคำถามทั้งหมดของเจ้าได้ แต่แน่ใจแล้วหรือว่าในเวลานี้มันเหมาะที่จะตอบคำถามของเจ้า" ยามาตะ โน โอโรจิถาม เจนรีบดึงสติกลับมาจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าก่อน



"จริงด้วย! นายมาก็ดีแล้ว ฉันจะเรียกนายออกมา ช่วยทำให้เรือนี่..-"



"แน่ใจแล้วหรือว่าจะให้คนบนเรือเห็นร่างของข้าน่ะ แล้วอีกอย่างข้าบินไม่ได้ ถึงเรียกข้าออกไปก็เท่านั้น" พญาอสรพิษเอ่ยขัดทำให้หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแต่เธอไม่คิดจะต่อปากต่อคำในตอนนี้เพราะผืนน้ำกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ



"ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรกันแน่! เมื่อกี้นายบอกว่าถ้าอยากให้ช่วยก็ขอมาแท้ ๆ แต่ไหง..-"



"ข้าบอกว่าถ้าหากต้องการพลังให้เอ่ยขอต่างหาก ข้ารู้สึกได้ถึงพลังของจิ้งจอกเก้าหางอยู่ในร่างของเจ้า ถ้าหากต้องการ...ข้าสามารถให้พลังแบบเดียวกันนี้กับเจ้าได้"



ในยามปกติเจนคงจะดีใจแทบคลั่ง แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังแย่ เวลากำลังบีบเข้ามาเรื่อย ๆ ถึงไม่รู้ว่าพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิจะทำอะไรได้บ้าง แต่ท้องทะเลที่เริ่มเห็นชัดขึ้นทุกทีทำให้เธอต้องรีบติดสินใจ



เหมือนกับพญาอสรพิษจะรู้ว่าเจนกำลังคิดอะไรอยู่ ดาบข้างตัวของเจนส่องสว่างด้วยพลังสีดำท่ามกลางออร่าสีทอง ทันใดนั้นเจนรู้สึกได้ถึงพลังที่แทรกเข้ามาในร่างเหมือนกับครั้งเมื่อตอนที่เธอได้พลังสถิตร่างมาเป็นครั้งแรก แต่แทนที่จะเป็นความรู้สึกอบอุ่นเหมือนพลังของจิ้งจอกเก้าหาง แต่เป็นพลังที่อัดแน่นจนปวดร้าวไปหมดทั้งตัวดั่งเช่นพลังที่เธอรู้สึกได้ถึงตอนที่เธอทำสัญญากับดาบคุซานางิ



เจนแทบคุมสติไม่อยู่เมื่อความเจ็บปวดพุ่งขึ้นไปถึงปลายประสาท เธอรู้สึกเหมือนว่าร่างกายของเธอเป็นลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศมากเกินไปจนระเบิดออก เพียงแค่ร่างของเธอนั้นยังคงสภาพอยู่ตามเดิมอยู่และนั่นทำให้เจนต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสเลยทีเดียว



ความจริงแล้วเจนควรจะตายตั้งแต่พลังของยามาตะ โนะ โอโรจิ ไหลเข้ามาในร่าง ตัวของเจนนั้นยังไม่อาจจะรองรับพลังมหาศาลของพญาอสรพิษได้ในทีเดียวเช่นนี้ แต่พลังจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ในตัวเธอนั้นยังคงช่วยต้านทานพลังให้ลดทอนลงและไม่ทำให้ร่างของเจนระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ



แม้พลังทั้งสองยังต้านกันอยู่ในร่างของเจนจะยังต้านทานกันได้ แต่พลังของจิ้งจอกเก้าหางนั้นเป็นฝ่ายด้อยกว่ามากนัก ยิ่งปล่อยเวลาผ่านเลยไปพลังก็ยิ่งอ่อนลงจนออร่าสีทองที่คลุมร่างของเจนนั้นอ่อนแสงลงจนทักษะแทบจะหายไป



ทันใดนั้นเองความเจ็บปวดก็มลายหายไป เจนรู้สึกได้ถึงพลังในร่างทั้งสองขั้วกำลังผสานกันเป็นพลังแบบใหม่ และเสียงในหัวก็ดังขึ้นเป็นการยืนยันความคิดของเจน



ท่านได้รับพลังสถิตร่างพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ



เนื่องจากท่านมีพลังสถิตร่างถึงสองชนิด สำเร็จเงื่อนไขเลื่อนระดับทักษะพิเศษ ทักษะพลังสถิตร่างเลื่อนสู่ระดับที่สอง "ผสานพลัง"



เมื่อสิ้นเสียง ออร่ารอบตัวของเจนพลันทอแสงซีดลงพร้อมกับปล่อยหมอกควันสีดำแผ่กระจายออกมา พลังพุ่งพล่านไปทั่วร่างจากหัวถึงปลายเท้ารู้สึกคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจนกล้ามเนื้อกระตุก พลังที่เจนสัมผัสได้นั้นทำให้เธอรู้ทันทีว่าเธอมีพลังมหาศาลเหนือคำบรรยายอยู่ในร่าง



เจนยังคงอยู่ใต้ลำเรือแต่เธอไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมันแต่อย่างใด เจนค่อย ๆ ออกแรงยกเรือให้ลอยขึ้น ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าความเร็วเริ่มช้าลง เมื่อเห็นว่าด้วยพลังที่ได้มาใหม่มีความสามารถขนาดไหนจึงไม่คิดรั้งพลังเอาไว้อีกต่อไป



เจนเร่งพลังออกมาเต็มที่ เรือที่กำลังตกลงสู่ผืนน้ำแทบจะหยุดเหมือนกับโดนรั้งเอาไว้ด้วยเส้นยาง เจนได้ยินเสียงตึงตังพร้อมกับเสียงโวยวายมาจากตัวเรือ คงเป็นเพราะการที่เรือหยุดกะทันหันเช่นนี้ทำให้คนที่อยู่บนเรือไม่ทันตั้งตัวเตรียมรับมือกับแรงกระแทกจนพากันล้มลงไปกองกับพื้น



มีหลายคนที่คิดว่าเรือกระแทกกับทะเลเรียบร้อยแล้วแต่พอชะโงกหน้าออกมาดูก็พบว่าเรือยังคงลอยอยู่บนฟ้าเช่นเดิม หลายต่อหลายคนตะลึกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคน ๆ เดียว



เจนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเรือไม่ลดระดับลงแล้ว เมื่อปล่อยมือออกก็พบว่าเรือเหาะกำลังลอยอยู่ด้วยอำนาจของผลึกหินลอยตัว แสดงว่าทั้งโจและรินคงสามารถทำให้ผลึกหินกลับมาทำงานได้อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว



เมื่อเห็นว่าวิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้ว เจนจึงหันเหความสนใจไปยังทักษะเก่าที่พัฒนาขึ้นมาทันที



ทักษะ พลังสถิตร่าง ใช้พลังเวท 1000 หลังจากใช้ทักษะแล้วใช้พลังเวท 100 ต่อ 1 นาทีเพื่อรักษาสภาพ ระยะเวลาดีเลย์ 1 วัน[นับเวลาเริ่มวันใหม่เป็นดวงตะวันขึ้นฟ้า]

ทักษะระดับ S หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว ผู้ใช้จะได้รับพลังมหาศาลซึ่งพลังจะแตกต่างกันไปตามมอนสเตอร์ผู้ให้พลัง

ระดับ 2 ผสานพลัง สามารถใช้พลังสถิตร่างสองชนิดได้พร้อมกัน โดยจะเพิ่มพูนความสามารถของพลังสถิตร่างทั้งสองชนิดขึ้นสองเท่า แต่ก็ต้องเสียพลังเวทมนตร์เป็นสองเท่าเช่นกัน

- พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ

- พลังสถิตร่างพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ



เจนอ่านรายระเอียดแล้วก็ยิ้มอย่างชอบใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็วเมื่ออ่านไปจนถึงส่วนที่บอกว่าต้องเสียพลังเวทเป็นสองเท่า ซึ่งพอหันไปดูแถมค่าพลังเวทมนตร์ของตนก็พบว่ามันลดเป็นน้ำไหลเลยทีเดียว เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงรีบพุ่งขึ้นไปด้านบนแล้วร่อนตัวลงบนดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็รีบปลดทักษะออกก่อนที่พลังเวทของเธอจะหมดลง นับได้ว่าเฉียดไปนิดเดียวเท่านั้น ถ้าหากเธอขืนใจลอยอยู่บนอากาศอีกเพียงนิดเดียวล่ะก็มีหวังคงได้ทัวร์ดิ่งพสุธาอีกรอบแน่



เมื่อออร่าจางหายไปเจนก็รู้สึกได้ว่าสายตานับสิบกำลังจดจ้องมาที่เธอ แม้ว่าเจนจะคิดเอาไว้แล้วว่าหากเธอใช้พลังต่อหน้าผู้เล่นคนอื่นจะต้องเป็นที่สนใจอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกผู้เล่นเหล่านั้นคงกำลังใช้ทักษะตรวจสอบกับตัวเธอจนพรุนไปหมด โชคดีที่ตรานายอำเภอที่แจ็คให้เธอเอาไว้นั้นทำให้คนพวกนั้นได้ไปแต่คำว่า 'ไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากติดทักษะพรางตัวจากเป้าหมาย'



แต่ที่ทำให้เจนต้องแปลกใจก็คือสายตาจากลูกเรือที่อยู่บนดาดฟ้าทั้งหลายต่างก็เป็นไปกับเขาด้วย แถมยังตะลึงจนอ้าปากค้างซะยิ่งกว่าพวกผู้เล่นซะอีก



แต่ก่อนที่เจนจะได้พูดอะไร เธอก็ถูกเพื่อนหนุ่มทั้งสองลากตัวกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็วโดยมีคิทซึเนะและรินวิ่งตามไปติด ๆ ส่วนพวกผู้เล่นที่เห็นว่าเจนโดนลากตัวไปแล้วต่างก็วิ่งตามไปในทันที ส่วนลูกเรือทั้งหลายเมื่อตั้งสติได้ต่างก็ตามไปติด ๆ เช่นกัน







เมื่อกลับมาถึงที่้ห้องพักเจนก็ถูกโยนลงเตียงทันที หลังจากที่สมาชิกที่เหลือเข้ามาในห้องแล้วแจ็คก็ทำการปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนอย่างแน่นหนาในขณะที่โจลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเธอพร้อมกับจ้องเธอเขม็ง แม้ดูจากสีหน้าของเขาพอจะเดาได้ว่าต้องมีเรื่องแน่ แต่เจนก็ยังคงไม่รู้เรื่องอยู่ดีว่าเธอไปทำอะไรเข้าล่ะเนี่ย



"คุณเจนครับ... ทีหลังถ้าจะทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อขนาดนั้นก็ช่วยปรึกษากันก่อนได้มั้ยครับ" โจพูดเสียงรอดไรฟันด้วยความอดทน



"จะให้ฉันไปปรึกษาใครล่ะ นายก็ไปยุ่งอยู่กับผลึกเวท ส่วนแจ็คก็ปรึกษาอะไรไม่ค่อยได้"



"เฮ้!" คนถูกพาดพิงส่งเสียงท้วงแต่ก็ไม่มีใครสนใจ เว้นแต่คิทซึเนะที่เอื้อมมือไปลูบไหล่เป็นการปลอบใจทว่าเธอเองก็ไม่ได้กล่าวแย้งอะไร



"แถมนายก็รู้ว่าเมื่อกี้มันสุดวิสัย ในตอนนั้นเพื่อช่วยทุกคนแล้วมันก็ต้องหาทางทำอะไรซักอย่างนี่นา อีกอย่างเรื่องแบบนี้อีกเดี๋ยวใคร ๆ ก็รู้อยู่ดีนั่นแหละ ถือซะว่าเป็นการเปิดตัวให้รินรู้ไปเลยก็แล้วกัน" เจนกล่าวออกมาหน้าตาเฉยพร้อมทั้งเรียกฟีบีออกมาจากดาบ



รินเองที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย "ที่พูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลดี แถมเป็นการเปิดตัวที่อลังการมากเลยด้วย"



"แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉัน..-"



ปึง!! ปึง!! ปึง!!



"เฮ้! ฉันขอคุยกับคนเมื่อกี้หน่อยได้มั้ย นายคนนั้นน่ะ ช่วยมาเข้ากิลด์ของฉันทีเถอะ!!"



"เฮ้ย!! พวกเรามาก่อนนะเว้ย!! หมอนั่นต้องมาเข้ากิลด์พวกเราต่างหาก!!"



"นี่นาย ทักษะนั้นเป็นของอาชีพอะไรหรอ ฉันขอซื้อข้อมูลต่อจากนายหนึ่งแสนโกลด์เลย"



"อย่าไปฟังไอ้หมอนั่นนะ บอกฉันดีกว่า ฉันให้นายแสนหนึ่งพันโกลด์!"



เสียงทุบประตูระคนดังพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกหน้าห้องดังระงมไปหมด เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้เล่นที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นต่างพากันเข้ามาหาเจนราวกับมดเจอน้ำหวาน ทุกสิ่งที่ออกมาจากปากพวกนั้นถ้าไม่เกี่ยวกับทักษะก็จะเป็นอยากให้เจนมาเข้ากิลด์ด้วย



"เฮ้อ...นั่นล่ะที่ฉันพูดถึง" โจเอ่ยพร้อมกับเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างหนักใจ ตั้งแต่ที่เขาเห็นพลังที่เจนมี เขารู้ทันทีว่าเรื่องยุ่ง ๆ แบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นซักวัน ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังให้วันนั้นจะมาถึงหลังจากที่เขาหาวิธีรับมือได้แล้ว แต่วันนั้นกลับมาถึงเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่คนที่ควรจะกังวลมาที่สุดกลับนั่งกอดเด็กสาวตัวน้อยในอ้อมอกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว



"ไอ้พวกนี้แค่เห็นคนใช้ทักษะอลังการ ทรงพลังเข้าหน่อยก็จะดึงตัวเข้ากิลด์ซะให้ได้ แบบนี้จะไปเล่นสนุกอะไร้" แจ็คว่าพลางมองไปที่ประตูที่โดนทุบจนทำท่าจะพังแหล่มิพังแหล่



"เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ แจ็ค นายรีบหาอะไรไปยันประตูเอาไว้ก่อน ถ้าขืนพวกนั้นพังเข้ามาได้ล่ะก็วุ่นแน่" โจบอกแล้วจัดการส่งเก้าอี้ให้กับเพื่อนของเขาเอาไว้เป็นที่ยันประตู



เจนได้ยินเพื่อนของเธอพูดจึงหันไปหาและถามขึ้นด้วยความแปลกใจ



"พังประตูเข้ามา? ในห้องพักส่วนตัวนี่น่ะหรอ ทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ"



ที่เจนถามออกไปก็เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วในเกม ที่อย่างห้องพักจะเป็นจุดที่บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาต เหมือนกับเป็นมิติปิดซึ่งเป็นสถานที่ส่วนบุคคลโดยเฉพาะ ทว่านั่นเป็นตรรกะของเกมอื่น ไม่ใช่ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์



"เธอลืมไปได้เลยเรื่องความเป็นส่วนตัวในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นประตูปราสาท ประตูโรงแรม ประตูร้านค้าหรือจะเป็นประตูบานนั้น ถ้าหากมีความสามารถมากพอ ผู้เล่นคนไหนก็พังเข้ามาได้เหมือนกับโลกจริง ๆ นั่นแหละ" โจว่า



"เหมือนจริงขนาดนั้นเชียว แต่ว่าทีพวกกระเป๋ายังเป็นเมนูให้ใส่ของเลยนี่นา" เจนพูดขึ้นพลางนึกถึงกระเป๋าเดินทางที่เธอใช้อยู่ ถึงเวลาจะใช้งานต้องเปิดกระเป๋าก่อนก็ตาม แต่มันก็มีเมนูให้ยัดของใส่เข้าไปเหมือนเกมทั่วไปอยู่ดี



"ใช่ แต่คนที่ขายกระเป๋าน่ะเป็นพนักงานที่เป็นคนมาประจำขาย ไม่ใช่เอไอ ฉันลองไปหาข้อมูลดูแล้วนะ เกมนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเอไอนั้นจะเหมือนกับโลกแห่งความจริงแทบทุกอย่าง จะยกเว้นก็แค่พวกหนังสือทักษะ คัมภีร์เวท หรือสิ่งของที่เกี่ยวกับเอไอระดับพิเศษอย่างอาจารย์หมิงไง"



เมื่อได้ยินที่โจกล่าวก็ทำให้เจนนึกย้อนกลับไปก็พบว่าพนักงานหนุ่มคนนั้นมีท่าทางสุภาพเหมือนกับพนักงานขายของในห้างสรรพสินค้าในโลกแห่งความจริง ซึ่งถ้าเทียบกันกับร้านขายชุดในส่วนที่อยู่อาศัยในเมืองคริสตัลเบลแล้วก็ต่างกันมากจริง ๆ



"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าถ้าคนพวกนั้นเข้ามาได้.." เจนหยุดพูดไปซะดื้อ ๆ เมื่อลองคิดภาพในหัวว่าพวกผู้เล่นพังประตูเข้ามาในห้องพักได้ เธอคงจะถูกหามออกไปเหมือนกับโดนฝูงซอมบี้แน่ ๆ



แต่ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนที่ดังอยู่นอกห้องพร้อมกับแรงกระแทกจากการทุบประตูที่หยุดลงกะทันหัน มีเพียงเสียงคุยซุบซิบฟังไม่ได้ศัพท์ดังลอดประตูเข้ามาเท่านั้น พวกเจนมองหน้ากันเพื่อหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กันเพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



เสียงเคาะเบา ๆ อย่างสุภาพดังขึ้นที่หน้าประตู เป็นสิ่งสุดท้ายที่เจนคิดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นขนาดนั้นแท้ ๆ ตอนแรกเจนคิดว่าจะมีคนระเบิดประตูเข้ามาซะอีก



เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งทำให้ทั้งสี่คนต่างมองหน้าหาคนเข้าไปเปิดประตู แต่สุดท้ายแล้วทั้งสามก็หันมามองที่เจนเป็นสายตาเดียว เมื่อโดนบังคับแถมเรื่องทุกอย่างเป็นเพราะเธอทำให้เจนต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก



เมื่อเจนเปิดประตูออกมาก็พบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นชายร่างสูงอยู่ในชุดสีน้ำเงิน สวมหมวกที่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นหมวกของกัปตันเรืออย่างแน่นอน ทว่าคนอย่างเขามีธุระอะไรกับเธอกันแน่



ด้านหลังของเขานั้นมีลูกเรือสามสี่คนยืนกันให้เหล้าผู้เล่นคนอื่นให้ถอยห่างออกไป แต่ก็ไม่มีใครที่คิดจะเดินจากไปเลยแม้แต่คนเดียว



"สวัสดีครับ ผมคือกัปตันพอล เรียกผมแค่พอลก็พอครับ" ชายร่างสูงแนะนำตัวเองแล้วยื่นมือมาจับ



เจนที่ยังสับสนอยู่ก็ยื่นมือออกไปจับกับพอลและแนะนำชื่อตัวเองออกไปโดยเธอจะลืมไปว่าเหล่าผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังกัปตันผู้นี้กำลังฟังทุกคำพูดไม่มีตกแม้แต่คำเดียว



เพียงเท่านั้นเหล่าผู้เล่นก็พากันส่งเสียงคุยกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะไม่ได้ดังเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ก็ดังมากพอที่จะให้รู้ว่าพวกเรากำลังคุยกันเรื่องของเธอ



"เอ่อ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับถึงได้มาหาที่ห้องแบบนี้" แจ็คที่ทนดูไม่ไหวเดินเข้ามาช่วยไม่ให้เจนหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ส่วนโจนั้นฟุบหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองอย่างหนักใจแล้ว เพราะแผนซ่อนตัวที่เขาคิดนั้นโดนเพื่อนสาวพลังทลายลงในพริบตา



"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากจะมาขอบคุณพวกคุณทุกคน ถ้าหากไม่ได้พวกคุณช่วยเอาไว้ ผมและลูกเรือทุกคนคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน ขอขอบคุณจริง ๆ ครับ!" เมื่อพูดจบเขาก็ก้มตัวให้ทันที



ทางเจนเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่รีบบอกให้พอลเงยหน้าขึ้นมา การที่คนที่อยู่ในระดับกัปตันเรือมาก้มหัวให้กับคนธรรมดาอย่างเจนได้นั้นถือว่าเป็นการลดเกียรติอย่างมาก แต่เขากลับยอมเพื่อที่จะแสดงคำขอบคุณที่พวกเจนนั้นได้ช่วยชีวิตเรือทั้งลำเอาไว้ นับได้ว่าเขาเป็นผู้นำที่น่านับถือคนหนึ่งทีเดียว



"เพื่อเป็นการตอบแทน อาหารบนเรือทุกจานจะไม่คิดเงินใด ๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าสำหรับนักผจญภัยท่านอื่นด้วยเช่นกัน" กัปตันพอลพูดเสริมเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงจากผู้เล่นรอบนอก



เมื่อได้ยินว่าอาหารฟรีผู้เล่นส่วนใหญ่ก็พากันตรงไปยังที่ห้องอาหารของเรือทันที ถึงแม้อาหารบนเรือจะมีไม่แพงมากนัก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะไปเสียเงินกับอาหารสิ้นเปลืองแบบนั้นเป็นมากนัก ถึงยังไงก็ตามผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ประทังชีวิตอยู่ได้กับข้าวกล่องราคาห้าร้อยโกลด์กันอยู่แล้ว



"ขอประทานโทษนะครับที่ผมไม่มีอะไรจะให้ไปมากกว่านี้แล้ว เรือของผมมันเป็นแค่เรือระดับล่าง ไม่มีห้องรับรองพิเศษจะให้พวกคุณไปอยู่ แต่เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับพวกคุณ ช่วยกรุณารับสิ่งนี้เอาไว้ด้วยครับ"



เจนรับของที่พอลส่งมาให้อย่างว่าง่าย เมื่อพิจารณาดูก็พบพบว่ามันเป็นเหรียญที่มีรูปปีกกับตัวอักษรSRอยู่ตรงกลางทั้งสองด้านอยู่สี่เหรียญ ส่วนอีกอย่างเป็นผลึกหินสีเขียวคล้ายกับผลึกหินลอยตัวที่อยู่ข้างลำเรือ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก



ผลึกหิน[ผนึก]

ผลึกหินธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ



เจนเอียงหัวอย่างแปลกใจเมื่อพบว่าผลึกหินในมือนั้นเป็นไอเท็มปิดผนึก นั่นแปลว่ามันคงมีค่ามากอย่างแน่นอน เจนจึงตัดสินใจเก็บเอาไว้แล้วคิดจะปลดผนึกมันในภายหลัง ส่วนเหรียญทั้งสี่นั้นเธอไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพราะพอลอธิบายให้ฟังจนเสร็จสรรพ



"นี่คือเหรียญสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสกายเรนเจอร์ หน่วยทหารอากาศของทวีปไลเทเชีย อาจจะไม่ค่อยมีค่านักแต่ผมอยากให้พวกคุณเก็บเอาไว้ครับ"



ถึงแม้จะยังไม่รู้เองไว้ได้อีกแต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการให้เธอรับเอาไว้ เจนก็ยินดีรับเอาไว้อย่างเต็มใจ







การเดินทางที่เหลือนั้นดำเนินต่อไปค่อนข้างราบลื่นกว่าที่ผ่านมา ไม่มีการโจมตีจากนอกเรืออีก และสภาพของเรือนั้นก็ได้รับการซ่อมแซมจนสามารถบินได้ตามปกติแม้การเดินทางจะล้าช้าไปกว่ากำหนดบ้างก็ตาม ในตอนแรกเจนคิดว่าเธอจะต้องเจอกับคาราวานที่จะดึงเธอเข้าร่วมกิลด์ด้วย แต่กลับกลายเป็นว่ามีผู้เล่นจำนวนไม่กี่คนเท่านั้นที่มาด่อม ๆ มอง ๆ เวลาที่เธอไปกินข้าวที่ห้องอาหาร แต่ไม่มีใครซักคนที่กล้าเข้ามาคุยกับเธอ



"เสียใจหรอที่เธอไม่เนื้อหอมแบบเมื่อกี้แล้ว" รินเอ่ยขึ้นขณะที่เธอและเจนพร้อมทั้งสองสาวน้อยกำลังกินข้าวเย็นของวันเดียวกับที่เรือตกจากฟ้า น่าแปลกที่เธอเจออะไรตั้งมากมายแต่สุดท้ายกลับมานั่งใจเย็นอยู่แบบนี้ได้จนแม้แต่ตัวเจนเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ



"เปล่า ฉันแค่สงสัยนิดหน่อยน่ะ" เจนตอบพลางมองไปรอบ ๆ สังเกตได้ถึงสายตาที่มองมาหาเธอจนเริ่มรู้สึกอึดอัด แต่สองมังกรและจิ้งจอกยังคงยัดอาหารยังไม่เต็มท้อง ยิ่งได้ยินว่ากินฟรีทั้งสองก็ยิ่งไม่สนใจเรื่องปริมาณเลยแม้แต่น้อยจนเจนรู้สึกเกรงใจ จึงให้สองจานที่ทั้งคู่กำลังทานอยู่นี้เป็นจานสุดท้ายแล้ว



รินหัวเราะในลำคอให้กับสีหน้าแสดงถึงความสงสัยของเจนก่อนที่จะชี้ไปยังลูกเรือสามสี่คนที่กำลังยืนเฝ้ายามอยู่รอบห้อง



"ฉันได้ยินว่ากัปตันเรือแจ้งให้ทุกคนว่าห้ามสร้างความรำคาญกับพวกเราน่ะ เห็นว่าถึงกับขู่ว่าจะยัดคนที่ฝ่าฝืนคำสั่งเข้าบัญชีดำห้ามขึ้นเรือเหาะเลยล่ะ แบบนี้ไม่มีใครมายุ่งกับพวกเราก็ถือว่าไม่แปลก"



เจนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่รินพูด เธอไม่คิดว่าพอลถึงกับลงทุนทำถึงขนาดนั้นเพื่อที่จะให้เธออยู่อย่างสงบ เท่ากับว่าตอนนี้เธอเป็นผู้โดยสารระดับวีไอพีของเรือลำนี้เลยทีเดียว



"ต้องทำถึงขนาดนั้นเลย! แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือเปล่า" เจนว่า



"ฉันว่าคงเป็นเพราะเธอเล่นสำแดงเดชมาซะขนาดนั้น พวกลูกเรือกับกัปตันพอลเกรงใจเธอขนาดนี้ยังน้อยไปเลยด้วยซ้ำ หากพวกเขาไม่กลัวเธอมีน้ำโหจนใช้พลังสถิตร่างอาละวาดจนเรือพัง ไม่ก็เห็นว่าเธอเป็นเทพเจ้าไปแล้วล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก" รินพูดเล่นทีจริงทำให้เจนเริ่มกังวลเล็กน้อย แต่ถ้าหากมันยังไม่มีปัญหาเธอก็ยังคงไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเรื่องนี้



"ว่าแต่โจกับแจ็คไปไหนซะล่ะเนี่ย" ยังไม่ทันจะได้มองหาเจนก็เห็นสองหนุ่มเดินข้ามห้องอาหารตรงมานั่งที่โต๊ะของพวกเธอ



หลังจากเกิดเรื่องยุ่ง ๆ เมื่อตอนเช้า โจและแจ็คก็หายตัวไปพักใหญ่เลยทีเดียว มีแว่บเข้ามาทานมื้อเที่ยงกับพวกเจนก่อนจะหายไปอีกครั้ง ตอนนี้เวลาราว ๆ ห้าโมงครึ่งได้ ทั้งสองก็กลับมาก่อนที่คิทซึเนะและฟีบีจะกินอาหารหมดทั้งลำ



"พวกนายสองคนหายไปไหนมาทั้งวัน" เจนถาม ทั้งสองเพียงยิ้มให้ไม่ตอบคำและแย่งอาหารบนจานของฟีบีกินซึ่งมังกรน้อยก็โวยวายเสียงดังลั่น แต่เมื่ออาหารได้ลงท้องชายหนุ่มลงไปแล้วทำให้ฟีบีได้แต่จ้องหน้าของแจ็คและคาดโทษเอาไว้ในใจ



เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ดวงตาพิฆาตจ้องเขม็งจนทั้งสองเริ่มรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว สุดท้ายแจ็คจึงยอมเอ่ยปากบอกมาว่าพวกเขาไปทำอะไรกันมา



"นาย!! นี่พวกนายบอกว่าไปทำอะไรกันมานะ!" เจนตะโกนเสียงดังลั่น



"ก็บอกว่าพวกฉันไปกระจายข่าวให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นผู้เล่นหนาใหม่ที่กล้าสู้กับกิลด์พิฆาตราชาไง" แจ็คว่าแล้วหยิบไส้กรอกขึ้นมากินรองท้องอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นจานของคิทซึเนะที่ปล่อยให้เขากินตามสบาย



"ไหนว่าจะต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับไงล่ะ แล้วต่อจากนี้ไปชีวิตอันสงบสุขของฉันจะเป็นยังไง นายไม่สนใจเลยใช่มั้ยหา!" เจนพูดอย่างหัวเสีย เธอนึกภาพตัวเธอถูกกลุ่มผู้เล่นคนอื่นไล่ตามตื้อให้เขากิลด์ อีกด้านก็เป็นกิลด์พิฆาตราชาไล่ฆ่าเธอก็นึกเสียวสันหลังไม่ได้



"ก็เพราะอย่างนั้นแหละพวกเราถึงต้องทำอย่างนี้ไง ใช่มั้ย โจ"



"ใช่แว้ว เอ้ายิ้มมม!" โจพูดพร้อมกับทำนิ้วเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเหมือนจะถ่ายรูป จากนั้นเขาก็หันไปกดอะไรบางอย่างบนหน้าต่างแสงด้านหน้า



"หมอนี่กำลังลงข่าวที่ฉันบอกเมื่อกี้ลงในกระดานข่าวสารน่ะ รับรองว่าล็อกอินคราวหน้าเธอได้ดังเป็นพลุแตกแน่" เพื่อนหนุ่มตัวโตชิงพูดก่อนที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากถาม



"เฮ้ย ทำอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ไม่ว่าเปล่า หญิงสาวพุ่งข้าวโต๊ะไปหาโจที่รัวมือพิมพ์ข้อความยิก ๆ



แต่ก่อนจะเอื้อมมือไปถึง เธอกลับถูกหยุดด้วยฝีมือของบุคคลที่เธอไม่คิดมาก่อน



มือบางของหญิงสาวผมสั้นรั้งตัวเธอเอาไว้จากด้านหลัง ทำให้โจที่พิมพ์ข้อความมีเวลามากพอ จนสามารถโพสข่าวของเจนขึ้นกระดานข่าวไดัสำเร็จ การกระทำของรินทำให้แปลประหลาดใจว่าเธอสนิทกับพวกโจขนาดที่ร่วมมือแกล้งเธอได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอหันกลับมามองดูหนาของเธอก็ทำให้เจนรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอคนนี้ทำไปเพื่ออยากจะเห็นเรื่องสนุกด้วยนิสัยของเธอเองล้วน ๆ !



"เสียใจด้วยนะเจน แต่เธอเป็นคนเริ่ม ดังนั้นเธอก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้" โจว่า



"ด้วยการเอาฉันไปขึ้นเขียงเนี่ยนะ!"



"เปล่าซักหน่อย! ลองคิดดูสิ ตอนนี้เธอโดนพวกกิลด์พิฆาตราชาจ้องเด็ดหัวอยู่ใช่มั้ยล่ะ แต่พอคราวนี้พวกนั้นรู้ว่าเธอมีพลังขนาดไหน คราวนี้การที่จะส่งคนมาตามล่าตัวพวกเรา...หมายถึงเธอด้วยก็ต้องชะงักไปแน่" โจอธิบายจนทำให้เจนเริ่มรู้สึกคล้อยตาม



"ไม่แค่นั้นนะ คราวนี้พวกผู้เล่นที่จะมาชวนเธอเข้ากิลด์ก็ต้องคิดหนักว่าจะให้กิลด์ตัวเองตกเป็นเป้ามันคุ้มกับการที่เอาเธอมาเข้ากิลด์หรือเปล่า แบบนี้คงจะเหลือแค่ไม่กี่คนที่จะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธอ" แจ็คเสริม



เจนถึงกับชะงักงันเพราะไม่คิดว่าทั้งสองจะคิดแก้ปัญหาได้อย่างหลักแหลมเช่นนี้ ปกติเวลาทั้งสองคนจะจับคู่กันนั้นถ้าหากเป็นเรื่องเกมล่ะก็หายห่วง แต่เมื่อเห็นแล้วว่าทั้งสองสามารถช่วยกันคิดจัดการปัญหาได้อย่างไร้ที่ติเช่นนี้ทำให้เจนต้องมองดูเพื่อนของตนเองใหม่ซะแล้ว







เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อการเดินทางบนเรือเหาะกำลังจะถึงจุดหมายแรกของมัน 'เมืองยามะไต'



ถ้าหากให้เทียบขนาดของเมืองแล้ว เมืองยามาไตถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นต้น ๆ ของเกมเลยทีเดียว แต่ถ้าหากให้เทียบกับความงดงามของเมืองนี้ล่ะก็ ถ้าบอกว่าเป็นที่หนึ่งก็ถือว่าไม่ผิดนัก ทั้งเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวประดับตามทาง สวนหย่อมเล็กน้อยตั้งอยู่ทั่วจนเจนเห็นทั้งเมืองกลายเป็นสีเขียวดูสบายตามากจากทิวทัศน์บนฟ้า



สิ่งก่อสร้างของที่นี่เป็นแบบญี่ปุ่นสมัยเอโดะหรือเก่ากว่า อาคารร้านค้าทั้งหมดรวมไปถึงอาคารที่อยู่อาศัยทำจากไม้ จากที่เจนเห็น หลังคาส่วนใหญ่เป็นแบบหลังคาหน้าจั่ว โดยกระเบื้องที่ใช้บนหลังคานั้นจะแยกออกตามขนาดบ้านโดยเป็นสีเขียวอมน้ำเงินสำหรับบ้านหลังใหญ่ สีน้ำเงินเข้มสำหรับบ้านหลังเล็ก และปราสาทขนาดใหญ่ไม่แพ้ปราการของกิลด์หกราชันย์ของเมืองคริสตัลเบลนั้นก็ใช้กระเบื้องสีแดงสดเห็นมาแต่ไกล



ตัวปราสาทนั้นมีกำแพงหินขนาดใหญ่ล้อมรอบ มีทางเข้าออกอยู่สองทาง โดยด้านในนั้นเจนเห็นต้นไม้นานาพันธ์และบ่อน้ำอยู่ด้านในทำให้คิดถึงสวนส่วนตัวของโชกุนอย่างไรอย่างนั้น



ด้านตัวปราสาทนั้นมีขนาดใหญ่และความสูงมาก ชั้นบนสุดนั้นอยู่ในระดับความสูงเดียวกับที่เรือเหาะกำลังบินอยู่เลยทีเดียว กะเอาด้วยสายตาแล้วปราสาทแห่งนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่าห้าสิบชั้นอย่างแน่นอน



เมื่อเรือเหาะลดความสูงลงเจนก็หมดโอกาสที่จะชมความงามของเมืองต่อ เรือค่อย ๆ เข้าเทียบท่าเรือเหาะอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะหยุดลงและปล่อยให้ผู้โดยสารออกจากเรือซึ่งพวกเจนตั้งใจจะอยู่รั้งท้ายเพราะคำสั่งห้ามยุ่งวุ่นวายของพวกเธอนั้นมีผลแค่บนเรือ แต่เมื่อลงจากเรือไปนั้นถือว่าอยู่นอกอำนาจของกัปตันพอล ไม่มีอะไรรับรองว่าเหลาผู้เล่นจะไม่เข้ามารุมแย่งตัวเจนอีกแม้ว่าจะมีข่าวที่พวกโจกระจายไปแล้วก็ตาม



เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เจนจึงส่งจดหมายไปหาพวกเสือซ่อนลายว่าพวกตนนั้นมาถึงที่ยามะไตแล้วและนัดให้มาเจอกัน เมื่อเจนโยนจดหมายขึ้นฟ้าแล้วมันก็บินหายไปทางเหนือ แสดงว่าพวกเสือซ่อนลายในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกับพวกเธอ ดังนั้นพวกเจนจึงได้แต่รอจดหมายตอบกลับมาเท่านั้นถึงจะทำอะไรต่อได้



เจนลองเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู พบว่าภารกิจผู้กล้าของเธอนั้นตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเป็น 306 หลังจากที่เธอได้ช่วยลูกเรือเอาไว้ทั้งลำ น่าเสียดายที่ภารกิจนี้ไม่นับรวมผู้เล่นด้วย ไม่เช่นนั้นตัวเลขคงจะพุ่งขึ้นสูงถึง 600 เลยทีเดียว



พวกเจนได้แยกทางกับรินที่ตรงนี้ ในตอนแรกเจนคิดจะพารินไปเดินเล่นในเมืองกันก่อนเพราะเนื่องจากเรือเหาะเสียหายหนักจึงต้องเสียเวลาซ่อมซักวันหรือสองวัน แต่เป็นเพราะถึงเวลาล็อกเอาท์ของรินแล้วทำให้เธอต้องอยู่ในเรือ เพราะเวลาเธอล็อกอินเข้ามาใหม่ เวลาที่เรือเหาะเดินทางเธอก็จะยังคงอยู่บนเรือนั่นเอง



หลังจากแยกทางมาจากรินแล้ว พวกเจนก็มุ่งหน้าตรงไปยังโรงแรมเป็นอันดับแรกเพื่อหาที่อาบน้ำ แม้ว่าบนเรือเหาะจะมีบริการที่ดีเยี่ยมแต่ไม่มีที่สำหรับให้อาบน้ำแต่อย่างใด แถมหลังจากผ่านการต่อสู้บนน่านฟ้าก็ทำให้อดรู้สึกตัวเหนียวเหนอะไม่ได้ แม้กระทั่งสองหนุ่มจอจานเองก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เช่นกัน



พวกเจนเข้าไปพักที่โรงแรมขนาดกลาง ๆ แห่งหนึ่งของเมืองที่มีสภาพคล้ายกับเรียวกังออนเซ็นในประเทศญี่ปุ่น ถึงตัวโรงแรมจะไม่ได้มีการตกแต่งจนดูหรูหรามากอย่างที่เคยพบ แต่โรงแรมแห่งนี้ก็ให้บรรยากาศผ่อนคลายไม่น้อยไปกว่าโรงแรมระดับห้าดาวเลย



ทั้งสามเลือกพักในห้องใหญ่เผื่อพวกเสือซ่อนลายด้วย ถึงจะดูสิ้นเปลืองไปบ้างเพราะยังไม่รู้ว่าเสือซ่อนลายจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เนื่องจากราคาที่พักนั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเมืองซีโป และพวกเจนยังมีเงินเหลือใช้แถมยังได้เงินค่าหัวมากจากพวกดีไนน์อีก ดังนั้นพวกเธอจึงไม่รู้สึกเสียดายเงินไปเท่าไรนัก



ห้องพักของที่นี่จะเป็นแบบนอนฟูกบนพื้นเสื่อซึ่งมีพนักงานคอยปูและเก็บฟูกให้ตามเวลา ทำให้เจนรู้สึกว่าแม้จะจ่ายเงินล่วงหน้าไปถึง25,000 สำหรับค่าที่พักเป็นจำนวนหนึ่งเดือนนั้นถือว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก



ห้องพวกที่เจนใช้นั้นเป็นห้องพักขนาดสิบห้าคน สามารถแบ่งห้องแยกชายหญิงได้หรือจะนำที่กั้นออกกลายเป็นห้องใหญ่ห้องเดียวก็ได้ ด้านข้างเป็นสวนหญ้าเล็ก ๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงแต่เนื่องจากคิทซึเนะและฟีบีนั้นสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้จึงไม่จำเป็นต้องใช้ ส่วนโจก็ไม่คิดจะเอาเจ้าโอร็อค มังกรหินที่กำลังจำศีลของเขาออกมาด้วย ดังนั้นที่สวนสำหรับสัตวเลี้ยงจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นแทน



ห้องอาบน้ำของที่แห่งนี้เป็นออนเซ็น บ่อน้ำแร่ธรรมชาติแต่น่าเสียดายที่มีเพียงอยู่บ่อเดียวเท่านั้นจึงทำให้กลายเป็นบ่อรวม แต่เนื่องจากที่นี่ไม่ได้มีธรรมเนียมเหมือนที่ญี่ปุ่นที่ต้องเข้าไปตัวเปล่า เจนจึงสามารถหาชุดว่ายน้ำให้กับพวกคิทซึเนะได้ แต่สำหรับเจนนั้นต้องยอมกลายเป็นผู้หญิงไปชั่วคราวและสวมชุดว่ายน้ำเข้าไปพร้อมกับพวกโจ



การแช่น้ำในบ่อน้ำแร่ธรรมชาตินั้นกลายเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับเจนมาก เพราะที่บ่อน้ำร้อนนั้นนอกจากพวกเจนแล้วยังมีผู้เล่นคนอื่นอยู่ด้วย แถมยังมีชาวเมืองที่มีผ้าติดตัวอยู่ผืนเดียวด้วย ทำเอาเธอต้องรีบปิดตาคิทซึเนะและฟีบีเอาไว้ไม่ให้มอง ส่วนพวกโจนั้นจ้องเหล่าหญิงสาวนุ่งผ้าผืนเดียวตาเป็นมันแต่เจนนั้นไม่มีมือจะไปรั้งพวกเขาเอาไว้ได้ จึงได้แต่ใช้ดวงตาพิฆาตเป็นระยะ ๆ แทน



หลังจากขึ้นจากบ่อและกลับมาที่ห้องเจนก็รู้สึกสบายตัวที่สุดในรอบหลายวัน แม้ว่าเธอจะเดินทางด้วยเรือเหาะมาเพียงแค่วันเดียว แต่ตอนที่อยู่ทวีปไลเทเชียเองพวกเจนก็แทบจะไม่ได้อาบน้ำอย่างเต็มที่ซักที ตอนอยู่ที่เมืองคริสตัลเบลก็ไม่ได้พักที่โรงแรมไหนด้วย ดังนั้นหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วพวกเจนก็พากันพักผ่อนอยู่บนห้องพักทั้งวันจนมีพนักงานขึ้นมาสอบถามว่าจะทานอาหารเย็นที่ห้องพักหรือที่ห้องอาหาร แน่นอนว่าทั้งห้าพร้อมใจกับตอบว่ากินบนห้องพัก



อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่อาหารทะเลและข้าว แต่รสชาติก็ยอดเยี่ยมและคุ้มกับที่โรงแรมนี้แยกเก็บค่าอาหารกับค่าที่พัก ทำให้พวกเจนต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก2,000โกลด์สำหรับอาหารมื้อนี้



ในระหว่างที่กำลังทานมื้อเย็นกันนั้นเอง จดหมายที่เจนส่งไปให้เสือซ่อนลายก็ถูกส่งกลับมา เจนรีบเปิดอ่านดูเนื้อหาข้อความดูทันที



"ตอนนี้พวกฉันอยู่ที่ทวีปยูโรปา มาเปลี่ยนอาชีพของฉันกับยูสตาร์ ส่วนตอนนี้ไมโกะได้อาชีพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนที่เธออ่านจดหมายนี้พวกเราก็คงกำลังเดินทางกลับมาที่ยูโรปา แต่คงไม่ทันกำหนดออฟไลน์แน่ ๆ เอาไว้เจอกันตอนออนไลน์ครั้งหน้าก็แล้วกันนะ - เสือซ่อนลาย" เจนอ่านจดหมายเสียงดังให้พวกโจฟัง



เมื่อได้ยินว่าคงใช้เวลาอีกซักพักกว่าพวกเสือซ่อนลายจะมาถึงยามะไต ทั้งสามจึงปรึกษากันว่าเวลาที่เหลือก่อนที่พวกเขาจะออฟไลน์จะไปทำอะไรกันดี



"ถ้าไม่นับคืนนี้ก็เหลืออีกสามวันก่อนถึงเวลาออฟไลน์ สามวันนี้จะไปที่ไหนกันดี ไปทำภารกิจของเมืองกันดีมั้ย" แจ็คเสนอความคิดเห็น



"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนแรกฉันอยากจะพาพวกนายไปพบกับแม่ของคิทซึเนะ แต่เอาไว้พวกเสือซ่อนลายมาถึงก่อนแล้วกันค่อยไปพร้อมกันทีเดียว" เจนพูด จิ้งจอกสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินพี่สาวของตนพูดถึงมารดา



"ฉันว่าพวกเราจัดการเคลียร์ภารกิจเลื่อนยศกันก่อนดีกว่า เหลือเวลาตั้งสามวันแบบนี้อาจจะทันเวลาก่อนออฟไลน์" โจว่า เจนและแจ็คก็พยักหน้าสนับสนุน



"เดี๋ยวฉันจะไปหามอนสเตอร์ระดับบอสสายเวทในแถบนี้ดู คงหาไม่ยากเท่าไหร่ ส่วนแจ็ค นายลองไปหาใบประกาศจับที่อาคารระบบดูก็แล้วกันว่ามีคนมีค่าหัวอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้มั้ย แต่นี่เป็นเมืองหลักอีกแห่งของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ น่าจะมีคนที่มีค่าหัวให้นายล่าอยู่บ้างล่ะนะ"



เมื่อเจนได้ยินว่าที่นี่เป็นเมืองของกิลด์อะไรก็ทำหน้ามู่ทู่ขึ้นมาทันที



"เข้าใจแล้ว" ชายหนุ่มตอบรับ จากนั้นทั้งสองก็หันมาหาเจนที่ยังคิดไม่ตกว่าเธอจะหาคนเดือดร้อนอีก 700 คนภายในอีกสามวันได้ที่ไหน



"เรื่องนี้ฉันเองก็จนปัญญาว่ะ พรุ่งนี้เธอลองไปสอบถามเธอลองไปสอบถามอาคารระบบพร้อมกับแจ็คดูก็แล้วกัน แต่ฉันได้ยินมาว่าภารกิจอย่างนั้นมีไม่ค่อยเยอะ แถมยังนาน ๆ ทีจะมีซักครั้งด้วย"



เจนที่ได้ยินคำพูดของโจก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ทั้ง ๆ ที่เธออยากจะรีบเปลี่ยนอาชีพเพื่อจะได้ไปช่วยอามีร่าแท้ ๆ แต่กลับต้องมาติดอยู่กับเงื่อนไขสุดยากมาซะนี่ แถมไม่รู้ว่าเธอจะต้องช่วยคนในระดับไหนถึงจะเป็นที่ภารกิจต้องการอีกด้วย



ขณะที่เจนมัวแต่ก้มหน้านั่งคิดไม่ตกอยู่นั้น คิทซึเนะเองก็กำลังทำท่าเหมือนกับว่าลังเลอะไรอย่าง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็อ้าปากพูดขึ้นมา "พี่เจนคะ ถ้าช่วยเหลือพวกสัตว์อสูรนี่จะถือว่านับหรือเปล่าคะ"



เมื่อเจนได้ยินเสียงเรียกถามของจิ้งจอกสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วคิดย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พนักงานที่อาคารระบบอธิบายรายระเอียดของภารกิจของเธอ



"อืม..น่าจะนะ ทำไมหรือ"



จิ้งจอกสาวก้มหน้าตรองแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของเธอต่างจากที่แล้วมาจนแว่บหนึ่งเจนเห็นเงาของมาเอะซ้อนทับร่างของคิทซึเนะเลยทีเดียว



"ถ้าหากหนูบอกว่ามีสัตว์อสูรในป่าเกาลัดอยู่หลายพันตัวกำลังต้องการความช่วยเหลือ พี่เจนจะว่ายังไงคะ"



จบตอนที่ 27 พลังใหม่ 'ผสาน'

-------------------------------

Tohan-kun
22nd January 2014, 13:04
ตอนที่ 28 สู่ป่าเกาลัด





เช้าวันถัดมา พวกเจนต่างพากันแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน ต่อให้เจนคิดจะไปช่วยพวกโจก็ทำไม่ได้เพราะตัวภารกิจบังคับวาให้ทำคนเดียว ส่วนเจนเองก็ใช่จะมีเวลาว่างไปช่วยคนอื่น ดูจากสีหน้าของคิทซึเนะที่ตั้งแต่ลงมาถึงเมืองยามะไตก็ดูไม่ค่อยดีนัก เหมือนกับว่ากำลังมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา



ในเมื่อคิทซึเนะไม่พูดเจนก็ไม่คิดจะไปบังคับให้บอกเพราะยังไงก็ตามหากเธอไปถึงจุดหมายเมื่อไหร่ก็คงจะได้รู้ทุกอย่างอยู่ดี ตอนนี้เจนจึงชวนฟีบีและจิ้งจอกสาวคุยไปเรื่อย แต่เมื่อไรที่พูดถึงมาเอะ ร่างบางของจิ้งจอกสาวต้องมีอันสะดุ้งไปทุกที ทำให้เธอได้แต่นึกเอาเองว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเผ่าจิ้งจอกและพวกเธอคงกำลังมุ่งหน้าไปหมู่บ้านจิ้งจอกแน่ ๆ



ก่อนออกมาจากเมือง เจนเตรียมเสบียงเอาไว้พร้อมสรรพ รวมถึงเตรียมอาหารเผื่อเอาไว้สำหรับช่วงเวลาที่เจนต้องออฟไลน์ในระหว่างที่อยู่กลางป่าด้วยในกรณีที่เธอใช้เวลาทำภารกิจมากว่าที่คิด แม้ว่าเธอจะจ้องห้องพักล่วงหน้าเอาไว้ถึงหนึ่งสัปดาห์เดือนแล้วก็ตามที แต่เธอก็ไม่คิดว่าสัตว์เลี้ยงทั้งสองจะกลับไปพักในเมือง หากเธอจัดการธุระเสร็จแล้วจึงปล่อยทิ้งไว้ให้พวกโจถ้าหากสองคนนั้นทำภารกิจเลื่อนยศสำเร็จก่อนเธอ



หลังจากพร้อมแล้วเจนและคิทซึเนะพร้อมทั้งฟีบีก็ออกเดินทางไปยังประตูทิศเหนือของเมือง ในช่วงเช้าเช่นนี้ยังมีผู้คนไม่มากสักทำให้เจนรู้สึกปลอดโปร่งมากเพราะไม่มีสายตาสอดส่องจ้องมาที่เธอ ส่วนพวกชาวเมืองนั้นก็ง่วนอยู่กับการเตรียมตัวเปิดร้านขายของจนไม่ได้สนใจเจนเท่าไหร่นัก



เมืองยามะไตแห่งนี้มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนที่มาที่แห่งนี้แล้วรู้สึกหลงใหล การวางผังเมืองแห่งนี้ก็แตกต่างจากเมืองที่เจนเคยไปมาเช่นกัน เพราะเมืองนี้จะรวมแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเอาไว้อย่างดี อย่างเช่นส่วนทางใต้ของเมืองที่ถือว่าเป็นท้ายเมืองเพราะไม่มีประตูทางเข้าออกนั้นจะเป็นที่ตั้งของร้านค้ามากมายและรวมไปถึงอาคารระบบ โรงแรมและท่าเรือเหาะเอาไว้เป็นส่วนเดียวอย่างไม่แยกกัน ส่วนทางเหนือและตะวันออกนั้นจะเป็นที่อยู่ของชาวเมืองและร้านค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายร้าน ประตูทางเข้าออกทั้งสองทิศก็ตั้งอยู่ตรงทิศดังกล่าวทำให้บริเวณนั้นถือได้ว่าเป็นตลาดเปิดท้ายขายของที่คึกคักไม่เบาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือพ่อค้าชาวเมืองต่างก็มาตั้งร้านขายของกันถ้วนหน้าจนคึกคักไม่แพ้ในเขตโรงแรมที่เจนพักอยู่เลย



สุดท้ายเป็นทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของปราสาทขนาดใหญ่ ปราสาทฮาชิฮากะ อันเป็นที่ทำการของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่และยังเป็นที่พำนักของราชินี ฮิมิโกะ กษัตรีแห่งยามะไตอีกด้วย



ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป โจได้เล่าเรื่องราวของเมืองแห่งนี้ให้ฟังมาเล็กน้อย เข้าบอกว่าเมืองยามะไตนั้นมีกษัตริย์คอยปกครองอยู่ ต่างจากเมืองซีโปที่เป็นเจ้าเมืองหรือเมืองคริสตัลเบลที่ปกครองโดยกิลด์หกราชันย์โดยตรง เมื่อครั้งที่จีโอและหย่งฟางนำกองทัพกิลด์เข้ามายึดครองเมืองแห่งนี้พวกเขาได้ทำสัญญากับราชินีฮิมิโกะ โดยจะขอใช้เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งหลักของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ และขอส่วนแบ่งจากการเก็บภาษีเมือง 10 เปอร์เซ็นต์ แลกกับการคุ้มครองเมือง ซึ่งแม้ว่าราชินีฮิมิโกะจะมีพลังอำนาจสูงส่งเพราะเธอมียศระดับราชาและมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชานับแสน แต่เธอก็ยอมตกลงทำสัญญากับพวกจีโอด้วย จนทำให้เมืองยามะไตถือว่าเป็นเมืองที่มีการป้องกันที่เข้มแข็งมากเมืองหนึ่งในเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์



เมื่อออกมานอกเมืองเจนก็พบกับบรรยากาศคุ้นตาเหมือนกับที่เจอบนเกาะไทริส สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยมากมายเดินหาอาหารยามเช้ากันอย่างสงบสุขเพราะไม่มีผู้เล่นคนไหนคิดจะไปยุ่งกับพวกมันเพราะมันมีเลเวลเพียงแค่หนึ่ง จะใช้มันเป็นอาหารก็ไม่คุ้มแรงเพราะพวกมันว่องไวมากในเรื่องการหนี แถมเพียงแค่เดินเข้าไปในป่าหน่อยนึงก็เจอกวางป่าและหมูป่าตัวใหญ่ที่ล่าง่ายและให้เนื้อมากกว่า



เนื่องจากเมืองยามะไตมีประตูทางเขาออกอยู่เพียงสองทาง ทำให้การเดินทางของเจนนั้นไม่เหงามากนักเพราะเพียงแค่เดินไปตามถนนนั้นก็พบเจอมอนสเตอร์ตัวเล็ก ๆ ตลอดทาง แถมพวกชาวบ้านที่ออกมาหาของป่ายามเช้าทักทายอย่างอัธยาศัยดีอยู่เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าต่างจากเมืองรีเด็มชั่นราวกับสวรรค์และนรกเลยทีเดียว



เมื่อเดินมาถึงทางแยก ป้ายบอกทางขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าบอกว่า 'ทางซ้าย เหมืองหินจอมเขมือบ ทางขวา หมู่บ้านโยโระ'



แต่แทนที่จะเลี้ยวซ้ายหรือขวา คิทซึเนะกลับเดินหลบป้ายบอกทางและตรงเข้าไปในป่าทึบโดยให้เหตุผลว่า "หมู่บ้านที่พวกเรากำลังไปอยู่ในป่าลึกค่ะ"



เมื่อได้ยินดังนั้นเจนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามคิทซึเนะไปเรื่อย ๆ โดยมีเป้าหมายเป็นป่าเกาลัดที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะไปถึง



พอเริ่มเดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น ก็เริ่มมีสัตว์อสูรเริ่มเขามาโจมตีพวกเจนบ้างเป็นครั้งคราว แต่เนื่องจากระดับของอสูรพวกนี้ไม่สูงมากนักจึงไม่ได้ทำอันตรายแก่พวกเธอเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเจนจึงใช้โอกาสนี้ฝึกการต่อสู้ให้กับฟีบีไปในตัว



คู่ต่อสู้ตัวแรกของฟีบีคือเสือป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่ง แม้จะดูน่ากลัวและมีขนาดใหญ่กว่าฟีบีมากนักแต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วเสือตัวนั้นมีเลเวล 75 เท่านั้นจึงพอวางใจได้ แล้วถ้าหากมีอะไรผิดพลาด อย่างน้อยเจนและคิทซึเนะก็ยังลงมือช่วยได้ทันเวลาอย่างแน่นอน



ถึงแม้มังกรน้อยจะมีเลเวลสูงกว่า แต่ประสบการณ์การต่อสู้นั้นแทบเป็นศูนย์ ดังนั้นเมื่อเธอเผชิญหน้ากับเสือป่าที่เป็นนักล่าที่อยู่ระดับสูงของสามเหลี่ยมห่วงโซ่อาหารในป่านี้ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเธอสามารถทำอะไรได้บ้าง



ปกติแล้วสัตว์อสูรที่มีเลเวลเต็มร้อยนั้นถือได้ว่าเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงที่มีความเก่งกาจ ยากที่จะต่อกรด้วยและเป็นพันธมิตรที่ทรงพลังถ้าหากอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่เนื่องจากฟีบีนั้นตั้งแต่เกิดมาแทบไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย อย่างมากก็แค่ช่วยล่าสัตว์เล็ก ๆ เท่านั้น พอตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายก็โดนเจนเก็บเข้าตัวดาบแทบจะในทันที ดังนั้นเมื่อเทียบกับเสือป่าที่มีประสบการณ์มาทั้งชีวิตแล้วถือว่าเกินตัวไปจริง ๆ



เปิดฉากการโจมตีเมื่อเสือป่าพึ่งเข้าตะครุบร่างของฟีบีหวังจะขย้ำมังกรน้อยให้จมเขี้ยว เจนและคิทซึเนะที่มองดูอยู่ห่าง ๆ ก็กัดฟันแน่นห้ามไม่ให้ตัวเองออกไปช่วยถึงแม้ว่าใจจะอยากไปเพียงใดก็ตาม เพราะไม่ว่าผลการต่อสู้ในครั้งนี้จะออกมาเป็นฟีบีสามารถเอาชนะได้ หรือจะเป็นโดนทำร้ายจนต้องให้เข้าไปช่วย แต่สุดท้ายแล้วการต่อสู้ครั้งนี้จะปลุกสัญชาติญาณการต่อสู้ของเธอขึ้นมาให้กลายเป็นมังกรอย่างสมภาคภูมิ



ฟีบีมองเห็นการโจมตีก็ใจหล่นวูบแทบจะหยุดเต้น มังกรน้อยพุ่งตัวหลบไปด้านข้างสุดแรงเกิดและรีบหันกลับมามองพี่ ๆ ของเธอที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ไกล ดวงตาสีฟ้าเห็นทั้งคู่พยักหน้าให้กำลังใจ ก่อนหน้านี้เจนบอกเธอแล้วว่าจะให้ฟีบีสู้ด้วยตัวคนเดียว และจะไม่เข้าไปช่วยถ้าหากไม่สู้แบบจริง ๆ จัง ๆ ทำให้มังกรน้อยต้องสู้ศึกนี้เพียงลำพัง ถึงแม้ทั้งสองจะแนะนำเรื่องการต่อสู้มากซักเพียงใด แต่คำพูดมันต่างจากการลงมือทำจริงเยอะ



ทางเสือป่าเองก็ต้องคอยเฝ้าระแวงพวกเจนด้านหลังว่าจะลอบโจมตีเข้ามาเมื่อไหร่ มองอยู่นานแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาช่วยเหยื่อตรงหน้าของมันเลย แต่เพราะท่าทางของผู้อยู่นอกวงการต่อสู้ทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา สัญชาติญาณของมันบอกอาไว้ว่าต้องคอยระวังเอาไว้ให้ดี ทำให้เสือป่าได้แค่ลงมือเพียงครึ่งกับฟีบี และใช้แรงอีกครึ่งคอยระวังตัวเองเอาไว้



แต่หารู้ไม่ว่านั่นกลับเป็นผลดีต่อฟีบีอย่างไม่คาดคิด เมื่อเสือป่าออมมือเอาไว้ทำให้มังกรน้อยค่อย ๆ จับทางของเสือป่าและหลบการโจมตีของมันได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวของฟีบีเริ่มคล่องตัวมากขึ้นถ้าเทียบกับตอนเริ่มต่อสู้ในตอนแรก



ทว่าสุดท้ายตอนนี้เธอก็ยังคงเป็นฝ่ายคอยตั้งรับอยู่ดี และไม่มีทีท่าว่าจะโต้กลับแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะฟีบีไม่รู้ว่าจะโจมตียังไง!



สถานการณ์เริ่มแย่ลงเมื่อเสือป่าพบว่าถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามได้แต่กระโดดหลบไปมา ทว่ามันเองกลับทำอะไรมังกรน้อยไม่ได้เช่นกัน ความเครียดเริ่มสะสมในใจจนแทบคลั่ง ในหัวคิดเพียงแค่หากมันไม่รีบจัดการศัตรูตรงหน้าให้ได้โดยไวล่ะก็ มันอาจจะเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียเอง ไม่ด้วยฝีมือของคู่ต่อสู้ตรงหน้า ก็ฝีมือของผู้ที่คอยเฝ้ามองอยู่ด้านหลัง



ในที่สุดความอดทนก็มาถึงขีดสุด เสือป่าตัดสินใจที่จะลงมือเต็มกำลังกับเหยื่อของมันตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป ถึงแม้ว่าการกระทำของมันอาจจะทำให้ศัตรูทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของมันเข้ามาโจมตี แต่อย่างน้อยสองรุมหนึ่งก็ยังดีกว่าสามรุมหนึ่งในความคิดของมัน



เสือป่าเคลื่อนที่อย่างฉับไว กรงเล็บตวัดใส่หน้าโดยไม่ได้เล็งทำให้พลาดจากเป้าหมายที่หลบอย่างง่ายดาย แต่การโจมตีครั้งนี้มันไม่ได้หวังเรียกเลือดจากฟีบีอยู่แล้ว แต่เป็นการทำให้เป้าหมายเสียจังหวะ เสือป่ากลับมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมตะครุบเหยื่อก่อนที่มังกรน้อยจะได้ทันตั้งตัว เมื่อกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้วมันก็พุ่งกระโจนใส่ทันที



โฮกกก!!



เสียงคำรามดังทำให้สมาธิของฟีบีแตกกระเจิง ดวงตาสีฟ้าหันไปมองเขี้ยวสีขาวขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเธอ ในหัวมีแต่ความสับสนจนคิดหาทางป้องกันหรือหลบไม่ได้แม้แต่น้อย พวกเจนเองที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงและพยายามจะเข้าไปช่วย แต่เนื่องจากระยะห่างนั้นมีมากพอสมควร ทำให้ว่าทั้งสองจะได้ลงมืออะไรก็สายเกินเสียแล้ว



ทว่าผู้ที่ได้ชื่อว่ามังกร ต่อให้เป็นลูกมังกรก็ยังคงเป็นมังกรอยู่ดี ในเกมดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์นั้นเสือเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงอยู่มาก แต่หากเอาไปเทียบกับมังกรแล้วก็เรียกได้ว่าห่างชั้นกันไม่เห็นฝุ่น เพราะมังกรถือเป็นมอนสเตอร์ประเภทสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ ที่ถึงกับสามารถเทียบชั้นได้กับเทพเจ้า!



ในตอนที่ตังเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยู่นั้นเอง สัญชาติญาณการป้องกันตัวของฟีบีก็เริ่มทำการตอบโต้การโจมตีของเสือป่าโดยอัตโนมัติ แต่แทนที่จะเคลื่อนตัวหลบกลับหันหน้าเข้าสู้คมเขี้ยวแทน



เสี้ยววินาทีก่อนที่เขี้ยวเสือจะได้ลิ้มรสเลือดมังกรนั้นเอง ในปากของมังกรน้อยก็ส่องสว่างจ้าแล้วก็มีลำแสงสีฟ้าออกมาจากปากของเธอพุ่งเข้าใส่ร่างที่อยู่ตรงหน้า เสือป่าถูกลำแสงนั้นกลืนกินจนมองไม่เห็นแม้แต่เงา ทว่ามันกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น ลำแสงพุ่งตรงไปยังป่าด้านหลังที่พวกเจนเพิ่งเดินผ่านมา



บรึ้ม!!



เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นป่าพร้อมกับแสงและควันไฟโพยพุ่งมาจากทิศที่ลำแสงเดินทางไป โดยไม่ต้องรอสัญญาณใด ๆ คิทซึเนะวิ่งเขาไปคว้าตัวน้องสาวของเธอแล้วรีบออกวิ่งไปจากบริเวณนี้ทันทีโดยมีเจนตามไปติด ๆ แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่คิดจะหันกลับไปมอง ในตอนนี้ทั้งคู่เพียงคิดจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น



ในเวลาไม่นานผู้เล่นจำนวนมากที่ได้ยินเสียงระเบิดต่างก็ตรงมายังบริเวณนี้และพบกับหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกระเบิดจากพลังลึกลับ สิ่งที่เรียกความสนใจจากผู้เล่นนอกจากความกว้างของหลุมและเสียงระเบิดดังลั่นก็คือหลุมระเบิดนั้นเหมือนกับถูกละลายด้วยไฟแรงสูงจนหินรอบ ๆ หลอมเหลว โชคดีที่จุดที่ระเบิดนั้นไม่มีคนอยู่และเป็นกลางถนนทำให้ไม่เกิดไฟไหม้ป่า แต่เนื่องจากผู้เล่นต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนมีข่าวลือว่ามีบอสมอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมา ทำให้ผู้เล่นระดับสูงจำนวนมากต่างไหลเทมายังป่าแห่งนี้จนคึกคักขึ้นมาทันตา แต่นั่นก็เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นภายหลัง







หลังจากพากันหนีมาจนไกลพอแล้ว คิทซึเนะและเจนต่างพากันนั่งหอบลงบนพื้นหญ้าเพราะวิ่งมาไกลมาก เจนไม่นึกคิดนึกฝันว่าเธอจะมาเจอกับเหตุการณ์คล้ายกับที่เหมืองทองโบรดี้อีกครั้ง ดีที่ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่า ถ้าเป็นเช่นนั้นมีหวังหนีเท่าไรก็คงหนีไม่รอดแน่ ๆ



"พี่เจน..." เสียงหงอย ๆ ของฟีบีดังขึ้น เมื่อเจนหันไปมองก็พบกับนัยน์ตาละห้อยมองมาที่เธอ



"หนูทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?"



"เอ่อ...เปล่าหรอก ฟีบีไม่ได้ทำอะไรผิด...ล่ะมั้งนะ" เจนหันไปพูดปลอบด้วยความไม่มั่นใจ แต่ถ้าการทำลายทิวทัศน์มีความผิดแล้วล่ะก็ ตัวเธอเองหรือยามาตะ โนะ โอโรจิก็คงโดนลงโทษไปนานแล้ว



เมื่อได้ยินพี่สาวบอก สีหน้าของฟีบีก็กลับมายิ้มแย้มดังเดิมแล้วจึงหันไปคุยเล่นกับคิทซึเนะ เปิดโอกาสให้เจนได้เรียกหน้าต่างระบบขึ้นมาดูทันทีว่าตัวของฟีบีนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง



มังกรฟ้า ฟีบี

ยศ ทหาร ระดับ 100



ทักษะ



ดราก้อนบรีธ ระดับ A ไม่ใช้พลังเวท ไม่มีดีเลย์

ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร เป็นการพ่นพลังออกมาตามธาตุของสายพันธ์มังกรนั้น ๆ พลังโจมตีขึ้นอยู่กับระดับยศและเลเวล



กลายร่าง ระดับ D ไม่ใช้พลังเวท ดีเลย์ 1 นาที

ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ หรือจะคืนร่างกลับไปเป็นมังกรได้ตามใจชอบ



จิตมังกร ระดับ S ไม่ใช้พลังเวท ไม่มีดีเลย์

ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร ปลดปล่อยจิตแห่งมังกรออกมาเพื่อข่มขู่ศัตรูหรือเรียกสัตว์อสูรเผ่ามังกรให้เข้ามาหา



เท่าที่เจนจำได้ ก่อนหน้านี้ฟีบียังไม่มีทักษะโผล่มาเลยแม้แต่ทักษะเดียว แต่เมื่อได้ต่อสู้ขึ้นมากลับมีทักษะโผล่ขึ้นมาถึงสามอย่างด้วยกัน แม้ว่าจะมีอยู่สองสามทักษะที่ดูจะไม่เข้าเค้ากับระดับซะเหลือเกิน อย่างเช่นดราก้อนบรีธที่ทรงพลังยิ่งกว่าผ่ามิติของเจนกลับเป็นทักษะระดับ A เท่านั้น และอีกทักษะหนึ่งก็คือทักษะจิตมังกรที่ดูแล้วแทบไม่ต่างจากทักษะจิตคุกคามของเจนเลยแม้แต่น้อย กลับได้เป็นทักษะระดับ S ซะอย่างนั้น



ถึงจะพอดีใจอยู่บ้างว่าฟีบีมีทักษะที่ใช้ป้องกันตัวเองได้แล้ว แต่ในเมื่อมันเป็นทักษะที่อลังการขนาดนั้นทำให้เจนต้องฝึกฟีบีควบคุมพลังของตัวเองให้ได้ถ้าไม่อย่างนั้นคงเกิดระเบิดเทิดเทิงอีกรอบแน่ ถึงจะเสียเวลาไปทั้งเช้าแต่ในที่สุดมังกรน้อยก็สามารถปลดปล่อยพลังมาอย่างพอประมาณได้ แต่ถ้าหากเธอใช้ดราก้อนบรีทด้วยมือแทนปากเหมือนอย่างที่คิทซึเนะใช้เพลิงจิ้งจอกได้คงจะดีกว่านี้ แต่ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าลมหายใจมังกร จะให้ใช้เหมือนพลังเวทก็คงดูตลกพิลึก



หลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วทั้งสามก็ออกเดินทางต่อโดยมีคิทซึเนะเป็นผู้นำทาง ฟีบีอยู่ตรงกลางคอยจัดการสัตว์ป่าที่เข้ามาขวางทางด้วยความกระตือรือร้น สุดท้ายปิดแถวคือเจนที่คอยระวังด้านหลังแต่ในป่าแห่งนี้ไม่มีมอนสเตอร์ที่เธอต้องกังวลเท่าไรนัก ที่เก่งที่สุดคงจะเป็นเสือป่าที่โผล่เข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว



เมื่อเดินทางเข้าไปลึกขึ้นเจนก็เริ่มสังเกตว่าสภาพป่าโดยรอบนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใบสีแดงและมีลูกผลไม้มีหนามอยู่ ถึงจะดูไม่เหมือนที่เคยเห็น แต่ก็พอจะเดาได้ว่านั่นคือผลเกาลัด



"ตอนนี้พวกเราอยู่ในป่าเกาลัดแล้ว อีกไม่นานเดียวพวกเราก็น่าจะถึงจุดหมายแล้วล่ะค่ะ" คิทซึเนะกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าของเธอนั้นดูเคร่งเครียดต่างจากน้ำเสียงมากนัก



"มีอะไรหรือเปล่าคิทซึเนะ" เจนถามด้วยความเป็นห่วง



คิทซึเนะยิ้มให้กับความห่วงใยที่พี่สาวของเธอมีให้ ในตอนแรกเธอเองก็ไม่คิดว่าจะมาขอร้องเรื่องนี้กับเจนเพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องของเผ่าจิ้งจอกเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอที่เกี่ยวพันกับเผ่าอื่น ทว่าเมื่อเจนพูดขึ้นมาทำให้คิทซึเนะจะลองขอความช่วยเหลือดู แต่ถึงขนาดเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่บอกอะไรกับเจนซักอย่างมันคงจะเป็นการเสียมารยาทไม่ใช่น้อย



"คือเรื่องหมู่บ้านที่พวกเรากำลังจะไป จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่หมู่บ้านของเผ่าจิ้งจอกซะทีเดียวหรอกค่ะ"



เมื่อได้ยินคำพูดของจิ้งจอกสาว เจนก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะในตอนแรกจะเป็นเรื่องของเผ่าจิ้งจอก จากที่มาเอะเคยเล่าให้ฟังครั้งเมื่อเจอกับกับสอบถามเพิ่มเติมจากตัวคิทซึเนะเองแล้วจึงทำให้ได้รู้ว่าตัวมาเอะนั้นถูกผนึกเอาไว้มานานตั้งแต่ก่อนที่ตัวคิทซึเนะเกิดเสียอีก เพราะขาดเทพเจ้าหนุนหลังอาจทำให้จิ้งจอกในป่าอาจจะถูกรุกรานเพื่อแย่งที่อยู่อาศัย ทำให้คิทซึเนะพาเธอมาเพื่อจัดการปัญหานี้ลงซะ แต่เจนก็คิดได้ทีหลังว่าเธอปลดปล่อยมาเอะออกจากผนึกได้นานนับเดือนแล้วตามเวลาในเกม ดังนั้นปัญหาที่เธอเพิ่งคิดได้ก็น่าจะถูกมาเอะจัดการไปแล้วเช่นเดียวกัน



ใบหน้าที่เจนแสดงออกมาเป็นเครื่องหมายคำถามนั้นทำให้คิทซึเนะรู้ว่ายังมีเรื่องที่จะต้องอธิบายอีกมาก



"เมื่อก่อนหนูมีเพื่อนสนิทอยู่ในป่าแห่งนี้ ช่วงก่อนที่จะมาเจอกับพี่เจน แต่เพราะหมู่บ้านของเธอถูกพวกเทนกุจมูกยาวโจมตี ทำให้หนูเลยออกเดินทางหาคนที่จะมาช่วยเพื่อนของหนูค่ะ" คิทซึเนะอธิบาย



"แล้วทำไมเราถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้มาที่นี่พร้อมกับพวกพี่เสือซ่อนลายเขานานแล้ว"



"ก็ตอนแรกหนูเองก็อยากจะบอกอยู่แล้วยังพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ แล้วพอพูดได้แล้ว..- !!" จิ้งจอกสาวเอ่ยไม่จบประโยค เธอชะงักและเรียกลูกบอลเพลิงจิ้งจอกออกมาและพุ่งเข้าใส่เจนอย่างรวดเร็ว



ทางหญิงสาวที่ตกใจว่าจู่ ๆ ทำไมคิทซึเนะจะพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางเอาเรื่องก็ทำอะไรไม่ถูก แต่พริบตานั้นเธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลัง มือบางรีบชักดาบคุซานางิออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดไปด้านหลังทันที



ตูม!!



คมดาบปะทะเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่จนหินแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ คิทซึเนะและฟีบีต่างเข้าอยู่ในสภาพพร้อมสู้ในพริบตา โดยเฉพาะมังกรน้อยที่ร้อนวิชาอยากจะออกแรงเต็มทน



มองข้ามไปยังทิศทางที่ก้อนหินถูกเขวี้ยงมา เจนเห็นตัวประหลาดที่มีใบหนาขนาดใหญ่และแขนขางอกออกมาจากใบหน้านั้นโดยที่ไม่มีตัวแต่อย่างใด ใบหน้าขนาดใหญ่นั้นดูราวกับยักษ์กับมารที่มีดวงตาคมสีแดงอำมหิต เขี้ยวขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากปากของมันดูน่ากลัว



ทุกอย่างแทบจะจัดได้ว่าเจ้าตัวตรงหน้าเป็นศัตรูที่หน้ากลัวได้ถ้าหากมันไม่มีหางที่มีขนสีน้ำตาลปุกปุยส่ายไปมาอยู่ด้านหลัง



'นั่นมันอะไรหว่า..' เจนคิดในใจพลางลังเลอยู่ว่าจะสู้ดีหรือเปล่าเพราะถึงจะดูน่ากลัวทว่าเจนกลับไม่รู้สึกถึงแรงคุกคามจากเจ้าตัวประหลาดนั่นเลย แต่ถ้าเป็นเจตนาร้ายล่ะก็เต็ม ๆ



ตอนนั้นเองคิทซึเนะที่อยู่ดานหลังโพล่งขึ้นมาเสียงดัง "โปโกะ!"



เจ้าตัวประหลาดที่ได้ยินเสียงของคิทซึเนะก็เบนสายตาจากเจนไปยังจิ้งจอกสาว เมื่อมันเห็นตัวคิทซึเนะก็ทำหน้าดีใจในแบบที่ยักษ์ทำได้แล้ววิ่งเข้ามาหา



"คิทซึเนะ!! เจ้าหายไปไหนมาตั้งนาน! ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วซะอีก" หัวยักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหลังจากกอดร่างของจิ้งจอกสาว



"ข้าก็นึกว่าเจ้าตายไปแล้วเหมือนกัน ที่ข้าหายหน้าไปก็เพราะจะไปหาผู้ที่จะมาช่วยหมู่บ้านของเจ้านั่นแหละ" ทางคิทซึเนะเองก็ตอบกลับด้วยใบหน้าน้ำตาคลอเบ้า แสดงวาทั้งสองคงจะสนิทกันไม่น้อยเลย



เจนและฟีบีต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ตอนแรกทำท่าเหมือนจะเป็นศัตรู แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าเจ้าหัวยักษ์ที่กำลังคุยกับจิ้งจอกสาวอย่างสนิทสนมนั่นจะกลายเป็น 'เพื่อนสนิท' ที่คิทซึเนะพูดมาก่อนหน้านี้ซะแล้ว แต่ยิ่งมองก็ยิ่งสับสน ไม่น่าเชื่อว่าจิ้งจอกอย่างคิทซึเนะจะไปเป็นเพื่อนกับยักษ์ที่มีแต่หัวอย่างนั้นได้



ดูท่าทางสายตาของทั้งคู่จะทำให้ทั้งสองรู้สึกตัวว่ากำลังมีคนจ้องอยู่ คิทซึเนะเห็นดังนั้นจึงยกมือตีหลังหน้ายักษ์เสียงดังหนึ่งทีแล้วหันไปพูดจิก



"นี่! รีบกลายเป็นร่างมนุษย์ซักทีสิ คุยด้วยร่างแบบนี้มันเสียมารยาทนะ"



หน้ายักษ์หรือที่คิทซึเนะเรียกว่า โปโกะทำหน้ามุ่ยเมื่อเจอแรงฟาดเข้าที่กลางหลัง ทันใดนั้นเองร่างของยักษ์ก็ระเบิดออกกลายเป็นควันคลุ้ง เมื่อควันนั้นจางลงร่างที่เป็นใบหน้ายักษ์ขนาดใหญ่กลับกลายเป็นสาววัยรุ่นผมสั้นมีทรวดทรงโตจนเรียกสายตาของเจนไปจนยากจะถอนออกมา



"ไม่เจอกันตั้งนาน แทนที่จะทะนุถนอมเพื่อนหน่อย.." สาวน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นบ่นจุกจิกและเดินตามคิทซึเนะมาหาเจนที่จ้องไปที่หน้าอกไม่ละสายตา



"พี่เจนคะ นี่เพื่อนสนิทของหนูเอง เธอมีชื่อว่าโปโกะ เป็นทานูกิค่ะ" จิ้งจอกสาวเอ่ยขึ้นเรียกสายตาของเจนไปได้



"อ..อ่า ฉันชื่อว่าเจน ยินดีที่ได้รู้จักนะ" เจนกล่าวทักทาย



โปโกะจ้องหน้าเจนเขม็งอย่างไม่ไว้วางใจ ทำให้คิทซึเนะต้องเข้ามาหยิกแขนจนร้องลั่น



"โอ๊ย!! ทำอะไรของเธอเนี่ย!" โปโกะว่าแล้วรีบปัดมือของจิ้งจอกสาวทิ้งไปก่อนที่เนื้อของตัวเธอจะหลุดออกมา ครั้นจะว่าต่อแต่ก็เจอตาเขียวปึ้ดมองมาที่เธอทำเอาไม่กล้าพูดอะไรอีก



"แล้วใครให้ทำท่าทางอย่างนั้นกับพี่เจนเขาล่ะ เสียมารยาทกับคนที่จะมาช่วยหมู่บ้านของเธอแบบนี้ได้ยังไง"



โปโกะได้ยินคิทซึเนะว่าก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ มองสลับกันไปมาระหว่างทั้งสองซึ่งไม่ได้มีท่าทางจะโกหกเลยแม้แต่น้อย



"ช่วยหมู่บ้านของฉัน!? มนุษย์เนี่ยนะ! โอ๊ย!" แทบจะในทันทีที่คิทซึเนะหยิกแขนที่เดิมอีกครั้งจนผิวขาวนวลเริ่มเขียวเป็นจ้ำ เจนที่เห็นเริ่มจะสงสารแต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอคิดว่าจะให้คิทซึเนะรับมือโปโกะต่อไปน่าจะดีกว่า



"ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดานะ พี่เจนน่ะเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจ แถมยังเลยช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ตั้งหลายครั้งด้วย" คิทซึเนะพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจในตัวพี่สาวของเธอ



"หืม...เรื่องจริงงั้นหรือเนี่ย" โปโกะกล่าวเสียงสูง ท่าทางเธอยังคงไม่ไว้ใจในตัวเจนมากนักแต่ในเมื่อเพื่อนของเธอพูดออกมาแบบนั้นคงจะไม่ได้เป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน



"จริงสิ พี่เจนน่ะได้พลังมาจากท่านแม่ด้วยล่ะ ต่อให้เจ้าเทนกุหน้าไหนก็สู้พี่เจนไม่ได้หรอก"



คนที่ถูกพูดถึงได้แต่เพียงแค่หัวเราะแห้ง ๆ อยู่กับฟีบีเพราะสองคนนั้นดูท่าทางคงจะมีเรื่องคุยกันอีกยาวจนไม่หันมามองดูเธอเลยด้วยซ้ำ แถมลืมไปแล้วว่ายังมีเด็กน้อยอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก







หลังจากผ่านไปได้พักใหญ่ โปโกะจึงนำทางพวกเจนไปยังหมู่บ้านของเธอในป่าเกาลัด ซึ่งป่าแห่งนี้ก็สมกับชื่อป่าซะจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นเกาลัดเต็มไปหมด



ระหว่างทางคิทซึเนะก็เล่าเรื่องราวให้เจนฟังว่าเมื่อก่อนนั้นเธอชอบมาเล่นกับโปโกะบ่อย ๆ แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกทานูกิก็ถูกเหล่าเทนกุรุกรานจนต้องย้ายที่อยู่ ซึ่งในตอนนั้นศึกยังไม่มาถึงในป่าแห่งนี้ แต่ตัวโปโกะนั้นกังวลเกี่ยวกับหมู่บ้านของเธอมากเพราะถ้าหากพวกเทนกุมาที่นี่ก็ไม่มีที่ให้หนีไปอีกแล้วนอกจากออกไปจากบริเวณนี้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ



ดังนั้นคิทซึเนะจึงอาสาที่จะช่วยเหลือ แต่ในเมื่อตัวเธอในตอนนั้นยังเป็นแค่ลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ จะไปขอให้แม่ของเธอ มาเอะ ช่วยก็ไม่ได้เพราะถูกผนึกพลังเอาไว้ ไม่สามารถไปที่ใดได้ แต่เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าในคลังสมบัติของแม่เธอมีกระจกวิเศษที่สามารถพาไปที่ใดก็ได้อยู่ คิทซึเนะจึงแอบเข้าไปใช้และสุดท้ายก็จับพลัดจับพลูมาเจอเขากับเจนในที่สุด



หลังจากได้ฟังเรื่องที่คิทซึเนะเล่าก็ทำให้เจนรู้สึกไม่ชอบหน้าเหล่าเทนกุขึ้นมาทันที แต่ว่าตามความจริงนั้นการรุกรานที่อยู่เช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติแต่อย่างใด ที่เหล่าเทนกุนั้นออกรุกรานป่าแห่งนี้อาจจะเป็นเพราะแหล่งที่อยู่เก่าขาดความอุดมสมบรูณ์ หรืออาจะเป็นเพราะถูกภัยพิบัติเล่นงานจนอาศัยอยู่ต่อไม่ได้ หรือแม้กระทั่งถูกมนุษย์ที่ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองหรือผู้เล่นขับไล่พวกมันออกจากที่อยู่อาศัยเก่าของมันจึงทำให้ต้องมายังในป่าแห่งนี้ แต่ถึงยังไงเจนก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับเหตุการณ์นี้อยู่ดี



"เอาล่ะ ถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว" โปโกะว่าหลังจากเดินทางไปไม่นาน ทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่ที่ซุงไม้ต้นใหญ่โดยด้านในกลวงโบ๋เป็นโพรงไม้โผล่ออกมาจากพงหญ้าเล็ก ๆ บริเวณรอบโดยยังคงเป็นต้นเกาลัดอยู่เช่นเดิมแต่ไม่มีวี่แววของหมู่บ้านที่โปโกะพูดถึงแต่อย่างใด



"ไหนล่ะหมู่บ้าน ไม่เห็นมีบ้านอยู่ซักหลังเลย" ฟีบีถามพลางหันซ้ายหันขวามองไปรอบตัว



ทานูกิสาวยิ้มแล้วจับไหล่ของมังกรน้อยให้หยุดหันแล้วชี้ไปยังโพรงไม้ด้านหน้า "ไม่ต้องหันไปไหนหรอก ทางเข้าก็อยู่ในโพรงนี่ยังไงล่ะ"



ทั้งสองหันไปมองโปโกะด้วยความแปลกใจปนสงสัย หมู่บ้านอะไรมันจะไปอยู่ในนั้นได้แม้โพรงไม้จะมีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ใหญ่มากพอที่จะยกบ้านซักหลังเข้าไปได้แน่ อย่าว่าแต่หมู่บ้านเลย แค่จะเข้าไปขนาดร่างที่เล็กอย่างฟีบียังลำบาก จะให้พูดถึงเจนและคิทซึเนะล่ะก็คงไม่มีทางผ่านได้อย่างแน่นอน



ตอนนั้นเองที่ร่างของโปโกะพลันระเบิดควันออกมาอีกครั้ง ปรากฏเป็นทานูกิสีน้ำตาลตัวเล็กที่สามารถลอดผ่านช่องนั้นได้พอดิบพอดี



"เอาล่ะ ตามฉันมาเลย เร็วเข้า!" ไม่ว่าเปล่า ทานูกิตัวจ้อยก็เดินเข้าไปด้านในซุงกลวงโดยไม่สนใจสามร่างที่ยังไม่รู้ว่าจะตามเข้าไปได้ยังไง ถ้าหากคิทซึเนะไม่รีบเรียกเอาไว้ซะก่อนคงโดนทิ้งเอาไว้แล้ว



"มีอะไรงั้นหรือ ทำไมไม่ตามเข้ามา" โปโกะถามโดยไม่รู้สึกเฉลียวใจเลยแม้แต่น้อย



คิทซึเนะถึงกับส่ายหน้าให้กับความบื้อของเพื่อนสนิท จากนั้นเธอจึงกลายร่างกลับคืนเป็นร่างสุนัขจิ้งจอกที่ไม่ได้เป็นมาตั้งนาน เมื่อสาววัยรุ่นผมสีขาวหายตัวไป พลันกลายเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่เกือบจะเท่าความสูงของเจน ร่างของคิทซึเนะในตอนนี้ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับจิ้งจอกเก้าหางผู้เป็นแม่ แต่กลับทำให้รู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างไม่ต่างกัน และสิ่งที่ทำให้เจนต้องประหลาดใจมากที่สุดคือตอนนี้จิ้งจอกสาวมีหางปรากฏออกมาถึงสี่หางแล้ว



"ตัวฉันใหญ่ขนาดนี้แล้วจะมุดตามเธอไปได้ยังไงหือ แถมยังมีพี่เจนกับฟีบีอีก พวกเราตามเธอไปในโพรงนั่นไม่ได้หรอกนะ" คิทซึเนะกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แม้จะฟังดูมีอำนาจมากกว่าเดิมเพราะอยู่ในร่างจิ้งจอก แต่อาจเพราะว่าเจนอยู่กับคิทซึเนะมาตลอดเลยอาจจะไม่รู้สึกอะไร




ด้านโปโกะเองที่ดูจะไม่ค่อยรู้สึกถึงอำนาจที่ส่งออกมาจากคิทซึเนะมากนักเพราะเอาแต่ตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนของเธอ "ว้าว! ไม่เจอกันตั้งนานร่างจิ้งจอกเธอตัวโตมากเลย เมื่อกี้เธอเล่นแปลงร่างเป็นมนุษย์ก็เลยไม่ได้สังเกต แต่แบบนี้คงผ่านเข้าไปในโพรงไม่ได้จริง ๆ ด้วย"



"อย่ามัวแต่พูดน่า ถ้าพวกเราเข้าไปด้านในหมู่บ้านไม่ได้ ฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เหมือนกันนะ" จิ้งจอกสาวเร่ง



"ใจเย็น ๆ สิ ตัวก็ออกจะใหญ่แต่ความอดทนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามขนาดเอาซะเล้ย" โปโกะบ่นอุบอิบแล้วเธอก็ปีนขึ้นต้นเกาลัดที่ใกล้ที่สุด จากนั้นเธอก็เลือกใบไม้ที่มีสภาพสมบรูณ์มาสามใบและเธอก็กระโดดลงมาบนหัวของเจน ฟีบีและขึ้นไปบนหัวของคิทซึเนะตามลำดับโดยทิ้งใบไม้เอาไว้ใบหัวของแต่ละคน



"ใบไม้พวกนี้จะเป็นสื่อกลางพลังของฉัน อย่าไปแตะต้องมันเชียวนะ" เจนและฟีบีถึงกับชะงักมือตัวเองแทบไม่ทันเมื่อได้ยินคำของทานูกิสาว



"เอาล่ะ สูดหายใจเข้าลึก ๆ เตรียมพร้อม.. ปุ๋ง!"



ทันทีที่สิ้นเสียงร้องตะโกนแปลก ๆ ควันจากที่ไหนก็รู้ก็พวยพุ่งออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว เจนรู้สึกเหมือนร่างของเธอกำลังร่วงหล่นจากที่สูงแต่เพียงไม่นานก็สัมผัสกับพื้นดิน ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ทันทีว่าร่างของตัวเธอมีความผิดปกติไปจากเดิม เมื่อควันจางลง เจนก็แทบจะเป็นลม เพราะมือของเธอในตอนนี้กลายเป็นมือที่มีขนหยุบหยับ พร้อมด้วยกรงเล็บเล็ก ๆ ที่คล้ายกับโปโกะมี



ตอนนี้เธอกลายเป็นทานูกิไปแล้ว!!



"นี่มันอะไรกันเนี่ย!" เจนร้องเสียงดังและหันไปหาฟีบีซึ่งตอนนี้กลายเป็นทานูกิขนสีฟ้าดูแปลกตา ด้านคิทซึเนะที่ถูกโปโกะล้มทับก็กลายเป็นทานูกิสีขาวทั้งตัว ส่วนตัวเจนเองนั้นกลายเป็นทานูกิสีดำ



"เอาล่ะ เท่านี้ก็คงไม่มีปัญหาแล้วสินะ รีบไปกันเถอะ!"



ไม่มีโอกาสที่ทั้งสามจะได้ท้วงอะไรเพราะเมื่อพูดจบ โปโกะก็วิ่งเข้าไปด้านในโพรงไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเจนจึงทำได้แค่รีบตามไปเท่านั้นเอง







ด้านในโพรงไม้นั้นกว้างกว่าที่เจนคิดเอาไว้มาก ขนาดของมันกว้างพอที่จะให้ทานูกิหาตัวเดินเรียงหน้ากระดานไปพร้อมกันได้สบาย ๆ สำหรับทานูกิแล้ว ทางเข้าที่เพิ่งผ่านมาถือว่าซุกซ่อนได้อย่างมิดชิดจากนักล่ามากเลยทีเดียว ทางในโพรงไม้นั้นไม่ได้มีทางเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวอย่างที่เจนคาดเอาไว้ มีเพียงแค่ทางเดินตรงอย่างเดียวเท่านั้นโดยมีแสงแสงอาทิตย์ผ่านร่องไม้ให้ความสว่างอยู่เป็นระยะ ถ้าหากนี่เป็นสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติก็ถือว่าน่าทึ่งมากเลยทีเดียว เจนอดจะชื่นชมไม่ได้แม้เธอจะรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในเกมที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้



โปโกะบอกว่าความจริงแล้วหมู่บ้านของเธอนั้นรักสันโดษจะไม่ต้อนรับเผ่าพันธุ์อื่นนัก แต่สมัยก่อนเองเธอก็เคยพาคิทซึเนะไปเที่ยวในหมู่บ้านบ่อย ๆ มาครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น พวกเจนที่เสนอตัวมาช่วยก็คงน่าจะไม่มีปัญหาสำหรับเรื่องนั้น ถ้าหากเธอพาทั้งสามไปหาผู้ใหญ่บ้านในร่างนี้โดนไม่ให้คนอื่นเห็นร่างเดิมของพวกเธอ และเมื่อคิทซึเนะเล่าให้ทานูกิสาวฟังสาวเจนเป็นคนปลดผนึกมาเอะออกมาได้ก็ตกอยู่ในภวังค์ตะลึง เพราะเธอไม่นึกว่านักผจญภัยที่เคยได้ยินมาจะแข็งแกร่งถึงขนาดช่วยเหลือเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางได้ ทำให้สายตาที่ทานูกิสาวใช้มองเจนเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ



ไม่นานนักทั้งสี่ก็เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง บ่งบอกได้ว่าโพรงไม้อันเป็นทางเข้าหมู่บ้านเกาลัดได้มาถึงจุดหมายแล้ว



"ในที่สุดก็มาถึงซะที... ขอต้อนรับพวกเธอสู่หมู่บ้านเกาลัด" โปโกะแยกเขี้ยวยิ้มพร้อมกับหันไปมองทานูกิมือใหม่ทั้งสาม



ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเจนนั้นสร้างความตกตะลึงและความประทับใจให้พร้อม ๆ กัน เพราะสิ่งที่โปโกะบอกว่าเป็นหมู่บ้านนั้น ความจริงแล้วถ้าเรียกว่าเป็นเมืองยังเล็กไปด้วยซ้ำ



หลังจากออกมาจากโพรงไม้เจนก็พบกับเหมือนที่ ๆ เป็นช่องว่างในป่าทึบ ต้นไม้สูงตระหง่านหลายร้อยต้นอยู่กระจายไปทั่วบริเวณ กิ่งก้านสาขาของมันแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ช่วยกรองแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องลงมามากเกินไป บนพื้นดินมีกระท่อมเล็ก ๆ ขนาดพอที่จะให้คนเข้าไปพักได้สามสี่คนตั้งอยู่หลายร้อย หลายพันหลัง แต่เจนก็พบว่าความจริงมันมีเยอะกว่านั้นมาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองดูบนต้นไม้ที่มีกระท่อมแบบเดียวกันถูกสร้างอยู่บนนั้นอีกนับไม่ถ้วน



นอกจากต้นไม้สูงที่ออกลูกเกาลัดแล้ว ในที่แห่งนี้ยังมีต้นผลไม้ชนิดอื่นอีกเป็นจำนวนมากหลากหลายชนิดทั้งที่เจนเคยเห็นในโลกแห่งความจริงและเห็นที่นี่เป็นที่แรก ต่างจากป่าด้านนอกที่มีเพียงแค่เกาลัดเพียงอย่างเดียวจนได้ชื่อว่าป่าเกาลัด



เช่นเดียวกันนั้นเจนก็เห็นทานูกิจำนวนมากต่างใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอยู่ไปทั่วบริเวณ บ้างก็อยู่ในร่างเดิมของมัน บางก็กลายร่างเป็นมนุษย์หรือตัวประหลาดอย่างอื่นที่เจนไม่เคยเจอ บางตัวสามารถแปลงร่างได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แต่ก็มีบางตัวมีหางหรือหูโผล่ออกมาจนดูออกได้เหมือนกับโปโกะ



เหล่าทานูกิที่เห็นพวกเจนสามคนที่เป็นตัวทานูกิขนสีแปลกประหลาดจึงหันมามองบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสี่กำลังคุยกับทานูกิธรรมดาอย่างโปโกะจึงวางใจและหันไปสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองต่อไป



"นี่มันหมู่บ้านแน่หรือเนี่ย ฉันว่าบางทีที่นี่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเมืองซีโปเลยด้วยซ้ำมั้ง" เจนพูดพลางหันไปมองทานูกิในร่างมนุษย์หนุ่มสาวเดินผ่านไป



"ความจริงแล้วตอนแรกที่นี่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่อย่างตอนนี้หรอก แต่เป็นเพราะที่นี่มีความอุดมสมบรูณ์มาก ทำให้เผ่าทานูกิเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมากขึ้นจนสุดท้ายก็มีการขยายพื้นที่อยู่อาศัยให้กว้างขึ้นจนมีขนาดใหญ่แบบนี้แหละ" โปโกะอธิบาย



แค่กะประมาณด้วยสายตา เจนไม่อาจบอกได้ว่าที่แห่งนี้มีทานูกิอาศัยอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่นั่นทำให้เธอเริ่มรู้สึกกังวลเพราะสาเหตุหลักที่ทำให้เธอต้องมาที่นี่ ถ้าหากพวกเทนกุบุกเข้ามาได้ล่ะก็ ต้องมีการสูญเสียเป็นจำนวนมหาศาลอย่างแน่ ๆ



เมื่อโปโกะ ทานูกิเจ้าถิ่นจะพาทั้งสามไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อปรึกษาเรื่องการป้องกันหมู่บ้านตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหนานี้ แต่พอแค่ก้าวเท้าไปเพียงก้าวเดียว ร่างของเจนก็ระเบิดออกเป็นกลุ่มควันคลุ้งกระจายไปทั่ว อันเป็นสัญญาณว่าพลังในการแปลงร่างของโปโกะได้หมดลงแล้ว



"ตายแล้ว! ลืมไปซะสนิทเลยว่าพลังแปลงร่างให้คนคนอื่นของเรายังไม่แข็งกล้ามากพอ แบบนี้เกิดเรื่องยุ่งแหง ๆ" ทานูกิตัวต้นเหตุร้องเสียงหลง เธอไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าหากทุกคนในหมู่บ้านที่กำลังกังวลเรื่องการบุกโจมตีของเหล่าเทนกุกันอยู่มาพบว่าวันนี้มีผู้เยี่ยมเยือนต่างเผ่าถึงสามเผ่าในวันเดียวกันเช่นนี้จะเป็นยังไง



เมื่อควันจางลง พวกเจนก็ปรากฏตัวออกมาในร่างเดิมของพวกเธอ โดยฟีบีนั้นยังคงอยู่ในร่างมนุษย์และคิทซึเนะยังอยู่ในร่างจิ้งจอกก่อนที่โปโกะจะใช้พลังแปลงร่างกับพวกเธอ



แม้ว่าควันจากการแปลงร่างนั้นจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเหล่าทานูกิ แต่เสียงร้องโหยหวนของโปโกะต่างหากที่เรียกให้ทานูกิหันมามอง และเมื่อพวกเขาเห็นว่าใครกำลังยืนปิดทางเข้าหลังของหมู่บ้านเอาไว้ ความวุ่นวายก็บังเกิด



"หมู่บ้านโดนบุกแล้ว!! ทุกคนหนีเร็ววว!!" เสียงตะโกนไม่ทราบที่มาดังขึ้น แต่จะเป็นใครก็ไม่สำคัญเพราะมันทำให้ทานูกิตัวอื่น ๆ ต่างวิ่งหนีหาที่หลบกันอย่างชุลมุน บ้างก็พยายามวิ่งเข้าไปหลบในกระท่อมที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนว่านั่นจะเป็นบ้านของใคร ในกระท่อมบางหลังก็มีตัวทานูกินับสิบ ๆ ตัวยัดเข้าไปแน่นเอี๊ยดจนคล้ายกับกระท่อมจะพังออกมา ที่น่าตลกก็คือด้านนอกยังมีทานูกิตัวเล็กพยายามเบียดทานูกิตัวอ้วนเข้าไปหลบด้านในบ้านด้วย



"เดี๋ยวก่อน ทุกคน! ใจเย็น ๆ ก่อน! คนพวกนี้ไม่ได้มาบุกหมู่บ้านพวกเรานะ พวกเขามาช่วยพวกเราต่างหาก!" โปโกะร้องเสียงดังท่ามกลางเสียงร้องตะโกนอันแสนจะอลม่านแห่งนี้



สิ่งที่ทำให้เหล่าทานูกิพวกนี้ดีกว่ามนุษย์ก็คือหูที่ดีมาก ๆ ดังนั้นทุกคำที่โปโกะเอ่ยขึ้นนั้น ทานูกิทุกตัวในบริเวณจะได้ยินกันหมด ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายสงบลงอย่างรวดเร็ว



ถึงเหตุการณ์วุ่นวายจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ท่าทางเหล่าทานูกิยังคงไม่วางใจในตัวผู้มาเยือนลึกลับกันนัก มีเพียงทานูกิไม่กี่ตัวที่ออดมาจากกระท่อม มีบางตัวที่ชะโงกดูพวกเจนจากหน้าประตู และบางส่วนที่ทำแค่เพียงจ้องมองจากหน้าต่าง



ถ้าหากเปลี่ยนพวกนี้เป็นคนคงจะทำให้เจนรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเพราะสายตาหลายพันคู่กำลังจดจ้องมาที่พวกเธอเป็นสายตาเดียว แต่พอกลายเป็นสายตาทานูกิที่กำลังเบียดเสียดกันมองเธอผ่านกระจกของกระท่อมไม้กลับทำให้เจนรู้สึกขำซะมากกว่า



ตอนนั้นเองก็มีทานูกิจำนวนมากเดินเข้ามาหา ตัวที่เดินนำมานั้นแปลงร่างเป็นชายร่างใหญ่ถือขวานดูนากลัว แต่ที่ทำให้เจนรู้ว่าคน ๆ นี้เป็นทานูกิก็คือหูเล็ก ๆ บนหัวและขวานที่เป็นไม้ทั้งเล่ม ด้านหลังของเขานั้นถึงแม้เจนจะเห็นไม่ค่อยชัด แต่โปโกะรีบเข้ามาข้างเธอและบอกว่าผู้ใหญ่บ้านมาและคิทซึเนะเหลือบมองมาที่เธอสลับกับผู้ใหญ่บ้าน ทำให้เจนรู้ทันทีว่าตัวเธอเองนั่นแหละต้องออกไปทำหน้าที่เจรจา



ทานูกิร่างคนก้าวหลบออกมาให้เจนได้เห็นผู้ใหญ่บ้านได้ชัด ๆ ตรงหน้าเธอตอนนี้เป็นทานูกิขนสีน้ำตาลคล้ำตัวหนึ่ง ดูท่าทางแก่และเชื่องช้ามากแต่ก็มีบางอย่างในตัวทานูกิตัวนี้ที่ทำให้เจนรูสึกยำเกรงอยู่



"ท่านผู้มาเยือน เป็นจริงอย่างที่ทานูกิน้อย โปโกะกล่าวหรือไม่ที่ท่านจะมาช่วยพวกเราปกป้องหมู่บ้านเกาลัดแห่งนี้" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ฟังได้อย่างชัดเจน



"พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้เพราะพวกเราอยากจะช่วยเพื่อนของพวกเรา" เจนกล่าวแล้วก้มลงมายิ้มให้กับโปโกะที่เกาะอยู่ที่ขาของเธอ



"แต่ว่าพวกเราไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่านเลย และศัตรูของพวกเราก็เป็นเผ่าเทนกุจมูกยาวผู้โหด*****ม ถ้าหากท่านรู้เช่นนี้แล้วท่านคิดยังเปลี่ยนใจหรือไม่" ท่าทางของผู้ใหญ่บ้านจะดูไม่ค่อยอย่างจะบอกเรื่องนี้กับเจนเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมาจนหมดแม้ว่าพวกเจนจะรู้อยู่แล้วก็ตาม



"แม้ว่าข้าจะไม่เคยประเผชิญหน้ากับเผ่าเทนกุจมูกแดงมาก่อนก็ตาม แต่นักผจญภัยผู้นี้เคยช่วยชีวิตของข้าเอาไว้และยังเป็นผู้ปลดปล่อยมารดาของเหล่าจิ้งจอกทั้งมวลและผู้ให้กำเนิดข้า เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางออกมาจากผนึกพันปีได้ข้าไม่คิดว่าเหล่าเทนกุจะมีความแข็งแกร่งไปกว่ามารดาของข้าหรือท่านพี่ของข้าเลยแม้แต่น้อย" คราวนี้คิทซึเนะเป็นคนพูดออกมา คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากของเธอนั้นช่างทรงอำนาจไม่ต่างจากแม่ของเธอเลย เจนคิดว่าเพราะอยู่ในร่างจิ้งจอกทำให้คิทซึเนะต้องแสดงอำนาจออกมาเช่นนี้โดยธรรมชาติในฐานะผู้ที่สืบทอดสายเลือดของจิ้งจอกเก้าหางมาโดยตรง



เมื่อเหล่าทานูกิได้ยินที่คิทซึเนะพูดขึ้นต่างก็หันหน้าคุยกันด้วยท่าทางตื่นตกใจ เจนได้ยินแว่วมาว่า 'ท่านจิ้งจอกเก้าหางถูกปล่อยออกมาจากผนึกได้แล้วอย่างนั้นหรือ' จากกลุ่มทานูกิเป็นระยะ ทางทานูกิผู้ใหญ่บ้านเองก็หันไปคุยกับทานูกิที่อยู่รอบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังหารืออะไรบางอย่าง เมื่อผ่านไปได้ซักพักก็ดูเหมือนว่าก็ได้ข้อสรุปกัน พร้อมทั้งท่าที่ของทานูกิผู้ใหญ่บ้านที่เปลี่ยนไปจากเดิม



"ขอเชิญพวกท่านมาที่บ้านของข้าก่อนเถิด"







พวกเจนตามผู้ใหญ่บ้านเข้ามายังกระท่อมหลังใหญ่ที่อยู่ในที่ ๆ น่าจะเป็นใจกลางหมู่บ้านเมื่อสมัยก่อน แต่เพราะในตอนนี้หมู่บ้านเกาลัดขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ทางส่วนหน้าของหมู่บ้านแทน



ด้านในตัวกระท่อมนั้นไม่มีเครื่องใช้อะไรมากนักถ้าเทียบกับบ้านของมนุษย์ มีเพียงห้องขนาดใหญ่เพียงห้องเดียว เตียงที่ทำจากใบไม้ตั้งอยู่ด้านในสุด ตรงกลางห้องมีกองไฟถูกจุดเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นโดยเพดานเหนือกองไฟนั้นมีช่องระบายควันเอาไว้เป็นอย่างดี



ทานูกิผู้ใหญ่บ้านนั่งอยู่ข้างกองไฟโดยมีทานูกิองครักษ์ที่ตอนนี้กลับมาอยู่ร่างเดิมและนั่งอยู่ที่ข้างทางออก พวกเจนนั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้ใหญ่บ้านที่เธอทราบของเขาชื่อว่าชิงารากิหลังแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้คิทซึเนะแปลงร่างเป็นมนุษย์อีกครั้งเพราะถึงแม้กระท่อมจะมีขนาดใหญ่กว่ากระท่อมทั่วไป แต่ก็เล็กเกินกว่าจะให้จิ้งจอกสี่หางร่างใหญ่เข้ามาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจนก็ยังต้องก้มหัวเวลายืนในกระท่อมเพื่อไม่ให้หัวชนเพดาน คนสามคนกับทานูกิสามตัวนั่งอยู่ด้วยกันทำให้กระท่อมที่ดูน่าจะกว้างขวางกลับคับแคบไปถนัดตา



"ในตอนแรกข้าไม่อยากจะให้พวกท่านเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามของพวกเราเลย..." ชิงารากิเริ่มพูดขึ้นก่อนหลังจากต่างฝ่ายต่างไม่มีใครส่งเสียงคุยกันเลยแม้แต่คนเดียว



"แต่เมื่อได้ทราบว่าท่านสามารถปลดปล่อยท่านเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางออกจากผนึกพันปีได้ ดังนั้นข้าจึงใคร่ขอให้ท่านช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด"



"ไม่จำเป็นต้องเรียกท่านหรอก ฉันเองก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่ขอให้พวกเราช่วย ต่อให้ผู้ใหญ่ไม่ขอ พวกเราก็จะเสนอตัวช่วยอยู่แล้ว" เจนพูดอย่างเกรงใจ ถึงจะเป็นทานูกิ แต่เมื่อมีผู้ที่อายุมากกวามาพูดสุภาพใส่แบบนี้มันก็ทำให้เจนรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ



"โอ้..ท่านนี่นอกจากจะมีอำนาจที่ทรงพลังแล้วยังมีน้ำใจงาม อ่อนน้อมถ่อมตนอีก ท่านช่างดั่งฟ้ามาโปรดแท้ ๆ" ชิงารากิเอ่ยชมแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะพูดต่อ



"ท่านคงได้ทำความรู้จักกับท่านเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เป็นเทพเจ้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกแล้วตอนที่ท่านปลดผนึกพันปีลง แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ยังมีเทพองค์อื่นจากอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ถูกพันธนาการด้วยผนึกชนิดเดียวกันนี้"



"เดี๋ยวก่อนนะ ผนึกพันปีมันคืออะไร ทำไมท่านมาเอะถึงไปโดนผนึกได้ แล้วใครกันที่ทำแบบนี้" เจนถามขึ้นเป็นชุดด้วยความสงสัยอย่างที่สุด ครั้งก่อนที่เจนพบกับมาเอะนั้นเธอสัมผัสได้ว่าเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางมีพลังอำนาจมหาศาลแค่ไหน แม้จะไม่เท่ากับยามาตะ โนะ โอโรจิแต่ก็ไม่ใช่กระจอก ๆ จนสามารถถูกผนึกได้ง่าย ๆ ดังนั้นเทพของเผ่าพันธุ์อื่นก็น่าจะมีพลังอยู่ในระดับเทพเจ้าเป็นอย่างน้อยเช่นกัน นั่นหมายความว่าใครหรืออะไรที่ทำเรื่องแบบนี้ได้จะต้องมีพลังอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า



ชิงารากิมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัวให้เป็นคำตอบ "เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะตื่นลืมตาดูโลกนี้ซะอีก ข้าเพียงรู้แค่ว่าเทพในแต่ละเผ่านั้นถูกผนึกมิให้แสดงพลังหรือออกไปจากที่ที่ถูกผนึกได้ แต่เทพบางองค์ที่มีพลังสูงส่งอย่างท่านจิ้งจอกเก้าหางนั้นสามารถต้านทานตัวผนึกจนมีพลังเล็ดลอดออกมาได้ แต่เทพอีกหลายองค์ไม่ได้ทรงพลังเช่นนั้น อย่างเช่นเทพทานูกิสีทองของเผ่าเราที่ถูกผนึกให้อยู่ในห้วงนิทรามาตลอดหลายร้อยปี"



"แล้วท่านอยากจะให้พี่เจนช่วยอะไรงั้นหรือ" คิทซึเนะถาม



ชิงารากิมีสีหน้าขึงขังขึ้นมาทันที ดวงตาแข็งกร้าวจ้องตรงไปยังดวงตาของเจนไม่กระพริบตาจนหญิงสาวทำตัวแข็งทื่อไม่กล้าพูดอะไร



"ข้าอยากให้ท่านช่วยทำลายผนึกเทพเจ้าของเผ่าทานูกิให้ตื่นขึ้นมากอบกู้สถานการณ์นี้ ช่วยปลุกเทพทานูกิสีทอง ยากิ ทีเถอะ!"



จบตอนที่ 28 สู่ป่าเกาลัด



----------------

santisook01
22nd January 2014, 17:17
ได้เลยครับ เรื่องภาพนั่น

ส่วนเรื่องนิยายผมยังไ่ม่มีเวลามาอ่านเลยครับ

Tohan-kun
23rd January 2014, 15:08
ตอนที่ 29 สงครามครึ่งชั่วโมง



สูงขึ้นไปบนต้นไม้ยักษ์กลางหมู่บ้านเกาลัด พวกเจนกำลังเดินขึ้นไปตามลำต้นที่เวียนขึ้นเป็นทางเดินไปสู่ยอดโดยมีโปโกะ ทานูกิสาวเป็นผู้นำทาง เป้าหมายมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือการทำลายผนึกพันปีและปลุกยากิ เทพทานูกิขนทองขึ้นมาอีกครั้ง



จากที่ชิงารากิเล่าทำให้เจนทราบว่าในป่าแถบนี้ทั้งหมดนั้นจะมีเทพอยู่หนึ่งองค์ต่อหนึ่งเผ่าพันธุ์ อย่างยากิ เทพทานูกิขนทองหรือมาเอะ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่มีระดับสูงกว่า ดังนั้นสัตว์อื่น ๆ ต่างก็มีพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างกัน ทว่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เหล่าเทพอสูรนั้นถูกผนึกพร้อมกันอย่างเป็นปริศนา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและทำไม



หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดสงครามระหว่างสัตว์อสูรไปทั่วทั้งทวีป ต่างฝ่ายต่างใช้โอกาสที่ไร้เทพอสูรปกครองเข้าแย่งชิงพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่า แต่สงครามก็ต้องยุติลงหลังจากการปรากฏตัวของนักผจญภัยเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้



จากที่โจเคยเล่าให้เจนฟังว่าเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์เพิ่งเปิดให้บริการมาเพียงแค่เดือนกว่า ๆ ซึ่งเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในเกม แปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดก่อนที่เกมจะเปิดให้บริการ บางทีอาจจะเป็นฝีมือของเอไอที่มีฝีมือระดับเทพเจ้าก็เป็นได้ ส่วนสาเหตุนั้นยังมืดแปดด้าน



พวกเจนเดินจนมาถึงยอดก็พบกับกิ่งไม้ที่โค้งเป็นร่มบังแสงแดดไปทั่งบริเวณได้อย่างมิดชิด เมื่อลองมองดูดี ๆ ก็ทำให้เจนเห็นว่ากิ่งไม้เหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่คอยบังแสงแดด ทว่าแต่ละกิ่งนั้นประสานกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่นราวกับถูกร้อยเอาไว้อย่างพิถีพิถันโดยฝีมือของธรรมชาติ ทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยสามารถลอดผ่านช่องระหว่างใบไม้ได้และยังใช้กิ่งไม้เหล่านี้หลบสัตว์นักล่าตัวใหญ่ได้อีกด้วย



โปโกะบอกว่าต้นไม้พวกนี้ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา มันเป็นต้นไม้ที่มีพลังเวทมนตร์อยู่และแต่ละกิ่งก็มีความแข็งแกร่งมากแม้แต่กิ่งเล็ก ๆ ทำให้พวกเทนกุจมูกยาวไม่สามารถทำลายกิ่งไม้ที่ร้อยประสานกันและบุกมาจากบนฟ้าได้ ทว่านั่นก็ไม่สามารถหยุดกองทัพของเหล่าเทนกุจากการบุกหมู่บ้านเกาลัดได้ เพราะทางเข้าหมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่หลายทางจนแม้แต่ชิงารากิที่อยู่มานานนับร้อยปียังทราบไม่หมดว่ามีทางเข้าออกกี่เส้นทาง



การหมู่บ้านจะถูกบุกนั้นขึ้นอยู่กับเวลาที่เหล่าเทนกุจมูกยาวค้นพบทางเข้าที่พวกมันใช้ได้ ดังนั้นความหวังเดียวของเหล่าทานูกิคือใช้พลังอำนาจของเทพเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์เข้าสู้กับกองทัพเทนกุจมูกยาว



บนยอดไม้ของต้นที่พวกเจนเดินไต่ขึ้นมานี้แทนที่จะเป็นพุ่มแบบต้นไม้ทั่วไป ทางเดินกลับพาพวกเธอมายังลานกว้างแห่งหนึ่ง ใจกลางมีก้อนหินขนาดใหญ่แบบเดียวกับบึงที่เจนพบมาเอะ แต่หนนี้กลับไม่มีเสียงเรียกหรือพลังใด ๆ ที่ทำให้เจนรู้สึกว่ามีตัวตนของเทพอสูรอยู่เลย มีเพียงสายลมหนาวที่พัดผ่านจนทำให้เจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว



"นั่นคงเป็นยากิ เทพอสูรทานูกิขนทองของพวกเธอสินะ" เจนพูดพร้อมกับชี้ไปยังก้อนหินที่กลางลานกว้าง



"ใช่แล้ว ท่านยากิอยู่ที่นี่เป็นที่สักการะของเหล่าทานูกิมานานมากเลยล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครขึ้นมาเพราะมันสูงจนแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว" โปโกะกล่าวอย่างไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก แต่เจนก็เห็นด้วยว่ากว่าจะขึ้นมาถึงที่บนนี้ได้มันเหนื่อยจริง ๆ



"รออยู่ตรงนี้นะ" เจนหันมาพูดแล้วเดินเข้าไปหาก้อนหินผนึกของยากิ



ถ้าหากเทียบขนาดกันแล้ว หินผนึกพันปีตรงหน้าของเจนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าหินผนึกของมาเอะ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางซะอีก ทำให้เจนรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะทำลายผนึกได้อย่างที่คิทซึเนะเป็นผู้อ้าง ถึงยังไงก็ตามครั้งที่แล้วเจนพลั้งมือทำลงไปโดยไม่ทันคิด แม้ว่าจะสามารถทำลายผนึกของมาเอะออกมาได้โดยปลอดภัย แต่ไม่มีอะไรการันตรีว่าครั้งนี้จะมีผลออกมาเหมือนกับครั้งที่แล้ว



"นายพอจะรู้มั้ยว่าจะทำลายผนึกนี่ยังไงที่จะไม่ทำให้เทพอสูรข้างในเป็นอันตราย” เจนเอ่ยขึ้นระหว่างกำลังก้าวเข้าไปหาผนึก แน่นอนวาเธอกำลังพูดกับพญาอสรพิษที่อยู่ในดาบข้างกาย



"ถ้าเจ้าสังเกต เจ้าจะรู้ว่าข้าเองก็ถูกผนึกอยู่ในดาบเช่นเดียวกัน" ยามาตะ โนะ โอโรจิเอ่ยกัดอย่างเจ็บแสบ



"ข้าเองไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับผนึกมากนัก แต่ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่มีพลังมหาศาล เจ้าแค่ทำอย่างที่เจ้าเคยทำก็พอ"



"ทำอะไรล่ะ เสียบดาบลงไปในหินแบบครั้งที่แล้วงั้นหรือ" เจนโต้อย่างหมั่นเขี้ยว



คำตอบที่ยามาตะ โนะ โอโรจิบอกมานั้นไม่ได้แฝงถึงความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับทำให้หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก



"ปล่อยให้ดาบทำหน้าที่ของมัน"



เมื่อมายืนเผชิญหน้าหินผนึกที่สูงกว่าตัวของเธอถึงสองสามเท่า ทำให้เจนเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจว่าเดิมซะอีก แต่ทางเลือกนั้นมีไม่มากนักและหน้าที่ทำลายผนึกไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นดาบคุซานางิอย่างที่ยามาตะ โนะ โอโรจิบอกเอาไว้ต่างหาก



"เอาน่า ไม่ลองไม่รู้" หญิงสาวพูดกับตัวเองและชักดาบออกมาจากฝัก และทันใดนั้นท่ามกลางสามตาทั้งสามคู่ที่กำลังจดจ้องเธออยู่ เจนก็แทงดาบลงไปยังก้อนหินผนึกจนมิดด้าม



แทนที่เจนจะรู้สึกถึงแรงต้านแต่เธอรู้สึกราวกับใช้มีดแทงก้อนเยลลี่ ท่ามกลางความตะลึงของโปโกะที่อ้าปากค้างเปล่งเสียงใด ๆ ไม่ออกกับการกระทำของผู้ที่บอกว่าจะเป็นคนปลดปล่อยเทพเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์ออกมา แต่การกระทำตรงหน้านั้นมันตรงกันข้ามชัด ๆ



ทันใดนั้นเองก้อนหินก็ส่องสว่างจ้า เจนรีบถอนดาบคุซานางิออกมาและถอยไปหาพวกคิทซึเนะที่เตรียมพร้อมในกรณีที่ต้องสู้กับยากิ ด้วยพลังระดับเทพเจ้าที่มาเอะมีนั้นแม้จะยังถูกผนึกอยู่ก็ยังดูน่ากลัว ดังนั้นพลังของยากิเองก็คงจะสูงพอ ๆ กันอย่างแน่นอน!



แต่เมื่อแสงสว่างหายไป พวกเจนกลับพบทานูกิร่างโตกำลังนอนหลับตรงจุดที่มีก้อนหินตั้งอยู่ ทานูกิตัวนั้นนอนนิ่งจนทำให้พวกเธอแทบจะนึกไปว่าพุงของมันเป็นก้อนหินเลยด้วยซ้ำ



ขนของมันที่ขึ้นอยู่ที่ขามีสีทองแซมอยู่ต่างจากตัวอื่น ทำให้เจ้าทานูกิตัวนี้จะต้องเป็นเทพอสูรทานูกิขนทองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่ามันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้องและเจนก็ไม่รู้สึกพลังจากตัวของยากิเลยด้วย



"เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย อย่าบอกนะว่าฉันเพิ่งฆ่าเทพทานูกิไป" เจนเริ่มหวั่นใจเพราะแทนที่จะสำแดงเดชอย่างที่เทพอสูรควรจะทำ ยากิกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ผนึกถูกทำลาย ถ้าหากเธอพลั้งมือฆ่าลงไปจริง ๆ ล่ะก็เรื่องบานปลายแน่



"ปล่าวหรอก ดูเหมือนท่านยากิกำลังหลับอยู่นะ...นี่ ตื่นสิ" โปโกะเดินเข้าไปตรวจดูใกล้ ๆ แล้วพูดขึ้น ทำให้เจนสังเกตว่าพุงขนาดใหญ่ของมันพองและยุบลงอย่างเป็นจังหวะให้เห็นถึงสัญญาณชีพว่าทานูกิตัวนี้ยังคงมีชีวิตอยู่



ทว่าโปโกะพยายามจะปลุกโดยเขย่าตัวให้ตื่นเท่าไร ยากิก็ไม่ยอมตื่นซักที จนคิทซึเนะทนไม่ไหวทำท่าจะยกมือจะฟาดไปที่หัวทานูกิขนทองซึ่งเจนห้ามเอาไว้ทันเวลาพอดี เพราะถ้าหากโดนปลุกด้วยวิธีที่เจ็บตัวแบบนี้ ใครที่โดนคงจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับน้ำโหอย่างแน่นอน



พวกเจนพยายามใช้วิธีปลุกแบบเบามือเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าทานูกิอ้วนจะลุกขึ้นมา แม้เจนจะยอมให้พวกคิทซึเนะใช้วิธีรุนแรงถึงขนาดใช้เพลิงจิ้งจอกก็ยังไม่ได้ผล เพราะดูท่าขนสีทองของยากินั้นจะมีพลังพิเศษที่ป้องกันการโจมตีได้อย่างดี ขนาดที่ดราก้อนบรีธของฟีบียังไม่ทำให้ขนของยากิลุกไหม้เลยซักเส้น แม้จะมั่นใจว่าดาบคุซานางิจะสามารถทำร้ายทานูกิขนทองได้จากความสามารถของตัวดาบ แต่เจนคิดว่าขอไม่เสี่ยงจะดีกว่า



"ไม่ยอมตื่นซักที แบบนี้คงจะหลับอีกนานแน่" โปโกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ แต่ในเมื่อเจ้าตัวทำอะไรกับเทพอสูรขี้เซาตรงหน้าจึงเดินกลับมาหาพวกเจน



"ทำยังไงต่อดีล่ะ?"



"ทำยังไงต่อ!? ยังจะมาถามอีก เธอนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายบอกพวกเราว่าให้ทำยังไง เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เลยนะ" คิทซึเนะพูดเสียงสูงอย่างไม่พอใจเพราะท่าทางของเพื่อนสนิทที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว ต่างจากตอนแรกที่ลอบโจมตีพวกเธอราวกับฟ้ากับเหว



"ก็ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องนั้นเท่าไหร่แล้วนี่นา" ทานูกิสาวเอ่ยออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย



"ว่าไงนะ! เทพอสูรของเผ่าเธอเอาแต่นอนแบบนี้เนี่ยนะไม่กังวล เธอมีทางออกอื่นที่จะช่วยหมู่บ้านแล้วหรือไง"



"อื้อ" โปโกะส่งเสียงออกมาในลำคอพร้อมพยักหน้ารับ



"หา" เสียงฉงนหลุดปากออกมาจากจิ้งจอกสาวอย่างลืมตัว อารมณ์ที่พุ่งสูงเพราะเป็นห่วงหมู่บ้านเกาลัดแทนเพื่อนตัวเองลดต่ำลงอย่างกะทันหันจนเจ้าตัวถึงกับลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร



"ก็นักผจญภัยที่มากับเธอนั่นไงล่ะที่จะช่วยหมู่บ้านของฉัน" โปโกะพูดเสริม



เจนยกนิ้วขึ้นชี้มาที่ตัวเองด้วยความตกใจและทานูกิสาวก็พยักหน้ายืนยันคำพูดของตัวเอง



"ไม่ต้องทำหน้าสงสัยอย่างนั้นหรอก ก็ท่านมีพลังที่เหนือกว่าเทพอสูรอย่างทำลายผนึกพันปีได้เลยนะ ถึงท่านยากิไม่ยอมตื่นขึ้นมาแต่ก็ให้ท่านเจนสู้กับพวกเทนกุจมูกยาวแทนก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอกมั้ง"



แม้ในใจอยากจะโต้ว่าเป็นพลังของดาบต่างหาก แต่ในเมื่อดาบเล่มนี้มีเพียงเจนที่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของมันได้แต่เพียงผู้เดียวจากการทำพันธสัญญาจึงพูดได้ว่าดาบเล่มนี้ก็เป็นพลังของตัวเจนเอง และเธอก็ยิ่งกว่าจะยินดีที่จะช่วยหมู่บ้านจากเหล่าเทนกุจมูกยาว เพราะนอกจากจะทำเพื่อภารกิจแล้ว เจนยังไม่อยากเห็นพวกทานูกิเหล่านี้ถูกไล่ออกไปจากบ้านของพวกมัน นี่ยังไม่รวมถึงความตั้งใจของตัวคิทซึเนะและฟีบีที่อยากจะแสดงฝีมือแล้วด้วย



แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเวลาที่เจนจะอยู่ในเกมนั้นเหลืออยู่อีกไม่ถึงสามวันแล้ว ถ้าหากพวกเทนกุยังไม่บุกเข้ามาภายในเวลานี้ เจนก็จำต้องออกจากเกมไปถึงหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย บางทีอาจจะถึงสิบห้าวันเพราะเธอจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้งเวลานอนตามที่คุณหมอเกอร์ธูทแนะนำ หากพวกเทนกุทำการรุกรานหมู่บ้านเกาลัดตอนที่เจนออกจากเกมไปล่ะก็ คงไม่มีทางที่เจนจะรู้หรือมาช่วยได้อย่างแน่นอน



โปโกะเห็นสีหน้าปั้นยากของเจนจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามนุษย์ตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่คนที่เพื่อนของเธอให้การยอมรับเช่นนี้คงไม่คิดทิ้งพวกเธอเอาไว้และปฏิเสธที่จะช่วยอย่างแน่นอน



"เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราลงไปรายงานให้หัวหน้าหมู่บ้านกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาช่วยกันวางแผนว่าจะรับมือพวกเทนกุยังไงดี" โปโกะพูดแล้วจึงเดินนำพวกเจาลงจากลานกว้าง







ขาลงจากต้นไม้ยักษ์นั้นทั้งเร็วและสบายกว่าตอนขึ้นมากทีเดียวเพราะทั้งสี่คนใช้หางของโปโกะแทนเครื่องร่อนลงไปยังหมู่บ้านด้านล่าง



หางของทานูกินั้นมีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาอย่างน่าเหลือเชื่อ อีกทั้งยังสามารถขยายขนาดมาใช้บังคับทิศทางเวลากระโดดร่อนได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ระหว่างทางลงเจนเห็นทานูกิบางตัวที่อยู่ในร่างแปลงนั่งบนหางตัวเองและร่อนไปมา หรือทานูกิในร่างสัตว์กำลังกระโดดร่อนไปยังอีกกิ่งไม้หนึ่งพร้อมใช้หางบังคับทิศทางและลอยตัว



'ทานูกิในโลกจริงทำแบบนี้ได้ด้วยหรือเนี่ย' เจนคิดในใจเพราะหากทานูกิในโลกจริงทำได้ขึ้นมาคงแปลกพิลึก ดังนั้นเจนจึงสรุปเอาไว้ในใจว่านี่เป็นทานูกิเวอร์ชั่นแฟนตาซีที่มีความสามารถสารพัด



พอกำลังจะลงพื้น โปโกะก็บอกให้พวกเจนเตรียมพร้อมแล้วสะบัดหางให้กลับมาอยู่ในขนาดเดิมและลงมายืนอยู่บนพื้นด้วยท่วงท่าสวยงามเช่นเดียวกับเจนและคิทซึเนะ ส่วนฟีบีนั้นเจนคว้าตัวเอาไว้ก่อนที่จะกระโดดลงมาแล้วเพราะดันเกิดหิวขึ้นมาและจะพุ่งไปคว้าผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้อีกต้นเข้า



ภายในบ้านของผู้ใหญ่บ้านชิงารากิ หลังจากที่โปโกะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนลานไม้ที่เทพอสูรทานูกิขนทองถูกผนึกอยู่ให้ฟัง แต่พอหลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านได้ยินว่าปลุกเทพทานูกิเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ผู้ใหญ่บ้านถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างหนักใจ



"แย่แล้ว ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ ท่านยากิ" ชิงารากิพูดพึมพำเบา ๆ แต่เสียงก็ดังพอที่จะได้ยินกันทั้งหมด



"มีอะไรงั้นหรือ ท่านยากิทำไม" โปโกะรีบถามอย่างสงสัย



"ก็มันมีเรื่องเล่านับแต่อดีตกาลอยู่น่ะสิ ว่ากันว่าในหนึ่งปี ท่านเทพอสูรยากิจะหลับจำศีลตลอดเดือนเพื่อเพิ่มพูนพลัง เรื่องนี้ไม่เคยมีผู้ใดสามารถยืนยันว่าเป็นความจริงมาก่อน แต่ในวันนี้ข้าได้ยืนยันเรื่องราวนั้นจากคำบอกของพวกเจ้าแล้ว"



"หนึ่งเดือนเลยงั้นหรือ แบบนี้ไม่ทันแน่.." เจนเอ่ยขึ้น



"ที่ท่านพูดหมายความว่ายังไงหรือท่านนักผจญภัย" ชิงารากิรีบถามเมื่อได้ยินคำของเจน



เมื่อเจนอธิบายเรื่องที่เธอสามารถอยู่ในโลกแห่งนี้ได้อีกเพียงแค่สามวันและหลังจากนั้นจะกลับมาอีกครั้งเมื่อผ่านไปแล้วสิบห้าวัน ทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มตรึงเครียดและสิ้นหวัง เพราะเมื่อความหวังเดียวได้จางหายไปต่อหน้าต่อตา เจนจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ เธอเองก็รู้สึกผิดหวังไม่ต่างกันที่ไม่สามารถช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้ได้ แม้เธอจะสามารถกลับมาเล่นเกมอีกครั้งหลังจากออกจากเกมไปหนึ่งชั่วโมงได้ก็ตามที แต่เวลาเพียงหนึ่งวันก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงเพราะพวกทานูกิไม่อาจจะต่อกรกับเทนกุได้เลย



"ทำยังไงถึงจะหาทางป้องกันหมู่บ้านภายในสามวันได้นะ...ทำยังไงดี โอ้ย! ถ้าเกิดโจอยู่ตรงนี้ล่ะก็..จริงสิ!" หญิงสาวพูดโพล่งขึ้นเสียงดังทำให้เหล่าทานูกิที่อยู่ในห้องหันมามองเธอเป็นสายตาเดียว แต่ก็พบว่าหญิงสาวนั้นทำท่าเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่เพียงคนเดียว ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของเธอเลย มีเพียงแค่คิทซึเนะและฟีบีที่ได้ยินเสียงของเจน



"โจ นี่เจนนะ นายได้ยินหรือเปล่า" หญิงสาวพูดผ่านช่อสื่อสารกลุ่มที่มีเพียงคนในกลุ่มเท่านั้นที่จะได้ยิน ส่วนสัตว์เลี้ยงจะสามารถได้ยินเสียงของเจ้านายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



"ได้ยินแล้ว มีอะไรว่ามาโลด" เสียงของชายหนุ่มตอบกลับมาแม้ทั้งสามจะแยกทางกันไปทำภารกิจของตน แต่ก็ยังไม่ออกจากกลุ่มกัน ทำให้แม้จะอยู่ห่างกันขนาดไหนก็ยังสามารถคุยกันได้ตามปกติ



จากที่ทักทายกันแล้วเจนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังและบอกถึงปัญหาที่เธอกำลังเจออยูและขอให้เขาช่วยหาทางช่วยพวกเผ่าทานูกิจากภัยในครั้งนี้



หลังจากที่นั่งฟังเสียงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งโจก็เอ่ยขึ้น



"แบบนี้ยากแฮะ ฉันอยากได้ข้อมูลมากกว่านี้อีกหน่อย"



"นายจะเอาอะไรล่ะ" เจนถามกลับ



"เดี๋ยวเธอไปถามพวกทานูกิตามนี้นะ..." แล้วโจก็เริ่มร่ายคำถามให้เจนจนเธอต้องรีบหาอะไรมาจดเพราะมันเยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว คำถามทั้งหมดที่โจถามมานั้นส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับความสามารถของพวกทานูกิไม่ว่าจะเป็นจุดเด่นจุดด้อย รวมไปถึงทำเลภายในเมืองด้วย



เจนอ่านคำถามที่โจเพิ่งบอกเธอให้กับชิงารากิฟัง ซึ่งทานูกิผู้ใหญ่บ้านก็ตอบให้อย่างว่าง่าย รวมไปถึงอธิบายสภาพพื้นที่โดยรอบด้วย โดยสุดท้ายเขาก็ไม่ลืมที่จะถามกลับไปว่าถามไปทำไมพร้อมกับทำหน้าที่เห็นแสงแห่งความหวังอยู่ตรงหน้า ทว่าเจนไม่ใช่คนที่ตอบคำถามนี้ได้จึงยิ้มแห้ง ๆ และหันไปคุยกับโจต่อ



"ข้อมูลที่นายถามมามีแค่นี้แหละ สภาพพื้นที่แถว ๆ นี้ฉันก็ช่วยเสริมเท่าที่ฉันสังเกตเห็นแล้ว นายต้องการอะไรอีกมั้ย" เจนถาม ทว่ามีแต่เสียงในลำคอตอบกลับมา



เสียงอืมเสียงอาดังอยู่ในหัวของเจนเป็นพัก ๆ ราวกับคนพูดกำลังใช้ความคิด แม้จะรู้สึกรำคาญแต่เจนต้องทนเอาไว้เพราะเธอต้องพึ่งเขาหากจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้



"เอาล่ะ ฉันคิดแผนออกมาได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะอธิบายแผนขึ้นต้นให้เธอฟังก่อน ส่วนรายระเอียดฉันจะส่งเป็นจดหมายตามไปทีหลัง" โจพูดหลังจากส่งเสียงอยู่นาน



"ฉันพร้อมแล้ว จะให้ทำอะไร จะลุยที่ไหนก็ว่ามาเลย" เจนพูดเสียงกระปรี้กระเปร่าจนทำให้โจที่ได้ยินอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้



"ฮ่ะ ๆ ไม่ต้องไปลุยที่ไหนหรอก เธอน่ะได้ลุยอยู่ตรงนั้นแหละ" เสียงของเพื่อนหนุ่มดังขึ้นพร้อมกับความประหลาดใจของหญิงสาวถึงแผนของโจ เขาวางแผนอะไรกันแน่นะ







"แปลงร่าง!!"



ปุ๋ง!!



เสียงตะโกนของเหล่าทานูกิดังลั่นไปทั่วหมู่บ้านพร้อมควันจากการแปลงกายลอยคุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อควันหายไป เหล่าทานูกิตรงหน้ากลายเป็นก้อนหินบ้าง ต้นไม้บ้าง ซึ่งบางตัวยังคงแปลงร่างไม่ได้สมบูรณ์นักเพราะยังมีหูและหางโผล่ออกมาอยู่



ด้านบนต้นไม้ก็มีทานูกิอีกจำนวนหนึ่งกระโดดร่อนตัวลงมาราวกับพลโดดร่ม อีกด้านบนพื้นก็มีทานูกิอีกจำนวนหนึ่งกำลังขุดดินบนพื้นอย่างขะมักเขม้น โดยทั้งหมดอยู่ในสายตาของเจนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกล



"ไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าพวกทานูกิจะทำตามแผนของโจได้รวดเร็วขนาดนี้" เจนพูดขึ้นด้วยความรู้สึกทึ่งกับความสามารถที่แอบแฝงอยู่ในร่างอ้วนกลมของเหล่าทานูกิ เพราะจดหมายที่บรรจุแผนการของโจเพิ่งจะมาถึงเมื่อสามชั่วโมงก่อนเท่านั้นเอง แต่เหล่าทานูกิก็สามารถใช้เวลาเตรียมการได้อย่างรวดเร็ว



"พวกเราทานูกิแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่พวกเราทุกตัวนั้นมีความสามัคคีและต่างก็อยากจะปกป้องบ้านของพวกเรากันทั้งนั้น ถ้าหากท่านแน่ใจว่าแผนของสหายช่วยป้องกันหมู่บ้านของพวกเราได้ พวกเราก็ยินดีพร้อมที่จะทำตาม" ชิงารากิกล่าวพลางมองเหล่าลูกบ้านทำงานอย่างขะมักเขม้น



แม้เจนจะไม่รู้ว่าแผนของโจจะได้ผลหรือไม่ แต่เธอก็มั่นใจว่าแผนนี้โจคงไม่ได้คิดมาสั่ว ๆ อย่างแน่นอน ถึงแผนที่มีอาจจะไม่สามารถต้านทานไม่ให้เหล่าเทนกุบุกเข้ามาในหมู่บ้านได้ แต่อย่างน้อยมันอาจจะถ่วงเวลาให้มากพอที่เจนจะกลับมาล็อกอินครั้งต่อไปได้



"ฉันเองก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน" เจนพูดออกมาเบา ๆ ถ้าหากรู้ว่าพวกเทนกุอยู่ที่ไหนล่ะก็ เธอคงจะออกไปจัดการแล้วเชียว



เหมือนกับโชคชะตาจะเข้าข้าง จู่ ๆ ก็มีทานูกิตัวหนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกตรงเข้ามาหาพร้อมกับตะโกนเรียกผู้ใหญ่เสียงดังลั่น ทำให้พวกทานูกิที่กำลังเตรียมแผนการอยู่รอบ ๆ ต่างหันมามองเป็นสายตาเดียว



"ใจเย็น ๆ ก่อนเด็กน้อย มีอะไรงั้นเรอะถึงได้ตะโกนโหวกเหวกมาแบบนี้" ชิงารากิเอ่ยพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาทานูกิหนุ่มที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ



"ย..แย่แล้วครับ ม..เมื่อกี้ข้าไปตระเวนอยู่ที่ทางใต้ของหมู่บ้าน ข้าพบทางออกจากป่าที่ไม่เคยพบมาก่อน มันเป็นทางที่นำไปสู่ทะเลสาบขนาดใหญ่มาก แต่ข้าเองก็พบกับกองทัพของเหลาเทนกุกำลังตั้งค่ายอยู่เช่นกันครับ" ทานูกิหนุ่มรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้เหล่าทานูกิโดยรอบเริ่มส่งเสียงคุยกันและเริ่มวิตกกับการปรากฏตัวของเผ่าเทนกุ



"กองทัพงั้นหรือ มีขนาดใหญ่แค่ไหนกัน" เจนรีบถามต่อ



"เอ่อ.. ข้าเองก็ไม่ทันได้นับหรอกครับ แต่ค่ายของพวกมันใหญ่เกือบเท่าทะเลสาบเลยครับ" ทานูกิหันมาตอบคำถามของเจน



ชิงารากิได้ฟังถึงขนาดของกองทัพเทนกุก็หันมาหาเจนด้วยสีหนาวิตกกังวล "ท่านนักผจญภัย พวกมันมีมากเหลือเกิน อย่างนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี"



เจนมองหน้าของผู้ใหญ่บ้านและหันไปมองเหล่าทานูกิตัวอื่น ๆ ที่จ้องมาที่เจนด้วยสีหน้าที่หวังในตัวของเธอกันทุก ๆ ตัว ในตอนแรกเธอคิดจะเข้าไปสู้กับพวกเทนกุโดยตรงเลย แต่ว่าพอได้ยินที่ทานูกิหนุ่มพูดถึงขนาดกองทัพเทนกุต้องทำให้เจนกลับมาทบทวนอีกครั้ง ในตอนนี้หมู่บ้านยังเตรียมการป้องกันไม่เรียบร้อยดี ถ้าหากเจนออกไปตอนนี้ก็เท่ากับบอกที่อยู่ของหมู่บ้านให้พวกเทนกุรู้ และเธอเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเธอจะเอาชนะกองทัพเทนกุได้หรือเปล่า แม้จะมีพลังสถิตร่างอยู่ก็ตาม



"พี่เจน!" เสียงดังเรียกสติของเด็กสาวให้หันไปมอง พบว่าเป็นคิทซึเนะที่วิ่งมาพร้อมฟีบีและโปโกะ



"เมื่อกี้พวกเราเข้าไปสอดแนมค่ายของพวกเทนกุมา หนูได้ยินว่าพวกมันคิดจะเข้ามาค้นหาในป่าวันพรุ่งนี้เช้า ทำยังไงดีคะ" คิทซึเนะรายงานให้เจนฟัง



เมื่อพวกทานูกิได้ยินว่าเทนกุคิดจะบุกเข้ามาในป่าแห่งนี้ในอีกไม่ถึงวันก็ทำให้จากวิตกกังวลอยู่แล้วก็แตกตื่นเข้าไปอีก ทานูกิทุกตัวต่างหันมาหาความหวังเดียวที่มีซึ่งความหวังที่ว่ากำลังยืนหน้าเครียดอยู่ตรงหน้านั่นเอง



"ตอนนี้พวกเรายังทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือยึดตามแผนเดิมเอาไว้ ทุกตัวรีบเตรียมการป้องกันหมู่บ้าน เร่งมือเป็นสองเท่า!" เจนตะโกนสั่งเสียงดัง



เหล่าทานูกิไม่มีท่าทีต่อต้านใด ๆ และต่างรีบวิ่งกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างรวดเร็ว พวกคิทซึเนะเองก็ไปช่วยด้วยอีกแรกหนึ่งด้วย ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งหมู่บ้านต่างมีเสียงเอะอะโวยวายจากการเตรียมป้องกัน



ส่วนเจนนั้นเดินไปพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านไปพบกับกลุ่มทานูกิกลุ่มหนึ่งที่มีท่าทางขึงขังกว่าทานูกิตัวอื่น ๆ เหมือนกับว่าทานูกิพวกนี้เป็นทหารป้องกันหมู่บ้านยังไงอย่างงั้น



"ชิปอม การฝึกของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ชิงารากิเอ่ยถามทานูกิที่เป็นตัวเดียวกับที่เคยคุ้มกันเขามาก่อนหน้านี้



"การฝึกเป็นไปได้ด้วยดีครับ แม้ว่าพวกเราจะแปลงร่างได้ไม่สมบรูณ์แบบ แต่วิธีการแปลงร่างตามที่อยู่ในแผนนั้นพวกเราสามารถใช้ได้อย่างช่ำชองแล้วครับ" ชิปอมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ



ไม่ว่าเปล่า ชิปอมก็หันไปสั่งเหล่าทานูกิด้านหลังเสียงดังแล้วเหล่าทานูกิต่างพากันกระโดดต่อตัวกันพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น



แปลงร่าง!!



ปุ๋ง!



ควันจากการแปลงร่างระเบิดออกมาอีกครั้ง คราวนี้มากกว่าปกติ และเมื่อควันหายไป ภาพที่เจนเห็นอยู่ตรงหนาก็ทำให้ความกังวลในใจของเจนลดลงไปได้เยอะทีเดียว



"อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าโจมันคิดแผนอย่างนี้ขึ้นมาได้ยังไง" เจนเงยหน้ามองพลางพูดรำพัน



"ความจริงการแปลงร่างเช่นนี้พวกเราสามารถทำได้มานานและไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เพราะไม่ค่อยมีทานูกิตัวไหนชอบใช้กันจึงไม่มีการฝึกการแปลงร่างแบบนี้กันมากนัก ข้ายังนึกแปลกใจที่ตอนแรกสหายของท่านถามถึงเรื่องนี้ ความจริงถ้าสหายของท่านไม่เอ่ยถามขึ้น ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน" ชิงารากิบอก



"น่าเสียดายที่มีทานูกิน้อยเกินไปที่แปลงร่างแบบนี้ได้ ถ้าได้มาอีกซักกลุ่มล่ะก็ สถานการณ์พรุ่งนี้คงจะดีกว่านี้" เจนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกเสียดาย



"ท่านนักผจญภัยว่าพรุ่งนี้พวกเราจะรอดหรือไม่" ผู้ใหญ่หันไปถามหญิงสาวด้วยสีหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่ใบหน้าของทานูกิจะทำได้



เจนที่ได้ยินก็ได้แต่ส่งยิ้มให้และตอบออกมาตามตรง "เรียกฉันว่าเจนเถอะ ส่วนวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็คงได้แต่หวังเอาไว้ว่าจะออกมาในทางที่ดีล่ะนะ"







รุ่งสางของวันถัดมา หมอกยามเช้าในป่าเกาลัดยังคงลอยอยู่อย่างหนาทึบท่ามกลางต้นไม้นับร้อยต้นโดยไร้การรบกวนของแสงอาทิตย์ ทว่าทันใดนั้นเอง เงาสีดำทะมึนหลายร่างพลันปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกและเดินลัดเลาะผ่านต้นไม้ตรงไปยังหมู่บ้านเกาลัดอย่างเงียบเชียบ



ใบหน้าสีแดงดุร้ายและจมูกยาวดูราวกับกำลังสวมหน้ากาก ร่างขนาดใหญ่ใยชุดเกราะสีดำพร้อมกับปีกด้านหลังทำให้บอกได้ทันทีว่าเป็นเทนกุจมูกยาวอย่างไม่ต้องสงสัย อาวุธที่เหล่าเทนกุถือมานั้นดูอันตรายไปซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นง้าวยาวที่มีใบมีดคมกริบ ดาบที่ดูแล้วสามารถตัดต้นไม้เป็นสองท่อนได้สบาย ๆ หากเทียบกับเหล่าทานูกิซึ่งไร้อาวุธที่จะสู้แล้วแทบบอกได้เลยว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ



ความจริงแล้วเหล่าเทนกุรู้ว่าพวกคิทซึเนะเข้ามาสอดแนมในค่ายของพวกมัน แต่แทนที่จะจัดการผู้บุกรุก กลับปล่อยให้พวกคิทซึเนะกลับไปและคอยคิดตามจนรู้ที่ซ่อนของหมู่บ้านเข้าจนได้ แต่เนื่องจากทางข้างหน้าเป็นป่าทำให้พวกเทนกุต้องลงมาเดินบนพื้นแทนที่จะบินตามที่พวกมันถนัดที่สุด



ถึงอย่างนั้นการที่ใช้ปีกไม่ได้ก็ไม่ทำให้เหล่าเทนกุกังวลใจแต่อย่างใด เพียงแต่พละกำลังที่มีก็สามารถจัดการทานูกิได้อย่างสบาย ๆ เมื่อเทนกุเหยียบเข้าไปยังหมู่บ้านก็เท่ากับว่าหมู่บ้านแห่งนั้นได้ล่มสลายลงแล้ว



เพียงไม่ถึงสิบนาที กองทัพเทนกุก็มาถึงตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านเกาลัด หัวหน้ากองผู้นำทัพหน้ามานั้นได้กลิ่นของทานูกิลอยมาตามลมที่สามารถยืนยันได้ว่าต้องมีเจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังรอให้ฆ่าอาศัยอยู่แถวนี้อย่างแน่นอน



ใบหน้า*****มแสยะยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่จะได้ละเลงเลือดอีกครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกทานูกิเหล่านี้ทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อยเวลาที่ต้องมาตามล่าพวกมันเพราะเจ้าตัวเล็กเหล่านี้เก่งมากในเรื่องการหลบหนี และยังฆ่าง่ายเกินไป ไม่เติมเต็มความรู้สึกพอใจเลยแม้แต่น้อย



อย่างน้อยในวันนี้เขาก็ได้เป็นทัพหน้าที่มีเทนกุจำนวนไม่ถึงสิบตนแต่ก็มากพอที่จะกวาดล้างทานูกิได้ทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นน่าจะมีทานูกิให้ฆ่าเยอะจนสาแก่ใจ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายที่จากนี้ไปจะมีเหยื่อให้ล่าลดลงไปหนึ่งเผ่าพันธุ์ก็ตาม



ทว่าเมื่อเข้ามาในบริเวณหมู่บ้าน สิ่งที่หัวหน้ากองเทนกุเห็นมีเพียงแค่กระท่อมหลายร้อยหลังที่มีร่องรอยของทานูกิจำนวนมาก ต้นไม้สูงใหญ่หลายร้อยต้นพร้อมกับต้นไม้เล็ก ๆ อยู่ตรงโคนต้นไม้หลากชนิดที่มีร่องรอยของผลไม้ถูกดึงออกไปจากต้น แต่ไม่เห็นเงาของทานูกิเลยซักตัวเดียว



"นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ไอ้พวกทานูกิมันหายไปไหนหมด" นายกองเทนกุเอ่ยขึ้น ทั้ง ๆ ที่กลิ่นตลบอบอวนอยู่โดยรอบแบบนี้กลับไม่พบเจ้าของกลิ่น ด้วยประสบการณ์ที่เคยล่าทานูกิมาก่อนของนายกอง ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่าเป้าหมายเพิ่งอพยพออกไปก่อนที่กองทัพจะมาถึงที่นี่ไม่นานนัก นั่นคือสิ่งที่เทนกุนายกองคิด



"ส่งข่าวไปยังทัพหลัก ไอ้พวกทานูกิเผ่นออกไปจากที่อยู่สุดท้ายของมันแล้ว ยกกองกำลังทั้งหมดเข้ามาได้เลย" นายกองออกคำสั่งให้แก่เทนกุตนหนึ่ง แม้จะผิดหวังจากที่คาดเอาไว้ว่าจะได้จัดการทานูกิซักสิบยี่สิบตัวก่อนจะเรียกทัพหลักที่มีเทนกุนับร้อยเข้ามาเก็บกวาดให้เรียบ แต่สุดท้ายกลับเสียเปล่าที่อาสามาเป็นทัพหน้า



ทว่าเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความหวัง ในระหว่างที่กองทัพหลักกำลังเดินทางมาถึงซึ่งคงจะใช้เวลาอีกพักหนึ่ง นายกองออกคำสั่งให้ทหารเทนกุตนอื่นออกตามหาทานูกิที่อยู่ในหมู่บ้านทุกซอกทุกมุม แม้ตอนนี้จะเหลือเทนกุอยู่เพียงแปดตนรวมทั้งเขาด้วย แต่ก็ไม่ทำให้เขารู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อยเมื่อยู่ท่ามกลางหมู่บ้านแห่งนี้เพียงตนเดียวก็ตาม



หลังจากที่ทหารเทนกุคนอื่น ๆ ออกไปลาดตระเวนหมดแล้ว เขาเองก็ไปด้วยเช่นกันและในทางที่เขาไปนั้นเป็นกระท่อมหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งเขาหวังว่าคงจะมีทานูกิซักตัวหลบอยู่ในนั้น



ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปถึงตัวกระท่อม เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นมาจากอีกฟากของหมู่บ้าน มันเป็นเสียงของเทนกุไม่ผิดแน่!



ไม่เพียงแค่เสียงเดียวที่ดังมา เสียงของทหารเทนกุตนอื่น ๆ เริ่มร้องโหยหวนดังมาจากทิศทางที่ทหารเทนกุกระจายออกไปลาดตระเวน และก็เงียบหายไปอย่างน่าขนลุก ใจที่เคยนิ่งสงบเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ สิ่งที่ทำให้เทนกุร้องออกมาแบบนี้ได้นั้นแทบไม่มีอยู่ในทวีปอัลเทเชียแห่งนี้ ไม่สิ! มันไม่ควรจะมีเลยต่างหาก!



เผ่าเทนกุนั้นเป็นเผ่าที่มีพละกำลังมหาศาลและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเทนกุคือหนึ่งในเผ่าอสูรระดับสูงของทวีปแห่งนี้ สามารถเทียบได้กับอสูรอย่างมิโนทอร์ที่เป็นสัตว์อสูรระดับสูงของทวีปยูโรปา แม้เทนกุจะไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลเท่า แต่เทนกุนั้นสามารถบินได้และมีพลังที่จะต่อกรมอนสเตอร์ระดับวิญญาณได้ทุกระดับขนาดทีทหารเทนกุหนึ่งตนสามารถต่อกรมอนสเตอร์วิญญาณได้ถึงร้อยตนเลยทีเดียว



ทว่าเหตุการณ์ที่นายกองกำลังเผชิญอยู่ตรงนี้กลับทำให้เขาต้องตั้งคำถามต่อความสามารถของเผ่าเทนกุใหม่อีกครั้ง การที่ลูกน้องของเขากรีดร้องออกมาเช่นนั้นย่อมไม่มีทางเป็นฝีมือของพวกทานูกิอย่างแน่นอน และสิ่งเดียวที่เขารู้จักที่สามารถลอบโจมตีได้อย่างเงียบเฉียบเช่นนั้นมีเพียงอยู่อย่างเดียวเท่านั้น



ก่อนที่หัวหน้ากองเทนกุจะคิดป้องกันตัวเอง ร่างของเขาก็ทรุดลงสู่พื้นดินราวกับถูกแผ่นดินสูบ แล้วด้วยการที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้เขากรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาโดยไม่ตั้งใจ



"อ้ากกกกก!"



ตุบ!



หลุมที่เขาตกลงมานั้นมีความลึกถึงสามเมตรแต่ด้วยร่างที่ใหญ่โตของเทนกุทำให้นายกองไม่บาดเจ็บอะไรนัก บวกกับหลุมที่เขาตกลงมาเป็นเพียงแค่หลุมเปล่า ๆ ที่ไม่มีไม่มีอันตรายใด ๆ แอบแฝงอยู่ด้วย คงมีทางเดียวที่หลุมพรางนี้จะเกิดอันตรายต่อเทนกุอย่างเข้าได้คือตกใจจนหัวใจวายตาย



นายกองรู้สึกอับอายแทบอยากจะบินหนีไปซะเดี๋ยวนี้เลย ไม่เคยมาก่อนในชีวิตที่เขาจะกรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเช่นนี้ แม้กระทั่งในศึกแรกเขายังไม่ตะโกนร้องแบบนี้เลย ความรู้สึกต่อมาก็คือสมเพชตัวเองที่ดันมาติดกับดักเด็กเล่นของพวกทานูกิเข้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงหลุมเล็ก ๆ แค่นี้ทำให้เขาคิดไปได้ถึงวิญญาณจัดการเทนกุซะขนาดนั้น



ทว่าคิดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้เจ้าตัวที่เป็นผู้ทำกับดักคงหนีไปไกลแล้ว เอาไว้กองทัพเทนกุยึดครองหมู่บ้านแห่งนี้ได้เมื่อไหร่ล่ะก็ เขานี่แหละจะนำกองกำลังของเขาไปตามฆ่าพวกทานูกิล้างอายเอง



พอจะขึ้นจากหลุมก็เกิดปัญหาขึ้น แม้หลุมนี้จะลึกแต่กลับมีความกว้างไม่มากนัก เพียงแค่ตัวเขาตกลงมาได้ก็แทบจะเต็มหลุม แสดงว่าหลุมกับดักนี้ทำมาเพื่อจัดการเทนกุตัวต่อตัว และเนื่องจากความกว้างที่มีไม่มากนั่นเองทำให้นายกองเทนกุไม่สามารถใช้ปีกบินออกจากหลุมได้



การปีนป่ายนั่นถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเทนกุ แม่ร่างกายของเผ่าพันธุ์นี้จะมีแขนและขาเหมือนมนุษย์ แต่ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของเทนกุนั้นไม่ค่อยจะมีโอกาสตกหลุมพรางแบบนี้เท่าไรนักเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่บินหรืออยู่บนต้นไม้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านายกองเทนกุจะปีนออกจากหลุมพรางไม่ได้ เพียงแค่ลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเท่านั้นเอง



หัวหนากองเทนกุเริ่มพยายามปีนขึ้นออกจากหลุมพราง แต่ดินนั้นร่วนมากจนไม่สามารถเกาะผนังปีนขึ้นไปได้ จนสุดท้ายเขาจึงล้มเลิกความพยายามและตะโกนให้ทหารเทนกุที่น่าจะออกมาจากหลุมพรางมาช่วยเขาออกไป



แต่ตะโกนอยู่นานกลับไม่มีท่าทีว่าจะมีเทนกุในกองกำลังโผล่มาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว จนสุดท้ายก็เริ่มหงุดหงิดและเริ่มพยายามปีนออกมาหลุมด้วยตัวเองอีกครั้ง ถ้าหากเขาออกไปได้ก่อนเจ้าพวกลูกน้องล่ะก็ เขาจะจับไปฝึกให้หนักเลยเชียว



แต่เมื่อเขาพยายามจนเกือบขึ้นไปถึงบนปากหลุม เขากลับพบร่างของเจ้าตัวที่เขาตั้งใจมาสังหารกำลังยืนจ้องเขาลงมา ไม่เพียงแค่ตัวเดียว แต่เป็นทานูกิเป็นสิบตัวที่ยืนล้อมปากหลุมพร้อมทั้งก้อนหินก้อนใหญ่ในมือ



ไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เหล่าทานูกิต่างทิ้งก้อนหินลงมาในหลุมราวกับห่าฝน แม้จะเป็นเพียงก้อนหินก้อนเล็ก ๆ แต่เมื่อมีจำนวนมหาศาลและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แม้แต่อสูรที่แข็งแกร่งอย่างเทนกุจมูกยาวก็เสียท่าได้



เมื่อไม่อาจทนแรงกระแทกของฝนก้อนหินที่พวกทานูกิปาใส่ นายกองเทนกุก็ร่วงหล่นลงสู่ก้นหลุมอีกครั้ง และครั้งนี้เขาไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้เมื่อก้อนหินนับไม่ถ้วนทับร่างอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนนายกองไม่อาจตั้งสติคิดหาทางหนีไปจากสถานการณ์นี้ได้ จนสุดท้ายเมื่อถูกก้อนหินถมจนมิดร่าง สติของหัวหน้ากองเทนกุก็เลือนรางและดับวูบไป



"เยี่ยมมากพวกเรา! รีบพรางหลุมนี้แล้วกลับไปซ่อนตามแผนเร็วเข้า"



"รับทราบ!!"



เสียงของทานูกิตัวหนึ่งตะโกนสั่งและทานูกิตัวอื่น ๆ ร้องรับกันพร้อมหน้า จากนั้นเหล่าทานูกิก็พากันโปรยใบไม้สีเขียวลงบนหลุมพรางที่ตอนนี้ถูกก้อนหินถมจนเต็ม ทันใดนั้นเองใบไม้เหล่านั้นก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มควัน เมื่อควันจางหายไป หลุมพรางก็กลายเป็นพื้นหญ้าปกติ ไร้ร่องรอยหลุมที่หัวหน้ากองเทนกุถูกฝังอยู่ข้างใต้โดยสิ้นเชิง



พร้อมกันนั้นทานูกิตัวอื่น ๆ ต่างพากันไปยืนประจำอยู่ที่ข้างต้นไม้และที่อื่น ๆ จากนั้นทุตัวต่างพร้อมใจกันแปลร่างเป็นต้นไม้และก้อนหินต้นเล็ก ๆ หลบจากการค้นหาของเหล่าเทนกุได้อย่างชาญฉลาด







เจนจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากบนต้นไม้สูงที่เป็นต้นไม้ที่ยากิจำศีลอยู่บนยอด เธอทำได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าแผนธรรมดาแบบนี้จะได้ผล เจนหยิบจดหมายที่โจส่งมาให้หลังจากที่คุยกับคนที่ส่งมาไม่นาน โดยแผนการแรกที่เขียนบนจดหมายนั้นก็ทำให้เจนก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้แล้ว



'แผนการแรกขุดหลุมดักนก'



"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะได้ผลจริง ๆ ด้วย เทนกุแปดตนโดนกับดักจัดการทุกตนเลย" เจนเอ่ยขึ้นโดยมีคิทซึเนะและฟีบีอยู่ด้านข้าง ไม่ไกลก็เป็นโปโกะและชิงารากิซึ่งกำลังสังเกตการณ์อยู่ด้านบนนี้เช่นเดียวกัน



"ต้องให้ภาษีกับแผนของพี่โจเขานะคะ ในจดหมายเขียนรายระเอียดมาจนเหมือนกับเห็นภาพที่นี่เองเลย" คิทซึเนะพูดแล้วก้มลงมองจดหมายในมือเจน



เป็นอย่างที่คิทซึเนะว่าไว้ ไม่เพียงแค่มีหัวข้อใหญ่ ๆ เท่านั้น ในแต่ละขั้นตอนของแผนนั้นมีรายระเอียดการเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการในเรื่องการฝึก สถานที่ หรือแม้แต่การคาดเดาการเคลื่อนไหวของทัพเทนกุ คนที่คิดแผนขนาดนี้ได้ถือว่าเป็นยอดคนที่หาตัวจับได้ยาก และนั่นทำให้เจนตะลึงอยู่ว่าคน ๆ นั้นกลายเป็นโจได้อย่างไร



"มันก็ควรจะรู้ระเอียดอยู่ล่ะนะ เล่นถามคำถามเป็นร้อยแบบนั้น" เจนพูดในฐานะที่เป็นตัวกลางระหว่างโจและชิงารากิในการสื่อสารกันและกัน นอกจากคำถามที่ได้ไปแล้ว เจนยังส่งรูปภาพบริเวณรอบ ๆ ไปให้โจอีกด้วย ดังนั้นคำพูดของคิทซึเนะที่ 'เหมือนกับมาเป็นภาพที่นี่เอง' จึงเป็นความจริง แต่เจนไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยปากแก้ข่าว ให้น้อง ๆ ของเธอเห็นความสามารถของตัวเพื่อนคนนี้บ้างก็คงดี



"นี่จะรีบดีใจไปหน่อยหรือเปล่า แค่จัดการเทนกุไม่กี่ตัวเองนะ ต่อไปคงจะมากันเป็นกองทัพแน่ หลุมที่พวกเราขุดเอาไว้มีไม่พอหรอกนะท่านเจน" เสียงของโปโกะว่า แต่ก็โดนชิงารากิปรามด้วยสายตาทันควัน เนื่องจากเธอคอยช่วยในการเตรียมการแค่ในแผนแรกอยู่ตลอด จึงไม่แปลกที่ทานูกิสาวจะไม่รู้เรื่องแผนอื่น ๆ ของโจเลยแม้แต่น้อย



เจนยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากแล้วจึงพูดขึ้นเบา ๆ แต่แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อยากจะเห็นผลลัพธ์ของแผนอื่นจนอดใจรอแทบไม่อยู่



"ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้มีเทนกุมาเป็นร้อยก็ให้พวกมันมาเลย เพราะยิ่งมาเยอะมากเท่าไหร่ แผนต่อไปก็จะยิ่งมีผลมากขึ้นเท่านั้น"







หลังจากนั้นไม่นานเหล่าเทนกุก็กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่แปดเก้าตัวเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นเทนกุหลายร้อยตัวกำลังเดินทัพเข้ามาในหมู่บ้าน แม้ว่าจะมีแผนของโจคอยรับมืออยู่แล้ว แต่จำนวนและความแข็งแกร่งแม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาของเหลาเทนกุนั้นทำให้เจนรู้สึกไม่มั่นใจว่าแผนจะได้ผล



แต่เมื่อกองทัพเทนกุเดินเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของตำแหน่งที่แผนลำดับต่อไป ภาพความวุ่นวายตรงหน้าก็ทำให้ใจของเจนฉีกยิ้มขึ้นมาทันที



'แผนการที่สอง สร้างความวุ่นวาย'



ในจุดที่พวกเจนกำลังจ้องลงไปและเป็นจุดที่กองทัพเทนกุเพิ่งจะเดินทางไปถึงนั้น ถ้าอธิบายในคำเดียว จะใช้คำว่า'สยดสยอง'ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยศพทานูกิและศพของเทนกุทั้งแปดตนกระจัดกระจายไปทั้งทั่วบริเวณ พื้นดินและต้นไปถูกย้อมด้วยสีแดงฉานของเลือดเต็มไปหมด แม้แต่เทนกุจมูกยาวที่ถือว่าเป็นเผ่าที่จิตใจ*****มโหดที่สุดในเผ่าเทนกุยังรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อเห็นภาพตรงหน้า และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือทั่วทั้งบริเวณแทนที่จะได้กลิ่นเลือด เหล่าทัพเทนกุกลับได้กลิ่นสาปบางอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน



แน่นอนว่าภาพที่กองทัพเทนกุเห็นทั้งหมดเป็นแค่ถาพลวง แม้วาเทนกุจมูกยาวจะมีความแข็งแกร่งมากและมีพลังในการต่อสู้กับวิญญาณสูง แต่กับภาพลวงที่ทานูกิถนัดแล้วถือว่าเทนกุนั้นเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบไปทันที เพราะเทนกุไม่มีพลังที่จะมองทะลุภาพลวงตาได้เลย



ทันใดนั้นเองเหล่ากองทัพเทนกุก็ถูกความเครียดกดดันจนไม่มีใครกล้าเดินหน้าต่อ ในมือทุกตนถืออาวุธเตรียมพร้อมสู้กับสิ่งที่จัดการสหายร่วมรบของพวกมันเป็นชิ้น ๆ ได้ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีจริง กว่าพวกเทนกุจะรู้ว่าทหารทัพหน้าที่ส่งมาตรวจดูลาดลาวนั้นถูกฝังอยู่ในหลุมที่พวกเขาผ่านมานั้นศึกก็จบไปนานแล้ว



ขณะสถานการณ์ที่เริ่มตรึงเครียดอยู่นั้นเอง ร่างขนาดใหญ่นับร้อยร่างพลันปรากฏขึ้นบนยอดไม้เหนือหัวกองทัพเทนกุ มันเป็นราวที่มีเพียงแค่หัวขนาดยักษ์และแขนขางอกออกมาจากหัว เขี้ยวขนาดใหญ่ที่เลอะไปด้วยเลือดกำลังเคียวอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนกับขนนก ดวงตาสีแดงฉานกำลังจ้องลงมาหากองทัพเทนกุราวกับเป็นงูจ้องเหยื่อ



ไม่ต้องมีสัญญาณใด ๆ ทหารเทนกุหลายตนพากันวิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทหารตนอื่นที่เห็นเพื่อนของตนวิ่งหนีไปจึงพากันตามไปด้วยเช่นกัน เหล่าผู้นำทัพพยายามจะเรียกทหารเหลานั้นกลับมาแต่ขนาดตัวพวกเขาเองยังรู้สึกกลัวเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าเหล่านี้ที่จับเทนกุถึงแปดตัวกินได้อย่างเลือดเย็น จะมีปัญญาเรียกทหารที่พากันหนีออกจากสนามรบกลับมาได้ยังไง



กลับมาหาพวกเจนที่มองเหตุการณ์ความวุ่นวายอยู่บนยอดไม้ด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเมื่อเห็นแผนการเดินหน้าไปได้ด้วยดี จำนวนเทนกุลดลงอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด จากหลายร้อยตนตอนนี้เจนคิดว่าอยู่เหลือไม่ถึงสองร้อยตนแล้ว แม้จะไม่สามารถไล่เทนกุออกจากหมู่บ้านไปได้ทุกตัว แต่ก็ลดจำนวนลงไปได้ไม่น้อยพร้อมทั้งทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพไปพร้อมกัน ตอนนี้หนทางรอดของหมู่บ้านเกาลัดเริ่มจะส่องสว่างขึ้นมาแล้ว



"เป็นยังไงเล่าเจ้าพวกจมูกยาว! เจอร่างแปลงของฉันเข้าไปถึงกับผลัดขนหนีไปเลย! ฮ่า ฮ่า!" โปโกะร้องออกมาอย่างสะใจเมื่อเห็นทานูกิตัวอื่นที่ใช้ร่างแปลงประจำของเธอขับไล่กองทัพเทนกุออกไปได้



ในแผนที่โจบอกว่าให้พวกทานูกิแปลงร่างเป็นตัวอะไรก็ได้ที่มันน่ากลัว ๆ เจนก็กังวลว่าจะให้พวกทานูกิแปลงร่างเป็นตัวอะไรดี นึกไม่ถึงว่าความคิดของโปโกะที่จะให้แปลงเป็นปิศาจหัวยักษ์ในความคิดของเธอและกลิ่นผลไม้เน่าจะได้ผลกว่าที่คาดเอาไว้มาก



"ใจเย็น ๆ ก่อนสิโปโกะ ยังเหลือพวกเทนกุอยู่อีกตั้งเยอะ ถ้าหากพวกที่หนีไปรู้ว่าพวกเราหลอกมันล่ะก็ต้องวกกลับมาเสริมทัพแน่" คิทซึเนะรีบปรามเพื่อนของเธอ



สิ่งที่จิ้งจอกสาวพูดเองก็เป็นสิ่งที่เจนกำลังกังวลอยู่เช่นกัน ต่อให้แปลงร่างยังไงแต่สุดท้ายพวกหัวยักษ์เหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ทานูกิแปลงร่าง ถ้าหากจะให้สู้กับกองทัพเทนกุอีกสองร้อยตนที่เหลืออยู่นั้นก็คงจะมีผลไม่ต่างไปจากเดิม และถ้าหากทหารที่หนีทัพย้อนกลับมาล่ะก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม



แต่บนกระดาษจดหมายยังมีแผนการเหลืออยู่อีกหนึ่งแผน และเป็นแผนปิดฉากสงครามนี้ลงอย่างสิ้นเชิง เจนหันหน้าไปหาชิงารากิและผงกหัวให้ ทานูกิผู้ใหญ่บ้านเห็นจึงพยักหน้าตอบแล้วหันไปส่งสัญญาณให้แก่ทานูกิที่โผล่ออกมาจากยอดไม้ของต้นไม้ยักษ์อีกต้นหนึ่ง เมื่อทานูกิตัวนั้นได้รับสัญญาณจึงกลับเข้าไปในต้นแล้วและเริ่มแผนการขึ้นต่อไปทันที



'แผนที่สาม ทุบให้แหลก'



กลับมาทางกองทัพเทนกุที่จำนวนกำลังลดลงเรื่อย ๆ แม่ทัพใหญ่ที่เป็นถึงเทนกุจมูกยาวระดับราชาซึ่งเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ในตอนนี้จึงใช้พลังระดับราชาเปล่งเสียงเรียกสติของทหารในอาณัติกลับมาก่อนที่กองทัพจะลดจำนวนลงไปมากกว่านี้



"กลับมาประจำที่เดี๋ยวนี้นะเจ้าขี้ขลาด!! พวกเจ้าเป็นถึงเทนกุ เผ่าพันธุ์อันสูงส่งแห่งพงไพร ไม่จำเป็นต้องไปกลัวสัตว์ประหลาดเดียรัจฉานไร้สติพวกนี้!!" เสียงตะโกนดังก้องป่าที่อัดแน่นถึงพลังของสัตว์อสูรระดับราชาแทบจะทำให้พวกทานูกิกลับคืนสู่ร่างเดิม ทหารเทนกุที่ทำท่าจะหนีออกไปเมื่อยินเสียงร้องของราชาของตนก็รีบกลับมาตั้งขบวนทัพอีกครั้ง ทำพลให้ตอนนี้ทัพเทนกุกลับมาเพิ่มจำนวนเป็นสามร้อยกว่าตนซึ่งเหลือเฟือต่อการที่จะทำลายหมู่บ้านแห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง



ทว่าก่อนที่ราชาเทนกุจะสั่งให้ทัพโจมตี มันก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากบนยอดไม้ เมื่อเงยหน้าไปมองมันก็แทบจะสั่งให้สลายทัพแทบไม่ทัน เมื่อสัตว์ประหลาดหน้ายักษ์ตัวมหึมากำลังกระโดดลงมาจากต้นไม้พร้อมกับฟาดตระบอกยักษ์ใส่กองทันเทนกุด้านล่าง



ตูมมม!!!



เสียงของตระบอกยักษ์ฟาดกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น เมื่อสัตว์ประหลาดหน้ายักษ์ยกตระบองขึ้นมานั้นก็เห็นว่ามีเทนกุจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกตระบองฟาดจนจมดิน กองทันเทนกุส่วนใหญ่นั้นสลายตัวไปแทบจะทันทีที่เห็นร่างของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์



"ถึงจะเคยพูดไปแล้วแต่ก็ขอพูดอีกครั้งล่ะนะว่าน่าทึ่งจริง ๆ ที่ทานูกิมีความสามารถแบบนี้" เจนกล่าวในขณะมองสัตว์ประหลาดหน้ายักษ์กำลังไล่ฟาดกองทัพเทนกุที่ขวัญกระเจิงให้หนีไปจนไม่เป็นขบวน



ความจริงแล้วการแปลงร่างธรรมดานั้นเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่สามารถลงมือทำอะไรเช่นนี้ได้ แต่ด้วยเทคนิคการแปลงร่างแบบเก่าแก่ของทานูกิ 'รวมร่างแปลงกาย'



"ทานูกิที่แข็งแรงที่สุดในหมู่บ้านกว่าร้อยตัวรวมใจกันรวมร่างเป็นร่างขนาดยักษ์แล้วแปลงร่างอีกครั้งแบบนี้เป็นเทคนิคที่แทบจะไม่มีทานูกิตัวไหนจำได้แล้ว น่าเสียดายที่มีทานูกิพอเพียงแค่จะฝึกแปลงร่างเพียงพอได้แค่ตัวเดียว หากมีเวลามากกว่านี้ล่ะก็คงสามารถฝึกให้แปลงร่างเพิ่มได้อีกสองสามตัวแล้วเชียว" ชิงารากิเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเสียดาย



"ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นาผู้ใหญ่ แต่นี้พวกเทนกุก็สู้อะไรพวกเราไม่ได้แล้ว" โปโกะว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ตัวเธอเองก็อยากจะเป็นหนึ่งในร้อยที่ร่วมแปลงร่างด้วย แต่เทคนิคนี้สูงกว่าความสามารถของตัวเธอเองจะฝึกได้



แม้โปโกะจะดูมั่นใจกับพลังของเผ่าพันธุ์ทานูกิ แต่เจนกลับรู้สึกไม่ค่อยดีนักต่อสถานการณ์ข้างล่างนั่น แม้ว่าทัพเทนกุจะพากันหลนหนีออกไปจากหมู่บ้านกันแล้วก็ตาม ทว่าความรู้สึกแปลก ๆ ที่คอยรบกวนเธอบวกกับในจดหมายนั้นยังมีโน้ตของโจที่บอกเอาไว้ว่า มันยังไม่จบง่าย ๆ เช่นนี้แน่



ขณะเดียวกันนั้นเอง ราชาเทนกุที่หลบการโจมตีของเหล่าทานูกิออกมาได้อย่างเฉียดฉิว ในตอนแรกเขารู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ถึงมาจู่โจมกองทัพเทนกุพร้อมทั้งการหายไปของเหล่าทานูกิอย่างน่าพิศวง ทว่าตอนนั้นเองที่ราชาเทนกุสังเกตถึงความผิดปกติ เมื่อสัตว์ประหลาดหัวยักษ์ตัวเล็ก ๆนั้นแทนที่จะเข้ามาช่วยสู้กลับปีนต้นไม้หนีหายไป และตอนนั้นเองที่เขาเห็นหางที่มีขนสีน้ำตาลโผล่ออกมาจากสัตว์ประหลาดหัวยักษ์ตัวหนึ่ง ทำให้ราชาเทนกุรู้ทันทีว่าเขาโดนหลอกเข้าให้แล้ว



ความเกรี้ยวโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจจนแทบจะระเบิด ในสายตาของราชาเทนกุนั้นมองสัตว์ประหลาดหัวยักษ์ตัวใหญ่ตอนนี้เป็นศัตรูที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก โทษฐานที่บังอาจย่ำยีเกียรติ์ของเผ่าพันธุ์เทนกุจนไม่เหลือชิ้นดี



พวกเจนที่อยู่บนต้นไม้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมาจากเทนกุตนหนึ่งที่ถือใบไม้สีเขียวขนาดใหญ่เอาไว้ข้างหนึ่งและถือหอกสีดำเอาไว้อีกข้างและมีดาบคาตานะคาดเอวเอาไว้อีกสองเล่ม เพื่อความไม่ประมาท เจนรีบตรวจสอบเทนกุตนนั้นทันทีเพราะท่าทางของเทนกุจมูกยาวตนนั้นดูแข็งแกร่งกว่าเทนกุตนอื่นมาก



ราชาเทนกุจมูกยาว ยศราชา ระดับ 60

ราชาแห่งเทนกุ เผ่าเทนกุจมูกยาว มีพละกำลังมหาศาล พร้อมด้วยพลังที่สามารถควบคุมสายลำให้ทำลายอริให้สิ้นได้

พลังป้องกันลม ดิน สูง ไม่มีธาตุที่แพ้ทาง



เจนเบิกตากว้างอย่างใจหายเมื่อเห็นว่าเทนกุตรงหน้านั้นอยู่คนละระดับชั้นกับเทนกุทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และเมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่าราชาเทนกุกำลังจะใช้พัดใบไม้กับเหล่าทานูกิที่รวมร่างกันอยู่ หญิงสาวไม่รอดูว่าพลังที่ราชาเทนกุใช้จะทรงพลังเพียงใด แต่เธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าหากเธอไม่รีบลงไปหยุดราชาเทนกุได้ทัน และทางที่เร็วที่สุดคือกระโดดลงไป



แม้เจนจะพยายามเท่าไหร่แต่ก็ชาเกินไปแล้วเพราะพัดใบไม้ในมือของราชาเทนกุถูกโบกสะบัดออกไปอย่างรุนแรงจนต้นไม้ต้นเล็กที่อยู่ใกล้เคียงถึงกับโค่งลงมาอย่างง่ายดาย ร่างอันใหญ่โตดูจะไร้ประโยชน์ไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันสูงส่งของราชาเทนกุนี้ สัตว์ประหลาดหน้ายักษ์ลอยกระเด็นไปชนกันต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างรุนแรงด้วยพลังลมที่ซัดเข้าใส่ เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของมันพลันกลายเป็นกลุ่มควันที่ถูกลมพัดหายไปอย่างรวดเร็ว เหลืออยู่เพียงทานูกิไม่ถึงร้อยตัวนอนสลบอยู่ และบางส่วนก็ปลิวไปตามลมพายุที่เพิ่งพัดผ่านไป



"เป็นยังไงล่ะไอ้พวกทานูกิชั้นต่ำ บังอาจกล้าท้าทายเทนกุดีนัก วันนี้ล่ะขาจะกวาดล้างเผ่าพันของพวกเจ้าให้สิ้น!" ราชาเทนกุตะโกนเสียงดัง



"ข้ามศพฉันไปก่อน!!" เสียงไม่คุ้นหูตะโกนตอบจากด้านบน ราชาเทนกุเงยหน้าขึ้นมองดูว่าใครคือผู้ที่บังอาจต่อต้านเขา และนั่นทำให้เขาแปลกใจเมื่อร่างที่กำลังพุ่งลงมานั้นไม่ใช่ทานูกิ แต่เป็นมนุษย์!



ไวเท่าความคิด ราชาเทนกุเก็บพัดของตนแล้วซัดหอกเข้าใส่เจนเต็มแรง เสียงคมหอกผ่าอากาศพุ่งตรงเข้าใส่นั้นดังฟังน่ากลัวและทรงพลังมาก



แค่เห็นเจนก็รู้ว่าไม่ควรรับการโจมตีนั้นอย่างเด็ดขาด แต่ด้วยความเร็วขนาดนี้และเธออยู่บนฟ้าคงไม่สามารถเคลื่อนตัวหลบได้ แต่เธอก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางต่อกรกับการโจมตีของราชาเทนกุซะทีเดียว



ร่างในเสื้อคลุมสีขาวส่องสว่างออกมาเล็กน้อย และแทบจะทันที มือบางก็ชักดาบออกมาและตวัดไปข้างหน้าเต็มแรง



ผ่ามิติ!!



ตูม!!!



คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะหอกยาวของราชาเทนกุเข้าจัง ๆ ทั้งคลื่นดาบของเจนสลายหายไปและหอกของราชาเทนกุต่างระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ แสดงถึงพลังทำลายที่สูสีกัน นั่นทำให้ราชาเทนกุต้องเก็บโทสะของตนเอาไว้และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมนุษย์ตรงหน้านี้มีพลังที่ประมาทไม่ได้ และดาบในมือที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสันหลัง



"นี่มันอะไรกัน ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เจ้าเองก็เป็นภาพลวงตาอีกหรือยังไงกัน" ราชาเทนกุกล่าวพร้อมกับชักดาบคาตะนะทั้งสองเล่มออกมา ถึงปากจะเอ่ยออกไปแบบนั้นแต่ใจเขารู้ดีกว่าไม่ใช่ นี่เป็นการถ่วงเวลาเพื่อที่เขาจะได้สังเกตว่ามนุษย์ผู้นี้มีความสามารถเพียงไร จากท่าทางสงบไม่ตอบโต้เช่นนี้ ทำให้ราชาเทนกุเองหาทางรับมือได้ยากยิ่ง



ทางด้านเจนเองก็ไม่ได้ดูสงบอย่างที่แสดงให้เห็น ถ้าไม่นับอามีร่าและหมิงเต๋อ นี่เป็นครั้งแรกที่เจนได้สู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่ใช่นักเลงและมีฝีมืออยู่ในระดับสูง คู่ต่อสู้แบบนี้เจนก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง ในหัวของเธอตอนนี้พยายามทวนภาพจากการฝึกกับหมิงเต๋อออกมาให้มากที่สุด และหวังว่านั่นจะช่วยให้เธอเอาชนะราชาเทนกุลงได้



"ฉันแค่มาช่วยเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการที่จะต่อสู้กับท่านเลย" เจนเอ่ยด้วยความยำเกรง



"คำพูดสวยหรูแต่การกระทำของเจ้านั้นกลับชั่วร้ายยิ่งนัก ใช้วิธีขี้ขลาด เอาเล่ห์กลมายาหลอกลวงทำลายเกียรติ์ของกองทัพเทนกุของข้า"



"เกียรติ์งั้นหรือ ฉันขอถามหน่อยเถอะ การที่เผ่าพันธุ์ผู้ยิ่งใหญ่ของท่านมารุกรานบ้านของพวกทานูกิเหล่านี้มันมีเกียรติ์ตรงไหน" เจนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเมื่อได้ยินคำพูดที่หยิ่งผยองของราชาเทนกุ แม้ว่าจะมียศสูงส่งขนาดไหนแต่กลับมาทำตัวแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากกุ๊ยข้างถนน สำหรับเจนแล้วเทนกุตรงหน้าไม่ควรจะเรียกว่าเป็นราชาเลยด้วยซ้ำ



"พวกชั้นต่ำอย่างไอ้เจ้าทานูกิไม่มีสิทธิ์ครอบครองดินแดนใด ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามที่เผ่าเทนกุต้องการ ที่แห่งนั้นจักต้องตกเป็นของเผ่าเทนกุ ไม่ว่าจะเป็นป่าแห่งนี้ หรือจะเมืองเมืองมนุษย์ของพวกเจ้า" ราชาเทนกุพูดพร้อมทั้งยกดาบชี้ไปยังหญิงสาว



"ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราคงไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกันต่อไปแล้ว" เจนเอ่ยและยกดาบเตรียมพร้อมสู้ คราวนี้เจนจะลงมือตั้งแต่เริ่ม เธอไม่ยอมแพ้คนที่มีความคิดเห็นแก่ตัวแบบนี้แน่ แม้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอจะไม่ใช่คนก็ตามที



พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!



ร่างหญิงสาวปลดปล่อยออร่าสีทองพร้อมกับพุ่งเข้าฟาดฟันกับราชาเทนกุด้วยความเร็วสูงสุดในร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง



ราชาเทนกุเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมาจากร่าง แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้เขาสามารถตั้งสติเอาไว้ได้และกางปีกออกบินเข้าประดาบกับเจน



เคร้ง!! เคร้ง!! เคร้ง!!



เสียงดาบปะทะกันอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่วหมู่บ้าน แม้เจนจะใช้พลังของร่างพลังสถิตร่างเทพจิ้งจอกเก้าหางและมีอาวุธระดับสูงอย่างดาบคุซานางิ แต่ราชาเทนกุเป็นถึงมอนสเตอร์ระดับราชา ความแข็งแกร่งและทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าเจนมากสามารถทำให้เขาต่อสู้กับเจนได้อย่างสูสี



ยิ่งต่อสู้ไปทำให้เจนเริ่มอ่อนแรงลง การลงดาบแต่ละครั้งของราชาเทนกุนั้นทั้งหนักหน่วงและรวดเร็วรุนแรง แม้ร่างจิ้งจอกเก้าหางจะเด่นด้านความเร็วแต่เห็นได้ชัดว่าราชาเทนกุเร็วกว่า จนทำให้เจนที่เป็นฝ่ายรุกกลับเป็นฝ่ายรับไปทันที มือบางจับดาบแน่นก็เริ่มรู้สึกชาจากแรงดาบที่ฟาดเข้ามาในแต่ละครั้งที่ยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้าหากการต่อสู้เป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็มีหวังเจนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่



ทันใดนั้นเองเจนก็พุ่งถอยกลับขึ้นไปบนฟ้า ถ้าหากเป็นบนอากาศล่ะก็เธออาจจะพอมีหนทางตอบโต้กลับไปได้เพราะมีกิ่งไม้คอยกำบังการโจมตีของราชาเทนกุและทำให้บินลำบากมากขึ้น แต่ทว่าเธอกลับลืมไปว่าผู้ที่เธอกำลังต่อสู้ด้วยคือเทนกุที่มีบ้านเป็นท้องฟ้า นับว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเจนเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว



เมื่อคู่ต่อสู้โผทะยานขึ้นไปบนฟ้า ราชาเทนกุก็แสยะยิ้มออกมาแล้วพุ่งตามขึ้นไปทันที ปีกสีดำสยายออกพาร่างใหญ่บินตามเหยื่อที่หลงเข้ามาในสนามรบที่เขารู้จักดีอย่างกระชั้นชิด



เจนที่เห็นราชาเทนกุตามมาอย่างรวดเร็วก็ถึงกับใจหาย เธอไม่นึกว่าตัวใหญ่ ๆ จะมีความไวถึงขนาดนี้ พวกกิ่งไม้ที่น่าจะเป็นสิ่งกีดขวางช่วยชะลอความไวกลับกลายเป็นเจนเองที่ต้องลดความเร็วลงเอง ส่วนราชาเทนกุนั้นกลับสามารถบินผ่านมาได้โดยไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่มีปีกขนาดใหญ่แท้ ๆ กลับสามารถเข้าประชิดตัวเจนได้อย่างรวดเร็ว



ราชาเทนกุเห็นโอกาสมาถึงก็ยกดาบในมือและฟาดใส่จากด้านหลัง เจนรีบหมุนตัวแล้วยกดาบขึ้นกัน เสียงดาบปะทะกันดังแต่ครั้งนี้เจนเป็นฝ่ายกระเด็นออกไปจากแรงมหาศาลของราชาเทนกุ ร่างบางพุ่งชนกับต้นไม้อย่างแรงก่อนจะร่วงสู่พื้น โชคดีที่ด้านล่างเป็นกองหญ้า ซึมซับแรงกระแทกส่วนมากเอาไว้ได้แต่พลังชีวิตที่ลดไปถึงหนึ่งในสี่ บ่งบอกถึงความรุนแรงของดาบที่ราชาเทนกุฟาดลงมาเป็นอย่างดี



"ข้าประหลาดใจมากในตอนแรกที่เจ้าปล่อยพลังออกมา มนุษย์อย่างพวกเจ้านี่ทำให้ข้าต้องทึ่งอยู่เสมอจริง ๆ" ราชาเทนกุเอ่ยขึ้นระหว่างที่ค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นเบื้องหน้าของเจน



หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนเองกลับมาและพบว่าพลังสถิตร่างนั้นได้หายไปแล้ว คงเป็นเพราะโดนโจมตีหนักจนติดสถานะช็อก ซึ่งสถานะนี้ทำให้ทักษะที่ใช้อยู่ทุกอย่างจะถูกปลดออก และนั่นหมายความว่าเจนต้องรออีกหนึ่งวันถึงจะกลับมาใช้ทักษะได้อีกครั้ง



ตอนนี้เจนมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะเอาชนะราชาเทนกุ แม้ถึงเจนไม่ค่อยอยากจะทำเพราะอาจทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถึงกับโดนทำลาย แต่อาจจะช่วยชีวิตของเผ่าทานูกิเอาไว้ได้ นั่นคือการอัญเชิญพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ!



"สุดท้ายแล้วแผ่นดินนี้จะตกเป็นของข้า ราชาแห่งเทนกุจมูกยาว และจะไม่มีไอ้งี่เง่าหน้าไหนมาขัดขวางข้าได้ ไม้ว่าจะเป็นทานูกิพวกนี้ หรือมนุษย์อย่างเจ้า!" ราชาเทนกุเดินเข้ามาหาและยกดาบขึ้นสูงเตรียมจะปลิดชีวิตของหญิงสาวตรงหน้า เจนมองเห็นคิทซึเนะและฟีบีกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อจะช่วยเธอจากคมดาบของกษัตริย์เทนกุจมูกยาวตรงหน้า แต่ถึงทั้งคู่จะมาช่วยได้ทันเวลาก็ยังไม่ใช่คู่มือของราชาเทนกุอยู่ดี



เจนรีบเรียกใช้ทักษะอัญเชิญอสูรออกมาทันที แต่ใจของเธอพลันหล่นวูบลงเมื่อมีเสียงเตือนในหัวว่าไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากพลังเวทย์ไม่พอ ในเวลานี้เจนไม่คิดจะควานหาขวดยาเพิ่มพลังเวทในกระเป๋าแล้วเพราะไม่มีเวลา เธอก็ไม่คิดจะดูด้วยว่าพลังเวทของเธอเหลืออยู่เท่าไหร่ทำไมถึงไม่พอที่จะอัญเชิญพญาอสรพิษออกมาด้วย สิ่งที่เจนทำได้ตอนนี้ คือพยายามลุกขึ้นยืนหยัดสู้ให้ถึงที่สุด และมันช่างเลือนรางเหลือเกิน



เงาดำทาบร่างบางจนแทบไม่เห็นแสงตะวัน เมื่อขาดพลังไปเจนรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กกระจ้อยและอ่อนแอเหลือเกิน ความต่างของพลังนั้นแม้จะมีไม่มาก แต่ฝีมือและประสบการณ์ที่สามารถใช้ตัดสินความเป็นความตายเพียงชั่วอึดใจนั้นที่จะนำชัยชนะมา



ดาบคาตะนะยกขึ้นสูงเตรียมจะลงดาบ คิทซึเนะและฟีบีต่างรีบเข้ามาหาเจนสุดชีวิต ลูกไฟและพลังลมหายใจมังกรพุ่งเข้าใส่ร่างราชาเทนกุแต่เหมือนกับว่ามันช้าเกินไปกว่าที่จะช่วยชีวิตหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าร่างใหญ่ได้ทัน



ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิงสีน้ำเงินลูกใหญ่พุ่งเข้าหาร่างในชุดเกราะจากด้านหลัง ราชาเทนกุสัมผัสได้ถึงอันตรายของลูกเพลิงนี้ได้ว่าถ้าหากมันไม่ยอมหลบ ตัวมันเองต้องถึงฆาตอย่างแน่นอน



ราชาเทากุกางปีกโผบินขึ้นหลบลูกเพลิง ทว่ามันต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นเมื่อลูกไฟนั้นแทนที่จะพุ่งไปด้านหน้า กลับพุ่งขึ้นตามเขามาราวกับว่ามันมีชีวิต



ไม่ว่าจะเร่งความเร็วหนีเท่าไหร่ จะบินฉวัดเฉวียนหลบให้ลูกเพลิงชนกับต้นไม้กี่ร้อยต้น ลูกเพลิงสีฟ้าก็สามารถกลบสิ่งกีดขวางและเร่งความเร็วตามมาอย่างกระชั้นชิด



สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก ถ้าหากหนีต่อไปชะตาคงถึงฆาตแน่ ราชาเทนกุจึงหยิบพัดออกมาและเร่งพลังถึงขีดสุด ปล่อยคลื่นลมพัดเข้าปะทะกับลูกเพลิงสีฟ้าหวังที่จะสลายพลังของลูกเพลิงนี้ไปให้สิ้น



ดวงตาของราชาเทนกุเบิกกว้าง เมื่อลูกเพลิงที่เขาคิดจะทำบายกลับพุ่งทะลุคลื่นสายลมของเขามาได้ราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คลื่นสายลมนี้เคยพัดร่างขนาดใหญ่ของเหล่าทานูกิที่รวมร่างกันมาแล้ว และนี่เป็นพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งนั้นเสียอีก แสดงว่าลูกเพลิงนี้มีพลังยิ่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก และเขาต้องจ่ายให้กับความประมาทนี้ด้วยชีวิต



ตูม!!!



เสียงลูกเพลิงระเบิดดังลั่น ร่างของราชาเทนกุมอดไหม้และร่วงลงสู่พื้นและนอนนิ่งไม่ไหวติงซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเจนมากนัก แต่ถึงแม้พลังของลูกเพลิงสีฟ้าจะสูงจนสามารถจัดการมอนสเตอร์ระดับราชาได้เพียงครั้งเดียว การระเบิดนั้นกลับเล็กเพียงนิดเดียวและไฟก็ไม่ได้ไม่ต้นไม้บริเวณรอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย แค่ใบไม้ที่อยู่ใต้ร่างนองราชาเทนกุยังไม่ติดไฟเลยด้วยซ้ำ



คิทซึเนะและฟีบีเข้ามาถึงเจนและเห็นร่างที่กำลังมอดไหม้ของราชาเทนกุที่เมื่อครู่กำลังจะเป็นผู้มีชัยเหนือเจ้านายของพวกเธอ



เจนมองไปที่คิทซึเนะเพราะเพลิงสีฟ้านั้นมีเพียงเธอคนเดียวในที่นี่เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ แต่เจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของเธอ และแน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือของเจนและฟีบีด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นฝีมือของใครกัน!?



"ไม่ได้พบกันเสียนานนะ ลูกแม่"



เสียงนุ่มคุ้นหูที่แฝงไปด้วยอำนาจดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็เห็นร่างสูงโปร่งของหญิงสาวผมสีทองที่แผ่ออร่าสีเดียงกันออกมาบาง ๆ อยู่ในอาภรณ์สีเหลืองลายดอกไม้สีขาวและแดง แต่สิ่งที่เด่นยิ่งกว่าความสวยงามของหล่อนนั่นก็คือหางทั้งเก้าที่แผ่สยายมาอย่างน่าเกรงขาม



"ท่านแม่!/ท่านมาเอะ!/ใครอ่ะ!" สามเสียงประสานกันแต่พูดคนละคำเมื่อเห็นร่างมนุษย์ของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะ



ตัวคนถูกเรียกส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วเข้าไปสวมกอดลูกสาวของเธออย่างแผ่วเบา จิ้งจอกสาวเองก็กอดแม่แน่นให้หายคิดถึง เวลาเกือบสองเดือนในเกมที่คิทซึเนะแยกจากมาเอะมา ถึงการเดินทางครั้งนี้จะสนุกแต่ช่วงเวลาที่เจนไม่อยู่นั้นคิทซึเนะรู้สึกเหงาไม่น้อยและทำให้เธอคิดถึงแม่เสมอ มาวันนี้เมื่อได้มาเจอตัวจริงทำให้คิทซึเนะอดไม่ได้ที่จะสวมกอดมาเอะให้นานเท่าที่จะทำได้



ความรู้สึกนี้เจนเองเข้าใจดีเพราะเธอเองก็มีจริยาเพียงแค่คนเดียว ความรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงย่อมรุนแรงไม่น้อย โดยเฉพาะเด็กที่อายุไม่มากอย่างคิทซึเนะที่น่าจะยังติดแม่อยู่แบบนี้ด้วย



เมื่อเห็นสองแม่ลูกได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ทำให้เจนนึกถึงฟีบีขึ้นมา มังกรน้อยนั้นเกิดจากไข่ที่เจนเก็บมาได้ทำให้ฟีบีไม่เคยเจอพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอมาก่อน บางทีพ่อแม่ของเธออาจจะไม่ใช่มังกรฟ้าด้วยซ้ำไป



ตั้งแต่ฟีบีเกิดมานั้น เจนรู้สึกว่าเธอไม่ได้ดูแลมังกรน้อยเท่าที่ควรในฐานะที่เป็นแม่ของเธอ อาจเป็นเพราะช่วงนั้นมีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมามากซะเหลือเกินจนทำได้แค่พยายามให้ฟีบีปลอดภัย



หญิงสาวคว้าตัวมังกรน้อยเข้ามากอดบ้าง ฟีบีที่แม้จะยังไม่รู้ว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใครและทำไมพี่สาวของเธอถึงกอดกันนานนัก แต่แม่ของเธอที่ให้เรียกว่าพี่สาวอย่างเจนกอดเธอแบบที่สองคนนั้นทำกัน ไออุ่นจากตัวเจนทำให้หัวใจมังกรน้อยรู้สึกมีความสุขจนหุบยิ้มออกมาไม่ได้



"เจน ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง ส่วนเธอคงเป็นฟีบีสินะ" มาเอะเข้ามาคุยกับเจนหลังจากถามไถ่สารทุกสุขดิบกับลูกสาวเรียบร้อยแล้ว



"คุณเป็นใครหรือคะ ทำไมถึงรู้ชื่อของหนูได้" ฟีบีถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา



"ข้าชื่อว่ามาเอะ เป็นแม่ของคิทซึเนะจ๊ะ ลูกสาวของฉันเพิ่งเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังเมื่อครู่นี้เอง" มาเอะตอบ



"เอ๋ คุณมาเอะเป็นแม่ของพี่คิทซึเนะ แล้วพี่คิทซึเนะก็เป็นพี่ของฟีบี แต่แม่ของฟีบีคือแม่เจนที่อยากให้เรียกว่าพี่ แบบนี้คุณมาเอะก็เป็นแม่ของฟีบีด้วยน่ะสิ" มังกรน้อยกร้าวด้วยท่าทางใสซื่อ เรียกเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางอย่างอดไม่ได้



"ฮ่ะ ฮ่ะ ถ้าหนูอยากจะเรียกฉันแบบนั้นก็ตามใจเลยจ๊ะ ฉันดีใจมากเลยนะที่ได้เด็กน่ารัก ๆ อย่างหนูมาเป็นลูกสาวอีกคนแบบนี้"



มาเอะลูบหัวของฟีบีอย่างอ่อนโยน เรียกรอยยิ้มขึ้นที่ใบหน้าของมังกรน้อยอย่างง่ายดาย



"ขอบคุณมากค่ะท่านมาเอะที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ถ้าหากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ฉันคงแย่แน่ ๆ เลย" เจนกล่าว



"ยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้มีพระคุณเสมอค่ะ แต่ดูจากที่เจนดูแลคิทซึเนะจนโตเป็นสาวเช่นนี้ได้ ข้าคงต้องเป็นฝ่านขอบคุณท่านมากกว่าล่ะมั้งเนี่ย"



เจนทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น ถ้าให้พูดกันตามตรง ผู้ที่ทำให้คิทซึเนะเพิ่มระดับขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้นั้นคือยามาตะ โนะ โอโรจิต่างหาก ไม่ใช่ตัวเธอ



ตอนนั้นเองที่มาเอะหันกลับไปมองด้านหลังของเธอ เมื่อพวกเจนชะโงกหัวมองตามก็พบกับพวกทานูกิที่หลบอยู่บนต้นไม้หลายร้อยตัวกำลังตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตะลึงที่เห็นเทนอสูรอยู่ตรงหน้า แต่เป็นพวกเจนที่ตะลึงมากกว่าเพราะด้านหน้าของเหล่าทานูกินั้นเป็นทานูกิขนทองตัวใหญ่ที่ควรจะนอนหลับอยู่บนยอดไม้



"ไม่เจอกันนานเลยนะ...ยัยจิ้งจอก"



จบตอนที่ 29 สงครามครึ่งชั่วโมง
--------------------------
เอาไว้เจอกันตอนต่อไปครับ

Tohan-kun
26th January 2014, 11:11
ตอนที่ 30 ทบทวน



ร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในเมืองยามะไต ช่วงเวลาสายของวันเช่นนี้การที่จะมีคนเข้าร้านจนเต็มเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลยสำหรับร้านอาหารแห่งนี้ เพราะเป็นร้านอาหารธรรมดาที่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่รสชาติอาหารที่นี่อร่อยมากและมีราคาถูก ทำให้มีคนเข้ามากินอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอ



ในโต๊ะหนึ่งของร้านอาหาร มีผู้เล่นกลุ่มหนึ่งกำลังทานอาหารส่งเสียงดังเอะอะโวยวายสร้างความรำคาญเป็นที่สุด แม้เจ้าของร้านที่เป็นที่เป็นผู้เล่นเช่นเดียวกันมาเตือนแต่กลับโดนไล่ออกมาเสียเอง เพราะผู้เล่นเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เล่นธรรมดา ถึงจะไม่มีกิลด์สังกัดแต่การที่ทำตัวกร่างเป็นอันธพาลครองเมืองแบบนี้ แค่มองแว่บเดียวก็รู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับกิลด์พิฆาตราชาแน่



ถึงแม้เมืองยามะไตจะเป็นเมืองที่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ปกครองทว่าก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างเต็มที่ซะทีเดียวอย่างกิลด์หกราชันย์ เพราะอำนาจอีกครึ่งเป็นของราชินีที่ปกครองเมืองนี้อยู่ หน้าที่ของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่จึงมีแค่ปกป้องเมืองในยามสงครามและคอยดูแลกิจการต่าง ๆ ในเมืองที่มีผู้เล่นเป็นเจ้าของทั้งหมด ดังนั้นเรื่องการรักษาความสงบสุขเช่นนี้แม้กิลด์ราชาพยัคฆ์คูก็มีสิทธิ์ได้แต่เพราะไม่ใช้หน้าที่โดยตรงจึงเป็นหน้าที่ของทหารประจำเมืองซะมากกว่า แต่ถึงให้คนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่มาจัดการก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าไล่คนเหล่านี้ออกมาจากร้านค้าอยู่ดี เพราะตราบใดที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนของกิลด์พิฆาตราชา ก็ไม่สามารถจับพวกเขาไปขังคุกในข้อหาบุกรุกได้



เนื่องจากตอนนี้กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่และกิลด์พิฆาตราชากำลังประกาศสงครามกันอยู่ แม้จะยังไม่ถึงช่วงมหาสงครามก็ตาม แต่ก็เกิดการปะทะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ่อยครั้ง และเนื่องจากสภาวะสงครามเช่นนี้ ทำให้คนจากทั้งสองกิลด์ไม่อาจเดินทางเข้าเมืองที่กิลด์ศัตรูปกครองอยู่ได้ ดังนั้นการที่นักเลงพวกนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายในเมืองก็จะโดนอย่างมากก็แค่จ่ายค่าปรับหรือไล่ออกจากร้านอาหารเท่านั้น



แน่นอนว่าเจ้าของร้านไปแจ้งพวกทหารยามให้มาจัดการแล้ว ทว่าในระหว่างที่กำลังรอพวกทหารจัดกองกำลังอยู่เช่นนี้ พวกนักเลงก็ยังคงส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอย่างไม่เกรงใจใครโดยไม่มีใครเข้าไปห้ามเลยแม้แต่คนเดียว



"ฮ่า ๆ ๆ! เฮ้ย! เอาเหล้ามาอีกสิวะ!" นักเลงคนหนึ่งตะโกนเรียกบริกรเสียงดังลั่นร้าน ซึ่งบริกรหนุ่มที่อยู่ในร้านก็ต้องนำเหล้ามาให้ตามคำสั่งแม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม แต่เป็นเพราะเป็นต้องรักษาชื่อเสียงของร้านที่บังคับให้เขาต้องทำ



หลังจากได้เหล้าขวดใหม่มา เสียงโวยวายก็ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านมองกลุ่มผู้เล่นนักเลงอย่างหัวเสียแต่เพราะเลเวลของเขาไม่มากและเขาก็ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้จึง ทำได้แค่รอให้ทหารมาจัดการเท่านั้น



"ไม่นึกเลยว่าไอ้งานที่ได้มาคราวนี้จะเป็นงานกินหมู แค่ไปจัดการไอ้พวกลูกกระจ็อกกิลด์พยัคฆ์ราชาคู่ให้หงอจนไม่กล้าออกมาเก็บเลเวลก็ได้เงินมาตั้งหมื่นเหรียญทองแล้ว คิดถูกจริง ๆ ที่ไปทำงานกับไอ้ไวรัสเวรนั่น" นักเลงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น



"เฮย มันเป็นถึงหนึ่งในสี่ขุมพลเชียวนะเว้ย ไปเรียกมันแบบนั้นเดี๋ยวก็เจอเก็บหรอก" นักเลงอีกคนรีบพูดปรามเมื่อได้ยินว่าเพื่อนของตนกำลังเอ่ยถึงหนึ่งในสี่รองหัวหน้ากิลด์พิฆาตราชาอย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน อย่างน้อยในกลุ่มนักเลงสี่คนที่เมาหัวราน้ำ ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งยังคงหลงเหลือสติอยู่บ้าง



นักเลงคนแรกได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดังราวกับว่าเพื่อนของเขาพูดเรื่องตลกออกมา เมื่อหัวเราะจนสะใจแล้วชายหนุ่มจึงคว้าคอเพื่อนเข้ามากอดแล้วพูดเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน



"จะกลัวอะไรไปวะ ตอนนี้พวกกิลด์พิฆาตราชาเข้ามาในเมืองนี้ไม่ได้ซักหน่อย ไม่มีใครแอบฟังอยู่หรอกน่า แล้วต่อให้เข้ามาจริง ๆ ก็ปล่อยให้มันมาเลย จะได้ดูว่าข้ากับมัน ใครจะเก่งกว่ากัน" พูดจบแล้วเขาก็ปล่อยคอเพื่อนและหันไปสังสรรค์กับนักเลงอีกสองคนต่อ ปล่อยให้ชายผู้ยังคงสติอยู่ได้มองเพื่อนของตนอย่างเหยียด ๆ



'เอ็งจะพูดได้ก็แค่ตอนเมานี่แหละว่ะ ไอ้คนมีค่าหัวแค่ห้าแสนโกลด์อย่างแกจะไปเทียบคนที่มีค่าหัวสูงที่สุดในเกมอย่างไวรัส เอาไว้เจอของจริงหน่อยจะคอยดูว่าจะได้ถึงครึ่งของไอ้ที่พูดมั้ย แต่ยังไงคนปากอย่างเอ็งไม่ได้ตาสดีแน่' ชายหนุ่มคิดในใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเกิดขึ้นเร็วราวกับติดจรวด



ปัง! เพล้ง!!



เสียงระเบิดดังพร้อมกับเสียงกระจกแตกดังลั่น เสียงกรีดร้องของหญิงสาวภายในและนอกร้านอาหารตามมาในแทบจะทันที นักเลงหนุ่มหันไปมองกระจกที่แตกก็พบว่าเป็นกระจกของหน้าต่างบานที่อยู่ตรงกับโต๊ะของเขาและเพื่อน ๆ พอดี เมื่อจะหันไปดูว่าพรรคพวกของเขาปลอดภัยดีหรือเปล่า กลับพบว่าเพื่อนจอมปากดีของเขานั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโดยมีรูกระสุนอยู่บนหัว จากนั้นเพียงครู่เดียว ร่างของเพื่อนผู้ปากดีก็กลายเป็นแสงหายไป เป็นอันสรุปได้ทันทีว่าเสียงเมื่อครู่นั้นเป็นเสียงปืนที่มุ่งเป้ามายังกลุ่มของเขา



"เฮ้ย รีบออกไปตามหามือปืนเร็วเข้า มันต้องยังอยู่แถวนี้แน่!" นักเลงหนุ่มตะโกนแล้ววิ่งออกจากร้านอาหารไปทันที ส่วนเพื่อนอีกสองคนที่ยังคงตกใจและยัง***งงเพราะฤทธิ์เหล้าก็พยายามวิ่งตามไปอย่างสะเปะสะปะ โดยมีเจ้าของร้านอาหารวิ่งตามพร้อมกับตะโกนโหวกเหวกโวยวาย



"เฮ้ยย! พวกแกจะหนีไปไหน! ไอ้พวกชักดาบ กินแล้วไม่จ่ายเงินงั้นเรอะ ใครก็ได้ จับไอ้สามตัวนั้นที!!"







ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกางหนังสือพิมพ์อ่านอย่างตั้งใจ ซึ่งหนังสือพิมพ์นี้เป็นสิ่งที่ผู้เล่นเป็นคนทำออกมาขายในโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์แห่งนี้ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในหมู่ผู้เล่นเพราะสามารถเปิดอ่านข่าวสารเดียวกันได้จากกระดานข่าวสารอยู่แล้ว ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงเป็นที่นิยมสำหรับเอไอชาวเมืองที่ต้องการติดตามกระแสความเป็นไปในโลกแห่งนี้แบบรายวันที่สายข่าวชาวเมืองปกติทำไม่ได้



ที่น่าแปลกคือชายคนนี้นั้นอ่านหนังสือพิมพ์กลับด้าน มือใหญ่ก็มีเหงื่อออกจนกระดาษเปียกชื้นไปหมด แถมยังกำแน่นจนกระดาษยับยู่ยี่ไปด้วย แขนทั้งสองข้างของเขาที่มีขนาดใหญ่น่าจะดูแข็งแกร่งกลับสั่นเป็นเจ้าเข้าจนดูไม่ออกเลยว่าจะอ่านตัวหนังสือตรงหน้าออกได้ยังไง



อาการน่าพิรุธของเขายิ่งแสดงออกมารุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อกลุ่มนักเลงทั้งสามวิ่งมาถึงบริเวณที่เขานั่งอยู่ โชคดีที่ทั้งสามกำลังเร่งรีบเลยไม่ทันเหลียวมองชายร่างใหญ่ที่ทำท่าพิรุธนั่งเด่นอยู่บนเก้าอี้ข้างทางในเวลาเที่ยงวันที่แสงแดดส่องลงมากลางหัวจนไม่มีใครคิดจะมานั่งอยู่แถวนี้



เมื่อนักเลงทั้งสามวิ่งผ่านไป ชายร่างใหญ่ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากหนังสือพิมพ์โดยสายตายังคงจ้องไปทิศทางที่นักเลงทั้งสามวิ่งไปอย่างไม่ค่อยวางใจนัก แต่โอกาสหนีของเขามาถึงแล้ว ถ้าหากนักเลงทั้งสามคนรู้ว่าเขานี่แหละเป็นคนจัดการเพื่อนของคนเหล่านี้คงจะต้องเกิดเรื่องยุ่งแน่ ๆ



"ต..ต้องหนีก่อน ต้องซ่อน ซ่อน..." ชายร่างใหญ่พูดพึมพำกับตัวเองแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับวางหนังสือพิมพ์ที่มีสภาพเละจนกลายเป็นขยะลงบนเก้าอี้ที่เขาลุกขึ้นมา



ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นไปได้ นอกจากแจ็คนั่นเอง



ในตอนนี้เขากำลังทำภารกิจเลื่อนยศหรือถ้าจะบอกอย่างถูกต้องก็คือเขาเพิ่งทำภารกิจเลื่อนยศเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว



แจ็คใช้เวลาอยู่สองวันกว่าที่จะตามหากลุ่มโจรที่มีสมาชิกที่มีค่าหัวมากกว่าห้าแสนโกลด์ได้ ในตอนแรกเขาโชคไม่ค่อยดีนักตอนที่ไปดูค่าหัวที่อาคารระบบ เขาพบว่าคนที่มีค่าหัวมากกว่าห้าแสนโกลด์นั้นมีระดับสูงมากทั้งนั้น แถมหลายคนก็อยู่ในกิลด์ใหญ่ ๆ ซะด้วย จนสุดท้ายเขาก็เห็นชื่อหนึ่งที่มีค่าหัวห้าแสนโกลด์พอดี แถมยังไม่มีกิลด์สังกัดอยู่และมีรายงานว่าอยู่ในเมืองยามะไตอีกด้วย



แจ็ครีบออกไปตามหาชื่อคนที่ว่านี้ทันที แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขานั้นอยู่กับเพื่อนที่มีท่าทางเก่งไม่เบาอีกสามคน ทำให้โรคประจำตัวของแจ็คที่จะกำเริบเวลาอยู่คนเดียว นั่นก็คือโรคกลัวการอยู่คนเดียวนั่นเอง



ในตอนแรกที่เข้ามาในเกมนี้แจ็คก็พบว่าในเกมนั่นเหมืองจริงมากจนเขาเริ่มคิดว่าบางทีเขาสามารถจะรักษาโรคของเขาได้และเขาก็คิดว่ามันหายไปแล้วจริง ๆ ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในเมืองคริสตัลเบล แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียวจริง ๆ ขึ้นมา อาการที่เขาคิดว่าหายขาดแล้วกลับปรากฏขึ้นในจิตใจ ยิ่งช่วงเวลาที่เขามองดูเป้าหมาย ความกลัวที่ก่อเกิดจากคำถามต่าง ๆ นา ๆ ก็รุนแรงยิ่งขึ้น คำถามอย่างจะหนียังไง ถ้าถูกจับได้จะทำยังไง จะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นดีมั้ย และอื่น ๆ อีกมากมาย



แม้ว่าเขาจะสามารถเหนี่ยวไกปืนและจัดการเป้าหมายได้อย่างหมดจดพร้อมกับสามารถหนีจากการตามล่าของพวกนักเลงได้ แต่เขาไม่ได้เอาชนะความกลัวในใจเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ในใจของเขาต้องการเพียงแค่หนีออกไปจากที่นี่เท่านั้น



"จ..เจน โจ มีใครอยู่หรือเปล่า" แจ็คพูดเสียงสั่นผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม ไม่นานนักเสียงหวานก็ตอบกลับมา



"แจ็ค? เกิดอะไรขึ้นน่ะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า" น้ำเสียงของเจนฟังดูเป็นห่วงไม่น้อย



"ฉันเพิ่งจัดการ..อึก จัดการส่วนของฉันเสร็จ" แจ็คตอบกลับไป เขาลอบกลืนน้ำลายและหันไปมองด้านหลังของตัวเองด้วยความกลัวว่าจะมีคนลอบตามเขามา



"นาย!? คนเดียวงั้นหรือเนี่ย! ยอดไปเลย นี่แสดงว่านายหายจากไอ้โฟเบียอะไรนั่น..- อ่า แต่ฟังจากน้ำเสียงของนายแล้วคงยังล่ะสิ" เจนว่า



"นี่เธอจัดการเรื่องของเธอเสร็จหรือยัง จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับโจมัน ทำไมหมอนั่นถึงไม่..-"



"เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ช้าก่อนสิ ใจเย็น ๆ ก่อน เล่นถามมารัวแบบนั้นใครมันจะไปตอบได้เล่า นายเนี่ยน้า ตัวใหญ่กล้ามโตซะเปล่า ดันเป็นคนปอดแหกซะได้" เจนพูดโดยที่แจ็คตอนนี้กำลังเอาตัวของเขาแนบอยู่ที่ข้างอาคารที่ใกล้ที่สุด มองดูให้แน่ใจว่านักเลงพวกนั้นไม่ได้ตามเขามาจริง ๆ เป็นหนที่สิบ



"ช่างฉัน! ว่าแต่เธอจะกลับมาเมื่อไหร่!" แจ็คพูดเสียงดังจนเหมือนกับตะคอก



"โว้ว ใจเย็น! แต่ขอโทษนะ ฉันคงกลับไปไม่ทันก่อนถึงเวลาล็อกเอาท์แน่ พอดีฉันเองก็จัดการเรื่องของฉันเสร็จแล้วเหมือนกันแต่ว่ามีธุระต่ออีกนิดหน่อย ส่วนโจ ฉันว่าหมอนั่นคงกำลังยุ่งอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะมาคุยกับนายแล้วล่ะ" เจนพยายามตอบอย่างใจเย็น เห็นได้ชัดว่าโรคความกลัวของแจ็ครุนแรงมาก และมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาถูกกระตุ้นจากเรื่องตื่นเต้น แน่นอนว่าการถูกตามล่าจากนักเลงที่เป็นเพื่อนของคนที่มีค่าหัวครึ่งล้านโกลด์นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจเต้นระทึกอย่างแน่นอน



"บ้าจริง! เอาล่ะ ฉ..ฉันต้องไป.. ต้องหาที่ซ่อนก่อน โรงแรม! ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องล็อกเอาท์ก่อนล่ะ" ชายหนุ่มพูดกับเพื่อนสาวแต่เหมือนกับพูดกับตัวเอง



"โอเค ฉันเข้าใจแล้ว นายออกจากเกมไปสงบสติอารมณ์ซะนะ เอาไว้พรุ่งนี้เจอกัน ตอนนี้ฉันส่งที่อยู่ของโรงแรมที่เราพักไปให้พวกพี่เสือแล้ว บางทีถ้านายล็อกอินเข้ามาให้เกมครั้งต่อไปอาจจะได้เจอกับพวกเขาหรือพร้อมกับโจก็ได้ ส่วนฉันจะพยายามกลับไปให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน" เจนค่อย ๆ บอกอย่างใจเย็นเพื่อให้เพื่อนของเธอผ่อนคลายลง



"ต้องหาที่กบดาน ต้องหาที่กบดาน ต้องหาที่กบดาน!" แจ็คพูดพึมพำพลางเดินทางไปยังโรงแรมที่พักของพวกเขาโดยดูเหมือนว่าสิ่งที่เจนพูดจะไม่เข้าหูของเขาซักเท่าไหร่ ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มร่างโตคนนี้จะกลับมาเหมือนเดิมในครั้งหน้าที่เจนมาสมทบด้วยกันแล้ว







ก่อนหน้าเหตุการณ์ของแจ็คจะเกิดขึ้นหนึ่งวัน ทางด้านของเจนที่เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง มาเอะได้เข้ามาช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เมื่อเทพอสูรทานูกิขนทอง ยากิปรากฏตัวขึ้น เจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศตรงหน้าของเธอนั้นเริ่มที่จะอึดอัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



แม้จะมีระดับเลเวลไม่สูงเท่ากับยามาตะ โนะ โอโรจิและเซอร์โนบอท แต่เทพอย่างไรก็ยังเป็นเทพ และการปะทะกันระหว่างมอนสเตอร์ระดับเทพที่สามารถจัดการมอนสเตอร์ระดับราชาได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้นั้นคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงความปลอดภัยของพวกเจนและทานูกิทั้งหลาย เจนเกือบจะแน่ใจเลยว่าหากทั้งคู่ต่อสู้กันจริง ๆ คงไม่เหลือหน้าตาของป่าเกาลัดอีกต่อไปอย่างแน่นอน



ดวงตาของเทพอสูรทั้งสองสบกันอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เจนยิ่งกังวลใจมากขึ้น และยิ่งหนักใจเมื่อหากเธอต้องเลือกข้างขึ้นมา ระหว่างทานูกิและหมู่บ้านที่เธอพยายามช่วย กับมาเอะ ผู้ที่มอบพลังสถิตร่างแก่เธอ



"ยากิ ข้าคิดว่าเจ้าถูกผนึกอยู่ซะอีกนะ" มาเอะเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน



"เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วมาเอะ ข้าถูกผนึกอยู่จริง ๆ ถ้าหากไม่ใช่ผู้ครองดาบคุซานางิที่ยืนอยู่ข้างเจ้า ข้าก็คงยังหลับใหลอยู่ในผนึกพันปีอีกนานอีกเดียว" เทพอสูรทานูกิขนทองเอ่ยตอบ เขาทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยพูดต่อ



"ข้าขอเดานะ.. ผนึกที่กักขังเจ้าก็ถูกทำลายด้วยดาบคุซานางิเหมือนกันล่ะสิ"



เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางไม่เอ่ยตอบ แต่เธอตอบด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เจนรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อย แต่สถานการณ์ก็ดูท่าจะยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากริมฝีปากบางของมาเอะ



"ช่างเรื่องผนึกไปก่อนเถอะ เจ้าและข้ายังมีเรื่องที่ยังสะสางกันไม่เสร็จตั้งแต่พวกเรายังไม่ถูกผนึก ไหน ๆ เราทั้งสองก็ถูกปลดผนึกออกมาแล้วก็มาตัดสินกันให้รู้กันไปเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะ"



เจนใจหายวาบเมื่อมาเอะเป็นฝ่ายท้าทายก่อน แถมดูเหมือนว่าทั้งสองจะอาฆาตกันมานานแล้วเสียด้วย แบบนี้ท่าทางจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงกว่าที่เธอคิดซะแล้ว



"ดี ข้าเองก็รอวันที่จะได้ตัดสินกับเจ้าอยู่พอดี!" ยากิตะโกนตอบเสียงดังลั่นป่า



เมื่อสถานการณ์กำลังจะถึงขีดสุด ทางเดียวที่จะหยุดเทพอสูรทั้งสองได้คือการอัญเชิญเทพอสูรอีกตัวที่เธอรู้จักออกมา แต่นั่นอาจจะทำให้ทั้งคู่บาดเจ็บซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เจนต้องการแน่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปห้ามทั้งสองด้วยตัวเธอเองดู เพราะยังไงเจนก็เป็นผู้ที่ช่วยทั้งคู่ออกมาจากผนึกพันปี ถ้าหากไม่สำเร็จจริง ๆ คงจะต้องเรียกยามาตะ โนะ โอโรจิออกมาเป็นทางเลือกสุดท้าย



ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็พุ่งเข้ามาขวางระหว่างเทพอสูรทั้งสอง ดวงตาของจิ้งจอกและทานูกิต่างจับจ้องไปยังมนุษย์เพียงผู้เดียวในป่าแห่งนี้และยังกล้าเข้ามาขวางเทพอสูรอีกด้วย



"ทั้งสองใจเย็น ๆ ก่อนเถอะนะ! เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตไป จะมาสู้กันตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก" เจนพูดขึ้นด้วยเสียงเหมือนคนเพิ่งไปออกกำลังกายมา การที่เข้ามาขวางเทพอสูรสองตัวจะสู้กันนี่ทำเอาเธอหายใจไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว



มาเอะเห็นเจนเข้ามาขวางก็มีสีหน้าแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยตอบ "ถึงเจนจะเข้ามาขวางก็ตาม แต่ข้าคงไม่อาจหยุดสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นได้หรอก เพราะยังไงถึงการต่อสู้ของเราสองจะไม่เกิดในวันนี้ แต่ในอนาคตมันก็คงจะเกิดขึ้นอยู่ดี...หรือว่าเจนคิดจะเข้ามาร่วมสู้กับพวกเราด้วย"



หญิงสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่แทบไม่ลงเมื่อจู่ ๆ มาเอะกลับเบนเข็มมาที่เธอซะอย่างนั้น แถมยากิที่อยู่ด้านหลังของเธอยังส่งเสียงออกมาอย่างชอบใจอีกด้วย



"ฮ่า ๆ ! มนุษย์งั้นเรอะ! ดี! ข้าไม่เคยดื่มกับมนุษย์มาก่อนเลย อยากรู้จริง ๆ ว่ามนุษย์จะคอแข็งแค่ไหน"



"..หา" เมื่อได้ยินคำพูดของยากิถึงกับทำให้เจนชะงัก เธอยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แต่เมื่อหันไปหามาเอะที่มีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้างามก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น



"พวกเรามาฉลองการกลับมาพบกันอีกครั้งของเผ่าทานูกิและเผ่าจิ้งจอกในรอบพันปี และฉลองให้แก่นักผจญภัยผู้ปกป้องหมู่บ้านของเรา!! บ้านไหนมีเหล้าอยู่เท่าไหร่เอาออกมาให้หมด!! งานนี้ต้องเอาให้เหล้าหมดหมู่บ้านไปเลย ฮ่า ฮ่า!!!" เสียงตะโกนของยากิดังไปทั่วหมู่บ้านเป็นสัญญาณของงานเลี้ยงได้เริ่มต้นแล้ว



เสียงร้องแสดงความยินดีของเหล่าทานูกิดังไปทั่วด้วยความยินดี แม้แต่ทานูกิที่บาดเจ็บยังพากันร้องดีใจไปพร้อมกับรับการรักษาไปด้วย



เจนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหันด้วยความงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าเธอถูกเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางหลอกอำเข้าให้แล้วจึงได้ส่งสายตาไปอย่างเคือง ๆ เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงเทพ ถ้าหากทำกับเธอเหมือนกับพวกโจล่ะก็ เจนคงจะกลายเป็นเถ้าธุลีในไม่กี่อึดใจอย่างแน่นอน



ทางด้านนางจิ้งจอกเก้าหางรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจ้องมองอยู่จึงหันไปดูก็ พบว่าเป็นหญิงสาวผู้ที่ช่วยเธอและบุตรสาวเอาไว้ซึ่งตอนนี้แต่งตัวเป็นชายหนุ่มกำลังมองดูเธอด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ทว่าแทนที่มาเอะจะรู้สึกเสียใจ เธอกลับรู้สึกสนุกที่ได้หยอกเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหญิงสาวคนนี้ แน่เธอก็ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้หยอกหญิงสาวคนนี้แน่



"เอาล่ะ ข้าคิดว่าพวกเราก็รีบตามยากิไปกันดีกว่า เดี๋ยวถ้าเกิดช้ากว่านี้คงจะไม่เหลืออะไรให้พวกเรากินแน่ แล้วเจนจะตกใจว่าเจ้าทานูกิอ้วนนี่กินกุขนาดไหน" มาเอะว่าแล้วลากแขนเจนเดินตามทานูกิขนทองไปโดยไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวเอ่ยปากแม้แต่น้อย







งานฉลองแห่งป่าเกาลัดถูกจัดขึ้นอย่างลวก ๆ แต่กลับมีความครื้นเครงมากเมื่อหมู่บ้านรอดจากหายนะครั้งใหญ่มาได้ อิสระจากจากถูกตามง่ามาหลายปีจากเผ่าเทนกุจมูกยาวได้จบลงไปในวันนี้ ความตื้นตันที่อยู่ในใจเหล่าทานูกิก็ระเบิดออกมาอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ และนอกจากนั้นการฟื้นคืนกลับมาของเทพเจ้าประจำเผ่าจากที่ถูกผนึกเป็นพันปี นั่นเป็นสิ่งที่ทานูกิทุกตัวรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งกว่าสิ่งใด



แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน แต่งานก็เริ่มขึ้นอย่างครึกครื้นไปทั้งหมู่บ้าน ผลไม้นานาพันธ์ต่างถูกนำออกมาวางเรียงรายให้หยิบกินนับไม่ถ้วน กลิ่นหอมของเหล้าบ่มผลไม้รวมที่ยากิคุยนักหนาว่ามีแค่ทานูกิเท่านั้นที่รู้กระบวนวิธีการทำแต่เพียงผู้เดียว และรสชาติดีที่สุด กลิ่นที่ลอยโชยมาและสีของเหล้านั้นทำให้เจนนึกว่าเป็นน้ำผลไม้ซะอีก



บริเวณลานกว้างได้ถูกจัดเป็นที่พำนักของเทพอสูรทั้งสองพร้อมกับที่ของแขกพิเศษอย่างเจนให้มานั่งกินผลไม้ที่มาเสริฟให้อย่างไม่หยุดหย่อนจนทำให้เจนกินจนอิ่ม จนเลี่ยน คิทซึเนะเองก็กินไปไม่น้อยแต่ก็ได้แค่มากเท่าที่เธอจะรับไหว ส่วนฟีบีนั้นรับหน้าที่จัดการผลไม้ที่เหลือโดยจับผลไม้แต่ละชิ้นยัดเข้าปากแล้วกลืนโดยแทบไม่เคี้ยว แถมยังคงความเร็วโดยไม่ตกแม้แต่นิดเดียว ทำเอาทานูกิตัวอื่น ๆ ที่มองดูอยู่ต่างประหลาดใจว่าตัวเล็กแค่นิดเดียวแต่เอาผลไม้ที่กินเข้าไปไว้ที่ไหนได้



มาเอะและยากินั้นให้ความสนใจกับผลไม้ไม่มากนัก ทั้งคู่นั้นเอาแต่กระดกเหล้าผลไม้รวมเข้าปากโดยดวงตาทั้งสองนั้นจ้องมองกันและกันราวกับว่ากำลังดวลกันจริง ๆ



"ตอนแรกที่คุยกัน ฉันคิดว่าท่านมาเอะจะเปิดสงครามกับท่านยากิแล้วซะอีก สรุปที่คุยกันก็เป็นแค่การดวลเหล้างั้นหรือคะ" เจนเอ่ยโดยใช้หางเสียงเป็นผู้หญิงเพราะที่นี่ไม่มีผู้เล่นคนอื่นอยู่และมาเอะก็รู้แต่แรกแล้วว่าเจนเป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกแล้ว



"สงคราม!? ระหว่างข้ากับนังจิ้งจอกนี่น่ะหรือ ถ้าเป็นสงครามเหล้าล่ะก็พวกเราสองนั้นได้ต่อสูกันมานานนับร้อยปีแล้ว.... ตอนนี้ก็คงต้องบอกว่านับพันปีแล้วสิ" ยากิกล่าวแล้วยกจานเหล้าของตนขึ้นกรอกปากทีเดียวหมด ในระหว่างที่มาเอะซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงกนข้ามนั้นค่อย ๆ ยกจานเหล้าเทเข้าปากอย่างบรรจงแต่จำนวนจานที่ทั้งคู่ดื่มไปนั้นแทบไม่ต่างกันเลย



"เรื่องนี้เจนคงยังไม่รู้ ความจริงเผ่าจิ้งจอกและเผ่าทานูกินั้นเป็นเผ่าพันธมิตรกันมานานแล้ว ข้าและยากิทำข้อตกลงที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่ออีกฝ่ายตกอยู่ในยามลำบาก แต่เป็นเพราะเหล่าเทพอสูรอย่างพวกข้าถูกผนึกมานานนับพันปี ทำให้เผ่าพันธุ์ทั้งสองอ่อนแอลงจนถูกรุกรานและไม่อาจมาช่วยเหลือกันและกันได้" มาเอะว่า



"ฮ่า ฮ่า อย่าว่าอย่างนั้นเลย ลูกหลานของข้าเองยังลืมไปด้วยซ้ำว่าเผ่าทานูกิมีพันธมิตรอย่างเผ่าจิ้งจอกอยู่ ให้ตายสิ ข้าว่าเผ่าทานูกิที่อยู่นอกป่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่โดนรุกรานด้วยซ้ำไป! ฮ่า ฮ่า!!" ยากิหัวเราะชอบใจแล้วก็ยกจานเหล้าขึ้นดื่ม ทว่าตอนนั้นเองที่ชิงารากิที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ



"เอ่อ...ท่านเทพยากิ ข้ามีเรื่องใคร่เรียนที่จะแจ้งแก่ท่านให้ได้ทราบขอรับ มันเป็นเรื่องที่ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้ไว้" สีหน้าของชิงารากิดูหดหู่ หูของเขาลดต่ำลงบ่อบอกได้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดนั้นคงไม่ใช่ข่าวดีนัก



"ถ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ" ยากิเอ๋ยด้วยน้ำเสียงสุ่มนวลต่างจากปกติ สายตาที่ใช้มองดูลูกหลานของเขานั้นก็ดูอบอุ่นราวกับเป็นสายตาของพ่อกำลังมองดูลูกชาย



"ทานูกิเผ่าอื่นที่อยู่นอกป่าเกาลัด...ไม่มีอีกแล้วขอรับ"



เสียงของชิงารากิแม้จะเบาแต่หูของยากิก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน แม้เทพอสูรทานูกิขนทองยังคงสงวนท่าทีอยู่แต่เจนบอกได้เลยว่าเรื่องนี้สะเทือนใจของยากิไม่น้อย เพราะรอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าของเขาตลอดเวลาตอนนี้กลับจางหายไป



"หมายความว่ายังไง" ยากิถาม



"ท่านถูกผนึกมาพันปีขอรับ ท่านยากิ ช่วงที่เหล่าเทพอสูรถูกผนึกนั่นเป็นโลกของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด เราชาวทานูกิรู้ดีว่าพวกเราไม่ได้มีความแข็งแกร่งหรือทรงพลังพอที่จะป้องกันตัวเองได้ ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจซ่อนตัวจากโลก ซ่อนตัวให้พ้นจากนักล่าที่อยู่ภายนอกทั้งหมด"



ชิงารากิเว้นช่วงแล้วจึงพูดต่อ



"แต่เหล่าเทนกุจมูกยาวที่แผ่ขยายรังมาจนถึงในแถบนี้พบพวกเราและตามล่า จนตอนนี้ไม่มีทานูกิเหลืออยู่นอกป่าเกาลัดอีกต่อไปแล้วขอรับ" ชิงารากิว่าแล้วจึงเงยหน้ามองขึ้นไปหายากิที่นิ่งเงียบ ไม่ยอมแม้แต่จะยกชามเหล้าขึ้นดื่ม



"ตอนนี้พวกเราเป็นทานูกิกลุ่มสุดท้ายบนทวีปแล้วขอรับ"



บรรยากาศงานฉลองรู้สึกกร่อยลงมากเมื่อยากิได้ฟังข่าวร้าย ท่าทางเขาเองก็ไม่คิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ถึงขนาดนี้เมื่อได้ออกมาจากผนึกพันปี แต่เจนคิดว่าบางทีอาจจะแย่ไปกว่านี้ก็ได้ถ้าหากมาเอะไม่ได้มาช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้



พูดถึงมาเอะ ตอนนี้เธอกลับดูเป็นผู้ที่มีท่าทางไม่เดือดร้อนมากเท่าไหร่รองลงมาจากฟีบี แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก แต่ในฐานะของพันธมิตรแล้วถ้าหากเธอไม่ทำอะไรเลยก็คงถือว่าเป็นพันธมิตรที่ไม่ดีเท่าไหร่



"ถึงแม้ข้าอาจจะช่วยเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ได้นะ ยากิ แต่บางทีข้าข้าอาจจะช่วยในเรื่องที่จะเกิดต่อไปในอนาคตได้นะ" พญาจิ้งจอกก้าวหางเอ่ยขึ้นแล้วจกชามเหล้าขึ้นดื่มอย่างบรรจง แต่คำพูดของเธอนั้นดึงดูดสายตาของทั้งยากิ ชิงารากิ เจนพร้อมทั้งคิทซึเนะและโปโกะที่นั่งอยู่ด้วยกันให้มองมาที่เธออย่างสงสัยใคร่รู้



"นี่เจ้าหมายถึง...ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ได้สนใจกฎในสัญญาที่เราเคยร่างกันไว้ซะอีก" ยากิพูด



"ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นอกจากพวกเราจะต้องต่อสู้กับอสูรเผ่าอื่นแล้ว พวกเรายังต้องต่อสู้กับมนุษย์ที่ทุกวันก็ยิ่งถลำลึกเข้ามายังป่าสวนในมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นนักผจญภัยอย่างเช่นเจน ที่สามารถเกิดใหม่ได้และยังมีฝีมือร้ายกาจอีกด้วย" มาเอะว่า คนที่ถูกเอ่ยถึงสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกลัวว่าอาจจะนำไปพาดพิงถึงเรื่องอะไรไม่ดีเข้า



"แม้ว่าท่านจะเห็นว่าเจนเป็นคนดี แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ พวกเขาทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นเฉพาะตัว บ้างเป็นคนดี บ้างก็มีจิตใจดำมืดยิ่งกว่าปิศาจ ถ้าหากเราไม่ช่วยเหลือกันและกัน ถ้าหากวันใดที่หายนะมาถึง ข้าเกรงว่าเราทั้งสองเผ่าอาจจะพินาศไปทั้งคู่" คำพูดของมาเอะแม้จะมีน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ก็เด็ดเดี่ยวและยังดูมีเหตุมีผลอีกด้วย



"เรื่องนั้นข้าเห็นด้วย... เห็นทีข้าคงจะต้องจัดหาที่พักให้เผ่าจิ้งจอกซะแล้ว" ยากิเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วจึงหันไปคุยกับชิงารากิ



คิทซึเนะฟังทั้งสองคุยกันแต่ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เธอจึงเข้าไปถามแม่ของเธอที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม



"ท่านแม่หมายถึงอะไรหรือคะ ทำไมฟังดูเหมือนว่าเผ่าจิ้งจอกจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ล่ะคะ"



"ลูกเข้าใจถูกแล้วล่ะ แต่ไม่ใช่ถาวรหรอกนะ เผ่าจิ้งจอกจะมาอยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูหมู่บ้านและป้องกันเหตุร้ายถ้าหากหมู่บ้านโดนบุกอีกครั้ง จนกว่าเผ่าทานูกิจะสามารถป้องกันหมู่บ้านด้วยกำลังของตนเองได้นั่นแหละจ๊ะ" มาเอะตอบด้วยน้ำเสียงเอ็นดู



"แล้วก็เจน หลังจากนี้จะมาที่ภูเขาไทโกคุกับข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีของที่จะมอบให้ จำได้มั้ยที่ข้าเคยบอกกับเจ้าครั้งก่อนที่เราพบกัน"



"จำได้ค่ะ แต่ว่าฉันอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อีกแค่ถึงวันพรุ่งนี้ จากนั้นอีกสิบห้าวันถึงจะกลับมาได้น่ะค่ะ แถมต่อจากนั้นฉันก็มีธุระสำคัญที่ต้องไปทำกับเพื่อน ๆ ด้วย" เจนตอบ ความจริงเธอก็อยากจะกลับไปที่หุบเขาจิ้งจอกที่เธอเผอิญถูกมาเอะดึงตัวไป ตอนนั้นแม้จะเป็นยามดึกแต่บรรยากาศบึงน้ำตื้นกลางแสงจันทร์นั้นก็ชวนให้เจนคิดอยากจะไปอีกครั้ง น่าเสียดายที่ครั้งที่แล้วที่ไปเยือนเธอตกใจกลัวเกินกว่าจะชื่นชมบรรยากาศได้



"น่าเสียดายจัง ถ้าอย่างนั้นเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะคะ แล้วก็อย่าลืมพาเพื่อน ๆ มาด้วยนะคะ ถ้าเป็นเพื่อนของเจนข้าคิดว่าคงจะนิสัยดีกันทุกคนแน่ ๆ" มาเอะเอ่ยปากชม เจนได้ยินจึงก้มหน้ารับคำชมอย่างเต็มใจ



พอนึกถึงพรรคพวกของเธอเจนก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเสือซ่อนลายนั้นเป็นคนต่างชาติ เวลาออนไลน์อาจจะไม่พร้อมกันก็ได้ ทางที่ดีน่าจะหาจุดนัดรวมตัวกันเอาไว้ก่อน ที่แห่งแรกที่เจนนึกได้ไม่ใช่ที่ไหนอื่นเลยนอกจากโรงแรมที่เธอจ่ายค่าห้องล่วงหน้าเอาไว้ อุตส่าห์จ่ายเงินไปแล้วทั้งทีก็คงต้องใช้ให้คุ้มหน่อย



หลังจากฟีบีหยุดมือทานมหกรรมผลไม้ตรงหน้าแล้ว(ซึ่งเจ้ามังกรน้อยก็กินไปมาโขอยู่) เจนจึงขอตัวพาฟีบีไปพักที่บ้านของชางารากิซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านทานูกิก็จัดที่พักเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนคิทซึเนะนั้นขออยู่กับมาเอะก่อนแล้วจะตามไปทีหลัง ซึ่งเจนก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วจึงเดินออกมาจากบริเวณงานฉลองที่กำลังดำเนินไปอย่างครื้นเครง



เมื่อมาถึงบ้านของชิงารากิ เจนก็จัดการเขียนจดหมายบอกจุดนัดพบและส่งไปให้เสือซ่อนลาย ถึงแม้ว่าพวกเสือซ่อนลายจะออฟไลน์ไปแล้ว แต่เมื่อเขากลับมาออนไลน์อีกครั้งจดหมายก็จะบินไปหาเขาเหมือนกับว่าเพิ่งถูกส่งไปให้ทันที



เจนนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่หมู่บ้านแห่งนี้ปลอดภัย บางทีภารกิจผู้กล้าของเธอก็น่าจะผ่านแล้วเช่นกัน แต่พอคิดไปคิดมาก็ทำให้เจนรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยเพราะสุดท้ายผู้ที่ช่วยหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้ไม่ใช่เธอ แต่เป็นมาเอะต่างหาก โชคดีที่เมื่อเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู ก็พบว่าภารกิจนั้นได้ผ่านเรียบร้อยแล้ว



ภารกิจผู้กล้า



ให้ความช่วยเหลือชาวเมืองจำนวน 1000/1000 [ผ่าน]

กรุณาส่งภารกิจเพื่อรับการเลื่อนระดับที่อาคารระบบทุกสาขา



หลังจากทำธุระเสร็จแล้วก็พบว่าเจนยังเหลืออีกเกือบหนึ่งวันกว่าจะถึงเวลาออฟไลน์ เมื่อติดต่อไปหาสองหนุ่มแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้เขาคิดเอาเองว่าทั้งคู่คงกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจของตนจนไม่มีเวลาว่างมาคุยกับเธอ



ตอนนี้ถ้าหากเธอออกจากเกมไปก็ได้อยู่ แต่อาจจะเป็นการเสียมารยาทถ้าหากไม่เอ่ยลากับมาเอะและยากิ อีกทั้งช่วงเวลาที่สงบเช่นนี้ตั้งแต่เข้ามาในเกมนั้นถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจนได้พักผ่อนโดยไร้กังวล ดังนั้นเจนจึงตัดสินใจจะอยู่ในเกมเป็นเพื่อนฟีบีไปจนกว่าจะถึงเวลาออกจากเกม และมันก็ทำให้เธอมีเวลาสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับฟีบีอย่างที่เจนสอนให้กับคิทซึเนะแล้วด้วย





อีกด้านหนึ่งของทวีปอัลเทเชีย ชายหาดใกล้กับเมืองซีโป ตอนเย็นของวันเดียวกัน



บนหาดที่ไร้ผู้คน ช่วงเวลาอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเป็นเวลาที่คลื่นทะเลจะยึดครองคืนหาดทรายสู่ทะเล สัตว์ทะเลอย่างปูที่ซ่อนตัวจากนักล่าอยู่ใต้ผืนทรายก็ปรากฏขึ้นมาบนบกเพื่อหาอาหาร แต่คืนนี้บนหาดกลับมาสิ่งแปลกปลอมที่ไม่มีอยู่ทุกคืน



บนหาดทรายมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่ ร่างใหญ่เปียกโชกราวกับว่าถูกซัดขึ้นมาจากท้องทะเล เพราะไม่รู้ด้วยเหตุผลใดแต่ชายผู้นี้ไม่มีเสื้อผ้าสวมอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เปิดเผยร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กล้ามแขนขนาดใหญ่ของเขามีขนาดใหญ่พอ ๆ กับหัวของเด็กเล็ก แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือเขาสีขาวที่โค้งงออยู่บนหัวของเขานั่นเอง



ผ่านไปเพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็ตื่นขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลกับใบหน้าที่มีแผลเป็นอยู่บนหน้าผากดูน่าเกรงขามแต่ทว่ากลับมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด เขามีผมสีน้ำตาลยาวจนถึงกลางหลังเหมือนกับว่าไม่เคยตัดมันมาก่อน แทนที่เขาจะมองหาอะไรมาปิดบังร่างกายแต่เขากลับทำอย่างอื่นแทน



เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวสำรวจว่าตัวของเขาอยู่ที่ไหนก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับสูดอากาศเข้าเต็มปอด เมื่อเขาพ่นลมหายใจออกมาเขากลับมีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก



"กลิ่น...หายไปแล้ว" เขาพูดกับตัวเอง



ตอนนั้นเองเขารู้สึกได้ถึงจิตคุกคามจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองเขาก็พบว่ากำลังมีบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากท้องทะเล บางอย่างที่ตัวใหญ่มาก ๆ



ปูก้ามคู่ยักษ์ ยศขุนนาง ระดับ 80

ปูตัวขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ อาวุธร้ายของมันคือก้ามคู่ของมันที่สามารถบดได้แม้กระทั่งก้อนหิน และมันยังมีกระดองที่ป้องกันการโจมตีได้อย่างฉะงัก จึงถือได้ว่าเป็นเป็นมอนสเตอร์ทะเลที่รับมือได้ยากตัวหนึ่ง

พลังป้องกันสูงมาก แพ้ธาตุสายฟ้า



แม้ร่างกายของบุรุษผู้มีเขาคนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ถ้าหากเอาไปเทียบกับปูยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ถึงสามเมตร แค่ก้ามของมันก็มีขนาดใหญ่ราวกันเป็นคีมเหล็กขนาดใหญ่ ไม่ว่าใครที่มาเห็นเหตุการณ์นี้คงต้องเทเงินไปทางฝั่งของปูยักษ์อย่างแน่นอน แม้คงจะไม่มีใครมาด่อม ๆ มอง ๆ อยู่บนชายหาดร้างตอนกลางคืนเช่นนี้



เจ้าปูยักษ์เองก็กำลังมองผู้ที่มาบุกรุกถิ่นของมัน แม้ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่มันก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่มย่ามบริเวณนี้แล้วกลับออกไปอย่างง่าย ๆ แน่ ถ้าหากมันสามารถคำรามได้เหมือนสิงโต ตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณคงจะดังก้องไปด้วยเสียงคำรามของมันที่จะขู่ให้ผู้บุกรุกต้องผวา แต่เนื่องจากปากของมันมีเอาไว้แค่กินอาหาร มันจึงใช้ก้ามของมันสร้างเสียงเคาะดังน่ารำคาญแทน



แม้ว่าเจ้าปูยักษ์จะสามารถขู่ผู้บุกรุกได้ด้วยขนาดของตัวและก้ามของมันโดยไม่ต้องพึ่งเสียงกะเทาะก้ามของมันก็ตาม แต่ชายหนุ่มมีเขากลับไม่ได้แสดงท่าทางออกมาเลยว่ากลัวปูก้ามคู่ยักษ์ตัวนี้ ตรงกันข้าม เขากลับแยกเขี้ยวยิ้มด้วยความดีใจมากกว่า



พริบตานั้น เจ้าปูยักษ์ตัดสินใจโจมตีใส่ชายหนุ่มมีเขาด้วยก้ามขนาดใหญ่ของมัน ทว่านั่นเป็นการตัดสินใจผิดพลาดที่สุดในชีวิตของมัน เพราะนอกจากการโจมตีของมันจะไม่มีผลแล้ว ก้ามที่แสนภูมิใจของมันยังถูกดึงเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียวของชายมีเขาตรงหน้า



โดยไม่รีรอ เจ้าปูยักษ์ใช้ก้ามอีกข้างโจมตีใส่เพื่อหวังว่าจะให้ชายหนุ่มปล่อยก้ามของมันออก แต่สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อตอนนี้ก้ามทั้งสองข้างของมันถูกชายมีเขาจับเอาไว้ได้



น่าทึ่งที่พละกำลังของปูยักษ์ระดับ 80 กลับสู้ชานหนุ่มมีเขาตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย เจ้าปูยักษ์พยายามหาทางหนี แต่ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ก็ทำให้มันยิ่งรู้ว่าเวลาของมันใกล้จะหมดลงแล้ว



ชายมีเขาเลียริมฝีปากราวกับเห็นอาหารจานโปรด และทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง แขนทั้งสองข้างเกร็งจนเห็นเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ เขาออกแรงเพียงครั้งเดียว ก้ามปูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างก็ถูกกระชากออกจากร่างของปูก้ามคู่ยักษ์ให้กลายเป็นปูก้ามด้วนในพริบตา



เจ้าปูถูกความเจ็บปวดเข้าโจมตีแทนสิ้นสติ เมื่อขาดก้ามทั้งสองข้างที่เป็นอาวุธหลักของมันไป ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากชุดเกราะที่เคลื่อนที่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีกระดองที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่สัญชาติญาณเอาตัวรอดของมันบอกว่าชายมีเขาตรงหน้าสามารถกระชากกระดองของมันออกได้อย่างสบาย ๆ



เมื่อมันคิดจะหนีแต่ก็สายเกินไปเมื่อขาข้างหนึ่งของมันถูกชายมีเขาจับเอาไว้ได้ ทันใดนั้นเจ้าปูเหมือนกับตัวเองถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้าแล้วกระแทงเข้ากับพื้นทรายอย่างรุนแรงจนมันขาดสติไป นั่นถือว่าเป็นบุญของมันโดยแท้ที่มันหมดสติ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ค่อนข้างทรมานสำหรับใครก็ตาม



ชายหนุ่มมีเข้ากระโดดขึ้นไปบนกระดองของเจ้าปูยักษ์ จากนั้นเขาก็จับที่บริเวณข้อต่อของกระดองระหว่างหลังและตัวของมัน สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นคงจะเดาได้ไม่ยาก เมื่อชายผู้ที่สามารถดึงก้ามปูยักษ์ทั้งสองข้างออกมาได้ด้วยมือเดียว การแยกร่างปูจากกระดองคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา



เขาปอกกระดองปูออกมาราวกับปอกเปลือกผลไม้ จากนั้นเขาก็จัดการเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้กระดองปูจนเรียบราวกับสัตว์ป่า เพียงครู่เดียว ร่างของปูก้ามคู่ยักษ์ก็เหลือแต่เพียงกระดองของมันกระจายอยู่ไปทั่วชายหาด และกว่าจะรุ่งสางคลื่นทะเลก็คงเก็บกวาดซากของมันลงมหาสมุทรจนไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีปูขนาดใหญ่อยู่ที่นี่



ส่วนชายมีเขานั้นหลังจากจัดการสวาปามเนื้อปูสด ๆ เรียบร้อยแล้ว เข้าก็นำตรงส่วนข้อต่อของขาปูมาทำเป็นกางเกง เมื่อเขาสวมก็ทำให้ดูราวกับกำลังสวมชุดเกราะสีแดงที่ขา ปกปิดส่วนต่าง ๆอย่างมิดชิดยกเว้นเท้าและตั้งแต่ส่วนที่อยู่เหนือสะดือขึ้นมา แต่เขาก็ดูจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก



ชายมีเขาเดินขึ้นจากชายหาดและสูดอากาศเข้าสู่ปอดอีกครั้ง ดูท่าทางเขายังคงจะไม่พบกลิ่นที่ต้องการเพราะทุกอย่างบ่งบอกได้จากใบหน้าของเขา ทันใดนั้นเอง เขาก็ตะโกนก้องออกมาเสียงดังสะท้านราวกับฟ้าระเบิด



"เจ้านักดาบชุดขาว!! ออกมาสู้กับข้า!!!! อ้ากกกกกก!!!" เสียงตะโกนของชายมีเขาดังสนั่นจนทำให้ฝูงนกที่หลับอยู่บนต้นไม้แตกตื่น เหล่าสัตว์ที่นอนหลับอยู่ต่างสะดุ้งตื่นและรีบวิ่งหนีเพราะนึกว่าถูกตามล่า



แม้ดูท่าทางชายมีเขาจะไม่รู้ว่าจะเดินทางไปไหนต่อ แต่จุดมุ่งหมายของเขานั้นเห็นชัดมาก และไม่ว่าใครที่เขาตามหาอยู่นั้น ถ้าหากเขาได้พบกันล่ะก็ไม่น่าจะเป็นการพบปะอย่างฉันมิตรอย่างแน่นอน



ชายมีเขาเดินหน้ามุ่งสู่ทิศเหนือ โดยเป้าหมายมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือนักดาบในชุดขาวนั่นเอง!





เจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาใกล้รุ่งสาง เธอหายใจหอบราวกับว่าเธอเพิ่งเจอกับฝันร้ายมา แต่เจนค่อนข้างแน่ใจว่าเธอแทบไม่ได้ฝันอะไรเลยเมื่อคืนนี้ และที่นอนที่เหล่าทานูกิเตรียมเอาไว้ให้เธอก็นุ่มสบายราวกับนอนโรงแรมห้าดาว เธอจึงสรุปได้อย่างเดียวว่าคงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นนี้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งลี่ลับที่เจนคงจะไม่มีวันได้รู้



วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เจนจะอยู่ในเกม ตอนแรกเจนคิดจะเดินทางกลับไปในวันนี้แต่เมื่อลองคิดดูแล้วว่าเวลาที่เธอออฟไลน์ไปก็คงไม่มีใครอยู่ดูแลคิทซึเนะและฟีบี ดังนั้นเธอจึงจะออฟไลน์มันซะที่นี่เลยและค่อนเดินทางกลับเมืองหลังจากกลับเข้าเกมมาอีกครั้ง



เจนเดินออกมาจากบ้านพักโดยปล่อยให้คิทซึเนะและฟีบีนอนต่ออยู่ในบ้าน เมื่ออกมาก็พบว่างานฉลองที่จัดขึ้นนั้นดูท่าจะสนุกสนานมากไปหน่อย เพราะตามทางนั้นมีทานูกิมากมายนอนหลับอยู่เต็มไปหมด แต่สีหน้าของทานูกิทุกตัวนั้นดูมีความสุขมาก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงไม่มีทานูกิตัวไหนกล้าออกมานอนนอกบ้านของพวกมันเช่นนี้แน่ แต่เมื่อเรื่องราวน่าวิตกได้จบลงแล้ว พวกทานูกิจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างสวายในเสียที



เจนค่อย ๆ เดินดื่มด่ำกับอากาศบริสุทธิ์ยามใกล้รุ่งโดยพยายามไม่ไปปลุกเหล่าทานูกิที่กำลังนอนอยู่ บรรยากาศสงบร่มรื่นเช่นนี้ทำให้เจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่อวันก่อนนั้น ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสนามรบในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยังคงมีร่องรอยของหลุมพรางที่ดักทหารเทนกุอยู่ทั่วหมู่บ้าน และร่องรอยการต่อสู้ที่เป็นหลักฐานว่ามันเกิดขึ้นจริง ๆ



เมื่อนึกย้อนกลับไปเจนก็พบว่าถังแม้ตัวเธอจะได้รับการฝึกฝนมาแล้วก็ตาม จะมีพลังและความเร็วมหาศาลก็ตาม แต่ประสบการณ์การต่อสู้นั้นสำหรับเจนแล้วแทบนับครั้งได้ ทั้ง ๆ ที่การที่จะมีเลเวลเต็ม100 ได้นั้นจะต้องผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายสิบครั้งสำหรับผู้เล่นทั่วไป แต่เจนนั้นพบกับทางลัดที่ช่วยทำให้เธอเพิ่มระดับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว



การต่อสู้ที่ผ่านมาบอกเจนได้อย่างหนึ่งว่า แค่พลังหรือเลเวลหรือจะเป็นความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจจะเอาชัยชนะมาได้ แต่มันต้องมีประสบการณ์และความกล้าที่จะติดสินใจ พร้อมทั้งการฝึกฝนนับพันชั่วโมงและโชคอีกเล็กน้อย ดังนั้นเจนจึงสัญญากับตนเองเอาไว้เลยว่า หลังจากที่เสร็จธุระแล้วเธอคงจะหาวิธีเก็บเลเวลอย่างคนทั่วไปเพื่อเป็นการฝึกฝีมือซะบ้าง



เจนก้าวเดินอย่างลืมตัวจนมาถึงลานกว้างที่เจนทิ้งเทพอสูรทั้งสองเอาไว้ ตอนนี้เจนมองเห็นมาเอะในในชุดสีทองตัวเดิมที่ยังคงส่องประกาย ส่วนที่นั่งของยากินั้นเจนเห็นชายอ้วนหัวล้านอยู่ในชุดพ่อค้าโบราณกำลังนั่งคุยกับมาเอะด้วยสีหน้าราบเรียบ



เมื่อเจนเดินเข้าไปใกล้เข้า สายตาของชายคนนั้นก็เหลือบมาเห็นเธอพอดี เขาเผยรอยยิ้มและยกมือเรียกให้เจนเข้าไปหาราวกับว่าเคยรู้จักเธอมาก่อน



แม้ว่าจะเป็นชายแปลกหน้าแต่เจนกลับรู้สึกคุ้นอย่างประหลาดกับชายผู้นี้ ทำให้เธอเดินเข้าไปหาราวกับเด็กน้อยเข้าไปหาผู้ใหญ่



เมื่อเดินไปถึง เจนก็ถูกเชิญให้นั่งลงข้างกับมาเอะซึ่งยิ้มรับหญิงสาวอย่างอบอุ่น



"อรุณสวัสดิ์ เจน เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย" มาเอะถาม



"ค่ะ ที่นอนหลับสบายมากเลยค่ะ" เจนตอบ ทำให้ชายหัวล้านหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างชอบใจ



"แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะให้ผู้มาเยือนหมู่บ้านต้องลำบากหรอก" ชายหัวล้านตอบ



ยิ่งมองเท่าไหร่เจนก็ยิ่งคุ้นกับท่าทางและเสียงของชายผู้ที่ฟังคล้ายกับใครที่เธอรู้จัก เงาของชายคนนี้ซ้อนทับกับใครที่ควรจะอยู่แถวนี้ทว่าเจนกลับไม่เห็นแม้แต่เงา



"เอ่อ.. นี่..ใครงั้นหรือคะ"



ชายหัวล้านยิ้มร่าแล้วหันไปมองมาเอะที่กรอกตาไปมาอย่างหมดอารมณ์ "เห็นมั้ย ข้าบอกแล้วว่าการแปลงร่างของข้าสมบรูณ์แบบ ขนาดเจ้ายังดูไม่ออก ยัยหนูนี่จะจับผิดข้าได้ยังไง"



"ข้าเข้าใจแล้วยากิ หยุดหลงตัวเองได้แล้ว มันทำให้ข้าปวดหัว" มาเอะว่า



เจนเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเมื่อรู้ว่าทานูกิขนทองตัวใหญ่เมื่อคืน ตอนนี้กลับกลายมาเป็นชายอ้วนหัวล้านวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นพ่อค้าธรรมดาทั่วไป ถ้าหากไม่บอก เจนไม่มีทางเชื่อเลยว่านี่เป็นเทพอสูรทานูกิขนทองแห่งเผ่าทานูกิ



"ท่านยากิ!? ท..ทำไม..-"



"ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก นี่เป็นร่างแปลงมนุษย์ของข้าเอง ก็เหมือนกับร่างแปลงที่ยัยจิ้งจอกใช้อยู่ตอนนี้นั่นแหละ เว้นแต่ว่าข้าสามารถแปลงร่างได้แนบเนียนกว่า และข้าสามารถกำหนดรูปร่างได้ตามใจชอบ" ไม่ว่าเปล่า ยากิในร่างมนุษย์ก็แปลงกายเป็นผู้หญิงรูปร่างงดงามในชุดยูกาตะสีฟ้าดูเซ็กซี่ จากนั้นเขาก็แปลงกายเป็นเจนที่เจ้าตัวยังตกใจกับความเหมือน สุดท้ายเขาก็กลับมาร่างเดิมเป็นชายหัวล้าน



"ข้าชอบร่างนี้มากกว่า มันดูคล้ายกับร่างจริงของข้าดี"



"ว่าแต่เจน ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าซักหน่อย ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ข้าเห็นเจ้ากำลังถูกเทนกุลงดาบสังหารเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ใช้พลังที่ข้ามอบให้ไปอย่างนั้นหรือ" มาเอะถาม



"ความจริงก็ใช้ค่ะ แต่.." เจนตอบด้วยน้ำเสียงละห้อย เพราะพลังที่มาเอะมอบให้เธอมานั้นถือว่าเป็นพลังที่เทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับราชา เหนือกว่าซะด้วยซ้ำถ้าหากใช้มันดี ๆ แต่เจนกลับพ่ายแพ้ให้แก่ราชาเทนกุโดยที่ไม่ได้ฝากบาดแผลให้เลยแม้แต่แผลเดียว



"ข้าสัมผัสได้ว่าพลังของเจนนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่เราพบกันมากนัก แต่ทำไมท่านถึงยังพลาดท่าแก่เทนกุได้ล่ะ" มาเอะถามอีกครั้ง ทำให้เจนได้แต่อ้ำอึ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ยากิที่เห็นหญิงสาวโดนต้อนจนมุมถึงเอ่ยปากขึ้นมา



"ไม่เห็นจะต้องไปถามเลยมาเอะ มีพลังอยู่ในร่างแต่ไม่รู้วิธีใช้ มันก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยเล่นดาบ ข้าขอเดาเลยว่าตั้งแต่ยัยหนูได้พลังสถิตร่างไปคงใช้แค่ไม่กี่ครั้งสินะ"



'ถูกเผง' เจนคิดในใจและพยักหน้ารับ



เทนอสูรจิ้งจอกเก้าหางเห็นท่าทางของเจนจึงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง "บางทีอาจจะเป็นเพราะเจนยังไม่คุ้นกับพลังสถิตร่างก็เป็นได้"



"หมายความว่ายังไงหรือคะ" เจนถาม



"พลังสถิตร่างเป็นพลังที่จะดึงพลังของผู้ที่มอบพลังในร่างของผู้ใช้ออกมา แต่เพราะเป็นพลังที่มาจากภายนอก ทำให้ผู้ใช้พลังสถิตร่างต้องฝึกฝนพลังให้ดีเพื่อที่จะนำพลังสถิตร่างมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด" มาเอะค่อย ๆ อธิบาย



"พลังสถิตร่างนั้นสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามความสามารถของผู้ใช้ ถ้าหากเจนต้องการที่จะดึงความสามารถของพลังสถิตร่างออกมาได้เต็มที่ มีทางเดียวคือเจนต้องฝึกการต่อสู้ทั้งที่อยู่ในร่างของพลังสถิตไปพร้อมกัน นั่นเป็นทางเดียวที่เจนจะสามารถจับเคล็ดของพลังทั้งหมดออกมาได้"



"และอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพลังนี้ เจ้าสามารถมีพลังได้มากกว่าหนึ่ง ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีพลังของจิ้งจอกเก้าหาง แล้วเจ้าสนใจพลังของทานูกิขนทองบ้างมั้ยล่ะ" ยากิเอ่ยปาก



"อย่าดีกว่ายากิ ข้ารู้สึกถึงพลังที่อยู่ในร่างของเจนอีกสายนอกจากพลังของข้า มันเป็นพลังที่แข็งแกร่งซะยิ่งกว่าเจ้าและข้ารวมกันเสียอีก ถ้าหากเจนใช้พลังนี้สู้กับเจ้าเทนกุนั่น ข้าคงไม่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเลยแม้แต่น้อย" มาเอะเอ่ยห้าม ทำให้ยากิที่คิดจะมอบพลังให้กับเจนจึงยกเลิกความคิดและหันไปสนใจเหล้าของตัวเองต่อไป







เวลาล่วงเลยจนมาถึงยามสาย หลังจากเจนและพวกฟีบีทานข้าวเช้าด้วยกันเสร็จแล้ว เจนก็ได้ยินเสียงเรียกติดต่อมาจากแจ็คซึ่งมารายงานเรื่องภารกิจของตนด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง หลังจากได้ทราบข่าวและบอกให้เพื่อนของเธอล็อกเอาท์ไปแล้ว เจนก็คิดว่าถึงเวลาที่เธอก็ควรจะออกจากเกมบ้างเช่นกัน



"ขอฝากฟีบีด้วยนะคะ อีกสิบห้าวันจะกลับมาค่ะ" เจนเอ่ยกับมาที่พร้อมกับคิทซึเนะ โปโกะและฟีบีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ใกล้ ๆ กันนั้นก็เป็นยากิและชิงารากิที่มายืนส่ง



"ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับรองว่าจะดูแลฟีบีให้เหมือนกับดูแลลูกของข้าเองเลย"



เมื่อได้ยินเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางรับคำก็ทำให้เจนรู้สึกสบายใจเป็นปลิดทิ้ง เธอหันไปสวมกอดกับสาวน้อยทั้งสองก่อนที่เปิดหน้าต่างล็อกเอาท์ออกจากเกม







เช้าวันนี้อากาศไม่ค่อนแจ่มใสนัก เมื่อเจนตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริงมาพบกับฝนตกหนักตั้งแต่เช้าเช่นนี้ โปรแกรมการออกกำลังกายช่วงเช้าของเธอและจริยาก็เป็นอันต้องงดไปอย่างช่วยไม่ได้



แต่นั่นก็ทำให้เจนได้มีโอกาสที่จะได้ช่วยแม่ของเธอลงมือทำอาหารเช้า และอาหารที่เหมาะที่สุดในเช้าวันที่ฝนตกเช่นนี้ก็ต้องเป็นโจ๊กหมูใส่ไข่อย่างไม่ต้องสงสัย



"จริงสิ เมื่อคืนแม่ได้มีโอกาสเข้าไปเล่นเกมด้วยล่ะรู้มั้ย" จริยาเอ่ยขึ้นระหว่างกำลังเตรียมกับข้าว ทำให้เจนที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ต้องหันมาหาด้วยความแปลกใจ



"เอ๋! จริงหรือแม่ แล้วตอนนี้แม่ เอ่อ...เริ่มเก็บเลเวลแล้วหรือยัง" เจนลองถามดูุ เพราะแม่เธอนั้นเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจงดงามมาก ต่อให้เป็นกระต่ายเลเวลหนึ่งนอกเมืองก็คงไม่มีทางฆ่าอย่างแน่นอน เจนนึกไม่ออกเลยว่าจริยาจะเล่นเกมนี้ได้ยังไง



"อ๋อ ไม่หรอกจ๊ะ แม่ล็อกอินเป็นนักท่องเที่ยวน่ะจ๊ะ ไม่ได้ไปเล่นเก็บเลเวลด้วยหรอก แล้วอีกอย่างแม่ก็อยู่กับเกอร์ทูธ เขาพาแม่เที่ยวไปทั่วเลยล่ะรู้มั้ย แถมยังมีเสื้อผ้าสวย ๆ ตั้งหลายชุดที่แม่ไปเห็นในร้านค้า แม่ให้เกอร์ทูธช่วยซื้อเก็บเอาไว้ให้แล้วจะส่งไปให้ลูกทีหลังนะ" จริยาว่า เจนทำหน้าเหยเกเมื่อได้ยินคำว่าเสื้อผ้าสวย ๆ แต่ดูท่าทางคงต้องปรับตัวให้ได้ถ้าหากจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแล้วล่ะก็



"พูดถึงหมอเกอร์ทูธ เขาให้****าเตือนลูกว่าพรุ่งนี้ลูกต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลนะ จะให้แม่ไปส่งไหมจ๊ะ"



"อ่า.. ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเจนไปเองดีกว่า พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือ" เจนตอบ เธอเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วถ้าหากแม่ของเธอไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา







หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เจนก็ตัดสินใจเริ่มค้นข้อมูลเกี่ยวกับเกมให้มากขึ้น โดนเจนมุ่งไปที่กระดานให้คำแนะนำการเก็บเลเวลเป็นอย่างแรกเพื่อเรียนรู้ว่าคนทั่วไปเขาเก็บเลเวลกันยังไง เจนแน่ใจว่าคงไม่ใช้วิธีเดียวกันกับที่เธอใช้อย่างแน่นอน



การเก็บเลเวลของผู้ที่เริ่มเล่นเกมดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไปนัก นั่นก็คือการค่อย ๆ ไล่เก็บเลเวลตามเลเวลของตัวเองไปเรื่อย ๆ จนถึงเลเวล 50 และหลังจากเดินทางมายังเกาะเริ่มต้นนั้น การเก็บเลเวลก็จะมีอยู่อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเก็บเลเวลตามลำดับแบบเดิม การลงดันเจี้ยนต่าง ๆ ที่มักจะมีมอนสเตอร์มินิบอสหรือบอสมอนสเตอร์เฝ้าเอาไว้ หรือวิธีที่คนค่อนข้างจะนิยมมากที่สุด นั่นก็คือการทำภารกิจเปลี่ยนอาชีพไปพร้อมกับเก็บเลเวล



การเปลี่ยนอาชีพนั้นมีอยู่หลากหลายวิธีในเกมนี้ สามารถเริ่มด้วยวิธีง่าย ๆ จานการไปสมัครที่สถาบันอาชีพต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพจำพวกนักดาบ นักเวทหรืออาชีพขั้นต้นทั้งหลาย หรือจะไปขอภารกิจเปลี่ยนอาชีพที่ต้องการจากอาคารระบบซึ่งจะให้อาชีพขั้นที่สูงกว่าปกติ หรือจะได้ภารกิจโดยบังเอิญอย่างซินจูหรือโจที่นำคัมภีร์เวทไปที่เสาเวทมนตร์ เจนเองก็ถือว่าอยู่ในอาชีพที่ได้จากจำพวกนี้ด้วยเช่นกันซึ่งอาชีพที่ได้จากภารกิจโดยบังเอิญเช่นนี้มันจะได้อาชีพระดับสูงพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีที่สุด



การเปลี่ยนอาชีพที่มีโอกาสที่จะได้อาชีพขั้นสูง และได้ค่าตอบแทนอย่างงดงามนั้นก็คือการรับภารกิจเปลี่ยนอาชีพจากเอไอระดับพิเศษนั่นเอง ซึ่งแจ็คนั้นถือว่าโชคดีมากเพราะอาชีพนักล่าเงินรางวัลในเกมนั้นยังไม่มีอยู่แม้ในกระดานข่าวสาร มีแต่เพียงทำเนียบนักล่าเงินรางวัลที่เพียงแค่จัดอันดับผู้ที่ล่าเงินรางวัลจากผู้เล่นหรือเอไอที่มีค่าหัวสูงสุดเท่านั้นเอง



ปกติแล้วผู้เล่นทั่วไปจะทำการเปลี่ยนอาชีพแทบจะทันทีที่มาถึงทวีปหลักทั้งสามทวีป หรืออย่าช้าก็ไม่เกินเลเวลเจ็ดสิบ ซึ่งในช่วงนั้นก็ถือว่ายากลำบากมากที่จะเก็บเลเวลโดยเป็นแค่นักผจญภัยฝึกหัดอยู่



เจนลองทำการศึกษาดูแล้วก็พบว่าทำไมเธอถึงแพ้ทั้ง ๆ ที่มีทักษะระดับสูงอย่างพลังสถิตร่างอยู่ สาเหตุแรกและอาจจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือระดับของเธอนั้นห่างชั้นเกินไป และมันก็เป็นความจริงเมื่อเจนทบทวนดูอีกครั้งว่าตอนนี้เธออยู่เพียงแค่ยศทหาร เลเวลหนึ่งร้อย แต่กลับไปสู้กับมอนสเตอร์ยศราชา เลเวล 80 ที่ปกติต้องใช้ผู้เล่นร่วมร้อยคนถึงจะปราบมันลงได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เธอจะแพ้ เพราะหลายครั้งที่เจนเจอคู่ต่อสู้ เธอมักจะไปเจอกับคู่ที่เก่งเกินตัวเธอซะทุกที



สาเหตุที่สองซึ่งเป็นสาเหตุที่บอกว่าทำไมเจนถึงแพ้ทั้ง ๆ ที่มีพลังสถิตร่าง นั่นก็คือขาดประสบการณ์และการฝึกฝน



อย่างที่มาเอะได้พูดเอาไว้ เจนใช้พลังสถิตร่างเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเพราะอยากจะเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตายสุดท้าย ทำให้เวลาใช้พลังสถิตร่างเจนไม่ทันได้ปรับตัวกับพลังที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้ใช้พลังไปอย่างสิ้นเปลือง และเจนก็ยังขาดการฝึกฝน ถึงแม้เธอจะเรียนฝีมือดาบกับหมิงเต๋อมาอย่างโชกโชนแล้วก็ตาม แต่ประสบการณ์ถือว่ายังน้อยนักเมื่อเทียบกับผู้เล่นคนอื่น ๆ เพราะทุก ๆ คนในตอนที่เก็บเลเวลกันก็ได้ฝึกฝนไปในตัวด้วย ทำให้สามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มาก่อนก็ตามก็ยังสามารถเป็นยอดฝีมือได้ถ้าหากพยายามและหมั่นฝึกมากพอ



เหตุผลทั้งสองข้อนั้นเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เจนแพ้ ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว ตอนนี้ถ้าหากให้สู้กับโจหรือแจ็ค เจนก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะชนะพวกเขาได้ แม้ว่าทั้งสองจะใช้ทางลัดเลเวลในช่วงหลังเหมือนกับเจน แต่ทั้งคู่นั้นเคยเล่นเกมแบบนี้มาก่อน และทั้งคู่นั้นก็ใช้วิธีเก็บเลเวลแบบปกติบนเกาะเริ่มต้นจนพื้นฐานแน่นเอี๊ยด ต่างจากเจนที่สู้เพียงนิดหน่อยเท่านั้นและเธอก็ได้คิทซึเนะช่วยลัดเลเวลมาตั้งแต่แรกอีกด้วย



เมื่อรู้ว่าเจนผิดพลาดตรงไหนแล้วเธอจึงวางแผนที่จะฝึกตัวเองให้เก่งขึ้นโดยศึกษาข้อมูลบนกระดานข่าวอย่างระเอียด และหวังว่าเมื่อได้กลับไปในเกมแล้วเธอจะสามารถขอคำแนะนำจากเหล่าเทพอสูรซักสองสามข้อ



ตกเย็นเจนก็ลงมือช่วยแม่เตรียมมื้อเย็นเช่นเดิม ในตอนที่กำลังร่วมทานอาหารเย็นนั้น จริยาก็เปิดไปยังช่องข่าวบันเทิงตามปกติที่ผู้หญิงชอบดูกัน ตรงกันข้ามกับเจนที่ไม่คิดจะสนใจเรื่องแบบนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเสียงของคนที่อยู่ในโทรทัศน์กลับเรียกความสนใจให้หันขึ้นไปมอง



ภาพของชายที่อยู่ในโทรทัศน์ทีวีนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายที่เจนไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบ จีโอ!



พรู้ด!!



เจนที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มถึงกับสำลักและพ่นน้ำออกมาไปทั่ว ดีที่เจนหันหลบโต๊ะทานข้าว น้ำจึงหกพื้นแทนที่จะเป็นจริยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ



"ตายแล้วเจน เป็นอะไรมั้ยลูก!" จริยาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงแล้วจึงเดินเข้ามาดู



"ไม่เป็นอะไร ก็แค่สำลักน้ำน่ะแม่ ก็แค่..." เจนรีบตอบ แต่ใจของเธอตอนนี้ไปอยู่ในโทรทัศน์เรียบร้อยแล้ว



ภาพบนโทรทัศน์กำลังฉายให้เห็นภาพของจีโอในชุดสูทสีน้ำเงินกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวในงานเทศการกีฬาแห่งชาติที่จัดอยู่ในตัวเมือง



"คุณจิรพัตรครับ ในฐานะของนักกีฬาแห่งชาติ ในโอกาสที่คุณมางานเทศการกีฬาแห่งชาติ คุณจิรพัตรพอจะมีคำพูดที่จะเชิญชวนประชาชนทั่วไปให้เล่นกีฬาให้มากขึ้นมั้ยครับ" นักข่าวคนหนึ่งถามแล้วยื่นไมโครโฟนไปจ่อที่ปากของชายหนุ่ม



แม้ว่านักข่าวจะไม่ได้เอ่ยขึ้นของชายที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นจีโอ แต่เจนรู้ว่าต้องเป็นเขาแน่ ทั้งใบหน้าและท่าทางทะนงตัวชวนโมโหแบบนั้น และความรู้สึกของเจนไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน



จีโอที่ถูกถามคำถามก็ยิ้มอย่างเป็นมืออาชีพ เขาทำท่าครุ่นคิดแล้วจึงตอบออกมา "ผมไม่รู้ว่าที่ผมพูดจะทำให้คนที่กำลังฟังอยู่มีความรู้สึกอยากจะมาเล่นกีฬาได้มั้ย แต่ผมขอบอกว่าการเล่นกีฬามีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอนครับ นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกแข็งแรงปราศจากโรคภัยแล้ว ยังเป็นการคลายความเครียดได้ดีที่สุดด้วยครับ"



"คุณจิรพัตรคะ จริงหรือเปล่าคะว่าในเกม ดิ โอเพ่นเวิลด์ ออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ทั่วโลก คุณเป็นหนึ่งในผู้นำของกิลด์อันดับสองของเกม 'พยัคฆ์แดง จีโอ' ที่เป็นผู้ประกาศสงครามกับกิลด์อันดับที่สี่ คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่าคะ" นักข่าวสาวคนหนึ่งถามขึ้น นักข่าวคนอื่นๆ รวมไปถึงคนบริเวณรอบ ๆ ต่างหันไปมองเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะคนส่วนใหญ่ในบริเวณนี้เป็นนักข่าวสายบันเทิงที่ควรจะถามจีโอเป็นคำถามเกี่ยวกับคนรักซะมากกว่า แต่นักข่าวทุกคนก็รู้ว่าชายผู้นี้ไม่เคยปล่อยข่าวที่สร้างกระแสแบบนั้นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว



จีโอเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ นักข่าวสาวมาถามคำถามแบบนี้กับเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครถามคำถามแบบนี้กับเขา แต่ก็ดีเหมือนกันที่นักข่าวสาวคนนี้ถามขึ้นมา เขายื่นมือขอไมโครโฟนจากนักข่าวสาวแล้วจึงหันไปหากล้องนับสิบที่จับภาพของเขาเพียงผู้เดียว



"ผมคือจิรพัตร คำหาญ หรือก็คือพยัคฆ์แดง จีโอ หนึ่งในหัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่แต่เรื่องนั้นผมว่าทุกคนก็น่าจะพอเดากันได้แล้ว ส่วนอีกเรื่องนั้นผมจะขอย้ำอีกครั้ง ว่ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ได้ประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว และในอีกสองเดือนจากนี้ที่เป็นช่วงมหาสงคราม กิลด์ของผมจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกิลด์พิฆาตราชา ถ้าหาใครที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ ทางกิลด์จะยินดีช่วยเหลือในทุก ๆ เรื่อง แต่กิลด์ใดที่ไปอยู่ข้างเดียวกับกิลด์พิฆาตราชา ก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ทันที!"



คำพูดแต่ละคำของจีโอที่เอ่อยออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นไม่ต่างไปจากจีโอในเกมเลยแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของเขาแสดงความมั่นใจในแต่ละคำที่เขาพูดออกมา และสะกดทุกคนให้คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย



แสงแฟรชและเสียงกดชัตเตอร์ดังรัวเมื่อจีโอพูดจบ นักข่าวคนอื่น ๆ ยิงคำถามรัวไปที่ตัวเขาซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในตอนนี้ประเด็นที่เกี่ยวกับกีฬาและเรื่องซุบซิบนั้นตกไปแล้ว



"คุณจิรพัตรคะ จริงหรือเปล่าคะว่าสงครามในครั้งนี้คุณทำเพื่อปกป้องผู้เล่นฉาวที่ไปหาเรื่องกิลด์พิฆาตราชาในแหล่งเก็บเลเวลสาธารณะ" นักข่าวสาวคนเดิมถามอีกครั้ง



พริบตาเดียวสายตาของจีโอได้เปลี่ยนไปจากสายตาที่บอกถึงความเป็นมิตร กลายเป็นสายตาที่ทำให้เลือดของนักข่าวสาวเย็นเฉียบ นักข่าวคนอื่น ๆ เมื่อเห็นสายตาของจีโอก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่ออีก ส่วนเจ้าตัวที่เป็นสาเหตุนั้นได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กา แค่จะกลืนน้ำลายยังไม่กล้าเลย ใครจะรู้ว่าคำถามที่เธอเพิ่งคิดมาสด ๆ



"ผมไม่รู้ว่าคุณจะได้ข่าวนี้มากจากไหนแต่สิ่งที่คุณพูดมันผิดอย่างมหันต์ ครั้งนี้ผมจะไม่ถือสาเพราะว่าคุณยังไม่รู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากผมได้ยินใครเอ่ยถึงผู้เล่นคนนั้นในทางร้ายอีก....ผมจะถือว่าคน ๆ นั้นดูถูกผมเช่นกัน" จีโอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ตาของเจ้าจ้องเขม็งไปยังนักข่าวสาวที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่กล้าแม้จะหายใจ



ชายหนุ่มหันไปมองนักข่าวคนอื่นราวกับกำลังถามว่ามีคำถามอะไรอีกมั้ย แต่ไม่มีใครเลยที่จะกล้าเอ่ยปากพูดเลยซักคนเดียว เมื่อเห็นดังนั้นจีโอจึงหันหลังและเดินจากไป ปล่อยให้ทัพนักข่าวมองหน้ากันก่อนที่ภาพจะตัดไปเป็นโฆษณา



"ว้าว ดูสิเจน เขาดูจะเอาจริงเอาจังกับเกมนี้มากเลยนะเนี่ย" จริยาพูด แต่ไม่มีคำตอบมาจากเจน เมื่อเธอหันไปหาลูกสาวก็พบว่าเจนนั้นนั่งนิ่งจ้องไปยังทีวีตาไม่กระพริบ



"เจน....ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า" จริยาถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและเข้ามาดูใกล้ ๆ



เมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่ เจนก็ได้สติอีกครั้ง "ม..ไม่เป็นอะไรค่ะ! เจนอิ่มแล้ว เดี๋ยวเจนไปล้างจานให้นะ"



พูดจบ เจ้าตัวก็ลุกขึ้นเก็บจานของเธอทันที ทั้ง ๆ ที่ข้าวบนจานพร่องลงไปยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ



แม้ไม่รู้ว่าสาเหตุใดถึงทำให้เจนทำตัวแปลกประหลาดแบบนี้ แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกจริยาว่าเธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงลูกสาวของเธอเกี่ยวกับอาการแบบนี้ เธอยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเมื่อเธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าอาการแบบนี้เธอก็เคยเป็นเมื่อช่วงเวลาที่เธอมีอายุพอ ๆ กับเจนเช่นกัน





ทางด้านสาวน้อยที่ยกจานข้าวของตนมาที่ห้องครัวและรีบลงมือล้างจานอย่างว่องไวราวกับว่าเธอกำลังแข่งล้างจานกับใครอยู่ หัวใจเธอเต้นรัวอย่างไร้สาเหตุ ใบหน้าสีขาวนวลขึ้นสี เจนรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดขึ้นมาจากทรวงอกของเธอ แต่เธอไม่เข้าใจเลยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มในโทรทัศน์ที่ออกปากพูดปกป้องผู้ที่ยังไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง ผู้ที่เป็นจุดต้นกำเนิดของสงคราม



และคนผู้นั้นก็คือเธอ



จบตอนที่ 30 ทบทวน

----------------------------------------------------

Tohan-kun
27th January 2014, 12:35
ตอนที่31 พบกันอีกครั้ง



หญิงสาวผมสีดำยาวปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่างบางของเธออย่างช้า ๆ พร้อมทั้งพยายามทำให้อารมณ์ของเธอให้เย็นลงจากที่จู่ ๆ ก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงแค่เจ้าคนอวดดีพูดปกป้องเธอจากนักข่าวคนนั้น มันก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ซักหน่อย



สิ่งที่จีโอทำนั้นก็แค่พูดปกป้องคนที่กล้าต่อต้านกิลด์พิฆาตราชาที่ยังไม่มีใครเคยพบหน้ามาก่อน ในกระดานข่าวก็มีข่าวลือเกี่ยวกับผู้เล่นคนนี้ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งจากที่เจนลองไล่อ่านดูแล้วก็มีข่าวที่บอกว่าใส่ชุดคลุมสีขาวเท่านั้นที่ถูกต้อง แค่เนื้อในนั้นกลับหลุดโลกไปโดยสิ้นเชิงเพราะมันบอกเอาไว้ว่าเสื้อคลุมสีขาวตัวนั้นเป็นอุปกรณ์ป้องกันระดับ S ที่เพิ่มสถานะทุกอย่างขึ้นสิบเท่า ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันก็เป็นแค่เสื้อคลุมธรรมดาเท่านั้น



ส่วนข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวกันเจนนั้นก็มั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นคนนั้นเป็นชายรูปหล่อร่างสูงบ้างล่ะ เขาเป็นหัวหน้ากิลด์คนที่เจ็ดของกิลด์หกราชันย์บ้างล่ะ หรือว่าจะมีข่าวที่บอกว่าเป็น Gm ปลอมตัวมาเพื่อสั่งสอนพวกกิลด์พิฆาตราชา แต่ก็เพราะข่าวเหล่านี้ทำให้เจนก็ยังพอจะวางใจได้เกี่ยวกับการปกปิดตัวตนของเธอว่าความจริงนั้นไม่ได้เฉียดใกล้เธอเลย



ดังนั้นสิ่งที่จีโอพูดเจนมั่นใจว่าก็แค่เป็นการสร้างภาพและซื้อใจของเธอมากกว่า ไม่ได้มีความหลายอะไรไปมากกว่านั้นอย่างแน่นอน



พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของเธอก็พาลร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้สาวน้อยทนไม่ไหว หยิบขันตักน้ำสาดหน้าตัวเองซะอย่างนั้น







หลังจากอาบน้ำเสร็จ เจนกลับรู้สึกหิวข้าวขึ้นมา ทำให้กลับไปนึกได้ว่าเธอเพิ่งกินข้าวไปแค่นิดเดียวเพราะข่าวของจีโอ เจนเพิ่มคดีอีกหนึ่งกระทงที่จะเอาไปคิดบัญชีกับจีโอถ้าหากได้เจอกันในเกม แม้ว่าความผิดครั้งนี้ความจริงไม่ได้ถือเป็นความผิดเลยก็ตาม



เมื่อเจนเข้ามาในห้องครัวเพื่อหาอะไรรองท้อง ก็พบว่ามีอาหารเย็นถูกจัดเตรียมเอาไว้อีกชุด เจนรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของจริยาอย่างแน่นอน เธอช่างรู้ใจของลูกสาวคนนี้เสียจริง ๆ เจนยิ้มแล้วจึงยกอาหารมาที่โต๊ะทานข้าว จากนั้นจึงลงมือทาน



ระหว่างทานข้าวนั้นเจนก็เปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย ซึ่งตอนนี้เธอหลีกเลี่ยงข่าวบันเทิงและข่าวที่เกี่ยวกับดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์เอาไว้ก่อน เพราะเธอไม่อยากจะเห็นฉากคำพูดของจีโอซ้ำแล้วซ้ำอีก



เจนเปลี่ยนช่องไปเจอข่าวต่างประเทศข่าวหนึ่ง เป็นข่าวของเศรษฐีหนุ่มที่มีอายุเพียงยี่สิบสามปี รับการอุปถัมภ์เด็กกำพร้าจากบ้านเลียงดูเด็กนับร้อยคน



"คุณเดเมี่ยน คลาวรี่ย์ครับ คุณคิดยังไงหรือครับถึงได้เลือกบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้และรับอุปถัมภ์เด็กเป็นจำนวนมากเช่นนี้" นักข่าวถามและยื่นไมโครโฟนไปให้กับชายหนุ่มคนหนึ่ง



เขาเป็นขายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหล่า แม้จะไม่ได้รูปร่างดีเหมือนจีโอแต่บุคลิกเงียบขรึมของเขานั้นก็ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูดีไม่น้อย และผมสั้นสีดำและดวงตาสีเดียวกันดูเป็นมิตรก็ยิ่งยกระดับบุคลิกของเขาให้เด่นชัดขึ้นไปอีก



"ที่ผมเลือกบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็เป็นเพราะว่าที่นี่รับเลี้ยงดูเด็กเป็นจำนวนมาก แต่ว่าที่นี่ไม่สามารถเลี้ยงเด็กที่มีอายุเกินสิบหกปีได้ ซึ่งปีนี้ก็มีจำนวนมากถึงร้อยคน ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เด็กพวกนั้นโดยผมจะรับทุกคนเข้าสู่โครงการฝึกอาชีพของบริษัทและทุกคนจะได้รับบรรจุเป็นพนักงานในบริษัทของผมหลังจากจบหลักสูตรครับ" ชายหนุ่มกล่าวตอบ



"เข้ารับทำงานในบริษัทอย่างที่คุณว่านี่หมายถึงทำงานในคาสิโนของคุณอย่างนั้นใช่หรือเปล่าคะ" นักข่าวสาวอีกคนถาม



ชายหนุ่มเดเมี่ยน คลาวรี่ย์ยังรักษามาดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เขาหันไปยิ้มให้กับนักข่าวสาวแล้วตอบคำถามของเธออย่างใจเย็น



"ผมคิดว่าการทำงานในคาสิโนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับการพนันแต่ในสมัยนี้การหางานที่มั่นคงนั้นถือว่าเป็นเรื่องยาก และผมคิดว่าการทำงานอย่างสุจริตนั้นมันก็ย่อมจะดีกว่าการทำงานทุจริตอย่างแน่นอน คุณลองถามตัวเองดูก็แล้วกันนะครับว่าคนงานในคาสิโนร้อยคนกับเด็กติดยาร้อยคน อย่างไหนมันแย่กว่ากัน" ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วก็เดินหนีกลุ่มนักข่าวขึ้นรถลิโมหรูที่จอดรออยู่แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ



นักข่าวที่ไม่สามารถตามไปได้จึงรายงานสิ่งที่พบต่อหน้ากล้องแต่เจนไม่คิดจะฟังคำพูดของนักข่าวสาวที่เล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอปิดโทรทัศน์แล้วจัดการยกจานข้าวที่ว่างเปล่าของเธอไปล้างให้เรียบร้อย แต่ในหัวของเธอยังคงคิดถึงคนที่ชื่อเดเมี่ยน คลาวรี่ย์



เจนพบว่าเขาเป็นคนที่เจอด้วยครั้งหนึ่งแล้วจะจำได้ไม่ทีทางลืม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยของเขาที่กล้าตัดสินใจ และไม่กลัวใครของเขา หรือจะเป็นหน้าตาที่ทำให้สาว ๆ หลงเสน่ห์อย่างง่ายดาย แต่เจนคิดว่าเป็นอย่างอื่นที่ทำให้เจนจดจำคน ๆ นี้ได้ บางอย่างที่ทำให้เจนรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเขาเหมือนอย่างที่ตัวพังพรเจอกับงูเห่า







หลังจากจัดการธุระอื่น ๆ เสร็จแล้วเจนก็กลับเข้าห้องนอนและสวมเฮดก็อกเกิ่ลเตรียมพร้อมจะกลับเข้าเกม ดวงตาพลับพริ้มลงพร้อมสติของเจนที่หลุดลอยไปในไม่นาน



เมื่อลืมตาขึ้นมาเจนก็พบว่าตัวเธอได้กลับมาอยู่ในหมู่บ้านเกาลัดอีกครั้งนึงแล้ว สภาพหมู่บ้านในตอนนี้ดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เธอพบมากทีเดียว ทั้งต้นไม้ใบเขียวที่เพิ่มมากขึ้น ดอกไม้ที่บานอยู่ไปเต็มหมู่บ้านและจิ้งจอกที่กำลังเดินเคียงอยู่ทานูกิราวกับว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน



เพียงครู่เดียวเมื่อเหล่าทานูกิสังเกตถึงการมาของเธอ พวกนั้นก็ส่งเสียงทักทายกับเธอกันยกใหญ่ เจนยกมือทักทายตอบแล้วจึงถามหาถึงคิทซึเนะและฟีบีว่าอยู่ที่ไหน



สิ่งที่เหล่าทานูกิทำนั้นมากกว่าบอกถึงตำแหน่งของทั้งสอง พวกเขาอาสานำทางเจนไปหาพวกคิทซึเนะเอง แม้ว่าเจนจะปฏิเสธแต่เหล่าทานูกิก็ยังคงยืนยันคำเดิมจนต้องยอมแพ้และเดินตามเหล่าทานูกินับสิบตัวที่เดินนำหน้าเธอและอีกหลายสิบที่เดินตามมา



ระหว่างเดินไปยังจุดหมาย เจนไม่พบร่องรอยความเสียหายที่หลงเหลือจากครั้งล่าสุดที่เธอเห็นเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งหลุมพรางที่เคยเต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ก็หายไป กลายเป็นผืนหญ้าเขียวขจีที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาแทน



เจนเห็นถึงความเร็วในการซ่อมแซมหมู่บ้านระดับที่ไม่ธรรมดา เพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น ไม่เพียงแค่ซ่อมแซมความเสียหาย แต่ยังฟื้นฟูหมู่บ้านที่เมื่อก่อนเป็นป่าไม้ใบน้ำตาล เป็นป่าใบเขียวชอุ่มพร้อมทั้งทุ่งดอกไม้และผลไม้ที่ขยายวงกว้างยิ่งแต่แต่ก่อน ถ้าหากจะเรียกที่ใดว่าสวรรค์บนดิน หมู่บ้านแห่งนี้ก็คงจะเป็นสวรรค์บนดินสำหรับทานูกิและจิ้งจอกอย่างแน่นอน



ทันใดนั้นเองเจนก็ได้ยินเสียงของการต่อสู้ดังมาจากด้านหน้า แต่เมื่อเห็นเหล่าทานูกิที่กำลังนำทางเธออยู่ไม่ได้แสดงความตกใจอะไร หญิงสาวจึงเดินตามไปเรื่อย ๆ แม้จะสงสัยก็ตาม แต่อีกไม่นานเธอก็จะรู้คำตอบอยู่ดี



เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย ตรงหน้าของเจนนั้นเป็นลานกว้างแห่งหนึ่งของหมู่บ้านที่เจนไม่เคยมาที่นี่มาก่อน บริเวณโดยรอบเป็นลานดิน มีทานูกิและจิ้งจอกอยู่เป็นจำนวนมากกำลังฝึกฝนการต่อสู้และการแปลงร่างกันอย่างขะมักเขม้น เจนจึงสันนิฐานเอาว่านี่คงเป็นสถานที่ของพวกทานูกิที่เอาไว้ฝึกฝนเพื่อป้องกันหมู่บ้านแห่งนี้



ใจกลางลานดินเจนเห็นจิ้งจอกสีขาวในร่างแปลงมนุษย์ตัวหนึ่งกำลังต่อสู้กับเด็กสาวผมสีฟ้าที่เจนคิดว่าทั้งคู่น่าจะเป็นฟีบีและคิทซึเนะ ทว่าทั้งสองนั้นดูแตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เจนเคยจำได้ โดยเฉพาะคิทซึเนะนั้นมีรูปร่างที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะตรงหน้าอก เธออยู่ในชุดยาวสีขาวขลิบแดงพร้อมกับผมสีขาวที่ยาวขึ้นถูกมัดเอาไว้ด้านหลังดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ



ฟีบีเองนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่นัก แต่สีหน้าและท่าทางของเธอดูเอาจริงเอาจังขึ้นมากจนเจนยังต้องแปลกใจพร้อมทั้งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เธอไม่อยู่กันแน่นะ



ทั้งฟีบีและคิทซึเนะนั้นต่างใช้การโจมตีระยะประชิดเข้าปะทะกัน แม้ว่าร่างของจิ้งจอกสาวจะใหญ่กว่าแต่ก็ไม่ทำให้ฟีบีเสียเปรียบมากนัก เพราะร่างของมังกรน้อยมังกรน้อยมีออร่าสีน้ำเงินที่เจนไม่รู้จักห่อหุ้มเอาไว้อยู่ ถึงแม้บางครั้งเธอจะหลบหมัดของพี่สาวไม่ทัน แต่ออร่าสีน้ำเงินก็สามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างชะงักงัน



ทันใดนั้นคิทซึเนะก็สร้างลูกไฟขึ้นมา แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มาที่มีลูกไฟเพียงสิบกว่าลูก ตอนนี้ด้านหลังของจิ้งจอกสาวมีลูกไฟจำนวนเกือบร้อยลูกและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเจนนับไม่ถ้วน และแต่ละลูกก็เป็นเพลิงสีฟ้าอ่อนที่ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าลูกเพลิงธรรมดาที่เธอเคยใช้มากนัก



ลูกเพลิงนับร้อยพุ่งเข้าใส่ร่างเล็กทันที เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงจรวดมิสซายส์ยิงถล่ม เมื่อมหกรรมลูกเพลิงจบลง จุดที่ฟีบีอยู่นั้นเกิดฝุ่นควันมหาศาลจากการระเบิด บดบังไม่ให้เห็นร่างของมังกรน้อยที่ยังไม่รู้ถึงชะตา



ทว่าทันใดนั้นเองกลุ่มควันก็หมุนวนเป็นวงกลมราวกับเป็นพายุพัดผ่าน เพียงพริบตาเดียวควันดินก็ถูกพัดหายไป เผยให้เห็นฟีบีที่อยู่ในโล่พลังเป็นรูปโดมออร่าสีน้ำเงินที่เคยคลุมร่างของเธออยู่ เจนมั่นใจว่าลูกไฟของคิทซึเนะต้องมีความรุนแรงมากแน่ ๆ แต่กลับไม่สามารถทำให้โล่ออร่าของฟีบีมีแม้แต่รอยขีดข่วน แสดงว่าพลังใหม่ของฟีบีนั้นก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน



เมื่อเห็นว่าการโจมตีขาดช่วงไป ฟีบีจึงปลดโล่พลังลงและอ้าปากเตรียมพร้อมที่จะใช้ดราก้อนบรีธ คลื่นพลังค่อย ๆ เข้ามารวมตัวกันที่ปากของเด็กสาว ทันใดนั้นเองลำแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากปาก ตรงเข้าใส่คิทซึเนะที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว



จิ้งจอกสาวไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อลำแสงที่เธอเคยเห็นอานุภาพของมันมาแล้ว ในตอนนั้นเป็นเพียงลำแสงเล็ก ๆ เท่านั้นยังสามารถระเบิดดินเป็นหลุมขนาดยักษ์ได้อย่างสมบรูณ์แบบแถมเกือบจะเผาป่าไปทั้งแถบด้วย ครั้งนี้ขนาดของลำแสงใหญ่กว่าและเข้มข้นกว่าถึงสองเท่า ทว่าดวงตาของคิทซึเนะยังคงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด



ก่อนที่ดราก้อนบรีธจะเข้าปะทะกับร่างของคิทซึเนะ แขนของเธอพลันมีออร่าสีทองดูคุ้นตาปรากฏขึ้น เธอยกแขนขึ้นกันลำแสงดราก้อนบรีธก่อนที่ร่างของเธอจะถูกแผดเผาเพียงนิดเดียว



ตูม!!



เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างน่ากลัว เจนรู้สึกเสียวว่าคิทซึเนะจะได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้คิทซึเนะเป็นอย่างไรก็ทำให้ใจรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก



ตรงหน้าของหญิงสาวนั้นเป็นคิทซึเนะในชุดสวยที่ไม่มีแม้แต่รอยไหม้ แขนเรียวยาวมีออร่าสีทองแบบที่เจนเคยใช้ในร่างพลังสถิตเทพจิ้งจอกเก้าหางคลุมอยู่ทำให้ปลอดภัยจากดราก้อนบรีธของฟีบี เจนรู้ดีว่าออร่านี้มีพลังมากแค่ไหน แต่เธอไม่เคยคิดว่าออร่าสีทองนี้จะใช้มาป้องกันตัวเช่นนี้ได้ ปกติแล้วเธอจะปล่อยออร่าออกมาเพิ่มพลังการต่อสู้มากกว่า นับว่าคิทซึเนะสามารุใช้พลังได้เหนือกว่าเจนแล้วทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งใช้พลังได้ไม่นานเท่านั้น



เมื่อการต่อสู้จบลง ทั้งสองก็รู้สึกถึงการมาของเจนที่กำลังยืนมองทั้งคู่ด้วยความตกตะลึงถึงการเปลี่ยนแปลงของพวกเธอจนพูดไม่ออก



"พี่เจน!!" เสียงใสประสานพร้อมกับสาวน้อยทั้งสองวิ่งเขามากอดอย่างร่าเริง



เจนแทบจะหงายหน้าเมื่อเจอแรงกระแทกจากทั้งคู่ โดยเฉพาะคิทซึเนะตอนที่นี่ไม่ใช่ตัวน้อย ๆ แล้ว ความสูงตอนนี้เกือบจะเท่าเธอแล้วทำให้แรงก็เยอะตามไปด้วย ยังไม่พูดถึงฟีบีที่พุ่งเข้ามากอดคอเธอจนแทบตัวลอย



"ว่าไง..- แค๊ก! แค๊ก! เดี๋ยวนะฟีบี ปล่อยก่อน ฉันหายใจไม่ออก" หญิงสาวว่าพลางพยายามแกะมือของมังกรน้อยออกอย่างยากเย็น



"ฮิฮิ" ฟีบีส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจแต่เธอก็ยอมปล่อยมือและมายืนเกาะแขนของเจนอยู่ข้างตัว



"ตอนที่พี่เจนไม่อยู่ พวกเราคิดถึงพี่เจนมากเลยค่ะ คิทซึเนะเองก็กำลังนึกอยู่ว่าเมื่อไหร่พี่จะกลับมา" จิ้งจอกสาวว่า



"ฉันเองก็คิดถึงพวกเธอเหมือนกัน ว่าแต่เมื่อกี้พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่งั้นหรือ ฝึกซ้อม?" เจนถาม ฟีบีรีบยกมือขอตอบทันควัน



"ใช่ค่ะ! หนูใช้พลังใหม่ได้ด้วยล่ะ ดูสิ ๆ!" ไม่พูดเปล่า ฟีบีเริ่มใช้โล่งพลังคลุมตัวของเธออีกครั้ง สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับเด็กที่ได้อวดของเล่นใหม่ทำให้เจนอดที่จะยิ้มและขยี้ผมยุ่งของเจ้าตัวน้อยไม่ได้



"เธอเองก็เหมือนกันนะคิทซึเนะ เธอใช้พลังแบบเดียวกับที่ฉันใช้ได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเก่งกว่าฉันซะอีก" เจนหันไปพูดกับจิ้งจอกสาวซึ่งเธอก็ยิ้มโชว์เขี้ยวอย่างเอียงอายดูน่ารักไปอีกแบบ



มาเอะและยากิเดินตามหลังทั้งสองมา เจนสังเกตถึงการมาของพวกเธอได้จากออร่าความสูงส่งที่แผ่มาจากตัวทั้งคู่ แม้จะมองไม่เห็นแต่มันเป็นสิ่งที่รู้สึกได้ ทว่าเจนจะรู้สึกแปลก ๆ ที่จะรู้สึกถึงมันมาจากร่างอ้วนท้วมของยากิในตอนนี้ก็ตาม



"ท่านมาเอะ ท่านยากิ" เจนเอ่ยทักและโค้งตัวให้กับทั้งสองอย่างสุภาพ



มาเอะพยักหน้าทักทายกลับไปอย่างอ่อนโยน ส่วนยากินั้นเกาท้องให้เจนมอง ช่างเหมาะสมกับบุคลิกของร่างแปลงจริง ๆ



"ยินดีต้อนรับกลับมานะ เจน ส่วนเจ้า ยากิ หัดสำรวมตัวให้เหมาะสมกับที่เป็นเทพอสูรหน่อย" มาเอะพูดประโยคหลังด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ เจนเองก็พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกของเธอเมื่อเห็นยากิกำลังแคะขี้มูกอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว



"ทำไมล่ะ ข้าเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร"



"ยากิ! เฮ้อ... ข้าล่ะหวังจริง ๆ ว่าราชาทานูกิตัวต่อไปจะไม่จำนิสัยแย่ ๆ ของเจ้ามาใช้" มาเอะว่า สะกิดความสงสัยของเจนให้อดเอ่ยปากถามไม่ได้



"ราชาหรือคะ?"



"ใช่ ราชาของเผ่าทานูกิอย่างเดียวกันกับราชาเทนกุที่เจ้าสู้ด้วยไง หมู่บ้านของข้าฟื้นฟูกลับมาเกือบจะเหมือนเดิมแล้ว มันก็ควรจะถึงเวลาแล้วที่จะมีผู้นำเผ่าซักที" ยากิเป็นผู้ตอบ



"นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเทพประจำเผ่าหรอกหรือคะ" เจนถามขึ้นด้วยความสงสัยยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำอธิบายของเทพอสูรทานูกิขนทอง



"เทพประจำเผ่ามีหน้าที่แค่ชักนำให้เผ่าพันธุ์ของตนเดินทางไปยังเส้นทางที่เห็นอันควรและปกป้องเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ต่อไป แต่หน้าที่ปกครองเผ่าพันธุ์นั้นคือราชาของเผ่าพันธุ์" คราวนี้มาเอะเป็นผู้อธิบาย



"และผู้ที่จะเป็นผู้นำของเผ่าข้าต่อไปก็เป็นทานูกิที่เจ้าเองก็น่าจะรู้จักดี" ยากิเสริม



"ใคร.. โปโกะ!?"



รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทพอสูรทั้งสองเป็นเครื่องยืนยันคำตอบของเธอได้อย่างดี



"ตอนนี้โปโกะกำลังรับการฝึกเพื่อที่จะรับตำแหน่งราชาอยู่ค่ะ เพราะอย่างนั้นพวกเราคงจะไม่ได้พบเธออีกพักใหญ่เลย" คิทซึเนะบอก



"พอเห็นว่ายากิพาลูกหลานของตนไปฝึก ข้าเห็นทั้งสองดูเหงา ๆ ก็เลยช่วยฝึกการต่อสู้กันบ้างโดยมีข้าคอยช่วยแนะนำ สำหรับคิทซึเนะ พลังของเธอเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเพราะเป็นจิ้งจอกเช่นเดียวกันกับข้า จึงสามารถถ่ายทอดพลังให้เพิ่มมาอีกระดับได้ แต่สำหรับฟีบีข้าทำได้แต่ช่วยสอนในสิ่งที่เธอมีอยู่เท่านั้น ถ้าหากต้องการจะให้หนูฟีบีเก่งขึ้นกว่านี้ไปอีกขึ้น เจนคงต้องหาวิธีเอาเองแล้วล่ะ" มาเอะอธิบาย



เจนเอ่ยขอบคุณแล้วรีบเปิดหน้าต่างสัตว์เลี้ยงดูทันทีว่าสิบห้าวันที่ผ่านมา มีอะไรได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง



[สัตว์เลี้ยง] จิ้งจอกขาว คิทซึเนะ

ยศ ขุนนาง ระดับ 5



ทักษะ



ไฟจิ้งจอก ระดับ A

เปลวเพลิงสีฟ้าที่มีความร้องสูง ไฟที่เกิดจากทักษะนี้จะดับได้ยากมาก มีพลังสามารถจัดการมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณและอันเดธได้รุนแรง ช่วยป้องกันมอนสเตอร์ที่มีระดับต่ำกว่า 50 มาเข้าใกล้ได้



แปลงร่าง ระดับ B

สามารถแปลงร่างให้เป็นตามใจต้องการได้ จำกัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเท่านั้น



อำนาจสีทอง ระดับ S

เพิ่มความเร็ว พลังโจมตี พลังป้องกันของผู้ใช้ทักษะขึ้นสองเท่าเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่ใช้ทักษะ สามารถใช้พลังได้หลากหลายรูปแบบ







[สัตว์เลี้ยง] มังกรฟ้า ฟีบี

ยศ ทหาร ระดับ 100

ทักษะ



ดราก้อนบรีท ระดับ A

ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร เป็นการพ่นพลังออกมาตามธาตุของสายพันธ์มังกรนั้น ๆ พลังโจมตีขึ้นอยู่กับระดับยศและเลเวล



กลายร่าง ระดับ D

ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ หรือจะคืนร่างกลับไปเป็นมังกรได้ตามใจชอบ



จิตมังกร ระดับ S

ทักษะประจำตัวของเผ่ามังกร ปลดปล่อยจิตแห่งมังกรออกมาเพื่อข่มขู่ศัตรูหรือเรียกสัตว์อสูรเผ่ามังกรให้เข้ามาหา



ดราก้อนฟิลด์ ระดับ S

ทักษะประจำตัวเผ่ามังกร สร้างโล่พลังขึ้นมาปกป้องผู้ใช้ทักษะ ความแข็งแกร่งของและลักษณะของโล่พลังขึ้นอยู่กับเลเวลและตัวผู้ใช้



เจนแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่ายศของคิทซึเนะกลายเป็นขุนนางไปแล้ว และเธอถึงกับต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นคำอธิบายของทักษะใหม่ของทั้งคู่ที่ดูจะแปลกจากที่เธอเคยพบมาก่อน โดยเฉพาะตรงที่ส่วนหลังของคำอธิบาย ถ้าหากเจนตีความไม่ผิดล่ะก็ พลังของทั้งคู่ที่เพิ่งได้มานั้นสามารถใช้งานได้ในหลายสถานการณ์มาก โดยเฉพาะของคิทซึเนะที่ไม่เพียงแค่ใช้เป็นโล่ป้องกันอย่างที่เพิ่งแสดงให้เห็น แต่อาจจะสามารถใช้เป็นอาวุธได้ด้วยซ้ำไป



"นี่มัน...ยอดเยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากเลยค่ะท่านมาเอะ แบบนี้ทั้งคู่ก็คงจะดูแลตัวเองได้แล้ว ต่อให้เป็นพวกกิลด์พิฆาตราชาก็คงทำอะไรทั้งสองไม่ได้ง่าย ๆ แน่" เจนกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ สร้างความพึงพอใจให้กับมาเอะที่รอฟังคำตอบของหญิงสาวอยู่ไม่น้อย



จากนั้นทั้งห้าจึงพากันย้ายที่สนทนา สุดท้ายยากิที่ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีก็พาไปนั่งพักอยู่ในร้านน้ำชาแห่งใหม่ของหมู่บ้านที่เพิ่งเปิดขึ้นด้วยความคิดของเขาเอง ซึ่งเขากำลังจะเปิดหมู่บ้านเพื่อทำการค้ากับเผ่าพันธุ์อื่น



จึงกลายเป็นว่าพวกเจนได้เป็นลูกค้าคนแรกของหมู่บ้านแห่งนี้ไปโดยบริยาย



หลังจากที่พูดคุยกันจนพอใจแล้ว เจนจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะออกเดินทางกลับไปยังเมืองยามะไตเพื่อเปลี่ยนอาชีพและเลื่อนยศเสียที



"ถึงจะเสียดายที่จะไม่ได้บอกลากับโปโกะ แต่พวกเราคงต้องขอตัวกลับเมืองก่อนล่ะนะ" เจนพูด



คิทซึเนะและฟีบีได้ยินก็มีสีหน้าหดหู่ลงเล็กน้อย แม้เจนจะรู้ว่าทั้งสองคงไม่ได้อยากจะออกห่างจากมาเอะเท่าไหร่ โดยเฉพาะฟีบีที่ดูจะทำตัวเป็นเด็กติดแม่เหมาะสมกับอายุ จนทำเอาเจนที่อยู่กับมังกรน้อยตั้งแต่ยังเป็นไข่รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย แต่ใครจะเลี้ยงดูเด็กได้ดีไปกว่าผู้ที่เป็น****าก่อนอย่างมาเอะ นั่นเป็นเรื่องที่เจนต้องยอมรับ



"ถ้าหากยังไม่อยากไปก็อยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะ วันนี้ฉันจะไปรวมตัวกับพวกแจ็คอยู่แล้ว แถมพวกเสือซ่อนลายก็น่าจะมาถึงจุดนัดพบแล้วด้วย" เจนบอก



คิทซึเนะได้ยินเจนพูดก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที "ไม่ค่ะพี่เจน! ใครบอกว่าคิทซึเนะไม่อยากไป หนูอยากเดินทางไปกับพี่เจนอยู่แล้วค่ะ!" จิ้งจอกสาวพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกของเธอเมื่อครู่



"เสือซ่อนลายนี่อร่อยหรือเปล่าคะ" ฟีบีถามขึ้นด้วยความสงสัย ดูท่าทางความใสซื่อของมังกรน้อยยังคงจะไม่หายไปง่าย ๆ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เจนต้องสอนให้เด็กน้อยผู้นี้



"จะว่าไปข้าเองก็คงต้องกลับไปที่หุบเขาของข้าบ้างแล้วล่ะ" มาเอะเอ่ยขึ้นบ้างลางหันมองไปยังทางทิศตะวันออกซึ่งก็น่าจะเป็นทิศที่ต้องของหุบเขาของมาเอะนั่นเอง



"เอาไว้เสร็จธุระแล้ว เจนอย่าลืมมาเยี่ยมข้าที่หุบเขาจิ้งจอกบ้างล่ะ อ้อ! แล้วอย่าลืมพาเพื่อน ๆ ของเจ้ามาด้วยนะ ข้าฟังจากที่คิทซึเนะเล่าแล้ว ข้าอยากจะคุยกับเด็กสาวที่ชื่อซินจูจริง ๆ ว่าเสื้อตัวนี้มีความเป็นมายังไง"



เมื่อพูดจบเจนถึงได้สังเกตเห็นชุดเดรสยาวสีแดงตัวหนึ่งอยู่ที่แขนของมาเอะ แม้จะไม่ได้ถูกสวมใส่แต่จากที่เจนเห็นก็รู้ได้ว่าชุดนั่นมีเนื้อผ้านุ่มและมีราคาสูงในแบบที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ทำให้เจนบอกได้เลยว่าคิทซึเนะต้องเป็นผู้ที่เอาชุดนี่ให้กับแม่ของเธออย่างแน่นอน



สิ่งที่เจนสงสัยคือชุดนั่นดูแล้วทำให้เจนรู้สึกคุ้น ๆ ชวนนึกถึงจริยาขึ้นมา จะว่าคิดถึงหรือไม่ได้เจอกันนานก็ไม่ใช่ ความจริงแล้วเจนควรจะนึกถึงซินจูมากกว่าเพราะคิทซึเนะน่าจะได้ชุดนี้มาจากตอนที่พวกเธออยู่ในเมืองซีโป



อาจจะเป็นเพราะชุดแบบนี้เป็นชุดที่จริยาชอบใส่ แต่รสนิยมของแต่งละคนนั้นอาจจะเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้ บนโลกมีคนอยู่เป็นพัน ๆ ล้านคน จะมีคนที่รสนิยมเหมือนกันโดยบังเอิญก็ไม่ใช่เรื่องแปลก



แล้วถ้าหากแม่ของจนเป็นผู้ที่ซื้อชุดนี้ให้คิทซึเนะเองล่ะ



แต่แม่ของเธอเพิ่งจะเล่นเกมมาแค่คืนเดียวเท่านั้นเอง คงเป็นไปไม่ได้หรอก!



"ค่ะ ถ้าหากจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับมาหาท่านมาเอะทันทีเลยค่ะ" เจนสลัดความคิดไร้สาระออกไปแล้วเอ่ยรับคำ



"จริงสิ ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าเลยที่ช่วยปกป้องหมู่บ้านของข้าเอาไว้ รับนี่ไปสิ" ยากิว่าแล้วจึงยื่นไหขนาดเล็กพอ ๆ กับกระบอกใส่น้ำให้กับเจน



ไหหมักเหล้าผลไม้รวม ขนาดเล็ก ระดับA

ไหที่ใช้สำหรับหมักผลไม้ให้กลายเป็นเหล้าผลไม้รวมได้ รสชาติและระยะเวลาการหมักขึ้นอยู่กับระดับของวัตถุดิบที่ใช้

เลือกเพิ่มเติมเพื่อดูรายละเอียดการใช้งาน



"แต่ฉันไม่ดื่มเหล้านี่นา ของแบบนี้เอาไปฉันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรหรอกค่ะ" เจนว่าพร้อมกับทำท่าจะส่งไหหมักคืน แต่ทานูกิขนทองรีบตอบบ่ายเบี่ยง



"ฮะ..เฮ้ย! เจ้าจะเอาไปให้คนอื่นต่อหรือจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเจ้าเถอะ ข้ามอบให้เจาเพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าเลยนา อย่าปัดน้ำใจของข้าทิ้งเลย" ยากิกล่าว แบบนี้ถึงเจนจะไม่อยากได้แต่ให้เมื่อพูดถึงขนาดนี้เธอก็ต้องเก็บไหเหล้าลงกระเป๋าอย่างจำใจ







เจนหยิบกระดาษวาปออกมาจากกระเป๋าเตรียมพร้อมออกเดินทางกลับเมืองโดยมีทานูกิน้อยใหญ่และเทพอสูรทั้งสองคอยยืนส่งอยู่ที่ลานกว้างที่เคยเป็นที่จัดงานเลี้ยงใหญ่



ทั้งสามโบกมือลาส่งกลับไป ถึงสำหรับเจนนั้นเป็นเพียงเวลาไม่นานนัก แต่เธอก็หลงรักที่แห่งนี้เข้าให้แล้ว ทั้งวิถีชีวิตอันเรียบง่ายที่เป็นมิตรกับธรรมชาติของเหล่าทานูกิและบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ของหมู่บ้านเกาลัด หวังว่าซักวันในโลกแห่งความจริง เจนจะมีโอกาสที่จะได้อยู่ในที่แบบนี้บ้าง



เจนพยักหน้ากับกับสองสาวเพื่อให้เตรียมพร้อม จากนั้นเธอก็ฉีกกระดาษในมือออกจากกัน มนตราที่อยู่บนแผ่นกระดาษเริ่มทำงานทันที ร่างของเจนส่องสว่างพร้อม ๆ กับสองสาวที่จับแขนของเจนแน่น เพียงครู่เดียว เจนก็มองไม่เห็นมาเอะและยากิอีกต่อไป มีแต่ความมืดมิดเท่านั้น



การวาปทำให้เจนรู้สึกถึงแรงบีบอัดร่างเหมือนถูกอัดอยู่ในกล่องสุญญากาศ จะหายใจก็ไม่ได้ จะขยับก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น ยังดีที่การวาปจะเสียเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น



เพียงชั่วอึดใจ เจนพร้อมทั้งคิทซึเนะและฟีบีก็ปรากฏอยู่ลานกว้างของเมืองยามะไตอีกครั้ง และหลังจากที่ไม่ได้เข้าเมืองมาพักใหญ่ ทำให้สองสาวด้านหลังเจนรู้สึกตื่นเต้นกับจำนวนผู้คนมากมายที่กำลังเดินไปมาอยู่รอบตัว



'อืม คนเยอะจังเลยแฮะ สงสัยช่วงนี้คนในแถบเอเชียจะออนไลน์พร้อมกันพอดี เมืองนี้ก็เลยมีคนเยอะกว่าตอนที่เรามาตอนแรก' เจนคิดในใจเมื่อสังเกตว่าตอนนี้มีคนมากกว่าเมื่อครั้งก่อนที่เธออยู่ในเมือง



พวกเจนเดินตรงไปยังอาคารระบบเป็นอย่างแรก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เธอต้องทำตอนนี้ไม่ใช่ไปสมทบกับพวกแจ็ค แต่เป็นการส่งภารกิจเปลี่ยนอาชีพที่ทำให้เธอต้องถ่อไปถึงหมู่บ้านเกาลัด



ตึกอาคารระบบในช่วงเช้านั้นมีคนเยอะกว่าที่เจนคิด เพราะอาจจะเป็นช่วงที่ผู้เล่นล็อกอินเข้ามาพร้อมกันหรือจะเป็นเพราะเมืองมีขนาดใหญ่ก็ตาม แต่อาคารระบบที่เจนเดินเข้ามานั้นก็ดูมีขนาดใหญ่ไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ทั้งสามต้องนั่งรอจนกว่าจะถึงคิวของตัวเอง



"เจน ฟังอยู่หรือเปล่า" เสียงของแจ็คดังขึ้นในหัวระหว่างที่สามสาวกำลังนั่งรออยู่ที่มุมรับแขกของอาคาร



"แจ็ค! ว่าไง มีอะไรหรือถึงติดต่อมา" เจนตอบกลับไปในช่องสื่อสารกลุ่ม



"ตอนนี้พวกเสือซ่อนลายอยู่กับฉันแล้ว พวกเรากำลังคิดจะกินมื้อเช้ากัน ตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ มาถึงเมืองหรือยัง" แจ็คถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทำให้เจนที่กำลังกังวลก็รู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินว่าเพื่อนของเธออยู่กับเสือซ่อนลายแล้ว



"ตอนนี้ฉันอยู่ที่อาคารระบบ กำลังมาส่งภารกิจและก็เปลี่ยนอาชีพพร้อมกันเลย แต่คนเยอะมากเลย คงต้องใช้เวลาอีกซักพักนึงล่ะ แล้วนี่โจอยู่กับนายหรือเปล่า" เจนถามกลับไป



"อ่าอะ ยังไม่เห็นตัวเลย พวกเราคุยกันอยู่แบบนี้แล้วหมอนั่นยังไม่ตอบกลับมาแสดงว่าคงกำลังยุ่งอยู่แน่ ปล่อยหมอนั่นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกซักพักก็โผล่มาเอง" แจ็คว่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จนหญิงสาวที่ฟังอยู่อดหมั่นไส้ไม่ได้ ใครกันนะที่ถามหาพ่อหนุ่มจอมเวทย์ด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวไปเมื่อวันก่อน



"เข้าใจแล้ว ที่นี่คนเยอะ คงอีกซักพักกว่าที่ฉันจะออกไปได้ นายพาพวกพี่เสือไปหาอะไรกินกันก่อนเลย"



เพื่อนหนุ่มไม่ส่งเสียงตอบมาอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับว่ากำลังไปคุยกับคนอื่นอยู่ ไม่นานนักเจนก็ได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมาอีกครั้ง



"ทางนี้บอกว่าจะรอจนกว่าเธอจะมาน่ะ แล้วซินจูก็บอกว่าอยากจะกินข้าวพร้อมกับคิทซึเนะและฟีบี.. ใช่ ฉันเล่าเรื่องยัยหนูให้พวกเขาฟังหมดแล้ว"



เจนหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอรู้ว่าซินจูจะต้องร้องกรี้ดแน่ถ้าเห็นฟีบีเข้า แต่กับคิทซึเนะที่กลายเป็นสาวสวยผมยาวรูปร่างเซ็กซี่นั่นก็คงจะเป็นอีกเรื่องนึง



ตอนนั้นเองที่เจนได้ยินเสียงเรียกถึงคิวของเธอ เจนบอกกับแจ็คว่าถึงคิวของเธอแล้ว จากนั้นจึงรีบตรงเข้าไปยังช่องที่ว่างอยู่ทันที โดยไม่ลืมที่จะเรียกสองสาวมาด้วย



"สวัสดีค่ะ ต้องการความช่วยเหลืออะไรคะ" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม



"เอ่อ.. ฉันมาส่งภารกิจเลื่อนยศและเปลี่ยนอาชีพน่ะ" เจนว่า



"โปรดรอซักครู่นะคะ" เจ้าหน้าที่สาวตอบอย่างฉับไวพร้อมกับเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมา ไม่นานนักเธอก็มีสีหน้าตกใจอย่างที่เจนเคยเห็นเมื่อตอนที่เธอรับภารกิจมา แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่สาวทำท่าพูดคุยอยู่กับใครบางคนแล้ว เธอก็หันมาหาเจนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง



"ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ ภารกิจของคุณเจนคือ 'ภารกิจผู้กล้า' นะคะ ค่าตอบแทนของภารกิจนี้คือการเลื่อนยศและอาชีพพิเศษ กรุณาตรวจเช็คข้อมูลส่วนตัวด้วยค่ะเพื่อเป็นการยืนยันว่าคุณเจนได้อาชีพและได้รับการเลื่อนยศแล้ว" เจ้าหน้าที่สาวพูดลิ้นรัว เจนจึงรีบเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาดูทันที



ชื่อ:เจน

อาชีพ ผู้กล้า ชั้นขุนนาง ระดับ 1

สถานะตัวละคร

พลังชีวิต 5829/5829 พลังเวทย์มนตร์ 10615/10615

ค่าความอิ่ม 54/100 ค่าความเหนื่อย 100/100



สถานะพื้นฐาน

พลังโจมตี 56 ความฉลาด 16

พลังป้องกัน 18 พลังป้องกันเวทย์ 18

ความเร็ว 40 ความอดทน 30

ความแม่นยำ 16 โชค 9



ทักษะ





ทักษะ ตรวจสอบ ไม่ใช่พลังเวทย์

ทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตรวจสอบมอนสเตอร์และผู้เล่นได้ แต่ถ้าหากเป้าหมายมีระดับมากกว่าผู้ใช้เกิน 20 ระดับ จะสามารถตรวจสอบได้เพียงแค่ชื่อกับยศและระดับเท่านั้น



ทักษะ ทักษะการใช้ดาบขั้นสูง ระดับ 90

ทักษะพื้นฐาน ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเมื่อใช้อาวุธเป็นดาบ



ทักษะ การต่อสู้มือเปล่า 33

ทักษะพื้นฐาน ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเมื่อใช้มือเปล่า



ทักษะ ปลดผนึก ใช้พลังเวทย์ 100 ไม่มีระยะเวลาดีเลย์

ทักษะระดับ S สามารถใช้ปลดผนึกอาวุธที่ถูกผนึกอยู่ได้



ทักษะ เสริมพลังกาย ใช้พลังเวทย์ 50 ระยะเวลาดีเลย์ 5 นาที

ทักษะระดับ E สามารถเสริมพลังโจมตี พลังป้องกันและความเร็วขึ้นสองเท่าได้ชั่วขณะหนึ่ง



ทักษะ ผ่ามิติ ใช้พลังเวทย์ 525 ระยะเวลาดีเลย์ 10 วินาที

ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถฟันเป็นคลื่นพลังโจมตีระยะไกลได้ พลังโจมตีเป็นธาตุแสงและไฟ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับพลังโจมตีของผู้ใช้ทักษะ



ทักษะ อัญเชิญอสูร ใช่พลังเวทย์ 5000 ระยะเวลาดีเลย์ 6 ชั่วโมง

ทักษะระดับ S (จากอาวุธ) สามารถอัญเชิญอสูรได้ โดยอสูรที่อัญเชิญมาสามารถได้มาจากทักษะผนึกอสูร หรือ สัตว์อสูรยอมรับเป็นนาย



ทักษะ ผนึกอสูร ใช้พลังเวทย์ 800 ระยะเวลาดีเลย์ 1 ชั่วโมง

ทักษะระดับ A (จากอาวุธ) สามารถทำการผนึกอสูรเพื่อใช้งานได้ โอกาสสำเร็จขึ้นอยู่กับระดับของผู้ใช้และความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร



ทักษะ พลังสถิตร่าง ใช้พลังเวทย์ 1000 หลังจากใช้ทักษะแล้วใช้พลังเวทย์ 100 ต่อ 1 นาทีเพื่อรักษาสภาพ ระยะเวลาดีเลย์ 1 วัน[นับเวลาเริ่มวันใหม่เป็นดวงตะวันขึ้นฟ้า]

ทักษะระดับ S หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว ผู้ใช้จะได้รับพลังมหาศาลซึ่งพลังจะแตกต่างกันไปตามมอนสเตอร์ผู้ให้พลัง

ระดับ 2 ผสานพลัง สามารถใช้พลังสถิตร่างสองชนิดได้พร้อมกัน โดนจะเพิ่มพูนความสามารถของพลังสถิตร่างทั้งสองชนิดขึ้นสองเท่า แต่ก็ต้องเสียพลังเวทมนตร์เป็นสองเท่าเช่นกัน

- พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ

- พลังสถิตร่างพญาอสรพิษ ยามาตะ โนะ โอโรจิ



ทักษะอาชีพ : ผู้กล้า



พลังของผู้ที่ถูกเลือก ระดับ S ทักษะติดตัว

เพิ่มสถานะพื้นฐานทั้งหมดและลดการใช้พลังเวทย์มนตร์ของทุกทักษะลง 50% เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอส มินิบอสหรือผู้เล่นและมอนสเตอร์ที่มียศราชาและเทพเจ้า



โชคลางผู้กล้า ระดับ A ทักษะติดตัว

เพิ่มโอกาสที่จะพบกับมอนสเตอร์ระดับบอส มินิบอส มากขึ้น



Mastery Weapon ระดับ S ทักษะติดตัว

สามารถเรียนรู้การใช้อาวุธทุกชนิดได้เร็วมากขึ้น



อิกไนท์ สไตรค์ ระดับ A ใช้พลังเวทย์ [ตามผู้ใช้กำหนด] ระยะเวลาดีเลย์ 5วินาที

เพิ่มพลังโจมตีผสานเข้ากับพลังเวทมนตร์ โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับสถานะพื้นฐาน พลังโจมตีอาวุธและพลังเวทมนตร์ที่จ่ายไป สามารถใช้ได้กับอาวุธทุกชนิด รวมทั้งเวทมนตร์และมือเปล่า



"เอ่อ..ทั้งยศและอาชีพเปลี่ยนแล้วล่ะ แต่ว่าทำไมทักษะถึงมีน้อยจัง แถมแต่ละอันก็..-"



"อ้อ! ทักษะมีจำนวนไม่มากเช่นนี้เป็นแบบเดียวกันทุกอาชีพค่ะ แต่หลังจากที่เก็บเลเวลไปอีกซักพักจะมีทักษะใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมาเองค่ะ ก็จะมีอาชีพสายจอมเวทที่จะมีทักษะเวทมนตร์มากตั้งแต่แรกค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวรีบอธิบาย เจนพยักหน้าเข้าใจแต่เธอยังคงขมวดคิ้วกับความสงสัยที่ว่าทำไมถึงมีแต่ทักษะติดตัว แถมทักษะที่ดูดีหน่อยก็ดันมีผลต่อเมื่อเจอมอนสเตอร์ระดับสูง แถมยังมีทักษะที่ช่วยให้เจนเจอมอนสเตอร์ระดับบอสมากขึ้นอีก แบบนี้ไม่รู้ว่าเจนจะดีใจหรือเสียใจดี แค่ราชาเทนกุจมูกยาวยังสู้ไม่ได้ นับประสาอะไรถ้าไปเจอมอนสเตอร์ที่เก่งกว่านี้



"คุณเจนมีอะไรจะสอบถามเพิ่มเติมมั้ยคะ?" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจนยืนเหม่อลอยอยู่



เจนได้ยินจึงเรียกสติของตัวเองให้กลับมาเข้าร่างแล้วชี้ไปยังพวกคิทซึเนะที่อยู่ด้านหลัง



"เด็กคนนี้เลเวลเต็มร้อยแล้วแต่ไม่รู้วิธีเลื่อนระดับยศ ฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าจะทำการเลื่อนยศของสัตว์เลี้ยงได้ยังไงน่ะ" เจนกล่าว



พนักงานสาวทำสีหน้างุนงงและลุกขึ้นมองหาอะไรบางอย่างไปทางที่เจนชี้



"เอ่อ...ไหนหรือคะสัตว์เลี้ยง"



"นี่ไง เด็กที่มีผมสีฟ้านั่นไง" เจนย้ำแงะชี้ไปที่ฟีบีซึ่งมองมาที่เจนด้วยความสงสัย



พนักงานสาวยิ่งมีสีหน้างงงวยขึ้นไปอีก แต่เมื่อเธอเปิดหน้าต่างแสงตรวจสอบดู เธอก็แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบยกมือขึ้นไปไว้ที่หูเพื่อติดต่อกับใครบางคนซึ่งเจนคิดว่าคงจะเป็นเจ้าหน้าที่คนอื่น



ทำไมนะเวลาที่เธอมาอาคารระบบ พวกเจ้าหน้าที่ต้องทำท่าตื่นตูมแบบนี้ใส่เธอทุกครั้ง คนอื่นเคยเจออะไรแบบนี้บ้างหรือเปลานะ หรือบางทีนี่คงเป็นเหตุการณ์เนื้อเรื่องในเกมที่ทุกคนคงจะต้องเจออยู่แล้ว



เจนคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะที่เจ้าหน้าที่สาวกับลังคุยติดต่อกับGm ระดับสูง เพราะตั้งแต่ที่เจนเดินเข้ามาในอาคารระบบ ธงน้ำเงินบนหน้าจอของเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ขึ้นบอกให้จับตาดูผู้เล่นคนนี้เอาไว้ให้ดี



ตอนแรกเจ้าหน้าที่สาวก็รู้สึกสงสัยว่าหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนนี้มีอะไรถึงต้องขนาดขึ้นธงน้ำเงินที่หมายความว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่พบต้องจับตามอง แต่เมื่อเธอได้เห็นภารกิจที่ผู้เล่นคนนี้นำมาส่ง ก็ทำให้เธอรู้ทันทีว่าทำไม



ไม่เพียงแค่นั้น พอได้ลองตรวจสอบถึงสัตว์เลี้ยงทั้งสองของผู้เล่นแล้วก็ยิ่งทำให้เธอแทบอยากจะไปตะโกนถามกับทางเบื้องบนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่



ทำไมถึงมอนสเตอร์ระดับสูงถึงสองตัว กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เล่นที่มีอาชีพพิเศษได้ แถมทั้งสองยังเป็นมอนสเตอร์ที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้อีกต่างหาก ซึ่งจากเท่าที่เธอรู้ ไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนมาก่อนที่มีสัตว์อสูรที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เช่นนี้ซึ่งมันสมควรจะเป็นความลับที่จากประกาศให้ทราบในการอัพเดทครั้งต่อไป แต่ตรงหน้าของเธอนั้นกลับมีอยู่ถึงสอง!



ถ้าหากพนักงานสาวรู้ว่าเจนยังมีอาวุธระดับ S เป็นคนแรกด้วยล่ะก็คงได้ทำหน้าตาตื่นยิ่งกว่านี้แน่



"นี่คือเจ้าหน้าที่หมายเลข056a ตอนนี้ฉันกำลังดำเนินเรื่องให้กับผู้เล่นที่ถูกติดธงน้ำเงินที่ชื่อว่าเจน เมื่อครู่ฉันได้ส่งคำขอเรื่องการเปลี่ยนอาชีพพิเศษของผู้เล่นคนนี้ไป ฉันมีเรื่องอยากจะสอบถามหน่อยค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยในช่องติดต่อสำหรับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเจนและผู้เล่นคนอื่น ๆ จึงไม่มีทางจะได้ยินบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้อย่างแน่นอน



"รับทราบแล้วครับ ถามมาได้เลย" เสียงชายหนุ่มตอบกลับมา



"คือฉันก็ไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องของพวกผู้เล่นหรอกนะ แต่ฉันคิดว่าผู้เล่นคนนี้ต้องโกงเกมแน่ ๆ ได้อาชีพพิเศษโดยวิธีที่ยากที่สุด แถมยังมีจิ้งจอกชั้นสูงกับมังกรชั้นสูงเป็นสัตว์เลี้ยงอีกต่างหาก ยังไม่ใช่แค่นั้นนะ ทั้งสองตัวยังอยู่ในร่างมนุษย์อีกด้วย" เจ้าหน้าที่สาวพูดเสียงดังเพื่อให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มที่ตอบกลับมานั้นฟังดูสบาย ๆ จนชวนให้เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย



"ไม่รู้สิคุณ056a ผมลองตรวจสอบกับแคสซิโอเปียดูแล้วแต่ไม่พบอะไร อืม..เดี๋ยวนะ" ชายหนุ่มเงียบไปครู่นึงแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "โว้ว! ให้ตายสิ ถ้าคุณได้มาเห็นอย่างที่ผมเห็นคุณจะต้องไม่เชื่อแน่ ๆ"



"อะไร! อะไร! นี่นายทำอะไรน่ะ" เจ้าหน้าที่สาวรีบเอ่ยถาม



"ผมตรวจสอบผู้เล่นคนนี้ดู ทั้งสถานะ ทักษะและไอเท็มทั้งหมดของผู้เล่นคนนี้ซึ่งผมไม่มีอำนาจที่จะบอกคุณได้ แต่เชื่อเถอะ ผมเองก็คิดว่าผู้เล่นคนนี้โกงเหมือนกัน"



เจ้าหน้าที่สาวขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มปลายสายพูด แม้เธอจะสามารถตรวจผู้เล่นได้แค่ข้อมูลเบื้องต้นหรือข้อมูลเท่าที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง แต่แค่นั้นก็เผยให้เห็นว่าผู้เล่นคนนี้ได้เปรียบผู้เล่นคนอื่น ๆ มากเลยทีเดียว และการที่เจ้าหน้าที่หนุ่มเห็นด้วยแบบนี้นั่นแสดงว่าไอเท็มที่ผู้เล่นเจนถืออยู่จะต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน



"ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่นะคุณ056a แต่ปล่อยผู้เล่นคนนี้ไปเถอะ แคสซิโอเปียบอกว่าไม่ได้โกงก็คือไม่ได้โกงนั่นแหละ คุณก็รู้ว่าหล่อนไม่เคยพลาด" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น



"จะเป็นไปได้มั้ยว่าแคสซิโอเปียถูกแฮกค์" เจ้าหน้าที่สาวสันนิฐาน



"ด้วยอะไรล่ะ คอมพิวเตอร์ธรรมดาไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ของเกมได้คุณก็รู้ ช่วงเดือนที่แล้วตอนเปิดตัวเกมก็มีคนเคยใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์แฮกค์เข้ามาอยู่เพียบเลยนะ แต่รู้อะไรมั้ย พวกนั้นไม่เฉียดเข้าเซิร์ฟเวอร์ของแคสซิโอเปียเลยด้วยซ้ำ แล้วนอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว แคสซิโอเปียยังตามรอยคนที่แฮกค์แล้วส่งไปให้ตำรวจซะทุกราย เชื่อผมเถอะ ผู้เล่นคนนี้ได้ทุกอย่างมาโดยขาวสะอาด แถมธงน้ำเงินที่ว่ายังมาจากเบื้องบนด้วย"



"หรือว่า...ผู้เล่นคนนี้จะใช้เส้น" เจ้าหน้าที่สาวยังสันนิฐานต่อ



"นี่แม่คุณ เกมนี้ใช้แคสซิโอเปียควบคุมทุกอย่าง แล้วเธอก็ไม่เคยจะเสกอาวุธหรือความสามารถอะไรให้ใครมาก่อน คุณก็รู้ ขนาดคนที่สร้างยังต้องเล่นด้วยตัวเองเลย ผมว่าคุณถอยออกมาแล้วให้สิ่งที่ผู้เล่นคนนั้นต้องการไปเถอะ พูดตามตรงนะ คุณนี่น่าจะไปเป็น Gm ภาคสนามมากกว่าเจ้าหน้าที่ประจำอาคารระบบนะเนี่ย"



เจ้าหน้าที่สาวหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดขึ้น "ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำพ่อหนุ่ม ฉันเองก็คิดจะย้ายออกไปทำงานข้างนอกอยู่เหมือนกัน ว่าแต่นายชื่อว่าอะไรงั้นหรือ คุยกับนายแล้วมันถูกคอดี"



"ผมชื่อว่าฟินน์ Gmฟินน์ครับถ้าคุณผู้หญิงจะกรุณา" ชายหนุ่มพูดเสียงทะเล้น



"ฉันชื่อว่าหลิน เดี๋ยวฉันขอตัวไปจัดการเรื่องให้ผู้เล่นคนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ เอาไว้เลิกงานแล้วค่อยมาคุยกันต่อ" เจ้าหน้าที่สาวเอ่ยแล้วจึงหันกลับมาหาเจนที่ยืนคอยอยู่ได้พักใหญ่แล้ว



"ขออภัยที่ให้รอนานค่ะ ทางเราต้องขออภัยด้วยนะคะเนื่องจากข้อมูลที่คุณเจนสอบถามมานั้นเป็นข้อมูลระดับสูงของอาชีพสายนักฝึกสัตว์อสูร ทางนโยบายของดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์นั้นต้องการให้ผู้เล่นทุกคนออกตามหาเบาะแสต่าง ๆ ด้วยตัวเองค่ะ ดิฉันขอแนะนำให้คุณเจนลองเปิดกระดานข้อความของอาชีพสายนักฝึกสัตว์เพื่อหาคำตอบของคุณเจนดูนะคะ" เจ้าหน้าที่หลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม



เจนพยักหน้าขอบคุณ แม้ว่าจะรอนานและยังไม่ได้คำตอบมาด้วย แต่อย่างน้อยเจ้าหน้าที่คนนี้ก็แนะนำให้เธอรู้ว่าจะเริ่มไปมองหาที่ไหนดี แต่เจนรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องไปมองหาที่ไหนที่จะได้ข้อมูลที่เธอต้องการ







หญิงสาวในคราบชายหนุ่มหน้าสวยเป็นที่ต้องตาของสาว ๆ ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้านิ่งที่แสดงออกมาอย่างเย็นชาก็ยิ่งทำเอาใจเต้นระรัว และที่กำลังเดินขนาบคู่มาด้วยคือสาวผมสีขาวทรงหางม้ายาวในชุดยูกาตะสีไข่มุกขลิบด้วยแดงเพลิง รูปร่างและความสูงของเธอบวกกับชุดงามทำให้ชายหนุ่มต่างจ้องตาไม่กระพริบ



แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายทั้งสองเพราะเด็กสาวผมสีฟ้าที่เดินจับมือทั้งคู่ไปพร้อมกัน ถ้าหากให้วัดระดับความดึงดูดแล้วจะพบว่าเด็กน้อยคนนี้ต่างเป็นเป้าสายตาของทั้งชายและหญิงที่เดินผ่านยิ่งกว่าชายหนุ่มและหญิงสาวซะอีก ไม่ว่าจะเป็นแก้มบวมน่ายิก ผิวขาวใสน่าลูบไล้ รอยยิ้มร่าเริงที่มองแล้วก็ชวนให้อดยิ้มตามไม่ได้และดวงตาสีฟ้างดงามราวกับอัญมณีนั้นต่างเป็นสิ่งที่ทุกคน ณ ใจกลางเมืองยามะไตกำลังกล่าวถึงในขณะนี้ว่าช่างเป็นครอบครัวที่สมบรูณ์แบบจริง ๆ



แต่ความจริงแล้วเจนนั้นแทบอยากจะบินออกไปจากตรงนี้ซะให้ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงพวกผู้เล่นคนอื่นที่อยู่ในเมืองถึงจ้องพวกเธอตาเป็นมันขนาดนี้ เธอเพิ่งสังเกตได้เมื่อออกมาจากอาคารระบบ แม้เรียวกังที่เจนเข้าพักนั้นจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก แต่สำหรับเจนนั้นราวกับมีระยะทางเป็นกิโลเลยทีเดียว



ให้บอกกันตามตรง เจนไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอเป็นจุดสนใจขนาดนี้ อาจจะเป็นตั้งแต่เธอยังคงอยู่กับพวกโจแต่ตอนนั้นยังไม่ทันรู้ตัว มาตอนนี้สายตาจ้องเธอราวกับสัปปะรด มันทำให้เธออึดอัดมาก ยิ่งกองทัพสาวน้อยใหญ่และกองกำลังหนุ่ม ๆ นับสิบคนที่เดินตามเธอมานั้นยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก ตอนแรกพวกเขาทำท่าจะไม่เข้ามายุ่งอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รวมตัวกันวิ่งตามพวกเธอมาแบบนี้



เพียงชั่วอึดใจเจนก็มาถึงเรียวกัง เธอวิ่งเข้าไปด้านในและวิ่งขึ้นไปยังห้องพักทันที และหวังว่าทางเรียวกังจะห้ามทัพที่ตามเธอมาได้



"เมื่อกี้มีคนตามพวกเรามาตั้งเยอะแยะเลย คิทซึเนะได้ยินพวกเขาเอ่ยชมพวกเรากันใหญ่เลยล่ะค่ะ" จิ้งจอกสาวพูดขึ้นระหว่างกำลังเดินไปที่ห้องพัก



"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะเนี่ย หรือว่าพวกกิลด์พิฆาตราชารู้ว่าฉันเป็นใครแล้ว แย่ล่ะ แบบนี้คงต้องปรึกษาโจด่วนเลย!" เจนพูดพึมพำกับตัวเองโดยไม่ทันฟังคำพูดของคิทซึเนะ



ประตูห้องพักของเจนอยู่ด้านหน้า เธอรีบยื่นมืออกไปแล้วเปิดประตูพร้อมกับพูดเสียงดัง



"โจ! แย่แล้วล่ะ ที่ด้านหน้า..-"



"เซอร์ไพรซ์!!!"



เจนตกใจจนแทบจะร้องตะโกนเสียงดัง ออกมา เช่นเดียวกับคิทซึเนะที่ผมของเธอตั้งชี้ฟูราวกับเป็นเม่น ส่วนฟีบีนั้นรีบมุดเข้าไปหลบอยู่ใต้เสื้อคลุมของเจนด้วยความเร็วสูง



ตรงหน้าของเธอนั้นคือผู้ที่ร้องตะโกนเสียงดังลั่นซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกลุ่มของเสือซ่อนลายและแจ็คพร้อมทั้งหนูส่งข่าวที่นั่งอยู่บนพื้นเสื่อใกล้ ๆ



"พี่เสือ! ทุกคน!"



"พี่ซิน!"



เสียงของเจนและคิทซึเนะดังขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า เจนยกมือขึ้นไหว้เสือซ่อนลาย ยูสตาร์และไมโกะโดยอัตโนมัติในขณะที่ซินจูวิ่งเข้าไปสวมกอดกับคิทซึเนะอย่างแนบแน่น



"คิทซึเนะ ไม่เจอกันตั้งนานตัวโตขึ้นเยอะเลย แถมยังดูสวยขึ้นเยอะด้วยนะเนี่ย"



"พี่ซินก็เหมือนกัน ชุดใหม่ที่พี่ซินสวมดูสวยจังเลย" จิ้งจอกสาวพูดชม



จากชุดสีครีมที่เคยสวม ตอนนี้สาวน้อยจอมเวทนั้นอยู่ในชุดและผ้าคลุมสีขาวที่ดูงดงามดูราวกับนางฟ้า ขาเรียวยาวที่ไร้การปิดบังดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น นับว่าการแต่งกายของซินจูในตอนนี้เปลี่ยนจากลุคสาวน้อยน่ารักกลายเป็นสาวน้อยบอบบางน่าถนุถนอมไปเลยทีเดียว



"แหม เราเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ชุดที่คิทซึเนะใส่ก็ดูดีเหมือนกัน ตาแหลมไม่เบานะเนี่ย" ซินจูกล่าวพร้อมกับไล่สายตาสังเกตการแต่งกายของน้องสาวของเธอตรงหน้า



"นี่เป็นชุดที่ท่านแม่ยกให้น่ะค่ะ ท่านแม่บอกว่าคิทซึเนะตัวโตขึ้นมากแล้วก็น่าจะแต่งกายให้สมกับวัยหน่อยก็เลยเอาชุดนี้มาลองให้ใส่ อ๊ะ! แต่หนูก็ได้เลือกซื้อชุดด้วยตัวเองแล้วนะ ดูนี่สิคะ" จิ้งจอกสาวว่าและจึงหยิบเสื้อผ้านับสิบชุดออกมาจากกระเป๋าที่เจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่



ในระหว่างที่สอสาวส่งเสียงหัวเราะคิกคักเรื่องเสื้อผ้า เจนก็ได้เข้าไปพูดคุยกับพวกเสือซ่อนลายที่เปลี่ยนไปมากเช่นกันจากเมื่อครั้งล่าสุด



เสือซ่อนลายตอนนี้อยู่ในชุดลำลองเป็นเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงขายาวสีเทา แต่เจนสังเกตเห็นกองชุดเกราะสีเงินวางอยู่ที่มุมห้องพร้อมกับโล่ที่ดูจะเข้าชุดกันกับชุดเกราะพร้อมทั้งดาบที่เจนรู้สึกคุ้นตา ดาบอสูรคลั่งนั่นเอง



ไมโกะเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ตอนนี้เธอสวมชุดสีดำยาวแหวกบริเวณสะโพกดูเซ็กซี่ไม่น้อย ด้านหลังของเธอเจนเห็นเป็นดาบคาตะนะสีม่วงอยู่สองเล่มที่แผ่ไอพลังออกมาจนรู้สึกได้ว่าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



ทางยูสตาร์ก็สวมชุดคลุมสีเขียวที่มีฮูดอยู่ด้านหลังท้ายทอยดูเหมาะสมกับเป็นนักธนูไม่น้อย เจนล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเขาได้อาชีพอะไรกันแน่



"เป็นยังไงบ้างเจน ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วเธอดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะ" เสือซ่อนลายทักอย่างเป็นกันเอง



"พี่เสือต่างหากที่เปลี่ยนเยอะเกินไป ว่างแต่พวกพี่คงจะเปลี่ยนอาชีพกันแล้วเหมือนกันสินะเนี่ย ดูชุดเกราะพวกนั้นสิ ฉันว่าราคาคงไม่ใช่น้อย ๆ เลย" เจนพูดแล้วชะโงกหน้าไปมองชุดเกราะขอเสือซ่อนลาย



"ต้องขอบคุณเงินที่เธอส่งมาให้พวกเรานั่นแหละที่ช่วยให้เราหาชุดดี ๆ ใส่กันได้ทุกคน แต่ดูพวกเธอสิ เงินก็มีตั้งเยอะแท้ ๆ กลับยังใส่ชุดเก่าอยู่เหมือนเดิม" ไมโกะพูดบ้าง



"ก็แค่พวกเราสองคนยังหาชุดที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้นแหละน่า" เสียงของแจ็คเป็นคนตอบจากด้านหลังห้อง



"ว่าแต่พวกพี่เป็นอาชีพอะไรกันมั่งล่ะ" เจนถาม



ไมโกะดึงตัวเจนไปนั่งลงบนพื้นเสื่อพร้อมทั้งชวนกินมื้อเช้าที่สั่งมาเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ซึ่งบนโต๊ะอาหารนั้นมีของกินอยู่มากมายจนเจนเผลอคิดไปว่าเช้านี้จะกินกันหมดมั้ย



"ฉันได้อาชีพนักฆ่า อย่างที่หวังเอาไว้ตั้งแต่แรก แถมกระดูกต้องสาปที่เธอให้ ฉันก็เอาไปทำดาบตัดวิญญาณคู่นี้มาด้วย ต้องขอบใจเธอมาก ๆ เลยนะเจน แล้วก็ ยูสตาร์ได้อาชีพเรนเจอร์ เป็นอาชีพที่มีระยะการยิงที่ไกลและพลังรุนแรงมาก แต่ที่สุดยอดต้องเสือซ่อนลายเค้าโน้น" ไมโกะพูดและชี้ไปยังชายหนุ่มที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



"ทำไมงั้นหรือ" เจนถามด้วยความสงสัย



"ฮ่ะ ๆ เธอจำได้มั้ยว่าดาบที่เธอให้มาหลังจากที่พวกเราจัดการจักรพรรดิผีดิบน่ะ หลังจากที่ฉันเปลี่ยนอาชีพเป็นอัศวินแล้วพวกเราก็ออกเดินทางต่อ แต่ไอ้ดาบอสูรคลั่งมันมีปัญหาอยู่นิดหน่อย ปรากฏว่ามันทำให้ฉันติดสถานะคลั่งหลายหนจนทำให้พวกเราตายไปตั้งหลายรอบเลยล่ะ แต่สุดท้ายแล้วที่ไม่มีใครคาดถึง ฉันกลับได้อาชีพนักรบคลั่งมาซะอย่างนั้น" เสือซ่อนลายพูดออกมาอย่างภูมิใจ



"ตอนนี้หมอนี่เป็นคนแรกที่มีสองอาชีพในคนเดียวของกลุ่มเรา จากอาชีพอัศวินกลายเป็นอาชีพอัศวินคลั่งที่มีทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันสูง ...ว่าแต่นายล่ะเจน พวกเรารู้แล้วว่าแจ็คได้อาชีพนักล่าค่าหัวมา แต่พวกเรายังไม่รู้เลยว่านายได้อาชีพอะไรมากันแน่ ภารกิจที่ไปส่งมาผ่านแล้วใช่มั้ย" ยูสตาร์ถาม



"ผ่านเรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันได้อาชีพผู้กล้าน่ะ" เจนตอบ





"ว้าววว!!" พวกเสือซ่อนลายส่งเสียงร้องชื่นชมผสมกับความแปลกใจเสียงดังเมื่อได้ยินว่าเจนมีอาชีพอะไร แม้เกมดิ โอเพ่น เวิลด์จะมีอาชีพให้ผู้เล่นได้สัมผัสอยู่มากมาย ทว่าแต่ละอาชีพนั้นก็มีพื้นฐานที่ไม่ต่างกันมากนักอย่างอาชีพสายนักดาบ หรืออาชีพสายเวทมนตร์ที่จะมีทักษะพื้นฐานเหมือนกัน มีเพียงทักษะเฉพาะไม่กี่ทักษะเท่านั้นที่ถือว่ามีเป็นทักษะของอาชีพนั้นเพียงอาชีพเดียว



อาชีพที่อยู่นอกเหนือสายอาชีพทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นอาชีพระดับสูงเพราะถูกแยกออกมาจากกรอบความสามารถของอาชีพพื้นฐานทั้งหมด แต่อาชีพเหล่านี้นั้นต้องมีความพยายามสูงกว่าที่ได้จะมาและฝึกฝนจนเก่งกาจ เพราะไม่มีทักษะพื้นฐานที่ในการเปลี่ยนอาชีพขั้นต้นควรจะมี แต่หากสามารถผ่านความยากลำบากและสามารถฝึกฝนจนใช้ทักษะของอาชีพได้อย่างช่ำชองแล้วล่ะก็ จะถือกลายเป็นยอดฝีมือของโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ขึ้นมาทันที



"สุดยอดไปเลย! พี่เจนนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ที่ได้อาชีพระดับสูงแบบนี้" ซินจูที่เพิ่งมาเข้าร่วมกลุ่มสนทนาด้วยเอ่ยอย่างชื่นชม



"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทักษะที่ฉันมีตอนนี้มีอยู่แค่นิดเดียวเอง แถมยังใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ด้วย คงต้องดูกันไปก่อนล่ะนะว่าจะดีอย่างที่ว่าหรือเปล่า" เจนตอบออกมาอย่างใจจริง



"ว่าแต่นะ พี่เจน เห็นพี่แจ็คว่าพี่เจนมีสัตว์เลี้ยงอยู่อีกนี่นา เห็นว่าเชื่อฟีบี ไปอยู่ไหนซะล่ะ" ซินจูถามพลางมองไปรอบ ๆ แต่เธอก็ไม่พบใครอื่นเลยนอกจากพวกเราที่อยู่ตรงนี้



เจนเองที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ทันได้แนะนำตัวฟีบีให้ทุกคนได้รู้จัก เธอรู้สึกได้ว่ามีร่างน้อย ๆกำลังเกาะอยู่ด้านหลังของเธออยู่ เจนจึงค่อย ๆ ใช้มือยกเสื้อคลุมขึ้นมา เผยให้เห็นร่างของสาวน้อยผมสีฟ้ากำลังกอดเจนแน่นไม่ยอมปล่อย



เมื่อเห็นว่าที่ซ่อนของตัวเองถูกเปิดเผยออกมาแล้ว มังกรน้อยก็ยิ่งหลบเข้าไปด้านในขึ้นไปอีก จนสุดท้ายเจนต้องเป็นคนดึงตัวของฟีบีออกมาจากด้านหลังเธอ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง มังกรน้อยก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเจนซักที สุดท้ายก็ลงเอยให้ฟีบีนั่งบนตักของเจนเพื่อที่จะให้ทุกคนได้เห็บใบหน้าของมังกรน้อยอย่างชัด ๆ



"น่ารักจังเลย!!" ซินจูตะโกนเสียงดัง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้มังกรน้อยซุกหน้าหลบเข้าไปที่หน้าอกของเจนเข้าไปอีก



"เอ๋ ทำไมถึงหลบหน้าพวกเราแบบนี้ล่ะ ฟีบีเป็นคนขี้อายหรือคะ"



"ก็เปล่านี่นา ปกติแล้วฟีบีออกจะร่าเริงนะคะ แต่ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ก็ไม่รู้" คิทซึเนะตอบแล้วพยายามนึกหาเหตุผลที่น้องสาวของเธอจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้



"ฉันว่าสงสัยว่าคงเป็นเพราะตอนที่พวกเราตะโกนเซอร์ไพรส์แน่ ๆ เลย ฟีบีคงจะตกใจเสียงดังเข้าแน่ ๆ" เสือซ่อนลายว่า



เมื่อเจนก้มลงไปคุยกับมังกรน้อยก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึก ๆ อยู่ท่าเดียว ยืนยันสิ่งที่เสือซ่อนลายคิดได้อย่างแม่นยำ



สุดท้ายหน้าที่กล่อมให้ฟีบียอมคุยกับคนอื่นก็กลายเป็นของคิทซึเนะและซินจูที่พยายามเข้าหาอย่างเป็นที่สุด ส่วนเจนนั้นต้องมารับมือหนูส่งข่าวที่เพิ่งจะเข้ามาร่วมคุยจากที่นั่งเงียบ ๆ อยู่กับแจ็คมาตั้งนาน



"ฉันตรวจสอบเด็กคนนั้นมา นี่นายได้สัตว์เลี้ยงเป็นมังกรงั้นหรือเนี่ย แถมยังเป็นมังกรฟ้าที่หายากสุด ๆ อีก นายไปได้มาจากไหนกันแน่!" หนูส่งข่าวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน



"ก็ได้มาโดยบังเอิญตอนเริ่มเล่นเกมอ่ะ ว่าแน่นายช่วยเอาหน้าออกไปไกล ๆ ทีได้มั้ยเนี่ย" เจนว่าแล้วใช้มือยันหน้าของชายหนุ่มออกไป



หนูส่งข่าวที่โดนผลักออกมาก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง



"ไอ้อาชีพผู้กล้าของเธอนี่ได้มายังไงกัน แล้วไอ้ที่บอกได้ฟีบีมาโดยบังเอิญตั้งแต่แรกนี่หมายความว่ายังไงกันแน่" หนูส่งข่าวคะยันคะยอถาม



เจนที่เห็นดวงตาของชายหนุ่มที่พยายามหาคำตอบอย่างสุดตัวก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ และเธอก็เห็นว่าหนูส่งข่าวเป็นเพื่อนคนหนึ่งแล้วด้วย สุดท้ายเจนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ชายหนุ่มต้องการที่จะรู้ให้ฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพผู้กล้าหรือจะเป็นการที่ได้ฟีบีมาได้ยังไง รวมทั้งเรื่องราวการเดินทางของเธอหลังจากที่แยกมาจากพวกเสือซ่อนลายด้วย



หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดพร้อมทั้งทานอาหารมื้อเช้าไปพร้อมกัน สีหน้าของทุกคนเมื่อได้ยินว่าพวกเจนนั้นไปเจออะไรมาบ้างก็แสดงออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะสิ่งที่เธอพบมาแต่ละอย่างนั้นไม่น่าจะรอดมาได้เลย แถมยังมีโอกาสน้อยมากที่ใครซักคนที่จะพบเรืองใหญ่ติดต่อกันได้เช่นนี้



"มีเทพอสูรระดับสูงอยู่ในเหมืองต้องสาปที่ทวีปไลเทเชียงั้นหรือเนี่ย! แบบนี้นี่เองถึงไม่เคยมีใครรอดออกมาจากเหมืองเลย" หนูส่งข่าวพูด



"ฉันว่าคงมีแค่เจนคนเดียวนี่แหละที่ได้อาชีพผู้กล้า เงื่อนไขสุดโต่งแบบนั้นจะไปมีใครทำได้" เสือซ่อนลายพูดอย่าคิดวิเคราะห์



"จากที่ฟังฉันว่าเด็กที่ชื่ออามีร่าอาจจะไม่ใช่คนที่ไม่ดีก็ได้นะ ลองคิดดูสิ" ยูสตาร์ว่า



"ว่าแต่ฉันสงสัยอยู่อย่างนึง..." ไมโกะพูดขึ้น เรียกให้คนอื่น ๆ หันไปมองด้วยความสงสัย



"ทำไมจู่ ๆ ถึงฟีบีและคิทซึเนะถึงกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ล่ะ ฉันมีเพื่อนที่เป็นนักฝึกสัตว์อสูรอยู่ เขาเลี้ยงไวเวิร์นตั้งสองตัว เลเวลก็ปาเข้าไปตั้งแปดสิบแล้วยังไม่เห็นว่าจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เลย" ไมโกะพูดด้วยความสงสัย ทำให้เจนเองก็รู้สึกฉงนขึ้นด้วยเช่นกัน



"ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ จำได้แค่ว่าตอนคิทซึเนะเลเวลห้าสิบก็พูดได้และแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ส่วนฟีบีนั้นถึงไม่รู้ว่าแปลงร่างได้ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นมนุษย์แล้วล่ะ" เจนเล่าแล้วหันไปหาหนูส่งข่าวที่น่าจะรู้เรื่องนี้



"แล้วนายล่ะ พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ย"



หนูส่งข่าวที่อยู่ในห้วงความคิดของตนเองก็ถูกดึงออกมาด้วยคำถาม เขาเปิดหน้าต่างแสงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดหน้าต่างแสงลง จากนั้นจึงเริ่มเปิดปากพูด



"ความจริงจะขอข้อมูลจากฉันจะต้องจ่ายเงินด้วยนะ แต่นายบอกข้อมูลเรื่องเทพอสูรเซอร์โนบอทกับฉันมาตั้งเยอะ ครั้งนี้ฉันจะไม่คิดตังก็แล้วกัน" ชายหนุ่มเว้นช่วงแล้วจึงพูดต่อ



"ฉันไปสืบข้อมูลพวกนี้มาจากกิลด์ขบวนสัตว์อสูรแห่งราชา ใช้เวลาซักพักกว่าเพื่อนของฉันที่อยู่ในกิลด์นี้จะคายข้อมูลออกมาให้ ...รู้แล้วน่า ก็กำลังจะเล่าให้ฟังนี่ไง" หนูส่งข่าวพูดเมื่อเห็นสาวตาเร่งรีบของสาวผมยาวในชุดดำที่พร้อมใช้ดาบคู่เฉือนคอเขาทุกเมื่อ



หนูส่งข่าวอธิบายว่ากิลด์ขบวนสัตว์อสูรแห่งราชาซึ่งเป็นกิลด์ที่มีจุดเด่นคือกองกำลังนักฝึกสัตว์อสูรที่มีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่ากิลด์นี้รู้วิธีที่จะทำให้สัตว์อสูรเป็นมนุษย์ได้มานานแล้ว แต่เพราะต้องทำตั้งแต่มอนสเตอร์ยังมีเลเวลต่ำมาก จึงมีสัตว์อสูรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้



ปัจจัยที่สามารถทำให้มอนสเตอร์แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นคือความสัมพันธ์ต่อผู้ที่เป็นเจ้านายในระดับที่สูงมาก ๆ ซึ่งในเกมนี้ไม่มีการแสดงระดับความสัมพันธ์ที่ว่านี้ ซึ่งมันกลายเป็นอะไรที่ต้องสื่อกันด้วยใจ และผู้ที่ทำให้มอนสเตอร์แปลงร่างเป็นมนุษย์คนแรกก็คือเพื่อนของหนูส่งข่าวนั่นเอง



และนอกจากความสัมพันธ์แล้ว คนในกิลด์คนอื่น ๆ ก็ต่างสันนิฐานกันว่ายังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้มอนสเตอร์กลายร่างเป็นมนุษย์ อย่างเช่นการเก็บเลเวลลงดันเจี้ยนที่เป็นการเร่งเวลาการเติบโตของมอนสเตอร์ซึ่งผิดจากการปล่อยให้มอนสเตอร์เติบโตตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีมอนสเตอร์ทั่วไปที่แปลงกลายเป็นมนุษย์ได้ และอาจจะมีสัตว์อสูรแค่บางชนิดเท่านั้นที่กลายร่างได้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทางกิลด์ได้ทำการคาดเดาเอาไว้



ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักแต่กิลด์ขบวนสัตว์อสูรแห่งราชานั้นถือว่าเป็นกิลด์อันดับหนึ่งในเรื่องสัตว์อสูร ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์อสูรนั้นก็คงจะต้องถือในข้อมูลที่ได้มาจากกิลด์นี้เอาไว้ก่อน



"และนั่นก็คือทั้งหมดที่ฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าหากพวกนั้นรู้เข้าว่าเธอมีทั้งจิ้งจอกและมังกรแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ล่ะก็ ฉันว่าเธอคงจะถูกดึงตัวเข้ากิลด์แน่ ๆ" หนูส่งข่าวบอกหลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง



"แล้วการเลื่อนยศของสัตว์เลี้ยงล่ะ นายรู้มั้ยว่าฉันจะเลื่อนยศของฟีบีได้ยังไง" เจนถามอีกครั้ง



"อืม ข้อมูลในเรื่องนี้ฉันเองก็มีไม่มากนะ ไม่รู้ว่านายจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้หรือเปล่า ฉันได้ยินว่าการเลื่อนระดับยศของสัตว์เลี้ยงค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหน่อย เท่าที่รู้ตอนนี้คือให้สัตว์เลี้ยงไปจัดการมอนสเตอร์เผ่าเดียวกันที่มีระดับสูงกว่าเพื่อเป็นการเลื่อนระดับยศ หรือไม่ก็ให้มอนสเตอร์ระดับราชาเป็นผู้เลื่อนยศให้ ซึ่งฉันยังไม่สามารถยืนยันข่าวพวกนี้ได้เลย ถ้านายไปทดลองดูแล้วกลับมาบอกฉันหน่อยก็จะเป็นการดีมากเลยล่ะ" หนูส่งข่าวเล่า



พอได้ยินชายหนุ่มพูด เจนก็พอจะรู้ว่าเธอจะต้องทำอะไรต่อถึงจะเลื่อนระดับยศของฟีบีได้ และมันก็ค่อนข้างยุ่งยากอย่างที่หนูส่งข่าวว่าจริง ๆ ซะด้วย



"ว่าแต่แล้วโจล่ะ ฉันไม่เห็นหมอนั่นเลย ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกหรือ" เสือซ่อนลายถามขึ้น



เจนกำลังจะเอ่ยตอบแต่ถูกหนูส่งข่าวชิงตัดหน้าเสียก่อน



"หมอนั่นยังทำภารกิจเลื่อนยศอยู่น่ะ หมอนั่นขอให้ฉันมาบอกข่าวและช่วยพวกนายเท่าที่ทำได้"



"จะว่าไปแล้วนี่นายลงมาจากเรือโจรสลัดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันนึกว่านายจะอยู่บนเรือนั่นไปตลอดซะอีก" เจนถามเมื่อนึกได้ว่าล่าสุดเธอพบกับหนูส่งข่าวในสถานการณ์ใด



"ก็หลังจากพาพวกเธอไปส่งนั่นล่ะ ฉันขอกัปตันให้ไปส่งฉันที่เมืองซีโปแล้วก็แยกตัวมา อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็มีเลเวลเก้าสิบแล้ว แค่อยู่บนเรือเดือนเดียวก็ถือว่าคุ้มสุด ๆ" หนูส่งข่าวเล่า



"ว้าว! นี่นายเลเวลมากกว่าพวกเราอีก ตอนนี้คนที่เลเวลสูงสุดในกลุ่มของฉันเป็นไมโกะ แต่เลเวลแปดสิบหกเท่านั้นเอง" เสือส่งข่าวพูด



"เท่ากับว่าคนที่เลเวลสูงที่สุดในห้องนี้ก็เป็นพวกเจนน่ะสินะ ว่าแต่เรียกพวกเรามารวมกันแบบนี้คงไม่ใช่แค่พบปะสังสรรค์กันอย่างเดียวใช่มั้ย" ยูสตาร์ถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่เจน



"อันที่จริง ฉันมีเรื่องอยากจะขอแรงทุกคนหน่อยน่ะ และมันเป็นเรื่องใหญ่...ใหญ่มากซะด้วย" เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทุกคนหันมามองเธอเป็นสายตาเดียวแทบจะทันทีเพราะรู้ว่าต้องเป็นเรื่องที่สำคัญแน่



"ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เจน แค่ขอมา พวกเราจะช่วย ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว" ไมโกะพูดแล้วจึงยกมือขึ้นแตะไหล่ของหญิงสาว



เจนยิ้มให้กับเธอแล้วหันหน้ากลับมามองทุกคน



"ฉันให้สัญญากับเพื่อนคนหนึ่ง...ว่าหลังจากที่ฉันเก่งขึ้นแล้ว ฉันจะไปช่วยเพื่อนคนนี้จากกลุ่มคนที่ร้าย..ร้ายกาจมาก ๆ" เจนพูดช้า ๆ ทำเอาแจ็คที่นั่งอยู่ริมห้องยืดตัวขึ้นมาเพราะรู้ว่าเจนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร



"ฉันอยากจะขอแรงทุกเข้าไปช่วยอามีร่า...ใช่แล้ว ฉันจะช่วยอามีร่าออกมาจากกิลด์พิฆาตราชา"





จบตอนที่31 พบกันอีกครั้ง

--------------------------------------------------

Tohan-kun
28th January 2014, 10:42
ตอนที่ 32 ปฏิบัติการฉกเจ้าหญิง



"ฉันเข้าใจนะว่าเจ้าหญิงหมายถึงอามีร่า แต่ทำไมต้องฉกด้วยล่ะเนี่ย!? อ๋าา!" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นบนยอดเนินดินแห่งหนึ่ง ไกลออกมาจากเมืองยามะไตทางใต้ยี่สิบกิโล



เขานอนหมอบอยู่บนพื้นดิน ชุดคลุมของเขาเป็นสีเขียวกลมกลืนกับพุ่มไม้ใกล้ ๆ จนถ้าหากไม่สังเกตให้ดีก็มองไม่ออกเลยว่าเขานอนหมอบอยู่ตรงนี้ แม้ว่าแว่นตาที่เขาสวมอยู่จะอาจสะท้อนแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องลงมาให้สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ฮูดของชุดที่เขาสวมอยู่นั้นสามารถแก้ปัญหานั้นได้โดยบังบดบังใบหน้าไม่ให้แสงตกกระทบลงบนแว่นตา



ข้างตัวของเขาเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังส่องกล้องจากปืนไรเฟิ่ลไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีผ้าคลุมเหมือนกับชายหนุ่มข้าง ๆ แต่ชุดสีดำของเขาก็ช่วยให้ดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศได้ดีเช่นกัน



และแน่นอนว่าชายทั้งสองนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแจ็คและยูสตาร์นั่นเอง



"จะใช้ฉก จก หรืออะไรก็ตามมันก็เหมือนกันล่ะน่าลุง แถมแผนนี้เสือเขาคิดเองนะ ไม่ใช่พวกฉันซักหน่อย" แจ็คหันกลับไปมองดูชายหนุ่มขี้บ่นข้าง ๆ เขา



"ก็นั่นล่ะ ทำไมนายถึงไม่โต้ตอนที่หมอนั่นตั้งชื่อแผนเล่า แล้วอีกอย่าง ฉันเพิ่งอายุสามสิบห้าเองนะเว้ย อย่ามาเรียกลงเรียกลุง" ยูสตาร์ดูตอบอย่างดุดัน



"เอ้า! ก็ฉันไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเหมือนกับลุงนี่นา มันก็เป็นแค่ชื่อ ถ้าลุงไม่ชอบใจ ทำไมถึงไม่พูดกับเสือซ่อนลายตั้งแต่แรกเล่า" แจ็คหันไปค้อนถามด้วยความรู้สึกรำคาญ เพราะตั้งแต่ออกมาจากเมือง ยูสตาร์ก็บ่นเรื่องนี้มาไม่หยุด แม้กระทั้งพวกเขามาซุ่มอยู่บนนี้ก็ตาม



ยูสตาร์เบิ่งตากว้างจ้องหน้าของแจ็คแต่ยังไม่ยอมตอบคำ เขาทำท่าอ่อนแรงลงแล้วจึงพูดคำตอบออกมา



"ฉันจะไปกล้าพูดแย้งหมอนั่นต่อหน้าได้ยังไงล่ะ ดูกล้ามแขนหมอนั่นอย่างกับต้นขา นายเองก็กล้ามใหญ่พอ ๆ กันแต่ไม่ช่วยเหลือกันเลย อ๋าา"



แล้วก็สู่ความเงียบสงบเมื่อทั้งสองต่างไม่พูด สายตาของพวกเขายังคงจับจ้องไปยังหมู่บ้านตรงหน้าที่มีแสงไฟจาง ๆ สว่างออกมาจากคบเพลิงที่ตั้งเอาไว้โดยรอบ พร้อมทั้งทหารยามจำนวนหนึ่งที่เดินลาดตระเวนอย่างรัดกุม และมันรัดกุมเกินกว่าที่หมู่บ้านเล็ก ๆ จะควรมี



นอกซะจากว่ามันจะไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา ๆ



"อามีร่าน่ะ....อยู่ในหมู่บ้านนี้แน่นะ" ยูสตาร์พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปยังหมู่บ้านตรงหน้า



"ก็ไม่รู้สินะ ถ้าไอ้หนูส่งข่าวบอกมาแบบนี้ก็คงต้องเชื่อหมอนั่นล่ะนะ" แจ็คตอบ โดยแม้เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าข่าวสารที่เพื่อนของเขาให้มานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ถึงยังไงปฏิบัติการมันก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำยังไงได้







ก่อนหน้าปฏิบัติการ สิบสามชั่วโมง



ณ ห้องพักในเรียวกัง ในเมืองยามะไต



"....ฉันจะช่วยอามีร่าออกมาจากกิลด์พิฆาตราชา" เจนเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น ดวงตาของเธอมุ่งมั่นมากซะจนไม่กล้ามีใครเอ่ยอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อทุกคนตั้งสติได้ สิ่งที่ทุกคนทำอย่างเดียวกันคือ.....โวยวาย



"นี่เธอจะบ้าไปแล้วหรือ!"



"มันจะเป็นไปได้ยังไง!"



"ฆ่าตัวตายชัด ๆ"



"ฉันว่าเจนคงจะกินยาไม่เขย่าขวดแน่ ๆ"



เสียงโวยวายของพวกเสือซ่อนลายอีกหลายอย่างที่ฟังจนไม่ได้ศัพท์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของเจนสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย



"ฉันรู้ว่าทุกคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด แต่ฉันให้สัญญากับอามีร่าเอาไว้แล้ว" เจนพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากเพื่อน ๆ ของเธอ



"ทำไมล่ะเจน นี่จำเรื่องที่สุสานผีดิบไม่ได้หรือไง ยัยนี่คิดจะฆ่านายทั้ง ๆ ที่เพิ่งถูกช่วยเอาไว้แท้ ๆ แถมยังเรื่องที่เมืองรีเด็มชั่นเมื่อกี้อีก ทำไมเธอถึงจะต้องไปช่วยคนที่ไม่รู้จักบุญคุณแบบนั้นด้วย" ไมโกะขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ คนอื่น ๆ เองก็เงียบและหันมาฟังว่าเจนตอบกลับไปอย่างไร



"เพราะฉันคิดว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายพวกเรา...ทำร้ายฉัน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความต้องการของเธอเอง แต่เธอถูกบังคับต่างหาก" เจนพูดแล้วก้มหน้าลงเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง



"ครั้งก่อนที่ฉันพบกับอามีร่า เธอถูกสั่งให้มาตามล่าฉันแต่เธอก็ยังคงพร่ำพูดขอโทษ พอฉันพยายามจะช่วยเธอแต่เธอว่าฉันช่วยเธอไม่ได้ มันเกินตัวของฉัน แล้วยังพูดอะไรบางอย่างออกมาประมาณว่าให้เลิกเล่นเกมนี้ไปด้วย"



"นั่นเขาเรียกว่าข่มขู่ เจน! และนั่นเป็นเหตุผลอีกข้อที่นายไม่ควรกลับไปยุ่งกับเด็กคนนั้นอีก!" ไมโกะพูดตอบไปเสียงดัง



ดวงตาของฟีบีมีน้ำตาคลอและเธอทำหน้าเสียพร้อมกับเข้าไปกอดคิทซึเนะเมื่อเธอรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปภายในห้องจากไมโกะและเจน จิ้งจอกสาวเองก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นพี่สาวของเธอ แถมเธอไม่มีความกล้าพอที่จะไปห้ามทั้งคู่ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในห้องที่ต่างทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



"พี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น! พี่ไม พี่ไม่ได้เห็นสีหน้ากับได้ยินน้ำเสียงที่เด็กคนนั้นพูดกับฉัน ถึงสิ่งที่เธอพูดมันจะดูเหมือนกับว่าเป็นการข่มขู่ก็จริง แต่บางทีนี่จะเป็นการเตือนที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถบอกได้นี่นา!" เจนพยายามอธิบาย แต่เธอเองก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันเหมือนกับมาเฟียกำลังขู่มากกว่าจะเป็นการขอความช่วยเหลือ และมันคงไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกที่อยากจะช่วยอามีร่าอย่างแน่นอน แต่สีหน้าและน้ำเสียงที่สื่อสารออกมาทำให้เจนรู้ทันทีว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้เป็นผู้ร้ายอย่างที่แสดงออกมา มันเป็นการแสดงออกของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า



"สีหน้ามันแสดงกันได้นะเจน ถ้าหากเด็กคนนั้นแกล้งทำให้เธอตายใจเพื่อที่จะล่อเธอเข้าไปหาล่ะ ถ้าหากเด็กคนนั้นต้องการความช่วยเหลอก็แค่ออกไปจากเกมเท่านั้นมันก็จบแล้ว!" ไมโกะยังคงแย้งคำ ใบหน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงอารมณ์ของเธอที่เดือดระอุจนเสือซ่อนลายต้องเข้ามาขัดก่อนที่จะรุนแรงไปมากกว่านี้



"เอาล่ะ ใจเย็น ๆ ก่อนทั้งคู่เลย ฉันเองคิดว่าเด็กคนนั้นอาจจะไม่ได้เล่นละครล่อเจนให้ออกมาให้จับอย่างที่เธอพูดก็ได้นะ ไมโกะ ลองคิดดูสิ ถ้าเธอเป็นนักฆ่าของกิลด์พิฆาตราชาก็คงไม่คิดจะขอโทษคนที่เธอกำลังจะฆ่าในครั้งแรกที่เจอกันหรอกจริงมั้ย"



"แต่นั่นก็ยังไม่อธิบายว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงมาบอกให้เจนเลิกเล่นเกมนี้" ยูสตาร์พูดขึ้น ทำให้เสือซ่อนลายรีบหันมามองค้อนใส่ราวกับเสือจ้องเหยื่อ ส่วนคนพูดนั้นก็เดินถอยหลังไปอยู่เงียบ ๆ โดยอัตโนมัติ



"ต่อให้ถึงอยากจะไปช่วยจริง ๆ แต่พวกเราก็ไม่มีทางที่จะตามหาเด็กคนนั้นได้หรอก" ไมโกะกอดอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลง แต่เจนก็ยังจับได้ถึงความไม่พอใจของหญิงสาวคนนี้อยู่ดี



แม้ในใจเจนอยากจะพูดแย้งไมโกะ แต่เธอเองก็ยังคงไม่รู้ว่าตอนนี้อามีร่าไปอยู่ที่ไหน ถ้าให้พูดตามตรงแล้วเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้เลย แต่สัญชาตญาณของเจนบอกกับเธอว่าอามีร่าไม่ได้กำลังหลอกหรือแสร้งทำอย่างแน่นอน



"เอ่อ....อันที่จริง" เสียงของหนูส่งข่าวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง ทำให้ทุก ๆ คนต่างหันไปมองชายหนุ่มเป็นสายตาเดียวจนทำเอาหนูส่งข่าวรู้สึกอึดอัดขึ้นมาไม่ได้



"นายรู้อะไรมางั้นหรือ" เสือซ่อนลายเอ่ยถาม



ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นและพยายามจะเก๊กท่าให้ดูว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในชั่วโมงนี้ เขาหันกลับไปมองเจนแล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ



"ฉันกำลังจะบอกว่า....ฉันรู้ว่าตอนนี้อามีร่าอยู่ที่ไหน นั่นคือสาเหตุที่โจส่งฉันมาที่นี่"







ในพุ่มไม้ใกล้กับหมู่บ้านเดียวกับที่พวกแจ็คกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ กลุ่มของเสือซ่อนลายที่ประกอบไปด้วยซินจู หนูส่งข่าว คิทซึเนะและฟีบี กำลังซุ่มดูยามเดินลาดตระเวนรอบหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลนัก ในจุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างได้เปรียบทางภูมิศาสตร์มากทีเดียว เพราะนอกจากยามในหมู่บ้านไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้แล้ว เสือซ่อนลายยังสามารถซุ่มโจมตีจากจุดนี้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย



ในตอนนี้เสือซ่อนลายอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ ดาบอสูรคลั่งยังคงอยู่ในฝักหนังที่ถูกทำขึ้นมาเป็นอย่างดี ส่วนโล่ก็ถูกเก็บสะพายหลังเอาไว้ สิ่งเดียวที่เสือซ่อนลายต้องระวังก็คือพยายามไม่ขยับตัวให้เสียงเหล็กกระทบกันดังจนทำให้พวกยามได้ยินเข้า



"เอาล่ะ ตอนนี้ทีมปะทะเข้าประจำที่ ทีมอื่น ๆ ถึงไหนกันแล้ว" เสือซ่อนลายพูดผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม



"นี่ทีมซุ่มยิง พวกเราประจำที่แล้ว อ้อ! ตาลุงที่อยู่ข้าง ๆ มีอะไรอยากจะบอกนายด้วยล่ะ..- เฮ้ย! อะไรเล่า..." เสียงของแจ็คเป็นคนตอบ แต่ดูเหมือนว่าเขาถูกรบกวนจนพูดได้ไม่จบประโยค



"นี่เจนพูด ฉันกับพี่ไมใกล้เข้าประจำที่แล้ว ขอเวลาอีกแปบหนึง" เจนตอบกลับมา น้ำเสียงของเธอดูหอบเล็กน้อยเหมือนกับว่ากำลังวิ่งอยู่



"โอเค พวกเราจะรอจนกว่าทีมบุกเข้าประจำที่แล้วค่อยเริ่มแผน ได้ยินหรือเปล่า" เสือซ่อนลายพูดขึ้นอีกครั้ง



หลังจากได้รับเสียงตอบจากทั้งสองทีมแล้ว เสือซ่อนลายก็หันมาเช็คดูลูกทีมของตัวเองว่าพร้อมหรือไม่ เขามองเห็นซินจูที่มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักแต่เธอก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด โดยเฉพาะเวลาที่พวกเขาเข้าไปตะลุยในสถานที่มอนสเตอร์ชุม ส่วนสาวน้อยอีกสองคนนั้นแม้จะมีสีหน้าดีกว่าอีกทั้งยังดูพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ แต่เขารู้สึกถึงความไม่พอใจที่ส่งมายังตัวเขาโดยตรง และเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะคิทซึเนะที่เขม่นตามองตั้งแต่ที่แยกทางกับเจนแล้ว



"เลิกมองฉันแบบนั้นทีเถอะคิทซึเนะ ฉันบอกแล้วว่าถ้าทีมบุกมีคนเยอะก็ยิ่งมีโอกาสที่จะถูกพบมากขึ้น" เสือซ่อนลายค่อย ๆ พูด โดยระวังจะไม่ไปสะกิดต่อมระเบิดอารมณ์ของแม่จิ้งจอกสาวเข้า



"แล้วทำไมพี่ไมโกะถึงได้ไปกับพี่เจนได้ล่ะ" คิทซึเนะพูดน้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจนสั่งให้เธอฟังที่เสือซ่อนลายพูดล่ะก็ ต่อให้แผนล่ม เธอก็จะไม่มีวันออกห่างตัวของเจนเด็ดขาด



"ก็ไมโกะเขาเป็นนักฆ่า มีทักษะที่ช่วยให้แทรกซึมเข้าไปในหมู่บ้านได้ดีกว่า ส่วนเจนเองก็เป็นคนเดียวที่คุยกับอามีร่าได้ ดังนั้น.." เสือซ่อนลายไม่พูดต่อ เพียงแค่ยักไหล่ให้พอรู้ความหมาย คิทซึเนะเห็นดังนั้นก็ทำได้แค่ทำปากบู้บี้แล้วหันไปทางหมู่บ้านด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจน



"แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นแค่โจรธรรมดา ๆ เท่านั้นเองนะ ฉันไม่ได้มีพลังโจมตีหรืออึดถึงพอที่จะไปสู้กับคนอื่นได้นะ" หนูส่งข่าวพูดขึ้น ความจริงเขาควรจะต้องอยู่ทีมบุกที่จะลอบเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างที่ทีมปะทะของเสือซ่อนลายล่อให้กิลด์พิฆาตราชาออกมาจากหมู่บ้านโดยมีแจ็คและยูสตาร์คอยสนับสนุน



"อย่างที่บอก ทีมบุกมีแค่สองคนก็มากพออยู่แล้ว จะให้ไปอยู่ทีมซุ่มยิง นายก็คงไม่มีปืนหรืออะไรแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นอยู่กับฉันนี่ล่ะที่นายจะมีประโยชน์มากที่สุด" เสือซ่อนลายตบไหล่ของชายหนุ่มเบา ๆ เป็นการปลอบใจ



"ก็ข่าวสารที่อยู่ของอามีร่านั่นไงที่ฉันหามาให้ ฉันควรจะนั่งรออยู่ที่โรงแรมแล้วคอยหาข่าวให้พวกนาย ไม่ใช่มายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ซักหน่อย!" ชายหนุ่มโวยวายเพราะรู้สึกตัวเองทำงานเกินค่าแรง ทว่าเสือซ่อนลายกลับทำเป็นเมินหนูส่งข่าวแล้วพูดกับเขาเบา ๆ



"เชื่อสิ อยู่ตรงนี้นายได้ทำประโยชน์มากกว่านั่งอยู่เฉย ๆ แน่"



ซินจูขยับเข้ามาหาเสือซ่อนแล้วใกล้ ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยช่องสื่อสารธรรมดาเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยินสิ่งที่เธอจะพูดออกมา "จะดีหรือคะที่ให้พี่ไมโกะไปกับพี่เจนแบบนั้น เมื่อเช้าทั้งคู่เกือบจะทะเลาะกันแล้วนะคะ"



เสือซ่อนลายหันมามองหญิงสาวแล้วยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากแล้วจึงตอบกลับไป



"ไม่เป็นไรหรอก ไมโกะน่ะแยกออกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แถมเธอก็ยอมตกลงว่าจะช่วยแล้วด้วย ไม่น่าจะมีปัญหา"



จอมเวทสาวได้ยินที่ชายหนุ่มพูดก็ได้แต่หวังว่าที่เขาพูดจะเป็นความจริง ซินจูหันไปมองที่หมู่บ้านด้วยความวิตกกังวล เธอไม่เพียงแค่กังวลกับพี่ ๆ ที่อยู่อีกฟากของหมู่บ้านเท่านั้น เธอยังกังวลเผื่อตัวเองอีกด้วย เพราะในอีกเวลาไม่นานพวกเธอจะต้องรับหน้าที่ล่อกิลด์พิฆาตราชานับร้อยออกมาสู้กันโดยมีเพียงพวกเธอและพวกแจ็ครวมกันเพียงแค่หกคนเท่านั้น





เจนพยายามวิ่งตามไมโกะด้วยความเร็วเต็มที่ แต่ระยะห่างของเธอกับสายนักฆ่านั้นเริ่มจะห่างขึ้นมาเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าไมโกะนั้นวิ่งเร็วกว่าเจนมาก บางทีอาจะจะเร็วกว่าที่เจนเห็นด้วยซ้ำไป ถ้าหากไมโกะเป็นคนที่ต้องแอบเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียวล่ะก็ อาจจะทำได้โดยไม่ต้องให้พวกเสือซ่อนลายล่อพวกยามเลยด้วยซ้ำ



เพียงแค่เวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เจนพยายามที่จะตามไมโกะให้ทัน ทำให้เจนเห็นแล้วว่าการต่อสู้เก็บเลเวลแบบปกตินั้นต่างจากการลัดเลเวลแบบเจนขนาดไหน เพียงแค่ความเร็วและความอึดในการวิ่งนั้นหญิงสาวตรงหน้าเหนือกว่าเจนอยู่มาก ทั้ง ๆ ทีมีระดับยศและเลเวลน้อยกว่าแท้ ๆ ทำให้ตอนนี้เจนตระหนักได้ว่าเธอพลาดอะไรไปบ้าง



หลังจากที่พวกเขาพากันมาสำรวจพื้นที่บริเวณหมู่บ้างแห่งนี้แล้วก็พบว่าโดยรอบหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ในจุดที่ได้เปรียบต่อการบุกเข้าโจมตีมากพอควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่โดยรอบที่เป็นผืนหญ้าโล่งกว้าง มีต้นไม้อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จุดที่จะใช้ซุ่มโจมตีได้อยู่ต่ำกว่าระดับของหมู่บ้านพอสมควร แถมถ้าหากจะซุ่มโจมตีจากจุดนั้นนอกจากจะต้องหลบสายตาจากคนที่เดินสังเกตการณ์บนกำแพงหมู่บ้านแล้ว พวกที่จะบุกก็ยังถูกดูดแรงไปจากการไต่เนินดินที่เป็นเส้นทางเดียวจากจุดนั้นไปยังหมู่บ้าน



จุดที่ใช้ซุ่มได้ดีที่สุดก็คือเนินดินที่มีความสูงกว่าหมู่บ้านเพียงเล็กน้อย แถมยังมีต้นไม้และพุ่มไม้เล็ก ๆ ใช้ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี เสียอย่างเดียวก็คือระยะห่างจากจุดนี้ไปยังหมู่บ้านมีมากเกินไป แต่มันกลับเป็นจุดที่เพอร์เฟ็คที่จะให้แจ็คและยูสตาร์ยิงสนับสนุนจากระยะไกลที่พวกเขาถนัด



จากข้อมูลของหนูส่งข่าว เขารู้มาว่าอามีร่าถูกส่งมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยเหตุผลอะไรนั้นไม่รู้ แต่มันเกี่ยวข้องกับการประกาศสงครามของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่แน่ ๆ และตัวหนูส่งข่าวเองก็ไม่มีข้อมูลอย่างชัดเจนว่าอามีร่าจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้อีกนานแค่ไหนหรือจุดไหนของหมู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้รีบลงมีในขณะที่ข้อมูลยังใหม่ ๆ ดีกว่า



เจนรู้สึกทึ่งกับความสามารถในการหาข่าวของตัวเพื่อนคนใหม่นี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทราบว่าอามีร่าอยู่ที่ไหนแล้ว หนูส่งข่าวยังมีข้อมูลของหมู่บ้านที่อามีร่าถูกส่งตัวไปอีกด้วย แม้จะไม่ได้ถึงขั้นมีแบบแปลงแผนที่ของหมู่บ้านนั้น แต่จากข้อมูลของหนูส่งข่าวก็พอจะบอกได้ว่าในหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายของพวกเจนนั้น มีคนของกิลด์พิฆาตราชาอยู่เป็นร้อยคนเลยทีเดียว



ในตอนที่เสือซ่อนลายเป็นคนอาสาจะวางแผนบุกจากข้อมูลของหนูส่งข่าวนั้น เขาได้แบ่งพวกเธอออกเป็นสามทีม ทีมแรกคือทีมบุก ได้แก่เจนที่มีหน้าที่เข้าไปคุยกับอามีร่าและพาตัวเธอออกมา โดยมีไมโกะเป็นคนพาเข้าไปเพราะในฐานะที่เป็นนักฆ่าทำให้เธอจึงมีทักษะพรางตัวที่ดีที่สุด และฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดก็ถือว่ายอดที่สุดในหมู่พวกเขา



ทีมที่สองคือทีมปะทะซึ่งต้องมีหน้าที่หลอกล่อความสนใจจากกิลด์พิฆาตราชามายังพวกเขา เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสให้ทีมบุกให้มากที่สุด ทีมนี้ประกอบด้วยเสือซ่อนลายเป็นคนนำทีม ซินจูคอยสนับสนุนและรักษาบาดแผล สองสาวคิทซึเนะกับฟีบีคอยป้องกันและสร้างความวุ่นวาย และก็หนูส่งข่าวที่ไม่มีที่อื่นให้ไป



ส่วนสุดท้ายก็คือทีมซุ่มยิงที่มีหน้าที่ตามชื่อ คอยโจมตีสนับสนุนจากเนินดินที่อยู่ไกลออกไป แจ็คและยูสตาร์ที่สามารถโจมตีได้ไกลจึงเป็นผู้รับหน้าที่นี้ไปโดยบริยาย



แน่นอนว่าตอนที่เจนรู้ว่าเธอต้องเข้าไปในหมู่บ้านกับไมโกะทำให้เธอรู้สึกกังวลไม่น้อย ตอนเช้าเธอและไมโกะมีปากเสียงกัน พอตกเย็นกลับได้มาแทรกซึมเข้าไปในหมู่บ้านของศัตรูด้วยกันอีก และเจนยังคงแปลกใจว่าไมโกะยังรับคำของเสือซ่อนลายว่าจะช่วยในงานนี้ ตอนแรกเจนคิดว่าไมโกะจะไม่ช่วยซะอีก



โชคดีที่คือนี้มีเมฆมาก ช่วยบดบังแสงจากดวงจันทร์ ความมืดช่วยบดบังไม่ให้ยามบนกำแพงหมู่บ้านมองเห็นเจนและไมโกะที่กำลังวิ่งผ่านทุ่งหญ้ามาทางตะวันตกของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดที่มียามน้อยที่สุดตามที่ได้สังเกตมาทั้งวัน



ไมโกะค่อย ๆ ลดความเร็วลงเมื่อเข้าไปถึงกำแพงหมู่บ้าน เธอหมอบอยู่กับที่ รอเจนที่กำลังวิ่งตามมาอย่างเหนื่อยหอบ



"นี่ไมโกะ พวกเราเข้าประจำที่แล้ว" เธอพูดผ่านช่องสื่อสารกลุ่ม



"รับทราบ รอจนกว่าจะได้สัญญาณแล้วค่อยเข้าไปนะ" เสียงของเสือซ่อนลายตอบกลับมา



ไมโกะตรวจดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์ของเธอ ส่วนเจนนั้นได้แต่เพียงนั่นดูเท่านั้นเพราะส่วนของแผนการนี้ เจนมีหน้าที่เพียงตามไมโกะไปเท่านั้น



"เอ่อ...พี่ไม ฉันขอโทษนะที่ทำอะไรเอาแต่ใจไปหน่อย" เจาพูดเสียงค่อย "ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันอาจจะไม่ค่อยชอบใจพี่นัก แต่ว่าฉันต้องช่วยอามีร่าออกมาให้ได้จริง ๆ"



หญิงสาวที่ถูกเอ่ยถึงยังคงตีสีหน้านิ่งจ้องหน้าของเจนอยู่ครู่หนึ่ง เธอหยิบตะขอออกมาจากเข็มขัดพร้อมกับนำเชือกออกมาจำนวนหนึ่ง



"ฉันไม่ได้ชอบในสิ่งที่นายจะทำหรอกนะเจน และไม่ได้เห็นด้วยที่จะช่วยเด็กคนนี้ด้วย แต่ถ้านายยังยืนยันว่าจะทำต่อไป ฉันก็ไม่คิดจะถอยหนีหรือจะขัดขวาง ฉันยังคงเป็นเพื่อนของนาย และฉันยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ"



"พี่ไม.."



"นายเป็นคนดี เจน ฉันเข้าใจว่านายต้องการจะช่วยคนอื่นถึงแม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำได้แน่..." ไมโกะยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเจนแล้วจึงพูดต่อ



"ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ขึ้นเสียงกับนายตอนที่อยู่ในเรียวกัง ตอนนั้นมันแค่...ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องในอดีตที่ชวนให้โมโหขึ้นมาเท่านั้นเอง" ไมโกะเม้มริบฝีปากแน่นราวกับว่าพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่ปะทุจากภายไม่ให้ออกมา ก่อนที่เธอจะตีสีหน้ากลับเป็นสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นเดิม



ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงเวลาไม่นาน แต่เจนสามารถสังเกตเห็นถึงสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดของไมโกะได้ เรื่องในอดีตที่เธอพูดถึงคงจะต้องเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากจะนึกถึงอีกเช่นเดียวกับเรื่องพ่อสำหรับเจน แต่เพราะเจนต้องการจะช่วยเหลืออามีร่าจึงทำให้ไมโกะต้องกลับมานึกถึงเรื่องแบบนี้อีกทำให้เจนรู้สึกผิด แต่เธอก็ยังคงอยากจะช่วยอามีร่าอยู่ดี



"ฉันขอโทษนะพี่ไม ฉันไม่รู้ว่า..-"



"ช่างมันเถอะเจน ตอนนี้พวกเรามาสนใจกับเรื่องตรงหน้ากันก่อนดีกว่า"



"ถ้าอย่างนั้น...เราสองคนก็ดีกันอยู่ใช่มั้ย" เจนถามเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ไมโกะ และรอยยิ้มที่หญิงสาวส่งกลับมาก็ทำให้เธอโล่งใจขึ้นมากจากที่ต้องอึดอัดมาตั้งแต่เช้า



"ใช่ ยังดีอยู่"



ตูม!! ตูม!! ตูม!!



เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากอีกฟากของกำแพงหินที่สั่นสะเทือนจากแรงกระแทก และนั่นคือสัญญาณการเริ่มแผนการของเสือซ่อนลาย



ไมโกะหันไปหาเจนซึ่งพยักหน้าเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม นักฆ่าสาวลุกขึ้นแล้วจึงเขวี้ยงตะขอขึ้นไปบนกำแพงหิน หลังจากแน่ใจว่าตะขอเกี่ยวกับกำแพงได้แล้วไมโกะจึงหันไปพยักหน้าให้กับเจนแล้วจึงเริ่มไต่กำแพงขึ้นไปสู่หมู่บ้านที่กำลังลุกเป็นไฟ







ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที



หลังจากเสือซ่อนลายได้รับทราบว่าพวกเจนพร้อมที่จะเริ่มปฏิบัติการณ์แล้วเขาจึงหันมาหาหนูส่งข่าวที่นั่งเท้าคางเหมือนกับว่าไม่พอใจที่ถูกลากออกมาที่นี่แทนที่จะนอนหลับสยาย ๆ อยู่ที่เรียวกัง...อันที่จริงเขาไม่พอใจพอตัวทีเดียวล่ะ



"ไอ้หนู นายจำได้มั้ยที่ฉันบอกว่านายจะได้ทำอะไรมากกว่านั่งอยู่เฉย ๆ แน่"



"จำได้สิ ความจำนี่ล่ะตัวตนของฉันเชียวนะ" หนูส่งข่าวตอบอย่างไม่สบอารมณ์



"เอาล่ะ หน้าที่ของนายต่อไปนี้ คือดึงความสนใจจากยามพวกนั้นมาที่นายให้มากที่สุด"



"เฮ้ย! จะบ้าหรือไง แค่ฉันเดินออกไปให้พวกนั้นเห็น หัวฉันก็เป็นรูเบ่อเริ่มแล้ว!" หนูส่งข่าวพูดเสียงดังพร้อมกับชี้ไปที่ยามคนหนึ่งที่สะพายปืนไรเฟิ่ลกระบอกโตอยู่ด้านหลัง



"ฉันบอกให้นายดึงความสนใจจากยามพวกนั้นมาที่นาย แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องให้พวกนั้นเห็นนายซักหน่อย และฉันคิดว่านายคงมีอะไรที่ช่วยในเรื่องนั้นแน่ ๆ ใช่มั้ยล่ะ" เสือซ่อนลายยิ้มอย่างแยบยล



แทนที่ชายหนุ่มหัวขโมยจะโวยวายอย่างที่ควรจะทำเมื่อเสือซ่อนลายพูดกับเขาไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แค่ครั้งนี้หนูซ่อนลายกลับแสยะยิ้มที่ทำให้สามสาวรู้สึกว่าพ่อหนุ่มคนนี้ไม่น่าจะคบหาด้วยเป็นที่สุด







"ไอ้พวกกิลด์พิฆาตราชาชั่วช้า โผล่หัวออกมาเดียวนี้!!" เสียงตะโกนดังลั่นอยู่ที่ประตูทางเขาหมู่บ้าน เรียกให้ยามที่เป็นคนของกิลด์พิฆาตราชารีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น



"เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ" ยามคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านที่เป็นกรงเหล็กหนา แต่เมื่อเขามองออกไปด้านนอกกลับพบแต่เพียงความมืดเท่านั้น



"ไม่รู้ว่ะ เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินเสียงใครมาตะโกนอยู่ข้างนอก แต่ก็อย่างที่เห็น ไม่มีใครอยู่เลย" ยามที่มาถึงก่อนตอบ



"อย่าเพิ่งประมาท บางทีอาจจะเป็นคนของพวกกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ก็ได้.. เฮ้ย!! ข้างบนกำแพงน่ะ เห็นใครข้างนอกบ้างมั้ย!" ยามคนแรกตะโกนถามคนที่เดินยามอยู่บนกำแพงหมู่บ้าน แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นเดิม



"สงสัยจะหูแว่ว ได้ยินเสียงลมเป็นเสียงตะโกนไปล่ะมั้ง" ยามคนเดิมพูด



"อาจเป็นได้ว่ะ ตอนนี้พวกเราอยู่ในถิ่นศัตรูซะด้วย แต่แผนของไวรัสนี่เสี่ยงไปหน่อยแต่ได้ผลกว่าที่คาดจริง ๆ พวกเรามาสร้างหมู่บ้านอยู่ใต้จมูกของพวกมัน ถึงเวลาบุกเมืองเมื่อไหร่ พวกพยัคฆ์ราชาคู่ไม่มีวันตั้งตัวทันแน่" ยามคนที่สองพูดสนับสนุน



แต่ตอนที่พวกเขากำลังวางใจอยู่นั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ยามทั้งสองแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดไปเองแน่



"พวกลูกหมากิลด์พิฆาตราชา รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!"



ยามคนแรกรีบตะโกนบอกให้ยามบนกำแพงมองหาว่าเสียงมาจากที่ไหน แต่คำตอบยังคงเหมือนเดิมคือนอกกำแพงไปนั้นไม่มีวี่แววของใครอยู่เลย



"บ้าฉิบ! คืนนี้มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย เมฆดันมาบังแสงพระจันทร์แถมไอ้พวกนี้ดันมาบุกถูกคืนอีก" ยามคนที่สองพูดขณะพยายามมองไปด้านนอกหาตัวผู้ที่จะโกน



"ไปตามพวกที่อยู่ในหมู่บ้านมาให้หมด! พวกเราจะออกไปตามล่ามันข้างนอก ให้มันรู้ว่าคืนนี้มันมาแหย่คนผิดแล้ว!" ยามคนแรกตะโกน



ในเงามืดที่ริมกำแพง มีเงาดำเล็ก ๆ กำลังนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เงามืดนั้นก็พลันปรากฏร่างผอมบางออกมา หนูส่งข่าวนั่นเอง!



'ขออย่าให้พวกมันโผล่มาตอนนี้เลย อย่าเพิ่งโผล่มาตอนนี้!" ชายหนุ่มหัวขโมยอธิษฐานในใจ พลางนับถอยหลังดีเลย์ทักษะของอาชีพโจรล้วงกระเป๋าที่เข้าเพิ่งใช้ไป



ซ่อนในเงา ระดับ D ไม่ใช้พลังเวท ระยะเวลาดีเลย์ 10 วินาที

สามารถซ่อนตัวได้อย่างสมบรูณ์แบบในเงามืดในช่วงเวลาหนึ่ง ในระหว่างที่ใช้ทักษะ ผู้ใช้จะขยับไปไหนไม่ได้



หนูส่งข่าวใช้ทักษะนี้ซ่อนตัวระหว่างที่เขาตะโกนเรียกความสนใจจากพวกกิลด์พิฆาตราชา แต่เขาไม่นึกว่าคนพวกนี้จะหลงกลได้ง่ายขนาดนี้ สิ่งที่เขากังวลตอนนี้คือถ้าหากพวกกิลด์พิฆาตราชาออกมาตามหาเขาจริง ๆ ล่ะก็ ในเวลาไม่นานเขาจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน หวังว่าตอนนั้นพวกเสือซ่อนลายจะมีแผนการรองรับเอาไว้แล้ว



เพียงในเวลาไม่นาน ทหารของกิลด์พิฆาตราชานับร้อยก็มาอออยู่ที่หน้าประตูหมู่บ้านพร้อมกับคบเพลิงในมือ แต่ตอนนั้นเองที่เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาอักครั้ง



"ไอ้พวกเลวที่คอยรังแกคนที่ไม่มีทางสู้อย่างพวกแก วันนี้แหละที่ผู้กล้าในชุดขาวจะจัดการสั่งสอนให้พวกแกรู้จักถึงความถูกต้อง!!"



เมื่อชื่อผู้กล้าชุดขาวดังขึ้นกลับสร้างความแตกตื่นให้กับพวกกิลด์พิฆาตราชากว่าเสียงตะโกนของหนูส่งข่าวเสียอีก ดูท่าทางตอนนี้ชื่อพวกกิลด์พิฆาตราชาจะเริ่มผวากับวีรกรรมของเจนมากกว่าที่เขาคิดซะอีก



จากข่าวที่หนูส่งข่าวรวบรวมมาได้และคำยืนยันจากแจ็คแลพวกเสือซ่อนลายทำให้เขารู้ว่าเจนคือผู้เล่นที่กล้าต่อกรกับกิลด์พิฆาตราชาคนนั้น ทำให้หนูส่งข่าวจึงรีบคิดที่จะใช้ข่าวนี้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นตลอดวันในระหว่างที่พวกเสือซ่อนลายวางแผนกันอยู่ เขาก็ทำการสร้างกระแสของ 'ผู้กล้าในชุดขาว' ขึ้นมา



อาวุธที่ทรงพลังที่สุดสำหรับคนอย่างหนูส่งข่าวไม่ใช่ดาบ ปืน หรือเวทมนตร์ แต่มันคือข้อมูลที่สามารถใช้โจมตีศัตรูได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องจับอาวุธจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังสามารถทำให้ศัตรูหันหน้าเข้าห้ำหั่นกันเองหรือสิ่งที่หนูส่งข่าวกำลังทำอยู่ การสร้างภาพอริให้ยิ่งใหญ่เกินจริง



ข่าวเรื่องของผู้เล่นปริศนาที่ต่อต้านกิลด์พิฆาตราชานั้นถือว่าเป็นข่าวที่มีคนให้ความสนใจอยู่เป็นจำนวนมาก เบาะแสอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเจนนั้นถูกเอามาตีความบนกระดานข้อความที่ถูกตั้งแยกจากกระดานข่าวอื่น ๆ ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่พอจะบอกว่าผู้เล่นคนนี้เป็นใครก็มีแค่เสื้อคลุมสีขาวและดาบคาตานะยาวที่ถูกแต่งเติมจนเกินจริง



สิ่งที่หนูส่งข่าวทำคืออ้างตัวเป็นพรรคพวกของผู้เล่นคนนี้...ซึ่งก็เป็นความจริง เขาจัดการประกาศสิ่งต่าง ๆ ที่เจนได้ทำในเมืองรีเด็มชั่น เมืองคริสตัลเบลรวมถึงบนเรือเหาะให้ทุกคนได้รู้อีกทั้งยังทิ้งชื่อ 'ผู้กล้าในชุดขาว' ให้ดูเหมือนว่าเจนกลายเป็นฮีโร่ในหน้ากากที่ทุกคนต่างชอบในเรื่องแบบนี้ เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนก็ได้ชื่อใหม่ที่ใช้เรียกเจนและดูท่าทางพวกกิลด์พิฆาตราชาเหล่านี้ก็คงรู้แล้วเช่นกัน



"ได้ยินหรือเปล่า เมื่อกี้มันบอกว่าไอ้คนที่จัดการพวกที่อยู่ในเมืองรีเด็มชั่นจะมาที่นี่"



"ให้มันมาเลย! ไอ้พวกที่อยู่ในเมืองนั้นมันกระจอกจะตาย ฉันนี่แหละจะจัดการไอ้อวดดีนั่นเอง!"



"ถ้าหมอนั่นมันกระจอกอย่างแกพูดก็คงดี แต่ที่ได้ยินมา หมอนั่นจัดการพวกยศขุนนางเป็นสิบด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียว ฉันว่าไอ้หมอนี่ต้องอยู่ระดับราชาเป็นอย่างน้อยแล้วแน่ ๆ"



เสียงคุยของผู้เล่นกิลด์พิฆาตราชาดังระงม น้ำเสียงแต่ละคนฟังดูวิตกกังวลมากอย่างที่หนูส่งข่าวต้องการให้เป็น และตอนนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดที่บอกให้เขารู้ว่างานของเขาได้ลุล่วงไปเรียบร้อยแล้ว







ด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ชายในชุดเกราะสีเงินปรากฏตัวพร้อมกับสาวงามอีกสองคนด้านหลัง คนหนึ่งเป็นจอมเวทย์หน้าตาน่ารัก ผมสีชมพูในผ้าคลุมสีขาว อีกคนเป็นหญิงสาวร่างสูงในชุดยูกาตะขาวขลิบแดงดูเซ็กซี่ หน้าตาของเธอเองก็งดงามราวกับรูปวาดจนพวกกิลด์พิฆาตราชาที่อยู่บนกำแพงหมู่บ้านถึงกับเพ้อไปเลยทีเดียว



แต่เบื้องหลังความงามนั้นมีลูกไฟสีฟ้านับร้อยลูกกำลังลอยอยู่ เพียงแค่มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าลูกไฟพวกนี้อันตรายแค่ไหน ชายในชุดเกราะคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะเป็นแม่ทัพของกิลด์พิฆาตราชาที่อยู่ในหมู่บ้านเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบออกคำสั่งทันที



"นักเวท!! รีบโจมตีใส่พวกมันก่อนจะร่ายเวทจบเร็วเข้า!!"



เสียงปืนดังรัวพร้อมกับลูกธนูนับสิบและเวทหลากชนิดไม่ว่าจะเป็นลูกไฟ หอกน้ำแข็ง สายฟ้า ต่างพุ่งเข้าใส่ร่างของทั้งสามอย่างไร้ความปราณี แต่ก่อนที่จะได้ทำอันตรายพวกเขา โล่พลังสีน้ำเงินพลันปรากฏขึ้นมาป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้



"โจมตีเข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพลังเวทก็หมดไปเอง!" แม่ทัพตะโกนสั่งอีกครั้ง จากประสบการณ์ของเขาทำให้รู้ว่าโล่พลังแบบนี้จะใช้พลังเวทเพื่อคงสภาพและจะยิ่งเสียพลังเวทมากขึ้นเมื่อโดนโจมตี และการโจมตีแบบห่าฝนแบบนี้ยิ่งทำให้พลังเวทย์ของผู้ที่ใช้โล่พลังนั้นลดเป็นน้ำไหลเลยทีเดียว







เสือซ่อนลายมองดูลูกกระสุนและลูกธนูพร้อมกับเวทมนตร์นับร้อยเข้าปะทะกับโล่พลังสีน้ำเงินของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา ตอนแรกตัวเสือซ่อนลายเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าพวกเขาจะดึงความสนใจให้พวกเจนลอบเข้าไปในหมู่บ้านได้นานพอหรือไม่ แต่หลังจากเห็นสีหน้าของฟีบีที่ยังสบาย ๆ อยู่ก็เปลี่ยนความคิดของเขาไปทันที



"เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ฟีบี ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ฉันจะได้ช่วยเสริมพลังให้" ซินจูพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อมองเห็นการโจมตีที่อยู่ด้านนอกโล่พลัง ถ้าหากไม่มีฟีบีอยู่ด้วย เธอมั่นใจว่าตอนนี้เธอคงได้ไปรอเกิดแล้วแน่ ๆ



"ไม่เป็นไรค่ะพี่ซินจู แค่นี้หนูรับได้สบายมาก ลูกไฟของพี่คิทซึเนะแรงกว่าพวกนี้ตั้งเยอะ" มังกรน้อยตอบและหันไปมองพี่สาวของเธอที่ยังคงควบคุมลูกไฟให้ลอยอยู่เหนือหัวของพวกเธอตามคำที่เสือซ่อนลายบอก



"จะให้โจมตีสวนกลับเลยมั้ยคะ" คิทซึเนะถามพร้อมกับเขม่นตามองพวกกิลด์พิฆาตราชาตรงหน้าที่นอกจากขี้ขลาดหดหัวอยู่ในกำแพง แล้วยังยังใช้พวกมารุมอีก ถ้าหากเป็นเธอล่ะก็ หมู่บ้านตรงหน้าเธอนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิงก่อนที่พวกกิลด์พิฆาตราชาจะรู้สึกตัวซะอีก



"ยังก่อน พวกเราต้องถ่วงเวลาให้พวกเจนอีกหน่อย ถ้าหากโจมตีกลับไปตอนนี้พวกนั้นคงคิดว่าตัวเองสู้ไม่ได้แล้วพากันหนีไปแน่ ๆ" เสือซ่อนลายเอ่ย



"และนั่นก็รวมไปถึงอามีร่าด้วยใช่มั้ยคะ" ซินจูถาม



ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับเธอเป็นคำตอบแล้วหันกลับไปมองพวกกิลด์พิฆาตราชาที่ยังคงระดมโจมตีเข้ามาไม่หยุด







แม่ทัพหนุ่มจ้องมองโล่พลังสีน้ำเงินที่ยังคงทำหน้าที่ปกป้องคนสามคนที่อยู่ด้านในได้อย่างดี เขามั่นใจมากว่าไม่มีโล่พลังใดที่จะสามารถต้านทานการโจมตีได้นานขนาดนี้ ไม่แม้แต่จอมเวทย์ระดับยศขุนนางที่มีเลเวลเต็มร้อย



'นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ!? โดนโจมตีใส่โล่พลังนั่นตั้งนานแล้วทำไมถึงยังไม่สลายไปอีก!' แม่ทัพหนุ่มพูดในใจขณะที่ในหัวนั้นพยายามคิดหาสาเหตุว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น



ถ้าหากเป็นโล่พลังมันควรจะต้องสลายไปแล้ว ไม่มีนักเวทคนไหนที่สามารถต้านทานการโจมตีของคนนับร้อยได้ตัวคนเดียวได้...นอกซะจากว่าโล่พลังนั้นจะเป็นทักษะที่ไม่ได้กินพลังเวทเพื่อคงสภาพ และนั่นก็ไม่มีนักเวทคนใดที่มีทักษะแบบนั้นอย่างแน่นอน แม่ทัพหนุ่มจึงตีความได้ทันที



โล่พลังนี่ไม่ใช่ทักษะของนักเวทย์!!



เมื่อคิดได้แล้วแม่ทัพหนุ่มจึงหาเป้าหมายใหม่ขึ้นมา ในเมื่อจากทั้งสามคนในโล่พลังนั้นมีสองคนเป็นนักเวท ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้อยู่หนึ่ง นั่นก็คืออัศวินในเกราะเงินคนนั้นนั่นเอง



"หยุดการโจมตี! พวกแกรีบออกไปแล้วจัดการไอ้คนที่ใส่ชุดเกราะนั่นซะ มันเป็นคนที่ใช้ทักษะโล่พลังนี้แน่ ๆ!" แม่ทัพหนุ่มตะโกนสั่ง



การโจมตีค่อย ๆ หยุดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งในชุดคลุมสีดำก็เดินออกมาจากหมู่บ้านและตรงมาหาพวกเสือซ่อนลายด้วยท่าทางแสดงถึงการคุกคามอย่างเห็นได้ชัด



แทนที่จะตกใจ เสือซ่อนลายกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เขาหยิบโล่พร้อมกับชักดาบออกมาเตรียมจะเดินเข้าไปหาพวกกิลด์พิฆาตราชา



"นั่นจะทำอะไรน่ะพี่เสือ! พวกนั้นมีเลเวลอย่างน้อยก็ตั้งเก้าสิบเชียวนะ! แล้วพวกนั้นก็มากันเป็นสิบคนเลย พี่สู้ไม่ไหวหรอก ให้คิทซึเนะจัดการดีกว่า"



แทนที่จะหยุดอยู่กับที่ตามที่ซินจูเตือน แต่เขากลับหันมายิ้มให้กับเธอพร้อมกับทิ้งคำพูดสั้น ๆ เอาไว้ก่อนที่จะออกไปฟาดฟันกับพวกกิลด์พิฆาตราชา



"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แบบนี้น่ะดีแล้ว ฉันจะให้พวกมันรู้ว่ามารุมอัศวินคลั่งน่ะผิดมหันต์"





เสือซ่อนลายพุ่งตัวออกไปโดยยกโล่ขึ้นสูงและชี้ดาบไปด้านหน้าเหมือนกับกำลังเตรียมที่จะแทง พวกทหารของกิลด์พิฆาตราชาที่แม่ทัพหนุ่มส่งออกมานั้นเห็นท่าทางป้องกันของเสือซ่อนลายก็เริ่มตีกรอบล้อมรอบเอาไว้



แม้จะถูกล้อมแต่เสือซ่อนลายยังคงใจเย็นอยู่ได้ เขาหมุนตัวช้า ๆ และคอยดูว่าใครจะบุกเข้าหาเขาก่อนเป็นคนแรก รอไม่นานทหารชุดดำคนหนึ่งด้านหลังก็เข้าประชิดตัวอย่างเงียบเชียบด้วยกับแทงดาบใส่เสือซ่อนลายอย่างรวดเร็ว



ทว่าดาบของทหารคนนั้นไม่อาจได้ลิ้มรสเลือดของชายตรงหน้า เขาหันหลังมาทันควันและยกโล่ขึ้นกันอย่างท่วงที แต่ตอนที่เสือซ่อนลายกำลังจะแทงดาบสวนกลับไปนั้นเองที่เขาเห็นทหารคนนั้นกระโดดถอยหลบฉากไปซะก่อน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ทหารอีกคนด้านหลังพุ่งเข้ามาฟาดดาบใส่เขา



อัศวินหนุ่มเคลื่อนตัวหลบทันควันและยกดาบฟาดใส่ทหารกิลด์พิฆาตราชากลับไป แต่ก็เหมือนเดิมกับครั้งที่แล้ว ทหารในชุดดำหลบออกไปจากระยะดาบได้ซะก่อนที่เสือซ่อนลายจะโจมตีสวนกลับไปได้



แม้เสือซ่อนลายจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่พวกทหารในชุดดำที่แม่ทัพกิลด์พิฆาตราชาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าก็มีประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อยเช่นกัน ถ้าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเห็นทีจะไม่ดี เพราะไม่มีอะไรประกันว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาในเมืองจะไม่เปิดฉากยิงใส่พวกเขาอีก



ตอนนี้กลยุทธ์ที่เสือซ่อนลายคิดในตอนนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าเขาต้องการจะถ่วงเวลาให้พวกเจน แต่ทางออกในตอนนี้มีอยู่ทางเดียวนั่นก็คือเขาต้องจัดการคนพวกนี้ให้ได้ แม้นั่นจะทำให้พวกอยู่ในหมู่บ้านโจมตีใส่อีกครั้งก็ตาม



ทหารชุดดำพุ่งเข้ามาจากด้านหลังอีกครั้ง เสือซ่อนลายหันกลับมาเผชิญหน้าอีกเช่นเคยแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยกโล่ขึ้นป้องกัน แต่เขาเลือกที่จะโจมตีสวนกลับไปโดยไม่ป้องกัน!



ทหารชุดดำเห็นว่าชายตรงหน้าไม่คิดป้องกันแต่กลับโจมตีแทน ดาบขนาดธรรมดาทั่วไปโจมตีใส่ชุดเกราะระดับสูงแลกกับดาบขนาดใหญ่โจมตีใส่โจมตีใส่เกราะธรรมดา เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ แม้เขาคิดจะถอนดาบกลับมาก็ไม่ทันซะแล้ว



เคล้ง! ฉัวะ!



เสียงสองเสียงดังลั่น ดาบของทหารในชุดดำสะท้อนออกไปเมื่อดาบกระทบชุดเกราะของเสือซ่อนลาย ฝากรอยบุบและรอยขีดข่วนเอาไว้เท่านั้น ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้เท่าที่ควร ในตรงกันข้าม ดาบของเสือซ่อนลายเฉือนร่างของทหารคนนั้นจนเกิดแผลฉกรรจ์ทำให้เขานอนลงไปกองบนพื้นแต่ยังไม่ตาย ทหารคนนั้นรีบหยิบยาเพิ่มพลังชีวิตออกมาเพื่อที่จะรักษาตัวเอง แต่นั่นกลับเปล่าประโยชน์เพราะเสือซ่อนลายไม่ปล่อยให้เขารักษาตัวง่าย ๆ แน่ ดาบอสูรคลั่งถูกปักลงกลางหัวใจของทหารในชุดดำผู้โชคร้ายก่อนจะกลายเป็นแสงไป จากนั้นเสือซ่อนงายก็เงยหน้าขึ้นแล้วเตรียมพร้อมจะสู้อีกครั้ง



ทว่าตอนนั้นเองบนกำแพงหมู่บ้านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น นักธนู มือปืนและนักเวทย์จำนวนมากขึ้นมาบนกำแพงพร้อมกับเล็งเป้าหมายไปที่ชายในชุดเกราะอย่างเงียบ ๆ แม้การโจมตีด้วยดาบครั้งเดียวจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นปืนหรือเวทมนตร์ล่ะก็เขาคงไม่รอดแน่ และเมื่อยิ่งในตอนนี้เสือซ่อนลายกำงังถูกดึงสมาธิไปอยู่ที่พวกทหารชุดดำซึ่งยังคงเข้าโจมตีจากด้านหลัง ทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าบนกำแพงเมืองกำลังจะถล่มเขาอีกครั้ง



ปัง! ฉึก!



ร่างของนักเวทย์สองคนร่วงจากกำแพงเมือง คนหนึ่งมีรูเล็ก ๆ อยู่บนหัว ส่วนอีกคนมีลูกธนูดอกใหญ่แทงทะลุร่าง ไม่นานทั้งคู่ก็กลายเป็นแสงไป และนั่นทำให้เสือซ่อนลายหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น



"ระวังหน่อยพรรคพวก เมื่อกี้ไอ้พวกที่อยู่ในเมืองกำลังลอบกัดนายแล้ว" เสียงของแจ็คดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดและลูกธนูแล่นผ่านเหนือหัวของเสือซ่อนลาย ครั้งนี้ทหารชุดดำที่ล้อมรอบตัวเขาเป็นคนที่กลายเป็นแสงหายไป



พวกทหารชุดดำที่เห็นว่าพรรคพวกของตนถูกลอบโจมตีจึงเปลี่ยนรูปขบวนทันที แทนที่จะล้อมเสือซ่อนลายเช่นเดินกลับตั้งแนวป้องกันพร้อมกับค่อย ๆ ถอยกลับเข้าไปในหมู่บ้านเช่นเดียวกันกับที่บนกำแพงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อรู้ว่าพวกเสือซ่อนลายยังมีกำลังพลซุกซ่อนอยู่อีก



"ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะกลับไปโจมตีแบบเมื่อกี้อีกรอบแล้ว นายจะเอายังไงเสือ" ยูสตาร์ถามขึ้น



เสือซ่อนลายคิดอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าไปด้านในโล่พลังก่อน "เจน ไมโกะ ตอนนี้พวกเธอเป็นยังไงบ้าง"



"ตอนนี้เข้ามาได้แล้ว กำลังค้นหาอามีร่าอยู่" เจนตอบกลับมา



"รีบหน่อยก็ดี เวลากำลังจะหมดแล้ว" เสือซ่อนลายบอกแล้วจึงหันไปหาคิทซึเนะ "ถล่มพวกนั้นได้เลย"



"เอ๋! แต่พวกพี่เจนยังหาอามีร่าไม่เจอเลยนะคะ" ซินจูรีบพูดเมื่อได้ยินเสือซ่อนลายสั่งคิทซึเนะ



"เราทำเท่าที่เราทำได้แล้ว แถมลูกไฟพวกนั้นลอยอยู่นานเกินไปจนน่าสงสัย พวกนั้นอาจจะจับผิดได้ว่าพวกเรามาเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นคิทซึเนะลุยเลย เน้นจัดการไปที่พวกทหารนะ อย่าเพิ่งทำลายบ้านเรือน ระวังด้วยเผื่อจะมีชาวบ้านธรรมดาด้านใน"



"ไม่ต้องห่วง หมู่บ้านนี้พวกกิลด์พิฆาตราชาสร้างขึ้นเอง ไม่มีชาวเมืองอยู่แน่นอน" เสียงของหนูส่งข่าวดังขึ้นในหัว เสือซ่อนลายได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วจึงพยักหน้าให้สัญญาณกับคิทซึเนะ



จิ้งจอกสาวยิ้มกว้างแล้วหันไปมองหมู่บ้านที่ทหารในชุดดำเพิ่งกลับเข้าไปในเมือง เธอยกแขนเรียวขึ้นฟ้าในขณะที่ลูกเพลิงสีฟ้านับร้อยเริ่มลอยเข้าใกล้หมู่บ้านขึ้นเรื่อย ๆ และก่อนที่คิทซึเนะจะปล่อยให้ใครตั้งตัว ลูกเพลิงนับสิบก็พุ่งเข้าใส่หมู่บ้านราวกับฝนดาวตกร่วงลงใส่เมือง







ตูม!! ตูม!!! ตูม!!!



เสียงระเบิดดังไปทั่วหมู่บ้าน ไฟลูกไหม้ทุกหนทุกแห่ง คนของกิลด์พิฆาตราชาต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ความโกลาหนที่เกิดขึ้นกลับทำให้เจนและไมโกะทำงานของพวกเธอได้ง่ายขึ้นมากเพราะตอนนี้เธอไม่ต้องแอบซ่อนตัวอีกต่อไป เนื่องจากทุกคนต่างหาทางหนีเอาตัวรอดกันทั้งนั้น



"ฉันรู้ว่าแผนมีบอกถึงการโจมตีหมู่บ้าน แต่การเผาหมู่บ้านนี่อยู่ในแผนของเสือหรือเปล่า" ไมโกะพูดระหว่างพยายามมองหาเป้าหมายของเธอขณะที่กำลังเดินผ่านบ้านไหม้ไฟหลังหนึ่ง



"เอ่อ...ฉันว่าพี่เสือคงไม่ทันได้คิดว่าลูกไฟของคิทซึเนะคงรุนแรงขนาดนี้ ขนาดฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน" เจนตอบตามความจริง



ตอนนั้นเองทหารชุดดำคนหนึ่งสังเกตเห็นพวกเธอและกำลังทำท่าจะเรียกพรรคพวกมาช่วย เจนรีบชักดาบออกมาทันทีเพราะถ้าหากกิลด์พิฆาตราชารู้ว่าพวกเธออยู่ในเมืองล่ะก็ การตามหาอามีร่าก็จะลำบากและยุ่งยากมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่จากจุดที่เจนอยู่ตรงนี้ ต่อให้เธอใช้พลังสถิตร่างก็ยังช้าเกินกว่าที่จะหยุดทหารคนนั้นได้ทัน



ฟิ้ว!



เสียงของมีคมบินผ่านหูของเจนไปเพียงพริบตา เธอมองดูร่างของทหารคนนั้นถูกมีดเล่มเล็กปักเข้าที่หัวก่อนจะสลายไป เมื่อหันมามองด้านหลังเธอก็พบว่าผู้ที่ปามีดเล่มนั้นมาก็คือไมโกะนั่นเอง



"สุดยอดไปเลยพี่ไม สมกับเป็นนักฆ่าจริง ๆ" เจนเอ่ยชม



นักฆ่าสาวยิ้มที่มุมปากแล้วตอบก่อนจะวิ่งนำหน้าเจนไป "ขอบใจ พวกเรารีบไปกันดีกว่า ถ้าขืนชักช้ามีหวังคิทซึเนะได้ทำลายเมืองไปก่อนแน่ ๆ"



สองสาวพยายามวิ่งตามหาอามีร่าในอาคารหลังต่อหลัง แต่ไม่มีท่าทีว่าจะพบเธอเลย บวกกับเปลวเพลิงที่ลุกโหมอย่างรวดเร็วกับจำนวนทหารที่เจนพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้เจนเริ่มมั่นใจว่าพวกกิลด์ดิฆาตราชาต้องรู้แล้วว่าเธออยู่ภายในเมืองเรียบร้อยแล้ว



"เจน! พวกเราไม่มีเวลาแล้วนะ! เราต้องรู้ว่าพวกเรากำลังหาอามีร่าที่ไหนกันแน่!" ไมโกะตะโกนบอกพร้อมกับใช้มีดปาดคอของทหารคนหนึ่งที่วิ่งเข้าใส่เธอ



"แต่หนูส่งข่าวแค่รู้ว่าอามีร่าอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง ไม่มีข้อมูลบอกว่าอาคารไหนที่อามีร่าอยู่เลย! ย้าา!" เจนตะโกนตอบพร้อมกับฟาดดาบใส่ทหารที่เข้ามาลอบกัดเธอจากด้านหลัง



"ลองถามตัวเองดูสิเจน ถ้าหากเป็นนาย จะเก็บนักฆ่าฝีมือพระกาฬเอาไว้ที่ไหน!! ฮึบ!" ไมโกะว่าพร้อมกับซัดมีดใส่ทหารอีกกลุ่มนึงที่โผล่มาพอดี และมีดทุกเล่นก็พุ่งเข้าจุดตายอย่างแม่นยำ



"ฉันไม่รู้! ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ฉันคงจะให้อามีร่าออกจากช่วยจัดการกับพวกเรา..-"



"ไม่ไหวแล้วโว้ยยย! พวกแกมากับฉัน เราจะไปปล่อยยัยนักฆ่านั่นมาจัดการให้จบเรื่องซักที!!" เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านพวกเจนไปโดยไม่ทันสังเกต



ทั้งคู่มองหน้ากันพร้อมกับพยักหน้ากันอย่างรู้กันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ บางทีการตามหาอามีร่าอาจจะง่ายกวาที่คิดถ้าหามีคนช่วยนำทาง





ในสำนักงานกิลด์พิฆาตราชาของหมู่บ้านที่ยังคงยืนหยัด ไม่ได้ถูกไฟของคิทซึเนะเผาผลาญ บนชั้นสูงสุดสุดของอาคาร หญิงสาวร่างเล็กนั่งอยู่บนพื้นอย่างสงบแม้ว่าเสียงระเบิดจากภายนอกจะบอกว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น



ดวงตาของเธอมองดูลูกไฟสีฟ้าที่พุ่งเข้าทำลายหมู่บ้านอย่างน่าเกรงขาม แม้ว่าจากที่เธอเห็นตรงส่วนด้านหน้าหมู่บ้านที่มีนักเวทย์อยู่เป็นจำนวนมากทำให้จุดนั้นมีโล่พลังเวทช่วยป้องกันความเสียหายอยู่ แต่ถ้าหากลูกไฟนี้ยังคงโจมตีไม่หยุดล่ะก็ ต่อให้มีนักเวทมาเพิ่มมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร



ปัง!!



ประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับทหารกิลด์พิฆาตราชาและแม่ทัพหนุ่มเดินเข้ามาด้านในห้อง สายตาของเขาหันมามองที่อามีร่าที่นั่งอยู่ใกล้กับริมหน้าต่าง ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างอารมณ์เสียเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั้นไม่ได้จะมีทีท่าอะไรเลยแม้จะรู้ว่าภายนอกนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น



"อะไรวะ! ได้ยินหรือเปล่าว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงไม่ออกไปช่วย!" แม่ทัพหนุ่มตะโกนว่า



อามีร่าไม่เอ่ยตอบ เธอเพียงแค่หันมามองดูเขาอย่างช้า ๆ และหันไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม



การกระทำของเธอนั้นสร้างความโมโหให้กับแม่ทัพหนุ่มอย่างมาก แม้ว่าจะมีคำสั่งไม่ให้ไปยุ่งกับเธอ แต่เขารู้ดีว่าไม่เคยมีใครฟังคำสั่งแบบนี้มาตั้งนานแล้ว และคนที่สั่งมาก็ไม่เคยสนใจเธอด้วยเช่นกัน



แม่ทัพหนุ่มเข้าจับมือของอามีร่าและยกจนร่างเธอลอยขึ้นจากพื้น เขาบีบมือของเธออย่างแรงจนเด็กสาวแสดงความเจ็บปวดออกมาจากใบหน้า แต่ไร้ซึ่งเสียงร้อง ไม่มีแม้แต่เสียงครางใด ๆ



"เธอต้องทำตามที่ฉันสั่ง ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็ฟังที่ฉันพูดแล้วก็ออกไปจัดการกับ..- อั่ก!!"



ไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะพูดจบเสียงของเขาก็เหือดแห้งไป เลือดพุ่งขึ้นมาจากลำคอและออกมาจากปาก เมื่อก้มดูลงที่ร่างของเขาก็พบว่ามีดาบสีม่วงทะลุออกมาที่กลางอก



"พวกเรางั้นหรือ?" เสียงเย็นถามขึ้นก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าร่างกำลังจะถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ก่อนที่ความเจ็บปวดจะเข้าทำร้ายเขาจนถึงขีดสุด ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงและทุกอย่างก็มืดบอดไป



ไมโกะมองดูร่างของแม่ทัพหนุ่มกลายเป็นแสงแล้วจึงหันไปมองดูอามีร่าที่เงยหน้ามองดูตัวเธอด้วยความแปลกใจ พอเธอหันไปมองดูทหารที่ตามแม่ทัพหนุ่มมาก็พบว่าพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย



"แปลกใจล่ะสิที่เห็นฉันอีก" ไมโกะพูดเสียงเย็น



"คุณ....เมื่อตอนนั้น คุณอยู่ด้วยกันกับเจน" อามีร่าเอ่ยเบา ๆ แล้วเงียบลงก่อนจะถามคำถามกับหญิงสาวตรงหน้า "คุณจะมาฆ่าฉันงั้นหรือ"



ไมโกะได้ยินที่อามีร่าพูดก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงเดินหลบฉากออกมาให้เห็นร่างของคนที่ทำให้เธอเห็นแสงสว่าง ผู้กล้าสวมชุดคลุมสีขาวที่จะมาช่วยเธออกมาจากฝันร้าย



"พวกเราไม่ได้มาฆ่าเธอ พวกเราจะมาช่วยเธอ อย่างที่ฉันสัญญาเอาไว้ไงล่ะ" เจนเอ่ยขึ้นแล้วย่อตัวลงต่อหน้าของอามีร่า



ดวงตาใสมีน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และเมื่อคนตรงหน้าดึงร่างเธอเข้าไปสวมกอดก็ทำให้เธอไม่สามารถอดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ได้อีก



ไมโกะยิ้มบาง ๆ ให้กับภาพที่เห็นต่อหน้าเธอ แม้ว่าเด็กคนนี้จะทำให้เธอไม่ค่อยพอใจนัก แต่พอมาเห็นเด็กสาวร้องไห้ออกมาแบบนี้ก็ทำเอาโมโหไม่ลงจริง ๆ



"เอาล่ะ พวกเรารีบหนีไปกันก่อนดีกว่า ก่อนที่ใครจะมาพบเธอเข้า" เจนพูดขึ้นแล้วดึงมือของอามีร่าให้ลุกยืนขึ้น แต่พอจะเดินออกไปนอกห้อง เด็กสาวกลับรั้งตัวเธอเอาไว้ก่อน



"ทำไม...มีอะไรงั้นหรืออามีร่า" เจนหันไปถาม



เด็กสาวส่ายหน้าช้า ๆก่อนที่จะเอ่ยปากตอบ "ไม่ค่ะ...ฉันไปด้วยไม่ได้"



"หมายความว่ายังไง ทำไมถึงไปด้วยไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเธอแล้ว ถ้าเธอหนีไปกับพวกเราตอนนี้ล่ะก็ไม่มีใครรู้แน่" ไมโกะพูด แต่อามีร่ายังคงส่ายหน้าปฏิเสธ



"ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ฉันคงจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟังได้ เพราะสิ่งโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับฉันไม่ใช่แค่เรื่องของฉันคนเดียว มันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ" อามีร่าเอ่ยด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง จนเจนและไมโกะต้องหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอกำลังเผชิญนั้นมีเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เธอได้คาดคิดเอาไว้มากนัก



จบตอนที่ 32 ปฏิบัติการฉกเจ้าหญิง

Tohan-kun
30th January 2014, 10:18
ตอนที่ 33 ความจริงที่ไม่โสภา





ลูกไฟที่ตกลงมาจากฟากฟ้าแทนฝน จู่ ๆ ก็หยุดลงอย่างดื้อ ๆ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว และคำอธิบายง่าย ๆ ของหมู่บ้านตอนนี้คือ 'หายนะ'



"ดีมากคิทซึเนะ ดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีกนะเนี่ย" เสือซ่อนลายพูดขณะที่กำลังมองดูหมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชากำลังมอดไหม้ แต่เสียงตะโกนโวยวายดังไปทั่วหมู่บ้านบอกให้เขารู้ว่าจำนวนคนที่โดนลูกไฟของคิทซึเนะจัดการนั้นมีจำนวนน้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากนัก



"เจ้าพวกนี้ก็สมกับเป็นกิลด์พิฆาตราชาจริง ๆ ขนาดเจอลูกไฟถล่มไปตั้งขนาดนั้นยังเหลือรอดอยู่ได้อีก หวังว่าพวกเจนคงจะทำสำเร็จก่อนที่จะโดนพวกนั้นจับได้นะ"



ยังไม่ทันทีเสือซ่อนลายพูดทิ้งช่วงไป เขาก็เห็นอาคารที่สูงที่สุดของหมู่ระเบิดออกมาพร้อมกับร่างสีทองออกมาพร้อมกับร่างบางในชุดดำ เสือซ่อนลายรู้ทันทีว่านั่นคือเจนและไมโกะกำลังหนีจากการไล่ตามที่พวกกิลด์พิฆาตราชาที่ยืนอยู่ในรูที่พวกเจนกระโดดออกมา แต่พวกทหารพวกนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ตามพวกเจนต่อไปได้เพราะทันทีที่หนีออกมา เจนก็บินวกกลับไปแล้วฟาดคลื่นดาบใส่จนไม่เหลือยอดอาคารให้เห็นอีก



หลังจากจัดการธุระเสร็จ ร่างที่ปกคลุมด้วยออร่าสีทองและร่างบางของไมโกะที่เจนใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือดาบจับเธอเอาไว้แล้วทั้งคู่ก็พุ่งตรงลงมาหาพวกเสือซ่อนลายตามที่วางแผนเอาไว้ เว้นเสียแต่ว่าแผนของเสือซ่อนลายนั้นจะต้องมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่เขาต้องพาออกไปจากที่นี่ด้วย เว้นเสียแต่ว่าตรงหน้าเขามีเพียงเจนและไมโกะเท่านั้น



"นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ทำไมมีแค่พวกเธอล่ะ แล้วอามีร่าอยู่ไหน!" เสือซ่อนลายตะโกนถามเสียงดังแข่งกับเสียงตะโกนของพวกกิลด์พิฆาตราชาที่กำลังรวมกลุ่มอย่างรวดเร็วแม้จะโดนทำลายจนแตกไปคนละทิศคนละทาง ถ้าหากยังไม่รีบหนีออกไปจากที่นี่ล่ะก็ เห็นทีพวกเขาคงต้องเข้าเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



"เธอมาไม่ได้! นายยังไม่ต้องถามตอนนี้ เอาไว้พวกเราออกไปจากที่นี่ได้ก่อนจะเล่าให้ฟังทีหลัง" ไมโกะบอก เธอรีบปรามทันทีเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่มที่ยังคงสงสัยอยู่



แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนัก แต่จากสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าและสีหน้าของเจนที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เขาพอจะรู้ว่าสิ่งที่ทั้งสองได้รู้มาคงไม่ค่อยโสภานัก



"เฮ้ย!! พวกเราหนีเร็ว!!" เสียงของแจ็คดังขึ้นในช่องสื่อสารกลุ่มพร้อมกับร่างของทีมซุ่มยิ่งที่เหมือนกับว่าวิ่งหนีอะไรมาอยู่ และเสือซ่อนลายก็ไม่ต้องรอนานนักเพราะคำตอบข้อสงสัยของเขานั้นวิ่งตามเข้ามากันเป็นกองทัพ



อาชาในชุดเกราะเหล็กสีดำที่มีดวงตาสีเหลืองทองเรืองแสงขึ้นมาในความมืดกำลังควบตามพวกแจ็คมาติด ๆ ผู้ที่ควบพวกมันมาคืออัศวินเกราะเหล็กสีดำเช่นเดียวที่ม้าสวมอยู่ ดาบเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของอัศวินนั้นสามารถถือได้ด้วยมือเดียว แสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งของอัศวินดำและเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่านคมดาบบ่งบอกให้เห็นว่าดาบเล่มนั้นคมเพียงใด



เจนพุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มอัศวินทันทีเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองกำลังอยู่ในอันตราย เธอยกดาบฟาดลงใส่อัศวินที่อยู่ใกล้กับทั้งสองที่สุด แต่ทว่าอัศวินคนนั้นกลับรู้ตัวและยกดาบขึ้นกันได้อย่างทันท่วงที ทำให้เจนรู้สึกตกใจมากเพราะเธอใช้ความเร็วสูงมากจนไม่น่าจะมีใครตามได้ทัน



อัศวินดำที่ยกดาบกันการโจมตีของเจนได้ทันก็ถึงกับหยุดชะงักทันทีเพราะแม้ว่าเขาจะสามารถรับดาบของเจนได้ทัน แต่พลังโจมตีและความเร็วระดับของผู้ที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเขานั้นถือว่าไม่ใช่ธรรมดา อีกทั้งพลังออร่าสีทองแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวก็ดูน่าไม่ไว้วางใจ เขาจึงหยุดม้า ไม่กล้าผลีผลามบุกเข้าไปสู้ เช่นเดียวกับทัพม้าที่อยู่ด้านหลัง



พวกเจนเองก็รีบเข้ามาสมทบกันหลังจากที่แจ็คและยูสตาร์หนีรอดจากคมดาบมาได้อย่างหวุดหวิด ในตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย เพราะนอกจากตรงหน้าจะมีเหล่าอัศวินในเกราะสีดำที่ยืนยันแล้วว่าฝีมือฉกาจขวางทางอยู่ ด้านหลังของพวกเจนก็เป็นหมู่บ้านที่พังพินาศ แต่ถ้าหากยังไม่รีบหาทางหนีล่ะก็ พวกที่เหลือรอดอาจจะมาตลบหลังจนหมดทางหนีได้ในเวลาไม่นาน



"บ้าจริง! พวกเรามาช้าไป!" ไมโกะพูดออกมาอย่างไม่พอใจ ดาบตัดวิญญาณคู่ของเธอเตรียมพร้อมอยู่ในมือ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอคงจะไม่สามารถฝ่าออกไปจากวงล้อมของคนที่รับมือการโจมตีของเจนที่อยู่ในร่างพลังสถิตได้ แต่เธอก็ไม่มีวันที่จะยอมแพ้โดยที่ไม่ยกอาวุธขึ้นสู้แน่



"นี่เธอรู้ว่าไอ้เจ้าพวกนี้จะมา..-"



"ไม่ใช่ตอนนี้!" เจนและไมโกะประสานเสียงกันจนยูสตาร์ที่กำลังพูดออกมาต้องยอมสงบปากลงทันควัน



"พอจะสู้ไหวมั้ยเจน" เสือซ่อนงายกระซิบถาม เท่าที่เขาเห็น ตอนนี้ทางรอดเดียวคือต้องเพิ่งพลังของเจนเท่านั้น



คนถูกถามเองก็พอจะรู้ตัวดี จากการประดาบกันเมื่อครู่นั้นทำให้เจนรู้ว่าแม้เธอจะมีพลังสถิตร่างแต่อีกฝ่ายก็มีพลังสูงเช่นกัน การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะถือว่าคู่คี่ถ้าหากเป็นการดวลเดี่ยว ๆ แต่ว่ากองทัพอัศวินด้านหลังนั้นก็ยากที่จะเมินไปได้



"ไม่รู้สิ ถ้าหากเจอกับไอ้เจ้านั่นเดี่ยว ๆ อาจจะพอลุ้น แต่ให้ไปเจอกับกองทัพแบบนี้คิดยากเหมือนกัน" เจนพูดตอบ ด้วยพลังของจิ้งจอกเก้าหางเจนอาจจะพอสู้กลับไปได้บ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเสือซ่อนลายต้องเข้าร่วมสู้ด้วยซึ่งเจนไม่คิดว่าพวกเพื่อน ๆ ของเธอจะรับมือพวกนี้ได้นานพอที่เธอจะเอาชนะอัศวินด้านหน้าได้



แม้จะให้คิทซึเนะและฟีบีช่วย แต่จำนวนของศัตรูมีมากกว่า นั่นอาจจะทำให้ทั้งเธอและพวกเสือซ่อนลายพลาดพลั้งได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเจนมีทางเดียวที่จะพาให้ทุกคนรอดไปได้ นั่นก็คือต้องจัดการพวกอัศวินดำตรงหน้าให้หมดทุกคน และนั่นก็หมายความว่าเธอจะต้องใช้พลังระดับสองของพลังสถิตร่างอีกครั้ง



เจนรีบตรวจสอบพลังเวทของเธอว่ามีเหลืออยู่พอหรือไม่ เพราะการใช้พลังผสานร่างพลังสถิตนั้นจะยิ่งใช้พลังเวทมากขึ้นหลายเท่า ถ้าหากเธอใช้พลังเวทหมดแล้วยังจัดการศัตรูไม่ได้ล่ะก็ตายอย่างแน่นอน



ทว่าก่อนที่เจนจะใช้พลังผสาน ฟีบีก็เดินออกมาด้านหน้าขึ้นมาซะเฉย ๆ สร้างความตกใจให้กับทั้งพวกเจนและทำให้พวกอัศวินดำตรงหน้าแปลกใจว่าเด็กตรงหน้านี้มาจากไหน



เด็กสาวไม่ได้มองพวกเจนหรือเหล่าอัศวินตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าด้วยดวงตาล่องลอย ทันใดนั้นเองเสียงหวานก็ดังพริ้มออกมาจากปากของเด็กสาว เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นทำนองเพลงอย่างเชื่องช้า นุ่มนวล



เหล่าอัศวินรีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเพลงของฟีบีเพราะกลัวว่าเป็นทักษะอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเสียงร้องของฟีบีเงียบลงก็ยังไม่เกิดอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย สร้างความสงสัยให้ทั้งพวกเจนและพวกอัศวินเกราะดำเป็นอย่างมากว่าตกลงเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น



ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบนานนัก หลังจากเสียงเพลงไพเราะของมังกรน้อยจบลง เสียงคำรามดังลั่นฟ้าก็ดังขึ้นมาจากทิศเดียวที่ดวงจันทร์ฉายแสง พร้อมกับการปรากฏตัวของสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่บดบังแสงจากดวงจันทร์จนสิ้น!



"มังกร!!!" เสียงตะโกนของอัศวินคนหนึ่งร้องดัง กองทหารอัศวินดำรีบกระจายตัวออกไปทันทีเพราะรู้ว่าอะไรกำลังจะตามมา



ยังไม่ทันสิ้นเสียงตะโกน ปากของมังกรบนฟากฟ้าก็ส่องแสงสีน้ำตาลขึ้นมา เพียงพริบตา ลำแสงเช่นเดียวกันกับที่ฟีบีเคยใช้ก็ถูกฉายลงมา เพียงแค่ความแตกต่างของมันนั้นคือสีและขนาดที่ใหญ่มากกว่าหลายเท่า



ตูม!!!!



ลำแสงพุ่งทำลายกองทัพอัศวินดำส่วนหนึ่งที่หลบไม่ทันจนทั้งร่างของคนและม้าต่างสลายกลายเป็นแสงไปอย่างรวดเร็ว มังกรยักษ์ยังไม่หยุดเพียงแค่นั่น มันยังคงพุ่งเป้าไปยังกองทัพอัศวินที่ตอนนี้วิ่งกระจัดการจายกันจนไม่เป็นกองทัพ ปล่อยให้พวกเจนยืนตกใจอยู่ที่เดิม



เจนมองเห็นแจ็คและยูสตาร์ทำท่าจะยิงอาวุธขึ้นใส่มังกรที่กำลังบินอยู่ก็รีบเข้าไปห้ามทันที เพราะว่ามังกรที่บินอยู่บนฟ้านั้นทรงพลังจนสามารถจัดการทัพอัศวินตรงหน้าจนหนีไปคนละทิศคนละทางได้ พวกเจนคงไม่รอดแน่ถ้าหากเจอดราก้อนบรีธของมังกรตัวนั้นเข้า



ไม่นานนักทั้งเหล่าอัศวินและพวกกิลด์พิฆาตราชาที่โดนลูกหลงไปด้วยก็กระจายตัวจนเริ่มบางตาลง มังกรร่อนตัวลงบริเวณด้านหน้าของพวกเจน พวกเธอยิ่งมองดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งเห็นว่าขนาดของมังกรตัวมีใหญ่มหึมาเพียงใด เพียงแค่กรงเล็บข้างเดียวก็สามารถเหยียบพวกเธอจนมิดได้ ถ้าหากมันคิดจะกินพวกเจนล่ะก็ แค่คิดจะหนีก็ยังไม่ทันเลย



แต่ก่อนที่เจนจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป เธอก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอยู่บนหัวของมันและกลายเป็นผู้ที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะได้มาพบได้ในเวลานี้



"ยินดีต้อนรับสู่โจแอร์เวย์ รีบขึ้นมาเร็วเข้า!" เสียงตะโกนของเพื่อนที่เจนไม่ได้พบมานานขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของจอมเวทย์ในชุดคลุมสีดำที่กำลังยืนอยู่บนหัวของมังกรตัวยักษ์!



เจนเงยหน้ามองโจตาค้างไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เพราะการปรากฏตัวหลังจากเงียบหายไปตั้งนานของเพื่อนคนนี้สร้างความประหลาดใจมาก ทั้งเรื่องที่มาได้จังหวะพอดี และเขาไปหามังกรตัวนี้ได้มาจากไหน



กรร!



เสียงคำรามเบา ๆ เสียงสติของทุกคนให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วรีบปีนขึ้นไปที่หลังของมังกรจากกรงเล็บที่ยื่นออกมา ส่วนฟีบีนั้นก็บินขึ้นไปนั่งบนหัวของมังกร ทำให้เจนแปลกใจว่าเธอบินได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าหากเทียบกับเรื่องที่เธออยากจะถามโจในตอนนี้แล้ว เรื่องของฟีบีถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย



"ผู้โดยสารทุกท่านโปรดรัดเข็มขัด เที่ยวบินสู่ยามะไตกำลังจะออกเดินทางแล้ว!" โจหันไปมองดูเมื่อเห็นว่าทุกคนขึ้นมาครบแล้ว และเมื่อเขาไปเห็นยูสตาร์ตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ เขาก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้



"ไหนล่ะเข็มขัด!!" ชายหนุ่มนักธนูตะโกนออกมาเสียงดัง เขาใช้มือข้างหนึ่งจับแขนของเสือซ่อนลายไว้ ส่วนอีกข้างก็กุมมือของไมโกะไว้แน่น ตอนแรกนักฆ่าสาวจะสลัดมือชุ่มเหงื่อของเขาทิ้ง แต่พอเห็นสีหน้าของคนที่เป็นโรคกลัวความสูงแล้วก็อดสงสารไม่ได้



"เอาล่ะ ขึ้นบินไปเลยโอร็อค!!" ชายหนุ่มจอมเวทสั่ง



มังกรคำรามในคอ จากนั้นปีกขนาดใหญ่ก็กางออกเต็มที่ เจนรู้สึกถึงแรงดันตอนที่มังกรบินขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางเสียงโวยวายของยูสตาร์ เพียงครู่เดียวเธอและพรรคพวกก็ทิ้งหมู่บ้านและกองทัพกิลด์พิฆาตราชาเอาไว้เบื้องหลัง







บนพื้นดิน อัศวินเกราะดำที่สู้กับเจนเงยหน้ามองดูมังกรตัวใหญ่ที่เข้ามาช่วยศัตรูของเขากำลังบินหนีไป ตอนนั้นเองที่อัศวินคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมกับนักเวทอีกคน



"จะให้พวกเราจัดการมังกรตัวนั้นเลยมั้ยครับ" อัศวินคนนั้นถาม แต่อัศวินเกราะดำยกมือห้ามเอาไว้



"ปล่อยพวกนั้นไป ตอนนี้ฉันอยากจะจัดการเรื่องที่อยู่ตรงนี้ก่อน" อัศวินเกราะดำหันไปมองอัศวินหนุ่ม เขารีบเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว



"ภายในหมู่บ้านกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ครับ ยังดีที่สำนักงานเสียหายเพียงแค่ชั้นบนสุด ส่วนอื่น ๆ ไม่ได้โดนไฟไหม้ไปด้วย คลังอาวุธและเสบียงก็ยังสมบรูณ์ดีครับ ที่เสียหายมีเพียงแค่ที่พักและสนามฝึกซ้อมเท่านั้น แต่การซ่อมแซมหมู่บ้านทั้งหมดคงจะใช้เวลามากพอสมควรครับ" อัศวินหนุ่มรายงาน



"แล้วกองทัพล่ะ ความเสียหายของกองทัพเป็นยังไงบ้าง" อัศวินเกราะดำหันกลับเข้าไปในหมู่บ้านและเดินตรงไปยังอาคารหลักที่ผู้หลบหนีเพิ่งจะพังห้องทำงานบนชั้นสูงสุดออกมา



"กองทัพอัศวินดำเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่งครับ อีกจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่กองกำลังส่วนใหญ่กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์พร้อมที่จะเคลื่อนทัพตามคำสั่งครับ น่าเสียดายที่พวกที่อยู่ประจำหมู่บ้านเหลือคนเพียงแค่สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ สมาชิกกิลด์ระดับดอกจิกที่ได้รับหน้าที่มาคุมที่นี่เกือบทั้งหมดตายแล้ว พร้อมทั้งอีกาด้วยครับ"



อัศวินเกราะดำเดินเข้าไปด้านในอาคารโดยไม่ตอบคำของอัศวินหนุ่มที่ยังคงเดินตามเขามาอยู่ไม่ห่าง



เมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดที่เขาจะเดินขึ้นมาได้ อัศวินเกราะดำเดินไปที่ขอบตึกแล้วมองความเสียหายด้านล่าง



"แจ้งทุกคน เราจะเลื่อนแผนบุกยามะไตไปก่อน รีบเก็บทุกอย่าง ทำลายหลักฐานทั้งหมดแล้วออกไปจากทวีปนี้ก่อนพวกพยัคฆ์จะได้กลิ่น" อัศวินเกราะดำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเชียบ เขามองเห็นเมฆฝนกำลังลอยเข้ามาใกล้ อีกไม่นาน บริเวณนี้จะได้พบกับพายุเข้าอย่างแน่นอน



อัศวินหนุ่มก้มตัวรับคำแล้วทำท่าจะเดินกลับออกไป แต่อัศวินเกราะดำเรียกเขาไว้ซะก่อน



"อ้อ! ไมนอส ติดต่อไปหาลาซาส บอกหมอนั่นเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเอาไว้"



"ทราบแล้วครับ คุณบิชอบ" อัศวินหนุ่มนามไมนอสพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป ปล่อยให้บิชอบยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองไปยังทิศที่มังกรบินจากไป



'นั่นน่ะหรือคนที่ท่านคลาวลี่ย์ต้องการตัว ถ้าหากฝึกฝนอีกหน่อยก็คงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวทีเดียว... น่าเสียดายที่เวลาของเด็กคนนั้นกำลังจะหมดลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเกมหรือชีวิตจริง'







เสียงฟ้าร้องดังสนั่น สายฝนเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว เวลาใกล้รุ่งเช้าแต่ยังไม่มีทีท่าว่าแสงอาทิตย์จะฉายแสงขึ้นมาบนแผ่นฟ้า เช้ามืดที่น่าหดหู่ราวกับว่ากำลังเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง แต่ในห้องพักเรียวกังแห่งหนึ่งในเมืองยามะไต กลับมีแต่เสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา



"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเต่านั่นจะกลายเป็นมังกรตัวบะเริ่มขนาดนั้นได้! นี่นายเลี้ยงมันด้วยอะไรกันเนี่ย" แจ็คจ้องมองไปยังสร้อยคอที่เก็บมังกรหินผาเอาไว้บนหน้าอกของจอมเวทหนุ่ม



"บอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าโอร็อคกลายเป็นมังกรตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไง เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ที่พวกเราเลเวลเต็มกันแล้ว ฉันก็เลยปรับค่าประสบการณ์ให้โอร็อคเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้นึกถึงหมอนี่อีกจนเร็ว ๆ นี้ ที่ฉันเจอเข้ากับ****ดผีตนหนึ่งเข้า และยัยนั่นก็เป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่ทำให้ฉันผ่านภารกิจเลื่อนระดับมาได้" โจยืดอกอย่างภูมิใจ เพราะการที่จะจัดการมอนสเตอร์บอสได้ด้วยตัวคนเดียวนั้นถือว่ายากมากหากไม่มีพลังหรือทักษะระดับสูงอย่างเจน แม้เขาจะมีเวทมนตร์ระดับ S อยู่ก็ตาม แต่จอมเวทที่จัดการมอนสเตอร์บอสตัวคนเดียวนั้นก็ถือว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย



"แล้วที่โจจัดการ****ดตนนั้นได้ยังไงหรอคะ!?" ซินจูถามอย่างตื่นเต้น



จอมเวทหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องต่อ "ตอนแรกฉันก็สู้ไม่ได้หรอก ถึงเวทมนตร์ของฉันจะรุนแรง แต่เวทมนตร์ของ****ดนั่นก็ทั้งรุนแรงและร่ายเวทเร็วจนฉันไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ได้เลย พอฉันคิดจะใช้เวทที่ใช้เวลาร่ายเวทน้อย ค่อย ๆ ตอดพลังชีวิต ยัย****ดนั่นก็ดันเป็นมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณ เคลื่อนที่ได้เร็วอีก ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงถึงจะจัดการยัย****ดนี่ได้"



"ตอนที่ฉันหลบไปพักก็พยายามหาทางสู้ยัย****ดนี่ ฉันสรุปได้เลยว่าฉันจะต้องหาคนช่วยถึงจะพอมีทางชนะได้ แต่ภารกิจของฉันดันห้ามให้คนอื่นช่วย ดังนั้นฉันจึงมีทางเลือกเดียวคือต้องให้เอไอมาช่วยหรือหาสัตว์อสูร ตอนนั้นเองที่ฉันนึกขึ้นได้ว่าตัวฉันเองก็มีสัตว์เลี้ยงอยู่เหมือนกัน"



"แล้วยังไงต่อ" ยูสตาร์ถามอย่างกระตือรือร้น



"ใจเย็นสิ! ตอนนี้แหละที่สำคัญ ตอนแรกที่ฉันคิดจะเรียกโอร็อคออกมาก็ไม่คิดว่าจะตัวใหญ่แบบนี้เหมือนกัน ทำเอาฉันทำอะไรไม่ถูกเลยตอนที่เจอเข้ากับมังกรตัวมหึมาขนาดนั้น"



เจนพอนึกออกว่ารู้สึกอย่างไร เพราะตอนที่เธอเห็นมังกรขนาดมหึมา ขนาดปีกที่กางออกเต็มที่มีขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชาสองเท่าเลยทีเดียว เป็นใคร ๆ ก็ต้องต้องตัวแข็งทื่อแบบเธอทั้งนั้น



"พอฉันตรวจสอบดูถึงได้รู้ว่าเลเวลของโอร็อคสูงถึงแปดสิบสองแล้ว ฉันนึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าเรื่องที่พวกเราเจอมาจะให้ค่าประสบการณ์ได้มากขนาดนั้น แต่ที่สำคัญก็คือตอนนี้ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถจัดการยัย****ดผีนั่นได้แน่ ๆ" โจแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับกำมือแน่นให้เห็นว่าเขาดีใจแค่ไหนที่จะได้จัดการ****ดผีตนนั้น แสดงว่าโจคงจะแค้นเอามาก ๆ ทีเดียว



"แล้วนายก็พาโอร็อคไปจัดการ****ดนั่นอย่างนั้นเลยหรือ โอร็อคมีเลเวลแค่แปดสิบกว่าเองนะ นายรอดมาได้ยังไงกัน" เจนถาม



"ก็จริงอยู่ที่โอร็อคมีเลเวลน้อยกว่าทั้งฉันและยัย****ด ความจริงแล้วยัย****ดผีนั่นมีระดับยศขุนนางด้วยซ้ำไป แต่โอร็อคเป็นถึงมังกรภูผาเชียวนะ พลังป้องกันการโจมตีธรรมดาและเวทมนตร์สูงซะจนยัย****ดนั่นทำอะไรไม่ได้เลย แถมยังใช้ดราก้อนบรีธจัดการพื้นที่แถบนั้นซะราบคราบ รับรองว่า****ดนั่นไม่เหลือซากให้เห็นแน่" โจกอดอกอย่างภูมิใจ แม้ว่าความดีความชอบทั้งหมดควรจะเป็นของมังกรภูผาที่หลับอยู่ในสร้อยคอ



"ว่าแต่ทำไมโอร็อคถึงไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ล่ะ หรือพูดภาษาคนเหมือนกับคิทซึเนะและฟีบี" ซินจูถามขึ้นด้วยความสงสัย แต่เจ้าของมังกรกลับส่ายหน้าเป็นความว่าไม่รู้เหมือนกัน



"บางทีอาจจะเป็นเพราะค่าความสัมพันธ์หรือเพราะไม่ได้ต่อสู้ล่ะมั้ง อย่างที่ฉันบอก เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนากับคนส่วนมากอยู่" หนูส่งข่าวพูด



"ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องนั้นหรอกนะ แต่ว่าโอร็อคก็ดูจะเชื่อฟังคำสั่งฉันดีนี่นา เอาเป็นว่าหลังจากนั้นฉันก็ไปส่งภารกิจ ถามตำแหน่งพวกนายจากไอ้หนูมัน แล้วสุดท้ายพระเอกก็มาช่วยทุก ๆ คนได้อย่างปลอดภัย...พูดถึงช่วยเหลือ แล้วเด็กที่พวกนายไปช่วยมาตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วซะล่ะ" โจหันไปรอบ ๆ มองหาตัวเด็กสาวที่เป็นสาเหตุที่เขาส่งเพื่อนหัวขโมยมาที่นี่



เสือซ่อนลายและคนอื่น ๆ หันมองมายังเจนและไมโกะที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในหมู่บ้านแห่งนั้น ทั้งสองไม่เอ่ยถึงเรื่องอามีร่าเลยตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้าน อาจเป็นเพราะเรื่องของโจที่ดึงความสนใจของทุกคนไป แต่จากสีหน้าของทั้งคู่บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องราวที่ทั้งสองได้พบเจอนั้นไม่ใช่เรื่องที่ระรื่นหูอย่างแน่นอน



ทั้งคู่หันมามองหน้ากันราวกับต้องการจะถามความเห็นกันแงะกัน ไมโกะพยักหน้าสนับสนุนให้กับเจนแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ



"เรื่องของเด็กอามีร่าเลวร้ายกว่าที่พวกเราทุกคนคาดเอาไว้มาก แม้ตอนแรกฉันจะไม่เห็นด้วยกับเจนเรื่องเด็กคนนี้ แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวของอามีร่าแล้วทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเราจะทำอะไรได้ในเรื่องนี้" ไมโกะตาลอยราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง



เป็นเจนที่มีสีหน้าดูแย่ที่สุด มือของเธอกำแน่นอย่างแค้นใจที่แม้ว่าเธอรู้ความจริงทุกอย่างแล้วแต่กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เจนจะช่วยอามีร่าได้ เป็นอย่างที่อามีร่าได้บอกเธอเอาไว้ไม่มีผิด เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่เธอจะแก้ไขได้







ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พวกเจนอยู่ในหมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชา เจนและไมโกะหันหน้ามามองกันด้วยความแปลกใจกับคำพูดของอามีร่า



"นี่เธอหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าตอนอยู่นอกเกมเธอก็ถูกทำเหมือนกับในเกม" ไมโกะถามเล่นที แต่เจนก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาวตรงหน้าที่บอกว่านั่นเป็นความจริง



"นี่มันจะชักเกินไปแล้วนะ! เธออยู่ที่ไหนกัน อามีร่า ทำไมถึงไม่ยอมไปแจ้งตำรวจ!" เจนจับไหล่ของเด็กสาวแน่น เธอนึกภาพไม่ออกเลยว่าสภาพของอามีร่าด้านนอกเกมที่ถูกทารุนเหมือนกันในเกมจะเป็นเช่นไร



เด็กสาวเพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับความหวังดีของผู้มาเยือนทั้งสองที่มีต่อเธอ แม้จะรู้ว่าทั้งคู่ไม่มีทางช่วยเธอได้ แต่ความรู้สึกห่วงใยเช่นนี้ก็ทำให้โลกอันหม่นหมองของเธอสดใสขึ้นมาไม่น้อย



"ถึงจะทำได้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะพวกที่จับตัวฉันเอาไว้ไม่ใช่แค่โจรธรรมดา แต่เป็นกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน"



เจนและไมโกะแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคำพูดของอามีร่า ถ้าหากเจนเข้าใจถูกต้องล่ะก็ พวกคนที่จับอามีร่าไปนั้นอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มก่อการร้ายระดับประเทศ และถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่ากิลด์พิฆาตราชาก็ต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนพวกนี้ด้วยเช่นกัน!



"ฉันเป็นกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ในหุบเขาสูงของประเทศเติร์กเมนิสถาน ใกล้กับแถบทะเลเมดิเตอรเรเนี่ยน ก่อนที่จะเกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น เผ่าของเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ พวกเราใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ อยู่ได้จากการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ไปเรื่อย ๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่พวกเราก็มีความสุขมาก" อามีร่ายิ้มออกมาอย่างอบอุ่นเมื่อเธอได้นึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต



"แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกกองกำลังแบ่งแยกติดแดนก็มาที่หมู่บ้านและเกณฑ์ผู้ชายไปเป็นทหารเข้าร่วมรบ โดยจะจับเด็กและผู้หญิงเป็นตัวประกัน ถ้าหากไม่ยอมจะก็ครอบครัวของพวกเขาจะถูกทรมาน และบางครั้งก็ถูกฆ่าไปทั้งครอบครัวด้วยเหมือนกัน ครอบครัวของฉันมีอยู่กันเพียงแค่สี่คน พ่อและพี่ชายต่างก็ถูกเกณฑ์เป็นทหาร พ่อเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว และไม่นานมานี้พี่ชายของฉันก็เพิ่งเสียไปเช่นกัน..."



มาถึงจุดนี้แล้วทั้งสามคนต่างมีสีหน้าไม่เลวร้าย ความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจและคอแห้งผาดเมื่อได้ฟังเรื่องเลวร้ายที่ไม่ควรจะเกิดกับคน ๆ หนึ่งได้ แต่ที่ทำให้เจนรู้สึกแย่กว่าก็คือตัวเธอเอง เธอมักจะเห็นเรื่องเช่นนี้อยู่ในข่าวภาคดึกอยู่เป็นประจำ แต่นั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรมากนักเพราะมันไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวอะไร แต่เมื่อได้มาฟังจากปากของคนที่อยู่ในเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าแล้วกลับทำให้เจนรู้สึกแย่อย่างมาก ชีวิตที่เผ่าของอามีร่าเจอนั้นทั้งโหดร้ายจนเกินจะรับได้ แม้โลกจะมีเทคโนโลยีทันสมัยเพียงใดแต่ทว่ากลับไม่มีใครรับรู้ถึงเรื่องราวเช่นนี้เลย



ไมโกะที่ตอนแรกมองดูอามีร่าอย่างเหยียด ๆ พอเธอได้รู้เรื่องของอามีร่า สายตาที่ใช้มองก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาที่แสดงถึงความเวทนาแทน เธอเดินเข้าไปหาอามีร่าที่น้ำตาไหลอาบหน้าแต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นใด ๆ เธอบีบไหล่ของเด็กสาวแน่นเพื่อให้กำลังใจ



"พวกผู้หญิงและเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็ไม่ได้อยู่สบาย พวกเราถูกบังคับให้ใช้แรงงานทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาดปืน ทำระเบิด หรือบางอย่างที่แย่กว่า แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกเราถูกบังคับให้มาเล่นเกมเพื่อหาเงินในเกมใช้แลกเป็นเงินจริงหรือจะใช้เป็นทาสทำตามคำสั่ง จนสุดท้ายตอนนี้พวกเราก็ต้องทำงานตอนเช้า ตกเย็นก็เข้ามาโดนทรมานในเกมต่อ" น้ำเสียงที่อามีร่าพูดดูราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ราวว่าเธอเจอเรื่องนี้จนชินชาไปแล้ว



ทั้งเจนและไมโกะหันหน้าหากันด้วยความกระอักกระอวนใจเพราะไม่มีทางไหนเลยที่จะช่วยอามีร่าออกมาจากสถานการณ์นี้ได้



เด็กสาวมองดูใบหน้าของผู้มาเยือนทั้งสองก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเธอรู้สึกยังไง พวกเจนไม่ใช่คนแรกที่รู้เรื่องนี้ แต่พวกเธอเป็นคนที่พยายามเพื่อตัวอามีร่ามากที่สุด



"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เผ่าของฉันมีคำกล่าวอยู่ว่า ‘เพียงแค่คิดจะช่วย ก็ถือเป็นบุญคุณ’ แค่ความรู้สึกของพวกคุณก็ทำให้ฉันดีใจมากแล้วค่ะ" อามีร่ายิ้มบาง ๆ และกุมมือของทั้งคู่อย่างอ่อนโยน



แม้ว่าเด็กสาวจะพูดเช่นนั้น แต่เจนก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้อามีร่าเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ทางไมโกะเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเจนแต่ก็จนปัญญาที่จะช่วยเหลือ แม้ว่าพวกเธอจะช่วยอามีร่าในเกมได้ แต่เมื่อกลับออกไปจากเกมล่ะก็ อาจจะจะทำให้เธอเดือดร้อนได้



ทันใดนั้นเองอามีร่าสีทำท่าทางตกใจและมองไปนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงรีบหันกลับมาหาเจนและไมโกะ "แย่แล้วค่ะ! ทัพอัศวินดำของสี่ขุมพลมาถึงแล้ว! พวกเจนต้องรีบหนีเดี๋ยวนี้!"



"สี่ขุมพล?" เจนหันไปมองดูไมโกะ แต่เธอก็ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน



"พวกเขาเป็นรองหัวหน้ากิลด์พิฆาตราชาน่ะค่ะ ฝีมือร้ายกาจมากและยังมีคนที่เก่งกาจจำนวนมากเป็นทหารในกองทัพ ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะกล้าเข้ามาในทวีปนี้ทั้ง ๆ ที่โดนกิลด์พยัคฆ์ราชาคู่ประกาศสงคราม เจนต้องรีบหนีไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เร็วเข้า!" เด็กสาวบอกด้วยน้ำเสียงรีบร้อน



"แล้วเธอล่ะ!" เจนรีบหันไปหาอามีร่าด้วยความเป็นห่วง



"ฉันไม่เป็นอะไรหรอก! เจนรีบไปเถอะ!" อามีร่าพยายามเร่งพร้อมทั้งส่งยิ้มให้กับเจนและไมโกะ แต่ร้อยยิ้มนั้นสามารถบอกได้ทันทีว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่แสร้งทำ แต่ก็ด้วยเจตนาดีที่ต้องการจะปกป้องเจนและไมโกะจากกิลด์พิฆาตราชา



ทันใดนั้นเองไมโกะก็พุ่งเข้าใส่อามีร่า เธอตวัดดาบคู่อย่างรวดเร็วจนเจนมองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีร่างของเด็กสาวที่พวกเธอตั้งใจจะมาช่วยกลับกลายเป็นแสงไปแล้ว



"พี่ไม! พี่ทำอะไรของพี่น่ะ!" เจนมองนักฆ่าสาวด้วยความตกใจปนสงสัย เพราะหลังจากที่ได้ฟังเรื่องของอามีร่าแล้วจะทำให้มุมมองของไมโกะเปลี่ยนไปซะอีก



หญิงสาวไม่ได้ตอบในทันที เธอสะบัดเลือดออกจากใบดาบแล้วจึงเก็บเข้าฝักแล้วค่อยหันไปตอบคำ



"ฉันก็เพิ่งช่วยอามีร่าเอาไว้ไงล่ะ ลองคิดดูซิว่าถ้าพวกกิลด์พิฆาตราชารู้ว่าเด็กคนนี้ปล่อยตัวพวกเราไปจะโดนอะไร ถึงอามีร่าจะโดนทำโทษที่พลาดท่าให้กับพวกเรา แต่ยังไงก็ดีกว่าทรยศแน่"



เจนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยรู้สึกดีนักที่ต้องทำร้ายอามีร่า แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้



ในขณะที่เจนและไมโกะกำลังจะก้าวลงบันไดเพื่อหนีไปจากที่นี่ พวกเธอก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังขึ้นมาจากด้านล่าง แม้จะเป็นจำนวนไม่มากแต่ตอนนี้เจนไม่คิดจะเสี่ยงเข้าปะทะให้เสียเวลาหนีแน่ เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าฝั่งของพวกเสือซ่อนลายเป็นยังไงบ้าง ดังนั้นเจนจึงหันไปเลือกทางหนีที่เร็วกว่าแทน



หญิงสาวรีบไปคว้ามือของนักฆ่าที่เตรียมตัวจะเข้าไปต่อสู้กับศัตรูที่กำลังวิ่งขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก ยังไม่ทันที่จะได้หันไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของเจนก็เปล่งแสงออร่าสีทองออกมาพร้อมร่างของพวกเธอก็พุ่งออกไปนอกหน้าต่าง







พวกเสือซ่อนลายทั้งห้าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดต่างก็มีสีหน้ารู้สึกไม่ดีกันทุกคน ใครจะไปคิดว่าเรื่องแค่นี้จะไปเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ระดับประเทศได้ แล้วยิ่งรู้แล้วว่าอามีร่าได้เจอกับความเจ็บปวดแค่ไหนก็ทำให้พวกเขาคงอยู่เฉย ๆ ต่อไปไม่ได้อีก ทว่าเรื่องแบบนี้แค่คนธรรมดาจะช่วยได้ยังไงกัน



"นี่มัน...โหดร้ายเกิดไปแล้ว จิตใจของไอ้พวกนั้นมันทำด้วยอะไรกัน!" เสือซ่อนลายพูดออกมาเสียงดังอย่างคับแค้นใจ เพราะแม้ว่าเขาอยากจะช่วยแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้ จนสุดท้ายในห้องก็ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย



"กองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่อามีร่าพูดถึงนี่... ใช่ดิอาโบรหรือเปล่า" จู่ ๆ แจ็คก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบของทุกคน



"ดิอาโบร..อ๋อ ฉันจำได้แล้ว ที่เมื่อห้าปีที่แล้วมีข่าวการก่อการร้ายในแถบประเทศตะวันออกกลางใช่มั้ย" โจหันไปพูดทำให้คนอื่นพอจะนึกออกว่ากลุ่มนี้เป็นใคร



เว้นแต่เจนที่หันไปมาด้วยความสงสัยจนแจ็คต้องเป็นคนอธิบายให้เธอฟัง



"องค์กรดิอาโบร เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เป็นที่อันตรายที่สุดในศตวรรษนี้ สงครามไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ทุกครั้งกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยตลอด.... นี่เธอไม่รู้จริง ๆ งั้นหรือ อย่างเหตุการณ์จับตัวประกันที่ประชุมผู้นำโลกเมื่อสองปีก่อน หรือวิกฤตระเบิดแก๊สซารินที่เมืองแมนฮัตตั้นเมื่อปีที่แล้วก็ฝีมือของพวกนี้ทั้งนั้น" แจ็คพยายามอธิบายจนเจนนึกออก ถ้าหากพูดถึงทั้งสองเหตุการณ์นี้แล้วยังไม่รู้อีก เขาก็ยังมีเหตุการณ์อีกเป็นหางว่าวที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มดิอาโบรได้ แต่เหตุการณ์ทั้งสองนั้นถือว่าเป็นการก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี



องค์กรดิอาโบรเป็นกลุ่มของกองกำลังจากกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย ลัทธิหรือศาสนา แม้กระทั่งทหารรับจ้างหรืออาชญากรเข้าไว้ด้วยกันด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือเงินและเป้าหมายของตัวเอง โดยไม่ว่ากลุ่มสมาชิกจะมีเป้าหมายอะไร ทุกคนในองค์กรจะช่วยเหลือกันเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จอย่างเช่นรัฐบาลทำ ดังนั้นดิอาโบรจึงเป็นเหมือนกับรัฐบาลของเหล่าคนนอกกฎหมายนั่นเอง



"อะไรที่ทำให้นายถึงแน่ใจนักว่าเป็นพวกนั้น" ไมโกะหันมามองแจ็คพร้อมทั้งกอดอกถาม



"ฉันแค่ลองเดาดูน่ะ แต่ลองคิดดูสิ ถ้าไม่ใช่คนพวกนี้แล้วจะมีใครอีก"



คนอื่น ๆ พยักหน้าสนับสนุนความคิดของแจ็ค แต่ถึงจะรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้พวกเจนรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย



"น่าสงสารจังเลย..." ซินจูพูดเบา ๆ แต่ภายในห้องมีมีเพียงเสียงฝนตกดังมาจากนอกหน้าต่าง ทำให้ทุกคนหันมาจ้องมองที่เธอเป็นสายตาเดียว



"ต้องทนทรมานอยู่มานานหลายปี ต้องเสียทั้งพ่อและพี่ชายไปแบบนั้น แถมตอนนี้ยังต้องมาทรมานต่อในเกมนี้อีก...พวกเราช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยหรือคะ"



เจนก้มหน้าลงพยายามคิดหาหนทาง แต่ว่าตั้งแต่ที่เธอได้ยินเรื่องราวจากปากของตัวอามีร่านั้นเธอก็พยายามหาวิธีช่วยมาตลอด แต่เรื่องแบบนี้ลำพังแค่ตัวของเจน หรือแค่คน ๆ เดียวไม่อาจที่จะช่วยได้เลย



"พวกเราลองไปแจ้งที่สถานทูตดูมั้ย บางทีอาจจะมีใครไปทำอะไรบ้างก็ได้" เสือซ่อนลายเสนอความคิด แต่ยูสตาร์กลับส่ายหน้าและขัดขึ้นมาทันที



"นั่นไม่ช่วยหรอก การดำเนินเรื่องที่สถานทูตใช้เวลานานมาก ถึงจะเป็นเรื่องของดิอาโบรก็เถอะ แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับการลอบวางระเบิด นิวเคลียร์หรือการก่อการร้ายก็ไม่มีใครสนใจหรอก โดยเฉพาะชนเผ่าที่อาศัยนอกเมืองอย่างเผ่าของอามีร่าแล้วด้วย"



ทุก ๆ คนยกเว้นเสือซ่อนลายหันมามองดูชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจที่เขารู้เรื่องแบบนี้ได้



เมื่อรู้ตัวว่าตนตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อน ๆ ยูสตาร์ก็ยกมือขยับแว่นตาเล็กน้อยเพื่อแก้เขิน



"มะ...มองอะไรกันเล่า ฉันอายุสามสิบกว่าแล้ว แถมฉันทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศด้วย ไม่แปลกที่ฉันรู้เรื่องแบบนี้นะ"



"จริงสิ! บางทีถ้าหากขอให้พวกเขาช่วยดูอาจจะพอมีหวังก็ได้" โจโพล่งขึ้นเสียงดัง



"นายกำลังพูดถึงใคร..." เจนรีบหันไปหาเพื่อนของเธอด้วยความอยากรู้ความคิดในหัวของเขา



"พวกนายน่าจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง...ฮีโร่"



คำพูดของโจทำให้เกิดกิริยาขึ้นมาอย่างหลากหลาย สีหน้าดีใจของแจ็คและซินจู อาการพยักหน้ารับฟังแต่แฝงถึงความครุ่นคิดของเสือซ่อนลายและหนูส่งข่าว อาการส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยของไมโกะและยูสตาร์ สุดท้ายก็คือความสงสัยของเจนและสัตว์เลี้ยงทั้งสองที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ มาตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม



"จริงด้วย ทำไมฉันถึงไม่นึกถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรกนะ!"



"แบบนี้ก็คงพอจะมีหวังช่วยอามีร่าแล้วสินะคะ ถ้าหากให้ฮีโร่เข้ามาช่วยล่ะก็หายห่วง!"



แจ็คและซินจูแสดงอาการดีใจเหมือนกับว่าพวกเขาสามารถช่วยอามีร่าได้แล้ว นั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเจนมากยิ่งขึ้นไปอีกจนเธออดใจถามไม่ได้



"เดี๋ยวก่อนสิ นี่พูดถึงใครกัน ใครคือฮีโร่"



"ฮีโร่ก็คือฮีโร่อย่างที่เธอเข้าใจนั่นแหละเจน เป็นอย่างพวกยอดมนุษย์ในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่ออกตามล่าเหล่าร้าย" แจ็คทำตาเป็นประกายขณะที่อธิบายให้เจนฟังโดยมีซินจูช่วยเสริม



"ใช่แล้วค่ะ แถมพวกฮีโร่ก็มีอยู่หลายประเทศทั่วโลกเลยล่ะค่ะ อย่างที่ประเทศจีนก็มีอยู่เกือบสิบคน หนูได้ยินที่อเมริกามีถึงยี่สิบคนเลยล่ะคะ"



"ยี่สิบ!? ทำไมถึงน้อยจังเลยล่ะ!" เจนตกใจเมื่อได้ยินถึงจำนวนของยอดมนุษย์เหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ประเทศมหาอำนาจทั้งประเทศจีนหรืออเมริกาน่าจะมีมากกว่านี้แท้ ๆ



"เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนของรัฐบาลทั้งหมดน่ะสิ มีบางคนที่เป็นคนของบริษัทเอกชนที่ผ่าตัดทำให้มีพละกำลังเหนือมนุษย์หรือบางคนก็แค่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แล้วสวมหน้ากากฮีโร่ด้วยตัวเองเลย อย่างที่ประเทศจีนก็มีคนที่เป็นฮีโร่สุดยอดกังฟูอยู่เยอะแยะ"



"เดี๋ยวก่อนนะแจ็ค พวกฮีโร่นี่มันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย" เจนประหลาดใจกับความรู้ใหม่ที่ดูจะเป็นข่าวเก่าสำหรับเพื่อน ๆ ของเธอ ความจริงเธอก็ติดตามข่าวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับไม่เคยได้ยินเรื่องพรรณนี้ทางโทรทัศน์เลยแม้แต่ครั้งเดียว



แจ็คหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมา



"อันที่จริงเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมาก็หลายปีอยู่นะ ฉันรู้แค่ว่าฮีโร่พวกนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนแล้วก็หายไป ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ เมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มมีข่าวปรากฏตัวของฮีโร่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่มีข่าวบนโทรทัศน์น้อยมาก จะมีก็แค่ข่าวอยู่บนเว็บไซด์เฉพาะเท่านั้น แล้วอีกอย่าง ประเทศไทยไม่มีฮีโร่เลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นการที่ไม่มีข่าวก็ไม่น่าแปลก"



เจนได้แต่ก้มหน้ารับฟังเท่านั้น แม้เธอจะยังประหลาดใจว่าเธอพลาดเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง



"แล้วพวกนายก็สรุปว่าพวกฮีโร่น่าจะช่วยอามีร่าได้งั้นสิ" ซินจูและแจ็คพยักหน้ารับคำของเจน แต่ในทันทีก็ถูกยูสตาร์ขัดขึ้นมาอีกครั้ง



"นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าไม่เคยมีฮีโร่คนไหนเคยออกไปทำงานนอกเขตประเทศตัวเองมาก่อน และข้อมูลเกี่ยวกับอามีร่าที่พวกเรามีก็น้อยมาก แค่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนยังทำไม่ได้เลย"



"ฉันคิดว่าคงไม่มีฮีโร่คนไหนที่จะยอมเสียเงินไปกับการตามหาตัวเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างไม่มีเบาะแสหรอก แล้วถึงพวกเราอยากจะติดต่อกับคนพวกนี้ เราก็ไม่มีวิธีที่จะติดต่อเลยด้วยซ้ำ" ไมโกะเสริม



"มันพอจะมีอยู่นะ วิธีติดต่อกับฮีโร่น่ะ" หนูส่งข่าวเอ่ยขึ้น



เจนและไมโกะหันไปเบิ่งตามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ สมกับชื่อหนูส่งข่าวที่สามารถติดต่อกับฮีโร่ได้จริง ๆ



"มันมีเว็บไซด์ชื่อว่า callforhero ที่เชื่อว่าสามารถใช้ติดต่อกับฮีโร่ทั่วโลกได้ หลายคนเคยขอความช่วยเหลือผ่านเว็บไซด์นี้และยืนยันได้ว่ามีคนเข้าไปช่วยเหลือจริง ๆ หลายครั้งแล้ว"



ไมโกะที่ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่นัก แม้แต่เจนเองก็ยังรู้สึกได้ว่าการขอความช่วยเหลือผ่านเว็บไซด์แบบนี้ไม่น่าจะพึ่งพาได้นัก แต่ถ้าหนูส่งข่าวบอกมาอย่างนี้ก็ต้องเชื่อเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะคนอื่น ๆ ไม่รู้วิธีติดต่อฮีโร่เลยแม้แต่คนเดียว



"เอาล่ะ เอาเป็นว่าพวกเราลองเอาข้อมูลของอามีร่าไปโพสเอาไว้บนเว็บไซด์ดูก่อนก็แล้วกัน ฉันรู้ว่ามันดูไว้ใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เราสามารถช่วยเหลืออามีร่าได้" เสือซ่อนลายหันไปมองทุก ๆ คนอย่างช้า ๆ ซึ่งไม่มีใครคัดค้านความคิดของเขา



แต่ในใจลึก ๆ เจนยังคงรู้สึกว่าตัวเธอยังต้องทำอะไรให้มากกว่านี้ อะไรบางอย่างที่ช่วยเหลืออามีร่าได้ที่ไม่ใช่คำพูดลอย ๆ ของสิ่งที่เธอไม่เคยพบมาก่อน หลักฐานว่าจะมีคนเข้าไปช่วยอามีร่าจริง ๆ







เช้าวันต่อมาหลังจัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี โดยโจและหนูส่งข่าวก็ไม่ลืมที่จะปลอบใจเจนว่าตอนนี้พวกเขาได้ส่งข้อมูลไปยังเว็บไซด์เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานนักสถานการณ์ของอามีร่าอาจจะดีขึ้น



เจนรู้สึกอุ่นใจมากกับความรู้สึกเป็นห่วงที่ถูกส่งมาให้กับเธอ แม้ว่าปัญหานี้จะไม่เกี่ยวกับตัวเจนเลยก็ตามทีแต่เธอกลับลากเพื่อน ๆ ให้มาเจอกับความรู้สึกแย่ ๆ แบบนี้ด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเธอควรจะต้องรู้สึกสนุกกันมากกว่า อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเธอก็กำลังเล่นเกมอยู่นี่นา



เมื่อคิดได้ดังนั้นเจนจึงตัดสินใจที่จะสลัดความคิดที่เกี่ยวกับอามีร่าออกไปจากหัวก่อน เอาไว้หลังจากสนุกไปในโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ไปก่อนแล้วค่อยไปหาวิธีช่วยอามีร่าที่นอกเกมก็ยังไม่สาย ต่อให้ผ่านไปอีกสัปดาห์ในเกม แต่ภายนอกเวลาก็ไม่ได้เดินไปมากกว่าหนึ่งคืนเลย



"แล้วใครพอมีความคิดอะไรที่น่าสนใจบ้างว่าพวกเราจะไปทำอะไรกันต่อดี" เจนเสนอถามขึ้นระหว่างทานมื้อเช้า สีหน้าของเธอดีขึ้นจากเมื่อคืนมากจนคนอื่น ๆ ยังแปลกใจ



"เอ่อ...ไปเก็บเลเวลกันดีมั้ย ตอนนี้พวกฉันเลเวลใกล้จะเต็มร้อยแล้ว จะได้เปลี่ยนระดับยศซักที" เสือซ่อนลายตอบพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อกุ้งเข้าปาก



"เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้พวกฉันยศขุนนางแล้ว ถ้าไปช่วยเก็บเลเวลมันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า" เจนรีบถามขึ้นก่อนเพราะกลัวว่าพวกเสือซ่อนลายจะไม่ได้ค่าประสบการณ์ถ้าหากเธอเป็นผู้จัดการมอนสเตอร์ได้



"ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ระบบค่าประสบการณ์ตั้งแต่ยศขุนนางขึ้นไปต่างจากยศทหารนิดหน่อย ตรงที่การเก็บเลเวลจะไม่จำกัดอยู่ว่าต้องเป็นมอนสเตอร์ที่มีระดับมากกว่า มอนสเตอร์ที่มีเลเวลน้อยกว่าก็ยังได้ค่าประสบการณ์อยู่แต่น้อยมาก ยกเว้นมอนสเตอร์ระดับทหารที่ไม่ได้ให้ค่าประสบการณ์เหมือนเดิม"



เจนฟังที่โจอธิบายก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเพราะไม่เพียงเรื่องค่าประสบการณ์ของพวกเสือซ่อนลายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธอกังวลว่าหากเมื่อมีเลเวลสูงขึ้น เธอก็จะต้องไปสู้กับมอนสเตอร์ที่เก่งกาจมากขึ้นแต่ได้ค่าประสบการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อได้รู้ว่าสามารถค่อย ๆ เก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ที่เลเวลต่ำกว่าได้ เธอก็จะสามารถรอจนกว่าพวกเสือซ่อนลายเปลี่ยนยศแล้วค่อยพากันไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูง ๆ ทีหลัง



เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จแล้วพวกเจนจึงตกลงกันว่าจะไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ที่มีระดับสูงขึ้นมาอีกหน่อย และด้วยคำแนะนำของเสือซ่อนลาย พวกเจนจึงคิดจะไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ระดับขุนนางกัน



พวกเจนไม่คิดจะย้อนกลับไปทางที่หมู่บ้านของกิลด์พิฆาตราชาอีกครั้ง และเจนก็ยังไม่คิดจะพาเพื่อน ๆ ของเธอไปหามาเอะตอนนี้ด้วย ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งกลับไปทางตะวันตกซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของเมืองซีโป โดยเป้าหมายก็คือป่าทึบที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองยามะไตนัก และยังเป็นแหล่งเก็บเลเวลสำคัญของผู้เล่นอีกหลายคนอีกด้วย



ป่าแห่งนี้มีมอนสเตอร์อยู่หลากหลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าหรืออมนุษย์อย่างเทนกุจมูกยาวที่เจนเคยพบมาก่อนหน้านี้ก็สามารถพบได้ในป่าแถบนี้ด้วยเช่นกัน แต่มอนสเตอร์ที่เป็นเป้าหลายหลักของผู้เล่นนั้นไม่ใช่เทนกุจมูกยาว มันคือซาลามานเดอร์ตัวใหญ่ที่แฝงตัวอยู่บนต้นไม้



ซาลามานเดอร์ป่า ยศขุนนาง ระดับ 20

สัตว์เลื้อยคลานที่มีความสามารถซ่อนตัวภายในป่าได้อย่างดี มีพลังกำลังและความเร็วสูง สามารถใช้หางและกรงเล็บตะปบโจมตีได้ แต่พลังป้องกันต่ำมาก

แพ้ธาตุไฟ



แม้ว่าที่แห่งนี้จะมีคนอยู่เป็นจำนวนมากจนทำให้เจนกังวลว่าจะต้องไปแย่งมอนสเตอร์กับคนอื่นเข้า แต่เมื่อเธอได้รู้ว่าป่าที่ซาลามานเดอร์ป่าเป็นเช่นไร ก็กลายเป็นว่าเธอกังวลไปเสียเปล่า เพราะป่าที่เธอและเพื่อน ๆ ของเธอมาถึงนั้นยาวสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่จุดสิ้นสุด



ผู้เล่นคนอื่นหลายกลุ่มต่างแยกย้ายกระจายกันไปหาจุดเก็บเลเวลกันอยู่ทั่วผืนป่า ทำให้พวกเจนต้องเดินทางลึกเข้าในอีกเพื่อที่จะหาจุดตั้งแค้มป์เหมาะ ๆ เพราะพวกเธอตั้งใจแล้วว่าคงจะอยู่ที่นี่กันอีกนานเลยทีเดียว



เมื่อเดินเข้ามาลึกมากจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้เล่นคนอื่นอยู่แถวนี้ เสือซ่อนลายจึงเลือกที่ตั้งแค้มป์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งไม่ไกลนักก็เป็นลำธารสายเล็กที่สามารถใช้ดื่มได้ นับว่าจุดนี้เหมาะสำหรับตั้งแค้มป์มากทีเดียว แต่เป็นเพราะอยู่ห่างจากทางเข้าป่าฝั่งเมืองยามะไตมากและป่าแห่งนี้ยังไม่มีใครค้นพบเสาเวทมนตร์ที่เป็นจุดปลอดมอนสเตอร์เลย ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ตั้งแค้มป์อยู่ใกล้ ๆ กันเพื่อที่จะได้คอยช่วยกันเฝ้ายามตอนกลางคืน แต่สำหรับพวกเจนคงไม่จำเป็นนักเพราะมีคิทซึเนะและฟีบีอยู่ สบายใจหายห่วง



หลังจากตั้งเต็นท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เสือซ่อนลายก็เริ่มแบ่งกลุ่มและซักซ้อมหน้าที่ของแต่ละคนทันที โดยเขาคิดว่าควรจะรวมกลุ่มกันไว้ก่อนเพราะซาลามานเดอร์ป่านั้นมีระดับสูงกว่ามากโดยเฉพาะพวกเสือซ่อนลายที่อยู่คนละยศกัน



การแบ่งหน้าที่นั้นเสือซ่อนลายแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือเสือซ่อนลาย เจนและไมโกะที่ทำหน้าที่เป็นตัวเข้าปะทะ สองคือคิทซึเนะ โจและซินจูเป็นฝ่ายสนับสนุน สุดท้ายคือยูสตาร์ แจ็คและฟีบีเป็นฝ่ายโจมตีระยะไกล ส่วนหนูส่งข่าวนั้นไม่มีทักษะการต่อสู้เลยแม้แต่อย่างเดียวจึงรับหน้าที่คอยเก็บของที่ได้จากมอนสเตอร์เพราะเขาบอกว่าตัวเองเด่นนักเรื่องทักษะเอาตัวรอด



เสือซ่อนลายนำกลุ่มออกลาดตระเวนที่พักเพื่อให้แน่ใจว่าคืนนี้ไม่มีตัวอะไรมาลอบโจมตี เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งแล้ว แต่พวกเจนก็ยังไม่พบซาบามานเดอร์ป่าเลยแม้แต่เงา จนเริ่มจะคิดว่าพวกเธอหลงมาผิดป่าแล้วหรือเปล่า



"แน่ใจนะว่าเรายังอยู่ในป่าเดิมอยู่ ไม่ใช่เดินเลยไปอีกที่หนึ่งเหมือนบนเกาะเริ่มต้นล่ะ" แจ็คหันไปมองเพื่อนหนุ่มที่เขาโทษว่าเป็นคนที่พาเดินเลยจุดหมายเมื่อครั้งล่าสุดที่พวกเขาเข้าไปลุยในป่ากัน



จอมเวทหนุ่มหันมาค้อนมองก่อนจะกลับไปหันดูพื้นที่รอบ ๆ ต่อเพราะไม่อยากจะไปต่อปากต่อคำกันตอนนี้



"ไม่หรอก ป่าแห่งนี้กว้างมาก กินพื้นที่เกือบหนึ่งในสี่ของทวีปแห่งนี้ไปเลยด้วยซ้ำ พวกเราเดินเข้ามาในป่าแค่ชั่วโมงเดียวเอง นี่ยังไม่เข้าไปในป่าชั้นในเลยด้วยซ้ำ" เสือซ่อนลายหันไปบอกให้แจ็คมั่นใจ



"แล้วเจ้ากิ้งก่านั่นไปอยู่ไหนซะละ ไม่เห็นแม้แต่เงา" หนูส่งข่าวพูด



"พวกมันเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ใช่กิ้งก่าซักหน่อย แล้วพวกมันอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ ฉันรู้สึกได้" ไมโกะกล่าวเสียงเย็น



หลังจากที่เธอเปลี่ยนอาชีพแล้วเธอก็ได้ทักษะใหม่ ๆ มาเยอะมาก หนึ่งในทักษะเหล่านั้นก็คือทักษะจับจิต ที่สามารถทำให้ไมโกะรู้สึกได้ถึงใครหรืออะไรในบริเวณรอบ ๆ ตัวเธอ แม้ทักษะระดับแรกนี้ทำได้แค่บอกผ่านความรู้สึก แต่ว่ากันว่าทักษะระดับที่สามของทักษะนี้สามารถบอกได้ว่ามีมือปืนอยู่ได้ไกลเป็นกิโลเลยทีเดียว



"มันก็เหมือนกันนั่นแหละ" หนูส่งข่าวตอบโดยไม่หันไปมอง



ยังไม่ทันที่จะขาดคำ เจนก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรัดขาของเธออยู่ แต่เมื่อก้มลงไปมองกลับไม่พบอะไรเลย สร้างความฉงนให้กับเธอเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะได้ทำอะไร เจนก็รู้สึกได้ว่าร่างของเธอถูกกระชากไปด้วยแรงมหาศาลจนล้มลงไปกับพื้นและลากไปยังพงหญ้าที่มีเพียงความว่างเปล่า!



เฟี้ยว!! ฉึก!!



กี้!!



เสียงร้องแหลมดังขึ้นหลังจากลูกธนูของยูสตาร์พุ่งเข้าปักอยู่บนอากาศธาตุในทิศที่เจนถูกลากไป ทันใดนั้นเองเธอก็เห็นร่างของเจ้าตัวที่ทำร้ายเธออย่างชัดเจน และมันยิ่งทำให้เธอต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะมันเพิ่งโผล่มาจากบนอากาศตรงหน้าเธอ!!



ร่างของซาลามานเดอร์ป่าเป็นผิวหนังเรียบเนียนและมีเมือกใสเคลือบเหมือนกับตัวของกบ แต่ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า เจ้าตัวตรงหน้านี้มีความสูงเกือบถึงอกของเจนด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงความยาวที่ต้องมากกว่าสามเมตรอย่างแน่นอน



"เหวอ!! เกือบไป! ขอบใจมากนะพี่ยู!" เจนหันไปหาชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอพร้อมกับวิ่งกลับเข้ามารวมกลุ่ม



เลือดสีเขียวไหลออกมาจากบาดแผลบนตัวของมันที่โดนลูกธนูปักนั้นเสียบเข้าไปลึกมากจนน่ากลัว เจ้าซาลามานเดอร์ป่าทำท่าทรมานก่อนจะหันไปหากลุ่มคนที่ทำร้ายมันด้วยท่าทางฉุนเฉียวและตะกุยเท้าวิ่งเข้าใส่ทันที



เจนรีบพุ่งเข้าปะทะเป็นคนแรกเพราะอยากจะแก้มือที่พลาดท่าให้เมื่อครู่ ดาบยาวชี้ไปด้านหน้าเตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ



เจ้าซาลามานเดอร์เห็นว่าผู้ที่เข้ามามีคนเดียวจึงไม่หยุดชะงัก มันยกเท้าหน้าและกางกรงเล็บสีเขียวดูไม่น่าไว้วางใจแล้วตะปบลงมาใส่ร่างของเจนทันที



"ระวังนะเจน! กรงเล็บของมันมีพิษ!!" เสียงของไมโกะร้องเตือน ทำให้แทนที่เจนจะยกดาบขึ้นกันเป็นเคลื่อนตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้กรงเล็กของซาลามานเดอร์พลาดไปโดนต้นไม้ใกล้เคียง ฝากรองกรงเล็บยาวและลึกเข้าไปถึงในเนื้อไม้พร้อมทั้งมีคราบสีเขี้ยวซึมออกมาด้วย



เจนลอบกลืนน้ำลายอย่างลำบาก เพราะถ้าหากเธอตัดสินใจยกดาบขึ้นกันหรือพลาดไปโดนกรงเล็บเข้าล่ะก็ คงได้เจ็บหนักอย่างแน่นอน บางทีหลังจากนี้ถ้าเธอเจอเข้ากับมอนสเตอร์ที่ตัวใหญ่กว่าเอวเธอล่ะก็ ควรจะเลือกหลบการโจมตีน่าจะดีกว่า



ทางเจ้าซาลามานเดอร์เห็นว่าเหยื่อของมันหลบได้ก็ยิ่งโมโห มันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วแล้วใช้หางขนาดใหญ่ฟาดด้วยความรุนแรง



เจนกระโดดหลบอย่างฉับไวพร้อมกับฟาดดาบไปยังมอนสเตอร์ตรงหน้า



ผ่ามิติ!!



คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะร่างใหญ่ของซาลามานเดอร์ป่าเข้าเต็ม ๆ เสียงร้องโหยหวนของซาลามานเดอร์ป่าดังก้องก่อนจะเงียบไป เมื่อเจนลงสู่พื้นแล้ว เธอก็รีบยกดาบเตรียมพร้อมสู้ต่อทันที แต่ทว่าร่างของเจาซาลามานเดอร์ถูกผ่าออกเป็นสองซีกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว สร้างความประหลาดใจให้กับเธอแต่ไม่ใช่เพื่อน ๆ ที่อยู่ด้านหลัง



"ลงดาบได้แจ๋วมากเจน แต่ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก แม้เจ้าซาลามานเดอร์จะพลังโจมตีสูงแถมเร็วมากแต่ตัวมันก็บางมากเหมือนกัน เพราะแบบนี้คนที่เพิ่งเลื่อนยศเลยชอบมาเก็บเลเวลกันที่นี่ยังไงล่ะ ถ้าหากสู้อย่างฉลาดก็จัดการได้ง่ายมาก" เสือซ่อนลาสบอกขณะที่เดินเข้ามาสมทบ



"โฮะโฮ้ ค่าประสบการณ์ก็ไม่ใช่น้อย ๆ ด้วยนะเนี่ย" โจเสริมเมื่อเขาลองเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาดู แต่เมื่อเจนเปิดขึ้นมาดูบ้างกลับพบว่าได้ค่าประสบการณ์มาไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของหลอดค่าประสบการณ์ด้วยซ้ำ



"ไหนว่านายบอกค่าประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ๆ ไง เพิ่มมาแค่นิดเดียวเอง ทั้ง ๆ ที่เลเวลมากกวาฉันเป็นสิบแท้ ๆ" เจนแย้ง ทำให้โจหันมามองเธออย่างหมดอารมณ์



"พวกเราเลื่อนยศมาแล้วมันก็เก็บเลเวลยากแบบนี้แหละ เพราะแบบนี้ไงตั้งแต่ยศขุนนางถึงได้ค่าประสบการณ์จากมอนสเตอร์ที่มีเลเวลน้อยกว่าตัวเอง"



อีกด้าน หนูส่งข่าวก็ก้มลงแยกของจากร่างของซางามานเดอร์ป่าที่กำลังกลายเป็นแสงไปว่าได้อะไรมาบ้าง



"หนังซาลามานเดอร์ผืนใหญ่สองชิ้น เนื้อซาลามานเดอร์สิบชิ้น..พิษซาลามานเดอร์ป่าหนึ่งขวด อื้ม! อันนี้ดีสุดแฮะ" หนูส่งข่าวว่าแล้วยกขวดเล็ก ๆ ที่บรรจุของเหลวสีเขียวขึ้นมาดู



ฟีบีที่อยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามามองด้วยความสนใจเป็นพิเศษเพราะสีของของเหลวนั้นข้นและสดใสเป็นเหมือนกับน้ำผลไม้เลยทีเดียว



"ดูน่าอร่อยจังเลย กินได้หรือเปล่าคะ" มังกรน้อยเอียงหัวถามหน้าตาใสซื่อ ทำให้ซินจูที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องรีบเข้ามาห้ามเอาไว้อย่างรวดเร็ว



"ไม่ได้นะฟีบี! ถ้าขืนกินของแบบนี้เข้าไปแล้วจะทำให้ป่วยเอานะ"



"อ๋อ แปลว่าน้ำขวดนี้ยังไม่สุกใช่หรือเปล่าคะ ถ้าหากเอาไปต้มแล้วจะกินได้ใช่มั้ยคะ" เด็กสาวหันไปถามหน้าตาเฉย บางทีหลังจากนี้ซินจูคงต้องหาเวลามาสอนเรื่องต่าง ๆ ให้กับเด็กคนนี้ซะแล้ว



เมื่อหนูส่งข่าวจัดการเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เตรียมพร้อมที่จะเดินตระเวนรอบพื้นที่ตั้งแค้มป์ต่อทันที แต่ว่าดูท่าพวกเธอคงไม่ต้องเดินตามหาซาบามานเดอร์ป่าที่ไหน เพราะพวกมันต่างพร้อมใจกันปรากฏร่างออกมาให้พวกเจนเห็น กลุ่มซาลามานเดอร์ป่ากว่าสี่ตัวตัวกำลังล้อมพวกเจนโดนตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความสูงมากกว่าไหล่ของเจนซะอีก



"ทุกคนเข้าประจำที่ ทีมประลุยเลย!!" เสียงระโกนของเสือซ่อนลายดังลั่นพร้อมกับทีมปะทะทั้งสามแยกย้ายพุ่งเข้าโจมตีใส่พวกซาลามานเดอร์ป่า



คนอื่น ๆ องก็ไม่ต้องพูดอะไรมมากมาสเพราะทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองกันอยู่แล้ว คิทซึเนะและฟีบีคุ้มกันสมาชิกทีมของตนเองโดยให้คนในทีมอย่างโจหรือยูสตาร์เป็นตัวสร้างความเสียหายให้มากที่สุด ส่วยซินจูนั้นก็จะคอยใช้ทักษะเสริมพลังต่าง ๆ และรักษาบาดแผลเท่าที่ทำได้ ส่วนหนูซ่อนลายนั้นได้หายไปจากการต่อสู้แล้วจากทักษะของเขา



เจนหันไปเหลือบมองดูการต่อสู้ของคนอื่น ๆ ก็พบว่าทุก ๆ คนนั้นแม้จะไม่ได้มีอาวุธระดับสูงหรือมีทักษะที่ทรงพลัง แต่ก็สามารถต่อสู้ได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว



ไมโกะนั้นใช้ความเร็วและความคล่องตัวเป็นหลัก สามารถหลบการโจมตีของพวกซาลามานเดอร์ป่าและโจมตีสวนกลับไปพร้อม ๆ กัน และด้วยพลังป้องกันต่ำของพวกมัน ทำให้ดาบคู่ของไมโกะสามารถสำแดงเดชได้เกินความจริงด้วยซ้ำ และด้วยทักษะของนักฆ่าทำให้ไมโกะสามารถจัดการซาลามานเดอร์ป่าตัวหนึ่งได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที



ทางเสือซ่อนลายเองก็ใช่ย่อย ทักษะป้องกันของอัศวินก็ทำให้เขาสามารถทนรับการโจมตีของซาลามานเดอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น และบวกกับทักษะนักรบคลั่ง แม้จะมีพลังโจมตีไม่สูงมากแต่เสือซ่อนลายสามารถโจมตีสวนกลับโดยไม่คิดจะหลบ แถมเมื่อยิ่งโดนโจมตีพลังของเขาก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกซาลามานเดอร์เกือบสิบตัวได้ตายลงไปจากฝีมือของเขาในเวลาไม่นาน เลือดสีเขียวเปรอะเปื้อนเต็มของอัศวินหนุ่มดูราวกับสัตว์อสูรก็มิปาน



พวกโจนั้นก็สามารถจัดการซาลามานเดอร์ไปได้ไม่น้อย แม้พวกมันจะไม่ได้แพ้พลังสายฟ้า แต่พลังเวทย์ของโจก็ไม่ใช่ธรรมดา เสียงครู่เดียวซาลามานเดอร์เผาก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ส่วนซินจูนั้นก็ดูสุขุมยิ่งกว่าคราวที่แล้วที่เธอสู้ด้วยกันกับเจน เธอสามารถเลือกใช้ทักษะได้อย่างเหมาะกับสถานการณ์และใจเย็น ท่าทางเสือซ่อนลายคงจะฝึกให้เธอมาไม่น้อย โดยทั้งสองคนมีคิทซึเนะคอยช่วยคุ้มกันเอาไว้ด้วยเพลิงจิ้งจอกของเธอที่คอยช่วยเสริมกลิ่นเหม็นไหม้ของซาลามานเดอร์ด้วยอีกตัว



ทางด้านของพวกแจ็คนั้นแม้จะสร้างความเสียหายไม่มากเท่าสองกลุ่มแรก แต่พวกเขาก็คอยช่วยตัดกำลังของซาลามานเดอร์ไปไม่น้อย และคอยช่วยจัดการเจ้าพวกที่คอยแอบซุ่มโจมตีได้เป็นอย่างดี ส่วนฟีบีนั้นก็ใช้โล่พลังอยู่เช่นเดิมโดยไม่คิดอยากจะเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยเลย



ทุก ๆ คนต่างพัฒนาฝีมือไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ โดนเฉพาะไมโกะที่เผลอ ๆ อาจจะเก่งกว่าเจนแล้วด้วยซ้ำไป ถ้าหากเธอยังคงเฉื่อยชาอยู่แบบนี้คงไม่ดีแน่ เมื่อคิดได้แล้วเจนก็หันมาสนใจกับพวกซาลามานเดอร์ตรงหน้าของเธอบ้าง ร่างบางเรืองแสงด้วยพลังทักษะ แล้วดาบยาวก็ถูกตวัดเข้าใส่ขาข้างหนึ่งของของซาลามานเดอร์อย่างรวดเร็ว



ขาของมันขาดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เจนไม่ปล่อยให้มันต้องทรมานอยู่นาน เธอยกดาบตัดหัวของซาลามานเดอร์ออกจากร่างแล้วพุ่งเข้าหาซาลามานเดอร์ตัวอื่นทันที



แม้เจนจะไม่ได้คล่องแคล่วเท่ากับไมโกะหรืออึดเหมือนกับเสือซ่อนลาย แต่พลังโจมตีนั้นถือว่าเจนเหนือที่สุดในสามคนนี้ ทั้งการจู่โจมที่รุนแรง เฉียบขาด ทำให้เจนเพียงแค่ลงดาบเพียงแค่สองสามทีก็สามารถจัดการซาลามานเดอร์ป่าได้แล้ว



ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเจนนั้นสามารถรับมือเหล่าซาลามานเดอร์ป่ากว่ายี่สิบตัวได้อย่างสบาย ๆ แต่ทว่าพรรคพวกของมันอีกนับร้อยที่มาตามเสียงร้องของเพื่อนของมันทำให้จำนวนของซาลามานเดอร์เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มตึงมือ



แต่ทว่าทุก ๆ คนต่างไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเพราะต่างคนต่างพยายามลงมือไปอย่างเต็มที่แล้ว พวกคิทซึเนะเองก็ทำหน้าที่ป้องกันอยู่ หากสลับหน้าที่เป็นโจมตีตอนนี้อาจทำให้คนอื่น ๆ ในทีมได้รับอันตรายได้



เจนที่เห็นท่าไม่ดีจึงใช้ผ่ามิติจัดการซาลามานเดอร์ป่าที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วหยิบขวดยาเพิ่มพลังเวทมนตร์ออกมาขึ้นดื่มก่อนจะใช้ทักษะที่เธอรู้ว่าสามารถจัดการแก้สถานการณ์ได้อย่าวชะงัก



พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ออร่าสีทองเปล่งประกายออกมาจากร่างของเจนพร้อมกับพลังที่เพิ่มพูนเข้ามาจนทำให้เธอรู้สึกได้ทันทีว่าพวกซาลามานเดอร์พวกนี้ไม่ใช่คู่มือของเธออีกต่อไป



และดูท่าทางเหล่าซาลามานเดอร์ก็จะรู้ตัวว่าพวกมันได้เข้าเผชิญหน้ากับพลังที่พวกมันไม่ควรเข้ามายุ่งด้วยซะแล้ว และสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมันบอกว่าต่อให้มีพรรคพวกของมันอีกเป็นร้อย ก็ไม่สามารถทำอะไรผู้ที่อยู่ตรงหน้ามันได้ ซึ่งเหลือเพียงทางเลือกเดียวที่จะทำให้พวกมันมีโอกาสที่จะมีชีวิต



หนี!!



"ตอนนี้ล่ะ ทุกคน มีอะไรเก็บเอาไว้ รีบเอาออกมาจัดการพวกมันให้หมดเลย!!" เสือซ่อนลายตะโกน และนั่นเป็นสัญญาณที่คิทซึเนะกำลังรออยู่



ลูกไฟนับร้อยลูกปรากฏอยู่บนฟ้าในพริบตา และทันใดนั้นเอง ลูกไฟก็พุ่งเข้าเผาผลาญเหล่าซาลามานเดอร์เพลิงเข้าอย่างไม่เลือกหน้า เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ต่างทุ่มพลังจัดการซาลามานเดอร์ที่กำลังแตกตื่น



ทางเจนที่เห็นว่าพวกซาลามานเดอร์กำลังถูกจัดการไปเรื่อย ๆ ที่เธอใช้พลังสถิตร่างก็เพราะต้องการจะฝึกให้คุ้นกับพลัง แต่ถ้าหากปล่อยเอาไว้ล่ะก็เหล่าซาลามานเดอร์คงจะถูกจัดการก่อนที่จะได้แสดงฝีมือแน่



ไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลา เจนเร่งความเร็วสูงสุดพุ่งตัวเข้าผ่าร่างของซาลามานเดอร์สามตัวด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว ความรู้สึกของพลังที่เพิ่มมากขึ้นมากจากครั้งที่แล้วทำให้เจนตัวสั่น ถ้าหากเธอสามารถฝึกฝนจนใช้พลังนี้ได้อย่างคล่องแคล่วล่ะก็ ต่อให้เจอกับราชาเทนกุจมูกยาวอีกครั้ง เธอก็ไม่มีทางพลาดท่าง่าย ๆ อีกอย่างแน่นอน



ดวงตาสีแดงตวัดมองฝูงซาลามานเดอร์กำลังวิ่งหนีไป ในขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มที่จะรามือกันไปแล้วเพราะยังไม่อยากจะแยกออกไปจากกลุ่ม แต่ทว่าพลังเวทย์ของเจนยังพอเหลืออยู่บ้าง และยังมีซาลามานเดอร์ป่าอีกหลายตัวที่เจนยังคงมองเห็นอยู่



รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าส่วย ก่อนที่ร่างที่เปล่งออร่าสีทองจะพุ่งขึ้นฟ้าและบินเข้าใส่ฝูงซาลามานเดอร์ป่าที่กำลังวิ่งหนีไปจากพวกเสือซ่อนลาย พริบตาเดียว ก็ไม่มีใครมองเห็นซาลามานเดอร์ป่าอีกแต่บนแถบค่าประสบการณ์นั้นกลับเพิ่มเอาราวกับมีใครไปเติมน้ำใส่ เห็นทีคืนนี้พวกเจนคงหลับสบาย ไม่มีซาลามานเดอร์ตัวไหนกล้ามารบกวนอย่างแน่นอน... ถ้ามันเหลือรอดอยู่ซักตัวนะ



จบตอนที่ 33 ความจริงที่ไม่โสภา



------------------------

Tohan-kun
31st January 2014, 12:14
ตอนที่ 34 ตรวจจิต ตรวจใจ



ดวงตาสีแดงโกเมนเปิดขึ้นมาพบกับเพดานห้องสีชมพูชวนปวดหัว เจนค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกไปทำธุระส่วนตัวยามเช้าตามปกติหลังจากใช้เวลาในเกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์มาทั้งคืน



เวลาใช้เวลาอีกแปดวันในเกมที่เหลืออยู่ในป่าเพื่อฝึกฝนฝีมือและเก็บเลเวล แม้ว่าจะมีเวลามากถึงแปดวันแต่เลเวลของพวกเจนทั้งสามคนที่เลื่อนยศมาแล้วก็ยังไม่ถึงสิบกันซักคน แม้กระทั่งคิทซึเนะที่ตอนนี้มีระดับเลเวลสูงที่สุดในหมู่พวกเจนก็มีเลเวลเพิ่มขึ้นมาเดิมห้าเป็นเลเวลเก้าเท่านั้น



อย่างน้อยก็ยังดีที่ตอนนี้พวกเสือซ่อนลายมีเลเวลเต็มร้อยกันทุกคนแล้ว วันสุดท้ายของการออนไลน์ พวกเจนตัดสินใจกลับเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะไปเติมเสบียงและรับภารกิจเลื่อนยศของแต่ละคน น่าเสียดายที่ภารกิจของทุกคนห้ามคนอื่นช่วยเหลือเหมือนกับที่พวกโจได้พบ แต่จากที่ดูแล้วมีระดับความง่ายกว่ามาก เว้นแต่ของซินจูนั้นที่ได้ภารกิจคล้ายกับเจนก็คือให้ช่วยเหลือคน แต่จำนวนเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นทำให้ก่อนถึงเวลาออฟไลน์ ซินจูก็เที่ยวออกตระเวนช่วยเหลือชาวเมืองจนได้เลื่อนยศเป็นคนแรก



เวลาแปดวันนี้แม้จะได้เลเวลมาไม่มาก แต่สำหรับเจนแล้วการได้ฝึกสู้นั้นถือเป็นประสบการณ์ทีเธอต้องการมากที่สุด เจนพยายามฝึกฝนให้ร่างกายคุ้นชินกับการต่อสู้และพลังสถิตร่างตามที่มาเอะให้คำแนะนำ ดังนั้นทุก ๆ วันเธอก็จะหาโอกาสที่จะใช้พลังสถิตร่างอยู่เสอมจนเจนเริ่มจะคุ้นกับพลังเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ส่วนพลังของยามาตะ โนะ โอโรจินั้นเจนยังไม่คิดจะเอามาใช้เร็ว ๆ นี้แน่ ตามที่โจได้เตือนเธอเอาไว้ว่าอย่าตกเป็นจุดเด่นถ้ายังไม่อยากโดนพวกกิลด์พิฆาตราชาตามล่า



แม้ว่าเจนจะใช้พลังสถิตร่างของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางทุกวัน แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเธอก็ไม่สามารถควบคุมออร่าที่เปล่งออกมาจากร่างได้อย่างที่คิทซึเนะทำได้ซักที จนสุดท้ายเจนก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปและสนใจกับการฝึกตามปกติของเธอจนหมดเวลาออนไลน์







เจนเดินลงมาจากห้องนอนก็พบกับแม่ของเธอกำลังเตรียมอาหารเช้าอย่างอารมณ์ดี ช่วงหลัง ๆ มานี้เจนยิ่งเห็นแม่ของเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้คุณหมอเกอร์ทูธเป็นเพื่อนคุยหรือเป็นเพราะเจนกลายเป็นลูกสาวสมใจกันแน่



"อรุณสวัสดิ์จ๊ะเจน เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง เล่นเกมสนุกมั้ย" จริยาหันไปยิ้มให้กับเจนอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับวางหมูย่างและชามใส่ข้าวเหนียวไว้ตรงหน้า



"เมื่อคืนก็สนุกดี แต่รู้สึกเหนื่อยมากกว่า" เจนตอบเรียบ ๆ อย่างไม่คิดอะไรแล้วนั่งลงทานมื้อเช้า



แต่หลังจากผ่านไปซักพักเธอก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเจนรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครบางคากำลังจดจ้องอยู่ที่เธอ และสายตานั้นไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นสายตาของจริยาที่จ้องหน้าของเจนมาตั้งแต่ที่เธอนั่งลงที่โต๊ะทานข้าว



หัวสมองของหญิงสาวรีบคิดทบทวนทันทีว่าอะไรที่ทำให้แม่ของเธอจ้องหน้าตาไม่กระพริบ จะว่าเธอโมโหอะไรก็ไม่น่าใช่เพราะเช้านี้เจนก็ยังไม่ได้ไปทำอะไรให้จริยาโกรธซักหน่อย และใบหน้าก็ยังยิ้มอยู่แบบนั้นก็ไม่ใช่วิธีแสดงอารมณ์โมโหของแม่ที่เจนรู้จักแน่



"แล้ว...ตอนที่อยู่ในเกมไปทำอะไรมาบ้างจ๊ะ" จริยาเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอยังคงฟังระรื่นหูเช่นเคย แต่เจนกลับรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่แม่ของเธอส่งมาให้ ถ้าหากไม่รีบคิดให้ออกล่ะก็คราวนี้บางทีเจนอาจจะได้เจอกับอารมณ์ โกรธจริง ๆ ของจริยาก็เป็นได้



"อ..เอ่อ ก็ไปเก็บเลเวลกับพวกโจแล้วก็เพื่อในเกมน่ะค่ะ แล้ว.. แม่ล่ะคะ" เจนพยายามตอบอย่างระมัดระวัง เธอให้มั่นใจว่าไม่ได้ผิดพลาดอะไรตรงไหน รวมทั้งเน้นไปที่คำลงท้ายแสดงถึงความเป็นเด็กผู้หญิงอย่างเด่นชัด



เมื่อได้ยินคำตอบของลูกสาว จริยาก็ยิ้มกว้าง



"เมื่อคืนแม่ได้ไปเที่ยวกับทูธด้วยแหละ คุณหมอเขาให้แม่เรียกชื่อเล่นน่ะจ๊ะ ตอนนี้พวกเราสองคนกลายเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะ ลูกเชื่อมั้ย เมื่อตอนวันแรกแม่ได้เห็นเรือเหาะด้วยล่ะ พวกเราสองคนกำลังเดินทางไป..."



ในที่สุดเจนก็รู้ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แม่ของเธอทำตัวแปลก ๆ นี่เป็นนิสัยเสียของจริยาที่เป็นมานานเท่าที่เจนจำได้ คือเมื่อเธอได้เจออะไรที่ถูกใจมาก ๆ ขึ้นมาละก็ คนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดอย่างเจนก็จะกลายเป็นเพื่อนคุยที่มีหน้าที่ฟังอย่างเดียว แต่ที่ทำให้เจนลำบากก็คือจริยาจะไม่เป็นคนเริ่มเล่าเรื่องก่อนถ้าหากเจนไม่ได้เป็นฝ่ายถาม และถ้าหากเธอยังไม่รู้ว่าจะต้องถามเรื่องอะไรล่ะก็ จะทำให้จริยาโกรธทันที



ข้อเสียอีกของของนิสัยแปลก ๆ ของจริยาคือยิ่งเธอได้ใช้เวลากับเรื่องที่เธอชอบมากเท่าไหร่ ระยะเวลาที่เธออยากจะเล่าเรื่องราวก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แม้กระทั่งเจนและจริยากลับมาจากการออกกำลังกายช่วงเช้าก็ยังไม่มีทีท่าจะจะเล่าจบ หรือแม้กระทั่งตอนที่เจนเข้าไปอาบน้ำ จริยายังคงตามมาเล่าให้ฟังที่หน้าห้องน้ำด้วยซ้ำ



แม้ว่าจะต้องทนฟังเสียงของจริยาเล่าเรื่องราวที่เธอไปเจอมาแบบไม่มีหยุด แต่เจนก็รู้สึกดีที่ได้เห็นแม่ของเธอกลับมาทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้บ้าง เพราะนิสัยเช่นนี้ของจริยาได้หายไปช่วงหลังจากที่ศิลา พ่อของเจนได้เสียชีวิตลงไป นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของชีวิตเจนและจริยา นับแต่นั้นมานอกจากนิสัยบางอย่างของจริยาที่หายไปแล้ว ยังมีรอยยิ้มที่ลดน้อยลงด้วย ดังนั้นต่อให้เจนต้องหูชาเพราะต้องฟังเสียงของแม่เธอเล่าเรื่องที่มีความสุขแบบนี้อีกนานเท่านานเธอก็ยอม







รายการโทรทัศน์กำลังรายงานข่าวของฮีโร่ปรากฏตัวขึ้นที่ในเมืองแมนฮัตตั้้น สหรัฐอเมริกา พอได้รู้เรื่องแล้วเจนถึงได้เห็นข่าว ไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องเป็นคนที่รู้เรื่องช้ากว่าชาวบ้านเขาตลอดเวลา แต่มันทำให้รู้สึกดีที่เจนได้เห็นข่าวแปลก ๆ แบบนี้หลังจากเมื่อตอนสมัยยังเด็กเธอมองเรื่องแบบนี้เป็นแค่การแสดงและไม่คิดว่าจะมีใครทำเข้าจริง ๆ



พอเห็นข่าวของฮีโร่ก็ทำให้เจนนึกถึงเรื่องของอามีร่า แม้เธอจะรู้ว่าโจโพสเรื่องของอามีร่าลงในเว็บไซด์ไปแล้ว แต่ไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่เด็กสาวจะได้รับการช่วยเหลือ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะรับประกันว่าจะมีการช่วยเหลือเช่นกัน เจนเริ่มที่จะคิดหาวิธีช่วยอามีจ่าอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา นั่นก็คือไม่มีทางที่เจนจะหาทางช่วยอามีร่าได้เลย แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหากเจนรู้จักฮีโร่เข้าซักคนล่ะก็ เธอคงจะขอให้เขาช่วยไปนานแล้ว



จริยานั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเธอนั้นก็ยังคงเอ่ยปากเล่าไม่หยุดตั้งแต่เช้า ตอนนี้เวลาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดพูดเลยด้วย แม้ตอนนี้หูของเจนเริ่มจะไร้ความรู้สึกแล้วแต่เสียงของจริยาก็ช่วยให้เจนหยุดคิดเรื่องของอามีร่าได้ เป็นอีกครั้งที่แม่ของเธอได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ



"..แล้วแม่ก็เห็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุด มันคือหอนาฬิกาลอยฟ้า!! แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีของแบบนี้อยู่ด้วย ก็จริงว่านี่เป็นเกมแต่แม่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่ามันน่าประทับใจมากจริง ๆ .. หลังจากที่ชื่นชมความงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่และทูธก็ตั้งใจจะเข้าไปสำรวจว่าด้านในมีอะไรบ้าง แต่น่าเสียดายที่เวลาออนไลน์หมดลงซะก่อน แล้วเรื่องราวก็จบลงตรงนี้แหละ" เสียงสวรรค์ดังขึ้นเรียกเสียงโห่ร้องอย่างปิติยินดีในใจของหญิงสาวที่เป็นผู้ฟังที่ดีอย่างเงียบ ๆ



"อ้อ! แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง คุณหมอเกอร์ทูธฝากเตือนให้ลูกไปตรวจร่างกายในวันนี้ด้วยนะ"



"อ๊ะ!! จริงด้วย ลืมไปซะสนิทเลย!!" เจนกระเด้งตัวจากโซฟาเมื่อเธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอมีนัด ถ้าหากไปสายก็ไม่รู้ว่าคุณหมอคนดีจะทำอะไรกับร่างกายของเจนบ้าง ทำให้ตอนนี้หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกนอกบ้านไปอย่างรวดเร็ว



"ไปดีมาดีนะจ๊ะ!" จริยาพูดเสียงดังไล่ตามไป



ใบหน้าของเธอยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายเมื่อได้เล่นเรื่องที่อัดอั้นเอาไว้ในใจให้กับเจนฟัง ความรู้สึกโล่งใจเช่นนี้ที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี ดวงตางามค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน แล้วผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว





เจนเรียกรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลของเกอร์ทูธอย่างรวดเร็ว แต่ว่าแม้เจนจะรีบมาแค่ไหน กว่าเธอจะมาถึงโรงพยาบาลก็บ่ายโมงเข้าไปแล้ว ดังนั้นเจนจึงควรทำใจเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ดีกว่าว่าเธอจะพบกับอะไรบ้าง



แต่เมื่อเจนติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ได้คำตอบที่น่าแปลกใจกลับมา



"กรุณารอซักครู่นะคะ ตอนนี้คุณหมอเกอร์ทูธกำลังทำการรักษาผู้ป่วยคนอื่นอยู่ ท่านว่างเมื่อไหร่แล้วเดี๋ยวจะมีพยาบาลไปเรียกค่ะ"



เจนกล่าวขอบคุณแล้วก็ไปนั่งรออยู่ที่จุดพักใกล้ ๆ สิ่งที่ทำให้เจนแปลกใจก็คือการที่เกอร์ทูธลงมือตรวจคนไข้จริง ๆ เพราะตอนแรกที่เธอเข้าใจกับตัวของคุณหมอคนนี้ว่าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ซะอีก แต่พอมาคิดดูอีกที ตอนที่ร่างกายของเธอเป็นผู้หญิงก็ได้คุณหมอคนนี้ช่วยเอาไว้นี่นา



ไม่นานนักก็มีพยาบาลคนหนึ่งมาพาตัวเธอเข้าไปตรวจในห้องด้านใน เจนไม่รู้ว่าเธอจะเจออะไรบ้างกับการตรวจสุขภาพในครั้งนี้ เพราะเธอคิดว่าการตรวจร่างกายของคนที่จู่ ๆ ร่างกายเปลี่ยนเพศจากผู้ชายเป็นผู้หญิงคงจะมีการตรวจร่างกายที่ต่างไปจากการตรวจร่างกายทั่วไป บางทีอาจจะต้องแก้ผ้าหรืออาจจะต้องผ่าตัด! ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกระแวงว่าจะมีอะไรที่เหมือนกับภาพยนตร์สยองขวัญที่มีฉากผ่าตัดสยอง ๆ



ทว่าเมื่อเจนเดินเข้ามาในห้องตรวจกลับพบว่าภายในห้องดูธรรมดากว่าที่คิด ห้องสีครีมดูสบาย ๆ มีโต๊ะเลื่อนที่วางอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเครื่องวัดความดัน เครื่องเจาะเลือดและเครื่องวัดอุณหภูมิในเครื่องเดียวที่ในสมัยนี้ถือว่าเป็นของธรรมดาที่ใช้กันทั่วโลก อีกด้านก็เป็นหน้าจอแสงที่แสดงผลจากเครื่องนี้ซึ่งยังคงแสดงสัญลักษณ์รูปนกพิราบของบริษัทนอยช์วานสไตลไซแอน แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์อยู่บนนั้น



อีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะทำงานของแพทย์ที่เป็นเจ้าของห้องนี้ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างไปจากห้องของหมอทั่วไป เว้นแต่ว่าในห้องนี้มีกลิ่นหอมของวานิลลาอวนไปทั้งห้องแทนที่จะเป็นกลิ่นยาฆ่าเชื้อ



หลังจากเจนนั่งลงบนเก้าอี้นวมสีขาวแล้ว นางพยาบาลที่มาส่งเจนก็เดินออกไป ปล่อยให้เจนให้อยู่ในห้องคนเดียว ทำให้เจนมีโอกาสได้สำรวจห้องอย่างระเอียด



ด้านหลังโต๊ะทำงานตรงหน้าเจนมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยผงสำหรับชงเครื่องดื่มอยู่เป็นสิบอย่างพร้อมทั้งกาต้มน้ำไฟฟ้าตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านล่าง จากที่เห็นพอเดาได้แค่กาแฟและโกโก้เท่านั้น อย่างอื่นเจนไม่รู้ว่าเป็นอะไรเพราะมีทั้งสีขาว เขียว แดง น้ำเงิน หรือแม้กระทั่งสีม่วงก็ยังมี แต่จากกลิ่นหอมอบอวนภายในห้องแล้วเจนมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นต้องมีวานิลลาอย่างแน่นอน



เจนมองของบนโต๊ะทำงานตรงหน้าเห็นมีแฟ้มเอกสารบางอย่างวางอยู่บนนั้น เจนมั่นใจมากกว่าบนเอกสารนั้นมีชื่อของเธอเขียนอยู่และบนแฟ้มสีน้ำตาลก็ถูกประทับตราสีแดงภาษาอังกฤษที่เจนอ่านไม่ออกเพราะดูจากมุมกลับหัว แต่ท่าทางจะเป็นเอกสารสำคัญมากทีเดียว



ด้วยความสงสัยที่ไม่อาจหักห้ามใจได้ เจนลุกขึ้นและเอื้อมมือจะไปหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมา ทว่าก่อนที่เธอจะได้แตะต้องเอกสารนั้น เสียงประตูอัตโนมัติก็ถูกเปิดออก ทำให้เจนแทบจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมแทบไม่ทัน น้ำลายในปากแห้งเหือด ตัวหญิงสาวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้จะหันไปมองว่าใครเป็นผู้ที่เดินเข้าประตูมา



"ขอโทษทีที่มาช้า พอดีติดคนไข้อยู่น่ะ แต่เรื่องนี้ต้องโทษเธอนะที่มาช้าซะขนาดนี้ ตอนแรกฉันคิดว่าจะมาตั้งแต่เช้าซะอีก" เสียงคุ้นหูของเกอร์ทูธดังขึ้นพร้อมกับตัวของคุณหมอคนดี



สภาพของเกอร์ทูธเหมือนเดิมทุกอย่างตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้เจอกัน แม้ว่าสีหน้าของคุณหมอจะดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างแต่ก็ยังคงยิ้มออกมาได้อย่างดีใจเมื่อได้เห็นหน้าของเจน



เมื่อเธอนั่งลงบนที่นั่งก็พบเอกสารที่เจนจะหยิบมาเมื่อครู่วางอยู่ เธอจึงหยิบเอกสารนั้นขึ้นมาและส่งให้กับเจ้าของชื่อที่เขียนอยู่บนแฟ้ม



"ดูได้หรือคะ" เจนจ้องมองเกอร์ทูธด้วยความสงสัย



หญิงสาวตรงหน้าของเจนพยักหน้ารับแล้วจึงยิ้มตอบกลับมา



"ก็ต้องได้สิ นี่เป็นแฟ้มข้อมูลของเธอนี่นา" ได้ยินดังนั้นเจนจึงรับแฟ้มมาโดยดี



ด้านหน้าของเองสารเขียนชื่อของเธอเอาไว้ โดยตราประทับสีแดงนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'Confidential' หรือปกปิด และนั่นก็หมายความว่าเอกสารที่ถืออยู่นี้เป็นเอกสารลับที่ห้ามคนทั่วไปอย่างเจนอ่านเด็ดขาด



"เอกสารลับเลยหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน" เจนเงยหน้าขึ้นมามองเกอร์ทูธที่หันไปชงกาแฟที่เคาน์เตอร์ด้านหลัง



"ก็ข้างในนั้นเป็นข้อมูลของตัวเธอทั้งหมดนี่ คงจะเปิดเผยให้คนอื่นดูง่าย ๆ ไม่ได้หรอกจริงมั้ย" คุณหมอพูดอย่างสบาย ๆ ขณะเคาะผงสีครีมที่ส่งกลิ่นวานิลลาลอยฉุนยิ่งกว่าเก่า และจำนวนที่เกอร์ทูธใส่ลงไปก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย ทำเอากาแฟสีดำแทบจะกลายเป็นสีครีมไปแล้ว



เจนกลับมาดูเอกสารในมืออีกครั้ง หน้าแรกของเอกสารนั้นมีรูปของเจนทั้งสมัยยังเป็นผู้ชายและรูปหลังจากที่เป็นผู้หญิงซึ่งแทบไม่ต่างกันเลยแปะอยู่บนหัวกระดาษ เป็นอย่างแรกที่เห็น ส่วนอื่น ๆ ก็เป็นข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดตั้งแต่ชื่อจริงจนไปถึงที่อยู่ตั้งแต่สมัยที่เจนยังเด็กจนมาถึงปัจจุบัน ขนาดในทะเบียนบ้านยังไม่ระเอียดเท่านี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าหากจริยาไม่ได้เป็นคนให้ ก็น่าสงสัยจริง ๆ ว่าเกอร์ทูธไปเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน



หน้าต่อ ๆ ไปก็เป็นข้อมูลของจริยาอย่างระเอียดยิบที่แม้แต่เจนก็ยังไม่รู้ แต่เมื่อเปิดไปหน้าท้าย ๆ เจนพบรูปของชายคนหนึ่งในชุดทหารอากาศเต็มยศ เธอรีบละสายตาจากเอกสารตรงหน้าแล้วส่งคืนเกอร์ทูธทันทีโดยไม่อ่านต่อ



เกอร์ทูธเลิกตามองการกระทำของเด็กสาวและสีหน้าที่หดหู่ลงแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรในเรื่องนั้น



"จะดื่มอะไรหน่อยมั้ย ห้องนี้มีทุกอย่างเลยนะ" หมอสาวเอ่ยถาม แต่เจนส่ายหน้าปฏิเสธ



"ฉันจะต้องตรวจอะไรบ้าง" หญิงสาวเข้าเรื่อง เป็นเพราะบางอย่างที่อยู่ในเอกสารที่ทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่นานนัก



เมื่อได้ยินดังนั้นเกอร์ทูธก็ได้แค่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเจน แน่นอนว่าเธอรู้ว่าอะไรที่อยู่ในเอกสารนั้นทำให้เจนเป็นแบบนี้และเธอก็เข้าใจดี



"ก็ไม่มีอะไรมาก อย่างที่ฉันเคยบอกว่าเฮดก็อกเกิ่ลรุ่นพิเศษของเธอนั้นได้ดัดแปลงให้คอยส่งข้อมูลคลื่นสมองมาให้ฉันตรวจสอบ แต่มันก็ยังไม่สามารถตรวจอย่างอื่นได้ ดังนั้นที่เธอมาวันนี้ก็แค่ตรวจร่างกายทั่วไปนั่นแหละ แล้วทุกอย่างก็แค่ตรวจเครื่องในเครื่องนี้เครื่องเดียว ไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว"



เกอร์ทูธลากเครื่องตรวจสารพัดเข้ามาใกล้ ๆ รูปร่างของมันนั้นดูทันสมัย เป็นทรงกลมที่ไว้สำหรับสอดมือเข้าไปใส่แบบเครื่องวัดความดันอัตโนมัติแบบสมัยก่อน แต่มีที่วางแขนต่อไปยังแท่งจับสำหรับเจาะเลือดโดยบนที่จับมีรูสำหรับเอาไว้วางนิ้วอยู่แล้ว



เจนสอดแขนเข้าไปโดยไม่รู้สึกอะไร ทันทีที่เครื่องทำงาน เจนรู้สึกเจ็บจี้ด ๆ ที่นิ้วโป้งที่วางเอาไว้บนที่จับ รูที่เธอสอดแขนเข้าไปฉายแสงจนทำให้รู้สึกร้อนนิดหน่อยแต่ก็ไม่มากไปกว่ามีคนเอาไฟส่องใกล้ ๆ



เกอร์ทูธกดปุ่มบางอย่างบนเครื่อง เพียงครู่เดียวหน้าต่างแสงบนผนังห้องก็แสดงข้อมูลที่ถูกส่งมาจากเครื่องตรวจทั้งหมด มันเป็นตัวเลขและอักษรย่อที่เจนไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไรและเธอก็ไม่คิดจะจำด้วย แต่ดูจากใบหน้าที่โยกหัวขึ้นลงเล็กน้อยของเกอร์ทูธก็คงจะไม่ใช่เรื่องร้ายแน่ หวังว่านะ



"เอาล่ะ จากที่เห็นก็แสดงให้รู้ว่าร่างกายของเธอแข็งแรงดี หัวใจเต้นเร็วนิดหน่อยแต่ก็เพราะอยู่ในวัยนี้มันก็เรื่องปกติ ทุกอย่างปกติดีมาก คงเป็นเพราะจริยาดูแลเธอเป็นอย่างดีแน่ ๆ" เกอร์ทูธหันมายิ้มให้กับเจนแล้วกดปุ่มที่เครื่อง หน้าจอก็กลับไปฉายรูปสัญลักษณ์นกพิราบตามเดิมพร้อมกับแสงที่ฉายบนแขนของเจนก็หายไปพร้อมกลับความรู้สึกเย็นวาบ ๆ ที่นิ้วโป้ง



พอเจนเอาแขนออกมาจากเครื่องแล้วยกนิ้วขึ้นมาดูแผลกลับพบว่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยที่ถูกเจาะเอาเลือดไป



"สรุปว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรง นั่นก็แปลว่าการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายคงไม่มีอะไรผิดปรกติ ต่อไปก็เป็นสภาพจิต เดี๋ยวช่วยตามฉันมาที่ห้องทำงานของฉันน่าจะคุยกันสบายกว่านะ" เกอร์ทูธพูดแล้วคว้าแฟ้มเอกสารของเจนแล้วเดินออกไปนอกห้อง โดยที่ไม่รอให้เจนถามใด ๆ ทั้งสิ้น



"หา! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้บอกว่าสภาพจิตงั้นหรือ!" เจนพูดเสียงดัง แต่คนฟังกำลังจะเดินออกไปนอกห้องแล้ว เจนจึงทำได้เพียงแค่ต้องวิ่งตามคุณหมอคนดีไปเท่านั้น







ระหว่างที่ขึ้นลิฟต์มา เจนพยายามบอกเกอร์ทูธว่าเธอไม่จำเป็นต้องคุยกับจิตแพทย์ แต่หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับมาเป็นคำพูดใด ๆ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เจนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา



เมื่อลิฟต์เปิดออกมาก็พบว่าบนชั้นนี้มีเพียงทางเดินเล็ก ๆ ตรงไปยังประตูไม้สีน้ำตาลเท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่าบนชั้นนี้มีเอาไว้สำหรับทำอะไร แต่เจนมั่นใจว่าไม่ใช่เอาไว้รักษาคนไข้อย่างแน่นอน



ทั้งสองเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า ตอนแรกเจนคิดว่าจะต้องมีระบบป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนาสำหรับสถานที่ที่ดูลึกลับเช่นนี้ อาทิเช่นต้องใส่รหัตผ่านยี่สิบหลักที่จะเปลี่ยนทุก ๆ ห้านาที ต้องสแกนม่านตาและผ่ามือ สแกนเสียงและดีเอ็นเอ หรือระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ที่เจนนึกไม่ถึง แต่ทุกอย่างก็พลังทลายลงเมื่อเธอเห็นเกอร์ทูธหยิบกุญแจประตูแบบเก่าขึ้นมาไข



"นึกว่าจะมีอะไรน่าตื่นตากว่านี้ซะอีก ว่าแต่คนอย่างคุณยังใช้ของโบราณแบบนั้นอยู่อีกหรือเนี่ย ไม่กลัวคนมาแอบขโมยของบนนี้หรือยังไง ไม่เห็นมีระบบความปลอดภัยอะไรเลย" เจนจ้องมองลูกกุญแจเสียบเข้าไปในรูบนลูกบิดประตู เสียงปลดล็อกดังบ่งบอกให้รู้ว่าประตูบานนี้สามารถเปิดได้แล้ว



"ของโบราณนี่แหละที่เป็นระบบความปลอดภัยอันดับหนึ่งเลยล่ะ ไม่สามารถแฮกค์หรือลัดวงจรได้ ต้องเป็นคนที่มีความรู้ในการสะเดาะกลอนเท่านั้นถึงจะเปิดประตูบานนี้ได้ อ้อ! แล้วก็อีกอย่างนะเจน เรื่องระบบความปลอดภัยที่ว่าน่ะ เป็นเพราะเธอเดินมากับฉันหรอกนะ แต่ถ้าหากเธออยู่คนเดียวล่ะก็มันอีกเรื่อง"



พูดจบ ร่างสูงในชุดกาวน์ก็เดินเข้าประตูไป ทิ้งให้เจนมองทางเดินเล็ก ๆ ที่เธอเพิ่งเดินผ่านมาอย่างหวาดระแวง พอเห็นว่าเกอร์ทูธหายไปแล้วเจนก็รีบเดินตามเข้าไปในห้องทันที



ภายในห้องนี้เจนบอกไม่ถูกเลยว่าเธอหลุดมาอยู่ในแลปวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาเจนก็เห็นทั้งหลอดทดลองหลากรูปร่างและขนาด บรรจุของเหลวหลากสีอยู่เต็มไปหมด เธอเห็นกล้องจุลทรรศน์กำลังส่องอะไรบางอย่างที่ฉายขึ้นบนจอแสง มันขยับไปมาแล้วเพิ่มตัวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนากลัว แต่ก่อนที่มันจะเพิ่มจำนวนมากเกินไป กล้องจุลทรรศน์ก็ยิงแสงเลเซอร์เข้าใส่จนเหลือจุดดำ ๆ บนจอแสงแบบเมื่อเธอเห็นเมื่อตอนแรกอีกครั้ง



"ตรงนี้รีบเดินหน่อยก็ดีนะ ส่วนนี้ฉันเอาไว้เพาะเชื้อโรคเพื่อหายารักษา โรคบางตัวตอนนี้ฉันก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้เหมือนกัน"



เจนรีบเดินเข้าชิดตัวเกอร์ทูธแทนจะทันทีที่ได้ยินประโยคที่เธอพูดออกมา แม้ว่าอยากจะถามว่ายกของอันตรายขนาดนี้มาไว้ที่หน้าลิฟต์ทำไม แต่เธอไม่อยากเปิดปากให้เชื้อโรคเข้าตัวมาแน่



เมื่อเดินไปอีกครู่หนึ่ง ทั้งสองก็ผ่านส่วนห้องทดลองมาได้ซึ่งนั่นทำให้เจนโล่งใจมาก ในส่วนนี้ที่เจนกำลังเดินอยู่นั้นแตกต่างจากส่วนที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะมีแต่เครื่องจักรประหลาด ๆ เต็มไปหมด เจนมั่นใจมากว่าเธอเหลือบไปเห็นหุ่นยนต์ตั้งอยู่ในกลุ่มเศษเหล็กซักแห่งในบริเวณนี้ ถ้าหากมีจริง ๆ ล่ะก็เจนจะไม่แปลกใจเลย ดูจากทรัพยากรและเงินจำนวนมากที่บริษัทนี้ทำได้แล้ว



"มีแต่เครื่องจักรทั้งนั้นเลย ฉันนึกว่าคุณเป็นหมอซะอีก" เจนมองคนที่กำลังเดินจ้ำไปข้างหน้าโดยไม่หันมามอง



ไม่มีเสียงตอบกลับมา แค่เจนมันใจว่าเกอร์ทูธกำลังแอบยิ้มอยู่อย่างแน่นอน เธอล่ะชอบนักเวลาที่ได้เก็บงำความลับแบบนี้



ไม่นานนักเจนก็พบกับประตูไม่อีกบาน คราวนี้ไม่เสียเวลารอเพราะมันไม่ได้ล็อกเอาไว้ เกอร์ทูธเปิดประตูให้เจนและผายมือเป็นนัยว่าให้เข้าไปก่อน



เจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม แต่เธอก็ยังคงก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะเจออะไรอยู่ในห้องนั้น และแน่นอนว่าเธอไม่ไว้ใจเกอร์ทูธ ดังนั้นก็ต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเป็นสองเท่า



แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นว่าเจนกังวลมากเกินไป เพราะภายในห้องนั้นเป็นเพียงแค่ห้องทำงานที่ด้านหนึ่งมีเตียงนอนเล็ก ๆ ตั้งอยู่ อีกด้านก็เป็นโต๊ะทำงานที่ใกล้ ๆ กันนั้นก็เป็นโซฟารับแขก ดูจากหนังสือและเอกสารจำนวนมาก แสดงว่าที่นี่จะต้องเป็นที่ ๆ เกอร์ทูธใช้ทำงานและนอนหลับอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าสภาพห้องจะรกรุงรังมากก็ตาม แต่อย่างน้อยส่วนที่รกก็เป็นฝั่งเตียงนอน ไม่ใช่ฝั่งโต๊ะทำงาน



เจนนั่งลงบนโซฟานุ่มนิ่มที่หันออกไปด้านนอกหน้าต่าง วิวที่มองออกไปนั้นถือว่าสวยงามมากเพราะมองเห็นแม่น้ำที่ไหลผ่านและหมู่บ้านสีเขียวที่ปลูกต้นไม้เป็นจำนวนมาก จากตรงนี้เจนสามารถมองเห็นสวนสาธารณะของหมู่บ้านของเจนด้วย แต่มีขนาดเล็กจิ๋วจนแทบจะไม่ทันสังเกต



เกอร์ทูธเอาแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้แล้วนั่งตรงกันข้ามกับเจน ในมือของเธอมีแกแฟผสมวานิลลาที่กลายเป็นวานิลลาผสมกาแฟมากกว่า เจนมั่นใจว่าเป็นแก้วเดียวกันกับที่เธอชงเมื่อตอนนี้อยู่ในห้องตรวจด้านล่างอย่างแน่นอน



"เอาล่ะ เรามาเข้าการตรวจสอบสุขภาพจิตกันเลยก็แล้วกันนะ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าเธอจะต้องมาดูภาพแปลก ๆ หรือโดนช็อตไฟฟ้าอะไร เพียงแค่เธอตอบคำถามของฉันไม่กี่ข้อก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว" เกอร์ทูธเริ่มพูดขึ้นก่อน



"แต่ว่าสภาพจิตของฉันปกติดี ไม่จำเป็นต้อง..-"



"เธอเป็นจิตแพทย์หรือไงถึงรู้ว่าเธอปกติ...เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอตอบคำถามของฉัน แล้วฉันจะตอบคำถามที่เธอสงสัยให้ ตกลงมั้ย" เกอร์ทูธพูดขัดเจนอย่างหมั่นไส้ แต่พร้อมกันนั้นเธอก็ยื่นข้อเสนอที่เท่าเทียมกันให้กันเจน แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าจะถามอะไร แต่ก็ไม่เห็นเสียหายที่จะตอบตกลง



เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าพยักหน้ารับ เกอร์ทูธก็ยิ้มบาง ๆ แล้วยกแก้วขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะเริ่มถามคำถาม



"เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง"



"เอ่อ...ก็สบายดี...ค่ะ" เจนตอบอย่างระมัดระวัง และไม่ลืมลงหางเสียงเอาไว้ด้วย



"แล้วตั้งแต่กลายเป็นผู้หญิงเธอรู้สึกยังไงบ้าง แบบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างมั้ยจากตอนที่เธอยังเป็นผู้ชาย"



"ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ตอนอาบน้ำมันรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นร่างกายของตัวเองเป็นแบบนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายนี่นา ใครไม่เป็นบ้าง"



เจนนึกถึงตอนที่เธออาบน้ำหลังจากที่กลายเป็นผู้หญิง ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าที่เธอจะชินกับสภาพของตัวเองที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ได้



"แล้วอย่างอื่นล่ะ เธอรู้สึกว่าเพื่อนทั้งสองคนนั้นมีอะไรแปลกไปมั้ย หรือว่าเธอมองผู้ชายที่ตอนนี้เธอรู้จักต่างไปจากเดิมบ้างมั้ย" เกอร์ทูธยกแก้วกาแฟวานิลลาขึ้นจิบอีกครั้ง ดวงตาของเธอยังคงจ้องมองอยู่ที่เจนไม่ละไปไหน



เจนขมวดคิ้วจ้องกลับไป เธอรู้สึกแปลก ๆ กับคำถามของเกอร์ทูธที่ยกขึ้นมาถามในบทสนทนานี้ แม้ว่าเจนจะไม่เคยคุยกับจิตแพทย์มาก่อนก็ตาม และแน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าการคุยกับจิตแพทย์จะเจอกับอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เกอร์ทูธต้องการคำตอบนั้นมันไม่ได้เจาะมาที่ตัวของเจน อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เจนรู้สึก



แต่พอลองมาคิดถึงกับคำถามของเกอร์ทูธดูอีกที เธอก็ยังคงรู้สึกว่าโจและแจ็คก็ยังเป็นเพื่อนอยู่เช่นเดิม เพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่ตอนนี้มองเจนเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม อีกคนก็เป็นอาจารย์ศักดิ์ดาที่คอยตามจีบแม่ของเธอมาตั้งแต่ตอนที่เจนยังเป็นผู้ชายอยู่ แถมหลังจากที่เป็นผู้หญิงแล้วดันมาบอกว่าเห็นเจนเป็นผู้หญิงมาตั้งนานแล้วอีกด้วยก็ชวนทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ คงเป็นคนนี้ล่ะมั้งที่ทำให้เจนรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม แต่ต่างในทางที่แย่ลงนะ



ผู้ชายที่เจนรู้จักคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครนอกจากคนในหมู่บ้านที่เจอหน้ากันแทบทุกวัน ไม่นับพวกนักเลงที่เจนไม่คิดอยากจะเจออีกเร็ว ๆ นี้ ก็น่าจะหมดแล้ว และเจนก็ยังคงรู้สึกต่อพวกเขาอยู่เช่นเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนที่เธอยังเป็นผู้ชาย



"ก็ไม่นี่คะ ความรู้สึกต่อทุกคนก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนเท่าไหร่"



"อืม ไม่แตกต่างสินะ.. แล้วหลังจากที่ได้เข้าไปเล่นในเกมล่ะ เธอได้รู้จักกับเพื่อนใหม่เยอะบ้างมั้ย" เกอร์ทูธยังคงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



"ก็มีมาเรื่อย ๆ ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังรวมกลุ่มเก็บเลเวลด้วยกันอยู่ ถึงจะเพิ่งเจอกันได้ไม่นานแต่ก็เราก็สนิทกันแล้ว" เจนนึกไปถึงพวกเสือซ่อนลาย น่าแปลกที่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอสามารถเข้ากับซินจูและไมโกะได้มากกว่าเสือซ่อนลายซะอีก แม้พยายามจะหาสาเหตุว่าทำไมแต่กลับหาไม่ได้



เจนแน่ในว่าเธอก็สนิทกับเสือซ่อนลายและยูสตาร์ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องเว้นระยะห่างจากทั้งสองออกมา แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งทำให้หัวใจของเริ่มรู้สึกประหลาด แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวร้ายนัก คิดว่านะ



ตอนนั้นเองภาพของจีโอก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเจน ใจดวงน้อยเต้นรัว ใบหน้าของหญิงสาวแดงผาด เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากหน้าอกสู่ใบหน้าทำให้เจนต้องรีบหลบสายตาของเกอร์ทูธโดยที่ตัวเจนเองยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น



คุณหมอรี่ตาหมอท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทางแบบนี้ผู้หญิงทุกคนรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง เพราะผู้หญิงทุกคนต่างมีช่วงเวลาเช่นนี้กันทุกคน



"ฮิ ๆ ดูเหมือนว่าใครบางคนจะแอบปิ้งหนุ่มเข้าให้แล้ว" คุณหมอคนดีเอ่ยเสียงทะเล้น



คำพูดเพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้ใบหน้าของเจนยิ่งแดงแจ๋กว่าเดิมจนดูราวกับมีใครเอาสีไปทาบนใบหน้าของเธอ



"ม..ไม่ใช่ซักหน่อย จะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไงเล่า!!" หญิงสาวพยายามแก้ตัว แต่น้ำเสียงสั่นเครือและท่าทางบ่ายเบี่ยงแบบนั้นคงจะยากที่จะทำให้เชื่อกับคำพูดของเธอ



"ไม่ต้องพยายามกลบเกลื่อนไปหรอก ของแบบนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอยู่แล้ว รู้มั้ย เป็นเพราะร่างกายของเธอเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้จิตใจของเธอก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงมากขึ้นตามไปด้วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ" เกอร์ทูธบอก เจนเปิดปากพูดไม่ออกแต่ในใจยังคงพยายามแย้งกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้



"จิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปมันไม่ได้หมายความว่าเธอจะเปลี่ยนตามไปด้วยทั้งหมดหรอกนะ เธอก็ยังคงเป็นเจนคนเดิมอยู่ เพียงแต่อะไรที่เคยรู้สึกอาจจะถูกแทนที่ไปด้วยอย่างอื่น อย่างเช่นจากที่เธอมองผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เพื่อนกัน ตอนนี้เธออาจจะมองเขาอย่างลึกซึ้งกว่าเดิมขึ้นมาอีกหน่อย และนั่นก็ไม่ได้เสียหายอะไร จริงมั้ย"



เจนได้ฟังที่เกอร์ทูธพูดทำให้เธอรู้สึกสงบขึ้นมาก แต่เธอก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจเต้นตูมตามอยู่ในอก ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกอร์ทูธพยายามจะสื่อถึง เพียงแค่เจนยังคงรู้สึกยอมรับไม่ได้ว่าคนอย่างจีโอจะทำให้เจนรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาได้จริง ๆ



"ม...หมอนั่นไม่ใช่เพื่อนซักหน่อย มันก็แค่..." หญิงสาวปฏิเสธเสียงค่อย



ดวงตาเป็นประกายภายใต้กรอบแว่นมองดูหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังจะกลายเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว แม้ว่าร่างกายจะเล่นตลกกับเธอแต่ดูจากตอนนี้แล้วเกอร์ทูธก็มั่นใจได้ว่าเจนสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี



"เอาล่ะ ฉันจะปล่อยให้เธอคิดไปเองกับเรื่องนั้นก็แล้วกัน เรื่องของหัวใจมันไม่ควรมือที่สามเข้าไปยุ่งหรอกนะ" คุณหมอแสยะยิ้ม เรียกเสียงฟุดฟิดไม่พอใจออกมาจากคนไข้ที่ยังคงหน้าแดงไม่หาย



"แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะต้องไปอัดอั้นอยู่ในใจให้มันระเบิดออกมา ถ้าหากเธอไม่อยากจะบอกแม่ของเธอก็เอาไว้มาคุยกับฉันคราวหน้าก็ได้"



"เดี๋ยวก่อน หมายความว่ายังไงที่บอกว่าคราวหน้า!? นี่หมายความว่าฉันต้องกลับมาที่นี่อีกงั้นหรือ" เจนพูดเสียงดังด้วยความตกใจ



"ก็แน่ล่ะสิ เราสองคุยจะต้องมีเรื่องคุยกันอีกนานเลยล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ ทุกอย่างที่เราคุยกันจะเป็นความลับ อย่างไงก็ตามฉันก็ยังมีจรรยาบันแพทย์อยู่นะจ๊ะ" เกอร์ทูธว่าและหันไปยกกาแฟวานิลลาขึ้นดื่มอึกใหญ่



"หมอ จิตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นี่ตกลงคุณเป็นอะไรกันแน่" เจนถามขึ้นอย่างสงสัย แม้ว่าเธอจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่เป็นถึงเจ้าของบริษัทระดับโลกเช่นนี้ได้



คุณหมอได้ยินที่เจนถามก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ตอนนั้นเองเจนก็รู้ตัวว่าเธอถามคำถามที่ไม่ควรจะถามไปแล้ว



"ขอโทษค่ะที่ถามออกไปโดยไม่ได้คิด เรื่องแบบนั้นมันคงจะเป็นความลับอยู่แล้วนี่นะ"



"ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันสัญญากับเธอเอาไว้แล้วว่าจะให้เธอถามคำถามที่เธอสงสัย แล้วเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรมากอยู่แล้ว" คุณหมอว่าแล้วจึงวางแก้วกาแฟที่ดื่มเสร็จลงบนโต๊ะแล้วจึงนั่งหลังพิงโซฟาอย่างผ่อนคลาย



"อย่างที่เธอรู้นั่นแหละ ฉันเป็นทั้งหมอ นักจิตวิทยา วิศวกรและอื่น ๆ อีกเท่าที่ฉันจะพอหาเวลาไปศึกษาได้"



"ว้าว คุณนี่เป็นอัฉริยะจริง ๆ ฉันแค่เอาปริญญาตัวเดียวก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว" เจนกล่าวชม



"ขอบใจจ๊ะ แต่ฉันไม่ได้เป็นอัฉริยะอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แค่ฉันมีเวลาอยู่มากที่จะเรียนรู้ในแต่ละแขนงวิชาต่าง ๆ ก็เท่านั้นเอง" เกอร์ทูธพูดแล้วจึงดีดนิ้วเบา ๆ ทันใดนั้นเองหน้าจอแสงที่ผนังห้องก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับฉายภาพของอาคารต่าง ๆ ที่เจนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทุกภาพมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือสัญลักษณ์นกพิราบของนอยช์วานสไตล์



"เธอคงไม่รู้ว่านอยช์วานสไตล์ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้เป็นบริษัทแม่ของฉัน แต่เป็นบริษัทลูกที่อยู่ในเครือนอยช์วานสไตล์คอร์ปที่ก่อตั้งเมื่อนานมาแล้ว เป็นเพราะบริษัทนี้ทำหน้าที่ผลิตและขายอุปกรณ์ทั่วไป ดังนั้นจึงมีคนรู้จักมากกว่าบริษัทอื่น ๆ ในเครือเดียวกัน"



เจนนึกไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าของเธอจะเป็นคนสำคัญขนาดนี้ เพราะแม้ว่านอยช์วานสไตล์ไซแอนท์แอนด์อิเล็กทรอนิกส์จะมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่ชื่อของเกอร์ทูธนั้นกลับไม่เคยออกสื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว



ทันใดนั้นเองเจนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่ใบหน้าของเกอร์ทูธโดยไม่หลีกเลี่ยงสายตา ถ้าหากสิ่งที่เธอคิดอยู่ถูกต้องล่ะก็ หญิงสาวตรงหน้าของเจนจะสามารถช่วยในเรื่องที่เจนกำลังคิดอยู่ได้อย่างแน่นอน



"คุณหมอคะ! ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องให้คุณช่วย!"



เกอร์ทูธเลิกคิ้วมองเจนด้วยความแปลกใจที่จู่เธอก็พูดขึ้นมาเสียงดังเช่นนี้ แต่เพียงแว่บเดียวที่เห็นท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเธอรู้สึกเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก



เจนมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องราวของอามีร่าให้ฟัง ในตอนแรกเจนทำใจเอาไว้แล้วว่าเกอร์ทูธจะตอบปฏิเสธที่จะช่วย แต่ตรงกันข้าม เธอกลับรับฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับสอบถามเพิ่มเติมไปด้วย บางเรื่องแม้เจนจะไม่ทราบแต่เจนก็พยายามบอกทุกอย่างเท่าที่เธอรู้



"เพราะอย่างนั้นได้โปรดช่วยเหลืออามีร่าด้วยเถอะค่ะ ในฐานะของคุณล่ะก็สามารถทำได้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ" เจนขอร้อง



แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากเกอร์ทูธ ด้านหน้าของเธอมีหน้าต่างแสงเปิดอยู่ สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อเวลาผ่านไปได้พักหนึ่งเกอร์ทูธก็ปิดหน้าต่างแสงลงแล้วหันไปหาเจนที่ยังคงมองอย่างมีความหวัง



"ฉันขอโทษนะเจน ถึงบริษัทของฉันจะใหญ่ขนาดไหน แต่ฉันก็เข้าไปแทรกแทรงเรื่องระหว่างประเทศแบบนี้ไม่ได้" เกอร์ทูธกล่าวด้วยความเสียใจ



เจนก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง แต่เธอไม่ได้โมโหหรือไม่พอใจในตัวเกอร์ทูธเลยแม้แต่น้อย เธอโมโหตัวเองมากกว่าที่ช่วยเหลืออะไรอามีร่าไม่ได้เลย



"แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าฉันจะทำอะไรไม่ได้เลยนะ"



เสียงของเกอร์ทูธดังขึ้น เรียกให้ดวงตาสีแดงโกเมนเลิกขึ้นมามองดูด้วยด้วยสายตาเป็นประกายอีกครั้ง



"ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่พอจะช่วยอะไรได้บ้าง เอาเป็นวาฉันจะนัดให้เธอไปคุยกับเขาดูก็แล้วกัน เอาเป็นที่ร้านอาหารแถวบ้านของเธอในอีกสองชั่วโมงก็แล้วกันนะ" เกอร์ทูธพูดแล้วยื่นเอกสารบางอย่างให้กับเจน



"เอ่อ นี่คือ.."



"ข้อมูลทุกอย่างที่เธอเพิ่งบอกฉันนั่นแหละ แค่คำพูดปากเปล่าแบบนั้นต่อให้เอาไปบอกใครก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่มีข้อมูลให้เห็นเป็นรูปภาพน่ะ ฉันเอาสิ่งที่เธอเล่าไปหาข้อมูลเพิ่ม คงได้แต่หวังว่าหมอนั่นจะรับฟังในสิ่งที่เธอจะพูดล่ะนะ ฉันช่วยได้แค่นี้แหละ"



ใบหน้าของเจนยิ้มกว้างแล้วรับเอกสารมาทันที เธอเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถ้าหากเกอร์ทูธไม่เอยห้ามเอาไว้ล่ะก็คงไม่หยุดง่าย ๆ แน่



"พอได้แล้ว หมอนั่นเป็นหนุ่มหล่อผมทองตาสีฟ้า ดูอายุประมาณสี่สิบต้น ๆ แค่นี้คงจะดูออกนะ ไปถึงก็ยื่นเอกสารนั้นให้แล้วก็กล่อมหมอนั่นให้ยอมตกลงช่วยเธอให้ได้ก็แล้วกัน"



"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ !" เจนเอ่ยอย่างตื้นตันใจแล้วรีบวิ่งออกไปโดยที่เธอลืมไปว่าต้องให้คนที่พามาส่งเดินออกไปด้วยถึงจะออกไปได้



เกอร์ทูธส่ายหน้าให้อย่างจนใจกับอาการของเด็กสาวที่ดีใจที่เจอกับหนทางที่จะช่วยเพื่อนของเธอ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอนั้นชวนให้เกอร์ทูธนึกถึงเด็กที่ได้รับของขวัญวันเกิด แต่สิ่งที่เจนทำนั้นมันตรงกันข้าม เพราะความรู้สึกที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนของเธอนั้นเป็นการมอบโอกาสที่จะช่วยชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้



เกอร์ทูธยิ้มบางก่อนที่จะลุกขึ้นแลเดินตามหญิงสาวไป เพราะถ้าหากไม่ไปล่ะก็มีหวังเจ้าตัวคงได้วิ่งกลับมาอีกทีเป็นแน่







หลังจากผ่านเหตุการณ์หน้าแตกมาหมาด ๆ เจนก็ขึ้นรถมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านของเธอทันที แต่จุดมุ่งหมายที่เธอต้องการไปนั้นไม่ใช่บ้านของเธอ แต่เป็นร้านอาหารที่เกอร์ทูธนัดคน ๆ หนึ่งเอาไว้ให้เจนมาพบ



ร้านอาหารในในหมู่บ้านเจนนั้นมีอยู่เพียงร้านเดียวที่ระพอเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหาร เพราะร้านอื่น ๆ เป็นร้านอาหารตามสั่งเท่านั้น ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านเดียวกับที่เจนและพวกโจมาทานมื้อเที่ยงกันหลังจากไปเต้นกันที่สวนสาธารณะนั่นเอง



หลังจากลงจากรถแท็กซี่แล้วเจนก็วิ่งเข้ามาด้านในร้าน เธอทักทายคุณป้าเจ้าของร้านแล้วมองคนลูกค้าในร้านที่ตรงกับลักษณะที่เกอร์ทูธได้บอกเธอเอาไว้



ใช้เวลาไม่นานเจนก็พบชายคนนั้นเข้าที่มุมร้านติดกับกระจก ชายชาวตะวันตก เขามีผมสีทองสั้นประบ่ากำลังก้มหน้าลงทานแพนเค้กอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังรออะไรหรือใครบางคน ร่างกายที่บึกบึนสูงกว่าคนแถวนี้ทำให้เจนสังเกตได้ไม่ยาก



ดวงตาสีฟ้าหันมาสบกับดวงตาสีแดงโกเมนของเจนเข้าพอดี เหมือนกับเขารู้ว่าเธอคือคนที่ต้องการจะพบและกวักมือเรียกให้เข้าไปหา



แม้จะรู้สึกชั่งใจอยู่บ้างแต่เจนไม่มีทางเลือก เธอไม่อยากจะทำให้คนที่สามารถช่วยอามีร่าไม่พอใจจนอาจจะปฏิเสธสิ่งที่เจนขอไปได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าไปหาและนั่งบนโซฟาที่อยู่ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มคนนั้น



เวลาผ่านไปแต่ทั้งเจนและชายหนุ่มกลับไม่ได้เอ่ยปากทักทายกันเลยแม้แต่คำเดียว เขามัวแต่ยุ่งกับการจัดการอาหารตรงหน้า ส่วนเจนก็ตื่นเกินกว่าที่จะเอ่ยปากทักก่อน เอาแต่ถือแฟ้มเอกสารเอาไว้ตรงหน้าเฉย ๆ



"ส่งเอกสารนั้นมาซักทีสิ จะถือเอาไว้อีกนานมั้ย" ชายหนุ่มพูดขึ้นเป็นภาษาไทยทำให้เจนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ทำตามที่เขาพูด



ชายหนุ่มหยุดกินแพนเค้กและเปิดเอกสารของเจนออกมาดู ทำให้ช่วงเวลานี้เจนสามารถสังเกตเขาได้อย่างละเอียด



ชายตรงหน้าของเจนนั้นดูอายุราวสี่สิบต้น ๆ ตามที่เกอร์ทูธว่าไว้ ร่างกายของเขานั้นสูงใหญ่เหมือนกับชาวตะวันตกเช่นเดียวกับแจ็คและโจ ดูจากกล้ามแขนภายใต้เสื่อโค้ทสีน้ำตาลของเขานั้นแม้จะไม่ได้ใหญ่เท่ากับแจ็ค แต่ก็ดูแข็งแรงเหมือนกับคนที่เป็นทหาร แต่การแต่งตัวของเขากลับบอกเจนว่าเป็นแค่คนที่ผ่านไปมาเท่านั้น



ในที่สุดชายหนุ่มก็ปิดเอกสารแล้ววางเอาไว้ข้าง ๆ ที่นั่งของเขา เจนรีบถามขึ้นทันที



"ตกลงว่าจะช่วยเธอแล้วใช่มั้ยคะ"



ชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ ทำให้รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเจนหดหายไปอย่างรวดเร็ว



"ขอฉันคิดดูก่อน... เธอลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหน่อยได้มั้ย"



"แต่ว่าในเอกสารนั่น..-"



"ฉันอยากฟังจากปากของเธอว่าเธออยากจะช่วยเด็กคนนี้จริง ๆ" ชายหนุ่มพูดขัดทำให้เจนต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายหนุ่มฟังเช่นเดียวกับที่เธอเล่าให้เกอร์ทูธฟังอีกครั้ง



หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วชายหนุ่มก็มีท่าทางแตกต่างไปจากเดิมที่ดูจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องของอามีร่านัก ตอนนี้เขาพยักหน้าขึ้นลงและหยิบเอกสารขึ้นมาดูอีกครั้ง



"โอเค ตกลงว่าฉันจะไปช่วยเด็กคนนั้นให้ จะเป็นตอนไหนนั้นฉันคงบอกไม่ได้ หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ" ชายหนุ่มกล่าว



เจนพยักหน้าเข้าใจดีเพราะเรื่องอันตรายเช่นนี้คงจะรีบทำไม่ได้ แม้เธอก็อยากจะให้เขาช่วยอามีร่าออกมาให้เร็วที่สุดก็ตาม



"ดูจากท่าทางของคุณแล้วคงเป็นทหารรับจ้างใช่มั้ยคะ" เจนเอ่ยถาม



ชายหนุ่มได้ยินคำของเจนจึงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจพร้อมกลับถามกลับด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก



"เธอเคยเจอมาก่อนหรือถึงได้พูดแบบนั้น"



"ไม่เคยเจอ แต่พ่อของฉันก็เคยเป็นทหาร เห็นท่าทางของคุณแล้วทำให้ฉันนึกถึงพวกเพื่อน ๆ ของพ่อขึ้นมาน่ะค่ะ" หญิงสาวกล่าวเบา ๆ



"เอ่อ..เรื่องค่าจ้าง..-"



"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อนของฉันที่เป็นเพื่อนของเธอจัดการให้เรียบร้อยแล้ว" ชายหนุ่มขัดก่อนที่เจนจะพูดจบประโยค



รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าของเจนอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเกอร์ทูธช่วยจัดการให้มากกว่านัด คน ๆ นี้มาให้ช่วยอามีร่า เจนเอ่ยขอบคุณกับชายคนนั้นอีกครั้งและลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากร้าน



ระหว่างที่เดินออกไป เจนเดินผ่านชายชราคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาชายหนุ่มที่โต๊ะเดิม เจนหันมามองชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูออกไปนอกร้านอาหาร แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่สังเกตถึงชายชราที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เลยแม้แต่น้อย



"ทำไมนายถึงตอบตกลงเด็กคนนั้นได้ง่ายนักล่ะ... ปกติแล้วภารกิจจะต้องผ่านหน่วยข่าวกรองมาทุกครั้ง องค์กรของเราไม่เคยรับภารกิจจากคนทั่วไปแบบนี้มาก่อน" ชายชราเอ่ยเหมือนกับว่ารู้จักกันกับชายหนุ่มพร้อมกับนั่งลงในที่นั่งที่เจนนั่งอยู่เมื่อครู่



ชายหนุ่มผมทองไม่เอ่ยตอบในทันที เขาให้ความสนใจกับแพนเค้กตรงหน้าก่อนแล้วจึงเอ่ยขึ้น



"พวกเราไม่เคยรับภารกิจจากคนทั่วไปก็เพราะพวกเราไม่เคยเปิดรับต่างหาก"



"แต่ทำไมถึงเป็นเด็กคนนี้ล่ะ อะไรถึงทำให้นายเลือกเด็กคนนี้ แทนที่จะเป็นคนอื่นที่เดือดร้อนเหมือนกัน" ดวงตาของชายชรายังคงจดจ้องอยู่อย่างใจเย็น ถ้าหากเป็นคนอื่นโดนดวงตาคู่นี้จ้องเข้าล่ะก็อาจจะรู้สึกเหมือนกับกำลังเป็นเหยื่อที่โดนนักล่าจ้องมองอยู่จนไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน แต่กับชายหนุ่มแล้วมันไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย



"นายเคยเห็นใครที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กคนนี้บ้างมั้ยล่ะ คนที่มีความเสียสละ ต้องการจะช่วยคนอื่นแม้ว่าคน ๆ นั้นจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือจะเป็นคนที่อยู่อีกฟากโลกก็ตาม" ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาคู่นั้นของชายชรากลับไป



"คนที่มีจิตใจดีงามอย่างเด็กคนนั้นมีอยู่น้อย และมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่ยังเชื่อในความดี"



ชายชราได้ยินคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วจึงละสายตาลง พร้อมกันกับสาวเสิร์ฟที่นำกาแฟมาส่งที่โต๊ะพอดี เขาเอ่ยขอบคุณแล้วยกแก้วลิ้มรสเครื่องดื่มแล้วจึงพูดขึ้นอีกครั้ง



"ตามกฎแล้ว...การจะเพิ่มข้อปฏิบัตินั้นจะต้องมีสมาชิกของสภาสูงไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเห็นชอบด้วย การที่นายจะเพิ่มกฎเพื่อรับภารกิจจากประชาชนทั่วไป หรือให้ต้องให้เน้นว่า เพื่อเด็กคนนั้นเพียงคนเดียว ฉันมั่นใจว่าสมาชิกสภาสูงคนอื่น ๆ ต้องไม่เห็นด้วยแน่"



"ฉันไม่ห่วงเรื่องนั้นเลย มีเกอร์ทูธหนึ่งคน ฉันสอง และนายก็เป็นสามคน ครบพอดี" ชายหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วจึงเรียกให้เก็บเงิน



"แล้วขอแก้นะ ฉันไม่ได้เพิ่มข้อปฏิบัติเพื่อเด็กคนนั้นแค่คนเดียว กฎนี้จะทำให้องค์กรของเราสามารถรองรับพวกฮีโร่เข้าสู่องค์กรได้ และนั่นฉันคิดว่าสภาสูงคงจะเห็นด้วยที่ฉันเพิ่มกฎนี้เข้าไป มีแต่ได้กับได้ ไม่เห็นจะต้องกังวล"



ชายหนุ่มยื่นเงินส่งให้สาวเสริฟแล้วหันกลับไปมองชายสูงอายุที่ยังคงนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่เดิม



"นี่นายทำแบบนี้เพื่อเนลริน่าใช่หรือเปล่า..."



ชายหนุ่มไม่เอ่ยตอบ แต่มีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าบอกให้รู้ถึงคำตอบของคำถามนั้น



เมื่อเขาทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ยังไม่ทันทีจะเดินผ่านตัวของชายชราก็ถูกรั้งด้วยคำพูดอีกครั้ง



"สมมติว่ากฎถูกบัญญัติเพิ่มเข้าไป ตอนนั้นนายจะต้องการทีมปฏิบัติการให้ทำงานนี้ให้เร็วที่สุดก่อนข้อมูลที่มีจะใช้การไม่ได้ แต่ฉันรู้มาว่าคนของนาย..-"



"พวกเขาไปทำภารกิจอื่นอยู่ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงมอบงานนี้ให้กับนายยังไงล่ะ" ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแล้วตบไหล่ของชายชราเบา ๆ พร้อมกับส่งเอกสารของเจนให้ก่อนที่จะเดินออกจากร้านอาหารไป ทิ้งให้ชายชรายกแก้วกาแฟดื่มอย่างใจเย็น



ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มออกจากร้านไป ชายชรากลับมีรอยยิ้มแบบเดียวกันประดับอยู่บนใบหน้า ถ้าหากเขาแสดงรอยยิ้มนี้ตอบกลับไปตอนที่โดยยัดเยียดหน้าที่ให้ล่ะก็ ชายหนุ่มคงจะรู้สึกตัวว่าเขาเพิ่งพลาดท่าให้กับเพื่อนเก่าคนนี้ซะแล้ว



"พอเหมาะพอเจาะมาก ฉันมีคนที่เหมาะกับงานนี้พอดี คนที่มีความสามารถและคนที่คล้ายกับนาย...โทฮาน" ชายชราพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะทิ้งเงินค่ากาแฟเอาไปบนโต๊ะ แล้วหายตัวไปจากร้านอาหารโดยไม่มีใครทันเห็นว่าชายชราผู้นี้ออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่





จบตอนที่ 34 ตรวจจิต ตรวจใจ



-----------------------------

Tohan-kun
1st February 2014, 10:46
ตอนที่ 35 เปิดเผยตัวตน



เช้าวันแรกในโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ หลังจากกลับมาจากการตรวจร่างกายของเจนนั้นสดใสกว่าที่เคย หลังจากเธอพบกับทางออกของปัญหาที่ค้างคาใจมานานที่แม้ชายหนุ่มชาวต่างชาติจะไม่ได้น่าไว้วางใจไปมากกว่าเว็บไซด์ฮีโร่มากนัก แต่เจนไว้ใจในตัวของเกอร์ทูธว่าเพื่อนของเธอจะต้องช่วยอามีร่าได้อย่างแน่นอน



บางอย่างในตัวของเกอร์ทูธที่ทำให้เจนรู้สึกได้ว่าเธอสามารถไว้วางใจหญิงสาวคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่หรือมีเงินล้นฟ้า แต่เป็นการกระทำของเธอตอนที่เจนเล่าเรื่องของอามีร่าให้ฟัง ความตั้งใจและความใส่ใจในทุกคำพูดของเธอนั้นทำให้เจนมองว่าเกอร์ทูธจะต้องคนที่เธอพึ่งได้อย่างแน่นอน



เจนลุกขึ้นมาจากฟูกในห้องพักห้องใหม่ที่พวกเธอตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะไหน ๆ ตอนนี้พวกเธอก็มีกันถึงสิบคนแล้วก็ควรจะหาห้องพักที่ใหญ่กว่านี้ได้แล้ว สุดท้ายพวกเธอก็ได้ห้องพักแบบชุดที่มีหลายห้องนอนพร้อมกับห้องโถงอีกหนึ่งห้องเอาไว้สำหรับทานอาหารหรือรวมตัวกัน หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นห้องแบบเดียวกันกับที่พวกเธอเคยพังอยู่ที่เมืองซีโบนั่นเอง



ก่อนล็อกเอาท์ออกไปเจนได้ให้คิทซึเนะดูแลฟีบีโดยกำชับว่าอย่าออกไปไหนไกลและอย่าไปยุ่งกับคนแปลกหน้า สำหรับตัวคิทซึเนะนั้นเจนไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ฟีบีต่างหากที่เจนกลัวว่าจะไปก่อเรื่องโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจเข้า



บางสิ่งในตัวของฟีบีก็ทำให้เจนสงสัยเพราะตอนที่เลเวลของคิทซึเนะเท่ากันนั้น จิ้งจอกสาวก็ดูเป็นผู้ใหญ่และดูแลตัวเองได้แล้ว แต่มังกรน้อยกลับยังคงเป็นเด็กน้อยเหมือนเพิ่งสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ไม่มีผิด ถ้าหากเจนอยากจะรู้ว่าทำไมคงจะต้องไปถามคนที่เลี้ยงมังกรเหมือนกับเจนซึ่งคงหาไม่ได้ง่าย ๆ และเจนก็ไม่อยากจะป่าวประกาศเรื่องของฟีบีตามกระดานข้อความด้วย



แต่การที่ได้เห็นฟีบีเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงก็ทำให้เจนยิ้มได้อย่างมีความสุข แม้ว่าฟีบีจะยังคงเป็นมังกรน้อยที่มียศทหารแต่เธอก็น่าจะแข็งแกร่งไม่น้อยกว่า โอร็อค มังกรภูผาของโจเช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องให้มังกรน้อยต้องรีบเติบโตในตอนนี้



ภายในห้องพักเจนไม่พบทั้งฟีบีและคิทซึเนะเลย แต่เธอได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ในห้องรวม เจนรีบแต่งตัวแล้วเปิดประตูออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ปริออกมาไม่ยอมหุบ



ในห้องรวมนั้นไม่ได้มีเพียงแค่สองพี่น้องต่างเผ่าพันธุ์ ยังมีซินจูอีกคนกำลังนั่งคุยกับคิทซึเนะกันอย่างออกรส ส่วนมังกรน้อยนั้นกำลังเปิดดูโทรทัศน์จอใหญ่ที่ไม่ควรมีอยู่ในเกม แต่เป็นเพราะเรียวกังแห่งนี้มีเจ้าของเป็นผู้เล่นเช่นเดียวกันจึงทำให้มีอุปกรณ์อยู่หลายอย่างที่ดูไม่ค่อยเข้ายุคกับในเกมมากนัก



"อ้าวพี่เจน มาแล้วหรือคะ" ซินจูเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเจนเลือนประตูไม้ออกมาจากห้องพัก



ส่วนคิทซึเนะและฟีบีเมื่อเห็นเจนเข้าต่างก็พุ่งกระโดดกอดตัวเธอเต็มรัก นี่เป็นสิ่งเดียวที่พี่น้องคู่นี้มีเหมือนกัน แม้ว่าจะมีอายุต่างกันก็ตาม ดีที่เจนเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ไม่งั้นคงได้ล้มกลับเข้าไปในห้องพักแน่



"ว่าไงบ้างซินจู เธอเข้ามาในเกมนานแล้วหรือยัง" เจนทักกลับไปแต่ตัวของเธอนั้นถูกฟีบีลากไปนั่งหน้าโทรทัศน์ แล้วตัวมังกรน้อยก็ทิ้งตัวนั่งลงบนตักไม่ยอมให้ขยับไปไหนโดยมีคิทซึเนะที่นั่งอยู่ข้างตัว ซึ่งนั่นทำให้เจนแปลกใจเล็กน้อยเพราะเธอคิดว่าจิ้งจอกสาวเลิกนิสัยติดเจนไปแล้วซะอีก



"เพิ่งเข้ามาไม่นานหรอกค่ะ ตอนกลับเข้าเกมมาก็ได้เจอกับคิทซึเนะพอดีเลยคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จริงมั้ย" ซินจูว่าแล้วหันไปยิ้มให้กับจิ้งจอกสาว ซึ่งเธอก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกับสาววัยรุ่น



เจนมองดูเด็กสาวทั้งสองคนหันหน้าคุยกันหัวเราะคิกคักที่เธอมั่นใจว่าคิทซึเนะจะยิ่งเหมือนกับซินจูเข้าไปทุกที ถ้าหากดูจากภายนอกล่ะก็ตอนนี้คิทซึเนะก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กสาววัยรุ่นที่อยู่นอกเกมเลย



พอหันกลับมาดูโทรทัศน์ที่ฟีบีกำลังดูอย่างตั้งอกตั้งใจก็พบว่ามันเป็นรายการข่าวของเกม ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ ที่จะรายงานข่าวสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมตามทวีปต่าง ๆ ข่าวของกิลด์ชั้นนำหรือจะเป็นการปรากฏตัวของผู้เล่นชื่อดัง และแน่นอนว่าข่าวที่พวกเจนเกี่ยวข้องด้วยก็มีเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีชื่อของพวกเธอถูกเอ่ยออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงชื่อ 'ผู้กล้าในชุดขาวเท่านั้น'



ความจริงแล้วของโทรทัศน์ภายในเกมนั้นไม่มีประโยชน์เลยสำหรับผู้เล่นเพราะทุกคนสามารถเปิดดูได้จากหน้าต่างแสง ทุกที่ ทุกเวลา ดังนั้นของแบบนี้จึงเหมาะสำหรับเอไอไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองหรือมอนสเตอร์อย่างฟีบีที่ติดจังเลย



"ฟีบีชอบดูทีวีงั้นหรือ" เจนก้มหน้าลงไปหามังกรน้อย



"ค่ะ ดูแล้วสนุกดี เมื่อกี้มีข่าวเรื่องหมู่บ้านที่พี่คิทซึเนะไปถล่มมาด้วยล่ะ เห็นพิธีกรพูดถึงพี่เจนด้วยล่ะ" มังกรสาวตอบโดยดวงตาสีฟ้าของเธอไม่ได้ละมาจากหน้าจอโทรทัศน์เลย



"ที่ได้ยินนั่นหมายถึงผู้กล้าในชุดขาวใช่มั้ย" เจนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะไม่นึกว่าตอนนี้ฟีบีจะรู้ถึงสมญานามที่คนทั่วไปใช้เรียกตัวเธอแล้ว



ฟีบีได้ยินคำถามของเจนก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่พอเห็นสีหน้าของเจน มังกรน้อยก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา และหันหน้าไปสนใจรายการในโทรทัศน์ต่อ



ไม่นานหลังจากนั้นสามหนุ่มแจ็ค โจและหนูส่งข่าวก็เข้ามาสมทบในห้อง แต่ยังคงไร้วี่แววของเสือซ่อนลาย ยูสตาร์และไมโกะ ทำให้เจนที่จะบอกถึงข่าวดีเกี่ยวกับอามีร่าต้องรอไปก่อนเพราะเธออยากจะบอกตอนที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า



เมื่อเวลาล่วงเลยจนถึงเวลาสาย อาหารมื้อเช้าของเรียวกังก็ถูกนำมาเสริฟถึงห้อง พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวนักฆ่าที่แต่งองค์เตรียมพร้อมเหมือนจะออกไปลุยข้างนอก



"ขอโทษนะทุกคน วันนี้ฉันมีธุระตอนกลางคืน ฉันตั้งใจจะมาทำภารกิจเลื่อนยศให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจะออกจากเกม คงจะเข้ามาอีกทีก็ช่วงวันที่แปดหรือวันที่เก้าในเกมโน้นแหละ" ไมโกะประกาศให้ทุกคนทราบแล้วจึงรีบวิ่งออกไปทันที ทำให้ตอนนี้เหลือคนที่พวกเจนต้องรอก็แค่สองหนุ่มชาวเกาหลีเท่านั้น



รออีกไม่นานทุกคนก็ได้รับจดหมายมาจากเสือซ่อนลาย แต่ครั้งนี้เป็นจดหมายระบบที่ดูได้ผ่านหน้าต่างแสงเท่านั้น ซึ่งการที่ได้รับจดหมายแบบนี้หมายความได้สองอย่าง ถ้าไม่ใช่เป็นจดหมายจากGM ก็เป็นจดหมายที่ส่งมาจากนอกเกม



"ดูเหมือนว่าเสือซ่อนลายกับยูสตาร์จะมีธุระคืนนี้เหมือนกันนะ" แจ็คเปรยขึ้นหลังจากอ่านข้อความจดหมายของเสือซ่อนลายที่ส่งมาจากนอกเกม



"หมอนั่นบอกว่าดึก ๆ ถึงจะเข้ามาเล่นได้ แบบนี้ก็เหลือแต่พวกเราเจ็ดคนสิ" โจพูดและหันไปมองคนในกลุ่มที่เหลืออยู่ตอนนี้



"พวกเราจะเอายังไงต่อ จะกลับไปลุยที่เดิมดีมั้ย"



"ฉันคิดว่าจะรอจนกว่าพวกเรามาอยู่รวมกันครบทุกคนดีกว่า ฉันไม่อยากให้เลเวลของพวกเราทิ้งห่างกันจนเกินไป" เจนตอบ เธออยากจะไปเก็บเลเวลพร้อม ๆ กับทุกคนมากกว่า ถ้าหากให้ลุยกันไม่ครบทุกคนมันก็คงจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป



"ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้มั้ยคะ ไหน ๆ พวกเรามาอยู่ในเมืองยามะไตที่เป็นหนึ่งในหกเมืองหลักของเกม หนูว่าวันนี้พวกเรามาเที่ยวในเมืองกันดีมั้ยคะ" ซินจูเสนอความคิด



"ก็ไม่เลวนะ เปลี่ยนบรรยากาศซะบ้างหลังจากไล่เก็บหนังกิ้งก่าทั้งสัปดาห์ จะว่าไปแล้วฉันได้ข่าวว่าในเมืองมีการจัดกิจกรรมด้วยนะ... นี่ยัยหนู ช่วยเปิดไปที่ช่อง...-"



ยังไม่ทันที่หนูส่งข่าวจะพูดจบ ฟีบีก็กดรีโมทที่วางอย่างตรงหน้าไปยังช่องข่าวที่กำลังรายงานอยู่อย่างรวดเร็ว ท่าทางตลอดหลายวันคงอยู่แต่หน้าโทรทัศน์จนจำได้ว่าปุ่มไหนทำอะไรได้จนหมด



โทรทัศน์เปลี่ยนฉากเป็นอาคารภายในเมืองยามะไตที่ดูคุ้นตา เจนเห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งในชุดกิโมโนสีแดงกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงผมสีฟ้าและผู้ชายผมตั้งสีดำอีกคนหนึ่ง ทั้งคู่สวมชุดสีขาวที่เจนจำได้แม่นยำว่าเป็นชุดของGM



"สวัสดีค่ะ สำหรับท่านที่เพิ่งเปิดเข้ามาดู ตอนนี้ดิฉันอามิตตา กำลังถ่ายทอดสดให้ทุกท่านได้เห็นถึงบรรยากาศของงานประลองรอบคัดเลือกของผู้ที่จะเข้าชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ประจำปีนี้ค่ะ" นักข่าวสาวพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงขณะภาพเปลี่ยนไปให้เห็นบรรยากาศรอบ ๆ ที่มีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก



"และข้างตัวของดิฉันก็คือผู้ที่จะมาให้ข้อมูลของการประลองในปีนี้ที่จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากเกมมาสเตอร์นั่นเองค่ะ ขอแนะนำให้รู้จักกับGMหลินและGMฟินน์ ผู้ที่จะมาบอกทุกอย่างเกี่ยวกับเบลดมาสเตอร์ให้ทุกคนได้ทราบค่ะ" ภาพหันไปโฟกัสที่เกมมาสเตอร์ทั้งสองที่กำลังโบกมือทักทายผู้เล่นที่อยู่ในงาน



เจนรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนกับเคยเห็นGMหลินที่ไหนมาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสำคัญนักจึงเลิกสนใจไป



"เอาล่ะค่ะ เนื่องจากชื่อของเบลดมาสเตอร์เป็นชื่อที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยนัก และดิฉันมั่นใจว่าผู้ชมที่อยู่ตรงนี้และผู้ชมที่กำลังชมผ่านการถ่ายทอดสดกันอยู่ตอนนี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเบลดมาสเตอร์คืออะไร เพราะฉะนั้นช่วยอธิบายความเป็นมาและความสำคัญของเบลดมาสเตอร์หน่อยจะได้มั้ยคะ" อามิตตาเอ่ยเข้าประเด็นอย่างเป็นมืออาชีพ



GMหลินยิ้มที่มุมปากก่อนจะยืดตัวแล้วจึงเริ่มอธิบาย "ก่อนอื่นต้องขอย้อนความให้ทุกคนเข้าใจตรงกันก่อนนะคะ แม้ว่าตัวเกมเพิ่งจะเปิดมาได้เพียงเดือนกว่า หรือหนึ่งปีในเกม แต่โลกของดิ โอเพ่น เวิลด์นั้นมีอายุมายาวนานกว่านั้นมาก ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงเป็นการประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ครั้งที่ห้าร้อยสิบแล้วค่ะ"



"เอ๋ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าที่ผ่านมาก็มีเบลดมาสเตอร์ถึงห้าร้อยเก้าคนแล้วสิคะ" นักข่าวสาวแสร้งทำน้ำเสียงตกใจเพื่อสร้างบรรยากาศ



"ถูกต้องแล้วค่ะ เบลดมาสเตอร์ที่ผ่านมาทุก ๆ คนนั้นต่างเป็นเอไอยอดฝีมือระดับพระกาฬที่เทียบระดับยศราชาได้ อย่างเช่นการประลองปีที่แล้วที่แม่ทัพกวนหมิงแห่งลั่วหยางได้ตำแหน่งผู้ชนะไป เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งทัพยอดขุมพลที่ยังไม่มีใครสามารถฝ่าทะลวงเพื่อยึดปราการได้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของกิลด์อันดับต้น ๆ ก็ตาม" หลินเสริมความ



ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่รู้ว่าคู่ต่อสู้เป็นถึงเอไอยศราชาที่มีผู้เล่นน้อยคนนักได้ไปถึงก็ส่งเสียงพูดคุยกันพึมพำเพราะรู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยงมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่มีแทบจะทางชนะเช่นนี้



"ว้าว ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เคี้ยวยากพอสมควรเลยนะคะสำหรับผู้ที่ต้องการตำแหน่งนี้ ช่วยบอกได้มั้ยคะว่าเบลดมาสเตอร์สำคัญยังไง"



"เดิมทีนั้นเบลดมาสเตอร์เป็นตำแหน่งของผู้ที่เป็นยอดแห่งดาบ สำหรับชาวเมืองแล้วตำแหน่งนี้เทียบได้กับผู้กล้าหรือวีรบุรุษเลยทีเดียว ผู้ที่เข้าร่วมชิงตำแหน่งนี้ต่างหวังเพื่อชื่อเสียงและนำเกียรติยศไปสู่วงศ์ตระกูล แต่สำหรับผู้เล่นที่ชนะและได้ตำแหน่งนี้ไปจะได้เงินรางวัลเป็นจำนวนหนึ่งล้านโกลด์พร้อมทั้งสิทธิพิเศษหลายอย่างกับร้านค้าของเมืองใหญ่ ๆ ทุกเมือง นอกจากนั้นยังได้ชุดจ้าวแห่งดาบระดับ S ครบชุด และยังมีดาบระดับSที่จะสุ่มให้หลังจากได้รับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการแล้ว" คำพูดของGMหลินสร้างเสียงฮือฮาจากผู้เล่นได้มหาศาล



ดวงตาของอามิตตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากGMสาว เพราะของระดับS ที่เท่าที่เธอทราบว่ายังไม่เคยมีใครได้มาก่อนกลับมาปรากฏอยู่ในงานประลองนี้ นี่จะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่ผู้เล่นทุกคนจะต้องติดตามอย่างแน่นอน



"ของระดับS เลยหรือคะ! ทุก ๆ คนคงจะได้ยินแล้วนะคะว่ารางวัลของผู้ที่ได้ตำแหน่งเบลดมาสเตอร์คือชุดเกราะและอาวุธระดับS! ตอนนี้ที่ลานกิจกรรมของทุกเมืองยังคงเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมประลองอยู่นะคะ! ถ้าหากใครที่ต้องการของรางวัลล้ำค่าเช่นนี้ก็รีบเข้ามาร่วมประลองเบลดมาสเตอร์ได้เลยค่ะ!" อามิตตาหันไปพูดกับหน้ากล้องแล้วหันกลับไปขุดคุ้ยเรื่องอาวุธระดับSกับสองเกมมาสเตอร์ต่อ



เจนเองที่มองดูข่าวก็ลอบยิ้มอย่างเป็นนัย แต่ก็ไม่รอดจากสายตาของโจไปได้



"ยิ้มอย่างนั้นหมายความว่าอะไรฉันรู้นะเจน อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะว่าจะเข้าร่วมประลองด้วย อย่าลืมนะว่าต้องเจอคู่ต่อสู้ระดับราชาเชียวนะ สู้ไปเธอก็แพ้เปล่า ๆ"



แทนที่คำพูดของโจจะทำให้รอยยิ้มนั้นหายไปแต่กลับตรงกันข้าม เจนยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม รอยยิ้มของเธอเหมือนกับรอยยิ้มของคนที่เจอของถูกใจแล้วจะไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ



"อะไรกันเล่า แต่สมัครเข้าไปสู้เล่น ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่นา ฉันอยากจะลองฝีมือดูว่าจะสู้ได้ถึงระดับไหน เอาล่ะ รีบไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า!" เจนว่าแล้วลุกขึ้นกลับเข้าห้องไปเตรียมพร้อมที่จะไปร่วมประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์



สามหนุ่มหันมามองหน้ากันเหมือนจะถามความเห็น แต่สุดท้ายโจก็ส่ายหน้าเหมือนว่าเรื่องมันดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้วก็ให้ปล่อยไปเลยตามเลย



ท่ามกลางสายตาขี้สงสัยของซินจูที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงง เธอมั่นใจว่ามีบางอย่างที่สามหนุ่มไม่ได้บอกให้เธอรู้ บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวของคนที่เพิ่งเดินกลับเข้าไปในห้อง และมันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้นมาแน่ ๆ







พวกเจนเดินออกมาจากเรียวกังในยามสายของวัน อากาศแจ่มใสเหมาะที่จะเดินชมดูเมืองเป็นอย่างมาก วันนี้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างเดินอยู่เต็มทางเดินมุ่งไปยังทิศเดียวกันทำให้พวกเธอไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าจะไปที่งานประลองได้ที่ไหน



งานประลองเบลดมาสเตอร์นั้นไม่ได้มีบริเวณกว้างอย่างที่เจนคิดเอาไว้ งานถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ที่เจนเห็นตรงหน้าคือส่วนหน้างานที่มีจุดรับสมัครผู้เข้าร่วมประลองและยังมีเวทีที่นักข่าวสาวอามิตตาและGMทั้งสองกำลังให้สัมภาษณ์กันอยู่ ซึ่งทั้งสองจุดต่างมีคนเป็นจำนวนมากตั้งแต่ข่าวเรื่องของระดับS ได้กระจายออกไป เพียงชั่วโมงเดียวผู้เข้าร่วมประลองก็เพิ่มขึ้นจากไม่กี่ร้อยเป็นครึ่งหมื่น



"คนมาสมัครเข้าร่วมประลองมีไม่มากเท่าที่ฉันคิดเลยนะ" เจนพูดเปรยขึ้นขณะกำลังรอแถวที่รับสมัครเข้าร่วมประลอง



"ทำไมหรือคะพี่เจน" คิทซึเนะถามขึ้น



"ก็จำนวนคนไง ผู้เล่นตั้งหลายล้านคนทั่วโลกแต่มีคนมาสมัครเข้าประลองไม่ถึงหมื่นคนเอง" เจนอธิบายความสงสัยของเธอ คิทซึเนะได้ฟังก็ได้แต่พยักหน้าเข้าใจทว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะเธอไม่รู้เรื่องราวของโลกของนักผจญภัยที่พวกเจนเรียกกันว่าโลกภายนอกมากนัก แม้ว่าเธอจะได้ฟังจากซินจูตอนที่เธอคุยกันมาบ้างก็ตาม



"แค่นี้ก็ถือว่าเยอะแล้วล่ะเจน มันไม่ได้มีทุกคนหรอกนะที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธและการประลองนี้บังคับให้ใช้แค่เพียงอาวุธเดียวเท่านั้น แถมยังมีกฎอื่น ๆ เยอะแยะจนน่ารำคาญเลยล่ะ" โจพูดขึ้น



"การประลองนี้มีกฎด้วยหรือ" เจนหันไปมองเพื่อนด้วยความสงสัย



โจยักไหล่และหันไปหาหนูส่งข่าวที่พยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ เขาเอื้อมมือไปหยิบแผ่นพับจากกระเป๋าของนักดาบหนุ่มคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดีโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว เจนรับแผ่นพับนั้นมาจากหนูส่งข่าวโดยเธอมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าจะชมดีหรือไม่เพราะฝีมือการล้วงกระเป๋าของเขานั้นช่างแนบเนียนซะเหลือเกิน



เจนก้มลงอ่านแผ่นพับก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะว่ามันคือกฎของการประลองเบลดมาสเตอร์ และจำนวนของมันนั้นก็เยอะซะจนที่โจพูดนั้นไม่ถือว่าเกินไปเลยแม้แต่นิดเดียว



"อะไรเนี่ย! 'ห้ามใช้ทักษะใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้าม' แบบนี้ฉันก็ใช้ผ่ามิติไม่ได้น่ะสิ" เจนโวยวายเมื่อเห็นหนึ่งในกฎที่เขียนอยู่บนแผ่นพับนั้น



"ไม่ได้มีแค่นั้นนะ 'ผู้เข้าร่วมประลองห้ามใช้อาวุธอื่นนอกจากอาวุธที่ถูกจัดเอาไว้ให้' 'ห้ามผู้เข้าร่วมการประลองใช้ทักษะที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธดาบ' ออกกฎมาแบบนี้ให้แก้ผ้าเข้าไปสู้เลยดีกว่ามั้ยเนี่ย" แจ็คอ่านตามแผ่นพับที่ได้มาจากหนูส่งข่าว



"นั่นหมายความว่าเธอจะใช้ดาบเล่มนั้นไม่ได้ และเธอก็จะใช้ทักษะพลังสถิตร่างอะไรนั่นก็ไม่ได้...งานนี้เดินตัวเปล่าอย่างที่แจ็คมันว่าจริง ๆ นะเจน" โจกล่าว



"ฮ่ะฮ่า! แย่หน่อยนะสาวน้อย งานนี้เจ้าต้องใช้ฝีมือและร่างกายของเจ้าเพื่อที่จะเอาชนะเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดนั่น ไม่มีข้า หรือพลังใด ๆ ที่เจ้าได้รับมาคอยช่วยเหลือเจ้าเหมือนที่ผ่านมาแล้ว" เจนสะดุ้งสุดตัวเมื่อเธอได้ยินเสียงทรงอำนาจของยามาตะ โนะ โอโรจิขึ้นในหัวหลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน



"บ้าจริง โอโรจิ! ทีหลังจะพูดก็ให้ซุ่มให้เสียงหน่อยสิ! เจอแบบนี้หัวใจจะวายตายหมด" หญิงสาวกัดฟันพูดเสียงดุแถมยังเรียกชื่อของเทพอสูรอย่างห้วน ๆ อีกต่างหาก ไม่สีเสียงตอบกลับมา แต่เธอได้ยินเพียงเสียงพ่นลมหายใจของพญาอสรพิษก่อนที่จะเงียบไป



"เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่เจน" ซินจูหันมาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางแปลก ๆ ของเจน หญิงสาวได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และบอกว่าไม่เป็นอะไรเป็นคำตอบ ถึงตอนนี้ซินจูจะรู้แล้วว่ามีเทพอสูรอยู่ในดาบข้างตัวของเจน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเทพอสูรสามารถพูดกับเจนได้ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการที่เจนคิดกว่าคงจะเป็นการดีกว่าที่จะเก็บนี้เอาไว้คนเดียว



หลังจากที่พิจารนากฎของการประลองครั้งนี้จนครบแล้ว เจนก็สรุปได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เธอคงจะรับศึกหนักหน่อย เพราะนอกจากเจนจะใช้ดาบคุซานางิไม่ได้แล้ว เธอยังไม่สามารถใช้ทักษะอื่น ๆ ที่เธอมีได้เลยยกเว้นทักษะเพิ่มพลังกายและทักษะติดตัวที่ดูไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนักถ้าหากไม่เจอเข้ากับคู่ต่อสู้ระดับราชา



มันเป็นอย่างที่ยามาตะ โนะ โอโรจิพูดจริง ๆ ครั้งนี้เธอต้องพึ่งฝีมือตัวเองเท่านั้นถึงจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ งานนี้เรียกได้ว่าเป็นบททดสอบของยอดฝีมือโดยแท้ แม้ว่าเจนจะตัวเล็กกว่าผู้เข้าร่วมประลองหลายคนที่มีบางคนที่เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับเธอ แต่นี่ทำให้เจนนึกถึงการฝึกกับหมิงเต๋อ ถ้าหากเธอทำให้ได้เหมือนตอนที่ฝึกก็ไม่น่าจะมีปัญหา



เจนเดินเข้าไปลงชื่อสมัครร่วมประลอง แต่ระหว่างที่เธอกำลังลงชื่อนั้นเธอรู้สึกได้ว่ากำลังมีคนจ้องมองเธออยู่ ไม่ใช่แค่คนหรือสองคน แต่เป็นจำนวนหลายสิบคู่ที่ต่างกำลังมองเธอเป็นสายตาเดียว



หลังจากที่เจนลงทะเบียนเสร็จก็เดินออกมาหาพวกโจ แต่สายตาหลายสิบคู่นั้นก็ยังคงตามเธอจนทำให้เจนสงสัยและจ้องกลับไป เธอเห็นเป็นเหล่าผู้เล่นกำลังพูดคุยกระซิบกระซาบขณะจ้องมาที่เธอ แม้ว่าจะไม่ได้ยินแต่เจนมั่นใจมากว่าสิ่งที่คุยกันจะต้องเป็นเรื่องของเธออย่างแน่นอน



"เอ่อ...ขอโทษทีที่รบกวนนะครับ พวกเราอยากจะสอบถามอะไรให้แน่ใจหน่อย" ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักเวทย์เดินเข้ามาหาเจนพร้อมกับมีพรรคพวกอีกสี่ห้าคนเดินตามมาด้านหลัง



"เอ่อ...มีอะไรงั้นหรือ" เจนถามกลับไปเพราะเธอก็อยากรู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้จ้องเธอเป็นสายตาเดียวเช่นนี้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นแล้ว



"อาจจะเป็นพวกเราที่เข้าใจผิดไปก็ได้ แต่คุณใช่คุณเจน ผู้กล้าในชุดขาวที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับกิลด์พิฆาตราชาหรือเปล่าครับ"



ทันทีที่สิ้นคำ เจนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอรีบล้วงกระเป๋าดูว่าตราที่ได้มาจากแจ็คยังอยู่กับเธอหรือเปล่า แต่ก็พบว่าตรานั้นยังคงนอนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเธออย่างสงบ ไม่ได้หายไปไหน แล้วทำไมถึงนักเวทย์หนุ่มตรงหน้าเธอถึงรู้จักเธอได้ขนาดนี้



"อ..เอ่อ" เธอได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี เจนมั่นใจว่าเธอพยายามปิดบังตัวตนของเธอไม่ให้ใครรู้ว่าเธอคือผู้กล้าในชุดขาวเป็นอย่างดีแล้วแท้ ๆ



"ว่าแล้วเชียวต้องเป็นคุณจริง ๆ ด้วย! ผมคอยติดตามข่าวของคุณมาตั้งแต่ตอนที่คุณสู้กับอีกาที่สุสานผีดิบแล้วครับ! ขอบอกว่าพวกเราเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยครับ!" จอมเวทย์หนุ่มพูดอย่างตื้นตันใจพร้อมกับคว้ามือของเจนขึ้นมาเขย่าเหมือนกับแฟนคลับเจอกับดาราที่ตัวเองชอบ ไม่เพียงแค่นั้นเขายังหันไปหาเพื่อน ๆ และตะโกนบอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร!



"เฮ้ พวกเรา!! นี่ไงผู้กล้าในชุดขาวคนนั้นอยู่ตรงนี้!!"



เสียงตะโกนไม่ได้แค่บอกพรรคพวกของจอมเวทย์หนุ่มเท่านั้น ยังเป็นการบอกให้คนอื่น ๆ รู้อีกด้วย เหมือนกับเขื่อนแตก ผู้คนนับร้อยที่ต้องการมาดูหน้าคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างผู้กล้าชุดขาวตัวเป็น ๆ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเสียงพูดคุยดังจนเรียกความสนใจของอามิตตาที่กำลังถ่ายทำรายการเรื่องการประลองเบลดมาสเตอร์อยู่ เมื่อเธอรู้ว่าเหล่าผู้เล่นกำลังรุมล้อมใครอยู่ เรื่องข้อมูลของเบลดมาสเตอรที่ควรจะเป็นเรื่องหลักในการถ่ายทำครั้งนี้ก็ตกเป็นเรื่องรองไปทันที



"อะไรนะ! เจน ผู้กล้าในชุดขาวงั้นหรือ! รีบถ่ายภาพของเขามาให้ได้เร็วเข้า!" นักข่าวสาวรีบพุ่งเข้าหากล้องแล้วสั่งให้ตากล้องคู่หูของเธอซูมภาพไปที่เจน ผู้ซึ่งกำลังถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนหลายร้อยชีวิต



"นั่นน่ะหรือคนที่ชนะอีกา นักฆ่าของกิลด์พิฆาตราชามาได้ แต่ดูแล้วก็ไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนะ" ผู้เล่นคนหนึ่งเอ่ยเหมือนกับว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะดูจากชุดที่เจนสวมใส่แล้วเป็นแค่ชุดที่หาได้ตามร้านค้าทั่วไป ไม่น่าจะเก่งกาจอะไรอย่างที่เป็นข่าวเลย



"เฮ้ย! ถ้าหากไม่รู้จริงก็อย่าพูดซี้ซั้วนะเว้ย! เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่ามียอดฝีมือใช้พลังช่วยเรือเหาะที่กำลังตกจากฟ้าที่โดนฝูงไวเวิร์นทะเลโจมตีมาได้ เพื่อนของฉันมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยและตอนนี้มันก็กำลังดูรายการนี้ผ่านทีวีอยู่ที่ห้องพัก มันกำลังกรอกหูฉันว่าคนนี้แหละที่ช่วยมันเอาไว้" เสียงของผู้เล่นอีกคนหนึ่งตอบ แม้เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้คนอื่นได้ยิน แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คนรอบ ๆ รู้ว่า ทำให้คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเริ่มให้ความสนใจกับเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก



ทันใดนั้นเอง ชายร่างสูงในชุดเกราะสีฟ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนที่สวมชุดเกราะคล้ายกันตามมาติด ๆ เมื่อผู้เล่นรอบ ๆ รู้ว่าใคร ต่างก็รีบเปิดทางให้ทันที



"สวัสดีครับ ผมมีชื่อว่าบูลธันเดอร์ ผู้นำกิลด์พายุสีเงิน ยินดีที่ได้พบผู้กล้าในชุดขาวผู้โด่งดังครับ" ชายหนุ่มผมสีดำเงางามหน้าตาหล่อเหลายื่นมือเข้ามาหาอย่างเป็นมิตร แต่สัญชาติญาณของเจนบอกเธอเอาไว้ว่ามีอะไรบางอย่างที่แอบแฝงเอาไว้มากกว่านั้น



ด้วยเหตุผลดังกล่าวเจนจึงเลือกที่จะไม่ยื่นมืออกไปจับกับบลูธันเดอร์ซึ่งเขาก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจแต่ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้อย่างเป็นมืออาชีพ



"ผมติดตามข่าวของคุณมานานแล้วครับคุณเจน ผมต้องยอมรับว่าตอนแรกที่ได้ยินว่ามีคนคิดจะต่อต้านกิลด์พิฆาตราชาเป็นอะไรที่บ้าเอามาก ๆ ทีเดียว"



"เฮ้ย! อย่ามาว่าวีรบุรุษของพวกเราว่าบ้าอย่างนั้นนะโว้ย!" เสียงคำรามดังลั่นดังมาจากอีกฟากของกลุ่มคนที่ต้องเปิดทางให้ทันทีเพราะร่างของคนที่ส่งเสียงคำรามนั้นอยู่ในชุดเกราะสีแดงและมีความสูงกว่าสองเมตร ดาบเล่มยักษ์ที่เขาแบกขึ้นหลังมานั้นดูน่ากลัวจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ เพราะจากที่มองดูแล้วถ้าหากชายร่างใหญ่ทำดาบหล่นล่ะก็คงตัดร่างของเหยื่อผู้โชคร้ายได้สบาย ๆ



"ว่ายังไงไอ้หนูสายฟ้า คิดจะดึงตัวไอ้หนูคนนี้เข้ากิลด์ของแกตัดหน้าฉันใช่มั้ย หือ!"



บลูธันเดอรหันไปมองตามเสียงพูดของชายร่างใหญ่เช่นเดียวกับเจน เขามีใบหน้าที่หยาบกร้านแต่แฝงด้วยความอบอุ่นแบบบ้าน ๆ หัวที่ล้านเกลี้ยงและหนวดเคราของเขาสร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนที่พบเห็นได้อย่างไม่ยาก แต่ความประทับใจที่ว่านั้นคงเป็นความประทับใจชนิดที่เด็กร้องไห้เห็นแล้วยังต้องหยุดร้อง



"ฉันแค่แนะนำตัวให้คุณเจนรู้จักเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงอย่างที่นายพูดมาซักหน่อย แต่นายกำลังทำให้แขกของเรากลัวด้วยเสียงของนาย เพราะฉะนั้นช่วยเบาเสียงลงหน่อยเถอะ ครี้ด" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมเงยหน้ามองดูชายผู้มาใหม่ที่แม้จะมาคนเดียวแต่ก็เหมือนพาคนมาทั้งกองทัพ



"ให้ตายสิ คนที่ลูกกิลด์ของฉันยกย่องว่าเป็นคนที่กล้าและบ้าที่สุดที่ไปท้าทายขาใหญ่อย่างกิลด์พิฆาตราชาเข้า กลับเป็นแค่ไอ้หนูตัวเล็ก ๆ แค่นี้เอง"



"เฮ้ นายเพิ่งบอกเองนะว่าอย่าไปว่าวีรบุรุษของนายว่าบ้า" ชายหนุ่มในชุดเกราะรีบทักท้วง



"ก็ยกเว้นแค่ฉันคนเดียวไง ฮ่า ๆ !" เสียงหัวเราะดังเหมือนกับเสียงของครี้ดต่อกับลำโพงอยู่อย่างไงอย่างนั้น



ดูจากการทักทายกันแล้วทำให้รู้ว่าสองคนนั้นรู้จักกันและจากเครื่องแต่งกายแล้วก็บอกได้ทันทีว่าอยู่คนละกิลด์กัน เจนไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้กำลังจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองคนนี้ต่างมาหาเธอเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือชวนเธอให้เข้าร่วมกิลด์ของพวกเขา



"ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าตอนนี้ฉันยังไม่สนใจที่จะเข้ากิลด์ไหนทั้งนั้น" เจนพูดขึ้น เรียกให้ชายทั้งสองหันมามองเธออีกครั้ง



ทั้งคู่เองก็มีการแสดงออกที่ต่างกันไป อย่างครี้ดที่ยิ้มกว้างและหัวเราะในลำคอ ส่วนบลูธันเดอร์นั้นแม้ยังคงจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่จืดชืดกว่าที่เห็นตอนแรกมากเลยทีเดียว



"ผมเข้าใจครับคุณเจน แต่สิ่งที่คุณทำตอนนี้มันคงจะดีกว่าถ้าหากคุณหาพรรคพวกที่ช่วยดูแลคุณจากกิลด์พิฆาตราชาได้ ไม่ใช่สร้างศัตรูเพิ่ม" บลูธันเดอร์กล่าวเสียงเย็น ท่าทางความอดทนของเขานั้นเริ่มจะหมดลงแล้วจากการที่เจนปฏิเสธเขาถึงสองครั้งติดกันแบบนี้ ตรงกันข้ามกับครี้ดที่ยังคงยิ้มได้แม้ว่าจะโดนจับไต๋ได้ก็ตาม



"ใจเย็น ๆ ก่อนไอ้หนู ถึงหมอนี่จะยังไม่เข้าเลือกเข้ากิลด์ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยฉันก็ขอแนะนำกิลด์สมิงห์ทมิฬให้ได้รู้จักก่อนก็แล้วกัน หวังว่าอย่างน้อยถึงจะไม่เลือกที่จะเข้าร่วมกับพวกเรา แต่ก็น่าจะมองว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกันได้นะ" ครี้ดว่าและยื่นมือออกมาให้อย่างเป็นมิตร แต่เจนก็ยังคงไม่คิดจะยื่นมือออกไปจับเช่นเดียวกับคราวของบลูธันเดอร์ แต่เหตุผลที่เจนไม่อยากจะจับมือของครี้ดนั้นก็เป็นเพราะขนาดมือของชายตรงหน้านั้นใหญ่กว่าเจนโขเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าถ้าหากเธอจับมือกับเขาจะมีอะไรหักไปบ้าง



ชายร่างยักษ์หัวเราะเสียดังเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่เล่นด้วย แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธเช่นนี้



"ฮ่า ๆ ! ฉันกะแล้วเชียวว่าหมอนี่ก็ต้องไม่กล้าจับมือกับฉัน รู้มั้ยว่าไม่มีใครเคยจับมือกับฉันอย่างฉันมิตรมาก่อนเลย... จะว่าไปแล้ว ไอ้หนู แกมาที่นี่เพื่อที่จะลงประลองเบลดมาสเตอร์ใช่หรือเปล่า"



คำถามของครี้ดทำให้ใบหูของใครหลายคนกระดิกตาม โดยเฉพาะอามิตตาที่ยังคงจับภาพของเจนอยู่ตลอดเวลา



เจนพยักหน้าช้า ๆเป็นคำตอบให้แก่บุรุษตรงหน้าซึ่งทั้งเขาและบลูธันเดอร์ต่างยิ้มออกมาด้วยความยินดี



"เยี่ยมยอด! รู้มั้ยว่าทั้งฉันและหมอนี่ต่างก็เข้าร่วมประลองเหมือนกัน บางทีพวกเราคนใดคนหนึ่งอาจจะได้มาสู้กันกับนายก็เป็นได้นะ ไอ้หนู"



"ใช่ เราจะได้รู้ว่าฝีมือดาบของผู้กล้าในชุดขาวที่ไร้ซึ่งทักษะช่วยเหลือจะเก่งอย่างที่เขาลือกันหรือไม่" บลูธันเดอร์เอ่ยท้าทาย ดวงตาของเข้าจ้องเขม็งมายังเจนราวกับกะเอาไว้แล้วว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเธอแน่ ๆ ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับครี้ด



เจนมองสถานการณ์ตรงหน้าที่ตอนนี้เธอกำลังจนกรอบ รอบตัวเธอต่างถูกรุมล้อมด้วยกองทัพฝูงคนที่กำลังเดินตรงหน้ามาหาเธอและชายในชุดเกราะทั้งสองก็ไม่มีท่าทางที่จะเปิดทางให้เธอเดินจากไปง่าย ๆ แน่ พอหันไปหาพวกโจก็พบว่าพวกเขาได้หายตัวไปแล้ว แถมยังไปพร้อมกับคิทซึเนะและฟีบีซะด้วย



"เอ่อ..เจน นี่ฉันแจ็คนะ เธอรีบบินหนีออกมาแล้วมาเจอพวกเราที่เรียวกังก็แล้วกันนะ" เสียงของเพื่อนหนุ่มดังขึ้นในช่องสื่อสารกลุ่ม



"ไม่อยากจะเชื่อเลย นี่พวกนายทิ้งฉันงั้นหรือเนี่ย! แล้วนี่นายจะให้ฉันใช้พลังสถิตร่างเพื่อหนีเนี่ยนะ" เจนตอบกลับไปเสียงเข้ม



"ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าหากพวกเราหนีไปพร้อมกันมันคงจะพ้นสายตาสอดรู้ของคนทั้งเมืองหรอกนะ ส่วนทักษะนั้นก็ใช้ ๆ ไปเถอะ ใช่ว่าเธอจะใช้มันสู้ในงานประลองได้ซะที่ไหน" แจ็คตอบกลับมาซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผลจนยากที่เจนจะโต้แย้ง



เธอไม่คิดจะรออยู่ที่เดิมให้หัวหน้ากิลด์ทั้งสองมาจ้องกินเลือดกินเนื้อเธอต่อไปอีกนานนัก ถึงแม้จะเสียดายและจะต้องเปิดเผยพลังที่เจนคิดจะเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตายของเธอก็ตาม แต่ตอนนี้นี่คือทางเดียวที่เธอจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นี้ไปได้



"ขอโทษที่เสียมารยาทนะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากคุยกิลด์และการประลองกับใครทั้งนั้น หวังว่าคราวหน้าที่เราเจอกันจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้นะ คุณครี้ด คุณบลูธันเดอร์"



พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!



ทันทีที่พูดจบ ร่างของเจนก็แผ่ออร่าสีทองออกมาและพุ่งขึ้นฟ้าหายไปอย่างรวดเร็ว คนนับร้อยที่ไม่รวมคนอีกจำนวนไม่ถ้วนซึ่งกำลังดูเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านกล้องที่อามิตตาย้ำถามกับตากล้องของเธอว่าถ่ายเอาไว้ได้หรือไม่ แน่นอนว่าภาพทุกช็อตตั้งแต่ที่เจนใช้ทักษะนั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างดี



ตากล้องหันกลับมาถ่ายภาพอามิตตาที่กลับไปประจำที่บนเวทีอีกครั้ง โดยGMทั้งสองนั้นต่างหันหน้าพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะกลับมานั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมโดยที่ไม่มีทีท่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย



"ตอนนี้ทุก ๆ คนก็ได้คำยืนยันแล้วนะคะว่าคุณเจน ผู้กล้าในชุดขาวนั้นจะเข้าร่วมการประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ด้วยอย่างแน่นอน ตอนนี้เขากลายเป็นม้ามืดที่มาแรงแซงคนอื่น ๆ ไปแล้วค่ะ เรามาฟังความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นจากคุณGMทั้งสองกันดีกว่าค่ะ" นักข่าวสาวพูดออกมาอย่างชำนาญและหันไปหาเกมมาสเตอร์ทั้งสองที่กำลังทำใจว่าข้อมูลของเบลดมาสเตอร์ที่เตรียมมานั้นคงจะเปล่าประโยชน์ไปซะแล้ว เพราะตอนนี้ข้อมูลที่ผู้เล่นทั่วโลกต้องการนั้นคือข้อมูลของคนที่เพิ่งแสดงพลังบินหนีไปแล้วนั่นเอง







เจนพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงเข้าไปยังหน้าต่างเรียวกังที่ถูกเปิดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว เธอรีบยกเลิกทักษะก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นแสงสีทองแล้วรีบวิ่งแจ้นมายังเรียวกังแห่งนี้เพื่อหาตัวเธอ ภายในห้องนั้นทุกคนกำลังนั่งรอเธออยู่แล้ว และทันทีที่เจนเข้ามาในห้อง ฟีบีและคิทซึเนะก็รีบเข้าไปหาด้วยสีหน้าสำนึกผิดทันที



"พี่เจน! พี่ปลอดภัยดีหรือเปล่าคะ คิทซึเนะขอโทษที่ทิ้งพี่เจนเอาไว้คนเดียว" จิ้งจอกสาวเอ่ยด้วยใบหน้าสำนึกผิด ใบหูและหางขอกเธอลดต่ำแสดงให้เห็นว่าเธอเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจริง ๆ



"ไม่เป็นอะไรหรอกคิทซึเนะ ตอนนั้นมันเหตุการณ์สุดวิสัย เธอทำตามที่โจบอกก็ถูกแล้วล่ะ" สีหน้าของคิทซึเนะดีขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่สาวของเธอไม่ได้โกรธที่เธอหนีมากับฟีบี ทิ้งให้เจนเป็นเหยื่อของฝูงคนเอาไว้คนเดียว



แต่เรื่องนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กไปทันทีถ้าหากเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ นั่นก็คือการที่ตอนนี้ทุก ๆ คนรู้แล้วว่าผู้กล้าชุดขาวคือตัวเธอนั่นเอง!



"นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย โจ! ทำไมทุกคนถึงรู้เรื่องของฉันกันหมดล่ะ!!" เจนหันไปพูดเสียงดังกับเพื่อนหนุ่มที่ยืนเอามือไขว้หลังรอเธออยู่ใกล้ ๆ



"ใจเย็น ๆ ก่อน" โจพูดเสียงค่อย พยายามจะทำให้เพื่อนสาวของเขาใจเย็นลง แต่คงจะยากเพราะสิ่งที่เขาและเธอพยายามจะไม่ให้เกิดขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว



"ต..แต่ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ฉันไม่ได้ใช้ทักษะให้ใครนอกจากพวกนายเห็นเลยด้วย แล้วทำไม..-"



"เจน! ใจเย็น! พวกเรานี่แหละที่บอกข่าวเรื่องนั้นให้ทุกคนรู้เอง"



คำพูดของเจนจุกอยู่ที่ลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความคิดของโจทั้ง ๆ ที่คนที่บอกให้เจนปกปิดเรื่องของตัวเธอนั้นก็คือเขาแท้ ๆ แล้วดูท่าทางไม่ใช่คนเดียวที่ร่วมมือเปิดเผยเรื่องราวของเธอซะด้วย แต่เป็นสามหนุ่มที่กำลังยืนเรียนหน้ากระดานเหมือนกับนักนักเรียนกำลังรอแถวโดนครูทำโทษ



"ก่อนที่พวกนายรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ฉันแนะนำให้รีบ ๆ คายออกมาให้หมดเลยว่าพวกนายทั้งสามคนทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร" เสียงหักนิ้วดังกร็อกแกร็กเป็นจังหวะ โจและแจ็คใบหน้าถอดสีไปทันทีเพราะตอนนี้เขาทำให้เพื่อนสาวไม่พอใจเข้าซะแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่โดนกำปั้นของเจนซะนานทำให้เขาเผลอทำให้เธอโมโหขึ้นมา เพราะถ้าเขายังจำได้ว่าการที่ไปยั่วโมโหเพื่อนสาวคนนี้เข้าจะทำให้พบกับอะไรล่ะก็ พวกเขาคงจะบอกว่าจะเปิดเผยข่าวของผู้กล้าในชุดขาวก่อนที่เจนจะไปเผชิญหน้ากับกองทัพผู้เล่นและหัวหน้ากิลด์ที่ดูจะมีชื่อเสียงทั้งสองคนนั้น



แต่ใครบางคนดูเหมือนจะยังไม่รู้จักเจนดีพอ หนูส่งข่าวยังคงยิ้มร่าอย่างสะใจที่ได้แกล้งเพื่อนใหม่คนนี้ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใหม่แล้วก็ตาม



"เรื่องผู้กล้าชุดขาวนะ พวกเราสามคนปรึกษากันแล้วว่าควรจะเปิดเผยให้ทุกคนรู้ดีกว่าจะปิดเอาไว้เป็นความลับอย่างเดิม เพราะอย่างน้อยตอนนี้เธอก็เก่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้วจริงมั้ย"



"มันก็ใช่ แต่ถ้าหากทุกคนรู้ก็หมายความว่าพวกกิลด์พิฆาตราชาก็ต้องรู้ด้วยเหมือนกัน ถ้าหากพวกนั้นส่งคนมาตามล่าฉันขึ้นมาล่ะก็ ไม่เพียงแค่พวกคิทซึเนะจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว พวกนายได้พลอยติดร่างแหไปด้วยแน่" เจนพูดเสียงดัง เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับตัวเธอนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกังวลมากไปกว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับเพื่อน ๆ ของเธอเลย โดยเฉพาะคิทซึเนะและฟีบีที่เจนเป็นห่วงมากกว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับทั้งสองในขณะที่เธอไม่อยู่ในเกม



"ฉันรู้ แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่พอจะยอมรับได้... คืออย่างนี้นะ การที่เปิดเผยตัวตนของผู้กล้าในชุดขาวแม้อาจจะทำให้พวกกิลด์พิฆาตราชาเข้ามาหาพวกเราก็จริง แต่มันก็ช่วยให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ รู้ว่ายังคงมีคนที่ต่อต้านพวกนั้นอยู่ สิ่งที่เธอทำมาก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นจัดการพวกโจรที่สุสาร หรือจะถล่มเมืองรีเด็มชั่น นั่นเป็นการเริ่มต้นให้คนอื่น ๆ มีความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้กับกิลด์พิฆาตราชา" หนูส่งข่าวพูดพร้อมกับยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก คำพูดของเขาทำเอาเจนพูดอะไรไม่ออกเพราะสิ่งที่เธอจะเอามาเถียงนั้นกลับหดหายลงไปในลำคอจนหมดเมื่อเธอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม



"นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเธอนะเป็นเหมือนฮีโร่ของเกมนี้ไปแล้วรู้มั้ย กิลด์พิฆาตราชาที่เป็นเหมือนผู้ร้ายแต่ไม่มีฮีโร่ลุกขึ้นมาต่อต้านเหมือนกับโลกภายนอก เมื่อก่อนที่แม้กิลด์อันดับต้น ๆ รวมตัวกันยังทำอะไรไม่ได้แต่หลังจากที่เธอปรากฏตัวขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ข่าวที่ว่าคนของกิลด์พิฆาตราชาโดนจัดการนั้นมีบ่อยซะยิ่งกว่าเมื่อก่อนซะอีก แบบนี้จะไม่ให้มองว่าเธอเป็นฮีโร่ผู้มาปลดปล่อยพวกเราจากกิลด์พิฆาตราชาผู้ชั่วร้ายแล้วจะให้มองเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง จริงมั้ย" หนูส่งข่าวยิ้มแล้วเอามือตบไหล่ของเจนเบา ๆ แม้ตอนนี้ในใจเธอจะยังสู้สึกไม่พอใจอยู่ก็ตาม แต่เธอก็ไม่รู้สึกโกรธเท่ากับก่อนหน้านี้แล้ว



"ส่วนเรื่องเมื่อกี้นั้นมันก็แค่สนุก ๆ ขำ ๆ เธออย่าไปถือสาอะไรสองคนนั้นเลย" ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงทะเล้นแต่นั่นยิ่งทำให้เส้นเลือดผุดขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า เป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้สองหนุ่มจอจานรีบถอยห่างไปอย่างรวดเร็ว ทว่านั่นก็ยังไม่ทำให้หนูส่งข่าวรู้ตัวว่าเพชฌฆาตกำลังมาเยือนแล้ว



มือเรียวถูกยกขึ้นสูงและทุบลงมายังร่างผอมบางของชายหนุ่มผู้ที่บอกว่าตัวเองนั้นเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ แต่ดูท่าทางแล้วเขาคงจะไม่รอดไปจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน



หลังจากวันนี้คิทซึเนะ ฟีบีและซินจูต่างได้เรียนรู้ว่าการทำให้เจนโกรธนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาดของกลุ่มนี้ โดยเฉพาะหนูส่งข่าวที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนราคาแพงที่นอกจากจะได้ลิ้มรสหมัดของเจนแล้ว เขายังต้องเสียเวลาอีกชั่วโมงหนึ่งเพื่อที่จะกลับมาสมทบพวกเจนอีกด้วย





จบตอนที่35 เปิดเผยตัวตน

-------------------------------

Tohan-kun
2nd February 2014, 13:37
ตอนที่ 36 เบลดมาสเตอร! [ตอนแรก]



ตะวันคล้อยไปยามเย็น ท้องฟ้าถูกฉาบไปด้วยสีส้มและก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ บนผืนฟ้า ปกติแล้วตอนนี้ไม่ว่าผู้เล่นหรือชาวเมืองจะต้องเตรียมตัวกลับที่พักหรือท่องเที่ยวยามค่ำคืน แต่วันนี้คนส่วนใหญ่ในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ออนไลน์กลับตรงไปยังงานเดียวกันที่ถูกจัดขึ้นพร้อมกันทุกเมืองและทุกทวีป



การประลองเบลดมาสเตอร์!



เจนกำลังยืนอยู่กับกลุ่มคนอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังรอเวลาเริ่มการประลองในอีกไม่ช้า ทว่าเจนอยากให้มันรีบ ๆ มาถึงซักทีเพราะเธอรู้สึกอึดอัดจากสายตาของผู้เข้าร่วมประลองที่จ้องเธอเป็นสายตาเดียว เสียงพูดคุยซุบซิบแว่วเข้าหูมาเบา ๆ ต่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอทั้งนั้น บ้างก็ชื่นชมในสิ่งที่เธอทำ บ้างก็สงสัย แต่ส่วนใหญ่มีแต่คนที่พูดท้าทายว่าตัวเองนั้นสามารถเอาชนะตัวเธอได้สบาย ๆ แต่น่าตลกที่ไม่เห็นคนเหล่านั้นเดินเข้ามาท้าทายกับเธอตรง ๆ เลยแม้แต่คนเดียว



ในขณะที่เจนแกล้งทำเป็นหูทวนลมอยู่นั้นก็มีผู้เล่นหลายคนเข้ามาพูดคุยกับเธออย่างเป็นมิตรอยู่ด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ต่างจากบลูธันเดอร์และครี้ดที่ตอนนี้หายไปที่ไหนก็ไม่รู้ พวกเขาส่วนใหญ่นั่นไม่มีกิลด์สังกัดอยู่ คนที่สังกัดกิลด์ก็เป็นแค่กิลด์เล็ก ๆ ที่มีคนไม่ถึงห้าสิบคนเท่านั้นเอง สิ่งที่เจนรู้สึกจากคนพวกนี้ที่บอกว่าแตกต่างจากหัวหน้ากิลด์ทั้งสองนั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะดึงตัวของเจนเข้ากิลด์ด้วยเลย พวกเขาเพียงแค่อยากจะเข้ามาคุยและชื่นชมในสิ่งที่เจนทำ และนั่นก็ทำให้เจนรู้สึกผ่อนคลายจากสายตาสอดรู้ของคนที่อยู่นอกกลุ่มขึ้นเยอะ



"แล้วนายจะมีแผนไป..เอ่อ แบบว่าถล่มกิลด์พิฆาตราชาน่ะ ฮะ ๆ นายจะเข้าไปลุยกับพวกนั้นอีกใช่มั้ย" ชายหนุ่มร่างอ้วนพูดกับเจนอย่างสนิทสนม



ชายผู้นี้มีชื่อว่าสิงโตทะเล เขาเป็นนักดาบร่างอ้วนที่สะพายดาบคู่เอาไว้ที่กลางหลัง แม้ว่ารูปร่างจะไม่ให้แต่เขาก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ใช้ดาบที่เก่งมากเช่นกัน เจนรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรมากกว่าหลาย ๆ คนแถวนี้มาก อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเขานั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกับเจนเช่นกัน



"ไม่รู้สิ ที่ฉันทำลงไปก็เพราะพวกนั้นทำตัวน่ารังเกียจแถมยังทำตัวเป็นอันธพาลอีกมันก็เลยอดไม่ได้ ตอนนี้ฉันยังไม่คิดจะทำอย่างที่นายพูดหรอกนะ แต่ถ้าในอนาคตล่ะก็ไม่แน่" เจนเอ่ยตามความจริง เรื่องทั้งหมดที่เกิดนั้นเธอไม่ได้เป็นคนเริ่มซักหน่อย



"ฮ่า ๆ ! นายนี่แน่มากจริง ๆ พูดเหมือนกับพวกกิลด์พิฆาตราชาเป็นแค่นักเลงข้างถนนเลย เอาไว้ถึงตอนที่นายจะจัดการกับพวกกิลด์พิฆาตเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกให้ฉันรู้ด้วยนะ ไม่สิ! ความจริงนายน่าจะประกาศให้ทุกคนรู้ไปเลย ฉันรับรองว่าต้องมีคนมาช่วยนายแน่ อย่างน้อยก็พวกเราแถวนี้หลายคนล่ะ" สิงโตทะเลเอ่ย มีเสียงของผู้เล่นคนอื่น ๆ สนับสนุนดังตามมาไม่ขาด



เจนยิ้มอย่างซาบซึ้งให้กับน้ำใจของผู้เล่นรอบตัวที่มีให้เธอ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลประโยชน์กับพวกเขาหรืออาจจะโดนกิลด์พิฆาตราชาหมายหัวด้วยซ้ำไป แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ



"ขอบใจมากนะทุกคน แล้วก็นายด้วยนะ พ่อสิงโตทะเล" เจนเอ่ย ทำให้คนที่ถูกเอ่ยขึ้นได้แต่เกาศีรษะเบา ๆ ด้วยความเขินอาย



ระหว่างที่พวกเธอกำลังพากันบันทึกชื่อเป็นเพื่อนและคุยกันเรื่อยเปื่อยนั้นเอง เจนก็เหลือบไปเห็นคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้เป็นพวกผู้เล่นที่ไม่เข้ามาทักทายเจน พวกเขาเหล่านี้ต่างจากผู้เล่นคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงเพราะใบหน้าของเขานั้นไร้ซึ่งรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง มีเพียงคิ้วที่ย่นเข้าหากันพาบรรยากาศรอบ ๆ ดูเครียดตามไปด้วย นอกจากนั้นชุดที่พวกเขาสวมใส่อยู่นั้นก็ดูมีระดับสูงมากกว่าผู้เล่นแถวนี้หลายคนซะอีก



"นี่ พวกนั้นเป็นใครงั้นหรือ" เจนหันไปหาสิงโตทะเล เมื่อชายหนุ่มหันมองตามก็อ้าปากร้องอ๋อทันที



"อ่า พวกนั้นคือยอดขุมพลจากเมืองในทวีปอัลเทเชีย..เป็นเอไอน่ะ อย่างผู้หญิงคนนั้น คนที่สวมชุดซามูไรสีแดงคนนั้นน่ะ เธอมีชื่อว่าโทโมเอะ โกเซน เป็นหนึ่งในสุดยอดแม่ทัพของเมืองยามะไตนี่แหละ ใกล้ ๆ กันนั้นคือนายพลฟู่ ว่ากันว่าใช้กระบี่เก่งสุด ๆ ส่วนคนข้าง ๆก็..-"



"โอเค ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าพวกนั้นเป็นยอดขุมพลกันทั้งนั้น" เจนรีบตัดบทก่อนที่สิงโตทะเลจะได้พูดต่อ เพราะยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หนักใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเธออาจจะต้องได้ประดาบกับคนเหล่านี้ในอีกไม่นานต่อจากนี้



"ก็แน่ล่ะ แต่ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ พวกเขาเหล่านี้อย่างต่ำก็ยศขุนนาง เลเวลหกสิบไปแล้ว บอกตามตรงว่างานนี้ถึงจะเป็นนายก็เถอะ แต่ฉันพอจะเดาออกได้ว่าพวกไหนจะได้เป็นเบลดมาสเตอร์" สิงโตทะเลว่า และนั่นก็เป็นสิ่งที่เจนเห็นด้วยเช่นกัน



ตอนนั้นเองที่ด้านหน้าของพวกเธอก็มีจอแสงปรากฏขึ้นมา โดยบนจอนั้นเป็นอามิตตากำลังยืนยิ้มร่าอยู่



"สวัสดียามเย็นค่ะทุก ๆ ท่าน ต้องขออภัยด้วยที่ต้องให้รอนาน แต่ตอนนี้เวลาที่ทุกท่านกำลังรอคอยใกล้มาถึงแล้ว นั่นก็คือเวลาของการประลองเบลดมาสเตอร์นั่นเองค่ะ!"



ทันทีที่นักข่าวสาวพูดจบ เสียงร้องตะโกนจากทั้งผู้เข้าร่วมประลองก็ดังกระหึ่มขึ้นมาจนเจนเอามืออุดหูแทบไม่ทัน ท่าทางของรางวัลที่หลุดปากมาโดยตั้งใจของเกมมาสเตอร์หลินนั้นจะดึงดูดทั้งผู้ที่หวังของในของรางวัลและผู้ที่ต้องการจะเห็นเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว



"และสวัสดีไปทางเมืองคาเมล็อทที่ทวีปยูโรปาและเมืองคริสตัลเบลบนทวีปไลเทเชียด้วยนะคะ ดิฉัน อามิตตายังคงเกาะติดงานประลองเบลดมาสเตอร์อยู่ ซึ่งในตอนนี้พวกเราก็กำลังถ่ายทอดสดจากเมืองยามะไตค่ะ ตอนนี้GMหลินและGMฟินน์ก็ยังคงอยู่คอยให้ข้อมูลและตอบคำถามที่พวกเราสงสัยอยู่เช่นเคยค่ะ" นักข่าวสาวพูดพร้อมกับผายมือไปยังGMทั้งสอง



"และตอนนี้ดิฉันก็ได้รับเกียรติให้เป็นผู้แจ้งการประลองรอบแรกให้กับทุก ๆ คนได้ทราบกันนะคะ เนื่องจากในการประลองครั้งที่ห้าร้อยสิบนี้มีจำนวนผู้เข้าร่วมต่อสู้รวมทั้งสามทวีปแล้วมีถึงแปดหมื่นคนทีเดียวค่ะ นั่นถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดิ โอเพ่น เวิลด์เลยนะคะ แต่ก็เป็นเพราะเนื่องจากมีคนเข้าร่วมประลองเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนรูปแบบการประลองค่ะ" อามิตตาว่า เสียงคุยฮือฮาในหมู่ผู้เล่นและยอดนักรบต่างหันไปคุยกันด้วยความสงสัยทันทีว่าการประลองรอบแรกนั้นจะออกมาในรูปแบบไหนกัน



แต่ก่อนที่จะได้สงสัยไปมากกว่านี้ ตรงหน้าของเจนก็มีประตูสีขาวบานใหญ่ปรากฏขึ้นมา เมื่อมองเข้าไปก็พบว่าด้านในนั้นเป็นเหมือนกับลานดินกว้าง แต่มองจากด้านนอกเช่นนี้คงบอกอะไรมากไม่ได้นัก



"ขอให้ผู้เข้าร่วมการประลองทุกท่านทยอยเข้าไปในประตูด้านหน้าด้วยค่ะ ทั้งผู้เข้าร่วมประลองที่เมืองคาเมล็อทและเมืองคริสตัลเบลด้วยนะคะ ประตูบานนี้จะพาทุกท่านไปยังสนามประลองที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วค่ะ"



พวกเจนเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปด้านในบานประตู หลังจากเข้ามาเจนก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในลานประลองโคลอสเซียมขนาดใหญ่ ลานหินกว้างใหญ่ถูกอาคารหินสีขามล้อมรอบ มีคบเพลิงจำนวนมากถูกจุดขึ้นเอาไว้ที่กำแพงส่องสว่างจ้าซะจนสว่างเหมือนเวลากลางวัน เมื่อมองไปอีกด้านของสนาม เจนก็เห็นประตูแบบเดียวกันที่เธอเดินผ่านเข้ามาอีกสองบานที่มีผู้เล่นจำนวนมากกำลังเดินเข้าเช่นเดียวกันกับประตูด้านหลังของเธอ



เหนือกำแพงไปนั้นก็เป็นอัฒจรรย์ที่ใช้มองเห็นลานประลองได้เต็มตา ตรงบริเวณทางเข้าก็เริ่มมีคนกำลังเดินเข้ามาจับจองที่นั่งส่วนหน้าสุดกันแล้ว แม้ว่าโคลอสเซียมแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่มากก็ตาม แต่คงไม่สามารถจุผู้ชมได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน เจนต้องการแค่ไม่กี่คนที่อยากให้เข้ามาด้านในได้และเธอก็เห็นเด็กสาวในชุดสีฟ้ากำลังเดินจูงมือสาวงามในชุดขาวสองคนที่มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นโดยมีชายหนุ่มที่เธอรู้จักดีอีกสามคนกำลังเดินตามมา



"ช่วงเวลาที่รากำลังรอให้ทุกคนเข้ามาในลานประลองอยู่นี้ ผู้เข้าร่วมประลองทุกท่านคงจะทราบดีแล้วนะคะว่าทุกคนจะต้องใช้อาวุธที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ ดังนั้นผู้เข้าร่วมประลองที่มาถึงแล้วสามารถไปหยิบอาวุธที่อยู่บนกำแพงได้เลยค่ะ" เสียงของอามิตตาดังขึ้น



เจนหันไปมองตามที่อามิตตาว่าก็พบกับดาบหลากชนิดจำนวนนับไม่ถ้วนวางอยู่บนชั้นติดกำแพง บ้างก็วางบนชั้นวางบนพื้นใกล้ ๆ กัน เธอและผู้เล่นจำนวนมากรีบเดินเข้าไปเลือกอาวุธที่ตนต้องการก่อนจะถูกหยิบไปจนหมด แต่เมื่อเห็นว่าอาวุธที่ถูกหยิบไปแล้วนั้นจะกลับมาอีกครั้ง ไม่จำเป็นจะต้องกังวลว่าจะโดนแย่งอาวุธไปจนหมด



เจนตรงเข้าไปหยิบดาบคาตะนะมาเล่มหนึ่ง แม้จะมีน้ำหนักเบาไปหน่อยแต่ก็รู้สึกเหมาะมือพอ ๆ กับคุซานางิเลยทีเดียว



ในเวลาไม่นานนักเมื่อผู้ชมเข้าประจำที่และผู้ประลองได้อาวุธในมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจนก็เห็นได้ทันทีว่ากลุ่มผู้เข้าร่วมประลองนั้นแบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ จากทั้งสามทวีป เธอสังเกตได้อย่างง่าย ๆ เพราะการแต่งกายของกลุ่มนักรบที่บอกได้ถึงที่มา พร้อมกันนั้นอามิตตาก็ประกาศขึ้นอีกครั้ง "การประลองรอบแรกจะเป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอนค่ะ โดยผู้ที่สามารถจัดการคนอื่นได้ถึงสิบคนจะผ่านเข้าไปประลองในรอบที่สองทันทีค่ะ"



พูดจบ ทั้งผู้ชมและตัวผู้ประลองเองต่างก็ส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าการประลองนี้จะเป็นแบบไหนจึงได้แต่เดากันไปทั่ว แต่ไม่ว่าจะคาดเอาไว้ยังไงก็ไม่มีใครคิดว่าจะต้องออกมาเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน



เมื่อตั้งสติได้ เจนก็ยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนและมองไปรอบ ๆ ซึ่งผู้เล่นคนอื่น ๆ เองก็คิดแบบเดียวกันกับเธอเช่นกัน แต่เธอรู้สึกได้ถึงสายตามุ่งร้ายมาจากผู้เล่นรอบตัวเธอจำนวนมาก และเธอก็รู้เหตุผลด้วยว่าทำไม



"การประลองรอบคัดเลือกจะเริ่มในอีก ห้า..สี่..สาม..สอง..หนึ่ง..."



แก้ง!!



เสียงเคาะให้สัญญาณดังลั่นโคลอสเซียมพร้อมกับการเปิดฉากการโจมตีของเหล่านักดาบเบื้องล่าง เจนรู้สึกได้ทันทีว่ามีหลายคนกำลังพุ่งเป้ามาที่เธอจากหลายทิศทาง และเธอก็ไม่สามารถจะรับมือพวกเขาเหล่านั้นได้ทั้งหมดถ้าหากไม่ใช้ทักษะช่วย



ตูม!!!



เสียงระเบิดดังลั่นใกล้กับจุดที่เจนยืนอยู่ ทำให้คนที่คิดจะเข้าไปรุมเธอต้องหยุดมองเพราะการประลองนี้ไม่สามารถใช้ทักษะได้มากนัก ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่แสดงพลังทำลายมหาศาลดังที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้นั้นก็ต้องถือว่าเป็นตัวอันตรายมากทีเดียว



เมื่อมองไปดูก็พบว่าผู้ที่ทำให้เกิดเสียงระเบิดนั้นเป็นชายในชุดเกราะหนาแบบจีน อาวุธของเขานั้นเป็นดาบบังตอขนาดใหญ่พอ ๆ กับดาบของครี้ดที่เจนเคยเห็น เจนรีบถอยออกห่างทันทีเพราะเธอไม่อยากจะโดนดาบเล่มนั้นตัดร่างเข้าแม้ว่าเธอยังแปลกใจว่ามีอาวุธแบบนี้ให้เลือกด้วยงั้นหรือ



ชายคนนั้นรู้ตัวว่าตอนนี้เขาเรียกความสนใจของคนรอบ ๆ ได้แล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เขากังวลเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะถอยไปตั้งรับ ตรงกันข้าม เขากลับพุ่งเข้าใส่กุล่มผู้เล่นที่เพิ่งรวมกลุ่มเพื่อที่จะเข้ามาจัดการเขาพร้อมกับยกปังตอขึ้นสูงและฟาดปะทะเข้ากับกลุ่มผู้เล่นตรงหน้าทันที



ตูม!!



เสียงของปังตอฟาดใส่ดาบในมือของกลุ่มผู้เล่นเสียงดัง ความรุนแรงของมันนั้นทำให้พวกเขากระเด็นไปคนละทิศคนละทางก่อนที่จะหายกลายเป็นแสงไป เจนเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะว่าเธอเชื่อว่าการโจมตีเมื่อครู่นั้นไม่ได้สร้างความเสียหายมากพอที่จะจัดการผู้เล่นเหล่านั้นได้ในดาบเดียวแน่



"เริ่มต้นขึ้นแล้วค่า!! เพิ่งเริ่มการประลองเพียงแค่ไม่กี่วินาที กลุ่มผู้เล่นหลายคนก็โดนจัดการเข้าแล้วค่ะ แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เนื่องจากกฎได้บอกเอาไว้ว่าเมื่อผู้เข้าร่วมประลองนั้นบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถทำการต่อสู้ได้หรือหมดสติไปก็จะถูกนำออกจากการประลองทันที ดังนั้นการประลองครั้งนี้ปลอดภัยหายห่วงค่ะ แต่จากการโจมตีที่ขนาดใช้แค่อาวุธธรรมดายังจัดการคู่ต่อสู้ได้ในดาบเดียวแบบนี้ก็ถือว่ารุนแรงมากทีเดียวค่ะ ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยคะว่าเขาคนนั้นเป็นใคร" อามิตตาดูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าของเธอนั้นอยู่บนจอแสงที่อยู่เหนือโคลอสเซียมที่มองเห็นได้จากทั้งสนาม



"อ่า นั่นเป็นจอมพลฉินครับ เขาเป็นยอดนักรบอีกคนแห่งลั่วหยาง ก่อนที่เขาจะมาเป็นจอมพลนั้นเขาคือคนขายเนื้อทำให้อาวุธของเขาเป็นมีดบังตออย่างที่ทุกคนเห็นกันนะครับ และเขาอย่างที่ทุกคนน่าจะรู้กันแล้วว่าเขามียศขุนนาง เลเวลเจ็ดสิบครับ" GMฟินน์กล่าว



เจนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าซีด เพราะนายพลผู้นี้มีความเก่งกาจยิ่งกว่าราชาเทนกุจมูกยาวที่เจนใช้พลังสถิตร่างแล้วยังพลาดท่าซะอีก ตอนนี้นอกจากเธอจะยังไม่สามารถใช้ทักษะได้แล้ว อาวุธที่อยู่ในมือก็ไม่ใช้ดาบคุซานางิอีกต่างหาก งานนี้เจนไม่รู้เลยว่าเธอจะเอาชนะชายผู้นี้ได้ยังไง



ถึงแม้จะรู้ว่าชายตรงหน้าเก่งกาจเพียงใด แต่ผู้เข้าร่วมประลองที่เป็นผู้เล่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ทุกคนต่างหันหน้าเข้าจับมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวโดยมีเป้าหมายเดียวนั่นก็คือจอมพลฉินผู้ใช้ดาบปังตอขนาดยักษ์เป็นอาวุธ



ผู้เล่นกว่าสามสิบคนต่างพุ่งเข้าไปโจมตีใส่จอมพลฉินเพียงคนเดียว แต่ใบหน้าภายใต้หมวกเหล็กกลับนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก เขาเพียงแค่ยกปังตอขึ้นและเตรียมพร้อมกับศัตรูที่กำลังประดาหน้าเข้ามาเท่านั้น



ตูมม!! ตูมม!! ตูมม!!



จอมพลฉินสะบัดดาบเพียงสองสามที ผู้เล่นหลายสิบก็กระเด็นไปไกล บ้างก็ถึงกับกลายเป็นแสงไป แต่ไม่ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บสาหัสหรือสลบเหมือดไปก็ตาม แต่การโจมตีครั้งนี้เปิดทางโล่งให้จอมพลฉินสามารถมองเห็นเจนที่ยืนนิ่งเพราะถูกดวงตาเย็นชาของเขาจ้องจนไม่กล้าขยับไปไหนราวกับสิงโตกำลังจ้องเหยื่อของมัน



เจนรู้สึกได้ถึงดวงตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมาที่เธอสะกดไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจของเธอด้วย เจนรู้สึกร่างกายของเธอเย็นเฉียบแต่เหงื่อกลับไหลลงมาที่กลางหลัง เหมือนกับคำกล่าวที่เธอเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อนว่า 'ยอดนักรบเพียงแค่จ้องตาก็ชนะแล้ว' และจอมพลฉินนั้นก็สมกับเป็นยอดนักรบจริง ๆ ไม่ใช่เพราะมีเลเวลเยอะกว่า แต่เป็นดวงตาที่ผ่านเหตุการณ์มานับไม่ถ้วนคู่นั้นที่เป็นดาบตัดหัวของเธอ



ทว่าแทนที่จะรีบปลิดชีพเจน จอมพลฉินกลับเอาปังตอวางทิ่มดินเหมือนกับว่าไม่ต้องการจะต่อสู้ต่อ แล้วจากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงหายไปพร้อมกับมีใบหน้าของเขาปรากฏขึ้นบนจอแสงอีกอันที่เขียนเอาไว้ว่าผู้ที่ผ่านเข้าการประลองรอบที่สอง



"มาแล้วค่ะผู้ที่ผ่านการประลองรอบแรก และก็เป็นอย่างที่เราคาดกันเอาไว้จริง ๆ ค่ะว่าเป็นหนึ่งในเหล่ายอดขุมพล งานประลองนี้แม้จะมีผู้เล่นเป็นจำนวนมากกว่าแต่ความสามารถและเลเวลของยอดขุมพลเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นเป็นต่ออยู่มากทีเดียวค่ะ" อามิตตาพูดแล้วจึงหันไปมองดูการต่อสู้อื่นที่น่ารายงานขึ้นจอมากที่สุดแทนจอมพลฉิน



เจนถอยหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ถ้าหากจอมพลฉินไม่ผ่านเข้ารอบไปพอดีล่ะก็เธอคงจะเป็นหนึ่งในคะแนนที่ช่วยให้เขาผ่านเข้ารอบไปแล้ว เจนรู้สึกถึงความอ่อนหัดของตนเองที่ยังคงขาดประสบการณ์อีกมาก แม้เธอจะฝึกฝนและสู้กับมอนสเตอร์มาจนคิดว่าตนมีฝีมือดาบเข้าขั้นแล้วก็ตาม แต่พอได้มาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจริง ๆ ในสนามประลองที่ใช้ฝีมือปะทะฝีมือนั้นก็ทำให้เจนเห็นว่ายังคงเป็นการเดินทางอีกไกลทีเดียวที่จะทำให้เจนสามารถเรียกตนเองว่าเป็นยอดฝีมือได้ในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์แห่งนี้



หญิงสาวยกมือซ้ายขึ้นมาตบหน้าตัวเองแรง ๆ เลือดที่สูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าช่วยเรียกสติของเธอให้กลับมาอีกครั้ง เจนก้มลงมองดูดาบในมือตัวเองและให้คำมั่นเอาไว้เลยว่าเธอจะไม่เป็นคนตาขาวที่ถูกสะกดเช่นนั้นอีก



เสียงร้องตะโกนจากด้านหลัง เจนหันไปมองพบว่าเป็นผู้เล่นคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอโดยถือดายเข้ามาอย่างมุ่งร้าย มือบางกำดาบแน่นให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้มันหลุดออกจากมือ ดวงตาสีแดงโกเมนจ้องไปยังศัตรูตรงหน้าและพุ่งเข้าหาพร้อมกับฟาดดาบสวนกลับไปด้วยสัญชาติญาณ







บนอัฒจรรย์โคลอสเซียม พวกโจที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดได้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เพื่อนของพวกเขาสามารถรอดพ้นเงื้อมมือมาจากจอมพลฉินมาได้อย่างหวุดหวิด



"เฮ่อ ดีนะเนี่ยที่ขุมพลคนนั้นผ่านเข้ารอบไปพอดี ยัยเจนเกือบไปแล้วมั้ยล่ะ" จอมเวทหนุ่มพูด เสียงชิชะดังมาจากโจรหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดูท่าทางเขายังคงโกรธเพื่อนที่เพิ่งจัดการส่งเข้าไปรอเกิดและเสียเวลาไปถึงหนึ่งชั่วโมง...แม้ในเป็นเวลาในเกมก็ตาม



"โถ่ไม่เอาน่าไอ้หนู นี่นายยังน้อยใจที่เจนฆ่านายอยู่อีกหรือไง ตอนนี้นายเพิ่งผ่านภารกิจเปลี่ยนยศมา เลเวลก็ไม่ได้ลดซักหน่อยนี่นา ถือว่าขำ ๆ น่า" แจ็คกล่าวล้อเลียน



หนูส่งข่าวที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าและหันไปมองดูการต่อสู้เบื้องล่างต่อไป



"ขนาดเจอนักรบที่เป็นเอไอยังเป็นถึงขนาดนี้ ถ้าหากพี่เจนเจอกับพวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่ ๆ เข้าจะเป็นยังไงนะ อย่างพวกกิลด์หกราชันย์หรือกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่" ซินจูเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง



"อ่า เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก งานนี้มีพวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่ ๆ เข้าร่วมประลองอยู่ก็จริง แต่อย่างน้อยไม่มีพวกติดห้าอันดับแรกโผล่อยู่เลย" โจว่า



"เอ๋! แต่ว่างานประลองนี้มีอาวุธระดับ S ที่ยังไม่เคยมีใครได้มาก่อนเป็นรางวัลเชียวนะคะ" ซินจูถามด้วยความแปลกใจ เพราะนอกจากดาบคุซานางิของเจนแล้วเธอก็ไม่เคยเห็นอาวุธระดับ S ชิ้นอื่นมาก่อน ซึ่งเหล่าหัวหน้ากิลด์ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่สนใจดาบที่เป็นของรางวัลงานประลองนี้



"ถ้าเป็นเมื่อปีที่แล้วล่ะก็คงยังไม่มีอาวุธระดับ S อยู่หรอก แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ฉันมั่นใจว่าพวกหัวหน้ากิลด์ห้า...ไม่สิ สิบอันดับแรกเลยก็ได้ พวกเขาจะต้องมีอาวุธระดับ S เอาไว้ในครอบครองแล้วแน่ ๆ" โจอธิบายพร้อมกับชี้ลงไปยังผู้เล่นคนหนึ่งที่กำลังสู้อยู่ในสนามด้วยดาบขนาดใหญ่กว่าสองเมตร นั่นก็คือครี้ด หัวหน้ากิลด์ราชสีห์ทมิฬนั่นเอง



"หมอนั่นและอีกคนที่จะดึงเจนเข้ากิลด์เมื่อตอนเช้านั้นเป็นหัวหน้ากิลด์อันดับเก้าและอันดับแปด ในบรรดาผู้เล่นที่ฉันรู้จักนอกจากยัยเจนแล้วก็มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกยอดขุมพลได้ ที่กิลด์อันดับต้น ๆ ไม่เข้ามาร่วมในงามใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าเรื่องที่กิลด์พิฆาตราชากับกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ประกาศสงครามกันนั่นแหละ"



"ฉันเองก็ได้ข่าวมาว่าคนของทั้งสองกิลด์ตอนนี้กำลังเรียกรวมพลไปเก็บเลเวลกันยกใหญ่เชียวล่ะ มีหลายดันเจี้ยนแล้วที่ถูกพวกกิลด์พิฆาตราชายึดไม่ให้คนอื่นเข้าไปเก็บเลเวลจนทำให้คนอื่น ๆ เดือดร้อนกันไปทั่ว จนเกิดข้อพิพาทกับกิลด์ใหญ่ ๆ เพียบจนต้องกำลังพลมาคอยเฝ้าระวังในพื้นที่ของตัวเองเอาไว้ โดยเฉพาะกับกิลด์วิหคเทเวศที่เป็นกิลด์อันดับสามของเกม....อ้อและเป็นกิลด์หญิงล้วนกับหญิงเทียมอีกนิดหน่อย" หนูส่งข่าวเสริม



"หญิงเทียมคืออะไรหรือคะ" ฟีบีถามขึ้นเสียงใส ดวงตาใสซื่อของเธอจ้องมองมาที่หนูส่งข่าวอย่างสงสัยใคร่รู้ เขาพยายามคิดว่าจะตอบอย่างไรดีที่จะทำให้เด็กน้อยคนนี้เข้าใจว่าสาวเทียมคืออะไร



"เดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟีบีฟังเองดีกว่านะ สาวเทียมก็คือผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิงไงล่ะจ๊ะ" ซินจูรีบชิงอธิบายก่อนที่หนูส่งข่าวจะยัดเยียดอะไรไม่ดีเข้าหัวของมังกรน้อยเข้า



"อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ฟีบีเข้าใจแล้วค่ะ" มังกรน้อยส่งเสียงออกมาแล้วหันไปเกาะขอบกำแพงมองลงไปยังการต่อสู้ด้านล่างต่อ



ส่วนพวกสามหนุ่มก็แอบโล่งใจเพราะจู่ ๆ ฟีบีก็ถามคำถามแปลก ๆ ออกมา ถ้าหากพวกเขาไปทำให้น้องสาวที่เจนสุดหวงไปเข้าใจอะไรไม่ดีไม่งามเข้าล่ะก็ มีหวังได้ลิ้มรสชาติหมัดของเธอที่หนูส่งข่าวยังคงจดจำได้ดีอย่างแน่นอน







เคร้ง!!



เสียงของดาบคาตะนะปะทะเข้ากับดาบเรเฟียที่แทงเข้าใส่ร่างในชุดคลุมสีขาวอย่างรวดเร็ว คู่ต่อสู้ของเจนตอนนี้เป็นหญิงสาวร่างสูงคนหนึ่งที่มีผมสีทองด้วงตาสีฟ้า หน้าตาค่อนจะไปเป็นชาวยุโรป อาจจะเป็นฝรั่งเศสหรือเยอรมันแต่เจนไม่ได้สนใจตรงนั้น ที่เธอสนใจตอนนี้คือจะทำยังไงถึงจะเอาชระเธอได้มากกว่า



หญิงสาวตรงหน้ายกดาบขึ้นแทงและก้าวเท้าเข้าระชิดตัวไปพร้อมกัน ทำให้เจนได้แต่เพียงยกดาบปัดป้องและก้าวเท้าถอยเท่านั้น และด้วยความเร็วของดาบเรเฟียที่แทงเข้ามานั้นก็สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้ต้องเคยฝึกการฟันดาบมาอย่างแน่นอน หากเจนพลาดเพียงครั้งเดียวก็หมายถึงการพ่ายแพ้ได้ทันที



ถ้าหากเป็นตัวเธอเมื่อก่อนล่ะก็คงแพ้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เจนได้รับการฝึกจากหมิงเต๋อมาแล้วและยังฝึกการต่อสู้กับซาลามานเดอร์ป่ามาอย่างดีจากการล็อกอินครั้งที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นแค่การฝึกในเกมและอาจจะเทียบไม่ได้เพราะจำนวนชั่วโมงบินต่ำกว่า แต่เจนก็มั่นใจว่าเธอสามารถจะเอาชนะได้ถ้าหากเธอเจอช่องว่างพอที่จะโจมตีสวนกลับไป เพียงแค่ครั้งเดียวก็น่าจะเกินพอ



ในที่สุดโอกาสของเจนก็มาถึง นักดาบสาวแทงดาบพลาดจนเสียจังหวะ เจนปัดดาบของหญิงสาวตรงหน้าเต็มแรงจนดาบหลุดออกจากมือของเธอและก้าวประชิดโดยใช้หัวไหล่ชนจนร่างของทั้งคู่ล้มกลิ้งไปนอนลงบนพื้น เจนรีบกระโดดลุกขึ้นและใช้ดาบชี้ไปยังใบหน้าของหญิงสาวผมทองที่เอื้อมมือไปหาดาบของเธอซึ่งห่างไปเพียงแค่ปลายนิ้ว



หญิงสาวรู้สึกได้ถึงเหล็กเย็นเฉียบทาบเข้าที่ลำคอ ตอนนี้เธอรู้ได้ทันทีว่าจะดิ้นรนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วจึงชักมือกลับมาแล้วเงยหน้ายิ้มให้กับเจนที่ส่งยิ้มกลับมาเช่นกัน



"โอเค ฉันยอมแพ้" หญิงสาวกล่าว เมื่อเจนได้ยินดังนั้นก็เก็บดาบแล้วจึงส่งมือไปให้เธอและดึกให้ลุกขึ้นมาจากพื้น



"นายนี่เก่งจริง ๆ ขนาดฉันเป็นนักกีฬาฟันดาบระดับมหาลัยยังทำอะไรนายไม่ได้เลย สมแล้วที่ทุกคนเรียกนายว่าผู้กล้าชุดขาว" หญิงสาวกล่าว



เจนได้ยินที่หญิงสาวพูดก็หัวเราะแห้ง ๆ ให้เป็นคำตอบ "เธอเองก็เก่งใช่ย่อยเหมือนกันนั่นแหละ ที่ชนะเธอครั้งนี้มันแค่โชคช่วยเท่านั้นเอง"



"เอาเถอะ จะพูดยังไงแต่ครั้งนี้นายเป็นผู้ชนะอยู่ดี ผ่านเข้ารอบไปให้ได้ล่ะ" หญิงสาวกล่าวแล้วร่างของเธอก็กลายเป็นแสงหายไปต่อหน้าของเจน



เธอเป็นคนที่เก้าแล้วที่เจนเอาชนะมาได้ แต่กว่าจะถึงขนาดนี้ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกัน มีหลายต่อหลายครั้งที่เธอพลาดและเกือบจะถูกฆ่าแต่โชคดีที่ยังเจนยังหาทางพอที่จะหนีมาได้อย่างหวุดหวิด



ตอนนี้สนามประลองแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกเป็นเหล่ายอดขุมพลที่มีอยู่หลายร้อยคนในการประลองรอบนี้ ซึ่งพวกเขาทุกคนต่างก็แยกย้ายไปจัดการผู้เล่นไม่รวมกลุ่มกันเอง อีกกลุ่มเป็นพวกผู้เล่นที่รวมตัวกันสู้กับเหล่าขุมพลที่แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะตกรอบไปมากกว่ากลุ่มอื่น แต่พวกเขาก็สามารถทำให้ขุมพลตกรอบไปแล้วหลายร้อยคนเช่นกัน สุดท้ายเป็นพวกผู้เล่นที่คิดจะพาตัวเองผ่านเข้ารอบไปให้เร็วที่สุดซึ่งเจนก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน



เจนกระชับดาบแน่นแล้วออกเดินหน้าหาคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่จะเป็นแต้มทำให้เธอได้ผ่านเข้ารอบต่อไป ตอนนี้ผู้ที่ผ่านเข้ารอบนั้นพุ่งสูงไปกว่าหกพันคนแล้ว แต่ถ้าหากวัดที่จำนวนผู้เข้าร่วมประลองแล้วก็ถือว่าน้อยมากเพราะจำนวนผู้เข้าร่วมประลองนั้นเดิมมีถึงแปดหมื่นคน นับได้ว่าการประลองรอบนี้ได้บรรลุจุดหมายของมันได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว นั่นก็คือการคัดคนตกรอบออกไปให้มากที่สุด



ระหว่างที่กำลังมองหาคู่ต่อสู้คนสุดท้าย เจนก็พยายามหลีกเลี่ยงพวกขุมพลเอาไว้ก่อนถ้าหากเป็นไปได้ เพราะตอนนี้เธอรู้ตัวว่าตนนั้นยังคงไม่อาจจะสู้กับพวกเขาได้ในตอนนี้ แต่คงไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้นมากนักเพราะเหล่ายอดขุมพลส่วนใหญ่นั้นได้ผ่านเข้ารอบไปแล้ว จึงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นและพวกเขาก็ถูกกลุ่มผู้เล่นรุมโจมตีจนไม่มีเวลาว่างมาสนใจเธอ



ตอนนั้นเองเจนก็เหลือบไปเห็นสิงโตทะเลกำลังสู้กับขุมพลคนหนึ่งที่น่าจะมาจากทวีปยูโรปา ที่เจนรู้ได้นั้นเพราะชุดเกราะหนาที่เขาสวมใส่นั้นดูแล้วยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นอัศวินเทมพลาร์ยังไงอย่างนั้น



ส่วนสิงโตทะเลนั้นก็ทำให้เจนแปลกใจไม่น้อยเชนกัน เขาใช้อาวุธเป็นดาบสั้นคู่ในมือที่ฟาดฟันไปยังอัศวินเทมพลาร์อย่างรวดเร็วจนต้องล้าถอยไปเรื่อย ๆ และไม่มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะมีผู้เล่นอีกสองคนกำลังรุมอัศวินผู้นี้อยู่ก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าสิงโตทะเลเองก็มีฝีมือไม่ใช่ย่อยต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง



ทันใดนั้นเอง สิงโตทะเลก็ตั้งท่าดาบโดยกางมือออกข้างตัวขนานกับพื้นดิน เจนมองท่าของชายอ้วนตรงหน้าก็ชวนให้เธอเกิดความคิดบางอย่างในหัวแต่เธอรีบปฏิเสธมันไปทันทีเพราะคนอย่างสิงโตทะเลคงไม่คิดอะไรเด็ก ๆ แบบนั้นออกมาหรอก..มั้งนะ



"ท่าดาบพายุหมุน!!!" สิงโตทะเลตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งเข้าใส่อัศวินเทมพลาร์ ทันใดนั้นเขาก็ใช้เท้าเป็นจุดถ่วงพร้อมกับหมุนตัว ท่าทางตลก ๆ ในตอนนี้กลับดูราบกับลูกข่างใบมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งที่ขวางหน้าไปให้สิ้น!



แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของสิงโตทะเลเท่านั้น



ความจริงแล้วเมื่อสิงโตทะเลหมุนตัวเป็นพายุดาบอย่างที่เขาว่า น้ำหนักของเขาก็เป็นแรงถ่วงทำให้เขาสามารถหมุนได้แรงแต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น แถมยังพุ่งไปอย่างไร้ทิศทางไปพลาดไปโดนผู้เล่นอีกสองคนที่กำลังช่วยล้อมอัศวินเทมพลาร์จนจนมุมแล้วตกรอบไปทั้งคู่ ส่วนตัวพายุดาบหรือสิงโตทะเลเองนั้นก็หยุดหมุนในเวลาไม่นานเพราะเวียนหัวชวนอ้วก จากนั้นเขาก็โดนอัศวินผู้นั้นจัดการไปอย่างง่ายดาย



เจนมองดูสิงโตทะเลสลบเหมือดและกำลังค่อย ๆ กลายเป็นแสงหายไปด้วยความจนปัญญา ไอ้ท่าดาบหมุนรอบตัวนั้นเป็นท่าที่มีแค่เด็กเท่านั้นที่คิดว่าจะใช้ได้ผลจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าคนที่มีฝีมือแต่ท่าทางไม่ให้อย่างสิงโตทะเลจะคิดว่าจะใช้ท่านี้จัดการกับอัศวินเทมพลาร์ได้ แม้อันที่จริงเขาก็จัดการผู้เล่นที่กำลังช่วยกันจัดการจอมพลฉินได้ถึงสองคน



เจนยืนมองสิงโตทะเลหายไปด้วยสีหน้าตายแล้วเธอถึงรู้ตัวว่าตอนนี้เธอก็กำลังถูกจ้องมองอยู่เช่นกัน อัศวินเทมพล่ากำลังยืนนิ่งจ้องเธอไม่ขยับไปไหน ดาบสีเงินในมือคมกริบนั้นทิ่มลงดินแทนที่จะเข้าไปจัดการเธอที่เอาแต่ยืนอยู่เฉย ๆ มองสิงโตทะเลจนไม่ได้ทันป้องกันตัวเอง ราวกับว่าเขาเองกำลังยืนรอเธออยู่



เจนยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมสู้ทันทีเช่นเดียวกับอัศวินเทพล่าที่ยกโล่และดาบเตรียมพร้อม แม้รู้ว่าโอกาสชนะจะมีไม่มากแต่ตอนนี้เจนจะหนีก็สายเกินไปซะแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำสิ่งที่คนฉลาด ๆ ทุกคนจะทำถ้าหากจะเอาชนะคู่ต่อสู้



เซอร์เบดิเวียร์ แห่งอัศวินโต๊ะกลม

ชั้นขุนนาง เลเวล 40



เจนถึงกับก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แม้เขาจะดูมีเลเวลต่ำกว่าขุมพลคนอื่น ๆ ที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมา แต่ชายคนนี้เป็นถึงหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมที่เจนได้ยินชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นหนึ่งในกองทัพอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งความจริง แม้ว่าเจนจะไม่รู้ความสามารถของเขาแต่จากที่เธอเคยอ่านเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลมมาทำให้เธอรู้สึกกลัวออกนอกหน้าไปก่อนแล้ว



ไม่พูดไม่จา อัศวินที่ควรจะเป็นฝ่ายตั้งรับกลับเริ่มโจมตีก่อน เขาแทงดาบใส่อย่างรวดเร็วผิดกับรูปร่างหรือพูดให้ถูกก็คือชุดเกราะของเขา แถมยังแม่นยำอีกด้วยเพราะตำแหน่งที่เขาแทงดาบมาก็คือหัวใจของเจน



เจนเอียงตัวหลบอย่างรวดเร็วแต่ก็ช้าไป ดาบเล่มงามเฉือนผ่านไปตัวไปเล็กน้อย เจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่โดนบาด เสื้อเชิ้ตสีขาวค่อย ๆ ถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง ขนาดเขาสวมหมวกเหล็กปิดใบหน้าทั้งใบ มีเพียงรูเล็ก ๆ ให้มองแต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ เจนรู้สึกทันทีว่าถ้าเธอไม่เป็นฝ่ายโจมตีสวนกลับไปซะบ้างล่ะก็ มีหวังเสื้อของเธอคงจะถูกย้อมสีเป็นสีแดงทั้งหมดแน่



ทันทีที่ตั้งหลักได้ เจนพุ่งตัวเข้าประชิดตัวอัศวินทันที แต่ก็สมที่เป็นถังอัศวินโต๊ะกลมในตำนาน เบดิเวียร์ยกโล่ขึ้นมาป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว ดาบคาตะนะถูกฟาดเข้ากระแทกโล่เหล็กเต็มแรงแต่ทำได้แค่ฝากรอยเอาไว้เท่านั้น แต่เจนไม่ยอมแพ้และไม่ปล่อยให้อัศวินผู้นี้ได้เป็นฝ่ายรุกง่าย ๆ แน่



เจนพยายามมองหาจุดอ่อนของเบดิเวียร์ แต่ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่นั้นทำให้หาจุดที่โจมตีได้ยากมาก แถมการเคลื่อนไหวที่รัดกุมยังสามารถหาทางโจมตีสวนกลับมาไปเรื่อย ๆ อีกด้วย ในตอนนี้เธอไม่สามารถโจมตีใส่เบดิเวียร์ได้เลยและอีกทั้งยังไม่สามารถหาทางป้องกันตัวเองได้อีกด้วย



ทันใดนั้นเองเบดิเวียร์ที่เห็นช่องว่างระหว่างที่คู่ต่อสู้กำลังใช้ความคิด เขากระชับโล่ในมือและกระแทกชนเจนเข้าเต็มแรง หญิงสาวที่นึกไม่ถึงว่าเครื่องป้องกันจะเอามาใช้เป็นอาวุธได้ก็ถูกกระแทกเข้าเต็ม ๆ จนหงายหลังล้มลงไป



เจนรู้สึกมึนงงจากที่โดนกระแทกและหัวฟาดพื้นทำให้เธอเห็นภาพตรงหน้าดูพร่ามัวไปหมด เมื่อเธอพยายามสะบัดหัวเบา ๆ ให้สติสัมปชัญญะกลับมา สิ่งแรกที่เจนเห็นก็คือดาบในมือของอัศวินโต๊ะกลมกำลังเตรียมแทงลงมา



ก่อนที่ในหัวเจนจะคิดอะไรได้ ร่างกายของเธอก็ขยับเองไปโดยสัญชาติญาณ เธอกลิ้งตัวหลบและพุ่งไปคว้าคาตะนะและกระโดดลุกขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทันใดนั้นร่างของเธอก็เปล่งแสงออกมาจากทักษะเสริมพลังพร้อมกับพละกำลังที่เจนรู้สึกได้ว่าเพิ่มพูนขึ้นมาและสติที่กระจ่างขึ้นทันควัน จากสายตาที่พร่ามัวตอนนี้แจ่มชัดยิ่งกว่าเดิม ตรงหน้าของเธอตอนนี้คืออัศวินที่กำลังจะถอนดาบออกจากพื้นดินและหันมาหาเธอ ด้วยความพลังจากทักษะตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของเขาได้แน่ แต่ถ้าหากเป็นตอนที่เขายังไม่ทันตั้งตัวล่ะก็อาจจะสำเร็จก็ได้ นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้วที่เจนจะเอาชนะอัศวินโต๊ะกลมผู้นี้



ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เจนพุ่งเข้าใส่พร้อมกับฟาดดาบลงมาเต็มแรง แต่แม้จะไม่ทันตั้งตัว เบดิเวียร์ก็ยังไม่ทิ้งลายที่เป็นอัศวินโต๊ะกลม เขายกโล่ขึ้นมากันดาบของเจนเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที เจนเองเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าชายตรงหน้าเธอจะป้องกันได้ทัน ทว่าตอนนี้เธอไม่มีเวลามาตกใจแล้ว



หญิงสาวก้มตัวเตะตวัดขาของอัศวินหนุ่มจนล้มลงไปบนพื้น และก่อนที่อัศวินตรงหน้าจะทำอะไรต่อไปอีกเธอก็รีบลุกขึ้นมาและกระโดดคร่อมร่างของเขาพร้อมทั้งเอาใบมีดจ่อเอาไว้ที่คอของอัศวินโต๊ะกลม



แม้จะไม่เห็นดวงตาที่ซ่อนภายใต้หน้ากากแต่เจนก็จ้องมองลงไปยังช่องที่เปิดเอาไว้ ในการประลองนี้กรณีที่จะเอาชนะได้ก็คือต้องทำให้คู่ต่อสู้หมดสติ อยู่ในสภาพที่สู้ต่อไม่ได้หรือยอมแพ้ ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าหากอัศวินตรงหน้าของเธอไม่ยอมแพ้ล่ะก็ เขาก็สามารถโต้กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบแทน และเจนก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากทักษะเสริมพลังกายเพิ่มหมดฤทธิ์ลง ดังนั้นเจนต้องวัดใจดูว่าอัศวินผู้นี้จะเอายังไงตอไป



ดาบเล่มงามร่วงหลุดจากถุงมือเหล็กเช่นเดียวกับโล่ในมืออีกข้าง อัศวินเบดิเวียร์ค่อย ๆ ยกมือขึ้นเหนือหัวและเอ่ยกับเจนเป็นครั้งแรก "ฉันยอมแพ้แล้ว...เธอเป็นฝ่ายชนะ"



สิ้นคำ เจนก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเพิ่งฉีกกระดาษเวทกลับเมือง แรงบีบอัดรอบกายพร้อมกับภาพตรงหน้าของเธอค่อย ๆ มืดบอดลง ในเวลาไม่นาน เธอก็กลับมามองเห็นอีกครั้งและพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องพักที่มีผู้เล่นและขุมพลจำนวนมากกำลังนั่งพักอยู่



ทันทีที่เจนปรากฏตัวขึ้น เสียงโห่ร้องตะโกนของผู้เล่นก็ดังกระหึ่มพร้อมกับเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ยังคงสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น



"ฉันกะแล้วว่านายต้องผ่านเข้ารอบมาได้! แถมยังผ่านมาแบบไม่ธรรมดาอีกด้วย ดูสิ!" สิงโตทะเลที่มาอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้พูดขึ้น แล้วชี้ไปยังจอแสงที่อยู่ริมห้องที่กำลังแสดงภาพของอามิตตาและเกมมาสเตอร์ทั้งสองอยู่ ส่วนอีกจอหนึ่งใกล้ ๆ กันนั้นเป็นจอแสดงลำดับของผู้ที่ผ่านเข้ารอบมาได้ และเจนก็เพิ่งผ่านเข้ารอบมาในลำดับที่เจ็ดพันต้น ๆ



"ผ่านเข้ารอบไปแล้วค่ะ!! เจน ผู้กล้าในชุดขาวผ่านเข้ารอบไปแล้วค่ะ!! แถมเขายังสามารถเอาชนะหนึ่งในยอดขุมพลได้อีกด้วย สมแล้วนะคะที่เป็นคนที่กล้าประกาศเป็นศัตรูกับกิลด์พิฆาตราชาทั้ง ๆ ที่ตัวคนเดียวแบบนี้" เสียงของนักข่าวสาว อามิตตาร้องอย่างตื่นเต้น



เจนมองดูภาพการต่อสู้ของตัวเองที่ถูกเอามาฉายซ้ำอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งเธอและอัศวินโต๊ะกลมคนนั้นต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก ขนาดที่เธอยังแปลกใจว่าตัวเธอทำอย่างนั้นไปได้ยังไง



ในตอนนั้นเองที่ผู้คนที่ล้อมรอบตัวเธออยู่ก็เงียบเสียงลงและเปิดทางให้เธอเห็นว่าทำไม ตรงหน้าของเธอนั้นคืออัศวินในชุดเกราะหนาที่เธอเพิ่งเอาชนะมาได้ก่อนหน้านี้กำลังยืนจ้องหน้าเธอไม่ขยับไปไหน



เจนจ้องตาของเขากลับไปอย่างไม่เกรงกลัว แต่เจนรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรต้องกลัวในตัวของชายคนนี้ ถ้าหากเขาจะมาเอาเรื่องที่เธอเพิ่งทำให้เขาตกรอบไปล่ะก็ เขาคงไม่ยอมแพ้เธอตอนอยู่ในสนามประลองแน่



ชายในชุดเกราะก้าวเท้ายาวเข้ามาเจนอย่างเชื่องช้าแต่แฝงเอาไว้ด้วยความสุขุม ท่ามกลางสายตาของนักผจญภัยชายและหญิงที่เข้าร่วมประลองพร้อมทั้งยอดขุมพล กำลังจ้องมองดูว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป



อัศวินหนุ่มค่อย ๆ ยกมือถอดหมวกเหล็กออก เส้นผมสีทองดั่งแพรไหมหลุดออกมาให้เห็นเป็นสิ่งแรก เส้นผมยาวสลวยค่อย ๆ ไหลลงสู่บ่าอย่างงดงามราวกับเป็นเส้นด้าย ทันทีที่หมวกเหล็กเผยโฉมใบหน้าของอัศวิน หัวใจของเจนก็เต้นดังกังวานขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล



ใบหน้าเรียวเป็นรูปไข่ ผิวขาวผ่องประกายยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเด่นสะดุดตาขึ้นมาอีก แถมยังดวงตาสีเขียวมรกตที่ชวนมองรางกับกำลังต้องมนต์สะกดนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด



เสียงร้องของทั้งชายหนุ่มและเสียงกรี้ดของหญิงสาวดังลั่นห้องเมื่อหน้าตาของอัศวินโต๊ะกลมผู้นี้เป็นเช่นไร พร้อมกันนั้นเองที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เจนยิ่งกว่าเดิมอีกทั้งยังยื่นหน้าเข้ามาหาเธอจนต้องกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ เจนจ้องมองใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อได้อย่างใกล้ชิด หูของเธอนั้นอื้ออึงขึ้นมาทันที เธอถึงกับลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อเขาเอ่ยคำขึ้น



"นั่นเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันชื่อว่าเบดิเวียร์แห่งอัศวินโต๊ะกลม นักผจญภัยอย่างเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้วด้วยพลังตรวจสอบของพวกเธอ แต่ฉันยังไม่รู้ชื่อของคนที่เอาชนะฉันได้เลย" เสียงนุ่มชวนฝันเอ่ยขึ้น หูที่เคยอื้ออึงพลันกลับหายไป แต่ในหัวตอนนี้กลับสับสนวุ่นวาย คิดไม่ออกว่าจะตอบอะไรออกไปดี



"อ..เอ่อ.. ข..ขอบคุณคะ..ครับ ผมชื่อเจน...แค่เจนเฉย ๆ" หญิงสาวตอบเสียงตะกุกตะกัก



เบดิเวียร์เห็นท่าทางของเจนก็ยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะใช้มือจับไหล่ของเธอก่อนจะดึงตัวเข้ามาใกล้และกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู "หวังว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเราจะได้มาประมือกันอีกนะ...สาวน้อย"



อัศวินหนุ่มทิ้งคำพูดที่ทำให้ใบหน้าของเธอแดงแจ๋แล้วเดินจากไป ส่วนเจนนั้นได้แต่อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย หัวใจของเธอเต้นแรงเพราะถูกอัศวินหนุ่มดึงร่างเข้ามากอดและยังกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู ไหนจะเรื่องที่เบดิเวียร์รู้ว่าตัวตนของเธอเป็นผู้หญิงอีกด้วย ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปอีกแล้ว



เมื่อเบดิเวียร์จากไป ผู้เล่นก็พากันแยกย้ายไปนั่งพักภายในห้อง รอจนกว่ากระประลองจะจบลงซึ่งดูจากจำนวนคนนั้นคงอีกไม่นานนัก ส่วนเจนนั้นไปนั่งอยู่ที่มุมห้องคนเดียวโดยเธอตกไปอยู่ในโลกของตัวเองเรียบร้อยแล้วหลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นโชคดีของเธอที่ไม่ได้รู้สึกถึงสายตาเผ็ดร้อนของสาว ๆ ที่อิจฉาเจนที่ได้ใกล้ชิดเบดิเวียร์อย่างแนบแน่น และสายตาร้อนแรงของหญิงสาวที่แอบใจเต้นกับใบหน้าที่งดงามเหมือนกับเด็กสาวของเจน โดยที่พวกเธอไม่รู้ว่าความจริงนั้นเจนก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน







หลังจากเวลาผ่านไปอีกไม่นานนักการประลองก็จบลง เจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง พริบตาเดียวเธอก็กลับมายังสนามโคลอสเซียมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผู้ชมบนอัฒจรรย์กำลังส่งเสียงร้องเชียร์คนที่คนเอาเชียร์ผ่านเข้ารอบเสียงดัง จอแสงบนท้องฟ้ากลับมาฉายภาพของอามิตตาอีกครั้ง



"ของแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งเจ็ดพันแปดร้อยสี่สิบเก้าคนด้วยนะคะ ความจริงแล้วพวกเราควรจะมีผู้ผ่านเข้ารอบถึงแปดพันคนแต่เป็นเพราะการโจมตีของยอดขุมพลที่รุนแรงนั้นทำให้มีผู้เล่นที่โชคร้ายหลายคนถูกจัดการไปด้วย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะคนที่ตกรอบทุกคนจะได้รางวัลปลอบใจกลับไปแน่นอนค่ะ สำหรับผู้เล่นทุกท่านจะได้เงินหนึ่งหมื่นโกลด์และดาบระดับ B คนละหนึ่งเล่มค่ะ"



ผู้เล่นที่ตกรอบส่งเสียงร้องอย่างดีใจเพราะอย่างน้อยพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการประลองเสียเปล่า แม้ว่าเงินจำนวนหมื่นโกลด์และดาบระดับ B จะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็ตาม แต่ใครล่ะจะปฏิเสธของฟรี



"สำหรับผู้ที่ผ่านเข้ารอบนะคะ การประลองรอบต่อไปจะเริ่มขึ้นอีกในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรงค่ะ สำหรับคืนนี้การประลองเบลดมาสเตอร์รอบคัดเลือกได้จบลงแล้วค่ะ ดิฉันอามิตตาและGM หลินกับGM ฟินน์ต้องขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ" นักข่าวสาวกล่าว และตอนนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอถูกวาปเป็นครั้งที่สามของวัน ภาพโคลอสเซียมตรงหน้าดับมืดลง พริบตาเดียวเจนก็พบว่าเธอกลับมาอยู่ที่เมืองยามะไตอีกครั้ง





หลังจากเจนกลับมาสมทบกับพวกโจแล้ว พวกเธอก็พากันกลับตรงกลับไปยังเรียวกังทันที โดยไม่พูดไม่จากับใครเลยแม้แต่กับคิทซึเนะและฟีบี เมื่อกลับไปถึงเรียวกังเจนก็ตรงกลับเข้าห้องไปทันที



ทั้งหกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงงจากท่าทางที่แปลกไปของเจน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น



"พี่เจนเป็นอะไรไปหรือคะ ทำไมถึงไม่ยอมพูดกับหนูเลย" ฟีบีเงยหน้าขึ้นถามคิทซึเนะตาละห้อย แต่จิ้งจอกสาวเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบน้องสาวต่างเผ่าพันธุ์ของเธอยังไงดี เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวของเธอเช่นกัน และคิทซึเนะเองก็รู้สึกเป็นห่วงเจนมากพอ ๆ กับฟีบีนั่นและ เธออยากจะเข้าไปหาพี่สาวของเธอตอนนี้ถ้าหากเธอไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเจนเข้าล่ะก็



ซินจูย่อตัวลงและลูบหัวของเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง "ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ๊ะ พี่เขาแค่เหนื่อยจากการประลองเท่านั้นเอง เอาไว้พี่เจนหายเหนื่อยแล้วเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติเองแหละนะ"



ทั้งห้านั่งลงบนพื้นเสื่อในห้องพักรวมพร้อมกับสั่งอาหารเย็นมาทาน แต่เวลาผ่านไปพักใหญ่จนอาหารมาส่งแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของเจนจะออกมาจากห้องของเธอเลย



"ยัยนั่นเป็นอะไรไปหรือเปล่า ท่าทางแปลก ๆ แบบนั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย" แจ็คเอียงหัวหันไปพูดกับโจที่นั่งอยู่ข้าง ๆ "จะว่าเหนื่อยก็ไม่น่าจะทำท่าทางแบบนั้น หรือว่ายัยนั่นจะหิว"



"หิวแต่ไม่ออกมากินมื้อเย็นเนี่ยนะ บอกตามตรงว่าฉันไม่รู้เหมือนกันว่ะ เมื่อก่อนพวกเราแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าเจนคิดอะไรอยู่ แต่นายก็รู้ว่าตั้งแต่ยัยนั่น...อ่ะนะ บางทีการที่เจนจะทำตัวแปลกไปอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้" โจพูด เขายกนิ้วสองข้างเป็นสัญญาณตอนที่เขาเว้นวรรคเอาไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาและแจ็ครู้กันว่าหมายถึงเรื่อง 'ผู้หญิง'



"พวกพี่คุยอะไรกันอยู่หรือคะ" คิทซึเนะหันมาถามเพราะเธอได้ยินทั้งคู่พูดเกี่ยวกับเจน ตอนนี้เธอรู้สึกเป็นห่วงพี่สาวของเธอมากจนไม่ว่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเจนแว่วหูเข้ามา เธอก็อยากจะรู้เรื่องด้วย เผื่อเธอจะหาทางช่วยให้เจนกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้



"ไม่มีอะไรหรอก..จริงสิ! คิทซึเนะช่วยบอกทุกคนว่าอย่าเพิ่งรีบกินอาหารมื้อนี้เร็วนักล่ะ เดี๋ยวพวกเราสองคนจะเข้าไปลากตัวเจนออกมากินข้าวพร้อมกันเดี๋ยวนี้ล่ะ" แจ็คพูดพร้อมกับตบบ่าของจิ้งจอกสาวเบา ๆ แล้วเขาจึงหันไปหาเพื่อนของเขาและโยกหัวไปทางห้องของเจน



โจพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงวางชามข้าวในมือลงแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินตามเพื่อนของเขาไปยังห้องของผู้กล้าชุดขาว





น้ำจากฝักบัวไหลรินลงมาบนใบหน้าเรียว เส้นผมสีดำยาวสลวยถูกปล่อยออกอย่างอิสระและถูกนำพาไปตามสายน้ำที่ร่วงลงสู่พื้น ในขณะเดียวกันนั้นเองที่เจนปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปตามอารมณ์ พร้อมกับตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอกันแน่



ตั้งแต่ที่ร่างกายของเธอแปลเปลี่ยนเป็นผู้หญิง หลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตาม แต่ทว่าสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบนั้นทำให้เธอยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกแปลกใหม่ที่โจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนเธอทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก



เจนนึกถึงคำพูดของเกอร์ทูธ เธอว่าสิ่งที่เจนรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกแอบปิ้งใครบางคน ในตอนที่เจนเป็นผู้ชาย เธอไม่เคยหลงรักใครมาก่อน แล้วมาตอนนี้จู่ ๆ มาบอกว่าเธอกำลังตกหลุมรัก นั่นเป็นอะไรที่ยากจะยอมรับได้



และจะยากยิ่งกว่าเพราะทุกครั้งที่เธอนึกถึงจีโอที่ออกตัวปกป้องเธอในทีวีตอนนั้น ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบคุมไม่อยู่ แล้วมาตอนนี้เธอกลับรู้สึกอย่างเดียวกันกับเบดิเวียร์ อัศวินโต๊ะกลมคนนั้น!



"นี่เราบ้าไปแล้วหรือไง สองคนนั้นเป็นผู้ชายนะ ถึงตอนนี้เราจะเป็นผู้หญิงไปแล้วแต่จะให้อยู่ ๆ มาคิดแบบนี้กับผู้ชายมันไม่แปลก ๆ ไปหน่อยหรือไงหือเจน" หญิงสาวพูดกับตัวเองแล้วจึงปิดน้ำจากฝักบัว ก่อนจะทำธุระแล้วสวมเสื้อผ้าก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง



ไม่รู้ว่าเวลาที่เธอใช้คิดเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาผ่านไปนานเท่าไหร่ เจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โจและแจ็คเดินเข้ามาในห้องแล้วมานั่งข้าง ๆ ตัวของเธอ โดยทั้งคู่ต่างไม่พูดไม่จากันเพราะรู้ว่าถ้าหากเจนอยากจะคุยด้วยล่ะก็ เธอจะพูดออกมาเอง



"ฉันขอถามอะไรพวกนายหน่อยได้มั้ย?" หลังจากที่เงียบอยู่พักหนึ่ง เจนก็เอ่ยปากพูดขึ้น



สองหนุ่มไม่เอ่ยปากตอบแต่พยักหน้าเบา ๆ เชิงอนุญาต



"ตอนนี้ฉันน่ะ...ดูเหมือนเด็กผู้หญิงขนาดนั้นเลยหรือ?"



คำถามที่พวกโจไม่คิดเลยว่าจะออกมาจากปากของคนอย่างได้มาก่อน พวกเขาหันมามองหน้ากันราวกับต้องการจะปรึกษาหาคำตอบก่อนโจจะหันมาตอบคำถามของเธอ



"ถ้าให้พูดตามความจริงล่ะก็..และเธอก็ห้ามมาชกพวกเราด้วยนะ! พูดตามตรงน่ะเธอดูเหมือนผู้หญิงมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว แค่ตอนนี้เธอกลายมาเป็นผู้หญิงจริง ๆ ก็อาจจะทำให้เธอดูเหมือนผู้หญิงมากขึ้นล่ะมั้ง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน"



"ใช่ หน้าตาของเธอน่ะเหมือนผู้หญิง แต่รูปร่างแบนราบเรียบอย่างนี้น่ะดูเหมือนผู้ชายมากกว่า..อย่าชกนะ!!" แจ็ครีบพูดเมื่อเห็นเจนง้างมือขึ้นมา



หญิงสาวยิ้มบางและเปลี่ยนใจใช้มือผลักตัวเพื่อนของเธอออกไปเบา ๆ ทั้งสองคนนี้มาหาเธอเพราะเป็นห่วงที่เธอทำตัวแปลก ๆ ไป แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ใครที่เจออย่างที่เจนเจอก็คงต้องทำตัวแบบเดียวกันกับเธอเหมือนกันทุกคน



"หลังจากที่ฉันผ่านเข้ารอบในงานประลอง..อัศวินคนที่ฉันสู้ด้วยเข้ามาคุยกับฉัน และเขารู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง นั่นทำให้ฉันสงสัยว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำ...ปกปิดความจริงของตัวเองจากคนอื่น ๆ แบบนี้ต่อไปมันจะดีหรือเปล่า" เจนไม่ได้บอกเรื่องความรู้สึกที่ทำให้ตัวใจเต้นแรงของเธอ แต่เรื่องนี้เธอเองก็อยากจะรู้ว่าเธอควรจะทำยังไงต่อไป ใช้ชีวิตเป็นผู้ชายแบบหลอก ๆ ต่อไป หรือจะเป็นเจนที่เป็นผู้หญิงเต็มตัวอย่างที่แม่ของเธอก็ตาม



โจและแจ็คไม่ตอบในทันที พวกเขาหันมามองหน้าปรึกษากันอีกครั้งเพราะคำถามแบบนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พวกเขาสองคนจะตัดสินใจให้ได้ แต่การที่เจนเปิดใจมาปรึกษาพวกเขาก็ทำให้ได้รู้ว่าเธอไว้ใจพวกเขาขนาดไหน



"เรื่องนั้น...เธอคงต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง พวกเราสองคนก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ" โจพูด



"ใช่ พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ถึงจะอยากสลัดพวกเราทิ้งก็ทำไม่ได้ง่าย ๆ หรอก" แจ็คเสริมพร้อมกับใช้ไหล่ดันร่างของเธอเบา ๆ และนั้นทำให้ให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมากทีเดียว



ความสับสนในใจตอนนี้หายไปแล้ว ส่วนเรื่องของเบดิเวียร์และจีโอนั้นเจนจะเก็บเอาไว้ในใจไปก่อน ไม่จำเป็นต้องคิดมากในเรื่องนั้นตอนนี้ เธอไม่อยากจะทำให้คนอื่นเป็นห่วงเพราะเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจ ถ้าหากสองคนนี้เข้ามาปลอบใจเธอถึงขนาดนี้ นั่นก็แปลว่าพวกคิทซึเนะเองก็คงเป็นห่วงเธอมากเช่นกัน



"เอาล่ะ ฉันหิวแล้ว! ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า ถ้าช้าเดียวฟีบีกินหมดไม่เหลือให้พวกเรานะ" เจนว่าแล้วลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่ประตูห้อง น้ำเสียงของเธอนั้นดูต่างจากเมื่อครู่นี้อยากมาก ราวกับสิ่งที่บดบังจิตใจของเธอนั้นได้ถูกเพื่อนของเธอพัดพาให้มันสลายไปแล้ว และเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากหลังจากที่ได้ระบายความในใจออกมา แม้จะไม่ทั้งหมดแต่มันทำให้เธอดีขึ้น



โจและแจ็คมองดูเจนเปิดประตูออกไปอย่างงุนงง เมื่อครู่นี้ยังทำท่าซึม ๆ อยู่แต่มาตอนนี้กลับกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว



"อะไรของยัยนั่นน่ะ" โจว่า



"ไม่รู้สิ ผู้หญิงก็แบบนี้แหละ" แจ็คตอบแล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นแบะตามเพื่อนสาวออกไป เพราะหากเขาไม่รีบออกไปล่ะก็ มังกรน้อยที่ร่าเริงจากการที่เจนกลับมาเป็นปกติล่ะก็ มื้อเย็นชุดใหญ่ที่เขาสั่งมาคงจะอันตรธานหายไปในไม่กี่นาทีแน่



จบตอนที่ 36 เบลดมาสเตอร! [ตอนแรก]



------------------------------------

เจอกันตอนต่อไปครับ

Tohan-kun
3rd February 2014, 13:29
ตอนที่ 37 เบลดมาสเตอร์! [ตอนกลาง]



เจนตื่นเช้ามาเจอกับอาการปวดล้าทั่วทั้งตัวจนเธอแทบขยับไม่ได้ แม้ว่าเธอเริ่มจะชินกับอาการนี้ตอนอยู่เก็บเลเวลที่กลางป่าแล้วก็ตาม แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะบ่นถึงเรื่องนี้ เกมอะไรมันจะเหมือนจริงไปได้ซะทุกอย่างแบบนี้ ทีช่องเก็บของยังใช้หน้าต่างระบบเลยแท้ ๆ อย่างน้อยถ้าหากเธอจะเอาเรื่องก็พอจะรู้ว่าเธอจะต้องไปคุยกับใคร



เจนพยายามลุกขึ้นอย่างลำบากและหยิบยาแก้ปวดที่ซินจูอุตส่าห์ใจดีออกไปซื้อมาให้เธอเมื่อคืน ทันทีที่เจนกลืนยาลงไป รสชาติขมของรสยาก็พุ่งปรี้ดขึ้นหัวพร้อมกับอาการปวดก็ค่อย ๆ บรรเทาลงมา แม้ยาจะออกฤทธิ์ทันใจ แต่ยายังไงก็ยังเป็นยา รสชาติขมแบบนี้ไม่ทำให้เจนอยากกินมันบ่อย ๆ แน่



หลังจากปลุกสองสาวพี่น้องและพากันไปอาบน้ำแล้ว เจนออกมายังห้องพักรวมและพบว่าซินจูกำลังนั่งอ่านจดหมายอยู่เพียงคนเดียว ไร้วี่แววของสามหนุ่มโดยสิ้นเชิง



"อรุณสวัสดิ์ ซินจู อ่านอะไรอยู่หรือ" เจนทักทายแล้วจึงถาม เธอนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกันนั้นฟีบีก็กระโดดลงมานั่งบนตักของเจนและคว้ารีโมทมาเปิดโทรทัศน์ดูอย่างเคยตัว



"อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่เจน คิทซึเนะแล้วก็ฟีบีด้วยนะ นี่เป็นจดหมายของพี่ไมโกะส่งมาค่ะ บอกว่าพี่เขาผ่านภารกิจเลื่อนยศเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ออกไปจากเกมก่อน จะกลับมาก็คงอีกสามสี่วันในเกมค่ะ อ้อ! แล้วพี่เขาก็ฝากแสดงความยินดีที่พี่เจนผ่านเข้ารอบการประลองคัดเลือกเบลดมาสเตอร์ด้วยค่ะ พี่เขาเสียดายมากเลยล่ะค่ะที่ไม่ได้เข้าร่วมประลองด้วย 'ถ้าหากไม่ติดธุระก็คงไม่พลาดแน่ ๆ' พี่เขาว่ามาอย่างนี้อ่ะค่ะ" ซินจูว่าจากนั้นเธอก็เข้าสู่โหมดสาวน้อย หันไปคุยกับคิทซึเนะเรื่องผู้หญิงถึงผู้หญิงอย่างรวดเร็ว



เจนยิ้มแห้ง ๆ ให้กับทั้งคู่ แม้ตอนนี้เธอเองก็มีร่างกายเป็นผู้หญิงแล้วก็ตาม แต่เธอกลับไม่เข้าใจและไม่ได้รู้สึกสนใจสิ่งที่ทั้งคู่พูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจจะเป็นเพราะจิตใจของเธอยังเป็นผู้ชายอยู่ก็เป็นได้ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา เพราะเธอใช้ชีวิตมากว่ายี่สิบปีในฐานะผู้ชายมาตลอด จะให้จู่ ๆ กลายมาเป็นผู้หญิงไปเลยเหมือนร่างกายมันคงจะเป็นไปไม่ได้ ความเคยชินมาตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่าย ๆ ซะที่ไหน



แม้ว่าเจนจะรู้ตัวแล้วว่าจิตใจของเธอกำลังเริ่มเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม



เสียงในโทรทัศน์ดังเรียกสติของเจนไป ข่าวที่รายงานนั้นยังคงเป็นข่าวของเบลดมาสเตอร์อยู่เช่นเคย และเจนก็ไม่พ้นที่จะตกเป็นข่าวเด่นประจำวันอีกครั้งเพราะในฐานะของผู้ที่เอาชนะหนึ่งในยอดขุมพลด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าความจริงแล้วเบดิเวียร์โดนตัดกำลังมาก่อนหน้าที่จะได้สู้กับเจนแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถสู้กับยอดขุมพลเดี่ยว ๆ และรอดมาได้เลยซักคนในการประลอง ไม่แม้กระทั่งบลูธันเดอร์แห่งกิลด์พายุสีเงินและครี้ดแห่งกิลด์ราชสีห์ทมิฬที่เอาตัวรอดผ่านเข้ารอบมาได้ก็ตาม



เจนดูโทรทัศน์รอให้พวกโจตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเวลาผ่านไปเริ่มสาย แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพวกเขาจะออกมาจากห้องพักเลย เจนจะทำท่าลุกไปปลุกหลายรอบแต่ฟีบีนั้นไม่ยอมให้เธอลุกขึ้นง่าย ๆ



"สงสัยเป็นเพราะรู้ว่าพี่เจนจะประลองอีกทีก็ตอนเที่ยงล่ะมั้งคะ วันนี้ก็เลยตื่นสายกัน" ซินจูแสดงความคิดเห็น



"หนอยแนะไอ้โจ ไหนเคยบอกว่าเสียดายเวลาเล่นเกม ขนาดกำลังนอนอยู่ในโลกแห่งความจริงแท้ ๆ ยังมานอนกินบ้านกินเมืองในเกมอีก เอาไว้ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ของหมอนั่นได้ล่ะก็น่าดูเชียว แถมวันนี้พวกเราต้องจ่ายค่าห้องพักของสัปดาห์นี้แล้วด้วย ไหนว่าจะมาช่วยหารกันไงล่ะ!" เจนพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้แต่ไม่ได้เก็บเอาไปคิดโกรธจริง ๆ แต่อย่างใด...ยกเว้นเรื่องเงินที่เจนเจ้าคิดเจ้าแค้นเอามาก ๆ และเรื่องที่เอาไปบอกแม่ของโจนั้นก็น่าสนใจทีเดียว



ซินจูหัวเราะแห้ง ๆ ทันใดนั้นเองเธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา เธอหันไปกระซิบกับคิทซึเนะและจิ้งจอกสาวก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเธอจึงหันมาพูดกับเจน "เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะพี่เจน เพื่อทำโทษที่พวกพี่โจตื่นสาย พวกเราก็ออกไปเที่ยวในเมืองกันดีกว่า ปล่อยพวกพี่เขาเอาไว้อย่างนี้แหละค่ะ"



คิทซึเนะพยายามเกาะแขนอ้อนขอให้ออกไปด้วยกัน ส่วนฟีบีนั้นพอได้ยินว่าจะไปหาอะไรกินก็กระเด้งลุกขึ้นยืนก่อนใครเพื่อนเลย



"ไอเดียเข้าท่าดีนี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบไปกันดีกว่า..- เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ" เจนทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ชะงักซะก่อน เธอเรียกปากกาและกระดาษออกมาเขียนข้อความบางอย่างแล้วจึงลุกขึ้นไปกับฟีบีพากันออกไปจากห้องพักพร้อมกับซินจูและคิทซึเนะ ทิ้งสามหนุ่มเอาไว้ในห้องพร้อมกับกระดาษโน้ตที่แปะอยู่บนประตูห้องพักของพวกเขา



'เก็บค่าที่พักล่วงหน้ากับผู้ชายในห้องนี้'







หลังจากออกมาจากเรียวกังแล้ว พวกเจนตรงไปยังร้านอาหารเป็นอย่างแรกเพื่อหามื้อเช้าทานกัน พวกเธอเลือกร้านอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่งที่ไม่ถือว่าจัดร้านได้หรูหรามากนัก แต่ก็ดูดี ราคาก็ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไปและเป็นร้านอาหารของชาวเมืองยามะไตอีกด้วย สิ่งที่ทำให้เจนเลือกร้านอาหารแห่งนี้ก็คือจมูกของคิทซึเนะที่บอกว่าของกินที่นี่น่าจะอร่อย



ร้านอาหารนี้เป็นร้านอาหารอาหารเล็ก ๆ จากที่เจนเห็นบนรายการอาหารนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาหารที่คล้ายกับอาหารญี่ปุ่น บ้างก็เป็นเมนูแบบเดียวกับที่ขายในโลกแห่งความจริง และบ้างก็มีเมนูที่ใช้เนื้อมอนสเตอร์มาทำด้วยเช่นกัน



เรื่องอาหารญี่ปุ่นนั้นเจนไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก เธอจึงสั่งมาแค่เมนูข้าวหน้าเนื้อมากินเอาให้อิ่ม ส่วนของหวานหรือของว่างนั้นเจนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองสาวที่สั่งแหลกมาอย่างไม่กลัวว่าจะกินเหลือ เพราะยังไงก็มีมังกรน้อยกระเพาะหลุมดำอยู่ด้วยทั้งคน



หลังจากลองชิมรสชาติไปบ้างแล้วเจนก็รู้เลยว่าไว้ใจจมูกของคิทซึเนะได้ อาหารร้านนี้อร่อยกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก แถมปริมาณก็พอเหมาะกับราคาอีกด้วย เจนใช้เวลาซัดข้าวหน้าเนื้อของเธอเพียงครู่เดียวก็หมดเกลี้ยง เธอหันไปมองดูสาว ๆ ก็พบว่าพวกเธอกำลังทานซูชิกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ที่ทำให้เจนแปลกใจก็คือฟีบีที่กำลังถือเมนูอยู่ในมือและกำลังมองบนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด



"อ้าว ฟีบีไม่หิวหรอ" เจนถามเพราตรงหน้าของมังกรน้อยนั้นไม่มีอาหารจานใหญ่วางอยู่เลย



"หิวค่ะ แค่ส่วนที่พี่คิทซึเนะกับพี่ซินจูสั่งมาเหลือหนูกินหมดแล้วแต่ยังไม่อิ่มเลย พี่คิทซึเนะก็เลยให้หนูสั่งเพิ่มมาอีก" ฟีบีด้วยด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง เจนไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ดูซีเรียสเท่านี้มาก่อนเลย ท่าทางฟีบีจะให้ความสำคัญกับเรื่องของกินมาก่อนอย่างอื่น



หลังจากเสียเวลาเลือกอยู่นาน ฟีบีก็ชี้ไปยังภาพจานขนาดใหญ่ที่มีกองเกี้ยวซ่าเป็นภูเขาเลากา โดยคำอธิบายใต้ภาพนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'เกี้ยวซ่าไส้พิสดาร! หากสามารถกินหมดได้ในสิบนาที มื้อนั้นกินฟรีทั้งโต๊ะ!'



เจนรู้สึกตะหงิด ๆ กับคำว่าพิสดาร ไม่รู้ว่ามันจะสอดไส้อะไรไว้บ้าง ดังนั้นก่อนที่ฟีบีจะสั่งไป เจนก็เรียกพนักงานมาสอบถามก่อน



"ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เกี้ยวซ่าของเรารสชาติอร่อยกินได้ทุกไส้ครับ และรับรองว่าไม่มีพิษกับคนหรือมอนสเตอร์อย่างแน่นอนครับ" ว่าแล้วพนักงานหนุ่มก็เดินจากไปทันที ไม่ทันที่เจนจะได้ถามว่าไอ้ไส้พิสดารนั่นมันมีอะไรบ้าง แม้เธอจะรู้ว่ามันคงจะมีเนื้อมอนสเตอร์แปลก ๆ แน่นอน แต่ถ้าหากเกิดว่าหนึ่งในนั้นมีเนื้อมังกรขึ้นมาล่ะก็ได้เจอปัญหาแน่



ไม่นานนัก อาหารจานใหญ่ของฟีบีพร้อมกับของหวานเป็นไอศกรีมสตอเบอรี่พาเฟ่ในแบบที่โลกแห่งความจริงมี เจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้านนี้มีของแบบนี้ขายด้วยเพราะเธอปล่อยให้คิทซึเนะและซินจูจัดการเรื่องของหวาน เธอไปรู้ภายหลังว่าเหตุผลที่ร้านนี้ไอศกรีมพาเฟ่ขายก็เพราะเจ้าของร้านไปเรียนวิธีการทำมาจากร้านไอศกรีมชื่อดังจากนอกเกมที่มาเปิดสาขาถึงในเกมนี้ด้วย



เมื่อเกี้ยวซ่าจานใหญ่หนึ่งจากและไอศกรีมสตอเบอรี่พาเฟ่สี่แก้วมาถึง โต๊ะขนาดสี่คนนั่งก็ดูเล็กไปทันที แถมจานเกี้ยวซ่านี้ยังใหญ่จนไม่มีที่เหลือให้วางไอศกรีมบนโต๊ะเลย แถมเกี้ยวซ่าก้อนเกือบเท่ากำมือจำนวนท้วมสูงเลยหัวของเจนไปก็ทำเอาแค่มองก็อิ่มแล้ว



"เดี๋ยวสิ! นี่มันเยอะเกินไปหรือเปล่า แบบนี้ใครมันจะกินหมดได้" เจนรีบท้วงพนักงานที่นำมาเสิร์ฟทันที ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจและตอบออกมา



"นี่เป็นจานเกี้ยวซ่าสำหรับสี่ท่านครับ เกี้ยวซ่าพิสดารของเราจะเพิ่มปริมาณตามจำนวนคนบนโต๊ะนะครับ" เขาว่าพร้อมกับชี้ไปยังคำอธิบายตัวเล็กจิ๋วตรงมุมของภาพที่เขียนเอาไว้ดังที่เขากล่าวเอาไว้ทุกประการ แถมยังมีบอกเอาไว้ด้วยว่าถ้าหากกินไม่หมดล่ะก็จะต้องจ่ายค่าปรับเป็นค่าอาหารบนโต๊ะสองเท่ากับค่าเกี้ยวซ่าพิสดารอีกหมื่นโกลด์



เจนมองภาพตรงหน้าด้วยความหนักใจ แต่ตรงกันข้ามกับฟีบีที่มองกองเกี้ยวซ่าด้วยท่าทางดีใจสุด ๆ



"ตายละ แบบนี้ได้ควักเงินจ่ายกันกระเป๋าแห้งแน่ ๆ" เจนบ่นออกมา แม้ว่าตอนนี้ในตัวเธอจะมีเงินสำหรับจ่ายอาหารมื้อนี้อย่างสบาย ๆ ก็ตาม แต่เธอก็ไม่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือยนัก ถ้าหากไม่อยากได้หรือไม่จำเป็นเธอก็จะไม่ยอมเสียเงินให้อย่างเด็ดขาด แต่ทว่าหากพวกเธอสี่คนกินเกี้ยวซ่าจานมหึมานี้ไม่หมดล่ะก็คงได้ควักเงินแสนแน่นอน



"เอ่อ พี่เจนคะ ถึงพวกเราก็อยากจะช่วยแต่ตอนนี้ท้องมันอิ่มจนกินไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ" ซินจูเอ่ยขึ้น



"บอกว่ากินไม่ไหวแล้วแต่ในมือพวกเธอยังถือไอศกรีมอยู่เนี่ยนะ!" เจนชี้ไปยังแก้วไอศกรีมพาเฟ่ที่อยู่ในมือของทั้งคู่



"ผู้หญิงมีที่ในท้องสำหรับของหวานเสมอค่ะ!" เสียงของซินจูและคิทซึเนะประสานกันดังลั่นร้าน โดนเฉพาะคิทซึเนะที่พลอยมีน้ำเสียงเอาจริงเอาจังไปกับเขาด้วย ดวงตาของเธอนั้นเปล่งประกายซะจนเจนไม่กล้าไปขัด การที่คิทซึเนะเป็นอย่างนี้ได้แสดงว่าซินจูต้องเคยพาไปกินของแบบนี้มาแล้วแน่ ๆ



"พี่เจน หนูฝากไอ้นั้นไว้กับพี่ก่อนนะ แล้วจานนี้หนูขอหมดเลยนะคะ!" ฟีบียังคงร่าเริงแต่เจนกลับตรงกันข้าม แม้เธอจะรู้ว่ามังกรน้อยกินจุ แต่ปริมาณขนาดนี้ดูยังไงก็ไม่น่าไหว เจนหันไปวางพาเฟ่บนโต๊ะเลื่อนที่พนักงานลากเอามาเตรียมพร้อมเอาไว้และคิดว่าจะช่วยฟีบีกินด้วย ถึงแม้เจนจะอิ่มแล้วก็ตาม เพราะแม้เธอจะรู้ว่าฟีบีกินเยอะขนาดไหน แต่เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเธอคงกินเกี้ยวซ่าทั้งหมดนี้ไม่ได้แน่



"นี่ ในนี้ไม่มีเนื้อมังกรใช่มั้ย" เจนหันไปถามพนักงานอีกคนที่จะมาจับเวลาการกิน



พนักงานหนุ่มยิ้มแล้วจึงตอบคำ "ของหายากแบบนั้นไม่มีหรอกครับ ถึงผมจะเคยเห็นมังกรมาบ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นใครเอาเนื้อมังกรมาขายเลย เพราะฉะนั้นเกี้ยวซ่านี้จะมีแค่เนื้อสัตว์และมอนสเตอร์ในแถบนี้เท่านั้นล่ะครับ"



ใจหนึ่งเจนก็รู้สึกโล่งใจ แต่อีกใจหนึ่งเจนก็รู้สึกสยองเล็กน้อยเพราะรู้ตัวว่าเธอกำลังจะต้องกินเนื้อมอนสเตอร์ แม้ก่อนหน้านี้เธอเคยกินเนื้อมอนสเตอร์มาบ้างแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยตอนนั้นเนื้อที่เธอกินมันก็เป็นญาติกับหมูหรือไก่ แต่ในเกี้ยวซ่าข้างหน้านี้จะมีตัวอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ สมแล้วที่ตั้งชื่อว่า 'เกี้ยวซ่าพิสดาร'



ปรี้ดดด!!



เสียงนกหวีดดัง ฟีบีก็เริ่มหยิบเกี้ยวซ่าจากจานใหญ่เข้าปากทันที เด็กสาวเคี้ยวแก้มตุ่ยอย่างมีความสุขพร้อมมือเล็ก ๆ ก็ยังคงหยิบเกี้ยวเข้าปากอย่างไม่หยุดมือ ไม่ว่าจะผ่านไปชิ้นที่ห้า ชิ้นที่หก ชิ้นที่เจ็ดก็แล้ว ความเร็วก็ยังไม่ตกลงเลยแม้แต่นิดเดียว



เจนมองดูฟีบีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะดูเธอท่าทางจะชอบมากทีเดียว แล้วจำนวนเยอะขนาดนี้ก็คงกินได้อย่างจุใจ ในขณะเดียวกันเธอก็มองไปอีกด้านของโต๊ะที่สองสาวกำลังตักไอศกรีมกินกันด้วยใบหน้าที่มีความสุข แก้มของทั้งคู่กลายเป็นสีชมพูอ่อน ๆ ขณะที่กำลังลิ้มรสไอศกรีมพาเฟ่อย่างช้า ๆ



ในตอนนี้เจนมีสีหน้าตรงกันข้ามกับทั้งสามคนมาก เธอหยิบเกี้ยวซ่าขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แม้กลิ่นหอมของแป้งทอดจะลอยขึ้นมาเตะจมูกของเธอชวนให้ท้องเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้งก็ตาม



เกี้ยวซ่าไส้ปริศนาถูกส่งเข้าปากอย่างช้า ๆ เมื่อเธอลองกัดแป้งกรอบกกลับทำให้เธอแปลกใจ เพราะรสชาติของแป้งทอดและเนื้อสับปรุงรสที่เป็นไส้นั้นมีรสชาติอร่อยเหมือนกับเนื้อไก่ไม่มีผิด ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลก ๆ แต่อย่างใด



"นี่เนื้ออะไรน่ะ" เจนหันไปถามกับพนักงานที่ยืนจับเวลาอยู่ใกล้ ๆ เธอและเอาเกี้ยวซ่าที่เหลือยื่นให้ดู



"อ่า นั่นเป็นเนื้อของนกหงส์ป่าครับ" พนักงานหนุ่มรีบตอบทันทีโดยมองเพียงครู่เดียวเท่านั้น แม้แต่เจนยังแปลกใจว่าเขาดูออกได้ยังไง



เธอจัดการเกี้ยวซ่าในมือแล้วหันไปหยิบชิ้นต่อไปด้วยความมั่นใจที่มากขึ้น และมันก็ไม่ทำให้เธอผิดหวังเพราะเกี้ยวซ่าชิ้นต่อไปที่เธอทานนั้นเป็นเป็นเนื้อหมูสับที่เธอคุ้นเคย และชิ้นที่สามก็เป็นเนื้อกุ้งของโปรดของเธอ บางทีเธออาจจะกังวลมากเกินไปกับพวกเกี้ยวซ่าพิสดารก็ได้



เจนหยิบเกี้ยวซ่าชิ้นต่อไปขึ้นมาอย่างไร้ความกังวล คราวนี้เธอกินเข้าไปในคำเดียวเลย แต่เมื่อเคี้ยวก็พบว่าเกี้ยวซ่าชิ้นนี้แปลกไป แม้ว่าจะอร่อยก็ตามแต่เจนรู้สึกว่าเนื้อที่เธอกำลังเคี้ยวอยู่นั้นทั้งเหนียวและให้ความรู้สึกต่างจากเนื้อที่เคยกินมา และมันก็ทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอม ไม่ได้ทำให้เจนรู้สึกอยากกินชิ้นต่อไปเลยแม้แต่น้อย



จะหันไปถามพนักงานหนุ่มว่าเธอกำลังกินเนื้ออะไรก็ไม่ได้แล้วเพราะทั้งชิ้นอยู่ในปากเป็นที่เรียบร้อย เธอจึงต้องพยายามกล้ำกลืนเนื้อประหลาดในปากลงคอไปแม้จะทำให้น้ำตาซึมออกมาก็ตาม



ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่เธอรู้สึกตอนแรกนั้นไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย มันมีเนื้อมอนสเตอร์แปลก ๆ ซ่อนอยู่ในกองเกี้ยวซ่านี้จริง ๆ ด้วย ความอยากอาหารที่เกิดขึ้นในเกี้ยวซ่าสามชิ้นแรกนั้นหายไปในพริบตา แต่ดูจากจำนวนที่เหลือและเวลาในการกินก็อยู่เหลือไม่ถึงแปดนาทีทำให้เจนจำใจหยิบขึ้นมาทานอีกชิ้น



เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ชิ้นที่ห้านี้เจนเจอเข้ากับแจ็คพ็อตเต็ม ๆ เพราะเกี้ยวซ่าที่เธอกัดลงไปนั้นมีไส้เป็นเนื้อไม้ล้วน ๆ !



"อ่า นั่นเป็นเนื้อของอสูรพฤษาครับ กินยากหน่อยแค่เคี้ยวมันดีนะครับ" พนักงานหนุ่มเอ่ยโดยไม่ต้องให้เจนเอ่ยถาม



ชิ้นที่ห้าทำเอาเจนถึงกับยอมแพ้ หลังจากที่พยายามเคี้ยวเนื้ออสูรพฤกษามี่เป็นไม้ให้ละเอียดและกลืนลงไป เธอวางเกี้ยวซ่าที่เหลือลงบนจานและถอยออกมา เจนไม่อยากจะเอากระเพราะกับลิ้นของตัวเองไปเสี่ยงกับเงินไม่กี่แสนแน่



เมื่อหันไปมองฟีบี เจนก็เบิกตากว้างเพราะมังกรน้อยยังคงหยิบเกี้ยวซ่ากินอย่างเอร็ดอร่อย แม้กระทั้งชิ้นที่เจนวางเอาไว้เธอก็ยังหยิบขึ้นมากินหน้าตาเฉย สงสัยปากของมนุษย์กับปากของมังกรจะรับรสต่างกันเกินไป



เมื่อละความสนใจกับกองเกี้ยวซ่าตรงหน้า เจนก็หันมาหาไอศกรีมพาเฟ่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ปกติแล้วเจนไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะของแบบนี้เพราะวันหวานเลี่ยนจนเกินไป ถ้าเธอจะกินไอศกรีมก็คงจะกินแค่ไอศกรีมธรรมดา ๆ จะดีกว่า ครั้งนี้เธอให้คิทซึเนะและซินจูเป็นคนสั่งของหวานมา ดังนั้นเธอจึงต้องกินให้หมดเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท



เจนหยิบถ้วยแก้วสูงที่มีลูกสตอเบอรี่สีแดงสดวางเป็นหน้าอย่างสวยงาม เจนตักขึ้นมาพร้อมกับเนื้อไอศกรีมอีกนิดหน่อยขึ้นมากินหวังว่าจะล้างความรู้สึกเหนียวและคาวปาก ทว่าทันทีที่เธอลิ้มรสชาติของไอศกรีมนั้น เจนก็เบิกตาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เพราะความหวานของไอศกรีมและเนื้อสตอเบอรี่นั้นเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะกลืนลงคอไปแล้วเธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความหวานสดชื่นที่ยังคงติดลิ้น ล้างรสชาติของเนื้อปริศนาไปได้หมดสิ้น



เจนมองดูไอศกรีมสตอเบอรี่พาเฟ่ในมืออย่างแปลกใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอศกรีมที่หวานเลี่ยนจะกลับอร่อยได้ขนาดนี้ ไม่รอช้า เจนรีบตักขึ้นมาอีกคำเพื่อพิสูจน์ความจริง และก็ยิ่งตอบย้ำถึงความหอมหวานของสตอเบอรี่และไอศกรีม



เจนกินอย่างไม่เร่งรีบ เธอใช้เวลาลิ้มรสของไอศกรีมอย่างช้า ๆ จนหมดแก้ว เธอยังแลบลิ้นเลียปากถึงความหวานพลางนึกคิดว่าจะสั่งเพิ่มอีกซักแก้ว



แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เจนก็รู้สึกได้ถึงสายตาของซินจูและคิทซึเนะกำลังมองดูเธออยู่



"เป็นยังไงบ้างคะพี่เจน ไอศกรีมอร่อยดีหรือเปล่า" คิทซึเนะถามยิ้ม ๆ



"อ...เอ่อ อร่อยดี ฉันไม่รู้เลยนะว่าพาเฟ่จะอร่อยถึงขนาดนี้" เจนตอบหน้าแดงเพราะอายที่แสดงท่าทางตะกละออกไปให้เห็น



"ก็ปกติแล้วพวกผู้ชายไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ คนที่ชอบพาเฟ่หวานเจี๊ยบแบบนี้มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละค่ะ ก็มีพี่เจนนี่แหละค่ะที่เป็นผู้ชายที่ชอบพาเฟ่" ซินจูตอบ ทำให้เจนพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะที่เธอรู้ถึงรสหวานสะใจของไอศกรีมพาเพ่นี้ได้นั้นเพราะว่าเธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน



"เหลือเวลาอีกสองนาที!" เสียงประกาศของพนักงานจับเวลาช่วยเรียกความสนใจของซินจูไปจากตัวเจนได้ เธอแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะถ้าหากซินจูเซ้าซี้ถามล่ะก็ ความจริงเรื่องที่เจนเป็นผู้หญิงคงแตกแน่ ๆ แม้ว่าตอนนี้เหตุผลที่จะปกปิดมันจะเบาขึ้นแล้วก็ตาม แต่พอลองนึกดูว่าถ้าหากซินจูรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เคยเป็นผู้ชายมาก่อนจะเกิดอะไรขึ้น



เจนรู้ว่าซักวันเธอก็ต้องบอกความจริงกับซินจูและพวกเสือซ่อนลาย เจนไม่อยากให้ความจริงนี้หลุดออกมาจากปากของใครคนอื่น แต่เอาไว้ทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าและเมื่อถังเวลาที่เจนพร้อม เธอก็หวังจะได้บอกความจริงนี้ให้กับพวกซินจูซักที



เมื่อหันไปมองดูจานเกี้ยวซ่าพิสดารก็ทำให้เจนใจหายวาบเพราะเกี้ยวซ่ากองพะเนินที่เคยตั้งอยู่เมื่อครู่กลับหายไป เหลือเกี้ยวซ่าอยู่เพียงสิบกว่าชิ้นและน้อยลงเรื่อย ๆ จนเหลืออยู่ที่ก้นจานเท่านั้น ในขณะที่มังกรน้อยก็ยังคงกินด้วยความเร็วเท่าเดิมโดยไม่ติดขัดหรือหยุดพักแล้วแม้แต่ครั้งเดียว



ในที่สุดเกี้ยวซ่ามากกว่าร้อยชิ้นก็หมดลงด้วยฝีมือของเด็กสาวเพียงคนเดียวด้วยเวลาไม่ถึงสิบนาที เสียงเป่านกหวีดหยุดการจับเวลาก็พบว่าฟีบีใช้เวลาไปเพียงเก้านาทีเท่านั้น แถมจานเกี้ยวซ่าก็เป็นของสำหรับสี่คนอีกต่างหาก ตอนนั้นเองที่เสียงปรบมือดังรอบด้านทำให้เจนเพิ่งมารู้ตัวว่าทักษะการกินแหลกของฟีบีนั้นเรียกความสนใจของคนได้ไม่น้อยเลย



"ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เอ่อ...พวกคุณสามารถทานเกี้ยวซ่าพิสดารได้หมดตามเวลาที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างบนโต๊ะทางร้านจะไม่คิดเงินครับ แล้วอยากจะสั่งอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ..ยกเว้นเกี้ยวซ่าพิสดารนะครับ" พนักงานหนุ่มที่จับเวลาเข้ามาแสดงความยินดีและรีบพูดขัดเอาไว้ก่อน ดวงตาของเขาเหล่มองฟีบีที่หันไปทานไอศกรีมพาเฟ่อย่างเอร็ดอร่อยทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินเกี้ยวซ่าพิสดารมาแท้ ๆ ถ้าหากขืนให้โต๊ะนี้สั่งอีกล่ะก็ มีหวังร้านนี้คงได้เจ้งแน่ ๆ







หลังจากออกมาจากร้านอาหารอย่างอิ่มท้องกันทุกคนแล้วพวกโจก็ติดต่อมาทาเจนด้วยเสียงดังโวยวายเล็กน้อยอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้แล้ว เจนบอกให้พวกเขาไปเจอกันที่ลานประลองเลยแล้วจึงตัดการติดต่อไปอย่างไร้เยื่อใย



เมื่อพวกเจนมาถึงลานประลองเบลดมาสเตอร์ก็พบว่าตอนนี้บริเวณโดยรอบนั้นมีกระโจมขนาดใหญ่ตั้งอยู่สี่หลังแต่ยังไม่เปิดให้เข้าไป แม้ว่าตอนนี้คนจะมายังไม่มากนัก แต่พวกยอมขุมพลนั้นมาเตรียมพร้อมกันหลายคนแล้ว



เจนจ้องไปยังเหล่าขุมพลที่ยืนแยกกันเป็นจุด ๆ บางคนก็แยกไปยืนอยู่คนเดียว แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรวมกลุ่มกันซะมากกว่า เจนจำซามูไรสาวในชุดเกราะสีแดงได้ว่าเธอคือโทโมเอะ โกเซน แม้จะเป็นขุมพลหญิงเพียงคนเดียวในเมืองยามะไตที่ผ่านเข้ารอบมา แต่ทักษะการใช้อาวุธของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดขุมพลที่เป็นผู้ชายเลยแม้แต่น้อย



"พี่เจนกำลังมองหาใครอยู่หรือคะ" ฟีบีถามขึ้นเมื่อเธอเห็นพี่สาวของเธอจ้องมองเหล่ายอดขุมพลอยู่นาน เจนรีบหันกลับมาหามังกรน้อยพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน



"เปล่าหรอก ไม่ได้มองหาใครซักหน่อย พวกเราไปหาที่นั่งพักกันตรงนั้นดีกว่านะ" เจนพูดแล้วจึงเดินนำไปยังที่นั่งสำหรับผู้เข้าชม ความจริงแล้วเจนกำลังมองหาเบดิเวียร์ อัศวินหนุ่มที่เธอสู้ด้วยเมื่อวานนี้ แต่มานึกได้ว่าเขายอมแพ้ให้เจนผ่านเข้ารอบไป เมื่อเขาตกรอบไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อ คงถูกส่งกลับไปยังเมืองที่เขาอาศัยอยู่ไปแล้ว ใช่เมืองคาเมล็อตหรือเปล่านะ







หลังจากพวกโจโผล่มาพร้อมกับมาเรียกไถ่ค่าห้องพักคืนแต่เจนรีบปฏิเสธและห้ามซินจูจ่ายเงินคืนให้โจ เพราะทั้งสามคนนั้นจงใจตื่นสายที่จะเลี่ยงจ่ายค่าห้องพัก ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่คนอย่างเจนพูดออกไปแล้วว่าไม่จ่ายก็คือไม่จ่าย สองหนุ่มจอจานรู้ดีถ้าเพื่อนของเขามาแบบนี้ก็คงไม่มีหวังที่จะได้เงินคืนแล้ว และพวกเขาก็เข็ดเกินกว่าจะโต้แย้ง เพราะถึงจะเป็นแค่เกมแต่ความเจ็บจากหมัดของเจนนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บกว่าโดนมีดดาบซะอีก เห็นทีคราวหน้าคราวหลังเวลาจะหนีกันไปเที่ยวก็ต้องแน่ใจว่าจะต้องตื่นเช้าซะแล้วสิ



แน่นอนว่าสามหนุ่มไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ เพราะถ้าบอกล่ะก็ คนที่โกรธก็คงจะไม่ได้มีแค่เจนเพียงคนเดียวแน่



เวลาผ่านไปจนมาถึงเที่ยงวัน ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเข้ามายังลานกว้างแห่งนี้จนแน่นขนัด แต่จุดที่เจนอยู่นั้นเป็นส่วนที่จำกัดให้เข้าได้แค่เพียงผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้าร่วมประลอง ดังนั้นพวกเธอจึงสามารถมองดูเวทีขนาดใหญ่ได้อย่างไม่อึดอัดนัก บนเวทีนั้นมีอามิตตาพร้อมกับเกมมาสเตอร์หลินและเกมมาสเตอร์ฟินน์กำลังนั่งประจำที่ รอเวลาจะออกอากาศในอีกไม่ช้า



"สวัสดีค่ะทุกท่าน และสวัสดีไปยังเมืองคาเมล็อทและเมืองคริสตัลเบลด้วยค่ะ ขอต้อนรับสู่การประลองคัดตัวรอบสุดท้าย เพื่อเฟ้นหายอดนักดาบจำนวนสิบสองคนเพื่อชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ค่ะ!!" นักข่าวสาวประกาศเสียงดังพร้อมกับเสียงตะโกนเชียร์และเสียงเพลงดังกังวานไปทั่วบริเวณ



เหนือเวทีมีภาพของผู้เข้าร่วมประลองจากเมืองอีกสองแห่งฉายอยู่ ที่นั้นเองก็มีการเปิดงานของการประลองเบลดมาสเตอร์วันที่สองยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน แม้ว่าจะเป็นรอบคัดเลือกก็ตาม เสียงตนตรีที่บรรเลงอยู่ที่เมืองยามะไตนั้นจะเป็นแนวเครื่องสีแบบตะวันออกซะส่วนใหญ่ ทำให้เจนเดาว่าที่เมืองคาเมล็อทและเมืองคริสตัลเบลนั้นคงบรรเลงเพลงแบบตะวันตกหรือตามลักษณะพื้นเมืองในแถบนั้นเช่นกัน



"การประลองในวันนี้ฉันแน่ใจว่าจะต้องถูกใจทุกคนแน่นอนค่ะ เพราะวันนี้การประลองเบลดมาสเตอรจะเป็นแบบ หนึ่งต่อหนึ่งในสังเวียนค่ะ!!"



เจนรู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่วันนี้เธอไม่ต้องระวังหน้าระวังหลังแบบเมื่อวานแล้ว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธออาจะได้สู้กับยอดขุมพลขึ้นมาทำให้ดวงใจที่รู้สึกลิงโลดกลับห่อเหี่ยวลงในพริบตา เพราะคราวนี้จะไม่มีใครช่วยรุมอีกต่อไป จะต้องสู้ตัวต่อตัวจนกว่าจะชนะหรือแพ้กันไปข้างเท่านั้น



"กฎการประลองส่วนใหญ่นั้นยังคงเหมือนเดิมค่ะ จะมีการเปลี่ยนกฎเรื่องอาวุธที่ใช้เพียงเล็กน้อย เพื่อการตัดสินว่าใครคือผู้ใช้ดาบที่เก่งที่สุดอย่างแท้จริง ดังนั้นอาวุธที่จะใช้ในวันนี้ในแต่ละรอบการต่อสู้นั้นจะถูกสุ่มขึ้นมาและทั้งสองคนบนสังเวียนจะต้องใช้อาวุธแบบเดียวกันค่ะ" เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีเมื่อนักข่าวสาวพูดจบ ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่ายอดขุมพลที่ต่างมีท่าทางแปลกไปเมื่อได้ยินว่าตนจะไม่ได้ใช้อาวุธที่ตนถนัด เห็นที่ยอดขุมพลเองก็ไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่องเหมือนกัน



ในขณะที่คนอื่น ๆ รู้สึกกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวเจนเองก็ไม่ต่างไปจากคนอื่นเช่นกัน แม้ว่าเธอจะพอใช้ดาบได้ แต่ถ้าหากต้องใช้อาวุธจำพวกกระบี่ขึ้นมาล่ะก็ เจนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช้ยังไง ขนาดยังไม่นับที่จะต้องสู้กับยอดขุมพลโอกาสแพ้ของเจนในการประลองรอบนี้มีสูงทีเดียว



"การประลองรอบบี้เราจะแบ่งกันเป็นสามกลุ่มตามเมืองทั้งสาม โดยในแต่ละกลุ่มก็จะแบ่งสายออกมาอีกสี่สายเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะของแต่ละเมืองเพียงสี่คนค่ะ!"



เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่าการประลองวันนี้จะคัดคนจากกว่าแปดพันคนจนเหลือเพียงแค่สิบสองคนจากสามเมือง ยิ่งสร้างความกังวลให้กับเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก มีผู้เล่นหลายคนพยายามร้องประท้วงแต่อามิตตาก็ตอบไปว่าเธอเป็นแค่ผู้ประกาศสารเท่านั้น เธอไม่ใช่ผู้ที่กำหนดกฎของการประลอง เหล่าผู้เข้าร่วมประลองจึงจำได้แต่ก้มหน้ายอมรับกันต่อไปอย่างทำอะไรไม่ได้



ต่อจากการอธิบายกฎของการประลองรอบนี้แล้ว ผู้เล่นและขุมพลต่างก็ถูกแบ่งกันออกเป็นสี่กลุ่มและทยอยเข้าไปในเต็นท์ จากจำนวนผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดเกือบแปดพันคน มีคนที่มาจากเมืองยามะไตถึงกว่าสี่พันคน ทำให้แต่ละสายมีจำนวนผู้เข้าประลองถึงพันกว่าคน โชคดีที่การประลองจะเป็นแบบทัวร์นาเมนท์ที่จะสู้ไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นเจนต้องการชนะเพียงเก้าครั้งเท่านั้นก็จะได้เป็นหนึ่งในสี่ผู้ที่จะได้ประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ต่อไป



นั่นถ้าหากเจนสามารถเอาชนะจอมพลฉินที่ดันเผอิญเป็นหนึ่งในยอดขุมพลไม่กี่คนที่อยู่ในสายเดียวกับเธอด้วย



แม้ว่าตอนนี้ขุมพลที่อยู่ในเมืองยามะไตจะมีเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคนแล้ว แต่ก็ถือว่ามีขุมพลอยู่มากที่สุดในการประลองเบลดมาสเตอร์จากสามทวีป ทำให้จากทั้งสี่สายในเมืองมีขุมพลอยู่ในแต่ละสายถึงยี่สิบกว่าคน และขุมพลที่น่ากลัวที่สุดก็คือขุมพลฉินนั่นเอง



"ขุมพลคนนั้นมีพลังโจมตีสูงมากเลย ถ้าฉันจะต้องสู้กับเขาขึ้นมา ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสู้ยังไงเหมือนกัน" เจนพูดพลางมองจอมพลอยู่ห่าง ๆ พวกโจเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงเหมือนกัน เพราะขนาดพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะสู้กับยศขุนนาง เลเวลหกสิบได้ยังไงเหมือนกัน



"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่างพี่เจนไม่ว่าใครหน้าไหนก็เอาชนะได้อยู่แล้ว" คิทซึเนะให้กำลังใจ เจนได้แค่หัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเธอเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะสู้กับผู้เล่นคนอื่นที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้หรือเปล่าเลย



ลานประลองภายในเต็นท์มีสังเวียนประลองขนาดใหญ่อยู่หลายสิบเวทีจนขนาดของเต็นท์ไม่น่าจะจุได้ เจนมารู้ทีหลังว่าเต็นท์นี้เป็นเหมือนกับมิติพิเศษที่สามารถเพิ่มขนาดภายในได้ โดยเต็นท์แบบนี้มีขายให้ผู้เล่นใช้ได้อยู่เช่นเดียวกัน แต่ราคาของมันนั้นสูงมากแม้จะเป็นขนาดเล็กก็ตาม ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะใช้เต็นท์แบบธรรมดาที่ราคาถูกมากกว่า



ตอนนั้นเองที่เจนได้รับแจ้งขึ้นมาเป็นหน้าต่างแสงตรงหน้าของเธอว่าสังเวียนที่เธอจะต้องขึ้นไปสู้นั้นเป็นสังเวียนที่สองร้อยหกสิบเอ็ด เจนจึงพาพวกโจไปยังสังเวียนของเธอทันที เช่นเดียวกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่มีหน้าต่างแสงเด้งขึ้นมาตรงหน้า ส่วนเหล่าขุมพลนั้นมีจดหมายบินตรงไปหาแทน



เมื่อมาถึงเวทีของเธอก็พบว่ามีคนยืนดูเพียงสองสามคนเท่านั้น ซึ่งก็คงเป็นเพื่อนของผู้เข้าร่วมประลองคนอื่น ๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจได้อย่างเช่นพวกคิทซึเนะ ส่วนคนทั่วไปที่อยากจะดูการประลองนั้นสามารถดูผ่านหน้าต่างแสงเท่านั้น



คู่ต่อสู้ของเจนยืนรออยู่บนสังเวียนเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่สีอายุมากกว่าเจนไม่มากนัก แต่รูปร่างของเขาสูงใหญ่กว่าเธอมากจนคนอื่น ๆ รู้สึกได้ว่าเจนกำลังเสียเปรียบ แต่ตัวหญิงสาวเองนั้นกลับรู้สึกต่างออกไป เธอมองคู่ต่อสู้ที่กำลังจ้องมายังตัวของเธอตาเขม็ง เจนจำสายตาแบบนั้นได้ดีว่ามันหมายความว่าต้องการจะท้าทายและเจนก็จะตอบรับทำท้านั้นแน่



"ดูหมอนั่นสิ ตัวใหญ่กว่าเธอขนาดนั้น รู้ใช่มั้ยว่าจะไปวัดพลังกับหมอนั่นไม่ได้" แจ็คพูดอย่างมีประสบการณ์ เจนจำได้ว่าบ้านเขาเปิดโรงยิมอยู่ ดังนั้นการมองข้ามคำแนะนำของเพื่อนคนนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่โง่มาก



"ฉันรู้แล้วล่ะ พอมีคำแนะนำบ้างมั้ย" เจนถามกลับไปขณะกำลังจะขึ้นไปบนลานประลอง



"อืม...ชนะให้ได้?" แจ็คพูดเสียงสูง



เจนถอนหายใจอย่างจนปัญญา บางทีหมอนี่อาจจะไม่ได้รู้อะไรมากอย่างที่เจนคาดหวังเอาไว้ก็ได้ "นั่นมันเป้าหมายต่างหาก ไม่ใช่คำแนะนำ!"



เมื่อก้าวขึ้นมาบนลานประลอง กำแพงแสงบาง ๆ ก็ปิดกั้นลานประลองเอาไว้ไม่ให้ผู้ชมเข้ามาแทรกแทรงได้ พร้อมกันนั้นเองที่เวทีก็ส่องสว่างขึ้นราวกับเรืองแสงได้ และก็มีลูกบอลแสงลอยขึ้นมาตรงหน้าเจนและคู่ต่อสู้ของเธอ



ใช้เวลาไม่นานนักที่บอลแสงก่อตัวเป็นรูปร่าง เมื่ออาวุธที่เธอจะต้องใช้ปรากฏออกมาก็พบว่ามันไม่ใช่ดาบ แต่เป็นทวนยาวที่มีปลายเป็นใบมีดคมกริบ



"อะไรเนี่ย ฉันคิดว่าการประลองเบลดมาสเตอรจะใช้แค่ดาบซะอีก!" เจนหันไปถามพวกโจที่ยืนเกาะติดขอบลานประลองด้านหลัง



"นี่ไม่ได้อ่านแผ่นพับที่ฉันให้ไปหรือยังไงเนี่ย!" เสียงหนูส่งข่าวตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ มันก็สมควรอยู่เพราเขาเป็นคนลงทุนขโมยแผ่นพับนั้นมาให้เจนเองแต่เธอดันอ่านข้าม ๆ ซะนี่...แต่ก็นั่นแหละ ใครมันจะไปอ่านคำอธิบายยาวเหยียดทุกบรรทัด เจนแค่อ่านสิ่งที่เธอต้องรู้ เรื่องอาวุธที่ใช้เธอก็แค่เดาเอาเท่านั้น



"การประลองเบลดมาสเตอร์ไม่ใช่ซอร์ดมาสเตอร์ ถึงจะใช้ดาบเป็นหลักเหมือนกันก็จริง แต่อาวุธทุกอย่างที่มีใบมีดก็ถือว่าใช้ได้หมดนั่นแหละ!" โจตะโกนบอก



"แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ฉันใช้ทวนไม่เป็นนะ" เจนว่า



"ไม่เป็นไรหรอก เธอก็แค่ใช้ ๆ ไป ยังไงหมอนั่นเองก็คงใช้ไม่เป็นเหมือน...กัน" โจพูดเสียงยาน เพราะว่าชายหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจนในตอนนี้กำลังควงทวดอย่างช่ำชองก่อนจะตั้งท่าชี้ใบมีดมายังเจนอย่างมุ่งร้าย



เจนหันไปค้อนโจเมื่อคำพูดของเขานั้นดันเป็นตรงกันข้ามกับที่พูด ซึ้งโจเองก็ได้แต่ยังไหล่และส่งใจช่วย แม้ว่าตอนนี้โอกาสที่เจนจะเอาชนะได้นั้นจะน้อยลงกว่าเดิมแล้วก็ตาม ได้แต่หวังว่าเธอคงจะหัวไว เรียกที่จะใช้ทวนได้เร็วพอและเอาชนะการประลองในรอบนี้ได้ก่อนที่เธอจะถูกจัดการซะเอง



แต่เมื่อมือเรียวสัมผัสกับทวนที่ลอยอยู่ตรงหน้า บางอย่างแปลกประหลาดก็พลันเกิดขึ้นกับเธอ เพราะจู่ ๆ ก็มีภาพเทคนิคการใช้ทวนทุกรูปแบบวิ่งผ่านตาเธอไปพริบตา หัวของเธอเจ็บจี๊ดแต่เพียงชั่วครู่มันก็หายไป และในที่สุดเจนก็รู้ทันทีว่าเธอจะใช้ทวนนี้ได้ยังไง



ก่อนจะมองหาสาเหตุว่าทำไมเธอถึงจู่ ๆ สามารถใช้ทวนได้อย่างเชี่ยวชาญ เธอก็มองไปที่ชายหนุ่มที่ตั้งท่ารอเธออยู่นานแล้ว และมันคงจะเป็นการเสียมารยาทถ้าหาจะให้เขารอต่อไป เจนย่อตัวเล็กน้อยและตั้งตัวเอาไว้ข้างตัว แม้จะดูมีช่องว่างแต่เจนสามารถเตรียมพร้อมสู้ได้ในพริบตาด้วยท่านี้



"ถึงจะเป็นผู้กล้าในชุดขาว แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะแพ้ให้กับนายหรอกนะ อย่าว่าเอาเปรียบที่นายใช้ทวนไม่เป็นล่ะ" ชายหนุ่มพูด เจนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบคำกลับไป



"ไม่เป็นไรหรอกน่า นายเองก็อย่าออมมือก็แล้วกัน ฉันไม่อยากฟังข้ออ้างว่านายแพ้ให้กับคนที่ใช้ทวนไม่เป็น"



ดั่งกับว่าคำพูดของเจนจุดระเบิดขึ้น ชายหนุ่มที่ถือทวนไปด้านหน้าจู่ ๆ ก็พุ่งเข้าหาเจนด้วยความเร็วสูง หญิงสาวรอท่าเอาไว้อยู่แล้ว เธอยกทวนขึ้นและฟาดไปด้านข้างลำตัวของชายหนุ่ม



นับว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์การต่อสู้ที่ไม่น้อยเลย เพราะเมื่อเจนฟาดตัวทวนใส่ แทนที่จะเลือกแลกหมัดกัน ชายหนุ่มกลับยกทวนกันและถอยออกมาตั้งหลักในระยะปลอดภัยแทน เขารู้ทันว่าถ้าหากเขายอมแลกหมัดกันกับเจน แม้ใบมีดที่ปลายทวนของเขาอาจจะได้ลิ้มรสเลือดของคู่ต่อสู้ แต่เขาเองก็จะโดนขัดจังหวะด้วยการโจมตีที่สวนกลับมาเช่นกัน และการโจมตีนั้นก็อาจใช้จบการต่อสู้นี้ได้ง่าย ๆ เลยทีเดียวเพราะเขามั่นใจว่าคู่ต่อสู้ของเขาต้องมีฝีมือฉกาจอย่างแน่นอน



แม้ว่าความจริงแล้ว เจนเดิมพันเอาไว้สูงมากเกินความจำเป็น เพราะถ้าหากชายหนุ่มยอมโดนโจมตีขึ้นมาจริง ๆ เจนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน



หญิงสาวลอบถอนหายใจและตั้งท่าเตรียมพร้อม เมื่อครู่นี้เธอไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้นเลย แม้ว่าเธอจะใช้ทวนเป็นแล้วก็ตามแต่การป้องกันการโจมตีเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ตอนนี้เจนสามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้แล้วและคู่ต่อสู้ของเธอก็คงจะไม่ใช้ไม้เดิมอีกครั้งเร็ว ๆ นี้แน่ ดังนั้นเจนก็คิดจะหันไปใช้ยุทธวิธีเดิมที่เธอชอบใช้...การบุกคือการป้องกันที่ดีที่สุด!!



เจนพุ่งเข้าใส่และฟาดทวนด้านข้างเต็มแรง ชายหนุ่มกระโดดหลบอย่างรวดเร็วและเตรียมที่จะโจมตีสวนกลับไป แต่ตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าตัวเองประมาทเกินไปแล้วเพราะว่าการโจมตีของผู้กล้าในชุดขาวยังไม่จบเพียงแค่นั้น



เจนใช้แรงเหวี่ยงทวนเป็นแรงหมุนให้ตัวเองหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับแทงทวนเข้าใส่ ชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำได้แค่เบี่ยงหลบสุดตัวแต่ก็ช้าเกินไป ใบมีดปลายทวนของเจนเฉือนเข้าเอวของเขาเรียกเลือดไหลออกมาจากปากแผล



เขาล้มกลิ้งลงไปบนพื้นเวทีประลองและพยายามจะลุกขึ้นมาสู้ต่อ แต่ตอนนั้นเองที่เขามองเห็นใบมีดกำลังใช้ใบหน้าของเขาห่างออกไปไม่ถึงห้านิ้ว



"อยากจะต่อยกสองมั้ย" เจ้าของใบมีดเอ่ยถาม แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าถึงจะสู้ต่อไปผลก็ออกมทเหมือนเดิม เขาแพ้ตั้งแต่ที่เขาเลือกที่จะหลบในตอนแรกแล้ว



"ไม่ล่ะ ฉันยอมแพ้แล้ว" ชายหนุ่มกล่าว ทันใดนั้นเองทวนที่อยู่ในมือของเจนและกำแพงแสงที่อยู่รอบ ๆ ก็สลายหายไป หน้าต่างแสงฉายขึ้นอยู่เหนือเวทีประลองบอกว่าผู้ชนะคือเจนพร้อมกับใบหน้าของเธอบนนั้น



"ฉันประมาทนายไปจริง ๆ ที่หลงไปเชื่อว่านายใช้ทวนไม่เป็น ถึงฉันจะไม่ได้ใช้ทวนเก่งนักแต่ขอยอมรับว่านายเองก็ฝีมือไม่เลวเลย" ชายหนุ่มยื่นมืออกไปหาเจน ซึ่งเธอก็ยื่นมือเข้ามาจับพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ



"นายเองก็เก่งเหมือนกัน เจอกันครั้งหน้าฉันอาจจะเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้" เจนตอบตามความจริง



"เก่งแถมยังถ่อมตัวอีก คนดีอย่างนายนี่หายากมาก ไม่แปลกใจเลยที่นายกล้าเป็นศัตรูกับกิลด์พิฆาตราชา... ชนะให้ได้ล่ะ ฉันเอาใจช่วยนายทั้งเรื่องนี้และเรื่องนั้นด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยแล้วจึงเดินลงมาจากลานประลองและเข้าไปสมทบกับเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่อยู่ไม่ไกล



เจนมองตามไหวเขาไปจนออกจากเต็นท์ เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะสาเหตุที่เธอชนะนั้นไม่ใช้เป็นเพราะทักษะการต่อสู้ของเธอซะทีเดียว แต่เป็นเพราะทักษะติดตัวที่เจนเพิ่งได้มาไม่นานมานี้นั่นเอง



Mastery Weapon ระดับ S ทักษะติดตัว

สามารถเรียนรู้การใช้อาวุธทุกชนิดได้เร็วมากขึ้น



เจนรู้แล้วว่าทักษะนี้ใช้งานยังไง และมันทำให้การประลองนี้เจนได้เปรียบขึ้นมาก เพราะไม่ว่าจะใช้อาวุธอะไรก็ตาม ตอนนี้เจนก็จะสามารถใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับว่าใช้มันเป็นอาวุธประจำตัวมาโดยตลอด



"ยินดีด้วยค่ะพี่เจน เมื่อกี้พี่สู้ได้สุดยอดมากเลยค่ะ" ซินจูเข้ามาพูดแสดงความยินดีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนกับตัวเธอเป็นผู้เข้าร่วมประลองซะเอง



"ยินดีด้วย แต่ไหนเธอบอกว่าใช้ทวนไม่เป็นไง" โจรีบเข้ามาถามทันที เจนยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะบอกสาเหตุว่าทำไม



"ทักษะอย่างโกงเลยนะนั่น แต่กว่าจะผ่านเงื่อนไขเปลี่ยนอาชีพมาได้อย่างนั้นมันก็สมควรอยู่ที่จะได้ทักษะแบบนั้นไป" โจว่า



"พี่เจนไม่ได้โกงซักหน่อย ที่พี่เจนชนะได้เป็นเพราะความสามารถของพี่เจนต่างหาก" คิทซึเนะแย้งโดยมีฟีบีร้องสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาโจต้องเป็นฝ่ายถอยเพราะไม่อยากจะมีเรื่องกับสาวน้อยทั้งสอง สีหน้าของเธอดูเอาจริงเอาจังมากซะจนไม่กล้าไปแหย่ ถ้าขืนทำอย่างนั้นเขาคงไม่โดนแค่จิ้งจอกกัด แต่เป็นหมัดของเจ้าของด้วย



ในตอนนี้เจนอยู่ในช่วงพักก่อนที่จะสู้ในรอบต่อไป เธอใช้เวลาสู้ในรอบนี้ค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่นเพราะลานประลองข้าง ๆ ยังสู้กันอยู่เลย แม้ว่าเธอจะชนะไปแล้วแต่ในใจยังคงรู้สึกร้อนลุ่ม การต่อสู้กับมอนสเตอร์กับการต่อสู้กับคนนั้นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจนรู้สึกเหมือนกับตัวเธอได้ย้อนกลับไปสมัยตอนที่เธอเคยมีเรื่องกับพวกนักเลงบ่อย ๆ แม้ว่าเจนจะไม่ได้รู้สึกชอบ แต่ในใจลึก ๆ แล้วเธอถูกยั่วยวนจากความตื่นเต้นจากการต่อสู้เพื่อเอาชนะ ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด



ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้เธอรู้สึกตื่นเต้นจากการประลองนี้มาก ความรู้สึกของอะดรีนาลีนสูบฉีดทำให้เนื้อเต้น และตอนนี้เธอแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้จับดาบเข้าประจัญกับคู่ต่อสู้ในรอบต่อไปแล้ว



"เสร็จไปหนึ่ง...เหลืออีกแปด" เจนพูดพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังจอแสงบนสังเวียนของเธอ รอคอยคู่ต่อสู้คนต่อไปด้วยไฟในใจที่กำลังลุกโหมจนแทยทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว



จบตอนที่ 37 เบลดมาสเตอร์! [ตอนกลาง]
----------------------

Tohan-kun
5th February 2014, 14:51
ตอนที่ 38 เบลดมาสเตอร์! [ตอนปลาย]



เสียงฝีเท้าตะกุยดังพร้อมกับเสียงกู้ร้องมาจากด้านหน้าบอกให้เจนรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเธอกำลังโจมตีเข้ามาอย่างสุดกำลัง ดาบโค้งวาดเข้าใส่หมายจะตัดหัวของเธอให้หลุดจากร่างแต่เจนก้าวเท้าเคลื่อนตัวหลบได้อย่างรวดเร็ว แม้จะพลาดทว่าคู่ต่อสู้ของเธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เขายังพยายามกลับมาตั้งหลักและแทงดาบเข้าใส่เธออย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง



แม้ว่าเจนจะไม่เคยใช้อาวุธอย่างดาบโค้งนี้มาก่อน แต่ด้วยทักษะที่เธอมีทำให้เธอรู้ทันทีว่าจะใช้ดาบนี้ได้ยังไง ภาพต่าง ๆ ที่วิ่งแล่นภายในหัวทำให้เจนรู้ว่าการโจมตีด้วยการแทงนั้นเป็นการโจมตีที่แย่ที่สุดเพราะปลายดาบนั้นโค้งจนแทบจะหันมาชี้ตัวผู้ถืออาวุธเองอยู่แล้ว ทำให้การฟันหรือฟาดดาบนั้นเป็นการใช้ดาบชนิดดีที่ดีที่สุด แต่เจนกลับคิดอะไรแผลง ๆ บางอย่างขึ้นมาได้และคิดว่าน่าจะได้ผลด้วยจากสิ่งที่เธอมีอยู่ในหัวและความกล้าบ้าบิ่นที่ตอนนี้มีอยู่ล้นตัว



เจนใช้ทักษะเสริมพลังเคลื่อนตัวหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้ของเธออย่างรวดเร็วก่อนที่จะหมุนตัวเตะเข้าไปที่ท้องเต็มแรง เดิมที่แค่แรงเตะธรรมดาก็รุนแรงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกเสริมพลังด้วยทักษะเพิ่มพลังทำให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเป็นสองเท่า ชายหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจนถึงกับตัวงอเป็นกุ้งจนนอนกองลงกับพื้น แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้และพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อ



ในจังหวะที่คู่ต่อสู้ลงไปกองกับพื้น เจนก็รีบถอยออกห่างไปอยู่อีกมุมของสังเวียน ทำให้ผู้คนที่กำลังมองดูการต่อสู้นี้ไม่ว่าที่อยู่ข้างเวทีหรือจากจอแสงต้องแปลกใจเพราะจากจุดนี้เธอไม่อาจจะโจมตีปิดฉากได้เลย ทำไมเจนถึงไม่ฉวยโอกาสนี้จัดการคู่ต่อสู้ไปซะล่ะ?



คำตอบแฝงอยู่ในรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาว เธอรอจนกว่าคู่ต่อสู้ของเธอลุกยืนขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเองเจนก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้มาก่อน เธอโจมตีใส่คู่ต่อสู้แต่ไม่ใช่การฟันหรือการแทง แต่เป็นการเขวี้ยง! เธอกำลังเขวี้ยงดาบใส่คู่ต่อสู้!



จากจุดที่เจนยืนอยู่ในตอนนี้ไม่มีทางเลยที่เธอจะล้มคู่ต่อสู้ลงได้ อย่าว่าแต่จะล้มเลย แค่โจมตีให้โดนยังยากกว่าด้วยซ้ำไป แต่ทว่าสิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นเมื่อดาบที่เจนเขวี้ยงไปนั้นกลับหมุนเป็น วงกลมราวกับบูมเมอแรงและพุ่งตรงเข้าใส่คู่ต่อสู้ของเธอด้วยความเร็วสูง ด้วยรูปทรงของดาบโค้งทำให้ดาบสามารถหมุนได้อย่างสมบรูณ์แบบ และคมดาบนั้นทำให้มันอันตรายยิ่งกว่า



ฉัวะ!! ฉัวะ!!



ดาบพุ่งเข้าเฉือนร่างของคู่ต่อสู้ของเธอไปราวกับมีดเฉือนผ่านเนยอ่อน แต่ดาบของเจนกลับไม่หยุดเพียงแค่นั้น ดาบบูมเมอแรงหมุนผ่านไปและย้อนกลับมาเฉือนหลังของคู่ต่อสู้ของเธออย่างไร้ ความปราณีก่อนจะพุ่งกลับมายังจุดเริ่มต้นนั่นก็คือเจนนั่นเอง แต่ก่อนที่ดาบจะกลับเข้ามาทำร้ายเจนด้วยอีกคน เธอก็ใช้มือคว้าเอาไว้ได้พอดีกับร่างของคู่ต่อสู้ของเธอล้มลงกับพื้นและเสียงระฆังก็ดังขึ้นประกาศให้รู้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว



เสียงร้องตะโกนเชียร์ดังกระหึ่มหลังจากที่เจนได้รับชัยชนะ เธอมองดูพรรคพวกของคู่ต่อสู้ของเธอพยุงร่างไร้สติลงไปจากสังเวียนอย่างยากลำบาก แม้ในใจเจนจะรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะที่เธอชนะมาได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทักษะWeapon Mastery ที่แม้แต่โจหรือตัวเธอเองต่างเห็นตรงกันว่ามันออกจะโกงไปนิดสำหรับการประลองแบบนี้ แต่ว่าไม่มีกฎใด ๆ ห้ามเจนไม่ให้ใช้ทักษะนี้ และการต่อสู้บนสังเวียนจะมีผู้ชนะเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ตอนนี้เจนยังไม่อยากจะเป็นคนที่แพ้อย่างแน่นอน



"สู้ได้เจ๋งไปเลยเจน หัวใสมากที่ใช้ดาบเป็นบูมเมอแรงแบบนั้น" โจกล่าวชมเมื่อเจนเดินลงมาจากสังเวียน



"จู่ ๆ ไอเดียมันก็ปิ้งขึ้นมาในหัวอ่ะนะ พอได้โอกาสก็เลยจัดซักหน่อย" เจนตอบ



"แล้วเธอรู้ใช่มั้ยว่าความจริงตอนที่ใช้ลูกเตะนั่น เธอจัดการหมอนั่นได้แล้ว" หนูส่งข่าวว่า



"ไม่เอาน่า เป็นนายไม่อยากจะมีท่าจบเท่ ๆ แบบนั้นบ้างหรือไง ว่าแต่ไอ้ลูกเตะนั่นสวยมากเลยเจน แถมเป็นหมุนตัวเตะซะด้วย อย่างเจ๋งเลย!" แจ็คชมพร้อมกับทำท่าเตะเลียนแบบเจนในสังเวียน หญิงสาวหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก็กล่าวขอบใจกลับไป



คิทซึเนะและซินจูต่างเอาน้ำและขนมมาให้เจนทันทีหลังมาถึงจุดพักเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ส่วนซินจูนั้นก็รอที่จะทำการพยาบาลรักษาบาดแผลที่เธอได้มาจากการประลองให้หมดก่อนที่จะถึงการประลองรอบต่อไป คงไม่ฉลาดนักที่จะเอาร่างกายที่ไม่สมบรูณ์พร้อมไปสู้ต่อกับยอดฝีมือที่จะประมาทไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที



ตอนนี้เจนสู้มาแล้วเจ็ดรอบและยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่เป็นยอดขุมพลเลย นั่นถือว่าโชคดีมาก แต่ว่าผู้เล่นที่เจนสู้ด้วยเองก็ไม่ได้กระจอกแม้แต่น้อย ขนาดตัวเธอได้เปรียบเรื่องอาวุธแต่ยังสูสีกับผู้เล่นหลายคนที่เธอสู้ด้วย ทำให้เจนตระหนักได้ว่าหลายคนในที่นี้ต่างเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถในการต่อสู้ ไม่ใช่ผู้เล่นธรรมดาทั่วไปที่พึ่งทักษะของเกม ถ้าหากเธอพลาดเพียงครั้งเดียวก็หมายถึงความพ่ายแพ้ทันที



ตอนนี้เหลือการต่อสู้อีกสองรอบเท่านั้นยิ่งทำให้เจนต้องตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะผู้เข้าร่วมการประลองที่เหลืออยู่อีกสามคนต้องมีฝีมือสูงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นเป็นยอดขุมพลที่เป็นที่จับตามองมากที่สุด จอมพลฉินผู้ที่ผ่านเข้ารอบการประลองไปเป็นคนแรกนั่นเอง



"ผู้เล่นอีกสองคนฉันหาข้อมูลมาแล้วขอบอกว่างานนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ แน่ ขอบอกตามตรงนะว่าถ้าเธอโชคดีไม่ต้องไปเจอกับจอมพลนั่นในรอบต่อไป ความหวังที่จะชนะในรอบสุดท้ายได้ก็ยังริบหรี่ว่ะ" หนูส่งข่าวพูดหลังจากที่เขาเดินตระเวนดูการประลองของคนอื่น ๆ ในระหว่างที่เจนประลองอยู่ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่สอดแนมคู่ต่อสู้เช่นนี้ พรรคพวกของผู้เล่นอีกสองคนก็มาสอดแนมเจนเช่นกัน แถมยังมีคนแอบให้ขนมใต้โต๊ะกับฟีบีด้วย ยังดีที่คิทซึเนะยืนคุมน้องสาวของเธออยู่จึงไม่มีใครมีโอกาสเข้าใกล้ตัวมังกรน้อย



คงจะยกเว้นเพียงแค่จอมพลฉินที่ประลองอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครจะไปสอดแนมคู่ต่อสู้ให้เขา แต่แค่พละกำลังที่เขามีนั้นก็เป็นที่หนักใจมากพออยู่แล้ว



"เรื่องจอมพลนั่นฉันจะเอาไว้จัดการเอง อย่าเพิ่งห่วงเรื่องนั้นเลย ตอนนี้นายมีอะไรบ้างเอาเล่ามาให้ฟังก่อน" เจนบอกทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชนะจอมพลฉินได้ยังไง



หนูส่งข่าวพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงเอ่ยข้อมูลที่เขาไปลอบสังเกตการณ์มา "ผู้เล่นคนแรกที่ฉันไปดูมามีชื่อว่าพิสตอล ฉันไม่รู้นะว่าหมอนั่นถนัดใช้อาวุธแบบไหนกันแน่ แต่เท่าที่ลองไปถาม ๆ มาแล้ว หมอนั่นได้จับทั้งดาบยาว ดาบสั้น คาตะนะ ดาบเคลย์มอร์ ทวน ดาบคู่ ใช้ได้หมดแถมยังเก่งอีกด้วย ในสายนี้หมอนี่ถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่น่าจับตามองทีเดียว"



เจนหันมองตามสายตาของเพื่อนของเธอไปก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่บนสังเวียนใกล้ ๆ เขาเป็นหนุ่มร่างสูงที่มีเส้นผมสีขาวยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวได้รูปประดับเอาไว้ด้วยสายตาเย็นชาทำในแบบที่ถูกใจสาว ๆ แต่ที่เจนสนใจมากกว่าคือการต่อสู้บนเวทีที่ชายหนุ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่ต่อสู้มากทีเดียว เธอบอกได้เลยว่าพิสตอลคงจะใช้เวลาอีกไม่นานนักก่อนที่ชัยชนะจะตกมาอยู่ในมือเขา



"ส่วนอีกคนมีชื่อว่าเอจด์ ถนัดการใช้ดาบมือเดียว ฝีมือการต่อสู้ที่ผ่านมาก็ถือว่าใช้ได้แต่ไม่ได้เก่งมากนัก อย่างเธอน่าจะเอาชนะหมอนี่ได้ไม่ยาก ฉันยังแปลกใจเลยด้วยซ้ำที่หมอนี่ผ่านเข้ารอบมาถึงขนาดนี้ได้" หนูส่งข่าวว่าแล้วชี้ไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาหา



เขาเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีทอง ชุดที่เขาสวมใส่นั้นดูมีราคาสูงมากทำให้เจนรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีเงินมากอยู่พอตัว แต่ท่าทางของเขานั้นกลับไม่ทำให้เจนรู้สึกว่าเขามีฝีมือเลย แต่สิ่งที่ทำให้เจนรู้สึกหวาดหวั่นนั่นก็คือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าที่ทำให้เธอนึกถึงลาซาสขึ้นมา



"ขอแสดงความยินดีกับคุณเจนด้วยนะครับที่ได้รับชัยชนะในการประลอง ผมมีชื่อว่าเอจด์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพและยื่นมือเข้ามาหา ทำให้เจนต้องยื่นมืออกไปจับกับเขาอย่างช่วยไม่ได้



"ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่นายต้องการอะไรถึงมาคุยกับฉันก่อนที่จะถึงเวลาประลองแบบนี้" เจนตอบกลับไปตรง ๆ ด้วยความรู้สึกยังไม่ค่อยไว้ใจชายตรงหน้าเธอซักเท่าไหร่ ในฐานะผู้เข้าร่วมประลองเช่นเดียวกัน เธอมั่นใจว่านี่ไม่ใช่การเข้ามาทักทายอย่างฉันท์มิตรแน่



เมื่อได้ยินเสียงตอบของคนตรงหน้า เอจด์ก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจหรือไม่พอใจออกมาให้เห็นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับยังคงยิ้มยียวนชวนสงสัยยิ่งทำให้คนถามนั้นเริ่มรู้สึกฉงนมากยิ่งขึ้นไปอีก



"ผมแค่สงสัยบางอย่างน่ะครับ สงสัยว่าทำไมผู้กล้าในชุดขาวถึงได้มาเข้าร่วมต่อสู้กับการประลองของผู้เล่นธรรมดาอย่างตัวผม ไม่คิดว่าการที่คนอย่างคุณที่มีความสามารถสูงอย่างคุณมาประลองด้วยจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้เข้าร่วมประลองคนอื่นไปหน่อยหรือครับ" เอจด์ถามเสียงราบเรียบแต่ทำให้คิ้วของเจนกระตุกได้ โจและแจ็คที่เข้าใจคำพูดของชายหนุ่มว่าหมายความว่ายังไงก็ต่างมองหน้ากันเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี ในขณะที่ซินจูเหมือนจะยังไม่เข้าใจและเข้ามากระซิบข้างหู



"ที่ผู้ชายคนนั้นพูดหมายความว่ายังไงหรือคะ"



"ที่หมอนั่นพูดออกมาก็เพราะต้องการจะบีบให้เจนถอนตัวออกจากการประลองไงล่ะ" แจ็คตอบแล้วหันไปมองดูเจนและชายหนุ่มที่ยังคงจ้องหน้าเล่นเกมจิตวิทยากันอยู่



"กล้าดียังไง! อย่างพี่เจนไม่มีทางยอมแพ้ให้กับคนอย่างนั้นอยู่แล้ว!" คิทซึเนะที่เงี่ยหูฟังอยู่พูดแทรกขึ้นมา ถ้าหากไม่ถูกจอมเวทหนุ่มรั้งเอาไว้ล่ะก็ ตอนนี้เธอคงได้เข้าไปฟัดกับชายหนุ่มที่กล้ามาท้าทายพี่สาวของเธอไปแล้ว



"ใจเย็น ๆ ก่อนคิทซึเนะ ฉันเองก็คิดว่าเจนคงจะไม่ยอมง่าย ๆ อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ" โจพยายามจะปลอบจิ้งจอกสาวให้เย็นลงก่อนจะก่อเรื่องวุ่นขึ้น



"ทำไมหรือคะ ทำไมพี่เจนถึงจะต้องถอนตัวด้วย" ซินจูถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เธอไม่เห็นว่าคำพูดของเอจด์จะบีบให้เจนต้องออกจากการประลองตรงไหน



"หมอนั่นพูดเพื่อจงใจให้เจนรู้สึกว่าที่เธอมาเข้าร่วมประลองนี้สำหรับเธอเป็นการเอาเปรียบคนอื่น เพราะทุกคนต่างคิดว่าเจนเป็นผู้เล่นระดับสูงที่เทียบชั้นได้กับพวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่ ๆ น่ะสิ" จอมเวทหนุ่มอธิบาย



เมื่อได้รู้ว่าเอจด์ต้องการอะไรก็ทำให้ซินจูเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจในตัวของเขาขึ้นบ้าง แต่ความรู้สึกของเธอคงจะเทียบกันไม่ได้กับหญิงสาวที่ยังคงยืนฟังอย่างสงบได้อย่างน่าประหลาด แม้ในใจของเจนนั้นอารมณ์กำลังครุกรุ่นเตรียมพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ



"นายต้องการจะบอกอะไรฉันกันแน่" เจนพูดขึ้นด้วยความอดทนอดกลั้น แม้ว่าจริงอยู่ที่ทักษะทั้งหลายหรืออาวุธที่เธอมีนั้นจะมีระดับสูงกว่าผู้เล่นทั่วไปมาก แต่กว่าที่เธอจะได้มานั้นก็ผ่านความลำบากมามาไม่น้อย และการประลองครั้งนี้เธอใช้เพียงแค่สองทักษะคือทักษะเสริมพลังกายและทักษะ Weapons Mastery เท่านั้นซึ่งจริงอยู่ที่ทำให้เจนได้เปรียบมาที่เธอสามารถใช้อาวุธทุกชนิดอย่างเชี่ยวชาญ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่จะทำให้เจนไม่ให้เข้ามาสู้ในการประลองเบลดมาสเตอร์อย่างแน่นอน



"ทั้ง ๆ ที่คนระดับคุณก็น่าจะมีอาวุธระดับ S อยู่แล้วแต่ยังมาเข้าร่วมการประลองเพื่อแย่งชิงอาวุธด้วยแบบนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่ไร้น้ำใจนักกีฬาสิ้นดี จริงมั้ยครับ ผมว่าคุณควรจะถอนตัวออกจากการประลองซะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับว่าจะขาดทุนเพราะว่าผมยินดีจะจ่ายเงินหนึ่งหมื่นโกลด์และดาบระดับ B อย่างที่คนที่ตกรอบได้ เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย คุณว่ามั้ยครับ" ชายหนุ่มยังคงพูดหน้านิ่ง รอยยิ้มที่แฝงเอาไว้ด้วยเล่ห์กลนั้นปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด



เขากำลังใช้คุณธรรมของเจนมาเป็นเครื่องมือต่อสู้กับเธอ!



"นายนี่มันทุเรศสิ้นดี! แค่คิดว่าฝีมือของฉันเก่งกว่าก็เลยมาใช้วิธีสกปรกแบบนี้เพื่อชัยชนะเลยหรือไง" เจนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรังเกียด



เอจด์ยิ้มที่มุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน "ผมเพียงแค่ใช้ทุกวิธีที่จะนำพาซึ่งชัยชนะมาก็เท่านั้นเอง ผมไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีอะไรเทือกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำไม่ผิดกฎการประลองเลยด้วย อ้อ! ส่วนเรื่องฝีมือผมว่าคุณควรจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของคุณคนต่อไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคิดว่าจะตกลงรับข้อเสนอของผมหรือไม่" เจนรีบหันไปตามทางที่เอจด์ชี้ไปซึ่งเป็นจอแสงที่กำลังฉายคู่ต่อสู้ในรอบรองชนะเลิศ เมื่อเธอเห็นว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปของเธอเป็นใครแทบจะต้องหยุดหายใจ เพราะคู่ต่อสู้ของเธอคือชายผู้ที่แสดงให้ประจักษ์แล้วว่า ต่อให้ไร้ทักษะช่วยเหลือ เขาก็ยังคงเป็นจอมดาบที่แข็ง แกร่งอยู่วันยังค่ำ ผู้ที่ทำให้เจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ เมื่อคืนวาน ผู้ที่เป็นดั่งจอมอสรพิษล่าเหยื่อ จอมพลฉินแห่งเมืองลั่วหยาง





ขาที่จะก้าวขึ้นไปบนเวทีนั้นมันไร้เรี่ยวแรงไปเมื่อเจนมองขึ้นไปดูว่าใครกำลังยืนรอเธออยู่ สายตาเยือกเย็นดั่งอสรพิษจ้องเหยื่อยังคงจับจ้องมาที่เธอเหมือนกับคราวที่แล้วที่เกือบจะได้เผชิญหน้ากัน แต่ครั้งนี้ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย



"จากที่เจ้าหนูส่งข่าวบอก จอมพลฉินชนะการต่อสู้กับผู้เล่นโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แถมเขายังเอาชนะขุนพลคนอื่น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ อีกด้วย ฉันว่าเธอยอมแพ้ก็ไม่เลวนะ" แจ็คพูดขึ้นมาจากด้านล่างเวทีที่อยู่ด้านหลังของเธอ แน่นอนว่าคำพูดของเขาเรียกสติของเจนให้กลับมาได้ในทันที สายตาค้อนควับหันไปมองชายหนุ่มทันควัน



"ไม่มีทางเด็ดขาด ถ้าขืนฉันยอมแพ้ก็เท่ากับยอมรับข้อเสนอของไอ้หมอนั่นน่ะสิ ต่อให้ฉันจะต้องแพ้ให้กับจอมพลคนนี้ท่ามกลางสายตานับร้อย ๆ คู่ ฉันก็จะขอเลือกที่จะสู้ ดีกว่าจะยอมเป็นบันไดให้กับคนพรรณนั้น...ไม่สิ จะให้หมอนั่นได้ตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ไปไม่ได้เลยต่างหาก!" เจนพูดขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว ในตอนนี้ผู้คนมากมายต่างยืนล้อมสังเวียนของเธออยู่เพราะว่าเหลือการประลองอีกเพียงแค่สองคู่เท่านั้น



จากสังเวียนของเจนและจอมพลฉิน เจนมองไม่เห็นเวทีการประลองที่เอจด์และพิสตอลกำลังทำการประลองอยู่เลย คงเป็นเพราะการประลองถูกจัดให้สู้พร้อมกัน เพื่อความสะดวกของสถานที่คงทำให้เวทีประลองของสองคนนั้นถูกจัดอยู่ห่างออกไปจากเวทีของเจน



ถ้าจะให้บอกว่าในรอบสุดท้ายคู่ต่อสู้เจนอยากจะสู้ด้วยที่สุดจะเป็นใครระหว่างเอจด์และพิสตอล เธอก็คงจะต้องยอมรับว่าต้องเป็นเอจด์เพราะดูจากภายนอกเขาไม่ค่อยมีฝีมือมากนัก เจนมั่นใจว่าเธอสามารถเอาชนะชายผู้นี้ได้อย่างแน่นอน และรู้สึกสะใจเป็นการส่วนตัวด้วย แต่ถ้าถามว่าใครจะได้ไปรับสุดท้ายก็คงต้องบอกว่าเป็นพิสตอล เพราะฝีมือที่รับประกันด้วยข่าวของหนูส่งข่าวและคำพูดของแจ็คนั้นทำให้เจนมั่นใจว่าเขาจะต้องเอาชนะเอจด์ได้แน่ และคนที่มีฝีมือเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะรับเงินล้มมวยอย่างแน่นอน



แต่เจนจะมีโอกาสได้ไปสู้ในรอบตัดเชือกหรือไม่นั้น คงจะต้องถามชายร่างสูงในชุดเกราะจีนบนเวทีซะก่อน และเธอก็ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลยว่าเธอจะเอาชนะเขาได้



"พี่เจนสู้ ๆ ! พี่เจนสู้ตาย!" เสียงตะโกนเชียร์ของสามสาวจากด้านข้างเวทีดังให้กำลังใจ เธอหันไปพยักหน้าให้ทั้งสามก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ และพ่นออกมาแรง ๆ พร้อมกับก้าวเท้าขึ้นไปบนลานประลอง



เมื่อขึ้นไปบนสังเวียน เจนก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันต่างไปจากการประลองที่ผ่าน ๆ มามากนัก เพราะเธอรู้ว่าชายตรงหน้าของเธอนั้นมีทั้งพลังและฝีมือเหนือกว่าเธอมาก อีกทั้งยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่า เรียกได้ว่าครั้งนี้เจนเสียเปรียบเต็มประตู แม้แต่ทักษะของเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยเมื่อมาเผชิญหน้ากับจอมพลฉิน



เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่าโอกาสที่จะชนะได้ยิ่งน้อยลงไปอีก แม้ว่าอาวุธที่จะใช้ต่อสู้ในรอบนี้จะยังไม่ปรากฏแต่มีบางอย่างบอกว่าจอมพลฉินสามารถใช้อาวุธได้ทุกชิ้นไม่ต่างไปจากเจนเช่นกัน



แทนที่รู้สึกวิตกเหมือนก่อนขึ้นมาบนลานประลอง ตอนนี้เจนกลับรู้สึกตื่นเต้นไปหมด สายตาดั่งอสรพิษที่คอยจ้องมองกลับไร้ผลโดยสิ้นเชิง ลมหายใจเริ่มไม่เป็นจังหวะ ตัวใจเต้นแรงจนมือเริ่มสั่นเพราะอยากจะสู้เต็มทน เพราะชายที่อยู่ตรงหน้านับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุดที่เจนเคยได้มีโอกาสประมือด้วย



"สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ" จอมพลฉินพูดขึ้นแต่เหมือนไม่ได้พูดกับตัวเอง



"สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ...ทำตามสิ" ตอนนี้เจนมั่นใจแล้วว่าเขากำลังพูดกับเธอ



เจนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตามคำของจอมพลฉิน และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาตามคำของเขาอีกเช่นกัน เจนทำตามที่จอมพลฉินสั่งอีกสี่ห้ารอบก็พบว่าอาการตื่นเต้นทั้งหมดเริ่มสงบลง สติเริ่มกลับมาอีกครั้ง และความมั่นใจของตัวเธอก็เพิ่มขึ้นมาด้วย



"ก่อนจะออกรบ เจ้าจะต้องมีสติที่ควบคุมร่างกายได้ ถ้าหากปล่อยให้ร่างกายคุมจิต เจ้าจะกลายเป็นเพียงนักรบคลั่งที่ตอบสนองสัญชาติญาณดิบเท่านั้น จงกลายเป็นขุนพลที่ใช้จิตบังคับกาย มีสติอยู่เสมอ! และนั่นคือกุญแจสู้ชัยชนะ" ชายสูงอายุกล่าวชี้แนะ เจนรีบก้มตัวให้ทีนทีอย่างมีมารยาท



"ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะค่ะ" เจนกล่าว เธอไม่คิดจะปิดบังเรื่องของตัวเธอให้กับจอมพลฉินเพราะว่ามันจะเป็นการเสียมารยาท แต่เธอคิดว่าเขาก็คงจะรู้อยู่แล้วเพราะดวงตาที่เฉียบคมของเขาราวกับว่ามองเห็นทุกสิ่ง ทะลุภาพลวงตาใด ๆ



"แม้พญาสิงค์จะล่ากระต่ายก็ยังทุ่มสุดกำลัง ต่อให้เจ้าเป็นผู้หญิงข้าก็ไม่คิดจะออมมือให้หรอกนะ"



"ลงมือเต็มที่เถอะค่ะ แสดงให้ทุกคนรู้ว่าฝีมือของท่านจอมทัพเป็นเช่นไร" คำพูดของเจนทำให้จอมพลฉินยิ้มกว้างและหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นลานประลอง ดังซะยิ่งกว่าเสียงตะโกนเชียร์ของผู้ชมรอบเวทีซะอีก



"ดี!! ให้มันได้อย่างนี้สิ สมกับที่เป็นนักรบที่เหล่านักผจญภัยต่างยกย่อง!" เมื่อจอมพลฉินเอ่ยจบ ลูกบอลแสงก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขาและเจนทันที ทั้งสองต่างรู้ว่าบอลแสงนี้คืออะไร และกำลังลุ้นว่าอาวุธที่จะใช้ในการประลองในรอบต่อไปนั้นคืออาวุธประเภทไหน



เมื่อถึงเวลา บอลแสงพลันสลายกลายเป็นดาบสั้นเล่มหนึ่ง เจนจำได้ทันทีว่าเป็นดาบในแบบที่นักรบสปาตันเคยใช้เพราะเธอเคยสัมผัสมาจากภาพยนตร์และเกมยุคเก่า เธอคว้าดาบมาและทันใดนั้นภาพทักษะการใช้ดาบสปาตันก็ไหลเข้ามาในหัวของเธอ ตอนนี้เจนรู้แล้วว่าจะใช้ดาบเล่มนี้สู้กับชายร่างใหญ่ในชุดเกราะตรงหน้าอย่างไรดี



ตรงกันข้าม จอมพลฉินหยิบดาบขึ้นมาและจ้องมองอย่างพิจารณา เนื่องจากอาวุธนี้เป็นอาวุธประจำทวีปยูโรปา ทำให้ขุนพลประจำทวีปอัลเทเชียอย่างเขาจึงไม่เคยได้สัมผัสอาวุธเช่นนี้มาก่อน และเป็นจุดได้เปรียบแรกของเจนในการต่อสู้ครั้งนี้



อากาศบนลานประลองร้อนระอุขึ้นราวกับว่ากำลังประลองอยู่กลางแจ้ง เพราะว่าในอีกไม่กี่วินาทีนี้ การต่อสู้ระหว่างหนึ่งในสุดยอดขุนพลแห่งทวีปอัลเทเชียและผู้เล่นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในโลกดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์ในขณะนี้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!



แก๊ง!!!



เสียงระฆังดังขึ้น ร่างของจอมพลฉินก็พลันหายไปจากสายตาของเจนทันที หญิงสาวรีบกวาดตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็วเพราะถ้าหากเธอหาจอมพลผู้นี้ไม่เจอ บางทีการต่อสู้ในรอบนี้อาจจะลดลงจากสถิติหนึ่งนาทีกลายเป็นสิบวินาทีก็ได้



ทันใดนั้นเองสัญชาติญาณของเจนก็บอกให้เธอเงยหน้าขึ้นไปเหนือหัวของเธอ และนั่นเองร่างของชายในชุดเกราะลอยอยู่กลางอากาศ...ไม่ใช่! เขากำลังพุ่งลงพร้อมกับแทงดาบใส่เธอต่างหาก



แม้เจนจะยังไม่อยากใช้ทักษะเสริมพลังกายตั้งแต่เริ่มเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เจนใช้เอาชนะการประลองมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ทักษะจะส่งผลเพียงเวลาไม่กี่วินาทีแต่ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เธอหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้ทักษะไม่ได้



ร่างของหญิงสาวส่องแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อยและเธอก็กระโดดถอยหลังสุดตัว เจนรู้สึกได้ถึงปลายดาบที่พุ่งผ่านหน้าผากของเธอห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร ดาบสั้นในมือจอมพลปักลงบนพื้นราวกับมีดปักลงบนดินนุ่ม ๆ เจนสังเกตเห็นถึงรอยร้าวของพื้นลานประลองที่เกิดมาจากฝีมือของจอมพลฉิน นั่นเป็นสิ่งที่เจนไม่สามารถทำได้แน่ อย่างน้อยก็ทำไม่ได้ถ้าหากไม่มีทักษะช่วย



ชายในชุดเกราะถอนดาบออกมาอย่างง่ายดาย เขายกดาบขึ้นมามองดูราวกับว่าต้องการสังเกตถึงอะไรบางอย่างบนดาบหรือตัวดาบเอง จากนั้นเขาจึงควงดาบอย่างช้า ๆ แล้วชี้มาที่เจนเป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมที่จะบุกโจมตีอีกครั้งหนึ่งแล้ว



เจนรู้ตัวว่าตอนนี้ทักษะเสริมพลังกายได้หมดฤทธิ์ลงไปแล้ว อีกห้านาทีถึงจะใช้ได้อีกครั้งแต่เจนไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในลานประลองได้นานขนาดนั้น เห็นทีเธอจะต้องสู้โดยต้องพึ่งเพียงแค่ฝีมือของเธอซะแล้ว และครั้งนี้เธอก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายตั้งรับแน่ คู่ต่อสู้ของเธอต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ



ร่างในชุดคลุมสีขาวพุ่งเข้าใส่ร่างสูงในชุดเกราะอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้ชมรอบสนามเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกในการประลองที่ทุกคนเห็นผู้เล่นเป็นฝ่ายโจมตีใส่จอมพลฉินผู้นี้ เพราะว่าไม่มีใครกล้าหรือบ้าพอที่จะไปสู้กับชายที่มีพละกำลังมหาศาลเช่นนั้น แต่คนที่มีคุณสมบัติทั้งสองปรากฏขึ้นมาแล้วในเวทีประลองแห่งนี้



เคร้ง!! เคร้ง!! เคร้ง!!



เสียงดาบปะทะกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เจนรู้ว่าเธอไม่อาจจะสู้เรื่องพละกำลังกับจอมพลฉินได้ ดังนั้นสิ่งที่จะเอาชนะได้ก็เหลือเพียงแค่ใช้ความเร็วเท่านั้น ด้วยดาบสั้นนั้นมีระยะยาวไม่มากตามชื่อของมัน ทำให้การใช้ฟาดและแทงนั้นสามารถเร่งความเร็วสูงได้ในเวลาอันสั้น แถมอาวุธแบบนี้ยังใช้เครื่องป้องกันได้ยากอีกด้วย เพราะเช่นนั้นนักรบสปาตันจึงมักใช้อาวุธแบบนี้คู่กับโล่ด้วยเสมอ และเมื่ออาวุธประลองในรอบนี้มีเพียงดาบเท่านั้น ทำให้ฝ่ายตั้งรับนั้นเสียเปรียบอย่างมาก



เจนใช้การโจมตีโดยฟาด ตวัดและแทงที่สามารถใช้โจมตีได้อย่างรวดเร็วและยังใช้แรงได้ไม่สิ้นเปลืองนัก และยิ่งโจมตีด้วยความเร็วระดับนี้ยิ่งทำให้ป้องกันได้ยากยิ่งขึ้นอีก แต่ทว่าจอมพลฉินเองก็ทำได้ไม่เลวเช่นกัน เพราะเจนโจมตีด้วยความเร็วสูงแล้วยังสามารถยกดาบขึ้นกันได้อีก สมกับเป็นนักรบที่มากประสบการณ์จริง ๆ



"โห พี่เจนฝีมือสุดยอดไปเลยนะเนี่ย โจมตีเร็วจนแทบมองไม่ทัน ขนาดจอมพลฉินยังไม่มีโอกาสตอบโต้ได้เลย" ซินจูพูดโพล่งขึ้นอย่างชื่นชม



"ตอนแรกฉันนึกว่าจะแพ้แล้วซะอีก ตอนที่ตาแก่นั่นจู่ ๆ หายตัวไปแล้วโผล่มาบนหัวของเจนนั่นน่ะ" หนูส่งข่าวว่า เขามองการต่อสู้บนสังเวียนอย่างไม่ละสายตาเพราะว่ากลัวจะพลาดช็อตดี ๆ ที่ทั้งคู่ต่างเอาขึ้นมางัดให้ฝ่ายตรงข้ามพบกับความพ่ายแพ้ลงให้จงได้



"ดูสิ ตอนนี้เลยเส้นตายหนึ่งนาทีไปแล้ว ถ้าหากยัยเจนแพ้ตอนนี้ก็ถือว่าเก่งกว่าคนอื่น ๆ แล้วล่ะวะ" แจ็คพูดขึ้น ทำให้โจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันไปพูดด้วยด้วยใบหน้าเอือมระอา



"จะช่วยเชียร์เพื่อนให้หน่อยไม่ได้หรือยังไงหือ ไอ้แจ็ค"



บนสังเวียน เจนยังคงพยายามจะโจมตีให้โดนชุดเกราะซักครั้งแต่ว่าจอมพลตรงหน้าเธอกลับยกดาบขึ้นกันได้หมดทุกครั้งไป ตอนนี้เธอก็เริ่มหอบขึ้นมาเพราะโจมตีติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ถึงจะอย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถึงจะโจมตีให้โดนเลย ถึงจะโดนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชนะยังไงเลยด้วยซ้ำ



ทันใดนั้นเองเจนรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกจากดาบในมือ จอมพลฉินไม่ได้ป้องกันเฉย ๆ อีกต่อไป เขาฟาดดาบกลับมาในตอนที่เจนความเร็วตกลงเพราะเริ่มหมดแรง ทำให้เจนเสียหลักกระเด็นออกมา แต่ยังดีที่เจนพอตั้งหลักได้และลุกขึ้นมาตั้งดาบเตรียมโจมตีอีกครั้ง



ทางจอมพลฉินเองก็สมกับที่เป็นยอดฝีมือ ที่สามารถรับมือการโจมตีที่รวดเร็วได้ขนาดนั้นแต่ยังไม่มีท่าทางแสดงว่ารู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย



'บ้าจริง! จะทำยังไงถึงจะเอาชนะได้นะ ทำยังไงดี!' เจนพยายามคิดจนหัวแทบระเบิดแต่ก็หมดหนทาง ถ้าหากตอนนี้เธอใช้ทักษะได้ล่ะก็ พลังสถิตร่างคงได้แผลงฤทธิ์ไปแล้ว อย่างน้อยถ้าหากเธอได้ใช้อาวุธเป็นดาบคาตะนะ...จริงด้วย อาวุธ!!



เจนเบิกตากว้างทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงวิธีที่จะเอาชนะชายตรงหน้าขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่ได้มั่นใจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้แล้ว



เมื่อตัดสินใจได้แล้วเจนจึงเตรียมพร้อมที่จะสู้ต่อทันที เธอเปลี่ยนมือจับดาบเป็นมือซ้ายและให้ปลายแหลมหันเข้าลงพื้นในแบบที่ทหารใช้มีดกัน แม้ว่าดาบสั้นจะยาวกว่ามีดทำให้การจับดาบแบบนี้จะใช้ฟาดและตวัดไม่ได้ แต่ก็จะได้การแทงและเฉือนมาแทนแถมยังใช้ป้องกันได้ดีกว่าเดิมด้วย



เจนไม่รอช้าให้จอมพลฉินหาทางป้องกันการโจมตีของเธอได้หรือเปิดโอกาสให้เขาเป็นฝ่ายรุก เจนพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งแทงดาบเข้าใส่ ทว่าจอมพลฉินนั้นยกมือขึ้นกันได้ทันควัน อย่างที่คาดเอาไว้ ต่อให้โจมตีพลิกแพลงแค่ไหน แต่คนอย่างพลฉินไม่มีทางพลาดท่าให้กับลูกไม้ตื้น ๆ เช่นนี้แน่



"มีหัวคิดดี แต่ว่าเจ้าประเมินสถานการณ์ผิดไปหน่อยนะ เพราะถ้าหากเจ้าฝืนรับดาบของข้าเพียงแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าก็คงจะหมดโอกาสสู้ต่ออย่างแน่นอน" จอมพลฉินเอ่ยพร้อมกับออกแรงดันไปด้านหน้าจนตอนนี้เจนที่เป็นฝ่ายโจมตีกลับต้องเริ่มถอยซะเอง



"ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่ายอดฝีมือเช่นท่านเก่งกาจแค่ไหน และนั่นก็ต้องทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ยังไงล่ะ!" เจนตอบเสียงดังและเอียงตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว



ร่างของจอมพลฉินถลาไปด้านหน้าเพราะจู่ ๆ เจนหลีกเลี่ยงที่จะต้านแรงของเขา แต่ไม่มากพอที่จะทำให้เสียหลักได้และเจนก็รู้ในจุดนั้นดี แต่สิ่งที่เธอกำลังเล็งอยู่นั้นเพียงแค่ชั่วพริบตาก็เพียงพอแล้ว!



พริบตาที่ร่างของจอมพลเซถลาไปด้านหน้า มือขวาที่ว่างอยู่ของเจนก็พุ่งไปคว้าข้อมือที่ถือดาบในมือของจอมพลฉินและบิดสุดแรงเกิด พริบตานั้นเองที่ดาบในมือของขุนพลก็หลุดออกจากมือหนา เจนรีบใช้โอกาสนี้คว้าดาบเอาไว้และพุ่งตัวออกมาตั้งหลักทันที เสียงตะโกนเชียร์ดังลั่นสนามประลอง เหล่าคนดูต่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีที่มีร่างสูงของจอมพลแต่กลับไร้อาวุธในมือ และร่างในชุดคลุมสีขาวพร้อมดาบสั้นในมือทั้งสองข้าง



จอมพลฉินรี่ตามองพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างชอบใจ ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมประลองมา ถ้าไม่นับเหล่าขุนพลที่ได้ประมือด้วย หญิงสาวตรงหน้าคนนี้เป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นได้ขนาดนี้



"ไม่เลว! ฝีมือไม่เลวสำหรับนักผจญภัยเลยจริง ๆ! เจ้าเก่งมากที่แย่งอาวุธไปจากข้าได้ แต่เจ้าก็คงจะรู้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะเอาชนะข้าได้ต่อให้ข้าจะไม่เหลืออาวุธเลยก็ตาม" จอมพลฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงชอบใจ เจนที่ได้ยินก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพราะแค่กำปั้นของเขานั้นก็สามารถน็อกเธอได้ในหมัดเดียว ด้วยพลังกำลังของเขาบางทีอาจจะทำได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ



"ของอย่างนี้มันก็ต้องลองดู ใครจะไปรู้ ตอนนี้ฉันแย่งอาวุธมาจากมือท่านได้ บางทีฉันอาจจะเอาชนะท่านได้ด้วยก็ได้" เจนตอบ นั่นเป็นการขู่ที่ไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจนพอจะทำได้ในตอนนี้ เธอได้เปรียบกว่าตรงที่ตอนนี้เธอเป็นฝ่ายเดียวที่มีอาวุธ ที่เหลือเธอก็เพียงแค่วัดฝีมือกันเท่านั้นว่าใครจะเหนือกว่ากันซึ่งจุดนี้เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนักเลยทีเดียว



แต่ก่อนที่เจนจะเปิดฉากโจมตี จอมพลฉินก็ยกมือขึ้นห้ามซะก่อน "ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ใจร้ายไส้ระกำนัก เอาเป็นว่าเพื่อทำให้เกิดความยุติธรรมกับเจ้า ในเมื่อข้าสามารถจัดการเจ้าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นข้าจะให้เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ในแบบเดียวกัน"



เจนขมวดคิ้วอย่างงุนงงเพราะเธอไม่เข้าใจกับสิ่งที่จอมพลเอ่ยขึ้น แต่เธอก็ไม่ต้องสงสัยนานนัก เพราะตอนนี้จอมพลฉินกำลังหันไปมองผู้ชมรอบ ๆ ลานประลองแล้วตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังลั่น "ทุกคนจงฟัง!! ถ้าหากนักผจญภัยตรงหน้าข้าผู้นี้สามารถทำให้ดาบในมือลิ้มรสเลือดของข้าได้ ข้าจะถือว่าข้าเป็นฝ่ายปราชัยในทันที!!"



ผู้ชมทั้งหลายต่างหันไปพูดคุยกันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ เขาถึงยอมอ่อนข้อให้กับเจนถึงขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียวเพราะทุกคนต่างได้เห็นฝีมือการชายผู้นี้มาจากการประลองรอบที่ผ่าน ๆ มาแล้ว และทุกคนก็ต่างเห็นพ้องต้องตามกันว่าคงไม่มีผู้เล่นคนไหนในที่แห่งนี้สามารถเอาชนะจอมพลฉินได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เขาประกาศออกไปนั้นแม้จะดูเอาเปรียบแต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดี เพราะขนาดขุนพลที่เผชิญหน้ากับเขายังไม่สามารถเรียกเลือดออกจากตัวชายผู้นี้ได้ จะนับประสาอะไรกับผู้เล่นแม้ว่าจะเป็นผู้กล้าในชุดขาวก็ตามที



เจนเมื่อได้ยินที่จอมพลฉินประกาศก็ถึงกับตะลึง แต่พร้อมกันนั้นเธอก็มองเห็นแสงสว่างที่ฉายให้เห็นถึงหนทางที่เธอจะเอาชนะเขาได้ แม้ว่าเธอจะทำให้เขายอมแพ้หรือหมดสติไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแทงให้ได้เลือดซักแผลล่ะก็ไม่ยากเกินฝีมือเธอแน่!



เมื่อจอมพลฉินหันกลับมาเผชิญหน้า เจนก็พุ่งเข้าใส่และฟาดฟันดาบคู่ในมือด้วยความเร็วสูง ดาบสั้นทั้งสองเล่มถูกฟาดจากเหนือหัวของจอมพล เขายกแขนขึ้นกันได้อย่างทันท่วงที ดาบปะทะเข้ากับชุดเกราะเสียงดังลั่น เจนรู้สึกว่าดาบทิ้งสองเล่มปะทะเข้าแขนของจอมพลฉิน แม้ว่าเกราะที่แขนของเขาจะเป็นแผ่นเหล็กขนาดเล็กนำมาเย็บติดกันเป็นผืนเดียวแต่การโจมตีด้วยอาวุธธรรมดานั้นไม่อาจจะเฉือนผ่านแผ่นเหล็กเหล่านี้ไปสร้างบาดแผลใต้มันได้



เจนรีบเร่งความเร็วในการโจมตีต่อทันที ถึงจะไม่มีบาดแผลเพราะชุดเกราะรับดาบเอาไว้แต่การใช้แขนรับการโจมตีเช่นนี้จะต้องทำให้แขนเกิดอาการบาดเจ็บภายในอย่างแน่นอน เพียงแค่จอมพลฉินออกอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นั่นก็จะเป็นโอกาสที่เจนจะโจมตีเพื่อเอาชัยชนะมา



ทว่าสิ่งที่เจนคิดนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนกับแค่คิดก็จะทำได้เลย แม้จะไร้อาวุธแต่จอมพลก็ยังร้ายกาจ เขาใช้ชุดเกราะของเขารับการโจมตีเอาไว้ได้ทุกครั้ง แถมยังโจมตีสวนกลับมาได้อีกด้วย แรงลมที่เธอรู้สึกได้จากหมัดของจอมพลฉินนั้นราวกับมีระเบิดอยู่ตรงหน้าจนเจนถึงกับหน้าซีด เธอยังจำได้ถึงการฟาดดาบด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ถ้าหากเธอโดนเข้าล่ะก็...แค่สลบยังถือว่าโชคดีด้วยซ้ำไป



เจนรีบพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง คราวนี้เธอเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการแทงเป็นหลักเพราะป้องกันได้ยากกว่า และถ้าหากเธอปักดาบทะลุชุดเกราะนั้นได้ล่ะก็ ทุกอย่างก็จะจบลงทันที และก็เป็นอย่างที่เจนคิดเอาไว้ เมื่อเปลี่ยนไปใช้การแทง จอมพลฉินเลือกที่จะหลบมากกว่ายกแขนป้องกัน นั่นหมายความว่าเจนต้องรุกให้หนักยิ่งกว่าเดิม โจมตีให้เร็วกว่าเดิม ไล่ต้อนจนชายตรงหน้าเสียหลักซึ่งตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น



ทันใดนั้นเอง จอมพลฉินที่กำลังเคลื่อนตัวหลบก็ทำทางจะล้มหงายหลังลงไป เจนรู้ได้ทันทีว่านี่คือโอกาสของเธอและอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเอาชนะชายผู้นี้ได้ เธอจึงตัดสินใจพุ่งเข้าใส่เต็มแรง เจนกำดาบสั้นในมือขวาแน่นและแทงเข้ากลางอกที่ไร้การป้องกัน แม้ว่าตรงนั้นจะมีแผ่นเหล็กกันเอาไว้อยู่แต่หากรับการโจมตีโดยตรงเช่นนี้แผ่นเหล็กนั้นก็ไร้ประโยชน์



ทว่าเมื่อเจนเหลือบตาขึ้นไปมองใบหน้าของจอมพลฉินกลับเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนนั้น ตอนนั้นเองร่างสูงที่ทำท่าจะหงายหลังก็ชะงักงัน เขายันเท้าดีดตัวเองให้กลับมาพร้อมทั้งออกหมัดซ้ายตรงพุ่งกระแทกเข้าท้องของเจนเข้าเต็มเปา ร่างบางลอยขึ้นกลางอากาศและพุ่งกระแทกเข้ากับกำแพงแสงที่ปิดกั้นลานประลองเอาไว้อย่างรุนแรง



ท่ามกลางความเงียบกริบของคนดู ไม่มีใครต่างคิดมาก่อนว่าเจนจะเอาชนะจอมพลฉินได้ แต่เมื่อเห็นเธอสามารถตอสู้กับเขาได้อย่างสูสี ไม่ว่าจะสู้จนผ่านช่วงเวลาหนึ่งนาทีหรือแม้แต่แย่งอาวุธมาจากเขาได้ทำให้ทุกคนเริ่มที่จะเชียร์อย่างมีความหวังเพราะอยากจะมองเห็นผู้กล้าของพวกเขาได้รับชัยชนะมา ยิ่งวินาทีที่จอมพลฉินพลาดท่านั้นเสียงเชียร์ก็ยิ่งดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม ทว่าในวินาทีนี้ความหวังที่มีกลับถูกพังทลายด้วยหมัด ๆ เดียว และในการประลองรอบที่สองนี้ไม่เคยมีใครที่รอดจากการโจมตีครั้งแรกของจอมพลฉินได้มาก่อนเลย



"พี่เจน!! พี่เจนลุกขึ้นซี่!! ลุกขึ้น!" เสียงตะโกนของคิทซึเนะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกริบ ทุกคนหันไปมองสาวงามในชุดยูกาตะสีขาวกำลังร้องตะโกนเชียร์พร้อมกับเด็กสาวในชุดสีฟ้าทุบตีม่านแสงราวกับว่าเธอต้องการจะเข้าไปปลุกผู้ที่นอนแน่นิ่งอยู่ในลานประลอง



"ลุกขึ้นซิโว้ย! มามัวนอนอยู่ได้ยังไงวะ ตอนนี้กำลังประลองอยู่นะโว้ยไอ้เจน!!" เสียงร้องของโจดังขึ้นพยายามเรียกให้หญิงสาวลุกขึ้นมาเสริมด้วยอีกคน



ทันใดนั้นเองทั้งซินจู หนูส่งข่าวและแจ็คต่างก็พยายามส่งเสียงเรียก จนในที่สุดก็ลามไปถึงผู้ชมสองคน สามคน...สุดท้ายผู้ชมที่เป็นผู้เล่นทุกคนที่อยู่รอบสนามประลองก็ต่างส่งเสียงเรียกให้เจนลุกยืนขึ้นมาให้ได้อีกครั้ง



ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนร้องก็กลายเป็นเสียงร้องด้วยความยินดี เมื่อร่างในชุดคลุมสีขาวค่อย ๆ ขยับและลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ แรงหมัดดินระเบิดของจอมพลฉินทรงพลังอย่างที่เจนคาดเอาไว้ ตอนนี้ร่างกายของเธอนั้นรู้สึกปวดร้าวอย่างกับถูกชนด้วยรถบรรทุก แค่จะหายใจก็รู้สึกเจ็บราวกับปอดของเธอกำลังฉีกเป็นชิ้น ๆ จนเธอไอเป็นเลือดออกมา



เธอรู้สึกแปลกใจที่หมัดนั้นไม่ได้มีความรุนแรงถึงกับทำให้เธอสลบไป ความจริงแล้วมันสามารถทำได้ถ้าหากตอนสุดท้ายเธอไม่ยั้งตัวเองไว้ล่ะก็ ตอนนี้เธอคงกำลังถูกหามออกไปจากลานประลองแล้ว และอีกอย่างหนึ่งที่เจนเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าจอมพลฉินใช้แขนซ้ายต่อยเธอซึ่งไม่ใช่แขนข้างที่เขาถนัดทำให้ความรุนแรงของหมัดเทียบไม่ได้เลยกับหมัดขวาซึ่งถ้าหากเธอเจอเข้าคงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตอนนี้แน่ ๆ



"เยี่ยมยอดมาก เจ้าเป็นนักผจญภัยคนแรกที่รอดจากการโจมตีของข้าได้ ถึงข้าจะใช้แค่มือเปล่าแต่จงจำเอาไว้เถอะว่าเจ้ารับการโจมตีของแม่ทักใหญ่แห่งลั่วหยางไปแล้วยังสามารถยืนอยู่ได้ มีไม่กี่คนหรอกที่โชคดีอย่างเจ้า" จอมพลฉินกล่าวพร้อมกับหยิบดาบที่ตกอยู่ตรงหน้าเขาขึ้นมาและทั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะปิดฉากการประลองลง



เจนกัดฟันทนกับความเจ็บปวดราวกับร่างของเธอจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมืออย่างยากลำบาก อย่าว่าจะสู้ต่อเลย ตอนนี้แค่จะยกดาบที่เหลืออีกหนึ่งเล่มในมือก็ยากแล้ว แถมเมื่อตอนนี้คู่ต่อสู้ของเธอได้อาวุธคืนมาอยู่ในมือหนทางที่จะเอาชนะของเจนก็แทบจะไม่มีเลย ตอนนี้โอกาสของเธอขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งสุดท้ายของชายตรงหน้าเธอ



หญิงสาวในชุดคลุมยกดาบชี้ไปด้านหน้าด้วยมืออันสั่นเทาทั้งสองข้าง เธอย่อเข่าลงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปยังเป้าหมายเดียว ลมหายใจที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็สูดอากาศเข้าปอดเป็นจังหวะ เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีเท่าที่ร่างกายของเจนจะรับไหว



ทันใดนั้นเองที่จอมพลฉินวิ่งตะกุยเท้าเข้าใส่พร้อมกับยกดาบขึ้นสูงเตรียมที่จะฟาดใส่ร่างบางที่ยังคงบาดเจ็บสาหัสอย่างไร้ความปราณี แต่ทว่าเขากลับประมาทพลังใจของคู่ต่อสู้เกินไป พร้อมกันกับที่จอมพลฉินกำลังยกดาบขึ้นสูงนั้นเองที่เจนก็พุ่งตัวปักดาบเข้าไปที่ชุดเกราะของเขาแรงเท่าที่เธอจะทำได้ ทว่าโชคร้ายที่แรงแขนของเธอนั้นไม่มากพอที่จะดันดาบให้ทะลุชุดเกราะของชายผู้นี้ แต่ตอนนั้นเองที่เจนหมุนตัวและถีบไปที่ท้ายของด้ามดาบเต็มแรงจนเธอล้มลงไปนอนบนพื้นอีกครั้ง เธอไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเธอเตะดาบแรงพอหรือไม่เพราะเมื่อเธอพยายามลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าดาบของเธอยังคงปักคาชุดเกราะอยู่แต่แทบไม่ต่างจากที่เธอแทงก่อนหน้านี้เลย



เจนหลับตาเตรียมรับการโจมตีของจอมพลที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเธออย่างยอมรับชะตากรรม ฝีมือของเธอยังห่างไกลนักที่จะไปสู้กับคนอย่างจอมพลฉิน ทว่ารออยู่นานแต่เจนกลับไม่รู้สึกอะไรเลย พอลืมตาขึ้นมาพูก็พบว่าจอมพลฉินยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดาบของเจนที่เคยปักคาอยู่บนชุดเกราะของเขาถูกดึงออกมาแล้วโดยอยู่ในมืออีกข้างของจอมพล เมื่อมองไปที่ปลายดาบเจนก็พบว่ามีคราบเลือดเพียงเล็กน้อยอยู่ตรงนั้น



ไม่มีการพูดคำใด ๆ จอมพลชูดาบของเจนขึ้นสูง ผู้คนที่อยู่รอบด้านมองขึ้นตามและเห็นอย่างเดียวกับที่เจนมองเห็น เสียงร้องตะโกนด้วยความยินดีดังลั่นลานประลองทันที เพราะผลการประลองในที่สุดก็รู้ผลแล้ว



จอมพลทิ้งดาบในมือขวาของตนลงและยื่นมือเข้ามาหาหญิงสาวที่ยังไงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ข้าแพ้แล้ว" ทันใดนั้นเองดาบทั้งสองเล่มและกำแพงแสงก็สลายหายไป หน้าจอแสงเหนือลานประลองก็ฉายใบหน้าของเจนที่กลายเป็นผู้ชนะขึ้นมา



เจนที่ตกใจและสับสน ไม่รู้ตัวเลยว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่เธอก็จับมือของจอมพลฉินเขาไว้ เขาดึงร่างของหญิงสาวขึ้นมาอย่างเบามือเพราะรู้ว่าเธอบาดเจ็บจากหมัดของเขามากกว่าที่เห็นภายนอกมากนัก เขาประคองร่างของเธอและค่อย ๆ พาเดินลงจากลานประลองซึ่งซินจูและคิทซึเนะแทบจะอดทนพุ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วงไม่ไหว



"วันนี้ข้าแพ้ให้กับใจสู้ของเจ้า..จงจำวินาทีที่มีค่านี้เอาไว้ให้ดี มันจะสอนเจ้าได้นับพันประการ" จอมพลฉินกระซิบข้างหูของเจนก่อนจะส่งตัวเธอให้กับสองสาวที่รีบทำการรักษาบาดแผลเธอทันที



"ท่านจอมพลฉิน!" เจนพยายามส่งเสียงเรียกชายสูงอายุที่กำลังเดินจากไป แต่เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะตะโกนเสียงแข่งกับผู้ชมที่ต่างร้องแสดงความยินดีกับชัยชนะในครั้งนี้ เธอมองตามร่างสูงค่อย ๆ เดินจากไปอย่างช้า ๆ เธอหวังให้เขาได้ยินคำพูดสุดท้ายที่เธอจะเอ่ยนี้เหลือเกิน



"ขอบพระคุณที่สอนสั่งค่ะ..." ร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมาเหลือบมองเธอพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะเดินออกไปด้านนอก ปล่อยให้เจนมองตามออกไปด้วยความขอบคุณจากใจจริง







ร่างกายของเจนนั้นบาดเจ็บสาหัสกวาที่เธอคาดคิดเอาไว้มาก เพราะขนาดซินจูพยายามรักษาบาดแผลเต็มที่จนไม่หลงเหลือบาดแผลภายนอกให้เห็น แต่บาดแผลภายในยังคงมีอยู่และหนักหนาเอาการ และจะมีผลต่อการประลองรอบสุดท้ายนี้อย่างแน่นอน



"หนูขอโทษนะคะพี่เจน ตอนนี้หนูพยายามเต็มที่ได้แค่นี้เอง แผลภายในร่างกายคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยถึงจะรักษาหาย" จอมเวทขาวเอ่ยด้วยสีหน้าหดหู่ราวกับว่าเป็นความผิดของเธอ



"ไม่เป็นอะไรหรอกซินจู แค่นี้ก็ดีพอแล้วล่ะ รอบต่อไปคงไม่หนักหนาเท่ารอบนี้หรอก" เจนว่าพลางนึกถึงคู่ต่อสู้ในรอบตัดเชือกซึ่งกำลังรอผลการต่อสู้อยู่



"อย่าเพิ่งประมาทดีกว่าเจน พิสตอลน่ะเก่งมากเลยนะ บางทีอาจจะสูสีกับจอมพลฉินเลยด้วยซ้ำ" โจพูด ทำเอาเจนเริ่มใจเสีย ถ้าหากจะให้เธอไปสู้คนที่เก่งพอ ๆ กับจอมพลฉินอีกในตอนนี้ล่ะก็ เห็นทีเธอคงต้องยอมแพ้ซะแล้ว



"ใช่แล้ว เมื่อกี้ฉันลองไปหาข่าวมาเพิ่มดูแล้ว หมอนี่เป็นหนึ่งในผู้เล่นไร้สังกัดที่มีฝีมือสูงของเกมนี้เลยนะ มีกิลด์หลายกิลด์ต่างต้องการตัวและพยายามดึงตัวเข้ากิลด์ แต่สุดท้ายพิสตอบก็บอกปัดไปหมดเลย" หนูส่งข่าวเสริมยิ่งทำให้เจนหน้าซีด ตอนนี้ร่างกายของเธอแค่สู้ธรรมดาก็แย่แล้ว แบบนี้จะไปชนะได้ยังไงล่ะเนี่ย



"เอ่อ...พวก เห็นทียัยเจนคงจะไม่ได้สู้กับพิสตอลแล้วล่ะ" แจ็คเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังซุ้มทางเข้า หันหลังให้กับพวกเจน



"นายหมายความว่ายังไง" เจนหันไปหาด้วยความสงสัย แจ็คไม่เอ่ยตอบแต่ชี้ไปยังซุ้มทางออก เมื่อมองไปตามก็ต้องทำให้เจนตกตะลึง เพราะเธอมองเห็นพิสตอลที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บจากการประลองมากพอสมควรกำลังถูกหญิงสาวคนหนึ่งพยุงร่างออกไปอย่างเร่งรีบ หญิงสาวคนนั้นแสดงสีหน้าถึงความเป็นห่วงอย่างมาก ตรงกันข้ามกับพิสตอลที่แสดงถึงความโกรธแค้นออกมาอย่างชัดเจน



"นี่มันหมายความว่ายังไงกัน! ทำไมหมอนั่นถึงได้..-" เจนชะงักคำพูดเอาไว้เพราะเธอรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเธออยู่ เธอรู้ทันทีว่าเป็นสายตาของใครเพราะเธอจำความรู้สึกน่ารังเกียดนี้ได้ เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นเอจด์กำลังจ้องหน้าเธอพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่น่าไว้วางใจ



"เรื่องแบบนี้มันชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ" โจเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของเจนแล้วหันไปหาหนูส่งข่าว ชายหนุ่มรับรู้หน้าที่ของตนเองแล้วจึงรีบวิ่งออกไปด้านนอก พร้อมกันนั้นเองที่เสียงประกาศการประลองรอบสุดท้ายก็ดังขึ้น



"การประลองคัดเลือกผู้เข้าร่วมประลองเบลดมาสเตอร์รอบสุดท้าย ระหว่างเจน ผู้กล้าในชุดขาว กับเอจด์ แห่งกิลด์จันทร์เดือนมืด กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ผู้เข้าร่วมประลองโปรดมารายงานตัวที่ลานประลองที่หนึ่งด้วย!"



"ระวังตัวให้ดีนะเจน ตอนนี้เธอยังบาดเจ็บอยู่ ไม่ได้สมบรูณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วตอนนี้หมอนั่นก็ชนะคนที่เก่งกาจอย่างพิสตอลมาได้แล้วยังมีท่าทางสบาย ๆ แบบนั้น มันจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ ๆ" โจพูดเตือน เจนเองก็รู้ว่าการที่เอจด์เอาชนะพิสตอลได้นั้นผิดปกติอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่เอจด์จะเอาชนะได้อย่างขาวสะอาด เขาจะต้องเล่นตุกติกอะไรบางอย่างแน่ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง



"ตอนนี้ไม่มีเวลามาสงสัยแล้ว ฉันไม่มีทางจะปล่อยให้หมอนั่นเชิดหน้าผ่านไปเฉย ๆ แบบนี้แน่" เจนพูดแล้วกระชับเสื้อคลุมเตรียมขึ้นไปสู้บนลานประลอง



เสียงตะโกนเรียกชื่อของเจนดังลั่นเมื่อเธอเดินทางมาถึงลานประลอง ส่วนอีกด้านก็มีเสียงเรียกชื่อของเอจด์ดังไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้เจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากชายหนุ่มผมทองที่กำลังเดินขึ้นลานประลองมาพร้อม ๆ กับเธอ สายตาเจ้าเล่ห์และร้อยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจทำให้เจนเกือบจะแน่ใจได้ว่าเขาต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน แผนที่ทำให้เขาเอาชนะพิสตอลมาได้สบาย ๆ เช่นนั้น



"ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับคุณเจน และก็ขอแสดงความยินดีที่เอาชนะจอมพลฉินมาได้นะครับ ถึงจะแค่ฟลุ๊คแต่ก็เก่งนะครับที่ยังยืนอยู่ได้ ว่าแต่คุณเจนลองเอาข้อเสนอของผมกลับไปคิดดูหรือยังครับ" เอจด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสนิทสนม แต่คำพูดของเขานั้นทำให้เจนรู้สึกสะอิดสะเอียน



"ไม่มีวันที่ฉันจะยอมตกลงกับคนอย่างนายแน่" เจนพูดตอกกลับเสียงแข็ง ยิ่งเธอได้พูดกับชายคนนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเกลียดขี้หน้าของเขามากยิ่งขึ้นเท่านั้น



"จะดีหรือครับ ผมได้ยินมาว่าคุณบาดเจ็บหนักจากการประลองรอบที่ผ่านมาไม่ใช่หรือครับ คงไม่เป็นการดีถ้าหากคุณยังจะดึงดันสู้ต่อไป ผมคิดว่าคุณควรจะยอมแพ้จะดีกว่านะครับ"



"งั้นหรือ ลองทำให้ฉันยอมแพ้ให้ดูหน่อยสิ" เจนท้าทาย



ตอนนั้นเองที่กำแพงแสงพร้อมกับบอลแสงก็ปรากฏขึ้นมาและเสียงประกาศก็บ่งบอกให้รู้ว่าการประลองรอบสุดท้ายในสายนี้ใกล้จะเริ้มขึ้นแล้ว



ด้านล่างลานประลอง คิทซึเนะและซินจูมองดูเจนด้วยความเป็นห่วง เพราะอาการบาดเจ็บขนาดที่เวทมนตร์รักษายังช่วยอะไรไม่ได้นั้นมีทางเดียวคือต้องให้ร่างกายพักผ่อน แต่ในการประลองแบบนี้เวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่น้อยซะเหลือเกิน



"อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หาย แบบนี้พี่เจนจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ" ซินจูพูดขึ้น



"ถึงจะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไร แต่ตอนนี้พี่เจนต้องกำลังฝืนตัวเองอยู่แน่ เพราะถ้าเป็นคิทซึเนะเองก็ไม่ปล่อยคนอย่างหมอนั่นให้ชนะไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน" จิ้งจอกสาวว่า



"แต่ฉันเป็นห่วงเรื่องที่หมอนั่นเอาชนะพิสตอลได้มากกว่า" โจพูดขึ้นมาบ้าง สองสาวหันหน้ามามองอย่างสงสัยเหมือนกับว่าไม่เข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มกล่าว ทำให้เขาต้องพูดเสริมขึ้นมา



"ก็คู่ต่อสู้ที่หมอนั้นเจอด้วยไง พิสตอล เขาเป็นคนมีฝีมือสูงมาก ไม่นับเรื่องพละกำลังก็อาจจะเก่งพอ ๆ กับจอมพลฉินคนนั้น แต่ดูสิ หมอนั้นสามารถเอาชนะมาได้โดยที่ตัวเองไม่มีบาดแผลเลยซักนิด"



"แสดงว่าหมอนั่นมีฝีมือกว่ากว่าคนที่ชื่อพิสตอลอีกงั้นหรือคะ!" คิทซึเนะถามขึ้นด้วยความตกใจแต่โจส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ



"เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้พวกเราได้แต่ต้องรอหนูส่งข่าวกลับมา และหวังว่ายัยเจนจะเอาชนะหมอนั่นในการประลองให้ได้" โจว่าขณะกำลังมองดูแจ็คเข้าไปคุยกับเจนอยู่ข้างเวทีเหมือนกับเป็นเทรนเนอร์ประจำตัว



"ฟังนะยัยเจน ตอนนี้เธอบาดเจ็บอยู่ แถมหมอนั่นก็มีอะไรแปลก ๆ ด้วย เธอจะต้องจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าฝืนเป็นฝ่ายบุกนะ"



"ให้รีบจบการต่อสู้แล้วมาบอกว่าห้ามเป็นฝ่ายบุก แล้วฉันจะเอาชนะหมอนั่นได้ยังไงกันล่ะ" เจนโวยวายเพราะถ้าไม่บุก โอกาสชนะก็แทบจะไม่มีเลย



"เธอก็รอหาจังหวะดี ๆ แล้วค่อยจัดการรวดเดียวให้จบเลย หรือถ้าจะให้ดีก็ใช้เคาท์เตอร์ โจมตีสวนกลับแบบหมัดเดียวจอด" แจ็คว่าพร้อมกับแสดงท่าทางให้ดู นี่เขายังจำได้ใช่มั้ยว่านี่เป็นการประลองโดยใช้อาวุธ ไม่ใช่มวย "แต่ถ้าหากเธอพลาดหมดทั้งสองอย่างล่ะก็ฉันว่าเธอยอมแพ้ไปเลยจะดีกว่า โอกาสอย่างนั้นมาแค่หนเดียวเท่านั้นแหละ"



"ไม่ได้ช่วยอะไรเลย" เจนตอบหน้าตายแล้วจึงหันไปมองคู่ต่อสู้ของเธอ ขณะนี้บอลแสงกำลังทำการสุ่มเลือกอาวุธในการประลองรอบสุดท้ายที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ



ในที่สุดบอลแสงก็กลายสภาพเป็นอาวุธ เจนใจเต้นเป็นลิงโลดทันทีเมื่ออาวุธที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้นเป็นดาบคาตะนะที่เธอใช้เป็นประจำ แต่ตอนนั้นเองเธอก็ต้องแปลกใจเพราะว่ามันมีถึงสองเล่มเป็นดาบคาตะนะคู่!



เจนคว้าดาบทั้งสองเล่มมาไว้ในมืออย่างไม่ต้องลังเล คราวนี้ไม่มีภาพวิ่งอยู่ในหัวเหมือนที่ผ่านมาเพราะว่าเธอรู้ดีว่าจะกวัดแกว่งดาบอย่างไร ต่อให้เป็นดาบคู่ก็ไม่ได้มีปัญหาหรือเกินฝีมือเธอเลยแม้แต่น้อย



เมื่อเสียงระฆังเริ่มการประดังดังขึ้น เจนเริ่มบุกเข้าโจมตีก่อนโดยไม่สนใจคำเตือนของแจ็ค เธอตวัดดาบเข้าใส่สีข้างของเอจด์เต็มแรงแต่ทว่าดูท่าทางชายหนุ่มก็ไม่ได้ไร้ฝีมือไปซะทีเดียว เพราะเขายกหยิบดาบขึ้นมากันได้อย่างทันท่วงที



ทว่าตอนนั้นเองอาการบาดเจ็บที่ยังตกค้างอยู่ก็เริ่มออกฤทธิ์ ร่างกายของเธอรู้สึกปวดร้าวราวกับถูกหมัดดินระเบิดต่อยเข้าอีกหน ความเจ็บปวดนั้นแทบทำให้เจนทำดาบหลุดออกจากมือ เพียงแค่ถือดาบได้ในตอนนี้ก็ถือว่าสุดกำลังของเธอแล้ว



แม้จะออกอาการเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่รอดไปจากสายตาของเอจด์ไปได้ เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะต่อสู้ เขาก็ใช้โอกาสนี้รีบรุกเข้าใส่ทันที ชายหนุ่มยกดาบขึ้นและฟาดเข้าใส่ แม้จะเป็นการโจมตีแบบพื้น ๆ ไม่ได้มีอะไรพลิกแพลงมากนัก แต่สำหรับเจนที่บาดเจ็บอยู่นั้นแค่ยกดาบขึ้นกันก็ต้องใช้เรี่ยวแรงไปมหาศาล จากที่เป็นฝ่ายรุกกลับต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ แถมยังไม่มีโอกาสสวนกลับอีกด้วยเพราะถึงอยากจะทำแต่ตอนนี้แค่ป้องกันตัวเองจากการโจมตีของเอจด์ก็หืดขึ้นคอแล้ว



เมื่อยิ่งเห็นว่าคู่ต่อสู้หมดหนทางที่จะโต้กลับก็ยิ่งได้ใจ เอจด์ยิ่งเร่งดาวเร็วและความแรงของดาบขึ้นเรื่อย ๆ จนเจนเริ่มจะยกดาบขึ้นมาป้องกันเอาไว้ไม่ทัน บาดแผลเล็ก ๆ เริ่มปรากฏตามแขนและใบหน้า เจนรู้ว่าถ้าหากปล่อยเอาไว้ล่ะก็จะยิ่งทำให้เสียเปรียบ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วเริ่มโจมตีสวนกลับบ้าง



เจนยกดาบขึ้นกันการโจมตีของเอจด์และก้มหลบดาบจากมืออีกข้าง จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าใส่พร้อมทั้งตวัดดาบหมายจะจัดการแขนขวาที่เพิ่มใช้ยกดาบฟาดใส่เธอมา เอจด์ที่ไม่คิดว่าเจนจะโจมตีสวนกลับมาได้ก็ตกใจจนไม่ทันยกดาบขึ้นตั้งรับ ทำให้ดาบของเจนตวัดเข้าใส่แขนของเอจด์จนเป็นแผลยาวตั้งแต่ข้อมือถึงหัวไหล่และปลายดาบของเธอยังเลยขึ้นไปเฉือนคิ้วซ้ายอีกด้วย ดาบในมือของชายหนุ่มร่วงลงพื้นพร้อมกับเสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด



เจนถอยออกมาตั้งหลักขณะมองดูเอจด์ใช้มือที่ไม่บาดเจ็บกุ่มบาดแผลเอาไว้ในขณะที่ดวงตาอีกข้างกำลังจ้องมองเธอด้วยความโกรธแค้น แม้ตอนนี้เจนจะโจมตีจนทำให้เอจด์บาดเจ็บได้ แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าร่างกายของเธอในตอนนี้เริ่มที่จะรับไม่ไหวแล้ว มือที่ถือดาบอ่อนแรงจนเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เจนต้องทิ้งดาบไปเล่มหนึ่งเพราะเธอมีแรงถือดาบได้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น



พอรวบรวมเรี่ยวแรงได้เจนก็ทำท่าจะเข้าไปปิดฉาก แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเอจด์นั้นบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้น เมื่อหันไปมองดูตามสายตาของเขาก็พบว่าเขากำลังมองดูฟีบีและคิทซึเนะที่กำลังร้องเชียร์อยู่ที่ขอบเวที แต่สิ่งที่ทำให้เจนรู้สึกใจหายก็คือด้านหลังของทั้งสองมีชายในชุดเกราะดูท่าทางมีฝีมือไม่เบาจำนวนหนึ่งยืนรอเหมือนกำลังรอฟังคำสั่ง เช่นเดียวกับด้านหลังของพวกโจที่มีกลุ่มคนยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง ยิ่งทำให้เจนตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อในมือของพวกเขามีมีดอยู่ในมือกันพร้อมหน้า ไม่มีใครทันเอ๊ะใจเลยแม้แต่คนเดียวเพราะกำลังสนใจการต่อสู้บนลานประลองจนไม่ทันระวังตัว ไม่แม้แต่คิทซึเนะ



"แกรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากแกชนะ ถ้าฉันเห็นว่าแกพยายามจะเตือนให้พวกนั้นรู้ตัว ผลก็จะออกมาเหมือนกัน" เอจด์พูดเสียงเบาให้เจนได้ยินเพียงแค่คนเดียว



หญิงสาวได้ยินก็แยกเขี้ยวด้วยความแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอคำนึงถึงความปลอดภัยของน้องสาวทั้งสองของเธอเอาไว้ก่อน และเธอจะไม่ยอมให้ทั้งสองเสี่ยงเพื่อเธอแน่ ๆ "ไอ้คนขี้ขลาด!!"



"ฉันบอกแล้วว่าฉันจะทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ! แกควรรับข้อเสนอของฉันแล้วถอนตัวไปตั้งแต่แรก ตอนนี้ล่ะแกจะได้ทรมานกับสิ่งที่แกทำกับฉัน!!" เอจด์ร้องเสียงดังและพุ่งเข้าใส่พร้อมกับฟาดดาบเต็มแรง เจนรีบยกดาบขึ้นกันอย่างทันท่วงทีแต่เมื่อเธอรู้สึกถึงแรงกระแทกก็แทบทำให้เธอทรุดลงไปกับพื้น มือของเธอระบมจนแทบจับดาบเอาไว้ไม่อยู่ ทางเดียวที่จะเอาชนะได้คือต้องรีบโจมตีแต่ถ้าหากเธอทำอย่างนั้น พวกฟีบีจะต้องตกอยู่ในอันตราย



ยิ่งเห็นร่างในชุดคลุมไม่กล้าทำอะไรก็ยิ่งทำให้เอจด์บ้าคลั่ง เขากระหน่ำฟาดดาบเข้าใส่เจนที่ได้แต่ยกดาบขึ้นกันได้เพียงอย่างเดียว เขาใช้เท้าถีบร่างของเจนล้มลงไปบนพื้น เจนรู้สึกทั้งโกรธและแค้นใจที่กำลังจะแพ้ให้กับคนอย่างเอจด์ที่เธอเกลียดมาตลอดชีวิต



"สู้สิเจน อย่าไปยอมแพ้ให้กับคนอย่างหมอนั่นนะ!" เสียงคุ้นหูดังขึ้นเรียกให้เจนเหลือบไปมองดูพวกฟีบี กลับพบว่าคุมชุดดำได้หายไปแล้ว เธอเห็นพวกฟีบีกำลังยืมมองดูเธอโดยมีหนูส่งข่าวยืนอยู่ข้าง ๆ และใกล้ ๆ กันนั้นเธอก็เห็นพิสตอลกับพรรคพวกของเขายืนอยู่เช่นกัน ทว่าคนที่ทำให้เจนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็คือเจ้าของเสียงที่ตะโกนบอกให้เธอลุกขึ้นสู้ นักฆ่าประจำกลุ่มของเธอ ไมโกะ!



ใบหน้าของเจนฉีกยิ้มออกมาทันที เธอพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดอีกครั้งและลุกขึ้นมาสู้ต่อ ดูจากสีหน้าของเอจด์แล้วเขาก็คงจะรู้ตัวแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนี้เขากำลังจ้องมองเธอพร้อมกับตะโกนด่าเจนอย่างไร้ความอาย



หญิงสาวไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เธอรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปที่ดาบต่อไปที่เธอจะออกดาบไป เธอก้าวเท้าวิ่งไปอย่างเชื่องช้าแต่ในขณะเดียวกันนั้นก็รวดเร็วและเยือกเย็น ดาบถูกยกขึ้นสูงเตรียมที่จะฟาดลงมา แต่ทว่าทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น



ปัง!!



เสียงปืนดังลั่นกลางลานประลองพร้อมกับร่างในชุดคลุมล้มลงไปบนพื้น ควันสีขาวที่โพยพุ่งขึ้นมาจากปืนกระบอกเล็กในมือของเอจด์เป็นหลังฐานว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางความตกใจของทุก ๆ คน



"พี่เจน!!!" เสียงตะโกนสุดเสียงของจิ้งจอกสาวดังลั่นพร้อมกับเธอที่พยายามจะพังม่านพลังเข้าไปหาพี่สาวของเธอที่ยังคงนอนกุมบาดแผลถูกยิงที่ไหล่ด้วยความเจ็บปวด พวกโจพยายามห้ามไม่ให้คิทซึเนะก่อความวุ่นวาย แต่ถึงเขาจะห้ามคิทซึเนะได้ แต่ผู้ชมคนอื่น ๆ ที่เป็นพยานเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นต่างส่งเสียงโห่ออกมาอย่างไม่พอใจและพากันขว้างปาสิ่งของใส่ม่านพลังแสงโดยมีเป้าหมายเป็นชายหนุ่มผู้ที่ยืนถือปืนชี้ไปยังเจน



"แก..เป็นเพราะแก!! แกทำลายแผนทุกอย่างของฉัน! แกจะต้องชดใช้!" ไม่ว่าเปล่า เอจด์ก้าวเข้าไปใกล้หมายจะยิงประหารผู้กล้าในชุดขาว



ทว่าในตอนนั้นเองที่ร่างของเจนส่องแสงขึ้นมา เธอยกดาบขึ้นและเขวี้ยงใส่ชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอเต็มแรง ดาบคาตะนะพุ่งเข้าเสียบทะลุร่างของเอจด์อย่างแม่นยำ ชายหนุ่มคุกเข่าลงอย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับร่างของเขาที่กำลังสลายกลายเป็นแสง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เจนมองเห็นก่อนสติของเธอจะดับวูบหายไปด้วยความเหนื่อยอ่อน







กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้อ่อน ๆ ลอยโชยมาชวนฝัน หัวของเจนรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มราวกับปุยเมฆ เธอรู้สึกตัวแล้วแต่ตาของเจนกลับไม่อยากจะเปิดขึ้นมาเพราะความอ่อนเพลียยังคงหลงเหลืออยู่ในร่าง ในใจของหญิงสาวตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือนอนบนเตียงนุ่มนี้ไปอีกซักพัก



"ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าเจนคนนั้นเวลานอนหลับจะดูหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนกับผู้หญิงขนาดนี้" เสียงของเด็กสาวไม่คุ้นหูแว่วขึ้นมา จิตที่กำลังจะหลับใหลตัวพลันกลับมาตื่นตัวเต็มที่ แต่เธอก็ยังไม่กล้าที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนนี้



"นั่นสิ ตอนแรกฉันคิดว่าผู้กล้าในชุดขาวจะดูน่าเกรงขามมากกว่านี้ซะอีก" เสียงของผู้ชายดังขึ้นอีก เสียวนี้เธอก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน พวกเขาเป็นใครกันแน่ถึงได้มาอยู่ในห้องนี้กับเธอ...จะว่าไปแล้วตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนเจนก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!



"อย่าประมาทเชียวนะ เห็นหน้าตาอย่างนี้แต่นิสัยโหดกว่าที่พวกนายคิดเอาไว้เยอะเลย" เสียงนี้เจนรู้ว่าใคร...ไอ้โจ



"ใช่ ขอบอกเลยว่าคนที่พวกนายเห็นอยู่บนเตียงนอนดิ้นอย่าบอกใครเลย เมื่อก่อนตอนที่ฉันไปนอนค้างที่บ้านของเจนนะ โดนทั้งหมัดทั้งเท้าจนน่วมไปทั้งตัว ไม่ได้เป็นอันนอนกันทั้งคืน" เสียงนี้เป็นของแจ็ค เห็นทีถ้าหาเธอไม่รีบตื่นขึ้นมาล่ะก็เธอคงถูกใส่ไฟจนไม่มีเหลือแน่



"พวกพี่อย่าพูดถึงพี่เจนอย่างนั้นจะได้มั้ย พี่เจนเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะหน่อย" เสียงอันไพเราะของคิทซึเนะดังขึ้นช่วยปฏิเสธข้อกล่าวหาของสองหนุ่ม นี่สิถึงสมกับเป็นน้องสาวที่น่ารักของเธอ



"อ้าว ถ้าไม่เชื่อนะ เอาไว้คืนนี้เธอก็ลองตื่นขึ้นมองดูสิ ยังไม่ได้มีเพียงแค่นั้นนะ ยังมีนอนน้ำลายไหล..-"



"มันจะมากเกินไปแล้วนะ ไอ้พวกบ้า!!!" เจนตะโกนเสียงดังแล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาก่อนกระโจนใส่สองหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และบรรเลงหมัดอย่างไม่บรรยะบรรยัง ท่ามกลางเสียงร้อยโหยหวนของสองหนุ่มและสายตาของแขกที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ ส่วนคิทซึเนะนั้นก็รู้สึกดีใจที่เห็นพี่สาวของเธอฟื้นขึ้นมาและไม่คิดที่จะเข้าไปห้ามเลยแม้แต่น้อย



หลังจากที่ออกแรงจนพอใจแล้ว เจนก็ลุกขึ้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าตอนนี้เธออยู่ในเต็นท์สีขาวหลังไม่ใหญ่มากนักหลังหนึ่ง ในห้องมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่อย่างครบครัน มีเตียงที่เจน เคยนอนอยู่บนนั้นอยู่ตัวเดียว ซึ่งมีคิทซึเนะนั่งอยู่บนเก้าอี้ส่งยิ้มให้เธออยู่ข้างเตียงโดยอีกด้านมีม้านั่งตัวหนึ่งที่แจ็คและโจเคยนั่งอยู่ ส่วนหนูส่งข่าวนั้นยังคงนั่งตัวนิ่งหน้าซีดอยู่บนม้านั่งตัวนั้น ใกล้ ๆ กันนั้นมีชายหนุ่มและหญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ เจนจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นคือพิสตอลและเพื่อนสาวของเขาที่พยุงร่างชายหนุ่มออกไปจากลานประลอง



"ดูท่านายคงจะกลับมาแข็งแรงดีแล้วสินะ สมกับเป็นยาวิเศษของ GM จริง ๆ ถ้าหากเอามาขายคงมีค่าไม่น้อยเลย" ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับส่งมือให้กับเจน เธอยื่นมือให้ชายหนุ่มฉุดดึงร่างของเธอขึ้นมา "ฉันชื่อพิสตอล ส่วนนี่เมอรี่"



เจนพยักหน้าให้อย่างมีมารยาทกับหญิงสาวข้าง ๆ "ฉันชื่อว่าเจน ยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณมากนะที่พวกนายมาช่วยพรรคพวกของฉันเอาไว้ ถ้าไม่ได้พวกนายล่ะก็คงแย่แน่"



"ไม่หรอก พวกเราแค่บอกเรื่องที่เอจด์เล่นสกปรกจับตัวประกันเท่านั้นเอง แต่คนที่จัดการพวกลูกน้องของเจ้าเอจด์เป็นผู้หญิงที่มากับพวกนายนั่นแหละ" พิสตอลบอก เจนจึงนึกขึ้นได้ว่าเธอเห็นไมโกะที่บอกว่าจะกลับมาเล่นเกมตอนดึก ๆ หน่อย แต่นี่เพิ่งมาไปเกือบจะครบวันหรือหนึ่งชั่วโมงภายนอกเกมเท่านั้นเอง



"ใช่ พี่สาวคนนั้นเก่งน่าดูเลยนะ ไล่จัดการพวกนั้นเรียงตัว ขนาดคนที่อยู่ใกล้ ๆ ยังไม่ทันรู้ตัวเลย" เมอรี่ว่า ท่าทางจะประทับใจฝีมือของไมโกะมากทีเดียว



"ว่าแต่พี่ไมกับซินจูหายไปไหนแล้วล่ะ ฟีบีก็ด้วย" เจนถามขึ้นเมื่อไม่เห็นทั้งสามคนอยู่ในห้อง



"ส..สามคนนั้นกลับไปที่เรียวกังแล้วล่ะ เห็นบอกว่าจะจัดฉลองที่เธอได้เป็นหนึ่งในสี่ตัวแทนที่ได้ประลองเบลดมาสเตอร์ที่เมืองคาเมล็อทน่ะ ถึงผลอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมาก็เถอะนะ" หนูส่งข่าวพูดขึ้น น้ำเสียงของเขายังสั่น ๆ ดูท่าทางจะยังจำได้ถึงหมัดของเจนที่ลงทันพวกโจไปต่อหน้าต่อตา



"นายหมายความว่ายังไง"



"เพราะการประลองในสายของนายพบว่าเอจด์แอบเอาอาวุธเข้าไปใช้ในงานประลองนั่นไงล่ะ ตอนนี้ GM กำลังปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี" พิสตอลตอบ



"จะปรึกษาอะไรกันให้เสียเวลา พี่เจนเอาชนะหมอนั่นได้ทั้ง ๆ ที่โดนโกงสารพัด มันก็ต้องให้พี่เจนเป็นตัวแทนแน่นอนอยู่แล้วสิ" คิทซึเนะว่า



"จริงด้วย ฉันเองก็นึกไม่ถึงเลยนะว่าหมอนั่นจะถึงกับเอาปืนเข้าไปในลานประลองอย่างนั้น" เมอรี่เสริม เจนที่ได้ยินทั้งสองคนคุยกันก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เธอจะหมดสติไปมันเกิดอะไรขึ้น



"เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมถึงหมอนั่นถึงเอาปืนเข้าไปในลานประลองได้ตั้งแต่แรก มันไม่มีระบบตรวจสอบอะไรหรือยังไงกัน" เจนพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ แม้บาดแผลจะรักษาหายแล้ว แต่ประสบการณ์ถูกปืนยิงใส่นั้นไม่ได้น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย



โจที่นอนซมอยู่บนพื้นพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาตอบ "น..นั่นก็เพราะว่า ...ในเกมนี้มันไม่มีของแบบนั้นยังไงล่ะ โอ้ย..นี่เธอช่วยถนอมพวกฉันหน่อยได้มั้ยเนี่ย"



"อะไรนะ ไม่มีงั้นหรือ"



"ดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์มีจุดเด่นคืออิสรภาพภายในเกม แม้บางอย่างจะมีเซ็นเซอร์คัดกรอกเอาไว้แต่โลกนี้ไม่ได้มีการกำหนดกฎตายตัวขนาดนั้นหรอกนะ" โจว่า "ผู้เล่นสามารถมีอิสระทำได้ทุกอย่างในเกม เพื่อทำให้เกิดความสงบและความมีระเบียบ จึงต้องมีกฎหมายและ GM ที่เป็นเหมือนตำรวจคอยมาจัดการพวกที่ทำผิดกฎไงล่ะ เธอก็คงเห็นแล้วว่าพวกที่ทำผิดกฎมันไม่ได้ถูกวาปส่งไปที่คุกทันทีเหมือนเกมอื่น ทำให้ต่อให้คนทำผิดกฎได้และก็สามารถหลบหนีได้ด้วยเช่นกัน"



"นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหน แล้วเอจด์ล่ะ หมอนั่นไปอยู่ไหนแล้ว" เจนถามทันทีเมื่อรู้ความจริงของเกม ถ้าหากเอจด์ยังอยู่ล่ะก็หมอนั่นคงจะไม่ปล่อยพวกเธอเอาไว้เฉย ๆ แน่



"ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว นายหลับไปประมาณสองสามชั่วโมง ส่วนเอจด์ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นไปอยู่ที่ไหน" พิสตอลบอก



ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศขึ้นในหัวของเจน เธอมันใจว่านี่เป็นประกาศจากทางการเพราะคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคิทซึเนะที่ก็ได้ยินด้วย



"ตอนนี้ผลการสอบสวนได้ออกผลมาอย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประลองสายที่สี่ ณ เมืองยามะไต ระหว่างผู้เล่นเจน และผู้เล่น เอจด์ ได้มีรายงานว่าผู้เล่นเอจด์ได้ลักลอบนำอาวุธเข้ามาในสนามประลองและทำร้ายผู้เล่นเจนจนได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่นเอจด์จะได้รับโทษขังคุกเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือสามสิบชั่วโมงในโลกภายนอก ใครที่พบเห็นผู้เล่นเอจด์และให้เบาะแสที่นำไปสู่การจับตัวได้จะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งแสนโกลด์" เสียงของ GM ประกาศ เจนจำได้ว่านี่เป็นเสียงของพนักงานสาวที่เจนเคยคุยด้วยตอนที่ส่งภารกิจเปลี่ยนอาชีพ



"อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เล่นเอจด์ได้ทำผิดกฎการประลองเบลดมาสเตอร์ แต่ผู้เล่นเจนสามารถเอาชนะผู้เล่นเอจด์ได้ ดังนั้นการตัดสินในครั้งนี้จะยกผลประโยชน์ให้กับผู้เล่นเจน ทำให้ผู้เล่นเจนเป็นตัวแทนการประลองเบลดมาสเตอร์คนที่สี่ของเมืองยามะไตอย่างเป็นทางการ และได้ไปประลองในเมืองคาเมล็อทอีกสองเดือนถัดจากนี้"



เสียงตะโกนร้องด้วยความสินดีดังลั่นขึ้นมาทันทีเมื่อประกาศผลออกมา คิทซึเนะพุ่งเขากอดเจนด้วยความดีใจ ทุกคนในเต็นท์ต่างเข้ามาแสดงความยินดีที่เธอได้เป็นตัวแทน เจนที่ทราบผลเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เธอตอนแรกต้องการเพียงแค่สู้กับคนเก่ง ๆ เท่านั้น แม้ตอนสุดท้ายเธอจะต้องการแค่ไม่ต้องการให้คนอย่างเอจด์ได้เป็นตัวแทนการประลองเบลดมาสเตอร์ แต่เธอจับพัดจับพลูได้เป็นผู้ชนะในการประลองคัดเลือกซะอย่างงั้น



ทว่าตอนนั้นเองคิทซึเนะที่ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เธอหันไปที่ทางเข้าเต็นท์และส่งเสียงขู่อย่างดุร้าย เมื่อทุกคนมองไปด้วยอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก็รู้ทันทีว่าทำไม



"ว่าไง ไอ้พวกขี้แพ้มาอยู่กันพร้อมหน้าทุกคนแล้วสินะ" เสียงคุ้นหูฟังแล้วชวนหงุดหงิดดังขึ้น เจนเตรียมพร้อมตอสู้ทันทีเพราะชายที่เพิ่งเข้ามานั้นก็คือเอจด์ผู้ที่ถูกประกาศจับเมื่อครู่นั่นเอง



"แก!!" พิสตอลร้องเสียงดังและชักดาบขึ้นมาอย่างมุ่งร้าย แต่เขาไม่อาจจะเร่งรุดเข้าไปสำเร็จโทษชายตรงหน้าได้ เมื่อเอจด์ไม่ได้เป็นแค่คนเดียวที่เดินเข้ามาในเต็นท์ เขายังมีลูกน้องอีกเกือบสิบคนเดินตามเข้ามาด้วย



"แกทำกับฉันเอาไว้แสบนักนะ อย่าหวังเลยว่าพวกแกจะมีคนรอดไปจากที่นี่ได้" เอจด์ว่า ใบหน้าของเขายังคงมีบาดแผลที่เจนได้ทำกับเขาเอาไว้อยู่เลย นี่อาจจะเป็นหนึ่งในบทลงโทษที่จะทำให้ผู้ที่ทำผิดเกิดความอับอายเพราะปกติแล้วบาดแผลในเกมจะค่อย ๆ หายไปเองถ้าหากใช้ยาเพิ่มพลังในการรักษา เอจด์หันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องที่พากันชักอาวุธออกมาเตรียมเข้าตะลุมบอน ทางด้านพวกเจนเองก็เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีข้อห้ามใช้ทักษะเหมือนอยู่ในลานประลองแล้ว คราวนี้ล่ะเธอจะอัดไอ้คนขี้โกงอย่างเอจด์ให้จมดินไปเลย



แต่ทว่าเป็นโชคดีหรืออาจจะเป็นโชคร้ายของชายหนุ่มผู้มีค่าหัว เพราะไม่ได้มีเพียงแค่พรรคพวกของเขาเดินเข้ามาภายในเต็นท์ แต่ยังมีบุคคลที่สามเข้ามาร่วมด้วยอีกกลุ่ม



"อ้าว ดูท่าทางพวกนายกำลังจะปาร์ตี้กันใช่มั้ยเนี่ย น่าสนุกจัง ขอพวกเราสองคนร่วมด้วยได้มั้ย?" ทุกคนหันไปหาเจ้าของเสียงทันที แต่เจนไม่ต้องใช้ตามองก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงของใคร



ที่ทางเข้าเต็นท์มีชายสองคนกำลังยืนอยู่ คนแรกเป็นชายหนุ่มสวมแว่นในชุดเกราะสีขาว อีกคนเป็นชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงที่เจนจำได้ดี เขาก็คือจีโอ หัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่นั่นเอง



จบตอนที่ 38 เบลดมาสเตอร์! [ตอนปลาย]

------------------------------

เจอกันตอนต่อไปครับ

Tohan-kun
5th February 2014, 14:52
ตอนที่39 พบวิหค



ใจกลางเมืองยามะไต GM หลินและ GM ฟินน์กำลังเดินตามหาผู้เล่นที่มีค่าหัวกว่าแสนโกลด์คนล่าสุดที่พวกเขาเป็นผู้ประกาศออกไปเอง แม้ว่าประกาศออกไปให้ผู้เล่นและนำรูปไปให้ทหารประจำเมืองช่วยออกตามหาแล้ว แต่ทั้งสองก็ต้องออกตามหาด้วยตัวเองอยู่ดี เพราะอย่างไรก็ตามในฐานะเป็นเกมมาสเตอร์ที่มาประจำอยู่ในงานประลองเบลดมาสเตอร์ พวกเขาต้องรับผิดชอบที่ปล่อยให้เอจด์นำอาวุธปืนเข้าไปในเวทีประลองได้



"โอ้ยย! ทำไมฉันถึงต้องออกมาเดินตามหาคนร้ายเองแบบนี้ด้วยนะ!" เสียงบ่นของเจ้าหน้าที่สาวดังขึ้นอย่างเหลืออด แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นใกล้พบค่ำ ไม่มีแดดให้รู้สึกร้อน ความจริงแล้วภายในเกมกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศเย็นสบายด้วยซ้ำไป ทำให้ถนนหนทางตอนนี้ต่างมีคนมากมายไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือชาวเมืองต่างออกมาสูดอากาศสดชื่นกันเป็นจำนวนมาก



GMฟินน์ที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ มีสีหน้าเหนื่อยใจกับคู่หูของเขาไม่น้อย เนื่องจากเรื่องเกิดขึ้นในช่วงที่พวกเขารับผิดชอบจึงถูกปรับให้ออกตามหาเอจด์มาลงโทษให้ได้ แม้ความจริงแล้วสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้เป็นหน้าที่ปกติของเกมมาสเตอร์เลยด้วยซ้ำ "นี่ ทำใจแล้วก็หัดอยู่เงียบ ๆ ทีเถอะ ความจริงเรื่องมันอาจจะแย่ไปกว่านี้อีกก็ได้ อย่างให้ต้องเหนื่อยไปกว่าที่มันเป็นอยู่เลยน่า"



"แย่กว่านี้งั้นหรือ นายหมายความว่ายังไงงั้นหรือ นายฟินน์" เกมมาสเตอร์หลินถามคู่หูของเธอ



"ก็ถ้าหากผู้เสียหายอย่างคุณเจนเกิดเรียกร้องค่าเสียหายขึ้นมาไง นี่ยังดีนะที่เพื่อน ๆ ไม่ถือสาเอาความอะไร แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้วจะเอาเรื่องหรือเปล่า ฉันเป็นแค่เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลธรรมดา ๆ ก็ดีอยู่แล้วเชียว ไม่น่าบ้าจี้ตามมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามกับเธอเลย ถ้าหากพวกเราโดนลดเงินเดือนล่ะก็ นี่มันเป็นความผิดของเธอเลยนะจะบอกให้!" GMฟินน์ว่าเสียงดัง เจ้าหน้าที่สาวได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้างราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มข้างตัวของเธอพูดอะไรออกมา



"ความผิดของฉันงั้นหรือ ใครกันที่บอกให้ฉันมาเป็นGMกันหา! ถึงฉันจะชวนให้นายมาเป็นคนคอยให้ข้อมูลแต่ก็เป็นเพราะนายต่างหากที่ทำให้พวกเรากลายมาเป็นGMภาคสนามตั้งแต่แรก! ใครจะไปรู้ว่าGMภาคสนามมันจะมีไม่ถึงร้อยคน มิน่าทำไมตอนไปยื่นเรื่อง ยัยเจ้าหน้าที่ทำหน้าดีใจกันยกใหญ่" GM หลินว่า พลางนึกถึงตอนที่เธอไปทำเอกสารเปลี่ยนหน่วยงานซึ่งปรากฏว่าเอกสารของเธอเดินเรื่องได้เร็วมาก แทบจะไม่ถึงสิบนาทีที่ยื่นเอกสารไปเธอก็ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์และได้รับการอนุมัติทันที



"งานแต่ละวันก็แสนเหนื่อย วันหยุดก็มีแค่ช่วงที่ไม่ได้เข้าเกม ต้องออกตรวจเมืองทั้งวัน คอยรับเรื่องจากพวกผู้เล่นแล้วยังต้องคอยดูแลชาวเมืองอีก แถมพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้แต่ดันส่งคนมาทำแค่สองคน แล้วแบบนี้ชาติไหนจะเสร็จกันหา!"



"หยุดบ่นเถอะน่า ก็เพราะคนมันน้อยงานมันหนักแบบนี้ไง เงินเดือนของGMภาคสนามถึงสูงกว่าตำแหน่งอื่น ๆ ตั้งหลายเท่า รีบทำงานให้เสร็จ ๆ ไปเถอะน่า" เจ้าหน้าที่หนุ่มลดอุณหภูมิตองตัวเองลงเพราะดูท่าทางคู่หูของเขากำลังอารมณ์ร้อนได้ที่เหมือนกัน ถ้าหากร้อนใส่ล่ะก็มีหวังจะโดนปรับหนักกว่าเดิมอีกโทษฐานทะเลาะกันให้ลูกค้าเห็นกลางเมือง



"เกมมาสเตอร์หลิน เกมมาสเตอร์ฟินน์ นี่ผมเกมมาสเตอร์ประวิทย์ คุณพบผู้เล่นเอจด์ที่กำลังหลบหนีอยู่หรือยัง" เสียงใหญ่ดังขึ้นข้างหูของสองGMที่สะดุ้งสุดตัว ทั้งคู่หันรีหันขวางมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงติดต่อมาผ่านช่องสื่อสารสำหรับเจ้าหน้าที่



"ค..ค่ะ! นี่เกมมาสเตอร์หลินค่ะ! พวกเรากำลังตระเวนอยู่ที่กลางเมือง มองหาผู้เล่นเอจด์อยู่แต่ยังไม่พบเขาเลยค่ะ!" เจ้าหน้าที่สาวรายงานเสียงดัง



"ยังไม่มีเบาะแสที่มีประโยชน์พอที่ใช้ตามหาผู้เล่นเอจด์ได้จากผู้เล่นคนอื่น ๆ เลยครับ ตอนนี้ในเมืองก็มีคนจำนวนมาก ทำให้การตามหาเป็นไปได้อย่างลำบากมากเลยครับ.. เอ่อ ผมเกมมาสเตอร์ฟินน์ครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาด้วยความไม่มั่นใจ



"ตอนนี้ผู้เล่นเอจด์กลับมาเกิดได้สองชั่วโมงแล้วนะคุณเจ้าหน้าที่ รีบขยายพื้นที่ตามหาของคุณเข้าซะก่อนที่ผู้ร้ายจะหลุดมือของพวกคุณไป!" เสียงของGMประวิทย์ว่าอย่างไม่พอใจ ขนาดมีแค่เสียงยังทำให้GMคู่นี้ตัวแข็งได้ ไม่อยากจะรู้เลยถ้าได้อยู่ต่อหน้าจะเป็นถึงขนาดไหน



"ต..แต่ว่าเวลาตั้งสองชั่วโมง เขาอาจจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้นะครับ"



"จะต้องให้ผมบอกวิธีการทำงานให้คุณทุกครั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำงานเลยหรือไง เกมมาสเตอร์ฟินน์ ถ้าหากจนปัญญากันจริง ๆ ล่ะก็ผมจะแนะนำให้ก็แล้วกัน...ไปถามเจ้าที่ซะ!" เสียงดังราวกับระเบิดลงก่อนที่จะตัดการติดต่อไป



"เจ้าที่!? เจ้าที่อะไร เจ้าที่แบบคนในประเทศเขาที่ชอบสร้างบ้านเล็ก ๆ เอาไวในบ้านงั้นเรอะ!" GMฟินน์ว่าเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ เจ้าหน้าที่สาวส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความคิดของคู่หูของเธอ เวลาฉลาดล่ะก็ไร้ที่ติ แต่เวลาโง่หมอนี่ก็ดันบ้าจี้โง่ซะจริง ๆ



"ไม่ใช่ย่ะตาบ้า เจ้าที่ที่หัวหน้าว่าก็หมายถึงคนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ต่างหาก และคนคนนั้นก็คือ..." GMหลินเว้นช่วง



"เจ้าหญิงฮิมิโกะ"



"กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่"



ดวงตาของสองเกมมาสเตอร์เขม่นกันแทบจะในทันทีเมื่อคำตอบที่ได้กลับออกมาไม่ตรงกัน เห็นทีกว่าจะเดินเรื่องได้คงจะอีกนาน







บรรยากาศภายในเต็นท์พยาบาลแทนที่จะทุเลาลงเมื่อจีโอมาถึง แต่กลับยิ่งร้อนระอุขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะสายตาเผ็ดร้อนของผู้กล้าในชุดขาวที่จ้องไปยังพยัคฆ์แดงแห่งยามะไตเขม็ง ราวกับจ้องจะกินเลือดกินเนื้อกัน ในขณะเดียวกันเอจด์ก็เหลือบไปมองทางผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้วางใจ พร้อมกันนั้นเขาก็ต้องระวังพวกพิสตอลไปด้วย เท่ากับว่าตอนนี้เขาต้องรับศึกถึงสองทาง โดยเฉพาะด้านหลังนั้นเป็นถึงหนึ่งในสิบผู้เล่นที่มีฝีมือที่สุดในดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์เลยทีเดียว



"พยัคฆ์แดง จีโอ...พยัคฆ์ขาว หย่งฟาง ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาที่นี่ต้องการอะไรงั้นหรือ" เอจด์หันไปกล่าวกับจีโอ เขาพยายามสงบสิตอารมณ์เอาไว้ไม่ให้แสดงว่าเขารู้สึกไม่พอใจแค่ไหนที่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ แต่เขาเองก็เสี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกลายเป็นศัตรูกับคนอย่างจีโอ แม้เวลานี้เขาจะมีกำลังคนอยู่มากกว่าแต่ก็เทียบไม่ได้กับสองพยัคฆ์ที่ตอนนี้สามารถบดขยี้ทุกคนในเต็นท์นี้ได้สบาย ๆ



"ก่อนอื่นนะเอจด์ นายไม่ได้เป็นเจ้าบ้าน ไม่จำเป็นต้องรักษามาดแบบนั้นหรอก มันน่าเกลียด สองสำหรับคำตอบของนายก็คือ พวกเราสองคนจะมาแสดงความยินดีกับผู้กล้าในชุดขาวที่เอาชนะนายและได้ไปประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ยังไงล่ะ แต่ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้มาพบว่าอาชญากรที่กำลังหนีอยู่ที่นี่เลยนะเนี่ย สงสัยจะจริงที่เขาพูดกัน คนผิดจะต้องกลับมาที่เกิดเหตุเสมอ ว่างั้นมั้ยฟาง" ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงแล้วหันไปถามชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่เงียบ ๆ



"คุณเอจด์ กิลด์จันทร์เดือนมืดของคุณเป็นกิลด์ที่มีเส้น... มีพันธมิตรเยอะมาก ผมเคยได้ยินว่าคุณเคยพากำลังคนเพียงไม่ถึงพันคนไปจัดการกับมอนสเตอร์บอสที่มียศราชาได้ นั่นน่าชื่นชมมากแต่ตอนนี้คุณกำลังเป็นที่ต้องการตัวของGM ในตอนแรกผมคิดจะจับคุณให้กับทางการ เพื่อเป็นการให้เกียรติผมจะไม่แจ้งให้GMทราบแต่ผมก็ต้องขอให้คุณออกไปจากเมืองยามะไตด้วยครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบและจ้องมองเอจด์ด้วยสายตาเย็นชา



ไม่เพียงแค่เอจด์เท่านั้นที่ตกใจกลับคำกล่าวอย่างไร้น้ำใจของชายหนุ่มในเกราะสีขาว พวกเจนเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันที่แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่พวกจีโอทำท่าจะปล่อยคนผิดให้ลอยนวลไป แต่คำพูดของพวกเขานั้นทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้แสดงตัวเป็นมิตรกับเอจด์แน่



เจนแอบมองเห็นเอจด์ขบฟันแน่นอย่างไม่พอใจก่อนจะหันหลังพาคนของตัวเองเดินออกจากเต็นท์ไปอย่างเงียบ ๆ แต่ก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินออกไปก็ไม่วายที่จะหันมามองเจนด้วยสายตาอาฆาต ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เจนรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอพร้อมที่จะสู้กับเขาทุกเมื่อ ต่อจากนี้ไปเธอจะนับวันรอที่จะได้เตะตูดคนอย่างหมอนี่ให้รู้ซะว่าคนอย่างเจน ใครจะมาแหยมไม่ได้ง่าย ๆ



"ต้องขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วยที่พวกเราทำให้ตกใจ ความจริงแล้วก็เป็นความผิดของพวกเราด้วยที่ปล่อยให้อาชญากรออกมาทำความเดือดร้อนให้กับคุณอีก" ชายหนุ่มกล่าวแล้วเดินอกผายไหล่ผึ่งเข้ามาอย่างสง่างาม



"ผมมีชื่อว่าหย่งฟาง ส่วนข้างหลังผมมีชื่อว่าจีโอ พวกเราสองคนเป็นหัวหน้ากิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ ยินดีที่ได้รู้จักคุณเจน ผู้กล้าในชุดขาวครับ" ชายหนุ่มยื่นมือออกมาหาหญิงสาวอย่างสุภาพจนทำให้เธอต้องยื่นมือออกไปจับด้วยเพื่อรักษามารยาท



"ความจริงนายไม่ต้องแนะนำฉันก็ได้นะฟาง เพราะฉันกับเจน พวกเราเคยเจอกันมาตั้งสองครั้งแล้ว จริงมั้ยเจน" จีโอว่าพร้อมกับขยิบตาให้



เจนหน้าขึ้นสีทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุรุษในชุดเกราะแดง เธอเคยพบกับจีโอเพียงแค่สองครั้งก็จริงแต่เธอไม่เคยบอกชื่อของตัวเองให้เขาได้ทราบเลยแม้แต่น้อย แถมครั้งที่สองเธอก็ไม่ได้เข้าไปคุยกับเขาด้วยซ้ำ และครั้งแรกนั้นเป็นตอนที่เธอยังไม่ได้ปลอมตัวด้วย! ดังนั้นถ้าหากเขารู้ว่าเธอคือใคร นั่นก็หมายความว่าชายคนนี้รู้ความจริงที่ว่าเธอเป็นผู้หญิง!!



ในตอนนี้หัวของเธอนั้นมันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาของพรรคพวกของเธอและสายตาของหย่งฟางจ้องมาที่เธอเพราะต้องการหาคำตอบว่าทั้งสองคนมาเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้สองหนุ่มโจและแจ็คนั้นจะทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเจนเคยพบกับคนอย่างจีโอ แต่เพื่อนสาวกลับไม่ยักบอกว่าสนิทกันถึงขนาดเรียกชื่อได้ห้วน ๆ ขนาดนี้



"นี่นายเคยพบกับคุณเจนมาตั้งแต่ตอนไหน" เมื่อไม่ได้คำตอบจากเจน หย่งฟางเลยหันไปถามเพื่อนของเขาแทน



"ก็ตั้งนานแล้วล่ะ ตอนที่ฉันไปช่วยเพื่อนเก่าที่เกาะไทริสก็เผอิญเจอกันพอดี เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ฉันก็เลยไม่ได้เล่าให้นายฟัง" จีโอพูดอย่างสบาย ๆ ขณะที่เจนต้องกลั้นหายใจลุ้นกับสิ่งที่เขาพูดออกมาว่าจะหลุดบอกความจริงของตัวเธอหรือเปลา



หย่งฟางมองจีโออย่างสงสัยในคำตอบ แต่ก็นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคาดคั้นจึงรีบหันกลับมาหาเจนอีกครั้ง "เอาเป็นว่าผมและจีโอขอแสดงความยินดีที่คุณเจนได้เข้าไปประลองชิงตำแหน่งเบลดมาสเตอร์ด้วยนะครับ ผมชมการต่อสู้จากการถ่ายทอดสด ต้องขอบอกว่าฝีมือของคุณน่าประทับใจมาก"



"เอ่อ...ขอบคุณ" เจนก้มตัวเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีกับชายคนนี้ แต่ที่แน่ ๆ เธอจ้องจับตามองไอ้เจ้าคนที่ยืนข้างหลังนั้นให้ดี ๆ ถ้าขืนปล่อยไปมีหวังความลับของเธอได้แตกหมดแน่



"ถึงผมจะบอกว่าผมมาเพื่อแสดงความยินดีกับคุณเจน แต่ผมมีเรื่องจะถามถ้าหากไม่รบกวนเกินไป..." หย่งฟางเว้นระยะเพื่อดูท่าทีของผู้กล้าในชุดขาว เจนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแต่สาวตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่จีโอจนหย่งฟางมองเจนสลับกับเพื่อนของเขาด้วยความสงสัยว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ก่อนเพราะสิ่งที่เขาอยากจะถามนั้นสีความสำคัญกับตัวเขามากทีเดียว



"ผมได้ยินมาว่าคุณเคยสู้กับผู้เล่นที่ถูกขนานนามว่า 'อีกา' ไม่ทราบว่าคุณได้พบกับเธอครั้งสุดท้ายที่ไหนหรือครับ" คำถามนี้ทำให้เจนหันมามองหย่งฟางด้วยความฉงน แม้แต่พิสตอลเองก็ยังให้ความสนใจด้วยเช่นกัน เพราะอีกานี้เป็นชื่อที่ผู้เล่นขนานนามให้กับอามีร่าที่เป็นนักฆ่าของกิลด์พิฆาตราชา เธอฆ่าตามคำสั่งของกิลด์มามากจนมีคนพูดว่าเธอเข้ามาอยู่ในโลกนี้เธอไม่เคยฆ่ามอนสเตอร์ ที่เธอเลื่อนระดับมาได้เป็นเพราะเธอจัดการผู้เล่นด้วยกันทั้งสิ้น



ไม่มีใครรู้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ มีเพียงผู้เดียวที่ให้คำตอบนี้ได้นั่นก็คือตัวอามีร่าเอง แต่เป็นเพราะไม่มีใครเคยได้พูดคุยกับเธอมาก่อนยกเว้นเจน ดังนั้นถ้าหากใครต้องการที่จะได้ข้อมูลของอีกา ทุกคนก็รู้ว่าจะต้องไปหาคำตอบจากผู้กล้าในชุดขาวที่เคยเอาชนะเธอมาก่อนนั่นเอง



"คุณหมายถึงอามีร่างั้นหรือ ทำไมคุณถึงอยากจะรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนล่ะ" เจนถามด้วยความสงสัย มันน่าแปลกที่จู่ ๆ คนระดับหย่งฟางถึงออกมาตามล่าตัวอามีร่าในตอนนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงกระฉ่อน แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้หัวหน้ากิลด์อันดับสองต้องลงมาจัดการเรื่องเองแบบนี้...ถ้าหากว่าเขาออกตามล่าตัวของอามีร่าจริง ๆ นะ



"นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องสนใจ ผมขอให้คุณบอกทุกอย่างที่คุณรู้มาให้หมดด้วยครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นแล้วก้าวเดินเข้ามาใกล้ แม้ว่าจะฟังดูเป็นมิตรแต่เมื่อเจนจ้องมองตาของหย่งฟางก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นของชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกกลัวชายคนนี้ขึ้นมา คิทซึเนะเองก็รู้สึกได้และรีบเคลื่อนตัวเข้ามาขวางระหว่างพี่สาวของเธอและหย่งฟาง



จีโอที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้ามาห้ามเพื่อนของเขาไว้ซะก่อน "เอาล่ะ พอก่อนดีกว่านะฟาง ฉันว่าถ้าหากเจนไม่อยากจะบอก นายก็ไม่ควรจะไปบังคับ จริงมั้ย"



ชายหนุ่มหันมามองตาขวางแต่ก็ยอมถอยแต่โดยดี หย่งฟางเหล่ตามองเจนก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปจากห้อง หญิงสาวรู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาที่เขาใช้มองเธอ ความรู้สึกไม่พอใจอย่างแรงแสดงออกมาอยู่ในดวงตานั้น แต่มันยังมีอะไรบางอย่าง ความรู้สึกถึงความต้องการอย่างแรงกล้าที่หย่งฟางต้องการจะค้นหาตัวอามีร่า บางทีอาจจะมีสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างชายคนนี้และอามีร่าอยู่ก็ได้



"เฮ่อ ขอโทษทีสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น พอดีหมอนี่พยายามตามหาแม่สาวคนนั้นมานานมาก พอรู้ว่าเจนได้คุยกับเธอก็เลย..." จีโอยักไหล่แทนคำอธิบาย เจนเองก็พอเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้เธอเองก็รู้สึกเป็นห่วงอามีร่ามากเช่นกัน ถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นจะผ่อนคลายลงมากแล้วก็ตาม พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าคิดว่าตอนนี้อามีร่าเป็นยังไงบ้างนะ



"ช่างเถอะ ว่าแต่นายทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้อีกล่ะ เพื่อนของนายไปโน้นแล้ว รีบออกไปซะที" เจนเขม่นตามองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ เมื่อหย่งฟางจากไปเหลือแต่จีโอ ความรู้สึกหงุดหงิดก็กลับมาทันทีอย่างไม่มีเหตุผล แต่ทันใดนั้นเองภาพของชายหนุ่มตรงหน้าที่เคยออกตัวปกป้องเธอก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว น้ำเสียงที่จริงจังและใบหน้าที่ทำให้เธอรู้สึกใจเต้นแรง นัยน์ตาลุ่มลึกที่จ้องสวนมาหาเธอตอนนี้กลับทำให้เจนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและรีบหลบสายตาของเขาทันที



'บ..บ้าจริงยัยเจน! ทำไมถึงต้องมานึกเรื่องนั้นตอนนี้ด้วยนะ!' เด็กสาวบอกโทษตัวเองในใจ เธอพยายามจะไม่หันไปสบตากับชายหนุ่มแต่เธอรู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ในตอนนี้



"ก็นะ พอดีฉันมีข้อเสนออยากจะลองให้ไปพิจารณาดูกันน่ะนะ...สำหรับทุก ๆ คนเลย พวกนายเองก็ด้วย" จีโอว่าและหันไปหาพิสตอลและเมอรี่



"ข้อเสนออะไร" พิสตอลถาม



"พวกนายเองก็น่าจะพอเดาได้อยู่แล้วล่ะ ฉันอยากให้พวกนายเข้ามาเป็นสมาชิกกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ไง" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่คนฟังกลับมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน



กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่เป็นกิลด์ขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกจำนวนกว่าล้านคนทั่วโลก แม้ตัวสมาชิกจะคละสัญชาติกัน แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของกิลด์นี้เป็นชาวจีนที่อยากจะอยู่กับหย่งฟางและชาวไทยที่ตามจีโอมานั่นเอง ด้วยจำนวนสมาชิกที่มากขนาดนี้ทำให้กิลด์นี้มีอำนาจมากจนถูกจัดอันดับให้เป็นกิลด์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ถึงแม้จะครองปราการเพียงแค่สองปราการเท่านั้นก็ตาม



อันดับของกิลด์ถูกจัดอันดับด้วยการโหวตของผู้เล่น และการที่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ขึ้นมาถึงอันดับสองได้ก็ทำให้มีคนจำนวนมากต้องการจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งปกติแล้วกิลด์ใหญ่ขนาดนี้จะไม่เปิดรับสมาชิกคนนอกบ่อยนัก ดังนั้นข้อเสนอของจีโอจึงเป็นข้อเสนอที่ยากที่จะปฏิเสธ



"อย่างที่ทุกคนรู้ ตอนนี้พวกเรากำลังประกาศสงครามกับกิลด์พิฆาตราชา เราอยากได้คนที่มีฝีมืออย่างพวกนายมาเข้าร่วมด้วย โดยเฉพาะพวกนาย" จีโอหันมาหาพวกเจน "พวกนายกำลังเป็นที่ต้องการตัวของเจ้าพวกนั้นอยู่ แถมตอนนี้ยังไปเป็นศัตรูกับเอดจ์ หัวหน้ากิลด์จันทร์เดือนมืดอีกคน ถ้าหากมาเป็นสมาชิกกิลด์ พวกเราสามารถช่วยปกป้องพวกนายจากพวกนั้นได้"



โจและแจ็คหันมามองเจนเป็นสายตาเดียวเพราะคนที่จีโอต้องการคำตอบน่าจะเป็นเจนมากกว่าพวกเขา และไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะตามเธอไปด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นสุดท้ายแล้วคำตอบก็จะขึ้นอยู่กับหญิงสาวคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น



"น...นี่นายบ้าหรือเปล่า! เมื่อกี้เพื่อนของนายเพิ่งจะทำท่าข่มขู่ใส่พวกเราแท้ ๆ ตอนนี้นายอยากจะให้พวกเราเข้ากิลด์ของนายเพื่อที่จะต้องทำตามคำสั่งหมอนั่นอีกหรือยังไง" เจนพูดเสียงดังเพื่อที่จะไม่ทำให้ดูเป็นพิรุธ ใบหน้าของเธอยังคงเป็นสีแดงระเรื่อและดวงตาก็ก้มต่ำไม่ยอมสบตากับชายหนุ่มตรงหน้าเธอ



"ฉันบอกแล้วไงว่าขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนั้น ส่วนเรื่องคำสั่งนั่นมันไม่มีหรอก กิลด์ของเราแค่ขอเวลาในเกมแค่สองสามวันมาช่วยกิจการภายในกิลด์เท่านั้นเอง มันก็แค่ออกล่าวัตถุดิบ หาอาวุธระดับสูง ช่วยมือใหม่เก็บเลเวล ช่วยเฝ้าร้านขายของอะไรจำพวกนี้ก็เท่านั้นเอง แถมมีค่าจ้างด้วยนะ" จีโอพยายามล่อล้อมและก้มตัวเอาหน้าประชิดกับใบหน้าของเจนห่างออกไปเพียงไม่กี่นิ้ว แต่ดูเหมือนจะได้ผลตรงกันข้ามมากกว่าเพราะผู้กล้าในชุดขาวตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เธอรีบผลักร่างของชายหนุ่มให้ออกห่างจากตัวแล้วรีบวิ่งออกไปจากเต็นท์ทันทีซึ่งคิทซึเนะก็วิ่งตามออกไปคิด ๆ ท่ามกลางสายตาของพวกโจและพิสตอลที่จ้องมองตามไปด้วยความสงสัย



"แหม สงสัยอยากจะไปเข้าห้องน้ำ ว่าแต่พวกนายล่ะสนใจบ้างมั้ย" จีโอหันไปถามพิสตอล ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนสาวเหมือนกับว่าจะขอความคิดเห็น เธอพยักหน้าให้เบา ๆ ก่อนที่พิสตอลจะหันกลับมาให้คำตอบ



"ผมและเพื่อน ๆ และอยู่มาด้วยกันจนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่กันได้โดยที่ไม่มีกิลด์ไหนดูแลมาตั้งนานแล้ว และผมก็คิดว่าพวกเราก็ยังคงอยู่กันได้ต่อไปโดยที่ไม่พึ่งกิลด์ไหนต่อไปได้เช่นกัน แต่ก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจครับ" พิสตอลตอบ จีโอที่ได้ยินก็ส่งยิ้มให้โดยที่ไม่แสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว



"อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ติดต่อมาได้ทุกเมื่อนะ แล้วก็ฝากไปให้เจนคิดด้วยล่ะ" จีโอพูดกับโจ



"ขอบใจ แต่ไม่สัญญาหรอกนะว่ายัยนั่นจะฟัง" โจว่า



ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้พวกโจต้องออกไปตามหาเพื่อนสาวของเขาที่ตอนนี้สติกระเจิดกระเจิงไปไหนแล้วก็ไม่รู้





หลังจากช่วงชุลมุนที่สามหนุ่มออกตามหาหญิงสาวจนทั่วทั้งเมืองจนเวลาล่วงเลยจนฟ้ามืด พวกเจนก็พากันกลับไปยังเรียวกังที่ซินจู ไมโกะและฟีบีกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงให้งานโอกาสที่เจนได้เป็นหนึ่งในสี่ผู้ผ่านการคัดเลือกการประลองเบลดมาสเตอร์นั่นเอง



เนื้อกองมหึมาถูกนำมาหมักและย่างอยู่บนเตาด้วยฝีมือแม่ครัวหัวป่า ซินจูที่มีดีกรีเป็นลูกสาวเจ้าของร้านอาหารนั้นรับประกันได้ถึงรสชาติที่ยืนยันได้จากคนกินที่ส่งเสียงอื้ออึงออกมาไม่ขาดสาย



"อื้ม!! เนื้อนี่อร่อยสุด ๆ ไปเลยซินจู ทั้งนุ่มและรสเข้มข้นจริง ๆ" โจพูดแล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปากอย่างรวดเร็ว



"ร้านอาหารแพง ๆ แถวบ้านฉันยังอร่อยสู้ฝีมือของเธอไม่ได้เลยนะเนี่ย" แจ็คว่าก่อนจะจุ่มเนื้อลงถ้วยซอสและนำเข้าปาก



"นายนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย ถ้ารสชาติมันอร่อยขนาดนี้ ร้านของซินจูเองก็ต้องเป็นร้านอาหารชื่อดัง มีเป็นสิบสาขาอยู่แล้ว" หนูส่งข่าวพูดแต่มือก็ยังคงคีบเนื้อเข้าปากไม่หยุด



แม่ครัวผู้ที่ทำหน้าที่เตรียมอาหารและย่างเนื้อนั้นก็ยิ้มรับคำชมน้อยใหญ่อย่างถ่อมตัว "ความจริงมันเป็นร้านของตระกูลหนูน่ะค่ะ เปิดมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ทวดจนมาถึงรุ่นคุณพ่อ ร้านของเราถึงจะใหญ่แต่ก็มีแค่สาขาเดียวเท่านั้นเองค่ะ"



"นั่นไง ฉันพูดผิดที่ไหน" ชายหนุ่มหันมาพูดแล้วกินต่อ



"นี่พวกนายจะมีมารยาทหน่อยได้มั้ยหา! กินมูมมามน่าเกลียดจนฉันกินไม่ลงแล้วเนี่ย" ไมโกะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ สายของเธอมองไปยังสามหนุ่มที่คีบเนื้อที่ซินจูเป็นคนย่างเอาไว้ให้ใส่จานตัวเองกองสุมกันเอาไว้ราวกับว่ากลัวจะมีใครแย่งไป



"แล้วมันเป็นเพราะใครกันล่ะที่ทำให้พวกเราสามคนต้องออกวิ่งตามตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะเจอก็หิวไส้กิ่วเลยนะ เจอหมอนั่นหยอกหน่อยเดียวทำไมถึงต้องวิ่งพรวดพราดออกไปก็ไม่รู้" แจ็คพูดออกมา



"ถึงจะเป็นพี่แจ็คแต่ก็อย่ามาพูดกับพี่เจนอย่างนั้นนะ! แล้วก็ที่พวกพี่หาพี่เจนเจอก็เป็นเพราะหนูต่างหาก" คิทซึเนะว่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ใบหน้างามดูบึ้งตึงทันทีจนสามหนุ่มไม่กล้าแย้ง



"จะว่าไปข้อเสนอของจีโอก็น่าสนใจนะ นอกจากจะไล่พวกกิลด์พิฆาตราชาให้อยู่ห่าง ๆ จากพวกเราแล้ว พวกเรายังได้ใช้ทรัพยากรของกิลด์ได้อีกด้วย ฉันว่ากิลด์ใหญ่ขนาดนั้นต้องมีของดี ๆ อยู่เพียบแน่" ไมโกะแสดงความคิดเห็น



โจที่ได้ฟังนั้นทำหน้ามุ่ยและเอ่ยความคิดเห็นต่างออกไป "นั่นก็จริง แต่ว่าถ้าเข้ากิลด์ไปแล้ว พวกเราคงไม่ได้มานั่งว่าง ๆ แบบนี้ทุกวันแน่ เราต้องแบ่งเวลาสามวันไปช่วยงานในกิลด์อีกจำได้มั้ย ของที่ล่าได้บางชิ้นเราก็ต้องแบ่งเข้ากิลด์ด้วย แถมยังต้องไปช่วยรบในยามมีสงคราม ถึงในระยะสั้นอาจจะมีประโยชน์ก็จริง แต่ในระยะยาวฉันว่าพวกเราจะหมดสนุกซะก่อนน่ะสิ"



"เอ๋ เมื่อกี้พี่โจไม่เห็นบอกเลยว่าข้อตกลงมีเรื่องต้องบริจาคของเข้ากิลด์เลยนะคะ" ซินจูทวนความจำเพราะเธอมั่นใจว่าตอนแรกที่จอมเวทหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังไม่ได้มีเรื่องนี้ในข้อตกลง



"ไม่มีหรอก แต่เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นธรรมเนียมของกิลด์ทุกกิลด์ที่จะต้องทำเพื่อพัฒนาให้กิลด์มีความแข็งแกร่ง พวกกิลด์ใหญ่ ๆ ที่เก่งเพราะนอกจากมีคมฝีมือดีและอุปกรณ์ระดับสูงแล้ว ก็ยังเป็นเพราะมีกำลังเงินอีกด้วย กฎที่ใช้กันสากลก็คือถ้าหากคนในกิลด์อยากจะเก็บของที่ล่ามาก็ก็ต้องจ่ายเป็นเงินส่วนหนึ่งของราคาตามตลาด แบบนี้ไงฉันถึงบอกว่าตอนนี้พวกเรายังไม่เหมาะกับเรื่องกิลด์...อย่างน้อยก็ถ้าหากเราเข้ากิลด์คนอื่นน่ะนะ" โจว่าจบแล้วจึงหันหน้าไปตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อย่างต่อ ก่อนที่จะถูกแย่งฟีบีที่กินอย่างเงียบ ๆ แต่เร็วดั่งน้ำหลากไปซะหมดโต๊ะ



เจนมองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ซินจูที่สังเกตเห็นก็หันมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง



"เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่เจน อาหารรสชาติไม่ถูกปากหรือคะ"



"อ...เปล่า ๆ เนื้อพวกนี้อร่อยมากเลยล่ะ ก็แค่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็เท่านั้นเอง" เจนรีบตอบเมื่อมีคนทัก รสชาติของเนื้อย่างฝีมือซินจูนั้นไร้ที่ติ แต่เป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของเธอต่างหากที่ทำให้ต่อมรับรสของเธอมันผิดแปลกไป



เมื่อตอนที่ใบหน้าของจีโอเข้ามาประชิดนั้นเป็นชั่วพริบตาหัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น จีโอพุ่งเข้ามาเร็วมากจนเธอไม่ได้ทันตั้งตัว ราวกับว่าเขามีพลังอะไรบางอย่างที่เมื่อเข้าใกล้ก็ทำให้เธอรู้สึกหัวใจเต้นแรง แต่พร้อมกันนั้นเจนรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าชายคนนี้เอาซะเลย เวลามองก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ความรู้สึกสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงตีกันไปมาในจิตใจทำให้หญิงสาวไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ในเมื่อใจหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจตัวเองและอีกใจที่ยังไม่ยอมรับสภาพร่างกายของตัวเองเช่นกัน สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่วิ่งหนีออกมาโดยที่ในใจยังหาข้อสรุปไม่ได้



ความรู้สึกในใจนี้มันอัดแน่นอยู่ในอก เจนอยากจะระบายมันออกมาแต่ว่าเรื่องนี้เธอจะเอาไปพูดกับใครได้ จะให้เธอบอกว่าคนที่เคยเป็นผู้ชายแต่กลายเป็นผู้หญิงด้วยความผิดปกติทางร่างกายมาเพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างเธอจะมีความรู้สึกให้กับผู้ชายเหมือนกันได้ยังไง แค่จะบอกเรื่องเปลี่ยนเพศนี่ก็อายจนไม่กล้าจะพูดถึงมันแล้ว เจนรู้สึกสมเพชตัวเองที่ไม่มีความกล้า ไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ให้พวกเสือซ่อนลายหรือเอาเรื่องที่รู้สึกหนักใจไปปรึกษาแม่ของตนเอง ไม่กล้าพอที่จะยอมรับตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปในฐานะผู้หญิงอย่างเต็มตัวที่ตอนนี้เจนพยายามรั้งส่วนนั้นเอาไว้โดยสร้างเรื่องหลอกลวงเพื่อน ๆ ของเธอเช่นนี้ ตัวเธอนี่มันน่าสมเพชจริง ๆ



"เอ่อ...หนูไม่ได้อยากจะทำตัวสอดรู้หรอกนะคะ แต่หนูอยากจะช่วยพี่เจนให้สบายใจ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งหนูหรือพี่ไมโกะหรือว่าจะเป็นพวกพี่เสือก็พร้อมที่จะรับฟังเสมอนะคะ" ซินจูกล่าวด้วยใบหน้ายิ้ม เธอยกจานเนื้อที่ย่างเสร็จร้อน ๆ ให้



เจนรับจานนั้นมา ใครบางคนเคยบอกว่าโลกออนไลน์นั้นมีแต่คนที่เชื่อใจไม่ได้ แต่เจนมั่นใจว่าเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ในห้องนี้เป็นคนที่เธอเชื่อใจและไว้ใจได้อย่างแน่นอน "ขอบใจนะซินจู"



"ว่าแต่ได้ยินว่ามีธุระไม่ใช่หรือพี่ไม นี่เพิ่งผ่านไปวันเดียวเอง ทำธุระเสร็จแล้วหรือ" เจนหันไปหานักฆ่าสาวแล้วถามขึ้น ตอนนี้เธอคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะบอกความจริงของตัวเธอให้เพื่อนใหม่ของเธอได้รู้ แต่เอาไว้ให้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตากันก่อนแล้วค่อยบอก



ไมโกะได้ยินคำถามก็ทำหน้ามุ่ย เธอคีบเนื้อย่างเข้าปากอยางไม่สบอารมณ์จนเจนตกใจนึกว่าเธอถามอะไรที่ไม่ควรถามออกไปซะแล้ว "ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ที่แม่ของฉันเรียกไปดูตัวก็แค่นั้นเอง"



"เอ๋! ดูตัว! พี่ไมกำลังจะแต่งงานหรือคะ" ซินจูถามเสียงสูง เธอหันมาหาไมโกะโดยไม่สนใจกับเนื้อย่างตรงหน้าอีกต่อไป จนแจ็คต้องรีบเข้ามาทำหน้าที่แทนก่อนที่เนื้อจะไหม้เกรียม



"ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ" ทั้งห้าคนเบิกตากว้างอย่างตกใจกับคำตอบของหญิงสาว การดูตัวนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะใช้เวลาคิดเพียงครู่เดียวไม่ได้ แต่หญิงว่าคนนี้กลับพูดเหมือนกับว่ามันไม่ได้สำคัญเลยซักนิดเดียว ในขณะเดียวกันนั้นคิทซึเนะที่พยายามตั้งใจฟังแต่ก็ไม่รู้ว่าการดูตัวคืออะไร เห็นทีต้องไปถามพี่สาวของเธอซะแล้วจะได้รู้เรื่อง ส่วนฟีบีนั้นก็สนแต่ของกินข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



"ทำไมล่ะคะพี่ไม คนที่ไปดูตัวด้วยไม่ถูกใจหรือคะ หรือว่าเขาหน้าตาไม่ดี" ซินจูถาม



"เปล่า หมอนั่นหน้าตาสูสีกับจีโอได้เลยล่ะ การงานก็เป็นถึงซีอีโอบริษัทขนาดใหญ่ อายุก็มากกว่าฉันแค่ไม่กี่ปี แต่ฉันก็แค่ไม่ชอบถูกคลุมเท่านั้นเอง พอไปถึงฉันก็บอกปัดไปแล้วก็กลับมาเลย พวกญาติ ๆ ของฉันชอบหาคนมาให้แต่งงานกับฉันอยู่บ่อย ๆ นั่นแหละ แต่ใครจะชอบที่จู่ ๆ ก็ต้องมาแต่งงานกับคนแปลกหน้า" ไมโกะตัดบท คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าจะถามต่อเพราะเรื่องนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวและค่อนข้างเป็นเรื่องที่เปราะบางกับเธอมากพอควร



"ฉันว่าพวกเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะ เอ่อ...วันพรุ่งนี้พวกเราจะไปทำอะไรกันดีล่ะ" เจนพยายามเปลี่ยนเรื่อง



"ตอนนี้เสือซ่อนลายกับยูสตาร์ยังไม่กลับเข้ามาในเกมเลย คงอีกนานกวาที่สองคนนั้นจะกลับมา พวกเราไปเที่ยวในเมืองรอกันก่อนดีมั้ย" หนูส่งข่าวเสนอความคิด แต่ทั้งซินจูและจิ้งจอกสาวส่ายหน้าปฏิเสธทันที



"ไม่ดีกวาค่ะ หนูกับคิทซึเนะเดินจนทั่วหมดแล้ว ถ้าพวกพี่จะไปกัน พวกหนูก็ขอรออยู่ที่ร้านเสื้อผ้านะคะ" เจนตกใจมากเมื่อรู้ว่าทั้งสองเดินเที่ยวกันจนทั่วทั้งเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งคู่หาเวลาไปเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ คิทซึเนะน่ะพอเดาได้ว่าเป็นช่วงที่ตัวเธอไม่อยู่ แต่ซินจูนี่สิที่จะอยู่กับเจนแทบตลอดเวลาแท้ ๆ



"ไม่ต้องเป็นห่วงสองคนนั้นหรอก พวกเราออกไปสู้กับมอนสเตอร์หรือไปหาภารกิจทำกันเถอะ เอาไว้สองคนนั้นเข้าเกมมาค่อยให้ไปรับภารกิจแล้วค่อยตามมาทีหลัง" โจพูดโดยมีไมโกะแล้วแจ็คพยักหน้าสนับสนุน



ไม่บ่อยนักที่เจนจะทำแบบนี้ เธอเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาดูลิสต์ภารกิจของเมืองยามะไตบนกระดานข่าว ปกติแล้วนี่เป็นหน้าที่ของโจหรือหนูส่งข่าว แต่ทั้งคู่ต่างวุ่นกับการกินแข่งกับมังกรน้อย ถ้าหากเธอไม่ทำก็คงจะเสียเวลาอีกพักใหญ่แน่กว่าจะได้เรื่อง



หน้าต่างแสงที่ปรากฏขึ้นนั้นฉายลิสต์ของรายชื่อภารกิจนับร้อยนับพันที่สามารถรับได้ในยามะไต ที่มุมหน้าต่างนั้นมีตัวกรองที่สามารถจำกัดการค้นหาได้อีกนอกจากภารกิจของชาวเมืองหรือภารกิจที่ผู้เล่นเป็นฝ่ายร้องขอเอาไว้ อย่างภารกิจระยะสั้น ภารกิจระยะยาวหรือจะเป็นภารกิจที่ต้องส่งข้ามเมือง



เจนเงยหน้าไปถามว่านะทำภารกิจอย่างไหน เพื่อนหนุ่มของเธอตอบกลับมาโดยไม่เสียเวลาคิดเลยว่าเอาภารกิจจากชาวเมืองและเป็นภารกิจระยะยาว เหตุผลง่าย ๆ ว่าเป็นเพราะภารกิจที่ผู้เล่นร้องขอนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะโดนโกงค่าตอบแทนหรือแม้กระทั่งมีโอกาสที่จะโดนหลอกไปปล้นด้วย ส่วนสาเหตุที่เลือกภารกิจระยะยาวนั้นเพราะว่ามีความพิเศษกว่าภารกิจแบบอื่น ๆ เพราะเป็นภารกิจแบบรับค่าตอบแทนเป็นกลุ่ม ถ้าหากพวกเสือซ่อนลายจะมาเข้าร่วมกลุ่มหลังจากนี้หรือก่อนที่จะส่งภารกิจก็ยังได้ค่าตอบแทนเหมือนกัน แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับชาวเมืองที่เป็นผู้ให้ภารกิจด้วยเช่นกันว่าจะจ่ายเป็นอะไร



"เอาภารกิจนี้เป็นไง ภารกิจตามหาสร้อยไข่มุกในตำนาน" เจนหยิบเอาชื่อภารกิจหนึ่งขึ้นมา เธออ่านรายระเอียดของภารกิจแล้วรู้สึกน่าสนใจมากเพราะบางทีไข่มุกที่ตามหาอาจจะเป็นเครื่องประดับระดับสูงก็ได้ แต่จอมเวทหนุ่มก็พูดแย้งขึ้นมาทันควัน



"ไม่เอา แค่ให้ไปหาของมันน่าเบื่อ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเธออยากจะได้สร้อยไข่มุกนั่นล่ะก็ลืมไปได้เลย พวกภารกิจตามหาของน่ะต้องส่งของที่หามาได้คืนตอนส่งภารกิจแถมค่าตอบแทนก็น้อยซะยิ่งกว่าน้อย เพราะแบบนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครรับภารกิจตามหาของแบบนี้ยังไงล่ะ" แม้จะรู้สึกขุ่นใจอยู่เล็กน้อยแต่เจนก็ยอมรับที่โจพูด บางทีภารกิจนี้อาจจะน่าเบื่ออย่างที่ว่าจริง ๆ



"ถ้าอย่างงั้นลองไปล่าขนของพญาหงส์เพลิงเป็นยังไง" เจนเสนอภารกิจออกมาอีกเพราะดูจากวันที่แล้วเป็นภารกิจที่เก่าพอสมควร แถมภารกิจนี้ดูน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยในสายตาของเธอ ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่พอใจเหล่าชายหนุ่มอยู่ดี



หลังจากโดนบอกปฏิเสธไปสองรอบหญิงสาวที่เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมา เธอเลื่อนลิสต์ภารกิจโดยใช้แรงมากกว่าปกติจนรายชื่อเลื่อนไปอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ตอนนั้นเองที่สายตาของเจนสะดุดเข้ากับชื่อภารกินที่วิ่งผ่าน นิ้วบางจิ้มหยุดลงพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังสามหนุ่มที่ตอนนี้เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังมีอะไรไม่ชอบมาพากล



"ภารกิจล่าราชาแห่งหนองน้ำ ตำแหน่งอยู่ที่บึงในป่าดึกดำบรรพ์...ตามแผนที่แล้วนี่มันอยู่ลึกเข้าไปจากที่พวกเราเคยไปจัดการซาลามานเดอร์ป่าอีกหน่อย และพวกนายอย่าคิดจะขัดเชียวนะ!!" เจนพูดเสียงดังเมื่อเห็นว่าโจทำท่าจะพูดอะไรออกมา จอมเวทหนุ่มทำท่าตกใจ ในมือของเขายังจัดตะเกียบเอาไว้แน่นพลางเลิกตามองไปยังเพื่อนสาวที่ใช้ดวงตาพิฆาตจ้องมองมาที่เขาจนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว



"พวกเราจะไปทำภารกิจนี้กันและพวกนายก็ไม่มีสิทธิ์เถียง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปรับภารกิจแล้วจะออกเดินทางกัน!" เจนพูดเสียงเข้มแล้วซัดเนื้อย่างตรงหน้าของเธอเข้าไปรวดเดียวจากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปยังห้องของเธอ ปล่อยให้คนอื่น ๆ มองตามด้วยความตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น



"ก...ก็แค่จะขอซอสเองอ่ะ" โจพูดเสียงค่อยพร้อมกับร่างที่สั่นไปทั้งตัว แม้จะเคยเจอดวงตาพิฆาตมาจนชินแล้วในโลกภายนอก แต่หลังจากไม่เจอมานานจนลืม พอมาเจอเข้ากับดวงตาพิฆาตที่ถูกเพิ่มพลังขึ้นกว่าแต่ก่อนซะอีก ทำเอาเขาถึงกับหมดเรี่ยวแรง



ตรงกันข้ามกับไมโกะที่อ้าปากค้างเพราะว่าสิ่งที่เจนเพิ่งแสดงออกมานั้นมันทำให้เธอรู้สึกทึ่งและประทับใจมาก "เมื่อกี้มันทักษะจิตสังหารของอาชีพสายนักฆ่าระดับสูงนี่นา นี่เจนไปได้ทักษะนี้มาได้ยังไงกันนะ" แต่นั่นก็ยังคงได้แต่เก็บเอาไว้สงสัยต่อไปเพราะแม้แต่เธอเองก็ยังไม่กล้าจะไปคุยกับเจนในยามอารมณ์เดือดเช่นนี้เลย







เช้าวันต่อมาหลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเจนก็ตรงไปยังกระดานภารกิจที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่อรับภารกิจที่เธอหมายตาเอาไว้ หลังจากนั้นทุกคนก็พากันไปซื้อของที่จำเป็นออกจะเดินทางกลับไปยังป่าดึกดำบรรพ์ที่พวกเธอเคยใช้เป็นฐานที่มั่นอยู่นาน



จากตรงนี้ พวกเจนเดินทางกลับไปที่จุดตั้งแค้มป์เก่าได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะรู้ทางกันแล้วแต่ถึงยังไงก็ใช้เวลาเดินทางไม่น้อยลงอยู่ดี ระหว่างการเดินทางนั้นเจนเจอกับผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาทักทาย ตอนนี้เธอเป็นคนที่มีชื่อเสียงไปแล้วในเกมนี้จากชื่อเสียงของผู้กล้าในชุดขาวเดิม แต่หลังจากงานประลอง หน้าตาของเธอก็ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชน กว่าจะไปถึงจุดที่พวกเธอเคยตั้งแค้มป์พักเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงแม้จะไม่มีมอนสเตอร์เข้ามาขวางทางเลยก็ตาม



"เฮ่อ กว่าจะมาถึงนี่ได้ ถ้าไม่ติดพวกนั้นที่เอาจะอยากจะเข้ามาคุยด้วยล่ะก็คงมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว" เจนพูดอย่างเหนื่อยใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่พอใจที่ตลอดทางมีคนเข้ามาทักทายไม่ขาด แต่ดวงตาของบางคนที่จ้องเธอนั้นมันทำให้เธอรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก บางคนถึงกับพยายามเดินตามมา ถ้าไม่ใช่พวกเขายังสู้กับซาลามานเดอร์ป่าไม่ได้ล่ะก็ตอนนี้ก็คงยังมีคนตามเธอมาอยู่แน่



"ก็ตอนนี้เธอเป็นคนดังแล้วนี่นะ แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นดาราของโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์เลยก็คงได้มั้งเนี่ย หรือว่าเธอเป็นพวกดังแล้วทำตัวหยิ่งหรือไงจ๊ะ" แจ็คพูดขึ้นระหว่างทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น เจนที่ได้ยินก็หันมาค้อนใส่ทันที



"ไม่ใช่ซักหน่อย! ก็แค่...ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย เพื่อแค่จะคุยกับฉันเนี่ยนะ"



"ก็ถ้าหากเป็นคนที่ชอบหรือคนที่ปลื้ม สำหรับบางคนจะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละ อย่างเธอถ้าหากมีดาราดังเดินผ่าน เธอจะทำยังไงล่ะ" ไมโกะถาม คนถูกถามขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยังไหล่ทำนองว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำให้หญิงสาวนักฆ่ามองเพื่อนของเธออย่างงุนงงเพราะถ้าเป็นคนทั่วไปอย่างน้อยก็ต้องถ่ายรูปหรือเข้าไปรุมล้อมขอลายเซ็นแล้ว



"คนอย่างเจนน่ะไม่เข้าใจเรื่องพรรณนั้นหรอก เมื่อก่อนเคยมีกองถ่ายมาถ่ายทำภาพยนตร์ในหมู่บ้าน ทายซิว่าใครขอดูหนังของคนที่มาถ่ายทำในหมู่บ้านแทนที่จะไปเจอตัวจริงที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงกิโล" โจบอกพลางเอามื้อเที่ยงออกมาทาน



เนื่องจากต้องการทำเวลา ทุกคนจึงตกลงว่ามื้อนี้เป็นแค่ข้าวกล่องสำเร็จรูปจากร้านค้า เอาไว้มื้อเย็นค่อยลงมือทำอาหารจริง ๆ จัง ๆ หลังจากหาที่พักได้แล้ว เจนนำข้าวกล่องของเธอและของน้องสาวทั้งสองออกมา ฟีบีแม้จะมองดูข้าวกล่องของตัวเองสายตาละห้อยเพราะว่ามันน้อยกว่าหลายมื้อที่เคยทานมามากนักแต่ก็รับมาเพราะยังดีกว่าไม่ได้กินอะไร ส่วนเจนและคิทซึเนะนั้นไม่มีปัญหาอะไรกับขนาดของข้าวกล่องอยู่แล้ว ความจริงอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำเพราะนี่เป็นไซด์ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีในร้าน



หลังจากทานเสร็จแล้วพวกเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเริ่มมีซาลามานเดอร์ป่าโผล่เข้ามาขวางทางเป็นระยะ แต่พวกเจนก็จัดการพวกมันมาได้อย่างไม่ยากเย็นนักแม้จะไม่มีตัวชนหลักอย่างเสือซ่อนลายหรือตัวเสริมอย่างยูสตาร์ เจนสามารถทำหน้าที่เป็นตัวชนได้อย่างดี ประสบการณ์การต่อสู้กับเจ้าพวกนี้มากกว่าสัปดาห์นั้นช่วยให้เธอมองเห็นจุดอ่อนของพวกมันและสามารถเดาการโจมตีได้หมด ครั้งนี่ยิ่งสู้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเพราะการที่ได้สู้กับผู้เล่นเก่ง ๆ ในการประลองช่วยให้เจนสามารถพลิกแพลงรูปแบบการต่อสู้ได้ดียิ่งขึ้น ตอนนี้แม้จะถูกซาลามานเดอร์ป่าถึงสามตัวรุม พวกมันก็ไม่สามารถแตะตัวเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว



ทางไมโกะและซินจูที่เลื่อนระดับยศมาได้ก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของยศทหารและยศขุนนางได้เป็นอย่างดี นักฆ่าระดับขุนนางอย่างไมโกะนั้นเจนแทบมองไม่เห็นตัวเลยระหว่างการต่อสู้ จะเห็นก็ตอนที่เธอปรากฏตัวออกมาสังหารซาลามานเดอร์ป่าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายตัวไป ส่วนซินจูนั้นก็ช่วยเสริมพลังให้คนอื่นได้อย่างต่อเนื่อง แถมยังใช้ทักษะใหม่ช่วยโจมตีซาลามานเดอร์ป่าอีกด้วย แม้จะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับสายฟ้าของโจ แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับซาลามานเดอร์ป่าไม่น้อยเลย



หลังจากบุกตะลุยเข้ามาเรื่อย ๆ สภาพป่ารอบ ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นป่าหญ้าสูงขวางหน้าจนไม่มีทางเดินไปต่อ คิทซึเนะเสนอจะเผาป่าที่ขวางทางให้เรียบแต่เจนรีบห้ามเอาไว้ก่อนโดยที่ไม่ลืมห้ามมังกรน้อยที่ทำท่าจะใช้ดราก้อนบรีธด้วยอีกคน ถ้าหากเธอปล่อยให้ทั้งคู่ลงมือล่ะก็ไม่อยากนึกเลยว่าความเสียหายมันจะมากแค่ไหน



เพื่อเป็นการแก้ปัญหา เจนตัดสินใจจะใช้ดาบคุซานางิถางหญ้าผ่านเข้าไป แม้ตอนที่เธอบอกความคิดนี้ออกไปจะได้ยินเสียงคำรามเบา ๆ ของยามาตะ โนะ โอโรจิ แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร เจนก็พอจะเข้าใจที่พญาอสรพิษไม่พอใจอยู่ จะให้เอาดาบเทพเจ้าไปถางหญ้ามันออกจะเกินไปหน่อย แถมเป็นดาบที่เจ้าตัวสิงสถิตอยู่ด้วยแล้ว แต่ตอนนี้เจนไม่มีอาวุธอื่นที่จะใช้ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้ดาบเล่มนี้จัดการเปิดทางอย่างช่วยไม่ได้



หลังจากผ่านป่าหญ้าไปได้แล้ว พวกเจนก็มาถึงหนองน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า หนองน้ำนี้เป็นเพียงหนองน้ำตื้น ๆ เท่านั้น จากที่ใช้สายตาวัด จุดที่น่าจะลึกที่สุดคงเป็นใจกลางหนองน้ำ แต่ของจุดที่พวกเธอยืนอยู่ตรงนี้น้ำตื้นเพียงแค่ขาเท่านั้นเอง พื้นดินที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเป็นดินที่เปียกชุ่มจนไม่สามารถตั้งแค้มป์ได้ ดังนั้นพวกเธอจึงออกเดินหาจุดที่น้ำขึ้นมาไม่ถึงเพื่อตั้งแค้มป์ก่อนที่จะมาคุยกันเรื่องภารกิจ



แต่พวกเจนก็ต้องเสียเวลาอีกชั่วโมงเพื่อจะหาพื้นที่ในการตั้งแค้มป์ บริเวณหนองน้ำมีแต่จุดที่พื้นดินแฉะไปหมด ทำให้พวกเธอต้องเดินขึ้นเนินไปเพื่อที่จะตั้งที่พักในจุดที่มีพื้นแห้ง ซึ่งบนนั้นก็มีคนมาตั้งที่พักอยู่ก่อนแล้วจำนวนมาก พวกเธอไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องแบ่งสถานที่ตั้งแค้มป์ด้วยเพราะถ้าหากถอยออกไปไกลกว่านี้ก็คงต้องถอยไปหลังป่าหญ้าที่เพิ่งผ่านมาอย่างยากลำบาก



เมื่อจุดตั้งแค้มป์ พวกเจนรีบกางเต็นท์และเตรียมก่อคบเพลิงสำหรับมื้อเย็น จากนั้นจึงมานั่งรวมกลุ่มกันและเตรียมพร้อมลงไปจัดการตัวอะไรก็ตามที่ภารกิจต้องการให้พวกเธอทำ



"ว่าแต่พวกเราจะต้องจัดการตัวอะไรล่ะ" โจถามขึ้นพร้อมกับหันไปหาเจนผู้ที่เป็นคนเลือกภารกิจนี้



"ไม่รู้เหมือนกัน ภารกิจบอกแค่จัดการราชาแห่งหนองน้ำ ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าเป็นตัวอะไรหรือมีเลเวลมากแค่ไหนอ่ะ" เจนพูด โจได้ยินดังนั้นถึงกับต้องยกมือกุมขมับอย่างหนักใจ เขาไม่แปลกใจเลยว่าแค่ภารกิจจัดการมอนสเตอร์เช่นนี้ถึงเป็นภารกิจระยะยาวได้ ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องจัดการตัวอะไรในพื้นที่ ๆ กว้างขนาดนี้ พวกเขาคงจะเสียเวลาหลายวันแน่ ๆ เพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ ยังไม่รวมถึงต้องมาแย่งกับผู้เล่นกลุ่มอื่นอีก



"ทีหลังจะเลือกภารกิจก็ช่วยศึกษาข้อมูลไว้หน่อยนะ หรือไม่ก็ช่วยเลือกภารกิจที่มีเป้าหมายชัดเจนก็ยังดี" โจบอกทำให้คนฟังหันมาค้อนใส่ทันที



"ถ้าอย่างนั้นทีหลังนายก็เป็นคนเลือกเองสิ!" เจนพูดขึ้นเสียงแล้วลุกขึ้นเดินหนีออกมาทันทีโดยมีสองสาวคิทซึเนะและฟีบีตามมาด้วย



"พี่เจน เป็นอะไรหรอเปล่าคะ พี่โกรธพี่โจหรือคะ" จิ้งจอกสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เธอไม่อยากให้พี่สาวของเธอทะเลาะกับโจนัก เพราะเวลาทั้งสองคนทะเลาะกันต่างคนก็ต่างทุกข์ทรมานด้วยกันทั้งคู่ ที่เธอเดินตามมานี่ก็หวังที่จะมาช่วยกล่อมให้เจนอารมณ์เย็นลง



"เปล่า ฉันไม่ได้โกรธหมอนั่นหรอก มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ" น้ำเสียงของเจนละห้อย เธอไม่ได้รู้สึกโมโหหรือโกรธเพื่อนของเธอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอโกรธตัวเองต่างหากที่เป็นคนรับภารกิจนี้มาแท้ ๆ กลับไม่ได้หาข้อมูลมาให้ดีซะก่อน แม้กระทั่งเป้าหมายก็ยังไม่รู้อย่างแน่ชัด ปกติแล้วเวลาเจนทำภารกิจก็แค่รับ ๆ มาแล้วก็ไปทำ ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากที่รายระเอียดของภารกิจให้เอาไว้เลย



ครั้งนี้รู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่ทันคิดว่าจะต้องเตรียมข้อมูลเตรียมพร้อมเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอเป็นคนรับภารกิจแบบกลุ่มหรือไม่เคยหาข้อมูลภารกิจแต่นั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้าง ถ้าหากเธออ่านรายระเอียดของภารกิจดี ๆ ล่ะก็คงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของภารกิจนี้แล้วบอกให้คนอื่นช่วยล่ะก็ ปัญหานี้คงจะไม่เกิดขึ้น



"พี่เจนอายที่ทำพลาดหรือคะ" ฟีบีเอ่ยขึ้นเสียงใสแต่มันช่างแทงใจเหลือเกิน หญิงสาวได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ เป็นคำตอบ



ตอนนั้นเองที่เจนได้ยินเสียงคนจำนวนมากดังมาจากด้านหน้า เมื่อหันไปมองตามก็พบว่ามีคนหลายกลุ่มกำลังเดินทางเข้าไปบริเวณหนองน้ำตื้น ดูท่าทางกำลังมีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากกลุ่มของเธอพลาดล่ะก็คงน่าเสียดายแย่



"ดูท่าทางคนพวกนี้กำลังจะเตรียมพร้อมสู้กับตัวอะไรบางอย่างนะ”



“จะใช่ราชาแห่งหนองน้ำหรือเปล่าคะ” คิทซึเนะถามขึ้นด้วยความสงสัย



“อาจจะเป็นได้นะ... รีบไปตามทุกคนมาที่นี่เร็วเข้าคิทซึเนะ" เจนหันไปบอกกับจิ้งจอกสาว เธอพยักหน้ารับคำแล้วรีบวิ่งกลับไปหาพวกโจทันที



เจนหันกลับมามองดูกลุ่มคนตรงหน้า เมื่อพิจารณาดี ๆ ก็พบว่าทุก ๆ คนนั้นต่างมีอาวุธครบมือ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อ แถมแต่ละคนดูท่าทางเก่งกาจ ทุกคนคงจะมียศขุนนางเป็นอย่างน้อยแน่นอน อาวุธกับชุดที่สวมใส่ก็ดูแข็งแกร่งและทรงพลังไม่ใช่น้อย บางกลุ่มเจนก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากกิลด์เดียวกันเพราะสวมชุดสีเดียวกันคล้ายกับเครื่องแบบ ถ้าหากอะไรบางอย่างที่รวบรวมคนได้จำนวนมากขนาดนี้ จะต้องเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสอย่างไม่ต้องสงสัย และนั่นก็อาจจะเป็นราชาแห่งหนองน้ำที่เจนกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้



ไม่นานนักพวกโจก็เข้ามาสมทบ แต่พวกเขายังไม่ตัดสินใจเข้าไปที่ใจกลางหนองน้ำเพราะว่าจำนวนคนมีน้อยกว่ามาก จากที่นับดู กลุ่มที่อยู่ในหนองน้ำนั้นมีคนอยู่เกือบสามสิบคนต่อหนึ่งกลุ่มเป็นอย่างน้อย ทำให้กลุ่มที่มีคนน้อยกว่าไม่กล้าเข้าไปแย่งทำเลในหนองน้ำ เจนมองเห็นผู้เล่นกลุ่มอื่น ๆ อีกมากมายที่กำลังซุ่มดูอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดียวกันกับพวกเธอ



"เฮ้ ฉันไปดูในกระดานข่าวแล้ว ดูท่าทางวันนี้จะมีคนมาล่ามอนสเตอร์บอสกันที่ป่าดึกดำบรรพ์นะ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวอะไรเหมือนกัน ตามที่ข่าวเขียนเอาไว้ว่ามีผู้เล่นไปเจอเข้ากับมอนสเตอร์บอส...หลายตัว" หนูส่งข่าวอ่านตามที่เขียนเอาไว้บนหน้าต่างแสงข้างหน้าตน คนอื่น ๆ ที่ได้ยินก็หันไปมองด้วยความแปลกใจ



"หลายตัวงั้นหรือ แปลว่าที่นี่มีมอนสเตอร์ระดับบอสมากกว่าหนึ่งตัวงั้นหรือ" ไมโกะถาม



"คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ แต่อย่าเพิ่งมั่นใจอะไรมากเลยดีกว่า ไม่เคยมีมอนสเตอร์บอสเคยรวมตัวกันมาก่อน บางทีฉันว่าไอ้คนบอกข่าวคงจะมั่วไปเองมากกว่า" ชายหนุ่มตอบคำ แต่จอมเวทหนุ่มที่สังเกตการณ์อยู่นั้นกลับไม่คิดเช่นนั้น



"นายแน่ใจหรือไอ้หนู ถ้าหากนี่เป็นข่าวลวงจริง ทำไมฉันถึงเห็นพวกกิลด์วิหคเทเวศกำลังเตรียมพร้อมลุยอยู่นั่นล่ะ" โจว่าแล้วชี้ไปยังกลุ่มผู้เล่นในชุดสีชมพูอ่อนและสีฟ้าจำนวนกว่าครึ่งร้อย



"หา! กิลด์สาวงามงั้นหรือ!?" หนูส่งข่าวอุทานขึ้นมาแล้วหันไปมองตามนิ้วของเพื่อน ทำให้คนอื่น ๆ เองก็ต้องหันไปมองตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น



กลุ่มผู้เล่นที่โจชี้ไปนั้นมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น สีของเครื่องแบบที่กิลด์นี้ใส่นั้นมีแบบแผนที่เจนมองออกแทบจะทันที คนที่ใส่ชุดสีฟ้านั้นจะเป็นอาชีพสายบู้และสายโจมตีระยะไกล แค่คนที่ใส่ชุดสีชมพูอ่อนนั้นจะเป็นสายเวทมนตร์รวมถึงสายสนับสนุน



"มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลย ทำไมกิลด์นี้ถึงไม่มีผู้ชายเลยล่ะ” เจนถามขึ้นและโจก็หันมาให้เป็นคำตอบ



"ก็เพราะกิลด์วิหคเทเวศเป็นกิลด์ที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ถึงจะมีแค่ผู้หญิงแต่ก็ดูถูกไม่ได้เพราะกิลด์นี้มีอำนาจสูงเป็นอันดับที่สามของเกม แถมยังมีปราการอยู่ถึงสองปราการประจำอยู่ในแต่ละทวีปด้วย"



"แต่ฉันได้ข่าวมาว่ากิลด์นี้ไม่ได้มีแค่หญิงแท้นะ มีหญิงเทียมมาอยู่ก็เยอะเหมือนกัน เห็นว่าต่อให้กายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงก็จะไม่ปฏิเสธ" หนูส่งข่าวบอก เจนที่ได้ยินก็ถึงกลับรู้สึกน้ำลายเหนียวขึ้นมาทันทีเมื่อคำพูดของเขาชวนให้นึกถึงตัวเธอเองซะอย่างนั้น



"งั้นก็น่าลุ้นแล้วล่ะ กิลด์ใหญ่ขนาดนั้นมาอยู่นี่ด้วย แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่" ไมโกะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอแทบอดทนรอที่จะเข้าไปยังหนองน้ำไม่ไหวแล้ว



เมื่อเวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง เจนก็เห็นแต่ละกิลด์เริ่มที่จะจัดขบวนสู้รบ อย่างที่คาดเอาไว้ กิลด์วิหคเทเวศนั้นสามารถจัดขบวนรบได้ไวที่สุด เพียงใช้เวลาไม่กี่นาที กองทัพนักรบหญิงก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับตัวอะไรก็ตามที่กำลังโผล่ออกมา แถวหลังนั้นเป็นจอมเวทในชุดอลังการกำลังร่ายเวทเตรียมพร้อมขณะที่จอมเวทขาวร่ายเวทเสริมพลังให้กองทัพ ส่วนแถวหลังสุดเป็นพลธนูที่กำลังรอคอยคำสั่งจากผู้นำทัพที่อยู่บนเนินสูงใกล้ ๆ กัน



"นั่นซึบากิ รองหัวหน้ากิลด์ของกิลด์วิหคเทเวศ ขนาดถึงกับส่งคนระดับนี้ออกมาแสดงว่าต้องมีเรื่องใหญ่แน่" โจพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ แม้จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่จะได้เจอกับมอนสเตอร์บอสนั้นเป็นเรื่องที่ชวนตื่นเต้นไม่น้อย แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์บอสก็ตาม



ทันใดนั้นเองที่ใจกลางหนองน้ำก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น ผืนน้ำที่เคยสงบกระเพื่อมไหวเป็นระรอก ผู้เล่นมี่อยู่ในหนองน้ำเตรียมพร้อมรบ ขณะที่พวกเจนและผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบนอกก็เตรียมพร้อมจะเข้าไปลุยด้วย มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีทางที่เจนจะยอมอยู่เฉย ๆ แน่ ทว่าหลังจากรอดูอยู่พักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏตัวอยู่เหนือน้ำกับเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่มีผิวสีเขียวดูคุ้นตา เจนจำได้ว่าเธอเคยกินไอ้เจ้าตัวนี้ตอนนอกเกมอยู่ครั้งสองครั้งด้วยซ้ำไป



"นั่นมัน...กบใช่มั้ยน่ะ" แจ็คลากเสียงพลางรี่ตามองให้ชัด ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อว่านั่นเป็นเจ้าตัวที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ เจนเองก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อยเช่นกันกับที่อุตส่าห์จิตนาการเอาไว้ สุดท้ายก็แค่กบธรรมดาที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ



ทว่าก่อนที่ใครจะได้สงสัยอะไร กบที่ใจกลางหนองน้ำก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นยี่สิบและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ และยิ่งโผล่ขึ้นมา ขนาดของเจ้ากบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้เจนมองเห็นกบตัวสีเขียวขนาดเท่ากับสุนัขนับร้อยตัวโผล่ขึ้นมาแล้ว



ยังไม่ทันที่เหล่าผู้เล่นจะหาทางทำอะไรกับกองทัพกบจำนวนมหาศาลนี้ได้ กบสีแดงสดขนาดใหญ่กว่าสี่เมตรก็โผล่ขึ้นมาจากหนองน้ำ และมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มีถึงสิบตัว!



กบดึกดำบรรพ์[บอส] ยศขุนนาง ระดับ20

กบที่มีอายุนับล้าน ๆ ปี อยู่มาตั้งแต่สมัยที่โลกเพิ่งสร้างขึ้นมา เมื่อก่อนมันไม่ใช่ผู้ถูกล่า แต่เป็นผู้ล่าเช่นเดียวกับไดโนเสาร์กินเนื้อ ระวังพิษร้ายแรงและลิ้นของมันให้ดี

แพ้ธาตุสายฟ้า พลังป้องกันธาตุน้ำ ดิน ไฟ สูง หากอยู่ในน้ำพลังจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่หากอยู่บนพื้นดินพลังจะลดลงอีกเท่าตัว



"โอ้แม่เจ้า!! มอนสเตอร์บอสระดับขุนนางสิบตัว! ไม่ได้โกหกจริง ๆ ด้วย!" หนูส่งข่าวตะโกนเสียงดัง ขณะที่เจนเองก็ชักดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมเข้าสู้ แม้ว่าผู้เล่นที่อยู่ในหนองน้ำจะมีอยู่หลายสิบกลุ่มและมีจำนวนคนรวมกันก็มากกว่าสองร้อยคนแล้ว แต่ทว่ามอนสเตอร์บอสกว่าสิบตัวและเจ้ากบที่เป็นลูกน้องอีกนับพันตัวนั้นก็ใช่ว่าจะทำให้พวกเขาได้เปรียบ ผู้เล่นที่อยู่รอบนอกเผยรอยยิ้มระรื่น งานนี้พวกเขามาไม่เสียเที่ยวแน่



ผู้เล่นในหนองน้ำเองก็รู้ตัวดีกว่าตอนนี้การยืนปักหลักไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาบรรเลงเวทและทักษะต่าง ๆ ใส่ทัพกบอย่างไม่ปราณีขณะที่ค่อย ๆ ถอยกลับไปบนบก จะให้สู้ในถิ่นที่พวกกบเหล่านี้ได้เปรียบไม่ใช่แผนที่ดีอย่างแน่นอน ทว่าเมื่อมองไปยังกิลด์ที่เจนคาดหวังว่าจะเป็นกิลด์ที่จะจัดการพวกกบเหล่านี้ได้มากที่สุดอย่างกิลด์วิหคเทเวศ ทุกคนที่หันไปมองต่างก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กันเมื่อเสียงกรี๊ดดังลั่นมาจากด้านหน้า



เหล่านักรบหญิงเมื่อเห็นว่าศัตรูตรงหน้าเป็นกบต่างก็ร้องกรี๊ดอย่างไม่อายใครและวิ่งหนีขึ้นบกทันที ขบวนทัพที่เคยแข็งแกร่งกลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ในพริบตา ในฐานะแม่ทัพ ซึบากิพยายามจะเรียกให้ทุกคนกลับมาเข้าประจำที่แต่ก็ไร้ผล ยังไงก็ตามผู้หญิงส่วนมากต่างก็แพ้ให้กับเจ้าตัวที่มีผิวใสเยิ้มชวนสะอิดสะเอียดนี้อยู่แล้ว ขนาดตัวเธอเองก็ยังขนลุกซู่ไปทั่วตัว สุดท้ายเมื่อหมดทางเลือกเธอจึงจำต้องประกาศถอยทัพและไปรวมพลที่ยังเหลืออยู่บนบก



"ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ดูนั่นสิ กรี๊ดอย่างกับเป็นเด็กมหาลัยเลย!" แจ็คหัวเราะลั่นอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ต่างจากซินจูและไมโกะที่มีสีหน้าพะอืดพะอมไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้



"อี๋ พี่เจน งานนี้หนูขอผ่านนะคะ เดียวหนูจะไปรอที่แค้มป์" ซินจูพูด



"ฉันด้วยคน ถ้าให้สู้กับตัวโหดแค่ไหนก็ได้แต่เจ้าตัวนี้อยู่ยั้วเยี้ยฉันไม่ไหวเหมือนกัน" ไมโกะว่าแล้วเดินกลับไปยังพี่พักพร้อมกับซินจู เจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสาวแกร่งอย่างไมโกะก็มีสิ่งที่เกลียดที่กลัวกับเขาเหมือนกัน



เมื่อสองสาวจากไปแล้วสามหนุ่มก็หันมามองเจนเป็นสายตาเดียว และเธอก็รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไง "มามองอะไรกันเล่า กะอีแค่กบฉันไม่กลัวหรอก เคยกินมาด้วยซ้ำ"



"แล้วถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเอายังไงดีล่ะ คิดว่าหนึ่งในสิบตัวนั่นเป็นราชาแห่งหนอกน้ำหรือเปล่า" แจ็คถามพลางยกปืนพกขึ้นเตรียมพร้อม เจนที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วควงดาบหนึ่งรอบก่อนที่จะหันไปมองทัพกบที่จะกลายเป็นกองเนื้อสับในไม่ช้า



"ไหน ๆ พวกมันก็โผล่มาเยอะขนาดนี้ ลงมือให้เต็มที่ไปเลยก็แล้วกัน"







เมื่อผู้เล่นที่อยู่ในหนองน้ำเริ่มถอย ผู้เล่นรอบ ๆ ที่เตรียมพร้อมเอาไว้ก็เริ่มลงมืออย่างไม่เกรงใจทันที เวทนับสิบ ๆ บทถูกร่ายและพุ่งเข้าโจมตีทัพกบจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนก็ดูไม่ได้จะลดลงเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะจำนวนของกบนั้นมีอยู่มหาศาลเกินไป ทำให้เวทของผู้เล่นแทบจะไม่มีผลเลย ตรงกันข้าม ผู้เล่นที่เป็นสายโจมตีระยะประชิดนั้นสามารถจัดการกับพวกกบได้ดีกว่าเยอะ ยิ่งเป็นคนที่ใช้อาวุธขนาดใหญ่อย่างดาบหรือค้อนแล้วยิ่งได้เปรียบ เพราะจำนวนมากทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเล็งเป้า แค่ฟาดเข้าไปเต็มแรงก็ทำให้กบตายไปนับสิบตัว



กลุ่มที่รับบทหนังก็คือจอมเวทขาวที่ต้องคอยรักษาอาการติดพิษของเหล่าผู้เล่นระยะประชิด แม้กบตัวเล็ก ๆ จะทำอันอันตรายอะไรไม่ได้ แต่เลือดของมันก็มีพิษร้ายเกือบถึงตาย ทำให้ผู้เล่นที่เข้าประชิดตัวสู้ได้ไม่นานก็ต้องถอยออกมาพักรักษาตัวกันจนแทบไม่ทัน ทำให้ต่อให้ผู้เล่นรวมตัวช่วยกันแต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย



ตอนนั้นเองอีกด้านของหนองน้ำก็มีแสงสีฟ้าส่องสว่างขึ้นมาและลำแสงก็พุ่งตัดระหว่างกลุ่มผู้เล่นและกองทัพกบ เผาผลาญกบไปเป็นจำนวนมากจนจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นที่ได้โอกาสพักต่างก็หันไปมองดูว่าเป็นฝีมือใคร และพวกเขาก็พบว่าในจุดที่ลำแสงพุ่งมานั้นมีเด็กหญิงผมสีฟ้ายาวสลวยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ด้านข้างของเธอเป็นคนที่ทุกคนรู้จักกันดี ผู้กล้าที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวโบกสะบัดไปมาจากแรงระเบิดเมื่อครู่



"ทำได้ดีมากจ๊ะ ฟีบี ต่อจากนี้ก็ไปคอยช่วยพี่แจ็คเขานะ" เจนพูดและลูบหัวของมังกรน้อยอย่างเอ็นดู ฟีบียิ้มออกมาอย่างดีใจและส่งเสียงรับคำ



"ค่ะ พี่เจน!" ใครจะไปเชื่อว่าเด็กตัวเล็กแค่นี้ความจริงแล้วเป็นมังกรที่เป็นเจ้าของลำแสงดราก้อนบรีธเมื่อครู่ ตอนนี้ทุกคนต่างเชื่อว่าเป็นฝีมือของเจนทั้งสิ้น คงมีแต่พวกเจนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้



"เอาล่ะ ฉันกับแจ็คจะคอยเสริมให้ตรงนี้เอง ส่วนเธอกับคิทซึเนะก็จัดการตามใจชอบแต่พยายามอย่าเข้าประชิดตัวนะ แล้วนายนะไอ้หนู พยายามเก็บของดี ๆ ให้ได้ละกัน" โจแจกแจงหน้าที่แล้วกระแสไฟฟ้าก็ระเบิดออกมาจากร่างราวกับเป็นหม้อแปลงไฟฟ้าที่เก็บพลังเอาไว้เต็มที่



"รับทราบ!" ทุกคนรับคำแล้วจึงออกกระจายทำตามหน้าที่ของตนทันที



เจนวิ่งเข้าใส่กบดึกดำบรรพ์ตัวที่เข้าใกล้เธอก่อนเป็นอย่างแรก ปล่อยให้กบตัวเล็กตัวน้อยเป็นหน้าที่ของคนอื่นจัดการ พอเข้าใกล้กบดึกดำบรรพ์เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวของเธอเบาขึ้นอย่างน่าแปลกใจ เรี่ยวแรงที่จู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่มา ก่อนที่เจนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวของเธอ กบดึกดำบรรพ์ตรงหน้าเธอก็กระโดดเข้าใส่เธอทันที



แม้การกระโดดกระแทกเป็นการโจมตีแบบทื่อ ๆ และสร้างความเสียหายไม่ได้มาก แต่ด้วยขนาดและน้ำหนักของกบดึกดำบรรพ์แล้วเจนมั่นใจว่านี่เป็นการโจมตีขนาดถึงตายได้เลย ร่างกายเคลื่อนไหวไวเท่าความคิด เจนพุ่งตัวหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็วแต่ทว่ามันเร็วกว่าที่เจนคาดการณ์เอาไว้มากจนทำให้เธอเกือบจะหงายหลัง ตอนนั้นเองที่เธอนึกขึ้นได้ว่ามีทักษะหนึ่งที่จะส่งผลต่อเมื่อเธอเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอสอยู่



พลังของผู้ที่ถูกเลือก ระดับ S ทักษะติดตัว

เพิ่มสถานะพื้นฐานทั้งหมดและลดการใช้พลังเวทย์มนตร์ของทุกทักษะลง 50% เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอส มินิบอสหรือผู้เล่นและมอนสเตอร์ที่มียศราชาและเทพเจ้า

เจนแอบยิ้มให้กับตัวเองและเงยหน้ามองกบดึกดำบรรพ์ที่ดูจ้องมองเธอกลับมาอย่างไร้อารมณ์ มันก้มตัวลงเตรียมพร้อมที่จะกระโดดเข้าใส่เธออีกครั้งแค่ครั้งนี้เธอจะไม่เป็นฝ่ายรับอีกต่อไปแล้ว



ร่างขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสูงหมายจะทับร่างของหญิงสาวให้จมดิน แต่ทว่าขณะเดียวกันนั้นเจนก็กระโดดสวนขึ้นไปหากบดึกดำบรรพ์ด้วยเช่นกัน เธอวาดดาบไปด้านหน้าและฟาดเข้าใส่หัวของมันเข้าอย่างแม่นยำ



ตูม!!!



ดาบผ่าเข้าผิวหนังของกบดึกดำบรรพ์ไปอย่างง่ายดาย แรงกระแทกยังส่งร่างขนาดใหญ่ของมันกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงอีกด้วย เมื่อเจนลงสู่พื้นก็พบว่ากบดึกดำบรรพ์ตัวนั้นยังไม่ตาย มันค่อย ๆ ดันร่างของตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยแม้ว่าเลือดสีเขียวจะไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด สมกับเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่มีระดับความอึดสูงกว่ามอนสเตอร์ธรรมดามาก



เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนยังไม่สิ้นฤทธิ์ เจนก็คิดจะเข้าไปจัดการให้สิ้นซาก แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปขาของเธอก็ถูกพันด้วยลิ้นที่เคลือบด้วยน้ำลายเหนียวเหนอะ ก่อนที่จะได้ทำอะไรเธอก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้าอย่างแรง ความรู้สึกของเธอเหมือนกับกำลังอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกาที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงโดยมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขาเท่านั้น เธอพยายามดิ้นให้หลุดออกแต่ต่อให้เธอเพิ่มพลังจากทักษะก็ตามแต่ก็ยังคงไม่ใกล้เคียงกับเจ้ากบดึกดำบรรพ์ตัวนี้แน่



เมื่อเห็นว่าใช้แรงเข้าสู้ไม่ได้ผลเธอจึงใช้แรงของเจ้ากบช่วยเหวี่ยงตัวเองและใช้ดาบตัดลิ้นของมันออกจากขาของเธอ ดาบคุซานางิผ่าเนื้อเหนียว ๆ อย่างง่ายดายราวกับใช้มีดผ่าเนย ร่างของเจนหลุดจากแรงเหวี่ยงลอยขึ้นไปบนฟ้า เมื่อมองลงมาก็พบว่ามีกบดึกดำบรรพ์อีกตัวที่ใช้ลิ้นเหวี่ยงเธอขึ้นมาบนนี้ เธอเห็นมันส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสเพราะเมื่อโดนตัดอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกไป ความเจ็บปวดที่ได้นั้นก็ยิ่งรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่านัก



ตอนนี้เธออยู่เหนือร่างของกบดึกดำบรรพ์ที่ถูกตัดลิ้นพอดี ตอนนี้เป็นโอกาสที่เธอจะเล่นงานมันได้โทษฐานที่มาลอบกัด ดาบยาวถูกง้างไปด้านหลัง แขนเรียวเกร็งเตรียมที่จะตวัดดาบไปด้านหน้า



ผ่ามิติ!



ตูม!!!



คลื่นดาบพุ่งเข้าปะทะร่างของกบดึกดำบรรพ์อย่างรุนแรง แถมยังจัดการกบตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ไปซะสิ้น เมื่อไอน้ำจากการระเบิดจากลงก็พบว่าเจ้ากบนั่นแค่บาดเจ็บเท่านั้นเอง ยังสามารถลุกขึ้นมาสู้ต่อได้อีก ทำให้เจนเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแม้ว่าเมื่อก่อนเธออยากจะเจอเจ้าตัวที่ทนมือทนเท้าซักหน่อยก็ตาม



"บ้าจริง ทำไมไอ้เจ้าพวกนี้มันถึงอึดแบบนี้ล่ะ" เจนพูดผ่านช่องสื่อสารกลุ่มขณะที่เธอลงสู่พื้นน้ำใกล้ ๆ กับกบลิ้นด้วน แต่ในขณะเดียวนั้นเองเธอก็ต้องระวังกบดึกดำบรรพ์ตัวอื่นด้วย โดยเฉพาะเจ้าตัวที่เจนฝากแผลไว้ในตอนแรก มันต้องกำลังจ้องเล่นงานเธออยู่อย่างแน่นอน



"นี่มันมอนสเตอร์ระดับบอสนะ ถ้ามันตายง่าย ๆ มันจะใช่บอสมั้ยล่ะ! เอานี่ไปกิน!!" โจตะโกนตอบพร้อมกับสาดสายฟ้าขนาดใหญ่ย่างสดทัพกบจนกลิ่นไหม้คละคุ้งไปทั่ว ในขณะเดียวกัน คิทซึเนะก็ใช้ลูกไฟพุ่งเข้าเผาร่างของพวกกบแม้จะไม่ได้ผลเท่ากับสายฟ้าแต่บอลเพลิงของเธอนั้นเป็นธาตุไฟระดับสูง ใช้บอลเพียงไม่กี่ลูกก็สามารถจัดการกบขนาดใหญ่ได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าจะให้สู้กับกบดึกดำบรรพ์ตอนนี้จิ้งจอกสาวก็ต้องวัดใจดูว่าพลังป้องกันของมันกับบอลเพลิงของเธอ ฝ่ายไหนจะแน่กว่ากัน



คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้ลงมืออะไรมากมาย แจ็คนั้นใช้ปืนได้แค่กระบอกเดียวเพราะว่าปืนอีกกระบอกเป็นธาตุไฟ ยิงไปก็ไม่ระคายผิวของกบพวกนี้ ส่วนฟีบีนั้นก็ยังใช้ดราก้อนบรีธติดต่อกันไม่ได้ในร่างนี้ เป็นเพราะเจนยังไม่อยากให้ความลับของมังกรน้องแพร่งพรายทำให้เธอใช้ได้พลังโล่ช่วยคุ้มกันแจ็คจากการโจมตีของกบทั้งหลาย สุดท้ายก็คือหนูส่งข่าวที่รอดูอยู่ด้านนอกที่ยังไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเลือดพิษของเจ้ากบนับพัน



ขณะเดียวกันนั้นเองที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ เริ่มเข้ามาจัดการกับกองทัพกบบ้าง ซึบากินำทัพกิลด์วิหคเทเวศที่ลดขนาดลงอย่างน่าใจหายกลับมาจัดการกับกบดึกดำบรรพ์ แม้ว่าเธอจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าซักวันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับขนาดที่เธอเอาไม่อยู่ นับว่าหนนี้เธอพลาดไปแล้วจริง ๆ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องมาเจอกองทัพกบจำนวนมหาศาลขนาดนี้ พอเธอกลับมาจุดที่เธอเคยตั้งทัพเอาไว้ก็พบว่าถูกผู้เล่นจำนวนมากมาแย่งที่ซะแล้ว จากสีหน้าของพวกเขาในตอนนี้คงจะไม่ยอมยกทีคืนให้พวกเธอดี ๆ แน่



ทันใดนั้นเองซึบากิก็เหลือบไปเห็นร่างในชุดขาวกำลังเข้าต่อสู้กับกบดึกดำบรรพ์ตัวต่อตัวได้อย่างสูสี ตอนแรกเธอคิดว่านั่นเป็นแค่พวกที่ชอบแต่งตัวเลียนแบบ แต่คนที่สามารถสู้กับมอนสเตอร์บอสได้เช่นนี้ไม่ได้มีอยู่เยอะนักทำให้เธอแน่ใจว่าต้องเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรีบนำทัพเข้าไปหาทันที



เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบว่าบริเวณนี้มีกองทัพกบอยู่น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ที่พวกผู้เล่นกำลังเข้าไปจัดการกันอยู่จนแทบไม่เหลืออยู่แล้ว แถมจุดนี้ยังมีกบดึกดำบรรพ์อยู่ถึงสองตัวแต่จากที่มองแล้วกลับมีสถานการณ์ดีกว่าจุดอื่น ๆ ซะอีก ซึบากิมองดูผู้กล้าในชุดขาวเข้าสู้กับกบดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งที่บาดเจ็บหนักจนคลั่ง พุ่งเข้าใส่จนไม่สนร่างกายของตัวเองว่าบาดเจ็บแค่ไหน แต่ผู้กล้าก็เคลื่อนตัวหลบได้อย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เพียงแค่รอจนเจ้ากบตัวนี้หมดแรงเท่านั้นก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย



อีกด้านดูท่าจะเป็นพรรคพวกของผู้กล้าในชุดขาวที่มีกันเพียงแค่สี่คน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อีกด้วย ซึกบากิมองดูสาวงามในชุดยูกาตะเข้าสู้กับกบดึกดำบรรพ์ที่มีบาดแผลและรอยไหม้ไปทั้งตัว มันพยายามจะโจมตีใส่หญิงสาวคนนั้นทั้งกระโดดใส่หรือใช้ลิ้นกับตัวเอาไว้ แต่กลับไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่น้อยเพราะลูกไฟสีฟ้าคอยป้องกันเอาไว้อยู่ ขนาดกบพวกนี้มีพลังป้องกันธาตุไฟสูงแต่เมื่อเจอกับลูกเพลิงจำนวนมากก็ไร้ประโยชน์ไปทันที นอกจากนั้นมันยังเจอเข้ากับสายฟ้าขนาดใหญ่โจมตีใส่อย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก ซึบากิรู้สึกทึ่งกับหญิงสาวผู้ใช้เพลิงอย่างเก่งกาจและจอมเวทหนุ่มผู้ใช้สายฟ้าอย่างทรงพลังไม่น้อย ผู้เล่นที่ใช้เวทสายฟ้าเป็นหลักนั้นมีอยู่เยอะ แต่ไม่มีใครที่ใช้เวทได้ทรงพลังเท่ากับชายคนนี้เลย



ไกลออกไปหน่อยเธอเห็นชายร่างใหญ่กำลังใช้ปืนคอยยิงสนับสนุนและเด็กหญิงยืนอยู่ข้าง ๆ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่าเด็กคนนั้นจะมาทำไมแต่ซึบากิก็คาดการณ์เอาไว้ว่าเธอจะต้องมีฝีมือไม่น้อยเช่นกัน



"เจน นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ!" เสียงตะโกนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อมองตามไปซึบากิก็พบว่ากลุ่มของผู้กล้าในชุดขาวไม่ได้มีแค่นี้ ยังมีผู้หญิงอีกสองคนกำลังวิ่งเข้ามาสู่สนามรบ ดูท่าทางทั้งคู่จะเป็นพวกที่เกลียดและกลัวกบอย่างที่พวกลูกกิลด์ของเธอที่หนีกลับที่พักไปเช่นกัน แต่พอเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นทั้งสองเอาชนะความกลัวของตนเองได้และกลับมาช่วยเพื่อนของพวกเธอ



"มาก็ดีแล้ว! ไมโกะไปช่วยเจน พวกเราจัดการเจ้าตัวนี้เอง ซินจูช่วยเสริมพลังทุกคนด้วย" คนที่ตอบไม่ใช่ผู้กล้าในชุดขาว แต่เป็นจอมเวทสายฟ้าที่กำลังเร่งพลังจนสายฟ้าระเบิดออกจากร่างดูน่าเกรงขาม หญิงสาวทั้งสองที่เพิ่งมาถึงพยักหน้ารับแล้วเข้าประจำที่ทันที จอมเวทขาวไปยืนอยู่ข้าง ๆ มือปืนหนุ่ม ส่วนสาวผมดำอีกคนนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนซึบากิมองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีเธอก็ใช้ดาบแทงเข้าที่กลางหลังของกบดึกดำบรรพ์ที่ผู้กล้าในชุดขาวกำลังสู้ด้วยแล้ว



"ระวังพิษนะพี่ไม! พิษของมันอยู่ตามผิวหนังกับเลือด รักษาระยะเอาไว้ก่อน" เสียงขอผู้กล้าสีขาวตะโกนบอก



"สลับกันโจมตี เข้าใจแล้ว!" หญิงสาวตะโกนกลับมาก่อนที่จะทำอย่างเดียวกับผู้กล้าสีขาว



ซึบากิอดที่จะชื่นชมให้กับทีมเวิร์คของคนกลุ่มนี้ไม่ได้ แม้จะขาดตัวชนไปแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนี้มีทั้งฝีมือและการร่วมมือได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าผู้เล่นหลายกลุ่มแถวนี้ซะอีก แต่ว่าตอนนี้เธอก็เอาแต่มองอยู่ไม่ได้ เธอต้องการที่จะจัดการเจ้ากบพวกนี้ ถ้าหากปล่อยเอาไว้มีหวังคงจะต้องพลาดโอกาสแน่ ตอนนี้จุดอื่น ๆ โดนพวกผู้เล่นแย่งกันสู้จนเธอไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วย เธอเลยหวังว่าจะเข้าไปขอกบดึกดำบรรพ์จากคนกลุ่มนี้ซักตัวหนึ่ง หวังว่าพวกเขาคงจะมีน้ำใจแบ่งให้ ถ้าอย่างนั้นเธอคงมาเสียเที่ยว



"ฉันมีชื่อว่าซึบากิ รองหัวหน้ากิลด์วิหคเทเวศ! พวกฉันขอเข้าไปช่วยแต่ขอเจ้ากบดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งจะได้หรือเปล่า" ซึบากิตะโกนเสียงดัง เธอและคนในใต้สังกัดยืนรอข้อความตอบกลับอย่างอดทน ถ้าหากว่ากลุ่มนี้ไม่ยอมแบ่งเธอก็คงต้องถอยกลับไป แม้ใจหนึ่งเธอคิดจะแย่งกบดึกดำบรรพ์ของพวกนี้มาซักตัว แต่ด้วยเกียรติของกิลด์วิหคเทเวศทำให้เธอไม่ยอมลดตัวไปทำอย่างนั้นแน่



รออยู่ไม่นานเธอก็ได้คำตอบ แถมคำตอบนั้นก็ยิ่งทำให้เธอแปลกใจมาก เพราะว่ากบดึกดำบรรพ์ที่พวกเขายกให้เธอนั้นไม่ใช่ตัวที่จอมเวทสายฟ้ากำลังสู้อยู่ แต่เป็นตัวที่บาดเจ็บใกล้ตายโดยฝีมือของผู้กล้าสีขาวนั่นเอง



"พวกเธอเข้าไปจัดการอีกตัวได้เลย เจ้าตัวนี้พวกเราจัดการเอง!" เสียงตะโกนของจอมเวทหนุ่มบอกพร้อมทั้งชี้ไปทางผู้กล้าสีขาวที่กำลังทำท่าจะถอยกลับมา แม้ว่าจะดีใจแต่เธอยอมให้ทำเช่นนั้นไม่ได้ ซึบากิชักดาวกระจายอันยักษ์ออกมาแล้วหันไปสั่งให้ลูกกิลด์เข้าไปช่วยจอมเวทสายฟ้าทันที



"เดี๋ยวฉันจะไปช่วยพวกนายจัดการเข้าตัวที่ใกล้ตายนั่นเอง เอาไว้จัดการได้แล้วฉันจะมาเก็บเจ้ากบตัวนี้ ฝากพวกนายย่างสดมันไปก่อนแล้วกัน!" พูดจบซึบากิก็พุ่งเข้าหาพวกผู้กล้าชุดขาวทันที





เจนและไมโกะมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ ตอนแรกพวกเธอยกเจ้ากบตัวนี้ให้เพราะไม่อยากจะมีปัญหากับกิลด์ใหญ่อย่างวิหคเทเวศ แต่ดูท่าทางกิลด์นี้จะไม่ได้เป็นกิลด์ที่ร้ายกาจอย่างกิลด์จันทร์เดือนมืดหรือกิลด์พิฆาตราชาอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก



ดาวกระจายยักษ์พุ่งเข้าเฉือนขาหน้าจนแหว่ง ทำให้สภาพของกบดึกดำบรรพ์ตัวนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมจนใกล้ได้เวลาปิดฉากแล้ว เจนมองดาวกระจายพุ่งกลับมาหาเจ้าของซึ่งก็ใช้มือรับเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ดาวกระจายนี้มีขนาดใหญ่ ดูแข็งแกร่ง พลังทำลายสูงและหนักมากทีเดียว แต่หญิงสาวคนนี้กลับสามารถขว้างได้ด้วยมือเดียวทำให้เจนแน่ใจว่าเธอเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแน่นอน



"ถึงจะแนะนำตัวไปแล้วแต่ก็ขอแนะนำตัวอีกครั้งแล้วกันนะ ฉันมีชื่อว่าซึบากิ มาจากกิลด์วิหคเทเวศ ขอบคุณมากที่ยกเจ้ากบตัวนั้นให้พวกเรา" หญิงสาวแนะนำตัวพร้อมกับชี้ไปยังกบดึกดำบรรพ์อีกตัวที่กำลังถูกรุมยำจนเริ่มที่จะมีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างจากเจ้าตัวข้างหน้านี่



"ฉันชื่อว่าเจน ส่วนนี่มีชื่อว่าไมโกะ พวกเรายินดีจะช่วยอยู่แล้ว" เจนแนะนำตัว



"ดูท่าทางฉันคงไม่ต้องออกแรงอะไรมากแล้วล่ะ จากภาพของมันฉันว่าเธอควรจะปิดฉากได้แล้ว ก่อนที่มันจะคิดระเบิดตัวเองนะ" ซึบากิว่าแล้วชี้ไปยังกบดึกดำบรรพ์ที่อยู่ใกล้พวกเธอ ตอนนี้กำเหมือนกับยืนคุมเชิงพวกเธออยู่แต่ตัวของมันก็บวมขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามีใครกำลังสูบลมเข้าไปในตัวมัน



"รีบหน่อยก็ดีนะเจน ถ้าหากปล่อยให้มันระเบิดล่ะก็ พวกเราได้เจอพิษร้ายแรงกันถ้วนหน้าแน่" ไมโกะว่า เจนพยักหน้าเข้าใจแล้วยกดาบขึ้นเตรียมที่จะปิดฉาก



"ไม่ต้องห่วง อีกแค่ดาบเดียวก็เรียบร้อยแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดามสีดำไร้ซึ่งคราบเลือดใด ๆ เกาะติดชี้ลงพื้นก่อนหญิงสาวจะวาดดาบเข้าใส่กบผู้น่าสงสารที่กำลังนับถอยหลังจบชีวิตตนเอง



ผ่ามิติ!!



คลื่นดาบพุ่งออกจากคุซานางิเข้าใส่ร่างที่ขนาดใหญ่จนเกือบสองเท่าของขนาดเดิมของมัน คลื่นดาบเข้าปะทะร่างของมันโดยที่ไม่มีสิทธิ์จะหลบได้เลย เพียงพริบตาเดียว ร่างของมันก็ระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ เลือดพิษของมันสลายกลายเป็นแสงก่อนที่จะมีโอกาสได้ทำร้ายใครอีก



"เอาล่ะ ที่เหลือพวกเราก็ไปจัดการเจ้ากบอีกตัวกันเถอะ" เจนพูดก่อนจะหันไปดูกบดึกดำบรรพ์อีกตัวที่กำลังคลั่ง



ทว่าก่อนที่เธอจะได้เข้าไปสมทบกับพรรคพวกของเธอ ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากใจกลางหนองน้ำพร้อมกับร่างของเจนถูกพันธนาการด้วยลิ้นกบที่มีขนาดใหญ่จนสามารถพันร่างของเธอได้ทั้งร่าง!



"เจน!!" ไมโกะตะโกนอย่างตกใจและพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ทว่าลิ้นขนาดใหญ่นั้นกำลังดึงเจนกลับเข้าไปหาเจ้าของร่างอย่างรวดเร็วจนนักฆ่าสาวและซึบากิตามไปไม่ทัน หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดแต่ลิ้นของมันทรงพลังยิ่งกว่ากบดึกดำบรรพ์ซะอีก ขนาดแม้จะขยับดาบในมือยังทำไม่ได้เลย



ก่อนที่เจนจะได้ใช้วิธีสุดท้ายที่เธอคิดออกที่จะหลุดออกมาจากพันธนาการ ลิ้นขนาดใหญ่ก็ถูกตัดขาดสะบั้น ปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ เมื่อมองไปดูวาใครเป็นผู้ที่ช่วยเธอออกมาก็พบว่าเป็นคนที่ทำให้เธอต้องตกใจมากขนาดร่างขนาดยักษ์ด้านหลังซึ่งเป็นเจ้าของลิ้นขนาดใหญ่กำลังปรากฏขึ้นมาเหนือน้ำยังทำให้เจนหันไปสนใจยังไม่ได้



"..ท...เธอ" เจนพูดเสียงสั่น ไม่นึกเลยว่าเธอจะได้กลับมาพบกับคน ๆ นี้อีกได้เร็วขนาดนี้ แถวครั้งนี้ยังมีบางสิ่งที่เจนไม่เคยเห็นบนใบหน้าของคน ๆ นี้มาก่อน นั่นก็คือรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขโดยไร้การเสแสร้ง



"สวัสดีค่ะคุณเจน ถึงจะไม่เท่ากับที่คุณช่วยฉันเอาไว้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้มีโอกาสตอบแทนคุณได้แล้ว" เสียงหวานดังออกมาจากหญิงสาวในชุดสีดำ ดาบคาตะนะโทรม ๆ ในมือกำลัง เปื้อนเลือดสีเขียวเป็นหลังฐานว่าเธอเป็นผู้ที่จัดการตัดลิ้นขนาดยักษ์นั่นได้ หญิงสาวผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นนักฆ่า 'อีกา'



จบตอนที่ 39 พบวิหค

--------

Tohan-kun
5th February 2014, 14:53
ตอนพิเศษ ยามตะวันรุ่ง



ดวงตาสีดำลึกล้ำตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืด สิ่งแรกที่เธอเห็นคือเพดานหินสีเหลืองสกปรกที่ตื่นขึ้นมาเห็นตลอดหลายปี แม้ว่าเพิ่งจะลุกขึ้นจากเตียงแต่ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกอ่อนล้าจากการทำงานมาจากเมื่อวันวาน



สำหรับคนปกติคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้สึกเช่นนี้หลังจากการใช้แรงงานหนักทั้งวัน แต่สำหรับเด็กสาวอายุเพียงแค่สิบหกปีนั้น การขุดเหมืองถ่านหินทั้งวันนั้นไม่ใช่งานของเด็กสาวอย่างเธอเลย



ร่างกายของเธอผอมซูบเพราะอาหารที่มีให้เพียงน้อยนิด เธอถอดเฮดก็อกเกิ่ลที่สวมอยู่ด้วยมือที่สั่นเทาอย่างไร้เรี่ยวแรง การให้เด็กสาวอย่างเธอมาทำงานขุดเหมืองเช่นนี้เท่ากับเป็นเร่งอายุขัยให้หมดเร็วขึ้นทุกวัน และเธอก็แน่ใจว่าเวลาของเธอคงเหลืออยู่อีกไม่นานแล้ว



"เอาล่ะอามีร่า ก็แค่วันธรรมดาอีกวัน สู้ ๆ" เสียงแหบแห้งของเธอพยายามให้กำลังตัวเอง แม้ใจในรู้ว่าเวลาของเธอใกล้จะมาถึงแล้ว



อามีร่าอยู่ในห้องพักรวมที่มีหญิงสาวอีกนับร้อยนอนร่วมกัน คนอื่น ๆ ในห้องเริ่มที่จะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเพราะพวกเขาต่างก็ตื่นเพราะถูกตั้งเวลาเอาไว้จากเฮดก็อกเกิ่ลบนหัวให้ลุกขึ้นไปทำงานของตนที่ทุกคนในที่นี้ต่างไม่มีใครเต็มใจจะมาทำแม้แต่คนเดียว



เตียงที่อยู่ข้างอามีร่ายังคงไม่ลุกขึ้นมา บนเตียงนั้นเป็นหญิงสาววัยกลางคนกำลังหายใจหอบราวกับกำลังเป็นไข้ และเธอก็เป็นเช่นนี้มานานหลายวันแล้ว



อามีร่าจับมือของหญิงสาวคนนั้นและบีบเบา ๆ ให้รู้ว่ามีคนอยู่เคียงข้างเธอในเวลานี้ แรงบีบเบา ๆ เป็นสัญญาณตอบกลับบอกให้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้รู้สึกตัวอยู่เช่นกัน



เธอไม่อยากจะจากผู้หญิงผู้หญิงคนนี้ไปไหนเลย เพราะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสายสัมพันธ์สุดท้ายของอามีร่ากลับครอบครัว...



ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเธอ



"เข้มแข็งเอาไว้นะคะคุณแม่... อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว" เสียงปลอบประโลมที่อามีร่าเพียนพร่ำบอกกับแม่ของเธอและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในขุมนรกทุกวัน นี่เป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนกับเป็นคาถาเรียกพลังใจให้มีชีวิตต่อไป เป็นแสงแห่งความหวังแม้ว่ามันจะเลือนรางก็ตาม



เสียงกระทืบเท้าเดินดังแว่วมาจากด้านนอกประตูห้อง บอกให้อามีร่ารู้ว่าผู้ที่จับตัวพวกเธอมากำลังจะมาพาทุกคนออกไปยังเหมืองนรกแล้ว



"รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว ในวันนี้ทุกคนจะต้องออกไปทำงาน!!" เสียงตะโกนดังลั่นของชายผิวสีเข้มในชุดทหารที่มาพร้อมกับปืนกระบอกใหญ่ที่ทำให้อามีร่าตัวสั่นแม้เพียงแค่เหลือบตามอง



ทุก ๆ คนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดหมีสีดำที่เคยเป็นสีน้ำเงินมาก่อน แต่เป็นเพราะไม่เคยถูกซักมาก่อนจนทำให้ถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำด้วยถ่านหิน ในห้องนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเป็นส่วนตัว ทุกคนต่างรีบถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนชุดโดยพยายามจะไม่สนใจสายตาของทหารที่กำลังยืนมองอยู่หน้าประตู เพราะถ้าหากขืนชักช้าล่ะก็อาจจะถูกทำโทษหรือถูกพาตัวไปยังในห้องมืด ที่ ๆ ทุกคนยอมไปทำงานเหมืองถ่านหินดีกว่าจะไปยังที่นั่น



เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของอามีร่า ดวงตาของทหารหันมาเห็นร่างของหญิงสาวที่ยังนอนอยู่บนเตียง ไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปทำงานตามคนอื่น ๆ เขาก้าวเท้าตรงเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นทันที และหญิงสาวคนนั้นก็คือแม่ของอามีร่าที่กำลังนอนป่วยอยู่นั่นเอง



ก่อนที่ร่างของทหารจะเดินไปถึง อามีร่าก็เอาตัวของเธอเข้ามาขวางซะก่อน "ขอร้องล่ะค่ะ! คุณแม่กำลังป่วย ท่านลุกขึ้นไปทำงานไม่ไหวแล้ว!"



"ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ทุกคนจะต้องออกไปทำงาน เมื่อวานยัยนี่ก็เอาแต่นอนทั้งวัน โควต้าของเดือนนี้ยังไม่ถึงครึ่ง ถ้าหากมัวแต่อู้แบบนี้เมื่อไหร่มันถึงจะครับได้ตามกำหนด หา!" ทหารตะคอกใส่และเดินเลี่ยงอามีร่าเข้าไปหาแม่ของเธอ



"ขอร้องล่ะค่ะ ฉันจะทำงานให้หนักขึ้นให้กับส่วนของคุฯแม่เอง ขอร้องล่ะค่ะให้ท่านได้พักเถอะ!" หญิงสาวพยายามกรีดร้องอ้อนวอน แขนลีบไร้เรี่ยวแรงพยายามจะรั้งร่างสูงของทหารเอาไว้แต่ก็ไร้ผล ครั้นคนอื่น ๆ จะให้เข้าไปช่วยแต่ก็ไม่มีใครอยากจะเอาตัวเองไปท้าทายกับพานท้ายปืน



"ยัยนี่อยากโดนนักใช่มั้ย! ถ้างั้นวันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน แต่จะไปที่ห้องมืดกับข้านี่แหละ!" ทหารผิวสีตะโกน อามีร่าเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะเธอเห็นสภาพคนที่กลับมาจากห้องมืดแล้วไม่มีใครยิ้มได้อีกเลน แม้ไม่อยากจะรู้แต่ก็รู้ว่าในห้องมืดนั้นเธอจะเจอกับอะไร เสียงอ้อนวอนของเด็กสาวดังโหยหวนแต่ก็ไม่อาจจะหยุดร่างสูงของทหารผิวสีผู้นี้ได้



"คนอื่น ๆ ถ้าหาข้ากลับมาแล้วยังไม่เตรียมพร้อมล่ะก็ ข้าจะพาพวกแกไปห้องมืดให้หมดทุกตัว!!" พูดจบ เขาก็กระชากแขนของอามีร่าออกไปจากห้อง แม้น้ำตาแงะเสียงร้องไห้จะดังแค่ไหนก็ไม่อาจดังเข้าไปถึงในจิตใจของชายผู้นี้ได้ คนอื่น ๆ ได้เพียงแต่มองตามไปอย่างเวทนาและนำอาหารที่ซุกซ้อนเอาไว้มาให้กับแม่ของอามีร่า นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเธอช่วยได้เท่านั้น







โครม!!



เสียงของร่างบางถูกโยนลงพื้นอย่างไม่รั้งมือ ในห้องมืดที่เธออยู่นี้มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธออยากให้มันมืดสนิทเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งที่ทหารผิวสีตรงหน้าเธอกำลังจะทำ



ทหารผิวสีมองไปยังร่างที่สั่นเทาอย่าง*****มกระหาย เขารอวันนี้มานานมากแล้ว วันที่เธอพลาดแล้วจะได้หาข้ออ้างพามายังในห้องนี้ แม้จะมีคำสั่งห้ามแตะต้องตัวเธอ แต่ดูจากสภาพแล้ว เด็กสาวคนนี้คงอยู่ได้อีกไม่เกินเดือนนี้แน่ ก่อนที่ของจะเสีย ขอลิ้มรสหน่อยเถอะ!



มือหนาค่อย ๆ เอื้อมเข้าไปหาร่างบาง อามีร่าทำได้แค่เพียงอดกลั้นเสียงสะอื้นแต่ไม่อาจหยุดน้ำตาที่ไหลรินออกมาได้



ทว่าทันใดนั้นเอง อามีร่าก็เห็นเงามืดด้านหลังของทหารผิวสีแว่บหนึ่ง และร่างของทหารผู้นี้ก็ถูกมือสีดำลากเข้าไปในเงามืดทันทีทำให้เธอรู้ว่านั่นไม่ใช่ภาพลสงที่เธอคิดขึ้นเอง



เสียงฟิดฟัดของทหารผิวสีดังเพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่จะเงียบไป อามีร่าพยายามยันร่างของตัวเธอขึ้นมามองดูแต่แสงจากหลอดไฟที่แขวนอยู่บนเพดานนั้นไม่สว่างพอที่จะทำให้เธอมองเห็นทหารผิวสีด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าของมือในเงามืดเลย



ทว่าตอนนั้นเองที่ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากจุดที่ทหารผิวสีหายตัวไป อามีร่ามั่นใจว่าเขาต้องเป็นเจ้าของมือในเงามืดแน่ ๆ เพราะภายในห้องนี้ไม่น่าจะมีใครอื่นอีกแล้ว



ชายผู้นี้เป็นชายร่างสูง เขามีผมสั้นสีทองที่สวยที่สุดที่อามีร่าเคยเห็น ใบหน้าคมได้รูปดูราวกับเทพบุตร ดวงตาสีม่วงดูน่ากลัวกำลังจ้องมองลงมาที่เธอราวกับยมทูตกำลังรอคอยที่จะเก็บวิญญาณของเธอไป เขาอยู่ในชุดทหารสีดำคล้ายกับชุดนาวิกโยทินแต่ดูทันสมัยกว่า ข้างตัวเขาก็มีปืนพกกระบอกใหญ่ดูน่ากลัวไม่แพ้กับปืนกลของทหารผิวสี เพียงแต่เขาไม่ได้ใช้ปืนนั้นชี้มาที่เธอเท่านั้นเอง



ชายหนุ่มย่อตัวลงมาหาอามีร่าแล้วพูดภาษาอะไรบางอย่างออกมาที่เธอไม่เข้าใจ เขาพยายามพูดอีกครั้งแม้จะไม่เข้าใจแต่เธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ภาษาเดิม ชายหนุ่มพยายามพูดคุยกับหญิงสาวจนกระทั่งเธอได้ยินเสียงของเขาในภาษาที่เธอเข้าใจ "ไม่ต้องกลัวนะ ผมมาช่วยคุณ...คุณเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า"



มือบางรีบคว้าไปยังแขนเสื้อของชายตรงหน้าเป็นสัญญาณว่าเธอเข้าใจ "ได้โปรดช่วยแม่ของฉันด้วย...แล้วก็ยังมีคนอื่น ๆ อีก..-"



"ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะพาทุกคนออกไปทั้งหมด" ชายหนุ่มพูดกับอามีร่าแล้วยื่นมือเข้ามาหา หญิงสาววางมือลงให้อย่างไว้ใจ และลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านร่างของทหารผิวสีที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนพื้นห้องใกล้ ๆ ไปพร้อมกับชายผู้นี้



"โกลด์เด้นฮอค์ก นี่คือไนฟ์เฮด ผมได้ตัวเธอแล้ว" ชายหนุ่มหันไปพูดในวิทยุ แม้ว่าหญิงสาวที่เขาพามาด้วยจะไม่รู้จักภาษาที่เขาใช้ในตอนนี้ แต่เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าเขาพูดอะไรเช่นกัน



"ทีมอัลฟ่าพูด ทางเราเคลียร์นักโทษเรียบร้อยแล้ว" เสียงในวิทยุตอบกลับมา



"นี่ทีมชาร์ลี พวกเรามาถึงห้องตัวประกันที่เป็นชาวบ้านแล้ว เตรียมพร้อมเคลื่อนย้าย"



"ทีมเรนเจอร์..แยกทหารที่โดนบังคับมาจากหมู่บ้านได้ทุกคนแล้ว" เสียงอื่น ๆ ในวิทยุไล่ตอบอย่างเงียบเชียบในระหว่างที่ชายหนุ่มเปิดตากว้างจ้องมองด้านนอกห้องที่เขาและอามีร่ากำลังซ่อนตัวอยู่อย่างระมัดระวังว่าจะมีใครมาพบเข้า



"นี่โกล์ดเด้นฮอค์กรับทราบแล้ว ทีมเดลต้าเตรียมบุกได้ แจ้งทุกหน่วย ตอนนี้สามารถกำจัดแทงโก้ได้แล้ว อนุญาตให้ใช้อาวุธสังหาร ทุกทีมเตรียมพร้อม วีทอล์จะไปถึงในอีกห้านาที" เสียงในวิทยุดังตอบกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่ม ชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอกห้องและหันมาจับมือของอามีร่าแน่นก่อนจะตอบกลับไป



"ไนฟ์เฮดรับทราบ ทีมเดลต้าเจอกันที่จุดนัดพบอีกสองนาที" พูดจบชายหนุ่มผู้ใช้ชื่อรหัสไนฟ์เฮดก็เดินออกจากห้องมืดโดยใช้มือซ้ายพาอามีร่าเดินตามมาด้วย ส่วนมือขวานั้นมีปืนพกที่ติดกระบอกเก็บเสียงเอาไว้อย่างดีชี้ไปด้านหน้า เตรียมพร้อมที่จะยิงอริทุกเมื่อ







ไนฟ์เฮดพาอามีร่าเดินผ่านในจุดที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือที่ไหน ตลอดหลายปีเธอใช้ทางเดินเพียงแค่ทางเดียวนั่นก็คือทางลงไปยังเหมืองถ่านหิน ตอนนี้เธอมาอยู่ตรงทางขึ้นไปยังด้านบนพื้นดินที่อามีร่าจำได้ว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีทหารอยู่เต็มไปหมด เขาจะพาเธอออกไปได้อย่างไร และแม่ของเธออยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า



"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยู่เงียบ ๆ และอยู่ข้างหลังผมเอาไว้ เข้าใจนะ" ไนฟ์เฮดหันมาพูดกับอามีร่า ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับรู้แม้ว่าเธอต้องการจะถามอะไรหลายอย่างกับเขาเหลือเกิน อย่างเช่นเขาเป็นใคร และใครเป็นคนที่ส่งเขามา



ตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหน้าพร้อมกับเสียงพูดคุยของทหาร ไนฟ์เฮดรีบดึงร่างของอามีร่าหลบเข้าชิดกำแพงทันที ใต้ดินนี้แสงไฟส่องไปไม่ทั่วทางเดิน บริเวณริมกำแพงที่พวกเขายืนอยู่นั้นเป็นเงามืดแต่อามีร่าไม่คิดว่ามันจะมากพอที่จะใช้ซ่อนตัวได้ แต่ทว่าเมื่อทหารสองคนนั้นเดินผ่านพวกเธอไปโดยไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยก็ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าพื้นที่แคบ ๆ ขนาดนี้สามารถใช้หลบสายตาจากคนอื่นได้



"อัลฟ่า นี่ไนฟ์เฮด แทงโก้สองตัวกำลังไปทางนาย" ชายหนุ่มพูดกระซิบอย่างแผ่วเบา



"รับทราบ"



ปุ! ปุ!



เสียงเหมือนระเบิดดังเบา ๆ พร้อมกับเสียงเหมือนใครบางคนล้มลงบนพื้น แต่อามีร่ามองไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเองที่เธอก็เห็นชายอีกคนที่ใส่ชุดคลายกับชายที่อยู่ตรงหน้าเธอปรากฏตัวขึ้นและพยักหน้ามาทางเธอ แต่ความจริงแล้วเขาพยักหน้าให้กับไนฟ์เฮด



"ทุกทีมเข้าประจำที่แล้ว พวกเราจะอยู่ดูแลพัสดุ รอจนกว่านายและเดลต้าเคลียร์ทางให้แล้วจะตามออกไป" ชายหนุ่มคนนั้นพูด ไนฟ์เฮดพยักหน้าตอบแล้วจึงพาอามีร่าค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบเชียบ



เมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นบนสุดแล้ว สิ่งที่เด็กสาวเห็นคือชายที่เป็นพรรคพวกของไนฟ์เฮดเกือบสิบคนกำลังยืนรออยู่ พวกเขาแต่งชุดคล้ายกับเขาแต่สิ่งที่ต่างออกไปคือปืนในมือของพวกเขาที่มีกระบอกโตดูน่ากลัวกว่ามาก แถมบนหมวกยังมีกล้องมองกลางคืนติดอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาพูดกับไนฟ์เฮดพร้อมกับพาไปหลบในมุมมืดใกล้ ๆ



"ไอ้กล้ามในนี้มีเยอะมาก เสี่ยงเกินไปที่จะเปิดฉากยิง จุดที่พวกเราอยู่ล่อแหลมมากถ้าหากมีการปะทะ ผมคิดว่าถ้าหากพวกเราถอยกลับไปตั้งรับในชั้นใต้ดินน่าจะได้เปรียบกว่านี้ แต่ก็เสี่ยงที่จะมีผู้โดนลูกหลงหรือบางทีไอ้กล้ามพวกนี้อาจจะถล่มปิดปากไปเลยก็ได้ คุณคิดว่ายังไง" ชายคนนั้นถามไนฟ์เฮด เขาหันมองดูพื้นที่รอบ ๆ ที่ตรงนี้เสี่ยงมากเกินไปอย่างที่ว่าจริง ๆ จุดกำบังมีอยู่น้อยมาก ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะรอดได้ถ้าหากพวกทหารแบ่งแยกดินแดนรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงจุดนี้



"ถ้าเป็นผมล่ะก็คงจะค่อย ๆ บุกออกไปจัดการพวกมันแต่เวลาน้อยเกินไป... พวกเราต้องการจุดเบี่ยงเบนความสนใจ" ไนฟ์เฮดว่าแล้วยกมือขึ้นแตะวิทยุที่หู "ถึงวีทอล์ คุณอยู่ที่ไหน พวกเราต้องการกำลังสนับสนุนทางอากาศ"



"กำลังจะไปถึงที่หมายในอีกสามสิบวินาที สั่งมาได้เลยครับ" เสียงตอบกลับมาจากทางวิทยุ



ไนฟ์เฮดหันไปพยักหน้าให้กับชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วจึงพากันเตรียมพร้อมเคลื่อนพล "ผมต้องการให้คุณเปิดฉากถล่มที่นี่ซะ"







ตอนนี้ใกล้จะได้เวลารุ่งสางแล้ว ที่ตรงขอบฟ้ามีแสงสีส้มส่องสว่างบอกเวลาการเริ่มต้นวันใหม่ แต่สำหรับในหุบเขาแห่งนี้ มันหมายความว่านรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง



กองกำลังแบ่งแยกดินแดนนั้นได้สร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้นมาติดกับภูเขาลูกนี้โดยใช้เป็นโกดังเก็บถ่านหินและคัดแยกเพื่อส่งเข้าไปขายในตัวเมือง แต่เป็นเพราะว่าในตอนนี้มีพลังงานทางเลือกชนิดใหม่อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ เซลล์พลังงานไฟฟ้า หรือจะเป็นแหล่งพลังงานใหม่ล่าสุดจากนอยช์วานสไตล์อินดรัสตรี้ ที่เป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับนอยช์วานสไตล์ไซแอนท์แอนด์เทคโนโลยีภายใต้ชื่อนอยช์วานสไตล์คอร์ป ซึ่งพลังงานชนิดใหม่ที่ว่านั้นคือเตาพลังงานฟิวชั่นที่ให้กำเนิดพลังงานได้นานหลายสิบปี แม้ตอนนี้จะใช้เจ้าเตาพลังงานนี้ได้เพียงแค่พลังงานไฟฟ้า แต่ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะสามารถปรับใช้กับอย่างอื่นได้อย่างแน่นอน



ด้วยการมาใหม่ของพลังงานที่ต้นทุนต่ำกว่าและยังเป็นมิตรต่อธรรมชาติ ทำให้ราคาของถ่านหินได้ลดต่ำลงมากจนไม่คุ้มต่อการลงทุน แต่ว่านี่เป็นแหล่งรายได้เพียงไม่กี่อย่างของกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นเพื่อให้คุ้มจึงต้องขายถ่านหินพวกนี้ในจำนวนมากเพื่อที่จะนำเงินที่ได้มาใช้ในการสนับสนุนการแย่งแยกดินแดนนี้ต่อไป และนั่นหมายความว่าคนงานที่ถูกจับมาจะต้องทำงานหนักมากขึ้นนั่นเอง



นอกจากจะขุดถ่านหินแล้วที่นี่ยังมีรายได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือขายคนงานทุกคนเป็นกองทหารในโลกเสมือนจริงให้กับคนที่ยอมจะซื้อ และหนึ่งในนั่นก็คือดิ โอเพ่น เวิร์ด ออนไลน์นั่นเอง การทำแบบนี้นอกจากจะได้เงินจากการขุดถ่านหินในตอนเช้าแล้ว ยังได้เงินจากธุรกิจทาสในตอนที่คนงานหลับอีกด้วย



เนื่องจากที่นี่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ จึงถูกป้องกันด้วยกองทัพของทหารแบ่งแยกดินแดนเอาไว้อย่างแน่นหนา มีเวรยามติดอาวุธหนักคอยเดินเฝ้าระวังตลอดทั้งวันทั้งคืนราวกับเป็นป้อมปราการดี ๆ นี่เอง



ทหารคนหนึ่งมองเห็นเงาของเครื่องบินมาจากทิศตะวันออก มันบินเร็วและกำลังตรงมาทางนี้ เขารีบแจ้งให้กับศูนย์บัญชาการรู้ทันทีว่ามีเครือบินขับไล่ปรากฏเหนือน่านฟ้าบริเวณนี้ เพราะขนาดของมันนั้นไม่ใหญ่มากแต่มันมีเพียงแค่ลำเดียวทำให้เขาสงสัยว่าทำไมเครื่องบินขับไล่ไร้สัญชาติถึงมาเพียงแค่ลำเดียวเช่นนี้



เมื่อเขารายงานไป ป้อมต่อต้านอากาศยานที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในบริเวณใกล้เคียงก็ยิงขีปนาวุธเข้าใส่ยานลำนั้นทันที แต่ก่อนที่จรวดจะเข้าปะทะกับยานลำนั้น มันกลับระเบิดเข้ากับโล่พลังงานสีเขียวที่ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มตัวยานตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนั้นเองที่ทหารคนนั้นรู้ตัวว่าตนได้รายงานข่าวพลาดอย่างมหันต์ เมื่อยานลำนั้นตรงเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นจนทำให้เห็นว่ายานลำนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่ายานขับไล่มากนัก เพราะมันสามารถบรรทุกยานขับไล่ได้เกือบสิบลำด้วยซ้ำไป



ขีปนาวุธหลายสิบลูกถูกยิงออกมาจากยานพุ่งเข้าทำลายป้อมปืนต่อต้านอากาศยานอย่างแม่นยำจนพินาศสิ้น ยานลำนั้นไม่ได้บินผ่านไปเหมือนกับยานขับไล่ ไอพ่นที่อยู่บริเวณปลายปีกทั้งสองข้างหมุนลงมาพยุงให้ยานลอยอยู่ใกล้กับอาคาร ปืนกลหนักที่ติดอยู่ใต้หัวยานระเบิดกระสุนรัวเข้าใส่ทหารที่วิ่งออกมาหมายจะยิงยานให้ร่วงจนร่างพรุน



ทหารที่เฝ้าอยู่ในจุดอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในระยะยิงของปืนกลของยานก็ออกมายิงปืนและจรวดต่อต้านอากาศยานใส่ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นเดิมนั่นก็คือโล่พลังงานปรากฏขึ้นมาป้องกันตัวยานอีกครั้ง จรวดขีปนาวุธขนาดใหญ่ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วกระสุนปืนและจรวดขนาดเล็กกว่าจะผ่านไปได้ยังไง



ปัง! ปัง! ปัง!



เสียงปืนดังขึ้นแต่ไม่ใช่ของทหารแบ่งแยกดินแดน เสียงนั้นเป็นของทีมเดลต้าและไนฟ์เฮดที่ปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าของอาคาร ตอนนี้พวกเขาใช้ตำแหน่งที่สูงกว่าจัดการพวกทหารแบ่งแยกดินแดนที่อยู่ด้านล่างโดยหมอบเรียบไปกับพื้นผิวอาคาร หลบกระสุนที่จะหมายชีวิตพวกตนจากด้านล่าง



"เฝ้าระวังทางขึ้นเอาไว้ให้ดี ที่เหลือพยายามดึงพวกไอ้กล้ามมาที่พวกเราระหว่างที่ทีมเบต้าโรยตัวลงมาจากยาน!" หัวหน้าทีมเดลต้าตะโกนสั่งพร้อมทั้งกระหน่ำยิงทหารแบ่งแยกดินแดนอย่างไม่เปลืองกระสุน



ไนฟ์เฮดพาอามีร่ามาหลบอยู่ริมกำแพงทางขึ้นดาดฟ้าที่ไม่มีทางเลยที่ด้านล่างจะยิงขึ้นมาได้ "อยู่ตรงนี้!" ชายหนุ่มสั่งอามีร่าเสียงเข้ม เธอพยักหน้าเข้าใจ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากจะเข้าไปใกล้วิถีกระสุนอยู่แล้ว



ทว่าทันใดนั้นเองประตูทางขึ้นมาบนดาดฟ้าก็ถูกระเบิดจนทหารที่มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าเสียหลักล้มลงไปบนพื้น และตอนนั้นเองที่ทหารแบ่งแยกดินแดนก็วิ่งขึ้นมาและมองเห็นร่างของอามีร่าที่นอนสั่นเท่าด้วยความตกใจอยู่บนพื้น ปืนกระบอกใหญ่กระชับแน่นเตรียมที่จะลั่นไกปลิดชีวิตเด็กสาวตรงหน้า



ทว่าก่อนที่อามีร่าจะถูกยิง มีดของไนฟ์เฮดก็ปักเข้าร่างของทหารผู้นั้นจนมิดด้าม แต่ก่อนที่จะตั้งตัวทันอามีร่าเห็นชายอีกสองคนวิ่งขึ้นมาพร้อมกับปีนกระบอกใหญ่ในมือและกำลังเล็งมาที่เธอ แต่ก่อนจะได้ยิง ไนฟ์เฮดก็พุ่งเข้ามาและใช้เท้าดันปืนของทหารคนหนึ่งไปด้านข้าง นิ้วของทหารคนนั้นพยายามกดไกปืนแต่ว่าปืนกำลังถูกเล็งไปที่ชายอีกคนที่ขึ้นมาพร้อมกันทำให้ชายคนนั้นถูกยิงจนพรุนไปทั้งร่าง ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป ไนฟ์เฮดก็ซัดไปที่ชายโครงอย่างแรงจนต้องทิ้งปืนลงพื้น เมื่อชายตรงหน้าชะงักไนฟ์เฮดก็เข้าไปล็อกคอของเขาก่อนที่จะออกแรงบิดจนร่างของชายคนนั้นกระตุกอย่างแรงก่อนจะลงไปนอนกองบนพื้น โดยไม่สนใจกับชายที่เพิ่งจัดการไป ไนฟ์เฮดหยิบปืนบนพื้นปืนและยิงกระหน่ำเข้าไปยังทางบันได อามีร่าไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีคนอื่นอีกหรือไม่ แต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดังลั่นบอกให้เธอรู้ว่ายังมีคนอื่นอีกที่กำลังจะขึ้นมาบนนี้



อีกด้านหนึ่ง ทีมเบต้าที่โรยตัวลงมาจากยานได้อย่างปลอดภัยก็เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างทหารตามจุดต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อมียานวีทอล์คอยสนับสนุนจนไม่มีโอกาสที่ทหารแบ่งแยกดินแดนจะตอบโต้ เวลาไม่ถึงสิบนาที ทหารเกือบทั้งกองทัพที่ประจำการอยู่ในอาคารแห่งนี้ก็ถูกจัดการจนเรียบวุธ เหลือทหารอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมแพ้เมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีทางชนะ



บนดาดฟ้า ทหารที่มีหน้าที่เฝ้าทางขึ้นลุกขึ้นมาตั้งตัวได้อีกครั้งก็มาช่วยไนฟ์เฮดยิงสกัดทหารแบ่งแยกดินแดนจนต้องถอยหนีกลับไป และพวกนั้นก็จะไปเจอเข้ากับทีมเบต้าซึ่งโอกาสรอดชีวิตของทหารเหลานั้นก็คงจะขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะทิ้งปืนได้เร็วกว่าหรือว่าทีมจู่โจมจะยิงพวกเขาได้ก่อนเท่านั้น



เด็กสาวมองดูไนฟ์เฮดพูดคุยกับทหารที่มาประจำตำแหน่งแทนด้วยท่าทางสุขุม ขนาดตอนที่ระเบิดนั้นเธอตกใจลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ขนาดจะวิ่งหนียังทำไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงที่ขาของเธอนั้นหายไปจนสิ้น ในตอนที่คิดว่าเธอจะต้องตายแน่ ๆ แล้ว ชายหนุ่มคนนี้ก็พุ่งเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ได้ทันท่วงทีราวกับว่าระเบิดนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวหรือตกใจเลย



ไนฟ์เฮดเดินเข้ามาหาแล้วส่งมือให้กับอามีร่า เธอยื่นมือให้และลุกขึ้นแต่ก็ต้องเอาตัวพิงร่างของชายหนุ่มเพราะเรี่ยวแรงที่ขาของเธอยังไม่กลับมา



"พ...พวกคุณเป็นใครกัน" เด็กสาวถาม



ชายหนุ่มยิ้มบางที่มุมปากแล้วจึงตอบคำ "พวกเราคือกลุ่มภาคีเปลวเพลิงแห่งนภา"







อามีร่ากำลังนั่งอยู่บนยานที่ลงจอดอยู่ใกล้กับอาคารที่เธอเคยอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินมานานหลายปี ข้างตัวเธอเป็นทหารหญิงที่เข้ามาตรวจเช็คร่างกายของเธอ ในขณะเดียวกันที่ด้านตรงกันข้ามก็คือแม่ของเธอที่กำลังได้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นจนสีหน้าของหญิงสาวดูดีขึ้นมาก



ตอนนี้ทหารนิรนามกำลังทยอยพาพวกผู้หญิงที่ถูกจับมาเช่นเดียวกับอามาร่าขึ้นมาบนยาน และที่น่าดีใจยิ่งกว่าก็คือพวกผู้ชายที่ถูกนำตัวไปเป็นทหารนั้นก็ถูกแยกจากพวกทหารแบ่งแยกดินแดน ทำให้ทุก ๆ คนที่นอนพักอยู่ยังปลอดภัย ทำให้สามีหรือลูกชายได้กลับมาพบหน้ากับครอบครัวอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่มีหลายครอบครัวที่ไม่มีโอกาสที่จะได้พบน่าครอบครัวของตนเองพร้อมหน้ากันได้อีกแล้ว



อีกด้านหนึ่งก็เป็นนักโทษที่ถูกจอกจำไว้ในที่แห่งนี้ก็ได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับ ส่วนมากจะเป็นทหารที่ตกกลายเป็นเชลยสงคราม และอีกส่วนก็เป็นนักโทษทางการเมืองที่ถูกพาตัวมาขังเอาไว้ ที่เหลือก็คือทหารแบ่งแยกดินแดนที่ยอมจำนน พวกเขาถูกนำไปขังเอาไว้บนคุกชั่วคราวที่แยกเอาไว้อีกส่วนของยาน ไม่อยู่ในวิสัยของอามีร่าให้รู้สึกไม่สบายใจ



หลังจากผู้รอดชีวิตและทหารนิรนามทุกคนขึ้นมาบนยาน เครื่องยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเครื่องบินลอยตัวสูงขึ้นอย่างช้า ๆ อามีร่าหันไปมองตามแสงสีแสดอัสดงของตะวันที่กำลังลอยขึ้นมาเหนือขอบฟ้า เธอไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีโอกาสมาเห็นดวงตะวันได้อีกครั้ง ความอบอุ่นจากแสงแดดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ราวกับเป็นนกเพลิงที่ผุดขึ้นมาจากกองเถ้าของตนเอง ดวงตะวันที่กำลังขึ้นนี้เป็นภาพที่สวยงามที่สุดที่เธอเคยเห็นในรอบหลายปี



"ภารกิจเสร็จสมบรูณ์ครับ เป้าหมายหลักปลอดภัยแล้ว พวกเรายังช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ถูกจับอยู่ในที่เดียวกันและยังได้เชลยมาอีกจำนวนหนึ่ง บางทีหลังจากสอบปากคำแล้วพวกเราอาจจะได้ข้อมูลช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสภาพแบบเดียวกับเด็กคนนี้ด้วย" ชายหนุ่มรหัสไนฟ์เฮดพูดผ่านเครื่องมือสื่อสารบนยานขณะที่เขากำลังจ้องมองเด็กสาวที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขข้างมารดาของเธอ ข้างหน้าของเขาเป็นจอแสงที่ฉายให้เห็นภาพของคนที่กำลังคุยด้วย และชายคนนั้นคือผู้ที่เจนไปพบด้วย ชายผมสีทองเช่นเดียวกับไนฟ์เฮด พร้อมทั้งมีโครงหน้าแทบจะลอกกันมา มีเพียงสีตาเท่านั้นที่ต่างกัน



"ทำได้ดีมาก คริสโตเฟอร์ กลับมาพักผ่อนซักที น้อง ๆ บ่นอยากเจอจะแย่อยู่แล้ว" ชายหนุ่มตอบ ทำให้ไนฟ์เฮดอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกภาพของน้องสาวกำลังตวาดใส่เขาเพราะคิดถึง



"รับทราบแล้วครับ คุณพ่อ"




จบตอนพิเศษ ยามตะวันรุ่ง

Tohan-kun
6th February 2014, 13:51
ตอนที่ 40 ความจริงที่เปิดเผย



ร่างของกบสีแดงลายสีเหลืองตัวมหึมาพุ่งขึ้นมาจากหนองน้ำ ขนาดของมันนั้นสูงกว่าสิบเมตรจนทำให้กบดึกดำบรรพ์และกองทัพกบอีกนับร้อยตัวดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในพริบตา แต่นั่นไม่ทำให้เจนรู้สึกตกใจไปมากกว่าการที่เธอเห็นอามีร่ามายืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นหลังจากที่เจนคุยกับเพื่อนของเกอร์ทูธให้ไปช่วยเด็กสาวคนนี้ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าชายผู้ที่รับมอบหมายงานไปนั้นจะทำงานได้รวดเร็วขนาดนี้



อามีร่าที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเจนนั้นมีสภาพต่างไปจากเดิมมาจนเธอรู้สึกได้ แม้เสื้อผ้าจะยังมอมแมมเหมือนเดิมและดาบที่เธอถือนั้นก็แทบใช้การไม่ได้แล้ว การที่เธอใช้มันผ่าลิ้นยักษ์เพื่อช่วยเจนมาได้นั้นถือว่าโชคช่วยมากทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เจนรู้สึกว่าอามีร่าต่างไปจากเดิมนั่นก็คือบรรยากาศมืดมนที่เคยอยู่ติดตัวของเธอนั้นหายไปจนหมดสิ้น และสีหน้าที่กำลังมองดูเจนอยู่นั่นก็บอกเธอว่าปัญหาที่อามีร่าเคยเผชิญอยู่นั้นได้ถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว



"อามีร่า นี่เธอหนีมาจากพวกนั้นได้แล้วงั้นหรือ" เจนถาม เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ตอบทันที เธอส่งมือให้เจนหมายจะช่วยดึงเธอให้ลุกขึ้นมาจากพื้นน้ำ ผู้หล้าชุดขาวก็ไม่คิดจะปฏิเสธน้ำใจ เธอจับมือเล็ก ๆ นั้นเอาไว้และออกแรงดึงร่างของตัวเองขึ้นมา



"ฉันไม่ได้หนีหรอกค่ะ แต่มีคนมาช่วยต่างหาก...ขอบคุณคุณเจนมากเลยนะคะ ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะคุณ ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้" เด็กสาวกล่าว ทำเอาเจนรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



ในตอนนั้นเองคนอื่น ๆ ก็มาสมทบกับเจนและอามีร่า ไมโกะเมื่อเห็นหน้าของผู้ที่ช่วยเหลือเพื่อนของเธอนั้นก็พยักหน้าให้เบา ๆ เป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของเด็กสาวด้วยตัวเอง ทำให้ตอนนี้เธอยอมรับในตัวของอามีร่าแล้ว ส่วนพวกโจและคิทซึเนะนั้นก็แค่ยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับซึบากิและนักรบสาวอีกหลายคน สีหน้าของพวกเธอเมื่อเห็นอามีร่าต่างก็ตกใจและยกอาวุธเตรียมพร้อมต่อสู้ในทันที โดยเฉพาะตัวซึบากิเองที่จ้องไปยังเด็กสาวอย่างมุ่งร้าย ข้อมือเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะปาดาวกระจายยักษ์ใส่ทุกเมื่อ



เจนที่เห็นท่าทางไม่ดีจึงจะเข้าไปอธิบายกับซึบากิว่าอามีร่าไม่ใช่ศัตรู แต่ก่อนเธอจะได้ทำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องดังสนั่นฟ้า



ก๊าซซซซ!!!



"ฉันพอจะรู้นะว่าตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรามันกำลังระอุอยู่ แต่ดูท่าทางจะมีสถานการณ์อื่นที่น่าเป็นห่วงมากกว่า" โจว่า เขาหันไปมองกบตัวมหึมาที่กำลังจ้องมาทางพวกเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวเพราะถูกตัดลิ้นไป ในขณะเดียวกันนั้นที่ผู้เล่นกลุ่มอื่น ๆ เมื่อเห็นการมาของกบขนากยักษ์ต่างก็พากันถอยหนีกันจ้าละหวั่น แต่ก็ยังอยู่ในบริเวณนี้ คอยดูสถานการณ์พร้อมกับวางแผนจัดการเป้าหมายที่เปลี่ยนจากกบดึกดำบรรพ์เป็นกบยักษ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว



เจ้าแห่งหนองน้ำ[บอส] ระดับ 50 ยศขุนนาง



"เจ้าแห่งหนองน้ำ ชื่อใกล้เคียงกับเจ้าตัวที่ภารกิจที่เรารับมา ฉันว่าเจ้านี่แหละที่พวกเรากำลังตามหา" แจ็คใช้ทักษะตรวจสอบแล้วพูดขึ้น



เจนได้ยินเพื่อนของเธอกล่าวก็เริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที เพราะเจ้าตัวนี้มีเลเวลพอ ๆ กับราชาเทนกุที่เธอเคยประมือด้วย แถมเจ้าตัวนี้ยังเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่มีขนาดใหญ่กว่ามอนสเตอร์ระดับเดียวกันมากทำให้เจนแน่ใจว่าการจะจัดการมันนั้นต้องยุ่งยากอย่างแน่นอน



"ฉันรู้ว่าตอนนี้มีเรื่องใหญ่กว่าที่จะต้องจัดการ แต่จะฉันจะไว้ใจได้ยังไงว่าตอนที่พวกเราสู้กับเจ้าแห่งหนองน้ำจะไม่โดนยัยอีกานี่ลอบกัด" ซึบากิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา อามีร่าที่ได้ยินก็มีสีหน้าเศร้าลงโดยไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยแก้ตัวเลยแม้แต่คำเดียว



"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรับรองได้ว่าอามีร่าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน เธอไม่ใช่คนของกิลด์พิฆาตราชาอีกต่อไปแล้ว ใช่มั้ย" ผู้กล้าในชุดขาวเอ่ยให้คำมั่นและหันไปถามเด็กสาวข้าง ๆ เธอพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรับกับคำพูดของเจน



"ที่บ้านของฉันถือว่าคำสัญญาที่ไม่ได้เอ่ยออกมาดัง ๆ ไม่นับเป็นคำสัญญา" ซึบากิพูด แม้ว่าผู้กล้าในชุดขาวจะเป็นผู้รับรองเด็กสาวคนนี้ด้วยตัวเองแต่เธอก็ยังคงไว้ใจเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้ เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเด็กสาวผู้นี้มันมีมากเหลือเกิน มากเกินกว่าจะยอมให้อภัยได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ



"ฉันรับรองค่ะว่าตอนนี้ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกิลด์พิฆาตราชาอีกต่อไปแล้ว ส่วนหลักฐานของคำพูดของฉัน คุณจะรู้หลังจากที่กลับไปที่เมืองแล้วค่ะ" อามีร่าให้คำสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนยากที่ใคร ๆ จะเชื่อว่าที่เธอพูดนี้เป็นคำโกหก ซึบากิได้ยินดังนั้นจึงยอมถอยหลังไปแม้ดวงตายังคงจ้องมองไปที่เด็กสาวชุดดำด้วยความไม่ไว้วางใจ



เมื่อศึกย่อยระหว่างพวกเดียวกันเองคลี่คลาย เจนก็หันไปมองศึกหนักตรงหน้าอย่างหนักใจ เพราะตอนนี้ที่เธอต้องกังวลไม่ใช่แค่เจ้าแห่งหนองน้ำแค่ตัวเดียว แต่ยังมีกบดึกดำบรรพ์อีกแปดตัวและกองทัพกบอีกจำนวนมากที่หันหน้ามาหาพวกเธอที่อยู่ใกล้ที่สุดแทนเหล่าผู้เล่นที่ถอยออกไปแล้ว แถมต้องยังไม่ลืมกบดึกดำบรรพ์อีกตัวหนึ่งที่กำลังฟื้นสภาพตัวเองอยู่ด้านหลังของพวกเธอด้วย



"ถ้าให้เจอกับไอ้เจ้ากบยักษ์นั่นจะพอไหวหรือเปล่าเจน" โจที่พยายามหาทางออกจากเหตุการณ์ตรงหน้านี้ถามขึ้น



"ถ้าใช้พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง... ไม่รู้สิ" เจนตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แม้ว่าตอนนี้เธอจะได้พลังพิเศษจากทักษะของอาชีพผู้กล้า แต่ว่าพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเน้นไปที่ความเร็วมากกว่าพลังโจมตี พลังในร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เธอใช้ได้ในตอนนี้คงไม่พอที่จะเอาชนะเจ้าแห่งหนองน้ำแน่



จอมเวทหนุ่มหันมามองพวกเขาและพวกซึบากิสลับกันไปมาเพื่อหาทางใช้กำลังที่มีอยู่จัดการกับกองทัพกบ ทว่าด้วยกำลังคนเท่านี้แค่สู้กับกบดึกดำบรรพ์ทั้งหมดไม่ไหวแล้ว ยังมีเจ้าแห่งหนองน้ำอีกตัวให้เขาต้องหนักใจ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายก่อนจะหันไปเรียกทุกคนประชุมแจกแจงแผน แม้ว่าเจ้าแห่งหนองน้ำและกองทัพกบกำลังจะเข้ามาถึงตัวแล้วก็ตาม



"ฟังนะ ตอนนี้ฉันมีแผนแล้ว พวกเราสามารถเอาชนะเจ้ากบพวกนี้ได้แน่ แต่การที่จะชนะได้ทุก ๆ คนต้องร่วมมือกัน เข้าใจมั้ย" โจว่าโดยเขาจ้องไปยังซึบากิและอามีร่าให้รู้ว่าจุดอ่อนของแผนการคือทั้งสองคน



"ได้ ตราบใดที่อีกฝั่งไม่ผิดคำที่เคยให้ไว้" ซึบากิตอบเสียงแข็ง ส่วนอามีร่าก็พยักหน้าเบา ๆ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับโจ



"เอาล่ะ หน้าที่หลักก็คือเจน เธอเข้าไปยันกับเจ้าตัวใหญ่นั่นคนเดียวเลย..-"



"เฮ้ย! นายจะบ้าหรอ! ให้ฉันไปสู้กับมอนสเตอร์บอสยศขุนนางคนเดียวเนี่ยนะ! คราวที่แล้วฉันเกือบเอาตัวแทบไม่รอด นายก็รู้ไม่ใช่หรือไง" เจนว่าเสียงดังพลางนึกถึงครั้งที่ตอนเธอสู้กับราชาเทนกุ



"ฉันบอกให้ไปยันเอาไว้ ไม่ได้ไปจัดการมัน แค่ล่อมันไปทางอื่นจนกว่าพวกเราจะจัดการกองทัพกบนี่หมดแล้วจะไปช่วยอีกทีหลัง"



"แต่แค่ลำพังพวกเราก็สู้พวกกบดึกดำบรรพ์ถึงเก้าตัวไม่ไหวหรอกนะ นี่ยังมีกบตัวเล็ก ๆ อีกเป็นกองทัพ เจ้าพวกนั้นน่ะเป็นถุงพิษมีชีวิตดี ๆ นี่เอง ต่อให้พวกเรามีจอมเวทขาวเพิ่มขึ้นมาอีกสิบคนก็ใช้เวทถอนพิษพวกเราทุกคนได้ไม่ทันหรอกนะ" ไมโกะพูด แค่กบดึกดำบรรพ์ตัวเดียวก็ต้องใช้พวกเธอทุกคนช่วยกันจัดการถึงจะไหว ไม่มีทางเลยที่พวกเธอจะสู้กับกองทัพกบพวกนี้ได้



ทว่าจอมเวทหนุ่มนั้นกลับส่งยิ้มอย่างชั่วร้ายให้กับไมโกะ เขาหันไปมองกลุ่มผู้เล่นที่อยู่ห่างออกไปก่อนจะตอบกลับมาเบา ๆ



"แล้วฉันบอกหรือไงว่าพวกเราจะสู้กับพวกกบแค่ลำพัง"







ผู้กล้าในชุดขาวจ้องมองพรรคพวกของตนถอยออกจากหนองน้ำโดยมีกองทัพกบไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ โจตั้งใจจะไปสู้กับพวกมันบนพื้นดินซึ่งพลังที่เพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำจะหายไปและทำให้พวกเขาได้เปรียบขึ้นบ้าง นอกจากนั้นเขายังล่อพวกกับไปหาพวกผู้เล่นที่ถอนตัวกันไปก่อนหน้านี้และกองทัพกิลด์วิหคเทเวศของซึบากิที่กลัวกบจนไม่ยอมออกมาสู้ ความคิดของโจอันนี้ถูกใจเธอมากเพราะจะได้เป็นการลงโทษลูกกิลด์ของเธอไปในตัวเลย ถ้าในเมื่อไม่ยอมออกมาสู้ด้วยกัน ก็จะเอาการต่อสู้เข้าไปหาเอง



กองทัพกับและเหล่ากบดึกดำบรรพ์นั้นต่างไล่ตามพวกโจไปตามแผน แต่เจ้าแห่งหนองน้ำเองก็ไล่ตามพวกเขาไปด้วย เจนรู้ว่าสาเหตุที่มันไล่ตามไปนั้นเป็นเพราะอามีร่าผู้ที่ตัดลิ้นของมันอยู่ในกลุ่มนั้นแต่ เป้าหมายของเจนคือเจ้าแห่งหนองน้ำ ถ้าหากเธอปล่อยให้มันตามพวกโจไปจนถึงกลุ่มผู้เล่นล่ะก็ ต่อให้ช่วยกันสู้ก็คงจะยากที่จะเอาชนะได้



ผ่ามิติ!!



คลื่นดาบพุ่งออกมาจากคาตะนะในมือบางของหญิงสาวในชุดคลุม แต่เป้าหมายของมันไม่ใช่กบตัวมหึมาตรงหน้า แต่เป็นกบอีกตัวที่นอนจบกองเลือดพิษของตัวเองอยู่ด้านหลังของเธอ แม้ว่าสภาพของมันตอนนี้จะฟื้นฟูขึ้นกว่าตอนที่โจและคิทซึเนะจัดการมันมาก แต่พลังของคลื่นดาบผ่ามิติแค่ดาบเดียวก็เหลือเฟือที่จะปลิดชีวิตมันได้แล้ว



เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมกับร่างของกบดึกดำบรรพ์สลายหายไป พร้อมกันนั้นเองที่เจ้าแห่งหนองน้ำหยุดเดินและหันมามองเจนด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูท่าทางมันจะสัมผัสได้ถึงการสูญเสียของกบดึกดำบรรพ์และเจนก็เป็นผู้ที่จัดการพวกมันไปถึงสองตัว



"ดูท่าทางจะหันมาสนใจฉันแล้วล่ะสิ" เจนพูดกับเจ้าแห่งหนองน้ำ ราวกับว่ามันเข้าใจคำพูดของเธอ ร่างยักษ์กระโดดขึ้นสูงไปที่เหนือตัวของเจนหมายจะทับร่างของเธอให้สิ้นซาก เจนรู้ทันทีว่าเธอต้องใช้พลังสถิตร่างก่อนที่จะกลายเป็นกล้วยทับ



แต่เมื่อเธอกำลังจะใช้พลังสถิตร่างนั้นเอง เสียงหัวเราะฟังคุ้นหูก็ดังขึ้นในหัวของเธอ "จะใช้พลังของยัยจิ้งจอกเก้าหางมันก็ดีอยู่ และข้าก็แน่ใจว่าพลังของยัยนั่นก็สามารถใช้จัดการกับเจ้ากบตัวนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะใช้พลังนั่นจัดการศัตรูของเจ้าได้"



"นี่จู่ ๆ ทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้! แล้วที่พูดมันหมายความว่ายังไง" เจนพูดเสียงดัง สายตาจับจ้องไปยังร่างขนาดมหึมาของเจ้าแห่งหนองน้ำที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ



"ข้าแค่จะบอกเจ้า ว่าเจ้าจะใช้อะไรสู้กับพละกำลังของมัน ระหว่างความเร็วของจิ้งจอกเก้าหางหรือพลังอีกอย่างที่มีอยู่ในร่างของเจ้า" พูดจบ ยามาตะ โนะ โอโรจิก็เงียบเสียงไม่ตอบคำใด ๆ อีก เวลาเหลืออีกไม่ถึงอึดใจที่เจนจะรู้ให้ได้ว่าที่พญาอสรพิษเอ่ยถึงนั้นหมายความว่าอะไร เธอคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแม้จะทรงพลังแต่ตอนนี้เธอยังไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้ได้ ทำให้เจนไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสู้กับเจ้าแห่งหนองน้ำได้ แต่พญาอสรพิษบอกว่ามีพลังอีกอย่างที่อยู่ในตัวเธอ มันคือ...



ตูม!!!



ร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำกระแทกลงพื้นน้ำเสียงดังสนั่นราวกับเสียงระเบิด น้ำกระเซ็นไปทั่วทิศทางจนบริเวณที่เจ้าแห่งหนองน้ำอยู่นั้นไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่เลยด้วยแรงกระแทกมหาศาลจากร่างขนาดยักษ์ของมัน เจ้าแห่งหนองน้ำยิ้มกริ่มอยู่ในใจ มันมั่นใจว่าคนที่จัดการกับลูกหลานของมันได้สิ้นซากไปแล้ว



ในตอนแรกที่เหล่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้นที่หนองน้ำแห่งนี้ เจ้าแห่งหนองน้ำก็ส่งลูกหลานของมันออกไปขับไล่พวกมนุษย์ออกไปเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาจนไม่มีความจำเป็นเลยที่มันจะต้องโผล่ขึ้นไปยังเหนือผืนน้ำที่แห้งจนมันรู้สึกแสบผิวไปทั้งตัว ทว่าครั้งนี้กลับมีบางอย่างผิดแปลกไป เหล่ามนุษย์มีจำนวนมากกว่าปกติ มันจึงส่งลูกหลานของมันออกไปให้มากกว่าเหล่ามนุษย์หลายสิบเท่า แม้ลูกหลายตัวเล็ก ๆ จะถูกฆ่าได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็แน่ใจว่าด้วยจำนวนมหาศาลของเผ่าพันธุ์กบ จะสามารถจัดการมนุษย์เหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน



แต่ในที่สุดก็มีบางอย่างผิดพลาดจากที่มันคาดการณ์ไปอีกครั้ง เมื่อกบดึกดำบรรพ์ที่เป็นเหมือนกับลูกแท้ ๆ ของมันถูกจัดการลงไป โทสะของมันพุ่งพล่านตรงไปยังผู้ที่ฆ่าลูกของมันหมายจะขจัดให้สิ้นอย่างไม่ปราณีเช่นเดียวกับที่ผู้รุกรานไม่ปราณีลูกของมันเช่นกัน



เมื่ออริสิ้นแล้ว เจ้าแห่งหนองน้ำจึงจะหันไปจัดการกับผู้รุกรานที่เหลือ ถึงคนที่ฆ่าลูกมันไปแล้วแต่แค้นที่ถูกตัดลิ้นไปยังคงอยู่ ทว่าตอนนั้นเองที่มันรู้สึกแปลกประหลาด ร่างของมันเองเอนราวกับโลกกำลังเอียงไปด้านข้าง และทันใดนั้นเองที่จู่ ๆ มันก็เหมือนกับถูกโยน ร่างของมันลอยสูงก่อนกระแทกกับผืนน้ำแรงราวกับถูกเหวี่ยงด้วยมือที่มองไม่เห็น เมื่อลุกขึ้นมาและมองไปยังจุดที่มันอยู่เมื่อครู่ ก็พบว่าอริผู้ฆ่าลูกของมันยังคงอยู่ แต่มีบางอย่างในตัวของอริผู้นี้ที่ทำให้เจ้าแห่งหนองน้ำรู้สึกว่ามันกำลังจะเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่งด้วยซะแล้ว



ร่างของเจนตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยออร่าสีม่วงแผ่ออกมาจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มบิดเบี้ยว สายลมพัดรุนแรง ท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึนส่งเสียงร้องครืนราวกับกำลังมีพายุเข้ามาที่แห่งนี้ เจนรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลอยู่ในร่างของเธอราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แต่พร้อมกันนั้นมันก็รุนแรงและเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ ถ้าหากเธอไม่สงบสติอารมณ์เอาไว้ล่ะก็ พลังที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างคงจะระเบิดออกมาฉีกเธอเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว



"พลังนี่มัน..." เจนยกมือของตัวเองขึ้นมามองดู ออร่าสีม่วงที่ปกคลุมร่างเธอไหลเวียนมาที่มือของเธอพร้อมกับความรู้สึกแน่นที่แขน เธอรู้สึกราวกับว่าต่อให้เป็นภูเขาสูงใหญ่แค่ไหนเธอก็สามารุใช้มือข้างนี้ยกขึ้นมาได้



"พลังนี้เจ้าเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเจ้าใช้คู่กับพลังของยัยทามาโมะ มาเอะทำให้ความเข้มข้นของพลังไม่รุนแรงเท่าที่เจ้าสัมผัสได้ในตอนนี้ พลังอำนาจที่เหมาะกับตัวเจ้ายิ่งกว่าพลังใด ๆ พลังของข้า พลังสถิตร่างพญาอสูรอสรพิษแปดหัว!" ราวกับเป็นการตอบรับคำพูดของเจ้าของพลัง ออร่าสีม่วงก็ระเบิดออก กระแทกร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตร แสดงให้เห็นถึงความต่างของพลังของจิ้งจอกเก้าหาง และอสรพิษแปดหัวว่าห่างชั้นกันแค่ไหน



แต่ในตอนที่ออร่าระเบิดออกไปนั้นเอง เจนก็รู้สึกราวกับร่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนล้มทรุดลงไปบนผืนน้ำ เธอพยายามสูดลมหายใจสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ เมื่อเป็นหน้าต่างระบบดูก็พบว่าพลังชีวิตของเธอนั้นไม่ได้ลดไปเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นจริง



"มะ..เมื่อกี้มันอะไร นั่นฝีมือของนายใช่มั้ย!" เจนพูดออกมาอย่างยากลำบากเมื่อตัวเธอนั้นกำลังพยายามสะกดความเจ็บปวดลง เมื่อไม่เกี่ยวกับพลังชีวิต เธอก็ไม่รู้ว่าจะบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้อย่างไร



"เป็นเพราะเจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้พลังของข้าได้อย่างเต็มที่ ถึงได้ เจ้านี่มันช่างน่าสังเวชจริง ๆ" เสียงทรงอำนาจของยามาตะ โนะ โอโรจิดังขึ้นก่อนที่ออร่าสีม่วงจะค่อย ๆ เบาบางลงพร้อมความเจ็บปวดที่เริ่มหายไป



"คราวหลังจะทำอะไรกับตัวของฉัน บอกก่อนจะเป็นพระคุณอย่างมากเลย" ผู้กล้าในชุดขาวกัดฟันบอกพร้อมทั้งดันตัวเองขึ้นมา ตอนนี้เจ้าแห่งหนองน้ำกำลังจ้องมาที่เธอด้วยสายตาตื่นตกใจ แต่แทนที่จะหนี มันกลับอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว "นั่นมันกำลังทำอะไรน่ะ"



เสียงหัวเราะของพญาอสรพิษดังชอบใจก่อนตอบคำ "มันก็แค่เอาชนะธรรมชาติของตัวมันไม่ได้เท่านั้นเอง"



ธรรมชาติแล้วงูกินกบเป็นอาหาร โดยเฉพาะเมื่อตอนที่งูล่าเหยื่อ ดวงตานักล่าของมันจะจ้องเหยื่อจนไม่กล้าหนีแม้ว่าจะทำได้ก็ตาม เจ้าแห่งหนองน้ำแน่นอนว่าเป็นกบตัวยักษ์ และยามาตะ โนะ โอโรจิก็เป็นงูที่ตัวใหญ่กว่า แม้จะถูกผนึกอยู่ในดาบ แต่เมื่อพลังแผ่ออกมาจากร่างของเจนก็ไม่ต่างจากพญาอสรพิษปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของมัน



"ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอลองดูหน่อยละกันว่าพลังของนายมันจะแน่ซักแค่ไหน" หญิงสาวเอ่ยท้าทาย เธอวาดดาบไปด้านข้างอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เริ่มออกวิ่งเข้าใส่เจ้าแห่งหนองน้ำทันที



แต่สิ่งมี่เธอไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจนก้าวเท้าไปด้านหน้า ร่างของเธอก็พุ่งไปด้วยความเร็วสูงราวกับหัวกระสุน เสียงระเบิดเมื่อเท้าของเธอกระทบพื้นบอกได้ถึงแรงมหาศาลที่เจนเพิ่งใช้ 'วิ่ง' เมื่อครู่นี้



เมื่อไม่ทันตั้งตัวกับพลังมหาศาล ร่างของเจนก็หมุนควงอย่างไร้การควบคุมก่อนจะตกกระแทกลงพื้นน้ำเข้าอย่างแรง เจนสะบัดหัวไล่ความมึนงงแล้วลุกขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตีของเจ้าแห่งหนองน้ำ ทว่ามันกลับทำตรงกันข้าม เมื่อมันเห็นว่าศัตรูของมันพลาดหกล้มหัวทิ่ม มันก็ถือโอกาสนี้กระโดดหนีทันที



"โอย เมื่อกี้ไม่ได้ทันตั้งตัว พลังของนายนี่มันคืออะไรกัน ใช้บินไม่ได้หรือไง" เจนถาม เมื่อครู่เธอพยายามจะวิ่งก่อนจะขึ้นบินเหมือนครั้งที่เธอใช้พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง แต่ผลกลับออกมาต่างไปจากที่เคย



"เจ้าเคยเห็นงูบินได้หรือเปล่าล่ะ ถึงข้าจะมีพลังมากแค่ไหนแต่ข้ารู้ว่าที่ของข้าคือพื้นดิน ไม่เหมือนกับยัยจิ้งจอกเก้าหางที่ใช้พลังของมันในการบิน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีปีก" พญาอสรพิษตอบ



"ตอนที่นายสู้กับเซอร์โนบอท ฉันเห็นนายใช้พลังได้ตั้งหลายอย่าง ทั้งไฟ น้ำ แสง แต่ทำไมฉันถึงไม่เห็นจะได้พลังได้อย่างนั้นบ้างเลย" เจนถามพลางเป็นหน้าต่างทักษะขึ้นมาดู เธอพบเพียงแค่ทักษะเก่า ๆ ของนักผจญภัยและผู้กล้าเท่านั้นเอง



"ก็อย่างที่ข้าบอก เจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะใช้พลังของข้าได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ใช้พละกำลังของข้าเท่านั้น พลังที่เรียบง่ายและทรงอำนาจที่สุดในการต่อสู้ ไม่ต้องฉลาดก็เอาชนะเจ้ากบนี่ได้" ยามาตะ โนะ โอโรจิกล่าว เจนขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจเพราะรู้สึกเหมือนถูกว่า แต่มันก็จริงอย่างที่กล่าวเพราะด้วยพลังมหาศาลขนาดนี้ ต่อให้เจ้าแห่งหนองน้ำไม่ถูกสะกดอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ล่า เธอก็สามารถเอาชนะมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก



เจนยิ้มให้กับตัวเองพร้อมกับมองไปยังเจ้าแห่งหนองน้ำที่กำลังกระโดดหนีโดยไม่สนใจลูกหลานของมันอีกต่อไปแล้ว เป้าหมายของมันตอนนี้คือกลับลงไปยังน้ำลึกเพื่อหนีจากนักล่า เจนไม่รู้ว่าพลังของพญาอสรพิษนี้จะดำน้ำได้หรือไม่ แต่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อของเธอหนีไปแน่



เพียงก้าวเดียว ร่างของเจนก็พุ่งแซงหน้าของเจ้าแห่งหนองน้ำได้ เท้ากระแทกพื้นน้ำดังสนั่นก่อนจะหันมามองหน้าของเจ้ากบยักษ์ สมกับได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งหนองน้ำ ครั้งนี้อำนาจของนักล่าไม่สามารถจะสดให้มันอยู่นิ่งได้เหมือนเคย เจ้ากบตวัดลิ้นใหญ่ฟาดใส่เจนอย่างรวดเร็ว



ผู้กล้าชุดขาวแสยะยิ้มก่อนจะยกดาบขึ้นกัน เมื่อเนื้อปะทะเข้ากับคมดาบ ผลของมันคือลิ้นของเจ้าแห่งหนองน้ำขาดสะบั้นลง เสียงร้องโหยหวนของมันดังลั่น ร่างของมันสั่นระรัวอย่างทรมานพร้อมกับเลือดกระเซ็นไปทั่วทิศทางจนเจนต้องถอยออกห่างเพื่อไม่ให้เลือดมาโดนตัวเธอ



ราวกับว่าเจ้าแห่งหนองน้ำกำลังรอจังหวะนี้อยู่ เมื่อเจนถอยออกไป มันก็พ่นของเหลวสีดำใส่เธอทันที ผู้กล้าในชุดขาวรู้ทันทีว่านั่นอันตรายแต่พลังสถิตร่างพญาอสูรอสรพิษแปดหัวนั้นไม่เร็วพอที่หลบได้ ทว่าตอนนั้นเองที่ออร่าสีม่วงรอบตัวของเธอก็เปล่งรังสีขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ออร่ารวมตัวกันเป็นรูปร่างของหัวหนึ่งของพญาอสรพิษ หัวนั้นอ้าปากรับของเหลวเอาไว้ก่อนจะกลืนลงไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่หัวอสรพิษจะสลายกลายเป็นออร่าไร้รูปร่างอีกครั้ง



"นี่คงเป็นอาวุธสุดท้ายของมันแล้วล่ะ พิษนี้รุนแรงมากพอที่จะฆ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าได้นับล้านคน แต่เทียบกับพิษของข้ามันก็ไม่ต่างจากน้ำธรรมดา" ยามาตะ โนะ โอโรจิกล่าวในขณะที่เจนทรุดลงไปด้วยความเจ็บปวด ในใจก็ก่นด่าที่จู่ ๆ ดันมาใช้พลังผ่านร่างของเธอโดยไม่บอกไม่กล่าว แต่ถ้าหากพญาอสรพิษไม่ทำล่ะก็ตอนนี้เธอคงตายไปแล้ว



เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองดูก็พบว่าร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำที่เคยเป็นสีเข้มกลับซีดจางจนเกือบเป็นสีขาวทั้งตัว ท่าทางมันคงจะเค้นพิษจากทั้งหมดที่มันมีหวังที่จะจัดการเจนให้ได้ ทว่ามันไม่ได้คาดถึงว่าการโจมตีแบบทุ่มสุดตัวของมันจะถูกกลืนกินไปได้เช่นนั้น และตอนนี้มันก็อ่อนแอลง ไม่ต่างจากกบตัวใหญ่ธรรมดาเท่านั้น



หญิงสาวยืดตัวตรงพร้อมกับยกดาบขึ้นสูง เหล็กสีดำของดาบในมือเรียวถูกคลุมด้วยออร่าสีม่วงก่อนผู้กล้าในชุดขาวจะฟาดดาบไปด้านหน้า เป้าหมายคือเจ้าแห่งหนองน้ำที่หมดพิษสง



ผ่ามิติ!!



คลื่นดาบที่พุ่งออกมาคราวนี้เป็นคลื่นดาบสีม่วงเช่นเดียวกับออร่าที่คลุมร่างของเจน และขนาดของมันนั้นก็ใหญ่กว่าปกติถึงสามเท่า เพียงเสี้ยววินาที เสียงระเบิดจากการปะทะดังลั่นพร้อมกับแรงลมพัดแรงราวกับพายุซัดจนผู้เล่นที่กำลังต่อสู้กับกองทัพกบอยู่ไม่ไกลต่างพากันก้มหลบกันจ้าละหวั่น ส่วนพวกกบนั้นก็ถูกลมพัดกระเด็นไปจนเกือบหมด เหลือแต่กบดึกดำบรรพ์ที่เหลืออยู่เพียงสี่ห้าตัวเท่านั้น เมื่อผู้เล่นหันไปมองดูทิศที่เสียงระเบิดดังมาก็พบว่าร่างขนาดใหญ่ของเจ้าแห่งหนองน้ำกลายเป็นซากเนื้อกองใหญ่ที่กำลังค่อย ๆ สลายกลายเป็นแสง ใกล้กันนั้นเป็นร่างของผู้กล้าในชุดขาวที่กำลังหันหลังให้ รอบข้างของเธอนั้นมีออร่าสีม่วงครามปกคลุมอย่างน่าเกรงขาม ผู้เล่นนับร้อยต่างพากันส่งเสียงฮือฮาถึงพลังอันร้ายกาจที่สามารถจัดการกับมอนสเตอร์บอสระดับขุนนาง เลเวลห้าสิบที่ต้องใช้ผู้เล่นมากกว่าร้อยคนช่วยกันจัดการได้ด้วยการลงมือครั้งเดียว



ทุก ๆ คนไม่เว้นแม้กระทั่งพวกโจต่างก็ตกตะลึงถึงพลังมหาศาลของผู้กล้าในชุดขาว เว้นเสียแต่ว่าหากทุกคนมองเห็นใบหน้าของเจนในตอนนี้เข้าล่ะก็ จะพบว่าตัวเธอเองก็ตกใจไม่แพ้กับคนอื่น ๆ เช่นกัน



"..น...นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย" หญิงสาวพูดกับตัวเองเสียงละห้อย เพราะไม่แค่ร่างของเจ้าแห่งหนองน้ำที่ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ แต่ผืนป่าที่อยู่ด้านหลังของมันก็ถูกทำลายจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีซากต้นไม้ถูกสับเละไปหมด



"ผ่ามิติจะเพิ่มพลังขึ้นจากพลังสถิตร่างที่เจ้าใช้ ตอนที่เจอกับผีดิบตัวนั้นเจ้าเองก็น่าจะรู้แล้วนะ" ยามาตะ โนะ โอโรจิบอก ทำให้เจนนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอใช้พลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในตอนนั้น



"ก็ใช่ แต่ตอนนั้นมันไม่ได้รุนแรงขนาดนี้นะ ถึงตอนนี้ฉันจะเก่งขึ้นกว่าในตอนนั้นแล้วและมีทักษะอื่นช่วยก็เถอะ...นี่มันหายนะชัด ๆ" หญิงสาวกล่าวแล้วเก็บดาบลงฝักก่อนจะสลายพลังสถิตร่างลงแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาซากของเจ้าแห่งหนองน้ำเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าเธอจัดการมอนสเตอร์ระดับสูงได้แบบนี้จะต้องมีของดี ๆ ตกอยู่แน่ ถึงแม้จะตกใจแต่สามัญสำนึกของเธอก็ยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ



"มันเป็นเพราะพลังของข้าต่างจากพลังของยัยจิ้งจอกเก้าหางยังไงล่ะ พลังของยัยนั่นคือความเร็วและเวทมนตร์ ถึงผ่ามิติจะได้รับพลังจากร่างพลังสถิตแต่ถ้าหากมาเทียบกับพลังของข้าแล้วมันยังห่างชั้นนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือเดิมทีแล้วผ่ามิติเป็นพลังของดาบที่ใช้ผนึกข้า ไม่แปลกที่มันจะตอบสนองของพลังของข้าได้ดีกว่าเช่นนี้" พญาอสรพิษเอ่ยตอบ เจนส่งเสียงเบา ๆ เหมือนกับรับทราบ แต่ใจของเธอนั้นจดจ้องอยู่ที่ของที่ได้ไปซะแล้ว



ชุดเกราะกบ ระดับ A พลังป้องกัน 300

เพิ่มพลังป้องกันธาตุน้ำ 20% เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อยู่ใต้น้ำ



ผ้าคลุมแห่งหนองน้ำ ระดับ A

เพิ่มพลังป้องกันธาตุน้ำ 20% เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำ



ของที่ได้จากเจ้าแห่งหนองน้ำนั้นเป็นเสื้อเกราะสีแดงเลือดหมูซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาด แม้ว่ามันจะมีระดับสูง พลังป้องกันสูงกว่าชุดเกราะปกติมากแต่เจนไม่คิดจะใส่เกราะชิ้นนี้แน่ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้สวมชุดป้องกันที่มีพลังป้องกันเลยก็ตาม หันไปดูอีกอย่างเป็นผ้าคลุมสีฟ้าอ่อน แม้จะดูเก่าแต่ก็เป็นผ้าเนื้อดี เจนเก็บของทั้งสองอย่างเอาไว้และหันไปดูอย่างอื่นว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า เธอพบว่าใกล้ ๆ นั้นมีเหรียญทองตั้งอยู่กองหนึ่งดูมีจำนวนไม่น้อยพร้อมทั้งอาวุธระดับ B อยู่อีกสองสามอย่าง แน่ใจได้เลยว่าต้องเป็นของที่ตกจากเจ้าแห่งหนองน้ำแน่ และเธอก็ไม่พลาดที่จะเก็บลงเข้ากระเป๋าไป



หลังจากเก็บของทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วเจนก็หันไปมองดูว่าพวกโจจัดการกับกองทัพกบเสร็จหรือยัง แต่จากที่ดูแล้วกบดึกดำบรรพ์ห้าตัวกับผู้เล่นหลายร้อยคนก็ยังคงตองใช้เวลาอีกซักพัก เมื่อเห็นดังนั้นเจนจึงหันไปคุยกับพญาอสรพิษเรื่องพลังสถิตร่างที่เธอใช้เมื่อครู่



"นี่ยามาตะ โนะ โอโรจิ นายหมายความว่ายังไงหรือที่บอกว่าพลังนี้เหมาะกับฉันมากกว่าพลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง" เจนถามขึ้นลอย ๆ ไม่นานเสียงทรงอำนาจก็ดังตอบกลับมา



"ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพลังของยัยจิ้งจอกเก้าหางคือเวทมนตร์ ผ่ามิติไม่ใช่เวทมนตร์ จึงไม่ได้เพิ่มพลังของผ่ามิติได้เท่ากับพลังของข้า ถึงแม้เดิมทีพลังของข้าและยัยนั่นจะเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ตรงกันข้าม เจ้าสามารถใช้พลังของข้าในการต่อสู้ได้ดีกว่า อย่างที่เจ้าเพิ่งจัดการเจ้ากบนั่นไป"



"แต่เจ้าอย่าคิดว่าแค่นั้นจะหมายความว่าเจ้าแข็งแกร่งแล้ว พลังที่เจ้าใช้ในครั้งนี้ไม่ใช่พลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของเจ้าเหมือนกับพลังของยัยจิ้งจอกเก้าหาง ที่เจ้าสามารถใช้ผ่ามิติจัดการกับเจ้ากบนั่นได้ในครั้งเดียวเพราะข้าให้เจ้าใช้พลังของข้าโดยตรงผ่านดาบ มันก็เลยไม่แปลกที่จะส่งผลได้รุนแรงเช่นนั้น แต่เจ้าคงจำความเจ็บปวดเมื่อพลังของข้าไหลผ่านเข้าสู่ร่างของเจ้าได้ดี มันก็เหมือนกับแก้วใบเล็กที่ถูกเติมน้ำจนล้นแก้ว ถ้าหากเจ้าใช้พลังในตอนที่เจ้ายังคงอ่อนแอเช่นนี้อยู่ เจ้าก็จะไม่ต่างไปจากแก้วที่น้ำล้นออกมา หรือถ้าหากให้เทียบกับเจ้าก็คือร่างที่ถูกระเบิดเพราะพลังที่มากเกินไป" พญาอสรพิษชิงเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเจนแสดงสีหน้าดีใจเมื่อรู้ว่าได้พลังมหาศาลเอาไว้ในมือ



"หมายความว่าฉันจนกว่าฉันจะแข็งแกร่งขึ้น ฉันจะใช้พลังของนายไม่ได้อย่างนั้นใช่มั้ย" เจนถาม พญาอสรพิษเงียบไม่ตอบแต่สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากพูดเมื่อเจนถามซ้ำ



"เปล่า แค่ครั้งต่อไปที่เจ้าใช้พลังของข้าก็แค่ใช้พลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเจ้าเท่านั้นเอง แต่จงจำเอาไว้ว่าต่อให้เจ้าแข็งแกร่งจนสามารถใช้พลังที่แท้จริงของพลังสถิตร่างได้ มันก็จะไม่ทรงพลังเท่ากับพลังสถิตร่างที่เจ้าใช้ในวันนี้" ว่าแล้วยามาตะ โนะ โอโรจิก็เงียบเสียงไป แม้เจนจะยังมีคำถามมากมายต้องการจะถามแต่คราวนี้ไม่ว่าเธอพยายามเรียกเท่าไหร่ พญาอสรพิษก็ไม่ยอมตอบเสียงเรียกของเธอเลย



หลังจากผ่านไปซักพักพวกโจและกลุ่มผู้เล่นก็จัดการกับกบดึกดำบรรพ์ทั้งหมดได้ เสียงร้องด้วยความยินดีดังไปทั่วเพราะไม่เพียงแค่ค่าประสบการณ์ที่ได้เป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีของที่ตกจากมอนสเตอร์ระดับบอสและกบตัวเล็ก ๆ มูลค่ามหาศาลที่สามารถแบ่งกันได้ทุกคนกลับไปจนถือว่าการมาล่าบอสตามข่าวลือในครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ



เมื่อเจนเดินมาสมทบกับพวกโจ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างหันมามองดูเธอด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเสียงซุบซิบคุยกัน หลายคนทำท่าจะเดินเข้ามาหาถ้าหากไม่ติดที่ซึบากิและพรรคพวกของเธอตัดหน้าเดินเข้ามาขวางเอาไว้ซะก่อน



"ทุกคนคงเห็นแล้วว่าผู้กล้าในชุดขาวจัดการกับมอนสเตอร์บอสระดับสูงอีกตัวในระหว่างที่พวกเราจัดการกับเป้าหมายที่พวกเราต้องการมาจัดการตั้งแต่แรก ทุกคนได้โปรดเห็นใจผู้กล้าในชุดขาวด้วย ปล่อยให้เขาพักและแยกย้ายกันกลับเมืองได้แล้ว" เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งในกองทัพของซึบากิตะโกนประกาศให้กับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้ทราบ แม้จะมีบางส่วนที่ไม่พอใจเพราะคิดว่ากิลด์วิหคเทเวศจะกักตัวผู้กล้าในชุดขาวเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว บางคนถึงขนาดต้องการจะมาแบ่งส่วนของจากเจนที่นอกจากจะจัดการเจ้าแห่งหนองน้ำได้แล้วยังจัดการกับกบดึกดำบรรพ์ไปอีกสองตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือกับกองทัพแห่งกิลด์วิหคเทเวศทัพนี้ เพราะทุกคนที่ร่วมสู้ต่างเห็นถึงฝีมือของผู้หญิงทุกคนที่สามารถจัดการกบดึกดำบรรพ์ไปได้อย่างไม่ยากเย็น ต่อให้ไม่มีเจนอยู่ บางทีพวกซึบากิก็สามารถจัดการกับเจ้าแห่งหนองน้ำได้เลยด้วยซ้ำ



"ขอบคุณนะที่ช่วยกันคนออกไปให้ ว่าเธอพวกเธอจัดการกับกบดึกดำบรรพ์ได้หรือเปล่า" เจนถามซึบากิขณะที่กำลังมองพวกผู้เล่นคนอื่น ๆ ฉีกกระดาษวาปกลับเมืองไป



"ได้สิ ต้องขอบคุณนายนั่นแหละที่ช่วยจัดการกบตัวเล็ก ๆ แล้วก็เจ้าพี่เบิ้มตัวนั้นไป พวกเราทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะเลย" ซึบากิตอบด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ



"ขอถามหน่อยได้มั้ยว่าพวกเธอมาจัดการกับเจ้ากบพวกนี้ทำไม ดูจากฝีมือแล้วน่าจะไปล่าบอสที่เก่งกว่านี้ก็ไม่น่าจะเกินมือพวกเธอนะ" แจ็คถามขึ้นด้วยความสงสัย



ซึบากิแยกเขี้ยวยิ้มก่อนจะหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นมาให้ดู มันเป็นสร้อยไข่มุกขนาดใหญ่ถูกถักร้อยกันอย่างประณีต ไข่มุกเม็ดที่อยู่ตางกลางนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดและยังส่องประกายสว่างต่างจากไข่มุกทั่วไปมาก แค่มองก็รู้ว่าสร้อยไข่มุกเส้นนี้มันจะต้องมีราคาสูงอย่างแน่นอน



"พวกเรามาตามหาสร้อยไข่มุกเส้นนี้น่ะ มันเป็นสร้อยไข่มุกของราชินีฮิมิโกะ ถ้าหากนำไปคืนเธอได้ล่ะก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินนับล้านเหรียญทองและอาวุธกับชุดเกราะระดับสูงด้วย บางทีถ้าโชคดีพวกฉันอาจจะได้ของระดับ S เป็นของรางวัลด้วยก็ได้...นี่พวกนายทำหน้าอย่างนั้นทำไมน่ะ" ซึบากิถามเมื่อเธอเห็นสีหน้าตกตะลึงของพวกเจนที่ต่างจ้องมองไปยังสร้อยไข่มุกเป็นสายตาเดียว



"ภารกิจ...ตามหาสร้อยไข่มุก..-" โจเอ่ยปากถาม



"ใช่ ภารกิจบนกระดาษแผ่นเก่า ๆ บนกระดานภารกิจที่อยู่กลางเมืองนั่นแหละ ที่ไม่มีคนทำกันก็เพราะไม่มีใครสนใจจะสืบข้อมูลว่าใครเป็นผู้ให้ภารกิจ พวกฉันลองสืบดู พอรู้ว่าราชินีฮิมิโกะเป็นคนให้ภารกิจและสร้อยไข่มุกอยู่ที่ไหนก็เลยยกทัพมากันนี่...แหละ" ซึบากิตอบเสียงสูง เพราะคนฟังตอนนี้ดูไม่มีกะจิตกะใจจะฟังที่เธอพูซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้สองสาวซินจูและไมโกะต่างถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ส่วนสามหนุ่มก็ยกมือไหว้ขอโทษผู้กล้าในชุดขาวที่กำลังจ้องหน้าพวกเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อในขณะสาวงามในชุดยูกาตะและเด็กสาวในชุดสีฟ้าตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้อามีร่ามองดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัย



"ว่าแต่พวกเธอนี่มีฝีมือไม่เลวเลย สนใจที่จะเข้ากิลด์วิหคเทเวศบ้างหรือเปล่า" ซึบากิพูดขึ้นทำให้พวกเจนเลิกสนใจเรื่องตรงหน้าและหันมาดูว่ารองหัวหน้ากิลด์ผู้นี้กำลังพูดกับใคร



ดวงตาเป็นประกายของซึบากิกำลังจ้องไปยังสี่สาวที่ยืนอยู่ใกล้กัน ดูท่าทางเธอยังไม่รู้ว่าคิทซึเนะและฟีบีไม่ใช่ผู้เล่น ส่วนซินจูและไมโกะต่างหันมามองดูสมาชิกกลุ่มคนอื่น ๆ ราวกับว่าต้องการความเห็น ในขณะที่ซึบากิกำลังรอคำตอบของพวกเธออยู่นั้น มีเพียงอามีร่าเพียงเดียวที่ซึบากิไม่แม้แต่จะเหลียวไปมอง



หลังจากหันไปคุยกันในกลุ่มจนได้ข้อสรุปแล้ว ไมโกะจึงหันมาให้คำตอบกับซึบากิ "ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะ แต่พวกเราอยากจะอยู่ด้วยกันมากกว่า ไม่รู้ว่าพวกผู้ชายพวกนี้จะเข้ากิลด์ไหน พวกฉันก็อยากจะตามไปคุมพวกนี้จะได้ไม่ไปก่อเรื่องยุ่ง ๆ เข้าน่ะ"



"ก็ได้ แต่ถ้าหากอยากจะเข้าร่วมกับพวกฉันเมื่อไหร่ก็ติดต่อมานะ ประตูกิลด์วิหคเทเวศเปิดรับพวกเธอเสมอ" ซึบากิพูดแล้วหันไปหาเจนพร้อมกับยื่นมือให้ "ยินดีที่ได้รู้จักนะเจน หวังว่าคราวหน้าพวกเราคงได้ร่วมมือกันแบบนี้อีก"



เจนยิ้มรับและยื่นมือไปจับกับซึบากิ "ยินดีเสมอ"



หลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มก็พากันแยกย้ายไปเก็บของยังที่พักของตน ดูท่าทางคงไม่มีความจำเป็นที่จะพักอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเพราะพื้นที่หนองน้ำเกือบครึ่งถูกทำลายด้วยผ่ามิติขนาดใหญ่ไปแล้ว คงไม่เหลือตัวอะไรอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ให้เก็บเลเวลแล้วล่ะ



เจนลองตรวจสอบค่าประสบการณ์ที่ได้จากการต่อสู้ในครั้งนี้ เธอมีเลเวลเพิ่มขึ้นมาถึงสี่เลเวล สามจากโบนัสที่จัดการมอนสเตอร์ระดับบอสได้ ส่วนค่าประสบการณ์ที่ได้นั้นเพิ่มระดับได้แค่เลเวลเดียวเท่านั้น ทำให้ตอนนี้เจนมีเลเวลเก้าในขณะคนอื่น ๆ มีเลเวลเพิ่มมาแค่คนละสองสามเลเวลเท่านั้น ถึงแม้จะจัดการกับพวกกบมามาก แต่กองทัพกบส่วนใหญ่มียศอยู่ระดับทหารเท่านั้น จะมียศขุนนางก็แค่กบดึกดำบรรพ์และเจ้าแห่งหนองน้ำ



"พวกเสือซ่อนลายติดต่อมาแล้ว ตอนนี้อยู่ในเกม กำลังจะไปส่งภารกิจเลื่อนยศ พวกเราเก็บของแล้วรีบกลับเมืองกันดีกวา" โจพูดขึ้นแล้วหันไปเก็บเต็นท์



"ว่าแต่พวกเรานี่ก็เนื้อหอมไม่เบาเลยนะคะ แค่ไม่กี่วันพวกเราก็ได้รับเชิญให้เข้ากิลด์จากทั้งกิลด์อันดับสองและอันดับสามในเกมแหนะ แบบนี้ถ้าเอาไปเล่าให้พวกพี่หนูฟังจะต้องไม่มีใครเชื่อแน่เลย" ซินจูพูดขึ้นขณะที่กำลังเก็บเครื่องครัวที่คงไม่ได้ใช้เพราะเย็นนี้คงจะได้กลับไปกินอาหารในเรียวกัง



"ใช่ แถมพวกเราก็ดันไปตอบปฏิเสธมันทั้งสองกิลด์ด้วย แต่แค่บอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนของผู้กล้าในชุดขาวก็ไม่มีใครจะเชื่อแล้วมั้ง" ไมโกะว่า



"ยังมีอีกาที่ตอนนี้เป็นพวกเดียวกับพวกเราแล้วอีกเรื่องด้วยนะ" แจ็คเสริม อามีร่าที่ได้ยินก็ยิ้มขอบคุณให้กับชายหนุ่ม



"จะว่าไปแล้วทำไมคุณซึบากิถึงไม่ชวนพี่เจนเข้ากิลด์นะ ทั้ง ๆ ที่เห็นฝีมือของพี่เจนแล้วว่าสุดยอดขนาดไหน" ซินจูถามขึ้นมา แต่ไมโกะก็รีบตอบคำทันที



"จะชวนได้ยังไงล่ะ ก็คนอื่นยังไม่รู้ซักหน่อยนี่นาว่าเจนนะเป็นผู้หญิง"



"ใช่แล้ว คนอื่นไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง...เอ๋!!" เจนร้องตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ เพราะทั้งสองคนกำลังพูดในสิ่งที่เธอปกปิดเป็นความลับเอาไว้ออกมาทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ได้บอกกล่าวเลยแม้แต่คำเดียว







"ไม่อยากจะเชื่อเลย!! นี่ทุกคนรู้กันหมดแล้วหรือเนี่ย" เสียงของหญิงสาวดังขึ้นอย่างไม่พอใจลั่นห้องพัก หญิงสาวผมดำเดินไปเดินมาต่อหน้าพรรคพวกทุกคนที่กลับมาอยู่กันพร้อมหน้ารวมถึงสมาชิกใหม่อย่างอามีร่าด้วย เพราะตอนนี้เจนได้รู้ว่าตอนนี้ความลับที่ควรมีเพียงแจ็คและโจรู้นั้นแตกไปนานแล้ว



"ก็พวกนี้เป็นเพื่อนของเราทั้งนั้นนี่ ไม่เห็นว่าจะต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับพวกเสือซักหน่อยนี่นา แถมเธอเองก็คิดจะบอกกับพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง" โจพยายามพูดเหตุผลของตัวเองแต่ก็ต้องรีบหลบสายตาพิฆาตของเจนที่หันควับมามองเมื่อเขาเอ่ยปาก



"ใจเย็น ๆ ก่อนน่าเจน ไอ้โจมันก็ผิดที่ดันไปบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้โดยที่ไม่มาคุยกับเธอก่อน แต่ถ้าจะให้พวกเสือจริงใจกับพวกเรา มันก็เริ่มจากที่พวกเราจริงใจให้กับพวกเสือก่อนสิ" แจ็คพูดขึ้น คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา



เจนรู้ว่าที่แจ็คพูดมันก็ไม่ผิด เธอก็คิดจะบอกพวกเสือซ่อนลายเรื่องตัวเธออยู่แล้วแต่สถานการณ์และจังหวะมันไม่เป็นใจ ถ้าให้บอกตามตรงเธอเองก็รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าทุกคนรู้ความจริงแล้ว



"ไม่ต้องคิดมากไปหรอกเจน โจบอกพวกเราตั้งแต่ตอนที่เราอยู่สุสานผีดิบแล้วล่ะ" เสือซ่อนลายบอก แม้จะดีใจแต่เจนก็อดที่จะหันไปมองโจตาขวางไม่ได้



"พวกเราเองก็ไม่ได้คิดมากเรื่องนี้หรอกค่ะ ถ้าจู่ ๆ ตัวเองกลายเป็นอินเตอร์เซ็กก็คงจะไม่อยากบอกใครเหมือนกับพี่เจนนั่นแหละค่ะ" ซินจูพูดให้กำลังใจ แต่เมื่อเจนได้ยินก็ต้องหันมาค้อนใส่โจอีกรอบ



"นี่นายบอกทุกคนเรื่องนี้ด้วยหรอเนี่ย!"



"ก็ฉันคิดว่าไหน ๆ จะพูดความจริงแล้วก็น่าจะบอกให้หมดไปเลย... เฮ้ย เจน! ใจเย็นก่อน ค่อยพูดค่อยจากกันดีกว่าเนอะ ฮ่ะ ฮ่ะ" โจรีบพูดเสียงสูงเมื่อเขาเห็นมัจจุราชกำลังเงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะลงเคียวลากเขาลงนรก



"ตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้ว.. ว่าแต่เธอก็รู้ด้วยหรือเปล่า" เจนหันไปถามอามีร่า เด็กสาวที่ตอนนี้กำลังยกชาขึ้นดื่มอย่างมีความสุขก็แทบจะสำลัก เธอทำท่าเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดยสายตาของเจนจ้องมองมาหมายจะคาดคั้นเอาคำตอบจากเธอ



"ก็...ตอนแรกฉันก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันน่ะค่ะ เพราะคุณเจนแต่งตัวเหมือนผู้ชายแต่หน้าตาสวยมาก ๆ เลย พอได้ฟังเรื่องราวจากทุกคนแล้วก็เลย..." อามีร่าตอบแต่พยายามหลบสายตาของผู้กล้าในชุดขาวจนทำให้ตัวเจนเองรู้สึกผิดไม่น้อยที่จู่ ๆ ไปคาดคั้นกับคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง ทว่ามันก็หน้าแปลกเพราะบรรยากาศในห้องนี้กลับรู้สึกเหมือนว่าทุกคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปีแล้ว



"เฮ่อ..ขอโทษทีนะอามีร่าที่ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แล้วเธอไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหรอก แค่เรียกเจนเฉย ๆ ก็พอ" ผู้กล้าในชุดขาวบอกพลางนั่งลงข้าง ๆ จิ้งจอกสาวและมังกรน้อยที่ต่างกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน



"ว่าแต่พวกเราได้อะไรมาบ้างล่ะ หนูส่งข่าว นายเอาของออกมาแบ่งกันได้แล้วมั้ง" เจนหันไปหาชายหนุ่มที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่มุมห้อง เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง หนูส่งข่าวก็เดินมาพร้อมกับเทของในกระเป๋าออกมาทั้งหมด เพียงในพริบตา พื้นเสื่อก็มีชุดเกราะสีเขียวอยู่สองชุดพร้อมทั้งโล่เหล็กขนาดเล็กอีกสองใบ นอกจากนั้นยังมีขวดยาพิษอีกนับร้อยขวดและหนังและขากบอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ซินจูและไมโกะสะดุ้งสุดตัว ถอยออกห่างจากโต๊ะแทบไม่ทัน



"นี่นาย! ถ้ามีของน่าขยะแขยงแบบนี้อยู่ก็บอกกันก่อนสิจะได้เตรียมตัวทัน!" ไมโกะว่าเสียงดัง



"โทษทีนะแม่คุณ ไอ้ขยะที่เธอว่าน่ะฉันต้องไปเปิดสงครามแย่งกับคนอื่นมาเลยเชียวนะ โดยเฉพาะพวกกิลด์วิหคเทเวศนั่น ถึงจะเห็นว่ากิลด์นี้จะไม่ได้ประกาศยึดของไปมากกว่าสิ่งที่ตัวเองจัดการได้ก็เถอะ แต่ตอนไล่เก็บของระหว่างที่เธอสู้กันน่ะ ฉันรับรองว่าพวกแม่นี่จะต้องได้ของมูลค่าไปอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนโกลด์แน่" หนูส่งข่าวตอบออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ เนื่องจากทักษะเกี่ยวกับการต่อสู้นั้นเขาถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มจึงทำได้เพียงเป็นแค่คนเก็บของระหว่างที่คนอื่น ๆ มัวแต่ยุ่งกับการต่อสู้



"ทางฉันเองก็ได้ชุดเกราะกับผ้าคลุมระดับ A มาจากเจ้าแห่งหนองน้ำ แล้วก็มีอาวุธพวกนี้กับเงินอีกแปดหมื่นโกลด์" เจนบอกแล้วจึงเอาของที่ได้มาวางรวมกับของที่หนูส่งข่าวเทเอาไว้



"แล้วจะแบ่งกันยังไงดีล่ะ จะว่าไปแล้วเธอยังไม่มีชุดเกราะใช้เลยนะเจน ทำไมถึงไม่เอาชุดเกราะนี้ไปใส่ดูล่ะ ของที่ตกจากมอนสเตอร์ระดับบอสน่าจะมีพลังป้องกันไม่น้อยนะ อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันการโจมตีธรรมดาได้เยอะเลย" ไมโกะว่า แต่เจนกลับทำหน้าเหยเกเหมือนไม่อยากได้



"มันก็จริงอย่างที่พูดนะ แต่ว่ามัน..."



"อย่าประมาทนะคะ อย่างฉันเองก็ไม่ได้มีชุดเกราะใส่ทำให้ตายไปตั้งหลายครั้งจากการโจมตีธรรมดา" อามีร่าพูดขึ้น



"จริงอย่างที่อามีร่าว่านะ อีกอย่าง ถึงชุดเกราะนี่จะรูปร่างแปลกประหลาด แต่ค่าพลังป้องกันนี่มันไม่ได้น้อยเลยนะ เธอเอาไปใส่นั่นแหละดีแล้ว" เสือซ่อนลายเสริมด้วยอีกคน แถมเขายังหยิบชุดเกราะไปให้เจนแถมยังจ้องแกมบังคับให้เธอรับเอาไว้อีกด้วย จนสุดท้ายแล้วเจนจึงต้องรับชุดเกราะเอาไว้อย่างโดยดี



หลังจากแบ่งของที่ได้มาเรียบร้อยโดยเสือซ่อนลายและยูสตาร์ยอมรับแค่เงินมาแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วย นอกจากชุดเกราะกบแล้ว เจนก็ได้เงินและชิ้นส่วนของกบมาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งหนูส่งข่าวบอกว่าของพวกนี้สามารถเอาไปขายได้ราคาดีที่ร้านขายยาหรือพวกนักปรุงยาทั้งหลาย เจนลองเปิดดูหน้าต่างสัตว์เลี้ยงเพื่อตรวจดูเลเวลของคิทซึเนะและฟีบี ตอนนี้คิทซึเนะได้ค่าประสบการณ์มาจากที่เจนจัดการกับกบดึกดำบรรพ์และเจ้าแห่งหนองน้ำทำให้เลเวลเพิ่มมาหนึ่งเลเวล ส่วนมังกรน้อยนั้นยังคงมีเลเวลยังนิ่งอยู่ที่ยศทหาร ระดับหนึ่งร้อยเท่านั้น ดูท่าทางเธอคงต้องออกตามหามังกรที่มีระดับราชาหรือเทพเจ้าเพื่อที่จะเลื่อนระดับของฟีบีดูซะแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่ามังกรเหล่านั้นจะยอมคุยกับเธอหรือเปล่านี่สิ



"อืม...ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมพี่เจนถึงต้องปิดเรื่องที่ตัวเองเป็นผู้หญิงด้วย" จู่ ๆ คิทซึเนะก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เจ้าตัวที่ถูกเอ่ยถึงก็เงยหน้าขึ้นมามองน้องสาวของเธอด้วยความกระอักกระอวนไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ถึงภายนอกจะเป็นหญิงสาวสาวรูปร่างเซ็กซี่ แต่น้องสาวของเธอก็ยังคงเป็นจิ้งจอกที่ไม่รู้สาอะไรกับโลกที่เจนอยู่เลย



"คืออย่างนี้นะคิทซึเนะ พี่เจนเขาเป็นผู้ชายแต่ไม่สบายทำให้พี่เขากลายมาเป็นผู้หญิงไงล่ะ เพราะแบบนี้พี่เขาจึงไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับใคร" ซินจูอธิบายอย่างเรียบง่ายโดยไม่ได้ลงลึกไปที่รายระเอียด เจนรีบหันไปยิ้มขอบคุณให้กับเด็กสาวทันทีเพราะเธอเองก็คิดคำอธิบายอะไรที่ดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว



"มันมีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรือคะ เพิ่งรู้นะเนี่ย" จิ้งจอกสาวส่งเสียงตอบออกมาเสียงสูงด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่แทนที่จะทำให้เจนโล่งใจ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาที่หน้าประตูห้องจนทำให้ทุกคนต้องหันไปมองเป็นสายตาเดียว



"เรื่องแบบนั้นมีอยู่แล้วจ๊ะ เป็นอาการที่หายากมากเลยด้วย ถ้าหากอยากรู้ล่ะก็จะให้ฉันเล่าให้ฟังก็ได้นะ" เสียงหวานแต่ก็ฟังดูทรงภูมิดังขึ้น นั่นเป็นเสียงที่เจนรู้สึกคุ้นหูยังไงชอบกล เมื่อหันไปมองตามที่มาของเสียง หัวใจของเธอก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใบหน้าซีดราวกับโดนผีหลอกยามเย็น สาเหตุนั้นไม่ได้เป็นเพราะเจ้าของเสียง แต่เป็นหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ เธอต่างหาก



"แม่!!" เสียงของหญิงสาวดังลั่นพร้อมกับร่างของเธอลุกพรวดพราดขึ้นมา คนอื่น ๆ ในห้องต่างก็หันมามองระหว่างเจนและหญิงสาวสองคนที่มายืนอยู่หน้าประตูห้องของพวกเธอ



หญิงสาวคนแรกนั้นมีผมสีบลอนทองยาว สวมเสื้อเชิ้ตแขนขาวสีแดงและสวมเสื้อกั้กทับเอาไว้อีกที กางเกงสแล็คขายาวสีขาวและรองเท้าบูทสีเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่งของเธอทำให้ชุดที่สวมใส่ยิ่งดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนหญิงสาวอีกคนนั้นเป็นหญิงสาวผมสีดำยาวที่มีใบหน้ายิ้มแย้มดูน่ารัก เธอสวมเสื้อโค้ทสีขาวโดยมีเสื้อสีชมพูอีกตัวอยู่ด้านใน การแต่งตัวเหมือนกับผู้ใหญ่แต่ใบหน้าของเธอดูราวกับเด็กสาววัยรุ่น ใครจะเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้คือจริยา แม่ของเจนที่ยืนตะลึงอยู่ในห้องนี่เอง



"****ั้นหรือ!!?" เสียงฮือฮาของไมโกะดังหลุดปากออกมา ทุกคนในห้องต่างจ้องไปยังจริยาเพราะแม่ของเจนคงไม่ใช่หญิงสาวที่มีผมบลอนตาสีฟ้าแน่



ทั้งคู่ต่างเดินเข้ามาในห้องโดยที่จริยานั้นเดินตรงเข้ามาหาเจนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้กล้าในชุดขาวกลับก้าวถอยหลังโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกตัว



"ไงจ๊ะลูกแม่...ว่าแต่ชุดนี่มันหมายความว่ายังไงเอ่ย" เสียงของจริยาราบเรียบแต่มีเพียงสามคนในห้องเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำเสียงแบบนี้แหละที่นำมาก่อนอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่า



"อะ..เอ่อ ระ..เรื่องชุดมันก็.." เจนพูดเสียงตะกุกตะกัก ในหัวพยายามคิดข้ออ้างที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ได้มาตอนเริ่มเกม ใครจะไปรู้ว่าแม่ของเธอจะตามหาเธอพบได้ในเกมแบบนี้ล่ะ



ในขณะเดียวกันนั้นเสือซ่อนลายและยูสตาร์ต่างจ้องไปที่หญิงสาวผมสีบลอนทอง ใบหน้านี้มันช่างคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าพวกเขาเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน



"เอ่อ...ขอโทษนะครับ ผมมีชื่อวาเสือซ่อนลาย เป็นเพื่อนกับเจนครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ..." เสือซ่อนลายเข้าไปทักทายอย่างมีมารยาท ทางหญิงสาวได้ยิงจึงหันมาหาและยืนมือออกมาหาชายหนุ่ม



"ฉันมีชื่อว่าเกอร์ทูธ ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยดูแลเจนด้วยนะ"



เพียงแค่เอ่ยชื่อ ทั้งพวกเสือซ่อนลาย หนูส่งข่าว พวกซินจูหรือแม้อามีร่าต่างก็มีสีหน้าตื่นตะลึก เมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของและสร้างเกมดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว



"คุณเกอร์ทูธเป็นเพื่อนกับแม่ของเจน!! มิน่าล่ะเจนถึงได้เก่งขนาดนั้น" หนูส่งข่าวอุทาน แต่ก็ต้องรีบหุบปากเมื่อดวงตาคมกริบของเกอร์ทูธหันมามองที่เขา



"ขอโทษที่ต้องทำให้ผิดหวังนะจ๊ะ แต่เกมนี้แม้แต่ฉันเองก็แฮกค์ไม่ได้หรอกนะ ทุกอย่างในเกมทุกคนจะต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเองเท่านั้น สิ่งที่เจนมีอยู่ตอนนี้เป็นความสามารถของเธอที่หามาเองทั้งสิ้น ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย" เกอร์ทูธตอบเสียงเรียบ แม้พวกเสือซ่อนลายจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่หญิงสาวเพิ่งพูดออกมา แต่ก็คงจะแย้งไม่ได้เพราะนี่คนสร้างเกมเป็นคนพูดเอง



ตอนนั้นเองที่เกอร์ทูธรู้สึกได้ว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังจ้องเธออยู่ เป็นดวงตาสีดำประกายของอามีร่าที่มองเธอด้วยความซาบซึ้งทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งเจอกับเกอร์ทูธเป็นครั้งแรก แต่คุณหมอคนดีก็รู้ว่าเด็กสาวคนนี้รู้ว่าเธอเป็นใครและทำอะไรให้กับเธอ



"สวัสดีจ๊ะ เธอคงเป็นอามีร่าสินะ" เกอร์ทูธทักทายพร้อมกับลงไปนั่งข้าง ๆ เด็กสาวที่จับผ้าคลุมสีฟ้าที่ได้มาเมื่อครู่แน่น



"คุณ...เป็นคุณใช่มั้ยคะที่ช่วยฉันกับแม่และทุก ๆ คนออกมา" อามีร่าถาม เธอรู้ทันทีว่าเจนช่วยให้เธอหลุดออกมาจากขุมนรกได้ยังไงเมื่อรู้ว่าเธอรู้จักกับหญิงสาวคนนี้ จากเงินและชื่อเสียงมากมายของตัวเกอร์ทูธเอง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาทีมงานและอุปกรณ์เช่นนั้นได้



แต่คำตอบของหญิงสาวกลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เกอร์ทูธส่ายหน้าเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น "ฉันอาจจะเป็นคนหาข้อมูลเรื่องสถานที่ ฉันอาจจะเป็นคนที่สร้างอาวุธหรือยานบิน หรือฉันอาจจะเป็นคนติดต่อเพื่อนที่พอจะช่วยเธอได้ก็จริง แต่ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าหากเธอคนนั้นไม่พยายามหาทางช่วยเธอให้ได้"



อามีร่ามองตามนิ้วไปยังหญิงสาวที่กำลังหน้าซีดเผือกขณะที่กำลังคุยกับหญิงสาวอีกคน ซึ่งตอนนี้โจและแจ็คเข้าไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีกแรงหนึ่งด้วย เด็กสาวหันมามองและทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่คุณหมอคนดีเอานิ้วมาปิดปากของเธอเอาไว้พร้อมทั้งขยิบตาให้อย่างมีนัย



ขนาดได้เพื่อนทั้งสองมาช่วยคุยแต่ดูท่าทางอารมณ์ของจริยาไม่เบาลงเลย แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มทว่ากลับทำให้พวกเจนรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัวแต่เหงื่อแตกซกจนร่างกายเริ่มสั่น ถ้าหากปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ มีหวังงานได้เข้ารอเจนล็อกเอาท์ออกจากเกมไปแน่นอน



"อ..เอ่อ จริงสิ!! ความจริงแล้วเจนก็มีเสื้อของเด็กผู้หญิงอยู่นะครับ แต่เพราะถ้าหากใส่ชุดอย่างนั้นแล้วมันสู้ไม่ค่อยถนัด ก็เลยใส่ชุดแบบผู้ชายน่ะครับ" โจพูดอธิบายเสียงดัง



"จริงครับคุณแม่ แต่ว่าผมน่ะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจนยอมใส่ชุดผู้หญิงแล้วนะ แต่ยัยนี่ไม่ยอม..- ย้าววว!!" แจ็คร้องเสียงหลงเพราะถูกมือเรียวหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง แม้ตอนนี้เธอจะพอมีข้ออ้างที่ดีแล้ว แต่ดูท่าทางจริยากับไม่เชื่อซะทีเดียว



"ตอนนี้ยังไม่ได้สู้กับใคร ถ้าอย่างนั้นลองไปใส่ชุดให้แม่ดูหน่อยได้มั้ยจ๊ะ" จริยาถาม แต่นั่นทำให้เจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เพราะว่าเธอเคยซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงซะที่ไหนล่ะ ทั้งตัวนอกจากชุดขาวกับผ้าคลุมนี่แล้วก็มีชุดสีแดงน้ำเงินที่ไม่ได้ดูคล้านชุดของผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย



ทว่าตอนนั้นเองก็เหมือนมีเสียงดังมาจากสวรรค์ เมื่อซินจูลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา



"มาเถอะค่ะพี่เจน เดี๋ยวหนูไปช่วยเลือกชุดใส่เองค่ะ" พูดจบสาวน้อยก็ลากผู้กล้าเข้าไปยังห้องนอน เจนที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะถ้าหากไม่ไปกับซินจู เธอก็คงต้องโดนแม่ของเธอฆ่าเอาแน่ ๆ



หลังจากเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเจนออกมาในมาดใหม่ที่ทำให้ผู้ชายทุกคนในห้องต้องมองตาค้างไปตามกัน



ตอนนี้เจนอยู่ในชุดเดรสสีเหลืองที่เธอเคยพบเมื่อครั้งที่อยู่ในเมืองคริสตัลเบล ผมสีดำยาวถูกปล่อยสยายยาวเป็นอิสระพร้อมทั้งเสริมด้วยที่คาดผมสีฟ้าสดใส ใบหน้าของเจนในตอนนี้แดงก่ำด้วยความเอียงอาย ร่างบางที่อยู่ในชุดงามเสริมให้เห็นทรวดทรงพร้อมทั้งชุดกระโปรงยาวปิดมาแค่ครึ่งน่องเท่านั้น เผยให้เห็นเรียวขาขาวแสดงความเป็นผู้หญิงออกมาให้เห็นมากยิ่งขึ้น ขนาดไมโกะเองได้เห็นยังต้องผิวปากชมเชย



"เป็นไงบ้างคะ พี่เจนโฉมใหม่ ชุดนี่พี่เขาเลือกเองกับมือเลยนะคะ" ซินจูว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แม้ว่าแม่สาวช่างเสื้อส่วนตัวจำเป็นพูดถูกว่าเจนเป็นคนเลือกชุดนี้ แต่เธอไม่ได้ซื้อมันมาซักหน่อย!



จริยาที่ได้เห็นลูกสาวของตัวเองก็คลายยิ้มเย็นยะเยือกไปจนหมด แทนด้วยรอยยิ้มด้วยความดีใจพร้อมเข้ามากอดเจนแน่น



"ลูกสวยมากเลยจ๊ะ! น่ารักอย่างที่แม่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ลูกไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ถ้าหากตอนออกไปสู้น่ะแม่อนุญาตให้เจนใส่ชุดอะไรก็ได้อยู่แล้ว" จริยาบอกพร้อมพาเจนมานั่งที่กลางห้องข้าง ๆ เกอร์ทูธ



"ว..ว่าแต่นี่แม่ตามหาเจนเจอได้ยังไง" หญิงสาวในชุดงามถามขึ้น พยายามจะไม่คิดว่าตัวเองอยู่ในชุดน่าอายขนาดไหน



"ก็เป็นเพราะลูกนั่นแหละแม่ถึงได้หาเจอ" จริยาว่าพร้อมกับส่งหนังสือพิมพ์กับเจน



บนหนังสือพิมพ์นั้นเขียนเอาไว้ว่าผู้ชนะการคัดตัวประลองเบลดมาสเตอร์ทั้งสิบสองคน ผู้กล้ามองเห็นตัวเองใต้ตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนเอาไว้ว่าเมืองยามะไต ข้าง ๆ เธอนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากบลูธันเดอร์แห่งกิลด์พายุสีเงินและครี้ด หัวหนากิลด์สมิงห์ทมิฬ ที่เขาได้เป็นตัวแทนเช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขามีฝีมือมากพอที่จะเอาชนะเหล่าขุนพลมาได้ ส่วนผู้ผ่านเข้ารอบคนที่สี่นั้นเป็นหนึ่งในขุนพลที่เจนเคยพบมาก่อน ซามูไรหญิง โทโมเอะ โกเซนนั่นเอง



"ตอนแรกที่แม่เห็นลูกลงหนังสือพิมพ์นี่ทำเอาแม่ตกอกตกใจหมดเลยรู้มั้ย นึกว่าลูกเป็นพวกอาชญากรโดนตามจับซะอีก" จริยาว่า ทำเอาคนฟังแทบจะทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือลงพื้น



"แล้วแม่รู้ได้ยังไงว่าเจนอยู่ที่โรงแรมนี้ อย่าบอกนะว่าอ่านเอาจากหนังสือพิมพ์" เจนก้มลงอ่านข่าวของเธอทันที เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็ ความสงบกับความเป็นส่วนตัวของพวกเธอคงจะหมดไปอย่างแน่นอน



แต่ก่อนที่แม่ของเจนจะได้ตอบ เกอร์ทูธก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาซะก่อน "ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็เป็นฝีมือของฉันเองล่ะ"



ผู้กล้าในชุดขาวที่ตอนนี้อยู่ในคราบสาวสวยหันไปรี่ตามองสาวผมบลอน เธอคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือของหญิงสาวคนนี้ เจนจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากเกอร์ทูธจะให้คนติดตามเธอตลอดเวลาที่อยู่ในเกม



ในเวลาไม่นาน เกอร์ทูธและจริยาก็สนิทกับเพื่อน ๆ ของเจนได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะคิทซึเนะและฟีบีที่เป็นน้องสาวของเจน จริยาถูกใจสองคนนี้มากเพราะทั้งสองต่างหน้าตาน่ารักจนยากที่จะห้ามใจ ตอนที่อยู่นอกเกมเจนเคยได้ยินแม่ของเธอบ่นอยู่บ่อยครั้งว่าอยากให้เจนมีน้องสาวอีกซักคน ตอนนี้ในเกมเธอได้มาถึงสอง คิทซึเนะแม้ตอนนี้เธอจะดูเป็นสาววัยเดียวกับเจนแต่เธอก็พูดคุยกับจริยาได้อย่างสนิทสนมได้อย่างรวดเร็วราวกับรู้จักกันมานาน ส่วนฟีบีนั้นก็เป็นเด็กสาวขี้อ้อนจนจริยาดึงตัวเธอเข้าไปกอดอยู่ตลอดเวลา เจนรู้สึกสงสารฟีบีอยู่ไม่น้อยเพราะตั้งแต่เกิดออกมาจากไข่ คนที่มังกรน้อยเห็นเป็นคนแรกอย่างเจนนั้นควรจะดูแลสมให้กับเป็นแม่ของเธอ แต่ก็ทำได้เป็นเพียงแค่พี่สาว การที่จริยามาอยู่ตอนนี้ทำให้เธอกลายเป็นแม่คนใหม่ของฟีบี มังกรน้อยก็รู้สึกดีใจไม่น้อยและออดอ้อนอย่างที่เด็กสาวปกติทำกันจนดูน่ารักน่าชัง



หลังจากความจริงถูกเปิดเผย ตอนนี้เจนก็ถูกดึงเข้ามาร่วมวงสนทนาประสาผู้หญิงกับซินจูและไมโกะด้วยอีกคน แถมตอนนี้มีเกอร์ทูธพ่วงมาด้วย โดยทั้งสามต่างคุยกันเรื่องเสื้อผ้าที่เจนไม่รู้เรื่องเลยซักนิด พอจะหันไปหาพวกผู้ชายก็พบว่าตอนนี้พวกเขากำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์ที่จริยาเอามาอย่างตั้งอกตั้งใจ



"นี่พวกนายกำลังอ่านอะไรอยู่น่ะ" เจนถามพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาเพราะคุยกับพวกซินจูตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง



เสือซ่อนลายและยูสตาร์ที่เห็นว่าใครเป็นคนทักต่างก็หลบฉากออกไป แต่เจนมองเห็นใบหน้าที่พยายามกลั้นหัวเราะสุดแรง เธอรู้ว่าคงจะไปคาดคั้นเอาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้นไม่ได้แน่ เพราะตัวการคงจะเป็นสามหน่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ด้านหน้าเธออย่างแน่นอน



"อะไร.." ผู้กล้าในชุดขาวถามห้วน ๆ โจเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะตอบ



"ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่มีคอลัมน์ข่าวที่เกี่ยวกับเธอด้วยก็เท่านั้นเอง" ได้ยินเพื่อนของเธอบอกก็ทำให้ดวงตาของเด็กสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือบางรีบพุ่งเข้าไปคว้าหนังสือพิมพ์แต่โจกลับโยนไปให้แจ็คที่รอรับอยู่อีกฟากของห้องแถมชายหนุ่มร่างโตนั้นก็เปิดออกอ่านเสียงดังจนคนอื่น ๆ ในห้องหันไปมองตามด้วยความสนใจ



"ในเวลานี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับผู้กล้าในชุดขาว หรือเจน เด็กหนุ่มผู้ลึกลับที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมทั้งความเก่งกาจที่ไม่มีใครกล้าเถียงและหน้าตาที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธ วู้ว!" แจ็คร้องเสียงดังเพราะต้องหลบหมัดของเจนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ตั้งตัว ใบหน้าของหญิงสาวตอนนี้แดงก่ำยิ่งกว่าเก่าซะอีก



"เอามานี่เลยนะ!!" เจนที่หน้าแดงก่ำตะโกนเสียงดังพร้อมกับพุ่งเข้าไปหมายจะคว้าเอาหนังสือพิมพ์ในมือของแจ็ค แต่ก่อนที่เธอจะได้มันไป เขาก็โยนไปให้ยูสตาร์ที่รอรับอยู่อีกฟากของห้อง



"เป็นครั้งแรกที่หน้าตาของเจน หนุ่มน้อยหน้าสวย ผู้กล้าในชุดขาวได้เปิดเผยออกมาแก่สาวตาของสาว ๆ ทุกคนหลังจากเขาได้เอาชนะและได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองเบลดมาสเตอร์ แม้ว่าในเกมนี้จะมีหนุ่ม ๆ หน้าสวยอยู่มากมาย แต่จากการสำรวจผู้หญิงหนึ่งร้อยคนถึงชายหนุ่มที่ต้องการควงคู่ที่สุดในเวลานี้ ซึ่งในครั้งนี้คนที่มาแรงที่สุดไม่ใช่คุณจีโอ คุณหย่งฟางจากกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่หรือหนุ่ม ๆ ผู้เก็บตัวจากกิลด์หกราชันย์ แต่เป็นหนุ่มน้อยผู้กล้าในชุดขาวนี่เอง...อ๋า ไอ้พวกนี้มันตาบอดหรือไงเนี่ยที่มองเห็นเจนว่าเป็นหนุ่มหล่อ ฉันเองก็หน้าตาดีเหมือนกันนะทำไมไม่มองบ้าง" หลังจากอ่านบทความยูสตาร์ก็บ่นออกมาอย่างไม่พอใจแล้วจึงโยนไปให้กับเสือซ่อนลาวที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อไม่ให้เจนเอาไปได้ ในขณะคนฟังต่างหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจโดยเฉพาะโจที่หัวเราะลั่นจนน่าหมั่นไส้



ต่างจากคนอื่น เสือซ่อนลายเป็นสุภาพบุรุษกว่าที่คิด เขาไม่อ่านและส่งหนังสือพิมพ์ให้เจนอย่างโดยดี ส่วนทางหญิงสาวเมื่อได้ของที่ต้องการมาแล้วก็วิ่งเข้าใส่เจ้าตัวต้นเหตุซึ่งวิ่งหนีไปรอบห้องทันที เรื่องคงจะยิ่งวุ่นขึ้นกว่าเดิมถ้าหากปล่อยให้เจนวิ่งไล่โจต่อไปเช่นนี้ โชคดีที่อาหารเย็นมาถึงพอดี ทำให้การวิ่งไล่ของเจนต้องหยุดลงชั่วคราว



หลังจากทานมื้อเย็นร่วมกันพร้อมหน้าเสร็จเรียบร้อย เกอร์ทูธและจริยาก็ขอตัวออกไปจากห้อง ปล่อยให้พวกเจนอยู่ด้วยกันตามเดิม โดยทั้งสองจะไปนอนที่ห้องใกล้ ๆ กันแทน เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองคนออกไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลง แต่เจนรู้สึกได้ว่าทุกคนในห้องกำลังจ้องเธอเป็นสายตาเดียว



"อ..อะไรกันเล่า เอาแต่จ้องหน้ากันอยู่ได้" เจนพูดเสียงสั่น ใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นเพื่อนของเธอ แต่ตอนนี้เธออยู่ในชุดที่แสนจะเป็นผู้หญิ้งผู้หญิง ถ้าจ้องกันแบบนี้ก็รู้สึกอายเหมือนกัน



"เธอคิดจะบอกคนอื่นเรื่องนี้ตอนไหนล่ะเจน" เสือซ่อนลายถาม



"คนอื่นไหน" เจนขมวดคิ้วถามกลับด้วยความสงสัย



"ก็คนอื่น หมายถึงทุกคนที่รู้จักเธอไง ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าผู้กล้าสีขาวเป็นผู้ชายหน้าสวย อีกไม่ช้าก็ต้องมีคนรู้ความจริงแน่ว่าเธอเป็นผู้หญิง"



"แล้วตอนนี้ยิ่งมีรูปเธอขึ้นปกหนังสือพิมพ์ด้วย อีกไม่นานข่าวของเธอก็จะหลุดออกไปนอกเกมแน่ ไปยังคนที่รู้จักเธอและตามหาเธอถึงตัวได้ ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในนี้ ฉันว่าทุกคนควรจะรู้ความจริงจากปากของเธอเองมากกว่ารู้จากปากของคนอื่นนะ" ยูสตาร์เสริม



เจนยกมือกุมหัวของตัวเอง เรื่องเก่ายังไม่ทันจะเย็นลงเลย ปัญหาใหม่ก็มาอีกแล้ว แค่เธอจะเล่นเกมนี้ได้อย่างสงบ ๆ จะได้มั้ยเนี่ย "ฉันรู้แล้วน่า! นี่ฉันเพิ่งจะบอกความจริงพวกนายวันนี้เองนะ จะให้จู่ ๆ ไปป่าวประกาศว่าฉันเป็นผู้หญิงวันพรุ่งนี้เลยได้ยังไงเล่า"



เสือซ่อนลายและยูสตาร์หันหน้ามามองกันก่อนจะถอนหายใจออกมา เรื่องนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับเจน พวกเขาคงได้แต่คอยช่วยเจนเท่าที่ทำได้เท่านั้นเอง แต่พอก่อนสำหรับเรื่องนี้ พวกเขาทั้งสองยังมีเรื่องอื่นที่อยากจะคุยกับคนในกลุ่มของเขา



"เอาล่ะฟังทางนี้หน่อยนะทุกคน" เสือซ่อนลายพูดขึ้นเรียกให้ทุกคนหันไปสนใจเขา "ตอนที่ฉันกับยูสตาร์อยู่นอกเกม พวกเราสองคนปรึกษาเรื่องบางอย่างและได้ข้อสรุปมาเรื่องหนึ่ง ก็เลยอยากจะมาปรึกษากับทุกคนว่าเห็นด้วยกับพวกเราหรือเปล่า..เธอก็ด้วยนะ อามีร่า" เสือซ่อนลายรีบเสริมเมื่อเห็นเด็กสาวกำลังลุกขึ้นออกไปจากห้องเพราะคิดว่าเรื่องที่ชายหนุ่มกำลังคุยกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องของเธอ



"เรื่องอะไรงั้นหรือ พูดออกมาเลย" ไมโกะถามขณะที่เธอเหลือบไปมองเจนและซินจูดึงให้อามีร่านั่งลงที่เดิม



"ก็ไม่มีอะไรหรอก.. คือพวกเราก็อยู่ด้วยกันมานานแล้วใช่มั้ยล่ะ แล้วพวกเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ ฉันก็เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่...พวกเราจะตั้งกิลด์ด้วยกัน" ยูสตาร์พูด ปฏิกิริยาของทุกคนเมื่อได้ยินต่างก็แปลกใจแต่ไม่มีใครที่ปฏิเสธ



"ความคิดไม่เลวนะ พวกเราตั้งกิลด์กันเองจะได้ไม่มีปัญหาเวลาใครมาชวนพวกเราเข้ากิลด์ด้วย" แจ็คพูดขึ้น ไมโกะและคิทซึเนะพยักหน้าเห็นด้วยแต่หนูส่งข่าวแย้งขึ้นมาซะก่อน



"แต่ถ้าหากเราจะตั้งกิลด์ต้องมีสมาชิกทั้งหมดอย่างน้อยสิบคนนะ ฉันนับพวกเราทุกคนรวมอามีร่าแล้วก็ได้แค่เก้าคนเท่านั้นเอง แถมพวกเรายังต้องมีที่ทำการกิลด์อีก"



"แล้วคิทซึเนะกับฟีบีล่ะ นายนับสองคนนี้ด้วยหรือเปล่า.. หรือว่าถ้าไม่ใช่ผู้เล่นก็เข้ากิลด์ไม่ได้" เจนถามขึ้น เพราะเมื่อเธอนับทั้งสองเข้าไปด้วยแล้วก็จะได้สิบเอ็ดคน พอที่จะตั้งกิลด์ได้แล้ว



"นั่นล่ะ! ถ้าพวกเรานับทั้งสองเข้าไปด้วยพวกเราก็ตั้งกิลด์ได้แล้ว ไม่มีกฎข้อไหนห้ามให้ชาวเมืองหรือมอนสเตอร์เป็นสมาชิกกิลด์ของผู้เล่น ส่วนเรื่องที่ทำการนั้นพวกเรามีเวลาหาอีกตั้งสิบวัน เอาไว้ตั้งกิลด์แล้วพวกเราค่อยไปหาเอาทีหลังก็ได้ ถ้าฝีมืออย่างพวกเราก็คงหาได้ไม่ยากนักหรอก" โจว่าเสียงดัง ทุกคนต่างหันหน้ายิ้มเข้าหากันเมื่อตอนนี้กลุ่มของตัวเองเริ่มจะก่อตั้งเป็นรูปร่าง ยกเว้นเพียงอามีร่าคนเดียงที่มีสีหน้าหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัด



"จะดีหรือคะ" เด็กสาวพูดเสียงค่อย แต่ทุกคนได้ยินและหันมามองเธอด้วยความแปลกใจ "จะดีหรือคะที่ให้ฉันเข้ากิลด์ด้วย ฉันเคยเป็นคนของกิลด์พิฆาตราชานะ แถมผู้เล่นคนอื่นยังโกรธแค้นฉันอยู่ด้วย ถ้าหากฉันเข้ากิลด์ล่ะก็จะไม่ได้มีแค่พวกกิลด์พิฆาตราชาที่จะตามมาเล่นงานพวกคุณ แต่จะเป็นผู้เล่นเก่ง ๆ ที่มาตามล่าฉันด้วย"



พวกเจนได้ยินที่อามีร่าพูดออกมาก็หันมามองหน้ากัน เพียงชั่วขณะหนึ่งเด็กสาวรู้ตัวว่าทุกคนกำลังจะปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันกับตัวปัญหาอย่างเธอดี แต่ถ้าหากพวกเจนจะไม่คิดรับเธอเข้ากิลด์ด้วย อามีร่าก็จะไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าคำตอบที่เธอได้จากเสือซ่อนลายนั้นกลับทำให้เธอต้องแปลกใจ



"เธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นไปหรอก ตอนนี้เธอเป็นเพื่อนของพวกเราแล้ว พวกเราไม่ตัดหางเธอทิ้งไปง่าย ๆ หรอก" ชายหนุ่มพูดแล้วเข้าไปตบบ่าให้กำลังใจ



"ส่วนเรื่องที่คนจะเข้ามาเล่นงานเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ถ้าเจนออกหน้าซะก็คงไม่มีปัญหา จริงมั้ยเจน" ยูสตาร์หันไปถามเจนที่พยักหน้าให้คำมั่น



"ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วถ้ากิลด์พิฆาตราชาจะมาเอาตัวเธอไปอีก พวกเราก็จะไล่พวกมันกลับไปเอง"



"แต่ว่าฉันมีค่าหัวด้วยนะคะ.." อามีร่าพยายามปฏิเสธ แต่แจ็คก็พูดขัดขึ้นมาอีก



"ค่าหัวของเธออยู่ที่สิบล้านโกลด์ ว้าว เยอะไม่ใช่เล่นนะเนี่ย แต่ถ้าหาพวกเราเอาเงินไปถอนค่าหัวเธอออกก็หมดปัญหาแล้ว ใช่มั้ยโจ" แจ็คโยกหัวไปถามเพื่อนของเขาที่กำลังโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่มีปัญหา



"อามีร่าไม่ต้องกลัวนะ ถ้าหากมีใครจะมาหาเรื่องฉันจะเผามันให้กลายเป็นจุลเลย มาเกี่ยวก้อยสัญญากันนะ"คิทซึเนะพูดแล้วยื่นนิ้วออกไปหาอามีร่า เธอรู้สึกตื้นตันจนบอกไม่ถูก น้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่เปี่ยมด้วยความสุข รินไหลออกมาบนใบหน้าขณะที่เธอยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับจิ้งจอกสาว คนพวกนี้ช่วยเหลือเธอมาเสียเหลือเกินทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยช่วยอะไรพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว



"เอาเป็นว่าทุกคนเห็นด้วยนะ แต่ที่เรายังหาทางออกไม่ได้ก็คือชื่อกิลด์และใครที่จะมาเป็นหัวหน้ากิลด์" เสือซ่อนลายพูดขึ้นแล้วหันไปหาเจนเช่นเดียวกับทุกคน ถ้าหากพูดถึงความเหมาะสม ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าผู้กล้าในชุดขาวอีกแล้ว



"จะให้ฉันเป็นงั้นหรอ อย่าดีกว่า ถึงฉันจะสู้ได้ดีแต่จะให้เป็นหัวหน้าใครล่ะก็ฉันทำเละทุกที ให้พี่ยูเป็นสิ พี่อายุมากที่สุดในกลุ่มเรานะ" เจนปฏิเสธและโยนหน้าที่ไปให้ยูสตาร์ที่ส่ายหน้ายกใหญ่



"เป็นหัวหน้าคนอื่นเขาแค่นอกเกมฉันก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ในเกมฉันขออยู่สบาย ๆ บ้างเถอะ"



"ฉันเองก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ถ้าวางแผนสู้ล่ะก็พอได้ แต่หัวหน้ากิลด์มันใหญ่เกินไปสำหรับฉัน" เสือซ่อนลายรีบบอกก่อนจะมีใครเสนอชื่อของเขา



เจนหันไปหาไมโกะก็ส่ายหน้าปฏิเสธเช่นเดียวกัน สุดท้ายทุกคนก็หันไปหาคนเดียวที่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นหัวหน้ากิลด์ของพวกเธอได้ จะเป็นใครอื่นอีกนอกจากคนที่มีประสบการณ์มาก่อนอย่างจอมเวทหนุ่มในผ้าคลุมสีแดงนั่นเอง



"ถ้าเป็นความเห็นของทุกคน ฉันก็คงปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะ หึหึ" โจเก็กเสียงหล่อ แต่ก็ถูกเจนและแจ็ครั้งเอาไว้ซะก่อนที่จะหลงตัวเองไปมากกว่านี้



"ขอบอกไว้ก่อนนะ ถึงนายเป็นหัวหน้ากิลด์ก็ใช่ว่าจะต่างไปจากเดิมหรอก แถมฉันยังไม่คิดบัญชีเรื่องภารกิจไข่มุกนั่นกับเรื่องเมื่อกี้เลยด้วย" เจนจ้องจอมเวทหนุ่มด้วยด้วยสายตาเย็นยะเยือก ดูท่าทางต่อให้เขาเป็นหัวหน้ากิลด์ก็ไม่ได้ทำให้มีอำนาจมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย



"แล้วชื่อกิลด์ล่ะคะ เอาชื่อกิลด์อะไรดี" ซินจูถามขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างหันไปจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าจะเอาชื่อกิลด์ว่าอะไรดี



ผ่านไปครู่หนึ่งโจที่ดูเหมือนจะคิดออกเป็นคนแรกก็พูดขึ้นมา "ลองเอา 'กิลด์เทพสายฟ้า' ดูเป็นไง"



"อ๋า นี่นายเอาชื่อตัวเองเป็นชื่อกิลด์ได้ยังไงเล่า!" ยูสตาร์แย้งขึ้นทันที เมื่อดูท่าทางหัวหน้ากิลด์วางใจไม่ได้ เขาจึงหันมาหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แทน "แล้วเธอล่ะเจน พอคิดออกบ้างมั้ย"



หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดก่อนใบหน้าจะขึ้นสีบาง ๆ แล้วจึงตอบออกมาเสียงค่อย "ผู้กล้า..ชุดขาว"



"อ๋าาา นี่เธอก็อีกคน! จะตั้งกิลด์ทั้งทีเอาอะไรที่ห่างชื่อตัวเองหน่อยได้มั้ยเนี่ย ไม่อายกันบ้างหรือไง" ยูสตาร์ว่าอย่างไม่พอใจ เจนที่ถูกว่าก็ได้แค่นั่งนิ่งเงียบ ๆ เพราะอายจนไม่กล้าโต้ตอบ



"ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นชื่อ 'อัศนีพิสุทธิ์' ล่ะคะ ฟังดูเป็นยังไงบ้าง" อามีร่าเสนอขึ้นมา ทั้งสิบคนต่างหันมาจ้องหน้าเธอเป็นสายตาเดียวจนทำให้อามีร่าทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกอายจนต้องยกมือขึ้นมาบังตาของตัวเองจากคนอื่น



"นั่นล่ะ เอาชื่อนี้เลย เพราะมาก ๆ เลยอามีร่า!" เจนพูดเสียงดังแล้วจึงเข้าไปจับมือกับเด็กสาว ท่ามกลางเสียงชื่นชมของทุกคนกับความคิดของเธอทำให้อามีร่าเผยยิ้มสวยออกมา



จากนั้นทุกคนต่างปรึกษาหารือกันเรื่องรายระเอียดและหน้าที่ต่าง ๆ ภายในกิลด์ที่ต้องมี ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กิลด์ของพวกเธอก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และแม้ว่าการก่อตั้งกิลด์จะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยก็ตาม แต่ด้วยเงินที่ทุกคนมีในตอนนี้ทำให้เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร



"เอาล่ะ สรุปหน้าที่กันตามนี้นะ เอาไว้พวกเราหาที่ทำการกิลด์ของเราได้แล้วค่อยมาดูกันอีกทีว่าจะเปลี่ยนหน้าที่กันหรือเปล่า" โจพูดขึ้นหลังจากปรึกษากันเสร็จสิ้น เขาค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบห้อง เห็นสีใบหน้าของทุก ๆ คนที่ให้ความมั่นใจกับกิลด์เล็ก ๆ ของพวกเขา ที่ในอนาคตจะเป็นกิลด์หนึ่งที่มีความสำคัญมากในสงครามที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้



"ถ้าไม่มีใครแย้ง ฉันจะขอประกาศตั้งกิลด์อัศนีพิสุทธิ์อย่างไม่เป็นทางการ ณ บัดนี้"



จบตอนที่ 40 ความจริงที่เปิดเผย



---------------------

Tohan-kun
7th February 2014, 18:52
ตอนที่ 41 เทพอสูร



อากาศยามเช้าในเมืองยามะไตในฤดูหนาวนั้นช่างสดชื่น ลมเย็นพัดอากาศบริสุทธิ์ที่ชื้นเล็กน้อยทำให้หัวของเจนรู้สึกปลอดโปร่ง แต่ทว่าสีหน้าของเธอในตอนนี้กลับดูบึ่งตึงและมีสีแดงระเรื่ออ่อน ๆ นั่นก็เพราะตอนนี้เธอยังคงอยู่ในยุดเดรสสีเหลืองอยู่นั่นเอง



"นี่พวกเราเดินช้า ๆ ก็ได้มั้ง อาคารระบบมันไม่เดินหนีไปไหนหรอก" แจ็คพูดขึ้นด้วยเสียงหอบเล็กน้อย เพราะตั้งแต่ที่ออกมาจากเรียวกัง เจนพาพวกเขาเดินกึ่งวิ่งมาตลอดทาง แถมเธอยังใช้ตัวของเขาและโจบังไม่ให้คนที่เดินผ่านไปมามองเห็นเธอด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ เพราะชุดที่เจนใส่นั้นดึงดูดสายตาได้ดีเกินกว่าจะหลบซ่อนสายตาของชายหนุ่มทั้งหลายที่เป็นผู้เล่นและชาวเมือง



"นี่นายก็รู้ว่าที่ฉันรีบเพราะอะไร! แม่นะแม่ทำกันได้ ก็รู้อยู่ว่าไม่ชอบแต่ยังบังคับกันได้..." เจนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เป็นเพราะจริยาจึงทำให้เธอไม่สามารถเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดเดิมได้ ตอนนี้เสื้อผ้าที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ชุดที่เธอใส่ชุดเดียว ชุดคลุมสีขาวนั้นถูกจริยาริบเอาไว้ ซึ่งคุณแม่คนดีให้เจนมาเอาหลังจากที่เธอกลับมาจากทำธุระเสร็จแล้ว



เสือซ่อนลายและยูสตาร์รับหน้าที่ไปหาซื้อเสบียงและอุปกรณ์เตรียมออกเดินทางครั้งต่อไป สาว ๆ นั้นถูจริยาดึงตัวไปที่ร้านขายเสื้อผ้า โดยเฉพาะอามีร่าที่คุณแม่จับแขนไม่ยอมปล่อยเพราะชุดที่อามีร่าสวมอยู่นั้นโทรมสุด ๆ และดูท่าทางเธอก็คงหนีไปจากจรยาไม่ได้ง่าย ๆ แน่ถ้าหากไม่มีชุดใหม่ติดตัวมาซักชุดสองชุด ส่วนพวกเจนนั้นรับหน้าที่หลักมาจัดการลงทะเบียนกิลด์ที่อาคารระบบ โชคดีที่ช่วงเช้ายังมีผู้เล่นภายในเมืองออกมาไม่มากนัก เจนจึงสามารถรีบเดินทางไปถึงอาคารโดยปลอดภัย(?)ได้ในที่สุด



อาคารระบบช่วงเช้าแทบจะไม่มีคนอยู่เลยตามที่เจนคาดเอาไว้ ขนาดพนักงานประจำเคาน์เตอร์ยังมากันไม่ครบทุกคน มีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นที่กำลังยกแก้วกาแฟดื่มอยู่บนโต๊ะสอบถาม



พวกเจนหยิบบัตรคิวและตรงไปยังโต๊ะหมายเลขสองที่ขานหมายเลขคิวแทบจะทันทีที่ได้บัตรคิวในมือ ทั้งสามมาถังโต๊ะสอบถามก็พบกับเจ้าหน้าที่หนุ่มวัยกลางคนพร้อมกับแก้วกาแฟที่มีควันจาก ๆ กรุ่นขึ้นมาและขนมปังครัวซองที่มีรอยกัดแหว่งไปเล็กน้อยวางเคียงคู่กัน ทางทางเธอจะมาขัดจังหวะอาหารเช้าของเขาเข้าพอดี



"อาคารระบบยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าต้องการใช้บริการอะไรดีครับ" เจ้าหน้าที่เอ่ยปากต้อนรับอย่างเป็นมืออาชีพโดยไม่แสดงท่าทางไม่พอใจให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่แน่นอนว่าเขาต้องกำลังหงุดหงิดอยู่แน่ ๆ ท่าทางคงต้องรีบจัดการเรื่องให้เสร็จโดยเร็วซะแล้ว



"พวกเราอยากจะตั้งกิลด์น่ะครับ" โจที่เป็นหัวหน้ากิลด์ออกหน้าเป็นตัวแทนพูดขึ้น



พูดจบ เจ้าหน้าที่ก็เปิดหน้าต่างแสงขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าของโจ เมื่อมองลงไปก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นกฎและข้อตกลงในการตั้งกิลด์อย่างแน่นอน เพราะตัวหนังสือยาวเหยียดจนเจนไม่คิดจะอ่าน เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้ากิลด์หนุ่มของเธอเป็นคนจัดการให้เรียบร้อย



"นี่คือรายระเอียดสำหรับการตั้งกิลด์นะครับ แต่หลัก ๆ แล้วสิ่งที่พวกคุณต้องเตรียมในตอนนี้คือสมาชิกจำนวนสิบคนเป็นอย่างน้อยและเงินจำนวนสองล้านโกลด์สำหรับค่าสมัครและค่าธรรมเนียมครับ" เจ้าหน้าที่อธิบาย



"เอ๋! แค่ตั้งกิลด์ทำไมค่าสมัครถึงแพงจังเลยล่ะ!" เมื่อได้ยินค่าสมัครพุ่งสูงถึงจำนวนเลขหกหลักเจนก็รีบทักขึ้นทันที แม้ว่าโจจะบอกให้รู้มาก่อนหน้านี้ตอนที่รวมเงินกันแล้วก็เถอะ แต่ต่อมความตระหนี่ของเจนนั้นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากถาม



"เป็นเพราะตอนนี้จำนวนกิลด์ในปัจจุบันมีมากเกินไปน่ะครับ แค่บนทวีปอัลเทเชียแห่งนี้ก็มีกิลด์เล็กกิลด์น้อยกว่าแสนกิลด์แล้วและก็ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน เพื่อป้องกันผู้เล่นที่อยากตั้งกิลด์ของตัวเองแต่ก็ยุบไปเพราะเลิกเล่นหรือไปอยู่กิลด์ใหม่ที่ใหญ่กว่าหรือพวกที่อย่างตั้งกิลด์เล่น ๆ ทางเราจึงต้องทำให้ผู้เล่นเห็นความสำคัญของกิลด์มากขึ้นโดยเก็บเงินค่าก่อตั้งเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ต่อให้ไม่มีปราสาทเป็นที่ทำการแต่การตั้งกิลด์ก็มีผลประโยชน์อยู่ไม่น้อย เงินแค่นี้ใช้เวลาไม่นานก็หาคืนได้แล้วล่ะครับ" เจ้าหน้าที่อธิบาย



โจยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่พร้อมกับส่งถุงเงินให้ในขณะที่เจนยังคงมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ถึงบอกว่าต้องการให้เห็นถึงความสำคัญ แต่เงินเป็นล้านโกลด์เป็นค่าสมัครนี่มันถือว่าเยอะเกินไปสำหรับเจนอยู่ดี



"เรื่องสมาชิกกิลด์ต้องการให้ใช้รายชื่อตามกลุ่มของคุณเลยใช่มั้ยครับ แต่ในกลุ่มของคุณมีคนเพียงแค่เก้าคน ไม่พอในการตั้งกิลด์นะครับ" เจ้าหน้าที่แจ้งให้โจทราวพร้อมกับเป็นหน้าต่างแสงขึ้นมาอีกบาน บนนั้นมีรายชื่อและใบหน้าของพวกเจนทุกคนอยู่ครบทุกคน



"ยังมีอีกสองคน..ค..ค่ะ เป็นสัตว์เลียงของฉันเอง" เจนพูดแล้วเปิดหน้าต่างสัตว์เลี้ยงขึ้นมาให้เจาหน้าที่ดู เขาเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินว่าต้องการจะให้สัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกกิลด์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากของผู้เล่น



เจ้าหน้าที่ลองตรวจสอบดูว่าสิ่งที่ผู้เล่นสาวตรงหน้าเขาพูดมานั้นมาสามารถทำได้หรือไม่ และเขาก็ต้องแปลกใจว่าไม่มีข้อห้ามใดที่จะบอกห้ามไม่ให้มอนสเตอร์หรือชาวเมืองสามารถเป็นสมาชิกกิลด์เลยแม้แต่ข้อเดียว หนำซ้ำชาวเมืองหรือมอนสเตอร์ยังสามารถจะตั้งกิลด์และได้ประโยชน์ทุกอย่างเหมือนกับผู้เล่นทุกประการด้วยซ้ำถ้าหากเข้ามาติดต่อในอาคารระบบได้



ชายหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเกมนี้มันชักจะเปิดกว้างเกินไปหน่อยแล้ว เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าพวกนักรบระดับสูงของเมืองทราบเรื่องนี้เข้าและมาตั้งกิลด์ที่มีแค่ยอดนักรบรวมตัวอยู่จะเกิดอะไรขึ้น



"ว่ายังไง..คะ ตกลงพวกเราจะตั้งกิลด์ได้หรือเปล่า" เจนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อปนด้วยความไม่พอใจ เจ้าหน้าที่คนนั้นได้ยินจึงรีบตอบและดำเนินการให้ทันทีเพราะนึกว่าหญิงสาวไม่พอใจเพราะเขาดำเนินการล่าช้า แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะเจนพยายามฝืนตัวเองให้พูดคะขาต่อหน้าคนอื่น แม้เธอจะเคยพูดแบบนี้กับมาเอะหรือหมิงเต๋อออกมาได้อย่างไม่รู้สึกอายก็ตาม แต่การที่จะให้เจนไปพูดกับคนแปลกหน้ามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แถมชุดที่ใส่ก็ละลายความมั่นใจของเธอไปซะสิ้น



"อ..เอ่อ นี่ครับ สมาชิกกิลด์มีจำนวนสิบเอ็ดคนนะครับ ได้รับค่าสมัครครบแล้ว คนที่เป็นหัวหน้ากิลด์กรุณากรอกข้อมูลทางด้านนี้ด้วยครับ" เจ้าหน้าที่กล่าวและเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาอีกบาน



เจนหลบทางให้โจเข้ามากรอกข้อมูล หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็ปิดหน้าต่างแสงทุกบานลงก่อนจะเปิดหน้าต่างแสงขึ้นมาอีกครั้ง โดยหน้าต่างบานนี้เป็นหน้าต่างที่จะยืนยันข้อมูลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะส่งข้อมูลเข้าไปในระบบ



กิลด์อัสนีพิสุทธิ์

ที่ทำการ:โปรดระบุ (หากยังไม่มีให้เว้นว่าง คุณมีเวลา 10 วันในการยืนยันที่ทำการกิลด์ในภายหลัง)



หัวหน้ากิลด์:โจ

รองหัวหน้ากิลด์:เสือซ่อนลาย

รองหัวหน้ากิลด์:ไมโกะ

สมาชิก:เจน, แจ็ค, ซินจู, คิทซึเนะ, ฟีบี, ยูสตาร์, หนูส่งข่าว, อามีร่า



หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจแล้ว โจจึงกดยืนยันที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้าต่างแสง



"เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้กิลด์..เอ่อ อสนีพิสุทธิ์ ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้วครับ ไม่ทราบว่าต้องการแจ้งที่ตั้งที่ทำการกิลด์เลยหรือไม่ครับ" เจ้าหน้าที่ถามขึ้น แต่โจตอบกลับไปว่ายังไม่มีที่ทำการ "ทางระบบจะให้เวลาสิบวันเพื่อหาที่ทำการกิลด์นะครับ ถ้าหลังจากเลยกำหนดไปแล้วจะถูกปรับเป็นเงินจำนวนวันละหนึ่งแสนโกลด์นะครับ"



เจนถึงกับกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเงินที่ต้องเสียถ้าหากไม่รีบหาที่ทำการกิลด์ไม่ได้ ยิ่งถ้าหากถังเวลาออนไลน์ไปแล้วยังหาไม่ได้อีกล่ะก็ การเสียเงินไปอีกล้านกับค่าปรับไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยแน่



"อ๊ะ! เกือบลืมไป พวกนายไปรออยู่ข้างนอกก่อนแล้วกัน ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้าหน้าที่หน่อย" เจนหันไปพูดกับพวกโจที่พยักหน้ารับทราบแล้วจึงเดินจากไป เจนหันกลับไปหาที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาซดอย่างช้า ๆ แล้วเอ่ยถามสิ่งที่เธอต้องการถามทันที



"เอ่อ..ขอโทษค่ะ... คุณช่วยบอกหน่อยได้หรือเปล่าคะว่าจะพบมังกรได้ที่ไหนบ้าง"



เจ้าหน้าที่วางแก้วกาแฟลงแล้วรีบตอบคำถาม "เรื่องจากข้อมูลที่คุณถามยังไม่ใช่ข้อมูลสาธารณะครับ ทางระบบจึงยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ในตอนนี้ครับ"



"แต่ว่าเคยมีคนสู้กับมังกรมาแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงบอกข้อมูลส่วนนี้ออกมาไม่ได้ล่ะ" เจนพยายามคาดคั้นเมื่อก่อนหน้านี่เธอเคยได้ยินแจ็คบอกว่ามีคนสู้กับมังกรมาก่อน แม้ว่าจะไม่เคยมีใครเคยอ้างว่าเป็นผู้จัดการมังกรลงได้หรือมีชุดเกราะและอาวุธที่ทำมาจากหนังมังกรขายในตลาดเป็นหลักฐานยืนยันก็ตาม แต่นี่เป็นเบาะแสเดียวที่เธอจะตามหามังกรเพื่อที่จะหาทางเลื่อนยศให้ฟีบี



"เรื่องนั้นเป็นเพราะข้อมูลนี้เป็นเรื่องของผู้เล่นครับ ถ้าหากมีคนเคยสู้กับมังกรจริงก็เป็นเรื่องของผู้เล่นคนนั้นที่จะเปิดเผยถึงสถานที่ที่เขาพบหรือไม่ครับ เหมือนกับที่คุณไม่บอกใครถึงที่มาของทักษะของคุณนั่นแหละครับ" เจ้าหน้าที่ตอบ ทำเอาเจนรู้สึกผิดไปเลย เพราะขนาดเธอยังปกปิดหลายต่อหลายเรื่องไม่ให้คนอื่นรู้ ถ้าคนอื่นมีเรื่องปิดบังมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร



"ถ้าหากไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกก็ขอขอบคุณมากที่ใช้มาบริการนะครับ" เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ เจนกล่าวขอบคุณตอบกลับไปแล้วจึงเดินจากมา เท่ากับว่าตอนนี้เธอไม่มีเบาะแสจะไปต่อ ตอนนี้เธอคงต้องมุ่งเป้าไปที่การไปหาที่ทำการกิลด์ซะก่อน หลังจากนั้นค่อยสนเรื่องอื่น จะว่าไปแล้วตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า นับเป็นโอกาสดีที่เจนจะพาทุกคนไปเยี่ยมมาเอะที่หุบเขาจิ้งจอกอย่างที่เธอเคยให้สัญญาเอาไว้



หญิงสาวเดินไปคิดไปจนมาถึงจุดที่เธอนัดพวกโจเอาไว้ แต่เมื่อมองเห็นพวกเขา หัวใจของเธอก็แทวจะหยุดเต้น เพราะว่ามีชายคนหนึ่งกำลังคุยกับเพื่อนของเธออย่างถูกคอ และคน ๆ นั้นก็คือคนที่เจนไม่อยากจะเจอหน้าในเวลานี้มากที่สุดซะด้วย!!



"หายากนะเนี่ยที่จะมีคนตื่นมาสูดอากาศยามเช้าแบบนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกนายจะเป็นพวกตื่นเช้ากับเขาด้วย" เสียงระรื่นของชายหนุ่มนามจีโอที่ตอนนี้อยู่ในชุดสบาย ๆ กำลังยืนอยู่ข้างตัวโจที่ยิ้มร่าราวกับว่ารู้จักกันมานาน



"ไม่ใช่แค่ในเกมหรอกนะ ฉันน่ะเป็นคนตื่นเช้าแบบนี้ทั้งในเกมและนอกเกมอยู่แล้ว เพราะการตื่นเช้าถือเป็นกำไรของชีวิตยังไงล่ะ" จอมเวทหนุ่มตอบ เจนที่แอบฟังอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ได้ยินเข้าก็รู้สึกหมั่นไส้จนแทบจะอดใจออกไปพูดกัดให้ได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพยังไงและใครอีกที่ยืนอยู่ตรงนั้น



เหมือนกับว่าอ่านใจเธอได้ แจ็คที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นก็ส่ายหัวและเอ่ยปากกัดคำพูดของเพื่อนตัวเองเข้าอย่างเจ็บแสบ "ไอ้ขี้โม้ ถ้าฉันหรือซินจูไม่เอาน้ำสาดปลุกเพราะต้องมาตั้งกิลด์ล่ะก็ กว่านายจะลุกจากเตียงได้ก็เกือบเที่ยงโน้น"



"พวกนายตั้งกิลด์ด้วยกันเหรอเนี่ย! มิน่าล่ะ เป็นเพราะอย่างนี้นี่เองถึงไม่ยอมเข้ากิลด์ฉัน ให้เดานะ เจนเป็นหัวหน้ากิลด์ใช่มั้ย" จีโอถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ในสายตาของเจนแล้วมันเหมือนกับเป็นการแสร้งทำมากกว่า คนในฐานะอย่างจีโอแล้วจะมาตื่นเต้นอะไรกับแค่กิลด์เล็ก ๆ อย่างพวกเธอ



แต่ความจริงแล้วไม่ว่าจีโอจะทำอะไรเจนก็มองในแง่ร้ายไว้ก่อน คงเป็นเพราะเธอมีอคติกับชายคนนี้ไปแล้วแน่



"อ่า เดาผิดว่ะเพื่อน คนที่เป็นหัวหน้ากิลด์คือฉันต่างหาก" โจบอกพร้อมกับยืดอกราวกับว่าต้องการจะอวดตำแหน่งของตัวเองโดยที่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าคนที่คุยด้วยเป็นถึงหัวหน้ากิลด์เช่นเดียวกัน



"ว้าว! ขอแสดงความยินดีด้วยนะคุณหัวหน้า!" จีโอส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นและยื่นมือออกไปจับกับโจเพื่อแสดงความยินดี "เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจำได้แล้วว่านายคือใคร นายคือโจคนนั้นที่มีบล็อกแนะนำเกมและเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันGWCใช่มั้ย ขอบอกเลยว่าฉันเป็นแฟนตัวยยงเลย!"



จอมเวทหนุ่มได้ยินว่าชายตรงหน้าเป็นแฟนคลับตนก็รู้สึกตื้นตันใจจนต้องยื่นมือออกไปจับอีกครั้ง แม้ว่าบล็อกของเขาจะโด่งดังอยู่บ้านในโลกอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าหากเทียบจีโอที่ดังไปทั่วโลกแล้วก็ถือว่าเขาห่างชั้นกว่ามาก การที่มีคนระดับนั้นเป็นแฟนคลับก็ยิ่งทำให้โจรู้สึกตื้นตันใจจนยากที่จะบรรยาย



ส่วนการแข่งขันGWCนั้นก็คือการแข่งขันเกมระดับโลกที่นำเอาเกมเมอร์ต่าง ๆ ในแต่ละสาขาของเกมไม่ว่าจะเป็น โรลเพลยเยอร์, เกมยิงต่าง ๆ, เกมกีฬารวมไปถึงรถแข่งและแน่นอนว่ามีเกมออนไลน์รวมอยู่ด้วย ซึ่งการแข่งขันนี้สร้างชื่อให้โจไม่น้อยเพราะเขาคว้ารางวัลมาจากหลายเกมและยังได้รางวัลชนะเลิศในสาขาเกมออนไลน์ ดังนั้นถ้าหากเขาตั้งกิลด์ใดขึ้นมาในเกมใด ไม่ว่าใครได้รู้ก็ต้องอยากจะเข้ากิลด์เดียวกับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่จีโอรับรู้ว่าโจตั้งกิลด์ใหม่มันก็ต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว เพราะถ้าหากโจและเขาเป็นพันธมิตรกัน มันก็ย่อมจะต้องส่งผลดีต่อไปในอนาคตแน่



ขณะเดียวกันทางด้านเจนก็เริ่มวิตกกังวลเพราะทั้งสองคนคุยกันอย่างถูกคอ ถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้ต่อไปล่ะก็คงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปจากที่นี่ และถ้าหากปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันจนพูดถึงเรื่องของเธอ เรื่องก็คงยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจีโออาจจะทราบเรื่องที่เจนเป็นผู้หญิงแล้วก็ตาม แต่จะให้มาเห็นเธอในชุดนี้เนี่ยนะ...ฝันไปเถอะ!



"พูดถึงเจนแล้วไม่เห็นตัวเลยนะ ปกติจะเห็นอยู่กับพวกนาสตลอดเลยนี่" จีโอโพล่งถามขึ้น ทำเอาหญิงสาวที่หลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ร้องกรี้ดออกมาในใจ หมอนี่มันเป็นคนทรงอ่านใจได้หรือยังไงกันเนี่ย



"ขานั้นยังอยู่ในอาคารระบบน่ะ เห็นบอกว่ามีเรื่องจะถามต่ออีก นี่ก็นานแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ออกมาซักทีก็ไม่รู้" แจ็คบอก แม้จะยังไม่ได้หลุดปากเรื่องของเธอออกมาอย่างที่กลัว แต่ไอ้เจ้าพวกนี้ลืมไปแล้วหรือไงว่าเธออยู่ในชุดอะไร จะให้เธอออกไปหาทั้ง ๆ อย่างนี้เนี่ยนะ



และแล้วฝันร้ายของเจนก็ทำท่าจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อทั้งสามหันหน้าตรงมาหาเธอซึ่งด้านหลังของเธอก็คืออาคารระบบนั่นเอง ต้นไม้ต้นใหญ่นี้แม้จะสามารถบังร่างของเจนได้จนมิด แต่ว่าสัญชาติญาณของเธอบอกว่าคงไม่อาจหลบสายตาของชายคนนี้ไปได้แน่ หญิงสาวก้มตัวลงต่ำพร้อมนึกหาวิธีออกไปจากที่นี่ ทว่าต้นไม้มีเพียงกุ่มไม้เล็ก ๆ เท่านั้น คงไม่อาจใช้หลบสายตาของผู้คนได้นานนัก ชุดที่เธอสวมก็เป็นสีเหลืองสดใสที่ดึงดูดสายตาได้ง่ายอีก เห็นทีจะใช้คำอธิบายสถานการณ์นี้ว่าจนตรอกก็ไม่ผิดนัก



แต่ดูเหมือนหญิงสาวยังคงมีโชคอยู่บ้าง เมื่อมีเสียงเรียกชื่อจีโอจากด้านหลัง และเจนก็จำเสียงนั้นได้ดีว่าเขาเป็นใคร นั่นคือเสียงของหย่งฟาง หัวหน้ากิลด์อีกคนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่นั่นเอง



"จีโอ! นี่นายมัวทำอะไรอยู่ ฉันเรียกนายตั้งนานไม่ยอมตอบกลับมา" ชายในเสื้อคอเต่าสีน้ำตาลเดินเข้ามาหาจากด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสามคน จากมุมที่เจนแหวกหญ้าดูก็พบว่าชายหนุ่มที่ดูน่ากลัวในตอนนั้นกำลังอยู่ในชุดสบาย ๆ เช่นเดียวกัน บรรยากาศรอบตัวเขาในตอนนี้ก็เหมือนเป็นคนละคน



"ขอโทษที ๆ พอดีกำลังคุยติดพันกับพวกนี้อยู่น่ะ" ชายหนุ่มพยัคฆ์แดงเอ่ยตอบเพื่อนของคนและผายมือไปให้เพื่อนอของเขาได้เห็นโจและแจ็คที่หันมามองหน้ากันราวกับว่ากำลังถามความคิดเห็นของกันและกัน



เมื่อหย่งฟางรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองเป็นใคร เขาก็มีท่าทีสำรวมมากขึ้นและเอ่ยทักทาย "สวัสดีครับคุณโจและคุณแจ็ค ขอโทษด้วยสำหรับที่เสียมารยาทตอนที่เราพบกันครั้งล่าสุด"



"ไม่เป็นไร พวกเราไม่ถือสาหรอก ส่วนเจนเองก็คงไม่ถือสาเหมือนกันหรอก...มั้ง" โจพูดด้วยความไม่มั่นใจ เพราะจากที่รู้จักกับเจนมา ถ้าหากว่าเขาทำอย่างหย่งฟางล่ะก็ คงได้ถูกส่งไปเกิดใหม่ในสิบวินาทีแน่ แต่หารู้ไม่ว่าเพราะคำพูดของเขานั่นล่ะที่ทำให้คนบางคนกำลังนึกภาพจอมเวทหนุ่มไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว



"ขอบคุณครับ เอาไว้คราวหน้าผมจะหาโอกาสชดใช้กับสิ่งที่ผมได้ทำลงไปก็แล้วกันครับ แต่ผมก็ขอพูดย้ำในสิ่งที่ผมเคยพูดไปอีกครั้ง ถ้าหากพวกคุณมีเบาะแสเรื่องของอีกา ช่วยกรุณาส่งข่าวมาให้ผมทราบด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม ทำให้แม้แต่โจและแจ็คยังรู้สึกคล้อยตามไปด้วย จากที่มองดูท่าทางและน้ำเสียงของชายคนนี้ก็ทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มีความมุ่งร้ายไปที่อามีร่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะให้บอกว่าอามีร่าอยู่กับพวกเขาล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้นกับอามีร่า โจเองก็ยังยากที่จะคิดได้



"สำหรับเรื่องนั้น...เอ่อ..คือ" เสียงของแจ็คอ้ำอึ้ง ใจหนึ่งเขาอยากจะบอกแต่อีกใจก็รู้ว่าไม่ควร อย่างน้อยก็จะบอกให้อามีร่ารู้ก่อนก็ยังดี แต่น้ำเสียงของเขานี่ล่ะที่ให้คำตอบที่หย่งฟางต้องการ ความลังเลหมายถึงว่าชายทั้งสองต้องรู้อะไรบางอย่างอย่างแน่นอน



เจนที่ฟังอยู่เริ่มสังเกตเห็นท่าทางพิรุธของแจ็คได้จึงทำท่าจะเข้าไปห้ามไม่ให้เพื่อนของเธอพูดอะไรต่อไปอีก แม้จะทำให้จีโอและความลับที่ว่าผู้กล้าในชุดขาวเป็นผู้หญิงต้องแตกก็ตาม แต่เจนจะไม่ยอมให้ใครมาตามรังควานเพื่อนของเธอแน่



ทว่าตอนนั้นเองเจนก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านข้างใบหน้าสะอาดใสเข้ารูปกับผมยาวที่ถูกมันเป็นทรง ร่างบางในชุดเกราะเบาสีดำพร้อมกับผ้าคลุมสีฟ้าที่เจนให้ไปจากเมื่อกำลังเดินตรงเข้ามาหาเจนพร้อมกับส่งเสียงเรียก แม้ว่าสภาพของอามีร่าในตอนนี้จะเป็นคนละคนกับอีกาคนทั่วไปคงจะจำไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หย่งฟางไม่ใช่คนทั่วไป แม้รูปลักษ์จะเปลี่ยน แต่คงไม่มากพอที่จะทำให้เขาลืมหน้าของเธอได้แน่



"เจน นั่นกำลังทำอะไรอยู่น่ะ ทุกคนกำลังรอทานมื้อเช้าอยู่นะ" อามีร่าพูดเสียงสูง ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่เจนด้วยความสงสัย



ในขณะที่เจนหันไปมองหน้าของเธอ หย่งฟางเองก็เหลือบขึ้นมาเห็นเด็กสาวด้วยเช่นกัน พริบตานั้นเองที่สายตาของชายหนุ่มแลเด็กสาวสบสายตากัน ราวกับเวลาทั้งโลกหยุดนิ่ง ทั้งสองคนมองตากันเป็นเวลานานแม้ความจริงมันจะผ่านไปแค่เสี้ยววินาที อามีร่าจำหน้าชายผู้นี้ได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้สวมชุดเดียวกับที่เขาเคยพบกับเธอ และหย่งฟางก็จำหน้าของเด็กสาวได้แม้ว่าตอนนี้เธอจะดูเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาเจอเธอมากก็ตาม



ไม่ต้องรอให้มีสัญญาณใด ๆ เจนพุ่งตัวข้ามพุ่มไม้ออกมาและตรงเข้าไปคว้ามือของอามีร่าก่อนจะใช้พลังสถิตร่างพาตัวเองและเด็กสาวออกมาจากที่นั่นในเวลาไม่กี่วืนาที สองหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้ทันทีว่าพวกเขานั้นพลาดไปซะแล้ว จอมเวทหนุ่มพยักหน้าให้กับเพื่อนของเขาแล้วจึงหยิบกระดาษเวทเคลื่อนย้ายออกมาในขณะที่แจ็คค่อย ๆ หลบฉากออกมาในขณะที่คนอื่นไม่ทันสังเกต



"ขอโทษทีนะ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง" พูดจบ แจ็คก็ฉีกกระดาษเคลื่อนย้ายออกทันที ร่างของเขากลายเป็นแสงและพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้าซึ่งที่ ๆ เขาจะไปนั่นก็คือใจกลางเมืองนั่นเอง ทิ้งให้จีโอและหย่งฟางมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความมึนงง



ร่างในออร่าสีทองพุ่งลงสู่ใจกลางสวนของเมืองที่อยู่ห่างออกมาจากอาคารระบบอีกด้านของเมือง โชคดีที่เวลาเช้าเช่นนี้ยังไม่คนไม่มากนัก ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงร่างสองร่างที่ปกคลุมด้วยแสงสีทองพุ่งข้ามเมืองมายังสวนแห่งนี้ หลังจากที่สลายพลังลง เจนก็หันไปมองดูเด็กสาวที่ดูท่าทางจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อย



"เอ่อ...ถ้าหากเธอไม่อยากก็ไม่ต้องเล่าให้ฟังก็ได้นะ ฉันเข้าใจ" เจนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะว่าเธอรู้เรื่องของอามีร่ามามากจนเกินความจำเป็นแล้ว และตอนนี้เจนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะไปยุ่งในเรื่องส่วนตัวของเธออีก แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องสมัยที่อีกาออกอาละวาดก็ตาม



เด็กสาวก้มลงมองผืนหญ้าสีเขียวชอุ่ม สายตากลอกไปมาเหมือนกับกำลังครุ่นคิด ไม่นานเธอก็เงยหน้าขึ้นและมองตาของเจนเข้าตรง ๆ "ขอบคุณค่ะเจน ซักวันฉันจะเล่าให้คุณฟังแน่ ๆ ค่ะ...แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้"



เจนพยักหน้าเข้าใจ คนเราสมควรจะมีความลับเป็นของตัวเองบ้างซักเรื่องสองเรื่องและเจนรู้ดี เธอยิ้มให้กับเด็กสาวแล้วเดินไปพร้อมกับอามีร่าตรงกลับไปยังเรียวกังที่ทุกคนกำลังรอทั้งสองอยู่



เมื่อกลับมาถึงทุกคนก็เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดพวกโจที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พลอยเป็นห่วงไปด้วยและถามอามีร่าว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่อามีร่าจะถูกกดดันไปมากกว่านี้ เจนก็ออกหน้าบอกให้ทุกคนถอยไปก่อนและค่อย ๆ อธิบายเรื่องให้ทุกคนให้ฟัง แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่ถูกต้องนักแต่เป็นเรื่องราวที่เธอจะบอกกับทุกคนได้ในตอนนี้



ไม่นานหลังจากเรื่องวุ่น ๆ จบลง(แน่นอนว่าเจนจัดการเก็บ บัญชีทั้งแจ็คและโจ ยังดีที่ไม่เอาถึงต้องไปรอเกิดเพราะเห็นใจทั้งคู่ที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย)มื้อเช้าก็มาถึงพร้อมกับเกอร์ทูธและจริยาเข้ามาร่วมด้วย บทสนทนาในช่วงเช้าไม่พ้นเรื่องที่เจนไม่เข้าใจจนต้องหันไปหาพวกโจที่กำลังคุยกันเรื่อยเปื่อย



"เป็นอะไรหรือเปล่าเจน คุยกับทางนั้นไม่สนุกงั้นหรือ" เสือซ่อนลายถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวหันหน้ามาทางพวกเขาแทนที่จะไปคุยกันตามภาษาผู้หญิงอย่างคิทซึเนะที่นั่งข้างตัวเธอ



เจนไม่ตอบคำ เธอพ่นลมออกจากปากขณะที่ลงมือตักข้าวตรงหน้าเข้าปาก "อย่างฉันไม่ไหวล่ะ คุยเกี่ยวกับเสื้อผ้าได้ทั้งวันแบบนั้นไม่เห็นจะเข้าใจเลย"



"แต่ว่านะเจน ฉันคิดว่าเธอน่าจะฟังเรื่องที่พวกซินจูเอาไว้บ้างก็ดีนะ พวกเรื่องของผู้หญิงทั้งหลายแบบเนี่ย" ยูสตาร์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเจนพูดขึ้นแล้วถอดแว่นตาของเขาออกเพราะไม่อยากให้มีไอน้ำเกาะเวลาซดน้ำซุบร้อน ๆ



"หืม..ทำไมฉันต้องฟังเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ" เจนถามกับพร้อมกับยกถ้วยน้ำซุปรสเผ็ดขึ้นซดบ้าง



"อ่า...ก็ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิง เธอก็น่าจะต้องเตรียมพร้อมถึงเรื่องอนาคต หลังจากเรียนจบแล้วหรือตอนทำงานหรือแต่งงาน..-"



พรู้ดดด!!



"จ้ากกกกกก!!! ตาช้านนนนนน!!!"



เสียงร้องดังลั่นห้องพร้อมกับชายหนุ่มนามยูสตาร์ดิ้นไปมาอย่างทุรนทุรายเพราะถูกน้ำซุบรสเผ็ดแบบจัดจ้านพ่นเข้าใส่หน้าเต็ม ๆ เหมือนเป็นโชคร้ายของชายหนุ่มเพราะร้อยวันพันปีเขาไม่เคยถอดแว่นเลย มาถึงวันที่เขาถอดแว่นกลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ซะอย่างนั้น แม้จะไม่รู้ว่าต่อให้เขาสวมแว่นตาอยู่มันจะช่วยได้มากกว่านี้หรือไม่ แต่จากอาการแล้วทำเอาซินจูุต้องรีบเข้าไปใช้เวทรักษาเป็นการด่วน



เสียงหัวเราะของผู้ชายลั่นห้องพักโดยไม่มีใครกลคิดจะเข้าไปช่วยยูสตาร์เลยแม้แต่คนเดียว แต่อย่างน้อยแจ็คก็ยกถังน้ำสะอาดเตรียมเอาไว้ให้ชายหนุ่มผู้โชคร้ายล้างหน้าซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องการแน่ ส่วนตัวต้นเหตุนั้นนั่งสำลักไอเสียงแหบอยู่ที่เดิม



เจนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อแก้อาการสำลัก แต่เหมือนกับว่าน้ำซุปเผ็ดนั้นจะหลงเข้าไปในใจของเธอโดยอุบัติเหตุเพราะว่าตอนนี้ในหน้าอกของเธอนั้นรู้สึกร้อนเหมือนกับถูกไฟเผา โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำที่มี 'ต.เต่า' นำหน้า



"ฉันขอโทษที พี่ยู แต่มันก็เป็นความผิดของพี่ด้วยนะ จู่ ๆ เล่นพูดอะไรแปลก ๆ อย่างเรื่องแต่งงานออกมาอย่างน่ะ" เจนว่าแล้วเข้าไปดูอาการของยูสตาร์วาเป็นอะไรบ้างแต่เขาคงไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมาแน่ เมื่อในตอนนี้เขาเอาหัวมุดลงไปในถังน้ำทั้งหัวเลย



"เอ๋.. พี่เจนจะแต่งงานงั้นหรือคะ แต่งกับใครคะ!?" เสียงของซินจูเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาอยากรู้อยากเห็นหันมามองเจนด้วยท่าทางสนใจ เด็กสาวรีบเข้ามาประชิดตัวของเธออย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อามีร่าคอยช่วยยูสตาร์อยู่คนเดียว



เจนรู้สึกตัวทันทีว่าเธอพลาดไปแล้วเมื่อสังเกตเห็นสายตาของซินจู แม้ปกติเด็กสาวคนนี้จะสุภาพเรียบร้อยแต่ถ้าหากเป็นเรื่องเสื้อผ้าหรือเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ล่ะก็จะตื่นตัวขึ้นทันทีราวกับว่าเป็นคนละคน และดูท่าทางแล้วก็คงจะไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ แน่



"ก็ถูกอย่างที่พ่อหนุ่มคนนั้นบอกนะ ที่พวกฉันและแม่ของเธอให้เธอเข้ามาเล่นเกมนี้ตั้งแต่แรกก็เพื่อที่จะใช้เวลาปรับตัวให้มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ไม่ใช่แค่เล่นเกมไปเฉย ๆ นะ" เกอร์ทูธว่า ทำเอาเจนประหลาดใจเพราะเมื่อครู่หญิงสาวคนนี้กำลังเปิดปากคุยกับพวกซินจูกันอย่างออกรส ไม่คิดว่าจะได้ยินที่ยูสตาร์พูดด้วย



"แต่ลูกก็ไม่ต้องรีบหรอกนะจ๊ะ ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ถึงแม่อยากจะให้ลูกทำตัวให้เหมือนกับผู้หญิงมากแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้อยากให้ลูกต้องเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวลูกหรอกจ๊ะ" เสียงของจริยาดังจากอีกด้านของห้อง เสียงที่เธอพูดกับเจนนั้นช่างอ่อนหวานและนุ่มนวล ความรู้สึกถึงความห่วงใยแสดงออกมาทุกคำพูดให้เห็นว่าแม่ของเธอนั้นรักเธอมากแค่ไหน ทำเอาเจนที่ฟังถึงกับน้ำตาซึมออกมาด้วยความซาบซึ้ง



"แต่ถ้าทำได้ก่อนจะเปิดเทอมก็จะดีมาเลยล่ะจ๊ะ แม่เตรียมชุดนิสิตหญิงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจนลองใส่ดูแล้วจะเป็นยังไง" จริยาเสริม อารมณ์ซึ้ง ๆ พลันมลายหาย ทำเอาน้ำตาที่จะไหลออกมาต้องหดกลับเข้าไปแทบจะทันที บรรยากาศกำลังดีแท้ ๆ แม่ของเธอจู่ ๆ ดันมาพูดเรื่องที่ทำเอาซะเสียบรรยากาศซะหมด







หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จ จริยาและเกอร์ทูธก็ขอตัวไปเที่ยวกันต่อ แน่นอนว่าก่อนจากไปจริยาก็กำชับให้ซินจูช่วยเรื่องการแต่งตัวให้กับเจนด้วยและเด็กสาวก็รับคำเสียงใส ดูท่าทางชีวิตภายในเกมต่อไปข้างหน้าสำหรับเจนคงห่างไกลคำว่าสงบสุขแน่



หลังจากทั้งสองไปแล้ว เจนก็พุ่งกลับเข้าไปที่ห้องพักทันทีและถอดชุดเดรสตัวงามออก ชุดคลุมสีขาวถูกนำออกมาเตรียมพร้อมแต่หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ถึงชุดเกราะที่เสือซ่อนลายบอกให้เธอใช้จึงหยิบมันออกมาดู ชุดเกราะกบเป็นชุดเกราะสีแดงเลือดหมูรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายกับกบ แม้รายระเอียดบอกว่ามีพลังป้องกันสูงแต่รูปลักษณ์ภายนอกของมันนั้นกลับตรงกันข้าม ทำเอาเจนที่ถืออยู่คิดแล้วคิดอีกว่าจะใส่มันดีมั้ย



หลังจากทำใจได้แล้วเจนก็สวมชุดเกราะ และตอนนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ทันทีว่าชุดเกราะนี้ตัวใหญ่ไปสำหรับเธอ แต่ก่อนที่จะคิดถอดนั้นเองเจนก็รู้สึกได้ว่าชุดเกราะกบที่สวมอยู่นั้นกำลังลดขนาดลงจนพอดีกับร่างของเธอได้พอดี ทำให้จากตอนแรกที่เป็นชุดเกราะเทอะทะน่าเกลียดกลายเป็นชุดเกราะเล็ก ๆ ดูแปลกประหลาดแทน เมื่อเจนสวมเสื้อและชุดคลุมทับลงไปก็แทบสังเกตไม่ออกแล้วว่าเธอสวมชุดเกราะอยู่



หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วจึงออกมาจากห้องก็พบว่าคนอื่น ๆ ก็เตรียมพร้อมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่เจนรู้ว่าพวกเธอคงไปที่ไหนไกลไม่ได้เพราะยังติดเรื่องที่ทำการกิลด์ที่ยังตกลงไม่ได้ว่าจะเอาที่ไหนกันดี



"ตกลงพวกนายคิดออกกันหรือยังว่าที่ทำการกิลด์ของเราจะอยู่ที่ไหนกันดี" เจนถามขึ้นแล้วนั่งลงข้างโจที่กำลังตีหน้าครุ่นคิด



"ยังไม่ได้เลย แถมพวกเราต้องคิดให้ได้ก่อนถึงเวลาออฟไลน์ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นตอนล็อกอินครั้งหน้าเจอหนี้บานแน่" หนูส่งข่าวเตือน



"แล้วปกติที่ทำการกิลด์อยู่ที่ไหนกันหรือคะ ปราการประจำเมืองใช่หรือเปล่า" ซินจูถามขึ้นมาโดยมีเสือซ่อนลายพยักหน้าตอบ



"มันก็ใช่อยู่นะ แต่การที่จะตีปราการได้ต้องมีสมาชิกกิลด์อยู่อย่างน้อยห้าร้อยคน แล้วยังต้องสู้กับทหารที่อยู่ในปราการอยู่อีกเกือบหมื่นคน ต่อให้เป็นเจนก็คงไม่ไหวหรอก" เสือซ่อนลายบอกพร้อมกับหันมาหาเจนที่กำลังคิดในใจว่าถ้าหากเธออัญเชิญยามาตะ โนะ โอโรจิออกมา เรื่องทหารหมื่นคนก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร เผลอ ๆ ตัวปราการเองก็คงไม่เหลือด้วยซ้ำเมื่อลองไปนึกถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ใช้อัญเชิญออกมา



"อ๋าา นายนี่คิดไปถึงตอนนั้นทำไมล่ะ ใครเขาจะบ้าไปตีปราการตั้งแต่เริ่มตั้งกิลด์กันล่ะ เขาต้องหาที่เล็ก ๆ เป็นที่ทำการก่อนชั่วคราวแล้วค่อยไปตีปราการกันที่หลัง นายนี่น้าา ไม่มีหัวคิดเอาซะเลย" ยูสตาร์บ่น



"พวกเรามีอยู่แค่กันแค่สิบกว่าคนอย่าเพิ่งไปหวังถึงพวกปราการตอนนี้เลย มาคิดกันดีกว่าว่าจะตั้งที่ทำการกิลด์กันที่ไหนดี" ไมโกะเสนอความคิดเห็น โจพยักหน้าเห็นด้วยแล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง



"ปกติแล้วผู้เล่นส่วนใหญ่ที่เพิ่งตั้งกิลด์จะซื้อบ้านหรือซื้อที่ภายในเมืองและสร้างบ้านเองเอาไว้เป็นที่ทำการกิลด์ แต่เงินที่ต้องใช้ทั้งหมดอย่างน้อยก็เกือบสี่ล้านโกลด์ แต่ขนาดของบ้านเล็กมากจนฉันว่ามันไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ถ้าจะให้เป็นที่ทำการกิลด์ ถึงความจริงพวกเราจะมีเงินถุงเงินถังก็เถอะ"



เป็นไปตามที่เพื่อนของเธอพูดไม่มีผิด แม้ว่าทุกคนจะมีเงินรวมด้วยกันอยู่ถึงร้อยล้านโกลด์ แต่ไม่มีใครอยากจะเอามาใช้จ่ายกับสิ่งชั่วคราวถึงสี่ล้านโกลด์แน่ ปกติแล้วสำหรับผู้เล่นทั่วไป การตั้งกิลด์หมายถึงการลงทุนระยะยาวที่ต้องใช้เงินและแรงงานเป็นจำนวนมากกว่าจะได้ทุนทั้งหมดกลับคืนมา แน่นอนว่าการตั้งกิลด์ปกติแล้วเป็นกลุ่มผู้เล่นนับร้อยคนขึ้นไปกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเมื่อต้องจ่ายค่าสมัครเป็นล้านโกลด์เช่นนี้ ทำให้หลังจากตั้งกิลด์เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนในเกม ถ้าหากโชคดีและมีความสามารถมากพอ เงินสิบล้านโกลด์ต่อเดือนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย



น้ำเสียงของทุกคนฟังดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก ขนาดเจนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวนักยังพลอยรู้สึกหนักใจไปกับเขาด้วย ยังมีอีกเรื่องที่เจนคิดหนักกับการหาที่ทำการกิลด์นี้ก็คือการเดินทาง แน่นอนว่าเธอจะไม่อยู่ในเมืองนี้หรือในทวีปนี้ไปตลอดแน่ แต่ถ้าหากจะไปที่อื่นนั่นก็หมายความว่าจะต้องทิ้งที่ทำการกิลด์เอาไว้เบื้องหลังโดยสูญเงินไปเปล่า ๆ เท่ากับว่าการตั้งกิลด์ขึ้นมานั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ตีกรอบให้พวกเธออยู่ได้แต่ในทวีปนี้ไปอีก ถ้าหากจะปล่อยเรืองที่ทำการกิลด์ไปมันก็ไม่ต่างจากตอนที่รวมกลุ่มด้วยกันเลย และเจนก็ไม่คิดจะปล่อยให้ที่ทำการกิลด์ต้องเสียเปล่าแน่



"ทุกคนกำลังกังวลเรื่องที่ว่าหาบ้านไม่ได้กันหรือคะ" คิทซึเนะกระซิบถามข้างหูของเจน



"ใช่จ๊ะ เพราะบ้านในเมืองเป็นบ้านหลังเล็กแต่มีราคาแพง แถมเวลาพวกเราไปเมืองอื่นหรือทวีปอื่นก็ต้องทิ้งบ้านเอาไว้ด้วย ฉันว่ามันจะไม่ค่อยคุ้มนะ" เจนตอบอย่างหนักใจ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คิดกันไม่ตกซักที แต่ถ้าหากเป็นกิลด์ใหญ่ ๆ ล่ะก็คงมีที่ทำการกิลด์เล็ก ๆ อยู่ทุกเมืองอย่างแน่นอน



"อืม...คิทซึเนะก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะช่วยยังไงดี แต่ถ้าหากลองไปขอให้ท่านแม่ช่วยดูอาจจะมีหนทางแก้ปัญหานี้ก็ได้นะ" จิ้งจอกสาวพูดขึ้น ทันใดนั้นเองในหัวของเจนก็สว่างวาบเหมือนมีคนมาเปิดสวิทช์ไฟ เธอยังจำได้ดีที่มาเอะดึงตัวเธอไปหาเธอจากเกาะเริ่มต้น คลังสมบัติของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางต้องพอมีอะไรที่จะช่วยแก้ปัญหาของพวกเธอได้แน่



"จริงด้วย! ทำไมฉันนึกไม่ถึงเลยนะ ขอบใจมากเลยคิทซึเนะ" เจนโพล่งขึ้นมาเสียงดังและดึงตัวของจิ้งจอกสาวมากอดจนเจ้าตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในขณะที่คนอื่น ๆ หันมามองตามด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น



"มีอะไรงั้นหรือเจน เธอคิดอะไรได้งั้นหรือ" เสือซ่อนลายถาม ผู้กล้าในชุดขาวไม่ตอบทันที เธอแต่ลุกขึ้นแล้วจ้องหน้าพรรคพวกทุกคนอย่างมีเลศนัยก่อนจะเอ่ยคำสั้น ๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ



"พวกเราจะไปหาแม่ของคิทซึเนะกัน"







หุบเขาจิ้งจอกนั้นตั้งอยู่ในป่าลึกยิ่งกว่าป่าเกาลัดของเหล่าทานูกิมากจนไม่สามาเดินทางไปถึงได้ในวันเดียวและอยู่ในส่วนที่ผู้เล่นคนไม่ค่อยเข้าไปบ่อยนัก โดยเฉพาะเมื่อมอนสเตอร์ที่ลึกเข้าไปในป่าจะยิ่งเก่งขึ้นระดับสูงขึ้นจนไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปสำรวจ ส่วนผู้ที่เคยลองเข้าไปดูก็พบไม่พบอะไรเลยนอกจากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมอนสเตอร์จำนวนมหาศาล



ดังนั้นการเดินทางเข้าไปยังหุบเขาจิ้งจอกนั้นแทบเป็นไปไม้ได้เลยสำหรับผู้เล่นทั่วไปเพราะนอกจากมอนสเตอร์ระดับสูงแล้วยังมีเวทลวงตาที่พรางไม่ให้ใครบุกรุกเข้าไปในหุบเขา สำหรับพวกเจนมีคิทซึเนะที่คอยนำทางจึงไม่มีปัญหาเรื่องนั้น แต่เรื่องมอนสเตอร์ระหว่างทางนั้นพวกเจนคงต้องรับมือด้วยตัวเอง



โดยส่วนมากที่เจนพบจะเป็นสัตว์ป่าธรรมดาอย่างเสือหรือจิ้งจอกซึ่งเป็นยศขุนนางและมีเลเวลสูงพอสมควร บางตัวมีเลเวลสูงถึงยี่สิบจนทำเอาพวกเธอเสียเวลาไปไม่น้อยเพื่อจัดการมัน โชคดีที่พวกจิ้งจอกเป็นมิตรกับพวกเธอและเจนกำชับทุกคนเอาไว้ว่าห้ามแตะต้องพวกจิ้งจอกไว้แล้ว ทำให้การเดินทางช่วงแรกค่อนข้างเป็นไปอย่างราบรื่น



แต่หลังจากเข้ามาในป่าลึกมากขึ้นพวกงูและแมงมุมก็เริ่มปรากฏออกมา ปัญหาคือขนาดของพวกมันนั้นใหญ่เกือบเมตรจนความน่ากลัวกับญาติตัวเล็กที่อยู่นอกเกมเทียบไม่ติดเลย แม้ซินจูและยูสตาร์จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่สำหรับเจนนั้นจัดการรับมือได้สบายมากโดยเฉพาะเจ้าตัวแปดขา เพียงแค่ใช้ดาบฟาดเข้าไปไม่กี่ครั้งแมงมุมพวกนี้ก็สิ้นฤทธิ์ จนพวกเจนเริ่มเพลิดเพลินกับการจัดการเจ้าพวกแมงมุมพวกนี้ที่แม้จะให้ของน้อย ตรงกันข้ามคือมันมีเลเวลสูงแต่สามารถจัดการได้ง่ายแถมยังมีจำนวนมากมาให้จัดการเรื่อย ๆ จนตอนนี้เลเวลของเจนเพิ่มขึ้นมามาเลเวลสิบแล้ว ในขณะที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มก็ต่างมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าที่บอกว่าเลเวลของตนเองก็เพิ่มขึ้นมาแล้วเช่นกัน



เวลาผ่านไปจนตะวันเริ่มใกล้จะลับฟ้า และกลางคืนจะมาเร็วว่าปกติเมื่ออยู่ในป่า ยิ่งเป็นป่าทึบด้วยแล้วทำให้กลางคืนยิ่งทวีความอันตรายขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้พวกเจนที่กำลังจัดการกับแมงมุมอย่างมันมือก็ต้องรีบรุดเร่งเดินทางหาที่ตั้งแค้มป์ก่อนที่แสงอาทิตย์จะหมดลง ในที่สุดพวกเจนก็พบกับที่เหมาะพอที่จะใช้ตั้งเป็นที่พักได้ และพวกเธอก็จัดการตั้งเต็นท์และก่อกองไฟได้ทันก่อนตะวันตกดินพอดี



หลังจากจัดการอาหารเย็นแล้ว เจนก็เปิดหน้าต่างขึ้นมาดูว่าตอนนี้เธอเลเวลสิบแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และเจนก็ต้องยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นว่ามีทักษะใหม่ถึงสองทักษะทีเดียว



ฮีโร่นิรนาม ระดับ A ทักษะติดตัว

ทำให้ผู้ที่มีทักษะนี้สามารถป้องกันการถูกตรวจสอบได้



บอลพลังจตุรธาตุ ระดับ S ใช้พลังเวท 1 ต่อบอลเวทหนึ่งลูก ไม่มีระยะเวลาดีเลย์

สามารถใช้บอลพลังเวทธาตุไฟ ลม ดิน น้ำ ได้



รอยยิ้มที่เบิกกว้างต้องหุบลงไปเมื่อเห็นว่าเธอได้ทักษะอะไรมา แถมทักษะระดับสูงอีกอักก็ดูท่าทางไม่ใช่ทักษะที่ดีเท่าไหร่เลย เจนลองร่ายบอลพลังเวทขึ้นมาก็พบว่าที่มือข้างซ้ายของเธอมีก้อนพลังสีส้มอ่อนลอยอยู่ที่รอบข้อมือ ขนาดของมันพอ ๆ กับลูกปิงปอง เจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากบอลพลังเวทได้เล็กน้อย



เมื่อลองยิงบอลพลังเวทออกไป บอลธาตุไฟก็พุ่งเข้ากระทบกับกอหญ้าด้วยความเร็วราวกับกระสุนปืน แต่อานุภาพของมันกลับทำให้เจนต้องถอนหายใจ เพราะเมื่อบอลเวทกระทบกับกอหญ้าก็มีไฟลุกขึ้นมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะดับไป เหลือเอาไว้ให้แต่รอยไหม้เล็ก ๆ ให้ดูเอาไว้ต่างหน้าเท่านั้น และเมื่อเจนลองทำกับบอลธาตุอื่น ๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรนัก



"แจ็ค รับนะ" หญิงสาวว่าแล้วโยนอะไรบางอย่างให้กับชายหนุ่มร่างใหญ่ เขาใช้สองมือรับได้อย่างพอดีแล้วก้มลงดูว่าเพื่อนของเขาคืนอะไรมา มันเป็นตรานายอำเภอที่เขาเคยให้กับเจนเอาไว้นั่นเอง



"อ้าว..นี่เธอจะไม่ใช้แล้วงั้นหรือ" แจ็คถาม



"อือ ฉันได้ทักษะใหม่มาใช้ปกปิดสถานะแทนแล้ว เอาของนายคืนไปเถอะ ขอบใจมากนะที่ให้ยืม" เจนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะยังผิดหวังเรื่องทักษะใหม่ทั้งสองทักษะของเธอ หลังจากพยายามลืม ๆ ไปแล้วจึงหันไปหาคิทซึเนะที่กำลังหันมองไปรอบที่พักราวกับสุนัขเฝ้ายาม



"นี่คิทซึเนะ อีกไกลหรือเปล่ากว่าที่พวกเราจะไปถึงหุบเขาจิ้งจอก" เจนถาม



"อีกไม่ไกลหรอกค่ะ คิดว่าน่าจะประมาณเที่ยงในวันพรุ่งนี้ก็คงถึงแล้วล่ะค่ะ" จิ้งจอกสาวตอบแล้วจึงหันไปเฝ้ายามต่อ



คงเป็นเพราะตอนนี้ทุกคนใกล้ถึงถิ่นของจิ้งจอกแล้วจึงทำให้คิทซึเนะตื่นตัวเต็มที่และทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี คอยเฝ้ายามไม่ให้พวกแมงมุมและมอนสเตอร์จ่าง ๆ เข้ามาลอบโจมตีได้ กองไฟสีน้ำเงินของคิทซึเนะจึงลุกอย่างโชติช่วงจนไม่มีมอนสเตอร์กล้าเข้ามาใกล้ แม้ว่ามอนสเตอร์แถวนี้ส่วนใหญ่จะไม่กลัวไฟจิ้งจอกอย่างที่มอนสเตอร์บนเกาะเริ่มต้นก็ตาม แต่กองเพลิงสีฟ้าอันร้อนแรงนั้นก็เป็นสิ่งที่เตือนเหล่ามอนสเตอร์โดยรอบว่าถ้าหากเข้ามาจะต้องพบกับอะไร



ค่ำคืนผ่านไปจนถึงเช้าอย่างสงบสุข ทุก ๆ คนนอนกันเต็มอิ่มโดยไม่มีมอนสเตอร์บุกเข้ามารบกวนกลางดึกเลยแม้แต่ตัวเดียว แม้ว่ากองไฟจะลุกโชนตลอดทั้งคืนแต่ก็ใช่ว่าจิ้งจอกสาวจะไม่ได้นอนเลย หลังจากทุกคนเข้านอนแล้ว โดยคิทซึเนะอาสาเป็นยามให้ทั้งคืน เธอก็กลับเข้าไปนอนในเต็นท์กับเจนโดยไม่ห่วงว่ากองเพลิงจะดับลงเหมือนคราวที่แล้ว นั่นก็เพราะว่าเธอสามารถควบคุมเพลิงจิ้งจอกได้แม้จะหลับอยู่นั่นเอง



หลังจากทานมื้อเช้าอย่างง่าย ๆ และจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเจนก็เริ่มออกเดินทางต่อทันที ทว่าการเดินทางวันนี้กลับต่างไปจากเมื่อวานเพราะไม่มีมอนสเตอร์เข้ามารบกวนเลยแม้แต่ตัวเดียว ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังมีมาไม่หยุดเลยแท้ ๆ จนเสือซ่อนลายเริ่มออกอาการสงสัย



"ที่ไม่มีพวกแมงมุมมารบกวนก็เพราะตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของหุบเขาจิ้งจอกแล้วยังไงล่ะคะ ถ้าพวกมันยังไม่อยากโดนเพลิงจิ้งจอกของท่านแม่เผาจนไม่เหลือซากแล้วล่ะก็ มันก็ไม่โง่เข้ามาในพื้นที่แถบนี้หรอกค่ะ จริงมั้ยฟีบี" คิทซึเนะพูดขึ้นอย่างมั่นใจโดยมีฟีบีช่วยสนับสนุนด้วยน้ำเสียงสดใส



"ใช่แล้วค้า!"



เจนหัวเราะแห้ง ๆ ให้เมื่อได้ยินคำตอบของน้องสาวของเธอทั้งคู่ที่จะอวยมาเอะเอามาก คิทซึเนะน่ะไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แต่ฟีบีเอาด้วยอีกคนนี้คงเป็นเพราะได้อยู่กับมาเอะในตอนที่เจนออฟไลน์จนสนิทกันแล้วแน่



เมื่อดวงตะวันใกล้จะขึ้นที่กลางหัว เจนก็เห็นผาสูงตระหง่านตั้งอยู่ตรงหน้า พวกเธอต่างแปลกใจเพราะว่าผาสูงขนาดนี้กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยตอนที่กำลังเดินทางมาที่นี่ ราวกับว่าจู่ ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นบนอากาศธาตุอย่างนั้นแหละ



"พวกเรามาถึงหุบเขาจิ้งจอกแล้วค่ะ" คิทซึเนะว่า แต่เมื่อเจนหันไปมองหาแอ่งน้ำที่เธอเคยเห็นแต่กลับหาไม่พบแม้กระทั่งก้อนหินที่เคยผนึกเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเอาไว้



"ใช่ตรงนี้แน่หรือคิทซึเนะ ทำไมไม่เห็นมีจิ้งจอกอยู่ซักตัวเลยล่ะ" เจนถาม จิ้งจอกสาวได้ยินแล้วจึงหันมาให้คำตอบอย่างรวดเร็ว



"ไม่ใช่ตรงนี้หรอกค่ะ แต่เป็นข้างในนี้ต่างหาก" ไม่พูดเปล่า จิ้งจอกสาวก็เดินเข้าไปที่บริเวณกำแพงหินผาแล้วใช้มือแตะเบา ๆ



ทันใดนั้นเองที่จู่ ๆ กำแพงหินค่อย ๆ สลายไป เผยให้เห็นทางเดินไปต่อข้างหน้าโดยมีเถาวัลย์ขึ้นเป็นประตูทางเข้าอย่างสวยงาม



"นี่เป็นเวทลวงตาสองชั้น ป้องกันไม่ให้มีใครบุกเข้ามาในหุบเขาน่ะค่ะ นอกจากพี่เจนแล้ว ทุกคนก็ถือได้ว่าเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้เข้ามาในหุบเขาจิ้งจอกเลยนะคะ" คิทซึเนะพูดแล้วจึงเดินนำพวกเจนเข้าไปที่ต่างมองดูทางเข้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ



ทันทีที่เข้ามาในหุบเขา เจนก็เห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อยู่ด้านหน้าที่มีจิ้งจอกหลายตัวต่างกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ที่แห่งนี้ดูร่มรื่นต่างจากป่าทึบภายนอกอย่างสิ้นเชิง อีกด้านหลังเจนก็ถึงกับต้องแปลกใจเพราะเธอคิดว่ามีมนุษย์คนอื่นอยู่ในหุบเขานอกจากพวกเธออยู่ด้วย แต่เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่ามนุษย์หนุ่มสาวที่เธอเห็นนั้นเป็นจิ้งจอกแปลงกายเหมือนกับที่ทานูกิแปลงร่างนั่นเอง



ที่อยู่อาศัยของจิ้งจอกในหุบเขาต่างจากทานูกิในป่าเกาลัดก็คือจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้มีบ้านเป็นหลังเหมือนกับพวกทานูกิ แต่จะอาศัยอยู่ในโพรงต้นไม้หรือในถ้ำหินตามธรรมชาติในร่างจิ้งจอก หรือแม้กระทั่งนอนอยู่ตามทุ่งหญ้าในแถบนี้กันตามใจชอบเพราะว่าภายในหุบเขานี้ถือเป็นสวรรค์ของเหล่าจิ้งจอกทุกตัว



ระหว่างทางก็มีจิ้งจอกจำนวนมากเข้ามาทักทายคิทซึเนะอย่างสนิทสนมราวกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนพวกเจนเองก็เรียกพวกจิ้งจอกให้เข้ามาสนใจได้ไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งซินจูแล้วแทบจะวิ่งเข้าไปกอดเลยด้วยซ้ำเพราะอดใจให้กับความน่ารักของจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้ เจนเองก็พยายามอดใจอยู่เช่นกันโดยจับมือของฟีบีแก้ขัดไปก่อน



คิทซึเนะนำทางทุกคนมายังเนินสูงภายในหุบเขา เมื่อเดินขึ้นมาเจนก็จำแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เคยมีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ได้ทันที เว้าแต่ว่าตอนนี้ก้อนหินนั้นกลับแทนที่ด้วยจิ้งจอกสีทองตัวใหญ่กำลังอยู่แทนที่ หางทั้งเก้าโบกสะบัดไปมาอย่างอ่อนช้อยแต่ก็เต็มไปด้วยพลังอำนาจจนพวกเสือซ่อนลายยืนเกร็งไปทั้งตัว เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบกับมอนสเตอร์ยศเทพเจ้า



"ท่านแม่!" เสียงของจิ้งจอกสาวดังแล้วเธอก็วิ่งเข้าไปซบหน้ากับจมูกของจิ้งจอกตัวโตอย่างไม่รู้สึกกลัว เช่นเดียวกับฟีบีที่ปีนขึ้นไปบนตัวของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางอย่างไม่เกรงใจ



ดวงตาสีทองเปิดขึ้นและหันไปมองบุตาสาวของตนและใช้ลิ้นเลียแก้มของเธออย่างห่วงใย ในขณะเดียวกันหางทั้งเก้าของเธอก็ตวัดไปมาอยู่ตรงหน้าของฟีบีราวกับกำลังหยอกเล่นด้วย และตอนนั้นเองที่ดวงตาสีทองตวัดมาหาพวกเจนที่ยังยืนรออย่างมีมารยาท



"ข้าคือเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะ มาเอะ ยินดีตอนรับเจนและเพื่อน ๆ ทุกคนเข้าสู่หุบเขาจิ้งจอกของข้า" เสียงทรงอำนาจของจิ้งจอกเก้าหางดังขึ้นแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน เจนที่ชินกับเสียงพูดของมาเอะแล้วก็ยิ้มตอบ ในขณะที่พวกเสื่อซ่อนลายนั้นต่างตัวแข็งทื่อไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น



เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนต่างนิ่งไม่ทักทายเพราะกลัวเกินกว่าจะทำได้ มาเอะจึงค่อย ๆ กลายร่างเป็นหญิงงามในชุดกิโมโนสีเหลืองทอง เธอยื่นมือให้กับฟีบีและคิทซึเนะที่บินเคียงคู่กันมาก่อนจะลงสู่พื้นดินตรงหน้าเจนอย่างนุ่มนวล



"สวัสดีคะท่านมาเอะ" หญิงสาวเอ่ยทักทายแล้วก้มตัวอย่างอ่อนน้อม เมื่อพวกเสือซ่อนลายเห็นต่างก็รีบทำตามอย่างรวดเร็วจนมาเอะที่มองดูอยู่ก็อดที่จะแอบหัวเราะกับท่าทางของพวกเขาไม่ได้



"พวกเจ้าไม่ต้องร้อนรนไปหรอก ข้าไม่ทำร้ายคนที่เป็นเพื่อนของเจนแน่เพราะอย่างนั้นจงวางใจเถอะ" เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเอ่ยพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาหา แม้ว่าจะได้ยินอย่างนั้นแต่จะให้ทำตามที่ปากบอกทันทีคงจะยาก



มาเอะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางตื่นของพวกเสือซ่อนลาย เธอหันมาหาเจนแล้วจึงพูดขึ้นมา "ข้าเคยบอกกับเจนเอาไว้ว่าอยากให้พาเพื่อน ๆ มาเยี่ยมเยียนที่หุบเขา ในเมื่อเจอกันแล้วข้าก็ยินดีที่จะมอบน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับทุกคน... คิทซึเนะ พาเพื่อน ๆ ของเจนไปเลือกของที่ชอบในห้องขุมทรัพย์ให้หน่อยนะ"



"เข้าใจแล้วค่ะ" จิ้งจอกสาวรับคำแล้วจึงเดินนำพวกเสือซ่อนลายไปยังในถ้ำที่เจนเคยเข้าไปหาเสื่อคลุมสีขาวตัวที่เธอใส่มา



พอเจนจะเดินตามเพื่อนของเธอไปก็ต้องชะงักเพราะถูกเสียงของมาเอะเรียกให้หันกลับไปหา "รอก่อนซักเดี๋ยวเจน ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าซักหน่อย"



"มีอะไรหรือคะท่านมาเอะ...เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" เจนถามอย่างนอบน้อม ดูจากสีหน้าของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแล้วคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่



เจนเดินตามมาเอะไปยังที่พำนักของเธอซึ่งไม่ได้เป็นปราสาทหรูหราอย่างที่คาดเอาไว้ เพราะที่ ๆ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางพาเธอมาเป็นแค่ถ้ำแต่มีขนาดใหญ่มาก ด้านในไม่ได้มีการตกแต่งด้วยทองคำหรือเพชรพลอย มีเพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้าและกองหญ้าแห้งที่ปูเอาไว้บนพื้นถ้ำแต่ก็ดูน่านอนไม่แพ้เตียงราคาแพงเลย



"ขอโทษเรื่องสถานที่ด้วยนะ ปกติข้าไม่ได้ใช้ร่างมนุษย์ซักเท่าไหร่ก็เลยไม่มีที่เหมาะสมเอาไว้ต้อนรับเธอและเพื่อน ๆ" มาเอะพูดแล้วนั่งลงบนโขดหินพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้เจนนั่งลงข้าง ๆ



"ว่าแต่เรื่องที่ท่านมาเอะอยากจะคุยกับฉันคือเรื่องอะไรหรือคะ" เจนถาม



รอยยิ้มของจิ้งจอกเก้าหางจางลงเมื่อได้ยินเจนเอ่ยขึ้นมา เธอถอนหายในออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนจะมองผู้กล้าในชุดขาวพร้อมกับพูดขึ้นอย่างช้า ๆ "เรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้ามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง แต่มันควรเป็นเรื่องที่เจนควรจะรู้เอาไว้เพราะมันคือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผนึกพันปี"



"ผนึกพันปี!? เกิดอะไรหรือคะ" เจนรีบถามขึ้นเพราะเธอใช้ดาบคุซานางิทำลายผนึกนี้มาถึงสองครั้งแล้ว ถ้าหากจะมีเป็นหาอะไรก็คงเป็นเธอนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ



"ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เจน เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่เจ้าจะปลดผนึกข้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เจ้าที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้แน่" มาเอะพยายามปลอบใจเจนแต่น้ำเสียงของเธอยังบ่งบอกถึงความกังวลอยู่ "ก่อนหน้าที่เจ้าจะมา ข้ารู้สึกได้ว่าผนึกอื่น ๆ ในโลกแห่งนี้เริ่มอ่อนแอลงมากจนข้าสามารถติดต่อกับเทพอสูรตนอื่น ๆ ผ่านทางจิตได้ ข้าพยายามสอบถามข่าวว่าใครเป็นผู้ผนึกเหล่าเทพอสูรแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยแม้แต่น้อย"



"และเร็ว ๆ นี้ข้าก็รู้สึกว่าผนึกเริ่มอ่อนกำลังลงมากจนข้าสังหรณ์ว่าในอีกไม่นานผนึกพันปีทั้งหมดอาจจะสลายไป และเหล่าเทพอสูรจะกลับมาอีกครั้ง" มาเอะกล่าว และจากสีหน้าของเธอทำให้เจนมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่



"ถึงการกลับมาของเหล่าเทพอสูรจะไม่ใช่เรื่องร้าย แต่สิ่งที่ตามการหลังจากนั้นต่างหากที่ข้าเป็นห่วง"



"อะไรหรือคะ...อะไรที่ตามมาหลังจากนั้น" เจนรู้สึกว่าน้ำลายของตนเองเหนียวหนืดขึ้นมากะทันหัน ตอนนี้ใจของเธอเต้นระทึกเพราะไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้มาเอะซึ่งเป็นถึงเทพอสูรเป็นกังวลได้ มันก็ควรที่จะให้เธอต้องรู้สึกกังวลมากกว่าเป็นสองเท่า



"เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนที่เหล่าเทพอสูรถูกผนึกเอาไว้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน เจนคงจำได้ใช่หรือไม่ว่าเผ่าจิ้งจอกของข้าและเผ่าทานูกิของยากิเป็นพันธมิตรกันในตอนนั้น" มาเอะถาม เจนพยักหน้าตอบรับ "ในเวลานั้นมีสงคราม สงครามที่ไม่มีฝักมีฝ่ายใด ๆ เหล่าเทพบนสวรรค์ต่างรบกันเอง เช่นเดียวกับเหล่าอสูรในอเวจีและเทพอสูรบนโลกที่มีสงครามกับทุกฝ่ายไม่เลือกหน้า มีพวกข้ากับไม่กี่เผ่าบนโลกได้ร่วมมือกันเพื่อปกป้องลูกหลานของเราเอาไว้ให้อยู่รอดสืบต่อไปแต่ก็ไม่อาจสู้ไฟของสงครามได้นานนัก จนในที่สุดตอนนั้นโลกยับเยินจนแทบจะสิ้นสลาย"



"แต่แล้วจู่ ๆ ข้าก็รู้สึกได้ว่ามีพลังอำนาจมหาศาลผนึกข้าลงสู่หินผนึกพันปี ตอนแรกข้านึกว่าเป็นฝีมือของศัตรูที่หวังจะทำลายเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีแต่ก็ไม่มีเทพอสูรตนไหนบุกเข้ามาในหุบเขา จนในที่สุดผนึกที่แข็งแกร่งก็เริ่มอ่อนกำลังลงจนข้าสามารถใช้จิตสื่อการกับเทพอสูรตนอื่นได้ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่ถูกผนึก แต่เป็นเทพ อสูรและเทพอสูรทุกตนที่ต่างก็ถูกพลังอำนาจลึกลับผนึกเอาไว้ ทำให้สงครามที่เกือบนะทำลายล้างโลกได้สิ้นมุดลงโดยไร้ซึ่งผู้ชนะ"



"ท่านต้องรอกี่ปีหรือค่ะกว่าผนึกจะอ่อนลงจนสามารถสื่อสารกับเทพอสูรตนอื่นได้" เจนถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าหากผนึกที่แข็งแกร่งขนาดผนึกเทพอสูรทุกตัวได้ในครั้งเดียว ทำไมมันถึงอ่อนพลังลงเร็วนัก



มาเอะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเงยหน้านึกคิดดูแล้วจึงตอบคำถามของเจน "ก็คงประมาณเจ็ดร้อยปีเห็นจะได้ล่ะมั้ง"



เจนหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อรู้ว่ากว่ามาเอะจะรู้ความจริงว่าเทพอสูรทุกตนถูกผนึกก็ต้องรอคอยนานโขทีเดียว "เอ่อ...แล้วท่านมาเอะรู้หรือเปล่าคะว่าเป็นฝีมือของใครที่ผนึกเทพอสูรลงอย่างนั้น"



"อืม...มันก็มีเรื่องเล่าระหว่างเทพอสูรด้วยกันอยู่เรื่องหนึ่ง ว่ากันว่านอกจากเทพอสูรระดับสูงสุดที่มีพลังเทียมฟ้า เทพที่มีพลังไร้ผู้ทาน หรืออสูรที่มีพลังจะทำลายโลกได้ในกำมือแล้ว ก็ยังมีเทพอีกสองตนที่มีพลังเหนือกว่าใครทั้งมวล...แต่จะเรียกว่าเป็นเทพก็คงไม่ถูก เพราะไม่เคยมีใครยืนยันว่าพวกท่านนั้นเป็นเทพหรืออสูรกันแน่ ยังมีข่าวลือกันว่าเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป" มาเอะเล่าทำให้เจนต้องเลิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าผู้ที่มีพลังมากขนาดนั้นอาจจะเป็นมนุษย์อย่างเธอ



"เอ๋! จริงหรือคะ!?"



หญิงงามในชุดสีทองยกชายแขนเสื้อขึ้นมาป้องปากและหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าเธอ "ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้แค่ว่าเหล่าเทพอสูรต่างเรียกทั้งสองว่า 'เทพมารดาแห่งชีวิต และ เทพบิดาแห่งความตาย' นอกจากทั้งสองชื่อนี้แล้วก็ไม่มีใครรู้อย่างอื่นกับท่านทั้งสองเลย ไม่แม้แต่จะมีใครเคยพบหน้าจนถูกคิดว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าไงล่ะ"



ผู้กล้าในชุดขาวพยักหน้าขึ้นลงและนั่งเงียบฟังอย่างตั้งใจ มาเอะจึงเริ่มเล่าต่อ



"สิ่งที่ข้ากังวลคือถ้าหากผนึกพันปีสินสภาพลงไปล่ะก็ สงครามที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังจะกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เหล่ามนุษย์อาจจะเป็นผู้ที่ต้องรับเคราะห์หนัก"



"แล้วอีกนานมั้ยคะกว่าที่ผนึกพันปีจะสลายไป" เจนรีบถามทันที เพราะหากผนึกพันปีสลายไป เธอก็มองไม่เห็นทางที่ผู้เล่นจะรับมือเหล่าเทพอสูรได้เลย ถ้าเธอรีบเตือนให้ทุกคนเตรียมพร้อมก่อนล่ะก็ บางทีอาจจะพอรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นได้บ้าง



ยังไม่ทันที่มาเอะจะตอบคำถาม ก็มีหน้าต่างขึ้นเตือนที่ด้านหน้าของเจน เธอกล่าวขอโทษกับจิ้งจอกเก้าหางและเปิดหน้าต่างนั้นขึ้นมาเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วน และมันก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาจริง ๆ ด้วย เมื่อเจนอ่านพาดหัวของ หน้าต่างแสงนั้นก็ต้องเลิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะมันคือการแจ้งอัพเดทโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่เกมเปิดให้บริการ



'แจ้งผู้เล่นทุกท่านให้ทราบถึงตัวเกมที่ทางนอยช์วานสไตล์ได้ทำการปรับปรุงระบบและเพิ่มเหตุการณ์ใหม่ภายในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ดังนี้



- เพิ่มขีดความสามารถของอาชีพต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่นสายอาชีพนักประดิษฐ์สามารถสร้างพาหนะขนาดใหญ่ได้อย่างเช่น เรือ หรือ เรือเหาะ, อาชีพสายจอมเวทสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ระดับมหาเวทได้ เป็นต้น

- ทวีปใหม่ 'ทารันทา' เปิดให้ผู้เล่นเดินทางไปยังทวีปดึกดำบรรพ์ที่อยู่ทางเหนือของทวีปยูโรปา โดยทวีปใหม่แห่งนี้มีมอนสเตอร์ระดับต่ำสุดอยู่ที่ยศขุนนาง เลเวล 60

- เพิ่มมอนสเตอร์ระดับราชาและเปิดตัวมอนสเตอร์ระดับเทพเจ้าที่จะปรากฏตัวในบางพื้นที่ทั้งสามทวีป

- ประกาศกำหนดการณ์กิลด์วอร์ โดยจะเริ่มสงครามในอีกสิบเดือนนับจากนี้



การอัพเดทไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้เล่นทำการล็อกเอาท์ออกจากเกม ถ้าหากผู้เล่นต้องการจะสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายระเอียดของการอัพเดท สามารถติดต่อได้ที่อาคารระบบหรือบนกระดานข้อความในส่วนติดต่อเจ้าหน้าที่



ขอให้เพลิดเพลินกับโลก ดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์'



เจนตกใจมากกับการอัพเดทตัวเกมในครั้งนี้มาก เพราะแต่ละอย่างที่เพิ่มขึ้นมาในเกมนั้นต่างเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย และสิ่งที่ทำให้เจนตกใจมากที่สุดนั่นก็คือการพูดถึงเทพอสูรในรายระเอียดของการอัพเดทในครั้งนี้ที่สอดคล้องกับสิ่งที่มาเอะได้พูดกับเธอมาก่อนหน้า เหล่าเทพอสูรได้กลับมาแล้ว!



ทันใดนั้นเองมาเอะก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและจ้องมองไปยังด้านนอกของถ้ำของเธอจากนั้นจึงพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว



เมื่อตามออกมาเจนก็พบว่าปากถ้ำมีจิ้งจอกตัวใหญ่กว่าสามเมตรหลายสิบตัวกำลังยืมปิดล้อมปากถ้ำและส่งเสียงขู่ร่างขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือหัวออกมาอย่างน่ากลัว ในขณะที่ตัวเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเองนั้นเงยหน้าขึ้นมองดูร่างนั้นอย่างเคร่งเครียดแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความยำเกรง



ร่างสูงที่ลอยอยู่เหนือเจนในตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพยัคฆ์ขาวขนาดใหญ่ มันมีความสูงกว่าห้าเมตร ขนสีขาวราวปุยนุ่นปลิวไสวพร้อมกับสายลมแต่ร่างของเสือตัวนี้ดูแข็งแกร่งราวกับหินผา เจนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ออกมาจากร่างตรงหน้าเธออย่างรุนแรง นอกจากยามาตะ โนะ โอโรจิและเซอร์โนบอทแล้ว เธอก็ไม่เคยพบกับพลังมหาศาลขนาดนี้เลย



เทพอสูรแห่งทิศประจิม พยัคฆ์ขาว เบียคโกะ

ยศเทพเจ้า เลเวล 60



"ถึงเวลา ทามาโมะ มาเอะ สงครามเทพอสูรใกล้จะอุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว" เสียงแข็งกร้าวดังขึ้น ดวงตาสีเขียวมรกตของพยัคฆ์จ้องมองลงมายังที่มาเอะแล้วเหลือบมามองที่เจน ตอนนั้นเองที่เธอรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกนำพาไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่เกินตัวเข้าอีกเรื่องซะแล้ว



จบตอนที่ 41 เทพอสูร

Tohan-kun
8th February 2014, 12:30
ตอนที่ 42 กฎแห่งเทพอสูร



ท่ามกลางเสียงขู่คำรามของจิ้งจอกหลายสิบตัวแต่มิอาจทำให้เทพพยัคฆ์ขาวรู้สึกหวั่นเกรงได้แม้แต่น้อย ผู้ที่ตอนนี้ตกเป็นรองกลับเป็นเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ในร่างมนุษย์กำลังก้มหน้าหลบสายตาแข็งกร้าว แม้จะอยู่ในถิ่นของตน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนือกว่าเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอรู้ว่าพลังของเธอนั้นไม่อาจเทียบกับเบียคโกะได้ ถึงจะเป็นเทพอสูรเช่นเดียวกันแต่พลังของเทพพยัคฆ์ขาวนั้นอยู่คนละชั้นกับเธอจนไม่อาจเทียบทานได้แล้ว



เจนรู้ว่าถ้าเกิดจะต้องมีการต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ เธอไม่มีทางที่จะต่อกรกับเทพอสูรตรงหน้าได้เลย ขนาดมาเอะที่เป็นเทพอสูรเช่นเดียวกันยังรู้สึกหวาดหวั่น นับประสาอะไรกับผู้เล่นยศขุนนางเลเวลยังไม่เกินสิบจะทำอะไรได้ ทว่าแม้จะเป็นอย่างนั้นจริงก็ตาม แต่เจนก็ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่



สาวงามในชุดยูกาตะสีเหลืองทองยังคงลังเลที่จะให้คำตอบแก่พยัคฆ์ขาว ด้านเจนนั้นก็เตรียมพร้อมถ้าหากเกิดสถานการณ์ขับขันขึ้น มือเรียวค่อย ๆ ขยับไปหาดาบที่หลบสายตาอยู่ใต้ชุดคลุมอย่างช้า ๆ แต่แล้วสายตาของเธอก็สบเข้ากับดวงตาสีเหลืองของมาเอะซึ่งบอกกับเจนเป็นนัยน์ว่าอย่า เจนจึงละมือลงแต่ก็ยังคงไม่ผ่อนท่าทีระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย



"ยินดีต้อนรับท่านเบียคโกะสู่หุบเขาจิ้งจอกของข้า ยินดีด้วยที่ท่านหลุดออกมาจากผนึกพันปีได้แล้ว ไม่นึกว่าท่านอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ก่อนเป็นที่แรกหลังจากถูกผนึกมานานกว่าพันปี" มาเอะเอ่ยขึ้นพร้อมกับย่อตัวเล็กน้อยอย่างสำรวม



พญาสิงค์ไม่มีท่าทางตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้นกับคำพูดของหญิงสาว ดวงตาดุร้ายของเบียคโกะยังคงจับจ้องไปที่ร่างสูงไม่ห่าง "คำตอบของเจ้ามาเอะ ข้ายังรอคอยคำตอบของเจ้าอยู่"



"ขออภัยด้วยท่านเบียคโกะ แต่ข้ายังยืนยันคำตอบเดิมตั้งแต่ตอนที่ข้ายังคงอยู่ภายใต้ผนึกพันปี ข้าคงไม่อาจเข้าร่วมกับกองทัพเทพอสูรได้ตามที่ท่านต้องการ"



"ทำไมกันล่ะ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครั้งยังมีสงคราม เจ้าคือหนึ่งในผู้ที่ก่อตั้งกองทัพเทพอสูรขึ้นมาแท้ ๆ เจ้าทำให้พวกเราเหล่าเทพอสูรได้เปรียบขึ้นมาในสงครามที่มีศัตรูรอบด้าน แต่มาตอนนี้เจ้ากลับปฏิเสธที่จะเข้าร่วมด้วย อะไรถึงทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ" เบียคโกะถาม



มาเอะเหลือบไปมองเจนที่ยังคงยืนอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะหันกลับมาให้คำตอบ "โลกนี้เกือบจะสิ้นสลาย หลายล้านชีวิตต่างต้องสูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ในสงครามครั้งนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่คิดว่าการที่จะก่อสงครามอีกครั้งจะเกิดประโยชน์อะไรแก่เผ่าจิ้งจอกหรือเหล่าเทพอสูรตนอื่น ๆ เลย" มาเอะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



ร่างใหญ่ของเทพพยัคฆ์ค่อย ๆ ลดความสูงลงบนพื้นหญ้า จิ้งจอกองครักษ์ที่อยู่รอบตัวของเจนยังคงทำหน้าที่คุ้มกันเทพอสูรของเผ่าพันธุ์อย่างแข็งขันแต่พวกมันเองก็ก้าวถอยหลังออกห่างจากเบียคโกะเพราะขนาดของพยัคฆ์ขาวนั้นใหญ่กว่าพวกมันมาก และแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างที่เหล่าจิ้งจอกองครักษ์ไม่อาจเทียบได้เลย



ทันใดนั้นร่างของเบียคโกะพลันส่องสว่าง เมื่อแสงจางลงเจนก็ไม่เห็นพยัคฆ์ขาวอีกต่อไป ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นชายร่างใหญ่กำยำมีผมยาวสีขาวเช่นเดียวกับชุดเกราะดูน่าเกรงขามที่อยู่บนร่างของเขาที่มีใบหน้าเสือประดับอยู่ตรงกลางอก ใบหน้าแข็งกร้าวดูราวกับเป็นแม้ทัพที่ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนพร้อมกับดวงตาสีเขียวลึกล้ำที่มองเห็นโลกมานักต่อนัก



แม้จะแปลงร่างเป็นมนุษย์แต่ความดุดันกลับไม่ได้ลดลงเลย เจนยังรู้สึกเกรงกลัวร่างนี้มากกว่าร่างเสือซะอีก ความสูงของเบียคโกะตอนนี้ไม่ต่ำกว่าสองเมตรแน่นอน แขนของเขามีกล้ามเป็นมัด ๆ ขนาดเท่าหัวของเจนได้ เพียงแค่มองก็ไม่ต้องตั้งคำถามถึงความแข็งแกร่งเลย



"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจเจ้าหรอกนะ แต่ศึกครั้งนี้ข้าไม่อาจเสี่ยงได้ ข้าบอกกับเทพอสูรตนอื่นเอาไว้ว้าถ้าหากไม่อาจพูดให้เจ้าเข้าร่วมทัพเทพอสูร ข้าก็ไม่อาจจะปล่อยให้เจ้าเข้าทัพอื่นได้เช่นกัน" พูดจบแรงกดดันก็ระเบิดออกมาจากร่างของเบียคโกะจนเจนรู้สึกใจหายวาบ คลื่นพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมานั้นรุนแรงมากจนเหล่าจิ้งจอกองครักษ์ต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะปกป้องนางพญาของเผ่าพันธุ์อยู่



เจนเองก็รู้สึกว่าตนเองก็ควรจะต้องทำอะไรเข้าซักอย่างกับสถานการณ์นี้ แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ร่างของมาเอะก็เดินออกมาเผชิญหน้ากับเบียคโกะที่ยังคงแผ่แรงกดดันมหาศาลอย่างไม่เกรงกลัว



"ถ้าหากท่านเบียคโกะพูดเช่นนั้น ข้าเองก็คงไม่เหลือทางเลือกอื่น..." มาเอะกล่าวแล้วเชิดหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาของเทพพยัคฆ์ตรงหน้า "ข้าทามาโมะ มาเอะ ขอประกาศท้าสู้กับเทพอสูรแห่งทิศประจิม เบียคโกะ ตามกฎแห่งทัพเทพอสูร!"



สิ้นเสียงของหญิงงาม เบียคโกะถึงกับหยุดชะงักลงและมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยินราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง "มาเอะ นี่เจ้า.. นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรือยังไงที่จะมาประลองกับข้า! เจ้าไม่ได้อยู่ในกองทัพเทพอสูรด้วยซ้ำแต่กลับใช้กฎแห่งทัพเทพอสูรมาประลองกับข้าเนี่ยนะ!"



ในตอนแรกนั้นเบียคโกะคิดจะแค่ขู่ให้มาเอะยอมเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลงมือเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะว่าพลังของเขานั้นเหนือกว่ามาเอะและตัวเธอเองก็น่าจะรู้ดีในเรื่องนี้เช่นกัน ถ้าหากมาเผชิญหน้ากันไม่มีทางเลยที่เธอจะเอาชนะเขาได้ยกเว้นว่าจะใช้วิธีลอบโจมตีทีเผลอ แต่นั่นคงทำไม่ได้ในการประลองที่ได้ประกาศออกมา



"แม้ข้าในตอนนี้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในกองทัพเทพอสูรแต่ตัวท่านนั้นอยู่ และถ้าหากข้าจำไม่ผิดไปแล้วล่ะก็ การท้าสู้ตามกฎแห่งทัพเทพอสูรสามารถใช้ได้กับเทพอสูรทุกตนแม้ว่าเทพอสูรตนนั้นจะไม่ได้อยู่ในกองทัพก็ตาม...หรือท่านคิดจะปฏิเสธคำท้าของข้า ท่านเบียคโกะ" มาเอะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ แม้เธอจะมีพลังอำนาจด้อยกว่า แต่ทว่าคำพูดของเธอนั้นกลับทำให้บรรยากาศในตอนนี้ที่เธอเคยเสียเปรียบกลับมาเริ่มเหนือกว่าด้วยเล่ห์ที่สาวงามมีอยู่ล้นตัว



เทพพยัคฆ์กัดฟันด้วยความโมโห แม้เขาสามารถจะปฏิเสธการประลองนี้ไปได้ แต่การทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติเทพอสูรซะยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ซะอีก ถึงผลลัพธ์ถ้าหากเป็นฝ่ายชนะการประลองนี้จะไม่ได้สร้างความแตกต่างไปจากเดิมเลยก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่อยากจะลงทำร้ายจิ้งจอกเก้าหางตรงหน้าที่เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทัพเทพอสูรในอดีตเลย เพราะนอกจากที่เขาไม่อยากทำร้ายเทพอสูรด้วยกันแล้ว ตัวมาเอะนั้นยังเป็นเทพอสูรที่ได้รับการเคารพจากเทพอสูรตนอื่นอยู่มาก การที่ตัวนางประกาศท้าประลองกับเขาเช่นนี้ย่อมทำให้การรวบรวมกองทัพเทพอสูรต่อไปจะลำบากมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม



"ข้าไม่คิดจะปฏิเสธคำท้าของเจ้าหรอก แต่เจ้าก็คงจะทราบดีแล้วใช่หรือไม่ ผู้ใดเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ในการประลอง จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ชนะหนึ่งข้อไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม" เบียคโกะว่า "ข้าสัญญาว่าจะสั่งให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีกที่จะทำให้เจ้าเสื่อมเสียเกียรติไปกว่าที่ควร"



"ช้าก่อนสิท่านเบียคโกะ ท่านจะด่วนริบชัยชนะเร็วไปหรือเปล่า" สาวงามรีบพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้า



"นี่เจ้ายังคิดว่าจะมีสิทธิ์ชนะข้าอยู่อีกงั้นหรือมาเอะ แม้ว่าเจ้าจะออกมาจากผนึกพันปีก่อนข้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถล้มข้าได้หรอกนะ"



"เรื่องนั้นข้าทราบดี และข้าเองก็ไม่อยากจะให้หุบเขาของข้าต้องกลายเป็นซากหินด้วย นั่นถึงเป็นสาเหตุที่ข้าจึงคิดว่าเราทั้งสองควรจะส่งตัวแทนออกไปสู้ดีกว่าจะให้เทพอสูรมาปะทะกันเองในช่วงเวลาเช่นนี้" มาเอะยื่นข้อเสนอ



อารมณ์ที่พุ่งสูงของเบียคโกะนั้นลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินข้อเสนอของสาวงาม แม้ในอดีตจะไม่เคยมีใครใช้ตัวแทนในการประลองตามกฎแห่งกองทัพเทพอสูรมาก่อนเลยก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะคัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนอกจากจะไม่ต้องปะทะกับตัวมาเอะโดยตรงแล้ว เขายังสามารถใช้สิทธิ์ของผู้ชนะให้เธอเข้าทัพเทพอสูรได้โดยที่ไม่สร้างความร้าวฉานต่อเทพอสูรตนอื่นอีกด้วย



"ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์ต่างไปจากเดิม... ข้าตกลงที่จะส่งตัวแทนมาสู้ตามที่เจ้าเสนอ" เทพพยัคฆ์กล่าวรับ มาเอะได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาแล้วจึงพูดขึ้น



"สถานที่คือทุ่งหญ้าที่อยู่ทิศเหนือจากที่นี่ไป อีกหนึ่งราตรีนับจากนี้จะเริ่มการประลองระหว่างตัวแทนของท่านและตัวแทนของข้า"



พญาสิงค์พยักหน้ารับแล้วจากนั้นจึงพุ่งขึ้นฟ้าหายไปในพริบตาพร้อมกับแรงกดดันที่สลายไปในพริบตา เจนรู้สึกเหมือนกว่าตัวเองพุ่งขึ้นมาอยู่เหนือน้ำอีกครั้ง ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องที่เกิดจากแรงกดดันของเบียคโกะนั้นแทบจะทำให้เธอขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว



ดูท่าทางจะไม่ใช่เจนคนเดียวที่คิดเช่นนั้น เหล่าจิ้งจอกองค์รักษ์ต่างหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน แม้กระทั่งตัวเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเองก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก



"ท่านแม่ พี่เจน!!" เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองตามก็พบว่าเป็นคิทซึเนะและพรรคพวกของเธอกำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง การปรากฏตัวของเบียคโกะที่มีแรงกดดันมหาศาลเช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จิ้งจอกสาวกับเพื่อน ๆ ของเจนจะไม่รู้สึกตัว



จิ้งจอกแม่ลูกสวมกอดกันด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกับพวกโจต่างก็เข้ามาสอบถามเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ตัวเธอเองนั้นก็ไม่มีคำตอบให้เพราะว่าเจนเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน



มาเอะที่ได้ยินดังนั้นจึงเข้ามาหาพวกเจนแล้วจึงพูดขึ้น "ข้าติดค้างคำอธิบายให้กับพวกเจ้าทุกคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามข้ามาสิ ข้าจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังเอง"



มาเอะและพวกเจนกลับมาที่ถ้ำของเธออีกครั้ง จิ้งจอกเก้าหางใช้พลังของเธอยกกินหินมาเรียงกันเป็นที่นั่งให้กับพวกเพื่อน ๆ ของเจน จากนั้นจึงนั่งลงบนโขดหินแล้วจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมา



"ต้องขอโทษพวกเจ้าด้วยที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ซะได้ ข้าหวังว่าการเดินทางมาครั้งนี้จะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวังหรอกนะ"



"เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องสุดวิสัยนะครับ ไม่มีใครคาดเดาได้หรอกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา และผมก็ไม่คิดว่าการเดินทางมาที่นี่เป็นเรื่องแย่หรอกนะครับ การที่พวกเราได้พาคิทซึเนะมาเจอท่านมาเอะอีกครั้งและได้มาเจอกับหุบเขาที่สวยงามเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ" เสือซ่อนลายบอก



"ถ้าพวกเจ้าคิดกันอย่างนั้นข้าเองก็ดีใจ... แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่ท่านเบียคโกะมาปรากฏตัวถึงที่นี่นั้นก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับข้าเองเช่นกัน" จิ้งจอกเก้าหางพูดด้วยความกังวล

"จะว่าไปแล้วท่านมาเอะคุยอะไรกับเทพอสูรตนนั้นหรือคะ.. ต..แต่ว่าไม่ใช่อยากจะสอดรู้หรอกนะคะ ก็แค่ได้ยินเข้าแล้วมันรู้สึกสงสัย.." ซินจูรีบแก้ตัวเมื่อเธอสบเข้ากับดวงตาของพญาจิ้งจอกเก้าหางเข้า



มาเอะยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปมองดูแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมาทางร่องหินภายในถ้ำราวกับว่ากำลังรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางจึงเล่าเรื่องสงครามของเหล่าเทพอสูรในอดีตให้กับพวกเจนฟัง ส่วนเจ้าตัวที่ได้ยินเรื่องนี้ผ่านจากปากของมาเอะแล้วก็นั่งเงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ดี



"แล้วอะไรคือกฎแห่งเทพอสูร มันเป็นกฎของกองทัพเทพอสูรงั้นหรือครับ" เสือซ่อนลายถามขึ้นหลังจากที่ฟังเรื่องราวจากนางพญาจิ้งจอกเก้าหางจบแล้ว



"กฎแห่งเทพอสูรก็เป็นกฎที่บัญญัติขึ้นภายในกองทัพเทพอสูรอย่างที่เจาเข้าใจนั่นแหละ โดยเทพอสูรทุกตนที่ร่วมในกองทัพจะต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะถูกขับออกจากการทัพเทพอสูรและยังถูกประณามจากสมาชิกทุก ๆ ตนอีก และกฎการท้าประลองก็เป็นหนึ่งในกฎแห่งเทพอสูร เหล่าเทพจะอสูรจะประกาศท้าประลองเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นและหาข้อยุติไม่ได้ ซึ่งกฎข้อนี้มีจุดประสงเพื่อหาข้อสรุปของความขัดแย้งระหว่างเทพอสูรด้วยกันโดยไม่เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ กติกาในการประลองมีอยู่ข้อเดียวนั่นก็คือห้ามเอากันให้ถึงชีวิต โดยฝ่ายที่แพ้จะต้องรับในความคิดของฝ่ายที่ชนะและทำตามแต่โดยดี แต่ในขณะเดียวกันนั้นข้อร้องขอของผู้ชนะก็ต้องไม่ทำให้ผู้แพ้เสียเปรียบเกินไปเช่นกัน" มาเอะอธิบาย



"แต่ว่าท่านบอกว่าไม่อยากเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรนี่ครับ แล้วทำไมถึง..-"



สาวงามได้ยินคำถามของเสือซ่อนลายก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงตอบให้คลายข้อสงสัย "นั่นเป็นเพราะข้าใช้ช่องว่างของกฎแห่งเทพอสูรยังไงล่ะ มันไม่ได้มีกฎข้อไหนบอกว่าห้ามไม่ให้เทพอสูรที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพเทพอสูรใช้กฎพวกนี้ซักหน่อย ไม่มีเทพอสูรที่อยู่นอกทัพกล้าประกาศท้าประลองแบบนี้หรอก แต่ความจริงถ้าหากไม่ได้เข้าร่วมในกองทัพมาก่อนก็ไม่มีทางจะได้รู้กฎแห่งเทพอสูรเหล่านี้อยู่แล้วล่ะนะ"



เมื่อได้ยินที่จิ้งจอกเก้าหางในตราบสาวงามพูดก็ทำให้พวกเจนรู้สึกเหนื่อยใจไปตาม ๆ กัน แม้พลังอำนาจของเบียคโกะจะเหนือกว่า แต่ถ้าหากให้มาฟาดฝีปากกันต่อให้มีเบียคโกะถึงห้าตนก็ยังยากที่จะเอาชนะมาเอะได้ นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคำพูดนั้นเหนือกว่าอาวุธ



"ว่าแต่ทำไมท่านมาเอะถึงไม่อยากเข้ากองทัพเทพอสูรล่ะครับ ตอบรับท่านเบียคโกะไปก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่นา ดีซะอีกที่มีได้เทพอสูรที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเป็นพวกเดียวกัน"โจพูดขึ้นมา แต่จิ้งจอกเก้าหางส่ายหน้าไม่เห็นด้วย



"มันก็จริงอย่างที่เจ้าพูดแต่ข้าก็ยังคิดว่าข้อเสียที่เกิดจากการเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรก็ยังมีมากกว่าอยู่ดี ที่เทพอสูรอย่างท่านเบียคโกะต้องการข้าเข้าไปในกองทัพเทพอสูรก็เป็นเพราะในอดีตข้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ก่อตั้งกองทัพเทพอสูรขึ้นมา ดังนั้น ถ้าหากเข้าร่วมด้วยก็จะช่วยเป็นการโน้มน้าวเทพอสูรตนอื่นให้เข้าร่วมกองทัพได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนั้นก็จะทำให้กองทัพเทพและกองทัพอสูรที่คงกำลังรวมกำลังพลเช่นเดียวกับเหล่าเทพอสูรอยู่ ต้องรีบดึงตัวเทพอสูรเข้ามาเป็นพวกให้เร็วที่สุด และนั่นก็จะทำให้สงครามที่สงบลงจะเร่งเวลาปะทุขึ้นมาอีก" สาวงามอธิบายให้พวกเจนที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ "แม้การเข้าร่วมทัพเทพอสูรจะมีข้อดีของมัน แต่ข้ายังมองเห็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้สงครามครั้งนี้จะยุ่งยากกว่าเดิมจนเหล่าเทพอสูรต้องทบทวนก่อนจะประกาศสงครามขึ้นอีกครั้ง และก็เป็นเหตุผลที่ข้าไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับกองทัพเทพอสูรด้วย"



เหล่าพรรพวกและตัวผู้กล้าในชุดขาวได้ยินคำพูดของมาเอะก็ต่างพากันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะจากเท่าที่ฟังมานั้นพวกตนยังไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยอะไรที่จะทำให้สงครามครั้งนี้ยุ่งยากขึ้นเลย เพียงแค่ทัพเทพอสูรทั้งสามฝ่ายเข้าปะทะกันก็จิตนาการความวินาศสันตะโรแทบไม่ออกแล้ว ยังจะมีกองทัพอะไรอีกที่ทำให้กองทัพทั้งสามฝั่งต้องหันมามองตาม



เหมือนกว่าว่ารู้ความคิดในหัวของพวกเจน มาเอะยิ้มและชี้นิ้วไปที่เจนซึ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



"ช..ฉันหรือคะ!?" เจนอุทานออกมาเสียงดัง



"ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าแต่เป็นมนุษย์ต่างหาก หรือให้พูดเจาะจงให้มากกว่านี้อีกก็คือนักผจญภัยอย่างพวกเจ้าไง" มาเอะบอก ทำให้พวกเจนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหล่าผู้เล่นอย่างพวกเธอจะไปเทียบกองทัพเทพอสูรได้อย่างไร



"นักผจญภัยอย่างพวกเจ้าถือเป็นสิ่งที่เหล่าเทพอสูรทุกตนหวาดหวั่น เพราะพวกเจ้าสามารถกลับมาจากความตายได้และยังมีความสามารถที่จะพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว เพียงเวลาหนึ่งปีจากการปรากฏตัวของเหล่านักผจญภัยก็มียอดฝีมือกำเนิดขึ้นมากมายจนยากที่จะคาดเดาความแข็งแกร่ง ตอนนี้เทพอสูรทุกตนต่างตระหนักดีว่า ตอนนี้เหล่ามนุษย์ไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว"



เมื่อครั้งช่วงสงครามในอดีตนั้น เหล่ามนุษย์ได้แต่หลบซ่อนให้พ้นจากไฟสงครามของเหล่าเทพอสูรโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะป้องกันตัวได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะมีมนุษย์ที่มีฝีมือพอที่จะต่อกรกับเทพอสูรอยู่บ้างก็ตาม แต่น้ำน้อยย่อมที่จะแพ้ไฟ เมื่อต้องรับมือจากเทพอสูรทั้งสามฝ่ายที่มองว่าเหล่ามนุษย์เป็นศัตรูจึงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป



แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อนักผจญภัยปรากฏตัวขึ้น เพราะนอกจากผู้คนเหล่านี้จะพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นก็มีนักผจญภัยจำนวนมากที่มีฝีมือเทียบเท่ากับเหล่ายอดขุมพลที่เป็นสุดยอดนักรบแล้ว ดังนั้นการกลับมาของเทพอสูรในอดีตนั้นอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งนี้อยู่บ้าง แต่เทพอสูรก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ตามใจได้เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เพราะกองกำลังของเหล่านักผจญภัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินได้เลย



"ก็เพราะอย่างนี้ข้าจึงคิดว่าสงครามครั้งนี้จึงจะต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว เมื่อมีกองกำลังของมนุษย์เข้ามาเป็นฝ่ายที่สี่เป็นสมดุลถ่วงกันในสมรภูมิ ดังนั้นการเอาตัวเองออกจากสงครามจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเผ่าพันธุ์ของข้า" มาเอะกล่าวแล้วจึงเอามือลูบหัวของคิทซึเนะด้วยความเอ็นดู



ตามที่มาเอะบอก แม้ว่าการเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัวนางเอง แต่ผลร้ายนั้นจะตกมาอยู่กับเหล่าจิ้งจอกที่เป็นเผ่าพันธุ์ของนาง ดังนั้นจึงจะเป็นการดีกว่าที่ตัวเธอเองจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์แทนที่จะไปเข้าร่วมสงคราม



"คือฉันสงสัยอยู่อย่างหนึ่งน่ะคะ พวกท่านแยกกันยังไงหรือคะว่าท่านเป็นเทพ อสูร หรือเทพอสูร" อามีร่าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย จากที่ฟังแม้จะเทพและอสูรนั้นจะแยกได้อย่างไม่ยาก แต่สำหรับตัวมาเอะหรือเบียคโกะเองนั้นก็ไม่รู้ว่าใช้อะไรในการแบ่งแยกว่าเป็นกลุ่มไหน



"ความจริงเรื่องนั้นมันไม่ได้แบ่งแยกกันชัดเจนหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาแล้วจะต้องเลือกฝั่งไหนฝั่งหนึ่ง อย่างข้าเองที่เป็นเป็นเทพอสูรแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็สามารถเข้าร่วมกองทัพเทพหรือกองทัพอสูรก็ได้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับความต้องการของเทพอสูรแต่ละตนมากกว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก" มาเอะกล่าวตอบ



จากนั้นสาวงามก็เล่าให้ฟังถึงเหล่าเทพอสูรที่ตนเองเคยพบมา หลายชื่อนั้นพวกเจนนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง เช่นเทพวานรอย่างหนุมานหรือฉีเทียนต้าเซิ่น ซุนหงอคง หรือจะเป็นเทพทางตะวันตกอย่างทอร์หรือเฮอคิวลิสก็อยู่ในเกมนี้เช่นกัน จนในที่สุดจากมาเอะที่เป็นคนเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง กลับกลายเป็นว่าต้องมาคอยตอบคำถามของพวกเจนที่เอ่ยชื่อของเทพในตำนานที่ตนรู้จักว่าอยู่ในเกมนี้หรือไม่ แต่ตัวจิ้งจอกเก้าหางนั้นก็ตอบคำถามของพวกเจนให้อย่างไม่ขัดข้องใจแต่อย่างใด



นอกจากชื่อของเทพอสูรที่คุ้นหูของพวกเจนแล้ว ในเกมนี้ยังมีเทพอสูรที่พวกเธอไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนอยู่อีกจำนวนไม่น้อย บางตนนั้นยูสตาร์ที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มยังพอรู้จักบ้าง ในขณะที่พวกที่เหลือนั้นไม่เคยแม้แต่ผ่านหู บางชื่อก็ทำเอาพวกเจนรู้สงสัยว่าเป็นเทพในศาสนาหรือในแถบประเทศไหนกันแน่เพราะเป็นชื่อในภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย



เมื่อได้ฟังเรืองราวเหล่านี้ก็พลอยทำให้เจนย้อนนึกถึงเซอร์โนบอทที่เคยพบ แม้ไม่รู้ว่าเซอร์โนบอทเป็นเทพหรืออสูรแต่ว่ามอนสเตอร์ที่มีพลังเทียบเท่ากับยามาตะ โนะ โอโรจินั้นย่อมไม่ใช่ธรรมดาแน่ แต่พอจะคิดถามเรื่องนี้กับเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางก็มีเสียงคำรามฟังคุ้นหูดังขึ้นภายในหัวของเจนซะก่อน



"อย่าไปลำบากถามสิ่งที่ยัยจิ้งจอกเก้าหางนั่นไม่รู้เลยจะดีกว่า ดาร์กก๊อดอย่างมันมีเทพอสูรน้อยตนนักที่จะรู้จัก"



"ดาร์กก๊อด!? มันคืออะไรงั้นหรือ" เจนถามขึ้นอย่างสงสัย



พญาอสรพิษพ่นลมหายใจออกมาเป็นคำตอบแล้วเงียบเสียงไป เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวที่รู้คำตอบไม่ยอมพูด เจนจึงได้เก็บคำถามนั้นเอาไว้ในใจและคิดจะเอาไปถามเทพอสูรที่รู้คำตอบหรือไปกล่อมเอาจากยามาตะ โนะ โอโรจิภายหลัง



"จริงสิ ลูกลองคืนร่างเดิมให้แม่ดูหน่อยได้มั้ย แม่อยากจะรู้จริง ๆ ว่าการได้เดินทางไปกับนักผจญภัยทำให้ลูกโตขึ้นมากแค่ไหนแล้ว" มาเอะเอ่ยพร้อมกันหันมามองคิทซึเนะ จิ้งจอกสาวได้ยินดังนั้นจึงรับคำและเดินออกไปจากถ้ำพร้อมกับมารดาของตน



พวกเจนมองหน้ากันด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะต้องรีบตามจิ้งจอกในร่างสาวงามทั้งสองไป เมื่ออกมาอยู่นอกถ้ำก็พบว่าตอนนี้มาเอะนั้นกลับคืนสู่ร่างจิ้งจอกเก้าหางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคิทซึเนะนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลนัก



นั้นเอง ร่างของสาวงามก็เปล่งแสงขึ้นก่อนจะค่อย ๆ กลายสภาพเป็นจิ้งจอกร่างใหญ่เกือบเท่ากับมารดาของเธอ ขนสีขาวเป็นประกายฟูฟ่องน่าสัมผัส ดวงตาที่เจนคุ้นเคยในตอนนี้อยู่บนใบหน้าของจิ้งจอกที่แทบจะมีลักษณะเหมือนกับมาเอะทุกประการ ขาดก็เพียงสีของขนบนตัวและจำนวนหางเท่านั้นเอง



"ว้าว! นี่ลูกมีถึงสามหางแล้วหรือเนี่ย เพียงแค่ไม่กี่เดือนทำให้ลูกเก่งกาจขึ้นมากถึงขนาดนี้ นับว่าแม่คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ฝากฝังให้ลูกอยู่กับเจน" จิ้งจอกเก้าหางชื่นชมขณะที่สังเกตร่างของบุตรีของตนที่เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม



พวกเจนเองก็ต่างทึ่งกับร่างจริงของคิทซึเนะที่มีความสูงเกือบสามเมตร สามทั้งสามที่มีความกว่าไม่ต่ำกว่าสี่เมตรนั้นก็ดูน่าเกรงขามไม่แพ้กับขางของแม่ของเธอเลย แต่ทว่าสำหรับพวกเจนแล้วกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ได้รู้สึกกลัวแล้วยังวิ่งเข้าไปกอดหางของจิ้งจอกสาวด้วยซ้ำไป



"ว้าว! ขนนุ้มน่ม!" ซินจูกอดหางของคิทซึเนะเต็มแรง สัมผัสของขนที่หางนั้นราวกับเธอกอดหมอนข้างที่นุ่มราวกับปุยนุ่นจนยากที่จะปล่อยมือ



"เห นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าร่างจริงของคิทซึเนะจะเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่ขนาดนี้ ตัวเกือบจะเท่าท่านมาเอะแล้วนะเนี่ย" ไมโกะว่า



"ถึงตัวจะใหญ่เกือบจะเท่าท่านแม่แต่พลังยังห่างชั้นเป็นสิบเท่า อย่างหนูยังไม่สมควรจะไปเทียบชั้นเดียวกับท่านแม่หรอกค่ะ" จิ้งจอกสาวกล่าวตอบ ใบหูของเธอลู่ต่ำลงแสดงให้เห็นว่าเธอรู้สึกน้อยใจตัวเองที่ยังมีพลังไม่มากพอ แต่ความจริงในสายตาของพวกเจนนั้นไม่ได้คิดว่าพลังของคิทซึเนะนั้นต่ำไปเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าให้เทียบในฐานะจอมเวทย์แล้วตัวจิ้งจอกสาวนั้นเทียบได้ว่าเป็นจอมเวทไฟระดับสูงเลยทีเดียว แม้ว่าตัวเธอจะไม่ได้เป็นจอมเวทก็ตาม



"ร่างจริงของคิทซึเนะตัวโตขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย ทั้ง ๆ ที่ไม่นานมานี้ยังตัวเล็กขนาดที่ฉันเอาใส่ในเสื้อได้อยู่เลยนะ" เจนรำพึงรำพันถึงช่วงเวลาที่คิทซึเนะยังคงเป็นลูกจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ น่าฟัดน่ากอด "หื้ม คิดถึงจังเลยน้า"



ดูเหมือนว่าคำพูดของเจนจะจี้ใจของคิทซึเนะอยู่มากทีเดียว เพราะเมื่อเธอได้ยินคำพูดของพี่สาวตัวเองเข้า ร่างจิ้งจอกสามหางก็พลันกลับมาเป็นเด็กสาววัยรุ่นดังเดิมแล้วพุ่งเข้ามาหาเจนอย่างรวดเร็ว "พี่เจนอ่า เพราะว่าคิทซึเนะไม่ได้ตัวเล็กน่ารักเหมือนเมื่อก่อน พี่เจนก็เลยเบื่อหนูแล้วงั้นหรือ!"



"พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นซักหน่อย ตอนนี้คิทซึเนะเองก็ดูน่ารักเหมือนกันนั่นล่ะนะ" เจนยิ้มแห้งพลางพยายามปลอบใจจิ้งจอกสาว เธอพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดาของจิ้งจอกสาวตนนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของมาเอะก็รู้ทันทีว่าคงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเธอแน่



"พี่คิทซึเนะคืนร่างเดิมแล้ว คราวนี้ตาหนูมั่งล่ะนะ" ฟีบีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง และที่เจนจะเอ่ยอนุญาต ร่างของเด็กสาวพลันกลายสภาพกลับคืนสู่ร่างเดิมที่ทำเอาพวกเจนตื่นตกใจกันเป็นแถว



มังกรน้อยในตอนนี้ที่คงจะใช้คำว่าน้อยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะร่างมังกรของฟีบีนั้นเป็นมังกรคอยาวสี่ขาแบบยุโรปที่มีความสูงกว่าห้าเมตรพร้อมกับความยาวไม่ต่ำกว่าแปดเมตรจากที่วัดด้วยสายตา เกล็ดสีฟ้าอ่อนดูงดงามแต่ก็มีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน หัวมังกรมีเขาคู่หนึ่งสีขาวงามประดับอยู่นั้นเปล่งแสงอ่อน ๆ ที่ดูแว่บเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่แต่ของประดับธรรมดา ปีกขนาดใหญ่นั้นก็กินพื้นที่บริเวณด้านหน้าถ้ำไปจนเกือบหมด ทำเอาเจนที่เพิ่งเห็นร่างมังกรโตเต็มวัยของฟีบีเป็นครั้งแรกถึงกับพูดไม่ออก



"มังกรฟ้า มองดูกี่ครั้งก็น่าประทับใจจริง ๆ " มาเอะกล่าวชมโดยฟีบีส่งเสียงร้องตอบรับคำ ในขณะที่มนุษย์ทั้งเก้าคนยังพูดอะไรไม่ออก



"โจ...ฉันว่าฉันพอรู้แล้วล่ะ สาเหตุที่ฟีบีฟาดของกินได้เยอะกว่าพวกเราสามคนรวมกันน่ะ" แจ็คพูดขึ้นหลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ส่วนทางจอมเวทหนุ่มนั้นยังคงอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง ขณะที่หนูส่งข่าวนั้นก็รีบจดอะไรบางอย่างลงบนกระดาษเป็นไฟแลบ



"ทั้ง ๆ ที่ร่างจริงตัวโตตั้งขนาดนี้ แต่ทำไมร่างมนุษย์ของฟีบีถึงเป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวอยู่ล่ะคะ" อามีร่าถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะว่าในร่างมนุษย์นั้นฟีบีตัวเตี้ยกว่าเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



"เดี๋ยวก่อนนะ ถ้านี่เป็นร่างเด็กของมังกร ถ้าอย่างนั้นตอนที่ฟีบีโตเต็มที่แล้วก็คงจะตัวใหญ่มากกว่านี้อีกล่ะสิเนี่ย!" ยูสตาร์พูดเสียงดัง และการคาดเดาของเขาก็ถูกรับรองด้วยมาเอะที่พยักหน้าขึ้งลงอย่างช้า ๆ



จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็ยังมีมังกรอีกตัวหนึ่งนี่นา ปล่อยมันออกมาภายนอกดูบ้างสิ....แต่ให้ออกมาไกล ๆ จากตรงนี้หน่อยนะ เอาเป็นซักตรงทุ่งหญ้าฝั่งโน้นเลย" จิ้งจอกเก้าหางหันไปพูดกับโจพร้อมกับใช้หางชี้ไปยังทุ่งหน้าที่อยู่ไกลจากถ้ำอยู่พอสมควร



เมื่อจอมเวทหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เดินไปยังตำแหน่งที่มาเอะบอกพลางนึกสงสัยว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเขามีมังกรเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในสร้อยคอ แต่อีกฝ่ายเป็นถึงมอนสเตอร์ยศเทพเจ้า เรื่องแค่นี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ



เมื่อมาถึงทุ่งหญ้า โจก็ทำการปล่อยโอร็อคให้ออกมาสู่ภายนอก แต่การปรากฏตัวของมังกรหินตัวนี้นั้นทำเอาทั้งหุบเขาจิ้งจอกแตกตื่นไปทั่วเพราะขนาดอันมโหฬารของมันที่ถึงกับกินพื้นที่ไปเกือบครึ่ง แค่หัวของโอร็อคนั้นก็มีขนาดใหญ่กว่าถ้ำของมาเอะแล้ว แม้พวกเจนจะเคยเห็นมังกรหินตัวนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ยังคงอดทึ่งไม่ได้ซักที คงต้องยกเว้นอามีร่าเอาไว้คนหนึ่งเพราะตอนนี้เจ้าตัวออกอาการตกใจมากกว่าใครเพื่อน



"ว่าไงเพื่อนยาก ไม่ได้ปล่อยออกมาตั้งนานเป็นยังไงบ้าง" โจที่อยู่บนหัวของโอร็อคเอ่ยขึ้นขณะที่เจ้าตัวเพียงแค่อ้าปากกว้างหาวไปเฮือกใหญ่ ตอนนี้เจ้ามังกรหินขี้เซาตัวนี่อยู่ทุ่งหญ้าแต่เพียงแค่ยืดหัวมาก็มาถึงจุดที่พวกเจนอยู่แล้ว



"มังกรหินตัวใหญ่สมคำร่ำลือจริง ๆ แต่ก็นะ เจ้าตัวนี้ก็ยังสามารถโตได้กว่านี้อีกเยอะ" มาเอะกล่าว ทำเอาพวกเจนแทบหันไปมองอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่จิ้งจอกเก้าหางบอกมา



"เจ้านี่ยังตัวใหญ่ได้อีกหรอเนี่ย! ถ้าตัวใหญ่สุด ๆ นี่มันจะขนาดเท่าไหร่กันครับ" แจ็คถามด้วยความตกใจปนสงสัยใคร่รู้



"อืม...เท่าที่ข้าเคยพบก็น่าจะใหญ่กว่าหุบเขาแห่งนี้นิดหน่อยล่ะมั้ง แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าตัวนั้นเป็นตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแล้วหรือยัง"



เจนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เธอได้ยินเลย ถ้าหากมีมังกรที่ขนาดใหญ่เท่าภูเขาจริงล่ะก็ แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะต้องใช้คนมากแค่ไหนที่จะปราบเจ้าตัวนั้นลง เพราะเท่าที่เคยได้ยินมา เพียงแค่ปราบไวเวิร์นที่อยู่ในวัยโตเต็มที่ก็ต้องใช้ผู้เล่นยศขุนนางปลาย ๆ หลายสิบคนแล้ว



ฟีบีเมื่อเห็นว่ามีเผ่าพันเดียวกันปรากฏตัวขึ้นก็รีบบินเข้าไปหาทันที ขนาดของเธอแม้จะใหญ่โตแต่ก็ดูตัวเล็กไปทันทีเมื่อเทียบกับขนาดของโอร็อค



เสียงร้องเบา ๆ ของมังกรฟ้าดังตอบโต้กับเสียงคำรามต่ำของมังกรหิน การสื่อการภาษามังกรที่หาได้ยากยิ่งและดูมีมนต์ขลัง เพราะไม่เหมือนกับสัตว์อสูรทั่วไป ภาษาของมังกรนั้นเต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่อัดแน่นอยู่ในรูปแบบของเสียง เพียงแค่เสียงคำรามของมังกรก็สามารถฆ่ามอนสเตอร์ระดับต่ำหรือระดับกลางได้แล้ว ดังนั้นการโจมตีของมังกรอย่างเช่นดราก้อนบรีธนั้นจึงทรงอานุภาพมากกว่าเวทมนตร์ที่มนุษย์และมอนสเตอร์ทั่วไปใช้มากนัก



ไม่นานนักการพูดคุยภาษามังกรก็จบลง ฟีบีบินกลับลงมาเจนแล้วจึงคืนร่างเดิมก่อนจะเดินเข้ามาจับมือด้วย



"พวกเธอคุยอะไรกันงั้นหรือ" เจนถาม



"โอร็อคบอกว่าพี่หนวดไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่มันเลย หลังจากที่เจอกันคราวที่แล้วก็ไม่เคยปล่อยออกมาข้างนอกอีก ต้องนอนรออยู่ในผลึกแคบ ๆ แถมได้กินแค่อาหารเม็ดจืดชืดแถมยังไม่เคยอิ่มอีกต่างหาก" มังกรน้อยว่าแล้วหันไปหาโจที่นั่งอยู่บนหัวโอร็อค "พี่หนวดเป็นเจ้านายที่แย่สุด ๆ เลย"







ในระหว่างที่โจพยายามแก้ตัวกับฟีบีที่ออกตัวเป็นห่วงเป็นใยมังกรหินว่าที่ดูแลโอร็อคไม่ดีเพราะตัวของมังกรหินเองนั้นใหญ่เกินไป เจนก็ถูกมาเอะในร่างสาวงามเรียกหาพร้อมกับแจ็ค เสือซ่อนลาย ไมโกะและอามีร่าให้เข้ามาคุยด้วย



"ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาคุยด้วยเพราะมีเรื่องอยากจะรอร้อง" มาเอะพูดขึ้น



"เรื่องการประลองกับเบียคโกะสินะคะ" ไมโกะว่า สาวงามพยักหน้าตอบและจึงพูดต่อ



"การต่อสู้ในครั้งนี้แม้ต่างฝ่ายจะใช้ตัวแทน แต่ข้าก็พอจะเดาว่าทางนั้นคงจะต้องใช้ให้ราชาพยัคฆ์ดำอาราชิที่อยู่ในอาณาเขตใกล้ ๆ นี้มาสู้แน่ ซึ่งจากที่ข้าประเมินดูแล้วแม้ว่าคิทซึเนะจะเก่งขึ้นมากแต่ก็ยังคงไม่อาจจะต่อกรกับราชาพยัคฆ์ดำผู้นี้ได้ ข้าจึงจำต้องส่งตัวแทนเป็นผู้อื่นในการประลองนี้แทน"



จิ้งจอกสาวที่ได้ยินมารดานองตนกล่าวขึ้นมาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจและพูดแย้งขึ้นมา "เดี๋ยวสิคะท่านแม่ ให้หนูเป็นตัวแทนของท่านแม้ของเถอะค่ะ ถึงแม้จะมีพลังเทียบกับท่านแม่ไม่ได้ แต่หนูก็ไม่คิดจะพ่ายแพ้ให้กับตัวแทนของฝ่ายตรงข้ามแน่"



"แม่รู้รับรู้ถึงความตั้งใจของลูกดี และลูกก็เป็นจิ้งจอกที่เก่งที่สุดในหุบเขานี้แล้ว แต่เป็นเพราะลูกยังมีพลังไม่พอที่จะโค่นราชาพยัคฆ์ตนนี้ได้ การต่อสู้นี้มีเดิมพันธ์ที่สูงค่ามากนัก เข้าใจแม่เถอะนะ" มาเอะพยายามอธิบายให้คิทซึเนะเข้าใจถึงเหตุผลของตน แม้ว่าจิ้งจอกสาวจะยังไม่พอใจแต่ก็จำต้องพยักหน้ารับ



"แล้วจะให้พวกเราทำอะไรงั้นหรือคะ" อามีร่าถาม



"ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยฝึกฝีมือให้กับตัวแทนของข้าให้พร้อมสู้กับอาราชิ แม้จะมีเวลาเพียงแค่วันเดียว แต่ข้าก็อยากจะให้มีประสบการณ์การต่อสู้ระยะประชิดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้"



"ถ้าหากคิทซึเนะไม่ได้สู้แล้วใครจะเป็นตัวแทนของท่านมาเอะงั้นหรือคะ" เจนถามพลางหันไปมองดูจิ้งจอกองครักษ์ที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียง มีหลายตัวที่ดูท่าทางเก่งกาจไม่น้อยแต่ทุกตัวก็ยังคงดูท่าทางไม่เก่งกาจเท่าคิทซึเนะอยู่ดี ทำให้เจนอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามาเอะจะเอาจิ้งจอกตัวไหนที่เก่งพอจะมาสู้กับพยัคฆ์ดำตนนี้



"ความจริงข้าคิดว่าจะให้เจ้าเป็นตัวแทนของข้านะ เจน"



“เอ๋!! ให้ฉัน.. ต..แต่ว่าฉันเป็นมนุษย์นะคะ จะเป็นตัวแทนของเผ่าจิ้งจอกได้ยังไง..-" เจนรีบปฏิเสธทันที นึกไม่ถึงว่าขนาดเธอไม่ได้คิดจะหาเรื่องแต่กลับมีเรื่องวิ่งเข้ามาหาเธอเข้าจนได้ แต่หารู้ไม่ว่าที่หนึ่งในสาเหตุเกิดเรื่องแบบนี้กับเธอก็คือทักษะของอาชีพผู้กล้านั่นเอง ส่วนอีกสาเหตุนั่นก็คือดวงของเจนล้วน ๆ ที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่



"ถึงเจนจะไม่ใช่จิ้งจอก แต่เจ้าได้พลังสถิตร่างมาจากข้า ดังนั้นจึงถือว่าเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของข้าได้เหมือนกับว่าเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเช่นเดียวกัน" สาวงามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ ถึงอาราชิจะเป็นราชาของพยัคฆ์ดำจะมีความสามารถในการต่อสู้และพละกำลังเหนือกว่า แต่ความเร็วในร่างพลังสถิตของข้านั้นรับรองว่าไม่เป็นรองใครแน่ และนั่นจะเป็นวิธีที่จะเอาชนะอาราชิได้"



ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากทักท้วง มาเอะก็สรุปรวบรัดตัดความและดึงพรรคพวกของเจนทั้งสี่ไปคุยด้านในหุบเขา ปล่อยให้ผู้กล้าในชุดขาวมองตามด้วยความหนักใจ ครั้งล่าสุดที่เธอสู้กับมอนสเตอร์ระดับราชานั้นแม้จะได้รับชัยชนะก็ตาม แต่นั่นเป็นเพราะว่าพลังสถิตร่างของยามาตะ โนะ โอโรจิที่ส่งเข้ามาให้ใช้โดยตรงทำให้ทรงพลังกว่าพลังสถิตร่างปกติมาก แต่ว่าต่อให้ใช้พลังที่อยู่ในร่างของเจนในตอนนี้ก็ยังถือว่าพลังสถิตร่างของยามาตะ โนะ โอโรจิมีความแข็งแกร่งกว่าพลังสถิตร่างเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางอยู่ดี



หลังจากนั้นไม่นานพวกแจ็คก็กลับมาพร้อมกับมาเอะที่ยังคงยิ้มชวนฝันอยู่เช่นเดิม แต่เจนรู้ว่ารอยยิ้มแบบนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ และกว่าเธอจะรู้ได้ว่าเป็นอะไรนั้นมันก็คงจะสายเกินที่จะเลี่ยงซะแล้ว



แต่ผิดจากที่เจนคาดเอาไว้เพราะมาเอะนั้นยืนอยู่ด้านหน้าถ้ำของเธอขณะที่พวกแจ็คเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่แอบไม่มิดกันทุกคนไม่เว้นกระทั่งอามีร่า...และนั่นก็หมายความว่ามันคงไม่ดีกับเธอแน่



"อะไร ท่านมาเอะคุยอะไรกับพวกนายกันหรอ" เจนรีบชิงถามก่อนเมื่อทั้งสี่เดินมาถึง



"เอ่อ...จะพูดยังไงดีล่ะ" แจ็คพูดเสียงคางยาน "คือท่านมาเอะอยากจะให้พวกเราฝึกสู้กับเธอในระยะประชิดเพื่อเตรียมพร้อมสู้ในวันพรุ่งนี้น่ะ"



เจนถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ แม้ไม่อยากแต่ก็คงต้องทำตามที่เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางต้องการ สรุปเป็นอันตกลงไปที่เรียบร้อยแล้วว่าเธอต้องสู้กับตัวแทนของเบียคโกะไปโดยบริยาย



"โอเค เข้าใจแล้ว" เจนตอบด้วยเสียงเนือยยาง แต่เมื่อมองดูหน้าของแจ็คและอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังยังคงมีสีหน้าแปลก ๆ เหมือนกับยังคงมีอะไรบางอย่างอยู่อีก "ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ มีอะไรอีกงั้นหรือ"



"คือก็ไม่มีอะไรหรอก.. แค่การฝึกนี้ท่านมาเอะบอกว่าให้พวกเราสี่คนเข้าสู้กับเธอพร้อมกันเลย และห้ามเธอใช้พลังสถิตร่างด้วยก็แค่นั้นเอง" แจ็คตอบด้วยเสียงเนิบ ๆ แต่ทำให้เจนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



"หา! ว่าไงนะ!" ไม่ทันที่เจนจะได้พูดต่อก็ถูกเพื่อนตัวใหญ่ลากตัวออกไปโดยที่ขัดขืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย



เจนถูกพามายังลานหินแห่งหนึ่งภายในหุบเขา พื้นที่โดยรอบนั้นมีจิ้งจอกอยู่เป็นจำนวนมากที่กำลังมองดูพวกเจนด้วยความสงสัยว่ากำลังจะทำอะไรกัน ส่วนตัวเจนเองนั้นก็เตรียมอาวุธให้พร้อมสู้กับพวกแจ็คที่กำลังชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมเช่นกัน



"เรามาทวนกฎกันอีกทีนะ หนึ่งคือห้ามเจนใช้ทักษะพลังสถิตร่างแต่ฉันขอเสริมทักษะผ่ามิติด้วยก็แล้วกัน สองก็คือพยายามอย่าพลั้งลงมือถึงตายโดยเฉพาะอย่าฆ่าเจนเชียวล่ะ และสามก็คือคนที่โจมตีใสเจนได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ" ไมโกะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นพิเศษ เธอควงดาบคาตะนะสีม่วงในมือไปมาอย่างช่ำชองก่อนจะชี้ไปที่ผู้กล้าในชุดขาวที่อ้าปากค้างกับกฎที่เพิ่งคิดกันสด ๆ ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าแฟร์เลย



"เดี๋ยวสิ! พวกเธอรุมฉันแถมยังตั้งกฎกันเองอีก แบบนี้ฉันจะไปชนะได้ยังไงกัน" หญิงสาวประท้วง



ไมโกะยิ้มที่มุมปากก่อนและตอบคำที่ฟังดูเป็นการท้าทาย "นี่เธอยังคิดอยู่อีกหรือว่าจะเอาชนะพวกเราสี่คนได้ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าหากผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วเธอยังไม่ลงไปนอนกองกับพื้นก็ถือว่าเธอเป็นฝ่ายชนะก็แล้วกัน"



เมื่อพูดจบไมโกะก็พยักหน้าไปให้กับอีกสามคนที่เริ่มจลกระจายกลุ่มกันและก้าวเข้ามาใกล้เจนอย่างช้า ๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



การต่อสู้ในครั้งนี้แม้จะรู้ว่าเป็นแค่การฝึก แต่ดูจากสีหน้าของทั้งสามคนแล้วคงไม่ใช่แค่นั้นแน่ เสือซ่อนลายรับหน้าที่เข้าประทะเป็นคนแรก โล่อันใหญ่ยกขึ้นกันขณะร่างในชุดเกราะสีเงินวิ่งเข้าใส่ ถ้าหากปกติเจนก็จะใช้ผ่ามิติโจมตีสวนกลับไปก่อนจะเข้าลุย แต่ตอนนี้เธอทำไม่ได้เพราะกฎที่ไมโกะตั้งขึ้นมาห้ามเอาไว้ ทำให้เธอจำต้องวิ่งสวนเข้าปะทะกับเสือซ่อนลายตรง ๆ



เคร้ง!



ดาบคุซานางิฟาดเข้าใส่โล่ของชายหนุ่มเต็มแรง ร่างสูงที่คิดจะฟาดดาบสวนกลับไปถึงกับชะงักเพราะพลังโจมตีของหญิงสาวตรงหน้านั้นรุนแรงกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก ขนาดไม่ได้ใช้พลังสถิตร่างเจนเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่มีฝีมือดีพอตัว เพราะการโจมตีที่รุนแรงและเฉียบคมในทุกครั้งที่ฟาดดาบและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้ไม่ใช่ว่าคนที่มาเล่นเกมนี้ทุกคนจะทำได้ แน่นอนว่าทำไม่ได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนภายในเกม



เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองไม่ได้ผล เจนก็ถอนดาบออกแล้วกระโดดหลบไปด้านข้างหวังที่จะหาช่องโจมตี แต่เสือซ่อนลายนั้นก็ไม่ใช่จะไร้ฝีมือ ทันทีที่เจนเคลื่อนตัวเขาก็เคลื่อนที่ดาบอย่างรวดเร็วโดยที่มือซ้ายยังคงชูโล่เอาไว้ตรงหน้าทำให้เจนไม่สามารถหาช่องว่างได้เลยแม้แต่น้อย



"อย่าดูถูกอัศวินเชียวนะเจน ถือจริงอยู่ที่พลังโจมตีจะต่ำแต่เรื่องการป้องกันนี่รับรองว่าฉันเหนือกว่าเธอแน่" ว่าแล้วเสือซ่อนลายก็พุ่งเข้าปะทะด้วยโล่ของตน เจนรีบกระโดดถอยออกมาทันทีแต่เพราะเสียจังหวะจึงทำให้ถอยออกมาได้ไม่ไกลนักและนั่นก็เป็นสิ่งที่อัศวินหนุ่มกำลังรออยู่แล้ว



ดาบยาวที่ดูคุ้นตาแทงเข้าใส่ใบหน้าของเจนโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวถึงกับใจหายวูบเมื่อมองดูดาบกำลังพุ่งเข้ามา ตอนนั้นเองที่มือบางยกดาบขึ้นมาโดยสัญชาติญาณแต่ก็ช้าเกินไป ดาบสองเล่มเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟทำให้เป้าหมายของดาบอสูรคลั่งพลาดเป้าทว่ามันก็ยังคงฝากรอยแผลเอาไว้บนใบหน้าของหญิงสาวที่รีบกระโดดถอยออกมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว



ผู้กล้าในชุดขาวใช้มือปาดเลือดที่ไหลอาบนองแกมออกแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองคู่ต่อสู้ตรงหน้าที่เริ่มทำให้เลือดในตัวของเธอเริ่มเดือดขึ้นมาแล้ว "โห... ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าพี่เสือเองก็บู้เก่งขนาดนี้ ปกติเห็นเป็นแต่ตัวชนตลอดเลย"



"ก็ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะมาเป็นตัวชนเล่า แต่เธออย่าเพิ่งชะล่าล่ะ เพราะตอนนี้ฉันยังไม่ได้เอาจริงเลยนะ" เสือซ่อนลายว่าแล้วชี้ดาบทางทางเจนเป็นการท้าทายให้บุกเข้ามา



ผู้กล้าในชุดขาวแสยะยิ้มออกมาด้วยความชอบใจและเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เธอจำได้ว่าเสือซ่อนลายยังมีอีกอาชีพหนึ่งอีกนั่นก็คือนักรบคลั่งซึ่งเขายังไม่ได้ใช้ทักษะของอาชีพนี้เลย เจนยกดาบขึ้นเตรียมพร้อมสู้โดยคลรับรองว่าเธอไม่ประมาทฝีมือของชายตรงหน้าอีกแน่



ทว่าก่อนที่จะได้เข้าสู้ เจนก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาดื้อ ๆ พร้อมทั้งเสียงราบเรียบกระซิบอยู่ข้างหูที่ทำให้เธอถึงกับรู้สึกเย็นยะเยือก "อย่าลืมสิว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งนะ"



ไวเท่ากับความคิด เจนรีบกระโดดหนีออกมาจากจุดเดิมอย่างเร็วที่สุดที่เธอจะทำได้ เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าในจุดที่เธอเคยอยู่นั้นเป็นไมโกะที่ปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในมือทั้งสองข้างของเธอนั้นมีดาบคาตะนะอยู่โดยที่ดาบเล่มหนึ่งนั้นมีเลือดสีแดงสดเกาะอยู่ที่ใบดาบอยู่น่าสยดสยอง ตอนนั้นเองที่เจนรู้สึกเจ็บที่แขนข้างซ้ายของเธอ เมื่อหันไปดูก็พบว่าแขนของเธอนั้นถูกฟันเป็นทางยาวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เลือดซึมออกมาจนเสื้อคลุมที่ขาดรุ่ยถูกย้อมเป็นสีแดงสด



'มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย!?' หญิงสาวคิดขณะที่กำลังถอดชุดคลุมทิ้งไป แม้ว่าเจนจะเคยเห็นไมโกะสู้มาไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยที่จะตามการโจมตีของเธอได้ทันเลย ในตอนที่สู้กับมอนสเตอร์ไมโกะมักจะสังหารในดาบเดียวโดยส่วนมากมักจะใช้วิธีลอบฆ่าซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีหลายครั้งที่การลอบโจมตีพลาดทำให้ต้องเข้าปะทะโดยตรงซึ่งเธอก็สามารถจัดการกับมอสเตอร์ได้อย่างไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย



ฝีมือดาบของนักฆ่าสาวนั้นเป็นสิ่งที่เจนต้องระวังเอาไว้แต่ทักษะลอบสังหารของเธอนั้นอันตรายยิ่งกว่า เจนไม่มีทางที่จะรับมือการโจมตีของไมโกะได้เลยนอกจากจะลงมือไปเรียบร้อยแล้ว



หลังจากเจนฉีกแขนเสื้อทิ้งไปอีกอย่างตามชุดคลุมไป นักฆ่าสาวก็ไม่มีท่าทีจะขยับออกจากที่เดิมเลย ใบหน้าของเธอนั้นมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่และเจนก็รู้ทันทีว่าทำไม



เคร้ง!!



ผู้กล้ายกดาบขึ้นกันดาบยามคมกริบที่โจมตีเข้าใส่จากด้านหลัง โดยผู้ที่โจมตีนั้นไม่ใช่ใครอื่นอีกนอกจากอามีร่านั่นเอง



"ฝีมือยังไม่ตกไปเลยนะคะ" หญิงสาวพูดก่อนจะถอนดาบออกแล้วฟันลงมาอีกครั้งโดยที่ไม่ปล่อยโอกาสให้เจนได้ตั้งตัว ทำให้ตอนนี้เจนต้องเป็นฝ่ายตั้งรับโดยไม่มีโอกาสโต้กลับได้เลย



การโจมตีของอามีร่านั้นแม้จะไม่รุนแรงเท่ากับการโจมตีของไมโกะ แต่ความเร็วของเธอนั้นเหนือกว่ามากและยังหลากหลายรูปแบบยิ่งกว่า เจนที่ตอนนี้ทำได้แค่ยกดาบขึ้นมากันการโจมตีเท่าที่ทำได้แต่ก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีได้หมดจนตอนนี้ทั้งแขนและลำตัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลขนาดเล็กเต็มไปหมด ถ้าหากเจนไม่คิดหาทางโจมตีกลับไปบ้างล่ะก็คงจะต้องแพ้โดยที่ยังไม่ได้สู้กับคู่ต่อสู้ที่เหลือแน่



เคร้ง!



เสียงดาบฟาดเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงเจนมือของเจนชาไปหมดแต่ก็ทำให้อามีร่าเป็นฝ่ายถอยกลับไปได้ ทว่าถึงเจนจะเป็นฝ่ายโต้แต่สภาพของทั้งสองคนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งหนึ่งนั้นไม่มีบาดแผลให้เห็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ส่วนอีกคนนั้นมีสภาพโทรมไปด้วยเลือดทั้งตัว แถบยังเหนื่อยหอบจนต้องใช้ดาบค้ำยันเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกับพื้น



ถึงแม้เจนจะถูกรุมและลอบโจมตีแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสามคนนั้นมีฝีมือไม่ธรรมดา ทั้งการป้องกัน ความสามารถในการลอบโจมตี ความเร็วและทักษะการต่อสู้นั้นเหนือกว่าเธอมากโดยแต่ละคนก็มีจุดเด่นของตัวเองที่เจนเทียบไม่ติดจนสามารถไล่ต้อนเธอได้ถึงขนาดนี้ ทำให้เจนเห็นว่าถ้าหาเธอขาดพลังสถิตร่างและทักษะที่ได้มาโดยโชคช่วยไปละก็เธอก็คงไม่ต่างอะไรไปจากผู้เล่นธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้นเอง



"เฮ้ ยังเหลือฉันอีกคนหนึ่งนะเจน อย่าเพิ่งลืมกันสิ" เสียงของแจ็คดังขึ้นมาด้านหลังของเจน เมื่อหันไปดูก็พบว่าชายหนุ่มร่างสูงที่ตอนนี้ถอดชุดคลุมสีเขียวออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ส่วนใสมือนั้นก็มีสนับมือสีเงินที่เจนไม่เคยเห็นมาก่อนสวมอยู่



"แฮ่ก..ดะ...เดียวก่อนนะ ในมือของนายนั่นมันอะไรน่ะ" เจนถามโดยพยายามจะถ่วงเวลาให้ตัวเองได้พักให้มากที่สุด



ทางแจ็คเองก็รู้จุดประสงค์ของหญิงสาวดีแต่ก็ยอมเล่นตามเกมของเธอ เขายกสนับมือขึ้นมาดูแล้วจึงตอบคำ "นี่น่ะหรอ ท่านมาเอะให้มาน่ะ เธอคงไม่คิดว่าฉันจะใช้มือเปล่าสู้กับดาบหรอกใช่มั้ย"



อีกด้านหนึ่ง พวกโจที่อยู่นอกลานหินกำลังมองดูการฝึกหฤโหดของเจนอยู่ เมื่อมองเห็นแจ็คที่เป็นคู่ต่อสู้คนที่สี่ก็ทำให้หนูส่งข่าวอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เพราะอาวุธที่เขาใช้นั้นไม่ใช่ปืน แต่เป็นสนับมือที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน



"แจ็คจะไหวหรอนั่น เป็นมือปืนแต่ดันเข้าไปสู้ระยะประชิดกับนักดาบเนี่ยนะ"



"นายคงยังไม่รู้ล่ะสิว่าที่บ้านของแจ็คมันเปิดยิมฝึกมวยน่ะ" โจพูด "ถึงหมอนี่จะใจเสาะ ไม่ชอบชกต่อย ไม่ค่อยกล้าใช้กำลังซักเท่าไหร่แต่เป็นเพราะถูกที่บ้านบังคับให้ฝึกทุกวันจนตัวโตกล้ามโตขนาดนี้ แถมพ่อของหมอนี่เป็นถึงนักมวยอาชีพด้วย ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากในอนาคตแจ็คมันจะกลายเป็นแชมป์มวยซักสามหรือสี่เข็มขัด"



โห พี่แจ็คเก่งถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ แล้วแบบนี้พี่เจนจะสู้ได้มั้ยคะเนี่ย" ซินจูพูดขึ้น เธอพยายามเอาใจช่วยเจนแต่ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอถูกรุกอยู่ฝ่ายเดียว พอเธอได้เห็นแจ็คเข้าไปโดยไม่ได้ใช้ปืนเป็นอาวุธประจำตัวก็ทำให้เธอดีใจที่เจนน่าจะพอสู้ไหว แต่พอได้ยินที่โจเล่าให้ฟังทำให้ตอนนี้เธอเริ่มชักไม่มั่นใจซะแล้ว



โจได้ยินคำถามจึงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะหันไปสนใจในลานหินที่ดูท่าทางใกล้จะเริ่มต่อสู้กันแล้ว "เรื่องนั้นฉันว่าพวกเรารอดูต่อไปกันดีกว่า อีกไม่นานก็คงจะได้เห็นคำตอบแล้วล่ะ"



กลับมาที่พวกเจน แม้เธอจะถ่วงเวลาให้พักมาได้พักหนึ่ง แต่บาดแผลที่ไมโกะและอามีร่าฝากเอาไว้นั้นทำให้เธอฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมาได้ไม่มากนัก ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถเอาชนะเพื่อนของเธอคนนี้ได้หรือเปล่า เพราะถึงแม้ในโลกแห่งความจริงหมอนี่จะไม่เคยชกต่อยกลับใคร แต่ตอนที่ฝึกมวยอยู่ในโรงยิมที่บ้านนั้นราวกับว่าแจ็คกลายเป็นคนละคนเลยทีเดียว



"เธอเคยบอกว่าให้ฉันสู้กลับเธอบ้างใช่มั้ยล่ะ ความนี้แหละที่ฉันจะทำความที่เธอบอกล่ะนะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ!" พูดจบชายหนุ่มก็ยกแขนขึ้นตั้งการ์ดแล้ววิ่งเข้าหาเจนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวที่เห็นเพื่อนของเธอวิ่งเข้ามาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะดวงตาของแจ็คในตอนนี้มันเหมือนกับตอนที่เขาถูกพ่อของตัวเองฝึกมวยอยู่ไม่มีผิด



ร่างใหญ่เข้าประชิดเจนอย่างรวดเร็วแต่ยังคงไม่ออกอาวุธ ส่วนเจนนั้นเองก็ไม่กล้าโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าเอาแต่ถอยออกห่างเพราะการเคลื่อนไหวของแจ็คนั้นดูราวกับจิงโจ้ที่กระโดดอยู่ตลอดเวลาแต่ก็เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่าท่าเต้นฟุตเวิร์คที่แจ็คใช้เข้าประชิดตัวเจนทุกครั้งที่เธอถอยออกห่าง



ในที่สุดเจนก็อดทนไม่ไหวฟาดดาบเข้าใส่ร่างใหญ่ก่อน ทว่าแจ็คกลับเอี้ยวตัวหลบได้อย่างสบาย ๆ สร้างความตกตะลึงให้กับเจนและคนอื่น ๆ ที่กำลังมองการต่อสู้ของทั้งสองคนอยู่ เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้โจมตีพลาดแจ็คก็ถือโอกาสสวนหมัดเข้าใส่ทันทีแต่เจนก็หลบเอี้ยวตัวหลบได้เส้นยาแดงผ่าแปด แม้จะโจมตีพลาดแต่ก็ไม่ทำให้นักล่าเงินรางวัลที่กลายมาเป็นนักมวยหนุ่มชะงัก เขาเร่งจังหวะขึ้นและเข้าไประดมชกใส่เจนอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว



เจนที่ทำได้แต่ยกดาบขึ้นกันแงะเอี้ยวตัวหลบก็เริ่มหายใจหอบขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่เร็วเท่ากับดาบของอามีร่าแต่ละหมัดของแจ็คนั้นหนักหน่วงกว่ามาก ถ้าหากโดนเข้าซักหมัดละก็เธอเสร็จแน่ ตอนนี้ทางเดียวที่จะเอาชนะได้ก็คือโจมตีสวนกลับไปเท่านั้น



เหมือนกับว่าโชคเข้าข้างเจน เธอได้โอกาสที่แจ็คจู่ ๆ ก็ออกหมัดช้าลง ถึงจะไม่รู้สาเหตุแต่เจนก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสที่โผล่มาให้เห็นครั้งแรกในการต่อสู้ครั้งนี้ให้หลุดลอยไปแน่ ร่างบางส่องสว่างเล็กน้อยจากทักษะเสริมพลังพร้อมทั้งมือขวายกดาบขึ้นสูงก่อนจะตวัดดาบลงมาอย่างรวดเร็ว



ทันใดนั้นเองเจนก็รู้ได้ทันทีว่าโอกาสที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นกับดัก เพราะเธอเหลือบเห็นสีหน้าของแจ็คที่ยิ้มเยาะที่มุมปากแต่มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขซะแล้ว



ร่างใหญ่เคลื่อนตัวหลบดาบของเจนไปทางขวาอย่างรวดเร็วเหมือนกับคาดเดาทางการโจมตีของเธอได้ พร้อมกันนั้นเองที่แจ็คเข้าประชิดตัวพร้อมกับชกเสยปลายคางของเจนเข้าเต็มแรง



น่าแปลกที่เจนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยด้วยซ้ำ ความจริงแล้วเธอไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว เธอจำได้ลาง ๆ เพียงแค่รู้สึกเหมือนกับร่างของตัวเองลอยอยู่บนฟ้าก่อนจะมีดาวปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด ก่อนที่จนจะหมดสติไปเธอได้ยินเสียงของมาเอะที่ดังขึ้นและทำให้เธอไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย



"เอ้า ๆ แค่นี้ก็สลบไปแล้วงั้นหรือ นี่แค่เข้ามาสู้ที่ละคนเองนะ ยังไม่ได้เข้ามาสู้พร้อมกันเลย คิทซึเนะช่วยไปตักน้ำในบ่อมาปลุกเจนให้แม่หน่อยซิ พรุ่งนี้จะต้องไปสู้กับตัวแทนของเบียคโกะแล้วนะ มามัวเอาแต่นอนเสียเวลาอยู่ได้ยังไงกัน"



เจนได้แต่สงสารตัวเองและปล่อยให้สติหลุดลอยไป ขนาดแค่เข้ามาทีละคนเธอยังโดนสอยร่วงไปโดยที่สร้างบาดแผลกลับไม่ได้เลยซักคนแบบนี้ แล้วนี่เธอจะไปสู้กับทั้งสี่คนพร้อมกันได้ยังไงกันล่ะเนี่ย



จบตอนที่ 42 กฎแห่งเทพอสูร



--------------------


ตอนที่42นี้เท่ากับตอนปัจจุบันที่ลงไว้แล้วนะครับ หลังจากนี้ผมคงจะลงตามปกติหรือก็คือทุกวันอาทิตย์ถ้าหากแต่งทันนะครับ

Tohan-kun
16th February 2014, 14:12
ตอนที่ 43 พายุสีดำ

ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แต่กลับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอย่างกวางหรือเลียงผามายืนเล็ม สายลมพัดเอาเมฆดำเคลื่อนเข้ามาบนบังดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันจนไม่อาจส่งแสงผ่านลงมาพบผืนหญ้าได้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ว่าในอีกไม่นานบนทุ่งหญ้าแห่งนี้กำลังจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นจึงทำให้ผืนหญ้าแห่งนี้มีเพียงเสียวหวีดหวิวของลมปะทะเข้ากับใบหญ้าเท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของเหล่าแมลงที่อาศัยทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมัน

นั่นก็เพราะพวกมันรู้ว่าพายุกำลังจะมา...พายุแห่งความมืด

ร่างสิบเอ็ดร่างยืนอยู่ใจกลางทุ่งหญ้าราวกับว่ากำลังรอคอยใครบางคนโดยมีร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของคนที่เหลือ ทุกคนนั้นสวมชุดคล้ายกันหมดนั่นก็คือชุดคลุมสีขาวโดยมีฮูดปกปิดโฉมหน้าเอาไว้ แต่ชุดคลุมนั้นก็ไม่อาจปกปิดชุดเกราะและเสื้อคลุมนักเวทของพวกเขาที่อยู่ภายในได้

สายลมพัดแรงขึ้นจนฮูดของผู้ที่อยู่ด้านหน้าถูกเลิกออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน หน้าเรียวพร้อมกับดวงตาสีแดง ผมยาวสีดำมัดเป็นทรงหางม้าเป็นเองลักษณ์ คน ๆ นี้ก็คือเจน ผู้กล้าในชุดขาวนั่นเอง!

"ชุดใหม่เป็นยังไงบ้างคะพี่เจน ใส่สบายกว่าชุดก่อนไปหรือเปล่า" เสียงของเด็กสาวดังขึ้นข้างหลังเธอพร้อมกับมีร่างหนึ่งเลิกฮูดออกมาให้เห็นใบหน้าน่ารักของเธอ ซินจู จอมเวทขาวของกิลด์อัสนีพิสุทธิ์

เจนหันไปยิ้มให้เป็นคำตอบก่อนจะกลับมามองไปข้างหน้าเหมือนเดิม ทำให้คนอื่น ๆ ต้องหันกลับมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

ชายสองคนยกมือเลิกฮูดออกแล้วหันมาคุยกันเสียงดังอย่างไม่เกรงใจหญิงสาวที่ยืนเครียดอยู่ด้านหน้า หนึ่งในนั้นเป็นถึงหัวหน้ากิลด์อัสนีพิสุทธิ์และยังเป็นจอมเวทเทพสายฟ้า ส่วนอีกคนเป็นนักแม่นปืนร่างใหญ่ราวกับนักกีฬา โจและแจ็คผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของเจนนั่นเอง

"ยัยนั่นเป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย เงียบแบบนี้นายไปทำอะไรให้โมโหอีกหรือเปล่า" แจ็คหันมาถามเพื่อนของเขา

"เฮ้ย ไหงมากล่าวหากันแบบนี้ล่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย! ที่ทำน่ะมันนายกับพวกเสือซ่อนลายไม่ใช่หรือไงที่เล่นงานยัยเจนจนน่วมไปทั้งตัวน่ะ แถมชุดของเก่าของเจนก็ขาดไปหมดจนใส่ไม่ได้อีก ดีนะที่ซินจูช่วยรักษาทันและในคลังของท่านมาเอะมีชุดเปลี่ยนพอดี แต่ว่าชุดนี้ก็ใส่สบายดีเหมือนกันนะเนี่ย" โจว่าพร้อมกับกระชับเสื้อคลุมสีขาวที่เขาใส่ทับชุดคลุมจอมเวทของเขาที่แม้ถึงจะใส่ทับกันแต่กลับไม่รู้สึกร้อนหรืออึดอัดเลยแม้แต่นิดเดียว

"ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าหาชุดแบบนี้มาจากไหนกัน เนื้อผ้าดีขนาดนี้คงเอาข้อมูลไปขายได้ราคาดีแน่" หนูส่งข่าวว่าพร้อมกับยกมือกอดอกครุ่นคิด

"เห็นท่านแม่บอกว่าพวกจิ้งจอกลาดตระเวนเป็นคนหามาได้น่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าหามาได้จากไหนเหมือนกัน" คิทซึเนะพูดขึ้นขณะที่พยายามจัดชุดที่ขนาดใหญ่เกินตัวของฟีบีให้เข้าที่เข้าทาง

"ยังมีอีกหลายชุดเลยนะคะ ท่านมาเอะบอกว่าจะเอาชุดแบบนี้ไปเท่าไหร่ก็ได้เพราะยังไงก็ไม่มีใครสวมอยู่แล้ว" ซินจูรีบตอบด้วยความภูมใจเพราะตัวเองเป็นคนไปค้นเจอเขาและมาขอกับพญาจิ้งจอกเก้าหางให้

"อ้า! นี่พวกนายมัวมาคุยเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย ซินจูเองก็เหมือนกัน ราชาเสือตัวนั้นจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่กลับคุยกันเรื่องชุดคลุมกันอยู่ได้" ยูสตาร์ว่าทำให้เด็กสาวก้มหัวสำนึกแต่สามหนุ่มนั้นทำหน้าเหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นพลอยรู้สึกไม่พอใจและพูดบ่นไม่หยุด จนเจนที่อยู่อยู่ข้างหน้ารู้สึกรำคาญยูสตาร์ยิ่งกว่าพวกโจซะอีก

"นี่หุบปากซักทีเถอะ นายจะไปว่าซินจูกับสามคนนี้ได้ยังไงในเมื่อตอนนี้นายเองก็กำลังพูดมากเหมือนกัน" เสื่อซ่อนลายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขัดทำให้นักธนูหนุ่มเบนเป้าหมายมาเป็นเขาแทน

"นายเองก็พูดมากเหมือนกันนั่นแหละ แถมนายเองก็ใส่ชุดคลุมตัวนี้เหมือนกันด้วย อย่าคิดนะว่ากล้ามโตแล้วจะมาทำตัวข่มพวกเราได้!" ยูสตาร์พูดสวนอย่างไม่เกรงกลัว แต่ตัวของเขากลับถอยไปสมทบกับพวกโจที่หันมามองหน้าด้วยความตกใจว่าพวกเขากลายมาเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

"เฮ้ย เดี๋ยวดิ พวกเราไม่เกี่ยวนะ" โจรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเสือซ่อนลายที่ข***ตามองมาอย่างหน้ากลัว ทั้งคู่เริ่มเหงื่อตก ไม่รู้เป็นเพราะว่าเปลวเพลิงแห่งโทสะที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาของอัศวินหนุ่มหรือเปล่า

"ไม่เกี่ยวอะไรล่ะ พวกนายทั้งสามคนนั่นแหละที่เป็นตัวเริ่มเรื่องนี้เลย"

"หา! ว่ายังไงนะ! หนอย..." เหมือนเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ และแล้วเสือซ่อนลายก็เข้าร่วมสงครามน้ำลายทะเลาะกันเสียงดังโดยมีซินจูที่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดขึ้นเถียงด้วย ส่วนอามีร่าที่ยืนอยู่กันกับไมโกะก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ในขณะที่นักฆ่าสาวได้แต่พูดขึ้นมาลอย ๆ

"ไอ้เจ้าพวกผู้ชายนี่มันวุ่นวายกันจริง ๆ จะอยู่เงียบ ๆ กันซักชั่วโมงไม่ได้หรือไงนะ"

แม้บรรยากาศรอบ ๆ จะดูมืดมนชวนหดหู่มากแค่ไหน หรือว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมากเพียงไรแต่ก็ดูเหมือนเพื่อน ๆ ของเธอนั้นก็สามารถทำให้บรรยากาศเช่นนี้ผ่อนคลายลงได้แม้ว่าเจนจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้างก็ตาม

ทันใดนั้นเองก็มีลมกรรโชกพัดแรงมาจากด้านหน้าของเจน พริบตานั้นเองเธอก็เห็นเสือโคร่งสีดำตัวใหญ่เกือบสองเมตรมาปรากฎอยู่ตรงหน้า ทำเอาเจนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับตกใจและรีบเตรียมชักดาบออกมาทันที แต่เมื่อเธอได้ตรวจสอบดูก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเสือตัวนี้คือคู่ต่อสู้ที่เธอกำลังรอคอยอยู่

อาราชิโนะยามิ
ยศราชา ระดับ 60

"ข้ามาในนามของท่านเบียคโกะ ใครคือผู้ที่จะมาประลองกับข้า" เสียงคำรามของอาราชิดัง ดวงตาของมันจ้องไปที่คิทซึเนะที่จ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าแรงกดดันมหาศาลที่ออกมาจากร่างของพญาสิงค์จะบ่งบอกให้เธอรู้ว่ามีพลังเหนือกว่าเธอมากเพียงไรก็ตาม

"คู่ต่อสู้ของนายคือฉันเอง" เจนพูดพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหา ทางด้านอาราชิที่ได้ยินก็เลิกตาด้วยความแปลกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองไม่ได้เป็นจิ้งจอกอย่างที่คาดเอาไว้

"มนุษย์งั้นหรือ นึกไม่ถึงว่าเทพอสูรแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกจะส่งตัวแทนที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของตนเองมา" พญาสิงค์ว่าขณะที่ใช้สายตาพิจารณามนุษย์ร่างเล็กตรงหน้า ทั้งขนาดและรูปร่างที่เล็กจ้อย ดูท่าทางไม่เป็นอันตรายกับมอนสเตอร์ระดับราชาอย่างตัวมันเลยซักนิดเดียว ถ้าหากให้ไปสู้กับจอมเวทหรืออัศวินที่อยู่ด้านหลังของมนุษย์ผู้นี้ยังจะดูน่าลุ้นกว่าซะอีก

ทางด้านคิทซึเนะที่ได้ยินคำพูดของอาราชิ ทำให้อารมณ์พุ่งขึ้นมาจนถึงใบหน้าเพราะคิดว่าสิ่งที่ราชาพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมานั้นเป็นการดูถูกมารดาของตนเอง แม้ความจริงแล้วตัวอาราชินั้นพูดออกมาตามความรู้สึกของตนโดยที่ไม่คิดจะต้องการดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด

"จะมากไปแล้วนะ! ที่ท่านแม่ส่งพี่เจนออกมาก็เพราะตัวท่านแม่เองเป็นผู้มอบพลังให้กับพี่เจนด้วยตัวเอง อย่างแกนะ..-" จิ้งจอกสาวไม่มีโอกาสจะได้พูดต่อเพราะถูกแจ็คกับซินจูหยุดเอาไว้ได้ก่อนที่การต่อสู้จะถูกเปลี่ยนคู่ เจนหันไปพยักหน้าขอบใจให้กับเพื่อนของเธอเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับอาราชาที่ยืนห่างออกไปไม่ถึงห้าเมตร

"ฉันคือตัวแทนของท่านเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ทามาโมะมาเอะ มาประลองตามกฎแห่งเทพอสูร" เจนว่าพร้อมกับชักดาบคุซานางิออกมาแล้วชี้ไปยังราชาพยัคฆ์

"เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเจ้าเข้ามาแทรกแซงการประลองไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจะหมายความว่าการประลองนี้จะเป็นโมฆะทันทีและเทพอสูรฝั่งเจ้าจะต้องทำตามความต้องการของท่านที่เบียคโกะสั่ง"

เจนพยักหน้ารับทราบ ก่อนหน้านี้เธอกำชับพรรคพวกของเธอเอาไว้แล้วว่าให้ดูแลคิทซึเนะและฟีบีไม่ให้เข้ามายุ่งระหว่างการประลอง โดยเธอพยายามบอกทั้งสองเอาไว้แล้วว่าการประลองนี้ยังไงก็คงไม่รุนแรงขนาดถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าแลกกันอยู่แล้ว

เมื่อทั้งสองรับทราบกฎดีแล้วการประลองจึงเริ่มต้นขึ้น แรงกดดันมหาศาลก็ทะลักออกมาจากร่างของอาราชิราวกลับเขื่อนแตกจนพวกโจต้องพากันถอยออกห่างเพราะกลัวจะโดนลูกหลง ทางเจนเองก็รู้สึกหวาดหวั่นกับแรงกดดันของพญาสิงค์อยู่ไม่น้อย ทว่าตอนนี้เธอจะถอยไม่ได้ ทำได้แต่เพียงตั้งดาบขึ้นเตรียมพร้อมสู้ทุกเมื่อเท่านั้น

"นายว่าเจนจะพอมีหวังเอาชนะได้หรือเปล่า" โจหันไปถามเสือซ่อนลายที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

"ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องหวังว่าพอเจนใช้พลังสถิตร่างแล้วจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับอาราชิได้บ้าง... เฮ้อ หวังว่าที่พวกเราฝึกกันมาจะช่วยอะไรได้บ้างนะ" เสือซ่อนลายกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล เพราะว่าพลังของราชาพยัคฆ์นั้นเหนือกว่าพวกเขารวมกันมากนัก นั่นแปลว่าความสามารถในการต่อสู้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน

โจที่ได้ยินคำพูดของอัศวินหนุ่มกลับส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองดูเพื่อนสาวของตนที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะสู้กับอาราชิ

"ไม่รู้สิ แค่พวกนายสี่คนร่วมมือกันยายเจนยังเอาชนะไม่ได้เลยซักครั้ง แล้วจะมาสู้กับเจ้าตัวที่ดูท่าทางเก่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน"

ย้อนกลับไปตอนที่เจนฝึกกับพวกเสื่อซ่อนลาย ซึ่งเป็นอย่างที่โจพูดทุกประการ นั่นก็คือเจนโดนไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียวและไม่มีโอกาสจะตีโต้กลับไปเลย ถึงแม้โดยรวมถ้าไม่นับทักษะพลังสถิตร่างแล้วเจนจะเป็นคนที่มีความสามารถสูง แต่ถ้าหากเป็นด้านใดด้านหนึ่งแล้วเธอยังคงสู้พวกเสือซ่อนลายไม่ได้เลย อย่างเช่นด้านหลังป้องกันที่รัดกุมและแข็งแกร่งจนไม่มีช่องให้ช่องโจมตี ความสามารถในการลอบสังหารของไมโกะที่เจนไม่อาจรับมือ ยังไม่รวมถึงทักษะการใช้ดาบที่รวดเร็วของอามีร่าและทักษะมวยของแจ็คที่เป็นทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่เจนถนัดแต่กลับสู้ทั้งสองคนไม่ได้อีก เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันทำให้เจนจึงไม่อาจตีโต้กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผลสรุปการฝึกเมื่อวานนั้นจึงกลายเป็นว่าเจนถูกไล่บี้จนเกือบตายนั่นเอง

ผลจากการฝึกนั้นแทบจะไม่ได้อะไรเลยแถมตัวเจนเองยังสูญเสียความมั่นใจไปอีกด้วย แต่เมื่อมาเอะบอกว่าการฝึกนี้ไม่ได้ทำเพื่อหวังเอาชนะ แต่เป็นการฝึกเพื่อทำให้เจนชินกับการโจมตีแบบสุดขั้วที่คาดว่าจะเจอในการประลอง โดยหนทางในการเอาชนะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการใช้พลังสถิตร่างนั่นเอง

ตัวเจนเองนั้นตั้งใจว่าจะใช้เพียงแค่พลังสถิตร่างที่มาเอะถ่ายทอดให้มาเพียงเท่านั้นโดยจะไม่ใช้พลังสถิตร่างของยามาตะ โนะ โอโรจิ เพราะต้องการจะเอาชนะด้วยพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เธอเป็นตัวแทนประลอง แต่พลังมหาศาลของศัตรูตรงหน้าเริ่มทำให้เธอชักไม่มั่นใจแล้วว่าเพียงแค่พลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางจะเพียงพอหรือไม่

ร่างสีดำของอาราชิพุ่งกระโจนเข้าใส่เจนด้วยความเร็วสูงจนเธอมองไม่ทัน การโจมตีของพญาสิงค์ที่เป็นมอนสเตอร์ระดับราชาทำให้เจนรู้ดีว่าเธอไม่มีทางที่จะป้องกันได้อย่างแน่นอน ดังนั้นทางเลือกเดียวของเธอคือการหลบแต่เมื่อเธอไม่อาจมองเห็นว่าการโจมตีจะมาจากด้านไหนเธอจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหลบไปทางไหนเช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นเองเจนก็ตัดสินใจที่จะกระโจนหลบไปด้านข้าง แต่ว่ามันก็สายเกินไปเมื่อจู่ ๆ อาราชิมาปรากฎร่างอยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับตะปบกรงเล็บคมกริบเข้าใส่โดยที่เจนไม่มีทางที่จะหลบการโจมตีนี้พ้นได้เลย

ตูม!!

เสียงร่างบางกระแทกเข้าใส่พื้นอย่างดังลั่น เธอรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวแต่ยังสามารถสู้ต่อได้อยู่ พลังโจมตีและความเร็วของอาราชิมีเหนือกว่าพวกเสือซ่อนลายมากอย่างที่เธอคาดเอาไว้ ถ้าหากในวินาทีสุดท้ายเจนไม่ยกดาบขึ้นมากันแล้วล่ะก็คงจะบาดเจ็บหนักไปแล้ว

ความจริงแม้ยกดาบขึ้นกันกรงเล็บของพญาสิงค์ได้ก็ตาม แต่แรงกระแทกจากการโจมตีนั้นก็ยังรุนแรงอยู่ดี โชคช่วยที่ชุดเกราะกบที่เจนสวมอยู่นั้นช่วยรับแรงกระแทกส่วนใหญ่เอาไว้ ทว่าอันตรายก็ยังไม่หมดไปเพราะดูท่าทางอาราชิจะไม่คิดรามือให้เจนได้พัก มันพุ่งกระโจนเข้ามาหาหญิงสาวด้วยความเร็วสูงอีกหน ทว่าคราวนี้จะไม่เป็นเหมือนคราวที่แล้วแน่

เจนยื่นมืออกไปด้านหน้าพร้อมกับบอลพลังเวทไฟหกลูกปรากฎขึ้นแล้วพุ่งออกไปด้านหนาราวกับลูกกระสุน ร่างของอาราชาปรากฎตัวขึ้นเมื่อบอลเพลิงขนาดเล็กปะทะเข้าใส่ แม้ว่าพลังทำลายของลูกเพลิงเหล่านี้จะต่ำจนไม่เป็นอันตรายกับมันแต่เมื่อยิงมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นปืนกลและได้พลังเสริมจากทักษะเมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับราชาเช่นนี้ก็ทำให้เวทจตุรธาตุที่เจนเคยคิดว่าเป็นเวทมนตร์ที่ไร้ประโยชน์กลับกลายเป็นเวทที่น่ากลัวขึ้นมาทันที

ประโยชน์ของเวทบทนี้เจนพบตอนนี้เธอกำลังฝึกกับพวกเสือซ่อนลาย เพราะทักษะที่ใช้ประจำอย่าง อย่างผ่ามิติหรือพลังสถิตร่างถูกห้ามใช้จึงทำให้เธอต้องเพิ่งทักษะอื่น ๆ ที่เหลืออยู่แทน และทักษะที่ใช้โจมตีระยะไกลได้ก็มีเพียงอยู่ทักษะเดียวนั่นก็คือเวทจตุรธาตุนั่นเอง คนที่เห็นจุดดีของเวทจตุรธาตุอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็คือโจ หลังจากที่เห็นเพื่อนของตนโดนซ้อมอย่างทุลักทุเลจึงเข้าไปแนะนำ ถึงแม้จะไม่ช่วยให้เจนได้เปรียบขึ้นมาแต่ก็ดูดีกว่าตอนที่เจนใช้ยิงเวทไปมั่ว ๆ มาก

เจนมองดูอาราชิที่ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้งก็รู้ทันทีว่าการโจมตีของเธอได้ผล ลูกบอลไฟสลายเปลี่ยนเป็นบอลเวทน้ำแข็งและยิงใส่อย่างต่อเนื่องพร้อมกับเคลื่อนตัวหลบไปเรื่อย ๆ ขณะดวงตาสีแดงคอยจับจ้องร่างของราชาพยัคฆ์ตาไม่กระพริบเพราะเธอรู้ว่าอย่างอาราชิคงไม่เสียท่าให้กับเวทแค่นี้แน่

และก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริง ๆ เพราะการโจมตีด้วยเวทบอลไฟและบอลน้ำแข็งเพียงทำให้อาราชิชะงักเพียงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าใส่เจนอีกครั้งด้วยความเร็วไม่มากเท่าเดิมแต่ก็ยังเร็วพอ ๆ กับราชาเท็นกุที่เป็ฯมอนสเตอร์ระดับเดียวกัน แทนที่จะเคลื่อนตัวหลบทว่าหญิงสาวกลับตั้งท่าดาบเตรียมโจมตีสวนกลับจนทำให้อาราชินึกฉงนแต่มันก็ไม่คิดว่ามนุษย์หน้าไหนจะรับการโจมตีตรง ๆ เช่นนี้ได้เช่นกัน

เคร้ง!!

กรงเล็บปะทะเข้ากับดาบเต็มแรงแต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิงเพราะทั้งสองฝ่ายต่างกระเด็นไปด้วยแรงกระแทกจากฝ่ายตรงข้าม แม้ตัวราชาพยัคฆ์จะตั้งหลักได้ต่างจากเจนที่ล้มกลิ้งไปกับพื้นอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์ต้านการโจมตีของมันได้อย่างสูสี

"ไม่เลวนี่เจ้ามนุษย์ที่รับการโจมตีของข้าได้ถึงสองครา แต่นั่นเป็นเพราะข้ายังไม่ได้เอาจริงหรอกนะ" อาราชิกล่าวชมเพราะการโจมตีเมื่อครู่นั้นสามารถจัดการมอนสเตอร์ยศขุนนางระดับต่ำ ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เจนกลับสามารถรอดมาได้ถึงสองครั้งแถมยังโจมตีสวนกลับมาด้วยพลังโจมตีรุนแรงพอ ๆ กันอีกด้วย

เจนสูดหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกมาด้วยความโล่งใจที่การโจมตีของเธอรุนแรงพอ ๆ กับราชาพยัคฆ์ เพราะถ้าหากเธอรับการโจมตีเมื่อครู่เข้าไปล่ะก็ชุดเกราะกบก็คงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน

'ฟู่...เกือบไป แต่ขนาดใส่พลังเวทกับทักษะใหม่ที่เพิ่งตอนเปลี่ยนอาชีพไปเกือบครึ่งยังแค่มีพลังสูสีกัน เห็นทีสู้แบบนี้ต่อไปคงจะไม่ไหวแฮะ' เจนคิดในใจ การโจมตีเมื่อครู่แน่นอนว่าไม่ใช่การโจมตีธรรมดา นั่นคือทักษะอิกไนท์สไตรค์ที่จะช่วยเสริมพลังโจมตีตามพลังเวทที่จ่ายไป ยิ่งมากเท่าไหร่ความรุนแรงก็เพิ่มพูนตามเท่านั้น

การที่เจนใส่พลังเวทไปเกือบครึ่งหนึ่งของพลังเวททั้งหมดของเธอแต่กลับทำได้เพียงแค่สูสีกับการโจมตีเพียงครั้งเดียวของอาราชิทำให้เห็นว่าพลังของราชาพยัคฆ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าหากเธอไม่เอาจริงล่ะก็คงไม่มีโอกาสจะชนะแน่

"แกบอกว่ายังไม่เอาจริงก็ดี เพราะทางนี้เองก็เพิ่งเครื่องร้อนเองเหมือนกัน" เจนพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

พลังสถิตร่าง เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!

ร่างของหญิงสาวเปล่งออร่าสีทองออกมาพร้อมกับพลังมหาศาลที่พุ่งสูงขึ้นจนราชาพยัคฆ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ในขณะเดียวกันอาราชิก็แสยะยิ้มออกมาเช่นเดียวกันเพราะการประลองในครั้งนี้คงจะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดเอาไว้ซะแล้ว

ร่างสีทองพุ่งเข้าปะทะกับร่างสีดำอย่างรวดเร็ว จากที่การเคลื่อนไหวเคยมองตามไม่ทันตอนนี้เจนสามารถตามความเร็วของอาราชาได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เพราะความเร็วในร่างพลังสถิตเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้เจนสู้กับพญาสิงค์ได้อย่างสูสีแม้จะเป็นรองเรื่องพลังโจมตีอยู่ก็ตาม

เคร้ง! เคร้ง!

เสียงปะทะกันระหว่างดาบและกรบเล็บดังติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ในการปะทะแต่ละครั้งความรุนแรงของกรงเล็บนั้นทำให้มือบางที่ถือดาบอยู่เริ่มที่ชาจนไม่อาจจับดาบให้มั่นคงได้ ถ้าหากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็เห็นทีคนที่แพ้จะต้องเป็นเจนแน่

เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเจนจึงตีตัวออกห่างและใช้วิธีโจมตีจากระยะไกลแทน

ผ่ามิติ!!

คลื่นดาบขนาดใหญ่พุ่งเขาใส่ร่างของอาราชิที่กำลังไล่ตามมา ด้วยความเร็วของราชาพยัคฆ์ในตอนนี้คงไม่อาจจะหลบได้แน่ อาราชิจึงตัดสินใจโจมตีสวนกลับไปแทนแม้ว่าคลื่นพลังตรงหน้าจะอัดแน่นไปด้วยพลังอาร่าสีทองก็ตาม

กรงเล็บของอาราชิเปล่งแสงสีแดงก่ำขึ้นดูน่ากลัว เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าพลังที่อยู่ในกรงเล็บนั้นทรงพลังมากทีเดียว ราชาพยัคฆ์ใช้กรงเล็บนั้นฟาดปะทะเข้ากับคลื่นดาบผ่ามิติที่พุ่งสวนกลับมาจนเกิดระเบิดเสียงดังลั่นพร้อมกับแรงลมมหาศาลที่กระแทกเข้ากับร่างของเจนจนเสียหลักตกลงสู่พื้น

ตูม!!!

เจนพยุงตัวเองขึ้นมามองหาคู่ต่อสู้ของเธอ ตอนนี้พลังเวทเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ถ้าหากผ่ามิติเมื่อกี้ยังทำอะไรไม่ได้ล่ะก็เห็นทีเธอก็คงหมดโอกาสที่จะชนะอาราชิแน่ แต่ว่าควันจากการระเบิดนั้นทำให้เธอมองไม่เห็นสภาพของราชาพยัคฆ์ในตอนนี้เลย

ทันใดนั้นเองก็มีบางสิ่งพุ่งออกมาจากกลุ่มควัน เจนรีบใช้ผ่ามิติเข้าใส่ทันทีเพราะคิดว่านั่นเป็นพญาสิงค์ แต่ทว่าสิ่งที่ผ่ามิติทำลายไปนั้นเป็นเพียงแค่ก้อนหินก้อนใหญ่ธรรมดา และตอนนั้นเองเจนก็รู้ตัวทันทีว่าเธอหลงอุบายเอาไปเต็ม ๆ ซะแล้ว

ทันทีที่คลื่นดาบผ่าก้อนหินออกเป็นสองซีก ร่างพยัคฆ์ตัวใหญ่ก็พุ่งออกมาจากกลุ่มควันและตรงเข้ามาหาเจนทันทีพร้อมกับกรงเล็บสีแดงแบบเดียวกับที่ใช้ปะทะผ่ามิติเมื่อครู่ตรงเข้าตะปบร่างของเจนเต็มแรง

ร่างบางรู้สึกถึงแรงกระชากและความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้ายจนถึงเอว กรงเล็บผ่าชุดเกราะกบเหมือนกับมีดผ่าเนย รอยแผลยาวมีเลือดไหลทะลักออกมาพร้อมกับร่างของเจนที่ถูกเหวี่ยงแรงล้มกระแทกลงบนพื้นที่แน่นิ่งไม่ไหวติง ความเจ็บปวดที่เจนรู้สึกในตอนนี้ทำให้เธอขยับตัวไม่ได้ แต่เธอยังคงได้ยินเสียงของพวกโจกำลังตะโกนเรียกเธออยู่ เจนนึกภาพพรรคพวกของเธอที่ตอนนี้คงพยายามรั้งตัวน้องสาวทั้งสองของเธอสุดกำลังอยู่แน่

'บ้าจริง มาทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้มันน่าขายหน้าชะมัด ต้องรีบลุกขึ้น...' เจนคิดพลางสั่งร่างกายของตัวเองให้ขยับตามแต่มันช่างยากลำบากราวกับตัวของเธอเป็นก้อนหิน เรี่ยวแรงที่มีก็เริ่มที่จะเลือนราง ขณะเดียวกันดวงตาสีแดงก็จับจ้องไปยังราชาพยัคฆ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

บนตัวของอาราชินั้นมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่มาจากกระปะทะเข้ากับผ่ามิติของเจน แต่ถึงเช่นนั้นพญาสิงค์ก็ดูไม่สะทกสะท้านกับบาดแผลของตนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบเหลือบมองดูรอยแผลของตนก่อนจะหันมามองหญิงสาวซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่ทำอันตรายตัวมันได้ถึงขนาดนี้

"สำหรับมนุษย์ที่ข้าเคยพบเจอมาก่อน เจ้าถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง และพลังของเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในตัวของเจ้าก็ไม่อาจจะดูถูกได้เช่นเดียวกัน แต่เจ้ายังคงห่างชั้นเมื่อเทียบกับข้าและการประลองนี้ข้าไม่อาจออมมือให้เจ้าได้ ขออภัย...แต่ข้าขอชัยชนะนี้ไปล่ะ" อาราชิเอ่ยแล้วทำท่าเดินหันหลังจากไปเพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องลงมือ

การในการประลองนี้ไม่จำเป็นต้องถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยยอมแพ้หรือไม่อาจสู้ต่อได้ก็ถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชนะในทันที เจนในตอนนี้แม้จะยังคงสติเอาไว้ได้แต่บาดแผลที่เธอได้รับมาจากการโจมตีแบบยอมแลกหมัดของอาราชินั้นรุนแรงมาก เจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อได้อีก ไม่มีแม้กระทั่งแรงจะหยิบขวดยาขึ้นมารักษาบาดแผลเลยด้วยซ้ำ

"ไม่อยาก...แพ้.." เสียงหลุดออกมาจากปากดังเพียงเสียงกระซิบ ทว่าความหนักแน่นนั้นออกมาอยู่ในทุกคำพูด

หลายต่อหลายครั้งที่เจนสู้ไม่ว่าจะทั้งในเกมหรือนอกเกม ไม่มีครั้งไหนที่เธอรู้สึกอยากจะชนะเท่ากับครั้งนี้มาก่อน นั่นเป็นเพราะว่าครั้งนี้เธอต่อสู้เพื่อคนอื่นที่เชื่อมั่นในตัวของเธอ ความเชื่อมั่นของมาเอะที่ฝากเอาไว้กับเจนและเธอก็ไม่อยากจะทำให้ผิดหวัง

"ฉัน...ยังไม่แพ้!!"

ครืน!!!

แรงกดดันมหาศาลพุ่งพล่านออกมาจากร่างบางที่ตอนนี้กำลังลุกขึ้นยืน อาราชิรีบหันกลับมาทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่รู้สึกได้จากร่างของหญิงสาวด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก พลังที่สัมผัสนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาจากร่างของมนุษย์ธรรมดาโดยเฉพาะนักผจญภัย เพราะเท่าที่เคยเจอผู้ที่มีพลังเช่นนี้มีเพียงเทพอสูรแห่งทิศประจิมผู้ที่เป็นเทพอสูรประจำเผ่าพันธุ์ของมันเท่านั้น

ดวงตาของเจนในตอนนี้ไร้ซึ่งชีวิตใด ๆ มีเพียงแสงสีเหลืองซีดส่องสว่างเช่นเดียวกับออร่าที่คลุมร่างของเธออยู่เปลี่ยนไปจากเดิม เลือดจากบาดแผลที่ได้รับถูกหยุดด้วยฝีมือของออร่าที่เคลื่อนที่เองราวกับมีชีวิต และสิ่งที่ทำให้ราชาพยัคฆ์ตื่นตะลึงยิ่งกว่านั่นก็คือออร่ารอบตัวของหญิงสาวจับตัวกันกลายเป็นหางทั้งเก้าของจิ้งจอกและหัวอสรพิษถึงแปดหัว!

"นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ! เจน ตอบพวกเราหน่อยสิ!" โจพยายามตะโกนเรียกเพื่อนสาวไม่ว่าจะเป็นช่องสื่อสารปกติหรือช่องสื่อสารกิลด์ แต่ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมาเลย

"พวกเรารีบถอยออกมาก่อนเร็วเข้า ดูท่าทางเจนคงหมดสติไม่ได้ควบคุมพลังสถิตร่างแล้ว!" เสือซ่อนลายตะโกนบอกทุกคนแล้วรีบฉุดมือของฟีบีถอยออกหากจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว คิทซึเนะแม้อยากจะอยู่แต่เธอก็รู้ดีว่าในตอนนี้เธอไม่อาจแม้แต่จะเข้าใกล้เจนได้เลย ทางเลือกเดียวของเธอจึงหลบออกมาพร้อมกับพวกเสือซ่อนลายก่อน

ทางด้านอาราชิเองก็รู้ตัวดีเช่นกันว่าตอนนี้ตนนั้นเทียบกับพลังประหลาดตรงหน้าแบบไม่ติดฝุ่นแล้ว แต่เมื่อจ้องไปยังดวงตาของหญิงสาวแล้วร่างกายกลับรู้สึกเย็นเฉียบไม่ยอมขยับเขยื้อนตามที่ตัวเองคิด รู้สึกราวกับว่าถ้าหากขยับจะหมายถึงชีวิตในทันที

ออร่าหางทั้งเก้าและหัวงูทั้งแปดจ้องมองพญาสิงค์ที่ยืนนิ่ง ดาบคุซานางิที่เป็นอาวุธประจำตัวของเจนนั้นตกอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเมื่อร่างนี้มีพลังที่ทรงอำนาจเกือบจะเทียบเท่าสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ในดาบเล่มนั้น ออร่าหางค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นบอลพลังขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันหัวงูทั้งแปดก็อ้าปากและส่องสว่างราวกับจะปล่อยลำแสงแบบเดียวกับที่ยามาตะ โนะ โอโรจิเคยใช้สู้กับเซอร์โนบอทโดยที่ไม่สนใจกฎแห่งเทพอสูรเลยแม้แต่นิดเดียว

พริบตานั้นทั้งบอลพลังสีเหลืองและลำแสงทั้งแปดพุ่งตรงเข้าใส่ราชาพยัคฆ์ที่รู้ชะตาตนเองว่าไม่อาจรอดไปจากการโจมตีระดับนี้ไปได้แน่ แต่ก่อนที่อาราชิจะสิ้นชื่อ ร่างขนาดใหญ่สามร่างก็ปรากฎตัวขึ้นขวางเอาไว้ก่อนพร้อมกับปล่อยพลังต้านลำแสงและบอลพลังเอาไว้ได้อย่างสูสีก่อนที่พลังจากทั้งสองฝ่ายจะระเบิดออกอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ทำอันตรายฝ่ายใดทั้งสิ้น

เงาทั้งสามนั้นก็คือร่างสมิงฆ์ของเบียคโกะและร่างจิ้งจอกเก้าหางของมาเอะนั่นเอง ทว่าร่างที่สามนั้นเป็นจิ้งจอกเก้าหางเช่นเดียวกันกับมาเอะ เพียงแต่ว่าระดับพลังสูงกว่ามาก ขนสีขาวยาวพริ้วไสวราวแต่แฝงเอาไว้ซึ่งพลังเต็มเปี่ยม

"หมายความว่ายังไงกันเนี่ย ทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงมีพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิได้!" นางพญาจิ้งจอกเก้าหางผู้มาใหม่เอ่ยเสียงดัง ดวงตายังคงจับจ้องไปยังร่างของเจนที่ถูกปกคลุมด้วยออร่าสีเหลืองน่ากลัวอย่างไม่ไว้วางใจ

"ข้าเองก็ไม่ทราบมาก่อนเช่นกัน ตอนที่ข้ามอบพลังให้เธอยังไม่มีพลังนี้อยู่ในร่างเลย เธอคงพบกับพญาอสรพิษแปดหัวและได้มาพลังหลังจากนั้นแน่" มาเอะกล่าว

"เรื่องนั่นช่างมันก่อน! เตรียมตัวรับมือเร็วเข้า แม้มนุษย์ผู้นี้จะยังไม่อาจใช้พลังได้อย่างเต็มที่แต่พลังของเจ้าและพลังของอสรพิษแปดหัวก็เหนือกว่าพวกเราคนใดคนหนึ่งแล้ว อย่าประมาทเป็นอันขาด!" เบียคโกะเอ่ยเตือน หลังจากการปะทะกันเมื่อครู่ทำให้มันรู้ระดับพลังของเจนในตอนนี้ได้ทันที ถ้าหากไม่รวมพลังกัน ต่อให้สามารถสังหารหญิงสาวตรงหน้าได้ แต่เทพอสูรทั้งสามก็อาจจะต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน

ร่างพลังสถิตยืนจ้องเทพอสูรทั้งสามราวกับกำลังประเมินพลังของศัตรู ทันใดนั้นเองที่ร่างของเจนเริ่มขยับเขยื้อน เหล่าเทพอสูรเร่งพลังเตรียมพร้อมรบเต็มอัตราทันที แต่ก่อนทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน ออร่าที่คลุมตัวเจนอยู่ก็สลายไปอย่างฉับพลันก่อนที่ร่างบางจะล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลอีกครั้ง


ในความมืด เจนรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความงุนงง ก่อนหน้าที่ทุกอย่างจะมืดไปเธอจำได้ว่าเธอกำลังสู้กับอาราชิอยู่และเธอกำลังจะแพ้

"ที่นี่มันที่ไหนกัน...อ้อ นี่เราคงตายแล้วล่ะสิเนี่ย หมายความว่าตอนนี้เราคงกำลังรอเวลาเกิดอยู่สินะ" เจนเอ่ยขึ้นอย่างเสียอารมณ์ เธอไม่อยากจะแพ้ในการต่อสู้กับอาราชิเลยจริง ๆ ถึงความจริงแล้วเธอยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาราชินั้นเก่งจริง ๆ

หญิงสาวมองไปรอบตัวกลับไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดรอบกายเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกเพราะในที่แห่งนี้ไม่มีแสงใด ๆ ทว่าเจนกลับสามารถมองเห็นตัวเองได้ราวกับเธออยู่ในห้องที่มีไฟส่องสว่างเต็มที่

"รู้สึกแปลกดีเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่เราคงต้องรอเกิดอีกตั้งชั่วโมงหนึ่ง เฮ่อ...การอยู่เฉย ๆ นี่มันน่าเบื่อจัง" เจนพูดกับตัวเองพลางลองพยายามเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะติดต่อกับพวกโจ แต่ไม่ว่าจะพยายามเรียกหน้าต่างขึ้นมากี่ครั้งก็ไม่มีอะไรปรากฎขึ้นมาเลย

หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ หญิงสาวก็ล้มเลิกความตั้งใจและยืนรออยู่เฉย ๆ คงเป็นเพราะเสียชีวิตภายในเกมทำให้ไม่สามารถใช้การติดต่อใด ๆ ได้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือรอจนกว่าจะครบกำหนดเวลานั่นเอง

ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างมาจากด้านหลังของเจน เมื่อหันไปก็ทำให้เธอใจหาบวาบเมื่อแสงนั้นเป็นหญิงสาวสองคนที่มีออร่าสีเหลืองทองและออร่าสีม่วงคลุมร่างอยู่จนไม่อาจเห็นใบหน้าได้ ทั้งสองต่างยื่นมือเข้ามาหาเธออย่างช้า ๆ แต่เจนกลับไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ราวกับมีพลังอำนาจตรึงร่างของเธอไว้อยู่กับที่

เมื่อมือบางทั้งสองแตะไหล่ทั้งสองข้างของเธอ ร่างทั้งสองก็สว่างวาบจนเจนต้องหลับตา เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเจนก็พบว่าตัวเองกำลังนอนมองเพดานถ้ำที่ดูคุ้นตายังไงชอบกล

"พี่เจนรู้สึกตัวแล้วหรือคะ! ทุก ๆ คน พี่เจนตื่นแล้วค่ะ!" เสียงหวานดังขึ้นข้างตัว เจนหันไปมองก็พบว่าเป็นคิทซึเนะที่กำลังกุมมือของเธอด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกันฟีบีก็กระโดดขึ้นมานั่งคร่อมร่างของเธอด้วยสีหน้าราวกับกำลังจะร้องไห้
ตอนนี้เจนพบว่าตัวเองนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงหญ้าของมาเอะ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ตายจากการประลองแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นมันหมายความว่าอะไรกัน ถ้าหากเป็นความฝันล่ะก็มันเป็นฝันที่เหมือนจริงมากทีเดียว

เสียงของจิ้งจอกสาวเรียกให้พวกโจเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วงถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เจนที่กำลังสับสนอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงถามกลับไป

"พวกนายหมายความว่าอะไรที่ว่าโดนยึดร่าง นี่ฉันงงหมดไปแล้ว"

"ก็ตอนที่เธอสู้กับราชาเสือนั่นไง ตอนนั้นเธอกำลังจะแพ้แล้วจู่ ๆ เธอก็ลุกขึ้นมาแล้วใช้พลังแบบเดียวกันกับตอนที่เธอช่วยเรือเหาะเอาไว้ไง แต่ครั้งนี้พลังดูเวอร์กว่าตอนนั้นเยอะ แถมเธอดูท่าทางไม่เหมือนเป็นตัวของตัวเองด้วย พวกเราก็เลยคิดว่าเธอน่าจะถูกพลังนั้นควบคุมร่างอยู่" โจบอกบอกโดยมีคนอื่น ๆ ช่วยพยักหน้ายืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้น

‘จะเป็นเพราะยามาตะ โนะ โอโรจิหรือเปล่านะ’ เจนคิดในใจพลางหันไปมองดูดาบคุซานางิที่วางอยู่ข้างเตียง

แต่คงต้องเอาไว้ทีหลังเพราะมาเอะและเบียคโกะในร่างมนุษย์กำลังเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลังที่ดูแปลกไปต่างทั้งคู่ตรงที่เครื่องแต่งกายของเธอนั่นเอง

หญิงสาวที่เจนไม่รู้จักคนนี้มีรูปร่างสูงโปร่งเซ็กซี่เหมือนกับมาเอะแต่มีบางอย่างที่บอกเจนว่าเธอคนนี้มีอะไรที่มากกว่านั้น เธอมีผมยาวสลวยสีขาวดังหิมะ ขอบตาของเธอถูกตกแต่งด้วยสีแดงสดดูดีไปอีกแบบคล้ายเป็นสาวนำแฟร์ชั่น แต่ตรงกันข้ามกับมาเอะ หญิงสาวคนนี้สวมชุดสีขาวโดยมีดเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงปิดทับราวกับเป็นผู้เล่นที่มาจากโลกภายนอก แต่เจนมั่นใจว่าไม่ใช่แน่ ๆ

"เป็นยังไงบ้างเจน รู้สึกผิดปกติตรงไหนบ้างหรือเปล่า" มาเอะเข้ามาหาเจนที่เตียงกอหญ้าและถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"เอ่อ..ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนะคะ" เจนตอบตามตรงแม้ก่อนหน้าที่เธอจะตื่นขึ้นมาจะมองเห็นอะไรแปลก ๆ ก็ตาม เพราะเธอคิดว่าคงเป็นแค่ความฝันที่ไม่ได้เกี่ยวกันกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เจนกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือหญิงสาวนิรนามที่ยืนข้างเบียคโกะอย่างไม่สะทกสะท้านเลยนั่นเอง

มาเอะที่เห็นว่าเจนกำลังมองไปที่ใครจึงแนะนำให้รู้จัก "นี่คือท่านคิวบิ โนะ โยโกะ เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางตนแรกบนโลกแห่งนี้"

"เรียกฉันว่าโยโกะก็พอ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็ม ๆ หรอก" หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูไม่มีมาดเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย ต่างจากมาเอะที่ดูสูงส่งและเบียคโกะที่ดูแข็งแกร่งโดยสิ้นเชิง

"เอ๋ ตนแรกหรือคะ หมายความว่าท่านผู้นี้กับท่านมาเอะเป็นสายเลือดเดียวกัน.." เจนเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

"ที่พูดมันก็ใช่แต่เทพอสูรไม่ได้สืบทอดกันตามสายเลือดเท่านั้นหรอกนะ" โยโกะกล่าวตอบก่อนจะหันไปมองให้มาเอะเป็นผู้อธิบายต่อ

"ที่ท่านเก้าหางบอกเจนหมายถึงเทพอสูรแต่ละเผ่าพันธุ์ไม่ได้จำกัดตามสายเลือด แต่เป็นความพยายามที่จะฝึกฝนเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์และโชคอีกเล็กน้อยที่จะตามหาเทพอสูรเพื่อแบ่งพลังส่วนหนึ่งให้ แต่ข้ากับท่านโยโกะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันตามสายเลือดโดยตรงหรอกนะ"

"อย่าเพิ่งคุยกันเรื่องเล็กน้อยพรรณนั้นเลย ตอบมาว่าเจ้าได้พลังของพญาอสรพิษแปดหัวมาจากไหน" เบียคโกะถามเสียงเข้มจนคิทซึเนะออกอาการไม่พอใจที่เขามาคุกคามพี่สาวของเธอ ส่วนอีกด้านนั้นโยโกะกลับส่ายหน้าให้กับความเอาจริงเอาจังของเทพพยัคฆ์จนเกินเหตุ

"จะอะไรนักหนานะเบียคโกะ นี่ตกลงเจ้าจะอยากให้ยามาตะ โนะ โอโรจิเข้าร่วมกองทัพเทพอสูรจริง ๆ งั้นหรือ" โยโกะถามขึ้น

"เพื่อที่จะปกป้องแผ่นดินแห่งนี้ ไม่ว่าใครที่สามารถหาได้ก็ต้องพยายามดึงตัวมาเป็นพวกเอาไว้ก่อน ยิ่งเป็นเทพอสูรที่มีพลังมหาศาลอย่างยามาตะ โนะ โอโรจิแล้วถ้าหากตกไปอยู่กับทัพอื่นจะยิ่งแย่สำหรับพวกเรา" เบียคโกะหันมาตอบ

"ว่าแต่อย่างยามาตะ โนะ โอโรจิน่าจะอยู่กับทัพอสูรไม่ใช่หรือคะ แถมถ้าหากได้มาเป็นพวกเดียวกันจริง ๆ จะไม่เป็นการประกาศสงครามกับเทพสมุทรอย่างซูซาโนะหรือเปล่า" ไมโกะที่มีความรู้เรื่องเทพของญี่ปุ่นเอ่ยถามจนทำให้เทพอสูรทั้งสามหันมามองตามจนเธอรู้สึกขวยเขินจากสายตาของเทพอสูรทั้งสามที่มองเธอด้วยความแปลกใจ

"ก็อย่างที่ข้าบอก เทพอสูรจะเลือกทัพใดก็เป็นเรื่องของเทพอสูรเอง ไม่เกี่ยวกับพลังหรือรูปลักษณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย ความจริงแล้วในสมัยสงครามครั้งนั้น ยามาตะ โนะ โอโรจิก็ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วด้วย ส่วนเรื่องท่านซูนาโนะข้าเองไม่คิดว่ามีปัญหาหรอก" มาเอะอธิบายด้วยรอยยิ้ม

"เจ้าเบียคโกะน่ะมันตื่นตูมเกินเหตุ ถึงจะบอกว่าทั้งสามทัพกำลังจะเริ่มรวมทัพเตรียมตัวก่อนสงครามครั้งใหม่ แต่ทัพอสูรน่ะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยด้วยซ้ำ อย่างพวกลูซิเฟอร์ยังรวบรวมอสูรแห่งบาปอยู่เลย ฮาเดสเองก็ยังไม่ตัดสินใจเลยว่าจะเข้ากองทัพเทพหรืออยู่กองทัพอสูร ไม่ว่าปิศาจหรืออสูรในเวลานี้ก็แยกเป็นกลุ่มแทบไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนเลย คงอีกนานกว่าจะสามารถรวมเป็นกองทัพอย่างที่หมอนี่กลัว" โยโกะเสริม สายตาอาคาตของเทพพยัคฆ์ขาวจ้องมาหาเธอทันที ในอดีตถ้าหากเบียคโกะจ้องมองใครด้วยสายตาเช่นนี้ก็หาได้ยากที่จะรอดชีวิต แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจใยดีเลยด้วยซ้ำ

"กองทัพเทพยิ่งแล้วใหญ่เลยด้วยซ้ำ ตอนที่ถูกผนึกพวกนี้ก็ทำการตกลงตั้งกฎกันอย่างเสร็จสรรพเตรียมพร้อมที่จะตั้งกองทัพเทพ แต่พวกนี้ไม่คิดจะเปิดสงครามก่อนอยู่แล้วเพราะกฎแห่งกองทัพเทพนั่นแหละ" โยโกะอธิบาย

"ความคิดที่ข้าไม่อยากจะรวมทัพเทพอสูรก็เป็นเพราะได้ปรึกษากับท่านเก้าหาง ถ้าหากกองทัพเทพอสูรยิ่งรวมตัวกันได้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้พวกอสูรรวมตัวกันได้เร็วมากขึ้นอีกด้วย" มาเอะบอกแล้วจึงหันกลับมาหาหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงหญ้าฟางอีกครั้ง “แต่เรื่องที่เบียคโกะเอ่ยนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก เจ้าได้พบพญาอสรพิษตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

เจนไม่รู้จะตอบยังไงดีจึงได้แต่เหลือบตามองไปที่ดาบคุซานางิที่วางนิ่งอยู่ข้างเตียงแล้วจึงหยิบขึ้นมาพร้อมกับพลังของยามาตะ โนะ โอโรจิที่แผ่ออกมาเมื่อผู้ทำสัญญาดาบได้ถืออาวุธ

"ดาบคุซานางิ!? อยู่ใต้จมูกมาตลอดเลยงั้นหรือเนี่ย" มาเอะยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เพราะตลอดเวลาเธอไม่เคยเอะใจถึงตัวตนของยามาตะ โนะ โอโรจิเลยแม้แต่น้อย

"แบบนี้คงเหมือนกับที่พวกมนุษย์พูดกันว่า 'ถ้าเป็นงูก็คงโดนฉกไปแล้ว' สินะ เอ๊ะ! แต่โอโรจิก็เป็นงูเหมือนกันนี่เนอะ ฮ่ะ ๆ" โยโกะพูดติดตลก แต่ดูเหมือนเธอจะทำให้พญาอสรพิษโมโหขึ้นมาไม่น้อยเพราะเมื่อพูดจบ พลังที่รั่วไหลออกมาจากดาบยิ่งรุนแรงขึ้นจนหญิงสาวผู้ถือดาบต้องรีบวางดาบลงเพื่อสะกดพลังเอาไว้อีกครั้ง

"แล้วแบบนี้ท่านเทพแห่งทิศประจิมจะทำยังไงดีล่ะคะ ในเมื่อทั้งการประลองก็เป็นโมฆะไปเพราะทั้งท่านและมาเอะก็เป็นฝ่ายเข้ามาแทรกแซงกันทั้งคู่ ส่วนแผนที่จะดึงตัวท่านยามาตะ โนะ โอโรจิเข้ากองทัพก็มาเหลวเป๋วเพราะดันมาติดอยู่ในผนึกแห่งดาบเทพเจ้าอีก แบบนี้คงแย่กับกองทัพเทพอสูรไม่น้อยเลยนะคะเนี่ย" คิวบิ โนะ โยโกะล้อเลียนเทพพยัคฆ์ขาวที่นิ่งเงียบไม่ยอมปริปากก่อนจะเดินออกไปจากถ้ำแล้วสลายร่างไปในพริบตา

พวกเจนมองดูการพูดคุยระหว่างเหล่าเทพอสูรที่หยอกล้อกันอย่างไม่กลัวพลังของฝั่งตรงข้ามเลย คงเป็นเพราะเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางตนแรกอย่างคิวบิ โนะ โยโกะเองก็คงมีพลังสูสีพอ ๆ กันแน่ แต่ว่าตอนนั้นเองที่มีหน้าต่างแสงขึ้นมาเตือนอยู่ตรงหน้าเธอ เมื่อลองเปิดหน้าต่างนั้นดูเจนก็พบว่าเรื่องเก่ายังไม่จัดการแต่ก็มีเรื่องหนักใจเพิ่มเข้ามาให้เธออีกเรื่องแล้ว

ภารกิจอาชีพ : ผู้กล้า
หยุดยั้งสงครามเทพอสูร

หลังจากที่เบียคโกะจากไปแล้วบรรยากาศก็เริ่มที่จะผ่อนคลายลงมาก แต่การมาของคิวบิ โนะ โยโกะนั้นก็สร้างความแปลกใจให้กับพวกเจนและมาเอะไม่น้อย

"ว่าแต่ท่านเก้าหางมาที่นี่ได้ยังไงหรือคะ" มาเอะถามขึ้นอย่างนอบน้อม

"ก็นะ พอดีฉันอยู่ที่เกียวโตน่ะ ทันทีที่รู้สึกถึงพลังของเด็กคนนี้ก็รีบมาดูและได้สมทบกับพวกเธอนั่นแหละ" โยโกะตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

"เดี๋ยวก่อนนะคะ! เมืองเกียวโตที่ว่านี่มันอยู่ห่างจากเมืองยามะไตมากเลยนะคะ!" ซินจูพูดเสียงดังพร้อมทั้งดูแผนที่ประกอบ ระยะห่างระหว่างเมืองทั้งสองนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย ถ้าหากเดินทางด้วยรถม้าก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเต็ม ๆ นี่ยังไม่นับระยะทางจากเมืองมาถึงหุบเขาจิ้งจอกอีก แต่โยโกะกลับใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้นเอง

สาวงามในเสื้อแจ็คเก็ตแดงกอดอกยิ้มอย่างภาคภูมิใจก่อนจะหันไปตอบเด็กสาว "ฉันเป็นถึงเทพอสูรเผ่าจิ้งจอกที่ทรงพลังที่สุดเชียวนะ ระยะทางแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาที่ฉันเป็นห่วงมากกว่านี่มัน..."

โยโกะลดสายลงก้มลงมองดูหญิงสาวที่ถือดาบเทพเจ้าอยู่พร้อมกับทุกคนที่หันมามองเป็นตาเดียว ทำเอาเจนรู้สึกอึดอัดไม่ได้พลางคิดว่าตัวเองไปทำอะไรเข้าอีกล่ะเนี่ย

"ถ้าฉันไม่ได้รู้สึกไปเองล่ะก็ พลังที่เธอเพิ่งใช้เป็นทั้งของมาเอะและโอโรจิใช่หรือเปล่า" โยโกะถามด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากที่ผ่านมา

"เอ่อ..ค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยใช้มาก่อนแล้วหนหนึ่ง" เจนตอบพลางนึกไปถึงตอนที่ใช้พลังครั้งก่อนแต่ตอนนั้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนอกจากพลังเวทที่ลดไปอย่างรวดเร็วเหมือนโดนสูบเท่านั้นเอง

"อย่าลืมสิเจน หนนี้เธอสลบไปหลังจากใช้ทักษะนั้นแล้วนะ" เสือซ่อนลายแย้งขึ้นมา

"อ่า..เป็นเพราะอย่างนั้นเองสินะถึงเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น" สาวงามพูดขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นเองที่เธอเดินเข้าไปหาเจนพร้อมกับจับไหล่ของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง

"จะถือว่าขอร้องก็ได้นะ แต่อยากให้เจนช่วยรับปากหน่อยได้หรือเปล่าว่าต่อไปนี้อย่าใช้พลังสถิตร่างพร้อมกันอีก อย่างน้อยก็จนกว่าเจนจะมีความพร้อมมากกว่านี้"

ดวงตาสีเหลืองทอประกายให้รู้สึกถึงความรู้สึกกังวลออกมา เจนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงจะต้องเป็นห่วงขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ระดับผสานของพลังสถิตร่างนั้นมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยจากที่เธอเคยใช้ในอดีต แต่ก็คงจะละเลยความรู้สึกของมาเอะไม่ได้เช่นกัน อีกอย่างเจนก็ยังสะกิดใจกับคำพูดของโจที่ว่าเหมือนกับตัวของเธอกำลังถูกควบคุมและความฝันแปลก ๆ ด้วย ทางที่ดีเธอคงเชื่อฟังคำขอของมาเอะน่าจะเป็นการดีที่สุด

หญิงสาวผงกหัวรับคำซึ่งทำให้สาวงามยิ้มร่าด้วยความดีใจ แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยแต่การได้เห็นรอยยิ้มของคนอื่นก็ทำให้เจนรู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว

"เอาล่ะ ถ้าจบเรื่องแล้วฉันก็ขอตัวก่อนล่ะนะ ตอนขามาฉันเห็นกระเป๋าหนังสวยมากใบหนึ่งกะว่าจะเข้าไปดูซักหน่อย หวังว่ามันคงยังไม่มีใครชิงตัดหน้าฉันไปก่อนนะ" โยโกะกล่าวพร้อมทำท่าจะเดินจากไปแต่ถูกคำพูดของมาเอะรั้งเอาไว้ก่อน

"ช้าก่อนค่ะท่านเก้าหาง ท่านจะไม่อยู่ทานมื้อเย็นกับพวกเราก่อนหรือ" พูดจบแล้วเธอก็ผายมือไปยังพวกเจนที่กำลังจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่โยโกะรู้ว่าที่มาเอะพูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงพวกเจน แต่เป็นคิทซึเนะที่เป็นจิ้งจอกที่เปรียบได้เหมือนกับหลานสาวของเธอ

ดวงตาของเจ้าแห่งเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางจ้องมองดูจิ้งจอกสาวด้วยความเอ็นดู แม้ว่าการที่ได้เห็นภาพนี้จะชวนให้เธอนึกย้อนกลับไปถึงอดีตที่ปวดร้าวแต่มันก็คุ้มที่จะได้มองดูจิ้งจอกน้อยที่เติบโตมาได้เพียงนี้

สาวในชุดแดงส่ายหน้าปฏิเสธ "เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน เดี๋ยวช้าจะอด" พูดจบโยโกะก็หายไปในพริบตา ทิ้งให้สางสามมองตามตาละห้อย ในขณะเดียวกันนั้นเองที่คิทซึเนะได้เข้ามาหาแม่ของตนพลางมองหาอะไรหรือใครบางคน

"อ้าว ท่านโยโกะไปแล้วหรือคะ เพิ่งได้คุยกันแค่นิดเดียวเอง" จิ้งจอกสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกเสียดาย

มาเอะลูบหัวเบา ๆ เป็นการปลอบใจลูกสาวของตนเอง สำหรับคิทซึเนะแล้วตัวคิวบิ โนะ โยโกะนั้นถือเป็นแบบอย่างของเธอเลยทีเดียวเพราะต่างมีขนสีขาวเหมือนกันทั้งคู่ นิสัยรักอิสระก็แทบถอดแบบมาเลยด้วยซ้ำทำให้ทั้งสองสนิทกันมาก จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกเสียใจเมื่อโยโกะจากไปโดยไม่ลาเช่นนี้



ทางด้านพวกเจนที่ตอนนี้ก็ยังคงพูดคุยกันเรื่องการประลองหลังจากที่เจนสลบไป เธอได้ทราบว่าอาราชินั้นรอดการการโจมตีของเธอด้วยฝีมือของเทพอสูรทั้งสามที่เข้ามาช่วยเอาไว้ทันเวลาพอดี หลังจากรักษาบาดแผลเสร็จแล้วเบียคโกะจึงส่งราชาพยัคฆ์กลับไปยังถิ่นฐานของตน

ส่วนตัวเจนนั้นก็ถูกรักษาแล้วจึงพากลับมานอนพักที่ถ้ำแห่งนี้ โดยเสือซ่อนลายที่เป็นคนหยิบดาบคุซานางิกลับมายืนยันว่าไม่ได้เป็นเทพอสูรที่ถูกผนึกอยู่ในดาบที่ควบคุมร่างกายของเจนแน่ ๆ เพราะตอนเกิดเรื่องนั้นตัวดาบคุซานางิอยู่ไกลจากเจนมาก ทำให้ข้อสงสัยของเธอตกไปแต่เป็นอะไรที่ควบคุมร่างของเธอไปสู้กับเทพอสูรทั้งสามนั้นก็ยังคงยากที่จะรู้ได้

"ขอขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีถึงจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ตาม ถ้าหากมีอะไรจะให้ช่วยขอเพียงแค่เอ่ยมา ข้าจะช่วยเท่าที่ทำได้" มาเอะกล่าว

เจนทำท่าจะปฏิเสธไปเพราะพวกโจไปค้นคลังสมบัติของมาเอะแล้วหยิบของกลับมาตั้งเยอะแยะ ขนาดไม่นับรวมเสื้อคลุมที่ซินจูเอามาไม่ต่ำกว่าห้าสิบตัวก็ยังมีเครื่องป้องกันอื่น ๆ อีกมากมายจนเจนเกรงใจแทน แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร อามีร่าที่มาอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

"คือพวกเราเพิ่งตั้งกิลด์ขึ้นมาน่ะค่ะ แต่ยังไม่มีที่ทำการกิลด์เลย พวกเราปรึกษากันแล้วว่าไม่อยากจะตั้งที่ทำการในเมืองใดเมืองหนึ่งเพราะอยากจะเดินไปเรื่อย ๆ พวกเราจึงอยากจะขอคำปรึกษากับท่านมาเอะหน่อยค่ะว่าควรทำยังไงดี" เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความนอบน้อมทำเอาเจนแทบสะดุ้งเพราะลืมไปซะสนิทว่าพวกเธอมาที่นี่เพื่ออะไรตั้งแต่แรก

มาเอะที่ได้ยินก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่โจราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง จอมเวทหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาที่สอดส่องมาก็ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้ถูเพ่งเล็งจากสาวงามผู้นี้

"เรื่องนี้ก็ไม่เห็นยากนะ ทำไมไม่ใช้มังกรหินของพวกเจ้าให้เป็นประโยชน์ล่ะ ขนาดของมันในตอนนี้ก็น่าจะพอใช้อาศัยได้สบาย ๆ อยู่เหมือนกันนะ เวลาพวกเจ้าจะไปที่ไหนก็ให้มังกรหินตัวนั้นบินไปได้ง่าย ๆ ด้วย” มาเอะเสนอ นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากถ้าหากไม่ติดอยู่ที่ว่ามังกรที่กำลังพูดถึงอยู่คือมังกรของโจ

“เดี๋ยวก่อนนะ ท่านกำลังบอกว่าจะให้โอร็อคเป็นที่ทำการกิลด์อย่างงั้นหรือครับ!? แต่เจ้านี่เป็นสัตว์เลี้ยงของผมนะครับ แถมเจ้านี่ตัวใหญ่เกือบเท่าปราสาท จะไปไหนมาไหนก็เตะตาคนเกินไปด้วย ท่านคงไม่คิดจะให้พวกเราไปสร้างบ้านบนหลังของเจ้าโอร็อคหรอกนะครับ” โจพูดขึ้นเสียงดัง ไอ้ความคิดแบบนี้แม้จะเป็นไปได้ทางทฤษฏีแต่ไม่มีทางที่เจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ทำได้แน่

“ข้าไม่สามารถสร้างบ้านเคลื่อนที่ให้กับเจ้าได้ แต่มังกรหินสามารถเป็นแผ่นดินที่พาเจ้าไปได้ทุกที่ และสิ่งที่สามารถเป็นบ้านให้กับเจ้าได้ก็อยู่ในตัวของเจนนั่นแหละ”

ทุกคนหันมามองเจนเป็นสายตาเดียวทั้ง ๆ ที่ เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มาเอะพูดถึงนั้นคืออะไร หญิงสาวรีบลุกขึ้นและค้นช่องเก็บของกับกระเป๋าของตัวเองทันที แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะพอจะเรียกได้ว่าบ้านอยู่เลย จนในที่สุดเจนก็หยิบเมล็ดพืชที่อยู่ในช่องเก็บของส่วนตัวออกมา

“นี่มันเมล็ดพืชที่ได้มาตอนที่อยู่บนเกาะ...อ้า!”

หญิงสาวร้องเสียงดังเมื่ออ่านรายระเอียดของเมล็ดพืชนี้ เธอลืมไปซะสนิทเลยว่ามีมันอยู่

เมล็ดพันธุ์แห่งบ้านต้นไม้ ระดับ S
เป็นเมล็ดอ่อนที่สามารถปลูกขึ้นมาโตเป็นบ้านต้นไม้ได้

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของพวกเธอได้เป็นอย่างดี ถ้าหากสิ่งนี้สามารถปลูกบนหลังของมังกรหิน โอร็อคของโจได้จริง

“เมล็ดพืชอันขนาดนี้แต่เป็นไอเท็มระดับ S เนี่ยนะ! นี่พวกนายไปได้มาจากไหนกันเนี่ย!” หนูส่งข่าวเสียงเสียงร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้ง ๆ ที่เขาทุ่มเวลากับการหาข้อมูลของไอเท็มระดับสูงแต่ที่เขาเคยพบ เคยได้ยินกลับเป็นแต่ไอเท็มระดับ A ทว่าสามคนนี้ที่เพียงแค่เข้ามาเล่นเกมสนุก ๆ กลับครอบครองไอเท็มระดับ S อย่างน้อยถึงสองชิ้น ใครจะไปรู้ว่าในตัวของเพื่อนของเขาทั้งสามคนนี้จะมีอะไรให้แปลกใจอีก

“แล้วของแบบนี้ใช้ปลูกบนตัวของโอร็อคได้แน่หรือครับ” จอมเวทหนุ่มยังคงคลางแคลงใจ แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่ค่อยเอาใจใส่มังกรหินของเขาซักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะฟีบีที่ทำให้เขาเห็นความสำคัญของโอร็อคมากขึ้น ถ้าหากว่าไอ้เจ้าเมล็ดบ้านต้นไม้นี่ทำอะไรที่ทำให้สัตว์เลี้ยงของเขาอึดอัดใจล่ะก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยแน่

“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก แค่ต้นไม้ต้นเดียวทำอะไรมังกรหินไม่ได้อยู่แล้ว พวกเธอเชื่อคำพูดของข้าได้เลย” สาวงามให้คำมั่น

“อย่าลืมแตงโตวันโตคืนที่เธอเก็บเอาไว้ด้วยนะ เอามาใช้รดน้ำจะได้เร่งให้เมล็ดนั่นโตเร็ว ๆ ไง” แจ็คบอก

เจนที่ได้ยินก็รีบหยิบแตงใบเล็กออกมาด้วย นึกไม่ถึงว่าของทั้งสองอย่างตอนได้มาก็ไม่รู้จะได้เอามาใช้ประโยชน์อะไรจะได้มาใช้ในตอนนี้ได้อย่างเหมาะเจาะกับเวลานี้ซะจริง ๆ

“ความจริงแล้วยังอีกอะไรอีกอย่างที่ฟีบี จะช่วยพวกเจ้าได้นะ” ไม่พูดเปล่า มาเอะก็สาวเท้าเข้าไปหามังกรน้อยที่เงยหน้ามองอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

ไม่ทันที่เจนจะได้ถาม เธอก็ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เทพอสูรเพิ่งทำกับน้องสาวของเธอเพราะมือเรียวเพิ่งจะแทงเข้าไปในร่างของฟีบีทะลุหน้าอกไป!

เสียงร้องที่ควรจะออกมากลับจุกอยู่ในลำคอ เจนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามาเอะที่รักและเอ็นดูมังกรน้อยเหมือนกับลูกแท้ ๆ จะทำร้ายฟีบีได้ลง แต่ทว่าเมื่อสังเกตดูดี ๆ แล้วไม่มีเลือดไหลออกมาจากร่างของเด็กสาวเลยแม้แต่หยดเดียว มือของเทพอสูรทะลุผ่านร่างของเธอไปราวกับเป็นวิญญาณ และเมื่อดึงมือออกมากเจนก็พบว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนฝ่ามือของมาเอะด้วย

“นี่คือแก้วข้ามมิติ มีพลังที่จะส่งผู้ใช้พร้อมกับคนที่อยู่ใกล้เคียงไปยังจุดหมายที่ต้องการได้ในพริบตา นี่เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์โบราณที่ทรงอำนาจและหายากมาก ข้าคิดว่ามันถูกทำลายไปหมดแล้วซะอีก"

พวกเจนหันหน้ามามองกันด้วยความตกตะลึง เพราะของชิ้นนี้ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขนาดคิทซึเนะที่อยู่กับฟีบีตลอดเวลาก็ยังส่ายหน้า ไม่รู้ว่ามังกรน้อยไปได้ของอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่แถมไปอยู่ในร่างของเธอได้ยังไงกัน ถ้าหากนำไปขายในตลาดแล้วล่ะก็ ด้วยความสามารถของอุปกรณ์เวทชิ้นนี้คงไม่อาจตีราคาได้เลย

"นี่ฟีบีไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ แล้วมันทำงานยังไงหรือคะ" เจนถามขึ้น

"มีคนให้หนูมาน่ะค่ะ" ฟีบีตอบเสียงใสซื่อแต่ทำเอาคนฟังมึนงงตาม ๆ กันไป ถ้าหากจะซักถามคงไม่มีประโยชน์อะไรจึงทำได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้และหันไปฟังเทพอสูรจิ้งจอกหางที่กำลังอธิบายวิธีใช้งานของแก้วข้ามมิติ

มาเอะที่ถือแก้วข้ามมิติอยู่ก็ค่อย ๆ จับบิดออกมา ทำเอาพวกเจนที่มองดูทำเสียงร้องอย่างหวาดเสียวเพราะคิดว่าสาวงามตรงหน้าจะทำลูกแก้วสุดล้ำค่านี้แตก ทว่าเมื่อมาเอะแบมือออกมาก็พบว่าแก้วข้ามมิติถูกแบ่งออกมาเป็นสองลูก โดยลูกแรกส่องแสงประกายสีฟ้าในขณะอีกลูกส่องประกายแสงสีส้ม

"วิธีใช้คือนำลูกแก้วลูกใดลูกหนึ่งไปไว้ที่จุดหมายที่ต้องการจะไป จากนั้นก็ใส่พลังเวทลงในลูกแก้วอีกใบก็จะสามารถไปปรากฏยังลูกแก้วอีกใบได้ทันที" ไม่ว่าเปล่า มาเอะก็โยนลูกแก้วสีส้มให้กับเสือซ่อนลายที่ทำหน้าตื่นรับแก้วข้ามมิติมาด้วยความตกใจ จากนั้นเธอจึงชูแก้วข้ามมิติที่อยู่ในมือของเธอขึ้นที่ส่องแสงจาง ๆ ทันใดนั้นแรงที่ร่างของสาวงามพลันสลายเป็นแสงไปประไปปรากฏอยู่เหนือหัวของอัศวินหนุ่มที่อ้าแขนรับแทบไม่ทัน

"ข้อดีของมันคือไม่จำกัดว่าจะระยะทางไกลเท่าไหร่ก็สามารถเดินทางไปได้ในพริบตา แต่จุดหมายนั้นต้องมีแก้วข้ามมิติอีกลูกอยู่เท่านั้นและคนที่จะไปด้วยกันต้องอยู่ใกล้กับผู้ใช้มาก ๆ ด้วย" มาเอะว่าพร้อมกับก้าวลงพื้นอย่างนุ่มนวลโดยเสือซ่อนลายที่ค่อย ๆ วางร่างบางด้วยความเบามือ ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ซินจูและไมโกะหันไปหัวเราะคิกคักกับสีหน้าใหม่ของอัศวินหนุ่มผู้นี้



หลังจากจัดการเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเจนจึงตัดสินใจจะนำเมล็ดพันธุ์บ้านต้นไม้ไปปลูกบนตัวของโอร็อคเลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอพวกเจนและมาเอะออกมาจากหุบเขาจิ้งจอกแล้วก็ให้โจเรียกมังกรหินออกมาทันที

ขนาดของโอร็อคเมื่อเทียบกับหุบเขาจิ้งจอกด้านนอกแล้วยังมีความสูงเทียบไม่ถึงหนึ่งในสามของหุบเขา ถ้าเทียบให้เห็นภาพก็มีความสูงพอ ๆ กับตึกสี่ชั้น แม้ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับปราสาทในเมืองแต่ก็เหลือเฟือสำหรับคนสิบเอ็ดคน ถ้าหากบ้านต้นไม้ที่กำลังจะขึ้นบนหลังมีขนาดใหญ่พอนะ

เริ่มจากการให้ฟีบีไปเจรจากับเจ้ามังกรขี้เซาเป็นอันดับแรก เพราะถ้าหากตัวโอร็อคไม่ยินยอม โจเองก็ไม่อยากขัดใจของมันเช่นกัน แต่ทว่าเรื่องราวกับง่ายดายกว่าที่คาดเพราะมังกรน้อยตอบมาว่าเจ้าโอร็อคบอกให้ทำอะไรก็ได้ตามใจเลย ขอแค่ได้นอนก็เป็นพอ

บนตัวของมังกรหินนั้นกว้างมาจนดูคล้ายกับอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก ถ้าหากไม่เห็นปีกที่ยังคงเป็นหนังและเกล็ดก็คงดูไม่ออกเหมือนกันว่านี่เป็นร่างของมังกร

บนแผ่นหลังของมังกรหินนั้นส่วนใหญ่จะเป็นหินจนทำให้เป็นการยากที่จะหาจุดที่จะปลูกบ้านต้นไม้ได้ จนเมื่อเดินไปยังบริเวณกลางแผ่นหลังก็พบว่ามีจุดที่เป็นพื้นดินอ่อนนุ่มสามารถขุดได้อยู่และจุดนี้ยังเป็นจุดที่โอร็อคสามารถเหลียวหัวมาได้อย่างพอดีอีกด้วย

เจนขุดหลุดเล็ก ๆ จากนั้นจึงหย่อนเมล็ดบ้านต้นไม้ลงไปแล้วรดด้วยน้ำของแตงโตวันโตคืนที่คั้นเอาน้ำเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วจากนั้นจึงถอยออกไปรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ในเวลาไม่นานผลของแตงโตวันโตคืนที่ช่วยเร่งให้โอร็อคโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วก็ออกฤทธิ์ ต้นอ่อนโผล่ขึ้นมาให้เห็นอย่างช้า ๆ ใบอ่อนของต้นไม้ค่อย ๆ งอกขึ้นราวกับว่ากำลังดูภาพเร่งเวลาให้เห็นถึงการเติบโตของต้นไม้ แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แม้ว่าจะอยู่ในเกมก็ตามแต่การเห็นภาพแบบนี้ต่อหน้าต่อตาก็ชวนตื่นเต้นไม่น้อย

เพียงพริบตาเดียวจากต้นกล้าต้นเล็กที่สูงไม่กี่ฟุตก็กลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่านมาแทนที่ ใบไม้สีเขียวสดผลิใบอยู่เหนือต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีขนาดลำต้นเกือบสิบคนโอบ บริเวณโคนต้นนั้นมีโพรงไม้ธรรมชาติอยู่และนั่นก็คงจะเป็นทางเข้าบ้านต้นไม้อย่างแน่นอน

"โอ้ อลังการสุดยอดไปเลยนะเนี่ย ว่าแต่มังกรของนายเป็นอะไรหรือเปล่า" ไมโกะส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้นก่อนจะหันไปถามจอมเวทหนุ่มที่ยืนมองตาค้างอยู่เช่นกัน

"ไม่เป็นอะไรหรอก อย่างที่ข้าบอกแล้วว่าแค่ต้นไม้ต้นเดียวทำอะไรมังกรหินไม่ได้อยู่แล้ว ปกติมังกรหินก็จะมีต้นไม้ขึ้นอยู่บนตัวตอนที่กำลังจำศีลอยู่แล้ว ตัวที่โตเต็มที่บางตัวถึงขนาดแบกป่าเลยนะ" มาเอะอธิบาย และการที่เจ้าโอร็อคไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็เป็นการยืนยันคำพูดของเธอ

เมื่อไม่มีปัญหาอะไรจากนั้นตัวจอมเวทหนุ่มและตัวมังกรหิน มาเอะจึงเดินนำพวกเจนเข้าไปด้านในบ้านต้นไม้

ด้านในบ้านต้นไม้นั้นกว้างขวางมาก ขนาดพวกเจนเข้ามาด้านในพร้อมกันยังมีพื้นที่ให้เดินไปเดินมาอย่างเหลือเฟือ แถมยังมีเครื่องเรื่องให้พร้อมอย่างโต๊ะและเก้าอี้ไม้ที่เป็นรากงอกขึ้นมาจากบนพื้นไม้หรือเตียงแขวนที่เป็นเถาวัลย์ห้อยอยู่เหนือหัว นอกจากนั้นยังมีบันไดวนไล่ขึ้นไปบนลำต้นอีก ทำให้บ้านต้นไม้ชนิดปลูกในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ต้นนี้ดูน่าสำรวจไม่น้อย

"ว้าว!! สุดยอดไปเลย ทั้งกว้างทั้งน่าอยู่ แถมยังอากาศเย็นสบายแบบนี้อาคารในเมืองเทียบไม่ติดเลยนะคะเนี่ย" อามีร่าพูดอย่างตื่นเต้นพลางวิ่งสำรวจไปรอบ ๆ พร้อมกับฟีบี

"ตรงนี้เป็นห้องนั่งเล่น ส่วนตรงนี้ก็เป็นห้องอาหาร.." เสือซ่อนลายพูดพึมพำกำหนดให้แต่ละห้องที่ตัวเองเห็นใช้ทำอะไรบ้างอย่างเสร็จสรรพ ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ คิ้วกระตุกเพราะเล่นไม่ปรึกษาคนอื่นเลย

"อ๋า! นี่นายทำไมถึงไปกำหนดห้องเอาเองแบบนี้ล่ะ นายเนี่ยน้า" ยูสตาร์ชี้ไปยังอัศวินหนุ่มด้วยความไม่พอใจโดยมีหนูส่งข่าวคอยเสริมโรง

"จะเอาอะไรทำไมไม่ปรึกษาคนอื่นเลยล่ะพี่ ที่นี่เป็นของพวกเรานะไม่ใช่แค่ของพี่คนเดียว"

"ฉันไม่ได้คิดจะให้ห้องตรงนี้เป็นอย่างนั้นเลยซักหน่อย ฉันแค่คิดว่าตรงนี้มันเหมาะที่จะทำเป็นห้องอะไรบ้างก็เท่านั้นเอง!" เสือซ่อนลายตอบเสียงดัง ทำเอาไมโกะส่วยหน้าเบา ๆ เพราะสองคนนี้จะทะเลาะกันได้ทุกเรื่องทุกเวลาสิน่า

"ก็ถือว่าน่าอยู่มากเลยนะ ขาดก็แต่ของตกแต่งอีกหน่อยก็คงจะน่าอยู่มากกว่านี้" มาเอะว่า

"เอาไว้เป็นหน้าที่หนูกับอามีร่าจะไปเดินซื้อของตกแต่งในเมืองเองค่ะ รับรองว่าที่นี่จะต้องออกมาทั้งสวยทั้งหรูแน่ ๆ" ซินจูเอ่ยปากรับหน้าที่อย่างหนักแน่น

เจนเองก็รู้สึกประทับใจกับบ้านต้นไม้ไม่น้อย ไม่นึกว่าเมล็ดเล็ก ๆ จะกลายมาเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ แต่ความจริงแล้วถ้าหากเธอไม่มีแตงโตวันโตคืนช่วยเร่งระยะเวลาเติบโตล่ะก็ คงอีกนานกว่าเมล็ดพันธุ์บ้านต้นไม้จะออกกล้าออกมาเหนือพื้นดิน

"จากนี้ไปที่นี่ก็จะเป็นที่ทำการกิลด์อัสนีพิสุทธิ์แล้วสินะ ดูใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย" ผู้กล้าในชุดขาวเอ่ย แล้วจึงหันไปมองดูเทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางก้มตัวลงไปที่พื้นห้องพร้อมกับวางแก้วข้ามมิติสีส้มเอาไว้ ทันใดนั้นเองพื้นไม้ก็แยกตัวออกและค่อย ๆ กลืนแก้วข้ามมิติจนเหลือแค่ครึ่งลูกให้เห็น

"เท่านี้เวลาพวกเจ้าจะเดินทางกลับมาที่นี่ก็คงไม่ลำบากแล้วล่ะนะ เพราะยังไงเวลาจะกลับเมืองพวกเจ้าก็มีคัมภีร์เวทอยู่แล้วนี่" มาเอะกล่าว

เจนหันไปเอ่ยขอบคุณเทพอสูรอย่างใจจริงก่อนที่สาวงามจะขอตัวกลับไปในหุบเขาจิ้งจอกของเธอ



หลังจากทำการสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็หันมาปรึกษากันถึงเป้าหมายต่อไป

"ก่อนอื่นพวกเราก็ต้องไปแจ้งเรื่องที่ทำการกิลด์กับอาคารระบบก่อนล่ะนะ" เจนพูดขึ้นเป็นคนแรก เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องจัดการเป็นอันดับแรกเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาที่ต้องล็อกเอาท์ออกจากเกมแล้ว ถ้าหากไปแจ้งในล็อกอินครั้งหน้ามีหวังโดนค่าปรับหลังอานแน่

"คงจะต้องเป็นอย่างนั้น แล้วคนอื่นมีธุระอะไรในเมืองบ้างหรือเปล่า" โจถาม

"หนูกับอามีร่าจะไปหาซื้อเสบียงและก็อุปกรณ์เครื่องครัวมาไว้ในบ้านแล้วก็จะหาซื้อของอย่างอื่นมาตกแต่งที่นี่ด้วยน่ะค่ะ ว่าแต่จะขอแรงพี่แจ็คมาช่วยทางนี้ได้มั้ยคะ" ซินจูถามขึ้น ชายหนุ่มที่ได้ยินก็ทำท่าทางตื่นเพราะเพิ่งเคยโดนผู้หญิงเอ่ยชวนไปด้วยเป็นครั้งแรกแต่ก็พยักหน้ายอมไปด้วยแต่โดยดี

"ฉันเองก็ต้องกลับเข้าไปในเมืองเหมือนกัน อยากจะรู้จริง ๆ ว่าถ้าพวกหัวขโมยในสมาคมได้เห็นข้อมูลชุดใหม่ของฉันจะทำหน้ายังไงกัน หึหึ” หนูส่งข่าวพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

“ฉันเองก็ไม่มีธุระอะไรในเมืองซะด้วยสิ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอไปเดินเล่นกับซินจูด้วยละกัน” ไมโกะว่าและหันไปหาเสือซ่อนลาย

“พวกเธอไปเถอะ เอาเป็นว่าฉันจะเฝ้าที่นี่ให้เอง ฉันอยากจะสำรวจดูที่นี่ให้ทั่ว ๆ น่ะ” อัศวินหนุ่มกล่าว ท่าทางชองเขาดูจะสนใจบ้านต้นไม้หลังนี้ไม่น้อยเลย

“หนูไปด้วย หนูไปด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟีบีดังขึ้นพร้อมกับเด็กสาววิ่งไปหาเสือซ่อนลาย

“เอ่อ ถ้าพี่เจนไม่ว่าอะไร หนูขออยู่กับท่านแม่จนกว่าทุกคนจะกลับมาได้หรือเปล่าคะ”

เจนหันไปหาคิทซึเนะที่มีท่าทีเอียงอายแต่เธอก็พอจะเข้าใจเพราะจากนี้ไปคงใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะกลับมายังหุบเขาจิ้งจอกอีกครั้ง ดังนั้นจิ้งจอกสาวจึงอยากจะใช้เวลากับแม่ของเธอให้มากที่สุดก่อนจะออกเดินทางไปกับพวกพี่สาวของเธอ

ผู้กล้าในชุดขาวพยักหน้าตอบจิ้งจอกสาวที่รีบกลับไปยังหุบเขาจิ้งจอกทันทีเมื่อได้รับคำอนุญาต

“เอาล่ะพวกเราเองก็ไปกับบ้างดีกว่า” เจนว่าแล้วหยิบใบวาปขึ้นมาก่อนจะฉีกมันส่งตัวเองกลับไปที่เมืองยามะไตโดยมีมังกรน้อยและอัศวินหนุ่มยืนส่งพวกเธอ


พวกเจนกลับมายังในเมืองยามะไตอีกครั้ง ตอนนี้เวลาเย็น มีคนเดินไปมากอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้กล้ายกฮูดขึ้นปิดบังใบหน้าของตนเองอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเพราะชื่อเสียงของเธอในตอนนี้ทำให้มีทั้งคนที่มีเจตนาดีและเจตนาร้ายต่างตามหาเธอกันเต็มไปหมด โชคดีที่เธอมีทักษะฮีโร่นิรนามอยู่และเสื้อคลุมตัวใหม่นี้ก็สามารถปิดบังใบหน้าของเธอได้อย่างมิดชิดอีกด้วย

“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายไปจัดการธุระของตัวเอง ซักทุ่มหนึ่งแล้วค่อยมาเจอกันที่นี่นะ” โจบอกกับทุกคนแล้วจากนั้นจึงแยกย้ายไปทำธุระของตนเอง

สำหรับตัวเจนนั้นเลือกที่จะไปกับเพื่อนของเธอ เพราะถ้าหากให้ไปรังหัวขโมยกับหนูส่งข่าวกับไปช้อปปิ้งกับสามสาวที่เอ่ยปากชวนเธอด้วยน้ำเสียงฟังขนลุกที่ต้นคอ เจนเลือกที่จะไปคุยเรื่องน่าเบื่อที่อาคารระบบกับโจยังจะดีซะกว่า

เมื่อมาถึงอาคารระบบโจก็ตรงไปจัดการเรื่องที่ทำการกิลด์ทันที เจนแอบขำเล็กน้อยตอนที่มองดูใบหน้าของเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รับงานจัดการให้สำนักงานของกิลด์อัสนีพิสุทธิ์เป็นบ้านต้นไม้ที่อยู่บนหลังมังกรหิน หน้าตาตื่นตกใจของเขาพร้อมกับยกมือขึ้นแตะไปที่หูเป็นสูตรสำเร็จเวลาที่พวกเจนมาใช้บริการอาคารระบบซะทุกครั้งไป

ไม่นานนักเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หันมาตอบโจด้วยท่าทางยิ้มแย้มและก้มหัวลงพร้อมกับที่จอมเวทหนุ่มเดินจากมา

“เป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เจนถามขึ้นมาเห็นโจเข้ามาใกล้

ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มกลับมาหาเธอจากนั้นจึงตอบคำ

“ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ตกใจที่พวกเราปลูกบ้านบนสัตว์เลี้ยงของตัวเองน่ะ ก็เลยต้องเสียเวลาตรวจสอบนิดหน่อยแต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อย บ้านต้นไม้หลังนั้นเป็นสำนักงานกิลด์ของพวกเราเรียบร้อยแล้ว”

ทั้งสองเดินออกมาจากอาคารระบบก็จบว่าท้องฟ้าในเวลานี้กำลังกลายเป็นสีแดง ตะวันกำลังค่อย ๆ คล้อยตกลับขอบฟ้าไปแต่ทว่าเวลาในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่นัดกับพวกซินจูและหนูส่งข่าวเอาไว้เลย พวกเธอจึงพากันไปเดินดูของในตลาดเผื่อจะได้เจกับพวกสาว ๆ เนื่องจากไม่รู้จะไปตามหาหนูส่งข่าวได้จากไหน

ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังกังวานไปทั่วทั้งเมือง เหล่าทหารประจำการอยู่ต่างตื่นตัวขึ้นแล้วรีบวิ่งตรงไปยังทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว

โจและเจนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้แต่ชะเง้อมองตามผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่กำลังสับสนเช่นกัน ตอนนั้นเองที่มีเสียงตะโกนของทหารดังลอยมาตามลมที่ทำให้ผู้เล่นทั้งหลายยิ้มกริ่มอย่างชอบอกชอบใจ

“สงคราม!! เกิดสงครามแล้ว!!”

จบตอนที่ 43 พายุสีดำ

Tohan-kun
11th March 2014, 16:32
ตอนที่ 44 บ้านต้นไม้บนหลังมังกร

ผู้เล่นจำนวนมากวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองราวกับคนกำลังวิ่งขึ้นไปบนอัศจรรย์เพื่อชมการแสดงอันน่าทึ่ง เพียงแต่ว่าการแสดงที่กำลังจะเปิดฉากนั้นไม่ใช่การแสดงธรรมดา แต่เป็นบทโหมของไฟสงครามที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า และมันไม่ใช่สงครามระหว่างมนุษย์ แต่เป็นสงครามที่ฝ่ายตรงข้ามคือทัพอมนุษย์ร่างใหญ่นับพัน ๆ ตน

เจนพยายามมองดูกองทัพมอนสเตอร์ที่กำลังตั้งทัพอยู่นอกกำแพงเมืองให้รู้ว่าตกลงมันเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่เป็นเพราะความสูงของเธอที่มีอยู่ไม่มากทำให้เธอไม่สามารถที่จะมองฝ่าฝูงคนไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจความรู้สึกของปลากระป๋องแล้วล่ะว่ามันรู้สึกยังไง

"โจ นายมองเห็นหรือเปล่าว่านั่นมันเป็นตัวอะไร" เจนเอ่ยถามผ่านช่องสื่อสารกิลด์

"แปบนะ..เฮ้ย! อย่ามาเบียดกันสิวะ!" เสียงของจอมเวทหนุ่มดังตอบกลับมา แต่เขาคงจะลืมไปว่าเสียงของเขาตอนนี้คงไม่เข้าหูคงลนที่กำลังเบียดเขาอยู่แน่เพราะมีคนในกิลด์เท่านั้นถึงสามารถได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยในช่องสื่อสารกิลด์

"พี่เจน เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมตอนนี้ทั้งเมืองดูวุ่นวายไปหมดเลย" เสียงของซินจูดังขึ้น แน่นอนว่าการที่มีกองทัพมาถึงประตูเมืองแบบนี้มันก็ต้องเกิดความวุ่นวายไปทั้งเมืองอยู่แล้ว

"ดูเหมือนว่ากำลังมีกองทัพมอนสเตอร์มาบุกเมืองน่ะ พวกเธอได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันกับโจจะขออยู่ดูสถานการณ์ต่ออีกหน่อย" เจนตอบกลับไป เธอไม่มีทางจะยอมพลาดเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้แน่นอน

"เอ๋! ถ้าพวกเราใช้แก้วข้ามมิติกลับไปแล้วพวกพี่จะกลับมาได้ยังไงล่ะคะ"

"เดี่ยวเรื่องจบเมื่อไหร่ฉันจะติดต่อไปอีกที ถึงตอนนั้นก็ค่อยให้ใครซักคนมารับพวกเราไง" เจนพูดจบแล้วจึงพยายามเบียดร่างผ่านฝูงคนอีกครั้ง

หลังจากพยายามแทรกผ่านผู้เล่นคนอื่นหลายต่อหลายคนมาได้อย่างยากเย็น ในที่สุดเจนก็มองเห็นว่าตัวอะไรกันแน่ที่กล้ายกทัพเข้ามาบุกเมืองของมนุษย์ที่มีผู้คนนับแสนเช่นนี้ ร่างขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อภาสใต้ชุดเกราะเหล็กสานแบบตะวันออก อาวุธที่ถือในมือก็เป็นอาวุธขนาดใหญ่กว่าปกติมากไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบองหนามและหอกขนาดใหญ่แต่ก็ดูเหมาะกับพวกมันที่มีความสูงกว่าสองเมตร เจนเคยเห็นร่างใหญ่พวกนี้มาก่อนจากโลกภายนอก มันคือยักษ์ของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเรียกกันว่า "โอนิ"

โอนิ ยศขุนนาง เลเวล 70

ใบหน้าดุร้ายพร้อมกับเขี้ยวที่ออกมาจากปากและเขาสองข้างบนหัวก็สามารถทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่วในหมู่ชาวเมืองที่ได้เห็นพวกมันแล้ว แต่ว่ากลับเกิดผลตรงกันข้ามกับผู้เล่นซึ่งแทบจะพุ่งลงไปสู้ด้วย ถ้าหากไม่ติดที่กองทหารของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่คอยกันไม่ให้ผู้เล่นกระโดดลงจากกำแพงเมืองคงเกิดสงครามไปแล้ว

"โอนิพวกนี้ท่าทางแข็งแกร่งหน้าดู นอกจากพละกำลังแล้วไม่รู้ว่าจะมีความสามารถอะไรอย่างอื่นอีก" โจพูดขึ้นขณะที่เจนเคลื่อนตัวมาอยู่ข้าง ๆ

เจนเองก็เห็นด้วยกับความคิดของโจเพราะนอกจากรูปร่างแล้ว สีผิวของโอนิแต่ละตัวเองก็แตกต่างกันจนน่าสงสัย บางตัวมีผิวสีแดง บ้างก็มีสีเขียวหรือสีน้ำเงินยืนปนกันโดยที่แต่ละทัพไม่ได้แบ่งแยกสี เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าอาวุธที่ถือก็แบ่งไปตามสี โดยสีแดงนั้นจะถืออาวุธโจมตีระยะประชิดอย่างดาบหรือกระบองหนาม ส่วนสีน้ำเงินจะถือหอกยาว ส่วนสีเขียวนั้นเป็นธนูคันใหญ่

ในขณะที่ภายในเมืองกำลังวุ่นวายกับการจัดกองทัพเตรียมพร้อมรบอยู่นั้นเอง ด้านนอกเมืองกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย กองทัพโอนิเพียงแค่ยืนประจำที่อยู่เฉย ๆ ไม่มีทีท่าจะเข้าบุกตีเมืองแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเหล่าโอนิพวกนี้ต้องการอะไรหรือกำลังรออะไรอยู่กันแน่

"พวกจีโอมากันโน้นแล้วล่ะ" เสียงของหนูส่งข่าวดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของหัวขโมยหนุ่ม ทำเอาเจนตกอกตกใจหมด

"เฮ้ย! นี่นายไม่ได้กลับไปพร้อมกับพวกซินจูหรอกเหรอ" เจนถามเสียงดัง

"ฉันบอกให้พวกนั้นกลับไปก่อนเองแหละ กองทัพโอนิบุกเมืองหลังจากที่เทพอสูรออกมาจากผนึก เรื่องนี้มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ ๆ ไม่มีทางที่ฉันจะยอมพลาดเรื่องอย่างนี้หรอก พวกเธอก็ด้วยใช่มั้ยล่ะ" หนูส่งข่าวแยกเขี้ยวยิ้มพลางชะโงกมองลงไปดูกองทัพยักษ์ด้วยความสนอกสนใจ

เจนถอนหายใจออกมาให้กับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนคนนี้ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ แต่มันก็เหมาะกับเขามากและสิ่งที่เขารู้ก็ช่วยเจนเอาไว้ได้หลายต่อหลายครั้งทีเดียว บางทีดวงตาของหนูส่งข่าวอาจจะมองเห็นในสิ่งที่เจนมองไม่เห็นก็ได้

หันไปตามที่หัวขโมยหนุ่มบอก เธอเห็นจีโอและหย่งฟางพร้อมกับกองทัพในชุดเกราะสีแดงคล้ายกับชุดเกราะของจีโอกำลังเดินทัพมา เช่นเดียวกับทัพในชุดเกราะสีขาวของหย่งฟางโดยรวมแล้วหลายหมื่นคน เพียงแค่วัดจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือกองทัพแห่งยอดฝีมือที่อาจจะมีความเก่งกาจมากพอจนสามารถต่อกรกับทัพผู้รุกรานได้ แต่เจนเองก็ยังไม่คิดจะปักใจเชื่อจากที่เห็นถ้าหากยังไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของโอนิกับตา

ไม่นานนักหย่งฟางก็ตะโกนเสียงดังให้เหล่าผู้เล่นที่อยู่รอบ ๆ หันไปสนใจ

"ทุกคนฟังทางนี้! ผมมีชื่อว่าหย่งฟาง เป็นตัวแทนจากกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ที่มีสิทธ์ในการคุ้มครองเมืองยามะไตแห่งนี้ ขอให้ทุก ๆ คนโปรดถอยห่างออกจากบริเวณประตูเมืองด้วย!"

เพียงแค่พูดจบ หัวหน้ากิลด์หนุ่มผู้นี้ก็ถูกส่งเสียงโห่ร้องในทันที ผู้เล่นข้างกายเจนตะโกนใส่หย่งฟางด้วยความไม่พอใจเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

"ฉันคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้ขึ้น" หนูส่งข่าวพูดขึ้น เจนหันไปถามทันทีด้วยความสงสัย

"อะไรงั้นหรือ หย่งฟางทำอะไรงั้นหรือ"

"ก็นี่ไง หมอนั่นกำลังใช้อำนาจของกิลด์ที่ปกครองเมืองนี้กีดกันผู้เล่นไม่ให้เข้าไปสู้กับทัพโอนิ นั่นหมายความว่าผลประโยชน์อะไรก็ตามอย่างพวกอาวุธของของที่ตกจากเจ้าพวกโอนิจะกลายเป็นของกิลด์ราชาพยัคฆ์เท่านั้น" หนูส่งข่าวอธิบาย

"นี่เป็นเรื่องปกติที่กิลด์เจ้าของเมืองจะต้องทำอยู่แล้วเพื่อผลประโยชน์ของกิลด์ ไหนจะยังเป็นเรื่องมอนสเตอร์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอย่างโอนิอีก” โจเสริม “ไม่รู้ว่าจะให้ของอะไรบ้าง ดูดาบนั่นสิ เผลอ ๆ คงมีพลังโจมตีสูงกว่าดาบอสูรคลั่งของเสือซ่อนลายอีก"

เสียงโห่ร้องของเหล่าผู้เล่นยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหย่งฟางยกมือขึ้นปรามลง ในเวลาไม่นานเสียงจึงค่อยซาลง "ถึงแม้ว่าการปกป้องเมืองจะเป็นหน้าที่ของพวกเรา แต่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ทว่าผมเองก็ไม่อาจจะปล่อยให้ทุกคนเข้าไปสู้โดยไร้แบบแผนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงขอให้ผู้เล่นทุกคนที่ไม่ใช่กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่มารวมตัวกันที่ใจกลางเมืองเพื่อลงทะเบียนเป็นทัพหน้า โดยให้ซึบากิ ผู้ที่เป็นถึงรองหัวหน้ากิลด์วิหคเทเวศผู้นี้เป็นผู้นำทัพ"

พูดจบแล้วเขาก็ผายมือไปยังสาวร่างสูงที่ออกมายืนอยู่ข้าง ๆ ตัวของหย่งฟาง เจนยังจำซึบากิได้ดีจากที่เคยร่วมมือกันสู้ในสมรภูมิหนองน้ำที่เธอเป็นคงทำลายจนวินาศสิ้น

"พวกนั้นกำลังจัดตั้งกองทัพแล้ว พวกเราจะลองเข้าไปร่วมมือกับซึบากิดูกันดีมั้ย" เจนเสนอความเห็น แต่สองหนุ่มกลับมีความเห็นคนละอย่างกับเธอ

"อย่าดีกว่าเจน ศึกนี้ถึงสู้ไปก็ไม่มีประโยชน์กับพวกเราซักเท่าไหร่ อีกอย่างกิลด์ของเราตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าหากทุกคนรู้ว่าผู้กล้าในชุดขาวอยู่ในกิลด์ของเราขึ้นมาแล้วล่ะก็จะต้องถูกจับตามองในฐานะกิลด์ที่มีความสำคัญแน่ พอถึงตอนนั้นแล้วเวลาพวกเราไปไหนมาไหนก็จะลำบาก เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเราควรจะทำตัวเงียบ ๆ เอาไว้ก่อนเพื่อความสะดวกของทุกคนจะดีกว่า" โจบอกพลางกระชับฮูดคลุมหัว แม้จะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอ่านริมฝีปากได้

ถึงจะไม่ค่อยพอใจแต่เจนก็ต้องยอมทำตาม เพราะเธอมองการไม่ไกลเท่ากับเพื่อนคนนี้ถึงได้ยกให้โจเป็นหัวหน้ากิลด์ ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ในหัวของโจจะคิดอะไรอยู่ บางทีเขาอาจจะมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของอนาคตของกิลด์อัสนีพิสุทธิ์แล้วก็เป็นได้ ทางที่ดีเธอควรจะเชื่อใจของโจไปก่อน ถึงยังไงก็ใช่ว่าพวกซึบากิจะไร้ฝีมือซะที่ไหน

การจัดทัพของซึบากินั้นจัดขึ้นง่าย ๆ โดยให้ผู้เล่นแต่ละสายอาชีพแบ่งเป็นชั้น ๆ โดยชั้นหน้าสุดเป็นพวกเข้าปะทะและพวกลุยอย่างเดียว ส่วนชั้นต่อมาเป็นสายเวทมนตร์ทั้งสนับสนุนและเวทมนตร์โจมตี และอยู่ด้านหลังสุดจะเป็นพวกที่โจมตีระยะไกลอย่างปืนหรือธนู และเพิ่มพิเศษด้วยผู้เล่นสายเวทที่มีเวทโจมตีเป็นบริเวณกว้างซึ่งต้องใช้เวลาในการร่ายอยู่พอสมควร

ไม่นานนักผู้เล่นบนกำแพงเมืองก็หายไปจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่ไม่ต้องการจะเข้าไปสู้ในศึกนี้ ไม่นานนักทหารประจำเมืองก็ขึ้นมาประจำการบนกำแพงพร้อมกับผู้เล่นในทัพของหย่งฟางที่เจนสังเกตได้ทันทีเพราะสวมชุดเกราะสีขาวเช่นเดียวกัน ทั้งสามรีบหลบไปก่อนเพราะยังไม่อยากจะพบกับหย่งฟางในตอนนี้ เจนยังไม่อยากอธิบายเรื่องราวในการพบกันครั้งล่าสุดของเธอและชายคนนี้

หลังจากทัพหน้าที่นำโดยซึบากิจัดทัพเสร็จ ประตูเมืองก็ถูกเปิดออกพร้อมกับหญิงสาวสั่งเดินทัพออกไปนอกเมือง เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าอสูรยักษ์ที่กำลังยืนนิ่งราวกับว่ากำลังรอคอยพวกเธออยู่

เมื่อออกมาแต่ทัพของโอนิก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ซึบากิเองก็ไม่ทราบเหตุผลแต่ก็ระมัดระวังเต็มที่ ดาวกระจายขนาดยักษ์ถูกหยิบออกมาเตรียมพร้อมต่อสู้ สัญชาติญาณถูกเร่งขึ้นมาเต็มที่ เมื่อเข้ามามองใกล้ ๆ ก็พบว่าขนาดของโอนิแต่ละตัวนั้นสูงกว่ามนุษย์มากจนชวนรู้สึกหวั่นใจ ขนาดตัวซึบากิเองที่ถือว่าเป็นคนที่มีความสูงอยู่พอควรยังเทียบได้เพียงแค่หน้าอกของโอนิเท่านั้นเอง

แม้ว่าซึบากิไม่อยากจะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อนเพราะยังไม่รู้ถึงความสามารถของทัพฝ่ายตรงข้าม แต่กองทัพที่เธอบัญชานั้นมีเพียงแค่กลุ่มสมาชิกกิลด์วิหคเทเวศที่ยังอยู่ในเมืองและผู้เล่นไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนที่เหลือของกองทัพกระหายพร้อมที่จะทำสงครามทุกเมื่อโดยที่ไม่สนใจเลยว่าเลเวลของตนห่างชั้นกับโอนิมากแค่ไหน และซึบากิก็ไม่รู้ว่าจะถ่วงเวลาให้พอที่จะสำรวจศัตรูไปได้อีกนานเท่าไหร่

การจัดกองทัพของโอนินั้นค่อยข้างหยาบและคล้ายกับกองทัพหน้าของซึบากิ ที่ต่างกันก็คือกองทัพของโอนิไม่มีจอมเวทเลยแม้แต่ตัวเดียว และอีกอย่างที่สำคัญพอกันก็คือไม่เห็นโอนิตนใดที่ดูท่าทางเหมือนผู้นำทัพเลยเช่นกัน

แม้กองทัพหน้าที่รวมผู้เล่นภายในเมืองจะมีจำนวนมากและมีผู้บังคับบัญชาที่เก่งกาจอย่างซึบากิ แต่ทว่าเป็นเพราะการรวมตัวอย่างเฉพาะกิจจึงทำให้ผู้เล่นแต่ละคนไม่มีคิดจะทำตามคำสั่งของซึบากิได้นานนัก ในระหว่างที่ซึบากิกำลังประเมินความสามารถของทัพโอนิอยู่นั้นเอง ก็มีลูกธนูที่มีพลังสีแดงเพลิงหุ้มเอาไปอยู่อย่างเข้มข้นพุ่งเข้าใส่โอนิตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ทัพหน้า

เจนไม่เคยเห็นธนูที่มีพลังหุ้มอยู่แบบนี้มาก่อนแต่พนันได้ว่ามันต้องรุนแรงมากกว่าธนูปกติอย่างแน่นอน เธอได้ยินเสียงร้องอุทานของใครหลาย ๆ คนที่สังเกตเห็นธนูดอกนั้น แต่เพียงแค่เสียงมันไม่สามารถหยุดธนูที่พุ่งออกไปแล้วได้

แทนที่ลูกธนูจะปักเข้าที่กลางหัวของโอนิอย่างแม่นยำ เมื่อกระทบเข้ากับร่างของโอนิมันกลับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ โดยที่ผิวของโอนิตนนั้นเองไม่มีรอบขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย ภาพของลูกธนูที่กลายเป็นเศษไม้ร่วงลงสู่พื้นดินทำให้เหล่าผู้เล่นทุกคนที่เห็นถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลาย เห็นทีศึกนี้คงไม่ใช่ง่าย ๆ อย่างที่คิดเอาไว้ซะแล้ว

เสียงหัวเราะในลำคอของเหล่าโอนิดังขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของกองทัพยักษ์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย โอนิที่อยู่แถวหน้าโบกอาวุธไปมาและออกตะกุยเท้าตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วในขณะที่โอนิแถวหลังที่ถือธนูเตรียมขึ้นศร เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้วซึบากิจึงไม่มีทางเลือกอื่นอีก เธอรีบสั่งการลงไปให้ทุกคนรีบโจมตีก่อนจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที

เวทมนตร์จำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมาใส่กองทัพโอนิอย่างไร้ความปราณี ลูกไฟ สายฟ้า เสาน้ำแข็งพุ่งห้ำหั่นหมายจะปลิดชีวิตยักษ์เหล่านี้ ทว่าสิ่งที่เวทมนตร์ทำได้กลับเป็นบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีโอนิตนไหนตายจากการโจมตีเมื่อครู่เลยแม้แต่ตนเดียว

เมื่อโอนิเข้าปะทะกับเหล่าผู้เล่นแถวหน้า ความแตกต่างของพลังแสดงให้เห็นออกมาทันทีเมื่ออัศวินคนหนึ่งถูกกระบองหนามฟาดเข้าเต็มแรงจนร่างลอยกระเด็นไปไกลก่อนจะสลายเป็นแสง การโจมตีที่รุนแรงถึงฆ่าผู้เล่นสายต่อสู้ระยะประชิดได้ในครั้งเดียวของโอนิทำให้ผู้เล่นคนอื่นถึงกับแตกตื่นและถอยกันไม่เป็นขบวน

มีเพียงกองกำลังของซึบากิและผู้เล่นไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เกาะกลุ่มกันต้านทานกองทัพโอนิเอาไว้ได้ แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วเพราะการโจมตีของพวกเธอแทบทำอะไรไม่ได้เลย จนตอนนี้เป็นฝ่ายทัพโอนิที่ไล่บี้กองทัพของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว

"มีทั้งพละกำลังเหนือมนุษย์แล้วยังมีผิวหนังที่ป้องกันการโจมตีทั้งจากอาวุธและเวทมนตร์ แบบนี้พวกทัพหน้าไม่มีทางเอาชนะได้แหง ถูกไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้" โจวิเคราะห์

"แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปถึงกองทัพของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ออกมาก็สู้พวกโอนิไม่ได้อยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนั้นเมืองคงได้พินาศแน่" เจนเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ถึงผู้เล่นจะสามารถคืนชีพได้ เมืองจะสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตของชาวเมืองนั้นเธอไม่คิดว่าจะเอากลับมาได้เหมือนกับอย่างอื่น

"ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เธออย่าเพิ่งดูถูกพวกกิลด์ใหญ่เลยดีกว่า แล้วอีกอย่างลองดูหมอนั่นสิ ยังตีหน้ายิ้มออกมาได้แบบนั้นได้คงจะมีแผนอะไรอยู่ในหัวแล้วแน่ ๆ" หนูส่งข่าวว่าพร้อมกับชี้ไปยังจีโอที่ยิ้มหน้าระรื่นราวกับว่าความแข็งแกร่งของโอนิที่แสดงออกมาไม่ได้มีความหมายสำหรับเขาเลย

เจนมองดูใบหน้าของชายหนุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมแต่เธอเองก็ยังคงรู้สึกกังวลอยู่ในใจไม่น้อย ถ้าหากว่าเขาเป็นอะไรไปเธอคง... เดี๋ยวนะ นี่เธอกำลังเป็นห่วงจีโองั้นหรือ!?

หญิงสาวหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิดอะไรไป เธอสะบัดหน้าไล่ความติดนั้นออกไปและหันไปจดจ่อกับศึกตรงหน้าที่ตอนนี้กองทัพหน้าของซึบากิที่จากเดิมมีอยู่เป็นพันคน แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งในขณะที่มีโอนิตายไปเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น จนกองกำลังทหารของเมืองและกองกำลังของหย่งฟางที่ประจำอยู่บนกำแพงเมืองต้องช่วยยิงสกัดลูกธนูและเวทมนตร์ระดับสูงใส่จนโอนิต้องถอยกลับไปชั่วครูทำให้มีเวลาพอที่จะให้ทัพหน้ากลับมาหลบภายในเมือง

"ดูท่าทางคงถึงตาจีโอออกมาสู้แล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่หมอนั่นเมืองแตกแน่" โจคาดการณ์

"แต่ถ้าเปิดประตูเมืองก็เท่ากับปล่อยให้โอนิมาในเมืองนะ ดูนั่นสิ" เจนชี้ไปยังบริเวณหน้าประตูเมืองที่ตอนนี้มีโอนิจำนวนมากกำลังทำลายประตูไม้ด้วยอาวุธของตน แม้ประตูเมืองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่ ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของโอนิ คงใช้เวลาไม่นานก็แน่ใจว่าประตูเมืองจะต้องพลังทลายอย่างแน่นอน

บนกำแพงเมืองก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ธนูที่เหมือนดั่งหอกเหล็กพุ่งเข้าโจมตีทหารราวกับห่าฝน ธนูที่โอนิยิงมาแม้จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติแต่ก็มีความเร็วไม่ต่างจากธนูธรรมดาเลยจนพวกเจนเองแทบหาที่หลบไม่ทัน

ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง ชายคนหนึ่งยังคงยืนนิ่งขณะที่คนอื่นรอบกายเขากลับหาที่หลบลูกธนูยักษ์กันจ้าละหวั่น เพียงแค่เอี้ยวตัวเพียงเล็กน้อยจีโอก็หลบลูกธนูได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ได้ก้าวออกจากขุดที่ยืนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

ผ้าคลุมถูกปลดออกให้เห็นชุดเกราะสีแดงที่เจนเคยเห็นมาแล้วอีกครั้ง ถึงแม้ตัวจีโอจะไม่หลบธนูเหล่านี้แต่เจนก็แน่ใจว่าคงไม่มีการโจมตีใดของโอนิจะสามารถทะลุผ่านเกราะของจีโอไปได้อย่างแน่นอน

ทันใดนั้นเองเขาก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อจีโอกระโดดลงจากกำแพงเมืองออกไปด้านนอกที่มีทัพโอนิกำลังอาละวาดอยู่ ดาบสีแดงเล่มยักษ์ถูกเรียกออกมาจากอากาศธาตุพร้อมกับฟาดลงไปยังโอนิที่อยู่ตรงหน้า

ตูม!!!

ไม่เพียงแค่ดาบของจีโอสามารถสร้างบาดแผลให้กับโอนิได้ แต่ยังสามารถปลิดชีพได้ในดาบเดียว นอกจากนั้นเมื่อดาบกระทบพื้นแล้วยังระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง โอนิที่อยู่รอบ ๆ กระเด็นไปไกลจนบริเวณประตูเมืองที่อยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้พังรอดจากการถูกทำลายมาได้อย่างหวุดหวิด

"เปิดประตู!!" เสียงของทหารบนกำแพงเมืองคนหนึ่งสั่งการเมื่อเห็นว่าปลอดภัยที่จะเปิดประตูเมืองแล้ว

เมื่อประตูเมืองเปิดออก กองทัพทหารในชุดเกราะสีแดงก็ก้าวออกมาจากเมืองอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับเป็นทหารที่ฝึกมาอย่างดี อาวุธและชุดเกราะที่พวกเขาสวมใส่ก็ดูแข็งแกร่งกว่าของผู้เล่นทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่ต้องพูดถึงความสามัคคีและจำนวนคนที่ทัพหน้าของซึบากิเทียบกันไม่ได้เลย เจนหวังว่าทหารพวกนี้คงจะสามารถรับมือโอนิได้บ้างเพราะถึงจีโอจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็เป็นเพียงแค่คน ๆ เดียว คงไม่อาจจะไปสู้กองทัพอมนุษย์นับพันได้

เหล่าโอนิที่เห็นมนุษย์ผู้ที่สังหารพวกมันได้ในดาบเดียวก็เริ่มแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก และมันก็รู้สึกได้ว่าทหารพวกที่มาใหม่นั้นก็มีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน การต่อสู้จากนี้ไปคงไม่ง่ายดายสำหรับพวกมันอีกต่อไปแล้ว

ครั้งนี้เหล่าโอนิไม่รอให้กองทัพหลักของจีโอจัดแถวให้เสร็จ ยักษ์ทุกตนต่างพุ่งเข้าใส่พร้อมยกอาวุธฟาดฟันหมายจะบดขยี้ศัตรูให้สิ้น ทว่าก่อนจะมาถึงตัวของเหล่าทหารในชุดเกราะแดงก็มีห่าธนูที่มีแสงสีขาวห่อหุ้มพุ่งลงมาสกัดเอาไว้ซะก่อน ครั้งนี้แทนที่ลูกธนูจะแตกเป็นชิ้น ๆ เหมือนครั้งที่ลูกธนูสีแดง แต่เหล่าลูกธนูสีขาวกลับเหล่านี้กลับแทงทะลุผิวหนังที่หนาราวกับชุดเกราะของโอนิได้อย่างง่ายดาย

มองขึ้นไปบนกำแพงก็ไม่ได้เป็นใครอื่นไปได้นอกจากตัวหย่งฟางที่กำลังสั่งการพลธนูในทัพของเขารวมถึงทหารประจำเมืองด้วย โดยธนูที่พวกเขายิงออกมานั้นเป็นเพียงแค่ธนูธรรมดาเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้มันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายเช่นนี้ได้อยู่ในมือของผู้นำทัพ เมื่อหย่งฟางยกมือขึ้นเตรียมให้สัญญาณก็มีแสงสีขาวปรากฏที่มือของเขา และพร้อมกันนั้นเองลูกธนูของทหารนับพันก็ส่องสว่างเช่นเดียวกันด้วย

"ยิง!!" เสียงของหย่งฟางจะโกน ลูกธนูพิฆาตอีกระรอกก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งจนเหล่าโอนิต้องร่นถอยไปอีกครั้งเพราะไม่อาจทนรับการโจมตีต่อไปได้อีก ทำให้กองทัพของจีโอสามารถจัดทัพพร้อมศึกได้อย่างราบรื่น ไร้ปัญหา

"ให้กองทัพของจีโอที่มีพลังในการทะลุทะลวงและพลังป้องกันสูงเป็นฝ่ายรุก และในขณะเดียวกันก็ให้หย่งฟางที่มีพลังในการสนับสนุนการโจมตีของคนรอบ ๆ คอยป้องกันเมืองเอาไว้ แบบนี้ถ้าพวกโอนิไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์อีกก็คงฝ่าพวกนั้นมาไม่ได้แล้วล่ะ" โจพูดขึ้น แม้แผนการจะพื้น ๆ แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนต่างเป็นผู้เล่นที่มีฝีมือสูงพอสมควร ทำให้การป้องกันที่ดูเหมือนไม่แข็งแกร่งอะไรนัก กลายเป็นการป้องกันที่ไร้เทียมทานขึ้นมาทันที

แม้ว่าในตอนแรกนั้นกองทัพของจีโอจะได้เปรียบเพราะกองทัพของเขาทั้งฝีมือ อาวุธและชุดเกราะรวมไปถึงความสามัคคีที่เหนือกว่าการรวมตัวเฉพาะกิจของเหล่าผู้เล่นในทัพหน้ามาก ทำให้สามารถทั้งรุกและรับการโจมตีของโอนิได้อย่างสูสี แต่ทว่าความแข็งแกร่งของเหล่าโอนินั้นก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และมันยังมีทีเด็ดที่จีโอและหย่งฟางไม่รู้ซ่อนอยู่อีก

"อ้ากกกกก!!" เสียงตะโกนอย่างเดือดดาลของโอนิดังลั่นไปทั่วสนามรบ เหล่าโอนิทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าตกใจราวกับว่าก่อนหน้านี้พวกมันไม่ได้สู้อย่างเอาจริงเอาจังเลยแม้แต่น้อย จนทัพของจีโอต้องใช้คนถึงสิบคนช่วยกันจัดการโอนิต่อหนึ่งตนถึงจะพอสู้ได้ ทว่านั่นก็ทำให้ผู้บาดเจ็บมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกองทัพของมนุษย์กลับมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง

แม้จีโอจะสามารถรับมือโอนิที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เมื่อโอนิกว่าสิบตัวเข้ามารุมโจมตีเขาเพียงคนเดียวแบบที่วิธีทหารในทัพของเขาใช้จัดการเหล่าโอนิก็ทำเอาหืดขึ้นคอ ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเห็นทีเขาเองก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน

พวกเจนทั้งสามคนที่เห็นภาพของโอนิกำลังไล่บี้กองทัพของเหล่ามนุษย์อีกครั้งหนึ่งก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าอมนุษย์พวกนี้จะมีพลังที่แอบซ่อนอยู่อีกจริง ๆ จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าหากยังมีพลังอย่างอื่นที่ซ่อนอยู่ในร่างของโอนิเหล่านี้อีก

ในขณะที่สถานการณ์ในสนามรบกำลังคับขัน ด้านบนกำแพงเมืองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก พลังแสงสีขาวที่ใช้เสริมพลังอาวุธของหย่งฟางนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์เมื่อพบกับโอนิที่เพิ่มพลังขึ้นมาเช่นนี้ ถึงทั้งตัวเขาและจีโอยังแสดงฝีมือออกมายังไม่ถึงครึ่งก็ตาม ทว่าจะใช้พลังเต็มที่ตอนนี้ก็คงไม่แคล้วมีโอกาสที่พวกโอนิจะบุกเข้ามาในเมืองได้แน่ นับว่าศึกนี้พวกเขาประมาทไปจริง ๆ ที่ประเมินศัตรูผิดพลาดและเก็บงำฝีมือเอาไว้เช่นนี้

ชายหนุ่มชักดาบออกมาทำท่าจะลงไปช่วยเพื่อนของตน แต่ก่อนที่จะได้ขยับไปไหนก็มีมือเรียวพุ่งมาจับมือของหย่งฟางไม่ให้ชักดาบออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้ที่ยืนต่อหน้าเขานั้นเป็นหุ้นส่วนของกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ผู้ที่ปกครองเมืองแห่งนี้อยู่อีกครึ่งหนึ่ง

เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงมีผมดำขลับ ดวงตาสีแดงเป็นประกายโดยมีใบหน้างามเป็นทรงช่วยทำให้ดวงตาเด่นขึ้นมาอีก ชุดที่เธอสวมอยู่เป็นชุดคลุมทำจากผ้าสีขาวบางยาวลากพื้นไปพร้อมกับเส้นผมของเธอ ความงามบนใบหน้าของเธอทำเอาหย่งฟางใจเต้น ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังไม่ชินซักที

การปรากฏตัวของหญิงสาวผู้นี้ทำให้ทหารบริเวณรอบ ๆ ต่างตกตะลึงให้กับทั้งความงามและฐานะของเธอ แต่กับทหารประจำเมืองนั้นแทบจะเอาหัวกระแทกพื้นเพื่อจะแสดงความน้อมน้อมที่มีให้ต่อหญิงสาวผู้นี้

ทหารในสนามรบเองก็รับรู้ถึงการปรากฏตัวของหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวและจีโอเองก็พอจะเดาได้ว่ากำลังจะมีอะไรตามมาซึ่งในหัวของเขาตอนนี้คิดอยู่เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือพาพรรคพวกของตนออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ความคิดนี้ไม่โผล่ขึ้นมาในหัวของเขาบ่อยนักแต่เผอิญว่าครั้งนี้จีโอรู้ว่าทางเลือกนี้เป็นทางเลือกดีที่สุดแล้ว

ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่า แต่เสียงที่ออกมานั้นมันช่างเบาบางจนแทบไม่มีใครได้ยิน ทว่าคนในกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ทุกคนได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนและรีบร่นถอยไปที่หน้าประตูโดยไม่สนใจโอนิอีกต่อไป ส่วนด้านยักษาก็เร่งรุกบุกเพราะคิดว่าที่มนุษย์พวกนี้ถอยหนีเป็นเพราะรู้ว่าสู้พวกตนไม่ได้แล้ว โดยที่ไม่คิดเลยว่าตนเองจะเจอเข้ากับสิ่งที่ไม่ควรตอแยด้วย

ยังไม่ทันที่จีโอและกองทัพของเขาจะไปถึงบริเวณประตูเมือง หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวก็ชูมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับร่ายเวท พริบตาเดียว ลูกเพลิงที่ร้อนระอุดังดวงอาทิตย์พลันปรากฏขึ้นมากลางอากาศ แสงของลูกเพลิงนั้นสว่างจ้าจนไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า เจนรู้สึกได้ถึงความร้อนของมันแม้เธอจะอยู่ห่างจากหญิงสาวคนนั้นมากก็ตาม เจนแน่ใจว่าชุดของเธอไหม้เล็กน้อยเพียงจากยืนมองลูกเพลิงลูกนี้

ก่อนที่ศัตรูจะได้มีโอกาสรู้ตัว หญิงสาวก็ส่งลูกเพลิงพุ่งเข้าใส่ทัพโอนิอย่างรวดเร็ว พลังของเธอมหาศาลจนไม่มีโอนิตนไหนสามารถหนีรอดไปจากอาณาเขตเพลิงที่ทุกอย่างลุกไหม้ในพริบตาเมื่อลูกเพลิงของหญิงสาวผู้นี้สัมผัส ผิวหนังหนาและชุดเกราะเหล็กไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อพบกับพลังขนาดย่อม ๆ ของพระอาทิตย์

พริบตาเดียว กองทัพโอนิที่แข็งแกร่งก็กลายเป็นเถ้าถ่าน รวมไปถึงพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ประตูเมืองที่มีไฟลุกไหม้ทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งก้อนหินที่รอดจากการปะทะ

"ในที่สุดก็ออกมาให้เห็นแล้วสิ ราชินีแห่งดวงอาทิตย์ผู้ปกครองเมือง ราชินีฮิมิโกะแห่งยามะไต" หนูส่งข่าวกระซิบบอก

เจนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของราชินีแห่งดวงอาทิตย์ผู้นี้มาก่อนแต่จากที่เห็นก็พอจะรู้ว่าเธอทรงพลังมากแค่ไหน เธอคงจะมีพลังใกล้เคียงกับมอนสเตอร์ยศเทพอสูรมากทีเดียว

"เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าคนที่ปกครองเมืองมีพลังมหาศาลขนาดนี้แล้วพวกจีโอเอาชนะมาได้ยังไงกัน" เจนถามด้วยความสงสัย เพราะแค่เจอพลังเมื่อกี้เข้าไปแค่ครั้งเดียวก็ไม่มีทัพใดต่อกรกับราชินีฮิมิโกะได้แน่

"ก็กิลด์ราชาพยัคฆ์คู่ไม่ได้ใช้กำลังยึดเมืองนี้ไงล่ะ หย่งฟางเป็นคนเจรจากับราชินีฮิมิโกะ จากนั้นก็ส่งคนในกิลด์เข้ามาช่วยดูแลผู้เล่นในเมืองให้ ขณะที่ตัวหย่งฟางเองก็อยู่ดูแลเมืองลั่วหยางและจีโอก็ดูแลเมืองซีโป เป็นสามเหลี่ยมแห่งอำนาจในทวีปอัลเทเชียไงล่ะ" หนูส่งข่าวอธิบายขณะพยายามเก็บภาพเหตุการณ์ตรงหน้าให้มากที่สุด ใครจะไปรู้ว่ารูปภาพใบหน้าอันงดงามของราชินีแห่งดวงอาทิตย์จะขายในตลาดมืดได้ซักเท่าไหร่กันเชียว

"ดูท่าทางคงหมดเรื่องแล้วล่ะ พวกเราเองก็รีบไปก่อนที่จะมีใครสงสัยกันดีกว่า" โจพูด เจนได้ยินจึงสังเกตว่าตอนนี้รอบตัวของพวกเธอเหลือผู้เล่นอยู่เพียงไม่กี่คน ที่เหลือเป็นทหารประจำเมืองและสมาชิกกิลด์ราชาพยัคฆ์คู่เท่านั้น ถ้าหากยังโต๋เต๋อยู่แถวนี้ต่อคงโดนสงสัยแน่ ๆ

ก่อนที่เจนจะไป เธอมองไปยังทัพโอนิที่เหลือรอดอยู่ไม่กี่ตนกำลังล่าถอยกลับไปในชายป่า แต่ตอนนั้นเองที่เจนเห็นโอนิตนหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างจากตนอื่นโดยสิ้นเชิง ที่แน่ใจอย่างนั้นก็เพราะว่าโอนิตนนี้ไม่ได้มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่เหมือนตนอื่น ๆ เพราะว่าโอนิตนนี้เป็นโอนิเพศหญิงนั่นเอง!

โอนิตนนี้สวมผ้าคลุมสีส้ม ที่เอวของเธอเหน็บดาบคาตะนะเล่มใหญ่เอาไว้แต่ถ้าตามมาตรฐานของโอนิก็คงไม่ใหญ่มากนัก เธอเป็นยักษ์สีน้ำเงินที่มีผิวเนียนเรียบสมกับเป็นเพศหญิง ดวงตาสีเหลืองจ้องขึ้นมายังราชินีแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งราชินีฮิมิโกะเองก็จ้องกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว จนสุดท้ายโอนิหญิงตนนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังกลับเข้าป่าไปโดยที่ไม่มีใครอื่นได้ทันสังเกตการปรากฏตัวของเธอในสนามรบแห่งนี้เลย



เมื่อพวกเจนกลับมาถึงบ้านต้นไม้ก็พบว่าบ้านหลังใหม่แห่งนี้ถูกตกแต่งออกมาใหม่อย่างสวยงาม ต่างจากสภาพเดิมที่เจนเคยเห็นลิบลับ โถงกลางถูกตกแต่งด้วยผ้าสีสดใส โดยเฉพาะจุดที่แก้วข้ามมิติฝังตัวอยู่บนพื้นไม้ซึ่งในตอนนี้เป็นเหมือนของประดับราคาแพงไปแล้ว ทำให้พื้นที่ถูกตกแต่งด้วยพรมราคาแพง หรือที่ซินจูบอกเอาไว้ว่า'ได้มาในราคาพิเศษ'

ตอนนี้เจนได้โอกาสที่จะสำรวจบ้านต้นไม้จริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้เธอมีโอกาสแค่มองดูเพียงนิดหน่อยเท่านั้นก่อนจะต้องรีบไปจัดการธุระในเมืองยามะไต นอกจากชั้นแรกที่เป็นโถงกว้างและพื้นฝังแก้วข้ามมิติ นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำที่เป็นบ่อน้ำร้อนปริศนาซึ่งไม่มีใครอยากคิดว่าต้นกำเนิดความร้อนของบ่อน้ำแห่งนี้มาจากอะไรหรือใคร...

บ้านต้นไม้แห่งนี้ดูภายนอกจะมีลักษณะเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ธรรมดาเท่านั้น ภายในต้นไม้เป็นโพรงกลวงสำหรับใช้อยู่อาศัยได้อย่างสบาย ๆ โดยภายในนั้นจะเป็นโถงกลางที่เชื่อมกับบันไดวนขึ้นสูงไปในแต่ละชั้น โดยชั้นที่สองเป็นห้องนั่งเล่นที่จุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ส่วนอีกด้านก็เป็นห้องครัวและห้องรับประทานอาหารไปในตัว ซึ่งแม้ว่าภายในเกมจะไม่มีเตาไฟ แต่ก็มีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายกันก็คืออัญมณีเวทที่ใช้พลังเวทจุดไฟนั่นเอง และในห้องครัวในบ้านต้นไม้ก็มีกองหินเอาไว้สำหรับติดตั้งเตาไฟจากอัญมณีเวทได้อย่างเหมาะเจาะทีเดียว

ตั้งแต่ชั้นที่สามจนไปถึงชั้นที่หกเป็นห้องพักส่วนตัวที่ปนกันหลายขนาด ไม่ว่าจะเป็นห้องเตียงเดี่ยวไปจนถึงห้องนอนเตียงขนาดสำหรับสี่คน ซึ่งโดยรวมแล้วบ้านต้นไม้หลังนี้สามารถใช้อาศัยได้กว่าร้อยคนโดยที่ไม่แออัดเท่าไหร่นัก ส่วนชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุดนั้นเป็นห้องว่างเปล่าซึ่งน่าจะเอาไว้ใช้สำหรับเก็บของแต่ก็ยังไม่มีใครแน่ใจนักว่าห้องนี้เอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่

หลังจากแยกย้ายไปจองห้องโดยที่เจนเลือกใช้ห้องสำหรับสี่คนเพราะคิทซึเนะและฟีบีไม่ยอมแยกห้องกับเธออย่างแน่นอน จากนั้นจึงลงมายังห้องทานอาหารที่ซินจูเตรียมมื้อเย็นเอาไว้พร้อมอยู่แล้ว

ระหว่างทานมื้อเย็นกันนั้น พวกเจนก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองยามะไตให้คนอื่น ๆ ฟังทั้งเรื่องสงครามกับโอนิและราชินีฮิมิโกะ ซึ่งแต่ละคนก็มีท่าทางแสดงตอบรับออกมาอย่างที่เจนคิดเอาไว้ไม่มีผิด

"แย่จริงพวกนาย! เรื่องสนุกขนาดนี้ทำไมไม่บอกกันก่อน ฉันจะได้เข้าไปลุย..ฉันหมายถึงอยู่ดูให้เห็นกับตาด้วย" ไมโกะส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ ในขณะที่สามผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่กล้าเอ่ยตอบว่าดีแล้วที่ให้กลับไปก่อนก็เพราะไม่อย่างนั้นตัวแม่คุณก็คงได้จะทำเรื่องจะยุ่งเหยิงมากกว่าที่เป็น

"ว่าแต่พวกคุณจีโอไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ ไม่มีโอนิบุกเข้าไปในเมืองใช่หรือเปล่า" ซินจูถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง คงจะเป็นเพราะตอนที่อยู่ในเมืองเธอเองก็ทำความรู้จักกับชาวเมืองอยู่หลายคน เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเธอจึงรู้สึกเป็นห่วงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นเพียงแค่เอไอก็ตาม

"จู่ ๆ ก็มีมอนสเตอร์ที่ไม่เคยมีใครเจอมาก่อนอย่างโอนิบุกเมืองหลังจากที่ประกาศอัพเดทตัวเกมแบบนี้ ทุกคนไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะบังเอิญไปหน่อยหรือคะ" อามีร่าถามขึ้น

"ฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ไม่ได้มีแค่เมืองยามะไตที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ดูสิ ที่เมืองอื่น ๆ อย่างซีโปกับคริสตัลเบลเองก็โดนมอนสเตอร์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนบุกเหมือนกัน" หนูส่งข่าวเสริมพร้อมกับเปิดหน้าต่างข่าวสารให้ทุกคนดู ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของอมนุษย์ที่มีหัวเป็นปลาแต่มีร่างกายเป็นมนุษย์กำลังบุกเมืองซีโปอยู่แต่ถูกกองทหารในชุดเกราะสีแดงต้านทานเอาไว้อย่างสูสี ส่วนอีกภาพเป็นเมืองคริสตัลเบลอย่างแน่นอนเพราะระฆังแก้วที่ลอยอยู่เหนือเมืองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน แต่สภาพของมอนสเตอร์ที่บุกเมืองนั้นแตกต่างจากเมืองยามะไตหรือเมืองซีโปโดยสิ้นเชิงเพราะในภาพแสดงให้เห็นเพียงแต่ซากและเถ้าถ่านของมอนสเตอร์โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นตัวอะไร ส่วนตัวเมืองนั้นยังเหมือนเดิมทุกประการโดนที่มอนสเตอร์ที่บุกเมืองไม่มีโอกาสได้เข้ามาใกล้ประตูเมืองเลย

"พวกเรามาลองคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นประกอบกับสิ่งที่เรารู้กันก่อนดีกว่า ก่อนอื่นเลยพวกเราทุกคนรู้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกันกับเหตุการณ์ที่เทพอสูรหลุดออกมาจากผนึกพันปีแน่ ๆ ตามคำบอกเล่าของท่านมาเอะ" เสือซ่อนลายว่า

"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็หมายความว่าการที่มอนสเตอร์บุกเมืองก็น่าจะมีเทพอสูรอยู่เบื้องหลัง คำถามก็คือเป็นฝีมือของฝ่ายไหน เทพ...หรืออสูร" โจเสริม

"ในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เรื่องราวโอนิส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับปีศาจซะส่วนใหญ่ อย่างเป็นผู้คุมวิญญาณในนรกบ้างล่ะ เป็นปีศาจในงานเทศการบ้างล่ะ หรือว่าเป็นตัวร้ายในนิทานพื้นบ้าน" ไมโกะอธิบาย ซึ่งฟังแล้วเจนก็พอจะเดาได้ว่าโอนิอยู่ในกองทัพเทพหรือกองทัพอสูร

"ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ากองทัพโอนิที่บุกเมืองยามะไตก็เป็นฝ่ายกองทัพอสูรสินะ" เจนพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ ล่ะก็ ทุกอย่างก็เข้าล็อกตามที่เธอคาดคิดเอาไว้พอดี นั่นก็คือฝ่ายทัพอสูรเริ่มเคลื่อนไหวแล้วนั่นเอง

"ก็ยังไม่แน่หรอกเจน โอนิเองก็ถูกใช้เป็นตัวแทนของสิ่งที่ดีงามอยู่บ้างเหมือนกัน มีโอนิบางตนถึงขั้นกับเป็นตัวแทนของศาสนาเลยด้วยซ้ำ แล้วก็ยังมีโอนิในฐานะเทพเจ้าอยู่ไม่น้อยด้วย เดิมทีโอนิก็เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่ไม่อาจเอาชนะได้ซึ่งฉันคิดว่านั่นไม่ได้หมายความว่าโอนิจะเป็นสิ่งเลวร้าย พวกเราคงฟันธงไม่ได้หรอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นฝีมือของกองทัพอสูรจริง ๆ"

เจนพยักหน้าเข้าใจคำพูดของไมโกะ ถึงสิ่งที่ตัวเธอคิดจะลงตัวแต่เธอยังยืนยันไม่ได้ ถึงจะยืนยันได้ก็ใช่ว่าเธอจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ซักหน่อย

"แล้วที่เมืองซีโปล่ะ โดนมนุษย์ปลาบุกแบบนี้จะว่ายังไง" ยูสตาร์ทักท้วงขึ้น ทำเอาคนอื่น ๆ หันหน้ามองกันก่อนแจ็คจะเอ่ยปากพูด

"เรื่องที่เมืองซีโปนี่ฉันว่าคงเดากันไม่ถูกหรอก ที่มาของเจ้ามนุษย์ปลาพวกนั่นเป็นได้ตั้งแต่สัตว์อสูรใต้ทะเลลึกจนไปถึงเรื่องเมืองแอทแลนติสโน้น เผลอ ๆ ที่ฉันพูดออกมายังไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ"

"ว่าแต่ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เธอมีภารกิจอะไรหรือเปล่าเจน อาชีพผู้กล้าอย่างเธอมันน่าจะมีภารกิจปกป้องเมืองอะไรแบบนั้นนะ" ยูสตาร์ถาม เพราะปกติแล้วอาชีพพิเศษมักจะมีพันธกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้สังคม อย่างเช่นอาชีพจอมดาบที่จะได้ภารกิจปกป้องเมืองหรือจับโจรบ่อย ๆ ทำให้อาชีพผู้กล้าก็น่าจะมีพันธกิจเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

เจนเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นดูแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ"ไม่มีภารกิจอะไรใหม่เลยนะ นอกจากภารกิจหยุดยั้งสงครามเทพอสูรที่ได้มาก่อนหน้านี้นั่นแหละ" เจนบอกถึงภารกิจที่เธอได้มาหลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเทพอสูรทั้งสามตน จะว่าไปแล้วเธอก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นเลย

พรู้ด!!

เสียงของโจพ่นน้ำออกมาเป็นละอองเพราะสำลักน้ำระหว่างที่กำลังยกแก้วขึ้นดื่มพอดี สีหน้าของเขาตกใจมากเมื่อได้ฟังสิ่งที่เจนพูดออกมา คนอื่น ๆ เองก็มีสีหน้าไม่ค่อยแตกต่างกันนัก มันก็แน่อยู่แล้วถ้าหากใครที่เจอเข้ากับภารกิจสุดหินอย่างหยุดยั้งสงครามเทพอสูรที่ขนาดแค่มอนสเตอร์ยศราชาตัวเดียวยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลยแท้ ๆ

"นี่เธอทำไมถึงไปได้ภารกิจยากขนาดนั้นมาได้ล่ะเนี่ย อ๋าา!" ยูสตาร์ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องของเขาเลย แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเป็นเจนเองก็คงโวยวายไม่ต่างจากที่ยูสตาร์ทำเช่นกันถ้าหากคนในกลุ่มได้ภารกิจมหาโหดเช่นนี้

ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังพยายามปลอบใจเจนที่ได้ภารกิจสุดหินมา แต่เสือซ่อนลายกลับมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะฉีกยิ้มออกมาแล้วหันไปพูดกับทุกคน "บางที...บางทีที่เจนได้ภารกิจนี้มาอาจจะดีก็ได้"

"ดีงั้นเรอะ!! นี่นายคิดว่าการที่พวกเราต้องเอาหัวไปรับฟันของพวกเทพอสูรไม่ให้เปิดสงครามกันเองนี่เป็นเรื่องดีงั้นเรอะ!" เสียงของยูสตาร์โต้กลับทันควัน

"ที่ฉันว่าดีน่ะหมายความว่าถ้าหากจากนี้กิลด์ของเราจะตั้งเป้าหมายเป็นการหยุดยั้งสงครามเทพอสูรหรือจะพูดให้ถูกก็คือตามภารกิจผู้กล้าที่เจนได้มา ฟังดูเป็นยังไง" เสือซ่อนลายชี้แจงและรอดูปฏิกิริยาของเพื่อน ๆ ที่หันหน้ามองกันคิ้วขมวด

"ก็ไม่เลวนะ พวกเราไม่จำเป็นจะต้องหาเงินเพราะพวกเราเองก็มีเงินเหลืออยู่จากที่ขายทองคำแท่งอีกตั้งเยอะ พวกเราไม่ต้องบุกปราสาทเพื่อหาที่ทำการกิลด์ก็เพราะเรามีที่นี่อยู่แล้ว แถมเป็นปราสาทแบบเคลื่อนที่ได้ซะด้วย" แจ็คว่า

"นั่นสิคะ ถ้าจะให้ไปรวมตัวกันสู้มอนสเตอร์เก็บเลเวลทุกวันก็คงน่าเบื่อแย่ สู้ไปช่วยพี่เจนทำภารกิจผู้กล้ายังจะน่าตื่นเต้นกว่าอีก" ซินจูเสริม

เมื่อได้ยินคำพูดโน้มน้าวก็ทำให้คนอื่น ๆ คล้อยตามไปอย่างง่ายดาย เจนเองก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไร เพราะอย่างไรก็ตามด้วยลำพังเธอคนเดียวก็คงไม่มีทางทำภารกิจสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงสนับสนุนความคิดของเสือซ่อนลายเต็มที่

"ฉันไม่ได้อยากจะเป็นแกะดำอยู่คนเดียวหรอกนะ แต่แค่พวกเราลำพังจะไปหยุดกองทัพเทพอสูรได้ยังไงกัน ถ้าหากเรามีพลังเหมือนเจนกันทุกคนก็ว่าไปอย่าง" หนูส่งข่าวพูดขัด และนั่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เจนยังคิดไม่ออกเช่นกัน

"ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะต้องสู้กับกองทัพเทพอสูรหรือกองทัพไหนหรอกนะคะ" อามีร่าแสดงความคิดเห็นขึ้นมา ดึงสายตาจากคนอื่นในห้องไปเป็นตาเดียว "ก็อย่างที่เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางโยโกะบอกเอาไว้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกกองทัพเทพบุกเพราะกฎของทางนั้น ส่วนกองทัพอสูรเองก็ยังไม่ได้รวมตัวกันเลย ที่พวกเราต้องทำก็คือทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสาเหตุให้กองทัพอสูรรวมตัวกันได้หรือสาเหตุให้กองทัพเทพบุกโจมตี...เอ่อ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือคะ" อามีร่าถามขึ้นเพราะตอนนี้ทุกคนกำลังมองเธอด้วยสายตาแสดงถึงความแปลกใจ

"เปล่าหรอก ก็แค่รู้สึกตกใจที่เธอวางแผนเก่งเหมือนกับโจหรือพี่เสือก็แค่นั้นเอง" เจนว่า

"อ๋อ ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกนะคะ ก็แค่ตอนที่ยังอยู่กับกิลด์พิฆาตราชาต้องวางแผนบ่อยก็เลยได้ซึมซับเรื่องแบบนี้ไปในตัวด้วย"

เจนพยักหน้าเข้าใจและไม่เอ่ยถามต่อ ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องราวที่เจ็บปวดให้กับอามีร่าขึ้นมาอีก เพราะสำหรับตัวเธอแล้วความจริงมันเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงวัน

"แล้วกองทัพเทพอสูรของเบียคโกะล่ะจะทำยังไง" ไมโกะถามขึ้น

"เรื่องกองทัพเทพอสูรเองจากที่ฟังจากปากเบียคโกะเองก็เริ่มรวมตัวกันแล้วแต่ยังไม่มากนัก แต่ฉันคิดว่าถ้าหากปล่อยให้เบียคโกะรวบรวมกองทัพได้ต่อไปอีกล่ะก็อาจจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดสงครามขึ้นก็ได้ เพราะเมื่อกองทัพเทพอสูรพร้อมรบก็เหมือนเป็นสาเหตุให้ทัพเทพบุกโจมตีและเป็นสาเหตุให้ทัพอสูรรวมกันเป็นหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นถ้าเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้กองทัพเทพอสูรรวมตัวกันได้ พวกเราก็ต้องทำให้มั่นใจว่าจะมีเทพอสูรที่จะไม่เข้าร่วมสงครามแบบเดียวกับท่านมาเอะหรือท่านโยโกะให้มากพอจนเทพอสูรตนอื่น ๆ ไม่คิดจะเข้าร่วมทัพด้วย"

"อื้ม! ความคิดไม่เลวนะ ถ้าทำได้จริงบางทีเราอาจจะสามารถหยุดยั้งสงครามไม่ให้เกิดขึ้นเลยก็ได้" โจสนับสนุน

เจนเองก็ชอบความคิดนี้เช่นกัน แต่ยังมีปัญหาเดียวที่ต้องหาคำตอบให้ได้เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปตามที่คิดเอาไว้ "แล้วพวกเราจะไปหาเทพอสูรที่ว่าได้จากไหนล่ะ"

อามีร่ายกมือทำท่าจะพูดออกมาแต่สุดท้ายเธอก็เอามือลงและนั่งลงจัดการมื้อเย็นเช่นเดิมเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาเทพอสูรตนอื่นได้ยังไง ความจริงแล้วคนที่ได้เจอเทพอสูรบ่อยที่สุดในกลุ่มก็คือตัวเจนเอง ซึ่งที่ผ่านมาการพานพบกับเทพอสูรของเธอนั้นเป็นไปด้วยดวงซวยของเจนล้วน ๆ และเจนเองก็ไม่ได้พิสมัยที่จะพบหน้าเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้พวกเธอเป็นฝ่ายอยากจะออกไปตามหาเทพอสูรเอง แต่ยังไงก็ใช่ว่าเทพอสูรเหล่านี้จะพบง่ายเหมือนเดินหากระต่ายป่าซะเมื่อไหร่

"ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ท่านแม่ให้ม้วนผ้าแผ่นนี้เอาไว้เผื่อในกรณีเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาพอดีเลยล่ะค่ะ" คิทซึเนะพูดขึ้นพร้อมกับชูม้วนผ้ากำมยีสีแดงดูหรูหราขึ้นให้ทุกคนดู จิ้งจอกสาวส่งให้เสือซ่อนลายซึ่งเขาก็กางออกมาอ่านเสียงดัง

'ถึงพวกเจน
ในกรณีที่พวกเจ้าต้องการพบเทพอสูรตนอื่นที่เบียคโกะต้องการจะดึงให้เข้าร่วมทัพเทพอสูร ข้าได้คัดรายชื่อเทพอสูรที่พวกเจ้าน่าจะสามารถเจรจาด้วยได้และยังเป็นเทพอสูรที่มีอำนาจมากพอ ๆ กับเบียคโกะ บางตนอาจจะมีพลังสูสีกับยามาตะ โนะ โอโรจิเลยก็ได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรกับรายชื่อนี้ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องมีเจตนาดีและข้าก็จะขอไว้ใจให้รายชื่อนี้แก่พวกเจ้าเผื่อว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในอนาคต
ทามาโมะ มาเอะ'

"เขียนเอาไว้เท่านี้แหละ ที่เหลือเป็นตัวอักษรยึกยืออะไรก็ไม่รู้ ฉันอ่านไม่ออก" เสือซ่อนลายบอกแล้วส่งม้วนผ้าให้คนอื่นดู ทว่าแม้แต่โจหรือตัวคิทซึเนะเองก็ไม่สามารถอ่านม้วนผ้านี้ออกเช่นกัน

"ท่านมาเอะคงไม่ให้รายชื่อเทพอสูรโดยที่ไม่มีวิธีอ่านหรอก มันคงต้องมีวิธีอ่านอยู่ซักวิธีแหละ" ไมโกะพูดขึ้นหลังจากโดนอามีร่าและซินจูรั้งเอาไว้ไม่ให้เอาม้วนผ้าไปรนไฟเผื่อจะสามารถอ่านได้เหมือนในภาพยนตร์

"จนถึงตอนนั้นพวกเราก็คงต้องหาเป้าหมายการเดินทางต่อไป ตอนนี้พวกเรามีโอร็อคแล้วคงเดินทางไปไหนมาไหนง่ายขึ้นเยอะล่ะนะ" โจกล่าวก่อนจะหันไปหาเจนเพื่อปรึกษาว่าจะจุดหมายต่อไปจะเป็นที่ไหนกันดี "จะไปไหนต่อกันดี เจน"

ผู้กล้าชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพี่อนของเธอถามขึ้นเช่นนี้ "ทำไมมาถามฉันล่ะ นายเป็นหัวหน้ากิลด์แถมเป็นเจ้าของโอร็อคด้วย ก็กำหนดเองเลยสิว่าจะไปไหน"

"ให้เธอกำหนดดีกว่า เพราะไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องวุ่น ๆ ตลอด ไม่น่าเบื่อดี" ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วยกมือเขย่าไหล่เพื่อนสาวของตนเบา ๆ ทำเอาเจนอมยิ้มจนแก้มปริ คนอื่น ๆ ที่เห็นภาพใบหน้าของเธอก็พากันยิ้มไปด้วย

"เอ..จะไปไหนกันดีล่ะ ตอนนี้ทั้งฟีบีและโอร็อคก็นาจะเลื่อนยศได้แล้วแต่ท่านมาเอะก็เลื่อนยศให้ทั้งสองไม่ได้ บางทีถ้าเราตามหามังกรตัวอื่นเจอบางทีอาจจะหาวิธีเลื่อนยศให้ทั้งสองได้ก็ได้นะ"

"ถ้าพูดถึงมังกรก็ต้องเป็นทวีปยูโรปาสินะ! ฉันเคยได้ยินว่ามีคนจับมังกรเป็นสัตว์เลี้ยงได้ที่นั่นด้วยล่ะ แต่มันก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นเองนะ ยังยืนยันไม่ได้" หนูส่งข่าวว่าเสียงใส ในหัวของเขาตอนนี้มั่นใจว่าถ้าหากกล่อมให้เพื่อน ๆ ของเขาไปได้ล่ะก็ ข่าวการมีตัวตนของมังกรในทวีปยูโรปาจะต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน และมันก็จะช่วยให้ยกระดับความสำคัญในด้านนักข้อมูลข่าวสารของเขาให้สูงขึ้นลิบลิ่วทีเดียว และแน่นอนหมายถึงจำนวนเงินที่จะไหลเข้ากระเป๋าก็สูงตามขึ้นด้วยเช่นกัน

"เอาเป็นว่าตกลงพวกเราจะไปทวีปยูโรปากันสินะ" เสือซ่อนลายสรุป

"คราวก่อนที่พวกหนูไปทวีปยูโรปาก็เอาแต่ทำภารกิจเลยไม่ได้เที่ยวกันเท่าไหร่เลย คราวนี้ไปด้วยกันพร้อมหน้าคงจะต้องสนุกมากแน่ ๆ เลยล่ะคะ!" ซินจูส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับยกมือบางของอามีร่าขึ้นมาเขย่าไปมา

"ฉันเองก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปผจญภัยพร้อมกับทุกคนจนแทบอดใจไม่ไหวแล้วเหมือนกันค่ะ" อามีร่าตอบแล้วยิ้มออกมา แม้เธอจะเคยไปที่ทวีปยูโรปามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่มีความสุขที่สุดที่เธอจะไปเยือนทวีปแห่งนั้น

"ที่นั่นจะมีของกินอร่อย ๆ เหมือนกับที่นี่หรือเปล่าคะ" ฟีบีเอ่ยปากถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา ยูสตาร์ได้ยินจึงอดใจไม่ได้จนใช้มือขยี้หัวของมังกรน้อยจนผมยุ่งไปหมด

"อ๋าา! เธอนี่ก็สนแต่เรื่องกินอย่างเดียวเลยนะ ไม่รู้หรือไงว่าการเดินทางครั้งนี้เพื่อที่จะเลื่อนระดับยศให้เธอและโอร็อคโดยเฉพาะเลยนะ"

"ระดับยศนี่อร่อยมั้ยคะพี่แว่น" ฟีบีถามขึ้นอีกครั้ง ทำเอายูสตาร์หลุดหัวเราะออกมาและขยี้หัวของเธออีกรอบ

ทุกคนพากันหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของฟีบีแล้วจึงหันหน้ามามองกันรู้ใจแล้วจึงหันไปหาโจผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่สามารถสั่งให้บ้านต้นไม้หลังนี้ออกเดินทางได้

"เอาล่ะ ในฐานะของหัวหน้ากิลด์อัสนีพิสุทธิ์ ฉันก็จะขอเริ่มเปิดฉากการเดินทางครั้งแรกของพวกเราเลยก็แล้วกันนะ ออกบินไปได้เลยโอร็อค!"

กรร!!

เสียงร้องของมังกรหินผาดังตอบราวกับตอบรับคำสั่งของเจ้านาย แต่หลังจากผ่านไปได้พักใหญ่พวกเจนก็ยังไม่รู้สึกว่าพวกตนกำลังลอยสูงขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

"นี่พวกเราเริ่มออกเดินทางแล้วงั้นหรือ เจ้าโอร็อคนี่บินนิ่งกว่าที่คิดเยอะเลยนะ นิ่งมากซะจนคิดว่าไม่ได้ไปไหนเลยแหนะ" แจ็คยอกย้อน แน่นอนว่าตอนนี้พวกเรายังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย

คนหน้าแตกตอนนี้เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้แต่หันไปหาผู้เดียวที่เข้าใจทั้งภาษามังกรและภาษามนุษย์ "เอ่อ...ฟีบีช่วยถามเจ้าโอร็อคหน่อยได้มั้ยว่าทำไมถึงไม่ไปซักที"

มังกรน้อยไม่ตอบโจทันที เธอพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ อยู่สองสามรอบเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่แล้วจึงหันมาหาโจที่รอฟังคำตอบ

"โอร็อคบอกว่ายังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย เขาว่าถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่มีแรงจะขยับปีกหรอก"

คำตอบที่ได้ยินทำให้จอมเวทหนุ่มอยากตะโกนออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันอย่างหัวเสียเท่านั้น เพราะถ้าหากทำให้เจ้ามังกรหินตัวนี้ไม่พอใจขึ้นมาอีกก็คงจะเสียเวลายิ่งกว่านี้แน่ ถึงอย่างนั้นเจนก็ไม่คิดว่าการที่จะทำให้มังกรที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับภูเขาครึ่งลูกอิ่มท้องได้จะใช้เวลาเร็วนัก...ความจริงแล้วเธอยังไม่มั่นใจเลยว่าเสบียงที่เก็บตุนเอาไว้ทั้งหมดจะพอเลี้ยงโอร็อคมื้อนี้ได้ด้วยซ้ำไป



ในเวลาใกล้เคียงกันห่างออกไปที่เมืองซีโปซึ่งเพิ่งจบจากศึกมนุษย์ปลาไม่นานนัก ทำให้ตอนนี้ทั้งเมืองกำลังอยู่ในสภาวะฟื้นฟู โดยมีช่างจำนวนมากโดยไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือเอไอกำลังออกมาซ่อมแซมเมืองกันอย่างขยันขันแข็งแม้ว่าพระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ตาม เป็นเพราะว่าเงินที่ไหลผ่านเมืองนี้มีมากซะจนไม่อาจทำให้การโจมตีของมอนสเตอร์มาทำให้ตลาดต้องปิดได้นานนัก ช่างซ่อมทั้งเมืองจึงถูกจ้างให้เร่งซ่อมเมืองทั้งหมดโดยเฉพาะบริเวณท่าเรือที่เสียหายมากที่สุดให้เปิดทำการได้ก่อนเวลารุ่งสาง

ในขณะที่เหล่าช่างซ่อมกำลังเร่งงานให้เสร็จทันกำหนดอยู่นั้น ท่าเรือที่แสนวุ่นวายก็มีผู้มาเยี่ยมเยียน เขาเป็นชายร่างสูงกว่าสองเมตร เขาสวมชุดเกราะปูที่ดูทรุดโทรมใกล้จะพังแต่ว่ากล้ามเนื้อที่เผยออกมานั้นดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ซะอีก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาคนรอบ ๆ นั้นกลับเป็นเขาขนาดใหญ่ที่อยู่บนหัวชวนน่าสงสัยและดูอันตรายยิ่ง

'เขานั่นมันอะไรกัน เครื่องประดับใหม่งั้นหรือ' สิ่งที่คนทั่วไปนึกคิดเมื่อเห็นเขาของชายผู้นี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะเข้าไปถามเพราะสายตาที่แข็งกร้าวราวสัตว์ป่าของชายคนนี้ที่ทำเอาคนที่สบตาด้วยไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้ตลอดทางจากประตูเมืองไม่มีใครรั้งเขาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

"เฮ้พี่ชาย มีธุระอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ท่าเรือกำลังปิดซ่อมบำรุงอยู่นะ เอาไว้มาใหม่พรุ่งนี้เช้าหลังจากพวกเราซ่อมเสร็จดีกว่า" ช่างซ่อมคนหนึ่งที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาและเขาของชายคนนี้พูดทักขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว แต่ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ จากชายผู้นี้เลยจนช่างซ่อมจะทักอีกรอบ ตอนนั้นเองที่เขาก็ได้ยินเสียง*****มที่ฟังดูก็ทำเอาสั่นไปทั้งตัวดังออกมาจากปากของชายร่างใหญ่

"..นักดาบชุดขาว..อยู่ที่ไหน"

"เอ่อ พี่ชายหมายถึงผู้กล้าในชุดขาวงั้นหรือ ถ้าเป็นเขาล่ะก็ไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก รู้สึกว่ามีคนเห็นเขาคนนั้นล่าสุดก็ที่เมืองยามะไตโน้นแหนะ" ช่างซ่อมบอกทางให้อย่างเป็นมิตร แม้ว่าเขาเองก็เริ่มที่จะรู้สึกว่าท่าทางของชายคนนี้จะแปลก ๆ ก็ตาม

ทันใดนั้นเองชายร่างใหญ่ผู้มีเขาประหลาดบนหัวก็ยืดตัวขึ้นทำท่าสูดดมกลิ่นไปทั่วบริเวณราวกับเป็นสุนัขได้กลิ่นของเป้าหมาย ทำเอาช่างซ่อมหนุ่มรู้สึกเสียใจนิด ๆ ที่เข้ามาคุยกับชายคนนี้ ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่ใช่ผู้เล่นเหมือนกับตัวช่างซ่อมอย่างแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้กล้าในชุดขาวเองก็เป็นที่นิยมในหมู่เอไอเช่นกัน

"กลิ่นของนักดาบชุดขาว! ถึงจะเบาบางแต่ก็ยังหลงเหลืออยู่...กลิ่นมุ่งหน้าไปทางนั้น" ชายร่างใหญ่พูดพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหันไปทางท่าเรือที่มีช่างซ่อมจำนวนมากกำลังเร่งทำงานอยู่

ช่างซ่อมหนุ่มเห็นสายตาที่มุ่งตรงไปยังท่าเรือก็รู้ทันทีว่าคิดอะไรอยู่ เขารีบเอาตัวมาขวางไม่ให้ชายร่างใหญ่ตรงไปยังท่าเรือทันทีโดยที่ไม่ทันนึกเลยว่าขนาดของตัวเองกับชายมีเขาผู้นี้ต่างกันมากขนาดไหน

"เดี๋ยวก่อนนะพี่ชาย ผมบอกแล้วไงว่าตอนนี้ท่าเรือยังไม่เปิดให้บริการ เอาไว้ตอนเช้าค่อยมาใหม่..- เฮ้ย!" ยังไม่ทันช่างซ่อมหนุ่มจะพูดจบ ชายร่างใหญ่ก็เดินตรงไปยังที่ท่าเรือโดยไม่สนใจเสียงเรียกของช่างซ่อมเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเสียงดังมากขึ้นก็ทำให้ช่างคนอื่น ๆ หันมาสนใจผู้มาเยือนไร้ที่มา จนท้ายที่สุดชายอีกคนที่มีความสูงสูสีกับชายมีเขาก็เดินเข้ามาดูว่าตกลงเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่ต้องเร่งทำงานเช่นนี้

"มีอะไรกัน! เหลือเวลาอีกไม่นานจะถึงเส้นตายแล้วนะเว้ยไอ้พวกขี้เกียด ทำไมถึงไม่แยกย้ายไปทำงานกันอีก!" เสียงตะคอกดังใส่คนงานนับสิบคนที่ยืนมุงดูคนงานคนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยช่างซ่อมหนุ่มรั้งตัวของชายมีเขาเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าถึงจะมีคนมาช่วยอีกกว่าสิบคนก็ไม่ทำให้ชายผู้นี้ช้าลงเลย

"หัวหน้าครับ ไอ้หมอนี่มันจะเข้าไปที่ไซด์งานครับ! ผมพยายามห้ามแล้วแต่มันทำหูทวนลมไม่ยอมฟังเลย" ช่างซ่อมหนุ่มตะโกนตอบกลับไปโดยที่พยายามออกแรงดึงไม่ให้ชายมีเขาเดินหน้าไปต่อแต่ไร้ผล เหมือนกับว่าเขาออกแรงสู้กับช้างอย่างไรอย่างนั้น

ชายผู้เป็นหัวหน้าช่างได้ยินจึงหันไปมองดูผู้บุกรุกที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งรูปร่างและความสูงของชายมีเขาผู้นี้แทบไม่ต่างกันนัก ถึงตัวเขาจะเป็นช่างซ่อมแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ ก่อนหน้าที่ที่มนุษย์ปลาบุกเมืองก็ได้ตัวเขานี่แหละที่ช่วยป้องกันเมืองส่วนหนึ่งเอาไว้อย่างปลอดภัย เรื่องการต่อสู้และพละกำลังเขามั่นใจว่าไม่แพ้ผู้บุกรุกคนนี้อย่างแน่นอน

"เอาล่ะ เล่นสนุกกันมาพอแล้ว จากตรงนี้ไปห้าม..-"

เหมือนกลับโลกพลิกกลับตีลังกาในไม่กี่วินาที หัวหน้าช่างรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกตุ้มที่กำลังถูกเหวี่ยงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เสียแต่ว่าเป้าหมายที่เขาถูกเหวี่ยงไปนั้นเป็นห้างร้านขายของที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนและสินค้า ซึ่งนั่นนับว่าเป็นโชคดีที่สุดของหัวหน้าช่างในค่ำคืนนี้

โคร้ม!!

คนงานและช่างซ่อมหนุ่มมองร่างใหญ่ของหัวหน้าของตนลอยข้ามหัวไปทับห้างร้านที่ทำจากไม้ชั้นดีจนไม่เหลือซาก ร่างของหัวหน้าของเขาเองก็นิ่งไม่ไหวติง ขนาดพวกมนุษย์เงือกยังแทบทำอะไรหัวหน้าของพวกเขาไม่ได้ แต่ชายคนนี้กลับเหวี่ยงทีเดียวก็ทำให้คนอึดอย่างหัวหน้าของเขาสลบเหมือด

"เฮ้ย!! ไอ้เวรนี่ทำร้ายหัวหน้าพวกเราโว้ย! อย่าปล่อยให้มันดูถูกพวกเราช่างซ่อมได้ รุมมันเลย!!" เสียงตะโกนของใครบางคนดังลั่น รู้ตัวอีกที ช่างซ่อมหนุ่มก็เป็นสักขีพยานมหกรรมคนบิน..พูดให้ถูกก็ต้องต้องเปลี่ยนเป็นช่างซ่อมบินได้มากกว่า

ร่างแล้วร่างเล่าที่บุกเข้าไปหาหมายจะทำร้ายชายมีเขาก็ถูกเหวี่ยงออกมาซึ่งคนเหล่านั้นก็ไม่มีโอกาสจะกลับเข้าไปอีกเป็นหนที่สอง ส่วนตัวช่างซ่อมหนุ่มนั้นไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกนั้นเพราะเขาไม่คิดจะห้ามคนที่เหวี่ยงหัวหน้าของเขาได้ตั้งแต่ที่เห็นกับตาแล้ว เพียงไม่ถึงสิบนาทีชายมีเขาก็เดินทางไปถึงท่าเรือโดยมีร่างนับร้อยสลบเหมือดอยู่ไปทั่วบริเวณ บ้างถึงกับพุ่งทะลุเข้าไปในบ้านของผู้โชคร้ายที่อาศัยอยู่แถวนั้น บ้างก็พุ่งทะลุเข้าไปในเรือที่จอดรอซ่อมแซมซึ่งคงไม่ได้รับการซ่อมเร็ว ๆ นี้แน่ ส่วนพวกที่โชคดีหน่อยก็โดนเหวี่ยงลงไปในทะเลซึ่งก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนหรอก

"กลิ่น...ลอยไปทางนี้ เจ้านักดาบ...ไม่สิ ผู้กล้าในชุดขาว!!" เมื่อชายมีเขาพูดจบแล้วก็กระโจนลงไปในทะเลทันทีและไหว้น้ำตรงไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นนักว่ายน้ำมืออาชีพ พวกที่ตกอยู่ในทะเลเห็นว่าชายที่เหวี่ยงพวกตนลงมาก็ต่างพากันว่ายน้ำหนีกันจ้าละหวั่นเพราะคิดว่าโดนชายมีเขาตามล่า

"ไอ้หมอนั่นมันใครกัน..ผู้กล้าในชุดขาวไปทำอะไรให้หมอนี่โมโหนะถึงได้ตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น แต่ก็คงตามเจอหรอกนะที่เล่นไปคนละทางกับเมืองยามะไตแบบนี้" ช่างซ่อมหนุ่มพูดขึ้นแล้วก้มลงมองหน้าต่างแสงที่เขาใช้ทักษะตรวจสอบกับชายมีเขาคนนี้ ถ้าหากเขาโดนคนที่มีระดับขนาดนี้ตามล่าล่ะก็คงยอมเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว แต่ถ้าหากเป็นผู้กล้าในชุดขาวออาจจะพอรับมือชายคนนี้ไหวก็ได้...มั้งนะ

ราชากระทิง ทารอส ยศขุนนาง ระดับ89



อย่างที่เจนคิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าอาหารทีมีอยู่ไม่พอที่จะทำให้มังกรหินตัวมหึมาอย่างโอร็อคอิ่มได้ ทำให้พวกเธอต้องเสียเวลาอีกหลายชั่วโมงที่ต้องกลับเข้าเมืองไปซื้อเสบียงมาเพิ่มรวมไปถึงไปซื้ออาหารสำหรับโอร็อคมาโดยเฉพาะอีกหลายชุดซึ่งโจต้องควักจ่ายเองไปหลายแสนโกลด์เพียงแค่ค่าอาหารของโอร็อคเพียงตัวเดียวเท่านั้น ถึงเขาจะมีเงินอีกหลายล้านก็ตาม แต่ดูท่าทางแล้วเงินก้อนนี้ของเขาคงจะพร่องลงอย่างรวดเร็วทีเดียว

หลังจากอิ่มท้องแล้ว(ซึ่งอาหารที่โจก็พร่องไปกว่าครึ่ง จนเสือซ่อนลายเสนอให้ทุกคนช่วยกันออกค่าอาหารให้กับโอร็อคในครั้งต่อไปที่ถึงเมือง)มังกรหินจอมกินจุก็เริ่มกางปีกออกบิน ด้วยขนาดที่ใหญ่ราวกับภูเขาทำให้เจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะบินได้ แต่เป็นเพราะเจ้าโอร็อคเคยบินมาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ครั้งหนึ่งและตอนนี้มันเองก็กำลังกระพือปีกทำเอาบ้านต้นไม้สั่นไหวไปหมด เพียงไม่นานนักเจนก็เห็นดวงจันทร์และเมฆลอยอยู่นอกหน้าต่างบ่งบอกว่าตอนนี้บ้านต้นไม้ได้ขึ้นมาอยู่บนอากาศแล้ว

"เฮ้ โจ ระวังอย่าให้พวกเราบินผ่านเมืองหรือหมู่บ้านเชียวนะ" เสือซ่อนลายทักก่อนที่จะขึ้นไปพักที่ห้องของตน "ถ้าขืนมีคนเห็นมังกรตัวใหญ่ขนาดนี้บินผ่านเมืองมีหวังได้เกิดเรื่องวุ่นแน่"

โจพยักหน้ารับแล้วจึงเดินออกไปด้านนอก คงจะตรงไปที่ส่วนหัวของมังกรเพื่อที่จะบังคับทิศทาง ส่วนเจนนั้นรู้สึกเพลียมากจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งวันตั้งแต่การประลองกับอาราชิจนไปถึงเรื่องสงครามที่เมืองยามะไตจนไม่มีเวลาได้พักซักเท่าไหร่เลย เธอจึงพาคิทซึเนะและฟีบีขึ้นไปที่ห้องพักและหลับในแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน

การเดินทางด้วยโอร็อคนั้นรวดเร็วกว่าการเดินทางด้วยเรือมาก เพียงเวลาแค่คืนเดียวพวกเจนก็พ้นออกมาจากทวีปอัลเทเชียและกำลังอยู่บนท้องฟ้าเหนือน้ำทะเล กำลังมุ่งตรงไปยังทวีปยูโรปาซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป

แม้ว่าสำหรับเจนการเดินทางจะน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าหากเทียบกับเรือเดินทะเลหรือเรือเหาะแล้ว บนหลังของโอร็อคมีความสบายกว่ากันมาก แม้จะไม่ได้มีอาหารเลี้ยงแต่อาหารฝีมือของซินจูก็มีรสชาติที่อร่อยไม่แพ้กัน

หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งวัน พวกเจนก็มองเห็นทวีปยูโรปาอยู่ไม่ไกล นับได้ว่าความเร็วของโอร็อคนั้นรวดเร็วมากทีเดียว อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก็จะเดินทางถึงทวีปยูโรปาแล้ว

"เป้าหมายของพวกเราตอนนี้น่าจะเป็นเมืองนี้นะ อยู่ไม่ไกลจากทะเลแถมเรายังใช้ป่าตรงนี้แอบซ่อนโอร็อคได้ไม่ยากด้วย" เสือซ่อนลายพูดขึ้นขณะที่กำลังอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นพร้อมกับกางแผนที่ทวีปยูโรปาออกมาวางแผนการเดินทาง

"จะไม่ให้โจเก็บโอร็อคเข้าไปในสร้อยหรอ เดี๋ยวถ้าหากมีคนมาเห็นโอร็อคจะไม่แย่หรือไง" เจนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ตัวจอมเวทหนุ่มกลับส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

"เอาไว้ด้านนอกนี่แหละดีแล้ว ถึงจะมีคนมาเจอโอร็อคแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากหรอก แล้วอีกอย่างคือพวกเราจะได้กลับมานอนที่นี่แทนที่จะไปเสียเงินให้กับโรงแรมในเมืองไง เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนที่จะต้องล็อกเอาท์ออกจากเกมแล้วด้วย"

เจนพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้วที่เธอเข้าเกมมา อีกสามวันเธอจะต้องล็อกเอาท์ออกจากเกม ถ้าหากให้ฟีบีและคิทซึเนะพักอยู่ที่นี่ก็คงไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับการที่ต้องทิ้งเอาไว้ในเมือง

โอร็อคบินตรงไปยังป่าแห่งหนึ่งไกลจากเมืองเป้าหมายพอสมควร หลังจากแน่ใจแล้วว่าเจ้าโอร็อคซ่อนหัวเอาไว้อย่างดีจนดูผิวเผินแล้วเหมือนกับเป็นภูเขารูปร่างแปลก ๆ ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่เพียงต้นเดียวอยู่บนเนินเขา จากนั้นพวกเจนจึงหยิบกระดาษวาปกลับเมืองออกมาเตรียมพร้อมที่จะฉีกมันออกเพื่อทำให้เวทมนตร์ที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษทำงาน

"นายแน่ใจนะว่าพวกเราจะไปที่เมืองนั้นจริง ๆ ฉันไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนนะ" เจนถามด้วยความไม่มั่นในเพราะกลัวจะรู้สึกตัวอีกทีพบว่าตัวเองกลับมาที่เมืองยามะไตอีกครั้ง

"ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า" โจพูด "กระดาษวาปกลับเมืองนี่จะพาพวกเราไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉันแน่ใจว่าเมืองที่อยู่ใกล้ที่นี่ก็เป็นเมืองเดียวที่พวกเราอยากจะไปนั่นแหละ"

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วเจนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจคำพูดของเพื่อนของเธอแต่ไม่ได้มีความมั่นใจเลย เจนทำใจครู่หนึ่งแล้วใช้มือฉีกกระดาษวาปออกเพื่อให้มันทำงาน ความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกบีบกลับมาอีกครั้งก่อนที่จมูกของเจนจะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไปและเจนก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่เมืองยามะไตเช่นกัน ในตอนนี้เจนมาถึงจุดหมายแรกของพวกเธอแล้ว เมืองแห่งตำราของทวีปยูโรปา ลิปาริโอ

เป้าหมายในการมาทวีปยูโรปาของพวกเจนนั้นค่อนข้างชัดเจน นั่นก็คือการตามหามังกรเพื่อที่จะเลื่อนยศให้กับฟีบีและโอร็อค แต่การที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่ามังกรนั้นอยู่ที่ไหน และที่ ๆ จะตามหาข้อมูลนั้นก็จะมีที่ไหนเหมาะไปกว่าเมืองที่รวบรวมตำราเอาไว้มากที่สุดในทวีปหรืออาจจะมากที่สุดในโลกแห่งนี้เลยก็ว่าได้

เมืองลิปาริโอนั้นเป็นเมืองขนาดกลางที่มีสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่และมีมนตร์ขลัง ที่นี่มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวการก่อตั้งสมาคมจอมเวทและเป็นสถานที่ ๆ ให้กำเนิดจอมเวทระดับสูงมานับไม่ถ้วน สำหรับผู้เล่นสายนักเวทแล้วที่แห่งนี้เปรียบได้เหมือนกับเหมืองทองคำที่ซ่อนคัมภีร์เวทระดับสูงเอาไว้มหาศาล ในกระดานข่าวสารของนักเวทเคยมีเรื่องราวของคนที่เคยพบคัมภีร์เวทระดับสูงสุดจากหนึ่งในหลายสิบห้องสมุดที่ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ด้วย

ว้าว! เมืองนี้สวยน่าเที่ยวจังเลย" ซินจูส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น "ดูโบสถ์ตรงนั้นก็สวยมากเลย พี่เจน เดี๋ยวพวกเราไปถ่ายรูปกันตรงนั้นดีมั้ยคะ"

“เป้าหมายของพวกเราคือข้อมูลที่เกี่ยวกับมังกรนะ เรื่องเที่ยวเอาไว้หลักจากพวกเราได้สิ่งที่เราต้องการเถอะ" เสือซ่อนลายพูดขัดทำให้ถูกซินจูค้อนใส่ด้วยใบหน้าแก้มป่องที่แสดงออกมาถึงความไม่พอใจ แต่เธอก็คงจะไปแย้งอะไรกับพี่ชายของเธอไม่ได้เพราะเวลาที่จะอยู่ในเกมตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก บางทีถ้าพวกเธอได้ข้อมูลที่ต้องการก่อนจะถึงเวลาล็อกเอาท์ล่ะก็อาจจะเหลือเวลามากพอที่จะไปเที่ยวก็ได้

แต่เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของซินจูที่ทำให้ความหวังที่จะได้เที่ยวมลายหายไป เพราะเมื่อเสือซ่อนลายจะเริ่มจัดกลุ่มทุกคนให้แยกย้ายไปหาข้อมูล เสียงตะโกนของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังเรียกให้ทุกคนบริเวณนั้นหันไปมองเป็นตาเดียว

เมื่อเจนหันไปมองก็พบว่าเป็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกันโดนฝ่ายชายกำลังพยายามรั้งฝ่ายหญิงไม่ให้ไปไหนในขณะฝ่ายหญิงที่ดูเหมือนกำลังท้องอยู่ด้วยเองก็ไม่ยอมฝ่ายชายเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายคนนั้นมีหน้าตาดี รูปร่างสมส่วน อีกด้านเป็นหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นแม้จะท้องป่อง หน้าตาสวยราวกับเป็นนางงามแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าจนดูออกได้ไม่ยาก ดูจากภายนอกแล้วอาจจะนึกว่าผู้ชายที่เป็นคนทำร้ายผู้หญิง ทว่าคำพูดนั้นกลับแสดงออกให้เห็นถึงสถานการณ์ตรงกันข้าม

"ท่านพี่ครับ!! พอทีเถอะ อย่าไปเสียเงินให้กับไอ้คนอย่างหมอนั่นเลย! เงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายของพวกเราแล้วนะครับ! ถ้าหากไม่มีเงินก้อนนี้แล้วจะเอาเงินไหนมาเลี้ยงลูกของพี่ล่ะ!"

"ปล่อยข้านะ! ถ้าเงินนี่มันช่วยให้สามีของข้ากลับมามันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง เขาเองก็เป็นพี่ชายเจ้านะ ทำไมเจ้าถึงมาห้ามข้าล่ะ!"

พวกเจนมองหน้ากันก่อนที่เจนจะเดินเข้าไปหาโดยมีคนอื่น ๆ เดินตามไปด้วย "ขอโทษทีที่รบกวนนะ แต่ว่ามีอะไรงั้นหรือ พวกเราพอที่จะช่วยอะไรได้ง้างหรือเปล่า"

ดูเหมือนการปรากฏตัวของพวกเจนทำให้ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นพี่สะใภ้ของฝ่ายชายสงบลง ส่วนฝ่ายชายเองก็รู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ นักผจญภัยซึ่งปกติจะไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวกับชาวเมืองอย่างพวกเขาซักเท่าไหร่กลับมาเสนอความช่วยเหลือต่อหน้า ชายหนุ่มมีท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่นะพูดในสิ่งที่ทำให้พวกเจนต้องพากันสงสัยและแปลกใจ

"ได้โปรดเถอะครับท่านนักผจญภัย ได้โปรดช่วยหยุดพ่อมดที่หลอกให้ความหวังของพี่สาวข้าด้วย"



ในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กันนั้น เจนพาชายหนุ่มที่แนะนำตัวเองว่าชื่ออัลวิน ส่วนพี่สะใภ้ของเขาที่ท้องอยู่นั้นมีชื่อว่าเรย์ อัลวินเล่าให้ฟังว่าพี่ชายของเขาที่เป็นสามีของเรย์เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน แต่เวลายังไม่สามารถแผลใจที่เรย์กำลังมีอยู่ในตอนนี้ได้แถมยังมีลูกที่อยู่ในท้องทำให้เธอยิ่งเสียใจมากที่ต้องเสียคนรักไปในเวลาเช่นนี้ ตัวอัลวินนั้นเป็นเพียงแค่พ่อค้าธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ว่าเขาก็คอยช่วยเหลือพี่สะใภ้ของเขาเหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกันมาตลอด

จนกระทั่งไม่นานมานี้ได้มีพ่อมดปริศนาที่โพทะนาตัวเองว่ามีพลังที่สามารถเรียกวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนชีวิตมาได้อีกครั้ง ทำให้คนหลายคนที่เสียคนรักไปอย่างเช่นเรย์พากันไปหาพ่อมดคนนี้ แต่แน่นอนว่าการเข้าพบพ่อมดคนนี้จะต้องใช้เงินจำนวนมากและมากยิ่งกว่าถ้าหากต้องการจะชุบชีวิตคนรักของตน

"และพ่อมดคนนี้ก็เรียกเงินก้อนใหญ่เพื่อที่จะชุบชีวิตพี่ชายของคุณสินะ" เจนถามด้วยอารมณ์ที่ครุกกรุ่นขึ้นมาในใจ แต่เธอเองยังรู้สึกเคลือบแคลงใจอยู่เล็กน้อยว่าสิ่งที่พ่อมดคนนั้นอ้างถึงสามารถทำได้จริงหรือเปล่า

"ครับ เขาบอกว่าเป็นค่าวัตถุดิบเวทมนตร์ที่จะใช้ในการชุบชีวิตน่ะครับ แต่เงินแสนโกลด์ก้อนนี้เป็นเงินทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่แล้ว"

"เงินแสนโกลด์นี่สำหรับผู้เล่น..นักผจญภัยอย่างพวกเรานี่ก็ถือว่าเป็นเงินไม่น้อยเลยนะ" เสือซ่อนลายพูดขึ้น "ใช้ซื้ออาวุธหรือชุดเกราะดี ๆ ได้เลย"

"สำหรับคนธรรมดาแล้วสามารถอยู่ได้เป็นปีหรือสามารถตั้งตัวได้ด้วยเงินก้อนนี้ได้สบาย ๆ เลยล่ะครับ เพราะว่าข้าอยากเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ให้หลานของข้าที่กำลังจะเกิดมามากกว่าไปจ่ายให้กับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ" อัลวินกล่าวแล้วหันไปมองยังเรย์ที่ตอนนี้ก้มหน้าเงียบ ๆ ไม่หันไปพูดกับใคร

"ว่าแต่ที่นี่มีเวทมนตร์ที่สามารถชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วได้ด้วยหรือคะ" ที่ซินจูหมายถึงคือในโลกดิ โอเพ่น เวิลด์ ออนไลน์ แต่ขนาดเหล่าผู้เล่นด้วยกันยังไม่มีใครเคยพูดถึงเรื่องเวทมนตร์ชุบชีวิตเลยแม้แต่น้อย จะเป็นไปได้หรือเปล่าที่จอทเวทเอไอจะมีเวทชุบชีวิต

ไม่มีเสียตอบกลับมาจากอัลวินหรือเรย์ แต่พวกเจนก็ได้คำตอบแล้วว่าไม่มีใครเคยเห็นหรือมีข่าวคนที่ใช้เวทชุบชีวิตได้กับตามาก่อน พ่อมดคนนี้เป็นเพียงแค่คนที่อ้างว่าตัวเองสามารถเรียกวิญญาณของคนตายให้กลับมาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำจะเป็นการชุบชีวิตอย่างที่เรย์หวังเอาไว้

"ว่าแต่เจ้าพ่อมดคนนี้อยู่ที่ไหนงั้นหรือ" ไมโกะยิงคำถามใส่แต่กลับไม่มีคำตอบจากทั้งคู่อีกตามเคย จนกระทั่งเรย์ที่เงียบมานานเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนด้วยความลังเลใจ

"ข้าไม่ได้เข้าไปเจอกับท่านพ่อมดในตอนที่จ่ายเงินหรอก หลังจากให้เงินกับลูกศิษย์ของท่านพ่อมดแล้วจะได้รับบัตรนัดที่จะมีวันและสถานที่กำหนดเอาไว้ซึ่งเมื่อถึงเวลาจะแสดงออกมาให้เห็น ไม่มีใครจะได้พบท่านพ่อมดจนกว่าท่านจะอนุญาต พวกเจ้าไม่มีทางหาท่านพ่อมดเจอแน่"

คำพูดของเรย์แทบเหมือนกับว่าเป็นการขู่ เจนรู้ว่าตอนนี้พวกเธอเป็นเหมือนมารที่มาขัดขวางเธอไม่ให้พบกับสามี อีกด้านพวกเสือซ่อนลายก็เริ่มปรึกษากันว่าจะช่วยทั้งสองอย่างไรดี แต่สำหรับเจนการที่ทำให้สามีของเรย์ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งโดยแลกกับเงินแสนก็ดูไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก เพราะเธอเองรู้ดีกว่าการโตมาโดยไม่มีพ่อนั้นยากแค่ไหน เธอเองเคยหวังให้พ่อของเธอฟื้นคืนมาอีกครั้ง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงหวังอยู่เช่นกัน

“ฉันรู้ว่าพวกเรามีธุระอื่นที่ต้องทำอยู่ แต่ฉันไม่อยากปล่อยเรื่องนี้ไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย" เสือซ่อนลายพูดขึ้นในหมู่ของพรรคพวก

"ฉันเห็นด้วยนะ" ไมโกะสนับสนุน "เรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เป็นการหลอกเอาเงินธรรมดาแน่ และเหยื่อก็คงไม่ได้มีแค่คนสองคนหรอก"

"แล้วพวกเราจะเริ่มต้นยังไงล่ะ ได้ยินที่เรย์บอกนี่ว่าไม่มีใครหาพ่อมดนั่นเจอจนกว่าจะยอมให้เจอ หรือว่าพวกเราจะปล่อยให้เรย์เป็นเหยื่อล่อพาพวกเราเข้าไปหาดีล่ะ" แจ็คพยายามจะแสดงความคิดเห็นแต่กลับทำให้ซินจูที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โมโหและยิกแขนจนร้องเสียงหลง

"ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าในกลุ่มของเรามีสุดยอดคนที่มีทักษะในด้านนี้อยู่คนหนึ่ง" โจว่าและหันไปหาหนูซ่อนลายที่มีสีหน้าครุ่นคิดแต่ยังคงประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่

"ถ้าหากพวกเราออกเงินให้กับเรย์ล่ะ" เจนที่นิ่งเงียบไปพูดขึ้น "ถ้าหากพ่อมดคนนั้นสามารถชุบชีวิตขึ้นมาได้จริง ๆ ล่ะ..."

ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่เจนพูดออกมา โจที่รู้ว่าตอนนี้เจนกำลังคิดอะไรอยู่ต้องรีบเข้ามาคุยด้วย

"ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ และรู้ด้วยว่าทำไมแต่ว่านั่นมันไม่ถูกต้องนะ"

"ใช่ สิ่งที่เธอทำมันเป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วเธอจะทำยังไงกับคนอื่นที่โดนพ่อมดนี่เรียกเงินด้วยล่ะ ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่พอสำหรับคนชั่วหรอกนะ" แจ็คช่วยเสริม

อามีร่าเดินเข้ามาหาแล้วยกมือวางทาบไหล่ของเจนอย่างอ่อนโยน ดวงตาของเธอที่เป็นประกายแต่ก็ยังคงแฝงด้วยความเศร้าโศกอยู่มองลงมาที่เจนทำให้เธอหยุดความคิดในหัวไปชั่วขณะ "คุณเจน ถึงพ่อมดคนนี้จะชุบชีวิตได้จริง ๆ แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่คิดที่จะเอาพ่อและพี่ชายของฉันกลับคืนมาหรอกนะคะ"

ไม่มีคำพูดใดในหัวของเจนที่จะตอบอามีร่าได้เลย เด็กผู้หญิงตรงหน้าของเจนนั้นสูญเสียยิ่งกว่าเจนมากนัก แต่เธอกลับปฏิเสธความหวังที่จะได้พบพ่อและพี่ชายของเธออีกครั้งไปอย่างง่ายดายแม้ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นเลยก็ตาม เจนรู้สึกละอายที่ปล่อยให้ตัวเองคิดเรื่องฟุ้งซ่าน ละอายที่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ทำให้จิตใจของเธออ่อนแอลงได้ขนาดนี้

"แล้วก็เรื่องพ่อมดคนนั้นที่พวกเราไม่สามารถตามหาเขาเจอได้มันก็ออกจะเวอร์ไปหน่อย การที่เขามีบัตรนัดมันก็หมายความว่าเขายังคงอยู่ภายในเมืองนี้ และเมืองนี้ก็มีขนาดไม่ได้ใหญ่มากนักคงใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถหาเขาเจอได้ และยิ่งได้ข่าวสารของคุณหนูส่งข่าวมาช่วยอีก ฉันเชื่อว่าคงใช้เวลานานหรอกค่ะที่จะหาพ่อมดคนนั้นเจอ"

"ฉันดีใจนะที่เวลาที่เธออยู่กับกิลด์พิฆาตราชาไม่ได้เสียเปล่าอย่างที่คิดเอาไว้" ไมโกะเอ่ยกับอามีร่าทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเธอจึงหันไปหาเจนเช่นเดียวกันกับทุกคนที่หันมาเป็นสายตาเดียว

"ทุกคนตกลงกันเรียบร้อย แล้วเธอล่ะเจน เธอจะเอาด้วยหรือเปล่า" โจถามเสียงเรียบ เขาไม่คิดที่จะเกลี่ยกล่อมเพื่อนสาวคนนี้เพราะถ้าหากถ้ายังคงเป็นเจนที่เขารู้จัก เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะทำให้เธอหวั่นไหวได้นานนักหรอก "หรือว่าเธออยากจะไปจัดการเรื่องมังกรก่อนล่ะ"

ผู้กล้าในชุดขาวนิ่งเงียบไม่ตอบในทันที เธอเงยหน้ามองทุกคนก่อนจะหันไปสบตากับอามีร่าเป็นคนสุดท้ายแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลับมามั่นใจอีกครั้ง "เรื่องนั้นเอาไว้จัดการทีหลัง พวกเรามาตามหาไอ้พ่อมดชั่วคนนั้นกันเถอะ"

อัลวินที่นั่งฟังอยู่รู้สึกแปลกใจและตื้นตันขึ้นเมื่อได้ยินว่าเหล่านักผจญภัยพวกนี้จะช่วยเหลือเขาโดยที่เพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรกเท่านั้น เรื่องแบบนี้ขนาดไปขอให้ทหารประจำเมืองช่วยยังแทบเป็นไปไม่ได้ การปรากฏตัวของพวกเจนนั้นราวกับว่าเป็นโชคช่วยมหาศาลสำหรับอัลวินและเรย์เลยทีเดียว แม้ว่าตอนนี้เรย์จะไม่ได้คิดเช่นนั้นก็ตาม



ตลอดเวลาสอวสามวันที่เหลืออยู่ภายในเกม เจนและคนอื่น ๆ ต่างพากันแยกย้ายไปค้นหาพ่อมดผู้นี้ แต่น่าแปลกมากทีเดียวเพราะทั้ง ๆ ที่ชื่อเสียงที่โด่งดังของพ่อมดคนนี้ที่ประกาศตนเองว่าสามารถชุบชีวิตได้ แต่พวกเจนก็ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของพ่อมดผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หลังจากเสียเวลาสืบหาในเมืองอีกพักใหญ่ก็ได้ทราบอีกว่าเรย์ไม่ใช่คนเดียวที่เสียเงินจำนวนมากให้กับพ่อมดผู้นี้ ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ยอมจ่ายเพื่อที่จะได้คุยกับคนที่รักอีกครั้ง ทว่ากลับเหมือนกับเรย์ เจนไม่ได้รับความร่วมมือกับคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยแถมยังโดนผลักไสไล่ส่งอีกต่างหาก ทำให้การค้นหาพ่อมดผู้นี้เป็นไปได้อย่างยากลำบาก

ทางด้านหนูส่งข่าวเองก็ยังไม่กลับมาจากการหาข่าวแถมหนึ่งวันก่อนเวลาล็อกเอาท์ก็ยังส่งข้อความบอกมาว่าจะออกจากเกมไปก่อนทำให้พวกเจนต้องก้มหน้าสืบเสาะกันเองโดยไร้ซึ่งการคืบหน้าใด ๆ เช่นเดียวกันกับอามีร่าที่ต้องออกจากเกมเพราะถึงเวลาล็อกเอาท์ของเธอแล้ว

เจนพยายามตามหาในที่ ๆ คิดว่าพ่อมดผู้นี้พักอาศัยอยู่ภายในเมืองโดยพยายามค้นหาในโรงแรมห้าดาว คนอย่างพ่อมดที่เอาเงินของผู้คนไปมหาศาลขนาดนั้นย่อมไม่มีทางที่จะพักอยู่ในโรงแรมซอมซ่ออยู่แล้ว ทว่าเจนก็คว้าได้เพียงแค่น้ำเหลวเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมหน้าดาวจะปกปิดข้อมูลลูกค้าเอาไว้เป็นอย่างดี ทำให้เจนไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าพ่อมดพักอยู่ที่ไหน ความจริงแล้วแม้แต่หน้าตาของพ่อมดเจนก็ยังไม่ทราบเช่นกัน บางทีเธออาจจะเคยเดินผ่านพ่อมดไปโดยที่เธอไม่รู้ตัวก็ได้

ในวันสุดท้ายก่อนถึงเวลาล็อกเอาท์ของพวกเจน ทุกคนตัดสินใจว่าวันนี้จะหยุดค้นหาไปก่อนและกักตุนเสบียงให้กับพวกคิทซึเนะ โดยเฉพาะโอร็อคที่พวกเจนหารเฉลี่ยค่าอาหารสำหรับครึ่งเดือนเอาไว้เป็นล้านโกลด์ เห็นทีคงจะต้องหาวิธีลดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารของมังกรหินตัวทีหลังซะแล้ว

หลังจากจัดการเรื่องอาหารเสร็จ เจนก็คิดจะออกเดินลาดตระเวนอีกครั้งเผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรใหม่ ๆ บ้าง แต่ก็ยังคงคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม ทว่าก่อนที่เจนจะกลับไปยังบ้านต้นไม้ เธอเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตาเป็นพิเศษได้เดินเข้าไปยังโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง เจนมั่นใจมากกว่าเคยเจอคนคนนั้นมาก่อนแต่เพราะเวลาจำกัดทำให้เธอต้องรีบกลับไปที่บ้านต้นไม้พร้อมกับทุกคนเพื่อล็อกเอาท์ออกจากเกม

หลังจากออกมาจากเกม เจนก็รีบจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วจึงกลับมาค้นหาเรื่องราวของพ่อมดผู้นี้บนกระดานข่าวสารทันที แต่เธอก็พบว่าเรื่องราวของเอไอภายในเกมนั้นมีการพูดคุยบนกระดานข่าวสารนั้นมีน้อยซะยิ่งกว่าน้อยซะอีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะสนใจเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคอาชีพ แหล่งของมอนสเตอร์ต่าง ๆ และภารกิจซะมากกว่า

จากเช้าไปจนบ่าย เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจนเจนรู้สึกแปลกใจเพราะวันนี้เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวันเพื่อค้นหาข้อมูลเรื่องของพ่อมดจนไม่ได้ลุกไปไหนเลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าเรื่องราวของตำนานผู้วิเศษภายในเกมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น

'ไม่ได้เรื่องอะไรเลยแฮะ สงสัยคงต้องหวังพึ่งหนูส่งข่าวแล้วล่ะ หวังว่าหมอนั่นคงจะได้เรื่องอะไรมาบ้างนะ' เจนคิดในใจและหวังให้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงต้องหาใครซักคนเล่นบทละครตีหน้าเศร้าเข้าไปขอความช่วยเหลือกับพ่อมดโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องหน้าอายที่สุดที่เจนไม่รู้ว่าตัวเองคิดได้ยังไง

รู้สึกตัวอีกทีเจนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านที่หมายความว่าแม่ของเธอกลับมาจากที่ทำงานแล้ว แต่เมื่อมองไปยังนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากลับบ้านปกติของจริยาเลยด้วยซ้ำ ทำให้เจนผละจากหน้าคอมพิวเตอร์และลงไปหาแม่ของเธอ

เมื่อลงมาถึงเจนก็พบว่าตอนนี้จริยากำลังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู ไม่ยอมถอดรองเท้าเข้ามาในบ้าน นั่นถือว่าเป็นเรื่องแปลกมากเพราะเจนไม่เคยเห็นแม่ของเธอทำตัวแบบนี้มาก่อน

"ทำไมวันนี้แม่กลับบ้านไวจังเลย มีอะไรหรือเปล่า" เจนถามขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมกับเดินเข้าไปหาจริยาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าจริยานั้นหน้าซีดและมีสีหน้าตกใจราวกับมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทำให้เจนรีบจูงมือแม่ของเธอเข้ามาในบ้านไปที่โซฟาแล้วจึงไปหาน้ำมาให้

ตอนนี้รู้สึกได้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติ แต่เธอคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหนจนกว่าแม่ของเธอจะยอมพูดออกมา

"แม่ มีอะไรหรือเปล่า วันนี้กลับบ้านไวแบบนี้เกิดอะไรขึ้นที่ทำงานหรือเปล่า" เจนพยายามถาม

จริยาเงยหน้าขึ้นมาแล้วยกมือขึ้นมากุมมือของเจนอย่างอ่อนโยนก่อนจะยอมเปิดปากพูด "วันนี้ที่ทำงาน...แม่โดนไล่ออก..-"

"ว่ายังไงนะ! โดนไล่ออกงั้นหรือ! แต่ว่าแม่ทำงานดีมาตลอด ไม่เคยสร้างปัญหาให้ที่ทำงานเลยนี่นา จู่ ๆ พวกเขาจะมาไล่แม่ออกแบบนี้ไม่ได้นะ!" เจนโวยวายเสียงดัง แม้ว่าแม่ของเธอจะมีนิสัยเหมือนกับเด็กในบางครั้งแต่จริยาก็เป็นคนที่มีความตั้งใจสูงและมีความรับผิดชอบอย่างมาก งานที่แม่ของเธอทำนั้นเป็นเพียงแค่นักบัญชีธรรมดาซึ่งจริยาไม่เคยทำงานผิดพลาดเลยแม้แต่หนเดียว และเจนก็ไม่คิดว่าแม่ของเธอจะมาเริ่มพลาดในตอนนี้ด้วย การไล่แม่เธอออกเช่นนี้ต้องมีเรื่องราวอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน

"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะเจน ตอนนี้เรายังมีเงินเก็บอยู่อีกเยอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปหางานใหม่ทำเองนะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะ" จริยาพยายามปลอบใจเจนทั้ง ๆ ตัวเธอเองต่างหาจะต้องเป็นฝ่ายที่ถูกปลอบใจ

"แต่ว่าเรื่องนี้มัน..-"

"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เชื่อแม่สิ เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดีเอง เหมือนทุกครั้ง..." จริยาส่งยิ้มให้กับเจนแล้วจึงลุกขึ้นตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำมื้อเย็น ทิ้งให้เจนที่ยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั่งอยู่ที่เดิม

'เรื่องนี้มันต้องมีเรื่องอะไรไม่ชองมาพากลแน่ ไม่มีทางที่แม่จะโดนไล่ออกแบบนี้ได้ ไม่มีทาง!" เจนคิดอย่างเผ็ดร้อน ถึงเจนจะไม่ได้รู้เรื่องในที่ทำงานของแม่เธอมากมายนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าทุกคนในที่ทำงานชื่นชอบจริยามากแค่ไหน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีทางจะเป็นเรื่องกลั่นแกล้งกันภายในบริษัทแน่ ต่อให้แม่ของเธอทำงานพลาดจริง ๆ ก็ไม่มีทางที่จู่ ๆ จะมาโดนไล่ออกโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นนี้

มีเพียงคนเดียวที่เจนรู้ว่าจะปรึกษาในเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าแม่เธอรู้เข้าก็คงจะไม่ยอมแน่ ดังนั้นเจนจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วใช้เฮดก็อกเกิ่ลติดต่อไปยังคนเดียวที่ช่วยเธอได้ทันที



คืนนั้นเจนไม่คิดจะรีบกลับเข้าเกมไวนัก หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เจนต้องเลิกคิดเรื่องเกมไปก่อนและแก้ปัญหาตรงหน้าของเธอให้ได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็ไม่มีอะไรที่เจนจะทำได้มาก นอกจากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เกอร์ทูธฟังอย่างละเอียด ซึ่งคุณหมอสาวก็รับฟังอย่างเช่นเคยและบอกให้เจนพาแม่เข้าไปหาที่โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้เช้า

ไม่รู้ว่าคุณหมอคนดีคิดจะทำอะไรแต่เจนคิดว่าคงไม่เกี่ยวกับการสืบสวนการที่แม่ของเธอถูกไล่ออกจากงานอย่างเป็นปริศนา ทุกอย่างที่เจนทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงรอเวลาให้เรื่องราวมันผ่านไปเท่านั้น

เมื่อเจนพยายามจะกลับเข้าไปในเกมเพื่อที่จะให้รีบลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปซะ แต่กลับพบว่าเธอไม่สามารถเข้าเกมได้ โดยหน้าจอแสงแสงข้อความเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเจนต้องลุกขึ้นมาดู

'ไม่สามารถเข้าเกมได้เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันตราย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย' เจนคิดแล้วจึงมองไปรอบ ๆ ห้องของเธอซึ่งไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิม

ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เจนก็ได้กลิ่นไหม้เตะจมูกขึ้นมา เมื่อมองไปที่ประตูก็พบว่ามีควันลอยขึ้นมาจากช่องใต้ประตู หัวใจของเจนเต้นรัวเพราะรู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นแต่เพื่อความแน่ใจ หญิงสาวเดินตรงไปที่ประตูห้องและเปิดออก สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าของเธอคือบ้านที่เธออาศัยอยู่กำลังลุกเป็นไฟ

จบตอนที่ 44 บ้านต้นไม้บนหลังมังกร