PreciousTar
27th February 2015, 18:58
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณไส้ติ่งอักเสบแต่ไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ ฮ่า ฮ่า ถ้าเป็นคนอย่างเราๆคงต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ไม่ใช้กับแพทย์รัสเซียคนนี้ Leonid Rogozov ย้อนกลับไปในปี 1961 เดือนมีนาคม เมื่อ Rogozov ถูกส่งไปประจำการที่
แอนตาร์กติกพร้อมกับลูกทีมของตนอีก 12 คน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนเมษายน Rogozov ก็ทรุดหนัก
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov.jpg)
และเป็นเรื่องที่แน่นอนที่แพทย์มือฉมังอย่างเค้าเป็นอะไรมีหรือจะไม่วินิจฉัย ซึ่งหลังจากที่เค้าได้ตรวจร่างกายของตนเองถี่ยิบ
แล้วสิ่งที่เค้าต้องเผชิญนั้นก็คือ ไส้ติ่งอักเสบ นั่นเอง และถ้า Rogozov ไม่ผ่าเจ้าไส้ติ่งนี้หละก็... Rogozov คงจะต้องตายอยู่ใน
แอนตาร์กติกาอย่างแน่นอน แต่แล้วปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมากับภาระที่ใหญ่ยิ่งนั้นก็คือ สถานที่ที่เค้าประจำการณ์อยู่นั้น ดันมี Rogozov ผ่าตัดเป็น
เพียงแค่คนเดียวเพราะคนอื่นๆนั้นยังไม่ผ่านการฝึกที่จะผ่าตัดให้ผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเลือกสุดท้ายที่เค้าจะต้องทำคือ การผ่าตัดตัวเองนั่นเอง !!!
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov1.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov1.jpg)
ก่อนที่ Rogozov จะผ่าตัดตนเอง เค้าได้เขียนไดอารี่ว่า เค้านอนไม่หลับ เพราะโดนโรคร้ายแรงทำร้ายตัวเค้า
และถึงแม้ว่าความหวังมันจะน้อยนิด มันก็ยังดีกว่าที่เค้าจะปล่อยให้ตัวเองตาย
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov2.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov2.jpg)
และการผ่าตัดก็สำเร็จ Rogozov ใช้เวลาในการผ่าตัดให้กับตัวเอง 1 ชั่วโมง 45 นาที และเค้าต้องพักมือทุก 5 นาทีในการผ่าตัดที่ปาฏิหาริย์ครั้งนี้
ซึ่งเมื่อเค้าได้จับเนื้อร้ายที่ผ่าตัดสำเร็จ เค้าถึงกับต้องพูดว่า คิดถูกแล้วจริงๆที่ตัดสินใจผ่าตัดให้กับตัวเอง เพราะถ้าหากเค้าปล่อยไว้อีกเพียงแค่ 24 ชั่วโมง
มันจะต้องแตกและเค้าจะต้องกลับบ้านเก่าอย่างแน่นอน
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov3.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov3.jpg)
2 สัปดาห์หลังจากนั้น Rogozov ก็หายเป็นปกติและทำงานได้เหมือนเดิม และ Rogozov ได้เสียชีวิตเมื่ออายุ 66 ปี
จนในปี ค.ศ. 2000 การผ่าตัดของ Rogozov ได้ฮือฮาไปทั่วโลก และรวมไปถึงเป็นประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์เลยทีเดียว
ที่มา www.Monggai.com (http://www.monggai.com/)
แต่ไม่ใช้กับแพทย์รัสเซียคนนี้ Leonid Rogozov ย้อนกลับไปในปี 1961 เดือนมีนาคม เมื่อ Rogozov ถูกส่งไปประจำการที่
แอนตาร์กติกพร้อมกับลูกทีมของตนอีก 12 คน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนเมษายน Rogozov ก็ทรุดหนัก
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov.jpg)
และเป็นเรื่องที่แน่นอนที่แพทย์มือฉมังอย่างเค้าเป็นอะไรมีหรือจะไม่วินิจฉัย ซึ่งหลังจากที่เค้าได้ตรวจร่างกายของตนเองถี่ยิบ
แล้วสิ่งที่เค้าต้องเผชิญนั้นก็คือ ไส้ติ่งอักเสบ นั่นเอง และถ้า Rogozov ไม่ผ่าเจ้าไส้ติ่งนี้หละก็... Rogozov คงจะต้องตายอยู่ใน
แอนตาร์กติกาอย่างแน่นอน แต่แล้วปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมากับภาระที่ใหญ่ยิ่งนั้นก็คือ สถานที่ที่เค้าประจำการณ์อยู่นั้น ดันมี Rogozov ผ่าตัดเป็น
เพียงแค่คนเดียวเพราะคนอื่นๆนั้นยังไม่ผ่านการฝึกที่จะผ่าตัดให้ผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเลือกสุดท้ายที่เค้าจะต้องทำคือ การผ่าตัดตัวเองนั่นเอง !!!
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov1.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov1.jpg)
ก่อนที่ Rogozov จะผ่าตัดตนเอง เค้าได้เขียนไดอารี่ว่า เค้านอนไม่หลับ เพราะโดนโรคร้ายแรงทำร้ายตัวเค้า
และถึงแม้ว่าความหวังมันจะน้อยนิด มันก็ยังดีกว่าที่เค้าจะปล่อยให้ตัวเองตาย
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov2.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov2.jpg)
และการผ่าตัดก็สำเร็จ Rogozov ใช้เวลาในการผ่าตัดให้กับตัวเอง 1 ชั่วโมง 45 นาที และเค้าต้องพักมือทุก 5 นาทีในการผ่าตัดที่ปาฏิหาริย์ครั้งนี้
ซึ่งเมื่อเค้าได้จับเนื้อร้ายที่ผ่าตัดสำเร็จ เค้าถึงกับต้องพูดว่า คิดถูกแล้วจริงๆที่ตัดสินใจผ่าตัดให้กับตัวเอง เพราะถ้าหากเค้าปล่อยไว้อีกเพียงแค่ 24 ชั่วโมง
มันจะต้องแตกและเค้าจะต้องกลับบ้านเก่าอย่างแน่นอน
http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov3.jpg (http://www.monggai.com/wp-content/uploads/2015/02/Rogozov3.jpg)
2 สัปดาห์หลังจากนั้น Rogozov ก็หายเป็นปกติและทำงานได้เหมือนเดิม และ Rogozov ได้เสียชีวิตเมื่ออายุ 66 ปี
จนในปี ค.ศ. 2000 การผ่าตัดของ Rogozov ได้ฮือฮาไปทั่วโลก และรวมไปถึงเป็นประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์เลยทีเดียว
ที่มา www.Monggai.com (http://www.monggai.com/)