PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ขอระบายหน่อนครับ รู้สึกเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป



offerre
15th April 2015, 01:01
ไม่เกริ่นไรมากครับ เรื่องก็มีอยู่ว่า ปัจจุบันผมเพิ่งสอบติด มหาลัยพระจอมเกล้าฯ ธนบุรีครับ คณะครุศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมีเดีย

มันเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจนะครับ ถ้าหากผมตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ตรงนั้น แต่ก่อนผมจะจบ ม.ปลายหรือว่า ระหว่างเรียน ม.ปลาย ผมมีเป้าหมายจะเข้า วิศวะฯคอมฯครับ

ซึ่ง ต่อมา ด้วยการเรียนที่ผมไม่ไหว ก็เริ่มลดลงมาเป็น คณะวิทยาศาสตร์ สาขา วิทยาการคอมฯ แทนครับ ที่ลดลงมาเพราะ

1.แม่ ไม่ให้เรียน วิศวะฯเพราะว่า หางานยาก ตกงานง่าย ซึ่งผมทะเราะกับแม่เรื่องนี้ประจำครับว่า หากผมได้ มหาลัยดีๆ มีหรอจะตกงานง่ายๆ
2.ผมเรียนเคมี อ่อนมาก ฟิสิกส์กลางๆ แต่เก่งคณิตครับ
3.แม่ผมยื่นคำขาดครับว่า ถ้าหากเรียนวิศวะ จะไม่ส่งเสียให้เรียนและไม่ต้องมาขอให้ช่วยอะไรอีก(ผมก็มองกาลไกลครับว่า ถ้าหากตกงานจริงๆ ผมก็ไม่มีที่เพิ่งไม่ว่าจะทางการเงินหรือทางใจครับ)

ต่อมาผมก็ตัดสินใจจะเข้า วิทยาศาสตร์ครับ แต่มีบุคคลหนึ่งซึ่งเขามองเห็นประสิทธิภาพในตัวผมครับ เขาเห็นผมขยัน ไม่ย้อท้อต่ออุปสรรคง่ายๆ ซึ่งมันคือเรื่องจริงครับ ผมไม่ยอมง่ายๆอยู่แล้ว
บุคคลนั้นคือ อาจารณ์แนะแนวครับ ผมปรึกษาเรื่องนี้กับเขาบ่อยๆว่าจะทำยังไงดี เขาก็แนะให้ผมเข้าวิทยาศาสตร์ก็ไม่น้อยหน้าเท่าไหร่ แต่มาวันนึงเขาเดินเข้ามาทักผม
และบอกผมว่า"จะไม่เข้าวิศวะฯแน่ๆนะ" ณ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร ก็ตอบกลับไปว่า ได้เข้าวิทยาศาสตร์ก็ไม่เป็นไรครับ จนปัจจุบันนี้ผมกลับนำคำพูดของอาจารณ์ท่านนั้นมาคิดใหม่แล้วคิดอีก
ผมจำได้ว่าน้ำเสียงที่เขาบอกกับผมนั้น เหมือนกลับว่าเขาต้องการคำตอบที่แน่นอนจริงๆว่า จะไม่เข้าจริงๆนะ! ซึ่งเหมือนเขาจะเห็นศักยภาพในตัวผมว่าจุดๆนั้น ผมสามารถคว้ามันมาได้
แต่แล้ว ในนาทีที่ผมตอบกลับว่า เข้าวิทยาศาสตร์ก็ไม่เป็นไร เหมือนเป็นการยื่นคำขาดตัดโอกาสไปเลย ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลอง ไม่ได้เริ่มที่จะไปสอบวิศวะ แต่ก็ลดตัวลงมาเข้าวิทยาศาสตร์สะแล้ว
แต่มันไม่จบแค่นั้นหนะสิครับ ถ้าผมเข้าวิทยาศาสตร์จริงๆ ผมก็คงไม่ต้องมาดราม่าขนาดนี้หรอกครับ

นั้นคือ อยู่ๆผมก็ไม่รู้ว่ามีแรงบัลดาลใจอะไรในช่วงที่มีการสอบเข้า มหาลัยต่างๆที่จะเข้าครุศาสตร์ขึ้นมา ผมก็มองกาลไกลอีกหละครับว่า ถ้าหากเข้าวิทยาศาสตร์ผมจะหางานไรทำ งั้นเข้าครุศาสตร์ละกัน
ถ้าหากหางานไม่ได้ก็รับราชการเป็นครูแทนละกัน จนในที่สุดก็สอบติด มจธ. คณะครุศาสตร์มาครับ แรกๆก็ภูมิใจครับ ที่ผมสอบเข้าได้ แต่พอมาตอนนี้ผมรู้สึกว่า ผมตัดโอกาสการเป็นวิศวะฯของผมไปแล้ว
มาเข้าครุศาสตร์ ผมจะชอบไหม เรียนไปจะต้องออกกลางคันไหม เพราะที่เข้าครุศาสตร์ได้ เพราะผมใช้เหตุผลต่างๆรวมถึงมองกาลไกล แต่ไม่ได้เข้าเพราะความชอบ ผมจะเรียนได้ไหม
แล้วที่ตั้งใจเรียนมาเพื่อวิศวะ มันหายไปไหน สำคัญคือ ตึกวิศวะฯกับตึกครุศาสตร์อยู่ใกล้กันมาก อยู่ข่างๆกันเลย ทำให้ทุกวันนี้ผมปวดใจเลยครับ

ผมก็กลับไปทะเราะกับแม่เหมือนเดิมว่า ถ้าไม่ห้ามให้เรียนวิศวะผมก็คงอาจจะถึงจุดนั้นไปแล้ว แต่แม่ผมตอบกลับมาว่า แม่ไม่ได้ห้าม! แต่แม่แค่แนะนำเฉยๆว่าวิศวะมันเรียนยาก มันลำบากนะ
(ผมก็ไม่ได้โทษอะไรแม่ผมหรอก ผมควรจะโทษตัวเองมากกว่า เพราะผมเข้าใจมาตลอดว่าเราโดนห้ามเรียน เราโดนตัดโอกาสไปแล้ว แต่จริงๆแล้วไม่เลย เราตัดโอกาสตัวเราเองมากกว่า)
ผมทะเราะกับแม่เรื่องวิศวะมาตลอดจนผมคิดว่าแม่ไม่ให้เรียน และที่ยื่นคำขาดแบบนั้นตามเหตุผลข้อ 3 ผมถามแม่กลับไปว่ายื่นคำขาดแบบนั้นหมายความว่ายังไง
แม่ผมบอกกลับมาว่าก็ช่วงนั้นเห็นผม จะเข้านั้นจะเข้านี้ เดี๋ยวเข้า วิศวะ เดี๋ยวเข้าวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวเข้าบัญชี(อันนี้ผมเก่งคณิตเอามากๆผมเลยคิดไว้หน่อยๆครับว่าหากวิศวะไม่ได้ก็เข้าบัญชีละกัน)
แม่ผมก็เลยยื่นคำขาดครับ เพื่อให้ผมคิดจะเลือกจริงๆสะทีว่าเข้าอะไรกันแน่

เรื่องทั้งหมดก็มีประมาณนี้แหละครับ
ผมก็เลยอยากจะมาระบาย หากจะมีอะไรที่ทำให้ผมภูมิใจหรือเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมอยากเรียนครุฯ วิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมีเดีย ต่อไปก็ช่วยๆกันโพสมาด้วยนะครับ
ผมต้องการแรงบัลดาลใจมากๆครับ เพื่อเปลี่ยนแรงบัลดาลใจเป็นความชอบ ผมอยากเรียนเพราะความชอบมากกว่านะครับ

ปล.ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
ปล2. อ่อ แล้วก็ผมชอบงานด้านกราฟฟิค เกม หนังครับ ถ้าหากผมมาทางนี้แล้วยังพอมีทางที่จะได้ทำงานอย่างนั้นไหมครับ หรือว่าเป็นได้แค่ครู

sattawat1979
15th April 2015, 01:14
ยาวมากๆ อ่านแล้วตาลาย - -

ผมก็จบวิศวะมาครับ จากพระจอมเกล้าลาดกระบัง รุ่น 38 จริงๆแล้ววิศวะมันก็ไม่ได้เรียนยากอะไรหรอกครับ อย่ากลัวเกินไป

คำแนะนำสำหรับผมง่ายๆ คือ ''เลือกเรียนตามที่ตัวเองชอบ'' ครับ ตัดสินใจไปเลย อนาคตมันก็เป็นเรื่องของอนาคต

ตอนนี้ทำให้ดีที่สุดก็พอ เลือกไปแล้วก็อย่าเสียใจทีหลัง เราต้องเคารพการตัดสินใจของตัวเองครับ


อย่าไปกลัวว่าเรียนจบมาแล้วจะตกงาน ยังมีงานอีกมากมายที่เปิดรับคนมีความสามารถเสมอ

ทำอะไรก็ได้ขอแค่ ''ใจรัก'' ความสำเร็จก็จะตามมา

exodus
15th April 2015, 08:10
ตกงานง่ายไหมจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะสุดท้ายการจ้างงานมันอยู่ที่การตัดสินใจของ "นายทุน" ครับ ไม่ใช่การตัดสินใจของวิศวกรซะเมื่อไหร่ บทจะอยู่ยาวก็อยู่ยาวๆไปเลย หรือบทจะเลิกจ้างก็โดนเลิกจ้างชนิดปลดกันกลางอากาศก็มี ส่วนใหญ่งานวิศวกรอาศัยสิ่งที่เรียกว่า reputation แต่ก่อนจะมี คุณต้องเก่ง(มากๆๆๆๆ) มีความรับผิดชอบสูง โปรไฟล์ดี และมีต้นทุนชีวิตสูง อย่างเช่นเคยร่วมงานสร้างโปรเจคต์ eastern seaboard เคยสร้างทางด่วนรถไฟรางคู่ของรัฐ อันนี้ไม่ค่อยมีใครปลดคุณหรอก อาจจะได้เป็นที่ปรึกษาด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นวิศวกรโนเนม นายทุนประเภทอาเจ็กอาแปะทั้งหลายก็มองคุณไม่ต่างจากทิชชู่หรอกครับ เช็ดเสร็จก็ทิ้ง ถึงวาระก็ปลด ก็เท่านั้นแหละ จากประสบการณ์พวกที่โดนเลิกจ้างก็มีกันเยอะ สุดท้ายก็ออกมาขายประกัน เพราะงานเซลล์มันก็ทำเงินได้ประมาณหนึ่ง ผมเจอมาเยอะ พวกเซลล์ที่ชอบขี้โม้ว่า เมื่อก่อนเป็นวิศวกรเงินไม่ค่อยดีเท่าทำงานเซลล์ ก็นึกใจใจ "ถุยส์ ทำไมกรูจะไม่รู้ว่า****โดนเขาเลิกจ้างมา"

offerre
17th April 2015, 01:35
ขอบคุณสำหรับ คห. ทั้ง 2 แง่นะครับ ผมว่าจะลองเรียนไปดูก่อนสัก 1 ปี ยอมเสียเวลาครับ แล้วถ้ายังมีความหวังที่จะได้งานที่ชอบหลังจบ ผมก็อาจจะเรียนต่อเลย

แต่ถ้าไม่ชอบจริงๆก็คงต้องซิ้วไปเข้าวิศวะเต็มตัวไม่ก็วิทยาศาสตร์จริงๆสะที

PhyzX
17th April 2015, 10:47
จขกท. เป็นเด็กแอดปีนี้รึเปล่าครับ ถ้าใช่ มันยังมีรอบแอดอยู่นิครับ ยังไงก็ตามผมก็อยากให้เรียนตามที่ตัวเองชอบมากกว่านะครับ เพราะมันจะมีความรู้สึกแตกต่างกันมากเวลาเรียนจริง ถ้าเราเข้าไปเรียนคณะ/สาขาที่เราชอบ เวลาที่เราท้อไม่ว่าจะท้อแค่ไหน มันก็หาแรงบันดาลใจให้ตัวเองก้าวต่อไปได้ไม่ยากครับ แต่ถ้าหากเรียนในคณะ/สาขาที่ไม่ได้ชอบจริงๆ ถ้ามาถึงในจุดๆเดียวกัน ผมว่าอย่าว่าแต่หาแรงบันดาลใจเลย แค่นิดๆหน่อยๆก็ทำให้อยากจะซิ่วได้ง่ายๆแล้ว ดังนั้นเลือกตามที่ตัวเองชอบจะดีกว่าครับ

-ส่วนเรื่องงานนะครับ ผมมองแบบไม่โลกสวยนะ ผมว่าถ้าคุณจบมาแล้วไม่เลือกงาน มีงานทำแน่ๆครับ ส่วนมากที่ตกงานคือเพราะเลือกงานกัน อีกเรื่องที่ช่วยเสริมเราก็คือเรื่องของ connecting ครับ ซึ่งอันนี้แต่ละม.ก็จะมี connecting ที่แตกต่างกันออกไปครับ แน่นอนว่าทุกๆม.มีตรงนี้หมด และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ skill ของตัวเราเองครับ ผมมองว่าคนจบวิศวะเกือบทุกคนจะมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีการวางแผน ซึ่งกระบวนการนี้มันสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิชาชีพอื่นได้อีกเยอะแยะมากมายครับ ไม่ใช่เฉพาะวิศวกรอย่างเดียว ผมเห็นคนจบวิศวะมาทำงานบริหารหรืองานอย่างอื่นกันเยอะแยะไปนะครับ ฉะนั้นเรื่องตกงานแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากคุณมีสกิลพวกนี้ติดตัว

-คณะครุศาสตร์ของสามพระจอมจบมาไม่จำเป็นต้องเป็นครูนะครับ ผมเห็นเพื่อนหลายๆคนที่เรียนอยู่ก็ไม่ได้อยากเป็นครูกันสักเท่าไรนะครับ ส่วนใหญ่ที่ฟังจากเพื่อนๆเล่ามาคือ รุ่นพี่ที่นั่นจบไปก็ไปทำงานสายตรงซะมากกว่าเป็นครูนะครับ และแน่นอนว่าถ้า จขกท. สนใจด้าน กราฟฟิค ด้านเกม จบสายนี้มาสามารถทำได้แน่ๆครับ

สุดท้ายก็อยากจะบอกว่าอยู่ที่ตัว จขกท. เองแหละครับว่าจะเอายังไงต่อ (แต่ส่วนตัวผมแนะนำให้แอดวิศวะไปเลยนะ เพราะยังไงเรียนคณะ/สาขาที่ใช่ มันเวิร์คกว่าอยู่แล้ว) แต่ถ้าอยากไปลองเรียนดูก็อยู่ที่ จขกท. ตัดสันใจเลยครับ ถ้าไปลองแล้วไม่ชอบก็อย่าลังเลที่จะซิ่วครับ ชีวิตเป็นของเรา สู้ๆครับ

ปล.ผมเรียนสถาปัตย์นะ แต่พอแนะได้บ้างนิดๆเพราะมีพี่เรียนวิศวะ

sattawat1979
17th April 2015, 11:11
ยึดหลัก อิทธิบาท 4 ครับ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ทำในสิ่งที่รักเท่านั้นครับ แล้วจะดีเอง อย่าเรียนตามกระแส เรียนตามเพื่อน เรียนเพราะมันเท่ หรือว่าไม่เรียนเพราะกลัวตกงาน เป็นต้น

เกิดมาชาตินึง เลือกทำสิ่งที่ตัวเองรักเถอะครับ อย่าฝืนเลย เสียเวลาชีวิตเปล่าๆ


ถ้าจะให้ดี มองไกลไปถึงอาชีพเลยดีกว่าครับ ดูว่าเราชอบอาชีพอะไร ว่าจะทำอาชีพนั้นๆได้ต้องเรียนอะไรบ้าง??

ถามตัวเองว่าชอบงานแบบนั้นมั๊ย?? ถ้าชอบก็เดินหน้าลุยเลยครับ ถ้าไม่ชอบก็ไปเลือกอย่างอื่นแทน ง่ายๆแค่นี้เอง


ตรวจสอบจริตนิสัยตัวเองว่าเข้ากับงานอะไรได้บ้าง?? ตรงนี้ก็สำคัญมากเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนเราจะทำงานได้ทุกอย่าง

บางคนพูดเก่ง เจรจาเก่ง ก็ไปเป็นเซล , บางคนชอบสอน ก็ไปเป็นครู เป็นต้น แต่ละคนมีงานที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดเพียงงานเดียวเท่านั้น

ลองค้นหาตัวเองให้เจอ ใครพบได้ก่อน ก็ประสบความสำเร็จ ได้ก่อนครับ

kira002
17th April 2015, 11:28
เชื่อผม ผมจบ วิทยาการคอม มาคิดว่าเออ มันเป็นทางของเรา

จบมาขอแค่ทำงานในสายคอมก็พอ พอจบก็เป็น Programmer

รู้เลยว่าไม่ใช้ตัวเรา ทำไงละทีนี้ แต่มันสามารถเลี้ยงตัวได้ครับ

พอทำไปทำมา เออ มาก็พอไปได้นิ ไม่ทำให้อดตาย

แล้วค่อยมาหา งานอดิเรกทำที่เราชอบ แบบผมรู้สึกตัวเองเลย

ว่าชอบทำอาหาร ก็ฝึกทำไป ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ

ที่ผมบอก คืออย่ามันใจนักว่าเราชอบมันจริง พอทำงานเราอาจจะไม่ชอบก็ได้ครับ

offerre
20th April 2015, 19:10
เชื่อผม ผมจบ วิทยาการคอม มาคิดว่าเออ มันเป็นทางของเรา

จบมาขอแค่ทำงานในสายคอมก็พอ พอจบก็เป็น Programmer

รู้เลยว่าไม่ใช้ตัวเรา ทำไงละทีนี้ แต่มันสามารถเลี้ยงตัวได้ครับ

พอทำไปทำมา เออ มาก็พอไปได้นิ ไม่ทำให้อดตาย

แล้วค่อยมาหา งานอดิเรกทำที่เราชอบ แบบผมรู้สึกตัวเองเลย

ว่าชอบทำอาหาร ก็ฝึกทำไป ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ

ที่ผมบอก คืออย่ามันใจนักว่าเราชอบมันจริง พอทำงานเราอาจจะไม่ชอบก็ได้ครับ

เป็นความคิดที่ดีมากๆครับ ผมก็ว่าจะทำงานที่ตัวเองชอบดูก่อนถ้าหากว่าไม่ชอบแต่ไม่เอือมเกินไปก็ทำเพื่อเลี้ยงชีพละกัน แล้วเอาเงินไปเริ่มต้นกับสิ่งที่ชอบครับ

หรืองานอดิเรกทำ หากมันทำรายได้ ได้ก็ทำต่อไปเพราะชอบ และถ้ารายได้นั้นมั่นคงจริงๆ จะได้ไปทำงานอดิเรกนั้นให้เป็นงานหลักแทน

exodus
20th April 2015, 23:07
ทำงานมาหลายที่แล้วล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ชอบหรืออยากทำ งานที่ได้เงินเยอะ งานที่ตรงกับความถนัดของตัวเรา งานบ้าบอคอแตกฯลฯ

สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องของการรักษา "บาลานซ์" ครับ เพราะปัจจัยในการดำรงชีวิตและการทำงานมันมีหลายปัจจัย รวมถึงว่าคุณจะเอาปัจจัยทุกอย่างแบบเพียบพร้อมเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ อุดมคติบางครั้งมันก็เป็นเรื่องของความเพ้อฝัน ชีวิตจริงบางทีก็ฝืดและชวนห่อเหี่ยวเพราะขาดน้ำเลี้ยง เพราะฉะนั้นการรักษาบาลานซ์ในงานที่ทำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คุณจะไปถึงจุดหมายยังไงถ้าคุณจะต้องมาตกม้าตายตั้งแต่ออกสตาร์ท

การมีม้าฝีเท้าจัด ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณขี่ม้ายังไงหรอกครับ