PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : พิธีศพแบบใหม่!! โดยการต้ม



bnnightmal2e
8th October 2011, 13:25
http://board.postjung.com/data/572/572944-topic-ix-0.jpg
เชื่อหรือเปล่าว่ามี พิธีศพแปลกๆ ที่นำศพผู้ตายมาต้มจนเหลือแต่น้ำเข้นๆสีน้ำตาล(คล้ายน้ำเชื่อม)กับกระดูก
หลายคนอาจจะคิดว่ามันคงเป็นพิธีกรรมโบราณที่สาบสูญ แต่ความจริงมันเป็นเทคโนโลยี่ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รายละเอียด
- ที่เห็นในภาพจั่วหัว เป็นเครื่องจักรสเตนเลสขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเครือง alkaline hydrolysis ที่ใช้สำหรับ ละลายศพเป็นน้ำเข้นๆสีน้ำตาลอมเขียว
- ขบวนการละลายศพนี้เรียกว่า Resomation (โดยคำว่า Resoma เป็นภาษากรีก ที่หมายความว่า การถือกำเนิดใหม่ของมนุษย์)
- โดยขณะนี้ในสหรัฐอเมริกามีอยู่ 7 รัฐที่อนุญาตให้ประกอบพิธีฌาปนกิจ โดยการต้มให้ละลายเช่นนี้ โดยรัฐฟลอริดา(Florida)เป็นรัฐล่าสุด
- ผู้ผลิต และติดตั้งเครื่อง alkaline hydrolysis คือบริษัท Glasgow-based company
ขั้นตอนการทำงานของเครื่องต้มศพ
1.ใส่ศพเข้าไปในเครื่อง alkaline hydrolysis ปิดฝา
2.ปล่อยสาร ละลาย(น้ำ+potassium hydroxide)แช่ศพให้ท่วมแล้วทำการเพิ่มแรงดัน และอุณหภูมิให้อยู่ที่ 180 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 2.5 - 3 ชั่วโมง
3.ศพ จะละลายกลายเป็นน้ำเข้นๆสีน้ำตาลอมเขียว(คล้ายน้ำเชื่อม)จำนวนเล็กน้อยที่ เป็นสารประกอบของ กรออมิโน(amino acids) , เป็ป ไทด์(peptides) , น้ำตาล และเกลือ เหลือไว้แต่โครงกระดูกเปื่อยนุ่มที่สามารถบดได้โดยง่ายที่จะนำไปฝัง หรือ เผา หรือ ญาติจะรับคืนแล้วแต่กรณีไป
4.โดยผู้ผลิตกล่าวว่า น้ำเข้นๆที่เหลือนี้ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้ราดต้นไม้ทำเป็นต้นไม้รำลึก หรือปล่อยลงระบบบำบัดน้ำเสียก็ได้
CREDIT : wowboom.blogspot.com

thizo
8th October 2011, 13:31
คิดว่าเชื่อนะ วิธีแปลกๆแบบนี้มีอยู่จริง แต่ไม่ค่อยมีคนทำกันหรอก ><

saman14
8th October 2011, 13:33
แล้วถ้าศพนั้นเกิดไม่ละลายขึ้นมาล่ะครับ :sweat:sweat

&#174;Th&#163; V&#206;ŘuS™
8th October 2011, 13:35
WTF!!!

http://upic.me/i/f9/5twtf.gif
ตามนั้นเลยละกันนะ

(ras)_dear
8th October 2011, 13:57
มีเครื่องแบบนี้อยู่ด้วย แปลกๆ

nodoka
8th October 2011, 14:21
โลกเราก็มีอะไรแปลกๆที่เราไม่รู้มากมาย

hackedsugus
8th October 2011, 15:03
ต้มเนี้ยนะ เห้อ อออ อ

ballba
8th October 2011, 15:04
ตอนนี้มีเผา มีช็อต แล้วมีต้มแล้ว = =

RotheR
8th October 2011, 15:16
ต้มกระดูกคน

[::BlueFox::]
8th October 2011, 15:28
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตรงไหน ว่ะ... ต้ม 2-3 ช.ม. นั้น ใช้พลังงานไปเยอะนะนั้น

ถึงจะต้มให้เปนน้ำเชื่อม สุดท้ายต้องเอาไปฝัง หรือเผาอยู่ดี(สิ้นเปลืองX2) เอาไปฝังเลยไม่ดีกว่าหรอ

ไปฝัง ไม่เปลืองพลังงานอะไรเลย แถมยังเป็นปุ๋ยในดินอีก(แต่มีก๊าซมีเทนเล็กน้อย) แต่เป็นมิตรกว่าเห็นๆ

ผมยังไม่เห็น ข้อดี ของการต้มศพ แล้วเอาไป ฝังหรือเผาต่อเลย(มันเป็นมิตรตรงไหน)

ปล. ไม่ได้ งกหรอก แต่ สุดท้ายต้องไปฝังหรือเผาอยู่ดี แล้วจะไปต้มทำมายยยย

อ่อ ผมว่าวิธีนี้ ข้างล่างเป็นมิตรสุดล่ะ เปนการให้อาหารสัตว์ด้วย
http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=8992


ต่อไปคงทอดอ่าครับ
ต่อจากทอดคงเป็น ผัด สินะ ต่อไปอีกเป็น แกง อืม... ต้ม ผัด แกง ทอด หอมอร่อยในพริบตา - -"

markops
8th October 2011, 15:31
นิ่มเลยทีเดียวครับ

StarCrusader
8th October 2011, 16:35
ผมก็ว่าฝังไปเลยง่ายกว่าไหม?

opeza30
8th October 2011, 16:42
ยุคนี้ ต้มการแล้วหรอ !:eek:

levia
8th October 2011, 16:43
ต้มเสร็จก็แจกให้คนในงานกินเลย :) อิ่มบาปกันถ้วน

lukpar
8th October 2011, 16:48
ต้มเสร็จเเล้ว ก็ทำเป็นน้ำซุป เเล้วก็เคี่ยว เเล้วก็กิน อร่อย อิ่มมม :preved

PeaceterZero
8th October 2011, 16:54
การเผา มันทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะเกิดก็าซ(ไรฟะลืม C นี่แหละลืมละ)
ส่วนการต้ม ใช้พลังงานน้อยกว่าเผาอยู่ละ(H20) กลับกัน มันคือน้ำกับสาร ไม่ปล่อยก็าซ C ออกมาเท่าไหร่ อีกอย่าง การเผาศพนี่ควันมันอันตรายนะ


พิธีกรรมการฌาปนกิจหรือเผาศพนั้น เป็นพิธีกรรมที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน และยังมีอีกหลายประเทศที่มีความเชื่อการส่งวิญญาณผู้ตายสู่สุคติด้วยการ เลือกที่จะเผาร่างอันไร้ลมหายใจนั้น นี่เองที่ทำให้หลายต่อหลายวัดในกรุงเทพมหานครและตลอดทั่วประเทศไทย จำต้องมีเมรุเผาศพเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าว แต่สิ่งที่อีกหลายคนยังไม่รู้ก็คือ ในการเผาศพแต่ละครั้งนั้น ก่อให้เกิดสารพิษจากการเผาไหม้ที่มีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว!!!

เมื่อ เร็วๆ นี้ ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมได้จัดการเสวนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อันว่าด้วยเรื่อง “ความตายและสิ่งแวดล้อม เตาเผาศพแหล่งมลพิษร้ายใกล้ตัว” โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง ดร.นิคม ไวยรัชพานิช ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และดร.จารุพงษ์ บุญหลง ผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ร่วมให้ความรู้

ดร.จารุพงษ์เปิดเผยถึงสารพิษตัวสำคัญที่มีผลร้ายแรง ต่อร่างกาย อันเนื่องมาจากการเผาศพว่า ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “ไดออกซิน/ฟิวแรนส์” (Dioxins / Furans) ซึ่งเป็นสารเคมีอันเป็นผลผลิตที่ไม่ได้ตั้งใจหรือที่เรียกว่า Unintentional Product ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ (ในช่วงอุณภูมิ 200-650 เซลเซียส”)

ไดออกซิน/ฟิวแรนส์เป็นสารประกอบในกลุ่มคลอริเนตเตท อะโรมาติก (chlorinated aromatic compound) ที่มีออกซิเจนและคลอรีนเป็นองค์ประกอบ 1-8 อะตอม มีมากถึง 210 ชนิด แต่มีเพียง 17 ชนิดเท่านั้นที่มีรายงานว่ามีพิษร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อมนุษย์

“สาเหตุ ของการเกิดไดออกซิน/ฟิวแรนส์ ที่มาจากการเผาศพก็เพราะประการแรก นอกจากศพที่ส่งเข้าเตาเผาแล้ว ยังมีวัสดุอื่นๆ ที่ถูกส่งเข้าไปยังเตาเผาด้วย เช่น อุปกรณ์ตกแต่งโรงศพที่เป็นวัสดุพลาสติก พวงหรีด กระดาษเงินกระดาษทอง เทพพนม หรือพลาสติกที่ห่อศพติดเชื้อจากโรงพยาบาล อย่างศพผู้ป่วยเอดส์ ก็จะส่งเข้าเตาเผาทั้งพลาสติกแบบนั้นเลย ไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเกิดขึ้นจะเกิดจากการเผาของดังกล่าว โดยการเผาจะเป็นการเผาที่ไม่สมบูรณ์ในช่วงอุณหภูมิ 200-650 เซลเซียส”

ดร.จา รุพงษ์กล่าวต่อถึงพิษร้ายของไดออกซิน/ฟิวแรนส์ ว่าเพียงแค่0.0000000001 กรัม ก็มีผลต่อร่างกายมนุษย์แล้ว และหากได้รับพิษของมันสะสมเข้าไปร่างกายเป็นระยะเวลานานก็อาจจะส่งผลออกมาใน รูปของ น้ำหนักลด โรคผิวหนัง เป็นสิวแบบคลอแอคเน่ ตับอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อัณฑะมีรูปร่างผิดปกติ การสร้างอสุจิลดลง ตัวอ่อนหรือทารกผิดปกติ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น

ในส่วนของการ เกิดไดออกซิน/ฟิวแรนส์จากการเผาศพนั้น ดร.จารุพงษ์อธิบายว่า ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดของเตาเผาศพของประเทศไทยนั้นจะมีความร้อนในการเผาที่ สูงไม่พอในการจะเผาไดออกซิน/ฟิวแรนส์ให้หายไปด้วย ซึ่งตามปกตินอกจากที่ไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเกิดจากการเผาอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใส่เข้าไปพร้อมศพแล้ว ที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ ในร่างกายของคนเราเองก็มีไดออกซิน/ฟิวแรนส์อยู่เช่นกัน

“ตามธรรมดา นั้นสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเข้าสู่ร่างกายคนโดยผ่านทางอาหารที่กินเข้าไป เช่น เนื้อ นม ไข่ ที่มาจากสัตว์ที่ได้รับสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์ โดยอาจจะเป็นจากการกินหญ้า กินน้ำ ที่มีสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์จากเตาเผาศพลอยมาเกาะ หรือกระทั่งสัมผัสสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์ในอากาศ เมื่อคนกินผลิตภัณฑ์จากสัตว์เหล่านั้นเข้าไป ไดออกซิน/ฟิวแรนส์ก็จะเข้าไปสะสมในร่างกายของคน และไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะละลายได้ดีในไขมัน มันจึงเข้าไปเกาะอยู่ตามชั้นไขมันของร่างกาย และแน่นอนว่าการเผาศพนั้น ส่วนชั้นไขมันก็ต้องถูกเผา นั่นเป็นการเผาเพื่อก่อเกิดสารไดออกซิน/ฟิวแรกจากศพออกมาเป็นจำนวนมาก”

ดร.จา รุพงษ์ได้ยกกรณีที่เคยไปเก็บตัวอย่างจากศพพระภิกษุรูปหนึ่งที่ถูกเก็บไว้นาน แล้ว สภาพศพแห้ง แต่เมื่อนำเข้าทำพิธีฌาปนกิจแล้วปรากฏว่า สารไดออกซินฟิวแรนส์จากศพพระภิกษุที่ถูกเก็บไว้จนแห้ง และมีไขมันในศพน้อยกว่าศพสดมากนั้น ยังคงมีสารพิษออกมามากกว่า 26 เท่าของมาตรฐานความปลอดภัย

“เรื่องมลพิษจากเตาเผาศพเป็นเรื่องที่ ต้องเร่งแก้ไข เพราะถ้าเทียบสัดส่วนสารพิษจากอาหารจำพวกแฮม เบคอน พวกเนื้อสัตว์แปรรูป หรือเชื้อราอะฟลาท็อกซินจากถั่วแล้ว ถือว่าเล็กน้อยมากหากเทียบกับไดออกซิน/ฟิวแรนส์ แล้วการรับสารก็ยังเป็นการรับโดยไม่รู้ตัว ลองนึกภาพสัปเหร่อที่วันๆ ต้องขลุกอยู่กับเตาเผา นึกถึงภาพแขกที่มาร่วมงานที่นั่งรับประทานอาหารที่เจ้าภาพงานศพจัดเลี้ยงให้ บริเวณหน้างานในขณะที่เตาเผากำลังทำงานว่าคนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงแค่ไหน” ดร.จารุพงษ์กล่าว

แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางป้องกันแก้ไขเจ้าไดออกซิ น/ฟิวแรนส์นี้เลย เพราะดร.จารุพงษ์อธิบายว่า กระบวนการเผาศพอย่างถูกวิธีนั้นจะสามารถกำจัดสารพิษตัวร้ายนี้ไปได้ แต่การเผาศพนั้นๆ จำเป็นจะต้องใช้ความร้อนในการเผาสูงกว่า 850 องศาเซลเซียส และในเตาเผาจะต้องมีการออกระบบการหมุนเวียนอากาศอย่างเป็นระบบมาตรฐาน ต้องมีอุปกรณ์การดูดซับไดออกซิน/ฟิวแรนส์ติดตั้งอยู่ในเตาเผาด้วย และ ต้องใช้เวลาเผาไดออกซิน/ฟิวแรนส์ด้วยอุณหภูมิในระดับดังกล่าวนานกว่า 2 วินาที

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้คือแทบจะไม่มีเตาเผาใดใน กรุงเทพมหานครที่มีการจัดระบบการเผาที่ได้มาตรฐานด้วยความร้อนที่สูงขนาด นั้น ดังนั้นจึงแทบไม่ต้องพูดถึงการเผาศพในต่างจังหวัด

ด้านดร.นิคม ก็ได้ให้ภาพกว้างๆ ของการทำพิธีฌาปนกิจในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครแบบสั้นๆ แต่ชัดเจน ว่า เพียงแค่วัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของประชาชนในการจัดพิธีฌาปนกิจศพ ในวันหนึ่งๆ นั้นก็จำต้องเผาศพวันละเป็นสิบๆ ศพแล้ว

“เพียง 2 วัดยอดฮิตที่รู้ๆ กัน รวมกันทุกศาลาก็ปาเข้าไปประมาณ 100 กว่าศพแล้วครับ” ดร.นิคมกล่าว

ดร.จา รุพงษ์ได้เผยโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเสนอว่า ในกรุงเทพมหานครจำเป็นจะต้องมีเตาเผาศพที่ได้มาตรฐาน จัดตั้งเป็นศูนย์เผาศพโดยเฉพาะ โดยใช้ต้นแบบของเตาเผามาจากประเทศเยอรมัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตและคิดค้นเทคนิคการเผาศพที่ดีที่สุดในโลก ดังเช่นที่เห็นกันในประวัติศาสตร์การเผาคนยิวจำนวนมาก ที่ประเทศเยอรมันสามารถจัดสร้างเตาเผาขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพการเผาที่ดี ซึ่งบริษัทที่จัดทำในยุคนั้นได้รับการยอมรับมาจนถึงบัดนี้ จนมีการคิดค้นเทคนิคการเผาและจัดศูนย์เผาศพประจำเมืองเพื่อความสะดวกและดูแล เรื่องมลพิษอย่างจริงจัง

“เตาเผาที่นั่นจะใช้เวลานับแต่ส่งโลงเข้าไป ยังเตาเผา จนเป่าอัฐิลงมาใส่โกศนั้น เพียง 45 นาทีเท่านั้น และทุกระบบของเขาได้มาตรฐานทั้งหมด ทำให้เมื่อไปวัดที่ปากปล่องเตาเผา ปรากฎว่าไม่พบไดออกซิน/ฟิวแรนส์แล้ว คือกระบวนการภายในเตาที่ให้ความร้อนสูงกว่า 850 องศาเซลเซียส นานกว่า 2 วินาที และมีการระบบการหมุนเวียนอากาศที่ดีนั้น ทำให้การเผาศพๆ นั้นไม่ก่อสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์

“หากเราทำในเมือง ไทยงบประมาณต่อ 1 ศูนย์ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นเงินที่มากพอสมควร ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาที่ทุกครั้งที่ผมเสนอโครงการนี้ จึงติดขัดมีปัญหาจนทุกวันนี้ แต่หากทำได้ เราจะลดสารพิษที่เป็นอันตรายร้ายแรงได้มากทีเดียว” ดร.จารุพงษ์กล่าว

ด้าน ตัวแทนจากกทม.อย่างดร.นิคมก็ได้กล่าวถึงแนวคิดโครงการศูนย์เผาศพว่า ปัญหาสารพิษจากการเผาศพนั้น เป็นภัยร้ายใกล้ตัว เชื่อว่าผู้บริหารก็ต้องเล็งเห็น แต่ว่าสิ่งที่คณะทำงานต้องทำก็คือ นำเสนอข้อมูลให้ละเอียดมากที่สุด เพื่อให้ผู้บริหารเข้าใจ พร้อมทั้งได้เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดเป็นการทิ้งท้ายการเสวนาว่า

“ตอน นี้โปรเจ็กต์ศูนย์เผาศพได้ถูกเขียนเอาไว้ในแผนชาติแล้ว แต่ก็ต้องให้รัฐมนตรีดูก่อน เพื่อจะได้กำหนดนโยบาย ระหว่างนี้ก็คุยกับน้องๆว่า เสนอเข้าไปขั้นแรกก่อน แต่ก็ต้องเก็บข้อมูลเพิ่มเติมไปด้วย”



ที่มา : manager

เผาแบบดี 800 องศา
ต้มน้ำ ไม่ถึง

การต้มดีที่สุด แน่ - -ดูแล้ว อ้วกได้เหมือนกัน

kalokipee
8th October 2011, 16:55
ให้แร้งกินคงประหยัดสุดละ

soul_zoro
8th October 2011, 17:41
เออ.......อยากรู้ว่ามีใครอยากลองบ้าง แบบถ้าผมตายเอาผมไปต้มนะ ห้ามเผา งี้ เหรอ :confused:

prompot1013
8th October 2011, 18:33
คิดว่าเชื่อนะ วิธีแปลกๆแบบนี้มีอยู่จริง แต่ไม่ค่อยมีคนทำกันหรอก ><

clubzaxxx
8th October 2011, 19:39
;300069']เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตรงไหน ว่ะ... ต้ม 2-3 ช.ม. นั้น ใช้พลังงานไปเยอะนะนั้น

ถึงจะต้มให้เปนน้ำเชื่อม สุดท้ายต้องเอาไปฝัง หรือเผาอยู่ดี(สิ้นเปลืองX2) เอาไปฝังเลยไม่ดีกว่าหรอ

ไปฝัง ไม่เปลืองพลังงานอะไรเลย แถมยังเป็นปุ๋ยในดินอีก(แต่มีก๊าซมีเทนเล็กน้อย) แต่เป็นมิตรกว่าเห็นๆ

ผมยังไม่เห็น ข้อดี ของการต้มศพ แล้วเอาไป ฝังหรือเผาต่อเลย(มันเป็นมิตรตรงไหน)

ปล. ไม่ได้ งกหรอก แต่ สุดท้ายต้องไปฝังหรือเผาอยู่ดี แล้วจะไปต้มทำมายยยย



ผมว่าวิธีนี้ดีกว่านะ... เหลือเเต่กระดูกเลย จะได้ไม่เป็นซอมบี้ (ฮา) บางคนอาจจะไม่ฝังก็ได้ ประหยัดที่ให้ต้นไม้ น้ำเขียวๆ เอาไปทำเป็ปทีน(ฮา) ส่วนกระดูก เหลือไว้ ไว้ทุกข์ครับ

ปล. เครื่องนั้นคงเฮี้ยนน่าดู *0*


เออไช่! เวลาคนไหนตายเเล้วสั่งเสียว่าห้ามเผา เราก็เอาไปต้มซะเลย (ฮา)//โดนถีบ

Fairy
8th October 2011, 20:02
กรดอมิโน(amino acids)
เป็ป ไทด์(peptides)
น้ำตาล และเกลือ

มีประโยชน์ทั้งนั้นนะอย่างทิ้งสิ อัดกระป๋องขายเลย

มีต้มต่อไปคงทอดกะตุ๋น

VirusCoMz
8th October 2011, 20:35
ต้มง่ายดีนะ เงียบด้วย ไม่ต้อง ให้ดอกไม้จันทร์

benz1230
8th October 2011, 20:51
แล้วก็จะมี พวกลักลอบเอาน้ำต้มคนมา ใส่ขวดแปปทีนขาย 0.0

chaebang
8th October 2011, 20:55
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆนะครับ

DukeInth
8th October 2011, 20:57
เห็นแล้วหิวก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย :pleasantry

chayatorn
8th October 2011, 20:59
มันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคือมันไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา ส่วนพลังงานที่นำไปต้มนั้นผมก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่พลังงานอะไร

Deadly
8th October 2011, 22:18
หลายวิธ๊จิงงงงงงง

Falenhine
8th October 2011, 23:09
กรดอมิโน(amino acids)
เป็ป ไทด์(peptides)
น้ำตาล และเกลือ

มีประโยชน์ทั้งนั้นนะอย่างทิ้งสิ อัดกระป๋องขายเลย

มีต้มต่อไปคงทอดกะตุ๋น

กรดอมิโน = Amino Oishi
เป็ป ไทด์ = Orginal Soy peptides
นํ้าตาลและเกลือ = ผสมอาหาร
*0*

assaultsin
8th October 2011, 23:49
เผา กินแล้วมะเร็ง
ต้ม ดีกว่าสินะ 55+

Dark_Area
8th October 2011, 23:54
WTF!!!

http://upic.me/i/f9/5twtf.gif

ผมดูลายเซ็นท่านจนลืมไปแล้วว่าโพสว่าอะไร -,.-


การเผา มันทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะเกิดก็าซ(ไรฟะลืม C นี่แหละลืมละ)
ส่วนการต้ม ใช้พลังงานน้อยกว่าเผาอยู่ละ(H20) กลับกัน มันคือน้ำกับสาร ไม่ปล่อยก็าซ C ออกมาเท่าไหร่ อีกอย่าง การเผาศพนี่ควันมันอันตรายนะ

เผาแบบดี 800 องศา
ต้มน้ำ ไม่ถึง

การต้มดีที่สุด แน่ - -ดูแล้ว อ้วกได้เหมือนกัน

เห็นด้วยครับ ผมว่าต้มก็ดีเหมือนกัน มันจะได้ H2O กับพวกสารชีวโมเลกุล(หน่วยย่อย ตามที่ จขกท.กล่าว) เอาไปรดน้ำต้นไม้นี่ สุดยอดกว่าปุ๋ยแน่นอน หน่วยเล็ก+น้ำ ต้นไม้ดูดซึมได้ดี

(ผมว่าน่าจะคาร์บอนนะ เวลาเผาจะมี CO2 มาด้วย = =" ไม่รู้นะ เพราะเวลามีไฟมาเกี่ยว สมการปฏิกิริยาจะมี CO2 มา+ด้านซ้ายด้วย ส่วนสารผลิตภัณฑ์ก็ขึ้นอยู่กับสารตั้งต้นอีกที (ศพมันมีสูตรว่าอะไรหว่า เหอๆ))

ว่าแต่ ทำไมต้องไปเกี่ยวกับเปปทีนด้วยฟร๊ะ ...
*ดื่มเปปทีนแล้วได้อะไร > ลองอ่านหนังสือชีวะเรื่องกรดอะมิโนดูครับ แล้วก็ไปดูตรงขวดเปปทีนตรงโปรตีนที่ได้รับ แล้วจะกระจ่าง 5555

จากการวิเคราะห์(หรือเดาแบบดูดีนี่เอง) ชื่อเครื่อง alkaline hydrolysis
alkaline ก็(น่าจะ)เป็นเบส ซึ่งอยู่พบได้ที่เนื้อเยื่อทั่วร่างกายของมนุษย์
hydrolysis เป็นการนำ h20 ไปทำปฏิกิริยา รวมๆกันแล้วก็น่าเข้าใจวิธีการทำงานของเครื่องเลย นั่นก็คือการนำน้ำไปทำปฏิกิริยาย่อยสลายกับร่างกายนั่นเอง -..-

จบครับ .. เดี๋ยวผมจะพิมยาวกว่านี้ - -" (คอยดูสิ พอตอนจะสอบเข้ามหา'ลัย ความรู้หายหมด เหอๆ) <ไม่จบ

siamzone
9th October 2011, 01:08
น่าจะมีระเบิดศพ นะจะได้ครบชุดเลย (ล้อเล่น) 55+

nazaa
9th October 2011, 06:58
ตอนนี้มีเผา มีช็อต แล้วมีต้มแล้ว = =
ต่อไปคงทอดอ่าครับ

Kurotsuchi_Nemu
9th October 2011, 07:01
กรดอมิโน(amino acids)
เป็ป ไทด์(peptides)
น้ำตาล และเกลือ

มีประโยชน์ทั้งนั้นนะอย่างทิ้งสิ อัดกระป๋องขายเลย

มีต้มต่อไปคงทอดกะตุ๋น

เอ้อ!!!....เข้าใจคิดแฮะ หารายได้พิเศษได้เลยนะนั่น:)

Infinity_Justice
9th October 2011, 10:37
อร่อยแน่ครับ