Disciples Linkin prak
13th July 2011, 18:26
http://img.ihere.org/uploads/0c2312bf25.jpg
ถ้าได้รับเช็คมูลค่า 720 ล้านบาท เราจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะไร
รับรองว่า คงลิสต์รายการที่อยากจ่ายได้ยาวเป็นหางว่าว
แต่ของฟรีไม่มีในโลก ยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ เราคงหาอะไรไปแลก
แล้วถ้าสิ่งที่ต้องนำไปแลกคือ การเป็นอัมพาตทั้งตัวตั้งแต่อายุ 7 ขวบล่ะ
เราจะยังอยากได้เงินจำนวนนี้ไหม
เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อชิงเงินจำนวน 720 ล้านบาท
ระหว่างนักธุรกิจเขี้ยวลากดินกับเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในบ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อปี 1994
ภายในบ้านหลังนั้นมีเด็กชายวัย 7 ขวบคนหนึ่ง กับพี่เลี้ยงของเขา
พี่เลี้ยงมองออกไปนอกบ้านแล้วเห็นคนท่าทางมีพิรุธมาเดินอยู่หน้าบ้าน
เพื่อความไม่ประมาท จึงหยิบปืนมาโหลดกระสุนเตรียมพร้อมไว้
ทันทีที่เขาเปิดปืนเพื่อเตรียมใส่กระสุน กระสุนที่ค้างอยู่ในปืนก็ลั่นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ลูกกระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกปืน ผ่านเตียงเด็ก เข้าปลายคาง
แล้วทะลุไปโดนกระดูกสันหลังของเด็กชายที่ชื่อ แบรนดอน แม็กซ์ฟิลด์
ผลก็คือ เด็กชายวัย 7 ขวบคนนี้กลายเป็นอัมพาตทั้งร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมา
กรณีนี้ หลายคนคงโทษความประเลินเล่อของพี่เลี้ยง
ก็นับว่าใช่ แต่ความผิดที่ใหญ่หลวงกว่า มาจากบริษัทผลิตปืน
ปืนกระบอกนี้ผลิตโดยบริษัท Bryco Arms ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตปืนกึ่งอัตโนมัติ ราคาถูก
Bryco Arms ออกแบบปืนรุ่นนี้ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะหลักในการออกแบบปืนระบุว่า
ต้องออกแบบให้สามารถโหลดกระสุนใส่ได้ เมื่อปืนอยู่ในสภาพที่ปิดสนิทหรือไม่พร้อมใช้งานเท่านั้น
เมื่อผลิตปืนที่ไม่ได้มาตรฐาน ความผิดจึงมาตกอยู่กับพวกเขา
แม็กซ์ฟิลด์และทนายของเขาจึงยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท Bryco Arms
ซึ่งครอบคลุม ค่ารักษาพยาบาล การสูญเสียรายได้ การทำให้เขาต้องเจ็บป่วยจากการเป็นอัมพาตทั้งชีวิต
ศาลใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ 3 เดือน ก็มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์
ให้บริษัท Bryco Arms จ่ายค่าชดเชยให้แม็กซ์ฟิลด์เป็นเงินจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 720 ล้านบาท
นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของผู้บริโภคที่มีต่อผู้ผลิตที่ไร้ความรับผิดชอบ
แต่จะเรียกว่าชัยชนะคงไม่ได้ เพราะในวันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงงานก็ประกาศล้มละลาย
นับเป็นการเดินเกมที่แยบคายมาก เพราะเขาเล่นแร่แปรธาตุกับสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
รวมทั้งการขายโรงงานในราคาถูกแสนถูก
เขาปักป้ายขายโรงงานพร้อมกับปืนที่ยังไม่ได้ประกอบจำนวน 75,000 กระบอก
ในราคาเพียง 150,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
และผู้ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเป็นรายแรกและรายเดียวก็คือ ผู้จัดการโรงงานนั่นเอง
ที่ตั้งตัวเลขต่ำต้อยเพียงแค่นี้ ก็เพราะเมื่อบริษัทล้มละลาย
ย่อมต้องจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่างๆ ซึ่งก็คือคู่ค้าของพวกเขา และแม็กซ์ฟิลด์ผู้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุด
แต่เนื่องจากเด็กคนนี้มีสถานะเป็นบุคคลไม่ใช่องค์กรเหมือนคู่ค้าของบริษัท
ศาลจึงกำหนดว่า เมื่อขายสินทรัพย์ทั้งหมดแล้ว
ต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ที่เป็นองค์กรก่อน แล้วค่อยจ่ายหนี้บุคคล
เจ้าของโรงงานเลยตั้งใจจะขายแค่พอมีเงินจ่ายคู่ค้า แต่ไม่มีเหลือให้แม็กซ์ฟิลด์
ที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นก็คือ ผู้จัดการโรงงานที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาซื้อกิจการไปทำต่อนั้น
แท้จริงแล้วก็คือนอมินี่ของเจ้าของเดิม และเงินที่เอามาเสนอ ก็เป็นเงินของเจ้าของเดิมนั่นเอง
จึงเท่ากับว่า เจ้าของเดิมจะได้โรงงานกลับมาในราคาถูกแสนถูก
แล้วก็กลับมาทำธุรกิจเหมือนเดิม โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้แม็กซ์ฟิลด์ เพราะไม่มีเงินเหลือ
โชคยังดีอยู่ที่ศาลบอกว่า ข้อเสนอ 150,000 เหรียญนั้นน้อยไป
ให้รออีก 20 วันว่าจะมีผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่นอีกไหม
แบรนดอนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 17 ปี จึงตั้งองค์กร Brandon?s Arms ขึ้นมาเพื่อยื่นข้อเสนอขอซื้อโรงงานด้วย
เขาระดมเงินจากผู้ที่สนใจผ่านเว็บไซต์มาได้ทั้งหมด 505,00 เหรียญ
ด้วยตัวเลขขนาดนี้ โรงงานปืนแห่งนี้สมควรจะตกเป็นของเขา
แต่สุดท้ายเกมก็มาพลิกตรงที่ผู้จัดการโรงงานหรือตัวแทนของเจ้าของเดิม ขยับข้อเสนอเพิ่มขึ้นเป็น 510,000 เหรียญ
จึงได้โรงงานกลับไปครองดังเดิม ในวันที่ 12 สิงหาคม 2005
แล้วก็เดินเครื่องผลิตปืน 75,000 กระบอกที่ยังผลิตค้างไว้ต่อ
ถึงจะประมูลแพ้ แต่ทนายความของเขาก็ยังยื่นเรื่องฟ้องต่อว่า
นี่เป็นการประมูลที่ไม่โปร่งใส เพราะผู้ที่ได้ไปเป็นนอมินี่ของเจ้าของเดิม
แล้วก็ยังไล่จี้เรื่องค่าชดเชยจากเจ้าของโรงงานต่อไป
ถึงเงินค่าชดเชยจะยังไม่ได้เป็นของแม็กซ์ฟิลด์ โรงงานก็ไม่ได้เป็นของเขา
แต่เขาและทนายความของเขาก็ได้รับรางวัล Sharp Award ประจำปี 2005
ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับการทำคดีที่แสดงให้เห็นถึงพลังของต่อสู้คดีแพ่งเพื่อความถูกต้อง
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นรางวัลที่มอบให้กับคดีของคนเล็กๆ ที่ต่อสู้กับองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อความถูกต้อง
เหตุผลที่คดีนี้ได้รับรางวัลก็เพราะ
การสู้แบบกัดไม่ปล่อยทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน คนในสังคม และผู้แทนในสภา
ถึงขนาดที่นำไปใช้เป็นเคส เมื่อมีการพิจารณาเรื่องการผลิตอาวุธ และความปลอดภัยในการใช้อาวุธ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปอีก 5 ปี
ไม่รู้เหมือนกันว่า คดีของเขาคืบหน้าไปถึงไหน ได้รับค่าชดเชยหรือยัง
หรือต้องไล่ตามเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าของโรงงานปืนอีกขนาดไหน
แต่ที่เรื่องนี้ยังเป็นที่จดจำของผู้คนก็เพราะที่มาที่ไปของมัน ไม่ได้มีแค่เด็กคนหนึ่งลุกขึ้นมาประมูลโรงงานปืน
แม็กซ์ฟิลด์ไม่ได้อยากได้โรงงานแทนเงินชดเชย เขาไม่ได้อยากบริหารโรงงานปืน
และไม่ได้ต้องการดอกผลของธุรกิจผลิตอาวุธ
เพราะเขารู้ว่า อาวุธปืนเป็นอันตรายกับคนทั่วไป ไม่ควรมีใครเจอแบบเดียวกับเขาซ้ำสอง
เขาจึงประกาศชัดเจนกับทุกคนในเว็บไซต์ ก่อนจะเอ่ยปากชวนร่วมระดมทุนว่า
การเข้าไปซื้อโรงงานปืนครั้งนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือ
การทำลายชิ้นส่วนปืนที่ยังไม่ได้ประกอบทั้ง 75,000 กระบอก ด้วยการหลอม
ซื้อโรงงานปืน เพื่อทำลายปืนในโรงงานทิ้ง
เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวใจที่กล้าหาญมาก
บางคนเห็นอาวุธสงครามเป็นแหล่งรายได้
แต่บางคนก็เห็นมันวัตถุอันตรายที่ส่งผลต่อชีวิตคนให้มีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หรือไม่ก็อาจจะไม่มีชีวิตอีกเลย
มันคงดีที่โรงงานอาวุธสงครามถูกครอบครองโดยผู้ที่อยากทำลายมัน
เสียดายก็แต่ความไม่โปร่งใสที่สกัดสิ่งนี้ไว้ไม่ให้เกิดขึ้นจริง
credit : Postjung
ถ้าได้รับเช็คมูลค่า 720 ล้านบาท เราจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะไร
รับรองว่า คงลิสต์รายการที่อยากจ่ายได้ยาวเป็นหางว่าว
แต่ของฟรีไม่มีในโลก ยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ เราคงหาอะไรไปแลก
แล้วถ้าสิ่งที่ต้องนำไปแลกคือ การเป็นอัมพาตทั้งตัวตั้งแต่อายุ 7 ขวบล่ะ
เราจะยังอยากได้เงินจำนวนนี้ไหม
เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อชิงเงินจำนวน 720 ล้านบาท
ระหว่างนักธุรกิจเขี้ยวลากดินกับเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในบ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อปี 1994
ภายในบ้านหลังนั้นมีเด็กชายวัย 7 ขวบคนหนึ่ง กับพี่เลี้ยงของเขา
พี่เลี้ยงมองออกไปนอกบ้านแล้วเห็นคนท่าทางมีพิรุธมาเดินอยู่หน้าบ้าน
เพื่อความไม่ประมาท จึงหยิบปืนมาโหลดกระสุนเตรียมพร้อมไว้
ทันทีที่เขาเปิดปืนเพื่อเตรียมใส่กระสุน กระสุนที่ค้างอยู่ในปืนก็ลั่นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ลูกกระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกปืน ผ่านเตียงเด็ก เข้าปลายคาง
แล้วทะลุไปโดนกระดูกสันหลังของเด็กชายที่ชื่อ แบรนดอน แม็กซ์ฟิลด์
ผลก็คือ เด็กชายวัย 7 ขวบคนนี้กลายเป็นอัมพาตทั้งร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมา
กรณีนี้ หลายคนคงโทษความประเลินเล่อของพี่เลี้ยง
ก็นับว่าใช่ แต่ความผิดที่ใหญ่หลวงกว่า มาจากบริษัทผลิตปืน
ปืนกระบอกนี้ผลิตโดยบริษัท Bryco Arms ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตปืนกึ่งอัตโนมัติ ราคาถูก
Bryco Arms ออกแบบปืนรุ่นนี้ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะหลักในการออกแบบปืนระบุว่า
ต้องออกแบบให้สามารถโหลดกระสุนใส่ได้ เมื่อปืนอยู่ในสภาพที่ปิดสนิทหรือไม่พร้อมใช้งานเท่านั้น
เมื่อผลิตปืนที่ไม่ได้มาตรฐาน ความผิดจึงมาตกอยู่กับพวกเขา
แม็กซ์ฟิลด์และทนายของเขาจึงยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท Bryco Arms
ซึ่งครอบคลุม ค่ารักษาพยาบาล การสูญเสียรายได้ การทำให้เขาต้องเจ็บป่วยจากการเป็นอัมพาตทั้งชีวิต
ศาลใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ 3 เดือน ก็มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์
ให้บริษัท Bryco Arms จ่ายค่าชดเชยให้แม็กซ์ฟิลด์เป็นเงินจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 720 ล้านบาท
นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของผู้บริโภคที่มีต่อผู้ผลิตที่ไร้ความรับผิดชอบ
แต่จะเรียกว่าชัยชนะคงไม่ได้ เพราะในวันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงงานก็ประกาศล้มละลาย
นับเป็นการเดินเกมที่แยบคายมาก เพราะเขาเล่นแร่แปรธาตุกับสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
รวมทั้งการขายโรงงานในราคาถูกแสนถูก
เขาปักป้ายขายโรงงานพร้อมกับปืนที่ยังไม่ได้ประกอบจำนวน 75,000 กระบอก
ในราคาเพียง 150,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
และผู้ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเป็นรายแรกและรายเดียวก็คือ ผู้จัดการโรงงานนั่นเอง
ที่ตั้งตัวเลขต่ำต้อยเพียงแค่นี้ ก็เพราะเมื่อบริษัทล้มละลาย
ย่อมต้องจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่างๆ ซึ่งก็คือคู่ค้าของพวกเขา และแม็กซ์ฟิลด์ผู้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุด
แต่เนื่องจากเด็กคนนี้มีสถานะเป็นบุคคลไม่ใช่องค์กรเหมือนคู่ค้าของบริษัท
ศาลจึงกำหนดว่า เมื่อขายสินทรัพย์ทั้งหมดแล้ว
ต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ที่เป็นองค์กรก่อน แล้วค่อยจ่ายหนี้บุคคล
เจ้าของโรงงานเลยตั้งใจจะขายแค่พอมีเงินจ่ายคู่ค้า แต่ไม่มีเหลือให้แม็กซ์ฟิลด์
ที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นก็คือ ผู้จัดการโรงงานที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาซื้อกิจการไปทำต่อนั้น
แท้จริงแล้วก็คือนอมินี่ของเจ้าของเดิม และเงินที่เอามาเสนอ ก็เป็นเงินของเจ้าของเดิมนั่นเอง
จึงเท่ากับว่า เจ้าของเดิมจะได้โรงงานกลับมาในราคาถูกแสนถูก
แล้วก็กลับมาทำธุรกิจเหมือนเดิม โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้แม็กซ์ฟิลด์ เพราะไม่มีเงินเหลือ
โชคยังดีอยู่ที่ศาลบอกว่า ข้อเสนอ 150,000 เหรียญนั้นน้อยไป
ให้รออีก 20 วันว่าจะมีผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่นอีกไหม
แบรนดอนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 17 ปี จึงตั้งองค์กร Brandon?s Arms ขึ้นมาเพื่อยื่นข้อเสนอขอซื้อโรงงานด้วย
เขาระดมเงินจากผู้ที่สนใจผ่านเว็บไซต์มาได้ทั้งหมด 505,00 เหรียญ
ด้วยตัวเลขขนาดนี้ โรงงานปืนแห่งนี้สมควรจะตกเป็นของเขา
แต่สุดท้ายเกมก็มาพลิกตรงที่ผู้จัดการโรงงานหรือตัวแทนของเจ้าของเดิม ขยับข้อเสนอเพิ่มขึ้นเป็น 510,000 เหรียญ
จึงได้โรงงานกลับไปครองดังเดิม ในวันที่ 12 สิงหาคม 2005
แล้วก็เดินเครื่องผลิตปืน 75,000 กระบอกที่ยังผลิตค้างไว้ต่อ
ถึงจะประมูลแพ้ แต่ทนายความของเขาก็ยังยื่นเรื่องฟ้องต่อว่า
นี่เป็นการประมูลที่ไม่โปร่งใส เพราะผู้ที่ได้ไปเป็นนอมินี่ของเจ้าของเดิม
แล้วก็ยังไล่จี้เรื่องค่าชดเชยจากเจ้าของโรงงานต่อไป
ถึงเงินค่าชดเชยจะยังไม่ได้เป็นของแม็กซ์ฟิลด์ โรงงานก็ไม่ได้เป็นของเขา
แต่เขาและทนายความของเขาก็ได้รับรางวัล Sharp Award ประจำปี 2005
ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับการทำคดีที่แสดงให้เห็นถึงพลังของต่อสู้คดีแพ่งเพื่อความถูกต้อง
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นรางวัลที่มอบให้กับคดีของคนเล็กๆ ที่ต่อสู้กับองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อความถูกต้อง
เหตุผลที่คดีนี้ได้รับรางวัลก็เพราะ
การสู้แบบกัดไม่ปล่อยทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน คนในสังคม และผู้แทนในสภา
ถึงขนาดที่นำไปใช้เป็นเคส เมื่อมีการพิจารณาเรื่องการผลิตอาวุธ และความปลอดภัยในการใช้อาวุธ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปอีก 5 ปี
ไม่รู้เหมือนกันว่า คดีของเขาคืบหน้าไปถึงไหน ได้รับค่าชดเชยหรือยัง
หรือต้องไล่ตามเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าของโรงงานปืนอีกขนาดไหน
แต่ที่เรื่องนี้ยังเป็นที่จดจำของผู้คนก็เพราะที่มาที่ไปของมัน ไม่ได้มีแค่เด็กคนหนึ่งลุกขึ้นมาประมูลโรงงานปืน
แม็กซ์ฟิลด์ไม่ได้อยากได้โรงงานแทนเงินชดเชย เขาไม่ได้อยากบริหารโรงงานปืน
และไม่ได้ต้องการดอกผลของธุรกิจผลิตอาวุธ
เพราะเขารู้ว่า อาวุธปืนเป็นอันตรายกับคนทั่วไป ไม่ควรมีใครเจอแบบเดียวกับเขาซ้ำสอง
เขาจึงประกาศชัดเจนกับทุกคนในเว็บไซต์ ก่อนจะเอ่ยปากชวนร่วมระดมทุนว่า
การเข้าไปซื้อโรงงานปืนครั้งนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือ
การทำลายชิ้นส่วนปืนที่ยังไม่ได้ประกอบทั้ง 75,000 กระบอก ด้วยการหลอม
ซื้อโรงงานปืน เพื่อทำลายปืนในโรงงานทิ้ง
เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวใจที่กล้าหาญมาก
บางคนเห็นอาวุธสงครามเป็นแหล่งรายได้
แต่บางคนก็เห็นมันวัตถุอันตรายที่ส่งผลต่อชีวิตคนให้มีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หรือไม่ก็อาจจะไม่มีชีวิตอีกเลย
มันคงดีที่โรงงานอาวุธสงครามถูกครอบครองโดยผู้ที่อยากทำลายมัน
เสียดายก็แต่ความไม่โปร่งใสที่สกัดสิ่งนี้ไว้ไม่ให้เกิดขึ้นจริง
credit : Postjung