joker
22nd July 2016, 00:02
สมมุติว่าเราเป็นพ่อค้าแตงโมมือใหม่ ที่อยากทำธุรกิจค้าขายแตงโม ด้วยความที่เป็นมือใหม่ จึงไม่รู้ว่าแตงโมนั้นมีราคาที่เหมาะสมเป็นราคาเท่าไร เผอิญว่าเดินไปที่สวนแตงโมเจ้าแรก เขามีแตงโมขายให้ราคาลูกละ 25 บาท ด้วยความที่เจ้าของสวนแตงโมเจ้าแรกนั้นสวย พูดจาดีเป็นกันเอง เราเลยตกลงที่จะซื้อแตงโมทั้งหมดจำนวน 1,000 ลูก (เป็นเงินทั้งสิ้น 25,000 บาท)
http://www.jokergameth.com/stock/20160720-average1.jpg
แต่หลังจากที่ซื้อมาแล้ว ปรากฎว่าสวนที่อยู่ข้างๆกัน ซึ่งขายแตงโมเหมือนกัน ต้องการเงินด่วนมาก เจ้าของสวนจึงประกาศขายแตงโมให้กับใครก็ได้ที่อยากจะซื้อในราคาเพียงแค่ลูกละ 15 บาท พอเราเห็นดังนั้นจึงขอซื้อแตงโมอีก 1,000 ลูก (ในครั้งที่ 2 นี้เสียเงิน 15,000 บาท)
จากตัวอย่างนี้ เราจะมีแตงโมทั้งหมดจำนวน 2,000 ลูก โดยเงินที่เราเสียไปทั้งหมดนั้นก็คือ 40,000 บาท (25,000+15,000) พูดได้ว่า เราซื้อแตงโมมาลูกละ 20 บาทนั่นเอง (มีต้นทุนลูกละ 20 บาท) การซื้อแบบนี้เรียกว่า การซื้อแบบถัวเฉลี่ย
ในมุมมองของการเล่นหุ้น เราอาจจะใช้หลักการซื้อแบบถัวเฉลี่ยมาใช้กับการเล่นหุ้นได้ เช่น หากเราซื้อหุ้นตัวนึงในราคาหุ้นละ 25 บาท เมื่อซื้อไปได้ระยะเวลานึง หุ้นตัวนี้มีราคาลดลง (คือเก็งผิดว่างั้น) ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สมมุติว่าหุ้นตัวนี้มีราคาลดลงมาเหลือแค่ 15 บาทต่อหุ้น หากคิดง่ายๆก็คือ เราจะขาดทุนไป 10 บาทต่อหุ้นแล้ว แต่หากเราซื้อหุ้นตัวนี้อีกครั้งในราคา 15 บาท เราจะมีต้นทุนของหุ้นตัวนี้กลายเป็น 20 บาท (25+15 = 40/2) จะเห็นว่าแทนที่เราจะมีต้นทุนของหุ้นตัวนี้ที่ 25 บาท กลับกลายเป็นว่าเราจะมีต้นทุนอยู่เพียง 20 บาทเท่านั้น
แนวคิดในการซื้อหุ้นถัวเฉลี่ย เกิดจากแนวคิดที่ว่า ความเป็นไปได้ที่หุ้นที่ตกลงมาที่ราคา 15 บาทจะกลับขึ้นไปที่ราคา 20 บาทนั้นจะง่ายกว่ากลับขึ้นไปที่ราคา 25 บาทนั่นเอง
หลักการซื้อถัวเฉลี่ย
- ใช้ได้กับหุ้นที่มีแนวโน้ม ราคาจะขึ้นเท่านั้น (ซึ้อเฉพาะเมื่อหุ้นนั้นอยู่ในช่วงขาขึ้น, ไม่ซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นอยู่ในช่วงขาลง)
- จุดที่จะซื้อถัวเฉลี่ย คือจุดที่หุ้นตัวนั้นมีราคาต่ำลงมามากแล้ว และมีแนวโน้มว่าราคาจะไม่ลงไปมากกว่านั้นอีก
- จำนวนหุ้นที่จะซื้อเฉลี่ย ควรจะมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนหุ้นที่เคยมีอยู่แล้ว
http://www.jokergameth.com/stock/20160720-average1.jpg
แต่หลังจากที่ซื้อมาแล้ว ปรากฎว่าสวนที่อยู่ข้างๆกัน ซึ่งขายแตงโมเหมือนกัน ต้องการเงินด่วนมาก เจ้าของสวนจึงประกาศขายแตงโมให้กับใครก็ได้ที่อยากจะซื้อในราคาเพียงแค่ลูกละ 15 บาท พอเราเห็นดังนั้นจึงขอซื้อแตงโมอีก 1,000 ลูก (ในครั้งที่ 2 นี้เสียเงิน 15,000 บาท)
จากตัวอย่างนี้ เราจะมีแตงโมทั้งหมดจำนวน 2,000 ลูก โดยเงินที่เราเสียไปทั้งหมดนั้นก็คือ 40,000 บาท (25,000+15,000) พูดได้ว่า เราซื้อแตงโมมาลูกละ 20 บาทนั่นเอง (มีต้นทุนลูกละ 20 บาท) การซื้อแบบนี้เรียกว่า การซื้อแบบถัวเฉลี่ย
ในมุมมองของการเล่นหุ้น เราอาจจะใช้หลักการซื้อแบบถัวเฉลี่ยมาใช้กับการเล่นหุ้นได้ เช่น หากเราซื้อหุ้นตัวนึงในราคาหุ้นละ 25 บาท เมื่อซื้อไปได้ระยะเวลานึง หุ้นตัวนี้มีราคาลดลง (คือเก็งผิดว่างั้น) ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สมมุติว่าหุ้นตัวนี้มีราคาลดลงมาเหลือแค่ 15 บาทต่อหุ้น หากคิดง่ายๆก็คือ เราจะขาดทุนไป 10 บาทต่อหุ้นแล้ว แต่หากเราซื้อหุ้นตัวนี้อีกครั้งในราคา 15 บาท เราจะมีต้นทุนของหุ้นตัวนี้กลายเป็น 20 บาท (25+15 = 40/2) จะเห็นว่าแทนที่เราจะมีต้นทุนของหุ้นตัวนี้ที่ 25 บาท กลับกลายเป็นว่าเราจะมีต้นทุนอยู่เพียง 20 บาทเท่านั้น
แนวคิดในการซื้อหุ้นถัวเฉลี่ย เกิดจากแนวคิดที่ว่า ความเป็นไปได้ที่หุ้นที่ตกลงมาที่ราคา 15 บาทจะกลับขึ้นไปที่ราคา 20 บาทนั้นจะง่ายกว่ากลับขึ้นไปที่ราคา 25 บาทนั่นเอง
หลักการซื้อถัวเฉลี่ย
- ใช้ได้กับหุ้นที่มีแนวโน้ม ราคาจะขึ้นเท่านั้น (ซึ้อเฉพาะเมื่อหุ้นนั้นอยู่ในช่วงขาขึ้น, ไม่ซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นอยู่ในช่วงขาลง)
- จุดที่จะซื้อถัวเฉลี่ย คือจุดที่หุ้นตัวนั้นมีราคาต่ำลงมามากแล้ว และมีแนวโน้มว่าราคาจะไม่ลงไปมากกว่านั้นอีก
- จำนวนหุ้นที่จะซื้อเฉลี่ย ควรจะมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนหุ้นที่เคยมีอยู่แล้ว