PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Seven Scythe - The lost princess ตำนานเจ็ดเคียวกู้พิภพ กับองค์หญิงที่หายสาบสูญ



tstcwqt1
18th October 2011, 01:42
จะหันมองไปแต่หนใด ก็คงมองไม่เห็นอะไร


นอกจากความมืดและความแห้งแล้งรกร้าง


สองขาก้าวเดินไปในความโหดร้ายของธรรมชาตินั้น สายตาซึมซับทัศนียภาพอันชวนปวดหัวใจยิ่ง


ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่เพียงซากต้นไม้ที่ตายแล้ว หรือหย่อมหญ้าที่แห้งสนิทแม้เพียงเหยียบก็แห้งกรอบแล ะแตกสลายราวแก้วที่บอบบางและปลิวไปตามสายลม


มันช่างโหดร้าย และเจ็บปวด หากพวกมันมีชีวิต คงกรีดร้องให้ช่วยฆ่ามันให้พ้นความทรมานไปเสียที


ทุกครั้งที่ย่างก้าว ทุกครั้งที่ฝีเท้าเหยียบลงไปบนพื้นดินแห้งแล้งแตกระแ หงมันช่างเจ็บปวด


“องค์หญิง..... ท่านอยู่ที่ใดกันนะขอรับ....”



“องค์ราชาขอรับ! องค์ราชา!”เสียงเล็กแหลมหวีดไปทั่ววังที่มืดสลัว ตามทางเดินปูพรมแดงหรูทว่ามืดสลัวด้วยแสดงเทียนจากเช ิงเทียนที่ติดห่างเหลือเกินให้เห็นทางเพียงนิดหน่อย ภายนอกก็มืดจะแย่ด้านในก็มืดอีก


สองขาสั้น ๆ ยังคงวิ่งไปตามทางพรมแดงภายในวังหรูหราโอ่อ่า จนกระทั่งเลี้ยวหักศอกเข้าห้อง ๆ หนึ่งและโผล่เข้ามาในโถงใหญ่ ที่มีเพียงผู้เดียวประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยใบหน้าเบ ื่อหนักหนากับทุกสิ่ง


ดวงตาสีเหลืองขีดตั้งราวอสรพิษมองผู้ทำลายความเงียบท ี่คลานหมอบแทบเท้าเข้ามาหาตนเอง ก่อนจะหยุดออกไปในระยะที่ได้ยินเสียง


“มีอะไรรึ? โครร็อค?”สุรเสียงดังก้องกังวานทรงพลังทั้ง ๆ ที่ขยับปากเพียงเล็กน้อย


เพียงเท่านั้นเจ้าของชื่อโครร็อคถึงกับสะดุ้งร้องอ๊บ มือสั่นปากสั่น


ผิวสีเขียวเป็นเมือกและดวงตาสีเหลืองขีดขวางอันเป็นเ อกลักษณ์ของกบนั้นเป็นเรื่องปกติ หากแต่ชุดที่ใส่และท่าทางการยืนสองขานั้น คงไม่ใช่กบธรรมดาเป็นแน่


กบยืนสองขาในชุดคลุมยาวถึงข้อเท้ายืนขาสั่นอยู่ครู่ห นึ่ง ริมฝีปากขยับไม่เป็นจังหวะราวกับจะเรียบเรียงคำพูดที ่เจ้าตัวคิดว่าผิดไม่ได้แม้เพียงนิด


“พ.....พบตัวองค์หญิงแล้วขอรับ องค์ราชา” พูดเพียงแค่นั้นโครร็อคก็หมอบกราบแล้วหมอบกราบอีกราว เป็นเรื่องร้ายแรง แต่ผู้ฟังทำเพียงแค่ยกเขนที่เท้าคางขึ้นมา จากที่วางแขนของบัลลังก์ของตนและลูบคางของตนเล็กน ้อยเท่านั้น


บุรุษร่างยักษ์ทรงบัลลังก์ยังคงทำหน้าราวไตร่ตรองอะไ รสักอย่างเป็นเวลานาน ดวงตาสีอำพันหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะหลุบลงมองเสนาส่วนตัวที่กำลังหมอบกราบตัวสั่นง ันงกราวลูกนกแรกเกิด


ปลายนิ้วยังคงลูบคางตัวเองไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะแย้มยิ้มบางแล้วตรัสพระกระแสดำริเพียงคำสั้น ๆ


“ไปเรียกทั้งสี่ทิศมาหาข้า โครร็อค”


“พะ......พะย่ะค่ะ”



ทวีปฮิลล์มีลักษณะเป็นเกาะขนาดใหญ่ แบ่งเป็นห้าเขตใหญ่ ๆ คือเหนือ ใต้ ออก ตก และเขตกลางอันมีองค์ราชาทรงพำนักอยู่ แต่ละเขตจะมีการปกครองดูแลต่างกันไปตามผู้ปกครองแต่ล ะเขต


เขตเหนือที่หนาวเหน็บเพราะคาบเกี่ยวกับทวีปอัลโรโดร่ าเป็นเขตที่เดิมทีรกร้างว่างเปล่าอยู่แล้ว กลับมีความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นมาอีก คงไม่ต่างอะไรกับนรกน้ำแข็งอันแห้งแล้งและกันดาร เขตนี้จึงดูเหมือนจะเป็นเขตที่อันตรายที่สุดหากไม่นั บส่วนกลาง


เสียงฝีเท้าก้องกังวานในแสงสลัวยามกลางวันของเขตทวีป ฮิลล์ ภายในตัวปราสาทของเขตทางเหนือ


ฝีเท้าก้าวมั่นคงไปตามทางเดินอันเย็นเยียบ ทั้งอิฐบล็อกที่เป็นสีขาวซีดและปูพรมด้วยพรมกำมะหยี่ แดงที่ออกจะโทรมไปสักหน่อยเพราะกาลเวลา ทว่าฝีเท้านั้นก็เหมือนจะไม่ใส่ใจกับสภาพสถานที่เท่า ไหร่ อาจจะมาจากความเคยชินก็เป็นได้กระมังที่ทำให้ฝีเท้าไ ม่ลดความเร็วลงเพื่อสำรวจมันเลย


“ท่านออลฮ่า มีการติดต่อมาจากเขตกลางขอรับ”เสียงสุภาพดังขึ้นเมื่ อประตูของออลฮ่าถูกเปิดออก ภายหลังบานประตูคือปิศาจกวางร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะนั กรบเต็มยศท่าทางแลดูน่ากลัว


“องค์ราชารึเครอัน?”ออลฮ่าเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงนิ่ งสงบ


เบื้องหน้าของเครอันคือปิศาจมังกรท่าทางสง่าดูภูมิฐา นในชุดเกราะนักรบโบราณ ทั้งร่างของเขาปกคลุมด้วยน้ำแข็งสีฟ้าใสทั้งยังแผ่ไอ เย็นอย่างเห็นได้ชัดแม้อุณหภูมิรอบตัวจะหนาวมากก็ตาม


ดวงตาสีอำพันเหลือบมองข้ารับใช้ส่วนตัวก่อนจะลุกขึ้น ยืนเต็มความสูง เห็นได้ชัดเจนว่าร่างของออลฮ่าใหญ่มากทีเดียว เพราะเครอันถึงกับต้องเงยหน้ามองผู้เป็นนายของตนเองก ่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่


“ขอรับ”เครอันตอบรับและก้มหน้าลงไปอีกครั้ง ขนสีน้ำตาลหนาปลิวไสวเล็กน้อยตามแรงลมเอื่อยที่ลอดเข ้ามาจากหน้าต่างห้องส่วนตัวของออลฮ่า แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเท่าไหร่อันเป ็นสาเหตุมาจากขนหนาที่ปกป้องความหนาวได้เป็นอย่างดี


“ใจความล่ะ?”


“พบตัวองค์หญิงแล้วขอรับ”เครอันตอบทันที


“ได้... ชั้นจะรีบไป...”ออลฮ่าเดินสวนเครอันออกประตูไปทันที



ขณะเดียวกันที่เขตตะวันออกของทวีป ที่นี่เป็นพื้นที่โล่งกว้างสลับหนองน้ำและป่าต้นไม้ต ายประปราย แม้อุณหภูมิจะพอเหมาะให้มนุษย์อยู่อาศัยได้ แต่สิ่งที่อยู่อาศัยด้วยกันก็คือเหล่ามอนสเตอร์ที่ร้ ายกาจมากมายหลายชนิดเพราะความที่เป็นพื้นที่ที่สามาร ถปรับตัวได้ง่าย จึงไม่จำเป็นต้องแปลกใจอะไรกับจำนวนของสิ่งมีชีวิตแถ บเขตนี้เลย


เสียงกึก ๆ ทึบ ๆ ดังไปตามทางเดินในตัวปราสาทเขตตะวันออก ฝีเท้ามั่นคงและเดินไปตามทางที่มืดสลัวของระเบียงทาง เดินที่ทอดยาว แสงสลัวของคบไฟส่องกระทบร่างของผู้ที่เคลื่อนไหวใต้แ สงไฟ


เห็นเป็นเงาร่างมหึมาของปิศาจนกทว่ามีรูปร่างคล้ายมน ุษย์และเดินสองขา ปีกสีดำสนิทแทบจะกลืนไปกับความมืดหากไม่ต้องแสงไฟคงไ ม่มีใครสังเกตเห็นเป็นแน่แท้ ดวงตาสีเหลืองสุกใสฉายแววมุ่งมั่นมองตรงไปในความมืดส ลัวด้านหน้าราวกับรู้ดีว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น


อันที่จริง ตัวเขาคงไม่ต้องมาส่งข่าวก็ได้กระมัง


ในเมื่ออีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเนื้อข่าวเ ป็นอะไร


และทันทีที่เดินมาถึงห้อง ๆ หนึ่งที่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาใต้บานประตู เขาหยุดนิดหนึ่งและเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเปิดมันออก แลเห็นร่างค้อมเตี้ยของใครบางคนนั่งหันหลังให้เขา


แน่นอนว่าผู้นี้ก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกัน


กระดองเต่าสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่หลังคงบอกอะไรได้มากมา ยว่าปิศาจตนนี้เป็นอะไร


“วันนี้ดูท่าทางจะมีเรื่องด่วนสินะ? ท้องฟ้าถึงได้ดูวุ่นวายแบบนี้......ใช่มั้ย? การุด้า?”


“ขอรับ ท่านเอลรูธ”


“หืม?”เอลรูธขานรับ สองมือที่หุ้มเกล็ดละออกจากลูกแก้ว ก่อนจะหันไปหน้าไปหาข้ารับใช้ส่วนตัวที่กำลังน้อมโค้ งให้ตนเองอยู่


“จากการพยากรณ์ของท่าน ข้าว่าท่านคงทราบเรื่องดีแล้วสินะขอรับ” ปิศาจนกร่างยักษ์ยังค้อมหัวให้ไม่เงยขึ้นมาสบตา ดวงตาสองข้างหลับสนิทไม่มองผู้เป็นเหนือหัว


“อืม...... ได้เวลาที่องค์หญิงจะคืนบัลลังก์แล้วสินะ?”


“ขอรับ....”



เขตใต้ของเกาะ เขตนี้เป็นเขตเดียวที่มีอากาศร้อน และมีมอนสเตอร์อาศัยอยู่น้อยไม่ผิดจากเขตเหนือ แต่ที่นี่อันตรายยิ่งกว่านั้นมากนัก


เพราะที่นี่มีสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิปิศาจที่ปะทุครุก รุ่นตลอดเวลา ผืนดินแห่งนี้มีลาวาไหลซึมมากมายรวมทั้งความร้อนมหาศ าลของพื้นที่ทำให้แม้จะมีสิ่งมีชีวิตก็ต้องเป็นสิ่งท ี่ทนทานมาก ๆ ต่อสภาพอันเลวร้ายของพื้นที่รอบด้าน


แต่ทว่าเจ้าของปราสาทหินในพื้นที่นี้ดูจะไม่ยี่หระเท ่าไหร่กับสภาพเบื้องนอกหน้าต่างอันเลวร้าย ปีกสีเพลิงด้านหลังปะทุลูกไฟขนาดเล็กออกมาและมอดไปอย ่างรวดเร็ว ดวงตาสีเพลิงเหม่อมองไปไกลกับท้องฟ้าสีแดงสะท้อนแสงเ พลิงเบื้องล่างราวฝันร้ายที่ไม่เคยจบสิ้น


ทว่าก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องชะงัก และเหลือบตามองด้านหลังของตนเองเพราะว่ามีบุรุษแปลกห น้ารุกล้ำเข้ามาในห้องเสียแล้วในเวลาเพียงชั่วอึดใจ


“ฮาสเต้ จะเข้าปราสาทใครไม่คิดจะบอกเจ้าของบ้างรึไง? ถึงเจ้าจะเป็นถึงสี่ขุนพลเหมือนพวกข้าก็เถอะ”


“ใจร้ายจังนะเจนน์ แต่ถึงชั้นจะไม่บอก นายก็รู้อยู่ดีไม่ใช่รึ?” ฮาสเต้ตอบสบาย ๆ


“ข้าจะรู้หรือไม่เจ้าก็ต้องบอก มันขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกต่างหาก เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในปิศาจระดับสูงแท้ ๆ ไม่คิดจะทำอะไรที่มันดูต่างจากพวกสัตว์เดียรัจฉานหรื อยังไง?”


เจนน์หันหลังกลับมาหาผู้มาเยือน เขาเป็นบุรุษผมผมยาวฟูชี้สีแดงเพลิงราวกับสีที่ฉาบไป บนท้องฟ้ายามนี้ ขอบดวงตาสีแดงเข้มและหน้าตาเรียวได้รูปกับกับจอนที่ห ้อยลงมาขนาบกรอบใบหน้า เขาใส่ชุดเกราะนักรบโบราณเช่นเดียวกับขุนพลคนอื่นทว่ าเกราะของเขาดูราวมีชีวิตในตัวเองไม่ผิดเพี้ยน


ฮาสเต้เป็นปิศาจเสือขนเผือกร่างกำยำดูร่าเริงสมหน้าต า ปากของเขาตอนนี้แสยะยิ้มโชว์ฟันแหลมเรียงรายและดวงตา ที่ปิดมิดทำให้อ่านไม่ออกว่าตื้นลึกหนาบางอย่างไร เจนน์ไม่เคยไว้ใจปิศาจตนนี้เลยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร


แต่ฮาสเต้รับตำแหน่งมานานกว่าเจนน์มากนัก รวมถึงเขาไม่เคยแสดงฝีมือให้ใครเห็นเลยแม้แต่ผู้เดีย ว ปิศาจตนนี้จึงดูลึกลับมากที่สุดในบรรดาสี่ขุนพลองค์ร าชันย์


“อย่าเข้มงวดไปเลยน่า ทำหน้าบึ้งมาก ๆ จะแก่เร็วนะ”ฮาสเต้ลากเสียงขี้เล่น ว่าแล้วก็เดินมากอดคอเจนน์หมับและขยี้หัวอย่างหมั่นเ ขี้ยวราวเล่นกับเด็กเล็ก นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เจนน์ไม่ชอบเอาเสียเลยกับปิ ศาจเสือเริงร่าตนนี้


“ข้าอยู่มาจะร้อยปีอยู่แล้ว อีกอย่างเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าปิศาจอย่างเราไม่แก่ไม ่ตาย ทำตัวเป็นมนุษย์ไปได้นะเจ้าน่ะ”เจนน์ปัดมือฮาสเต้ออก และดิ้นเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนที่ล็อคคอตนเอ งเอาไว้


“แล้วเจ้ามาหาข้า มีธุระอะไรรึไง?”เจนน์ถามสวนทันทีเมื่อเห็นว่าฮาสเต้ ทำท่าจะล็อคคอตนอีกรอบ จนฮาสเต้ต้องชะงักมือแล้วมุ่ยปากด้วยความเซ็งที่โดนร ู้ทัน


“องค์ราชาบอกว่า ว่าพบองค์หญิงแล้ว”


“รับทราบ”



เทพีผู้สาบสูญจักคืนสู่บัลลังก์แห่งความมืดมิดนิทรา

สี่มหาปราชญ์แห่งความตายจักตามล่า

หกผู้กล้าแห่งการดับสูญจักยืนหยัดต่อผืนฟ้า

แลปฐพีสี่ทิศกลับไม่อาดูร


-----------------------------------------

/จุดพลุปุ้ง

ในที่สุด ภาคแรกก็ถือกำเนิด "orz......

ฝากตัวอีกครั้งนะครับ ทั้งหน้าใหม่และเก่าเน่อ


จะอ่านภาคเก่าก็ได้นะครับ แต่เนื้อเรื่องไม่ถือว่าแตกเอกเทศเน่อ อ่านอันนี้ไม่อ่านอันเก่าก็รู้เรื่องครับ

godji001
18th October 2011, 10:23
เรื่องนี้ถ้าเกิดผมจำไม่ผิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากครับ เพราะอยู่ในบอร์ดเก่าผมก็ตามอ่านอยู่ครับ

และยินดีต้อนรับกลับมาครับ ^^

Piussun
18th October 2011, 11:49
เหนื่อยแย่สินะหลังจากสะสางอะไรมาเยอะเเยะมากมายก่ายกอง บทที่ 1 ก็มาให้ดูเป็นขวัญตาซักที
อ่านแต่ต้นจนจบ ก็มาสะดุดที่องค์หญิง หรือว่าคนๆนั้นจะเป็น.... =w=

ปลดล๊อกทวีปฮิลแล้ว ทวีป 4 ฤดู(แห่งนรก)ยังไงก็ไม่้รู้สินะ

tstcwqt1
17th February 2012, 02:28
ตอนที่ 1 การประชุม

ภายในห้องที่กว้างและมืดทึบ มีเพียงแสงจากเปลวเทียนสลัวสาดส่องภายในห้องที่มืดมิดแค่พอมองเห็น แม้จะมีเชิงเทียนมากมายในห้องนี้รวมถึงเชิงเทียนขนาดใหญ่บนโต๊ะตัวยาวที่ตั้งเด่นกลางห้องก็ไม่ได้ให้ความสว่างมากมายเท่าไหร่นัก

ฝุ่นที่เกาะพื้นโต๊ะเก่าคร่ำครึปลิวขึ้นไปหย่อม ๆ เมื่อถูกลมหายใจแรง ๆ ของปิศาจเสือตนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าพัดผ่าน ปลายนิ้วที่จรดเล็บกับโต๊ะก็เขี่ยฝุ่นเล่นเขียนรูปร่างให้มันไปเรื่อยเปื่อยดูราวกับเด็กเล่นก็ไม่ผิดเพี้ยน เสียงขูดขีดจากปลายเล็บที่ลากผ่านพื้นไม้ของโต๊ะไม่ทำให้ห้องเงียบเกินไปนักซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี

ปลายเล็บของเขาค่อย ๆ ขูดไปขูดมา วนซ้ายวนขวาดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง แขนอีกข้างก็เท้าคางเอาไว้ ดวงตาสีเหลืองคมกริบสมพยัคฆ์มองล่องลอยไม่จับจดกับสิ่งใดพร้อมกับพรูลมหายใจหน่าย ๆ เป็นระยะแค่มองดูก็รู้แล้วคงเบื่อไม่ใช่น้อยทีเดียว

การที่จะต้องมานั่งนิ่ง ๆ ทำอะไรที่มันดูเป็นพิธีการ ไม่เคยเหมาะสมกับฮาสเต้อยู่แล้ว

ฮาสเต้เป็นปิศาจเสือขนเผือกร่างกายกำยำดูกรำศึกทว่าสวมใส่ชุดผ้าโปร่งสบาย ๆ ราวกับทำตัวอยู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่ ๆตนเองกำลังนั่งอยู่คือเก้าอี้ประชุมอันทรงเกียรติแต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะต้องการเกียรติที่ว่าเลยสักนิด

“เบื่อรึฮาสเต้”เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นตรงข้ามเขา ฮาสเต้ตอบอืมอาในลำคอเบา ๆ โดยไม่สนใจจะมองคู่สนทนาของตนแต่ประการใด

“เจ้านี่ยังนิสัยเด็กเหมือนเคยนะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าน่าจะอายุมากกว่าพวกเราสักสองถึงสามเท่าได้กระมัง?”

ตรงข้ามกับฮาสเต้ คือปิศาจเต่าตัวขนาดเท่ามนุษย์ผู้ใหญ่ ดวงตาสีเขียวนั้นดูเจนโลกและโชนแสงแห่งความรู้แรงกล้า ผิวสีน้ำตาลแก่และกระดองที่หยาบด้านบอกได้อย่างดีว่าอายุอานามคงไม่ใช่น้อย

“เจ้าจะบอกว่าเสืออย่างข้าอายุมากกว่าเต่าอย่างเจ้ารึเอลรูธ?” ฮาสเต้เอ่ยถาม

“ก็คงใช่” เอลรูธหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน มือที่กำไม้เท้าเอามันเคาะพื้นเบา ๆ ได้เสียงดังกึกทึบ ๆ เพราะมันกระทบเข้ากับพรมสีแดงเปื่อยเก่ายุ่ยที่ใช้ปูพื้นปราสาท

“แล้วเจนน์ล่ะฮาสเต้? ไม่ได้มากับเจ้างั้นหรอกรึ?” อีกเสียงดังขึ้นเยื้องไปทางด้านขวาของฮาสเต้เล็กน้อย ฮาสเต้หันไปมองก็ต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แม้อีกฝ่ายจะนั่งเหมือนกับตัวเขา แต่ขนาดตัวที่แม้ว่าจะในหมู่ปิศาจก็นับว่าใหญ่มากมานั่งข้าง ๆ เช่นนี้ก็ทำเอาเขาต้องเงยหน้าเหมือนกัน

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจนน์ทำอะไรอยู่ ข้าแค่ไปเรียกก็เท่านั้น อีกอย่างในกลุ่มเรา มีเจนน์ตนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่สนการใช้อาคมเคลื่อนย้ายตนเองน่ะ“

“นักรบย่อมไม่พึ่งพาของแปลกปลอมในการต่อสู้ นั่นเป็นคำพูดติดปากเจ้าเด็กนั่น พวกเจ้าลืมกันไปแล้วรึ?”ปิศาจเสือย้อนคำถามกลับ

“ก็จริง เจ้าเด็กนั่นภูมิใจในสิ่งที่เรียกว่านักรบเสียเหลือเกินนี่นะ คงคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ไปด้วยกระมัง?”

ออลฮ่าเอ่ยไปลูบคางของตนเองไป เขาเป็นปิศาจมังกรตัวขนาดใหญ่ซ้ำยังมีรูปร่างที่เหมือนมนุษย์และสวมเกราะโบราณที่ทำจากโลหะไม่ทราบที่มาทว่ามันแวววาวและดูแกร่งจนแค่มองยังรู้สึกได้

ไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวของออลฮ่าไม่ได้ทำให้ฮาสเต้รู้สึกดีเท่าไหร่นัก ทว่าเขาต้องทน การที่มาพูดโต้ตอบกันไป ๆ มา ๆ ต่อหน้าองค์ราชาของพวกเขาแค่นี้ก็รับว่ามารยาทแย่พออยู่แล้ว หากจะมาแกล้งทำเป็นขยับเก้าอี้หนีอีก คงจะไม่แคล้วโดนเอลรูธสวดยับแน่ ๆ ฮาสเต้คิดแบบนั้น

“ขออภัยที่มาช้า” ประตูห้องประชุมขนาดใหญ่ถูกเปิดออก เบื้องหลังบานประตูคือปิศาจที่ดูรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่สุด สิ่งแรกที่เห็นก็คือเรือนผมสีแดงเพลิงสุกสว่างที่ยาวถึงกลางหลังอีกทั้งยังฟูและถูกหวีเสยไปด้านหลังและไม่จัดทรงอะไรมากกว่านั้น ถัดมาคือใบหน้าที่เรียบสนิทไร้อารมณ์ที่ถูกปอยผมลงมาล้อมกรอบใบหน้าที่คมเข้ม ริมฝีปากได้รูป จมูกโด่งคมสัน ดวงตาคมกริบสีแดงเพลิงไร้ซึ่งแววแห่งการแสดงอารมณ์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวอย่างเหลือเชื่ออีกทั้งเกราะที่เขาสวมมีลวดลายเพลิงที่ขยับได้เองราวมีชีวิตในตัวมันอย่างไรอย่างนั้น

ภายในห้องประชุมสว่างขึ้นมาทันทีเพราะร่างกายของเจนน์สาดส่องแสงสีส้มราวเปลวเพลิงแรงกล้าไปโดยรอบ เผยให้เห็นบุคคลที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม เขาเป็นปิศาจรูปร่างคล้ายมนุษย์เช่นเดียวกับเจนน์ แต่กลับดูทรงพลังและอำนาจยิ่งนัก

มองภายนอกเขาดูเหมือนผู้ชายร่างใหญ่กำยำที่กำลังนั่งกอดอกอยู่นิ่ง ๆ ราวกับกำลังประเมินมองอะไรสักอย่างอยู่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าในหัวของเขาคิดสิ่งใดอยู่ ว่ากันให้ถูกคือมิอาจเอื้อมอาจจะเหมาะกว่าในยามนี้ เพราะตำแหน่งของผู้นี้นั้นเป็นถึงราชาแห่งปิศาจทั้งมวล ไม่ใช่เพียงตำแหน่งของเขาเท่านั้นที่สูงส่ง ไม่ว่าจะพละกำลัง สติปัญญา แนวคิดและการพลิกแพลงล้วนเหนือกว่าปิศาจตนอื่นทั้งหมด เหล่าปิศาจทุกตนจึงยอมรับในความแข็งแกร่งของเขาโดยสดุดีและไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ

รูปร่างของเขานั้นเป็นชายร่างใหญ่กำยำผิวสีดำสนิท เรือนผมสีดำยาวหยักศกไม่รวบรัดใด ๆ แต่ก็น่าแปลกใจที่มันไม่ดูเกะกะเลย ดวงตาสีอำพันขีดตั้งราวอสรพิษร้ายปรายตามองทุกผู้ทุกตนในห้องประชุมอย่างเงียบเชียบแผ่ความอึดอัดออกมาจนรู้สึกได้ราวรังสีความร้อน ชุดที่เขาใส่นั้นเป็นชุดเกราะสีดำประดับประดาด้วยลวดลายสีม่วงดูเกรงขามน่าพรั่นพรึง ทั้งยังคิ้วที่ขมวดตึงและริมฝีปากที่ไม่ขยับใด ๆ เลยนั้นยิ่งพาให้บรรยากาศดูเคร่งเครียดขึ้นเป็นทวีคูณ


“ข้าว่า...เรามาเริ่มประชุมกันเสียทีเถอะ”องค์ราชาปิศาจตรัสพระกระแสดำริสั้น ๆ

ความเงียบโรยตัวลงมาทันทีหลังจากองค์ราชาทำลายบรรยากาศ ความตึงเครียดเริ่มก่อตัวทีละน้อย ๆ โดยที่ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน องค์ราชาทรงกลอกพระเนตรนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“แล้ว... รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของลูกสาวข้าหรือยัง?”

“ไม่เชิงขอรับท่าน”เอลรูธอาสาตอบ

“มีพลังบางอย่างปกปิดตำแหน่งของเธอเอาไว้ เรารู้เพียงอย่างเดียวคือเธออยู่ที่ฝั่งตะวันออกของทวีปเรเนสเท่านั้น”

“พลังนั่น... คงเป็นหนึ่งในผู้คุมกฎล่ะนะ ข้าคิดว่านอกจากเจ้าพวกนั้นแล้ว คงไม่มีใครมีพลังเหนือเจ้าแล้วล่ะเอลรูธ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่ต้องทำตัวเหมือนตัวเองไร้ประโยชน์นักก็ได้”

“เป็นพระคุณพะย่ะค่ะ”เอลรูธค้อมหัว

“เหตุการณ์มันพอดีเกินไปจนข้าหงุดหงิดเลย ให้ตายสิ...”องค์ราชาทรงขมวดคิ้ว บรรยากาศรอบโต๊ะประชุมอึดอัดขึ้นมาในทันที

“พอดี? พอดียังไงรึพะย่ะคะ?”เอลรูธเอ่ยถาม องค์ราชาพยักเพยิดหน้าไปทางฮาสเต้ทันที

“ดูว่าว่าข้าต้องอาสาตอบล่ะนะ ช่วยไม่ได้ ก็ข้าอยู่ในเหตุการณ์”ฮาสเต้ยักไหล่ ค้อมหัวให้องค์ราชานิดหนึ่งก่อนจะกระแอมไอพอเป็นพิธี

“พวกเจ้าคงรู้กันอยู่แล้วว่า ในช่วงสิบห้าปีก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ก็มีพลังงานจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่ชื่อซีไครโต้ หรืออะไรนั่น แถว ๆ ทวีปเรเนสน่ะ”

ทั้งโต๊ะพยักหน้ารับรู้ ฮาสเต้เห็นดังนั้นเลยเอ่ยต่อ

“ทีนี้ เป็นช่วงบังเอิญที่ว่าข้ามาเข้าเฝ้าองค์ราชาที่นี่ แล้วแวะไปหาองค์หญิงด้วยเลยเพื่อจะดูพระพักตร์พระองค์ว่าเป็นยังไงบ้าง”

“ข้าว่าเจ้าเล่าเข้าเนื้อเลยเถอะฮาสเต้ เกริ่นนาน ๆ ข้าไม่ชอบ”เจนน์ตัดบท ฮาสเต้ขมวดคิ้วทันที

“จะเล่าเรื่องอะไรก็ต้องมีปูพื้นก่อนสิเจ้าบ้า ไม่งั้นเจ้าจะรู้เรื่องเหรอว่าข้าเล่าอะไร”

“พอเถอะน่าพวกเจ้า เล่าต่อเถอะฮาสเต้”ออลฮ่าตัดบท ฮาสเต้พ่นลมฟึดฟัดไม่ยอมแพ้อยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยอมเล่าต่อ

“ถ้ามันราบรื่นก็ดีไปหรอก แต่ข้าก็ดันไปเจอเข้ากับผู้คุมกฏน่ะสิ”ฮาสเต้เสียงเครียด

เจนน์ลุกพรวดขึ้นมาทันที

“เจ้าหมายความว่ายังไงฮาสเต้? ผู้คุมกฎเคยมาที่นี่?”

“ใช่...กำลังเอ็นดูองค์หญิงอย่างดีเลยล่ะ...”

“อยู่ ๆ เจ้าอีวานส์ก็หันมาหาข้า แล้วพูดง่าย ๆ ว่า “ขอตัวองค์หญิงของพวกนายไปล่ะนะ ไว้วันหลังจะคืนให้” แล้วก็หายตัวไปซะดื้อ ๆ”

“ข้าพยายามตามไปแล้วนะ แต่ตามเท่าไหร่ก็ไม่ทัน พลังของข้าก็บอกไม่ได้ว่าพวกนั้นไปที่ไหน สุดท้ายก็กลับมามือเปล่า”

“ข้าล่ะเชื่อเลย บทจะพาไปก็ง่ายดายชะมัด มาตรการของทวีปนี้ไหนว่าคุยกันว่ามดซักตัวเข้ามาก็ยังรู้ไง”ฮาสเต้บ่นหัวเสีย เอลรูธผงกหัวพร้อมกับเคาะไม้เท้าลงพื้นปูพรมแดงดังกึกเบา ๆ เพื่อเรียกความสนใจ

“คู่ต่อสู้น่ะ เป็นถึง “โลก” เชียวนะฮาสเต้ เจ้าลืมข้อนี้ไปหรือเปล่า?”ดวงตาสีน้ำตาลโชนแสงแรงกล้าของเอลรูธมองไปที่ฮาสเต้ เจ้าตัวชะงักกึกก่อนจะเงียบไป

“ผู้คุมกฎ... มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยรึเอลรูธ?”เจนน์เอ่ยถามด้วยความงง เขามาใหม่ในช่วงหลังเขาจึงรู้จักพวกนี้แค่ในนามเท่านั้น เต่าชราหันมาหาเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับผงกหัวก่อนจะเอ่ยกลอนบท ๆ หนึ่งออกมา

“จอมดาบกาลเวลา มารดาแห่งอักษร

ราชันย์แห่งท้องฟ้า กายาแห่งผืนพิภพ”

“นั่นแหละ คือฉายาของสี่ผู้คุมกฎแห่งโลก ทุกคนที่ข้ากล่าวถึงน่ะล้วนแต่มีฝีมือสุดยอดในแต่ละด้านด้วยกันทั้งนั้น พวกเราไม่ได้ปะทะกันมานานก็จริง แต่ในการปะทะกันแต่ละครั้งพวกเราล้วนแต่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งสิ้น หากพวกนั้นเอาจริง การจะลบทวีปของเรานั้นคงไม่ง่ายไปกว่าการพลิกฝ่ามือ”เอลรูธเอื้อนเอ่ย ฮาสเต้ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอขัดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ตอนนั้นข้าแค่เผลอพลาดท่าเท่านั้นแหละ ข้าไม่ได้แพ้พวกมันสักหน่อย”เขาแค่นฟันกรอด เอลรูธลอบหัวเราะ

“งั้นตอนที่เจ้าโชกเลือดกะเผลกมาที่ปราสาทของข้านั่นหมายความว่ายังไงหืม? ฮาสเต้?”ออลฮ่าพูดขึ้น ฮาสเต้ตวัดสายตาใส่ทันที

“ตอนนั้นข้าก็แค่เผลอมองดาบมันไม่ทันเท่านั้นเอง”

“เท่านั้น งั้นรึ?”ออลฮ่าลอบขำคิก ฮาสเต้ส่งเสียงในลำคอทันที

“พวกนั้นน่ะมีรูปร่างไม่แน่นอนนัก ข่าวที่พวกนั้นเคลื่อนไหวก็ยิ่งกว่าภาพมายา ล่าสุดที่ข้าได้รับมาก็ช่วงร้อยกว่าปีที่แล้วนี่เอง ไม่แปลกใจอะไรหรอกที่เจ้าจะไม่รู้จักพวกนั้นน่ะเจนน์”

“ข้าล่ะอยากจะเจอกับพวกนั้นจริง ๆ”เจนน์เอ่ยเสียงเครียด เขาขมวดคิ้วมุ่น

“มาหาแล้วจ้า”

เสียงแปลกปลอมดังขึ้นในห้องที่เงียบกริบ ทั้งโต๊ะลุกพรวดขึ้นทันที ยกเว้นเพียงองค์ราชาที่ยังนิ่งสงบอยู่เช่นเดิม

ฮาสเต้หันมองหาต้นเสียงในความมืดสลัวในทันที เขาหันรีหันขวางจนกระทั่งเจอเข้ากับคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดจนได้

“ว่าไงอีวานส์... ไม่ได้เจอกันนานนะ”องค์ราชาตรัสขึ้น อีวานส์ยิ้มร่าเมื่อเขาได้รับการทักทายอย่างเป็นมิตรมากกว่าที่คิด

เบื้องหน้าของเหล่าปิศาจทั้งห้า คือเด็กชายตัวเล็กจิ๋วที่ดูจากรูปร่าง ยังไงอายุก็ไม่น่าจะเกินสิบ แต่ทว่าบรรยากาศกดดันกลับแผ่ออกมามากมายราวกับรัศมีความร้อนมหาศาลชนิดที่เจนน์เทียบไม่ติด

เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กที่สวมชุดหนังสีน้ำตาลทั้งตัว ผมสีเหลืองทองฟูชี้ตั้งเสยขึ้นไปด้านหลัง มีเพียงปอยผมเล็ก ๆ ที่ห้อยลงมาด้านหน้ากระจุกเดียวเท่านั้น

ดวงตาของเขาปิดสนิทเพราะเขากำลังยิ้มตามิด ฮาสเต้มองเด็กคนนี้ด้วยแววตาปานจะกินเลือดกินเนื้อเพราะความแค้นสั่งสมมานานปี

“แกเป็นใคร!”เจนน์ไม่รีรอท่าที เขาซัดหมัดใส่เด็กน้อยตรงหน้าทันที

“อ้าว ๆ ใจร้อนจังนะพี่ชาย...”

อีวานส์สะบัดปลายนิ้วเบา ๆ ร่างกายของเจนน์หยุดชะงักทันที เขาแค่นฟันกรอดเพราะแม้เพียงปลายนิ้วเดียวเขาก็ขยับไม่ได้ด้วยซ้ำในตอนนี้

เจนน์กลับมาขยับตัวได้เช่นเดิมในเวลาพริบตาถัดมา เขากำรอบข้อมือขวาของตัวเองแล้วลูบไปมาเบา ๆ พร้อมกับหรี่ตาลง...

อีกฝ่ายร้ายกาจเกินกว่าจะปะทะด้วยจริง ๆ ... นี่เป็นสิ่งที่เจนน์รู้ได้ในทันที

“อย่าคิดจะลงมือดีกว่าเจนน์ เจ้าเอาชนะเจ้าเด็กนี่ไม่ได้หรอก”ฮาสเต้พูดเสียงเครียด แม้เขาจะอยากลงมือแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจ อีกฝ่ายเข้ามาที่นี่ได้โดยที่แม้แต่องค์ราชายังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ คงไม่ต้องกล่าวถึงฝีมือว่ามีมากขนาดไหน

“รู้ดีนี่ฮะพี่เสือ” อีวานส์ยิ้มร่า ฮาสเต้แค่นฟันกรอดอีกครั้ง เขาต้องอดทนเอาไว้ เขาไม่อยากจะลงมือนัก ในเมื่ออีกฝ่ายเองก็ไม่ได้อยากจะสู้ หากอีวานส์เอาจริง การจะฆ่าเจนน์ไปทั้ง ๆ แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

“บอกจุดประสงค์แกมาเลยดีกว่าอีวานส์ แกคิดจะทำอะไรกันแน่”ฮาสเต้เอ่ยถาม คนถูกถามยิ้มรับ

“ตอนนี้ ลูกสาวของนายเคลื่อนไหวแล้วนะ เคอัส”อีวานส์พูดแล้วหันไปหาองค์ราชา เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อสบตา แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะอีวานส์ยังคงยิ้มตามิด

“บังอาจเรียกชื่อพระองค์ท่านเรอะ!!”คราวนี้ฮาสเต้ไม่ทนแล้ว เขาทนมาเกินพอ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น สายลมพัดวนในห้องประชุมอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้ที่มา และรวมเป็นจุดเดียวที่ฝ่ามือของเขา ฮาสเต้กำหมัดและซัดใส่อีวานส์ทันที

“อย่าดีกว่าน่า ฝีมือพัฒนาจากเมื่อก่อนไม่เท่าไหร่ก็คิดจะเทียบกับผมอีกแล้วเหรอพี่เสือ?”อีวานส์ยิ้มยิงฟัน เขาหยิบมีดสั้นออกมาจากชายพกและสะบัดออกเบา ๆ เป็นแนวนอน

ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงแค่นั้น ฮาสเต้กลับกระเด็นออกมาด้วยแรงผลักมหาศาล ร่างของเขากระแทกเข้ากับกำแพงหินบล็อคของปราสาทจนแตกฝังร่างของเขาเข้าไป เสื้อช่วงหน้าอกของเขาขาดวิ่นเละไม่มีชิ้นดี

“ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ตายหรอกน่า แค่สันดาบน่ะ”อีวานส์ยิ้มเมื่อเห็นออลฮ่าที่อยู่ข้าง ๆ เตรียมจะลงมือบ้าง

“ลูกสาวของข้าเคลื่อนไหวแล้วยังไงต่อ? อีวานส์”ในที่สุด องค์ราชาเคอัสก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามเมื่อบรรยากาศกดดันกลับมาอีกครั้ง

“ตอนนี้ “เคียว” แต่ละเล่มต่างก็เคลื่อนไหว พวกชั้นสี่คนเอาไม่อยู่หรอก”อีวานส์ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีเงินที่ส่งประกายเอาจริง

“เจ้าหมายถึงกลุ่มพลังมหาศาลนั่นสินะ?”

“ใช่”อีวานส์พยักหน้ารับ

“ปัญหาคือ ชั้นไม่รู้ว่าใครถือครองเคียวบ้าง ที่รู้แน่ ๆ ตอนนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้นเอง แล้วชั้นก็กำลังประกบติดหมอนั่นอยู่”

“ชั้นอยากขอความร่วมมือจากนาย โดยการส่งข่าวเรื่อง “เคียว” แต่ละเล่มให้ชั้น”อีวานส์ยื่นข้อเสนอ

“แล้วสิ่งตอบแทนล่ะ”องค์ราชาเคอัสแทรกขึ้น

“นายก็ได้ข่าวไปแล้วนี่นา ชั้นยอมให้ลูกสาวของนายเคลื่อนไหวแล้ว”

“แต่ยังไงก็ตาม ชั้นไม่บอกตำแหน่งที่แน่นอนหรอก ไม่งั้นเดี๋ยวพวกนายเล่นตุกติกชั้นก็แย่สิ”เด็กน้อยประสานมือเข้าที่ทายทอยแล้วหันหลังให้ ก่อนจะหายตัวไปทั้ง ๆ แบบนั้น

หลังจากอีวานส์จากไป ทั้งห้องประชุมกลับมาตึงเครียดยิ่งกว่าเดิมด้วยข่าวที่ไม่น่าเชื่อหู

ความเงียบโรยตัวลงมานานพอที่จะทำให้ปิศาจทุกตนเริ่มอึดอัด ในที่สุดเสียงถอนหายใจขององค์ราชาเคอัสก็ทำลายความเงียบนั้น

“ใครก็ได้ รักษาฮาสเต้หน่อย”

“พะย่ะค่ะ”เอลรูธค้อมหัว เขาหันไปหาฮาสเต้พร้อมกับเคาะไม้เท้าเบา ๆ ลงที่พื้น

ร่างของฮาสเต้ค่อย ๆ ลอยออกมาจากผนังที่เขาจมลงไป เอลรูธเคาะไม่เท้าอีกครั้ง แสงสีเขียวจาง ๆ คลุมร่างของฮาสเต้เอาไว้ และค่อย ๆ สมานแผลแตกและฟกช้ำ รวมถึงเสื้อผ้าของเขาที่ขาดกระจุยด้วย

“อูย....เจ็บ ๆๆๆ” ฮาสเต้บ่นออดแอดเมื่อเอลรูธรักษาให้เขาเรียบร้อย ทุกตนกลับมานั่งที่โต๊ะเช่นเดิม

“ให้ตายสิ ข้าแพ้เจ้านั่นอีกแล้ว”ฮาสเต้กระฟัดกระเฟียด

“เจ้าพูดเองแท้ ๆ ว่าอย่าลงมือนะฮาสเต้”ออลฮ่าเตือน

“ข้ารู้น่า ข้าแค่เผลอ”

“เผลอของเจ้าน่ะทำเจ้าเกือบตายนะ”เอลรูธลอบหัวเราะ ฮาสเต้ตวัดสายตาใส่ทันทีด้วยความเคือง

“เอาน่าข้ารู้ ๆ”เอลรูธชิงยอมแพ้เมื่อฮาสเต้ทำท่าจะโวยวาย

“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า”ออลฮ่าตัดบททุกตน

“เรื่องเคียวที่ว่านั่น ข้าเองพอจะรู้มาบ้างจากหอสมุดปิศาจ มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก และได้รับการกล่าวขานมาว่ามันเป็นต้นตอของทุกสิ่งในโลกนี้”

“แต่มันเป็นเรื่องน่าแปลก เพราะขนาดบันทึกที่เก่าแก่นั่นยังบอกว่ามันได้รับการปิดผนึกมานานมากแล้ว ทำไมมันถึงถูกปลดผนึกเอาตอนนี้ได้ นี่เป็นเรื่องที่ข้าสงสัย”ออลฮ่าตั้งข้อสงสัยขึ้น

““ฟ้า”คงเริ่มเคลื่อนไหวก่อน “ดิน” จึงได้เคลื่อนไหวตาม นี่เป็นเรื่องธรรมดาน่ะ”เอลรูธอาสาตอบข้อสงสัย

“มันเป็นเรื่องก่อนที่เจ้าจะมาเข้ากับพวกเรา ในสมัยนานมาแล้วนั้น เคียวเคยเคลื่อนไหวอยู่ครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นโลกแทบจะถึงกาลล่มสลายด้วยซ้ำ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เรื่องก็เงียบไป มันเงียบราวกับว่าเป็นเรื่องโกหก”เอลรูธยังคงอธิบายต่อ

“หมายความว่ายังไง ที่ว่าเงียบน่ะ?”เจนน์ถามบ้าง

“ก็ตามตัวอักษรนั่นแหละ อยู่ ๆ เคียวทุกเล่มก็หยุดเคลื่อนไหวไปซะดื้อ ๆ แล้วก็หายไปเลย ไม่มีใครพบเจอพวกมันอีกเลย”ครั้งนี้ฮาสเต้ตอบบ้าง

“เอาเถอะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเคียวที่ว่า มันเคลื่อนไหวยังไง”เจนน์เอ่ยปากถามอีกครั้ง

“ร่างทรง ยังไงล่ะ”องค์ราชาตรัสขึ้น

“เคียวแต่ละเล่มน่ะ จะมีร่างสถิตส่วนตัวทั้งนั้น ฝ่ายฟ้าเจ็ดเล่ม ฝ่ายดินเจ็ดเล่ม รวมเป็นร่างทรงสิบสี่คน”

“อีวานส์บอกว่าเจอแล้วหนึ่งเล่ม ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจอเล่มไหนแล้ว”

“แต่ข้าเตือนพวกเจ้าก่อนนะว่า เคียวแต่ละเล่มพลังล้วนร้ายกาจทั้งสิ้น ในครั้งนั้นข้าเองก็แทบแย่เช่นกันในการปะทะกับพวกมัน”

ทั้งห้องประชุมกลับมาเงียบอีกครั้ง องค์ราชาตรัสถึงเช่นนั้น ความร้ายกาจคงไม่ต้องพูดถึง

นี่มันอะไรกัน พวกเขาเข้ามาพัวพันกับเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเรื่องถึงได้ตึงเครียดแบบนี้ จากเรื่ององค์หญิงที่หายตัวไปจู่ ๆ ก็มาถึงเรื่องสิ่งที่มีพลังร้ายกาจเหลือเชื่อนี่ มันจะเกินไปแล้ว

“ยังไงก็ตามแต่ หัวข้อการประชุมนี่คือลูกสาวของข้าอยู่ดี พวกเจ้ามีมาตรการในการพาลูกสาวข้ากลับมากันรึเปล่า?”องค์ราชาตรัสถามอีกครั้ง แน่นอนคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ ราวกับว่าคำถามของเขานั้นมันช่างตอบยากเหลือเกิน ในความคิดเขา พวกนั้นคงคิดว่าตอบยังไงก็ไม่ถูกใจเขาเสียมากกว่ากระมัง

เจอเรื่องเครียดมาถึงขนาดนี้ ถ้าคิดทันก็คงเก่งแล้วล่ะ ทุกตนต่างคิดแบบนั้น

“ดูเหมือนว่า...ข้าจะต้องเสนอสินะ..?”องค์ราชาพูดต่อ ทุกตนยังคงเงียบ

“ตัวข้าไม่รู้ว่าเจ้าอีวานส์มันเล่นตุกติกอะไรไว้บ้าง แต่ยังไงข้าก็อยากพบลูกสาวของข้าโดยเร็วที่สุด”

“พวกเจ้าส่งสมุนพวกเจ้าไปซะ เอาที่พวกเจ้ามั่นใจว่าจะพาลูกสาวข้ากลับมาได้โดยไร้ริ้วรอยขีดข่วน มั่นใจว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรเธอ”

“แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงรึขอรับท่าน? ในเมื่อพวกเราเองก็เคยเห็นพระพักตร์ขององค์หญิงก็แค่ครั้งเดียวตอนยังทรงพระเยาว์นัก”ออลฮ่าเอ่ยถาม

“พลังของข้าไหลเวียนอยู่ในตัวของเธอส่วนหนึ่ง ไม่น่าจะหาตัวยากนัก แม้ในหมู่มนุษย์จะมีผู้มีพลังของปิศาจอยู่บ้าง แต่พลังของข้าน่ะต่างออกไป มันเป็นเชื้อสายที่ทรงพลัง และทำให้ปิศาจและมอนสเตอร์ทุกตัวยอมสยบและหมอบต่อหน้าเธอ พลังแบบนั้นน่ะ ข้ามั่นใจว่ามีแค่ไม่กี่คนหรอกนะ”

“ว่าง่าย ๆ คือเชื้อสายแห่งองค์ราชาที่มอนสเตอร์และปิศาจทุกตนต้องยอมสยบสินะ...”ฮาสเต้แทรกขึ้น องค์ราชาทรงพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ

“งานนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันจะอันตรายถึงขั้นไหน และอาจจะเจอกับอะไรบ้าง ทางที่ดีที่สุด เราจะต้องส่งเซน่อนไปด้วย...”

“เซน่อน... ใช้เจ้านั่นจะดีเหรอพะย่ะค่ะ? กระหม่อมไม่เคยเห็นเจ้านั่นแสดงฝีมือเลยนะ”เจนน์ขัดขึ้น

“มายาของเซน่อนน่ะอยู่ในระดับสูง รวมถึงการต่อสู้ในระยะประชิดและระยะกลางของเจ้านั่น ฝีมือก็ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าหรอกนะเจนน์”

“ข้าน่ะ เคยเห็นเจ้านั่นแสดงฝีมืออยู่หนนึงนะ เล่นเอาขนหางลุกเลยล่ะ”ฮาสเต้แทรกขึ้น เจนน์หรี่ตาลงเล็กน้อย ลงมีผู้ยืนยันให้ถึงขนาดนี้ เขาคงไม่ต้องสงสัยกระมัง


“จนแล้วจนรอดข้าก็ไม่พ้นหน้าที่นี้อีกจนได้...”ฮาสเต้บ่นอุบเดินไปเรื่อยหลังจากการะชุมเครียด ๆ นั่นจบลงเขาก็ถูกวานให้ไปตามตัวเซน่อนทันที

เขามักจะถูกวานให้เดินทางไปที่นู่นที่นี่เสมอ ๆ เพราะฮาสเต้เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้านอกออกในทวีปฮิลล์ได้อย่างอิสระ ไม่มีใครทราบว่าเขาทำได้อย่างไร และแน่นอนว่าฮาสเต้ภูมิใจในความสามารถนี้ของตนพอสมควร

ความลับที่ถูกเปิดเผยจะเป็นความลับได้อย่างไร จริงไหม?

ฮาสเต้กระหยิ่มยิ้มย่องให้กับตัวเองเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ในขณะนี้เขากำลังเดินออกมาที่พื้นที่นอกเขตปราสาทส่วนกลาง เขารู้ดีว่าเขากำลังจะเดินไปที่ไหน เพราะทวีปฮิลล์ทั้งทวีปน่ะ ก็เหมือนสวนบ้านของเขานี่แหละ ว่ากันจริง ๆ เขาก็ไม่มีบ้านหรอกนะ เจ้าสำนวนไปงั้นแหละ

ไม่ช้าไม่นาน ฮาสเต้ก็พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกล เพราะแสงสีน้ำเงินอ่อน ๆ ทออยู่ที่สุดปลายสายตานั่นแหละที่มันเด่นนัก


“จนป่านนี้แล้ว ก็ยังชอบมาที่นี่งั้นรึเซน่อน?”

สองขาของฮาสเต้ค่อย ๆ ก้าวเดินผ่านรั้วไม้โทรม ๆ เข้ามาในที่แห่งหนึ่ง ที่เขามั่นใจว่าปิศาจตนที่ตัวเองจะตามหาต้องอยู่ที่นี่แน่นอน

เบื้องหน้าของเขาคือสวนดอกไม้ขนาดย่อม แต่มันมีเพียงแค่พันธุ์เดียวเท่านั้น แสงสีน้ำเงินสว่างเรืองรองทว่าไม่จ้าแสบตาทำให้ฮาสเต้เผลอมองมันอยู่พักหนึ่ง แต่ก็นึกจุดประสงค์ของตนเองขึ้นมาได้ และเดินเข้าไปในสวนลึกเข้าไปเล็กน้อย

ตรงจุดที่ดูเหมือนจะเป็นใจกลางของสวน ฮาสเต้พบกับปิศาจตนหนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อใช้มือและนิ้วอันเรียวยาวแตะกลีบดอกไม้เบา ๆ และพึมพำอะไรสักอย่างที่ฮาสเต้ไม่เข้าใจ

ตรงหน้าของเขาคือปิศาจที่มีรูปร่างค่อนข้างเหมือนมนุษย์ที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ ใบหน้าของเขาเรียวรูปไข่เข้ากับปอยผมที่ลงมากรอบกับใบหน้า เรือนผมสีดำประกายน้ำเงินถูกขับด้วยแสงเรืองรองอ่อน ๆ ของกลีบดอกไม้นั้นทำให้สีของมันแลดูเศร้าหมองเหลือเกิน ราวกับทะเลลึกที่หยั่งไม่ถึงก้น ทั้งหนาวเหน็บและมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด

เรือนร่างของเขาสวมใส่เสื้อแขนกุดผ้าเนื้อหนาสีดำสนิทรัดรูปยาวถึงช่วงเอวที่แม้เนื้อผ้าจะดูเก่าไปสักหน่อยแต่ก็ดูดีและสมกันไม่น้อย ทั้งยังกางเกงผ้าสีน้ำเงินเข้มและสายเข็มขัดหนังคาดที่เอวก็ดูสมกันดีกับชุดของเขา ปีกค้างคาวสีดำสนิทขนาดจ้อยที่หลังขยับไปมาเล็กน้อยน่าเอ็นดู

“ท่านฮาสเต้เถอะขอรับ มีประชุมกับองค์ราชามิใช่รึ?”เซน่อนสวนกลับทั้ง ๆ ที่ยังหันหลังให้ ทำให้เจ้าของชื่อแย้มยิ้มขี้เล่นก่อนจะเดินไปตบหัวคนกำลังนั่งเอ็นดูดอกไม้ดังป้าบสนั่น

“ข้าน่ะประชุมเสร็จนานแล้ว! เจ้านั่นแหละมัวแต่นั่งหงิมชมดอกไม้ไม่รู้วันรู้คืนอยู่ได้ ไม่รู้รึไงว่าองค์ราชาก็มอบหน้าที่ให้เจ้าเหมือนกัน?”

เซน่อนลูบหัวป้อย ๆ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เบื้องหน้าของเซน่อนคือปิศาจเสือขนเผือกรูปร่างกำยำท่าทางขี้เล่นในชุดผ้าโปร่งสบาย ๆ ดูผิดกับฐานะของเขาที่เป็นถึงหนึ่งในสี่ขุนพลแห่งราชันย์ เซน่อนเงยหน้าเล็กน้อยเพราะตัวฮาสเต้สูงกว่าเขามากนักแม้จะยืนในระยะห่างกันพอสมควร

“หน้าที่? ของข้า?”เซน่อนเอียงคอสงสัย

“ใช่ เจ้าเองก็ต้องไปตามหาองค์หญิงเหมือนกัน องค์ราชาบอกว่าเจ้าน่ะ เหมือนกับมนุษย์มากที่สุด การจะปลอมแปลงตัวเองเข้าไปคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร อีกอย่างมายาลวงตาของเจ้าก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงนี่” ฮาสเต้แสยะยิ้มโชว์เขี้ยววาววับ แม้แสงในทวีปฮิลล์จะค่อนข้างสลัวไม่สว่างมากนักแต่ฟันของเขาก็ยังคงเด่นเป็นประกาย

“ข้าไปได้รึขอรับ?”เซน่อนเอ่ยถามซ้ำด้วยความฉงนใจกึ่งประหลาดใจ

“ใช่ ท่านเจาะจงเจ้าด้วยซ้ำ เซน่อน ข้าก็แค่แวะมาบอกข่าวนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แล้วท่านก็เรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าด้วย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ไปเข้าเฝ้าในชุดแบบนั้นใช่ไหม?”ฮาสเต้ปรายตามองเซน่อนหัวจรดเท้าแล้วอมยิ้ม เพราะเซน่อนเป็นปิศาจเพียงตนเดียวที่เขารู้จัก ซึ่งเปลี่ยนชุดที่ใส่บ่อยเสียเหลือเกิน ผิดกับปิศาจตนอื่น ๆ ที่นาน ๆ ครั้งจะเปลี่ยนชุดเสียทีหนึ่งเพราะไม่เห็นจะมีความจำเป็นอะไรใด ๆ กับเสื้อผ้าหน้าผม

“อา...นั่นสิขอรับ คงได้เวลากลับไปใส่ชุดเกราะอีกแล้ว”เซน่อนก้มมองสำรวจตัวเองก่อนจะยิ้มสุภาพ

“งั้นเจ้าก็ไปได้แล้วเซน่อน องค์ราชาท่านคอยเจ้ามาสักพักใหญ่แล้ว”

“ข้าล่ะเบื่อนักพวกเจ้าสำนวน จะบ้าตาย แค่คุยด้วยก็อึดอัดจะแย่ ยังต้องมาคอยดุด่านู่นนี่ นี่ข้าเป็นจอมพลหรือเบ๊กันแน่นะ”ฮาสเต้เดินไปบ่นไป ขาของเขาก้าวยาวและเร็วได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในการก้าวขาสั้น ๆ แต่ละครั้งระยะทางก็ยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ย่างก้าว

“จะเอาตนไหนไปดีนะ ไซโคลนก็ดี หรือเซฟิรัสดี”เพียงอึดใจ ฮาสเต้เดินมาถึงเขตชายป่ามืดทึบแห่งหนึ่ง เขาเดินเข้าไปโดยไม่หยี่ระอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีกระทั่งแสงนำทางแต่ฮาสเต้กลับเดินได้ราวกับว่ารู้จักทางแห่งนี้ดี

“ไซโคลนท่าจะเหมาะกว่ากระมัง แต่ไซโคลนไปเจอเจ้าอาชมีหวังคงแย่ เดินทางเร็วแต่ต่อสู้ไม่ได้ก็ไม่ไหวแฮะ...”ฮาสเต้เดินบ่นเรื่อยเปื่อย

“ให้ข้าอาสาไปมั้ยขอรับท่านฮาสเต้”เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัวฮาสเต้ เจ้าตัวหันไปตามเสียงทันที

“โอ้ เจ้าเองรึแอร์โรรายนัส?”ฮาสเต้เลิกคิ้ว

แอร์โรรายนัสเป็นปิศาจที่มีรูปร่างพิกลในสายตาฮาสเต้ เพราะทั้งหมดที่ฮาสเต้เห็นมีเพียงผ้าคลุมที่มีฮู้ดบังศีรษะเอาไว้ ซ้ำยังมีแสงสีเหลืองสว่างส่องจุดที่ส่องสว่างออกมาจากความมืดภายในช่วงใบหน้าที่ฮู้ดน่าสงสัยนั่นคลุมอยู่ ใต้ผ้าคลุมเองก็มองเข้าไปไม่ได้เพราะมันมืดไปหมดจนบอกไม่ถูกว่ารูปร่างจริง ๆ เป็นยังไงกันแน่

“เจ้าน่ะรึ?”ฮาสเต้เลิกคิ้วอีกครั้ง

“ข้ามั่นใจในพลังและความเร็วในการเดินทางของข้าเองขอรับ ให้โอกาสข้าเถอะ”

“เข้าใจล่ะ ลองให้เจ้าไปดูก็แล้วกัน”รายงานมาหาข้าสม่ำเสมอด้วยล่ะ

แอร์โรรายนัสค้อมหัวให้เขา ก่อนที่ลมหอบหนึ่งจะพัดเข้ามาจนต้นไม้สีมืดเอนไสว เพียงครู่หนึ่ง ทั้งฮาสเต้และแอร์โรรายนัสก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว


“การประชุมจบแล้วสินะขอรับ ท่านออลฮ่า”เครอันค้อมหัวให้ออลฮ่าที่เดินกลับเข้าปราสาทของทวีปฮิลล์เขตเหนือ ออลฮ่าโบกมือทักทายกลับ ก่อนจะเดินต่อไปโดยที่ไม่สนใจว่าเครอันจะซักถามต่อรึไม่

“ช่วยเรียกสโนวมาหาหน่อยสิเครอัน ข้ามีเรื่องจะคุย”

“รับทราบขอรับ”เครอันโค้งลงไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากปราสาทไป


ฝั่งเจนน์ที่กำลังนั่งขบคิดอยู่เพียงตัวคนเดียวในปราสาทฟากใต้ เขาไม่รู้จะทำเช่นไรดี เขาสัมผัสพลังของหนึ่งในผู้คุมกฎมาด้วยตัวเอง มันเป็นความต่างชั้นอันเหลือเชื่อเหลือเกิน

แต่ยังไงภารกิจของเขาเองก็สำคัญเช่นกัน เขาไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยมากนัก

“ใช้มิโนทอร์ก็แล้วกัน...”เจนน์คิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้น ปีกเพลิงด้านหลังปะทุไฟแรงกล้าขึ้นวูบหนึ่งและดับลงด้วยความรวดเร็วพอกัน


“เป็นวันที่วุ่นวายดีจริง ๆ นะการุด้า”เอลรูธนั่งยิ้มกับลูกแก้วเมื่อกลับมาถึงปราสาทส่วนตัว การุด้าข้ารับใช้ยืนกลืนไปกับความมืดสลัวที่มุมห้อง

“นั่นสินะขอรับ”เขาโค้งให้เอลรูธเล็กน้อยโดยไม่สนใจว่าเอลรูธจะเห็นหรือไม่ สีขนดำสนิทของเขาตัดกับแสงเทียนสีเหลืองส้มที่จุดไว้เพื่อให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยในห้องทำให้บรรยากาศดูราวกับเงาทั้งหลายเป็นผู้ชมรอบกายและเคลื่อนไหวได้ในบางเวลา

“ป่านนี้ แบลร์จะไปถึงรึยังนะ”เอลรูธมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ใช้แบลร์รึขอรับ? เจ้านั่นจะทำงานไหวเหรอ?”

“ถ้าเป็นงานสอดแนม แบลร์สามารถทำได้โดยไร้ที่ติเลยล่ะ”เอลรูธยิ้ม





----------------------
ขออภัยที่ดองครับ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ "orz

GIGABom
17th February 2012, 17:29
น่าติดตามากครับ ;D

tstcwqt1
14th May 2012, 21:04
ตอนที่ 2 การเดินทางครั้งแรก

พวกของชิออนเดินเท้าออกมาจากหมู่บ้านได้ช่วงหนึ่งแล้ว มีหยุดพักกันบ้างเล็กน้อยเนื่องจากวานาเซียและชิออนต่างก็ไม่ชินกับการเดินทางไกล ๆ ส่วนฟรานเซียรับหน้าที่เฝ้ายามให้เมื่อทั้งสองคนหลับ ฟรานเซียสามารถเดินทางได้นานและอึดมากกว่าพวกของชิออนหลายเท่า การที่จะเฝ้ายามจึงไม่ใช่หน้าที่ที่หนักหนานักสำหรับเธอ

“วันนี้พักกันที่นี่ก็แล้วกัน”ทั้งสามคนหยุดพักที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ทั้งชิออนและวานาเซียวางสัมภาระลง วานาเซียเดินหาจุดนั่งพักทันทีด้วยความล้าขา การเดินทางเป็นเช่นนี้มาสองวันแล้ว ไม่มีอะไรโดดเด่นพิเศษมากมายนักนอกจากเดิน ๆ แล้วก็เดิน

“ไหวรึเปล่า?”ชิออนเดินเข้ามาหาวานาเซียพร้อมยื่นกระติกน้ำให้

“พอไหวค่ะ แค่นี้สบายมาก”เธอฝืนยิ้ม

“ถ้าไม่ไหวก็บอกได้น่า ฝืนมากร่างกายจะพังเอา”ฟรานเซียดักคอหลังจากก่อฟืนเสร็จ

“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง อีกอย่างก็เป็นคนขอตามมาเอง คงโอดโอยไม่ได้”

“เข้มแข็งกว่าที่คาดนะเนี่ย”ชิออนผิวปากหวือ เขาเดินไปค้นของในกระเป๋ากุกกักพร้อมกับหยิบเนื้อแห้งออกมาสองสามแท่งแล้วเดินไปหาแต่ละคนเพื่อแจก หลังจากเติมเสบียงกันเรียบร้อยแล้ว ชิออนไม่ลืมที่จะให้อาหารทั้งเฟนริลและทรีเช่เช่นกัน แต่เขาประสบปัญหานิดหน่อย

ข้อแรกคือเฟนริลจะไม่กินอะไรเลยถ้าชิออนไม่ป้อนให้มันกินเองกับมือ อีกข้อก็คือถ้าเขาทำแบบนั้น ทรีเช่จะระดมทั้งกัดทั้งข่วนหัวของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

ปัญหาข้อนี้เป็นมาตลอดเวลาที่พักเติมเสบียง ทั้งวานาเซียและฟรานเซียตามก็เอือมระอา เพราะการจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างการให้ใครสักคนอุ้มทรีเช่ไว้ก่อนก็ไม่ได้ในเมื่อมันไม่ยอมลงจากหัวของชิออนเลยด้วยซ้ำ ฝืนดึงออกมาอาจจะได้กลายเป็นดึงหนังหัวของชิออนออกมาแทนเสียอีก

“วันนี้ก็ยอมญาติดีกันหน่อย น่านะ”ชิออนขอร้องเจ้าตัวจ้อยบนหัว เขาพยายามให้ทั้งเฟนริลและทรีเช่เข้าหน้าหากันมาหลายรอบแล้ว และผลก็ค่อนข้างแน่นอนคือเหลวไม่เป็นท่า

ตอนนี้เขาได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าสุด ๆ คือการให้อาหารทั้งสองตัวไปพร้อม ๆ กัน นั่นคือป้อนโปลอนให้กินพร้อมกันทั้งคู่จนกว่าตัวใดตัวหนึ่งจะอิ่มไปเอง

“เอาล่ะ นอนเถอะ ชั้นจะอยู่ยามให้ พรุ่งนี้คงต้องเร่งกันหน่อยนะเพราะกว่าจะถึงตัวเมืองน่ะอีกไกลเลย”ฟรานเซียปรบมือเปาะแปะบอกกับทุกคน วานาเซียพยักหน้ารับเล็กน้อยและเดินไปหยิบถุงนอนออกมาจากกระเป๋าและซุกตัวเข้านอน ส่วนชิออนก็เดินไปหยิบฟืนมาเติมกองไฟ และนั่งลงใกล้ ๆ กับฟรานเซีย

“ไงบ้าง? ชินกับการเดินทางไกล ๆ รึยัง?”ฟรานเซียเริ่มชวนคุย

“ก็พอไหว”ชิออนยักไหล่

“ว่าแต่อีกนานเท่าไหร่จะถึงตัวเมืองงั้นเหรอ?”ชิออนถามกลับ

“ถ้าเร่งหน่อยก็ไม่น่าจะเกินสามหรือสี่วันหรอก ต้องดูวานาเซียด้วยแหละว่ารายนั้นเร่งได้แค่ไหน สำหรับเราสองคนคงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่”ฟรานเซียเหลือบมองไปทางวานาเซียที่ขดตัวนอนไปกับถุงนอน แววตาของฟรานเซียส่อแววลำบากใจนิดหน่อย

“ก็นะ หญิงสาวชาวบ้านจะให้ผันตัวมาเป็นนักผจญภัยทันทีก็คงไม่ได้หรอก ยิ่งบอบบางแบบนั้นด้วย คงต้องใช้เวลานานพอสมควรล่ะ กว่าจะปรับตัวตามพวกเราทัน”ชิออนพูดไปด้วยแล้วก็ควักดาบออกมาเช็ดถูไปด้วย ฟรานเซียมองมันด้วยความสนใจออกนอกหน้า ชิออนเห็นดังนั้นก็ส่งดาบให้ดู

“สนใจงั้นเหรอ?”เขาถามขณะที่ฟรานเซียกำลังยกดาบขึ้นพลิกไปมา

“อืม... ก็นะ ดาบของนายมันรูปร่างแปลก ๆ น่ะ สีรึก็ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ปกติดาบทั่ว ๆ ไปจะใช้เหล็กตี แต่นี่คงเป็นแร่พิเศษบางอย่าง...”ฟรานเซียพูดไปด้วยพิจารณารูปทรงของมันไปด้วย ยังไงเสียดาบเล่มนี้ก็แปลกจริง ๆ แหละในความคิดของเธอ มันทำด้วยวัสดุที่เธอไม่รู้จักด้วยซ้ำ อีกทั้งสีขาววาววับนี่ก็เช่นกัน มันไม่เชิงสะท้อนแสงออกมาเสียทีเดียว เหมือนมันเรืองแสงได้ด้วยตัวของมันเองคงถูกกว่า

“อ๊ะๆ อย่าจับแป้นกลมนั่นล่ะ”ชิออนยกมือขึ้นห้ามทันทีเมื่อฟรานเซียลูบไปจนถึงแป้นกลมดำที่ทำหน้าที่เป็นกั่นดาบ ฟรานเซียชะงักมือทันทีตามที่บอก

“ทำไมล่ะ?”

“มันอธิบายยากแฮะ ดาบนี่ออกแบบมาใช้ได้แค่ชั้นคนเดียวน่ะ ถ้าเกิดคนอื่นที่ไม่ใช่ชั้นไปแตะแป้นนั่นเข้า ระบบของดาบมันจะทำงานน่ะสิ”ชิออนพูดขณะรับดาบคืน

“แป้นนี่ ใช้เปลี่ยนธาตุในตัวนายรึไง?”ฟรานเซียถามขณะชี้ไปที่แป้นกลม ๆ ที่กั่นดาบ ชิออนยักไหล่เป็นคำตอบ

“ไม่เชิงหรอก กระตุ้นน่าจะถูกกว่า”

“กระตุ้น?”

“ก็ตามนั้นล่ะ”ชิออนตอบไปตามตรง เขาเลื่อนปลายนิ้วไปแตะที่ลูกแก้วสีแดงที่กั่นดาบ

‘Burst Style’

จู่ ๆ เพลิงก็โหมลุกไหม้ร่างของชิออนทั้งตัวขึ้นมาทันที ฟรานเซียลุกพรวดด้วยความตกใจ แรงดันไฟและอุณหภูมิตอนนี้ร้อนจนเหลือเชื่อ แต่ชิออนที่ร่างกายถูกไฟโหมไหม้อยู่กลับไม่สะดุ้งสะเทือนเสียด้วยซ้ำ

“ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ ถ้าเธอมาแตะเข้าล่ะก็เธอกลายเป็นตอตะโกไปนานแล้วล่ะฟรานเซีย”ชิออนยิ้มเขาแตะลูกแก้วอีกครั้ง เพลิงสงบพร้อมกับมอดลงไปเอง ไม่เหลือแม้ควันเล็กน้อย

“แต่ละธาตุในดาบน่ะ นอกจากชั้นก็ไม่มีใครใช้ได้หรอก ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ลองนี่ก็ได้นะ”ชิออนแตะลูกแก้วสีฟ้า

‘Aqua Style’

คราวนี้น้ำจำนวนหนึ่งไหลวนเวียนบนอากาศรอบตัวชิออนราวดาวเคราะห์บริวาร ฟรานเซียได้แต่มองงงๆกับสิ่งนั้น

“มองแล้วไม่น่าจะอันตรายตรงไหนนี่”ฟรานเซียพูดด้วยความสงสัย

“ฮ่ะๆ คิดงั้นเหรอ?”ชิออนหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับกำเอาน้ำจำนวนหนึ่งเก็บไว้ในฝ่ามือแล้วยื่นให้ฟรานเซีย

“ถือไว้สิ เอาให้ได้ซักห้าวิก็พอ”ชิออนแบมือออกให้ฟรานเซียที่แบมือรองรับไว้

“อุ๊บ!!”ฟรานเซียถึงกับตกใจ น้ำเพียงจำนวนเล็กน้อยในฝ่ามือของเธอมันกลับหนักเหลือเชื่อ ยิ่งกว่าหินเสียอีก แขนของเธอเกร็งเอาไว้จนเส้นเลือดปูดโปน ชิออนมองได้สักพักก็สะบัดนิ้วเบา ๆ ฟรานเซียถึงกับรู้สึกโล่งเมื่อน้ำเหล่านั้นลอยออกจากมือของเธอกลับไปลอยวนรอบตัวชิออนดังเดิม

“ถึงจะเห็นเป็นแค่น้ำก็จริง แต่เจ้านี่ถูกสร้างขึ้นด้วยโซม่านะ ประมาทนิดเดียวล่ะก็ถึงตายแน่”ชิออนว่าพลางใช้ปลายนิ้วดีดเอาน้ำหยดเล็ก ๆ ใส่ต้นไม้ที่อยู่ไกล ๆ ผลปรากฏคือมันหักโค่นทันที

ฟรานเซียได้แต่มองอย่างอึ้ง ๆ งั้นทำไมชิออนที่มีพลังขนาดนี้กลับไม่ใช้มันในการต่อสู้ครั้งที่แล้วล่ะ?

“กำลังคิดล่ะสิ ว่าทำไมชั้นมีพลังตั้งขนาดนี้แต่ไม่ใช้?”

ฟรานเซียสูดลมหายใจเฮือก เธอโดนชิออนอ่านออกอีกแล้ว

“ง่าย ๆ ก็เพื่อเธอกับคารัสนั่นล่ะ จริง ๆ แล้วถ้าเธอไม่เข้ามาขัดตอนนั้น ชั้นก็ชนะคารัสได้อยู่หรอก แต่ก็นะ ถ้าชั้นทำจริง ทั้งเธอทั้งคารัสคงโดนลูกหลงไปด้วยแน่ ชั้นก็เลยไม่ใช้ แล้วก็พยายามจะจำกัดวงความเสียหายจากการต่อสู้ให้แคบที่สุดด้วย”

“ลองได้อาละวาดขึ้นมาจริง ป่าทั้งป่าก็ไม่เหลือหรอก...”ชิออนมองมือของตัวเองด้วยแววตาเจ็บปวดแล้วกำแน่น

“งั้นแสดงว่าร่างกายของนายมีตั้งเจ็ดธาตุเลยงั้นสิ??”ฟรานเซียตั้งข้อสงสัย แต่ชิออนส่ายหัวเป็นคำตอบ

“ไม่หรอก ชั้นเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นธาตุอะไรกันแน่”

“หา?”คราวนี้ฟรานเซียเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“แล้วไอ้บรรดาธาตุที่นายใช้นั่นมันหมายความว่ายังไงล่ะ?”

“ก็บอกแล้วนี่ว่าชั้นกระตุ้นมันขึ้นมา ไม่ต้องบอกเธอก็รู้สินะว่าไอ้ลูกแก้วที่กั่นดาบนี่มันคืออะไร?”ชิออนว่าพลางชี้ให้ดู

“ผลึกโซม่าแหง ๆ อยู่แล้ว”

“ก็ใช่ไง เอาง่าย ๆ ก็แล้วกันเผื่อเธอจะไม่เข้าใจ”ชิออนหันไปควักเอาแก้วน้ำสองใบออกมาจากกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ใกล้ๆกับวานาเซียพร้อมกับเติมน้ำใส่แก้วทั้งสองใบจนเต็ม

“เธอคงจับสัมผัสโซม่าได้สินะ คงไม่ต้องหาอะไรมายืนยันว่าชั้นแกล้งทำแบบขอไปที”ชิออนนั่งลงพร้อมวางแก้วทั้งสองใบบนพื้นหญ้า จับให้แก้วทั้งสองตั้งมั่น แล้วใช้มืออังกับแก้วน้ำทั้งสองข้างละมือ

“เอาล่ะนะ....”ชิออนหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟรานเซียจับตาดูปฏิกิริยานั้นไม่ห่าง

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ชิออนละมือออกมา แต่น้ำในแก้วกลับไม่เปลี่ยนสีเลยแม้แต่นิดเดียว

“หา? หมายความว่าไง?”ฟรานเซียถึงกับงง

“บอกไว้ก่อนนะ ว่าชั้นเค้นโซม่าออกมาจริง ๆ ไม่ได้ทำแบบขอไปทีด้วย”ชิออนดักคอ

“รู้น่า ชั้นเองก็สัมผัสได้ แต่ทำไมน้ำในแก้วมันไม่เป็นอะไรเลยล่ะ”ฟรานเซียเดินมาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาพิจารณา

แก้วก็เป็นแค่แก้วใส ๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรด้วยซ้ำ ทำไมมันถึงไม่มีอะไรเกิด นี่เป็นจุดที่ฟรานเซียสงสัยมากกว่า ชิออนเองก็ไม่ได้แกล้งทำด้วย

“ชั้นถึงได้บอกนี่ไงล่ะ ว่าชั้นเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นธาตุอะไรกันแน่ แม้แต่ธาตุจิตยังไม่มีเลย”ชิออนยักไหล่ แล้วยกแก้วน้ำขึ้นกระดกรวดเดียวหมดแก้ว ส่วนอีกแก้วเขายื่นให้ฟรานเซียแต่เจ้าตัวไม่รับเลยสาดน้ำทิ้งไปส่ง ๆ แล้วเก็บแก้วเข้ากระเป๋า

“เจ้าลูกแก้วพวกนี้ใช้ทดแทนโซม่าที่ชั้นไม่มีน่ะ ถ้าขาดไปก็คงแย่พอดู”ชิออนเก็บดาบเข้าฝัก

“อืม...”ฟรานเซียควักสมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ ออกมาจดอะไรยุกยิก

“หลังจากนี้ไป เราสองคนคงต้องฟอร์มการต่อสู้ขึ้นมาก่อนล่ะนะ ยังไงก็เหมือนว่าเราสองคนต้องเดินทางด้วยกันอีกยาว”

“ก็คงใช่ ชั้นเองก็ไม่มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษด้วยนี่สิ” ชิออนนั่งลงบนขอนไม้อีกครั้ง

แต่หาได้รู้ไม่ว่าฟรานเซียกำดินสอแทบจะหักคามือ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเรื่องอะไรแท้ ๆ แต่ต้องมาดูแลชิออนตามคำขอของอีวานส์ซะได้ ใครมันจะอยากทำนักหนากับไอ้การมาดูแลไอ้ไก่อ่อนที่ไม่รู้โลกภายนอกอย่างหมอนี่กันเล่า!

“เอาเถอะ งั้นก็บอกวิธีการต่อสู้ของนายมาหน่อย คร่าว ๆ ก็ได้”

การปรึกษาของทั้งสองคนดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าวานาเซียเองก็กำลังฟังและครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

และในขณะเดียวกัน จากพงไม้ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก.....

“พบองค์หญิงแล้ว ต้องรีบรายงานท่านฮาสเต้”

เงาร้ายคืบคลานเข้ามาทีละนิด โดยที่ทั้งสามคนไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย


รุ่งเช้าเมื่อไฟมอดลง ทั้งชิออนและวานาเซียลุกขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยขบ ชิออนปรึกษากับฟรานเซียจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งเขาก็ถูกห่มด้วยผ้าห่มผืนที่ฟรานเซียใช้อยู่ประจำเสียแล้ว

“ว่าไงเจ้าขี้เซา เช้านี้เร่งเดินทางหน่อยล่ะ อีกหน่อยน่าจะถึงตัวเมืองแล้ว ถ้าเร่งดี ๆ เย็นนี้ก็คงถึงนั่นล่ะ”ฟรานเซียยื่นกระบอกน้ำให้

“อื้อ”ชิออนขานสั้น ๆ พร้อมรับกระบอกน้ำมากระดก เจ้าตัวลุกขึ้นบิดตัวอีกครั้งเรียกเสียงกร๊อบแกร๊บของกระดูกลั่นได้จากทั่วร่าง ก่อนเจ้าตัวจะอุ้มเอาทรีเช่ที่นอนขดอยู่ข้างตัวขึ้นวางแปะบนหัวด้วยความเคยชินพร้อมกับเดินไปหาวาเซียที่กำลังลูบขนของเฟนริลที่ฟูยุ่งเพราะเธอนอนกอดมันเมื่อคืนให้เรียบดังเดิม

วานาเซียเห็นดังนั้นก็รับเอากระบอกน้ำมาดื่มบ้าง ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นและปัด ๆ ฝุ่นตามกระโปรงสองสามครั้ง

“ออกเดินทางกันเถอะค่ะ ชั้นเองก็ไม่อยากถ่วงให้พวกของคุณชิออนช้าไปกว่านี้แล้วด้วย”

“หืม? นี่เธอ....”ฟรานเซียงงนิดหนึ่ง

“ก็ไม่ได้หลับสนิทหรอกค่ะ ไม่ชินที่ก็เลยหลับ ๆ ตื่น ๆ ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง แต่ก็พอจับใจความได้นิดหน่อย ยังไงตอนนี้ชั้นก็ถ่วงพวกคุณอยู่ใช่มั้ยล่ะคะ ไปกันเถอะ”วานาเซียว่าพลางเดินนำออกไป โดยทิ้งให้ทั้งชิออนและฟรานเซียยืนงงอยู่เบื้องหลัง

“เอ่อ.... ว่าแต่ต้องไปทางไหนเหรอคะ?”คนเดินนำหันกลับมาถามงง ๆ

“ก็รอพวกชั้นก่อนสิ...ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้น่า ถ้าไม่เจออะไรมาขวางทาง ยังไงก็ไปถึงเมืองเย็นนี้แน่ ๆ ล่ะ”

“งั้นคงต้องขออภัยที่ข้ามาขัดขวางยามเช้าอันสดใสของพวกท่านด้วยก็แล้วกัน...”

ทั้งกลุ่มไม่มีใครขยับในทันทีเมื่อได้ยินเสียงแปลกปลอมที่ไม่ได้มาจากหนึ่งในกลุ่มของชิออนเลย

แต่มันกลับดังมาจากด้านหน้าของกลุ่มพวกเขา

ผ้าคลุมที่มีรูปร่างราวกับคลุมสิ่งที่เป็นคนปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา ช่วงหัวเปิดออกเล็กน้อยพอให้เห็นแสงสว่างสีเหลืองที่น่าจะเป็นดวงตาสว่างวาบขึ้นมา พร้อมกับชายผ้าคลุมที่โบกสะบัดเล็กน้อยตามแรงลม

“มัน”ก้มหัวให้กับกลุ่มของชิออนพร้อมกับเอ่ยขึ้นโดยไม่ทราบแน่ชัดว่าสุ้มเสียงนั้นดังออกจากส่วนไหนของผ้าคลุมกันแน่

“แอร์โรรายนัส หนึ่งในทหารรับใช้แห่งทวีปฮิลล์ขอรับ”

“ชิออ...!”ไม่ทันทีฟรานเซียจะหันไปตะโกนให้ชิออนพร้อมสู้ ลูกตุ้มเหล็กติดปลายโซ่ก็พุ่งเข้ากระแทกหน้าท้องของฟรานเซียจากชายผ้าคลุมทันที

“เสร็จไปหนึ่ง... ทีนี้ก็เหลือแต่ท่านล่ะนะขอรับ...”

“มัน”หันส่วนที่น่าจะเป็นหัวมามองชิออนฟรานเซียกุมลูกตุ้มเหล็กเอาไว้คาท้อง แล้วทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง

“จะทำอะไรไม่มีใครเขาสอนบ้างรึไงว่าให้รอให้ชาวบ้านพูดจบน่ะห๊ะ!”ฟรานเซียตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล มือทั้งสองข้างสาวโซ่ติดลูกตุ้มและกระชากอย่างแรง แต่ที่ปลิวออกมาจากชายผ้าคลุมมีเพียงด้ามจับเท่านั้น

“แกเป็นตัวอะไรกันแน่”ฟรานเซียหรี่ตาลงพร้อมกับถืออาวุธที่ยึดมาได้เมื่อกี้

“ข้าพเจ้าบอกท่านไปแล้วขอรับ ไม่มีรายละเอียดมากกว่านี้ เพราะคนที่รู้มากกว่านี้มักจะไม่รอด...”แอร์โรรายนัสพูดขึ้นและกระโดดขึ้นหมุนตัว มีดบินจำนวนมากพุ่งใส่พวกของชิออนทันที

“ชิ! เล่นงานแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยนี่หว่า!”ชิออนสบถ เขาเลื่อนมือไปแตะที่ลูกแก้วสีเขียวทันที

‘Windy Style’

วานาเซียเอาท่อนแขนบังใบหน้าตัวเองเพราะกลัวว่ามีดบินจะมาโดนตัวเอง แต่เมื่อผ่านไปสักพักก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพบว่าชิออนกำลังยืนขวางหน้าเธออยู่ พร้อมกับมีดบินมากมายที่ลอยค้างกลางอากาศ มีดบินจำนวนมากหมุนคว้างอย่างเสียศูนย์ก่อนจะร่วงลงสู่ผืนดินราวฝูงแมลงที่หมดแรงกับการบิน

มีดบินพวกนี้มีขนาดที่เล็กและเพรียวเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดทรงแหลม ด้านหนึ่งเป็นพู่สีแดงสดผูกเอาไว้ อีกด้านเป็นด้านคมที่ปักลงพื้น บ้างก็นอนแน่นิ่งลงไป แต่จำนวนของเจ้าพวกนี้มีมากเหลือเชื่อจนวานาเซียต้องทึ่งว่าภายใต้ผ้าคลุมนั่นมีอะไรกันแน่

“เหมือนว่าผ้าคลุมนั่นจะไม่ได้ซ่อนอาวุธไว้แค่อย่างหรือสองอย่างซะแล้วสิ”ชิออนมองศัตรูที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ อีกฝ่ายปรบมือให้ได้ยินเสียงเปาะแปะจากใต้ผ้าคลุม

“ยอดเยี่ยมขอรับ พวกท่านเป็นไม่กี่คนหรอกนะขอรับที่ได้เห็นเฮียวของข้าพเจ้า”

“เชอะ ทำเป็นพูดดี ที่จริงจะบอกว่าลองเชิงสินะ”ฟรานเซียลดการ์ดของตัวเองลงเพราะว่าตอนแรกเธอยกแขนตัวเองขึ้นป้องกันมีดบินจำนวนมากพร้อมกับแปลงร่างเฉพาะส่วนเพื่อเรียกขนสีทองออกมาปกคลุมร่างกายไปด้วย

“จะคิดแบบนั้นก็ได้ขอรับ”แอร์โรรายนัสพุ่งเข้าหาฟรานเซีย ดาบยาวโง้งเล่มหนึ่งโผล่พ้นชายผ้าคลุมเข้าฟาดฟันใส่ฟรานเซียทันที

ฟรานเซียรับด้วยโซ่ของลูกตุ้มนั้นแล้วฉวยโอกาสมัดดาบเอาไว้แล้วกระชากออกมาแต่ก็เป็นเช่นเคยเพราะมีเพียงดาบเท่านั้นที่ถูกดึงออกมาจากผ้าคลุม ฟรานเซียเหวี่ยงลูกตุ้มปลายโซ่ทิ้งไปและพุ่งเข้าชกทันที แต่คู่ต่อสู้เอียงฉากเล็กน้อย หอกปลายแหลมด้ามหนึ่งพุ่งออกมาจากชายผ้าคลุมอีกครั้ง ฟรานเซียเอียงตัวเพื่อหลบแต่กลับหลบได้ไม่ทั้งหมด คมหอกเลยได้ลิ้มชิมรสเลือดจากแก้มของเธอไปเล็กน้อย

“ไม่ได้มีดีแค่อาวุธเยอะแฮะหมอนี่...”ฟรานเซียใช้หลังมือปาดเลือดจากแก้ม

สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีแน่ ชิออนยืนประเมินสถานการณ์ ฟรานเซียไม่ใช่คนที่ต่อสู้ได้ไวอยู่แล้ว อีกฝ่ายท่าทางเชี่ยวศึกมากกว่าทั้งชิออนและฟรานเซียรวมกันเสียอีก อีกอย่างทางนั้นใช้อาวุธได้หลากหลายเกินไปทั้งยังพลิกแพลงได้เยอะผิดกับฟรานเซียที่ใช่แค่หมัดมวยเข้าว่าทั้งยังไม่มีความรวดเร็ว แต่ชิออนจะเข้าไปช่วยตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะว่าหากเขาออกไปตอนนี้วานาเซียที่หลบอยู่ด้านหลังคงโดนลูกหลงแน่

จะทำยังไงดีนะ... ชิออนคิดแล้วคิดอีก

ยิ่งฟรานเซียรุกเข้าประชิดแอร์โรรายนัสยิ่งถอยรักษาระยะ ดาบสองเล่มโผล่ออกจากชายผ้าคลุมรับและปัดป้องหมัดของฟรานเซียมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ยิ่งทำแบบนั้นฟรานเซียยิ่งเหนื่อยหอบมากเข้าไปทุกที ๆ เพราะฝีมือของแอร์โรรายนัสนั้นสูงกว่าเธออย่างเห็นได้ชัดแต่ในตอนนี้เธอผละออกมาจากคู่ต่อสู้ไม่ได้

หากผละถอยออกมา หมอนั่นต้องซัดอาวุธระยะไกลวงกว้างอีกแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นชิออนจะป้องกันได้อีกแบบเมื่อกี้รึเปล่าก็ไม่รู้

“อาวุธเยอะจริงหมอนี่!”ฟรานเซียตะโกนด้วยอารมณ์กึ่งรำคาญ มือจับใบดาบทั้งสองเล่มด้วยความโมโหจัดและบีบมันแหลกคามือ

“โอ้โห... มนุษย์นี่บางคนก็เก่งกว่าที่ข้าคิดนะขอรับ”เสียงผิวปากหวือของแอร์โรรายนัสลอดผ่านใต้ผ้าคลุมออกมายิ่งทำให้ฟรานเซียฉุนจัด

“พอซักที!”ฟรานเซียก้มลงยืนสี่ขาพร้อมกับขนสีทองที่งอกออกมาตามตัวเยอะกว่าเดิม ร่างกายของเธอเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสัตว์เดียรัจฉานทีละนิด ๆ

“โอ... น่ากลัวจริงขอรับ”แอร์โรรายนัสพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของฟรานเซียเปลี่ยนไป

ไม่ทันที่จะได้พูดมากกว่านั้น ฟรานเซียก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่สูงกว่าเดิม กรงเล็บง้างไปด้านหลังและตะปบเข้าหาเต็มแรง

เสียงดังเคร้งดังสนั่นเลื่อนลั่นเมื่อกรงเล็บสีทองปะทะกับโล่ทรงกลมขนาดใหญ่ที่โผล่ขึ้นขวางไว้ได้ทันท่วงทีก่อนจะเข้าถึงตัวแอร์โรรายนัส เจ้าตัวถอยออกไปตั้งหลักเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าไปตะปบซ้ำอีกครั้ง แอร์โรรายนัสเบี่ยงโล่ออกเล็กน้อยเพื่อทำให้วิถีของกรงเล็บเข้าปะทะกับโล่ไม่ได้ตรง ๆ เพื่อลดแรงปะทะที่จะเข้ากระทบ

นอกจากอาวุธเยอะแล้วยังมีโล่อีก ฟรานเซียถอยมาตั้งหลักคิดวิเคราะห์ การป้องกันก็ไม่ใช่ในระดับที่บุกฝ่าเข้าไปในได้ทันทีซะด้วย หมอนี่เล่นงานยากชะมัด แต่ความเร็วในระดับแค่นี้เธอมองเห็นได้สบายมากเพราะอีวานส์ที่ฝึกให้เธอเร็วกว่าหมอนี่สักสิบเท่าได้กระมัง แม้ว่าจะมองเห็นก็ไม่ใช่ว่าจะขยับร่างกายทันอยู่ดี ทำยังไงถึงจะฝ่าการป้องกันของเจ้านี่เข้าไปได้กันนะ

ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้แอร์โรรายนัสระแวง เธอคนนี้เก่งกว่าที่ตาเห็นมากนัก แม้จะป้องกันการโจมตีได้ก็จริงแต่การโจมตีแต่ละครั้งก็หนักหน่วงเหลือเชื่อ ไปเอาแรงมหาศาลขนาดนั้นมาจากไหนกันแน่

“อาวุธเยอะแต่ใช้ได้ไม่เท่าไหร่น่ะไม่เห็นจะได้เรื่องซักนิดเลยนะ สู้มีอาวุธประจำมือแต่ใช้ได้ตลอดจะดีกว่าล่ะมั้ง”

ทั้งกลุ่มหยุดชะงัก แม้แต่ตัวแอร์โรรายนัสเองก็สงสัย

เสียงนี้คือใครกัน?

“ให้ตายๆ แค่ออกมาเดินเล่น ดันเจอกับลูกน้องเจ้าฮาสเต้ซะได้ จะว่าดวงดีรึเปล่านะเนื่ย? แต่โดยส่วนตัวคือดวงซวยซ่ะล่ะมั้ง”เจ้าของเสียงบ่นไปด้วยเดินไปด้วย

เสียงฝีเท้าของเขาดังใกล้เข้ามาทุกขณะ ในเวลาเดียวกันก็ปรากฏรายละเอียดของเขาชัดขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างแรกสุดที่เห็นชัดคือเขาเป็นเด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะห่างไกลกับพวกของชิออนมากนัก เรือนผมสีเทาเข้มชี้ฟูไปด้านหลังพร้อมกับปอยผมเล็ก ๆ ที่มัดรวบเอาไว้ห้อยอยู่ที่ไหล่ข้างขวา เสื้อผ้าสีน้ำเงินจัดจ้าสะท้อนแสงแดดยามสายแลดูเด่นสง่า

ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาสมวัย ดวงตาสีดำนุ่มลึกเข้ากับสีผมของเขาเป็นอย่างดี แต่ในตอนนี้สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนไม่ใช่ใบหน้าหรือเครื่องแต่งกายของชายผู้นี้แต่อย่างใด แต่เป็นดาบสี่เล่มที่เก็บอยู่ในฝักดาบข้างเอวของเขาข้างละสองเล่มซ้ายขวา

คนปกติไม่น่าจะพกดาบเยอะขนาดนี้ อย่างดีก็แค่ดาบคู่ แต่ทำไมคน ๆ นี้ถึงได้พกสี่ดาบกัน?

นี่เป็นสิ่งแรกที่ชิออนสงสัยเมื่อมองรายละเอียดของคน ๆ นี้ชัด ๆ ถนัดตา เครื่องแบบรึก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ทั่วไป คนนี้เป็นใครกันแน่

“ตะกี้ท่านเอ่ยถึงท่านฮาสเต้สินะขอรับ”แอร์โรรายนัสหันส่วนหัวไปหาบุรุษผู้มาใหม่ เจ้าตัวแค่นยิ้มก่อนจะกลับมาทำหน้าดังเดิม

“อื้อ ชั้นกับเจ้านั่นน่ะเจอกันมาหลายครั้งแล้วล่ะ”เขาเอ่ยตอบง่าย ๆ

“ต้องขออภัยที่เสียมารยาท แต่ชื่อของท่านฮาสเต้ไม่ใช่ชื่อที่จะออกปากกันได้ง่าย ๆ นะขอรับ”

แอร์โรรายนัสพุ่งเข้าหาผู้มาใหม่ทันทีพร้อมดาบเล่มโตที่ฟาดเข้าไปหาในพริบตา แต่เขาผู้นั้นทำเพียงแค่ยิ้ม

“ฮาสเต้ไม่ได้เตือนสินะว่า ถ้าเจอชั้นให้รีบหนีไปให้ไวเท่าที่จะหนีได้น่ะ”

ดาบหนึ่งในสี่เล่มถูกชักออกจากฝัก มันมีสีแดงราวเลือดสดน่ากลัว ตั้งแต่ปลายดาบจรดโคนดาบ มันเป็นดาบเซเบอร์ขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ทันทีที่ชักออกจากฝักกลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

“หนึ่งดาบสีเพลิง”เขาเอ่ยขึ้นพร้อมตวัดดาบเบา ๆ

ระเบิดเพลิงขนาดใหญ่ปะทุขึ้นในทันทีที่เอ่ยจบ แอร์โรรายนัสกระเด็นออกมาพร้อมกับชายผ้าคลุมที่ติดไฟเล็กน้อย แต่การสะบัดไม่กี่ครั้งก็ทำให้ไฟดับลง

“งั้นชั้นออกชื่อตัวเองหน่อยก็แล้วกัน เพราะลูกน้องของฮาสเต้ชั้นเองก็ปล่อยไว้ไม่ได้” เขาชักดาบออกมาอีกเล่ม ครั้งนี้เป็นดาบสีเขียวสะท้อนแสงสวยงาม

“อาช มัลโค หนึ่งในสมาชิกบัสเตอร์ ตำแหน่งหัวหน้าสูงสุด”อาชถือดาบประจำมือสองเล่มและพุ่งเข้าใส่แอร์โรรายนัสทันที

ดาบสองเล่มของแอร์โรรายนัสปรากฏขึ้นมาเพื่อเตรียมสู้ อาชแค่นยิ้มและฟาดดาบสีเขียวเข้าใส่

เสียงเคร้งดังขึ้นเมื่อดาบสองเล่มเข้าปะทะกัน แต่ผ้าคลุมของแอร์โรรายนัสกลับขาดเป็นแนวยาวทั้ง ๆ ที่ใบดาบยังปะทะกันอยู่ แอร์โรรายนัสกระโดดถอยออกมาในทันทีเมื่อได้รับการโจมตีที่ไม่พึงประสงค์ทั้ง ๆ ที่ตัวเองคิดว่าป้องกันมันเอาไว้ได้แล้ว

“อะไรของนาย อาวุธตั้งเยอะแยะอย่าบอกนะว่าใช้ไม่ได้เรื่องซักอย่าง?”อาชทำเสียงเหมือนเบื่อเสียเต็มประดา ดาบในมือของเขาแผ่แรงกดดันออกมามหาศาลเสียจนรู้สึกได้ราวรังสีความร้อน

“ชื่อของท่าน ท่านฮาสเต้เคยเอ่ยขึ้นมาบ้าง เห็นว่าเป็นคู่ปรับกันคงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ จริง ๆ เสียด้วยสินะขอรับ”

“ก็คงงั้น”อาชยักไหล่พร้อมกับเก็บดาบเข้าฝักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีประสงค์ที่จะสู้เมื่อรู้ว่าฝีมือตัวเองเทียบกับเขาไม่ได้

“เห็นทีครั้งนี้ข้าพเจ้าคงต้องถอยก่อน ไว้มีโอกาสข้าพเจ้าจะกลับมาแน่นอน”แอร์โรรายนัสโค้งให้อย่างมีมารยาท ผ้าคลุมที่ขาดตกลงมาส่วนหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเขามีรูปร่างภายใต้ผ้าคลุมใกล้เคียงกับมนุษย์แต่ทว่าดวงตาของเขามีสีเหลืองสุกสกาวสดใสเจิดจ้า และผิวของเขามีรอยสักประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน

ไม่ทันที่จะได้สำรวจมากกว่านั้น ร่างกายของแอร์โรรายนัสก็หายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เกิดลมพัดวูบหนึ่งและสงบลงในฉับพลัน

“เอาล่ะ ดีแล้วล่ะนะที่รอดมาจากหมอนี่ได้”อาชเดินสบาย ๆ เข้ามาหากลุ่มของฟรานเซีย

“พวกเธอนี่ซวยชะมัด ไปปะทะกับเจ้าพวกนั้นได้ ดีนะที่ว่าชั้นมาเดินเล่นแถวนี้พอดี ไม่งั้นคงได้มาเก็บซากพวกเธอแทนแน่ ๆ”

“ว่าแต่พวกเธอเป็นใครรึ?”อาชพูดพล่ามยืดยาวจนเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่รู้จักพวกของชิออนเลย

“ฟรานเซีย A. ฟริโอนีล เป็นฮาล์ฟบีสค่ะ”ฟรานเซียพูดสุภาพแต่ก็ยังไม่ทิ้งท่าระแวง เธอค่อย ๆ กลับจากสภาพแปลงร่างมายืนสองขาเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คนนี้ไม่มีประสงค์ร้าย

“ชิออน คุไรฮะ ยังไม่ได้เป็นคลาสอะไรเลยครับ”ชิออนคำนับให้นิดหนึ่ง พร้อมกับวานาเซียที่อยู่ด้านหลัง

“วานาเซีย R. ซินเธียต้า เช่นกันกับชิออนค่ะ”เธอโค้งบ้าง เจ้าลูกหมาเฟนริลเห่าไม่รับแขกใส่อาชที่จะเดินมาเข้าใกล้จนเจ้าตัวยกมือยอมแพ้และถอยออกห่างไปอยู่ในระยะปลอดภัย

“ชั้นได้ยินมาว่าแถวนี้มีพลังโซม่าแปลก ๆ ไหลเวียนอยู่น่ะเลยโดนพวกตาแก่วานให้มาตรวจสอบ พอมาถึงก็ดันไม่มีอะไรซะอย่างนั้น แถมมาเจอพวกเธออีก ไหนจะสมุนของเจ้าฮาสเต้นั่นด้วย”

“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พวกเธอเดินทางเข้าเมืองกับชั้นเลยได้มั้ย เห็นว่าทิศทางการเดินทางก็เข้าเมืองเหมือนกันนี่”อาชเสนอความคิด

“อื้อ ก็ดีเลยค่ะ ถ้ามีคุณไปด้วยท่าทางจะเบาใจได้มากกว่ากันเยอะเลย”ฟรานเซียเสนอ

“แล้วก็ ชั้นขอจับนาย เจ้าหนู ในฐานะหัวหน้าบัสเตอร์ หน่วยปราบปรามผู้ใช้สิ่งของผิดกฏหมายหรือสิ่งต้องห้าม”อาชหันไปหาชิออน

“หา? ผมเนี่ยนะ?”ชิออนชี้ตัวเอง

“ใช่... ในฐานะที่นายครอบครองตราประทับแห่งราชันย์ทั้งเจ็ด”

ohana123
18th May 2012, 22:41
ชื่อเรื่องอลังการ ต้องนั่งอ่านซะแล้ว :D