PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Einherjar's Story - มหากาพย์นักรบเทวะ Extra Chapter - อดีตในดวงตาสีแดง



tstcwqt1
4th November 2011, 09:50
สายฝน....

สำหรับคนหลายคน มันก็มีหลายมุม

บางคน เห็นมันเป็นดั่งสายน้ำแห่งชีวิตจากฟากฟ้า ช่วยให้ตนเองได้ชื่นใจ ช่วยตนเองในการเกษตรต่าง ๆ

แต่กับบางคน...

มันเป็นดั่งสิ่งเย้ยหยันตนเองจากท้องฟ้าราวพระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นใจตนก็ไม่ปาน

มันเย็นชา เจ็บปวด และทิ่มแทงไปทั่วทุกอณูกายพาให้ปวดร้าวและทุกข์ระทม


...

สองขาเล็ก ๆ ก้าวไปอย่างอ่อนล้าท่ามกลางสายฝนที่สาดพร่างพราวลงมาจากท้องฟ้าเหนือหัวที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นสีฟ้าสดใส แต่ตอนนี้มันกลับเป็นสีเทาขุ่นมัวเพราะถูกเมฆฝนบดบังจนสิ้น

แม้สายฝนจะไม่รุนแรงนักแต่ความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนผิวโดนบาดด้วยคมมีดล่องหนเย็นเยียบ อีกทั้งสายฝนเองก็ไม่ต่างจากเข็มเล่มเล็กมากมายที่พร่างพรมลงมาไม่หยุดหย่อน มันทิ่มแทง มันเจ็บปวด มันทำให้เขาเหนื่อยล้าลงทุกครั้งที่ย่างก้าว

แม้กระนั้น เขาก็ไม่หยุดเดินเด็ดขาด

เพราะที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขา

เขาเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนมาหลายเดือนแล้ว

ไม่รู้วัน...ไม่รู้เดือน

ไม่รู้ทุกสิ่งในชีวิต

แม้แต่ชื่อ...

ร่างกายของเขาผอมโซเนื่องจากไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว เสื้อผ้าที่ใส่รึก็ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี เรือนผมสีดำสนิทยาวปรกหลังดูกระเซิงและฟูยุ่งเพราะไม่ได้ดูแลมานานเหลือเกิน ดวงตาสีแดงโชนแสงแรงกล้านั่นเท่านั้น ที่เป็นสีที่สดใสที่สุดในร่างกายของเขา

เหมือนเขาจะเดินมานานแล้ว เขาอยากหยุดพักเหลือเกิน ขาของเขามันล้าและส่งเสียงร้องบอกเขามานานแล้วแต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจมัน และกัดฟันเดินต่อไปแม้จะเริ่มปวดขา

เขาหยุดพักไม่ได้

เพราะทันทีที่เขาพัก มันก็เท่ากับเขายอมแพ้

พื้นหินบล็อกเย็นเยียบภายใต้เท้าของเขาดูดพลังทุกย่างก้าว ลมหายใจสูดเอาความเย็นเข้าร่างกายจนทำให้ปอดเขาปวดร้าวไปหมด สายฝนที่ตกต่อเนื่องเริ่มทำให้เขาตาพร่าเลือนไปทุกขณะ

สุดท้าย เขาก็ต้องหยุดพักที่มุมมืด ๆ ของแนวบ้านหลังหนึ่ง เขาทรุดตัวลงนั่งแล้วหายใจช้า ๆ สองมือบีบคลำขาตนเบา ๆ หวังให้หายปวดหรือทุเลาอาการมันลงไปได้บ้าง

ดวงตาที่พร่าเลือนเพราะความหิวเริ่มทำให้ทัศนีภาพของเขาแคบลงไปทุกที ๆ

มหานครแห่งนี้คือมหานครอาชิฮาร่าตะวันตก หนึ่งในสี่มหานครอันรุ่งเรืองในโลกนี้ ทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือแม้กระทั่งการค้าขายอันรุ่งเรือง ทุกสิ่งดูสวยงาม

แต่ไม่ใช่สำหรับเขา

สำหรับเขา มันเหมือนกับนรกบนดินอันโหดร้าย มองไปทางไหนก็มีแต่คนรังเกียจเดียดฉันท์ ดวงตาที่โชนแสงแรงกล้าไม่เคยได้สบตาใครเลย ไม่เคยมานานมากแล้ว

เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบสองเดือน เดินร่อนเร่ไปทั่วไม่มีหลักแหล่ง อาศัยประทังชีวิตด้วยอาหารเล็กน้อยเพียงแม่ค้าพ่อค้าใจดีบางคนที่พอจะช่วยเขาได้บ้าง

เขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ ความหวังมันเลือนหายไปสิ้นนานมากแล้ว

เพราะเขาเป็น...ปิศาจ

ดวงตาโชนแสงอันน่ารังเกียจนี้ มันทำให้เขาต้องเจ็บตัวมามากมายนัก

เพียงเดินผ่าน บางครั้งบางคราวก้อนหินก็ถูกปาใส่เขา

เพียงเพราะตาดวงนี้

แม่ลูกก็ถึงกับจูงลูกหนี ไม่ให้มองเขา ไม่ให้สบตาเขา

เขาทำผิดอะไร....

ความน้อยเนื้อต่ำใจเริ่มเติมเข้ามาในหัวใจที่ปวดร้าวเนื่องจากมันไม่เคยถูกเติมเต็มด้วยความรักและความห่วงใย

มีแต่ความเกลียดชังและรังเกียจ

เขาไม่เคยทำอะไรให้ใคร

สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาราวตอกย้ำความเจ็บช้ำในดวงจิต ดวงตาหลุบต่ำมองสภาพตัวของเขาเอง

มันเพราะอะไรกัน?

ทำไมเขาต้องมาเจอในสภาพนี้ด้วย

นี่หรือที่เขาว่ามนุษย์เลือกเกิดไม่ได้

ทำไมฟ้าช่างเล่นตลกได้โหดร้ายแบบนี้

ทำไม....

ความมืดเริ่มกลืนกินทัศนียภาพของเขาทุกขณะ

ดวงตาที่พร่าเลือนมากขึ้นทุกที ๆ

นี่เขา....จะต้องมาตายในที่แบบนี้...งั้นหรือ?

“เฮ้ นายน่ะ”

เสียงหนึ่ง ฉุดเขาขึ้นมาจากความมืดมิดของภวังค์ความคิดสีดำสนิท

เขาหันไปมองทันที คราวนี้จะทำอะไรอีกล่ะ?

ปาก้อนหิน? ไล่ออกไปจากที่นี่?

“ลุกไหวรึเปล่า?” น้ำเสียงนั่นถามด้วยความห่วงใยเหลือเกิน มันอบอุ่นและอ่อนโยน ดวงใจที่เคยดำมืดด้วยความสิ้นหวังของเขาสว่างขึ้นมาทีละนิด

มองจากมุมมองของเขา บุคคลตรงหน้าคือเด็กชายอายุไล่เลี่ยกับเขา แต่ทว่า คน ๆ นี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าต้องเป็นคนที่มีเงินแน่ ๆ

ร่างกายปกคลุมด้วยเสื้อผ้าชั้นดีสีน้ำเงิน ทั้งยังประดับประดาด้วยเข็มกลัดและอัญมณีหลากสีสวยงามและลงตัว

เรือนผมสีฟ้าใสกระเซิงแต่ก็ดูดีและรับกับรูปหน้าคมดูหล่อเหลาแม้จะยังเด็ก

มันช่างสวยงาม...

แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจ

เด็กชายตรงหน้า ไม่ได้มาคนเดียว...

มีอีกคน...ที่หลบอยู่ข้างหลังเขา

เรือนผมสีฟ้าสว่างเช่นกันทว่าเรียบสลวยลู่ไปกับใบหน้า ดวงตาสีฟ้าหม่นดูหวาดหวั่น เสื้อผ้าของเขาดูเหมือนกับผู้ที่อยู่ด้านหน้าทว่าประดับประดาต่างกันไปเล็กน้อย

“ท...ท่านพี่ ครับ ใครน่ะ?”เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายด้านหลังถามหวั่น ๆ มืออันบอบบางกำเสื้อผู้เป็นพี่แน่น

“ไม่เป็นไรหรอกน่าเบลนโน หมอนี่ไม่มีแรงทำร้ายใครไปได้หรอก วางใจเถอะ”ผู้เป็นพี่ยิ้ม แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงมามองเขาใกล้ ๆ

“ยืนไหวรึเปล่า? ชั้นช่วยมั้ย?”น้ำเสียงอันอบอุ่นทำให้เขารู้สึกดี เขาเผลอยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีแดงสดสบตากับดวงตาสีฟ้าใสของเด็กชายตรงหน้า เขาไม่อาจละสายตาได้ ดวงตานั้นช่างสวยเหลือเกิน

สวยเสียจนไม่อยากละสายตา มันเหมือนกับท้องฟ้ายามปลอดโปร่งที่ดูปลอดภัยและอบอุ่น

มือของทั้งสองคนจับมั่น สัมผัสของมือนั้นช่างอบอุ่นและนุ่มดุจแพรไหม มือของเขาที่เย็นเยียบค่อย ๆ ซึมซับความอบอุ่นนั้นทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว แรงของเด็กชายตรงหน้าดึงเขาให้ขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ความปวดล้าหายไปหมดสิ้นเมื่อเขารู้สึกราวกับว่าจิตใจถูกเติมเต็มด้วยความอ่อนโยน

ทว่า..

“อย่านะคะองค์ชาย!!” เสียงหวีดร้องของหญิงสาวชาวบ้านแถวนั้นทำให้เขาสะดุ้ง

“ทำไม?”ชายผู้เป็นพี่หันขวับไปหา ทำเอาผู้หวีดร้องถึงกับสะดุ้ง

“เดี๋ยวจะได้รับคำสาปนะคะ!”หญิงสาวคนนั้นหวีดร้องต่อไป ปลายนิ้วที่สั่นเทาชี้มาทางเขา

เขา...

ทำไม...

คำสาป...มาจากไหน?

แล้วทำไมต้องเป็นเขา...อีกแล้ว

“คำสาป?”เด็กชายตรงหน้าเขาทวนคำด้วยใบหน้าฉงนใจ

“แล้วเจ้า......ไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน?”

“อ...เอ่อ” หญิงสาวคนนั้นเงียบไป สีหน้าอึกอักบอกไม่ถูกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ตอบมา”น้ำเสียงของเด็กชายตรงหน้าเขาคาดคั้นและฟังดูหงิดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลาเครียดข***ตึงเครียดแลดูน่ากลัวผิดวิสัย

“พวกเด็ก ๆ น่ะค่ะ....”น้ำเสียงแผ่วเบาตอบกลับมาทำเอาเขาถึงกับฉงนใจ

“เด็ก ๆ งั้นรึ?”

“นี่พวกเจ้าไร้การศึกษามากถึงขั้นต้องให้เด็ก ๆ สอน?”

“ป....เปล่าเพคะ!!”หญิงสาวผู้นั้นปฏิเสธทันควัน ใบหน้าส่ายรัวไปมาด้วยความร้อนรน

“เพียงแค่สีตาแตกต่าง เพียงแค่เขาไม่ใช่คนเมืองนี้ พวกเจ้าก็ทำกับเขาถึงเพียงนี้”

“วันหลังข้าคงต้องให้เสด็จพ่อสั่งให้พวกเพชฌฆาตมาสักคำว่าเหยียดผู้อื่นบนหลังของพวกเจ้า! ดีมั้ย!” เด็กชายตรงหน้าเขาตวาดเสียงดัง เพียงเท่านั้นผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาก็หยุดชะงักและหมอบกราบแทบเท้าเขาแทบจะทันที

“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว”

“ว่าแต่ นายชื่ออะไรเหรอ?”

ชื่อ....

ไม่มี...

“ไม่มี..หรอก”เขาตอบด้วยเสียงเบาทั้งยังแหบพร่าเพราะขาดน้ำ

“งั้นเหรอ อืม.... นายคงเป็นพวกกำพร้าเร่ร่อน ชื่อไม่มีคนไม่ใช่เรื่องแปลก งั้นชั้นตั้งให้ก็แล้วกัน” เด็กชายตรงหน้าเสนอความคิด

“แต่นายต้องมาอยู่กับชั้นนะ เอามั้ย? ตอบแทนเรื่องชื่อไง” รอยยิ้มทะเล้นนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มบางตอบกลับไปอย่างไม่ทันระวัง หาได้รู้ไม่ว่านั่นทำให้ชายตรงหน้าคิดเองเออเองไปเบ็ดเสร็จแล้ว

“อืม..”ชายตรงหน้าเขาเดินไปเดินมา มือก็จับคางคิดไปด้วย ปล่อยให้ผู้เป็นน้องยืนเลิกลั่กอยู่คนเดียว

“งั้น ทิออส เป็นไง?”ชายตรงหน้าเสนอความคิด เขาเองก็เผลอพยักหน้าตามเบา ๆ

“ทิออสเป็นชื่อ ก็ต้องมีนามสกุล...”

“นามสกุล...นามสกุล” ชายตรงหน้าเดินไปเดินมา วนรอบแล้วรอบเล่า จนสุดท้ายก็นึกออกและประกบมือเข้าหากันดังแปะเบา ๆ

“เทเรส เป็นไง?”

“ทิออส เทเรส?”เขาทวนชื่อใหม่ให้กับตัวเองเบา ๆ มันช่างเป็นชื่อที่พิลึกเหลือเกิน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีให้ใช้

“ใช่ นั่นล่ะ หลังจากบัดนี้เป็นต้นไป นี่คือชื่อของนาย”ชายตรงหน้าชี้ทิออสที่ยืนรับหน้างง

“เอาล่ะ รู้ชื่อของนายแล้ว คราวนี้ก็ชื่อของพวกเราล่ะนะ”

“พวกเรา คือราชวงศ์ลำดับที่สามแห่งราชอาณาจักรอาชิฮาร่า”

“ชั้น รีเซล เดอ อาชิฮาร่า ทริกส์ ที่สาม”รีเซลแนะนำตัวเอง แล้วก็บุ้ยใบ้หันไปหาน้องชาย

“บ...เบลนโน เดอ อาชิฮาร่า ทริกส์ ที่สาม ค...ครับ”น้ำเสียงสั่นเครือเบา ๆ ทำให้ทิออสแปลกใจ ทำไมสองพี่น้องคู่นี้ช่างต่างกันเหลือเกิน

ราวท้องฟ้ากลางวันที่สดใส และกลางคืนที่ดูลึกลับน่าค้นหาก็ไม่ปาน

“ไปกันเถอะทิออส จะพานายไปหาบ้านนะ” รีเซลไม่ว่าเปล่า เขาเดินตรงเข้ามาหาทิออสและดึงข้อมือลากไปทันทีโดยทิออสไม่ทันท้วงเสียด้วยซ้ำ


เวลาผ่านไปพอสมควร ทั้งรีเซลและเบลนโนพาทิออสเดินมาไกลมากจากเขตชานเมืองเข้ามาที่ใจกลางเมือง

ผ่านซุ้มประตูงดงามล้ำค่าของเขตพระราชวังกลาง ทิออสแทบจะแหงนคอมองมันทุกครั้งที่เดินผ่านด้วยความงดงามจับตาของมัน

ไม่ช้าไม่นาน ทั้งสามคนก็เดินเข้ามาด้านในของวัง บรรดาสาวใช้ที่วิ่งวุ่นทุกคนต่างหยุดและโค้งรอเพื่อให้รีเซลเดินผ่านไปทั้งสิ้น แต่รีเซลตอบกลับเพียงโบกมือเล็กน้อยเท่านั้น

ทิออสเดินช้าบ้างเร็วบ้างเพราะขาของเขายังไม่หายปวดดีเท่าไหร่ ไหนจะสถานที่ไม่คุ้นตาทำเอาเขาวางตัวไม่ถูก มันทำให้เขาเกร็งไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยก็ว่าได้

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” เดินกันมาได้พักหนึ่ง รีเซลก็เลี้ยวหักศอกแล้วเปิดประตูบานหนึ่งเดินเข้าไป ภายในเป็นห้องนอนขนาดใหญ่โตโอ่อ่าหรูหราสมฐานะเจ้าชายอย่างเขา แต่แทนที่พวกเขาจะอยู่ลำพังสามคน กลับมีคนสี่คนกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว

เธอทั้งสี่คนเป็นหญิงสาวดูท่าทางเปี่ยมความสามารถในชุดสาวใช้ของวังเช่นคนอื่น ๆ ดวงตาสีดำสนิทกลมโต และเรือนกายอรชรภายใต้เนื้อผ้าที่ตัดพอดีตัวได้รูป เรือนผมสีดำสนิทของทั้งสี่คนรวบมวยไว้อย่างเรียบร้อยแลดูเป็นระเบียบ

“กลับมาแล้วรึเพคะองค์ชาย”

สาวใช้สี่นางพูดพร้อมเพรียงกันราวกับไม่ได้นัดหมาย ทั้งสี่ถอนสายบัวสองครั้ง โค้งคำนับรีเซลและเบลนโนคนละครั้ง และแน่นอน ไม่มีครั้งที่สาม แต่กลับมีสายตาสงสัยส่งมาเป็นคำถามให้รีเซลแทน

“หมอนี่จะมาอยู่ที่วังนี้ ในฐานะคนรับใช้ส่วนตัวของชั้น จัดการให้ด้วยทั้งสี่คน”

“รับทราบเพคะ” สาวใช้ทั้งสี่ถอนสายบัวอีกครั้งและเดินเข้าหาทิออสด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ในสายตาของทิออส นี่เหมือนกับพยัคฆ์เดินเข้าหาหมายจะขย้ำเหยื่อก็ไม่เชิงอย่างไรอย่างนั้นแหละ

“ผมว่า....ผมจัดการตัวเองได้ครับ”ทิออสพยายามพูดปัดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพที่สุด แต่มันไม่ทำให้ทั้งสี่สาวใช้ชะลอฝีเท้าลงเลย

“คำสั่งขององค์ชาย ถือเป็นเด็ดขาดค่ะ!”ทั้งสี่คนประสานเสียงและรุมเข้าหาทิออสทันที

หลังจากนั้น... บรรดาคนในวังต่างก็ต้องอุดหูเพราะเสียงกรีดร้องไม่เป็นภาษาของเด็กชายโชคร้ายคนหนึ่ง...


ในเวลาต่อมาไม่นาน ทิออสก็เดินออกมาจากห้องน้ำในห้องส่วนตัวของรีเซลในชุดเสื้อแขนยาวและขายาวสีขาวสะอาดตา

เรือนผมที่เคยฟูยุ่งถูกจัดการจนเรียบร้อยสลวยลู่หลัง ผิวพรรณดูเนียนผ่องและมีน้ำมีนวลขึ้นมากกว่าตอนที่ถูกทิ้งไว้ในเมืองเยอะมาก แม้จะยังดูซูบซีดอยู่ก็ตาม

“โฮ่ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ”รีเซลออกปากชม

“คำสั่งเรียบร้อยเพคะองค์ชาย”สาวใช้ทั้งสี่ที่เดินตามหลังทิออสมาโค้งคำนับให้รีเซล

“ขอบใจมาก ออกไปได้ รอคำสั่งของชั้นอยู่หน้าประตูนะ”

“เพคะ”

เพียงเท่านั้น ทั้งห้องก็เหลือเพียงทิออส และรีเซลกับเบลนโนเพียงสามคน

“เอาล่ะ ว่ายังไง นายอยากอยู่ที่นี่รึเปล่า?”รีเซลออกปากถาม เขาทิ้งตัวลงนั่งอย่างสบาย ๆ บนเตียงนอนฟูนุ่ม ขายกขึ้นไขว่ห้างแลดูไม่มีมารยาทเท่าไหร่

“แบบนี้ จะดีหรือครับ? ผมเป็นคนข้างถนนนะ”ทิออสถามกลับ

“จะข้างถนนจะในวัง แต่คน ก็ยังเป็นคน”รีเซลสวนคำ

“ชั้นไม่สนใจเรื่องแบ่งชนชั้นวรรณะงี่เง่าอะไรนั่นหรอกนะ เพราะยังไงก็เดินดินกินข้าวกินอาหารเหมือนกัน แค่มีเงินหรือไม่มีก็เท่านั้น สุดท้าย ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี”รีเซลร่ายยาว

“ต...แต่ท่านพี่ครับ เสด็จพ่อยังไม่รู้เรื่องนี้เลยนะครับท่านพี่”เบลนโนถามเสียงหวั่นราวเด็กกำลังจะถูกทำโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราทิ้งหมอนี่ไว้นอกวังไม่ได้หรอกเบลนโน อีกอย่างเรื่องนั้น ไว้พี่จะคุยกับท่านพ่อเองน่า”

“ดีไม่ดี พี่ฟรี้ดอาจจะถูกใจหมอนี่ก็ได้นะ รายนั้นชอบสีแดงจะตายไป เอาไปฝึกทหารเป็นอัศวินของที่นี่ก็ไม่เลว”รีเซลเสนอแนวทาง แม้กระนั้นสายตาของเบลนโนก็ยังหวาดหวั่นอยู่ดี

“น่า ๆ ” รีเซลโบกมือปัด ๆ ไม่ยี่หระกับสายตามีความหมายนั้น “ยังไง หมอนี่ก็ไม่มีใครต้องการอยู่แล้ว แค่คนในวังเพิ่มสักคน ก็ไม่น่าเสียหายหรอกมั้ง?”

ไม่มีใครต้องการ...

เสียงฟ้าพิโรธคำรามลั่นเหนือพระราชวัง วังวนพายุเมฆน่ากลัวม้วนตัวราวความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุ

ไม่มีใครต้องการ...งั้นเหรอ?

เราไปทำอะไรให้...

ทิออสตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง

แม้มันจะถูกเยียวยา แต่บาดแผลลึกในจิตใจก็ไม่ได้หายไปอย่างง่ายดาย

ฝ่ามือของทิออสกำแน่น ประจุไฟฟ้าไหลผ่านมือแปลบปลาบดูน่ากลัว

“ไม่มีใครต้องการ งั้นเรอะ!”ทิออสระเบิดอารมณ์ออกมาผ่านเสียงคำรามราวอัดอั้นมานานแรมปี สายอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงหลังคาเหนือหัวของพวกรีเซลจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ให้สายฝนเล็ดลอดเข้ามาในตัววัง ข้ารับใช้รอบข้างวิ่งกันโกลาหลด้วยความตกใจ

เพียงเท่านั้น ทิออสก็รู้เสียแล้ว ว่าตนเองได้ทำเรื่องร้ายแรงลงไป

“ข...ขอโทษ เพราะแบบนี้ ทุกคนถึงกลัวผม...” ทิออสก้มหน้ารับชะตากรรม ไม่ทันไรเขาก็ทำให้ตัวเองต้องถูกระเห็จไปนอกวังอีกแล้ว

“ว้าว! แบบนี้สิเจ๋ง!”รีเซลพุ่งตรงเข้าหาทิออสทันที สองมือของเขาคว้าสองมือของทิออสเข้ามาประกบหากัน ดวงตาเป็นประกายแวววาวราวเด็กเจอของเล่นถูกใจก็ไม่ผิดไปเท่าไหร่นัก

“อ........เอ่อ”ทิออสนิ่งค้างไป ส่วนเบลนโนก็ได้แต่ปิดปากตัวเองนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“ดีล่ะ โอกาสแบบนี้หาได้ยาก!”รีเซลประกาศเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“นับแต่นี้ต่อไป ทิออส เทเรส ตัวข้าในนามรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรอาชิฮาร่ารุ่นที่สาม ขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นองครักษ์ประจำตัวข้า”

เสียงร้องครืนของท้องฟ้าราวประจักษ์พยาน ทุกสิ่งนิ่งค้างไปดั่งกงล้อเวลาหยุดหมุน

........

....

...

“ทิออส”

....”ทิออส”

“ทิออส ตื่นสิ!”เสียงหนึ่งเรียกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งฝัน

“คุณหนู”เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็พบกับใบหน้าของเบลนโนที่คุ้นเคย

“เย็นแล้วนะ มานอนใต้ต้นไม้ตอนเย็น ๆ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”เบลนโนยื่นมือให้ทิออสจับ ทั้งสองมือต่างจับประสานกันมั่น เบลนโนออกแรงดึงทิออสให้ขึ้นมายืน ซึ่งอันที่จริงทิออสยันตัวเองขึ้นมามากกว่า เพราะเบลนโนไม่มีแรงดึงเขาขึ้นมายืนได้หรอก

“กลับกันเถอะ ทิออส”

“ขอรับ...คุณหนู”