PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : King of the Seven Thrones / สงครามโค่น 7 บัลลังก์



Rex
17th November 2011, 11:31
King of the Seven Thrones / สงครามโค่น 7 บัลลังก์
written by:Rex with:Ravensword Studio

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ในอดีตนั้นผืนแผ่นดินยังคงเกิดความกลหนวุ่นวายทั่วทั้งดินแดน ซึ่งในขณะนั้นแผ่นดินแบ่งออกเป็นเจ็ดฝ่าย โดยแต่ล่ะฝ่ายปกครองด้วยตนเองทั้งสิ้น มีดังนี้ ลอร์ด รีควินเนอร์ กษัตริย์แห่งแดนตะวันตก เซอร์ เคอร์เซ็ท ผู้นำแห่งบัลลังก์น้ำแข็ง เลดี้ เรเซท กุหลาบแดงแห่งสายเลือด ดาร์กวิง เหนือหัวคนสุดท้ายแห่งตระกูลมังกร เบลลาก้า แห่ง ไฮเซนท์ไฮล์ม เจ้าแห่งดาบสิบสองเล่ม เวนิสเตอร์ ทัพหน้าสีขาว โครว์เซ็น ผู้ปกป้องแห่งบัลลังก์สูงสุด

ซึ่งในช่วงเวลานั้นเองเกิดทั้งศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก ด้วยความคิดที่ว่าหากยังคงรบกันต่อไปผืนแผ่นดินทั้งหมดคงจะวอดวายหายไปในไม่ช้า ทั้งเจ็ด จึงนัดประชุมหารือและประกาศยุติสงครามอันยาวนาน แต่สันติสุขก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก กองทัพใหญ่จากอีกฟากของมหาสมุทรเดินทัพเข้าสู่ดินแดน ทั้งเจ็ดคนจึงต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมรวบรวมกองทัพทหารหาญนับแสนเข้าต่อกรทัพใหญ่แห่งดินแดนแห่งทะเลสีฟ้า การสงครามยืดเยื้อเป็นเวลานับปี ในที่สุดชัยชนะเกิดขึ้น กองกำลังแห่งทะเลสีฟ้าถอยร่นออกจากดินแดน เหลือเพียงแต่เศษซากความตายที่รออีกามารุมทึ้งกิน

ทั้งเจ็ดประกาศชัยชนะอย่างภาคภูมิใจ พร้อมทั้งหลอมบัลลังก์สูงสุดขึ้นด้วยเกราะของตัวเองทั้งเจ็ดชิ้น เกิดเป็นบัลลังก์แห่งความเกรงขามขึ้น แต่ทว่ากษัตริย์ที่ทั้งเจ็ดคนนั้นยอมถวายหัวเคารพให้นั้นกลับไม่มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ บ้างก็บอกเกิดศึกภายในแย่งชิงบัลลังก์ บ้างก็บอกเกิดโรคร้ายคร่าชีวิตผู้คนในวังใหญ่ไปจนหมดสิ้น แต่บันทึกที่ดูน่าเชื่อถือมากที่สุดกลับกล่าวว่า กษัตริย์ผู้ทรงภูมินั้นได้นำทัพทั้งเจ็ดเข้าต่อกรกับสิ่งมีชีวิตเร้นลับ ในเขตดินแดนของ เซอร์ เคอร์เซ็ท ทางตะวันออกโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ต่อสู้นั้นคืออะไร พวกเขาต้องเสียทหารจำนวนมากไปกับสงครามครั้งนี้ แต่ทว่าทั้งเจ็ดคนกลับมาโดยปราศจาก กษัตริย์ของตนเอง เซอร์ เคอร์เซ็ท จึงสั่งให้สร้างกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่สูงราวกับภูผาขึ้นเพื่อปิดผนึกการกลับมาของสิ่งมีชีวิตนี้อีก

หลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไป ทั้งเจ็ดบัลลังก์สิ้นลมหายใจในที่สุด แต่ทั้งหมดก็ยังคงเหลือสายเลือดแท้ไว้อีกมากมายที่ทั้งเป็นที่รู้จัก และ ไม่เป็นที่รู้จักก็มี ดินแดนยังคงมีความสันติเกิดขึ้น แต่ลึกๆแล้วผู้สืบทอดและเหล่าผู้สูงศักดิ์อีกมากยังคงจ้องที่จะยึดบัลลังก์สูงสุดไว้เป็นของตัวเอง ซึ่งต้องขอบคุณทายาทแห่งตระกูลโครว์เซ็น ผู้ปกป้องบัลลังก์สูงสุดที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อรอกษัตริย์ที่แท้จริงกลับมาอีกครั้งนั่นเอง



บทที่ 1 : ตระกูลสุดท้าย

“ก็อกๆ...ก็อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังถี่ขึ้นขณะที่เสียงชายวัยเยาว์ตะโกนว่า

“นายน้อยครับ ท่านลอร์ดเซเลสต้องการพบท่านด่วนครับ...นายน้อย” เสียงตะโกนดังขึ้น

“ได้ยินแล้วชาลไปบอกพ่อข้าว่ากำลังไป...โอย” กาเร็ท เซเลสเบวรี่ ชายหนุ่มวัย 22 หนึ่งในทายาทสายเลือดแห่งบัลลังก์น้ำแข็งอันเลื่องลือ

“อะไรกันนักหนาเนี่ย..” เรทกล่าวพึมพำขณะลุกขึ้นจากเตียงพร้อมสภาพผมที่ยุ่งเหยิง เขาเดินไปหน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะดึงชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มตัดฟ้าอ่อนออกมา

“นี่ถ้ามันไม่เบาข้าโยนทิ้งไปนานล่ะ” เขากล่าวติดตลก

“ชิ้ง...” เรทดึงดาบทั้ง 2 เล่มออกมาเช็คความเรียบร้อยก่อนจะเก็บเข้าฝักเช่นเดิม

“เอาล่ะหล่อแล้ว” เรทกล่าวพร้อมยิ้มให้ตัวเองในกระจกก่อนจะเดินห้อยดาบคู่ไปด้วย


ท้องพระโรง

“ท่านพ่อ...เอ่อไม่ทราบมีอะไรถึงเรียกพบข้างั้นหรือ” กาเร็ทกล่าวน้ำเสียงติดๆขัดๆ ลอร์ดเซเลสเดินลงจากบัลลังก์ก่อนจะหยุดตรงหน้าการเร็ท

"รู้ไหมว่าข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้น" เซเลสคุยกับลูกชาย

“อะ..เอ่อ...ก็บ้านเมืองไงครับ” เรทกล่าวตะกุกตะกัก

“นี่เจ้าเมาแล้วหรือไง...ข้างนอกนั่นกำลังเกิดสงครามอยู่ สงครามกับพวกป่าเถื่อนที่หวังจะยึดครองดินแดนนี้ไง นี่เจ้าไม่รู้เลยหรือไง เซอร์ การเร็ท เซเลสเบวรี่ สายเลือดแห่งบัลลังก์น้ำแข็ง” ลอร์ดเซเลสถอนหายใจเขากล่าว “เจ้าเอาแต่เล่นตลกให้ทหารไปวันๆ หัดทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ตอนข้าอายุเท่าเจ้าข้าออกไปท่องโลกแล้วล่ะ” เซเลสกดดันลูกชายหวังว่ามันจะได้ผล

“ทรงบัญชามาได้เลย หากท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด” ไม่แพ้กันกาเร็ทใช้ศัพท์สุภาพเข้าต่อกร

“ดีมาก...ในนามของผู้นำแห่ง ฟลอเซ่น โทรน และทายาทโดยชอบธรรมแห่ง เคอร์เซ็ท ข้าขอมอบอำนาจให้เจ้านำทัพทั้ง 12 เข้าต่อกรและปกป้องบ้านเมืองในยามนี้ เซอร์ กาเร็ท เซเลสเบวรี่” ลอร์ดเซเลสกล่าวอย่างแข็งกร้าว

“น้อมรับบัญชา...ท่านพ่อ” กาเร็ทกล่าวพร้อมคุกเข่าก้มหัวรับบัญชาก่อนจะลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว



ใจกลางหุบเขาที่ดำมืดกองกำลังทหารในชุดเกราะสีดำทมิฬเดินทัพเป็นแนวยาวเข้าสู่ ปราสาทสีดำมืดแห่ง ดาร์ก โทรน หรือในนาม เฟนว่าโทรน

“ท่านแม่...” ลอร์ดโจเซฟ อเล็กซานเดอร์ ทายาทคนสุดท้ายแห่งดาร์กวิง วิ่งเข้าโอบกอดแม่ของตนอย่างดีอกดีใจ

“พ่อของเจ้าไม่น่าจากเราไปเร็วเช่นนี้เลย ไม่งั้นเจ้าคงไม่ต้องมารับภาระหน้าที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ ลูกแม่” เลดี้ ฮาร์ท อเล็กซานเดอร์กล่าวอย่างซึ้งใจ

“ไม่หรอกท่านแม่ ข้าน่ะพร้อมมานานมาแล้ว และข้าจะทำให้ความเกรียงไกรแห่งเลือดดาร์กวิงกลับมาอีกครั้ง” เงาที่ทอดผ่านกำแพงของโจเซฟค่อยๆขยายขึ้น มันเหมือนกับมีบางอย่างงอกออกมาจากหลังของเขา

“วูบ..” ชั่ววินาทีมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย เลดี้ ฮาร์ท ถึงกับผงะตกใจ

“สีหน้าท่านดูไม่สู้ดีนะท่านแม่ ให้ข้าตามหมอหลวงให้ไหม” โจเซฟกล่าวขณะที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าแม่ของเขาเอง

“แม่ไม่เป็นไรเจ้าไปพักซะเถอะ” เลดี้ฮาร์ทกล่าวข่มใจความคิดที่ฟุ้งซ่านของตน โจเซฟยิ้มก่อนจะเดินจากออกไป



“ช่วงนี้น่าเบื่อชะมัด” เลดี้ การีน่า อัลเลเรีย ทายาทแห่งกุหลาบแดงแห่งสายเลือด เรเซท เธอกำลังเดินวนไปมาในท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยกุหลาบสีแดงฉาน

“น้องข้า...อยู่นี่เอง ให้ข้าตามหาซะวุ่นไปหมด” ลอร์ด เกลรีน่า พี่ชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามาหาน้องสาว

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หึ?” เขากล่าว “ข้าก็แค่ชอบที่ได้ชมความงามของ เลดี้ เรเซท เท่านั้น ไม่ว่าจะมองมันกี่ทีก็ยังคงจับใจทุกครั้ง” การีน่ากล่าวขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ภาพวาดของ เลดี้ เรเซท ผู้เป็นต้นตระกูลของตน

“รู้มั้ยว่าถ้าเจ้าลดความเป็นผู้ชายลงหน่อย ข้าว่าเจ้าคงจะเหมือน เลดี้ เรเซท อย่างแน่นอน ฮะๆๆๆ” เกลกล่าวตลกกับน้องสาว

“ท่านพี่นี่” การีน่ากล่าวด้วยทีท่าไม่ชอบใจก่อนจะทุบลงบนบ่าของพี่ชายไปหนึ่งที

“สักวันนึงข้าจะต้องเป็นเช่นนางให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” ตาสีแดงฉานของการีน่าสดใสเป็นประกาย

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...”


“ตูม...ตูมๆๆๆ” เสียงหินก้อนมหึมาปะทะกับพื้นหญ้ามากมาย เกิดแรงสะเทือนไปทั่วพื้นดิน

“ไอพวกขี้เกียจบุกมันเข้าไปสิโว้ย” บัลร็อค โอไลก้า แห่งไฮเซนไฮล์ม ตะโกนปลุกขวัญทหารที่ยืนเรียงรายต่อหน้าเขา

“เอ้าบุก” บัลร็อคติดนิสัยบุกไม่ยั้งมาจากต้นตระกูลแห่งไฮเซนท์ไฮล์มมาชนิดที่ถอดแบบเดียวกันทีเดียว

“รุกคืบเข้าไป ศึกนี้ไม่จบถ้าข้ายังไม่ตายโว้ย” เขาตะโกนเสียงลั่นเข้าใส่กำแพงสูงที่มีนักธนูยืนเรียงราย

“เฮ้ย นั่นมันบัลร็อค โอไลก้า ยิงมัน” นักธนูคนนึงกล่าว ก่อนจะง้างคันธนู

“ฉัวะ” ก่อนจะได้ปล่อยลูกธนู ดาบ เล่มหนึ่งลอยเข้าทะลุใจกลางอกไปอย่างรวดเร็ว

“รอนั่นแหละ เดี๋ยวข้าไปเอาคืน” บัลร็อคหยิบดาบอีกเล่มก่อนจะวิ่งชาร์จนำทัพอีกนับพันเข้าสู่ประตูกั้น

“หนีหรือตาย เจ้าเลือกเอา เหนือหัวแห่ง เฮลร็อค” บัลร็อคตะโกนกร้าว

เกี่ยวกับ: Land of fe' nwa // แลนด์ออฟเฟนว่า แปลว่า ดินแดนแห่งความมืด หรือ แดนสีทมิฬ


บทที่ 2 : เกียรติยศ

ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดิน ผืนดินแห่งเวนิสเตอร์ที่ควบคุมไปตลอดแนวชายฝั่ง ทั้งด้วยอำนาจทางทหารและความมั่งคั่ง รวมถึงความเจ้าเล่ห์จากสายเลือด เวนิสเตอร์
วิคเตอร์ เวนิสเตอร์ ทายาทโดยชอบธรรมแห่งตระกูลสีขาวกำลังเดินว้าวุ่นใจไปมาในโถงทางเดินใหญ่ วิคเตอร์คือทายาทโดยธรรมอันดับที่ 2 ถัดมาจากพี่คนโต แต่ช่างน่าเศร้า พี่ชายของตนนั้นตายจากการระบาดหนักของโรคร้ายเมื่อ 7 ปีก่อนจนเป็นเหตุให้ตอนนี้วิคเตอร์นั้นต้องทำหน้าที่ดูแลตระกูลของตนด้วยอายุเพียง 28 พร้อมกับน้องชายคนละแม่ของตน ไวลี่ เวนิสเตอร์

“ก็อกๆ...” เสียงเคาะประตูดังขัดความคิดของวิคเตอร์

“ข้าบอกว่าห้ามใครเข้ามายุ่งยังไงเล่า” วิคเตอร์ตอบกลับด้วยเสียงขุ่นเคือง

“ข้าเองท่านพี่” เสียงอันคุ้นเคย ไวลี่ นั่นเอง

“เข้ามาได้” ไม่ช้านักวิคเตอร์อนุญาต ไวลี่เดินเข้าหาพี่ชายของตนด้วยทีท่าฉงนใจ

“ข้ารับใช้บอกข้าว่า วันนี้ท่านยังไม่ได้ออกไปไหนตั้งแต่หัววันแล้ว มีเหตุใดให้ท่านคิดมากงั้นหรือ...พี่ชาย” สายตาที่มิอาจคาดเดาของไวลี่จับจ้องไปที่วิคเตอร์ ที่ซึ่งขณะนี้กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างสู่ผืนดินอันไกลสุดลูกหูลูกตา

“ข้า...พึ่งได้รับสารจากท่านลุง เรื่องการรับหน้าที่” วิคเตอร์กล่าวติดๆขัดๆ

“หน้าที่” ไวลี่กล่าวอย่างฉงนใจ “หน้าที่อะไรพี่ข้า” เขาเสริม

“หน้าที่ในวังหลวง” ไวลี่ผงะไปชั่วขณะแต่ก็พอทันเก็บอาการก่อนวิคเตอร์จะสังเกตทัน

“นี่ท่านลุงกำลังจะให้ท่านเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์งั้นสินะครับ" ไวลี่กล่าวชมเชย

“ถ้าเป็นข้าคงจะรีบไปรับตำแหน่งทันทีเลยล่ะ งั้นข้าคงต้องไปแล้ว โชคดีครับ...พี่ชาย” ไวลี่หันกลับเดินออกไปทางที่เข้ามา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างผิดปกติ เผยให้เห็นลางร้ายที่แฝงมาด้วย

“ถ้าไม่มีท่าน กองทัพก็เป็นของข้าไงล่ะ” เขาเปรยทิ้งท้ายเบาๆ


วังหลวงแห่งดินแดนที่ไร้ซึ่งเหนือหัว แต่ตระกูลโครวเซ็น ผู้ปกป้องแห่งบัลลังก์สูงสุด ก็ยังคงรักษาอำนาจการปกครองไว้ได้ ด้วยการทำหน้าที่เป็น ผู้แทนพระองค์ ซึ่งตอนนี้คงไม่ต่างจากการเป็นกษัตริย์เสียเท่าไหร่ ทั้งอำนาจทางการเมือง การทหาร นั้นอยู่ในมือของคนเพียงคนเดียว ผู้สืบทอดสายเลือดล่าสุดแห่งโครวเซ็น อีกาสีดำที่ยังคงเป็นศูนย์กลางถ่วงดุลอำนาจของทั้ง 7 ตระกูลไว้ได้ ผู้แทนพระองค์ ลอร์ด เคเรท โครวเซ็นที่ 3 ผู้ซึ่งยืนอยู่เหนือทุกสิ่ง

น่าเสียดายที่ เคเรท มีลูกเพียงฝาแฝดเพียง 2 คนเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นหญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ โอลก้า เซเมนอฟ บุตรชาย กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของตนต่อไปโดยทันที

“ลูกสาวข้าอยู่ที่ไหน” เคเรท กล่าวกับข้ารับใช้ประจำตัวของบุตรสาว “ยังคงอ่านตำราในห้องหนังสือขอรับ นายท่าน” ข้ารับใช้กล่าว เคเรทเดินผ่านโถงทางเดินแนวยาวภายในวังหลวง

“สวัสดีครับท่านผู้แทน อัลกาเรส เวนิสเตอร์ในชุดเสื้อเกราะสีขาวพร้อมผ้าคุล่มไหล่ยาว เดินเข้ามาทักทาย

“สวัสดีท่าน อัลการเรส มีอะไรงั้นหรือ ถึงดูรีบร้อนแต่หัววัน” เคเรทกล่าวอย่างเป็นกันเอง

“ลูกชายข้ากำลังเดินทางมาที่นี่เพื่อเข้ารับตำแหน่งองครักษ์ลำดับที่ 2 ครับ” เขากล่าว

“อ้อ...ลูกชายคนโตสินะ ชื่อ วิคเตอร์ เวนิสเตอร์ ใช่ไหม” เคเรทถาม “ใช่ครับ ถ้าจะไม่เป็นการเสียมารยาทข้าต้องไปแล้ว วันนี้มีอะไรให้ทำเยอะน่ะครับ” วิคเตอร์กล่าวอย่างนอบน้อม

“ข้าก็เช่นกัน” เคเรทกล่าว ก่อนจะเดินต่อไปตามโถงทางเดิน

“อย่าทำเป็นได้ใจนัก ลอร์ด เคเรท ยุคของท่านนั้นกำลังจะหมดลงเร็วๆนี้แหละ” อัลกาเรสกล่าวน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง

“ส่งสาส์นถึงตระกูลในอาณัติหรือยัง อัลการเรสถามองครักษ์ที่ยืนรออยู่ข้างๆ

“ส่งแล้วครับนายท่าน ทุกตระกูลรอคำสั่งต่อไปจากท่านอยู่ครับ”

“ดี...ดีมาก แล้วทีนี้เราก็ได้แต่เพียงรอเท่านั้น”


“กองทัพข้าศึก 22 กอง จำนวนทหารทั้งหมด สามหมื่นห้าพันคน ครับนายท่าน” เสียงของหน่วยลาดตระเวนพูดขณะที่ยืนอยู่บริเวณทางเข้าของเต็นท์วางแผนรบ ที่ซึ่งเหล่าผู้บัญชาการยืนรวมตัวกันอยู่ รวมทั้ง เซอร์กาเร็ท เซเลสเบวรี่ด้วย

“เรามีแค่ 12 กองทัพ จะไปต่อกรอะไรมันได้” กาเรทกล่าว

“นี่เจ้าหนู เจ้าน่ะยังอ่อนหัดนัก พวกมันเป็นแค่คนป่าเถื่อน ที่แค่มีดาบบิ่นๆ กับโล่ผุๆ ไม่กี่อันจะไปทำอะไร นักรบแห่งตะวันออกได้ เทพเจ้าเป็นใจถึงส่งพายุหิมะมาให้เรายังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆ” ลอร์ด ลากันซ่า แห่งตระกูลใต้อาณัติที่ 7 กล่าวอย่างชอบใจ

“ถ้าท่านจะบุกเข้าไปโล่งๆก็เชิญท่านไปคนเดียวเถอะ ทหารอีก 12 กองทัพ จะทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น ในนามของ ลอร์ด เซเลส ผู้ที่ท่านสาบานตนด้วยนั่นแหละ” กาเร็ทยิ้มอย่างสบายใจ

“ฮ่าๆๆๆ” ลากันซ่า หัวเราะชอบใจ

“ดี...ข้าชอบพวกแข็งกร้าวอย่างงี้แหละ ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งแคมป์ที่ตั้ง


“ตึง...” เสียงประตูบานไม้ใหญ่เปิดออก เห็นชายรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา

“นี่เจ้าไม่คิดจะออกไปฝึก ฟันดาบ กับ ครูฝึกมั่งเลยหรือไง สาวน้อย” เคเรทพูดขึ้น เขาก้าวเท้าเข้าหาลูกสาวที่กำลังนั่งอ่านตำราอย่างสบายใจ

“วันนี้ เซอร์ กีโทเรีย ให้หยุดพิเศษค่ะท่านพ่อ” สาวน้อย เฮคคาต กล่าว

“นี่พ่อเองก็อุตส่าห์ให้คนจากตระกูล เคอร์เซ็ท มาเป็นครูฝึกให้ เจ้าก็ตั้งใจมั่งนะ เฮคคาต” เคเรทย้ำเตือนลูกสาว

“ค่ะท่านพ่อ งั้นข้าขอตัวล่ะ ต้องไปเตรียมอุปกรณืสำหรับวันพรุ่งนี้” เฮคคาตกล่าวก่อนจะเดินจ้ำเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

“ปัก...โอ้ย” เฮคคาตชนกับเสื้อเกราะอย่างแรงก่อนจะล้มกระแทกพื้น

“นี่เจ้าจะรีบไปไหนน่ะ เฮคคาต” เซอร์ โอลก้า เซเมนอฟพูดกับน้องสาว ในชุดเกราะสีเงินสว่างไสวจนแสบตา

“นี่ท่านน่าจะหาโคลนมาทาเสื้อเกราะมั่งนะ สะท้อนแสงอย่างงี้ได้โดนศรปักอกคนแรกพอดี” เฮคคาตเหน็บแนมพี่ชาย

“โธ่ๆๆ น้องสาวที่รัก เราทั้งคู่น่ะเป็นสายเลือดผู้สูงศักดิ์ทำอะไรก็ต้องอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์” โอลก้าโอบไหล่น้องสาวอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาเดินออกไปริมระเบียงที่มีวิวภูเขาสายน้ำสวยงาม

“รวมถึงการแต่งตัว และ การกระทำด้วยไงล่ะ” เขาเสริม

“รวมถึงการไม่ให้ข้าได้มีเพื่อนเสมือนสามัญชนด้วยใช่ไหมล่ะ” เฮคคาตทำหน้าเบื่อโลก

“ที่ท่านพ่อทำไปก็เพราะเพื่อความปลอดภัยต่างหากเล่า” โอลก้าอธิบาย

“ท่านโอลก้าครับ ได้เวลาแล้วครับท่าน” อัศวินในชุดเกราะตะโกนขึ้นขณะบทสนทนากำลังดำเนินต่อไป

“ข้าได้ยินแล้ว กำลังไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” โอลก้าตะโกนย้อนศรแหล่งที่มาของเสียงตะโกน

“ท่านจะไปไหนอีกล่ะ” เฮคคาตกล่าว

“ปกป้องบ้านเมือง และ แผ่นดินไง ที่ไปก็เพื่อเพราะเจ้าและประชาชนนะ” โอลก้าถอนหายใจ “ตั้งใจเรียนวิชา ดาบ ล่ะ เดี๋ยวข้ากลับมาจะเป็นคู่ฝึกให้นะ” โอลก้าส่งยิ้มอย่างเต็มใจให้น้องสาว ถึงแม้เฮคคาตจะเมินหนีก็ตามแต่

“เจ้าเป็นน้องสาวคนเดียวของข้า ดังนั้นรักษาตัวด้วยล่ะ” โอลก้าจุมพิตลงบนหน้าผากของน้องสาว ก่อนจะวิ่งถือหมวดเหล็กลงบันไดลับตาไป โดยไม่รู้เลยว่าเฮคคาตนั้นมองตามอย่างไม่ขาดสาย


“โอ้วๆๆ...ในที่สุดงานเฉลิมฉลองก็จะมาถึงแล้ว นี่ข้ารอมาตั้งนานแล้วนะ อยากจะไปชมวังหลวงกับตาว่ามันสวยงามดั่งที่หลายคนกล่าวไว้หรือเปล่า” โจเซฟกล่าวสนุกสนาน ใบเชิญเข้าร่วมการแข่งขันของเหล่าอัศวินและงานเฉลิมฉลอง โดยจะจัดที่ วังหลวงแห่งโครวเซ็น

“ท่านแม่จะไปด้วยกันใช่ไหมครับ” โจเซฟหันหน้ามาถามแม่ของตน อย่างยิ้มแย้ม

“เกรงว่าข้าคงไปไม่ได้หรอก โจเซฟ ทางราชสำนักของเรามีเรื่องใหญ่ต้องประชุมกันในช่วงนี้ แม่คงจะเป็นตัวแทนของเจ้าได้ดีที่สุดแล้วล่ะ” เลดี้ ฮาร์ท กล่าว

“โธ่..ถ้างั้นขากลับข้าจะนำผลไม้อันลือชื่อของ สวนแห่งโครวเซ็นมาฝากนะครับ” โจเซฟยังคงยิ้มอย่างดีอกดีใจ


“อะไรล่ะเนี่ย งานฉลองวังหลวง เฉลิมฉลองบ้าบออะไรอีกล่ะ พวกโครวเซ็นนี่ช่างชอบใช้เงินสิ้นเปลืองจริงๆเลยนะ” การีน่า พูดขึ้นอยู่คนเดียว

“ก็พวกนั้นเป็นแกนกลางของตระกูลทั้ง 7 แล้วยังได้เงินภาษีจากพวกเราไปอีกต่างหาก จะไม่ให้ใช้ก็ทับจนตัวตายกันพอดี” ลอร์ด เกล แทรกขึ้น ยิ่งทำให้ การีน่า ไม่พอใจมากไปกว่าเดิมซะอีก

“ก็แล้วแต่ท่าน แต่ข้าไม่ไปหรอกนะ”

“เฮ้ๆ...นี่มันงานแสดงตัวนะ เจ้าต้องไปกับข้าแล้วล่ะ การีน่า ในฐานะ ลอร์ด เกลรีน่า แห่ง เรซท” เกล ทำน้ำเสียงต่ำล้อเลียน การีน่า อย่างมีความสุข

“บลาๆๆ...เชิญท่านเถอะ” การีน่าทำหน้ามุ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“ไม่อยากเชื่อเลยว่า ท่านหญิง จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะเนี่ย” เสียงซุบซิบจากสาวใช้ที่แอบสังเกตการณ์ผ่านช่องประตู

“ก็เฉพาะเวลา อยู่กับ ท่าน เกล ไงเล่า” อีกคนกล่าว

“เฮ้ๆ...มาแอบดูคนอื่นมันไม่ดีนะ กลับไปทำงานได้แล้วไป” เสียงเกลตะโกนดังขึ้น

“ขะ...ขออภัยค่ะ นายท่าน” สาวใช้รีบวิ่งจ้ำอ้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


“ดื่ม...สำหรับสงครามไร้สาระครั้งนี้” บัลร็อค โอไลก้า ตะโกนดังลั่นอย่างดีอกดีใจ

“เช่นกัน” เฮลร็อค ยกแก้วเหล้าขนาดใหญ่กระดกเข้าปากอย่างรวดเร็ว “นี่ถ้ารบกันต่อไป ข้าว่า ท่านพ่อคงปวดหัวตายกันพอดี ท่านควรจะอธิบายสาเหตุให้เร็วกว่านี้นะ ท่าน เฮลร็อค” บัลร็อคพูดขึ้นกับอดีตศัตรูของเมื่อวานนี้

“เซอร์ บัลร็อค นี่ไม่เคยจะเกรงกลัวอะไรเลยนะ เมื่อวานยังไล่ฆ่ากันแท้ๆ วันนี้กลับมาเป็นเพื่อนกันซะงั้น ข้าล่ะไม่เข้าใจความคิดของ ตระกูล ไฮเซนไฮล์ม สักที” อัศวินคนหนึ่งกล่าวขณะนั่งดื่มกับศัตรูเก่าเช่นกัน

“สำหรับสันติภาพ” เขายกแก้ว

“ท่านครับ..สาส์นจากวังหลวงครับ” เด็กส่งสาส์นคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในที่ประชุม ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าชวนปวดหัว

“โอ...ดีมากเจ้าหนุ่ม” บัลร็อคกล่าวขอบคุณด้วยหน้าที่แดงก่ำ

“ไหนขอดูหน่อย...งาน..เฉลิม...ฉ...ฉลอง งั้นเหรอ” บัลร็อคพูดแทบจะไม่เป็นประโยคจากอาการเมาเหล้าแทบตาย

“เฮ่ย พวกเรา...เราจะได้ไปวังหลวงกัน” บัลร็อคตะโกนลั่นอย่างดีใจ

“เอ้า ดื่มกันอีกรอบ”


บทที่ 3 : เฉลิมฉลอง

“ท่าน อัลกาเรส ครับ ขบวนรถม้าจาก ตระกูล ดาร์กวิง มาถึงแล้ว” เสียงทหารยามดังขึ้นจากภายนอกประตูกั้น

“เข้าใจล่ะ เดี๋ยวข้าลงไปต้อนรับเอง พวกเจ้าไปเตรียมที่พักให้พวกนั้นด้วยล่ะ” อัลกาเรสออกคำสั่ง

“ครับนายท่าน” เสียงทหารยามตอบรับ “มาตรงเวลาสมชื่อจริงๆ” ลากันซ่าดึงเสื้อคลุมออกมาสวมใส่ ก่อนจะจัดทรงผมอย่างหยาบๆ

“หลบไปๆ...ส่งทหารม้าไปต้อนรับหรือยัง” อัลการเรสตะโกนถามทหารที่อยู่บริเวณประตูใหญ่

“ส่งไปแล้วครับ” อัลกาเรสเดินขึ้นไปตามบันไดกำแพงสูง เห็นเป็นขบวนอัศวินในชุดเกราะสีดำทมิฬมากมายจัดขบวนคุ้มกันรถม้าอย่างหนาแน่น

“มากันซะเยอะแยะเชียว” เขาพึมพำ



แนวเทือกเขาน้ำแข็ง แนวรบตอนหลัง “ทัพที่ 6 และ 10 ถอยทัพออกมา ทัพธนูที่ 2 และ 5 ยิงกาบขวาเดี๋ยวนี้” กาเร็ท ตะโกนดังลั่น

“ครับท่าน” อัศวินตอบรับคำสั่งก่อนะจะส่งสัญญาณโบกธงสลับไปมา ไม่นานทหารนับพันยกโล่ขึ้นอย่างพร้อมเพียง ก่อนจะเข้าชาร์จกระแทกให้คนเถื่อนผงะถอยออกไป จากนั้นพวกเขาค่อยๆก้าวเท้าถอยออกมาอย่างเป็นระเบียบ

“แนวธนู ติดไฟ” อัศวินอีกคนออกคำสั่ง “เล็ง...ยิง” เขาตะโกนกร้าว “ฟ้าว...ๆๆ” ธนูนับร้อยสว่างวาบเป็นสีส้มขาวด้วยไฟที่ลุกโชน ถึงแม้พายุหิมะจะพัดโหมกระหน่ำก็ตาม

“ฉัวะๆๆ” ศรทิ้งดิ่งทะลุกลางอกเหล่าคนเถื่อนมากมาย ร่างกายไร้วิญญาณล้มลงราวกับตุ๊กตาประดับห้อง

“ตอนนี้ล่ะ...องครักษ์ ทหารม้าที่ 7 และ 8 เข้าบุกทะลวง” การเร็ทตะโกนอย่างแนวแน่ ก่อนจะคว้าหมวกเหล็กสวมใส่แล้วขึ้นหลังม้านำทัพองครักษ์เข้าบุกทะลวงด้วยตัวเอง

“เพื่อ ฟรอเซ่นโทรน” ลอร์ดลากันซ่าขึ้นม้าตามมาติดๆ ตะโกนอย่างดีใจ “เพื่อ ฟรอเซ่น โทรน” เสียงอัศวินบนหลังม้าตะโกนรวมเป็นเสียงเดียวกัน

“ฆ่าอย่าให้เหลือ” กาเร็ทตะโกน



“นี่เจ้าเตรียมของอะไรนักหนาเนี่ย การีน่า” เสียง เกล เคาะประตูขณะที่พยายามจะดึงดันเข้าไปในห้องน้องสาว “ของจำเป็นไงล่ะ” การีน่า ตอบห้วนๆ

“เจ้านี่นะ นี่มันสายแล้วนะอาทิตย์ลับฟ้าพอดี ตอนเราออกขบวน” เกล เร่งน้องสาว “เสร็จแล้ว” การีน่า กระชากประตูอย่างแรงทำเอา เกล ผงะไปข้างหลัง เธอมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ใบหนึ่ง กับ ทวน ปลายแหลม

“นี่เจ้าจะไปรบหรือไง” เกล ถาม

“เปล่า...เอาไว้ป้องกันตัว” การีน่าตอบแบบยียวน

“ได้ๆ...งั้นเอามานี่ข้าถือให้” เกล ยื่นมือรับสัมภาระ

“แน่ใจนะ ว่าจะช่วย” การีน่าถาม

“แน่ใจน่ะ” เกลตอบก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่ายน้องสาวของตน

“ปัก...นี่เจ้า...เอาอะไรไปบ้างเนี่ย” เกล ถึงกับเส้นคอขึ้น ขณะยกกระเป๋าของ การีน่า ขึ้น

“ก็บอกว่า...ของจำเป็นไงล่ะ” การีน่าย้ำ

“เฮ้...นี่พวกเจ้าไม่คิดจะช่วยกันเลยหรือไง” เกล ตะโกนถามองครักษ์ส่วนตัวที่ยืนข้างๆองครักษ์ยิ้มอย่างมีความสุข

“ครับๆ..นายท่าน” พวกเขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุขใจ แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือ สายเลือดของตระกูล เรเซท ผู้ซึ่งเมื่ออดีตได้รับการขนานนามอย่างโหดร้ายต่างๆนาๆ แต่ใครจะรู้ว่า จริงๆแล้ว นั้นเป็นอย่างไร


หอคอยคู่แห่งโครวเซ็น เฮคคาตกำลังยืนอยู่บนชั้นสูงสุด ขณะที่สายตา จับจ้องไปที่ขบวนรถม้า ตระกูล ดาร์กวิง เฮคคาต เหลือบเห็น โจเซฟ ที่พึ่งเดินออกมาจากรถม้าในอาการคุยฟุ้งอย่างไม่ลดละ พร้อมองครักษ์ใหชุดเกราะสีดำอีกมากมายตามมาไม่ขาดสาย

“อิสระ...” เธอพึมพำอยู่ตัวคนเดียว

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชอบจุดชมวิวเดียวกับข้านะ เฮคคาต” เซอร์กีโทเรีย กล่าวขณะเดินขึ้นมาตามบันไดวน ก่อนะจะบรรจบนั่งลงข้างๆ เฮคคาต ศิษย์เอก

“ข้าเข้าใจนะว่า เจ้ารู้สึกยัง” กีโทเรียกล่าว

“โอลก้า ไปบอกท่านอีกแล้วล่ะสิ” เฮคคาตรู้ทัน

“นั่นก็จริง แต่พี่ของเจ้านั้นก็ห่วงเจ้ามากล่ะ ถึงมาบอกข้า” กีโทเรียถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ตอนข้ายังเล็ก พ่อข้าหวังให้ข้าได้เป็น อัศวิน ที่ยิ่งใหญ่ และ มั่งคั่ง” เขากล่าว “ข้าก็ไม่ต่างอะไรจากเจ้านักหรอก ถ้าเทียบกันเมื่อตอนข้ายังเด็ก”

“เพราะชีวิตไม่เคยหยุดเดิน มิตรสหายจางหาย เมื่อเวลาพัดผ่าน...มันขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองว่าจะเลือกทางเดินของตัวเองอย่างไร” กีโทเรียลุกขึ้นทอดสายตาชมทิวทัศน์

“ใครจะรู้ว่า อัศวิน อย่างข้าจะได้มาเป็นครูฝึกฟันดาบให้เด็กจาก ตระกูล โครวเซ็น ล่ะจริงไหม” กีโทเรียหันมายิ้ม

“คิดให้ดีที่ข้าสอนไว้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ เตรียมดาบไม้มาด้วยล่ะ” เขากล่าวอำลา


“ท่านครับ ตระกูล ไฮเซนไฮล์ม มาถึงแล้วครับ”ทหารยามบอกกับ อัลการเรส “อะไรกันไหนบอกว่าจะมาถึงวันพรุ่งนี้ เจอกับ ตระกูล ดาร์กวิง เดี๋ยวได้มีเรื่องวิวาทกันอีก” อัลการเรส เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ

“เอ่อท่านครับ...” ทหารยามแทรก

“มีอะไรล่ะว่ามา” อัลกาเรสกล่าว

“พวกเขายกพลมาทั้งหมดเลยครับ นายท่าน” ทหารยามพูดขึ้นตะกุกตะกัก

“อะไรนะ...ไหนข้าดูสิ” อัลกาเรสวิ่งขึ้นไปบนกำแพง “นี่พวกนั้นมันบ้ารึเปล่านะ....”


“นี่ข้าว่า พวก โครวเซ็น คงตกใจตาแทบถลนถ้าเห็นพวกเราขนมาทั้งกองทัพอย่างงี้ ฮ่าๆๆ” บัลร็อค คุยกับแม่ทัพอย่างสนุกสนาน

“ท่านครับ ทหารของโครวเซ็น...และ เวนิสเตอร์ มาแล้วครับ” ทหารม้ากล่าว

“เวนิสเตอร์เรอะ...พวกนั้นมาทำอะไรที่วังหลวงแล้วยังเป็น องครักษ์แทนพระองค์ด้วยเนี่ยนะ” บัลร็อคพูดกับแม่ทัพ ก่อนจะเดินลงจากรถม้าเข้าหาทหารม้าที่มาต้อนรับ

“ยินดีต้อนรับ เซอร์ บัลร็อค โอไลก้า แห่ง ไฮเซนไฮล์ม ข้าในนามของ วังหลวง ยินดียิ่งที่ท่านมาถึง หากจะไม่เป็นการรบกวนขอถามท่านว่า ทำไมกองพันของท่านถึงมาด้วยกันครับ” อัศวินจาก โครวเซ็น กล่าว

“ฮ่าๆๆ...นี่ก็คือองครักษ์ของข้าไงล่ะ” บัลร็อคหัวเราะกับเหล่าทหาร

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้พวกนั้นตั้งแคมป์ห่างจากวังหลวง ระยะที่ทำให้พวกท่านได้เป็นต่ออยู่แล้วล่ะ ฮ่ะๆๆ” บัลร็อคกล่าวก่อนจะขึ้นบนหลังม้าควบเข้าสู่วังหลวงพร้อมองครักษ์อีกจำนวนหนึ่ง

“พวกบ้าเลือด...” ทหารม้าจาก เวนิสเตอร์ พึมพำ เบาๆ


“ให้ตายเถอะ...ศึกนี้เลอะเทอะชะมัด” ลากันซ่า เดินไปมาขณะแกว่งดาบหาผู้เหลือรอด

“ขอให้ไปสู่สุขคติ” การเร็ทปักดาบลงพื้น ขณะที่เขาทำความเคารพและอวยพรให้ศัตรูมีสิ้นลมหายใจ

“ร่างกายสลายจาก แต่เรื่องเล่ายังคงอยู่” เขากล่าวก่อนจะลุกขึ้น


“เซอร์ กาเร็ท จดหมายถึงท่าน” องครักษ์เดินถือจดหมายประทับตราวังหลวงมาให้กาเร็ท

“พึ่งมาถึงครับ” เขากล่าว “งานเฉลิมฉลองสินะ” กาเร็ทกล่าวก่อนจะหันหน้ามองแนวศัตรูที่ตายเกลื่อนนับพัน

“เฮ้อ...เอาล่ะกลับแคมป์ ดื่มกินให้พอ พรุ่งนี้เราจะไปวังหลวง” กาเร็ทตะโกนบอกเหล่าทหารที่ยืนเรียงราย

“เฮๆๆๆ...” เสียงโห่ร้องดีใจดังกระหึ่ม


ปราสาทสีขาวบริสุทธิ์ เวนิสเตอร์ ที่ซึ่งตอนนี้ช่างเงียบเหงา วิคเตอร์ เวนิสเตอร์ออกเดินทางไปตั้งแต่รุ่งเช้า เหลือแต่ ไวลี่ เวนิสเตอร์ ที่ดูดีอดดีใจผิดปกติ

“นายท่านครับ...” เสียงทหารยามดัง “มีอะไร” ไวลี่คิ้วขมวดทันที เมื่อได้ยินเสียงทหาร

“แคมป์หน่วยลาดตระเวน ที่กำแพงน้ำแข็งน่ะครับ มีคนตายอย่างไม่ทราบสาเหตุครับ” ทหารยามอธิบาย

“แล้วไง...จะให้ข้าไปดูงั้นสินะ” ไวลี่ทำหน้ายียวน “พี่ของท่านออกคำสั่งไว้ว่า หากเกิดเรื่องที่ แนวกำแพง ให้ท่านรีบไปดูด้วยตนเองครับ” ทหารยามเอ่ย ขณะสายตาจับจ้องไปที่ ไวลี่ ซึ่งตอนนี้ดูกระวนกระวายใจ

“ได้ๆ เตรียมม้าได้เลย” ไวลี่กล่าว เขาปิดประตูลง ดูเหมือนไวลี่จะหาของอะไรสักอย่าง

“เอาไปไว้ไหนวะเนี่ย” ไวลี่สบถ “ท่านครับ ม้าพร้อมแล้วครับ” เสียงทหารคนเดิมดังขึ้น

“ข้ากำลังไป…โธ่เว้ย ไว้กลับมาค่อยมาหาล่ะกัน” ไวลี่พูดก่อนจะคว้าดาบสั้นแนบกับเอววิ่งออกไป


“เนี่ยน่ะเรอะ กำแพงน้ำแข็งอันเลื่องชื่อ...ภายนอกคือ แดนนรก สินะ” ไวลี่คุยกับอัศวินอย่างสนุกสนานอยู่คนเดียว ถึงแม้เหล่าอัศวินจะไม่ตอบรับบทสนทนาก็ตาม ไวลี่ก็ยังคงพ่ำต่อไป จนถึงแนวกำแพง

“ไม่คาดฝันเลยจะได้เจอคนอย่าง ไวลี่ เวนิสเตอร์มาที่กำแพงนี้ ข้าคาดหวังไว้ว่าจะเจอพี่ของท่านนะ” เสียงชายวัยกลางในชุดคลุมตัวใหญ่ พร้อมหัวหมาป่าพาดบ่า “แล้วเจ้าเป็นใครกัน บังอาจมาพูดกับข้าเช่นนี้” ไวลี่อารมณ์เสีย

“ข้าจะพูดยังไงกับเจ้าก็ได้ เพราะเจ้าไม่ใช่เหนือหัวของข้า และ ไม่ใช่หัวหน้าของข้าด้วยซ้ำ ไอหนู” เสียงชายคนนั้นกล่าวเหน็บแนม ทำเอา องครักษ์ที่ติดตามไวลี่มาด้วย ยิ้มเล็กๆ ไปตามๆกัน

“บังอาจนัก” ไวลี่ชักดาบสั้นพุ่งเข้าใส่ ชายคนนั้น

“ปัก...ผัวะ” ฝ่ามือปัดบริเวณข้อมือของไวลี่ก่อนมืออีกข้างจะตบเข้าไปที่หัวของไวลี่ทีนึง

“นี่เจ้าเอามาเสียบหมูกินหรือไง ดาบกระจอกแค่นั้นจะไปทำอะไรได้ ดูเหมือนจะลืมเอาธนูมาสินะ ฮ่าๆๆๆ” ชายคนนั้นกล่าว

“เอ้านี่” เขายื่นมือให้ไวลี่ที่ซึ่งตอนนี้ล้มกลิ้งคลุกเศษดินเลอะเทอะไปหมด

“ข้าชื่อ เซอร์ เอเซเซล แห่ง ฟรอเซ่นวอล หัวหน้ากองกำลังลาดตระเวนที่คอยป้องกันให้คนในปราสาทอย่างเจ้าปลอดภัยไงล่ะ”
เกี่ยวกับ: การต้อนรับโดยการส่ง ทหารม้า มาต้อนรับ ซึ่งตามธรรมเนียมนั่นแสดงว่า ทหารเหล่านั้นคือ องครักษ์ หรือ ทหารในสังกัดของ ปราสาท หรือ วัง ที่ตั้งอยู่

บทที่ 4 : หลั่งเลือด

“ขออภัยครับท่าน หลานของท่านมาถึงแล้วครับ” เสียงทหารพูดจากนอกห้องของ ลอร์ด อัลกาเรส ไม่รอช้าอัลกาเรสคว้าชุดคลุมสีขาวก่อนจะย่ำเท้าออกจากห้องโดยทันที

“เป็นยังไงบ้างหลานข้า โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ” อัลกาเรสเดินเข้ามาจับมือทักทายหลานของตน วิคเตอร์ เวนิสเตอร์

“ครับท่านลุง แล้วท่านล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” วิคเตอร์กล่าว บทสนทนาอันยาวนานก็เริ่มขึ้น


“ลอร์ด เกลรีน่า และ เลดี้ การีน่า อัลเลเรีย แห่ง ตระกูลเรเซท มาถึงแล้ว” เสียงอัศวินของ เวนิสเตอร์ กล่าวสุดเสียง เนื่องจากผู้แทนพระองค์ไม่อยู่ ณ เวลานี้ จึงต้องมีผู้ประกาศชื่อเพื่อเป็นที่รู้กันว่า มีแขกมาถึงแล้วและส่งสัญญาณให้ประชาชนในเมืองทราบ

“ข้าว่านั่งอยู่นี่จนกว่าจะถึงที่พักเสียจะดีกว่า” การีน่าพูดคุยกับพี่ชาย ขณะทำเสียงขุ่นเคือง

“ฮ่าๆๆ” เกลรีน่า แทบไม่ทันได้ยินที่น้องสาวพูดกับตน เพราะกำลังวุ่นกับการโบกไม้โบกมือให้ประชาชนมากมายต่างสายเลือดที่เข้ามาต้อนรับอย่างดี

“อะไรนะ การีน่า” เกล ถาม

“ไม่มีอะไร” การีน่าตอบห้วนๆ แต่ก็ไม่สะทกสะท้านต่อเกลที่ซึ่งกำลังชื่นชมกับบรรยากาศในเมือง


“ตกลงให้ข้ามาเพื่ออะไรกันแน่ล่ะ”ไวลี่ปล่อยน้ำเสียงแบบจิตตกสุดๆ ขณะมองศพที่ดูแทบไม่ออกว่าเป็นสัตว์หรือมนุษย์

“ก็ที่เจ้ามองอยู่นั่นแหละ” เอเซเซลกล่าว สภาพศพเหมือนถูกสัตว์ร้ายบางอย่างขย้ำจนชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป พร้อมกับลูกตาทั้งสองข้างที่โดนควักออกไปดูน่า สยดสยองโดยแท้

“หมาป่าภูเขาหรือเปล่าที่ทำอะไรอย่างนี้ได้” ไวลี่ถามอาเซเซล ขณะยกมือป้องจมูกไม่ให้แตะกลิ่นคาวเลือดอันน่าสยดสยอง

“หมาป่าไม่กินลูกตาและทิ้งศากไว้เพื่อบอกถึงเขตการล่าของมัน” เอเซเซลพูด

“ที่ข้าให้ท่านมาที่นี่เพราะจะให้ท่านออกไปนอกกำแพงกับพวกข้า” เอเซเซลยิงประเด็นหลัก

“นอกกำแพง...นี่เจ้าบ้าหรือโง่กันแน่ให้ข้าออกไปเนี่ยน่ะเหรอ” ไวลี่ตะโกนเสียงลั่น

“ใช่...ไปกับพวกข้าอีก 30 คน” เอเซเซลย้ำคำเดิม

“แล้วเรื่องอะไรที่ข้าต้องไปกับเจ้าล่ะ ข้ามีเรื่องให้ทำอีกมากที่ปราสาท” ไวลี่กล่าวคำถามอย่างไม่พอใจ

“พายุกำลังมา ถ้าท่านไม่อยากโดนอะไรก็ตามที่ฆ่าคนของข้านั่นบุกเข้าไปในปราสาทของท่าน ท่านก็ควรไปกับข้าซะตอนนี้ ทหารจะคิดยังไงกับเหนือหัวที่ไร้ซึ่ง เกียรติและความกล้าล่ะ” เอเซเซลเพ่งเล็งสายตาไปที่ไวลี่อย่างแข็งกร้าว

“เออ...งั้นก็ได้ข้าจะไปกับท่าน แต่ต้องเพิ่มคนอีก 20 คน” ไวลี่แย้ง

“ตามนั้น นายท่าน”


“ให้ทหารอีก 10 กองทัพกลับปราสาท ส่วนที่เหลือไปกับข้า รีบไปกระจายข่าวทันที” กาเร็ทออกคำสั่งกับเด็กส่งสาส์น

“ครับนายท่าน”

“ขบวนม้าของข้าพร้อมหรือยัง” กาเร็ทหันมาถาม ลอร์ด ลากันซ่า ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พร้อมแล้ว” เขาตอบกลับ “ถ้างั้นข้าจะล่วงหน้าไปก่อน ท่านรีบนำทัพตามมาด้วยล่ะ” กาเร็ทสั่งการ

“ครับท่าน” ลากันซ่ารับคำสั่ง ด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมกว่าครั้งแรกที่เจอกัน การเร็ทเดินออกจากแคมป์ ตรงไปขึ้นม้าทันที “เอาล่ะพวกเราจะล่วงหน้ากองทัพไปก่อน 1 วัน เตรียมม้าให้พร้อมและคอยระวังอาวุธด้วย” หัวหน้าขบวนม้าออกคำสั่งกับลูกน้องที่ยืนเรียงรายรอขึ้นม้าของตน

“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” กาเร็ทสวมหมวกเหล็ก เขาถีบตัวขึ้นหลังม้าอย่างว่องไว และ ควบนำทัพขบวนอารักขาออกไปในทันที


“ไม่น่าเชื่อ นานๆทีจะได้มา ปราสาท ที่มีแสงแดดส่องถึงนะเนี่ย ข้าว่ากลับไปข้าคงต้องสั่งสร้างปราสาทใหม่ซะแล้วล่ะ” โจเซฟ พูดคุยกับอัศวินอารักขาผู้ภักดีของตนอย่างสนุกสนาน

“ท่านครับระวัง....ครับ” ไม่ทันที่อัศวินอารักพูดจบ โจเซฟที่หันหลังมองไปรอบๆ ชนกับหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวสะอาดอย่างจัง

“ข้าขออภัยท่านหญิง เป็นอะไรหรือเปล่า” โจเซฟกล่าวคำขอโทษ ขณะคุกเข่าเก็บตำราหนังสือให้หญิงสาวตรงหน้า

“เดี๋ยวก่อนนี่ใช่ เฮคคาต แห่ง โครวเซ็นหรือเปล่า” โจเซฟพยายามมองหลายๆมุม ขณะที่หญิงสาวเบือนหน้าหนี

“ใช่แน่นอน ฮ่ะ..ฮ่าๆๆ” โจเซฟหัวเราะดังลั่น

“ไม่คิดจะเจอลูกสาวของ ลอร์ด เคเรท ที่ว่ากันว่าหวงซะยิ่งกว่าทองแล้วแทบไม่เคยไปไหนมาไหนอีกซะด้วย” โจเซฟยิ้มอย่างมีความสุข

“มันน่าตลกตรงไหนไม่ทราบ ท่าน...โจเซฟ” เฮคคาตกล่าว

“ขออภัย ท่านหญิง...ไม่ทราบว่าท่านจะไปที่ใด” โจเซฟกล่าวขออภัย พร้อมทำท่าเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว ขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ เฮคคาต ไม่หยุด

“ข้าพึ่งเรียนตำราเสร็จ กำลังกลับที่พักของข้า” เฮคคาต พูดด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก

“ถ้าจะไม่เป็นการรบกวน ข้าจะขออาสาพาท่านออกไปชมเมืองไหมล่ะ...ข้ารู้ว่ามันผิดกฎสำหรับพ่อของท่าน แต่นั่นก็ไม่ใช่พ่อของข้าสักหน่อย แล้วท่านก็ไม่เคยเห็นการเป็นอยู่ของประชาชนด้วยตาตัวเองจริงไหม” โจเซฟยิ้ม

“ข้าสัญญาว่ามันจะเป็นความลับ” เขากระซิบบอกเฮคคาต

“จะดีเหรอครับนายท่าน” อัศวินอารักขาเดินเข้ามาแย้งข้างๆโจเซฟ

“เอาน่ะ พาหญิงสาวไปชมโลกจริงๆสักหน่อย ไม่ตายหรอก”

“ถ้างั้นข้าขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนล่ะกัน” เฮคคาตกล่าวติดๆขัดๆ นี่คงจะเป็นครั้งที่สองที่เธอแหกกฎเหล็กของพ่อตน ครั้งแรกคงจะเป็นการไปอยู่บนหอคอยคู่โครวเซ็นอยู่หลายครั้งหลายครา

“เอ่อ...พวกเจ้าช่วยไปปลอมตัวแล้วหาชุดให้ข้าสักหน่อยได้ไหม” โจเซฟบอกอัศวินอารักขา

“ครับนายท่าน” พวกเขาตอบรับอย่างไม่กังขา


“ตกลงเรื่องที่ข้าบอกไป เจ้าว่ายังไง วิคเตอร์” อัลกาเรสถามหลานของตน บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

“นี่เจ้าคงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดหรอกนะ” อัลกาเรสถามย้ำ

“บัลลังก์ ทำไมท่านถึงต้องการมากขนาดนั้นกันท่านลุง ถึงจะอย่างงั้นก็ตาม อีก 6 ตระกูลมีหวังรวมตัวกันบุกมาถึงนี่แน่นอนหากมีการตั้งตัวเป็น กษัตริย์ของ ตระกูล เวนิสเตอร์” วิคเตอร์แย้ง

“คิดว่าข้าไม่ได้คิดก่อนหรือยังไง...ข้ามีแผนสำหรับพวกนั้นให้รบราฆ่าฟันกันเอง และทุกอย่างมันเริ่มต้นจาก งานเฉลิมฉลองในอีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า” อัลกาเรสยิ้มเยาะอย่างสบายใจ

“ถ้าเจ้าไม่คิดว่าคู่ควรกับบัลลังก์ที่ข้าจะยื่นให้ เจ้าก็ให้น้องเจ้ามาแทนที่ซะ” อัลกาเรสจ้องหน้าวิคเตอร์

“ครับท่านลุง” วิคเตอร์กล่าวจบบทสนทนา


บทที่ 5 : ตะวันลับ

“ไวน์รสชาติเยี่ยมจาก อาณาจักรตอนเหนือครับ สนใจไหมครับแม่หญิง” พ่อค้าขายไวน์ยื่นหน้าแสลนเข้าใส่ เฮคคาต หวังจะได้ลูกค้าอีกสักคน

“นางไม่ดื่มน่ะ” โจเซฟในชุดคลุมทั้งตัว ผลักอกพ่อค้าผู้น่ารำคาญออกไป ขณะที่สายตากวาดไปรอบๆเพื่อระแวดระวังภัยร้าย

“ที่จริงข้าว่า คงไม่มีอะไรให้ห่วงนะ เพราะยังไงจะมีสักกี่คนที่ เคยเห็น หน้าเจ้า” สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้า เฮคคาต ผมสีน้ำตาลแดงทอประกายเมื่อสะท้อนแสงตะวัน โจเซฟอยู่ในความว่างเปล่าชั่วขณะ

“มองอะไรของท่าน” เฮคคาตพูด เธอจ้องไปที่หน้าโจเซฟด้วยอาการงุนงง

“ปะ...เปล่าน่ะ” โจเซฟหลบหน้าหนีทันที ก่อนจะเดินนำทางต่อไปประกบด้วย กองอารักขาส่วนตัวที่คอยตามอยู่ห่าง

“ปุบ...” ชายร่างใหญ่เดินชนเข้ากับ เฮคคาต ทำเอาขวดเหล้าที่ถืออยู่ร่วงลงกระแทกพื้น

“เพล้ง...” เสียงขวดเหล้าไวน์แตกออกดังเสียดแก้วหู โจเซฟ ที่นำอยู่ข้างหน้าในทันที

“เฮ่...นี่เจ้าคิดจะทำบ้าอะไรกัน จ่ายเงินคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่โต กระแทกเสียงใส่หน้าเฮคคาต “โอ..ผู้หญิงหรือนี่ โทษทีข้าไม่ทันสังเกต สนใจจะตอบแทนเป็นอย่างอื่นไหมล่ะ ฮ่าๆ....ผัวะ!” ไม่ทันหมดเสียง ฝ่ามือกำแน่นของเฮคคาตพุ่งซัดหน้าชายฉกรรจ์ตรงหน้าอย่างจัง ก่อนจะก้มตัวลงแล้วปล่อยหมัดเสยเข้าที่ข้อต่อกราม

“ตึงง...งง!” เสียงแรงลมปะทะเข้ากับหน้าของชายฉกรรจ์อย่างจัง

“กรอบบ...บบบ” ตามด้วยเสียงกระดูกกรามแหลกสลายอย่างน่าสยดสยอง

“ทีนี้ยังจะเอาอะไรไหมล่ะ..ท่าน!” เฮคคาตเสียดสีชายร่างยักษ์อย่างเจ็บปวด ขณะลงฝ่าเท้าเหยียบคอหอยไว้อย่างเต็มแรง

“อะ...อ้ากก..กกก” เส้นประสาทต่างๆทำงานอย่างล่าช้าส่งผลให้ ชายร่างยักษ์พึ่งจะตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด “ก..แก ข้าไม่ยอมปล่อยไว้แน่” ชายคนนั้นตะโกนกร้าว “ที่จริงเจ้าควรจะปล่อยไปนะ ท่าชาย” โจเซฟนั่งยองๆ คร่อมหัวชายร่างยักษ์ที่กำลังเจ็บปวด

“เอาเป็นว่านี่คือ ค่ารักษา เจ้าล่ะกัน” โจเซฟวางถุงทองคำไว้บนหัวชายผู้นั้น

“เฮ่ย...แกน่ะ!” เสียงตะโกนดังขึ้นข้างหลังโจเซฟ “นี่แกรู้ไหมว่านี่มันเขตของใคร ถึงกล้ามาทำอะไรพวกของข้าน่ะ” ชายร่างใหญ่โตพร้อมแผลบากบนหน้าตะโกนอย่างไร้สัมมาคาราวะ

“ข้าคิดว่า ผืนดินและทรายนี้ ขึ้นตรงต่อ ตระกูล โครวเซ็น เสียอีก เจ้าไปยึดมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ท่านชาย” โจเซฟกล่าวเสียดสี ฝ่ายตรงข้ามอย่างสบายใจ “แล้วนี่พอไหมล่ะ” ชายคนนั้นกล่าว พร้อมลูกน้องอีกกว่า 20 คนเดินล้อมกรอบโจเซฟไว้มิดชิด

“ฉิ้ง...” เสียงดาบดึงออกจากฝัก อยู่ในระยะไม่ไกลนัก เหล่ากองอารักขาต่างพร้อมเปิดศึกได้ทุกเมื่อ

“หืม..มม” เสียงหัวหน้ากองอารักขา กล่าวด้วยความแปลกใจ โจเซฟส่งสัญญาณมาที่ตัวเขาเอง เพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งย่ามอะไรทั้งนั้น

“องค์ชายจะระห่ำไปถึงไหนกัน พวกเจ้าไปดักรอบนหลังคานั่น ส่วนที่เหลือคุมเชิงไว้” หัวหน้ากองอารักขาออกคำสั่งอย่างเคร่งครัด

“พูดมากอยู่นั่นแหละ ท่าน...ฟุบ” เฮคคาตพูด เธอคว้าทรายบนพื้นก่อนจะหวี่ยงเต็มแรงเข้าใส่หน้าชายคนหนึ่งที่ยืนขวางอยู่พอดี “ผัวะ...ปักๆๆ” เฮคคาตฝากรอยกำปั้นขนาดกลางไว้ที่หน้าชายร่างใหญ่คนที่ 2 อย่างรวดเร็ว ไม่รีรอเธอพุ่งแนวต่ำเข้าใส่ชายอีกคน ก่อนจะซัดหมอบราบไปหลายราย โจเซฟก็ไม่แพ้กัน

“ถ้าจะเข้ามา ก็เข้ามาให้หมดเลย” โจเซฟตะโกนอย่างสนุกสนาน

“ฝุบ...ตึง” แผ่นเหล็กบริเวณแข้งของโจเซฟ กระแทกเข้ากลางเป้าของชายฉกรรจ์

“อ้ากก..กก” เขาร้องเสียงหลงอย่างน่าโหยหวน “มีดีแค่นี้หรือยังไง..ท่าน” โจเซฟยิ้มอย่างเต็มใจให้เหล่านักสู้ภายหน้า

“กะ...แก อย่าอยู่ให้มันรกโลกเลยว้อย” คนที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าชักมีดออกจากฝัก เสียงย่ำเท้าแสดงถึงภัยร้ายอันมิอาจเพิกเฉย

“ในนามของ กององค์รักษ์อารักขา แห่ง แคปริคอน ดาร์กวิง ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าวางอาวุธเสียเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นเท่ากับเป็นปรปักษ์แห่ง เหนือหัวแห่ง แคปริคอน” กองอารักขา กระโดดลงมาจากบริเวณชั้น 2 ของตึกฝั่งตรงข้ามโจเซฟ อีกกลุ่มยกธนูเล็งเป้าพร้อมกำจัดทุกเสี้ยววินาทีที่พบเห็นแสงสะท้อนของโลหะแหลมคม

“แก...เป็นใครกันแน่” ชายมือมีดตะโกน ตะกุกตะกัก ด้วยความระแวงใจและสงสัย

“ข้า...ลอร์ด โจเซฟ อเล็กซานเดอร์ โคลัมบัส สายเลือดโดยแท้จาก ตระกูล ดาร์กวิง หรือในนามของ เหนือหัว แห่ง แคปริคอน คนสุดท้าย” โจเซฟยกผ้าคลุมสีเข้มออก

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เสียงชายวัยกลางคนตะโกนสุดเสียง

“ในนามแห่ง อัศวินเฝ้าระวังและกองทัพอารักขาส่วนพระองค์ ข้าลอร์ดอัลกาเรส ขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดวางอาวุธ และคำนับมิตรสหายเหนือหัวของพวกเจ้าซะ” อัลกาเรสในชุดเกราะสีขาวสง่างาม พร้อมกองอัศวินม้าอารักขาอีกนับ 10

“ฝากไว้ก่อนเถอะแก...ข้าขออภัยนายท่าน” ชายผู้นั้นวางมีดสั้นลง ก่อนจะคุกเข่าคำนับให้แก่ โจเซฟ

“ถ้าเป็นข้า ข้าจะรีบพาแม่หญิงผู้นั้นกลับที่พักของนายเสียทันทีนะครับ ท่านลอร์ด” อัลกาเรสพูดอย่างมีนัยๆ โจเซฟถึงกับแปลกใจในน้ำเสียงคำถามดังกล่าว

“ขอบคุณท่านมาก ลอร์ดอัลกาเรส หวังว่าข้าจะมีโอกาส ตอบแทนบุณคุณครั้งนี้เสียบ้างนะครับ...ไปกันเถอะท่านหญิง”

โจเซฟกล่าวอำลา ก่อนจะเดินนำกองอารักขากลับเข้าปราสาท

บทที่ 6 : การเริ่มต้นครั้งใหม่

“ถ้าท่านจะทำเช่นนั้น ก็เหมือนชักศึกเข้าบ้าน ท่านลุง” วิคเตอร์ เวนิสเตอร์ ทายาทโดยธรรมแห่งบัลลังก์ขาว กล่าวท่าทีกระวนกระวายใจ

“ข้าวางแผนไว้หมดแล้ว ที่เหลือก็เหลือแค่เจ้า จะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่...คนที่คู่ควรกับบัลลังก์มันไม่มีหรอก มีแต่ต้องแย่งชิงมันมาเท่านั้น” อัลกาเรสจ้องหน้าวิคเตอร์เขม็ง หวังว่าสัญชาติญาณของสายเลือดเวนิสเตอร์จะลืมตาตื่นเสียที

“ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าก็คงไม่ปฏิเสธ” วิคเตอร์ก้มหน้ามองพื้นหินอ่อนสลักลาย อย่างน่าหดหู่ หากชนะก็เท่ากับกำหนดประวัติศาสตร์ หากแพ้ก็เป็นแค่กบฏผู้คิดคดทรยศ


“ความมืดมิดที่มิอาจหยั่งถึง...รากลึกหยั่งถึง” ภายใต้แสงเงาความมืดที่ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ โจเซฟ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เพียงแต่ครั้งนี้เขากลัวมาก กลัวจนตัวสั่น มือน้อยๆที่พยายามคลำทาง หาทางออกอย่างใจจดใจจ่อ เพียงแต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็ไร้ซึ่งแสงสว่าง

“กลัว...กลัวเหลือเกิน” โจเซฟลงนั่งกับพื้น เขาสะอึกสะอื้นอย่างน่าเศร้า ดูเหมือนจะไร้หนทาง ไร้ทางออก แต่ทันใดนั้นแสงไฟสีแดงฉานปรากฏรอบตัวของเขา ความสว่างกลับมาอีกครั้ง

“ท่านพ่อ...” โจเซฟสะอึกสะอื่นตะโกนเรียกพ่อของตน เงาทมิฬด้านหน้าโจเซฟค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น

“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าลงมาทางเดินใต้ดินคนเดียว โจเซฟ” ร่างกายอันใหญ่โตน่าเกรงขาม ในร่างมังกรสีดำทมิฬ สายตาอันดุดัน ช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก แต่ไม่ใช่สำหรับโจเซฟ เด็กน้อยวิ่งเข้าหามังกรทมิฬอย่างดีใจ

“ข้า...คิดว่าต้องตายเสียแล้ว” ตาที่แดงก่ำ สดใสขึ้นอีกครั้ง

“พ่อ ไม่มีทางปล่อยให้ ผู้เป็นลูก ต้องจากไปก่อนหรอก พ่อต่างหากที่ต้องจากไปก่อนเจ้า...โจเซฟ” มังกรยักษ์แปลงกายกลับร่างเป็นมนุษย์เช่นเดิม มืออันแสนอบอุ่นโอบกอดลูกรักตัวน้อยๆไว้อย่างแนบแน่น

“พ่อน่ะ รักเจ้ามากนะ”

“ท่านพ่อ” โจเซฟสะดุ้งตื่นจากความฝันอันน่าสลดใจอย่างไม่ทันตั้งตัว เหงื่อที่ไหลโชกไปทั้งตัว และ ความร้อนที่มิอาจหาคำใดอธิบาย

“ท่านโจเซฟ เป็นอะไรหรือเปล่าครับท่าน” เสียงองครักษ์ภายนอกห้องเคาะประตูถาม

“ปะ...เปล่าน่ะ ข้าฝันร้ายน่ะ” โจเซฟสูดหายใจเต็มปอด ตอบคำถามกลับไป

“ให้ตายเถอะ...”


“การีน่า..เสร็จหรือยังเนี่ย” เกลรีน่าพี่ชายฝาแฝดที่ดูจะชอบทำตัวเพี้ยนๆกับน้องของตน เคาะประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่าเบื่อหน่าย

“ยัง...ท่านก็ไปก่อนสิ” การีน่าสวนกลับ

“ให้ตายเถอะ...นี่พวกเจ้าไม่เบื่อกันมั่งหรือยังไง” เกลเดินไปเดินมาพลางคุยกับกองอารักขาหน้าห้องของการีน่าที่ยืนเรียงรายในชุดเกราะเต็มยศพร้อมจะออกเดินเข้าตัวเมือง

“ถ้าท่านลองพา ท่านหญิง ไปเป็นคู่ดวลฟันดาบ กระหม่อมคิดว่าท่านหญิงคงต้องออกมาอย่างรวดเร็วแน่นอนครับท่าน” อัศวินประจำตัว การีน่า เสนอแนวทาง

“ใครพูดว่าฟันดาบ” การีน่ากระชากประตูอย่างแรง ทำเอาองครักษ์ผงะถอยหลัง “เฮ้อ...” เกลยกมือป้องหัวอย่างเหนื่อยหน่าย


“เซอร์ การเร็ท เซเลสเบวรี่ แห่ง บัลลังก์น้ำอข็ง ผู้แทนแห่ง เคอร์เซ็ท มาถึงแล้ว” นายทหารปล่าวประกาศดังก้องไปทั่วกัน ขบวนกองพันอัศวิน 1 กองพันบนหลังม้าค่อยๆเดินทยอยเข้าสู่ภายในตัวเมือง ขณะที่กาเร็ทเดินนำขบวนมาด้วยตัวเองในชุดเกราะอัศวินสีขาวแกมน้ำเงิน สง่างามยิ่ง กาเร็ทกวาดสายตามองไปทั่วกำแพงเมืองและเหล่าประชาชนแห่ง โครวเซ็น “เชิญทางนี้ครับ นายท่าน” อัศวิน เวนิสเตอร์ เทียบเชิญกาเร็ทสู่ที่พัก

“อย่าได้หลงเชื่อใจตระกูล เวนิสเตอร์ เป็นอันขาด จิตนิ่งดั่งน้ำแข็ง จะทำให้ท่านมิใจอ่อน นั่นคือ จุดแข็งของพวกเรา เคอร์เซ็ท” เสียงลากันซ่ายังคงกังวานในหัวของกาเร็ท นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขามาในฐานะผู้แทนกษัตริย์ มิใช่ชายหนุ่มในคราบอัศวิน


หอคอยคู่ โครวเซ็นเส้นทางสอดส่องที่น้อยคนนักจะรู้จัก

“ทุกอย่างเข้าที่แล้วหรือยัง” เสียงชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำ กล่าวกับอัศวินในชุดเกราะสีขาววาววับ

“แน่นอน...มันต้องได้ผลแน่นอน ตามที่คาดพวก รีควินเนอร์ ไม่อยากจะสุงสิงเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว เราค่อยไปเก็บพวกมันทีหลัง” อัศวินกล่าว

“กองทัพทั้ง 32 ของข้าดักรออยู่นอกตัวเมืองห่างออกไป 10 ไมล์ หากเจ้าคิดจะทรยศหรือผิดคำพูดต่อข้า คนของข้าพร้อมที่จะเด็ดหัวของเจ้าแน่ อัลกาเรส”


ตะวันลับขอบฟ้า แสงไฟคบเพลิงถูกจุดทั่วเมือง เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลอง วันครบรอบ 200 ปีหลังจากสงครามระหว่างแผ่นดินจบลง แต่ที่ผู้คนลืมคือ วันนี้คือวันเดียวกันที่ กษัตริย์สายเลือดโดยแท้หายตัวไปเช่นกัน เสียงเครื่องดนตรีมากมายดังไปทั่วเมือง พร้อมกับเสียงดีอกดีใจของชาวเมือง ใจกลางเมืองหอนาฬิกาแห่งโครวเซ็น แหล่งรวมเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งที่น่ารู้จักและไม่น่าสนทนาด้วย

“ตกลงเจ้าจะไปได้หรือยัง การีน่า” เกลทวนคำถามมาหลายรอบหลังจากเหน็ดเหนื่อยที่ต้องไปฟาดหันดาบกับการีน่า สาวน้อยที่ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่นิด

“เสร็จแล้ว” การีน่าเดินออกมาจากห้องในชุด ประจำตระกูล เดรสยาวสีขาวตัดแดง

“สวยไม่เบานะเนี่ย” เกลรีน่าหยอกน้องของตน

“เอ้า...” เกลยื่นแขนให้การีน่าควงเข้างาน ดูเหมือนจะช่วยเรื่องความเขินอายในฐานะของกุลสตรีของการีน่าได้ทีเดียว


“ฮ่าๆๆๆ...” บัลร็อค โอไลก้า แห่ง ไฮเซนท์ไฮล์มที่พึ่งจะปรากฏตัวสักที ในขณะที่ตั้งแต่วันที่มาถึงก็หายตัวเข้าไปในโรงเหล้ากับแม่ทัพส่วนตัวทุกวี่ทุกวัน

“ให้ตายเถอะ ไวน์ นี่มันรสเลิศดั่งคำล่ำลือเสียจริง” บัลร็อคตะโกนเสียงดังลั่น แขกในงานถึงกับหันมาจ้องอย่างพร้อมเพรียง

“โอๆๆ...ข้าขออภัยท่านทั้งหลาย” บัลร็อคในสภาพมึนเมากล่าว


“ทุกท่านโปรดเงียบด้วย ท่าน เคเรท โครวเซ็น ที่ 3 แห่ง ตระกูล โครวเซ็นผู้ผดุงบัลลังก์สูง มาถึงแล้ว” เสียงกองอัศวินกล่าวประกาศ ขณะที่เสียงจอแจค่อยๆเงียบลงในทันที

“ตึง...ตึง” เสียงรัวกลองดังอย่างเป็นทำนอง กองทหารอารักขาแห่งโครวเซ็น เดินนำทางเข้ามาก่อนจะตามมาด้วย ลอร์ด เคเรท และ พระธิดา เลดี้ เฮคคาต โครวเซ็นที่ 3 ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ เฮคคาต หญิงสาวที่น้อยคนนักจะได้พบเจอตัวเป็นๆ แต่มีอยู่คนเดียวที่ไม่รู้สึกเช่นนั้นคือ โจเซฟ สายตาที่จ้องมองมิได้แสดงทีท่าแปลกตาแปลกใจ แต่สายตานั้นกลับมองอย่างมีความหวัง ความหวังที่ใครก็มิอาจกล้าไขว่ คว้า


“ท่าน บัลร็อค นายท่านของข้าต้องการคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวขอรับ “ อัศวิน เวนิสเตอร์ เดินเข้ามากระซิบหูบัลร็อคที่ยืนชะโงกมองขบวนอยู่ “คุยอะไรตอนนี้ล่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าทำอะไรกันอยู่” บัลร็อคตอบไปโดยไม่ได้สนใจ อัศวิน แม้แต่น้อย

“นายข้าบอกว่าเกี่ยวกับ น้องสาว ของท่านขอรับ” สิ้นเสียงกระซิบอันเบา ความคิดอันแปลกแยกวิ่งเข้าสู่สมองของบัลร็อคทันที

“น้องสาวของข้า...อะไรกัน” บัลร็อคกล่าวอย่างแปลกใจ ก่อนจะยอมเดินตามอัศวินผู้นั้นไปแต่โดยดี


“ขอบคุณ ท่านทั้งหลาย” ขณะเดียวกัน ลอร์ด เครเรท กล่าวขอบคุณเหล่าแขกชนชั้นสูงต่างๆมากมายอย่างดีใจ

“อะไรกัน...” กองทหารเวนิสเตอร์ในชุดเกราะเต็มยศเดินเรียงขบวนเข้ามาล้อมกรอบคนในห้องอย่างพร้อมเพรียง เสียงจอแจ และ เสียงดนตรีเงียบสนิทในทันที

“นี่มันอะไรกัน อัลการเรส อยู่ที่ไหน” ลอร์ด เคเรท ตะโกนอย่างดุดัน

“นายของข้ามิอาจเข้าคุยกับท่านได้ในขณะนี้ อีกไม่นานท่านจะได้พบเขาด้วยตัวเองท่าน เคเรท” หัวหน้ากองอัศวิน เวนิสเตอร์กล่าว

“แต่ขณะเดียวกันข้าได้รับคำสั่งให้เข้าจับกุมแขกในงานนี้ทั้งหมด ในฐานะที่เป็นกบฏต่อ โครวเซ็นและตระกูล เวนิสเตอร์…ชิ้ง” เสียงดาบชักออกจากฝักของเหล่าทหารเวนิสเตอร์

“อะไรกันนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน พวกเขาเป็นแขกของเรา แล้วจะ...” สันดาปตอกเข้าที่คอของ เคเรท ร่างกายชายแก่ร่วงลงไปนอนกับพื้นทันที

“หุปปากได้แล้ว” อัศวินผู้นั้นตะโกน

“ในนามของ ผู้สืบทอดแห่งบัลลังก์น้ำแข็ง ข้ามิอาจยอมรับความผิดที่ข้ามิได้ก่อ ถ้าคิดจะจับข้าไปขังก็เตรียมตัวตายซะเถอะ” กาเร็ทกับองครักษ์มือดีอีก 2 คนชักดาบออกจากฝักอย่างไม่เกรงกลัวความตาย

“ข้าก็เช่นกัน ผู้สืบทอดแห่ง แครปริคอน ดาร์กวิง ขอปฏิเสธการจับกุมของพวกเจ้า..กบฏ” โจเซฟดึงดาบคู่ใจออกมา อัศวินในชุดเกราะสีดำทมิฬอันน่าเกรงขาม 4 คนก็เตรียมพร้อมเช่นกัน

“ความผิดที่ข้ามิได้ก่อ ก็มิอาจเอาผิดข้าได้ ในนามของ ตระกูล เรเซท กุหลาบแดงที่มิเคยร่วงโรย ขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้” เกลรีน่ากล่าวอย่างแน่นิ่ง พร้อมกับการีน่าที่ยืนเคียงข้าง และเหล่าอัศวินคุ้มกันทั้ง 3

“ถ้าเช่นนั้นก็จงเตรียมตัวไปยมโลกกันได้เลยล่ะ นายท่าน”
เกี่ยวกับ: การฟันดาบ / การซ้อมฟันดาบ บางครั้งก็มิอาจนับได้ว่าคือ การฟันดาบตรงๆ บางครั้งคำนี้มักใช้กับอาวุธระยะประชิดหลายชนิด


บทที่ 7 : แผนลวงอันแนบเนียน

“โครม...” เสียงความวุ่นวายดังห่างๆจากระยะที่อัลกาเรสและบัลร็อคยืนคุยกันอย่างเงียบ

“ไม่ต้องสนใจหรอกก็แค่ความรุนแรงอันเล็กน้อย” อัลการเรสยิ้มอย่างชื่นใจ

“เรื่องอะไรกันแน่ที่ว่าน้องสาวของข้า” บัลร็อคปล่อยพลังเสียงอันดุดัน

“ชู่ว...ใจเย็นๆ เซอร์บัลร็อค น้องของท่านยังคงปลอดภัยดี...แต่ปลอดภัยในความอารักขาของกองกำลังของข้ายังไงล่ะ” อัลกาเรสเดินตรงไปที่ระเบียง เขาสูดอากาศเข้าเต็มปอด “เฮ้อ...โลกนี้แปลกนะ คนที่สมควรกลับไม่เคยได้อะไร” อัลกาเรสเดินสวนทางมาที่บัลร็อค

“เอาเป็นว่า ข้าแนะนำให้ท่านกลับไปที่แคมป์ทหารทั้งหมดของท่านแล้วจง...นิ่งเฉย” ฝ่ามืออัลกาเรสตบลงบนบ่าของบัลร็อคเบาๆ

“กรอด...” บัลร็อคกัดฟันแน่นราวกับราชสีห์ที่โกรธแค้นแสนสาหัส


“ฆ่ามันให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว” หัวหน้ากองทหารเวนิสเตอร์ออกคำสั่ง

“กาเร็ท...รับ” เสียงโจเซฟตะโกนลั่น แหล่งเหวี่ยงมหาศาลส่งดาบเล่มยาวลอยขึ้นฟ้าก่อนที่ ฝ่ามือที่สวมถุงมือสีขาวยื่นออกมารับได้ทันท่วงที

“ให้ตายเถอะ...ชักจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ฮึ่ย” กาเร็ทยกดาบยาวขึ้นป้องหัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ขวานของศัตรูจะผ่าเข้าให้

“เป๊ง...ๆๆ” เสียงดาบเหล็กปะทะกันดังสนั่น ประกายไฟแลบออกเหมือนพลุไฟแห่งความยินดีที่จุดกันอยู่ในขณะนี้

“ท่านการีน่า” อัศวินอารักขาโยนทวนเล่มยาวที่ได้จากศพของศัตรูให้ การีน่า ทันที

“คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว” การีน่ายิ้มกว้าง ก่อนจะฉีกกระโปรงบริเวณขาอ่อนให้ง่ายต่อการประชันดาบ

“ฟู่ว...ฉัวะ” เฮคคาตยกคันธนูเล็งเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะปล่อยศรออกไปเต็มเหนี่ยว พริบตา อีกดอกตามออกไปอย่างแทบไม่น่าเชื่อ “พวกท่าน ปกป้อง คนที่ไม่มีอาวุธเร็วเข้า” เฮคคาตตะโกนบอกอัศวินอารักขากาเร็ท “ท่านเป็นใครมาสั่งข้าได้” อัศวินผู้นั้นกล่าว

“ทำตามที่นางบอกก่อนเถอะน่า ไม่มีเวลามาเถียงกันหรอก” กาเร็ทกล่าว มือที่กวัดแกว่งดาบอย่างแคล่วคล่อง

“โธ่เว้ย…เข้ามาให้หมดเลยไอพวกชุดเกราะงี่เง่า” อัศวินอีกคนตะโกนปลุกำลังใจ “ไปที่ระเบียง เดี๋ยวนี้” โจเซฟตะโกนสั่งทหารและเหล่าผู้บริสุทธิ์ “คิดจะทำบ้าอะไรของเจ้า” เกลรีน่าตะคอกใส่ ปากพูดแต่มือยังคงยกโล่ไว้บังศรที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน

“ทำตามที่ข้าบอกเถอะน่า” โจเซฟตอบกลับ อัศวินเพียงหยิบมือยืนต่อกรกับเหล่าทรราชจำนวนมากไว้อย่างไม่หยุดหย่อนและถึงแม้จะไร้หนทางหนี ทุกคนยังคงสู้อย่างสุดชีวิต หากล้มลงตอนนี้อีกมากคงจะล้มตายไม่มีสิ้นสุดแน่นอน “ท่านกาเร็ท” เสียงตะโกนจากอีกฟากของระเบียงดังขึ้น เสียงอันคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมานาน

“ท่านอา” กาเร็ทถึงกับตกใจขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ เซอร์ กีโทเรีย “ก้มลงเดี๋ยวนี้ ทุกคน” กีโทเรียตะโกนคำสั่งข้ามมา

“เอาไงเอากันล่ะงานนี้…ทุกคนก้มลง” กาเร็ทตะโกนสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ สายตาองครักษ์จับจ้องกันเองอย่างงุนงง แต่ไร้ซึ่งเสียงขัดแย้งทุกคนก้มลงตามๆกันอย่างรวดเร็ว

“ยิง” เสียงกีโทเรียออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว “ฟ้าว...ฟ้าวๆๆๆ” ลูกธนูปลายแหลมคมสีน้ำเงินอ่อนพุ่งข้ามฟากเข้ามาภายในห้องที่เหล่าทหารของลากันซ่ายืนเป็นวงล้อมอยู่ในขณะนี้

“ฉัวะๆๆๆๆ” ปลายแหลมคมของศรปักเข้าทะลุตัวแผ่นเหล็กอย่างง่ายดาย ศรธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษจากวัตถุดิบที่เฉพาะ ดินแดนน้ำแข็ง เท่านั้น “รับไป” กีโทรเรียตะโกน เขาขว้างเชือกฟางอย่างหนาข้ามระเบียงเข้าไปในห้อง

“ข้าจะไปรอที่คอกม้า ท่านนำคนเหล่านี้ไปพบข้าที่นั่น” “พบกันที่คอกม้า” กาเร็ทย้ำคำพูดของอาของตน “เอาล่ะทุกคนไต่เชือกนี่ลงไป เร็วๆเข้า…พวกข้าจะต้านไว้ให้ถึงที่สุด” กาเร็ทเหวี่ยงเชือกทั้ง 4 เส้นลงไปด้านล่าง เขาผู้ดปมไว้แน่นกับหัวรูปปั้นด้านใน


ภายนอกเมืองห่างออกไป 10 ไมล์ตะวันออก มุมมืดของแผ่นดินบัลลังก์สูงสุด กองทัพทหารในชุดเกราะเต็มยศจำนวนมากยืนเรียงรายกันอย่างแข็งขัน ชุดเกราะที่ดูแตกต่างไปจากกองทัพใดๆบนแผ่นดินนี้อย่างสิ้นเชิง

“เริ่มขึ้นแล้ว” ชายในชุดเกราะพร้อมเกราะหน้ารูปยักษ์อันเกรงขามกล่าว ข้างๆเขามีชายร่างใหญ่อีกคนนั่งบนหลังม้าเช่นกันแต่ความมืดยังคงปกปิดใบหน้าที่แท้จริงนั้นเอาไว้ “ส่งกองสอดแนมเข้าไป ขอมือดีที่สุด” เสียงอันแหบแห้งดังออกมาจากความมืด

“ครับนายท่าน” ชายในชุดเกราะหนาคล้ายซามูไร วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ช้าก็เร็วข้าจะได้หวนคืนสู่ที่ๆพ่อข้าเคยทิ้งไว้เสียที”


คอกม้าบริเวณรอบนอกหอคอยคู่ โจเซฟกำลังพยายามแบก ลอร์ดเคเรท ไว้บนหลังขณะที่ยังคงพยายามวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน “พ่อท่านนี่ตัวหนักใช้ได้เลยนะ” โจเซฟหันมาคุยกับ เฮคคาต ที่ว่วนอยู่กับการเตรียมอาวุธและเช็คสัมภาระ

“หุปปากแล้ววิ่งต่อไป” เฮคคาตสวนกลับอย่างเคร่งขรึม “เฮ้อ...หญิงหนอหญิง” โจเซฟยังคงก้าวเท้าไปข้างหน้า ถึงแม้คบเพลิงอันสว่างจ้ามากมายและเสียงหมาป่าล่าเนื้อมากมายยังเห่าหอนดังลั่นอยู่เบื้องหลัง “ท่านกาเร็ท” เสียงกระซิบดังออกมาจากคอกม้าด้านหน้ากาเร็ท “ท่านอา” กาเร็ทรู้ทันทีที่แสงจันทร์กระทบใบหน้าอันคุ้นเคย

“ข้าไม่คิดว่าอัลกาเรสจะใจกล้าทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ถึงแม้ว่า มันจะโหดร้ายก็ตามเถอะ” กีโทเรียส่ายหน้าอย่างผิดหวัง

“กองกำลังอารักขาของข้ามีทั้งหมด 20 คน ทุกคนเป็นฮาซาซินทั้งหมด ดังนั้นท่านไว้ใจในฝีมือพวกเขาได้” กีโทเรียกล่าว

“แล้วท่านอาจะไปไหน” กาเร็ทดึงแขน กีโทเรียไว้

“หาทางจบมันก่อนที่จะเกินเลยไปมากกว่านี้” กีโทเรียลุกขึ้นเดินจากออกไป

“แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกพวกเจ้า 5 คนคอยอารักขาคนเหล่านี้ กลุ่มที่ 2 จงรีบนำสาส์นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปบอกพ่อข้า ส่วนกลุ่มที่ 3 คอยคุ้มกันจากด้านหลัง ไปได้” กาเร็ทวางแผนอย่างรัดกุม “ครับท่าน” ฮาซาซินทั้งหมดตอบรับทันที

บทที่ 8 : ศรสังหาร

“ตามคนเหล่านี้ไปแล้วท่านจะปลอดภัย” โจเซฟบอกให้กลุ่มชนชั้นสูงตามฮาซาซินกลุ่มคุ้มกันออกนอกเมือง เพื่อลดภาระที่จะตามมารวมถึงเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง

“ทางนี้พวกข้าจะต้านไว้ให้นานที่สุดแล้วเราจะไปพบท่านที่จุดนัดพบ ท่านกาเร็ท” ฮาซาซินอีกกลุ่มกล่าวอย่างมั่นใจ

“ได้...ขอให้โชคดี ที่เหลือตามข้ามา” ขณะที่กลุ่มผู้เหลือรอดวิ่งรัดเลาะไปตามกำแพงสูงเพื่อหวังจะเปิดประตูทิศใต้ให้กับกลุ่มผู้หลบภัยเพื่ออกจากตัวเมือง อีกฝากของกำแพงเหล่าฮาซาซินที่ในมือถือสาส์นแห่งความจริงกำลังปีนกำแพงสูงเสียดฟ้าอย่างสุดกำลัง

"หยุด” การีน่ากระชากคอเสื้อชุดเกราะของกาเร็ทไว้แน่น ขณะที่กองทหารของเวนิสเตอร์เดินตรวจเช็คความเรียบร้อย พร้อมมองหาผู้รอดชีวิต “ให้ตายเถอะ ท่านหัดใช้ตามองไปรอบๆก่อนได้ไหม เดี๋ยวได้พากันตายหมดพอดี” การีน่าจัดชุดใหญ่ให้กาเร็ทไปหนึ่งรอบ

“เอาล่ะ ไปกันต่อ” กาเร็ทกล่าวนำ ไม่มีทีท่าขอบคุณสักนิด “เหอะ...ผู้ดีจังเลยนะ” การีน่าเย้ยเงียบๆ “เอาน่า” เกลเข้ามาห้ามน้องของตน


“อัลกาเรส” เสียงตะโกนกร้าวของ กีโทเรีย ดังไปทั่วโถงห้องพักของ อัลกาเรส

“อ้าวๆๆ...ไม่คิดเลยว่าจะเจอท่านที่นี่ เซอร์ กีโทเรีย คิดว่าจะหนีไปกับหลานชายเสียแล้ว” อัลกาเรสเดินลงบันไดพลางเย้อหยันอย่างพองใจ

“หยุดเรื่องบ้าๆนี่เสียที ก่อนที่มันจะลามไปมากกว่าที่เป็น” กีโทเรียโต้กลับ

“ลองมาหยุดข้าสิ” อัลกาเรสยกแขนขึ้น “ครืนน” เสียงฝีเท้าพลธนูจำนวนมากวิ่งกรูกันออกมายืนเรียงแถวเป็นระเบียบ ทั้งหมดง้างคันศรอย่างเต็มกำลัง

“ชิ้งง..ง” ดาบยาวสีฟ้าอ่อนสะท้อนแสงถูกชักออกจากฝัก แสงเทียนกระทบผิวดาบอันเบาบางจนเผยเป็นประกายสง่างาม “โอ..นี่สินะ ดาบ แห่ง ตุฬาการ ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกเป็นครั้งที่ 2 เลยนะท่าน กีโทเรีย หรือท่านจะกลับมาเป็นนักฆ่าในเงามืดเหมือนครั้นนั้น” อัลกาเรส ก้าวเท้าถอยหลังอย่างช้าๆ

“ถ้าทำเช่นนั้นแล้วได้หัวของข้าไปเสียบประจานล่ะก็ ข้ายอม...ตายซะ” กีโทเรียพุ่งเข้าชาร์จใส่อัลกาเรสอย่างรวดเร็ว “ฟ้าว...” ศรนับสิบถูกปล่อยออกจากคันศรเมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหว

“ตายเสียเถิด สหาย”


“บ้าชัดๆ นี่มันบ้ากันไปหมดแล้ว” บัลร็อค โอไลก้า กำลังครุ่นคิดวิเคราะห์สาเหตุต่างๆรวมถึงผลที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า ถ้าน้องสาวของเขาไม่ถูกจับไปจริงๆล่ะก็ป่านนี้ เวนิสเตอร์ คงแหลกเหลวเป็นผุยผงด้วยมือของกองทัพของเขาหมดแล้ว “ตึง” เสียงดาบทั้งสองเล่มของบัลร็อคล้มตึง สายตาที่กำลังคุร่นคิดหันตามเสียงดาบของตนด้วยความสงสัย สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นแสงไฟมากมายของหน่วยลาดตระเวนที่กำลังต่อสู้กับเหล่าฮาซาซินในชุดเกราะสีดำน้ำเงินอย่างดุเดือด

“นั่นมันกองกำลังพิเศษของ เคอร์เซ็ท หนิ...ทำไมถึงมาที่นี่ได้...รึว่า” บัลร็อคคว้าดาบทั้งสองเล่มพุ่งออกจากห้องไป โดยไม่คิดถึงอนาคตภายหน้าเสียก่อน ใจที่ยังครุ่นคิดถึงคำลวงทั้งหลายที่อัลกาเรสบอกเขามา ใจที่ยังคิดถึงน้องสาวของตน


“นกคาบข่าวจากเมืองหลวงโครวเซ็นครับท่าน” เสียงทหารในชุดเกราะสีเงินตัดด้วยแดงเลือดหมูกล่าวขณะที่ก้มคุกเข่าอย่างนอบน้อมต่อหน้า พระราชาอันเด็ดเดี่ยว เจ้าแห่งดินแดนตะวันตก ผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดแห่งสงคราม อนาคิม ซาคารอน พระราชาแห่งสายเลือกรีควินเนอร์ ผู้ไม่เคยแพ้

“เรียกคริสตันและอลิซาเบธมาพบข้าตอนนี้” เสียงอันแน่นไปด้วยความหนักแน่นกล่าวอย่างที่จุดมุ่งหมายปริศนา

“ครับท่าน” ทหารคนนั้นกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืนจากออกไปอย่างรวดเร็ว “

“หากจะไม่เป็นการรบกวนสาส์นนั่นกล่าวถึงเรื่องได้เพค่ะ” เสียงพระชายา ไดอาน่า แห่งรีควินเนอร์ที่ 3 กล่าว

“ทัพแห่งโพ้นทะเลมาถึงแล้ว พร้อมกองกำลังทั้ง 32 ที่เลื่องลือ” สิ้นเสียงอนาคิม สายตาไดอาน่าดูขุ่นหมองในทันที เธอกำลังพยายามคิดในแง่ดีแต่ก็คงมิอาจทำได้ ในอดีตต้นตระกูลของเธอร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เหล่าตระกูลรีควินเนอร์มานานแสนนาน เมื่อครั้นนั้นทุกตระกูลต่างพร้อมใจรวมตัวรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเข้าต่อกรกองกำลังอันน่าสะพรึง แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ทุกตระกูลกำลังเกิดเรื่องบาดหมางจากภายในทุกคนต่างเมินเฉยซึ่งกันและกัน แล้วจักต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถล้มกองทัพอันมหึมาของเหล่านักฆ่าผู้กระหายเลือดลงได้

“โชคชะตาไม่มีบนที่ๆข้ายืน เพราะข้านี่แหละกำหนดมันขึ้นมา” อนาคิมกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น เขาจับบัลลังก์ก่อนจะดันตัวเองให้ยืนตรง “จงเตรียมกองทัพให้พร้อมรับศึก และจงส่งสาส์นด่วนไปถึงทุกตระกูลใต้อาณัติรวมถึงตระกูลสูงสุดทั้งหมดด้วย ถ้าไม่มีใครช่วยเรา พวกเราก็คงต้องช่วยตัวเองแล้วล่ะ” อนาคิม ออกคำสั่งดังไปทั่วท้องพระโรง

“พะยะค่ะ พระราชา” ผู้รับสาส์นทั้งเจ็ดคนน้อมรับคำสั่ง พวกเขาโฉบออกจากท้องพระโรงไปอย่างรวดเร็ว


“ฮัดช่า...ผัวะ” เสียงทวนผ่าเข้ากำแพงลมก่อนจะปะทะไปที่หน้าของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของเวนิสเตอร์อย่างแรง

“ถ้ามีดีแค่นี้ก็เข้ามาเลย” การีน่าท้าทายอย่างยียวน “สิ่งที่ข้าไม่อยากทำ คือการทำให้ศัตรูโกรธจนมันคิดจะพุ่งเข้ามาพร้อมกันนะน้องข้า” เกลรีน่าจับแขนน้องสาวเบาๆ

“แต่ข้าชอบตอนที่มันเข้ามาให้ข้าซัดให้น่วมนี่ล่ะ” ไม่ทันพูดจบเกลพุ่งลงแนวดิ่งพร้อมสะบัดดาบยาวเรียวไปที่ข้อต่อขาของศัตรู แผลบาดเล็กแต่กลับมีพลังส่งให้ทหารแต่ล่ะคนลงไปนอนเจ็บปวดข้อเท้าอย่างทรมาน

“ข้อต่อขาด ถ้าจะต้องนอนไปอีกนานนะ” เกลลุกขึ้นพลางสะบัดเลือดที่ติดอยู่ปลายดาบไปด้วย “ทางนั้นน่ะมาช่วยหน่อยเร็ว” เสียงโจเซฟที่กำลังยกโล่เหล็กรับศรธนูอย่างไม่หวาดไม่ไหวจากนักธนูกลุ่มใหญ่ที่ยืนเรียงรายสาดลูกศรเหล็กแหลมคมอย่างสะใจ

“อย่าคิดว่ายิงเป็นอยู่ฝ่ายเดียวสิ” เสียงเฮคคาตพูดเบาๆ ก่อนที่จะยกคันศรขึ้นสายตาที่คมกริบพร้อมแนวแขนที่เหยียดตรง เสียงเส้นเอ็นของคันศรถูกดึงจนตรึง “ฟ้าวว..วว” ลูกศรเหล็กพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

“ฉัวะ...” ปักเข้าที่กลางหัวของนักธนูคนหนึ่งอย่างจัง เลือดที่แดงไหลออกมาตามร่องของหมวกเหล็ก ‘ให้ตายเถอะ แรงยิงเยอะชะมัด” กาเร็ทตะโกนอย่างชื่นชมปนความสะใจผิดกับที่เขาก็พยายามยกโล่บังหัวของตัวเองเหมือนโจเซฟเช่นกัน “ถ้ายังสู้กันตรงนี้มีหวังพวกมันเรียกกำลังเสริมมาก่อนที่เราจะไปเปิดประตูหลักพอดี” ลอร์ดเคเรทกล่าว ขณะที่ยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะจากการที่พึ่งฟื้นจากอาการสลบได้ไม่นาน

“ไปกันได้แล้ว” เกลรีน่าตะโกนย้อนกลับมา “ทางสะดวก” เขาเสริม

“รอนานนะ โธ่เว้ย” โจเซฟยกโล่ขึ้นก่อนจะเหวี่ยงเป็นแนวเฉียงไปสุดแรงเกิด โล่เหล็กปะทะเข้ากับพลธนูคนหนึ่งอย่างแรง "ข้าให้เป็นของขวัญนะ" โจเซฟกล่าวเยาะเย้ย “เร็วเข้าๆ” เกลรีน่ายืนคุมเชิงบริเวณประตูแกนกลางของกำแพง

มุมมืดของเมืองกองกำลังเล็กกำลังปีนกำแพงขึ้นไปอย่างเงียบๆ ชุดเกราะสีดำสนิทช่วยให้ความกลมกลืนกับค่ำคืนที่ไร้ซึ่งดวงจันทร์ใดๆ

“ตามล่ากลุ่มผู้เหลือรอด แล้วฆ่าอย่าให้เหลือ” ชายในชุดเกราะสีดำสนิทคนหนึ่งออกคำสั่ง

“ครับ”

บทที่ 9 : ตื่น

“ตุบๆๆๆ” เสียงฝีเท้าเหล่าทหารมากมายวิ่งว่อนไปตามทางเดิน ตรอกซอยมากมายใกล้กับกำแพงเมืองที่สูงชันจนน่าหวาดผวา

“ถ้าจะหนีออกไปทั้งที่ครบ 32 ก็ต้องวิธีนี้แหละน่า” เฮคคาตในชุดเสื้อคลุมแขนสั้น กางเกงผ้าสีน้ำตาลอ่อนกล่าวอย่างใจเย็น แต่ล่ะคนต่างพยายามพลางตัวโดยการไปขโมยชุดที่ตากอยู่ของชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย

“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ชุดมันก็อีกเรื่องนึง แต่ทางออกที่เต็มไปด้วยกองรักษาการก็อีกเรื่องนึง” โจเซฟยกมือขวาแย้งขึ้น

“ช่องทางใต้ดินที่ไว้ระบายน้ำออกสู่แม่น้ำสายหลักของโครวเซ็นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงไมล์ ฉะนั้นหุบปากแล้วทำตามที่ข้าบอก” เฮคคาตโชว์เหนือด้วยปัญญาและความชำนาญการเส้นทางเป็นพิเศษ

“ท่านไปสอนอะไรเขาเนี่ยถึงได้ห้าวหาญถึงขั้นนี้” โจเซฟหันไปคุยกับลอร์ด เคเรท ที่หน้าตาดูแปลกใจกับทีท่าของลูกสาว

“เปล่าเลย...ข้าไม่เคยมีเวลาให้กับลูกข้าเสียที จนทุกอย่างมันเกิดขึ้น ข้าถึงเข้าใจความสุขที่แท้จริงของข้า” เคเรทถอนหายใจอย่างหมดหวัง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าขออย่างเดียวเท่านั้นเซอร์โจเซฟ” เคเรทกระซิบข้างหูโจเซฟอย่างมีลับลมคมนัย “ข้ารับปากครับท่าน” โจเซฟยื่นมือไปจับมือเคเรทอย่างมุ่งมั่น “ข้าสัญญา”


“ท่านอัลกาเรส เรายังหาผู้หลบหนีไม่พบเลยครับท่าน” หัวหน้ากองอารักขากล่าวอย่างเหนื่อยหอบ

“ก็หาต่อไปสิเว้ย” อัลกาเรสตะโกนแข็งกร้าว จิตใจที่ร้อนรนกำลังกลุ้มอย่างหนัก

“พวกเจ้ามีแผนอะไรกันแน่นะ” เขากล่าวพลางมองไปรอบๆตัวเมือง


“นั่นไงทางออก” เฮคคาคเอ่ยอย่างมีหวัง เบื้องหน้าประตูระบายน้ำที่ไร้ซึ่งทหารคุ้มกัน “คิดจะไปไหนมิทราบท่านหญิง” ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะสรดำเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ “เหอะ...ข้าว่าแล้วมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล” เคเรทพูดขึ้น

“หน่วยสังหารมือหนึ่งจากกองทัพแห่งโพ้นทะเล...เรเว่น” ชื่อที่เป็นตำนาน กองกำลังที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าร่วมสงครามชิงแผ้นดินเมื่อครั้นเนิ่นนานมาแล้ว หลายคนกล่าวว่า เรเว่น คืออีกาพญายมที่พร้อมจะโฉบกัดกินวิญญาณผู้ที่ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น เมื่อสงครามชิงดินแดนจบลง เรื่องเล่าจึงสลายหายไปพร้อมกับกลุ่มนักฆ่าเหล่านี้

“ยังมีอยู่จริงๆตามที่ข้าคิดไว้สินะ” เคเรทยิ้มอย่างน่าแปลกใจ “ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงเสียที” เขาเสริม

“พวกเจ้าไม่มีวันได้แผ่นดินนี้ไปครอบครอง ไม่มีวัน” กาเร็ทก้าวออกมาอย่างห้าวหาญ

“ท่านชาย...ท่านคิดผิดเสียแล้ว” หัวหน้ากลุ่มเรเว่นถอยตัวออกมา ขณะที่นักฆ่าอีกสองคนถือถุงสีดำเดินออกมา “ฟุบ...” ทั้งคู่โยนถุงดำนั้นลงกับพื้น

“กะ....แก” กาเร็ทถึงกับเลือดขึ้นหน้าอย่างโกรธแค้น ถุงดำนั้นคือหัวของกลุ่มฮาซาซินที่ กาเร็ท ออกคำสั่งให้นำสาส์นไปส่งให้ถึงมือพ่อของตน

“ที่จริงข้ามีอีกเยอะนะ แต่ทิ้งไปหมดแล้วล่ะรวมถึงหัวของชนชั้นสูงที่พวกเจ้าคิดจะพาหนีออกไปด้วย” สายตาอันเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณีจ้องมองไปที่กาเร็ท

“หนทางนั้นสั้นเกินกว่าพวกท่านจะเข้าใจในความหมายของการเป็นมนุษย์ ดังนั้นตายเสียที่นี่ซะเถอะ” สิ้นเสียงเหล่านักฆ่าอาวุธครบมือกว่าสิบคน พุ่งโฉบเข้าใส่กลุ่มผู้เหลือรอดอย่างรวดเร็ว “ฮะฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะที่น่าสยดสยองดังขึ้น

“พวกมันพยายามหลอกล่อเราให้แตกกลุ่ม เกาะกันไว้” เกลรีน่าตะโกน

“ฉัวะ...” เสียงมีดสั้นปักเข้ากลางอกของเกลรีน่าอย่างจัง “อั่ก...” เกลรีน่าล้มทรุดลงกับพื้นในทันที

“ท่านพี่” การีน่าวิ่งเข้าไปรับร่างอันขาวซีดของพี่ตนเองอย่างรวดเร็ว “เป้ง” เสียงดาบปะทะโล่ของโจเซฟที่เข้ามาป้องกันการีน่า

“ขะ...ข้าขอโทษ...น้องรัก” เกลยกมือขึ้นลูบใบหน้าอันผ่องใสของน้องตนเองอย่างเอ็นดู “ข้าว่าเจ้าคงต้อง...ซ้อมฟันดาบคนเดียวแล้วล่ะ...อั่ก” เกลพยายามหายใจอย่างสุดกำลัง

“ข้าจะ...ยังคงรักเจ้าเสมอ...น้องรัก” สิ้นเสียงฝ่ามือที่เย็นเฉียบล่วงหล่นราวกับใบไม้ที่แห้งตาย “ฮึกๆ...ท่านพี่...ตื่นขึ้นมาก่อน...พี่ชาย” การีน่าพยายามเขย่าร่างอันไร้วิญญาณของพี่ชายอย่างเต็มที่ เสียงตะโกนรอบตัวกลับจางหาย เหมือนเวลามันหยุดนิ่ง

“การีน่าหยิบดาบขึ้นมาเร็ว” โจเซฟตะโกนแต่ไร้ผล สายตาอันว่างเปล่า ร่างกายที่แน่นิ่ง

“โธ่เว้ย” โจเซฟตะโกนลั่นขณะพยายามกันดาบที่เข้าปะทะอย่างไม่ลดละ

“ทำไม...ทำไมข้าอ่อนแอถึงเพียงนี้” โจเซฟนึกคิดอย่างหดหู่

“ท่านพ่อ...ข้าไม่สามารถปกป้องเพื่อนของข้าได้...ทำไม” เสียงที่ดังกังวานในหัวของโจเซฟดังขึ้นทุกขณะ “ทำไมๆๆๆๆๆ” คำพูดที่ซ้ำไปซ้ำมาซ้ำเติมจิตใจของโจเซฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ทำไมว้อยยย...ยยย” โจเซฟระเบิดเสียงตะโกนดังสนั่น ดังเสียจนทุกอย่างถึงกับสั่นสะเทือนไปมา เหล่านักฆ่าต่างหยุดนิ่งทันที สายตาของความเป็นมนุษย์จางหายไป เผยเป็นนัยน์ตาแห่งนักล่า สายตาของ...มังกร

“ฮึ่ม....” ลมหายใจของโจเซฟดังขึ้น

“ฆ่ามัน” เหล่านักฆ่าพุ่งเข้าใส่โจเซฟแทบจะทันที

“โจเซฟ” เฮคคาตตะโกน “อย่า” กาเร็ทเดินเข้ามาขวางในทันที “นั่นไม่ใช่โจเซฟ...ในตอนนี้เท่านั้น”


“ตูมม...มม” แรงลมปะทะกับร่างของนักฆ่ามือหนึ่งคนหนึ่งจนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร

“ฉัวะ” เสียงปลายดาบอันแหลมคมทะลุร่างของนักฆ่าอีกคนอย่างรวดเร็ว “ปีศาจชัดๆ” นักฆ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังกล่าว

“ฉัวะ...ฉัวะๆๆ” เสียงคมดาบตัดผ่านร่างกายของเหล่าเรเว่นอย่างง่ายดาย “เร็วเหลือเกิน...พรวดด” หัวของนักฆ่าแทบจะทั้งหมดหลุดออกจากบ่าในทันที “เจ้า...” นิ้วของโจเซฟหันไปทางหัวหน้าของเหล่าเรเว่น “บังอาจ...” เสียงที่ทุ้มต่ำจนน่าหลัวของโจเซฟเอ่ยช้าๆ

“พอแล้ว” กาเร็ทจับแขนของเพื่อนที่กำดาบไว้แน่นจนรูปร่างสันดาปบิดเบี้ยว

“พอแล้วโจเซฟ” กาเร็ทมองหน้าเพื่อนของตนที่ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นอสูรร้าย

“อย่ามายุ่งกับข้า” โจเซฟสะบัดแขนจนกาเร็ทต้องกระโดดถอยออกมา

“ถ้าเราไม่หยุดเขาตอนนี้ โจเซฟจะไม่มีวันกลับมาเป็นคนเดิมแน่ แล้วปัญหาของพวกท่านจะเป็นเรื่องที่เล็กนิดเดียวถ้าเทียบกับปล่อยให้โจเซฟเปลี่ยนไปเป็น....มังกร” กาเร็ทเอ่ยคำที่ทุกคนต่างไม่ได้คาดหวังว่าจะกาเร็ทจะพูดขึ้น

“มังกร” เฮคคาตทวนคำตอบ

“ใช่...มังกร โจเซฟมีเลือดของพ่อเขาอยู่ สามในสี่ ข้าเป็นไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้” กาเร็ทอธิบายแบบฉบับรวบรัด

“แต่มังกรตายไปเมื่อพันกว่าปีแล้ว ทำไมถึงยัง...” เคเรทเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ

“เพราะพ่อของเขาเป็นมังกรไงล่ะ แต่อยู่ได้ทั้งกายหยาบที่เป็นมนุษย์และมังกร” กาเร็ทตอบคำถามอย่างรวดเร็ว

“ทีนี้เราต้องหยุดเขาก่อนที่จิตใต้สำนึกของมนุษย์จะถูกลบเลือน”

pza00007
17th November 2011, 12:34
มาแล้ว ^ ^ มาถึงก็โดนนำทัพเลยแฮะ ^ ^

THELiw
17th November 2011, 14:09
พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก

ponzaaz55
20th November 2011, 18:30
รออ่านอยู่นะครับ ^^

newvisions
20th November 2011, 23:39
รออ่าน อยู่เลย

Rex
22nd November 2011, 13:46
อัพเดทครับ พยายามดึงลักษณะของแต่ล่ะคนที่เขียนออกมาให้เหมือนที่สุดแล้วนะ

newvisions
22nd November 2011, 18:04
เฮคคาต ได้ออกแล้ว อิอิ
จะได้ออกศึกไหมนะ :mad:

ponzaaz55
22nd November 2011, 18:30
เท่ๆ อ่านแล้ว เข้าถึงอารม จริงๆ ครับ ท่าน

Rex
22nd November 2011, 19:34
ทุกอย่างต้องดำเนินเรื่องตาม plot นะครับ ดังนั้นไม่ใช่ว่าเปิดมา ฟันกันตาแหก อันนี้ไม่ใช่นิยายแล้วครับ... :hehe ข้อความนี้ถึงเหล่า HardCore ที่ชอบสงคราม... ฮ่ะๆๆ

5day-ago
22nd November 2011, 20:24
ตอนใหม่ๆๆๆๆๆๆ :o

panseeme
22nd November 2011, 20:27
เจ๋งครับ เจ้าไวลี่ของผมเจ้าเล่ห์ได้ใจ อากับกริยา ถูกใจดีครับ^^

จะติดตามเรื่อยๆแล้วกันนะ

obama1230
23rd November 2011, 02:54
มีน้องสาวซะแล้วสิ หึหึ

Rex
23rd November 2011, 16:46
อัพเดท ฟิตไว้จะได้งีบยาวๆ

5day-ago
23rd November 2011, 17:43
อัพเดท ฟิตไว้จะได้งีบยาวๆ

ฟิตมากๆ ก็ลงต่อเลยครับ :)

newvisions
23rd November 2011, 19:12
เฮคคาต เหมือนมีแผน ในใจ อิอิ

ponzaaz55
26th November 2011, 20:27
รอๆ ตอนที่ 4 ๆ อร๊ากกกกกก

Rex
27th November 2011, 12:15
อัพเดทครับ เดี๋ยวช่วงนี้จะลงช้านะครับ มีงานด่วนเข้ามาต้องทำ ถ้างั้นช่วยรอก่อนนะ

saimtogo
27th November 2011, 12:39
โดนด่าว่าบ้าเลือดเฉยเลย-*-
ปล.รู้ตัวอีกที อ่าวเริ่มแต่งแล้วรึ:sweat
ปล2. ตอบอันที่ดาบเจ็ดเล่ม : เอาอันเล็กๆเซ่เอาทำไมอันใหญ่ แบกอันใหญ่ได้หน้ามืดกันพอดี:sweat

5day-ago
27th November 2011, 17:24
โอ้ว~ โจเซฟพาสาวออกเที่ยวซะแล้ว 5555

ปล.รอตอนใหม่ๆๆๆ :dance

newvisions
27th November 2011, 21:44
ฮ่าๆ เฮคคาตนี่ถ้าเป็น อนิเมะ นี่ นางเอก ชัวร์ อิอิ

GrimReaper
29th November 2011, 00:08
หึหึ ข้าพเจ้าสมัครตัวละครไปละ เดี๋ยวจะอ่านนิยายพรุ่งนี้นอนก่อนละ เที่ยงคืนละ -*-

ponzaaz55
6th December 2011, 18:01
รออ่านต่อนะครับ ท่าน ^^

สู้ๆ ^^

Rex
6th December 2011, 18:29
ใจเย็นครับ พึ่งไปช่วยน้องสอบสัมภาษณ์ มหาวิทยาลัย ครับ พึ่งเสร็จหมาดๆ รอผลออก :gamer

Rex
19th December 2011, 20:30
ประกาศหน่อยนึง ทางคนเขียนมี กิจธุระมากมายคาดว่าใช้เวลาเกือบ 1 เดือนเพื่อเคลียร์งานใหญ่ รวมไปถึงต้องออกเดินทางไปต่างประเทศหลายที่ และไม่อาจเปิดเผย ดังนั้น หากจะยังคอยติดตาม ก็ขอช่วยรอกันด้วยครับ มิได้ทิ้งไปแต่อย่างใด คาดว่า 1-1.5 เดือนจะกลับเดินเครื่องได้

Regard:Rex

ponzaaz55
20th December 2011, 12:49
ประกาศหน่อยนึง ทางคนเขียนมี กิจธุระมากมายคาดว่าใช้เวลาเกือบ 1 เดือนเพื่อเคลียร์งานใหญ่ รวมไปถึงต้องออกเดินทางไปต่างประเทศหลายที่ และไม่อาจเปิดเผย ดังนั้น หากจะยังคอยติดตาม ก็ขอช่วยรอกันด้วยครับ มิได้ทิ้งไปแต่อย่างใด คาดว่า 1-1.5 เดือนจะกลับเดินเครื่องได้

Regard:Rex

รออยู่เสมอ ครับ ^^

Rex
30th December 2011, 22:50
อัพเดทครับ ตอนนี้อาจน้อยใจกันหน่อยนะ พอดีมันต้องสื่อถึงนิสัย ของตัวละครทีละคน สองคน

5day-ago
30th December 2011, 23:02
อัพเดทครับ ตอนนี้อาจน้อยใจกันหน่อยนะ พอดีมันต้องสื่อถึงนิสัย ของตัวละครทีละคน สองคน

โจเซฟระห่ำจริงๆ เฮคคาตนี่ก็โหด เข้ากันได้ ^^ นั่งรอตอนใหม่

newvisions
4th January 2012, 20:04
เฮคคาต โหดขนาด

5day-ago
4th January 2012, 20:34
ิอัพเดทๆๆๆๆๆ ^^

Rex
4th January 2012, 20:41
สงสัยจะได้คู่กัน แต่ว่าจะไปรอดหรือเปล่าไหมเอ่ย? ปัญหาเรื่องนี้ขอบอกตรงๆ คือ ก็คงเดาทางเรื่องกันได้บ้างสินะ แต่เนื่องจากตัวละครก็เยอะ ตัวประกอบก็เยอะ (สำคัญอีกต่างหาก)
แต่ล่ะคนก็มีกองทัพนับหมื่นอยู่ในอาณัติ ไอเราก็คิดหนักจะวางกลอุบายอย่างไรให้มันครอบคลุม เนื้อเรื่อง

นี่แหละปัญหา แต่ตอนนี้คิดออกแล้วอย่างแจ่มแจ้ง เอาเป็นว่าไม่ออกมาแบบ เอ๋อๆแน่นอน

ไม่ใช่แนวประมาณว่า ตัวร้ายจับตัวดีไว้ แล้วกองทัพทั้งหมดเจือกยอมแพ้ไปเฉยๆ < อันนี้ ปัญญานิ่ม ครับ ฮาาา...าา


เหนือหัว(King) ----------> ลอร์ด ----------> บารอน ----------> เซอร์ ------------> บารอนชั้น 2-3 ------------> ผู้ได้ยศศักดินาต่างๆ ------------> กัปตันกองอารักขาส่วนพระองค์--------------->นายพล นายพันกองทัพใหญ่-------------> กัปตันกองทหารย่อย ----------> นายทหารชั้นกลาง ------------> ทหารทั่วไป

Rex
13th January 2012, 17:42
อัพเดท พร้อมรบ!

obama1230
13th January 2012, 18:37
หนุกๆ อยากดูตอนต่อไปๆ

5day-ago
13th January 2012, 20:04
อัพเดทๆๆๆๆๆ ^^

newvisions
16th January 2012, 12:25
ในฐานะที่เป็นกบฏต่อ โครวเซ็นและตระกูล เวนิสเตอร์ เอ้า เห็นแต่ เวนิสเตอร์จะ กบฎ เกี่ยวไรกับ โครวเซ็น ละเนี่ย อัลกาเรส จะกบฎ หรือถูกบังคับให้ทำ

Rex
16th January 2012, 13:13
คำอ้างไงครับ ถ้าในฐานะของผู้ปกครองและผู้พิทักษ์แล้ว จำเป็นต้องอ้างสิทธิ์ของทั้ง 2 กลุ่มครับ เพราะทั้ง เวนิสเตอร์กับโครวเซ็น เหมือนเป็นหุ้นส่วนกันประมาณนั้นครับ

Rex
27th January 2012, 17:28
อัพเดทครับ สั้นๆไม่ยาวมากขออภัย

newvisions
28th January 2012, 16:45
พี่ชายฝาแฝดของ เฮคคาต ไปไหน อ่ะ อยู่ที่ชายแดน หรือเปล่า

Rex
28th January 2012, 18:41
ครับ ออกไปรบประมาณตอนกลางๆ นกส่งสาส์นจะรอดออกไปรึเปล่าอันนี้ต้องรออ่านต่อไปครับ

Rex
28th January 2012, 19:28
http://image.ohozaa.com/i/4f0/gNLvKh.jpg

ART WORK
ซ้ายสุด: ฮาซาซิน (อัศวินอารักขาพิเศษ ตระกูล เคอร์เซ็ท) , กลาง: กองอารักขา เคอร์เซ็ท , ขวา: กองอารักขา ดาร์กวิง
Draft Work หยาบๆ สีที่ใช้ไม่ครบอีกตั่งหาก ดาร์กวิง: ตระกูลที่อาศัยภายใต้เงามืดแห่งหุบเขา เกราะจึงค่อนข้างสีเข้มเพื่อเป็นต่อในการต่อสู้ช่วงกลางคืน
เคอร์เซ็ท: ตระกูลที่อยู่ในเขตหนาวเย็นที่มีแต่น้ำแข็ง สีจึงออกฟ้าถึงเข้ม (สีเพี้ยนนะภาพนี้) ฮาซาซิน: แทรกซึมจึงต้องแต่งตัวตามประเภทของพื้นที่

Stormwind
13th February 2012, 01:34
ขออนุญาติดันกระทู้ให้พี่ Rex ครับผม

By Stormwind [Male]

eswc2011
13th February 2012, 15:58
ดัน ๆครับ เดี๋ยวกระทู้ตก จะอดอ่านๆ

Rex
13th February 2012, 18:19
กำลังลุยต่ออยู่ครับ

Rex
18th February 2012, 20:43
ช่วงนี้ต้องขออภัยอีกครั้งที่ส่งเรื่องช้า พอดีว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตอนนี้ พึ่งเข้าฉุกเฉิน แต่ไม่อยากพูดอะไรมากเดี๋ยวเหมือนพวกจุกจิก งั้นใจเย็นๆก่อนนะครับ

5day-ago
18th February 2012, 22:14
ช่วงนี้ต้องขออภัยอีกครั้งที่ส่งเรื่องช้า พอดีว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตอนนี้ พึ่งเข้าฉุกเฉิน แต่ไม่อยากพูดอะไรมากเดี๋ยวเหมือนพวกจุกจิก งั้นใจเย็นๆก่อนนะครับ

ขอให้หายไวๆครับท่าน Wrex เอ๊ย Rex :)

obama1230
21st February 2012, 21:59
สนุกมาก ! ครับผม !

Rex
24th February 2012, 17:20
อัพเดทครับ

5day-ago
26th March 2012, 08:51
ดันๆ ตอนใหม่ใหม่ๆๆๆ :)

Rex
24th April 2012, 12:27
อัพเดท..........โจเซฟเด่นดังตอนนี้

ps. ตอนหน้าจัด 4 ตัวละครใหม่ที่สมัครกันเมื่อเนิ่นนานมาแล้วให้นะ........ถ้ายังมีคนอ่าน........

StormRain
24th April 2012, 13:02
ผมกำลังรออ่านอยู่น่ะครับ

5day-ago
24th April 2012, 13:51
โดวาคินๆๆ หิวจนโซ เป็ดพะโล้ โอ้นี่ตูด โอ้มังกร....

ปล.ผมขอตัวลงวินโดวใหม่ก่อนนะครับ ไวรัสกิน(อีกแหละ เฮ้อ...)

อัพเดท 18:18 ลงวินโดวเสร็จไปหนึ่งรอบ ยังเมื่้อเดิม ผมคงต้องจัดการเผด็จศึกล้างทั้งเครื่องไปเลย!

5day-ago
4th June 2012, 18:02
ดันให้ครับผม เรื่องนี้หายไปนานเลย

Rex
4th June 2012, 18:52
รอกันไปก่อนนะเหนื่อยงานเยอะ....... อยากไปเรียน ม.ปลาย ไม่ก็ ประถม อีก...

LoveSeeker
4th June 2012, 19:06
รอกันไปก่อนนะเหนื่อยงานเยอะ....... อยากไปเรียน ม.ปลาย ไม่ก็ ประถม อีก...

ผมอยากลาออกไปสอบนายสิบแล้วล่ะท่าน
กิจกรรมเยอะมาก

5day-ago
4th June 2012, 19:13
ของผมงานยังไม่ค่อยมี แต่ต้องเตรียมสอบมหาลัยแทน ปวดหัว :dash

taone1414
4th June 2012, 20:00
เรียนหนักกันจังเลยนะครับผม

เป็นกำลังใจให้เพราะช่วงนี้ผมก็เร่งอ่านหนังสือเหมือนกัน

เพราะจะสอบแล้ว

ยังไงก็สู้ๆครับ

5day-ago
6th August 2012, 19:08
ดันๆๆๆ เรื่องดีๆอย่าให้ตก ^^

saimtogo
13th September 2012, 11:55
หายไปนานเลย:sweat

Rex
13th September 2012, 12:53
ทำงานน่ะครับ อีกอย่างผมกำลังช่วยเรื่อง กลุ่มคอลัม ของเว็บนี้ด้วยยังไม่รู้ลองหาดูใน Center ชื่อ Satisfaction

saimtogo
28th December 2012, 20:33
เข้ามาดู//แล้วออกไป:confused: