PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Project : New Era of Mankind



noztalgixs
18th July 2011, 01:56
พอดีว่าบอร์ดเก่ามันหาย ผมลงใหม่เลยละกัน เผื่อใครยังไม่เคยอ่านด้วย



Page - 0 : The Begining Of The End (Intro)

...หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 3 โลกที่ได้ชื่อว่าดวงดาวสีน้ำเงิน ก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือสภาพเดิมอีกต่อไป

ทั้งนี้เป็นเพราะก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้มีประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง

ก้าวล้ำเส้นไปยังขอบเขตที่ไม่ควรจะข้ามไป

โดยที่ผู้นำของประเทศนั้น ได้สั่งการวิจัยอย่างลับๆ

โดยตั้งชื่อโครงการนี้ว่า "Eden"

โดยจุดประสงค์ของโครงการนี้ก็คือ... การสร้างสิ่งมีชีวิตที่เหมือนในเทพนิยาย "เพื่อการสงคราม"

แต่ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยก็คือ

สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น...มีตัวตนอยู่แล้ว

จึงไม่จำเป็นเลยที่จะพยายามสร้างขึ้นมาใหม่ เพียงแค่หาให้พบเท่านั้น

แต่เพราะเหตุอันใดไม่ทราบ จึงทำให้การทดลองเกิดผิดพลาดและมีเชื้อไวรัสชนิดพิเศษที่ไม่น่าจะทำอันตรายต่อมนุษย์...แพร่กระจายออกไป

ผู้นำของประเทศนั้นได้สั่งปิดให้เรื่องนี้เป็นความลับที่สุด เพราะคิดว่าเชื้อไวรัสคงไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้นาน

ทว่า... หลังจากที่มีเชื้อไวรัสแพร่กระจายออกไป เชื้อร้ายนั้นกลับคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย

ทำให้เหล่าประเทศอื่นๆ ต่างก็คิดว่าประเทศมหาอำนาจคงผลิตอาวุธชีวภาพที่สมบูรณ์แบบได้แล้ว

จึงทำให้ความเข้าใจผิดนี้ เกิดบานปลายจนก่อเป็นสงครามระหว่างประเทศขึ้นมา

แม้จะยังหาวิธีแก้ไวรัสไม่ได้ แต่ประเทศมหาอำนาจก็ต้องคิดหาวิธีรับมือกับการโจมตีจากรอบด้าน

จึงได้คิดค้นAI (Artificial Intelligence หรือก็คือ สมองกล) ที่ทำหน้าที่แทนมนุษย์ในการสั่งการเครื่องจักรและเครือข่ายต่างๆ

โชคไม่ดีที่เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินไป ทำให้AIตัวนี้ มีความคิดเป็นของตนเอง และต้องการที่จะยึดครองโลกเสียเอง

จากสงครามระหว่างประเทศใกล้เคียง...เริ่มบานปลายไปยังประเทศที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดเป็นสงครามโลก

ในที่สุด...สงครามโลกก็จบลงพร้อมกับโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้า

ผืนแผ่นดินกว่า 60% กลายเป็นทะเลทราย

ผืนน้ำกว่าครึ่งแห้งขอด กลายเป็นหุบเหวต่างๆ

ประเทศต่างๆ ที่อยู่บนแผนที่โลก เหลือไว้เพียงชื่อเท่านั้น

มีมนุษย์เพียงหยิบมือเท่านั้นที่ยังเหลือรอดอยู่

ทว่า...พื้นที่บนโลกนั้น ไม่ได้ถูกครอบครองโดยมนุษย์อีกต่อไป

พื้นที่แห่งทะเลทรายร้อนระอุที่กว้างสุดลูกหูลูกตา...กลายเป็นของเหล่าเครื่องจักร

เมืองที่รกร้างและไม่สามารถซ่อมแซมได้ดังเดิม...กลายเป็นของเหล่าซอมบี้กระหายเลือด

มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่ทั้งหมด ได้กระจัดกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่

บางกลุ่มก็สามารถฟื้นฟูเมืองได้สำเร็จ

แต่บางกลุ่มก็ไม่โชคดีเช่นนั้น

บางกลุ่มก็ทำได้เพียงแต่ร่อนเร่ หาที่พักพิงไปเรื่อยๆ

เพียงแต่มีเพียงเมืองเดียว...เมืองที่ไม่ได้รับความเสียหายจากสงคราม

เมืองนี้มีการป้องกันที่แข็งแกร่ง อีกทั้งประชากรก็เข้มแข็ง และยังมีผู้นำที่ชาญฉลาด

ผู้นำของเมืองนี้ต้องการที่จะให้มนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่ทุกคน ได้มีที่พักพิง และอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์

จึงส่งหน่วยกู้ภัยไปยังสถานที่ต่างๆ ที่น่าจะหลงเหลือผู้รอดชีวิตอยู่ และพยายามกระจายข่าวสารให้ได้มากที่สุดว่า มีเมืองที่พร้อมจะรองรับทุกชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้

บางครั้งที่หน่วยกู้ภัยก็เจอกลุ่มผู้รอดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถกลับมาได้ทั้งหมด

บางครั้งก็เจอกลุ่มที่ต้องการตั้งถิ่นฐานกันใหม่

แต่บางครั้งก็ต้องสูญเสียหน่วยกู้ภัยไปทั้งหน่วย...

ถึงแม้ว่าจะมีปัญหามากมาย แต่ผู้นำของประเทศนี้ก็ยังไม่ลดละความพยายาม ซ้ำยังพยายามมากขึ้นเสียอีก

นานวันไป... หน่วยกู้ภัยก็ค้นพบผู้รอดชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เมืองแห่งนี้ก็ไม่สามารถให้ที่อยู่อาศัยแก่ประชากรทุกคนได้

จึงได้มีการกระจายประชากรไปยัง "ถิ่นฐานใหม่" ที่กระจายอยู่ในแหล่งอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ที่เหลืออยู่ทั่วโลก

ผู้นำของประเทศนี้เกิดความคิดที่ว่า คงจะดีถ้าเราร่วมแรงกันฟื้นฟูเทคโนโลยี และอารยธรรมมนุษย์ไปพร้อมๆ กับติดต่อเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่มีภูมิปัญญา เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรม ทั้งภายใน และภายนอกของดาวดวงนี้

จึงได้มีการเรียกประชุมกลุ่มผู้นำจากที่ต่างๆ เพื่อประชุมและขอความคิดเห็น

จนมีคนหนึ่งพูดว่า "ถ้าหากเราติดต่อกับเผ่าพันธุ์อื่นได้จริง แต่ถ้าเราไม่สามารถป้องกันตัวเองจากเผ่าพันธุ์นั้นได้ล่ะ?"

ทำให้ทุกคนเริ่มคิดหนักว่าจะทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่ว่าจะมีความคิดอย่างไรก็ไม่เข้าท่าอยู่ดี ไม่ว่าจะพัฒนาอาวุธ หรือฝึกฝนกำลังทหาร เพราะยังมีขอบเขตทางด้านเทคโนโลยี, ทรัพยากรและวิวัฒนาการอยู่

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่า "สิ้นหวังแล้ว"

ก็ได้มีผู้เสนอขึ้นมาว่า "ทำไมเราไม่ลองเจรจากับพวกเครื่องจักรล่ะ"

หลายคนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย แต่คนที่คิดว่าน่าจะลองเสี่ยงดูก็มีจำนวนพอๆ กัน

จึงได้มีมติออกมาว่า ลองประกาศหาทูตในการเจรจาดูดีไหม? ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าจะส่งใครไปแบบไม่สมัครใจ

ในที่สุดจึงได้ทูตที่ผ่านการทดสอบ และคัดเลือกอย่างดีที่สุดเป็นจำนวน 3 คน

และหลังจากนั้นก็ได้มีการติดต่อไปยังเมืองเครื่องจักรทันที ซึ่งเมื่อ AI ที่ปกครองเหล่าจักรกลรู้จุดประสงค์การมาของพวกมนุษย์ มันก็ไม่พอใจเท่าใดนักหรอก แต่ก็ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงมิได้

การข้ามเขตแดนของทะเลทรายนั้นลำบากมาก แถมสถานที่ที่ศูนย์กลางเมืองเครื่องจักรตั้งอยู่คือกลางทะเลทรายซาฮาราเดิม ทำให้ทวีคูณความยากลำบากมากขึ้นไปอีก

แม้จะลำบากยากเย็นเพียงใด แต่ในที่สุดทูตทั้ง 3 ก็มาพบกับ AI ผู้ปกครองจนได้

และแน่นอนว่าการเจรจาระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกลคงไม่ง่ายเป็นแน่แท้

เพราะเหล่าเครื่องจักรต้องการครอบครองโลก แต่มนุษย์ต้องการที่จะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเผ่าพันธุ์ และดาวดวงอื่น

หลังการเจรจาผ่านไป 3 วัน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมาอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ มนุษย์กับเครื่องจักรจะร่วมกันปกครองโลก

ถึงแม้ว่าในการเจรจา ฝ่ายเครื่องจักรจะเป็นฝั่งเสียเปรียบ แต่ก้ต้องยอมแต่โดยดี เพราะยังไงเสีย ความเป็น-อยู่ของมนุษย์โลก ก็ยังมีความจำเป็นต่อเหล่าเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา, ค้นคว้า, วิจัย ฯลฯ ฉะนั้นจึงให้มนุษย์โลกสูญพันธุ์ไม่ได้โดยเด็ดขาด

และแล้วการเจรจาจึงจบลงด้วยดี แต่ทางเครื่องจักรก็ยื่นข้อเสนอเพิ่มภายหลังที่ทูตกลับไปแล้วว่า ให้มีการแจ้งทุกครั้งถ้าหากมนุษย์ต้องการจะเข้ามาภายในดินแดนของเหล่าเครื่องจักร รวมถึงขอปกปิดข่าวสารภายในเมือง และห้ามมิให้มีการก่อกวนระบบของเมืองเครื่องจักร ซึ่งถึงแม้จะไม่บอก แต่มนุษย์ก็ไม่คิดจะเสี่ยงอยู่ดี

หลังจากนั้นมา มนุษย์ก็อยู่กันอย่างค่อนข้างสงบสุขได้ซักพัก

จนกระทั่งมีเผ่าพันธุ์อื่นๆ ซึ่งเหมือนกับหลุดมาจากเทพนิยายต่างๆ ได้มาปรากฏกายต่อหน้ามนุษย์โลก

โดยที่ไม่รู้ว่าใคร หรืออะไร เป็นผู้ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่โผล่มาให้เห็นนั้น ส่วนมากไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรนัก จึงทำให้เกิดเรื่องดรามาขึ้นอีก

สัตว์ประหลาดต่างๆ เวทมนตร์ พลังเร้นลับต่างๆที่เคยคิดว่ามีอยู่แค่ในนิทาน กลับปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องจนชินตา

แต่โชคยังดีที่บางกลุ่มนั้น ให้การปกป้องและคุ้มครองเผ่าพันธุ์มนุษย์

ผู้นำของหลายๆ ประเทศจึงได้มีการประชุมกันอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหา และลงความเห็นว่าควรที่จะมีการค้นหามนุษย์ที่สามารถใช้พลังแบบนี้ได้บ้าง หรือไม่ก็สร้างขึ้นมาเองซะเลย

ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย และถึงแม้จะไม่มีเลย ก็ยังดีกว่าอยู่กันไร้ทิศทางแบบนี้ (แบบ...เผื่อฟลุ๊ค)

จึงได้มีการสร้างสถาบันวิจัยและค้นหาผู้ที่มีพลังพิเศษ พร้อมกับตั้งชื่อโปรเจคท์นี้ว่า NEM : New Era of Mankind

noztalgixs
19th July 2011, 02:02
Page - 1 : After That Damn Day

...หลังจากเริ่มโครงการ NEM ได้ 50 ปี

มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาอื่นๆ ได้อยู่กันอย่างสงบสุขมากขึ้น

อีกทั้งยังมีลูกหลานเหลนโหลนข้ามเผ่าพันธุ์กันวุ่นวายเต็มไปหมด

แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ก็ตาม แต่โครงการ NEM ก็ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้ไปสู่จุดที่สูงกว่านี้

...ห่างออกไปจากเมือง Next Gen ประมาณ 70 ไมล์

พื้นที่แถวนี้ถึงจะเรียกได้ว่าค่อนข้างขาดแคลนทรัพยากร แต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่นั้น ก็แทบจะเรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้กันเลยทีเดียว

เมืองนี้เป็นเมืองที่เคยมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายแห่งหนึ่งของโลก

ชื่อเดิมของมัน ไม่มีใครที่รู้เหลือรอดอยู่ แต่ชื่อใหม่ที่ถูกเรียกในขณะนี้คือ Desolate Town

ที่ถูกขนานนามเช่นนี้ ก็เพราะก่อนสงครามโลกครั้งที่ 3 ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในแถบนี้ได้พร้อมใจกันทิ้งเมืองหนีไปทั้งหมด เลยกลายเป็น "นครแห่งความอ้างว้าง" ไปในที่สุด

ตอนนี้เมืองนี้มีประชากรอยู่ค่อนข้างน้อยเพียงไม่กี่สิบครอบครัวเท่านั้น แต่ก็อยู่กันอย่างสงบสุขและสะดวกสบายเป็นอย่างดี

"ราธ...ราธ...ราธ !!!" เสียงของชายแก่คนหนึ่งที่กำลังร้องเรียกหาใครบางคนที่จุดนัดพบ หากแต่กลับทำให้ชายแก่เกิดอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาแทน

"ไอ้เจ้าเด็กนี่มันหายไปไหนของมันกันนะ ป่านนี้แล้วยังไม่โผล่มาอีก" ชายแก่รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เมื่อยังไม่พบเจอคนที่ต้องการจะเจอ

"ขะ...ขอโทษครับลุงแกรนด์ พอดีผมดันไปเจอพวกภูติแปลกๆ ก็เลย..." ราธวิ่งมาหาชายแก่ด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้ทันทีว่ารีบและเหนื่อยสุดๆ

"พอๆ ข้าไม่อยากฟังเหตุผลของแก แต่แกเอาของมาให้ข้าใช่ไหม?" ชายแก่ที่ชื่อแกรนด์ตัดบท

"อ่ะ...ครับ นี่ครับผ้าไหมที่สั่ง" ราธหยิบของในห่อผ้าออกมาแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม ซึ่งมันคือผ้าไหมชั้นดีที่ทอออกมาได้ประณีตมากทีเดียว

"อืม.... เนื้อดีสมกับเป็นร้านผ้าชื่อดังที่เปิดมาตั้งแต่จบสงคราม เอ้านี่! เงินค่าผ้าไหม" แกรนด์พูดชมผ้าที่ได้รับ พร้อมกับหยิบเหรียญทองเป็นค่าผ้าไหม

"เอ่อ... 200...300...400...480 ยูนิบิทส์ ครบค่าผ้าพอดีเป๊ะ" ราธนับเงินที่ได้รับมา เมื่อได้ยินว่าเงินครบชายแก่ก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่ยังไม่ทันที่จะไปไหน ราธก็ดึงแขนเสื้อชายแก่ไว้

"เอ่อ...ลุง คือว่านะ... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว... ก็นะ..." ราธอึกอัก

"อะไรอีกล่ะ... อ้อ! ขอโทษที ค่าส่งสินะ... แต่ปกติมันมีด้วยเหรอ? ตอนไปที่ร้านก็ไม่เห็นมีบอกนี่" แกรนด์ตั้งข้อสงสัย

"อ่ะ...แหม! ก็ต้องมีอยู่แล้วสิ! เสียแรงมาส่งให้เชียวนะ" ราธกลบเกลื่อนท่าทีน่าสงสัยของตนเอง

"เหอะๆ ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ข้ารู้หรอกน่าว่ามันไม่มีหรอก ไอ่ค่าส่ง ค่าเสิ่งอะไรเนี่ย เจ้าก็คงแค่อยากได้เงินอีกเล็กๆ น้อยๆ เป็นของตัวเองสินะ เอาเถอะ! ข้าเข้าใจดีว่าเด็กวัยอย่างเจ้ามันก็อยากหาเงินหาทองมาใช้เองบ้าง เอ้านี่! ทิป!!!" ชายแก่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับยื่นเงินให้

"อ่ะ...10...10 ยูนิบิทส์!? มันไม่น้อยไปหน่อยเหรอลุง?" ราธทำหน้าไม่พอใจ

"หรือเอ็งจะไม่เอาล่ะ? กว่าจะมาก็สายโด่ง แถมเลยเวลานัดมาตั้งนานนม จนคนแก่ขี้ลืมอย่างข้าเกือบจะลืมชื่อตัวเองไปแล้ว แถมเหตุผลก็เพราะไปเล่นกับพวกภูติ!? นี่ข้าให้ขนาดนี้ก้ถือว่าใจดีในสายตาชาวบ้านทุกคนแล้วนะเว้ยเฮ้ย!" แกรนด์ตอกกลับ

"ฮึ..เอาก็ได้! เด่อเอ๊ย!" ราธทำหน้าฮึดฮัดก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ชายแก่หัวเราะตามหลังอย่างอารมณ์ดี

"อะไรกันล่ะ!! มาช้านิดหน่อยทำเป็นบ่น แถมให้เงินแถมมาก็น้อย... บ๊ะ! ก็ยังดีกว่าไม่ได้ซักแดงละกัน" ราธเป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ที่เกิดในหมู่บ้านนี้ ว่ากันตามตรงแล้วหน้าตาของเขานั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ประณีตสมบูรณ์ของพระเจ้าเลยทีเดียว ผมสีดำเข้มสนิทรับกับดวงหน้าที่ได้รูป อีกทั้งดวงตาสีดำ-แดงที่ดูมีพลังอย่างประหลาด แต่เขาไม่ค่อยจะมีเพื่อนวัยเดียวกันมากมายนักหรอก ก็เพราะแถวนี้มันช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน แถมทางบ้านก็ยังเป็นร้านขายผ้าไหมอีก เด็กผู้ชายอย่างเขาที่ไม่ค่อยชอบงานด้านนี้อยู่แล้ว ก็เลยช่วยอะไรไม่ได้มากนักนอกจากคอยช่วยส่งของนิดๆ หน่อยๆ แต่เขาก็ฝันไว้ว่าซักวัน เขาจะได้ไปเรียนในสถาบันวิจัย NEM และจบออกมามีงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ จะได้ไม่ต้องมาส่งของให้เสียอารมณ์เช่นวันนี้

"เฮ้! ราธ!!" เสียงเด็กหนุ่มเรียกจากข้างหลังทำเอาราธสะดุ้งเฮือกเลยทีเดียว

"อ้าว! แกนี่เองซีนิท วันหลังมาก้ให้สุ้มให้เสียงกันก่อนสิ หัวใจจะวาย~" ราธหันกลับไปพร้อมกับทักทายเด็กหนุ่ม

"เออ ฉันเองล่ะ" ซีนิทตอบแบบไร้อารมณ์ เขาเป็นเพื่อนคนเดียวของราธในแถบนี้ และราธก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาเช่นกัน เขาแตกต่างจากคนในเมืองตรงที่ย้ายมาจากที่อื่น เพราะพ่อรับราชการมาเป็นผู้ดูแลเมือง (เอาง่ายๆ ก็เหมือนกำนันน่ะล่ะ) แถมยังมีฐานะที่เรียกได้ว่า "มีอันจะกินตลอดยันชาติหน้า" ซึ่งต่างจากราธมาก อีกทั้งเขายังมีหน้าตาที่ดีมากพอๆกับราธ แต่ดูอ่อนโยนกว่า และด้วยรูปร่างที่บอบบาง จึงทำให้ทุกครั้งที่เดินผ่านกลุ่มสาวๆ ซีนิทจึงได้รับความสนใจที่มากกว่าราธอย่างท่วมท้น

"จะว่าไป... วันนี้แกมาแปลกแฮะ ถึงขนาดมาหาฉันเองเลยนะเนี่ย มีอะไรหรือเปล่าล่ะ" ราธยิงคำถาม

"ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เบื่อๆ แล้วแกจะต้องไปไหนอีกรึเปล่าล่ะเนี่ย?" ซีนิทถามกลับ

"เอ่อ...ดูก่อน นะ อืม... ไปส่งเสื้อให้ป้าเมียร์... ส่งผ้าฝ้ายให้ลุงคูล... ส่ง......." ราธร่ายยาว

"พอๆ ฉันไม่อยากฟังแกพล่ามละ" ซีนิทตัดบท

"อ้าว! มาถามเองแล้วทำไมพี่พูดม้าๆ อย่างนี้ล่ะครับ เดี๋ยวก็เลิกคบซะหรอก" ราธขู่

"เลิกคบ? แล้วคุณจะไปคบกะใคร? ใครอยากจะคบกะคุณ? นอกจากผม???" ซีนิทตอกกลับ

"หึหึหึ ฉันรู้ถึงยังไงแก็คงไม่เลิกคบฉันหรอก อย่าลืมสิว่าตอนนี้ฉันเป็นเพื่อนของแกคนเดียวในหมู่บ้านเลยนะ" ราธพูดข่ม

"เออ แต่แกอย่าลืมว่าสาวๆ ยังพร้อมที่จะรับฉันเข้าไปอยู่ในสวนบุปผามาลัยรักอีกเพียบเลยนะจ๊ะ แค่เพื่อนผู้ชายไร้ความสามารถอย่างแก ฉันหาเมื่อไหร่ก็ได้ แถมยังได้สะใจที่เห็นแกทำหน้าตาเหมือนหมาหงอยอีก หุหุ คิดแล้วสะใจ" ซีนิทย้อนกลับจนสถานการณ์เปลี่ยนไปทันที

"หึ! เออ ใช่ซี๊~ ฉันมันคนไม่มีเสน่ห์ ไม่มีสาวมาแล ไปก็ได้!" พูดจบแล้วราธก็ทิ้งไว้ให้ซีนิทอยู่คนเดียว

"ชะ...อ้าว! ยังไม่ทันบอกเรื่องสำคัญเลย เออ! รอมันส่งของเสร็จค่อยไปคุยอีกทีก็ได้แฮะ เฮ้อ...!" ซีนิทถอนหายใจแล้วก็เดินไปจากจุดนั้น

"หนอย... เจ้าซีนิท ไว้รอฉัันหาแฟนน่ารักๆ แบบที่ชาติหน้ามันก็หาไม่ได้ซักคนนก่อนเถอะ จะควงไปเย้ยเช้า เย้ยเย็น เย้ยจนมันเลือดตากระเด็นเลยคอยดู ฮึ่ย! คิดแล้วแค้น" ราธบ่นระหว่างทางที่เดินไปส่งของ

หลังจากส่งของเสร็จ แล้ว ราธจึงไปยังจุดที่เจอกับภูติเมื่อตอนเช้าก่อนที่จะไปส่งของให้ลุงแกรนด์อีก ครั้ง พร้อมกับหวังว่าภูติตัวนั้นยังอยู่ที่เดิม

"เอ...อยู่ไหนน้อ แต่นี่ก็เย็นแล้ว ป่านนี้คงไปแล้วม๊างงง~" ราธบ่นพร้อมมองหาภูติที่เจอเมื่อเช้า แต่กลับพบกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้บนพื้น กระดาษแผ่นนั้นมีลายมือที่ประหลาดๆ แต่ก็พออ่านออก




"ถึงราธ
เราขอให้เธอระวังตัวไว้ให้ดี
อันตรายกำลังจะมาหาเธอ"



เอ๋อ? ใครมันจะคิดร้ายต่อเราล่ะเนี่ย แล้วนี่ใครเขียนทิ้งไว้กันแน่?" ราธพยายามครุ่นคริดว่ามีอันตรายอะไรกันแน่ แต่ในขณะนั้นเอง ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงอะไรบางอย่างที่ดังเสียดหู

"ก๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ์" เสียงร้องดังขึ้นใกล้เขามากๆ แต่เขากลับมองไม่เห็นถึงต้นเสียง

"อะ...อะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ทำไมมันมืดอย่างงี้!" เขาสารภาพว่าตอนนี้เขากลัวมากๆ เขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงระเบิด และเสียงเหล็กกระทบกัน แต่ก็ยังมองอะไรไม่เห็นอยู่ดี

ทันใดนั้น! เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ต้นแขน เขากรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน และเอามือกุมไปยังจุดที่ถูกทำร้าย จากที่เขาสัมผัสได้ รู้สึกเหมือนจะโดนอะไรบางอย่างข่วน

"อ๊ากก! บ้าเอ๊ย! อยู่ไหนกันแน่ ออกมาสิเว้ย!" ราธตะโกน พลางเหวี่ยงแขนข้างที่ไม่ได้ถูกทำร้ายไปรอบๆ

พลั่ก! แขนของเขากระทบกับต้นไม้อย่างแรง ตอนนี้...แขนทั้ง 2 ข้างของเขาใช้การไม่ได้เสียแล้ว

"โอ๊ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย! ใครก็ได้...ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!" ราธตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

แล้วเขาก็ถูกโจมตีอีกครั้งที่ข้อเท้าด้านซ้าย ซึ่งคราวนี้เขารู้สึกได้ทันทีว่าสิ่งที่โจมตีเขานั้น ได้กัดกินเนื้อเขาไปด้วยส่วนหนึ่ง

เขาล้มลงกระแทกกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้และใบไม้ ตอนนี้เขาไม่มีแรงที่จะส่งเสียงออกมาอีกแล้ว เลือดที่เขาเสียไปนั้นมากพอที่จะทำให้เขาหมดสติได้ง่ายๆ แต่เขาก็ยังพยายามคลานไปเรื่อยๆ

สัตว์ร้ายที่ทำร้ายเขารู้ว่าเขากำลังจะหมดแรง เลยปล่อยให้เขากระเสือกกระสนดิ้นรนต่อไป แต่คราวนี้มันก็ไม่ต้องรอนานนัก เหยื่อของมันก็หยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว

สัตว์ร้ายรู้ว่าถึงเวลามือค่ำของมันแล้ว มันจึงเดินเข้าหาราธอย่างเชื่องช้า แต่เสียงเดินแต่ละก้าวของมันนั้น เหมือนเป็นเสียงมัจจุราชที่พร้อมจะฉีกกะชากดวงวิญญาณของเขาให้หายไปได้ทุก เมื่อ

เมื่อเสียงเดินหยุดลง เขาก็รู้สึกได้ว่าสัตว์ร้ายกำลังจ้องอยู่เหนือเขาไปไม่ถึง 1 ฟุต เขาเตรียมใจพร้อมที่จะกลายเป็นมื้อค่ำของมัน แต่แล้วปาฏิหาริย์ก้บังเกิด! เมื่อสัตว์ร้ายกระโดดหนีออกไป พร้อมกับมีเสียงวิ่งอย่างสุดแรง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เขาปลอดภัย และตอนนี้ เขาง่วงมาก

..................................

ราธตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร รอบๆ ตัวเขาไม่มีอะไรนอกจากโต๊ะ 1 ตัว และอุปกรณ์ทางการแพทย์วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งอยู่ในห้องที่มีขนาดพอดี ไม่แคบไม่กว้างเกินไป และมีหน้าต่างอยู่ข้างเตียงของเขา ซึ่งตอนนี้มันปิดสนิท

"อึ้ก!...นี่เราอยู่ไหนเนี่ย แล้วมันเกิดอะไรขึ้น" ราธพูดกับตัวเอง

"เธอปลอดภัยแล้ว" เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น ทำเอาราธถึงกับสะดุ้งสุดตัว ทั้งๆ ที่เมื่อกี๊ยังไม่มีใครอยู่แท้ๆ

"ห๊ะ! คุณเป็นใคร แล้วผมอยู่ที่ไหน แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น อ่ะ! จริงสิผมโดนสัตว์อะไรซักอย่างทำร้ายนี่นา แล้วมันไปไหนแล้ว" ราธยิงคำถามรัวไม่ยั้งจนชายคนนั้นยกมือขึ้น

"เอาล่ะๆ ฉันจะตอบคำถามให้ แต่ตอนนี้เธอต้องพักก่อนนะ เธอเสียเลือดไปมาก ฉันไม่อยากให้เธอหมดสติไปอีกรอบ ทั้งๆที่พึ่งตื่นหรอกนะ" ชายคนนั้นพูดพร้อมยิ้มอย่างใด

"....ก็ได้ แต่มีอย่างนึงที่ผมต้องถามให้ได้" ราธพูด

"ได้สิ.. ถ้าฉันตอบได้นะ" ชายคนนั้นยิ้ม

"ผมอยู่ที่ไหน" ราธถามตรงๆ

"อืม... Human Abilty Improve & Research Institute : สถาบันวิจัยและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ยังไงล่ะ" ชายคนนั้นตอบ

"อ๊ะ! หมายความว่าที่นี่คือ..." ราธที่รู้คำตอบแล้วถึงกับตื่นตกใจ

"ใช่แล้ว ยินดีต้อนรับสู่โครงการ NEM"


***จบตอน***

noztalgixs
19th July 2011, 02:05
Page - 2 : Welcome To NEM!

"NEM งั้นเหรอ? แล้วทำไมชื่อมันถึงแปลกๆ ล่ะ?" ราธยังคงข้องใจอยู่

"NEM มันเป็นชื่อของโปรเจ็กต์น่ะ แต่จริงๆแล้ว ชื่อสถาบันมันก็อย่างที่ฉันบอกนั่นล่ะ" ชายคนนั้นตอบ

"แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่" ราธถามต่อ

"นี่...พักก่อนเถอะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก ฉันสัญญา" ชายคนนั้นยิ้มให้ราธ มันเป็นรอยยิ้มที่ใจดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นเลยทีเดียว

"อ่ะ...ครับ " ราธทำตามอย่างว่าง่าย

"งั้นฉันไม่รบกวนแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน" ชายคนนั้นพูดพร้อมกับเดินออกจากห้องไป

เมื่อชายคนนั้นออกไปจากห้องแล้ว ราธก็หลับไปแทบจะทันที

...วันต่อมา

ราธตื่นขึ้นมาในห้องเดิม บรรยาเกิศเดิมๆ ในห้องขนาดสบายๆ

เมื่อเขามองไปรอบๆ สิ่งของต่างๆก็ยังคงอยู่ที่เดิม ยกเว้นบนโต๊ะที่มีซองจดหมายเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ฉบับ




"ตื่นแล้วก็ออกมาเดินซักหน่อย

อย่าอยู่แต่ในห้องนานๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพ"



"ประหลาด" ราธพูดแสดงความคิดเห็นของเขาเมื่ออ่านจดหมายจบ แต่ถึงไม่บอกเขาก็อยากจะออกไปนอกห้องจะแย่อยู่แล้ว

ทันทีที่ราธลุกขึ้นจากเตียง ความเจ็บแปลบก็วิ่งแล่นผ่านจุดที่ดูเหมือนจะเคยเป็นแผลมาก่อน ถ้าไม่ได้สัมผัสประสบการณ์เฉียดตายนั้นมาเขาก็แทบไม่รู้เลยว่าตนเองเคยได้รับบาดเจ็บ เพราะผิวภายนอกนั้นมันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่น้อย

"อูย...ก็รู้หรอกว่ามันเจ็บ แต่ทำไมมันมากขนาดนี้กันล่ะเนี่ย" ราธบ่นออกมาพร้อมกับกัดฟันพาตัวเองเดินไปจนถึงประตู

เมื่อถึงประตู เขาก็สัมผัสถึงความรู้สึกแปลกๆ อีกด้านของประตู และเหมือนสัญชาตญานจะบอกว่าหลังประตูนี้ ต่อไปจะไม่ใช่โลกที่เขาเคยอยู่ แต่เป็นโลกใบใหม่ที่มาพร้อมกับการผจญภัย และอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า มันทำให้ราธไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะเปิดดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดตรึกตรองอย่างดีแล้ว เขาก็คิดได้ว่า "ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงเราก็คงต้องเจอกับมันอยู่ดี เจอเร็วขึ้นหน่อยจะเป็นไรไป" เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เขาจึงเปิดประตูออกไป

เมื่อประตูเปิดออก เขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าห้องข้างทางเดินห้องหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะอยู่ในตึกที่สูงมากๆ

"เอ่อ...ใช่สิ เรายังอยู่ในโรง'บาลนี่นา แล้วทางออกมันอยู่ไหนกันล่ะเนี่ย?" ราธค่อนข้างผิดหวังแต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ ตอนนี้เขาต้องหาทางออกไปจากตึกนี้ซะก่อน

...ผ่านไป 1 ชม.

"บ้าชิบ... ไอ้ตึกนี่มันใหญ่ขนาดไหนกันแน่เนี่ย ทำไมเดินเท่าไหร่ก็เจอแต่ทางเดินแบบเดียวกันหมดเลยนะ" ราธเริ่มเหนื่อยหลังจากที่เดินหาทางออกมาถึง 1 ชม. แต่ไม่ว่าเขาจะเดินไปไกลขนาดไหน รอบข้างของเขาก็เป็นเพียงประตูห้องสีขาวที่อยู่บนทางเดินสีขาวที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

เขาพยายามมองหาป้ายซักป้าย ที่อย่างน้อยก็น่าจะบอกสถานที่ปัจจุบันของเขาได้ แต่มันกลับไม่มีอะไรอยู่เลย แถมห้องแต่ละห้องมันก็เหมือนๆ กันไปซะหมด ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งหัวเสียมากขึ้นไป

"ถ้าอยู่ในห้องแล้วมันไม่ดี ออกมานอกห้องแถวนี้มันก็เหมือนกับฆ่าตัวตายดีๆ นี่เองล่ะ" ราธบ่น...ตอนนี้เขาเริ่มจะถอดใจแล้ว เขาล้มเลิกความคิดที่จะออกจากตึกนี้ และพยายามเดินย้อนกลับมาพร้อมกับมองหาห้องของตัวเอง

"นี่เราเดินมา ชม.นึงแล้ว เดินกลับก็ต้องใช้อีก ชม.นึงน่ะสิ โอยย...ตายพอดี ขอเข้าห้องคนอื่นไปนั่งพักหน่อยละกัน อย่างน้อยก็ขอยืมห้องน้ำซักหน่อย" ราธลุกขึ้นเดินไปยังห้องที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่เมื่อเขาเปิดห้องเข้ามาก็ต้องตกตะลึงหนักกว่าเก่า เพราะเขาได้กลับมายังห้องของตัวเองที่ออกมาเมื่อ 1 ชม. ที่แล้ว แต่คราวนี้กลับมีชายคนที่เขาพบเป็นคนแรกนั่งรออยู่ในห้องด้วย

"เป็นไง? เดินเล่นสนุกใหม?" ชายคนนั้นยิ้มถามเขา ซึ่งความรู้สึกของเขามองดูเหมือนเป็นยิ้มเยาะมากกว่า

"เหอะ! ยังมีหน้ามาพูดอีกนะลุง" ราธตอบกลับอย่างหัวเสีย

"หึหึ ไม่แปลกหรอกที่เธอจะรู้สึกอย่างงั้นล่ะนะ คือฉันลืมบอกไปว่าเวลาจะเปิดประตูน่ะ ต้องใช้กุญแจเปิด" ชายคนนั้นพูดอย่างกับเรื่องที่เพิ่งเกิดเป็นเรื่องปกติ

"อ๋า? ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย" ราธเริ่มงง

"ฉันก็ใส่กุญแจไว้ให้ในซองจดหมาย เธอไม่ได้อ่านหรอกหรือ?" ชายคนนั้นถาม

"ก็อ่านอ่ะนะ แต่ไม่เห็นมีกุญแจเลย???" ราธบอก

"หืม? งั้นก็คงเป็นความผิดพลาดของฉันเอง ต้องขอโทษด้วย" ชายคนนั้นบอกพร้อมกับคำนับขอโทษ

"หนอย! ตาลุงหน้าปลากะโห้ ไม่บอกซักคำ แถมยังปล่อยให้เราเดินเป็นชม.อีก มันน่าจับไปหั่นเป็นพันหมื่นชิ้นแล้วโยนให้เห็บมันกินจริงๆ" ราธได้แต่คิดในใจ แต่สิ่งที่เขาตกใจกว่าก็คือ รอยยิ้มของชายคนนั้นที่ยิ้มตอบกลับมาเมื่อเงยหน้า มันดูเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

"เอาล่ะ เพื่อเป็นการขอโทษสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ฉันจะพาเธอออกไปเดินเล่นจริงๆซักที แล้วจะพาเธอไปเซ็นเอกสารบางอย่างด้วย" ชายคนนั้นยิ้มบอก

"เดี๋ยวๆ ผมมีเรื่องอยากจะถาม" ราธขัด

"หืม? ไว้ค่อยถามก็ได้นี่"

"คือ...ผมข้องใจมากว่าเมื่อกี๊ผมไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ไม่รู้ตอนนี้ผมขาดใจตายแหงๆ"

"อืม...ที่ๆ เธอได้ไปมาเมื่อกี๊ จะว่าไปมันก็คือมิติอีกมิตินั่นล่ะ เอ่อ ควรจะเรียกว่าช่องว่างระหว่างมิติมากกว่า" ชายคนนั้นอธิบาย

"เดี๋ยวๆ อะไรคือช่องว่างระหว่างมิติ" ราธขัดอีกรอบ

"อืม... ก็คือรอยต่อระหว่างมิติที่เราอยู่กับมิติอื่นๆ น่ะ แต่อธิบายให้ละเอียดคงยาว เอาเป็นว่าเธอโชคดีนะที่กลับมาได้ ปกติ 50% จะไม่ได้กลับมาที่มิติเดิมหรอกนะ" ชายคนนั้นพูดต่ออย่างสบายใจ ซึ่งมันเป็นคำอธิบายที่สยองมากๆ สำหรับราธ

"50%??? คือ1/2 สิเนี่ย เกือบจะไม่ได้กลับมาเจอโลกอันแสนสดใสซะแล้วสิเรา" ราธถอนหายใจอย่างโล่งอก

"หึหึ แล้วพร้อมจะไปหรือยัง" ชายคนนั้นถามขึ้น

"อืม.... พร้อมละ ไปกันเถอะลุง" ราธตอบแบบยิ้มๆ พลางมองหน้าชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็ดูมีท่าทีสบายๆ อย่างไม่ติดใจที่ถูกเรียกว่าลุง

ชายคนนั้นลุกขึ้นพร้อมพาราธเดินตรงไปที่ประตู ซึ่งเมื่อเขาเปิดประตูออก ราธก็ถึงกับตกตะลึงในความใหญ่โตของสถานที่ภายนอกประตู มันดูเหมือนห้องโถงสีขาวซึ่งมีขนาดใหญ่มาก~ มากเสียจนราธมองไม่เห็นสุดปลายทางเดินของห้องนี้ แถมมีบันไดขึ้นไปชั้นบนอีกประมาณ 7-8 ชั้น ซึ่งเขาก็สังเกตุว่าตามทางเดินของแต่ละชั้นก็มีประตูห้องแบบเดียวกับห้องที่ ราธพึ่งออกมาเยอะแยะเรียงรายเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละห้องก็มีหมายเลขกำกับไว้

"โห!!! นี่มันห้องอะไรกันแน่เนี่ยลุง" ราธอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

"อืม... นี่คือห้องพยาบาลน่ะ" ชายคนนั้นบอก

"เอ้ย! ทำไมห้องพยาบาลมันใหญ่ยังงี้อ่ะ" ราธตกใจหนักกว่าเดิม

"คือ... จริงๆแล้วที่นี่มีประชากรราวๆ 1-2 แสนคน ซึ่งแต่ละคนก็มาจากต่างที่ต่างทาง และไม่ได้มีแต่มนุษย์ด้วย" ชายคนนั้นตอบให้ราธหายสงสัย

"เฮ้ย! ตั้ง 1-2 แสนคน แล้วมันไปอยู่ไหนกันล่ะเนี่ย" ราธถาม

"ลองมองออกไปนอกหน้าต่างตรง นั้นสิ" ชายคนนั้นชี้ไปทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งราธไม่รอช้าที่จะรีบไปดูทันที

สิ่งที่ราธได้เห็นด้วยสายตาของตน เองนั้น ทำให้เขาแทบจะทำให้เขาคิดว่าตัวเองฝันไป เพราะจากจุดที่เขามองนั้นเขาอยู่ในตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งชั้นที่เขามองมันอยู่สูงจากพื้นดินราวๆ 50-60 เมตร แถมห่างจากตึกนั้นไป ยังมีตึกอีกราวๆ 4-5 ตึกที่มีขนาดที่ใหญ่และกว้างมากๆ แถมยังมีพื้นที่ต่างๆ ที่ถูกกั้นเขตแดนไว้อีก ซึ่งคะเนด้วยสายตาแล้วมันน่าจะมีพื้นที่อย่างน้อยๆ ก็ 5-10 ตร.กม. เลยทีเดียว

"โอ้ว...นี่เราหลุดมาอยู่ที่โลกไหนกันแน่เนี่ย" ราธพึมพำออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นหูของชายที่พาเขามาไปได้

"หึหึ ใครได้มาเห็นตอนแรกๆ ก็คิดแบบเธอเกือบทั้งนั้นล่ะ เพราะที่นี่น่ะถูกสร้างมาด้วยทรัพย์สมบัติของทุกๆ ประเทศที่มีอยู่ตอนนี้ เพื่อวิจัยและพัฒนาศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์เชียวนะ" ชายคนนั้นอธิบาย

"อ้อ แล้วตึกนี้ก็เป็นตึกที่เล็กที่สุดด้วยนะ ซึ่งเป็นตึกพยาบาล,การวิจัย และก็จิปาถะอื่นๆ ทำให้มีคนอยู่ที่นี่น้อยที่สุด ซึ่ง90% คือเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ใช่ก็เป็นคนเจ็บอย่างเธอนี่ล่ะ ที่ต้องแยกคนเจ็บออกมาเพราะตึกเรียนมันวุ่นวายเหลือเกิน"

"เอ่อ... แล้วตกลงคุณจะพาผมไปไหนกันแน่ล่ะครับ" ราธพยายามตั้งสติ

"พาไปห้องอาจารย์ใหญ่น่ะ" ชายคนนั้นตอบ

พูดจบชายคนนั้นก็พาราธเดินไปตามทางเดินที่ไกลจนเขามองไม่เห็นปลายทาง ซึ่งพอเดินมาซักพัก เขาก็พบว่ามีเครื่องอะไรไม่รู้ที่เหมือนลิฟต์โล่งๆ ที่มีลักษณะเป็นวงรีแปลกๆ อยู่เต็มไปหมดทั่วทั้งทางเดิน ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ใกล้ๆ กับห้องที่สำคัญๆ อย่างห้องพักแพทย์ ห้องเก็บสารทดลอง ฯลฯ

หลังจากเดินมาได้ซัก 5-10 นาที พวกเขาทั้ง 2 คนก็มาถึงช่องลิฟต์ที่ดูแปลกกว่าอันอื่นมาก ซึ่งแทนที่จะเป็นสีเขียวๆ ฟ้าแบบที่อื่น แต่ตัวนี้กลับเป็นสีทอง

"เจ้าสิ่งนี้จะว่าไปมันก็คือ ลิฟต์ดีๆ นั่นล่ะ แต่ด้วยวิทยาการในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มันวิวัฒนาการจากลิฟต์ ไปเป็นเครื่องย้ายมวลสารความเร็วสูงที่สามารถส่งผ่านวัตถุต่างๆ ให้ไปยังจุดหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ซึ่งเจ้าเครื่องนี้จริงๆ แต่ละตัวจะไปได้ไม่กี่ที่เท่านั้น ซึ่งอยู่กับจำนวนที่ติดตั้งในตอนแรก แต่เจ้าตัวสีทองนี้สามารถส่งไปยังทุกที่ ที่มีเครื่องย้ายมวลสารอื่นๆได้ทุกตัว ซึ่งที่นี่เราเรียกเครื่องนี้ว่า -Sender-" ชายคนนั้นอธิบายเมื่อเห็นว่าราธกำลังด้อมๆ มองๆ เครื่องย้ายมวลสารด้วยสายตาที่สงสัย

"Sender ? อ๋อ...เป็นอย่างงี้นี่เอง" ราธตอบไปถึงแม้จริงๆ จะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม

แล้วพวกเขาทั้งคู่ก็เข้าไปยืนอยู่ในเครื่องนั้น ซึ่งข้างในมีปุ่มที่บอกสถานที่ต่างๆ ไว้มากมายเหมือนกับลิฟต์ไม่มีผิด แต่พอกดปุ่มสถานที่ปุ๊บ กระจกที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็ปิดทางเข้าทันที ซึ่งพอปิดแล้วก็มีควันแปลกๆ ออกมาเต็มเครื่อง ซึ่งพอควันนั้นกระจายจนทั่วเครื่อง ราธก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกยืดเป็นหนังยาง และรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองเป็นเหมือนคลายๆ ของเหลว มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบมา พอความรู้สึกนั้นจบลง เขาก็รู้สึกตัวอีกทีตอนที่นั่งอยู่ซะแล้ว

"ไม่ต้องตกใจ ตอนแรกๆ ใครๆ เค้าก็เข่าอ่อนแบบเธอทั้งนั้นล่ะ ยังไงก็ลุกขึ้นมาก่อนดีไหม? เพราะตอนนี้เราถึงหน้าห้องอาจารย์ใหญ่กันแล้ว" ชายคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเจอประสบการณ์พิลึกๆ บอกกับเขา

ราธถูกพยุงขึ้นมาอย่างงงๆ พร้อมกับที่พวกเขาเดินออกมาจากเครื่องนั้น ราธก็มองไปรอบๆ พร้อมกับเห็นว่าตอนนี้เขาอยู่หน้าห้องที่มีประตูทางเข้าเป็นไม้ซึ่งมีลายสลักวิจิตรงดงามอยู่บนเนื้อไม้ พร้อมกับมีป้ายติดไว้ว่า "อาจารย์ใหญ่" แต่นอกจากนั้นแล้วทางเข้าก็ดูธรรมดาๆ แถมยังเล็กๆ และไม่มีทางเข้าอื่นนอกจากเครื่องย้ายมวลสารที่เขาพึ่งออกมาอีกด้วย

"แล้วเวลาไฟไหม้เกิดอาจารย์แกอยู่ในห้องจะทำไงเนี่ย? ตอนไฟไหม้ห้ามใช้ลิฟต์ซะด้วย" ราธคิดในใจพร้อมกับยิ้มนิดๆ

"ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหา" เสียงพูดของชายลึกลับที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใครดังขึ้นจนทำให้ราธสะดุ้ง เฮือก แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่คิดในใจว่าลุงคนนี้มีอะไรแปลกซะแล้ว

แล้วทั้งคู่ก็เดินเปิดประตูเข้าไปในห้องอาจารย์ใหญ่ ซึ่งภายในห้องก็เป็นเพียงห้องธรรมดาๆ ซึ่งมองทีแรกเขานึกว่าเป็นห้องหนังสือทั่วๆ ไปซะอีก เพราะมีแค่โต๊ะที่มีเอกสารกองอย่างเป็นระเบียบและเขียนป้ายติดไว้ว่า"อาจารย์ใหญ่" กับตู้หนังสือ 2 ตู้ขนาบซ้าย-ขวากับโต๊ะ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของผู้ที่เป็นอาจารย์ใหญ่

"เอ่อ... แล้วครูใหญ่มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย" ราธสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

"ก็อยู่กับเธอมาตลอดนั่นล่ะ" ชายที่อยู่กับราธมาตลอดจนถึงเดี๋ยวนี้ พูดขึ้นมาพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะอาจารย์ใหญ่

"เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าลุงเป็น..." ราธไม่ทันพูดจบ ชายผู้น่าสงสัยก็พูดต่อประโยคให้เขา

"ใช่แล้ว ฉันนี่ล่ะ -แบล๊คแจ๊ค ซเวลแฮนเดอร์ โวลแคเชียส- อาจารย์ใหญ่ของที่นี่"


***จบตอน***

noztalgixs
19th July 2011, 02:07
Page - 3 : First Experience...

"นี่เล่นตลกอะไรหรือเปล่า?" ราธยังสงสัยอยู่

"นี่ไม่ใช่การเล่นตลกใดๆ ทั้งสิ้น หากเธอยังสงสัยอยู่ละก็ ข้อพิสูจน์อยู่ที่นั่น" อาจารย์ใหญ่ชี้ไปที่ตู้หนังสือตู้หนึ่ง ซึ่งมันมีประกาศนียบัตรใบหนึ่งแขวนอยู่ เมื่อราธเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ามีข้อความที่อ่านได้ใจความดังนี้



"ขอแต่งตั้งให้ -แบล๊คแจ๊ค ซเวลแฮนเดอร์ โวลแคเชียส- เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบสูงสุดรุ่นที่ 2 แห่งสถาบัน HAIRI"



เมื่ออ่านจบราธก็ยังสับสนอยู่ จึงได้แต่หันไปมองหน้าอาจารย์ใหญ่ที่นั่งมองเขาด้วยสายตาเอ็นดูระคนขบขัน สลับกับมองใบประกาศนียบัตร แต่ราธก็ต้องชะงักเมื่อเห็นลายเซ็นผู้มอบอำนาจที่เขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ทำให้เขาหยุดจ้องมองดูมันเพื่อนึกถึงอีกหลายนาที

"เอ้า! จะจ้องไปถึงเมื่อไหร่ ใบประกาศนียบัตรเก่าๆ มันน่าสนใจมากขนาดนั้นเลยงั้นหรือ?" อาจารย์ใหญ่พูดขัดขึ้น ทำเอาเขาแทบจะล้มหัวชนตู้ นี่เขาจ้องมันนานขนาดไหนแล้วนะ

"ขอโทษครับอาจารย์ใหญ่ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พอดีผมแค่สงสัยเรื่องลายเซ็นนิดหน่อย" ราธหันกลับไปก้มหัวขอโทษ

"ว้า~ พอทีเถอะไอ่การเรียกจั๊กกระเดี้ยมแบบนั้น ต่อไปเธอเรียกฉันว่า -ลุงแจ๊ค- ก็พอ ใครๆ ก็เรียกฉันแบบนี้ทั้งนั้นล่ะ ส่วนเรื่องลายเซ็น..." อาจารย์ใหญ่ทำท่าคิดหนักอยู่ซักพักก็พูดออกมาว่า

"ไม่บอก"

"อ้าว! ไหงงั้นล่ะลุง!? นี่ลุงรู้ใช่มั๊ย? รู้แน่ๆ หน้าตายิ้มๆ แบบนี้ต้องรู้อะไรแน่ๆ ใช่มั๊ย? ชัวร์เลยแบบนี้ ใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ!" ราธใจแป้วลงทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่อุตส่าห์รอลุ้น ทำให้เขาโวยวายขึ้นมาแทน

"ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เธอต้องรู้หรอก ไว้เมื่อเวลามาถึงแม้เธอไม่อยากจะรู้ แต่เดี๋ยวก็จะมีเหตุให้เธอต้องรู้เองนั่นล่ะ เอาล่ะ...ตอนนี้เธอช่วยเซ็นชื่อเล็กๆ น้อยๆซักหน่อยละกัน" อาจารย์ใหญ่พูดจบก็มองหาเอกสารที่อยู่ในกอง แล้วเขาก็ยื่นกระดาษที่ยาวประมาณ 1 ฟุตมาให้ราธ ซึ่งมีประมาณ 2-3 หน้า

"เอกสารยืนยันการมอบตัว??? นี่จะจับผมเข้าคุกเหรอ? แค่ไปเดินเล่นนิดๆ หน่อยๆ เองนะ" ราธทำหน้าเลิ่กลั่กพร้อมยื่นเอกสารคืนหลังจากอ่านเพียงหัวกระดาษ ซึ่งมันดูตลกมากๆ ในสายตาอาจารย์ใหญ่

"หึหึ ที่นี่คือสถาบันนะเธอ ไม่ใช่คุกXคาบัน นั่นน่ะมันใบมอบตัวเป็นนักเรียนที่นี่ต่างหากล่ะ" อาจารย์ใหญ่อธิบายพร้อมกับส่งเอกสารกลับไปหาราธ

"เอาจริงดิ? นี่ผมมีสิทธิ์เรียนที่นี่ด้วยงั้นเหรอ? ว้าว! ยังกับฝันไปเลย ผมน่ะอยากเข้ามาเรียนที่นี่มากๆ เลยนะ แต่เอ๊ะ!? คนไม่มีพลังอะไรแบบผมนี่เรียนได้ด้วยเหรอ?" ราธดีใจจนอาจเรียกได้ว่าถึงขั้นที่เกินเหตุไปหน่อย แต่ก็พยายามประครองสติกลับมาเป็นปกติจนได้

"อืม... ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้จะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อได้รับการคัดเลือกให้มาเรียนที่นี่ ย่อมต้องมีดีกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว ซึ่งพลังแปลกๆ ที่เธอเคยได้ยินมาเนี่ย เราสามารถกระตุ้นมันออกมาได้ แต่ต่างคนก็อาจมีวิธีการที่ต่างกัน รวมถึงระยะเวลาที่ต้องกระตุ้นด้วย" อาจารย์ใหญ่อธิบาย

"เอาจริงดิ? พลังต่างๆ นี่กระตุ้นได้ด้วยเหรอ???" ราธถาม

"ไม่หรอก ฉันโกหกน่ะ จริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกแค่คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น" อาจารย์ใหญ่ตอบหน้าตาย

"เฮ้ย! นี่ 2 รอบแล้วนะตาแก่ นี่จะเอาไงแน่เนี่ย อยากโดนซัดใช่ไหม? แน่จริงมาเจอกันเลยดีกว่า แก่ๆ อย่างงี้โดนเปรี้ยงเดียวก็จอดแล้ว" ราธทำได้แค่คิดว่าจะพูด เพราะหลังจากได้ยินคำตอบ เขาก็แทบจะหมดแรงแล้ว ซึ่งตรงข้ามกับอาจารย์ใหญ๋ที่ยังทำหน้ายิ้มระรื่น พร้อมทั้งยังดูร่าเริงที่ได้แกล้งเขาอีก

"คิดจะฟาดปากกับฉัน สำหรับเธอมันยังเร็วไปเป็นปีแสงเลยล่ะ ถ้ายังไงก็ลองพัฒนาตัวเองระหว่างที่เรียนที่นี่ดูสิ" อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นเหมือนกับจะล่วงรู้ความคิดของราธ ซึ่งพอราธได้ฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองโดนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขึ้นมา อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับเซ็นชื่อลงบนเอกสารมอบตัว

"นี่เธอไม่คิดจะอ่านอะไรหน่อยหรือ? มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองนะ?" อาจารย์ใหญ่กล่าวเตือนเมื่อเห็นว่าราธทำหน้าเบื่อโลกเซ็นเอกสาร

"ไหนๆ ผมก็อยากเรียนที่นี่อยู่แล้ว แถมที่อยู่ก็มีให้ฟรี อาหารก็มีให้ แล้วยังต้องลังเลอะไรมากหรอครับอาจารย์" ราธตอบจากใจจริง เพราะเขาในตอนนี้ไม่มีทั้งคนรู้จัก หรือแม้กระทั่งที่ซุกกหัวนอน แค่มีคนคิดจะให้ที่พักหรือให้อาหารเขาก็แทบจะสำลักบุญคุณแล้ว แต่นี่ยังให้เรียนในสถาบันที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพของมนุษยชาติ ซึ่งเขาก็ได้แต่ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธได้อีกแล้ว

"หืม? เธอนี่น่าสนใจดีนะ แต่คิดๆ ดูมันก็จริงล่ะนะ" อาจารย์ใหญ่ยิ้ม

"เอาล่ะ ตอนนี้ฉันก็ยังไม่มีอะไรต้องรบกวนเธออีกแล้ว เชิญเธอไปพักผ่อนได้แล้ว เธอมีเวลาอีก 2-3 วันก่อนที่จะเปิดภาคเรียน"

"หา??? นี่จะเปิดอยู่แล้วเหรอเนี่ย? แล้วงี้จะทำไงล่ะเนี่ย อะไรๆก็ไม่มี" ราธเริ่มกังวล เพราะตอนนี้เขามีแต่ตัวเปล่าๆ เท่านั้น

"ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก พวกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเธอ ถูกเตรียมไว้แล้วที่ห้องพัก ส่วนการจะไปห้องพักนั้นก็..." แบล๊คแจ็คลุกขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาราธ ราธไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมากๆ เมื่อกี๊เขายังอยู่ที่ห้องอาจารย์ใหญ่ แต่เมื่อเขากระพริบตาขึ้นมาอีกทีก็มาโผล่ที่หน้าห้องพักนักเรียนห้องหนึ่ง ที่เขารู้ว่าเป็นห้องพักนักเรียนเพราะมีป้ายชื่อเขาติดไว้ พร้อมกับป้ายชื่ออีกชื่อหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร

"เอาล่ะ... การบริการของฉันจบลงเพียงเท่านี้ ต่อไปเธอต้องหาทางของเธอเองแล้ว ฉันลาล่ะ" พูดจบอาจารย์ใหญ่ก็หายไปเหมือนกลุ่มควัน ทิ้งไว้ให้ราธที่ทั้งสงสัยทั้งทึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง

"...อึ้งแฮะ" ราธบ่นกับตัวเองออกมา 1 คำ พร้อมกับเปิดประตูเข้าไปในห้อง ซึ่งเมื่อเปิดเข้าไปเขาก็รีบปิดมันทันทีด้วยความตกใจ

"เอ่อ... เมื่อกี๊มัน... ไม่ใช่มั๊ง? ไม่ใช่แล้วล่ะ ผิดห้องแล้วมั๊ง? ตาลุงนั่นก็ช่างซุ่มซ่ามจริงจริ๊งที่พาเรามาผิดห้อง" ราธได้แต่ทำหน้าซีดหอบหายใจอยู่หน้าห้อง แต่ความคิดก็หยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อมีเสียงจากในห้องลอยออกมา

"เ...ข้...า....ม...า" เสียงที่ฟังแล้วชวนให้ทุกอณูในร่างกายเกิดอาการสั่นไหวได้เรียกเขาให้เข้าไปหา

"-ก๊อกๆ- ข..ขอ..ขอ...ขออนุญาติครับ" ราธเคาะประตูพร้อมกับเอ่ยคำขอร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด แล้วก็จึงค่อยๆ แง้มประตูออกไปช้าๆ

เมื่อเปิดประตูออกมา ราธก็แทบจะเป็นลมทั้งยืนแต่เขาก็พยายามอดทนให้ถึงที่สุด เพราะภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยเลือดกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง แถมยังส่งกลิ่นคาวออกมาอย่างรุนแรงชนิดที่ว่า ถ้ามีตำรวจบุกมาจับเพื่อนร่วมห้องของเขาคนนี้ไป เขาก็ไม่ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว

"ฉั....น....ไ ...ม่....ไ....ด้...ทำ....~" เพื่อนร่วมห้องของเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมเหมือนกับรู้ว่าเขาคิด อะไรอยู่ แต่เขาก็ยังมองหาวี่แววของต้นเสียงไม่เห็น ทำให้เขายิ่งขนลุกมากขึ้นไปอีก

"เชื่อตายล่ะ" ราธคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าหมกส้วม ด้วยฝีมือของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่อาศัยร่วมกับเขา

"เอ่อ...ผมราธครับ แล้วคุณล่ะ?" ราธพยายามทำใจดีสู้เสือ และทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดด้วยการชวนคุย แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำให้เขาเปลี่ยนอารมณ์ไปอย่างรวดเร็ว

"...ไ... ม่...จำ...เ...ป็....น...ต้...อ...ง...ต...อ...บ" ราธแทบสะอึกเมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา ทำเอาเขาหน้าเสียพร้อมกับมีอารมณ์อยากจะพาเพื่อนคนนี้ไปรักษาโรคปากสุนัขยังอายเสียจริง

"ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่ายังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ" ราธพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำให้เขาฟิวส์ขาดทันที

"ไ....ม่....ใ....ช่.... ธ....น....า....ค.....า....ร....ไ.....ม่....รั..บ....ฝ..า...ก"

"ว๊าก! โว้ย! แน่จริงออกมา!! แน่จริงออกมาเจอตัวๆ กันเลยดีกว่า ไม่ไหวแล้วว้อย! มุขก็แป้ก!! ผีก็ผีสิ! พ่อจะเอาให้หายนิสัยปากสุนัขไม่รับประทานเลย!!" ราธตะโกนออกไปด้วยความอารมณ์เสีย

"แ....น่....ใ....จ....น...ะ" น่าแปลกที่เสียงที่ตอบกลับมากลายเป็นเชิงคำถาม

"แน่อยู่แล้ว! เป็นใครตอนนี้ก็ไม่กลัวทั้งนั้นล่ะ" ราธตะโกนกลับไป

"จั....ด....ไ ..ป....อ...ย่....า....ใ...ห้..เ..สี....ย" สิ้นเสียงจบ เจ้าของเสียงก็พาร่างนั้นกระโดดออกมาจากเงาที่มุมหนึ่งของห้องทันที ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ราธกรี๊ดออกมาพร้อมกับหมดสติลง



-------------------------------------------------------------------------


"....เธอ"

"....เธอ ตื่นได้แล้ว"

"....เธอ เราขอโทษ"

"ตื่นสักที" เสียงที่เรียกเขาตั้งแต่เมื่อกี๊แสดงถึงความโล่งใจอย่างชัดเจน น่าแปลกที่เขารู้สึกคุ้นๆ เสียงนั้นอย่างประหลาด

"ขอโทษนะ เราไม่นึกว่านายจะขวัญอ่อนขนาดนั้น เรากะจะแกล้งเล่นเฉยๆ"

"แกล้งเล่นเฉยๆ.... พูดมาได้ ทำเอาช๊อกจนแทบจะได้ไปเฝ้าเง๊กเซียนฮ่องเต้แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าล้อเล่น" ราธคิด แต่ก็ไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับเพราะไม่อยากมีปัญหาอีก

"เอ่อ... แล้วนี่ฉันสลบไปนานขนาดไหนกันเนี่ย" ราธเอ่ยถามผู้ที่ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้อง ที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นตัวอยู่ดี แต่เขาก็เริ่มคุ้นเคยมากขึ้น เพราะอย่างน้อยๆ ตอนนี้รอยเลือดต่างๆ ก็หายไปแล้ว(พร้อมกลิ่นเอฟเฟต์สุดแสนจะชวนอาเจียน) และดูเป็นห้องพักมากขึ้นเยอะ

"ราวๆ 5 นาทีได้ เธอรู้มั๊ยว่าฉันตกใจขนาดไหน" เสียงเพื่อนร่วมห้องตอบกลับมา ซึ่งมันเป็นเสียงที่ก้องกังวานไปทั่วห้องทำให้เขาจับที่มาไม่ได้เลย

"แล้วฉันไม่ตกใจหรือไงกันนะ?" ราธคิด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

"แล้ว...เอ่อ ...คือ... แบบว่าขอเห็นหน้าตากันหน่อยได้ไหม? มันข้องใจน่ะ" ราธพยายามมองหาเพื่อนร่วมห้อง แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแค่เตียง 2 เตียงที่ตั้งห่างๆ กันในห้องขนาดประมาณ 10 x 10 เมตร

"แน่ใจนะ?" เพื่อนร่วมห้องเอ่ยถาม ทำเอาราธสะดุ้งเฮือก เพราะไอ้ที่เห็นครั้งที่แล้วยังสยองติดตา จนเขาอยากจะเป็นลมไปอีกรอบให้รู้แล้วรู้รอด

"...ไม่เอาแบบเมื่อกี๊นะ" ราธบอก

"คิกๆ นายนี่ตลกดีแฮะ ชักชอบใจแล้วล่ะ โอเค ก็ได้ๆ" เมื่อเพื่อนร่วมห้องพูดจบ ราธก็สังเกตุเห็นมือที่อยู่ๆ ก็โผล่มาลอยในอากาศข้างหน้า พร้อมกับค่อยๆ เห็นแขน...หัวไหล่...ส่วนลำตัว...ขา....แล้วสุดท้ายก็ออกมาเป็นร่างกายทั้งตัว

"นี่คิความสามารถพิเศษของฉัน -Invisible- มันทำให้ฉันสามารถล่องหนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และที่เด็ดสุดๆ คือมันทำให้ไม่สามารถตรวจจับที่มาได้ด้วย ต่อให้เดินชนกันแต่มันก็จะทะลุผ่านไป เจ๋งใช่มั๊ยล่ะ" เพื่อนร่วมห้องอธิบายอย่างร่าเริงให้แก่ราธที่อ้าปากค้างอยู่ หากสิ่งที่เขาตกตะลึงไม่ใช่เพราะความสามารถอันแสนพิลึกนั่น แต่เป็นเพราะเพื่อนร่วมห้องของเขาเป็นผู้หญิง!

"ธ...เธอ...เธอเป็น ผู้หญิงนี่!?" ราะพูดตะกุกตะกัก

"อ๋อ! ก็แน่ล่ะสิ หรือนายอยากพิสูจน์?" เพื่อนร่วมห้องพูดพร้อมกับทำหน้าตาเย้ายวน แล้วก็ดึงขอบกางเกงขาสั้นเลื่อนลงมาเล็กน้อย

"พอๆๆๆๆๆ ไม่ต้อง! ฉันเชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิงจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว" ราธร้องห้าม

"คิกๆ ไม่เอาน่า นายคิดว่าฉันจะทำจริงเหรอ? แล้วที่ฉันมันเป็นผู้หญิงนี่มันเป็นยังไงล่ะ?" เพื่อนร่วมห้องถาม แต่ก็ยังไม่วายเลิกนิสัยยียวนกวนประสาท

"คือ..แบบว่า...ผู้ชายกับ ผู้หญิงอยู่ด้วยเนี่ย....มัน....แบบบว่า...เอ่อ...จะว่าไงดีล่ะ...คือ แบบ..." ราธทำหน้าลำบากใจที่จะพูดต่อ แต่ก็มีเสียงขัดขึ้นซะก่อน

"อ๋อ...กลัวว่าจะมีการผลิตประชากรให้โลกนี้เพิ่มสินะ เฮ้อ...พวกมนุษย์นี่ล่ะน้า~ วันๆ ก็คิดอยู่แค่นี้ล่ะ" สิ่งที่ราธพยายามจะพูดอย่างยากลำบาก แต่อีกฝ่ายกลับพูดออกมาได้อย่างไม่อายปาก

"อึ๊ก! พูดยังกับเธอไม่ใช่มนุษย์งั้นล่ะ???" ราธสงสัยกับคำพูดของฝ่ายตรงข้ามมากเลยเก็บความอยากรู้ไว้ในใจไม่ได้

"ก็ ใช่น่ะสิ!? ฉันน่ะเป็น..." เพื่อนร่วมห้องทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็หยุดก่อนจะพูดออกไปซะดื้อๆ

"ไม่บอกดีกว่า ยิ่งเป็นมนุษย์ที่หน้าตาโง่ๆ อย่างนายแล้วก็คงยิ่งไม่มีทางเข้าใจแน่ๆ แต่เอาเป็นว่าการจัดระบบของที่นี่ เขาทำมาแบบนี้เพื่อให้ลดระยะห่างระหว่างเผ่าพันธุ์ เพื่อความสนิทสนมกันในระยะยาว ฉะนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากหรอก อ้อ! และที่สำคัญ...นายไม่ใช่สเป็กฉันเลยแม้แต่นิดเดียว" อีกฝ่ายร่ายยาว แต่กลับใช้คำพูดที่เสียดแทงจิตใจของชายหนุ่มที่สุดปิดท้ายบทสนทนา ทำเอาราธแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อฟังที่อีกฝ่ายพูดจบ

"อุ๊ย! ฉันลืมแนะนำตัวไปเลย... ฉันชื่อ วินดี้...วินดี้ เดอ ไอซ์เบิร์ก ( Windy De Iceberg )"

"ผม ราธ...ราธ ไซเลนทเทียม ฮาร์ทเบรคเกอร์ ( Wrath Silentium Heartbreaker )"

หลังจากแนะนำตัวกันจบ ทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนมากราธจะเป็นคนถามเกี่ยวกับโรงเรียนนี้มากกว่า แต่ก็ได้แต่คำตอบที่เหมือนๆ เดิมคือ "จะไปรู้เหรอยะ? ฉันก็พึ่งจะเข้ามาปีแรกนะ!" แต่เมื่อตัดเรื่องปากเสียทิ้งไป เขาก็พบว่าวินดี้เป็นคนที่อัธยาศัยดี และค่อนข้างจะสวยมากกว่าผู้หญิงที่เขาเคยเจอมาตลอดชีวิตเลยทีเดียว ผมยาวสีเขียวอมฟ้าที่ดูเปล่งประกายเหมือนสีของน้ำทะเล นัยน์ตากลมโตสีน้ำเงินสดใส ใบหน้ารูปไข่ ปากนิด จมูกหน่อย เมื่อประกอบเข้ากับรูปร่างที่ได้สัดส่วนโค้งเว้าอย่างสวยงามแล้ว รับประกันได้ว่าชายใดได้เห็น ก็ต้องหลงไหลในสเน่ห์จนโงหัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน น่าแปลกที่ราธกลับมีความรู้สึกต่อเธอไม่มากไปกว่าเพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆ เท่านั้น



-------------------------------------------------------------------------


หลังจากที่คุยกันจนพอจะรู้เรื่องราวต่างๆ(ซึ่ง 99% เป็นเรื่องของราธที่จับพลัดจับพลูมาอยู่ที่นี่ 1%ที่เหลือคือเรื่องสัพเพเหระที่ไม่เกี่ยวกับวินดี้และราธ)จนพอใจแล้ว ราธก็ขอตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก ซึ่งวินดี้ก็ไม่ได้ขัดอะไร เพียงแต่บอกแค่ว่า

"กลับมาให้ทันเวลาปิดหอก็แล้วกัน"

ซึ่งราธก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาแค่นึกว่าวินดี้เป็นห่วงว่าเขาจะกลับมาช้าจนต้องนอนข้างนอกห้อง แต่เขาคิดว่าเขาไม่ใช่คนเหลวไหลขนาดนั้นซักหน่อย ยังไงก็น่าจะกลับทัน เขาเลยออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่กว่าที่เขาจะหาทางออกมาจากหอพักได้ เขาก็พบว่าตัวเองเสียเวลาไปมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากตึกที่พักของพวกปี 1 (ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าแต่ละชั้นปีจะอยู่คนละตึก) จะใหญ่แล้วก็กว้างมากๆ แล้ว ทางเดินยังมีเยอะมากอีกด้วย แต่ยังดีที่มีแผนที่ระหว่างทางเป็นระยะ

"งานเกิดแล้วเรา หอปิดตอนเที่ยงคืนพอดี แต่กว่าจะออกมาได้ก็ใช้เวลา 4 ชม.แล้วนะเนี่ย เหลือเวลาอีกแค่ชม.เดียวเอง แล้วตึกบ้าพวกนี้ก็ไม่รู้จะใหญ่อะไรนักหนา แล้วงี้จะกลับทันมั๊ยเนี่ย? หรือเราจะกลับที่พักเลยดีหนอ?" ระหว่างที่ราธกำลังใช้ความคิดอยู่ เขาก็เห็นอะไรบางอย่างขยับที่หางตา

"อะไรหว่า...แวบๆ หวังว่าคงไม่ใช่ไอ้ตัวชวนสยองแบบก่อนมาอีกนะ" ราธคิดในใจพลางอดเสียวสันหลังไปไม่ได้

แต่ยิ่งกลัวก็ยิ่งสงสัย ราธจึงเริ่มเดินไปยังทิศที่เขามองเห็นการเคลื่อนไหว แต่ว่ายิ่งขยับเข้าไปเท่าใด ทางข้างหน้าก็มืดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้เขามองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองแล้ว โชคยังดีที่พอมีแสงไปจากทิศทางที่เดินเข้ามา เลยพอทำให้รู้ว่าทางที่เขาเดินผ่านมาเป็นเส้นตรง

"คงไม่มีอะไรหรอกมั๊ง? ตาฝาดแหงมๆ กลับดีกว่า บรรยากาศก็ชวนขนหัวลุกอยู่แล้วด้วย" ราธคิดในใจพลางเดินย้อนกลับไปบนเส้นทางเดิม แต่ยังไม่ทันถึงที่ เขาก็รู้สึกถูกกระชากที่ขาลงอย่างแรง

"โครม!" เสียงราธล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง และฟังจากเสียงแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ๆ

"อูย... เกิดอะไรขึ้น???" ยังไม่ทันที่ราธจะรู้สึกตัวเต็มที่ จู่ๆ พื้นก็มีการสั่นสะเทือนเหมือนมีชีวิต

"เฮ้ย! แถวนี้มีแผ่นดินไหวด้วยเหรอเนี่ย? ไม่เห็นจะรู้เรื่องมาก่อนเลย" ราธพยายามมองหาจุดที่เขาสามารถหาที่เกาะได้อย่างปลอดภัย แต่ขณะที่เขากำลังมองหาอยู่นั้น เขาก็พบกับความผิดปกติของพื้นดินที่สั่นไหว เนื่องจากจุดที่ห่างออกไปนั้นมันไม่ได้สั่นสะเทือนซักนิด มันเหมือนจุดที่เขายืนต่างหากที่มันไม่นิ่งเหมือนที่อื่น

"มีอะไรแปลกๆ แฮะ? จะว่าไปรู้สึกพื้นมันนิ่มขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?" ราธก้มลงมองไปที่พื้นที่ตัวเองยืนอยู่แต่เขากลับตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อพบว่าใต้ฝ่าเท้าของเขามีอะไรบางอย่างที่ดู เหมือนพืชจำพวกไม้เลื้อยเคลื่อนไหวอยู่ และดูเหมือนมันพยายามจะพาราธให้ไปกับมันซะด้วย

"เหวอ! นี่มันอะไรก๊านนนน!!!! แย่แล้วๆๆ ทำไงดีล่ะเนี่ย ช่วยด้วย! บ้าเอ๊ย ทำไมมันแกะไม่ออกฟะ!" ราธตะโกนร้องเสียงหลง พลางตะโกนของความช่วยเหลือ ในขณะที่พยายามแกะพืชชนิดนั้นให้ออกไปจากตัวเขา แต่ยิ่งเขาออกแรงต่อมันมากเท่าใด มันก็ยิ่งเลื้อยขึ้นมาบนตัวเขามากเท่านั้น และยังพยายามที่จะลากเขาแรงขึ้นอีกด้วย ที่แย่ที่สุดคือตอนนี้มันเลื้อยขึ้นมาครึ่งตัวเขาแล้ว

"นี่มันจะพาเราไปไหนกันแน่เนี่ย? เหมือนมันทำไปตามหน้าที่เลยแฮะ" ราธที่เริ่มปลงกับชีวิต หันมาสนใจกับพืชชนิดนั้นแทน และสังเกตุว่ามันเคลื่อนที่เป็นระเบียบไปตามพื้น และเมื่อเคลื่อนที่ผ่านจุดใดไป มันก็จะลากเอาเศษขยะที่อยู่บนพื้นไปกับมันด้วย ซึ่งมันทำให้ราธประหลาดใจมาก จนลืมว่าตัวเองก็ถูกพืชชนิดนั้นเข้าใจว่าเป็นขยะด้วยเช่นกัน

"แปลกสุดๆ ตั้งแต่เกิดมามีไอ้นี่ล่ะที่มันไม่น่าเป็นไปได้สุดๆ [พืชนักทำความสะอาด] โคตรจะเมพ คิดได้ไงเนี่ยเรา" ราธคิดในใจขณะปล่อยตัวให้พืชที่เขาตั้งชื่อให้อย่างไม่เป็นทางการ พาเขาไปในที่ที่มันไป

หลังจากผ่านไปได้ 10 นาที ราธก็เริ่มสังเกตุว่ามีพืชนักทำความสะอาดมากกว่า 1 กลุ่ม ซึ่งมันก็กระจายไปเรื่อยๆ ตามทางที่เขาผ่าน และมันทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าสุดท้ายมันต้องกลับมารวมกัน พร้อมกับขยะกองโตเป็นแน่ แต่เขาก้ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้นเมื่อมีเสียงเรียกดังขึ้นมา

"เฮ้! นายที่นอนอยู่นั่นน่ะ" เสียงปริศนาดังขึ้นข้างหลังเขา และราธแน่ใจมากว่าเสียงนั้นกำลังเรียกเขา

"เอ่อ...ช่วยผมหน่อยได้มั๊ยครับ ตอนนี้ผมถูกพืชประหลาดๆ นี่ลักพาตัว" ราธร้องขอความช่วยเหลือ

"ลองพูดกับมันดีๆสิ? มันอาจปล่อยนายก็ได้ใครจะไปรู้???" เสียงปริศนาตอบกลับมาพร้อมคำแนะนำ แต่ดูเหมือนมันจะไร้สาระ...สุดๆ

". . .เอ่อคุณพืชครับ ผมไม่ใช่ขยะครับ ช่วยปล่อยผมลงได้ไหม?" ถึงราธจะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้เล่นตามน้ำไปก่อนคงไม่เสียหาย เผื่อพืชชนิดนี้มันอาจจะรู้ภาษาคน (บ้าจี้เล่นกับมันนั่นแหละ เอาง่ายๆ)

แล้วสิ่งสุดมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น! เมื่อพืชได้ค่อยๆ ปล่อยราธออกพร้อมกับเลื้อยไปรวมกัน แล้วหายไปในเงามืดอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ทิ้งให้ราธมองตามไปด้วยความงุนงง

"โอ้ว! อะเมซิ่งสุดๆ ไปเลยครับนาย ไม่น่าเชื่อว่าคำแนะนำไร้สาระของนายจะได้ผลจริงๆ อุ๊บ!" ราธดีใจจนเผลอหลุดปากสิ่งที่คิดไว้ในใจออกมา เมื่อเขารู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปก็รีบเอามืออุดปากทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

"หึ หึ นายคิดจริงๆ งั้นรึ ว่าต้นไม้มันเข้าใจภาษาของมนุษย์ อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยน่า นายรอดมาได้เพราะฉันหรอกนะ" เสียงปริศนาดังขึ้นข้างหลังเขาอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้เขาก้เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงได้อย่างชัดเจน

"เฮ้ย! ซีนิท"

"เฮ้ย! ราธ"

ทั้งคู่ได้แต่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ และจ้องหน้ากันเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น แต่พอทั้งคู่รู้สึกตัวก็หัวเราะออกมากันอย่างร่าเริง

"ฮะๆๆ เมื่อกี๊มันมืดก็เลยมองไม่เห็นว่าเป็นใคร รู้งี้ปล่อยให้พืชนักล่าสัตว์มันลากลงที่ทิ้งขยะด้วยก็ดี" ซีนิทล้อ

"ฮ่าๆๆ ฉันก็นึกว่าไอ้ปัญญาอ่อนที่ไหนมันให้คำแนะนำไร้สาระกับฉัน ที่แท้ก็นายเองหรอกเหรอเนี่ย นึกไม่ถึงเลย!" ราธย้อนกลับ

"เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอนนี้แกคายออกมาให้หมดว่าแกมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วไอ้พืชเมื่อกี๊มันอะไร แล้วมันจะพาฉันไปไหน แล้วที่สำคัญเลยคือ ทำไมแกถึงคุยกับมันรู้เรื่อง" ราธหุบยิ้มลงและเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิงคำถามรัวเป็นชุด

"จะถามก็ถามทีละอย่างก็ได้พ่อคุณ แหม! ทำยังกับ... เอาเป็นว่าฉันตอบเลยแล้วกัน"

"เรื่องแรกคือฉันได้รับจดหมายจากที่นี่ให้เข้ารับการศึกษา วันก่อนที่ฉันไปหาแกก็เพราะอย่างนี้ล่ะ"

"แล้วพืชนั่นก็เรียกว่า -ต้นนักล่าสัตว์- โดยทั่วไปมันจะจับสัตว์เป็นอาหาร แต่ว่าที่นี่ได้เอามาปลูกแล้วฝึกให้มันทำหน้าที่เก็บขยะ หลังจากเก็บขยะเสร็จมันจะเอาขยะทั้งหมดไปส่งที่เตาหลอม แล้วก็จะได้รับเนื้อสัตว์เป็นอาหาร"

"ส่วนเรื่องสุดท้ายที่แกถามว่า ทำไมฉันถึงพูดกับต้นไม้รู้เรื่องนั่นก็เป็นเพราะว่า...ฉันเป็นลูกครึ่งเอลฟ์" เมื่อซีนิทพูดจบ ราธที่นั่งฟังอยู่ก็เกิดอาการหน้าซีด ปากชา ขาสั่น ใจหวั่นไหว สมองไม่ทำงานทันที

"เฮ้ย! อยู่กันมาตั้งนานไม่เห็นแกจะบอกอะไรเลย แบบนี้มันทรยศกันนี่หว่า" ราธโวยวาย

"ฉันก็ตั้งใจจะบอกอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าบอกไปก็กลัวว่านายจะเลิกคบกับฉันน่ะสิ อีกอย่างปากแบบนายนี่คงเก็บความลับไม่ได้แหงๆ ฉันเลยตัดสินใจไม่บอก" ซีนิทบอกเหตุผลจบก็ทำเอาราธฉุนนิดๆ

"นี่แกคิดว่าฉันเป็นคนที่ขายเพื่อนได้ลงคอเลยเหรอ? หึ! ฉันมันโง่เองที่คิดว่าเราสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ถึงขั้นที่บอกความลับของกันและกันได้อย่างไม่ต้องกลัว" ราธตัดพ้อ

"เออๆ ขอโทษฉันผิดไปแล้ว แต่ดูเหมือนแกจะไม่ค่อยตกใจที่ฉันเป็นเอลฟ์เท่าไหร่เลยนะ" ซีนิทถาม

"...ถ้าแกรู้ว่าฉันเจออะไร รับรองว่าแกได้รู้เหตุผลแน่ๆ" แล้วราธก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังตั้งแต่เรื่องที่เขาเจอจดหมายแปลกๆ และโดนทำร้าย หลังจากนั้นก็ตื่นมาเจอลุงเพี้ยนๆ และถูกจับยัดเข้าไปอาศัยกับผู้หญิงแปลกๆ

"โอ้! มันเป็นอย่างงี้นี่เอง" ซีนิทอุทานออกมาหลังจากที่ฟังราธพล่ามตั้งแต่ต้นจนจบ

"แล้วนายไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมราธ" ซีนิทถาม เขาอดเป็นห่วงเพื่อนเขาไม่ได้ เพราะสำหรับซีนิทที่เป็นลูกคนเดียวนั้น ราธเป็นเหมือนพี่น้องมากกว่าเพื่อนของเขาเสียอีก

"บาดแผลเล็กๆ กับรอยฟกช้ำมันไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่พวกแผลใหญ่ๆนี่สิ ถึงจะดูเหมือนหายแต่มันก็ปวดชะมัดเลยล่ะ" ราธโอดครวญให้ซีนิทฟัง

"อืม..งั้นก็ดีแล้ว แล้วก็จำไว้นะว่าทีหลังในวันพระจันทร์เต็มดวง อย่าออกมาเดินเพ่นพ่านอีก เพราะมันเป็นวันกำหนดทำความสะอาด"

"เออๆ จะจำไว้อย่างดีไม่ให้ลืมเลยล่ะ แต่แกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ตรงนี้" ราธที่ยังสงสัยว่าซีนิทเจอเขาได้ยังไง เพราะหากเขารู้ว่าวันนี้ไม่ควรออกมา แต่ทำไมเขาถึงออกมา

"...ฉันมีธุระนิดหน่อยกับลุงแจ๊ค ก็เลยไปหาเขาที่ห้องทำงาน แต่ก็ลืมตัวจนเลยเวลาปิดหอ พอออกมาก็ได้ยินเสียงคนร้องแหกปากแต่ไกล ก็เลยลองถามพวกพืชตามทาง แล้วได้ความว่ามีต้นนักล่าสัตว์ลากมนุษย์ไปรอบๆ อาคาร เลยออกตามหาไงล่ะ นี่ถือเป็นความโชคดีนะที่ฉันมีธุระวันนี้พอดี ไม่งั้นแกถูกส่งเข้าเตาหลอมกลายเป็นก้อนขยะรอรีไซเคิลไปแล้ว" ซีนิทตอบ ซึ่งราธก็ไม่ได้สงสัยอะไร จึงเออออตามไป

"จะว่าไป...ถ้าหอปิด แล้วแกจะกลับที่พักยังไงล่ะซีนิท?" ราธเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นซีนิทตั้งท่าจะเดินจากไป

"หึหึ อยากรู้ก็ตามมาสิ" ซีนิทหัวเราะในลำคอพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนทำให้ราธอดสงสัยไม่ได้ แต่เขาก็เดินตามเพื่อนสนิทของเขาไปแต่โดยดี

หลังจากที่ทั้งคู่เดินลัดเลาะตามซอกตึกมาได้ซักพักใหญ่ ราธก็รู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะก้าวขาไม่ออก เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้ แถมยังหายใจไม่ค่อยสะดวกอีกด้วย อาจเป็นเพราะต้นไม้ประหลาดนั่น หรือเหตุผลอื่นๆ เขาเองก็ไม่อาจจะเดาได้ จึงได้แต่ฝืนเดินตามซีนิทไปอย่างเงียบๆ แต่ดูเหมือนเพื่อนรักของเขาจะสังเกตเห็นอาการของเขาจึงบอกให้เขาพัก และอธิบายเหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้

"ที่นี่น่ะถึงดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไรแปลกมากหรอกนอกจากเป็นอาคารที่กินบริเวณกว้าง แต่นอกจากความใหญ่แล้ว ที่นี่ยังสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 300-500 เมตร จึงทำให้อากาศบนนี้เบาบางมากพอสมควร ถ้านายจะมีอาการเหนื่อยง่ายหรือหายใจติดๆ ขัดๆ ก็ไม่แปลกมากหรอก เดี๋ยวพออยู่ไปซักพักก็จะชินเองล่ะ" ซีนิทกล่าวกับราธที่นอนหายใจหอบอยู่

"...พูดเหมือนนายจะมาที่นี่บ่อยอย่างงั้นล่ะ" ราธถามเพื่อนสนิทของเขา เมื่อได้ยินดังนั้นซีนิทก็ยิ้มรับ

"อีกไม่กี่เมตรก็ถึงที่หมายแล้ว เดี๋ยวนายก็จะได้พักสบายๆ แล้วล่ะ" ซีนิทไม่ตอบคำถามแต่กลับพูดอีกเรื่องแทน ราธจึงได้แต่สงสัยกับท่าทีของเพื่อนสนิทที่สุดแสนจะแปลกประหลาด

หลังจากที่ราธฟื้นตัวแล้วซีนิทก็พาเขาออกเดินต่อทันที แต่ก็เป็นแค่ระยะทางสั้นๆ ที่ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น และเมื่อทั้งคู่หยุดเดิน ราธก็พบว่าตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าหอพักของเขาแล้ว

"เอ๋? ไหนบอกว่าปิดแล้วไง?" ราธสงสัยว่าซีนิทพาเขามาที่หอพักทำไม ทั้งๆ ที่มันเลยเวลาปิดหอมาได้ราวๆ 2-3 ชม.แล้ว

"หึหึ คอยดูนะ" ซีนิทว่าพลางเดินไปที่หน้าประตูทางเข้าหอพัก แล้วพูดอะไรบางอย่างออกมา ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายวับไปกับตาของราธ ทำเอาราธอึ้งจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว

"เฮ้ย! รออะไรอยู่ล่ะนาย ตามมาสิ!" เสียงของซีนิทดังขึ้นในหัวของราธ ทำเอาราธถึงกับสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ

"แก....แกทำได้ยังไงกันน่ะ ไม่สิ...ที่นี่มันชักจะแปลกขึ้นสำหรับฉันทุกวินาทีแล้วนะเนี่ย" ราธตกใจจนพูดตอบออกมา แต่รอบตัวเขาก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม

"ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ราธ เดี๋ยวพวกตัวยุ่งจะออกมากันซะเปล่าๆ แค่ตอบฉันในความคิดก็พอแล้ว เอาล่ะตอนนี้เดินไปที่หน้าประตูก่อน...เร็ว!" เสียงซีนิทตอบกลับมาในหัวของราธแบบเดิม ซึ่งเขาก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ นอกจากต้องยอมรับมันและทำตามที่เพื่อนเขาบอก อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเพื่อนของเขายังเฝ้าดูเขาอยู่

"อยู่หน้าประตูตั้งนานแล้ว แล้วทำไงต่อ?" ราธถามกลับไปในความคิด

"พูดตามฉันนะ แต่ไม่ต้องดังมาก พยายามเบาๆ เข้าไว้" เสียงซีนิทตอบกลับมา

"ข้าคือผู้หลงทางที่แสนโง่เขลา" ซีนิทเริ่ม

"ข้าคือผุ้หลงทางที่แสนโง่เขลา" ราธว่าตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ

"ขออภัยที่ต้องปลุกท่านให้ตื่นขึ้นในยามวิกาล"

"ขออภัยที่ต้องปลุกท่านให้ตื่นขึ้นในยามวิกาล"

"แต่ขอเพียงท่านยอมรับฟัง"

"แต่ขอเพียงท่านยอมรับฟัง"

"ข้าผู้นี้จะติดตาม และยอมรับใช้ท่าน"

"ข้าผู้นี้จะติดตาม และยอมรับใช้ท่าน"

"ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด"

"ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด"

"ขอเพียงแค่ที่อาศัยและพักพิง"

"ขอเพียงแค่ที่อาศัยและพักพิง"

"ข้าจักยอมกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์"

"ข้าจักยอมกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์"

"ขอท่านจงโปรดเมตตา"

"ขอท่านจงโปรดเมตตา"

"ผู้ที่หลงทางในความมืดมิดแห่งโลกนี้ด้วยเถิด"

"ผู้ที่หลงทางในความมืดมิดแห่งโลกนี้ด้วยเถิด"

"...ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย" ราธถามซีนิทในใจ หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงของเขาแล้วซักพัก

"แปลกแฮะ? เมื่อกี๊ก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย?" เสียงซีนิทตอบกลับมา ซึ่งดูเหมือนจะสงสัยเช่นเดียวกับราธ เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วย

ทันใดนั้นก็มีเสียงแทรกขึ้นมาในหัวของราธ

"ปฐมบทที่...2...บทที่...17...ตอนย่อยที่...3...จาก...ดีเทอเรอุส...เจ้า...เข้าพักได้" เสียงที่ดังแทรกขึ้นมานั้นเป็นเสียงของคนแก่่ที่พูดอย่างช้าๆ แต่ก็เป็นเสียงที่ทรงพลังและยังฟังดูนุ่มลึกมากอีกด้วย

"อ๊ะ! ระวังนะราธ ครั้งแรกอาจจะรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ก็ฝืนใจทนหน่อยนะ" เสียงของซีนิทดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใย แต่ก่อนที่ราธจะเข้าใจว่าซีนิทหมายถึงอะไร เขาก็รู้สึกแบบเดียวกับที่แบล๊คแจ๊คพาเขาหายตัวมาที่อาคารหลังนี้ แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นเร็วกว่า มีเวลาตั้งตัวน้อยกว่า และเจ็บปวดกว่ามาก แต่ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่ออาการต่างๆ ทุเลาลง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังล้มทรุดอยู่ข้างๆ ซีนิทที่่ก้มลงมาจะช่วยพยุงตัวเขา

"เป็นไง? ลุกไหวไหม?" ซีนิทเอ่ยถามเมื่อเห็นราธทำหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

"ยังพอลุกไหว ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ในหอพักแล้วใช่มั๊ย?" ราธหันไปมองดูรอบๆ ซึ่งจากที่เขาเห็นแล้ว เขาค่อนข้างแน่ใจว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในหอพักอย่างแน่นอน

"ใช่แล้วล่ะ แต่นายไหวแน่เหรอ ฉันพาขึ้นไปส่งไหม?" ซีนิทตอบ แต่ก็ยังอดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้

"ช่างฉันเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ว่าแต่แกอยู่ห้องไหนล่ะ คราวหลังฉันจะได้ไปหาถูก" ราธถาม

"ห้อง 049898 น่ะ" ซีนิทบอก

"ห้องฉัน 049992 แกไปได้แล้วล่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว" ราธลุกขึ้นแล้วเดินไปตามทางเดิน ซึ่งซีนิทก็เดินตามเขามาด้วย

"งั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อนจนกว่าจะถึงที่ฉันแล้วกัน" ซีนิทบอกแล้วก็เดินไปกับราธเรื่อยๆ พวกเขาเดินผ่านห้องต่างๆ และผ่านเครื่องย้ายมวลสารไปมากมาย จนกระทั่งมาถึงเกือบสุดทางเดิน ก็พบเจอเครื่องย้ายมวลสารที่พาไปชั้นห้องพักของแต่ละคน ซึ่งเมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็เดินทางผ่านเครื่องย้ายมวลสารทันที

เมื่อราธถึงที่หมาย เขาก็ก้าวเดินออกมาจากเครื่องย้ายมวลสาร พลางเดินไปยังห้องของตน พร้อมกับนึกถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งซักพักเขาก็เดินมาถึงประตูหน้า้ห้องพักของเขา แต่เขาก็ลังเลที่จะเปิดเพราะกลัวว่าวินดี้จะหลับไปแล้ว

หลังจากลังเลอยู่ซักพัก ราธก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง แล้วก็เดินลากขาไปยังเตียงนอนแล้วก็ล้มลงตัวลงนอนทันที โดยไม่สนใจวินดี้ที่นั่งรออยู่บนเตียงของเธอเลยซักนิด

"นี่นายไปไหนมาเนี่ย ฉันบอกแล้วไงว่าให้กลับมาก่อนปิดหอ เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ" วินดี้วีนแตกทันทีหลังจากราธหัวตกถึงหมอน ซึ่งราธในตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะตอบจึงได้แค่พูดว่า

"รายละเอียดไว้ตอนเช้าก็แล้วกัน" เมื่อพูดจบ เขาก็ได้ยินวินดี้บ่นแว้ดๆ อยู่ข้างๆ เขาแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ พร้อมกับคิดว่าแค่คืนแรกเขาก็ต้องเจอเรื่องราวประหลาดๆ มากมายจนเขาเหนื่อยเหลือเกิน แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร หลังคิดเพลินๆ ไปได้ซักพัก เขาก็หลับไปทั้งๆ อย่างนั้น


***จบตอน***

ปล. ชี้แจงเรื่องชื่อของราธ และ วินดี้ซักนิดนะครับ ในส่วนของชื่อกลาง

เนื่องจาก คำว่า Silentium และ De มาจากภาษาละติน และ ฝรั่งเศษ ตามลำดับ ผมจึงไม่รู้ว่าควรจะใช้เสียงในภาษาไทยว่าอะไรดีให้คนที่อ่าน อ่านแล้วดูลื่นไหล ผมจึงพยายามเทียบเคียงเสียงที่มาจากเจ้าของภาษา กับการอ่านแบบภาษาอังกฤษเพื่อให้คนอ่านโดยส่วนมากอ่านแล้วรู้สึกไม่ติดขัด ซึ่งผมหนักใจกับคำว่า Silentium มากกว่า เพราะเสียงจริงๆ มันจะอ่านว่า "ซิ-เลน-ทิ-อุม" ฟังแล้วแปลกๆ ไหมครับ? ผมเลยเปลี่ยนไปใช้เป็น ไซเลนทเทียม แทน แต่มันก็ยังดูขัดๆ อยู่ดี

อนึ่ง ชื่อกลางของราธผมคิดไว้ว่ามันควรจะเกี่ยวข้องกับความเงียบ ซึ่งถ้าใครมีไอเดียเสนอว่าควรใช้คำว่าอะไรก็เสนอผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ ขอบคุณทุกคนมาก

noztalgixs
19th July 2011, 02:08
Page - 4 : Almost Time!

เช้าวันต่อมา...

ราธตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อย ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดๆเมื่อคืน ทำให้ตอนนี้ราธรู้สึกอยากจะนอนต่ออีกซักหน่อย แต่เพื่อนร่วมห้องของเขาไม่ปล่อยให้เขานอนสบายๆ

"นี่ๆ ตื่นๆ พ่อคนขี้เซา... จะนอนไปถึงเมื่อไหร่กัน! เช้าแล้วนะ!" เสียงวินดี้ปลุกราธอยู่ข้างๆ ทำให้ราธไม่อาจฝืนนอนต่อไปได้

"แจ๊บๆ... ฮ้าว~ " ราธลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ พร้อมกับหาวยาวๆ 1 ที

"แล้วเมื่อคืนไปทำอะไรมาล่ะถึงกลับซะดึกดื่น" วินดี้ทำตาโตด้วยความอยากรู้

"ก็นะ..... คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้....."

แล้วราธก็เริ่มเล่ารายละเอียดตั้งแต่พยายามหาทางออกจากหอ เดินไปตามซอก เห็นเงาแวบๆ เจอต้นไม้ลาก เจอเพื่อนเก่า ฯลฯ เรื่องทั้งหมดที่เจอในคืนนั้น ซึ่งระหว่างที่เล่าอยู่ก็มีเสียงหัวเราะ และเสียงตกใจจากวินดี้คอยแซมขึ้นมาเป็นระยะ

"อาห๊ะ! เธอนี่ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะเนี่ย" วินดี้พูดออกมาหลังจากราธเล่าเรื่องของเขาจบ

"เรียกว่าโชคชะตาเล่นตลกก็คงได้ล่ะมั๊ง?" ราธบอก

"เอ่อ....ฉันอยากอาบน้ำอ่ะ" อยู่ๆ ราธก็็โพล่งขึ้นมา เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้อาบน้ำเลยสักครั้ง

"แล้วมาบอกฉันทำไมล่ะยะ? หรืออยากให้พาไปห้องน้ำ!? นี่นายอายุเท่าไหร่แล้วยะ! หรือ่าอยู่อนุบาลหมีน้อย!?" วินดี้ถาม

"เอ่อ... ฉันแค่อยากจะถามว่าห้องน้ำอยู่ไหนแค่นั้นเอง ไม่เห็นจะต้องว่ากันเลย..." ราธทำหน้าเศร้า แต่ดูเหมือนวินดี้จะไม่เห็นว่าเขาน่าสงสาร

"ก็หัดหาเอาเองซียะ" พูดจบ วินดี้ก็หายวับไปจากสายตาเขา ทิ้งไว้ให้เหลือแต่ห้องโล่งๆ

"เฮ้อ..." ราธถอนหายใจด้วยความหนักใจ



----------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากที่วินดี้หายตัวไปจากห้อง(ไม่รู้ว่าได้ไปจากห้องหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่เห็นตัวเธอล่ะ) ราธก็ออกมาบ้าง พร้อมกับเดินหาสถานที่ที่เขาคิดว่าเป็นห้องน้ำ แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เขาก็เจอแต่บรรยากาศเดิมๆ

คือเป็นประตูที่มีหมายเลขติดเรียงๆ กันไปตามทางเดิน และมีเครื่องย้ายมวลสารอยู่ตามจุดต่างๆ ซึ่งตอนนี้เขาก็พอจะเห็นผู้เข้ารับการศึกษาจากที่นี่บ้างแล้ว ซึ่งก็มีทั้งมนุษย์ พวกลูกครึ่ง และอื่นๆ ปะปนกันไป

หลังจากที่เขาพยายามเดินหาอยู่พักใหญ่ๆ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอห้องน้ำได้ในชั้นของเขา ทั้งๆ ที่เขาเจอทั้งห้องอาหาร ห้องออกกำลังกาย(อย่างน้อยเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นห้องออกกำลังกาย...ล่ะมั๊ง?) แต่ก็ไม่มีวี่แววของห้องน้ำเลย

ตอนนี้เขารู้สึกมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ไหน จะถามใครก้ไม่กล้า แต่ดังที่มีใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า "เพื่อนแท้มักจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ"

"เฮ้! เป็นอะไรน่ะราธ" เสียงหนึ่งที่คุ้นหูทักขึ้นข้างหลังเขา

"ซีนิท !" ราธอุทานออกมาอย่างดีใจ เมื่อหันไปเจอกับเพื่อนเพียงคนเดียว(ในตอนนี้)ของเขา

"เออ ฉันเองล่ะ ว่าแต่แกเป็นอะไรกันแน่ ดูลูกลี้ลุกลนยังไงชอบกล ฮั่นแน่! กะจะไปแอบทำร้ายลูกตัวเองล่ะสิ" ซีนิทยิ้มยียวนใส่

"บ้านแกสิ! ใครมันจะไปทำ คนเยอะแยะ(?) จะว่าไปแกมาก็ดีแล้วฉันมีเรื่องจะถามหน่อย" ราธซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเล่นด้วย ก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด

"ว่ามาเลย! แต่ถ้าจะให้ไปช่วยหาอุปกรณ์ช่วยล่ะไม่เอาด้วยนะ ไม่สนับสนุน" ซีนิทยังคงไม่เลิกกวนประสาทราธต่อ

"พอๆ ที่ฉันอยากจะถามคือ...แบบ... ไอ้นั่นอ่ะ..." ราธอ้ำอึ้ง

"อะไร? มีอะไรก็พูดมาสิ ไม่ต้องอายหรอก คบกันมานานฉันรับได้" ซีนิทเร่ง

"ห้องน้ำอยู่ไหน?" ราธกลั้นใจพูดรวดเดียวจบ แต่ซีนิทกลับหันมามองหน้าราธ พร้อมทำหน้างงๆ

"ห้องน้ำ? ห้องน้ำอะไร?" ซีนิทซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำถาม ได้ถามย้อนกลับมาที่ราธ

"ก็ไอ่ห้องที่เขาไว้ใช้อาบน้ำ ใ้ห้ตัวมันสะอาดๆ ไงเล่า บ้าเอ๊ย! ทำไมรู้สึกตัวเองโง่อย่างงี้เนี่ย!" ราธอธิบายอย่างฉุนๆ

"อ้อ! ที่นี่ไม่มีหรอก" ซีนิทบอกเมื่อราธอธิบายจบ แต่มันทำเอาราธเป็นฝ่ายงงขึ้นมาแทน

"ไม่มี? แล้วเวลาจะไปฉิ้งฉ่อง หรือปลดทุกข์ล่ะ?" ราธเริ่มงงๆ กับที่นี่มากขึ้นไปทุกที

"หึหึ จริงๆ แล้วมันอยู่นอกอาคารน่ะ" ซีนิทบอก

"เฮ้ย? แล้วถ้าเกิดมันปวดกะทันหันล่ะ" ราธไม่เข้าใจ

"โธ่เอ๊ย! ก้ใช้เครื่องย้ายมวลสารสิ" ซีนิทเฉลย

"ให้เครื่องย้ายมวลสารไปส่งฉี่เหรอ?" ราธยังไม่ค่อยเข้าใจ

"โถวววว~ ไอ้จ๊าดง่าว! ก็เข้าเครื่องย้ายมวลสารไปห้องน้ำสิว้อย!" ซีนิทฟิวส์ขาดทันทีเมื่อราธบอกด้วยสีหน้าแสนซื่อ(บื้อ)



----------------------------------------------------------------------------------------


หลังจากที่ราธทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มารู้จากซีนิททีหลังว่าการที่ห้องน้ำของที่นี่ต้องย้ายไปไว้ข้างนอก ก็เพราะจะได้ไม่ขัดขวางระบบการทำงานต่างๆ ของอาคาร เพื่อป้องกันความขื้นและการรั่วซึมเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เพราะการจะซ่อมแซมภายในนั้นทำได้ลำบากมาก อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะภายในอาคารมีผู้พักอาศัยเยอะมาก จึงต้องทำเพิ่มแยกต่างหากเพื่อรองรับจำนวนของผู้ที่อยู่ในหอ ซึ่งคงไม่ดีแน่ถ้าหากต้องรอนานๆ กว่าจะได้ใช้ห้องน้ำ

"เฮ้อ... ลำบากจริงๆ แฮะ" ราธบ่นออกมาในระหว่างทางกลับไปยังหอพัก เนื่องจากเครื่องย้ายมวลสารที่เขาใช้มาในตอนแรกมาส่งเขาแค่ที่หน้าหอพัก ซึ่งอยู่ห่างจากห้องน้ำที่ทำเป็นอาคารแยกออกไปประมาณ 300 เมตร

"เอาน่า... ทำตัวให้ชินเข้าไว้ ทุกคนเขาก็เป็นเหมือนนายกันทั้งนั้นนะ" ซีนิทที่เดินมาพร้อมกับราธพูดขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะมาหรอก แต่ก็โดนราธลากให้พาไปส่ง

"เฮ้อ....." ราธถอนหายใจออกมา

"เป็นอะไรไปน่ะ?" ซีนิทถาม

"เปล่าหรอก แค่สงสัยอะไรบางอย่างน่ะ" ราธตอบ พลางทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

"เหรอ? อะไรล่ะ?" ซีนิทซักต่อ

"คือเรื่อง...อุ๊บ!" ยังไม่ทันที่ราธจะบอกข้อสงสัยของเขา เขาก็ไปเดินชนกับใครบางคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นเข้าซะก่อน

"โอ๊ย!" ชายหนุ่มฝ่ายที่โดนชนร้องออกมา แล้วก็กระเด็นล้มลงไปคนละทางกับราธ

"โอย... ขอโทษครับ เป็นอะไรมั๊ยครับ?" ราธรีบลุกขึ้นมาดูอาการอีกฝ่าย

"เหอะ! ทีหลังน่ะหัดมองทางเดินซะบ้างนะ หรือแกไม่อยากจะใช้ลูกตาในการมองอีกแล้ว?" อีกฝ่ายต่อว่ากลับมา

"เอ่อ... ต้องขอโทษจริงๆ ครับ" ราธพยายามพูดอย่างสุภาพและทำตัวให้นอบน้อมที่สุด แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังไม่พอใจ

"เหอะ แค่ขอโทษน่ะมันไม่จบง่ายๆ หรอกนะ อ๊ะ! ฉันไม่เคยเห็นหน้าพวกนายเลยนี่นา พวกนายอยู่ปี 1 กันสินะ?" อีกฝ่ายถาม

"เอ่อ..ใช่ครับ ผมพึ่งมาเมื่อวาน" ราธตอบ

"หึหึ เอาเป็นว่าเห็นแก่ที่แกอยู่ปี 1 หรอกนะ แต่แค่ขอโทษเรื่องไม่จบหรอกนะ" พูดจบชายหนุ่มคนนั้นก็เดินจากไปทันที

"เฮ้อ...โชคดีนะที่เขาไม่เอาเรื่องพวกเรา" ราธถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะมองตามหลังชายคนนั้น แต่เขากลับไม่ชอบชายคนนั้นเอาเสียเลย

"โชคดี? นายรู้ไหมว่าตัวเองพูดอะไรออกมา?" ซีนิทแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นๆ

"หืม? ทำไมล่ะ???" ราธสงสัย

"นั่นน่ะคือ [แบรท เอล บอยล์เลอร์] (Brat El Boiler) เจ้าของฉายา -Bloody Boiler (บอยเลอร์ผู้บ้าเลือด)-" ซีนิทบอก

"Bloody??? คืออะไรน่ะ?" ราธยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ซีนิทบอก

"ชู่ว~ ฟังนะ ลือกันว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์เพียงคนเดียวและคนสุดท้ายของตระกูล"บอยล์เลอร์" ก็เลยถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีและตามใจให้ทุกอย่าง แต่อาจเป็นเพราะว่าเคยได้รับการตามใจจนเคยชิน เลยทำให้มีนิสัยที่ก้าวร้าวและเอาแต่ได้มากๆ ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้อะไร ต่อให้ฆ่าคนมันก็ยอม ขนาดมีเรื่องเล่าว่ามันเคยโดนผู้หญิงปฏิเสธคำสารภาพ ผู้หญิงคนนั้นเลยโดนมันใช้มีดกรีดทั่วตัวจนต้องนอนซมที่โรงพยาบาลนานถึง 3 อาทิตย์เลยล่ะ" ซีนิทเล่า

"เฮ้ย! แล้วทำไมมันไม่โดนไล่ออกล่ะ?" ราธที่ได้ฟังวีรกรรมถึงกับขนลุก อีกทั้งยังสงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงปล่อยให้คนพรรค์นี้ยังศึกษาต่อไปได้

"ราธ...แกลืมไปแล้วเหรอว่าที่นี่คือที่ไหน? ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนหรือสถานศึกษานะ ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีสิทธิ์ตายได้ทุกวันนั่นล่ะ แบบที่แกเจอไปคืนก่อนไงล่ะ" ซีนิทเตือนสติราธ

"แต่ทำถึงขนาดนี้มันก็..." ราธรู้สึกพะอืดอพะอมขึ้นมา

"ที่นี่ไม่ใช่โลกแสนสงบสุขที่นายกับฉันเคยอยู่อีกต่อไปแล้วนะราธ ที่นี่คือโลกที่กว้างใหญ่กว่านั้น ที่่นี่คือสถานที่ซึ่งผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์มีชีวิตรอด ทุกคนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดในโลกใบนี้ และสำหรับนายหรือฉันก็ไม่มีข้อยกเว้นทั้งนั้นล่ะ" ซีนิทพูดออกมาโดยไม่มีติดขัด ราวกับว่าทุกคำพูดนั้นเขาได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ซึ่งเมื่อเขาพูดจบก็ทำเอาราธต้องกลืนน้ำลายลงไปหลายอึกเลยทีเดียว

"ตอนนี้ฉันว่านายรีบไปเตรียมตัวดีกว่า" จู่ๆ ซีนิทก็พูดแทรกขึ้นมา ทำลายบรรยากาศที่แสนจะอึมครึมระหว่างเขา 2 คน

"เตรียมตัว? เตรียมตัวอะไร? เตรียมตัวสำหรับไอ่เจ้าชายนั่นเหรอ" ราธพูดอย่างหวาดๆ

"อืม...ก็สมควรจะเตรียมตัวนะ แต่ตอนนี้แกต้องไปเตรียมตัวสำหรับพิธีเปิดภาคเรียนพรุ่งนี้ต่างหากละโว้ย!" พูดจบ ซีนิทก็ไล่เตะราธที่วิ่งหน้าตั้งหนีไปอย่างรวดเร็ว

***จบตอนแล้วจ้า***