stratocaster
23rd November 2011, 09:46
http://musicdelicious.files.wordpress.com/2011/09/fender_logo6.jpg
สวัสดีครับเพื่อนทุกคน ผมชื่อลิ๊งนะครับ
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่อยากตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างคนรักกีต้าร์ด้วยกันอ่ะนะครับ:o
ไม่ว่าจะเป็นกีต้าร์ อคูสติก หรือ กีต้าร์ไฟฟ้าก็ตาม มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ตามสบายนะครับ :cool:
แต่จริงๆแล้วเนี่ย การที่จะ เล่นกีต้าร์เนี่ยมันไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไรนักนะครับ แต่เรื่องที่อยากก็คือการที่จะเล่นมันให้เก่งนั่นเอง
มันก็คงไม่พ้นภาคทฤษฐีอ่ะนะครับ ปฏิเสธมันไม่ได้เลยทีเดียว ผมก็ไม่ค่อยชอบนะ แต่ก็ต้องเรียนไว้มั่ง :sweat
เพื่ออธิบายว่าไอสิ่งที่เราเล่นเนี่ย เราเล่นอะไรอยู่ เรากำลังทำอะไรอยู่
บางทีเห็นเล่นเก่งๆบางคนโซโล่ปานสายฟ้าฟาด ถามว่า "ที่เอ็งเล่นอยู่มันสเกลของอะไรวะ" ก็ยืนงง แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ :o
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะ บทความนี้่ก๊อบมาทั้งดุ้นเลยครับ เห็นมันเข้าใจง่ายดีนะครับ
1. พื้นฐานเรื่องโน้ต
ตัวโน๊ตทั้งหมด ตามที่เราคุ้นเคยคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด ซึ่งโน้ตแต่ละตัวจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งโดยนำเอา
ตัวอักษรภาษาอังกฤษมาตั้ง ดังนี้
C = โด
D = เร
E = มี
F = ฟา
G = ซอล
A = ลา
B = ที
อันนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่เพื่อนๆต้องจำนะครับ ซึ่งวิธีจำก็ไม่ยากอะไรเลย แค่เอาตัว C ขึ้นต้น และไล่เสียงไปเรื่อยๆ
ตามตัวอักษร C D E F G และวนกลับมาที่ A B ก็เป็นอันครบ
อันที่จริงแล้ว ยังมีเสียงที่นอกเหนือจากนี้อีก ซึ่งจะอธิบายได้ง่ายจากคีย์บอร์ด ดังนี้ครับ
http://www.guitarkung.com/Images/Note%20on%20Keyboard2.gif
เพื่อนๆจะสังเกตุเห็นว่ามีโน๊ตอยู่ 2 คู่ ที่ไม่มีตัวขั้นกลาง นั่นก็คือ E กับ F และ B กับ C ทำไมถึงเป็นเช่นนี้นะเหรอ
ครับ กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาจากผู้ที่คิดค้นทฤษฎีดนตรีในยุคแรกน่ะครับ คล้ายๆกับสูตรทางคณิตศาสตร์แหล่ะครับ เราเองเป็นผู้ศึกษาต่อจากสิ่งที่ผู้อื่นเค้าศึกษากันมาอย่างหนักหน่วง เรา แค่เอาสูตรที่เค้าคิดเอาไว้อย่างดีแล้วมาใช้แค่นั้นเอง
มาถึงตรงนี้สิ่งที่เพื่อนๆต้องจำเพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ E กับ F ติดกัน และ B กับ C ติดกัน อ้อ ผมลืมบอกไป
ครับ จาก C ไป D นั้น ห่างกัน 1 เสียงเต็ม (ทำไมถึงห่าง 1 เสียงเต็ม ?............. ก็เพราะมันมีตัวคั่นคือ C# หรือ Db
นั่นแหล่ะครับ ส่วน E กับ F ห่างกัน ครึ่งเสียง เพราะไม่มีตัวคั่น และ B กับ C ก็ห่างกันครึ่งเสียงทีนี้เพื่อนๆ
คงทราบแล้วนะครับว่า โน๊ตคู่ไหนห่างกัน 1 เสียงเต็มบ้าง โน๊ตคู่ไหนห่างกันครึ่งเสียงบ้าง
อธิบายเพิ่มเติมจากรูปด้านล่าง ดังนี้
ให้ลูกศรชี้ขึ้น เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงที่สูงขึ้นไป โดยการใส่เครื่องหมายชาร์ฟ (#) และ
ให้ลูกศรชี้ลง เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงที่ต่ำลงมา โดยการใส่เครื่องหมายแฟลต (b)
http://www.guitarkung.com/Images/Note%2012.gif
C สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = C# C ลดลงครึ่งเสียง = B
D สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = D# D ลดลงครึ่งเสียง = Db
E สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = F E ลดลงครึ่งเสียง = Eb
F สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = F# F ลดลงครึ่งเสียง = E
G สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = G# G ลดลงครึ่งเสียง = Gb
A สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = A# A ลดลงครึ่งเสียง = Ab
B สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = C B ลดลงครึ่งเสียง = Bb
จะสังเกตได้ว่า มีเสียงที่เท่ากันอยู่ดังนี้
C# = Db
D# = Eb
F# = Gb
G# = Ab
A# = Bb
เอ....... ในเมื่อมันเป็นเสียงเดียวกัน ทำไมไม่เรียกอันใดอันนึงไปเลย ทำให้สับสนทำไมก็ไม่รู้........นั่นนะสิครับ
แต่จริงๆแล้ว มันขึ้นอยู่กับแต่ละบทเพลงมากกว่า คือถ้าเพลงนั้นๆมีโน้ตที่ติดชาร์ฟ (#) ก็จะติดชาร์ฟทั้งเพลง หรือ
เพลงไหน ทีมีโน้ตติดแฟลต (b) ก็จะแฟลตมันทั้งเพลง คงไม่มีใส่โน้ตที่ติดชาร์ฟ และแฟลต ไว้ในเพลงเดียวกัน
หรอกครับ
2.โน้ตบนคอกีต้าร์
เมื่อคราวที่แล้วผมได้นำเสนอเกี่ยวกับตัวโน๊ตตามหลักทฤษฎีพื้นฐานไปแล้ว คราวนี้เข้าเรื่องตัวโน๊ตทั้งหมดบน คอกีต้าร์กันบ้าง
http://www.guitarkung.com/Images/Note%20on%20Guitar.gif
อันที่จริงเพื่อนๆคงจะเคยเห็นภาพในลักษณะนี้กันมาบ้างแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เข้าใจ หรือยังงงๆอยู่ ผมจะทำให้ กระจ่างเองครับ
จากรูป เป็นการจำลองภาพบนคอกีต้าร์โดยสายที่ 1 นำจากด้านบน ไล่ลงมาจนถึงสายที่ 6 ซึ่งอยู่ล่างสุด และบน คอกีต้าร์จะถูกแบ่งออกเป็นช่องๆเรียกว่า "เฟรท" ซึ่งเราจะเริ่มนับเฟรทที่ 1 จากช่องแรกด้านซ้ายมือ ไล่ไป
เรื่อยๆ จนสุดคอ กีต้าร์ จากรูปแสดงถึงเฟรทที่ 12 เท่านั้น เพราะถ้าเพื่อนสังเกตุจะเห็นว่า เฟรทที่ 12 มันจะวนมาเจอตัวโน๊ตที่เฟรทแรก ตามภาพด้านบน สายที่ 1 เฟรทที่ 1 = F และ เฟรทที่ 12 ก็ = F เช่นกัน
อักษรภาษาอังกฤษที่ผมเขียนกำกับเอาไว้ในแต่ละสาย (ด้านซ้ายมือ)หมายถึง ตัวโน๊ตในกรณีดีดสายเปล่าของสาย
นั้นๆ เช่น เมื่อเราดีดสายเปล่าในสายที่ 1 เสียงที่ได้คือเสียง E (หรือโน๊ตตัว "มี" ตามที่อธิบายไว้ในบทแรก แต่ในทางกีต้าร์จะนิยมเรียกตามตัวอักษรภาษาอังกฤษมากกว่า)
ในแต่ละเฟรทจะห่างกันครึ่งเสียง ยกตัวอย่างจากสายที่ 1
สายเปล่า = เสียง E
หากเรากดนิ้วที่เฟรทที่ 1 จะได้เสียง F (เพราะ E กับ F ห่างกันครึ่งเสียง หรือจำง่ายๆว่า E กับ F ติดกัน)
หากเรากดนิ้วที่เฟรทที่ 2 จะได้เสียง F# หรือ Gb (เอ...ทำไม F แล้วไม่ไป G เลย? ถ้าเพื่อนๆยังเกิดคำถามนี้อยู่ คงต้องย้อนไปเรียนในบทที่ 1: พื้นฐานความรู้เรื่องโน๊ต ก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจ)
ข้ามมาเฟรทที่ 7 หากเรากดนิ้วที่เฟรทนี้จะได้เสียง B
และหากกดนิ้วที่เฟรทที่ 8 จะได้เสียง C (นั่นก็เพราะ B กับ C ห่างกันครึ่งเสียง หรือจำง่ายๆว่า B กับ C ติดกัน)
ในที่นี่ผมใส่โน๊ตไว้ให้แค่ 2 สายแรก นอกนั้น อยากให้เพื่อนลองหากันเองน่ะครับ เพื่อจะได้เข้าใจ (จริงๆแล้ว
ขี้เกียจต่างหาก แฮะๆๆ) เอาล่ะครับก่อนที่จะงงกันไปกว่านี้ ผมขอฝากทิ้งท้ายไว้ให้จำหลักง่ายๆว่า E กับ F ติดกัน
และ B กับ C ติดกัน แค่นี้แหล่ะครับ ไม่มีอะไรยาก ในสายที่ 2 ถึง 6 ก็อธิบายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตัวโน๊ต ตั้งต้นจะต่างกันเท่านั้นเอง อ้อ...ลืมบอกไปครับว่า สายที่ 1 และสายที่ 6 เริ่มที่ ตัว E เหมือนกันครับ
3.องค์ประกอบของคอร์ด
บทนี้มาพูดกันถึงเรื่องคอร์ดดีกว่าครับ เพื่อนๆคงจะเคยจับคอร์ด ตีคอร์ดกันมาบ้างแล้ว อยากทราบมั้ยครับว่า "คอร์ด" มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้ครับ
คอร์ดคือการรวมกลุ่มของตัวโน๊ตตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป โดยหลักๆแล้วจะแบ่งออกเป็น คอร์ดเมเจอร์(major)และคอร์ดไมเนอร์(minor)
เพื่อนๆลองหยิบหนังสือเพลงขึ้นมาดูประกอบสิครับ
ตัวอย่างเช่น คอร์ด C (เรียกเต็มว่า C เมเจอร์, เขียนเต็มๆว่า Cmaj (โดยปกติจะละ maj เอาไว้)
คอร์ด Am (อ่านว่า A ไมเนอร์ โดย m ย่อมาจาก minor)
คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วย โน๊ตตัวที่ 1,3,5
1,3,5 มาจากไหน?
ให้เอาโน๊ตตัว C ตั้งต้น แล้วไล่เสียงไปจนครบ 7 ตัวโน๊ต ดังนี้
C(1)---- D(2)---- E(3)--F(4)---- G(5)---- A(6)---- B(7)--C(8)
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึงตำแหน่ง จะสังเกตุเห็นว่าโน๊ตตำแหน่งที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 ห่างกันอยู่ครึ่งเสียง ที่เหลือห่างกัน 1 เสียงเต็ม
(อ้อ...จริงๆแล้ว โน๊ตตำแหน่งที่ 8 ก็คือตัวเดียวกับตัวที่ 1 นั่นแหล่ะครับ แต่เขียนไว้เพื่อให้เห็นชัดว่า 7 กับ 8 มันห่างกันครึ่งเสียงน่ะครับ)
ย้อนกลับไปที่ คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วยโน๊ตตัวที่ 1,3,5 การที่จะทราบว่าตัวโน๊ต ตำแหน่งที่ 1,3,5 นั้นคือโน๊ตอะไร ก็ให้เอาตัว Root ตั้งต้น (ตัว Root หมายถึง ตัวโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ด เช่น Root ของคอร์ด C ก็คือ C , Root ของคอร์ด Am ก็คือ A)
Root ของคอร์ด Dm7 ก็คือ D โดยเราไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะติด m,7 หรือติดอะไรก็ตาม ให้ดูแค่ว่าชื่อคอร์ดเป็นตัวอักษรอะไรก็พอ
เอาล่ะครับ....ยกตัวอย่างเลยดีกว่า เดี๋ยวจะงงกันไปซะก่อน
Ex.1 คอร์ด C
หาคอร์ด C ให้เอา C ตั้งต้นก็จะได้
C(1)---- D(2)---- E(3)--F(4)---- G(5)---- A(6)---- B(7)--C(8)
1 = C
3 = E
5 = G
เพราะฉะนั้น คอร์ด C จึงประกอบด้วยโน๊ต 3 ตัว คือ C,E,G
Ex.2 คอร์ด G
หาคอร์ด G ก็ให้เอา G ตั้งต้นจะได้ว่า
G(1)---- A(2)----B(3)--C(4)---- D(5)---- E(6)----F#(7)--G(8)
อย่าลืมนะครับ ว่าตำแหน่งที่ 3 กับ 4 ติดกัน (ส่วนตำแหน่งที่ 7 กับ 8 มันจะติดกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้วครับถ้าเรียงมาถูกนะครับ)
1 = G
3 = B
5 = D
เพราะฉะนั้น คอร์ด G จึงประกอบด้วย G,B,D
ลองอีกสักตัวอย่างนะครับ
Ex.3 คอร์ด E
คอร์ด E ก้เอา E ตั้งต้นเช่นกัน
E(1)---- F#(2)----G#(3)--A(4)---- B(5)---- C#(6)----D#(7)--E(8)
1 = E
3 = G#
5 = B
เพราะฉะนั้น คอร์ด E จึงประกอบด้วย E,G#,B
*สรุปครับสรุป...หากเพื่อนๆอยากทราบองค์ประกอบของคอร์ดๆใดก็ตามให้เอา Root ของคอร์ดนั้นมาตั้งต้น แล้วเรียงลำดับตัวโน๊ตไปจนครบ 7 ตัว (...ถัดจากตัว G ก็คือ A นะครับ อย่าไปใส่ตัว H ล่ะ) โดยให้ยึดกฎที่ว่า 3 กับ 4 ติดกันก็เป็นอันใช้ได้ครับ
4.องค์ประกอบของคอร์ด [2]
คราวนี้เราลองมาพิสูจน์ทฤษฎีเรื่ององค์ประกอบของคอร์ดกันดีกว่า บทที่แล้วผมได้กล่าวถึงตัวเลข 1,3,5 ไปแล้ว (ไม่ได้เป็นการใบ้หวยนะครับ แต่หมายถึงตำแหน่งของตัวโน๊ตต่างหาก) ถ้าเพื่อนๆเข้าใจ 1,3,5 แล้ว เราลองมาพิสูจน์กันดีกว่าครับ ว่ามันจริงตามนี้รึเปล่า ยกตัวอย่างคอร์ดง่ายๆก่อนนะครับ เอาคอร์ด C ละกัน
คอร์ด C รูปแบบที่ 1
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20C.gif
คอร์ด C ตามรูปด้านบน เป็นการจับคอร์ด C ในแบบแรก (แบบที่ง่ายที่สุดซึ่งเหมาะกับมือใหม่ครับ)
จำได้มั้ยครับว่าคอร์ด C ประกอบด้วยตัวโน๊ตอะไรบ้าง?
คอร์ด C ประกอบด้วย C,E,G ไงครับ
ในบทที่ 2 ผมได้กล่าวถึงโน๊ตบนคอกีต้าร์ไปบ้างแล้ว เพื่อนๆคงพอจำได้นะครับ ฉะนั้นตามรูป เวลาเราตีคอร์ดเราก็จะได้โน๊ตในแต่ละสาย ดังนี้
สายที่ 1 ได้เสียง E
สายที่ 2 ได้เสียง C
สายที่ 3 ได้เสียง G
สายที่ 4 ได้เสียง E
สายที่ 5 ได้เสียง E
สายที่ 6 ได้เสียง E
สรุปแล้ว ตัวโน๊ตที่ได้ในแต่ละสายก็จะอยู่ในกลุ่มคอร์ด C คือ C,E,G ทั้งนั้น แหล่ะครับ (ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นคอร์ด C)
แต่คงไม่มีการกำหนดตายตัวหรอกครับ ว่าต้องมีโน๊ต C กี่ตัว, E กี่ตัว หรือ G กี่ตัว เอาให้มันครบก็เป็นอันเข้าสูตรแล้วครับ
ลองมาดูคอร์ด C ในรูปแบบที่ 2 กันบ้างนะครับ (เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมคอร์ดเดียวกัน ถึงจับได้หลายแบบ)
คอร์ด C รูปแบบที่ 2
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20C2.gif
ครับ คอร์ด C ในแบบที่ 2 นี้ เริ่มต้นที่เฟรทที่ 3
เหมือนเดิมเลยครับ ลองเช็๋คแต่ละสายดูว่ามีโน๊ตตัวไหนอยู่บ้าง
สายที่ 1 ได้เสียง G
สายที่ 2 ได้เสียง E
สายที่ 3 ได้เสียง C
สายที่ 4 ได้เสียง G
สายที่ 5 ได้เสียง C
สายที่ 6 ได้เสียง G
แน่นอนครับ ทั้งหมดอยู่ในคอร์ด C แต่จะต่างจากแบบแรกตรงจำนวนตัวโน๊ตแต่ละตัวไม่เท่ากัน และการเรียงลำดับตัวโน๊ตในแต่ละสายไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง แต่สรุป...มันก็คือคอร์ด C เหมือนกันแหล่ะครับ
นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีการจับคอร์ด C ในรูปแบบอื่นๆอีก เพื่อนๆลองดูตามแผนผังคอร์ดกีต้าร์ก็ได้ครับ (ถ้ามี) จะเห็นว่า แต่ละคอร์ดจะมีวิธีการจับได้หลายแบบ โดยการเล่นต่างเฟรทกันไป แต่ยังไงซะมันก็คือสูตร 1,3,5 นั้นแหล่ะครับ
เอาละครับหวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจเรื่ององค์ประกอบของคอร์ดและที่มาที่ไปของมันกันบ้างแล้ว คราวหน้าเราจะมาต่อกันด้วยเรื่องการ "Transpose คอร์ด" กันดีกว่า
5.การ Transpose คอร์ด
คราวที่แล้วที่ผมได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ในแต่ละคอร์ดจะมีวิธีการจับหลายแบบด้วยกัน แล้วแต่ว่าเราจับคอร์ตรงช่วง
เฟรทไหน .......ตายละวา คอร์ดก็มีตั้งหลายคอร์ด แถมแต่ละคอร์ดยังจับได้ตั้งหลายแบบ แล้วทีนี้จะจำยังไงไหว?
แล้วจะเลือกใช้คอร์ดแบบไหนกันดี? คำถามเหล่านี้คงเกิดขึ้นกับหลายๆคน อย่าเพิ่งงงกันไปใหญ่นะครับ อันที่จริงคอร์ดที่มีอยู่ทั้งหมดในทางทฤษฎีก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกนำมาใช้ซะทั้งหมดหรอกครับ เพราะในทางปฏิบัติบางคอร์ดก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องการจดจำรูปแบบในการจับคอร์ด ก็เป็นเรื่องที่จะพูดถึงในบทนี้แหล่ะครับ ................เอาล่ะครับ เริ่มกันเลยดีกว่า
ยกตัวอย่างคอร์ด A
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20A.gif
คอร์ด A ประกอบด้วยตัวโน๊ต A,C#,E
ตามที่ผมเคยบอกไปแล้วในบทที่ 1 ว่าแต่ละเฟรทนั้นห่างกันครึ่งเสียง ฉะนั้น ถ้าห่าง 2 เฟรท ก็เท่ากับ
ห่างกัน 1 เสียงครับ เราลองมาดูการ Transpose ในฟอร์มคอร์ด A กันนะครับ
ถ้าเราเคลื่อนนิ้วเข้าหาตัวกีต้าร์ 2 เฟรท ฟอร์มคอร์ด A ดังกล่าว จะได้เป็นคอร์ด B ดังรูป
*** ใช้นิ้ว 2(นิ้วชี้)ทาบที่เฟรทที่ 2
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20B.gif
คอร์ด B ประกอบด้วยตัวโน๊ต B,D#,F#
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เราเคยเรียนกันมาแล้วว่าตัวโน๊ต A กับ B ห่างกัน 1 เสียง พอมาเป็นคอร์ดก็เช่นเดียวกัน หมายถึง เราสามารถใช้ฟอร์มคอร์ด A เป็นแบบ แล้ว Transpose มา 2 เฟรท โดยใช้นิ้ว 2(นิ้วชี้) ทาบที่เฟรท 2 และนิ้ว 3,4,5 กดไปที่สาย 2,3,4 ในเฟรทที่ 4 ดังรูป (อ่านแล้วงงกันรึเปล่าครับ อันที่จริงดูจากรูปก็เข้าใจได้ไม่ยาก ครับ) *** ลืมบอกไปครับ ไม่ทราบเพื่อนๆงงกันรึเปล่าว่าเราจับคอร์ด A เราจะกดนิ้วแค่ 3 จุด แต่ทำไมพอ Transpose มาเป็นคอร์ด B จึงต้องใช้นิ้ว 2(นิ้วชี้)ทาบที่เฟรทที่ 2 คำตอบก็คือ อันที่จริงแล้วเวลาที่เราจับคอรด์ A ส่วนที่เรียกว่า"นัท"(ที่เป็นตัวรองสายก่อนจะพันเข้ากับแกนที่เชื่อมต่อกับลูกบิด ซึ่งเวลาเราปรับลูกบิดแกนตัวนี้ ก็จะหมุน) โดยนัทจะเป็นตัวขึงสายเพื่อให้เกิดเสียง ฉะนั้น การที่เราใช้นิ้วทาบลงไปก็เป็นการกดสายเพื่อให้เกิด เสียงเช่นกัน ดังนั้น ในการ Transpose คอร์ด ก็ต้อง Traspose มาให้หมด ไม่เว้นสายเปล่านะครับ ถ้าจะให้ ละเอียด เราลองมาดูการ Transpose ในแต่ละสายกันนะครับ
คอร์ด A คอร์ด B
สายที่ 1 = E (สายเปล่า) -------------------- Transpose เป็น = F#
สายที่ 2 = C# ------------------------------------ Transpose เป็น = D#
สายที่ 3 = A -------------------------------------- Transpose เป็น = B
สายที่ 4 = E ------------------------------------- Transpose เป็น = F#
สายที่ 5 = A (สายเปล่า) --------------------- Transpose เป็น = B
สายที่ 6 = E (สายเปล่า) --------------------- Transpose เป็น = F#
จากคอร์ด A ไป คอร์ด B แล้ว ที่นี้เราลองมา Transpose กันอีกครั้งนะครับ
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20C2.gif
คอร์ด C ประกอบด้วยตัวโน๊ต C,E,G
สำหรับคอร์ด B เราใช้นิ้ว2 (นิ้วชี้)ทาบเฟรทที่ 2 คราวนี้เรา Transpose มาครึ่งเสียง ทาบนิ้วชี้ที่เฟรทที่ 3 ส่วนนิ้วอื่นก็วางในรูปเดิม ก็จะได้เป็นคอร์ด C แล้วครับ
*** เนื่องจาก B กับ C ห่างกันครึ่งเสียง ฉะนั้น คอร์ด B ไปคอร์ด C จึงห่างกันเพียง 1 เฟรทเท่านั้น
Transpose อีกครั้งก็จะได้คอร์ด D ดังรูปครับ
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20D.gif
คอร์ด D ประกอบด้วยตัวโน๊ต D,F#,A
เอาละครับยกตัวอย่างให้ดูพอสมควรแล้ว หวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจเรื่องการ Transpose กันบ้างแล้วนะครับ ลองไปฝึก Traspose กันเอาเองนะครับ โดยใช้ฟอร์มคอร์ดที่จับในเฟรทแรกๆ เช่น คอร์ด A, คอร์ด E, คอร์ด D ยึดเป็นฟอร์มที่ใช้ในการ Transpose จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น
เป็นไงมั่งครับหวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์นะครับ ต่อจากผมว่าให้ไปศึกษาเองจากเว็บดีกว่านะครับ
http://www.guitarkung.com/All%20Pages/Theory%20of%20Music.html
มีปัญหาข้องใจอะไรก็ถามมาได้ในกระทู้เลยนะครับ :bye
สวัสดีครับเพื่อนทุกคน ผมชื่อลิ๊งนะครับ
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่อยากตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างคนรักกีต้าร์ด้วยกันอ่ะนะครับ:o
ไม่ว่าจะเป็นกีต้าร์ อคูสติก หรือ กีต้าร์ไฟฟ้าก็ตาม มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ตามสบายนะครับ :cool:
แต่จริงๆแล้วเนี่ย การที่จะ เล่นกีต้าร์เนี่ยมันไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไรนักนะครับ แต่เรื่องที่อยากก็คือการที่จะเล่นมันให้เก่งนั่นเอง
มันก็คงไม่พ้นภาคทฤษฐีอ่ะนะครับ ปฏิเสธมันไม่ได้เลยทีเดียว ผมก็ไม่ค่อยชอบนะ แต่ก็ต้องเรียนไว้มั่ง :sweat
เพื่ออธิบายว่าไอสิ่งที่เราเล่นเนี่ย เราเล่นอะไรอยู่ เรากำลังทำอะไรอยู่
บางทีเห็นเล่นเก่งๆบางคนโซโล่ปานสายฟ้าฟาด ถามว่า "ที่เอ็งเล่นอยู่มันสเกลของอะไรวะ" ก็ยืนงง แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ :o
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะ บทความนี้่ก๊อบมาทั้งดุ้นเลยครับ เห็นมันเข้าใจง่ายดีนะครับ
1. พื้นฐานเรื่องโน้ต
ตัวโน๊ตทั้งหมด ตามที่เราคุ้นเคยคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด ซึ่งโน้ตแต่ละตัวจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งโดยนำเอา
ตัวอักษรภาษาอังกฤษมาตั้ง ดังนี้
C = โด
D = เร
E = มี
F = ฟา
G = ซอล
A = ลา
B = ที
อันนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่เพื่อนๆต้องจำนะครับ ซึ่งวิธีจำก็ไม่ยากอะไรเลย แค่เอาตัว C ขึ้นต้น และไล่เสียงไปเรื่อยๆ
ตามตัวอักษร C D E F G และวนกลับมาที่ A B ก็เป็นอันครบ
อันที่จริงแล้ว ยังมีเสียงที่นอกเหนือจากนี้อีก ซึ่งจะอธิบายได้ง่ายจากคีย์บอร์ด ดังนี้ครับ
http://www.guitarkung.com/Images/Note%20on%20Keyboard2.gif
เพื่อนๆจะสังเกตุเห็นว่ามีโน๊ตอยู่ 2 คู่ ที่ไม่มีตัวขั้นกลาง นั่นก็คือ E กับ F และ B กับ C ทำไมถึงเป็นเช่นนี้นะเหรอ
ครับ กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาจากผู้ที่คิดค้นทฤษฎีดนตรีในยุคแรกน่ะครับ คล้ายๆกับสูตรทางคณิตศาสตร์แหล่ะครับ เราเองเป็นผู้ศึกษาต่อจากสิ่งที่ผู้อื่นเค้าศึกษากันมาอย่างหนักหน่วง เรา แค่เอาสูตรที่เค้าคิดเอาไว้อย่างดีแล้วมาใช้แค่นั้นเอง
มาถึงตรงนี้สิ่งที่เพื่อนๆต้องจำเพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ E กับ F ติดกัน และ B กับ C ติดกัน อ้อ ผมลืมบอกไป
ครับ จาก C ไป D นั้น ห่างกัน 1 เสียงเต็ม (ทำไมถึงห่าง 1 เสียงเต็ม ?............. ก็เพราะมันมีตัวคั่นคือ C# หรือ Db
นั่นแหล่ะครับ ส่วน E กับ F ห่างกัน ครึ่งเสียง เพราะไม่มีตัวคั่น และ B กับ C ก็ห่างกันครึ่งเสียงทีนี้เพื่อนๆ
คงทราบแล้วนะครับว่า โน๊ตคู่ไหนห่างกัน 1 เสียงเต็มบ้าง โน๊ตคู่ไหนห่างกันครึ่งเสียงบ้าง
อธิบายเพิ่มเติมจากรูปด้านล่าง ดังนี้
ให้ลูกศรชี้ขึ้น เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงที่สูงขึ้นไป โดยการใส่เครื่องหมายชาร์ฟ (#) และ
ให้ลูกศรชี้ลง เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงที่ต่ำลงมา โดยการใส่เครื่องหมายแฟลต (b)
http://www.guitarkung.com/Images/Note%2012.gif
C สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = C# C ลดลงครึ่งเสียง = B
D สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = D# D ลดลงครึ่งเสียง = Db
E สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = F E ลดลงครึ่งเสียง = Eb
F สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = F# F ลดลงครึ่งเสียง = E
G สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = G# G ลดลงครึ่งเสียง = Gb
A สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = A# A ลดลงครึ่งเสียง = Ab
B สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = C B ลดลงครึ่งเสียง = Bb
จะสังเกตได้ว่า มีเสียงที่เท่ากันอยู่ดังนี้
C# = Db
D# = Eb
F# = Gb
G# = Ab
A# = Bb
เอ....... ในเมื่อมันเป็นเสียงเดียวกัน ทำไมไม่เรียกอันใดอันนึงไปเลย ทำให้สับสนทำไมก็ไม่รู้........นั่นนะสิครับ
แต่จริงๆแล้ว มันขึ้นอยู่กับแต่ละบทเพลงมากกว่า คือถ้าเพลงนั้นๆมีโน้ตที่ติดชาร์ฟ (#) ก็จะติดชาร์ฟทั้งเพลง หรือ
เพลงไหน ทีมีโน้ตติดแฟลต (b) ก็จะแฟลตมันทั้งเพลง คงไม่มีใส่โน้ตที่ติดชาร์ฟ และแฟลต ไว้ในเพลงเดียวกัน
หรอกครับ
2.โน้ตบนคอกีต้าร์
เมื่อคราวที่แล้วผมได้นำเสนอเกี่ยวกับตัวโน๊ตตามหลักทฤษฎีพื้นฐานไปแล้ว คราวนี้เข้าเรื่องตัวโน๊ตทั้งหมดบน คอกีต้าร์กันบ้าง
http://www.guitarkung.com/Images/Note%20on%20Guitar.gif
อันที่จริงเพื่อนๆคงจะเคยเห็นภาพในลักษณะนี้กันมาบ้างแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เข้าใจ หรือยังงงๆอยู่ ผมจะทำให้ กระจ่างเองครับ
จากรูป เป็นการจำลองภาพบนคอกีต้าร์โดยสายที่ 1 นำจากด้านบน ไล่ลงมาจนถึงสายที่ 6 ซึ่งอยู่ล่างสุด และบน คอกีต้าร์จะถูกแบ่งออกเป็นช่องๆเรียกว่า "เฟรท" ซึ่งเราจะเริ่มนับเฟรทที่ 1 จากช่องแรกด้านซ้ายมือ ไล่ไป
เรื่อยๆ จนสุดคอ กีต้าร์ จากรูปแสดงถึงเฟรทที่ 12 เท่านั้น เพราะถ้าเพื่อนสังเกตุจะเห็นว่า เฟรทที่ 12 มันจะวนมาเจอตัวโน๊ตที่เฟรทแรก ตามภาพด้านบน สายที่ 1 เฟรทที่ 1 = F และ เฟรทที่ 12 ก็ = F เช่นกัน
อักษรภาษาอังกฤษที่ผมเขียนกำกับเอาไว้ในแต่ละสาย (ด้านซ้ายมือ)หมายถึง ตัวโน๊ตในกรณีดีดสายเปล่าของสาย
นั้นๆ เช่น เมื่อเราดีดสายเปล่าในสายที่ 1 เสียงที่ได้คือเสียง E (หรือโน๊ตตัว "มี" ตามที่อธิบายไว้ในบทแรก แต่ในทางกีต้าร์จะนิยมเรียกตามตัวอักษรภาษาอังกฤษมากกว่า)
ในแต่ละเฟรทจะห่างกันครึ่งเสียง ยกตัวอย่างจากสายที่ 1
สายเปล่า = เสียง E
หากเรากดนิ้วที่เฟรทที่ 1 จะได้เสียง F (เพราะ E กับ F ห่างกันครึ่งเสียง หรือจำง่ายๆว่า E กับ F ติดกัน)
หากเรากดนิ้วที่เฟรทที่ 2 จะได้เสียง F# หรือ Gb (เอ...ทำไม F แล้วไม่ไป G เลย? ถ้าเพื่อนๆยังเกิดคำถามนี้อยู่ คงต้องย้อนไปเรียนในบทที่ 1: พื้นฐานความรู้เรื่องโน๊ต ก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจ)
ข้ามมาเฟรทที่ 7 หากเรากดนิ้วที่เฟรทนี้จะได้เสียง B
และหากกดนิ้วที่เฟรทที่ 8 จะได้เสียง C (นั่นก็เพราะ B กับ C ห่างกันครึ่งเสียง หรือจำง่ายๆว่า B กับ C ติดกัน)
ในที่นี่ผมใส่โน๊ตไว้ให้แค่ 2 สายแรก นอกนั้น อยากให้เพื่อนลองหากันเองน่ะครับ เพื่อจะได้เข้าใจ (จริงๆแล้ว
ขี้เกียจต่างหาก แฮะๆๆ) เอาล่ะครับก่อนที่จะงงกันไปกว่านี้ ผมขอฝากทิ้งท้ายไว้ให้จำหลักง่ายๆว่า E กับ F ติดกัน
และ B กับ C ติดกัน แค่นี้แหล่ะครับ ไม่มีอะไรยาก ในสายที่ 2 ถึง 6 ก็อธิบายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตัวโน๊ต ตั้งต้นจะต่างกันเท่านั้นเอง อ้อ...ลืมบอกไปครับว่า สายที่ 1 และสายที่ 6 เริ่มที่ ตัว E เหมือนกันครับ
3.องค์ประกอบของคอร์ด
บทนี้มาพูดกันถึงเรื่องคอร์ดดีกว่าครับ เพื่อนๆคงจะเคยจับคอร์ด ตีคอร์ดกันมาบ้างแล้ว อยากทราบมั้ยครับว่า "คอร์ด" มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้ครับ
คอร์ดคือการรวมกลุ่มของตัวโน๊ตตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป โดยหลักๆแล้วจะแบ่งออกเป็น คอร์ดเมเจอร์(major)และคอร์ดไมเนอร์(minor)
เพื่อนๆลองหยิบหนังสือเพลงขึ้นมาดูประกอบสิครับ
ตัวอย่างเช่น คอร์ด C (เรียกเต็มว่า C เมเจอร์, เขียนเต็มๆว่า Cmaj (โดยปกติจะละ maj เอาไว้)
คอร์ด Am (อ่านว่า A ไมเนอร์ โดย m ย่อมาจาก minor)
คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วย โน๊ตตัวที่ 1,3,5
1,3,5 มาจากไหน?
ให้เอาโน๊ตตัว C ตั้งต้น แล้วไล่เสียงไปจนครบ 7 ตัวโน๊ต ดังนี้
C(1)---- D(2)---- E(3)--F(4)---- G(5)---- A(6)---- B(7)--C(8)
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึงตำแหน่ง จะสังเกตุเห็นว่าโน๊ตตำแหน่งที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 ห่างกันอยู่ครึ่งเสียง ที่เหลือห่างกัน 1 เสียงเต็ม
(อ้อ...จริงๆแล้ว โน๊ตตำแหน่งที่ 8 ก็คือตัวเดียวกับตัวที่ 1 นั่นแหล่ะครับ แต่เขียนไว้เพื่อให้เห็นชัดว่า 7 กับ 8 มันห่างกันครึ่งเสียงน่ะครับ)
ย้อนกลับไปที่ คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วยโน๊ตตัวที่ 1,3,5 การที่จะทราบว่าตัวโน๊ต ตำแหน่งที่ 1,3,5 นั้นคือโน๊ตอะไร ก็ให้เอาตัว Root ตั้งต้น (ตัว Root หมายถึง ตัวโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ด เช่น Root ของคอร์ด C ก็คือ C , Root ของคอร์ด Am ก็คือ A)
Root ของคอร์ด Dm7 ก็คือ D โดยเราไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะติด m,7 หรือติดอะไรก็ตาม ให้ดูแค่ว่าชื่อคอร์ดเป็นตัวอักษรอะไรก็พอ
เอาล่ะครับ....ยกตัวอย่างเลยดีกว่า เดี๋ยวจะงงกันไปซะก่อน
Ex.1 คอร์ด C
หาคอร์ด C ให้เอา C ตั้งต้นก็จะได้
C(1)---- D(2)---- E(3)--F(4)---- G(5)---- A(6)---- B(7)--C(8)
1 = C
3 = E
5 = G
เพราะฉะนั้น คอร์ด C จึงประกอบด้วยโน๊ต 3 ตัว คือ C,E,G
Ex.2 คอร์ด G
หาคอร์ด G ก็ให้เอา G ตั้งต้นจะได้ว่า
G(1)---- A(2)----B(3)--C(4)---- D(5)---- E(6)----F#(7)--G(8)
อย่าลืมนะครับ ว่าตำแหน่งที่ 3 กับ 4 ติดกัน (ส่วนตำแหน่งที่ 7 กับ 8 มันจะติดกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้วครับถ้าเรียงมาถูกนะครับ)
1 = G
3 = B
5 = D
เพราะฉะนั้น คอร์ด G จึงประกอบด้วย G,B,D
ลองอีกสักตัวอย่างนะครับ
Ex.3 คอร์ด E
คอร์ด E ก้เอา E ตั้งต้นเช่นกัน
E(1)---- F#(2)----G#(3)--A(4)---- B(5)---- C#(6)----D#(7)--E(8)
1 = E
3 = G#
5 = B
เพราะฉะนั้น คอร์ด E จึงประกอบด้วย E,G#,B
*สรุปครับสรุป...หากเพื่อนๆอยากทราบองค์ประกอบของคอร์ดๆใดก็ตามให้เอา Root ของคอร์ดนั้นมาตั้งต้น แล้วเรียงลำดับตัวโน๊ตไปจนครบ 7 ตัว (...ถัดจากตัว G ก็คือ A นะครับ อย่าไปใส่ตัว H ล่ะ) โดยให้ยึดกฎที่ว่า 3 กับ 4 ติดกันก็เป็นอันใช้ได้ครับ
4.องค์ประกอบของคอร์ด [2]
คราวนี้เราลองมาพิสูจน์ทฤษฎีเรื่ององค์ประกอบของคอร์ดกันดีกว่า บทที่แล้วผมได้กล่าวถึงตัวเลข 1,3,5 ไปแล้ว (ไม่ได้เป็นการใบ้หวยนะครับ แต่หมายถึงตำแหน่งของตัวโน๊ตต่างหาก) ถ้าเพื่อนๆเข้าใจ 1,3,5 แล้ว เราลองมาพิสูจน์กันดีกว่าครับ ว่ามันจริงตามนี้รึเปล่า ยกตัวอย่างคอร์ดง่ายๆก่อนนะครับ เอาคอร์ด C ละกัน
คอร์ด C รูปแบบที่ 1
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20C.gif
คอร์ด C ตามรูปด้านบน เป็นการจับคอร์ด C ในแบบแรก (แบบที่ง่ายที่สุดซึ่งเหมาะกับมือใหม่ครับ)
จำได้มั้ยครับว่าคอร์ด C ประกอบด้วยตัวโน๊ตอะไรบ้าง?
คอร์ด C ประกอบด้วย C,E,G ไงครับ
ในบทที่ 2 ผมได้กล่าวถึงโน๊ตบนคอกีต้าร์ไปบ้างแล้ว เพื่อนๆคงพอจำได้นะครับ ฉะนั้นตามรูป เวลาเราตีคอร์ดเราก็จะได้โน๊ตในแต่ละสาย ดังนี้
สายที่ 1 ได้เสียง E
สายที่ 2 ได้เสียง C
สายที่ 3 ได้เสียง G
สายที่ 4 ได้เสียง E
สายที่ 5 ได้เสียง E
สายที่ 6 ได้เสียง E
สรุปแล้ว ตัวโน๊ตที่ได้ในแต่ละสายก็จะอยู่ในกลุ่มคอร์ด C คือ C,E,G ทั้งนั้น แหล่ะครับ (ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นคอร์ด C)
แต่คงไม่มีการกำหนดตายตัวหรอกครับ ว่าต้องมีโน๊ต C กี่ตัว, E กี่ตัว หรือ G กี่ตัว เอาให้มันครบก็เป็นอันเข้าสูตรแล้วครับ
ลองมาดูคอร์ด C ในรูปแบบที่ 2 กันบ้างนะครับ (เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมคอร์ดเดียวกัน ถึงจับได้หลายแบบ)
คอร์ด C รูปแบบที่ 2
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20C2.gif
ครับ คอร์ด C ในแบบที่ 2 นี้ เริ่มต้นที่เฟรทที่ 3
เหมือนเดิมเลยครับ ลองเช็๋คแต่ละสายดูว่ามีโน๊ตตัวไหนอยู่บ้าง
สายที่ 1 ได้เสียง G
สายที่ 2 ได้เสียง E
สายที่ 3 ได้เสียง C
สายที่ 4 ได้เสียง G
สายที่ 5 ได้เสียง C
สายที่ 6 ได้เสียง G
แน่นอนครับ ทั้งหมดอยู่ในคอร์ด C แต่จะต่างจากแบบแรกตรงจำนวนตัวโน๊ตแต่ละตัวไม่เท่ากัน และการเรียงลำดับตัวโน๊ตในแต่ละสายไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง แต่สรุป...มันก็คือคอร์ด C เหมือนกันแหล่ะครับ
นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีการจับคอร์ด C ในรูปแบบอื่นๆอีก เพื่อนๆลองดูตามแผนผังคอร์ดกีต้าร์ก็ได้ครับ (ถ้ามี) จะเห็นว่า แต่ละคอร์ดจะมีวิธีการจับได้หลายแบบ โดยการเล่นต่างเฟรทกันไป แต่ยังไงซะมันก็คือสูตร 1,3,5 นั้นแหล่ะครับ
เอาละครับหวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจเรื่ององค์ประกอบของคอร์ดและที่มาที่ไปของมันกันบ้างแล้ว คราวหน้าเราจะมาต่อกันด้วยเรื่องการ "Transpose คอร์ด" กันดีกว่า
5.การ Transpose คอร์ด
คราวที่แล้วที่ผมได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ในแต่ละคอร์ดจะมีวิธีการจับหลายแบบด้วยกัน แล้วแต่ว่าเราจับคอร์ตรงช่วง
เฟรทไหน .......ตายละวา คอร์ดก็มีตั้งหลายคอร์ด แถมแต่ละคอร์ดยังจับได้ตั้งหลายแบบ แล้วทีนี้จะจำยังไงไหว?
แล้วจะเลือกใช้คอร์ดแบบไหนกันดี? คำถามเหล่านี้คงเกิดขึ้นกับหลายๆคน อย่าเพิ่งงงกันไปใหญ่นะครับ อันที่จริงคอร์ดที่มีอยู่ทั้งหมดในทางทฤษฎีก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกนำมาใช้ซะทั้งหมดหรอกครับ เพราะในทางปฏิบัติบางคอร์ดก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องการจดจำรูปแบบในการจับคอร์ด ก็เป็นเรื่องที่จะพูดถึงในบทนี้แหล่ะครับ ................เอาล่ะครับ เริ่มกันเลยดีกว่า
ยกตัวอย่างคอร์ด A
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20A.gif
คอร์ด A ประกอบด้วยตัวโน๊ต A,C#,E
ตามที่ผมเคยบอกไปแล้วในบทที่ 1 ว่าแต่ละเฟรทนั้นห่างกันครึ่งเสียง ฉะนั้น ถ้าห่าง 2 เฟรท ก็เท่ากับ
ห่างกัน 1 เสียงครับ เราลองมาดูการ Transpose ในฟอร์มคอร์ด A กันนะครับ
ถ้าเราเคลื่อนนิ้วเข้าหาตัวกีต้าร์ 2 เฟรท ฟอร์มคอร์ด A ดังกล่าว จะได้เป็นคอร์ด B ดังรูป
*** ใช้นิ้ว 2(นิ้วชี้)ทาบที่เฟรทที่ 2
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20B.gif
คอร์ด B ประกอบด้วยตัวโน๊ต B,D#,F#
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เราเคยเรียนกันมาแล้วว่าตัวโน๊ต A กับ B ห่างกัน 1 เสียง พอมาเป็นคอร์ดก็เช่นเดียวกัน หมายถึง เราสามารถใช้ฟอร์มคอร์ด A เป็นแบบ แล้ว Transpose มา 2 เฟรท โดยใช้นิ้ว 2(นิ้วชี้) ทาบที่เฟรท 2 และนิ้ว 3,4,5 กดไปที่สาย 2,3,4 ในเฟรทที่ 4 ดังรูป (อ่านแล้วงงกันรึเปล่าครับ อันที่จริงดูจากรูปก็เข้าใจได้ไม่ยาก ครับ) *** ลืมบอกไปครับ ไม่ทราบเพื่อนๆงงกันรึเปล่าว่าเราจับคอร์ด A เราจะกดนิ้วแค่ 3 จุด แต่ทำไมพอ Transpose มาเป็นคอร์ด B จึงต้องใช้นิ้ว 2(นิ้วชี้)ทาบที่เฟรทที่ 2 คำตอบก็คือ อันที่จริงแล้วเวลาที่เราจับคอรด์ A ส่วนที่เรียกว่า"นัท"(ที่เป็นตัวรองสายก่อนจะพันเข้ากับแกนที่เชื่อมต่อกับลูกบิด ซึ่งเวลาเราปรับลูกบิดแกนตัวนี้ ก็จะหมุน) โดยนัทจะเป็นตัวขึงสายเพื่อให้เกิดเสียง ฉะนั้น การที่เราใช้นิ้วทาบลงไปก็เป็นการกดสายเพื่อให้เกิด เสียงเช่นกัน ดังนั้น ในการ Transpose คอร์ด ก็ต้อง Traspose มาให้หมด ไม่เว้นสายเปล่านะครับ ถ้าจะให้ ละเอียด เราลองมาดูการ Transpose ในแต่ละสายกันนะครับ
คอร์ด A คอร์ด B
สายที่ 1 = E (สายเปล่า) -------------------- Transpose เป็น = F#
สายที่ 2 = C# ------------------------------------ Transpose เป็น = D#
สายที่ 3 = A -------------------------------------- Transpose เป็น = B
สายที่ 4 = E ------------------------------------- Transpose เป็น = F#
สายที่ 5 = A (สายเปล่า) --------------------- Transpose เป็น = B
สายที่ 6 = E (สายเปล่า) --------------------- Transpose เป็น = F#
จากคอร์ด A ไป คอร์ด B แล้ว ที่นี้เราลองมา Transpose กันอีกครั้งนะครับ
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20C2.gif
คอร์ด C ประกอบด้วยตัวโน๊ต C,E,G
สำหรับคอร์ด B เราใช้นิ้ว2 (นิ้วชี้)ทาบเฟรทที่ 2 คราวนี้เรา Transpose มาครึ่งเสียง ทาบนิ้วชี้ที่เฟรทที่ 3 ส่วนนิ้วอื่นก็วางในรูปเดิม ก็จะได้เป็นคอร์ด C แล้วครับ
*** เนื่องจาก B กับ C ห่างกันครึ่งเสียง ฉะนั้น คอร์ด B ไปคอร์ด C จึงห่างกันเพียง 1 เฟรทเท่านั้น
Transpose อีกครั้งก็จะได้คอร์ด D ดังรูปครับ
http://www.guitarkung.com/Images/Chord%20D.gif
คอร์ด D ประกอบด้วยตัวโน๊ต D,F#,A
เอาละครับยกตัวอย่างให้ดูพอสมควรแล้ว หวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจเรื่องการ Transpose กันบ้างแล้วนะครับ ลองไปฝึก Traspose กันเอาเองนะครับ โดยใช้ฟอร์มคอร์ดที่จับในเฟรทแรกๆ เช่น คอร์ด A, คอร์ด E, คอร์ด D ยึดเป็นฟอร์มที่ใช้ในการ Transpose จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น
เป็นไงมั่งครับหวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์นะครับ ต่อจากผมว่าให้ไปศึกษาเองจากเว็บดีกว่านะครับ
http://www.guitarkung.com/All%20Pages/Theory%20of%20Music.html
มีปัญหาข้องใจอะไรก็ถามมาได้ในกระทู้เลยนะครับ :bye