PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ความแตกต่าง วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทยกับญี่ปุ่น



=Galaxy Ag=Z
18th July 2011, 12:23
ความแตกต่าง วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทยกับญี่ปุ่น
เบื้องหลังความฉลาดของคนญี่ปุ่น ปัจจัยหลักที่สำคัญมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กค่ะ เพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นจะโตมาด้วยสองมือของแม่ ทำให้การเติบโตสมวัย มีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน และในรับความรักความใกล้ชิดอย่างเต็มที่
,
คุณแม่แบบญี่ปุน

ผู้หญิงญี่ปุ่นนั้นส่วนมากจะเป็นแม่บ้านค่ะ เพราะมีแต่งงานมีครอบครัว มีลูกก็จะลาออกจากงานมาเพื่อเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มตัว เพราะสังคมญี่ปุ่นนั้นจะถือว่าการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแม่ส่วนคุณพ่อนั้นจะเป็นฝ่ายทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว และคนญี่ปุ่นไม่นิยมจ้างพี่เลี้ยงนะคะ ทุกๆ เรื่องในบ้านคุณแม่ญี่ปุนเขาจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถือเป็นงานใหญ่ทีเดียวนะคะ เริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดก็จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนมแม่คุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด และมีภูมิต้านทานโรค เด็กญี่ปุ่นจึงได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ เพราะคุณแม่ไม่ต้องกลับไปทำงาน ทำให้ร่างกายของเด็กๆ นั้นเจริญเติบโตสมวัยและมีพัฒนาการที่ดี

ส่วนคุณแม่นั้นเคล็ดลับประการหนึ่งที่ช่วยให้มีน้ำนมดีคือ การรับประทานอาหารประเภทที่ทำมาจากถั่วเหลือง เต้าหู้ มิโซะ นัตโตะ (ถั๋วหมัก) แล้วก็เน้นรับประทานอาหารแบบธรรมชาติ รวมถึงทานเนื้อปลาให้มากและเน้นผักอย่างพวกแครอต หัวไชเท้าซึ่งจะทำให้น้ำนมของคุณแม่ไหลได้ดี และมีรสชาติที่ดีด้วยค่ะ ที่สำคัญคุณแม่ที่ให้นมไม่ควรกินอาหารหวานๆ หรืออาหารที่มีสารคาเฟอีน เพราะจะทำให้นมลดลงค่ะ

คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร

ประเทศมหัศจรรย์

รู้สึกแปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหมครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูกอย่างไร หรือเขามีลักษณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของเราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้วเปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ "sorry ...sorry ..sorry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าชนชาติ (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ (ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)

รู้จักความคิดเชิงบวก
โดยปกติแล้วความคิดเชิงลบจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นพร้อมจะมองเห็นความบกพร่องมากกว่ามองเห็นข้อดี
ใน ขณะที่ความคิดเชิงบวก ต้องอาศัยมุมมองและการคิดที่ลึกกว่านั้น ไม่ใช่การคิดชั้นเดียวจากการเห็นแล้วสรุปความเลยว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่ต้อง มาจากมุมมองที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น(โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี) ย่อมมีประโยชน์หรือความดีแฝงอยู่ด้วยเสมอ
ดังนั้น การมองโลกเชิงบวก(positive thinking) จึงหมายถึงการมองสิ่งต่างๆอย่างเข้าใจ ยอมรับได้ในด้านลบ มองปัญหา ความทุกข์ ความไม่ราบรื่นเป็นเรื่องธรรมดา หากรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากด้านบวกที่แฝงอยู่จากสิ่งนั้นๆ ได้ เหตุการณ์บางอย่าง เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นไปแล้ว เราเลือกได้ว่าจะมองและรู้สึกกับมันอย่างไร
ศ.ดร.นายแพทย์วิทยา นาควัชระ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ กล่าวให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวว่า มุมมองของคนเรานั้นมีทั้งด้านบวก ด้านลบ หรือมองแล้วเฉยๆไม่รู้สึกอะไร (zero) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใต้สำนึกของแต่ละคน "จิตของมนุษย์เป็นเหมือนก้อนหินลอยน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือจิตสำนึกหรือความรู้ตัว เป็นส่วนที่โผล่พ้นน้ำมี 5 เปอร์เซ็นต์ กับอีกส่วนหนึ่งคือจิตใต้สำนึก เป็นส่วนใต้น้ำที่มีมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ มาจากการสะสมประสบการณ์ชีวิต ความคิด ความรู้สึกเอาไว้ทั้งลบและบวก"
แต่คนเรามักจำ เรื่องลบเอาไว้มากกว่า คนไทยเลี้ยงลูกด้วยการตำหนิ กลัวชมแล้วเหลิง หรือไม่ก็ชมไม่เป็น มักนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ หรือด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก เมื่อเติบโตขึ้น เวลาเราคิดถึงอะไรก็คิดติดลบตลอดเวลา และรู้สึกว่าตนเองได้รับความรักไม่เพียงพอ แม้จะอยู่กับผู้คนมากมาย แต่ประสบการณ์ชีวิตทำให้รู้สึกว่ามีคนรักตนเองน้อย จึงเหงา ว้าเหว่ ไม่เชื่อมั่น ไม่ภาคภูมิใจในตนเอง" ทั้งหมดนี้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญและที่มาของความคิดเชิงลบในที่สุด

1.วิธีการเลี้ยง

1.1วิธีการเลี้ยงลุกของคนไทย คือ คนไทยส่วนใหญ่เอาใจใส่ลูกทำทุกๆอย่างเพื่อลูกเด็กไทยก็เลยติด
พ่อ แม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิด ทำให้เด็กไทยทำอะไรตัวคนเดียวไม่ได้

1.2วิธีการเลี้ยงลูกของคนญี่ปุ่น คือ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เมื่อรุ้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จะลาออกจากงาน
เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูก และจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนลูกอายุ2ปีแล้วค่อยปล่อยลูกให้ลูกแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รับผิดชอบชีวิตด้วยตนเอง ดังนั้นเด้กชาวญี่ปุ่นจึงมีความขยัน อดทน และพึ่งพาตนเองได้

2.เพราะเหตุใดจึงแตกต่างกัน
ตอบ วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทย-ญี่ปุ่น แตกต่างตรงที่ว่า แม่ชาวญี่ปุ่นจะให้อิสระแก่ลูก ให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกตั้งแต่เล็กๆ หัดให้ลูกช่วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ผิดกับคนไทยที่จะให้ลูกอยู่แต่ในกรอบที่พ่อ แม่กำหนดไว้ทำให้ลูกไม่รู้จักโต ต้องขอเงินพ่อ แม่ใช้อยู่ตลอด ไม่แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เด็กไทยจึงขาดความเป็นผู้นำ

3.ผลที่ออกมาลักษณะของเด็กแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
ตอบ แตกต่าง เพราะเด็กไทยโตขึ้นมาถึงจะอายุมากแต่ก็ติดพ่อ แม่ และยังขอเงินพ่อ แม่ใช้เหมือนเดิม ส่วนเด็กญี่ปุ่นจะมีความอดทน ความเป็นผู้นำสูง ขยัน และกล้าคิด กล้าทำ กล้าต่อสู้กับปัญหาด้วยตนเอง

4.หากคนไทยนำวิธีการเลี้ยงแบบนี้มาเลี้ยงลูกอะไรจะเกิดขึ้น
ตอบ เด็กไทยจะมีความเป็นผู้นำสูง กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกและกล้าเผชิญกับปัญหา

5.ผลที่ตามมาดีหรือไม่ดี เหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่ อย่างไร
ตอบ ดีและเหมาะสมกับสังคมไทย เพราะ สังคมไทยต้องการความเป็นผู้นำสูงจะได้นำพาประเทสชาติเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากคนไทยมีความคิด ความกล้า เป็นของตนเอง

Credit : http://fangwittayayon.net/profiles/blogs/5053090:BlogPost:57513

kurosagi_diow 2
18th July 2011, 13:34
คนไทยเลี้ยงลูกแบบเกาหลีครับ...โตขึ้นเลยเป็นเกาหลีกันหมด:rofl

ขำๆนะ

BL!TZ
18th July 2011, 13:42
เรปบน เอาไปเลย +1 555555

PeaceterZero
18th July 2011, 13:50
คงจะยาก เพราะ กศท ไทย เราเทพ ปั้นเด็กให้เกรียนแตกได้ ภายใน 1ปี ถ้ามันไม่จริงทำไมเด็กตกเยอะอันดับ 1 ของโลกละ
+กับที่นี้คือประเทศไทย - -

แล้ว กศท ไทยบอก พัฒนา 51 บ้าอะไรอัด 16วิชา -*-สายวิทย์-คณิตขี้แตกหมด -*-

ShiDow
18th July 2011, 14:46
ถึงจะเลี้ยงกันยังไงแต่ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ภูมิใจครับที่ได้เกิดเป็นคนไทย :thank

ace_killer21
18th July 2011, 15:21
รวมๆก็ดีนะครับแต่ผมยังสงสัยเรื่องทำไม ต้องมี AV เยอะ -0-



เพราะมันขายได้ เเละเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ง่าย จริงมั้ยล่ะ ขนาดเเกยังเคยดูรู้จัก เเค่นี้ก็พิศูจได้เเล้วว่าธุรกิจนี้โตไวขนาดไหน มันถึงได้มีเยอะไง

ปล.เด็กญี่ปุ่นน่ารักมากครับ ผมมีน้องสาว(ญาติ)เป็นคนญี่ปุ่นเเม่เป็นคนไทย คุณน้าท่านเอามาฝาเลี้ยงไว้กับผม เด็กดีมากๆทำงานบ้านเก่งทำอาหารเป็นคุณเเม่เค้าสอนมาดีจริงๆ เสียอย่างเดียวเอาใจง่ายไปหน่อย อย่างที่ว่าคุณเเม่ญี่ปุ่น 99% เป็นเเม่บ้าน

ผมไม่เคยดูนะ :p

menoskun
18th July 2011, 15:34
รวมๆก็ดีนะครับแต่ผมยังสงสัยเรื่องทำไม ต้องมี AV เยอะ -0-

เพราะมันขายได้ เเละเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ง่าย จริงมั้ยล่ะ ขนาดเเกยังเคยดูรู้จัก เเค่นี้ก็พิศูจได้เเล้วว่าธุรกิจนี้โตไวขนาดไหน มันถึงได้มีเยอะไง

ปล.เด็กญี่ปุ่นน่ารักมากครับ ผมมีน้องสาว(ญาติ)เป็นคนญี่ปุ่นเเม่เป็นคนไทย คุณน้าท่านเอามาฝาเลี้ยงไว้กับผม เด็กดีมากๆทำงานบ้านเก่งทำอาหารเป็นคุณเเม่เค้าสอนมาดีจริงๆ เสียอย่างเดียวเอาใจง่ายไปหน่อย อย่างที่ว่าคุณเเม่ญี่ปุ่น 99% เป็นเเม่บ้าน

Loly
18th July 2011, 16:10
โดนกันไป 55+

[::BlueFox::]
18th July 2011, 16:19
ปัจจุปันวัยรุ่นญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไปถ่ายหนังโป้กันหมด แล้วมันจะเหลืออะไรอย่าง จขกท. พูดรึป่าวเนี้ยล่ะเนี้ย

จขกท.พูดมันคงเป็นเรื่องอดีต ช่วงที่ วัตณธรรมญี่ปุ่นยังงดงามมั่ง ตอนนี้มันมีแต่หนังโป้ที่โด่งดัง กว่าวัตณธรรมไปแล้ว

clubzaxxx
18th July 2011, 17:14
ความแตกต่าง วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทยกับญี่ปุ่น
เบื้องหลังความฉลาดของคนญี่ปุ่น ปัจจัยหลักที่สำคัญมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กค่ะ เพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นจะโตมาด้วยสองมือของแม่ ทำให้การเติบโตสมวัย มีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน และในรับความรักความใกล้ชิดอย่างเต็มที่
,
คุณแม่แบบญี่ปุน

ผู้หญิงญี่ปุ่นนั้นส่วนมากจะเป็นแม่บ้านค่ะ เพราะมีแต่งงานมีครอบครัว มีลูกก็จะลาออกจากงานมาเพื่อเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มตัว เพราะสังคมญี่ปุ่นนั้นจะถือว่าการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแม่ส่วนคุณพ่อนั้นจะเป็นฝ่ายทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว และคนญี่ปุ่นไม่นิยมจ้างพี่เลี้ยงนะคะ ทุกๆ เรื่องในบ้านคุณแม่ญี่ปุนเขาจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถือเป็นงานใหญ่ทีเดียวนะคะ เริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดก็จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนมแม่คุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด และมีภูมิต้านทานโรค เด็กญี่ปุ่นจึงได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ เพราะคุณแม่ไม่ต้องกลับไปทำงาน ทำให้ร่างกายของเด็กๆ นั้นเจริญเติบโตสมวัยและมีพัฒนาการที่ดี

ส่วนคุณแม่นั้นเคล็ดลับประการหนึ่งที่ช่วยให้มีน้ำนมดีคือ การรับประทานอาหารประเภทที่ทำมาจากถั่วเหลือง เต้าหู้ มิโซะ นัตโตะ (ถั๋วหมัก) แล้วก็เน้นรับประทานอาหารแบบธรรมชาติ รวมถึงทานเนื้อปลาให้มากและเน้นผักอย่างพวกแครอต หัวไชเท้าซึ่งจะทำให้น้ำนมของคุณแม่ไหลได้ดี และมีรสชาติที่ดีด้วยค่ะ ที่สำคัญคุณแม่ที่ให้นมไม่ควรกินอาหารหวานๆ หรืออาหารที่มีสารคาเฟอีน เพราะจะทำให้นมลดลงค่ะ

คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร

ประเทศมหัศจรรย์

รู้สึกแปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหมครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูกอย่างไร หรือเขามีลักษณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของเราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้วเปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ "sorry ...sorry ..sorry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าชนชาติ (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ (ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)

รู้จักความคิดเชิงบวก
โดยปกติแล้วความคิดเชิงลบจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นพร้อมจะมองเห็นความบกพร่องมากกว่ามองเห็นข้อดี
ใน ขณะที่ความคิดเชิงบวก ต้องอาศัยมุมมองและการคิดที่ลึกกว่านั้น ไม่ใช่การคิดชั้นเดียวจากการเห็นแล้วสรุปความเลยว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่ต้อง มาจากมุมมองที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น(โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี) ย่อมมีประโยชน์หรือความดีแฝงอยู่ด้วยเสมอ
ดังนั้น การมองโลกเชิงบวก(positive thinking) จึงหมายถึงการมองสิ่งต่างๆอย่างเข้าใจ ยอมรับได้ในด้านลบ มองปัญหา ความทุกข์ ความไม่ราบรื่นเป็นเรื่องธรรมดา หากรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากด้านบวกที่แฝงอยู่จากสิ่งนั้นๆ ได้ เหตุการณ์บางอย่าง เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นไปแล้ว เราเลือกได้ว่าจะมองและรู้สึกกับมันอย่างไร
ศ.ดร.นายแพทย์วิทยา นาควัชระ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ กล่าวให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวว่า มุมมองของคนเรานั้นมีทั้งด้านบวก ด้านลบ หรือมองแล้วเฉยๆไม่รู้สึกอะไร (zero) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใต้สำนึกของแต่ละคน "จิตของมนุษย์เป็นเหมือนก้อนหินลอยน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือจิตสำนึกหรือความรู้ตัว เป็นส่วนที่โผล่พ้นน้ำมี 5 เปอร์เซ็นต์ กับอีกส่วนหนึ่งคือจิตใต้สำนึก เป็นส่วนใต้น้ำที่มีมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ มาจากการสะสมประสบการณ์ชีวิต ความคิด ความรู้สึกเอาไว้ทั้งลบและบวก"
แต่คนเรามักจำ เรื่องลบเอาไว้มากกว่า คนไทยเลี้ยงลูกด้วยการตำหนิ กลัวชมแล้วเหลิง หรือไม่ก็ชมไม่เป็น มักนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ หรือด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก เมื่อเติบโตขึ้น เวลาเราคิดถึงอะไรก็คิดติดลบตลอดเวลา และรู้สึกว่าตนเองได้รับความรักไม่เพียงพอ แม้จะอยู่กับผู้คนมากมาย แต่ประสบการณ์ชีวิตทำให้รู้สึกว่ามีคนรักตนเองน้อย จึงเหงา ว้าเหว่ ไม่เชื่อมั่น ไม่ภาคภูมิใจในตนเอง" ทั้งหมดนี้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญและที่มาของความคิดเชิงลบในที่สุด

1.วิธีการเลี้ยง

1.1วิธีการเลี้ยงลุกของคนไทย คือ คนไทยส่วนใหญ่เอาใจใส่ลูกทำทุกๆอย่างเพื่อลูกเด็กไทยก็เลยติด
พ่อ แม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิด ทำให้เด็กไทยทำอะไรตัวคนเดียวไม่ได้

1.2วิธีการเลี้ยงลูกของคนญี่ปุ่น คือ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เมื่อรุ้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จะลาออกจากงาน
เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูก และจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนลูกอายุ2ปีแล้วค่อยปล่อยลูกให้ลูกแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รับผิดชอบชีวิตด้วยตนเอง ดังนั้นเด้กชาวญี่ปุ่นจึงมีความขยัน อดทน และพึ่งพาตนเองได้

2.เพราะเหตุใดจึงแตกต่างกัน
ตอบ วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทย-ญี่ปุ่น แตกต่างตรงที่ว่า แม่ชาวญี่ปุ่นจะให้อิสระแก่ลูก ให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกตั้งแต่เล็กๆ หัดให้ลูกช่วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ผิดกับคนไทยที่จะให้ลูกอยู่แต่ในกรอบที่พ่อ แม่กำหนดไว้ทำให้ลูกไม่รู้จักโต ต้องขอเงินพ่อ แม่ใช้อยู่ตลอด ไม่แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เด็กไทยจึงขาดความเป็นผู้นำ

3.ผลที่ออกมาลักษณะของเด็กแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
ตอบ แตกต่าง เพราะเด็กไทยโตขึ้นมาถึงจะอายุมากแต่ก็ติดพ่อ แม่ และยังขอเงินพ่อ แม่ใช้เหมือนเดิม ส่วนเด็กญี่ปุ่นจะมีความอดทน ความเป็นผู้นำสูง ขยัน และกล้าคิด กล้าทำ กล้าต่อสู้กับปัญหาด้วยตนเอง

4.หากคนไทยนำวิธีการเลี้ยงแบบนี้มาเลี้ยงลูกอะไรจะเกิดขึ้น
ตอบ เด็กไทยจะมีความเป็นผู้นำสูง กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกและกล้าเผชิญกับปัญหา




เรื่องความเป็นผู้นำเป็นปัญหาที่สุดครับ!
ที่รร.ผม เเค่ อ.สั่งทั้งหมดยืนขั้นยังเกี่ยงกันเลยว่าใครจะยืนก่อน!
พูดเเล้วน่าโมโหครับ

bluzterxernie
18th July 2011, 21:48
[SIZE=6]
2.เพราะเหตุใดจึงแตกต่างกัน
ตอบ วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทย-ญี่ปุ่น แตกต่างตรงที่ว่า แม่ชาวญี่ปุ่นจะให้อิสระแก่ลูก ให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกตั้งแต่เล็กๆ [B]หัดให้ลูกช่วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ผิดกับคนไทยที่จะให้ลูกอยู่แต่ในกรอบที่พ่อ แม่กำหนดไว้ทำให้ลูกไม่รู้จักโต ต้องขอเงินพ่อ แม่ใช้อยู่ตลอด ไม่แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เด็กไทยจึงขาดความเป็นผู้นำ



เอ่อ อันนี้ เค้าสอนให้ช่วยแบบไหนครับ แหะ ๆ


แต่อ่านกระทู้นี้แล้วได้ข้อคิดดี ๆ มากมายครับ

faster99
25th October 2017, 19:25
ได้ข้อคิดดีๆเหมือนกันครับ ขอบคุณสำหรับบทความ