PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : The Legend Of Black Academy ภาค1 ช่วงที่ 1:การพบกันด้วยโชคชะตา



LoveSeeker
18th July 2011, 17:52
The Legend of Black Academy
ภาค 1: โอกาศและการพบกันด้วยโชคชะตา
แนว: วิทยาศาสตร์-แฟนตาซี, สงคราม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://image.ohozaa.com/i/5d1/rWXvn.jpg

http://image.ohozaa.com/i/e61/bandnerboard.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=1d53817fda8000113b1da6745aeba6e4)

http://www.youtube.com/watch?v=CIRjarNTGfU

เกริ่นนำเรื่อง

เรื่องนี้ เป็นเรื่องของโลกซึ่งประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนไปจากโลกที่เรารู้จัก บางสิ่งที่เคยมี อาจไม่มี หลายสิ่งที่ไม่เคยมี อาจจะปรากฏขึ้นมา เนื้อเรื่องโดยรวมจะกล่าวถึงเหล่ากองกำลังทหารรับจ้างนามว่า แบล็ก อาร์มี้ ซึ่งมีประวัติยาวนานมานับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนคริสต์กาล จุดสำคัญของเรื่องนี้คือ โลก กำลังเดินไปในแนวทางใหม่ จากการกระทำของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจุดมุงหมายอันยิ่งใหญ่ จุดเริ่มต้อนของเรื่องนี้ พูดได้ข้อนข้างยากว่าเริ่มจากจุดไหน บางที อาจจะเริ่มในปี4569 ซึ่ง โลกมนุษย์ ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว เหล่ามนุษย์กลุ่มสุดท้ายจึงย้อนเวลากลับมาเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อไม่ให้มันถูกทำลาย ไม่ว่าจะเริ่มจากจุดไหน ขอเชิญพบกับ The legend of Black Army ได้แล้วครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สารบัญครับ
บทที่1 การพบกันด้วยโชคชะตา http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640#14 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640#14)

บทที่2: ค่ำคืนสยองขวัญhttp://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=2#34 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=2)

บทที่3: นักล่าจอมเวทย์ และ การฝึกอันทารุณ http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=2#43

บทที่4: พ่อ http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=2#48 (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=2#43)

บทที่5 ก้าวแรกสู่สงคราม http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=3#51

บทที่ 6 แนวป้องกันไร้พ่าย http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=4640&page=3#52
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.เน้นบรรยาย และลักษณะนิสัย
2.ปรกติไม่ให้ใส่ประวัตินะ แต่ใส่มาก็ได้ และพวกประวัติเวอร์เกินคน ผมให้คุณผ่านรึเปล่า บอกว่าให้ แถมK.I.A.ให้ด้วยเลย
3.ตั้งใจหน่อย ฝ่านไม่ฝ่านขึ้นอยู่กับคุณ
4.ถ้าทำได้ตาม3อย่าง ก็ขอให้ผมก็ให้คุณผ่านนะ
5.แทรกประวัติไว้ในหัวข้อ (อื่นๆ)
6.Duck class คือทหารฝึกใหม่ Killer class คือทหารประจำการ
7.มีขอสงสัยอะไรฝากข้อความไว้ครับ เดี๋ยวมาตอบ

แบบฟอร์มการรับสมัคร
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
++==BRPMC==++
++Duck Class++
ชื่อ-สกุล:
ชื่อเล่น:
เพศ:
อายุ: 18 เท่านั้น
สัญชาติ:

ทหารชั้น: ประทวน, สัญญาบัตร
อาวุธที่ถนัดที่สุด:

ลักาณะทางกาย:

ลักษณะนิสัย:

เหล่าทัพ: บกเท่านั้น

อื่นๆ:

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
++Killer Class++
ชื่อ-สกุล:
ชื่อเล่น:
เพศ:
อายุ: 19 ขึ้นไป เหมาะสมกับยศ
สัญชาติ:

ยศ: (ประทวน(บกเท่านั้น): พลทหาร-จ่าสิบเอก สัญญาบัตร(บก):ร้อยตรี-ร้อยเอก สัญญาบัตร(อากาศ):เรืออากาศตรี-เรืออากาศเอก)
Class(บกเท่านั้น): 1.ทหารราบ 2.ทหารม้าหุ้มเกราะ 3.ทหารม้าปืนใหญ่
อาวุธที่ถนัดที่สุด:

ลักาณะทางกาย:

ลักษณะนิสัย:

เหล่าทัพ: บก-อากาศ

อื่นๆ:

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บนทำ: โอกาส
ยานรบ จีเอฟเอส เท็กซัส เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าภายใต้อวกาศที่ว่างเปล่า ดวงดาวทองแสงระยิบระยับห่างออกไปหลายปีแสง พลเอก ไมเคิล อลองเกอร์เดินผ่านทางเดินที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ประตูเข้าสู่สะพานเดินเรือเปิดออกเผยให้เห็นถึงความวุ่นวายภายใน ทหารชายหญิงในเครื่องแบบกรมท่าเดินกันขวักไขว่ มีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ยุทศาสตร์ซึ่งทำขึ้นจากพลาสติกใส ซึ่งเธอใส่เสื่อยืดกางเกงยีนส์ทับด้วยเสื้อกราวด์สีขาว ทหารหลายคนกำลังนั่งหน้าแผงควบคุมและกดปุ่มบนแผงอย่างขมักเขม่น “รายงานสถาณการณ์ด้วย”ไมเคิลพูดเสียงเรียบๆพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ซึ่งอยู่กลางห้อง

“เดสทรอยเยอร์จะตามมาพบเราในอีกห้านาทีครับ” ทหารคนหนึ่งรายงาน “เท่าที่ใช้เครื่องสแกนผ่านซับสเปสซ์ตรวจพบยานพิฆาตสองลำ ฟรีเกทสามลำครับท่าน”

“ชาร์จระบบอาวุธ ด็อกเตอร์แม็กซ์”เขาสั่งนาวิเกเตอร์ของยานและหันกลับไปหาสาวสวยในชุดกราวด์ “เครื่องเร่งความเร็วกรอบเฉื่อยจะพร้อมเมื่อไหร่”

“แปดนาทีสิบสามวินาทีค่ะ”เธอพูดพลางเขียนอะไรบางอย่างบนแผนที่ยุธศาสตร์ “ท่านค่ะ ฉันแนะนำให้ทำการเปิดเกราะเต็มประสิทธภาพทางกราบขวาแทนที่การแบ่งพลังงานไปให้ส่วนอาวุธค่ะ”

“นาวิเกเตอร์ ถ้าทำตามด๊อกเตอร์แม็กซ์เกราะจะทนได้นานแค่ไหน”

“สิบนาทีครับ”

“เราต้องการแค่สามนาทีเอง ด๊อก”อโลนชี้แจงพร้อมเรียกเธออย่างสนิดสนม “ให้ทุกคนประจำสถานีรบได้”

“จะให้ส่งเอฟ-314 ออกไปด้วยรึเปล่าครับ”

“ไม่ล่ะ ขอบใจ หันขวาเต็มกำลัง” ไมเคิลสั่ง นักบินตอบสนองคำสั่งอย่างรวดเร็ว ยานเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ โดยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่ท้ายลำ เครื่องยนต์บังคับทิศทางขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ทางกราบซ้ายถูกจุดระเบิดขึ้น ยานเบนหัวไปทางขวา ยานจีเอฟเอสเท็กซัส เป็นยานชั้นเดรดน๊อร์ท รูปร่างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเครื่องยนขนาดใหญ่สามเครื่องที่ท้ายลำและเครื่องยนต์ขนาดกลางขนาบส่วนหน้าของยาน ระบบอาวุธนับว่าเป็นยานรบที่ขนอาวุธหนักที่สุดในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นป้อมปืนใหญ่ไออ้อนทั้งหก ป้อมปืนพลังงานโปรตรอนอีกเจ็ดป้อม อีกทั้งยังมีป้อมปืนพลังงานลำกล้องหมุนสำหรับไว้สอยขีปนาวุธและยานขับไล่อวกาศอีกด้วย

หากมีใครถามว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นใคร คำตอบนั้นง่ายมาก พวกเขาคือมนุษย์โลกกลุ่มสุดท้ายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ โกล์บัลฟอร์ซ สเปซ์สชิป เท็กซัส คือบ้านหลังสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ นับตั้งแต่ที่มนุษย์ค้นพบซับสเปสซ์และไฮเปอร์สเปสซ์ เวลาก็ล่วงเลยมานับตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.2,514 เป็นเวลาหลายร้อยปีที่มนุษย์และเผ่าพันธุ์ต่างๆอยู่กันอย่างมีความสุขจนมีการก่อตั้งหลังจากที่มนุษย์ได้ก้าวเข้าเป็นส่วหนึ่งของสหพันธ์แห่งจักรวาลอันประกอบด้วยเผ่าพันธุ์จากดาวต่างๆมากมาย จนมาถึงปี ค.ศ.4,000 ปีที่ลางร้ายเริ่มปรากฏ เผ่าพันธุ์โบราณชื่อว่า เดสโทรเยอร์ ตื่นขึ้นจากการหลับไหล และเข้าโจมตีเผ่าพันธุ์ต่างๆ สหพันธ์แห่งจักวาลผนึกกำลังกันสู้ การต่อสู้กินเวลานับร้อยๆปี ความพ้ายแพ้ก็ตกเป็นของสหพันธ์แห่งจักวาล โลกถูกทำลายลงในปีค.ศ.4,567 เวลาล่วงเลยมากกว่าสองปี ยานเท็กซัสที่เพรียบพร้อมด้วยลูกเรือหลายพันชีวิต ยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้จะถูกตามล่าจากกองยานของเดสโทรเยอร์ แต่ในการต่อสู้ทุกครั้ง ลูกเรือแห่งเท็กซัสก็มีชัยเหนือข้าศึกเสมอ ทำให้ตำนานของพวกเขาเป็นที่เล่าขานในจักรวาลเป็นกำลังให้เผ้าพันธุ์ต่างๆยังคงยืนหยัดสู้ จนถึงวันนี้ วันที่เหล่าลูกเรือค้นพบโอกาศในการแก้ไขทุกสิ่ง โอกาศเพื่อช่วยไม่ให้โลกล่มสลาย

“มันมาแล้ว” นาวิเกเตอร์พูด เหมือนกับมีหลุมอะไรบางอย่างอยู่ที่อวกาศนอกหน้าต่างยานเท็กซัส ฝุ่นผงอวกาศต่างๆเรืองแสงสีฟ้าก่อนจะถูกดูดเข้าไปในรูบางอย่างทีมีขนาดเล็ก ก่อนหน้าที่รู้นั้นจะขยายใหญ่ขึ้น จนมีขนาดพอๆกับยานเท็กซัส ลำแสงสองลำแสงขนาดประมาณหนึ่งในสามของยานพุ้งออกมาจากรู้นั้น และหยุดบริเวณปากรู แสงสว่างจ้าหายไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงยานสีแดงสดสองลำ ดูจากขนาดยานแล้วยังถือว่าค่อนข้างเล็กเมื่อเที่ยบกับยานชั้นเดรดน๊อร์ทอย่าเท็กซัส ยานรูปร่างเรียวยาวเดินเครื่องเต็มที่ เข้ามาหาเท็กซัส

“ฟรีเกทอยู่ไหนฟระ” ไมเคิลเอ่ยขึ้น

“จากการสแกนแล้ว ยานฟรีเกทหยุดก่อนที่จะมาถึงครับผม เราจึงมียานให้ต่อกรแค่สองลำ”

“จัดหนักเลยน้อง” ไม่เคิลพูดด้วยน้ำเสียงทีจริงทีเล่น นาวิเกเตอร์ไม่รอช้า ส่งคำสั่งของไมเคิลไปยังสถานีรบต่างๆโดยทันที “ส่ง เฮล์ล เบิร์ดไปนำร่องหน่อย” เจ้าหน้าทีอาวุธทำการล๊อกเป้ายานพิฆาตลำหนึ่ง เลือกอาวุธจากแผงควบคุมด้วยความคล่องแคล่ว เขารอเวลานับถอยหลังเพื้อให้ข้อมูลเป้าหมายถูกบรรจุลงสู่ขีปนาวุธ ทันทีที่ตัวเลขการนับถอยหลังเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นศูนย์ เขากดปุ่มปล่อยจรวดแทบจะพร้อมกันกับเวลาที่เลขศูนย์ปรากฏขึ้นมา ขีปนาวุธสองลูกออกจากท่อส่ง พุ่งผ่านอวกาศอันว่างเปล่า ตรงไปยังยานพิฆาต ยานพิฆาตไม่สามารถทำอะไรกับขีปนาวุธทั้งสองได้เนื่องจากทหารเดสโทรเยอร์ยังไม่เข้าประจำสถานีรบ ขีปณาวุธทั้งสองระเบิดขึ้นทันทีที่สัมผัสกับยาน รูโหวขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนตัวยาน ร่างไร้วิญญาณของชาวเดสโทรเยอร์ลอยละล่องออกมาสู่อวกาศพร้อมๆกับทียานฟรีเกทสามลำไดร์ฟเข้าสู่สนามรบ

“ยานฟรีเกท สอบสองนาฬิกา” เจ้าหน้าที่อาวุธพูด สายตายังคงจดจ่อกับรายชื่อขีปนาวุธนาๆชนิดที่พร้อมจะถูกยิงออกไปสู่อวกาศ เขาไม่รอคำสั่งของไม่เคิล ขีปนาวุธชุดที่สองถูกยิงออกจากท่อส่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีมากถึงหกลูก ทั้งหกไม่ได้ถูกยิงไปยังเป้าหมายเดียวกัน แต่ละลูกแยกกันไปคนละทิศทาง โดยห้าลูกพุ่งตรงไปยังของยานของเดสโทรเยอร์ ส่วนลูกหนึ่งนั้นแยกจากฝูงของมันมุ่งหน้าไปยังอวกาศที่อ้างว้าง ขีปนาวุธทั้งห้าทะยานเข้าใส่เป้าหมายของตนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ลำแสงจากปืนพลังงานลำกล้องหมุนถูกยิงออกมาสกัดขีปนาวุธเหล่านั้น ลำแสงพลังงานเจาะผ่านตัวของขีปนาวุธทำให้ขีปนาวุธระเบิดขึ้นก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายของมัน

“พวกมั้นตั้งรับขีปนาวุธของเราได้แล้วครับ” เจ้าหน้าที่อาวุธรายงานขณะที่กองยานของชาวเดสโทรเยอร์กำลังแปรขบวน “ขออนุญาตเพิ่มขีดการยิง”

“อนุญาต”ไมเคิลพูดแบบนิ่งๆ เจ้าหน้าทีอาวุธหันกลับไปยังแผงควบคุมของตนอีกครั้ง เขากดปุ่มยิง ขณะเดียวกันกับที่ขีปนาวุธหลายสิบลูกออกจากท่อส่ง ยานของชาวเดสโทรเยอร์ก็แปรขบวนเสร็จสิ้นโดยมีฟรีเกททั้งสามลำนำหน้าและยานพิฆาตอยู่ตรงกลางเหมือนรูปเพชร เพียงแต่ทิ้งยานพิฆาตลำทีถูกโจมตีจนเสียหายไว้เบื่องหลัง เป็นอย่างที่เจ้าหน้าที่อาวุธและไมเคิลคาดการณ์เอาไว้ ว่าพวกมันต้องทิงยานที่เสียหายไว้เบื้องหลัง ทำเอาทั้งคู่หัวเราะออกมาดังสนั่น จนคนทั้งสะพานเดินยานต้องประสานสายตามองดูพวกเขาด้วยความใคร่รู้

ขีปนาวุธลูกหนึ่งลอยละล่องไร้จุดหมายอยู่ในอวกาศเวิ้งว้าง ยานของส่องเผ่าพันธุ์กำลังขับเขี้ยวกันอยู่เบื้องหลัง ท่อขับดันส่วนหน้าของขีปนาวุธถูกจุดขึ้น มันทำให้หัวของขีปนาวุธลูกนี้หันกลับไปยังที่รบ เครื่องยนต์หลักถูกจุดขึ้นอีกครั้ง มันพุ่งตรงไปยังยานพิฆาตที่ถูกทิ้งไว้เบื่องหลัง มันปะทะกับเครื่องยนต์ของยานที่ไร้ทางสู้ เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เกราะโลหะของยานถูกฉีกเป็นชิ้นๆจากภายในแสงสว่างจากการระเบิดสว่างเจิดจ้าเหมือนระเบิดแสงจนทุกคนบนสะพานเดินเรือของเท็กซัสต้องใช้มือป้องตาเอาไว้ หลังจากการระเบิดและแสงมืดลง ตัวยานพิฆาตเหลือให้เห็นเพียงแค่ครึ่ง อีกครึ่งถูกฉีกเป็นชิน จากยานเกราะหนาสูงค่ากลายเป็นเศษขยะอวกาศในเวลาเพียงอึดใจ ด้วยฝีมือของเจ้าหน้าทีอาวุธแห่งยานเท็กซัสและขีปนาวุธลูกเล็กๆเพียงลูกเดียว แม้จะเสียยานไปหนึ่งลำกองยานของเดสโทรเยอร์ยังคงดาหน้าผ่านห่าขีปนาวุธเข้ามาหาเท็กซัส

“เสร็จไปหนึ่ง” นาวเกเตอร์พูด “ที่เหลือคงต้องฝากให้ปืนใหญ่ไออ้อนจัดการแล้วมั้ง”

“ปืนใหญ่ล๊อกเป้าแล้วครับ” เจ้าหน้าทีอาวุธรายงาน “ขอคำสั่งยิง”

“เราพร้อมแล้วค่ะ”ดอกเตอร์แม็กพูดขึ้น

“ยิงปืนใหญ่จากนั้นทำการข้ามเวลาได้”ไมเคิลสั่ง ไม่มีใครขานรับคำสั่งของเขา เจ้าหน้าทีอาวุธส่งคำสั่งต่อไปยังพลปืนของปืนใหญ่แต่ละกระบอก ลำแสงสีฟ่าอ่อนพุ่งออกจากปืนขนาดใหญ่ทั้งสอบสองกระบอก ลำแสงเหล่านั้นโดนเข้ากับยานลำต่างๆอย่างจัง ยานแต่ละลำถูกฉีกเป็นชิ้นๆอย่างรวดเร็วเหมือนเอาปืนฉีดน้ำแรงดันสูงไปยิงใส่กระดาษอย่างไรอย่างนั้น “ว้าว”ไมเคิลร้องหลังจากที่กองยานทั้งกองหายไปในพริบตา เศษเหล็กและก้อนเนื้อลอยละล่องในอวกาศ

“ขออนุญาตข้ามเวลาด้วยค่ะ” ดร.แม็กซ์พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆเหมือนว่าการสังหารหมู่ชาวเดสโทรเยอร์เมื่อครู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้น

“ไปได้”ไมเคิลพูด ดร.แม็กซ์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้นักบิน นักบินกดปุ่มบางอย่างบนแผงควบคุม ดันคันบังคับอันหนึ่งไปข้างหน้า เสียงอื้ออึงบางอย่างดังอยู่ทั่วยาน ม่านหมอกอวกาศสีฟ้าปรากฏขึ่นมาล้อมรอบตัวยานมันเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว หมอกควันเหล่านั้นหายไปอย่างรวดเร็วพอๆกับเวลาที่มันปรากฏขึ้นมา “มาถึงแล้วครับท่าน”

“เข้าซับสเปซ์ส เป้าหมาย โลก”ไมเคิลพูดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปจากห้องโดยมีนักวิทยาศาสตร์สาวสวยตามไปติดๆ

“จากนี้ต่อไปคุณจะทำอะไร” เธอถามถึงแผนการที่จะทำให้โลกไม่ถูกททำลาย

“ตั้งกองกำลัง เป็นกลุ่มทหารรับจ้าง พวกเขาจะต้องมีทุนทรัพย์ ยุทธภันฑ์มากพอที่จะต่อกรกับเดสโทรเยอร์” ไมเคิลหยุดข้างหน้าต่างของยานบานหนึ่งพลางมองออกไปข้างนอก ยานเท็กซัสกำลังทำยานด้วยความเร็วเหนือแสงผ่านความว่างเปล่าของซับสเปซ์ส “เราจะสร้างกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมา เราเปลี่ยนโลกให้ไปอยู่ในแบบที่เราต้องการได้ เรามีเครื่องควบคุมเวลา”

“แต่เรายังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเราเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก” ดร.แม็กซ์ค้าน

“เพราะงั้นเราจึงต้องมีชั้นเชิงนิดหน่อยเพื่อให้โลกเป็นแบบที่เราต้องการ” ไมเคิลพูดพลางยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย แสงสว่างจาการออกนอกซับสเปซ์ส ความมืดถูกแทนที่ด้วยดาวต่างๆมากมาย โลกลอยคว้างตามวงโคจร สีฟ้าของน้ำทะเล สีเขียวของแผนดินยังคงแลดูแล้วสบายใจเสมอ ไมเคิลมองดูดาวสีฟ้าที่เคยถูกทำลายไปแล้วครั้งหนึ่ง ในใจของเขาร่ำร้องว่าจะไม่ยอมให้มันถูกทำลายอีกครั้งเป็นแน่ “เราจะตั้งกองทหารรับจ้างทมิฬขึ้นมา”

จบบทนำ
http://image.ohozaa.com/i/6f5/tagcopy.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=47bdcc2b55836858fc76b26dfe5ff311)

5day-ago
18th July 2011, 18:08
มาแล้วๆ เนื้อหายังเเน่นเช่นเคย ^^

LoveSeeker
18th July 2011, 19:02
มาแล้วๆ เนื้อหายังเเน่นเช่นเคย ^^

เพราะมันเป็นเรื่องเดิมนะสิ
:o

Season
18th July 2011, 21:57
ดีไปหน่อยยังพอมีคนช่วยฟื้นฟู บอร์ด ถึงบอร์ดเก่าผมจะไม่ค่อยโพสแต่ ก็อ่านหลายๆเรื่องอยู่นะ

ปล แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้อ่าน แต่พอจำรูปได้

Jomzababin
18th July 2011, 23:09
เย้ๆและแล้วก็กลับมา...ตัวผมโผล่ได้นิดเดียวบอร์ดล่มกันเลยทีเดียว...!!!

Jomzababin
25th July 2011, 10:19
เงียบหายไปเลยน่ะท่าน....!!!

LoveSeeker
25th July 2011, 17:49
วนเวียนกับข้อสอบอยู่ 55+

Jomzababin
5th August 2011, 20:12
คิดถึงจะตายแล้วเรื่องนี้....

thanapatbenz
6th August 2011, 14:53
เจ๋ง รออ่านอยู่ ฮิๆๆๆ

5day-ago
6th August 2011, 15:48
ยังคงรักษาสถิติความนานไว้อย่างเหนียวเเน่น :cool: ^^

ปล.รออ่านอยู่ครับท่าน :victory

LoveSeeker
6th August 2011, 16:44
ทำ Side story ให้น้องStormwind ก่อน เพื่อเรียกจินตนาการก่อนจะจบ ครึ่งแรกปี1

Jomzababin
24th August 2011, 21:46
ตอนใหม่จงมาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Jomzababin
5th September 2011, 00:10
โอมเพี้ยง...!!!ตอนใหม่จงมาๆ อิอิ

LoveSeeker
9th September 2011, 21:16
บทที่1: การพบกันด้วยโชคชะตา

“ทั้งหมด จัดแถว” เสียงของจ่าวัยกลางคนตะโกนลั่น เด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่กำลังก้าวย่างลงจากเครื่องบินขนส่ง ซี-17 ตอบสนองต่อคำสั่งนี่อย่างรวดเร็วประดุจดังจ่ากองร้อยผู้นี้เป็นแม่ของเขาอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มสาวจัดแถวตอนลึกอย่างขมักเขม่น แม้คนเหล่านี้จะไม่เคยผ่านการฝึกใดๆมาเลยก็ตาม แต่ก็สามารถจัดแถวและยืนตรงได้อย่างเป็นระเบียบ เพราะที่พื้นของลานบินได้มีการเขียนรูปรองเท้าไว้ให้เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้เข้าแถวไว้แล้ว ถึงแม้ว่าการเข้าแถวจะดูวุ่นวายไปบ้าง แต่ในที่สุด แถวทั้งหมดก็ออกมาเป็นระเบียบเรียบร้อยดี หลังจากที่ฝุ่นจางหายไปจากลานบิน เสียงของเครื่อง ซี 17 ก็ดังกระหึ่มขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน นักบินกลับลำเครื่อง เร่งความเร็วไปตามรันเวย์ที่ยาวหลายกิโลเมตร อีกทั้งยังเป็นรันเวย์แบบ 5ช่องทาง ทำให้เครื่องบิน5ลำสามารถขึ้นลงพร้อมกันได้ หรือบางครั้งอาจมากถึง10ลำเลยก็ได้

“ทุกคน วางสัมภาระ”จ่าคนเดิมตะโกนขึ้นอีกครั้ง เขาเดินไปยังรถฮัมวีก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาของรถด้วยท่าทางทะมัดทะแมง “ขอต้อนรับเข้าสู่การทดสอบขั้นที่1” พลขับรถฮัมวีติดเครื่องรถ ไอเสียสีดำสนิดถูกพ่นออกมาตามท่อไอเสีย อโลนยิ้มที่มุมปากก่อนจะกระชับชุดวอร์มของตนให้พร้อมสำหรับการทดสอบ “วิ่งตามมา” รถฮัมวีเริ่มเคลื่อนตัว “ใครก็ตามที่ตามรถคันนี้ไปจนถึงจุดพักได้ คือผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น” รถเคลื่อนตัวไปตามลานบิน เหล่าเด็กหนุ่มสาวเริ่งออกวิ่งตามรถไป ไม่นานนัก รถฮัมวีก็ตัดเลี้ยวเข้าทางเกวียน ผ่านป่าสนหนาทึบสองข้างทาง แสงแดดยามเที่ยงวันสาดส่องอยู่เหนือหัว ถ้าหากเป็นชาวยุโรป หรือใครก็ตามที่อยู่ทางตอนเหนือ อากาศเวลานี้คงจะร้อนมากสำหรับพวกเขา แต่สำหรับคนที่เกิดใกล้เส่นศูนย์สูตรอย่าง อโลนแล้ว อากาศเวลานี้ยังคงหนาวอยู่ดี แบบทดสอบที่อโลนและเด็กหนุ่มสาวหลายร้อยคนกำลังฟ่าฟันอยู่นั้น คือการคัดเลือกบุคคนเข้าประจำการของกองทหารรับจ้างทมิฬ (Black Army private military company(BAPMC)) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกรุงโรม มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบสามพันปี BAPMC เป็นความฝันอันสูงสุดของเด็กที่ต้องการเป็นทหารทั้งหลาย เนื่องด้วยความโด่งดังจากหลายๆสงครามในแทบทุกยุคทุกสมัย ความเก๋าจาการกรำศึกของรุ่นพี่ และความอิสระที่มีมากกว่าทหารประจำการทั่วไป แต่ก่อนจะได้มาซึ่งความฝันของเด็กทั้งหลาย พวกเขาต้องผ่านอุปสรรค์มากมาย อโลนเป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มไฟแรงที่แสนจะทะเยอทะยาน แต่เขาไม่รู้หรอก ว่าอะไรรอเขาอยู่บ้าง

หลังจากวิ่งมาได้เกือบๆสี่กิโลเมตร เหงื่อของอโลนเพิ่งจะถูกขับออกมาจากร่าง เขาปาดเหงือที่ไหลออกมาตามหน้าผาก แต่สำหรับเด็กหนุ่มสาวส่วนหนึ่งนั้น หมดแรงก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ได้ และพวกเขาเหล่านั้นต้องออกจากการคัดเลือกโดยทันที และไม่มีโอกาสที่จะกลับมารับคัดเลือกได้อีกเลยตลอดชีวิต ทุกๆ สิบเมตรที่อโลนวิ่งผ่านไป จะมีเด็กหนุ่มสาวอย่างน้อยหนึ่งคนนอนหมดแรงอยู่เสมอๆ ในที่สุดอโลนก็มาถึงจุดหยุดพักของผู้หญิง รถฮัมวีที่ถูกดัดแปลงเป็นรถพยาบาลหลายคันจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบที่ข้างทาง ผ้ายางจำนวนมากถูกกางไว้บนพื้นเพื่อให้หญิงสาวที่มาถึงแล้วได้ทำการทดสอบขั้นต่อไป ริมผ้ายางทุกผืนจะมีทหารสาวในชุดพรางป่านั่งควบคุมดูแลการสอบคัดเลือก เพื่อไม่ให้ผู้รับการคัดเลือกหักโหมจนเดินไป อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของอโลน เขาต้องวิ่งไปอีกสามกิโลเมตร เพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายของพวกเขา ป่าสนสองเข้าทางพริ้วไหวไปตามสายลม อัตราการลดจำนวนของผู้รับคัดเลือกสูงขึ้นเรื่อยๆ จนอโลนที่ทีแรกอยู่กลางขบวน มาอยู่หน้าขบวนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เสียงคำรามของรถถังดังขึ้นรอบๆตัวเขา นั่นเป็นสัญญาณว่าพวกเขามาถึงจุดที่ยากที่สุดของการฝึกคัดเลือกแล้ว

จุดหยุดพักของผู้เข้ารับคัดเลือกนายทหารชั้นประทวนอยู่ห่างจากเขาไปไม่มาก จุดพักชายและจุดพักหญิงแทบไม่ต่างอะไรกันมาก หากแต่ผู้ควมคุมการคัดเลือกเป็นผู้ชายทั้งหมด สำหรับอโลนแล้วนั่นไม่สำคัญอะไรเนื่องจากว่าที่นี่ไม่ใช่จุดหมายของเขา และในที่สุดอโลนก็มาถึงจุดที่เขาต้องใช้พลังกายมากที่สุด วิ่งขึ้นเขาที่ถูกขนานนามว่า เขาผู้กล้า ระยะทางสองกิโลเมตรครึ่ง ป่าสนสองข้างทางล้มลงพร้อมกับรถถังจำนวนมากบุกผ่านต้นไม้เหล่านั้นไปพร้อมกันกับที่อโลนและเด็กหนุ่มอีกประมาณครึ่งร้อยวิ่งขึ้นไปยังยอดเขา เวลานี้ ผู้รับการคัดเลือกลดจำนวนลงไปอย่างรวดเร็ว อโลนวิ่งต่อไปโดยไม่สนใจ แรงกายแทบทั้งหมดของเขากำลังจะหมดลง เหงือไหลออกมาจนท่วมเสื้อโค๊ดสีเขียวขี้ม้าของเขา จากจำนวนครึ่งร้อย เวลานี้เหลือเด็กหนึ่งเพียงสิบสี่คน ในที่สุด อโลนก็มาถึงยอดเขาพร้อมร่างกายที่แทบไม่เหลือพลัง แม้แต่ยืนก็ยังลำบาก ขาสองข้างของเขาสั่นระริกด้วยความเหนื่อยอ่อน “ยอดเยี่ยมมาก” จ่าวัยกลางคนพูดพร้อมกระโดดลงมาจากหลังคารถ “สักวันพวกนายจะกลายเป็นนายททหารที่ดีที่สุดในโลก”เขาพูดพร้อมเดินไปรอบๆอโลน “แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น พวกนายทุกคนยังมีอะไรต้องฟันฟ่าอีกมาก” จ่าพูดพร้อมตบบ่าของอโลน “โชคดี” หลังจาการทดสอบเบื้องต้น พวกเขาถูกส่งขึ้นรถถังแบบไทบ์ 99 ที่BAPMCสั่งซื้อมาจากจีน

อโลนนอนทอดกายบนป้อมปืนของรถ พลางมองดูท้องฟ้ายามเย็นซึ่งพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สัมภาระของเขากองอยู่ข้างกาย เท้าของเขานั้นพาดไปบนปืนหลักขนาด 125 มม.ของรถถังคันนี้ วันนี้พวกเขาได้รับการทดสอบทางกายและใจที่หลากหลาย จากเด็กหนุ่มสาวกว่าครึ่งพันกลับเหลือรอดมาได้เพียงร้อยแปดสิบคนเท่านั้น แต่ว่าการเหล่าคนที่จะเข้ามาสอบคัดเลือกเหลืออีกหลายสิบชุด อีกทั้งยังมีคนที่ได้รับการคัดเลือกจากฐานทัพสาขาของ BAPMC อีก หลังจากจบสัปดาห์คัดเลือกแล้วจะมีทหารใหม่เข้ารับการฝึกที่นี่ราวๆสามพันห้าร้อยนาย นัยน์ตาสีน้ำตาลของอโลนมองอย่างเลื่อนลอยไปยังเมฆที่ถูกย้อมด้วยสีส้มแดง “ไง พ่อว่าที่นายทหาร” เสียงใส่เล็กๆที่น่าจะเป็นเสียงของเด็กสาวดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งบนป้อมปืนของไทบ์ 99 อโลนละสายตาจากก้อนเมฆเบื่องบนและมองไปยังต้นเสียง ผมสีน้ำตาลสยายไปตามสายลมที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าที่แนบเนียนสีขาวขาวอมชมพูของเด็กสาว นัยน์ตาสีฟ้ามองมาทางเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ ชุดวอร์มสีชมพูดูสะดุดตาและเข้ากับเธอย่างหน้าประหลาด “ก็ ไม่รู้สิ” อโลนพูดอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกเหมือนว่ามีพลังอะไรบางอย่างสะกดเขาไว้กับใบหน้าของเด็กสาวคนนี้

“ชื่ออะไรล่ะ” เธอยิงคำถาม รอยยิ้มของเธอยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า

“อโลน อโลน อลองเกอร์”เขาตอบพร้อมลุกขึ้นนั่ง “แล้วเธอล่ะ”

“ฮายากุโนะ มิโกะ” เธอตอบพร้อมยื่นมือมาให้อโลนสัมผัส “ยินดีที่ได้รู้จัก คุณอลองเกอร์”


“เรียกอโลนเถอะ ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน ฮายากุโนะ” อโลนสัมผัสมือของเธอ

“เรียกมิโกะเถอะ” เธอพูดพลางคลายมือจาการสัมผัส “มันเป็นกันเองกว่าเยอะเลย” เธอใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เขี่ยผมที่กำลังพริ้วไสวไปเหน็บไว้ที่หู อโลนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะละสายตาจากใบหน้าของมิโกะ ไปยังปลายกระบอกปืนของรถถัง “เธอขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“นี่นายไม่รู้ตัวจริงๆหรอ” มิโกะพูดพร้อมรวบผมและมัดไว้เป็นทรงหางม้า “ฉันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่รถจอดที่จุดพักของผู้หญิงแล้วล่ะ”

“ว่าแต่ รถถังคันนี้มันจอดด้วยหรอ”อโลนถามพลางทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง

“นี่นายเหม่อลอยหาใครอยู่ ขนาดรถถังหยุดยังไม่รู้สึกตัวเลย” มิโกะพูด “รึว่าคิดถึงแฟนล่ะ”

“มีให้คิดถึงก็ดีน่ะสิ” อโลนตอบด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาพลางมองไปยังก้อนเมฆอีกครั้ง “ทำไมถึงเลือกมาขึ้นรถถังคันนี้ล่ะ”

“ก็ นี่เป็นรถคันสุดท้ายน่ะสิ” มิโกะตอบพลางจัดทรงผมของเธอ “แล้วทีแรกก็ไม่เห็นนาย เลยกระโดดขึ้นมาน่ะ”

“เธอก็เลยซวยไปได้มาเดทกับฉันบนรถถังคันนี้สินะ”

“ก็ประมาณนั้นล่ะมั้ง” เธอพูดพร้อมหัวเราะร่าเหมือนเด็กๆ “นี่ นายอโลน”เธอเรียกพร้อมก้มหน้าลงมาหาอโลน “ทำไมนายถึงเลือกรถคันสุดท้ายล่ะ”

“ไม่รู้สิ เพราะจะได้เจอเธอมั้ง” สิ้งเสียงของอโลน รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏบนใบหน้าของมิโกะ ผิวสีอมชมพูกลายเป็นสีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว เธอละสายตาจากอโลนและมองไปยังป่าสนสองข้างทางเพื่อแก้เขิน “จะว่าไปก็ดีนะ มีเธออยู่ด้วยเนี่ย”

“ทำไมหรอ”

“คุยกันเธอแล้วฉันรู้สึกดีนะ” อโลนพูดพร้อมส่งยิ้มให้มิโกะ

“หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะ” มิโกะพูดพร้อมกระโดดลงจากรถ เป็นอีกครั้งที่อโลนมัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นจนไม่ทันได้สังเกตว่ารถถังที่เขาโดยสารมานั้น ได้มาถึงเขตที่อยู่อาศัยแล้ว อโลนหยิบสัมภาระของตน กระโดดลงจากรถ ก่อนจะเดินไปหานายทหารคนหนึ่ง อโลนยืนตรงและทำความเคารพอย่างแข็งขัน

“ชื่อ” ร้อยตรีถามขึ้น

“อโลน อลองเกอร์”

“กองร้อยบี หมวดสาม” หมวดหนุ่มพูดต่อพลางชี้ไปยังโรงนอนหลังสุดท้าย โรงนอนเป็นอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างจากคอนกรีต ทุกๆโรงนอนสามหลังจะมีโรงนอนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตั้งอยู่ด้านหน้าโรงนอนเสมอ “โรงนอนนายทหารอยู่ด้านหน้าโรงนอนรองสุดท้ายนั่นล่ะ”

“ขอบคุณครับ” อโลนพูด ทำความเคารพก่อนจะเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนขนาบสองข้างทางด้วยหญ้าที่ถูกตัดเล็มอย่างดี พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือเพียงแสงสี่ส้มแดงที่ย้อมอาบแผ่นฟ้าเบื้องบน และแผ่นหญ้าเบื่องล่าง อโลนเดินเข้าไปยังโรงนอนนายทหารพร้อมสัมภาระที่หนักอึ้ง อโลนทำความเคารพร้อยโทคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นผบ.ร้อยของเขา “อโลน อลองเกอร์ รายงานตัวครับ” ร้อยโทหนุ่มตะเบะตอบเขา

“ตามสบาย หัวหน้าหมวด” เขาพูด “ห้องนอนของอยู่ถัดจากตู้เย็นนั่น” เขาผายมือไปทางชายหนุ่มสองคนที่กำลังจัดแจงเครื่องแบบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง “นั่น จิมมี่ หัวหน้าหมวดหนึ่ง อเล็กซ์ หัวหน้าหมวดสอง”

“ไง” อเล็กซ์ทักทายพร้อมโบกไม้โบกมือให้เขา

“ไง” อโลนตอบพร้อมส่งยิ้มให้เล็กน้อย

“หัวหน้าหมวดสาม” ร้อยโทพูดต่อพลางส่งแผ่นคลิ๊ปบอร์ดติดกระดาษหลายแผ่นมาให้เขา “เห็นบีอาร์เอ็ม(BRM=Black army Ready to eat Meal) ตรงนั้นรึเปล่า” เขาพูดพลางชี้ไปยังกล่องกระดาษกล่องใหญ่สองกล่องที่วางอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง

“ครับผม”

“เอามันไปแจกให้คนของคุณ” เขาพูดพร้อมตบบ่าอโลน “ส่วนกระดาษพวกนั้นเป็นรายชื่อสมาชิกและรายข้อมูลของพวกเขา”

“ครับผม ผมจัดการมันเอง”อโลนพูดพลางเดินไปทางกล่องบีอาร์เอ็ม เขาวางแผ่นคลิ๊ปบอร์ดบนกล่อง และย่อตัวลงจับก้นกล่อง

“อีกอย่างนะเครื่องแบบของคุณอยู่บนเตียงในห้อง มีร้านซักรีดอยู่ที่ข้างๆกับโรงนอนกองร้อยเอนายน่าจะลองๆไปหาดูนะ”

“ครับผม” อโลนปล่อยกล่องบีอาร์เอ็ม และเดินเข้าไปในห้อง หยิบเอาแพ๊คเสื้อผ้าออกมาวางบนกล่องบีอาร์เอ็มและเดินออกจากโรงนอนทางประตูหลัง อโลนเดินไปยังโรงนอนสุดท้ายพร้อมใช้เท้าเคาะประตูโ
รงนอนอย่างแรง ประตูเปิดออกไม่นานหลังจากเคาะ เสียงเจอแจ้วดังลอดออกมาจากประตู อโลนเดินเข้าไปในโรงนอนวางกล่องอาร์เอ็มลงและมองไปรอบๆ เตียงสองชั้นถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบติดผนังทั้งสองด้านขั้นด้วยหน้าต่าง เด็กหนุ่มสาวกำลังนั่งๆนอนพักผ่อน บ้างจับกลุ่มคุยกัน บ้างก็กำลังจัดของลงหีบเก็บของ “สวัสดี”เขาพูด พร้อมวางกระเป๋าเป้สัมภาระลง “เวลาเจอหัวหน้าหมวดต้องทำยังไงนะ” ทหารใหม่แต่ละคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะกรูกันมาเข้าแถวที่ปลายเตียงของตน ทุกคนทำความเคารพเขาแต่ดูแล้วไม่พร้อมเพรียงสักเท่าไหร่

“ดีมาก ทุกคน ยินดีที่ได้พบ ผมชื่ออโลน”เขาหายใจเล็กน้อย “อโลน อลองเกอร์” เขาพูดลางเดินตามความยาวของโรงนอน “นับแต่วันนี้ คุณอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผม มองไปรอบๆ เรามีคนหลายชนชาติที่นี่ ทั้งตะวันตก ตะวันออก”เขาเดินมาจนถึงหน้าห้องน้ำซึ่งอยู่ในสุดของโรงนอน “เรามี อเมริกัน ยิว มุสลิม มีผิวดำ” เขาหันกลับก่อนจะออกเดินอีกครั้ง “ไม่ต้องสนว่าเขาจะมาจากไหน ฐานะทางสังคมเป็นอย่างไร นับจากนี้ เราคือพวกเดียวกัน”เขาหยุดที่กลางห้องและหมุนตัวไปรอบๆ “เรามีอุปสรรค์ที่ต้องฟ่าฟันไปด้วยกัน” เขาหยุดพูด ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทันที “นับจากนี้ เราคือพี่น้อง ตามสบายท่านทั้งหลาย” อโลนสั่งและเดินไปยังกล่องบีอาร์เอ็ม เขาหยิบมันออกมาสองสามซองก่อนจะโยนแจกให้เหล่าทหารรอบๆ “อาหารเย็นของเรา บีอาร์เอ็ม” อโลนพูด “อาหารสำเร็จรูปจากบีเอพีเอ็มซี มารับไปคนละซอง” ทหารใหม่ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย “มีเตียงว่างรึเปล่า”เขาเอ่ยถามพลางเดินไปรอบๆอีกครั้ง

“ครับหัวหน้า ข้างผมว่าง” อโลนไม่รีรอตรงไปยังเตียงแล้ววางสัมภาระลง เขาจัดของเข้าไปไว้ในหีบใต้เตียงและเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอน เขานั่งลงบนเตียง เปิดดูกระดาษปึกหนาที่ติดมากับแผ่นคลิ๊ปบอร์ด ในนั้นมีข้อมูลของสมาชิกทุกคนในหมวด3 รวมถึงกำหนดการณ์ของวันต่อไปว่าพวกเขาต้องทำอะไรกันบ้าง

“ทุกท่าน” อโลนพูดขึ้น “คืนนี้เราต้องปิดไฟเวลาสามทุ่มตรง ตื่นเวลาสี่ร้อยนาฬิกา วิ่ง สี่ร้อยสามสิบนาฬิกา หกร้อยนาฬิกาผบ.ร้อยตรวจโรงนอน อาหารเช้าเวลาหกร้อยสามสิบนาฬิกา” เขาเงียบ จนทหารสมาชิกหมวดแต่ละคนเริ่มสงสัยว่ามีอะไรเป็นรายการต่อไป ต่างคนต่างมองอโลนด้วยความสงสัยและใคร่รู้ อโลนละสายตาจากกระดาษและมองดูเหล่าหนุ่มสาวในห้องที่บ้างก็มองเขา บ้างก็กำลังจัดการกับ บีอาร์เอ็ม บ้างก็นอนพักผ่อนเอาแรง “เข้าบาร์เบอร์ของกองทัพ”

วันที่สองของชีวิตในสถาบันทหารรับจ้างไม่มีอะไรเป็นพิเศษสำหรับพวกนายทหารอย่างอโลน เนื่องจากพวกเขาถูกสอนในเรื่องการบัญชาการ การประสานงาน และกฏระเบียบต่างๆมาเป็นเวลากว่าสามปีแล้ว อีกทั้งการฝึกในช่วงแรกที่เหล่าทหารฝึกสำเร็จแต่ละคนขนานนามว่า ช่วงเนื้อแนบเนื้อ มีจ่าสิบเอกและเหล่าชั้นประทวนผู้มีประสบการณ์มาเป็นครูผึกการต่อสู้ระยะประชิดให้ อโลนจึงไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากเรียนรู้โค๊ดรหัสต่างๆที่ใช้ในการขอกำลังหนุน ฝึกการแก้สถาณการณ์ และปฏิบัตการประสานงานกับนายทหารผู้บังคับบัญชา อีกทั้งเขายังมีเวลาเหลือมากพอที่จะสร้างสัมพันธ์กับทหารร่วมกองร้อย โดยเฉพาะ อเล็กซ์ อเล็กซ์คือเด็กหนุ่มจากตระกูลร่ำรวยในซิดนีย์ ออสเตเรีย แต่นิสันใจคอของเขานั้นกลับไม่เหมือนคนรวยทั่วไป อเล็กส์เป็นคนติดดิน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เพียงสามวัน อโลนและอเล็กซ์ก็กลายเป็นเพื่อนสนิดกัน หลังจากสัปดาห์แรกของการฝึกร่างกายขนาดหนักจบลง อโลนได้พบกันมิโกะสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนัก เพราะเธอมาที่สนามฝึกเพื่อนำคนที่ร่างกายไม่ไหวออกไปจากศูนย์ฝึก สัปดาห์ที่สอง เป็นสัปดาห์ที่หนักสำหรับทุกคน พวกเขาต้องฝึกการผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ และพวกเขาต้องเสียน้ำตาหลายลิตรให้กับห้องรมแก๊ส ช่วงกลางสัปดาห์ ทุกคนในหมวดถูกสอนให้เลิกใช้คำว่า “ปืน” กับอาวุธที่พวกเขากำลังจะถูกฝึกให้ใช้เหล่าจ่าจอมเก๋าทั้งหลายให้พวกเขาเรียกมันว่า “ไรเฟิล”

“ทหาร”จ่าวัย60ปีร้องตะโกนลั่นต่อหน้าหมวดของอโลน เขาเป็นจ่าสิบเอกคนหนึ่งที่คอยมาฝึกสิ่งต่างๆให้พวกเขา ในกรณีของจ่าสิบเอก จร มูดดี้ คนนี้คือผู้เชียวชาญพิเศษในเรื่องของอาวุธประเภทต่างๆ ริ้วรอยบนไปหน้าและผมสีน้ำตาลแซมขาวของเขาบ่งบอกอายุได้เป็นอย่างดี เขายืนอยู่หน้ากล่องไรเฟิลหลายกล่อง “วันนี้พวกนาย จะได้รู้จักกับเครื่องจักรสังหารที่น่าหลงไหลชื่อว่า ไรเฟิล” เขาเดินเข้ามาหาอโลนที่ยืนอยู่หน้าสุดของแถว เขาตะคอกบางย่างใส่อโลน เสียงของเขาดังและแตกพร่าจนอโลนฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วจ่ามูดดี้ก็เดินกลับไปที่กล่องไรเฟิล พร้อมหยิบของในกล่องออกมา ปืนเล็กยาวสีดำสนิดแบบบูลปัปซึ่งมีกลไกการบรรจุกระสุนไปไว้หลังเครื่องลั่นไก “นี่คือสาวสวยจากเบลเยี่ยม เอฟเอ็น เอฟ 2000 ไรเฟิล บูลปัป 5.56*45 มม. แต่พวกนายไม่มีโอกาศได้สัมผัสเธอแน่ๆ เพราะพวกนายมันไม่มีบุญว่ะ” หลังพูดจบ จ่ามูดดี้ก็วางไรเฟิลกลับลงไปในกล่องตามเดิมก่อนจะเดินไปยังกล่องถัดไปและหยิบเอาปืนเล็กยาวอีกกระบอกออกมา “ญาติห่างๆกับเอฟ 2000 ไรเฟิลจู่โจม สการ์ รุ่นมาร์ค 17 กระบอกนี้ใช้กระสุน 7.62*39 มม. เป็นหนึ่งในสาวสวยของเรา เป็นหนึ่งในไรเฟิลที่พวกนายเลือกใช้ได้” เขาวางมันลงอีกครั้งแล้วเดินไปยังกล่องถัดไป “พี่หมีสุดสวย เอเอ็น 94 5.45*39มม. ไม่ต้องห่วงเรื่องความสมบุกสมบัน เธอกินขาด” เขาเดินไปยังกล่องสุดท้าย “หมีสาวสุดเซ็กซี่อีกตัว เอเค 107 5.45*39มม พวกนี้คือตัวอย่างของไรเฟิลที่พวกนายมีโอกาศได้ใช้ในการฝึก ในคลังแสงเรายังมีอีกเยอะ แต่สำหรับ เอฟ 2000มีไว้สำหรับพวกที่มือถึงเท่านั้น”

“จ่าครับ” คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังอโลนร้องขึ้น

“ว่าไงทหาร”

“เราจำเป็นต้องใช้ปืนที่เราเลือกไปตลอดรึเปล่าครับ”

“ไม่จำเป็นหรอกพลทหาร” จ่ามูดดี้พูดด้วยเสียงเรียบๆพลางเดินเข้าไปหาเขา “นายสามารถซื้อไรเฟิลมาใช้เอง หรือจะเบิกจากคลังแสงของเราก่อนก็ได้ นั่นเป็นความสะดวกสะบายของทหารรับจ้าง ที่ทหารทั่วไปไม่มี” มูดดี้เข้าใกล้เขาจนเขาสามารถเห็นรูขุมขนของจ่าวัยทองคนนี้ได้อย่างชัดเจน “เมื้อกี้นายพูดว่าปืนใช่รึเปล่า” มูดดี้ กระซิบทำเอาผู้ถูกถามถึงกับอึกอัก จ่ามูดดี้หันไปทางอโลน “หัวหน้าหมวด ขอหมีเซ็กซี่ให้ผมที”อโลนทำตามในทันที เขานำไรเฟิลออกจากกล่องและยื้นให้มูดดี้ จ่าหันกลับไปหาทหารโชคร้ายอีกครั้ง “นายเรียกมันว่าอะไรนะ”เขาพูดพร้อมเขย่าไรเฟิลในมือ

“ป...ปะ..ปืนครับผม” ทหารหนุ่มตอบอย่างตะกุกตะกัก

“ฉันจะบอกนายอีกครั้งว่านี่คือไรเฟิล”มูดดี้พูดพร้อมยื่นปืนเล็กยาวให้ทหารหนุ่ม “ถือไว้” เขาทำตามจ่าโดยทันที “แล้วนายรู้รึเปล่าว่าอะไรคือปืน” หลังจากนั้นทหารหนุ่มผู้โชคร้ายต้องเดินกำไรเฟิลไปในมือหนึ่ง กำน้องชายของตนเองไว้ในอีกมือหนึ่ง ระหว่างเดิน เขาต้องตะโกนว่า “นี่คือไรเฟิล”พลางชูไรเฟิลขึ้นไปในอากาศ “สำหรับศัตรู” จากนั้นกูต้องเขย่าน้องชายของตนพลางตะโกนว่า “นี่คือ ปืน สำหรับสาวสวยสุดเซ็กซี่” ตลอดสัปดาห์ที่2ของการฝึกพื้นฐาน พวกเขาถูกฝึกควบคู่กันทั้งฝึกร่างกาย ฝึกการต่อสู้ระยะประชิด และการดูและรักษาไรเฟิลของตน
ในที่สุดการฝึกก็เข้าสู่ช่วงที่สอง ช่วงที่เหล่าทหารรุ่งพี่เรียกกันว่า ช่วง “ยิงเป็ด” พวกเขาต้องเริ่มใช้อาวุธประจำกายของตน ผึกการยิงเป้า ใช้ดาบปลายปืน ฝึกการผ่านสิ่งกีดขวางเป็นหมวด แต่ก่อนหน้านั้น เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อยในวันสุดท้ายของช่วงเนื้อแนบเนื้อ

จบบที่1

Jomzababin
11th September 2011, 14:18
ใช่ตอนเดิม รึเปล่า ครับ...รึว่าเอามาทำใหม่หมด...อิอิ

อันที่แล้วตัวผมพึ่งออก เลย อิอิ

LoveSeeker
11th September 2011, 18:53
ตอนเดิมๆครับ เดี๋ยวว่างๆ(หลังสอบ) จะปล่อยตอนพิเศษ

pone123
20th September 2011, 22:10
สมัครตัวละครทำไงครับ

LoveSeeker
21st September 2011, 07:14
สมัครตัวละครทำไงครับ

กรอกแบบฟอร์มครับ แบบฟอร์มอยู่เรบแรก

pone123
21st September 2011, 14:53
เขียนที่กระทู้นี้เลยใช่ไหมครับ

Jomzababin
21st September 2011, 18:21
ครับผม ตอบในนี้เลย งิงิ

pone123
21st September 2011, 18:40
แล้วอื่นๆนี้คืออะไรบ้างครับ

pone123
21st September 2011, 19:45
ขอหน่อยละกัน


++Killer Class++
ชื่อ-สกุล: อีวาน อังเดร
ชื่อเล่น: อาร์โจม
เพศ:ชาย(มั้ย)
อายุ: 23
สัญชาติ:รัสเซีย

ยศ: จ่าสิบเอก
Class: ทหารราบ
อาวุธที่ถนัดที่สุด:(ส่วนใหญ่เก่งปืนช่วงสงครามโลกครั้งที่2) ปืนหลัก M1 Garand ปืนพก Mauser รุ่น C96 Luger รุ่น P08 และปืนลูกโม่ (หาลูกกระสุนได้ไงเนี่ย เก่งจัง)

ลักาณะทางกาย:ตัวใหญ่พอดู สูง186 พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างหน้าตาhttp://image.ohozaa.com/i/2e1/ZdUyw.jpeg (http://image.ohozaa.com/view/2r7sh) ดวงตาสีนำ้้้้้้้ตาลเข้ม ผมสีดำ ชอบใส่เสื้อคลุม

ลักษณะนิสัย:เป็นคนขี้เล่น ชอบคุยกับคนอื่นทำให้มีเพื่อนมาก ชอบเรี่องตลก ชอบแต่งนิยาย แต่ตอนออกรบจะฆ่าอีกฝ่ายทุกคน ยกเว้นผู้ไม่มีทางสู้

เหล่าทัพ: บก

ใช้ได้เปล่าครับถ้าไม่ได้ก็บอกนะ (ถ้าจะให้แก้ไขอะไรก็บอกได้นะครับ)

pone123
22nd September 2011, 18:14
อีกคน

++Duck Class++
ชื่อ-สกุล:มาริโอ โลโปซ โกบาซ
ชื่อเล่น:เชมา
เพศ:ชาย
อายุ: 18
สัญชาติ:เม็กซิโก

ทหารชั้น: ประทวน
อาวุธที่ถนัดที่สุด:http://image.ohozaa.com/i/837/FwzyL.jpeg (http://image.ohozaa.com/view/2r6lu)http://image.ohozaa.com/i/7fe/T8BX.jpeg (http://image.ohozaa.com/view/2r6n0)

ลักาณะทางกาย:ออกจะเป็นคนตัวเล็ก แต่แรงมีมากกว่าที่เห็น ผมสีนำ้้้้้้้้ตาลอ่อนตาสีฟ้า ใส่แว่นสีขาว หน้าตาโทรมเหมือนคนไม่ได้นอน


ลักษณะนิสัย:เป็นคนออกเงียบๆ เหมือนคนเก็บกด เพื่อนของเขาเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ และด้วยท่าทางเหมือนผู้หญิงจนถูกล้อว่าเป็น เกย์ นิสัยลึกๆนั่นอ่อนโยนชอบช่วยเหลือผู้อื่น

เหล่าทัพ: บก

อื่นๆ:ที่เข้ามานี่เพราะเขาจะฝึกร่างกายเพื่อจะไปล้างแค้นให้พ่อแม่เขาที่โดนแก๊งมาเฟียฆ่าตาย

pone123
22nd September 2011, 18:28
ตอนใหม่มาเร็วๆนะครับ

LoveSeeker
22nd September 2011, 20:49
ไม่ต้องโพต์ติืิดๆกันมากก็ได้ อาจจะโดนข้อหาปั้มประทู้ ยูเซอร์โดนแบบไม่รู้ด้วย
แต่ตัวละครนี่ เท่าที่ดูผ่านๆ บอกตรงๆว่ารอดยาก เดี๋ยวมาดูอีกที

pone123
22nd September 2011, 21:25
ขอโทษนะครับ คือยังใช้บอร์ดไม่เป็นน่ะครับ



http://www.youtube.com/watch?v=4ZIyMMBabo0&feature=channel_video_titleขอแสดงความเสียใจให้พี่เบย์ด้วยนะครับที่เสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป


สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะทำให้เพื่อนที่แสนดีที่สุด
รู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว ***คงไม่ได้รับรู้
เพราะ***เล่น Facebook ไม่เป็น
แต่กูดีใจนะที่ได้ร้องเพลงนี้ขึ้นมา
เพื่อให้ใครก็ตามที่บังเอิญผ่านมาเห็นพบว่า
"เพื่อนที่ดีที่สุดของเบย์หน้าตาเป็นยังไง"

ปล. ร้องเพราะไม่เพราะก็ขออภัย
เพราะผมอัดเพลงและวีดีโอตัวนี้
ภายหลังจากร้องไห้ติดต่อกันกว่า 2 ชั่วโมง
แบบ Non-Stop
สารภาพครับว่าเป็นคนอ่อนแอ
สารภาพครับว่าผูกพันมาก
แต่การมีหมาเป็นเพื่อน
มันก็ดีกว่าการมีเพื่อนหมาๆ
คุณว่าจริงมั้ย ?
ความสูญเสีย ความผิดหวังมันทำให้คนเข้มแข็งขึ้น
ผมเชื่ออย่างนั้น... Riffer333.

solowking2
24th September 2011, 21:14
รอติดตามตอนหน้าครับ มันเป็นหนึ่งในนิยายที่เยี่ยม !!
ที่สุดสำหรับผมเลยครับเป็นกำลังใจให้และจะติดตามอ่านในตอนต่อๆไปครับ

LoveSeeker
26th September 2011, 09:38
ขอโทษนะครับ คือยังใช้บอร์ดไม่เป็นน่ะครับ



http://www.youtube.com/watch?v=4ZIyMMBabo0&feature=channel_video_titleขอแสดงความเสียใจให้พี่เบย์ด้วยนะครับที่เสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป


สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะทำให้เพื่อนที่แสนดีที่สุด
รู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว ***คงไม่ได้รับรู้
เพราะ***เล่น Facebook ไม่เป็น
แต่กูดีใจนะที่ได้ร้องเพลงนี้ขึ้นมา
เพื่อให้ใครก็ตามที่บังเอิญผ่านมาเห็นพบว่า
"เพื่อนที่ดีที่สุดของเบย์หน้าตาเป็นยังไง"

ปล. ร้องเพราะไม่เพราะก็ขออภัย
เพราะผมอัดเพลงและวีดีโอตัวนี้
ภายหลังจากร้องไห้ติดต่อกันกว่า 2 ชั่วโมง
แบบ Non-Stop
สารภาพครับว่าเป็นคนอ่อนแอ
สารภาพครับว่าผูกพันมาก
แต่การมีหมาเป็นเพื่อน
มันก็ดีกว่าการมีเพื่อนหมาๆ
คุณว่าจริงมั้ย ?
ความสูญเสีย ความผิดหวังมันทำให้คนเข้มแข็งขึ้น
ผมเชื่ออย่างนั้น... Riffer333.

โอ้ มาเป็นเพลง


รอติดตามตอนหน้าครับ มันเป็นหนึ่งในนิยายที่เยี่ยม !!
ที่สุดสำหรับผมเลยครับเป็นกำลังใจให้และจะติดตามอ่านในตอนต่อๆไปครับ

ขอบคุณครับผม ^^~

pone123
26th September 2011, 09:41
เพลง นี้เป็นพี่เบย์ครับหมาเขาตาย พี่ออยนับถือเป็นพี่

LoveSeeker
26th September 2011, 10:41
เฮ้ย จ่า จับมันไปยิงเป้าาาา!
ได้เวลา สับ ตัวละคร~~~


++Killer Class++
ชื่อ-สกุล: Hogan Henry (โฮแกน เฮนรี่)
ชื่อเล่น: Miz
เพศ:ชาย(มั้ย)
อายุ: 23
สัญชาติ:รัสเซีย

ยศ: จ่าสิบเอก
Class: ทหารราบ
อาวุธที่ถนัดที่สุดส่วนใหญ่เก่งปืนช่วงสงครามโลกครั้งที่2) ปืนหลัก M1 Garand ปืนพก Mauser รุ่น C96 Luger รุ่น P08 และปืนลูกโม่ (หาลูกกระสุนได้ไงเนี่ย เก่งจัง)

ลักาณะทางกาย:ตัวใหญ่พอดู สูง186 พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างหน้าตาชอบใส่เสื้อคลุม

ลักษณะนิสัย:เป็นคนขี้เล่น ชอบคุยกับคนอื่นทำให้มีเพื่อนมาก ชอบเรี่องตลก ชอบแต่งนิยาย แต่ตอนออกรบจะฆ่าอีกฝ่ายทุกคน ยกเว้นผู้ไม่มีทางสู้

เหล่าทัพ: บก

ใช้ได้เปล่าครับถ้าไม่ได้ก็บอกนะ (ถ้าจะให้แก้ไขอะไรก็บอกได้นะครับ)

1.ชื่อกับสัญชาติไม่ไปทางเดี่ยวกันครับ แก้ไข
2.อาวุธ****โค-ตะ-ระ อินดี้เลยครับ เจ๋งว่ะ!
3.หน้าตาของเป็นบรรยายครับ ขาดลักาณะของหน้า สีผม สีตา แก้ไข
4.นิสัย ผมว่ามันอ่านแล้วขัดกันยังไงก็ไม่รู้อะครับ บอกไม่ถูก ไม่เป็นไรครับ ผมถือว่าใช้ได้ ก็OK

สรุป แก้ไขครับ


++Duck Class++
ชื่อ-สกุล:ไบอัน โกแมน
ชื่อเล่น:ไบอัน
เพศ:ชาย
อายุ: 18
สัญชาติ:เม็กซิโก

ทหารชั้น: ประทวน
อาวุธที่ถนัดที่สุด:

ลักาณะทางกาย:ออกจะเป็นคนตัวเล็ก แต่แรงมีมากกว่าที่เห็น ผมสีนำ้้้้้้้้ตาลอ่อนตาสีฟ้า ใส่แว่นสีขาว หน้าตาโทรมเหมือนคนไม่ได้นอน


ลักษณะนิสัย:เป็นคนออกเงียบๆ เพื่อนของเขาเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ และด้วยท่าทางเหมือนผู้หญิงจนถูกล้อว่าเป็น เกย์

เหล่าทัพ: บก

อื่นๆ:ที่เข้ามานี่เพราะเขาจะฝึกร่างกายเพื่อจะไปล้างแค้นให้พ่อแม่เขาที่โดนแก๊งมาเฟียฆ่าตาย

1.ยังคงเป็นเรื่องชื่อครับ แม็กซิโก ชื่อน่าจะออกไปทาง ภาษาสเปนนะครับ แก้จ้า
2. นิสัยครับ OK เงียบ~~~ ผมอยากให้เพิ่มนิสัยลึกๆ เช่าเป็นคนอ่อนโยน บ้าพลัง อะไรแบบนี้อะครับ เพิ่มเติม

สรุป แก้ไขครับ

pone123
26th September 2011, 10:55
ต้อง ROCK:o

LoveSeeker
26th September 2011, 20:14
ต้อง ROCK:o

แก้ไขเพิ่มเติมให้ผมรึยังครับ

pone123
26th September 2011, 20:16
เรียบร้อย(มั้ง) พี่ลองไปดู ช่วยไปดูผลงานผมด้วยนะครับhttp://http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=22203

LoveSeeker
2nd October 2011, 09:38
บทที่2: ค่ำคืนสยองขวัญ

เสียงของใครบางคนดังซ้ำๆอยู่ในห้วงความฝันของอโลน เสียงนั้นกำลังร้องเรียกชื่อของเขา บอกเขาให้ตืนจาการนอนหลับ เสียงนั้นยังคงดังต่อไปในขณะที่สติของอโลนกำลังกลับออกจากภวังค์ อโลนรู้สึกได้ว่าตัวของเขาถูกเขย่าอย่าแรง เสียงที่ดังอยู่ในหัวของเขาเริ่มชัดขึ้น ชัดเหมือนเสียงนั้นกำลังกระซิบที่ข้างหูของเขา

“หัวหน้าหมวด ตื่นได้แล้วค่ะ” เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูคุ้นหูอย่างมากแล่นอยู่ในหัวขณะที่อโลนกำลังตื่นจากการหลับไหล เขาลืมตาขึ้นมาพบโรงนอนที่มืดสลัว มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ร่างเงาของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียงของเขา เส้นผมของเธอตกตามแรงดึงดูดของโลกลงมาบนใบหน้าของเขา กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคย สายตาของอโลนปรับตัวให้เข้ากับความมืดอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดเขาก็สามารถมองเห็นใบหน้าของสาวปริศนาได้ พลทหารเจมส์ ทิฟฟานนี่ หนึ่งในสมาชิกหมวดสามของเขา

“ถ้าคุณไม่ใช่สาวสวยสุดเซ็กซี่ของหมวดเรานะ ผมตวาดคุณโรงนอนแตกไปแล้ว”อโลนพูดอย่างงัวเงีย น้ำเสียงทีจริงทีเล่น “รายงานสถาณการณ์มาซิ” อโลนสั่งพลางลุกขึ้นนั่ง

“หมู่ที่หนึ่งหายไปค่ะท่าน” เจมส์รายงาน “ฉันตืนมาเห็นว่าเลยเวลาเปลี่ยนเวรยามมานานแล้วจึงพาหมู่สองออกไปดูค่ะ” เธอพูดรัวแบบไม่หยุดพักหายใจ “ออกไปหาดูก็ไม่พบค่ะ เรียกทางวิทยุก็ไม่ตอบกลับ” อโลนขยับตัวอย่างเชื่องช้าไปหยิบวิทยุเหนือหัวเตียง เขากดปุ่มก่อนจะพูดใส่วิทยุ

“นี่หัวหน้ากองร้อยบีหมวดสาม เรียกศูนย์การสื่อสารทราบแล้วตอบด้วย” ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจากวิทยุ “นี่อโลน อลองเกอร์ เรียกศูนย์การสื่อสาร ได้โปรดตอบด้วย” อโลนมองดูวิทยุที่ยังคงเงียบสนิดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางเจมส์ “สนใจเดินเล่นอาบแสงจัทร์รึเปล่า”เขาถามน้ำเสียงประชดประชัน

“ตกลงค่ะ” เธอตอบพลางเดินกลับปลุกลูกหมู่ของตน อโลนลุกขึ้นจากเตียง ใส่กางเกงและเสื้อแจ็กเก็ต นำไรเฟิลของตนออกมาจากกล่องใต้เตียง เขาบรรจงยัดกระสุนจริงใส่แม็กกาซีน ทุกนัดที่เขายัดกระสุนลงไปเขาจะนึกถึงคำพูดของมูดดีที่บอกเสมอไม่ว่าจะเป็นใช้กระสุนเหล่านี้ในยามจำเป็นเท่านั้นแต่ในเวลาที่ติดต่อศูนย์กลางการสื่อสารทั้งหมดของสถาบันทหารเอกชนแห่งนี่ไม่ได้ มันคือเวลาจำเป็นโดยแท้ เขาคิดเรื่องต่างๆที่จำเป็นในคู่มือสนามว่าด้วยเรื่องการถูกตัดการสื่อสารและถูกโจมตี ซึงมีคำแนะนำกึ่งสั่งการอยู่ในนั้นว่าให้ใช้กำลังที่มีอยู่ทำการควบคุมสถาณการณ์ให้ได้

“เจมส์คุณไปดูผบ.ร้อยที ว่ายังอยู่รึเปล่า”อโลนสั่ง เจมส์พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะวิ่งออกไปจากโรงนอน อโลนหันกลับมาเผชิญหน้ากับลูกหมวดทีเหลือ“ท่านทั้งหลาย”อโลนพูด “เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น ไม่รู้ว่านี่เป็นแค่สถาณการณ์จำลองของพวกจ่าครูฝึก หรือท่านทายพล ไม่ก็เป็นสถาณการณ์จริง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเวลาจำเป็นที่ต้องใช้กระสุนจริงตามที่จ่ามูดดี้บอก หมู่สามทีมเอ บุกไปยังศูนย์กลางการสื่อสาร ยึดที่นั้น และพยายามทำให้มันกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ทีมบีและซี ไปยังสถาบัน ยึดตึกอำนวยการ ตามหาคนอื่นๆ” เขาพูดแจงภารกิจแต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงของเจมส์ที่ฟังดูกระวนกระวาย

“ท่านค่ะ”เธอพูดพลางหอบจากการใช้แรง “ทุกคนหายไปหมดเลยค่ะ” คำพูดของเธอทำให้ทุกคนในโรงนอนเริ่มที่จะตื่นตระหนก “ไม่ใช่แค่กองร้อยเรา แต่เป็นทั้งกองพันเลยค่ะ” คำพูดของเจมส์ทำเอาทุกคนถึงกับอกสั่นขวัญหายเมื่อพยายามคิดว่าพวกเขาหายไปไหนหมด

“โอเค หมู่สอง ตรวจสอบสนามยิงเป้า ยิงทุกคนถ้าจำเป็น ทุกทีมรายงานทุกๆสิบนาที แยกย้ายไปทำงานได้” เขาสั่ง ทหารแต่ละคนไปทำหน้าทีที่ตนเองได้รับพร้อมอาวุธประจำกายที่ตนเองยังไม่เคยได้ลองยิงแม้แต่นัดเดียว ขณะที่อโลนมองดูคนเหล่านั้นเดินออกไปจากโรงนอน สมองของเขาก็คิดไปเรื่อยเปื่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะคิดไปเรื่องที่ครูฝึกแกล้งพวกเขาเล่น ไปจนถึงเรื่องที่พวกเขาถูกโจมตีจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย

“ผมจะเดินดูรอบๆ”อโลนพูดกับเจมส์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในโรงนอน “จะไปด้วยกันไหม” ไม่มีเสียงตอบจากเธอ แต่อโลนก็ไม่รอให้เธอตอบเขาเดินสาวเท้าออกไปภายนอกโดยมีเจมส์ตามมาติดๆ เขาล้วงเอาไฟฉายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดไฟฉายและสองลงไปที่พื้น สอดส่ายไฟฉายไปมาเหมือนหาอะไรบางอย่าง เขาเดินไปตามทางเดิน ผ่านโรงนอนแล้วโรงนอนเล่า เขาก็ยังไม่หยุด เจมส์ที่เดินตามมาข้างหลังเขาก็ทำอย่างเดียวกัน ทั้งคู่เดินสำรวจไปทั่วเขตอยู่อาศัยซึ่งตกอยู่ในความเงียบ ทั้งอโลนและเจมส์ก้มหน้าก้มตามองหาเบาะแสต่อไป จนมีวิทยุเรียกเข้ามาทำเอาทั้งคู่สะดุ้งไปตามๆกัน

“นี่หมู่สอง เรียกหัวหน้าหมวดสามกองร้อยบี” เสียงวิทยุดังขึ้นทางกลางความเงียบ อโลนกดปุ่มพูดในขณะที่เจมส์ยังคงก้อมหน้าก้มตาอยู่ที่พื้น

“ทราบแล้วหมู่สอง ว่าไป”

“สนามเป้าเครียครับผม ครูฝึก และ เจ้าหน้าที่อาวุธไม่อยู่ที่นี่ เปลี่ยน”

“ทราบแล้ว มีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกไหม เปลี่ยน”

“ไม่ครับ ยุติการติดต่อ” การรายงานสถาณการณ์ของหมู่สองทำให้เขาคิดถึงทีมอื่นๆที่ยังไม่รายงานกลับเข้ามา

“นี่อโลน เรียกหมู่สามทีมบี ทราบแล้วเปลี่ยน” เขาเรียกทีมที่ถูกส่งไปยังศูนย์สื่อสารผ่านทางวิทยุ ในใจเขาเริ่มเป็นห่วงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหมวดของตน ไปจนถึงทหารคนอื่นๆที่เป็นสมากชิกของบีเอพีเอ็มซี

“ทีมบี ทราบแล้ว เปลี่ยน”

“รายงานด้วยเปลี่ยน” เขาพูดพลางสอดส่ายสายตาไปยังเจมส์ที่นั่งคุกเข่าลงกับพื้นเหมือนกันว่าเธอพบอะไรเข้าแล้ว

“ครับผม เรากำลังตรวจสอบพื้นที่ตึกอำนวยการ โดยเราแยกเป็นทีมละสองคนครับผม”

“รับททราบแล้ว ยุติการติดต่อ”เขาพูดตัดบทพลางเดินไปหาเจมส์ “คุณพบอะไร”

“รอยเท้าค่ะ”เธอพูดพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือไฟฉายลูบไปตามพื้นดิน “รอยเท้าผู้หญิง”

“แล้วมันแปลกตรงไหน”อโลนถามพลางเริ่มมองดูบนพื้นอีกครั้ง

“เป็นรอยเท้าเด็กค่ะ” อโลนถึงกับตลึงงึงงันเมื่อได้ยินคำว่าเด็ก เพราะไม่มีทางเลยที่จะมีเด็กอยู่แถวนี้ ลูกนายทหารก็อยู่หางจากนี่สองถึงสามไมล์ จะว่าทหารใหม่แอบมีลูกกันก็ไม่น่าใช่ “เด็กประมาณ แปด ถึงสิบสองค่ะ” เธอพูดต่อในขณะที่อโลนมองดูรอยเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เป็นอย่างที่เจมส์ว่า ฝ่าเท้าและนิ้วเท้านั้นดูเล็กเกิดกว่าจะเป็นทหารคนใดในเขตอยู่อาศัย

“หัวหน้าหมู่สามทีมบี เรียกหัวหน้าหมวด รายงานสถาณการ พบตัวทหารคนอื่นๆแล้วเปลี่ยน”เสียงจากวิทยุสื่อสารดังขึ้นอีกครั้ง

“พวกเขาเป็นไงบ้าง” อโลนถามผ่านวิทยุ

“เหมือนจะปลอดภัยครับท่าน แต่ดูเหม่อๆ ไม่ค่อยมีสติเท่าไหรเลย เรียกถามอะไรก็ไม่ตอบครับ แค่ยืนอยู่เฉยๆ เปลี่ยน”

“ทราบแล้ว ยึดพื้นที่เอาไว้ ระวังตัวด้วย ยุติ”

“หัวหน้าหมู่สามทีมเอ เรียก หัวหน้าหมวดสามกองร้อยบี” เสียงวิทย์ดังขึ้นในขณะที่ทั้งคู่ยังคงงงงวยกับรอยเท้าว่าเป็นรอยเท้าของใคร

“ทราบแล้ว ว่ามา”อโลนดอบพลางคุกเข่าลงดูรอยเท้า

“เรายึดศูนย์สื่อสารได้แล้วครับ ต้องการต่อการสือสารของพันเอกอดัม อลองเกอร์ผ่านอุปกรณ์สื่อสารของท่าน” ชื่อของพันเอกนายนี้ฟังดูคุ้นหูเจมส์เหลือเกิน

“ทราบแล้ว ส่งมาเลย”

“นี่อดัมพูด อโลน เราตกอยู่ในสถาณการณ์ฉุกเฉิน ต้นแบบอาวุธหมายเลข666 หลุดออกไปจากศูนย์ทดลอง ฉันต้องการให้นายพาทุกคนไปรวมที่อาคารอำนวยการเดี๋ยวนี้”

“พี่”อโลนกดปุ่มพร้อมเรียกพันเอกอดัมอย่างเป็นกันเองจนทำใหเจมส์สงสัยว่าทั้งคู่นั้นรู้จักกันมาก่อนหรือ “ต้นแบบที่พี่ว่านี่ใช้เด็กอายุแปดถึงสอบสองขวบรึเปล่า”

“นั่นไม่ใช่เรื่องของนายจร”คำพูดที่ดังมาจากวิทยุเรียกอโลนด้วยชื่อเล่นที่มีเพียงไม่กี่คนในกองพันเท่านั้นที่รู้ ทำให้เจมส์สงสัยในความสนิดสนมของทั้งคู่มากขึ้นไปอีก “ทำตามที่สั่ง พรีเดเตอร์จะไปถึงในสิบสองนาที”

“ปฏิเสธ ย้ำ ขอปฏิเสธ พรีเดเตอร์มาช้าไป กรุณายืนยันเป้าหมาย” อโลนกึ่งพูดกึ่งตะคอกใส่วิทยุ อดัมเงียบไปครู่หนึ่งซึ่งมันนานมากสำหรับอโลน เขาจึงตะคอกใส่วิทยุอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาตะคอกเป็นภาษาที่เจมส์ไม่เข้าใจ ซึ่งการตะคอกของอโลนได้ผลเป็นอย่างยิ่ง

“รับทราบ เป็นเด็ก ผู้หญิงอายุ12 มีความอันตรายสูงสุด ย้ำสูงสุด”อดัมพูดไม่ทันจบ อโลนก็ทำการปิดวิทยุก่อนจะหันมามองหน้าของเจมส์ เธอเข้าใจดีว่าอโลนต้องการจะบอกอะไรกับเธอ เธอปิดวิทยุตามอโลน เปิดไฟฉายที่ติดอยู่กับปืน อโลนก็ทำเช่นกัน เขาเดินนำเธอไปตามทางที่รอยเท้าปรากฏ บรรยากาศกลับไปอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม่นานนักรอยเท้าของอาวุธต้นแบบก็นำพวกเขามาสู่ชายป่า

“ป่าหรอ”เจมส์พูดด้วยน้ำเสียที่ฟังดูไม่ค่อยสบายใจเสียเท่าไร

“ไม่ชอบป่าหรอ” อโลนถามพลางสอดส่องไฟฉายเข้าไปในป่า

“ก็ นิดหน่อย”เจมส์ตอบ “ความทรงจำสมัยเด็กน่ะ” อโลนหันกลับมายิ้มให้เธอ “หลงป่าตอนกลางคืนคนเดียวค่ะ” เจมส์พูดยิ้มๆ

“อื้ม” อโลนพูดพลางสาวเท้าเข้าไปในป่า “ไปกันเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอก เรามีกันตั้งสองคนนะ”เขาพูดด้วยเสียงเรียบๆ นุ่มๆ ทำให้เจมส์อดยิ้มไม่ได้ ทั้งคู่เดินเข้าสู่ป่ารกทึบ รอบตัวมีเพียงหมู่แมกไม้และสิงสาราสัตว์ เมื่อเข้ามาในป่าแล้ว รอยเท้าปริศนายิ่งสามารถแกะรอยได้ง่ายขึนไปอีก เนื่องด้วยเศษใบไม่ที่ทับถมกันจนถึงดินที่อ่อนนุ่มเพราะน้ำค้าง ทั้งสองเดินผ่านเหล่ากิ่งไม่ที่ถูกหักเป็นทางเหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งผ่านป่าแถวนี้ไป “เด็กอะไรกัน ทำไมต้องส่งพรีเดเตอร์มาจัดการ” แต่คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ อโลนมองเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืด อโลนประทับปืนขึ้นเล็งตามสัญชาติญาณ เขาเลียริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อรวมรวมสมาธิ วัตถุสีขาวเคลื่อนที่อย่างพริ้วไหวทามกลางแสงจันทร์ที่แทรกผ่านช่องระหว่างใบไม้ ร่างของเด็กหญิงตัวเล็กๆห่อหุ้มด้วยชุดกระโปรยาวสี่ขาวที่ชายกระโปรงเประเปื้อนไปด้วยดิน ผ้าบางส่วนขาดวิ้นเพราะถูกกิ่งไม้เกี่ยว

อโลนทะยานไปข้างหน้าผ่านหมู่แมกไม้ ใช้พานท้ายปืนตบกิ่งไม้ที่ขวางทางเขาออก เด็กหญิงหันกลับมามองดูอโลน นัยน์ตาของเธอกลวงโบ๋เป็นหลุมลึก เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากขุมตาอย่างช้าๆ ผวของเธอขาวซีดเหมือนคนตาย ริมฝีปากมีสีเข้ามผิดธรรมชาติ “ปล่อยฉันไป” เธอพูดอย่างช้าๆด้วยเสียงทุ้มต่ำคลอกับเสียงแบบเด็กผู้หญิง เจมส์ที่วิ่งมาถึงทีหลังถึงกับชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของต้นแบบอาวุธ เธอไม่รอช้าประทับไรเฟิลจี36ของเธอไปยังใบหน้าของเด็กหญิง เธอทีท่าทีเปลี่ยนไปจากที่ดูแข็งกร้าวในทีแรก กลับดูหวานกลัว เธอเดินถอยหลังในขณะที่เจมส์กำลังเข้าใกล้เธออย่างช้าๆ

“พอที” อโลนร้องลั่น พลางทำท่าทางที่บอกให้เจมส์หยุด “ลดไรเฟิลลงเจมส์ เธอเป็นแค่เด็กนะ” เขาพูดพลางเดินเข้าหาต้นแบบ เจมส์ลดปืนลงแต่สายตายังคงจับจ้องที่ตัวต้นแบบ “เธอไม่เป็นแล้ว เราไม่ต้องการจะทำร้ายเธอ” เลือดที่ไหลอายแก้มของเด็กสาวเริ่มเปลี่ยนสี สีแดงของมันจากลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นเพียงน้ำตาธรรมดา สีผิวจากที่ดูขาวซีดกลับมีน้ำมีนวลขึ้นมาก แก้มเริ่มมีสีอมชมพู ริมฝีปากสีจางลงจนเห็นได้ชัด ลูกตากปรากฏขึ้นในขุมตาที่กลวงโบ๊ นัยน์ตาสีฟ้ามองดูพวกเขาด้วยความกลัว อโลนเข้าหาเธออย่างช้าๆ คุกเข่าลงพร้อมยิ้ม

“หนูไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว” เธอพูดปนสะอื้น “หนูเหงา หนูไม่อยากถูกขัง หนู่กลัว”

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” อโลนพูดด้วยน้ำเสียงออนโยนพลางใช้มือเช็ดน้ำตาของต้นแบบอาวุธ “กลับไปกับฉันนะ” เขายิ้มพลางจับมือของเด็กสาว เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า อโลนยืดตั้วขึ้นยืน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดวิทยุสื่อสารของตน “นี่อโลน เรียกพันเอกอดัมตอบด้วย เปลี่ยน”

“ทราบแล้วอโลน ว่ามา”

“ผมได้ตัวเธอแล้ว กำลังจะพากลับไปที่ตึกอำนวยการ เปลี่ยน”

“ทราบแล้ว ติดต่อกับหน่วยพรีเดเตอร์ ทันทีที่ไปถึง นายรับทราบแล้วใช้มั้ย”

“รับทราบครับท่าน อีกเรื่องครับผม ขออนุญาตเข้าพบหัวหน้าทีมวิจัยอาวุธครับ”

“เดี๋ยวดูให้ อดัม เลิกการติดต่อ” หลังจากที่อดัมตัดการติดต่อไปทั้งสามยืนทามกลางเสียงนกและสัตว์หากินหลางคืน อโลนมองดูหน้าของเด็กสาวที่ดูเหมือนจะไม่กลัวแล้วผิดกับเจมส์ที่กำลังตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด “เป็นไรไป”อโลนถามเจมส์

“ฉันไม่ชอบป่าน่ะค่ะ” เจมส์ตอบพร้อมพยายามยิ้มเพื่อปกปิดสีหน้าหวาดกลัว แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในความพยายามที่ไร้ผลที่สุดของเธอ

“หนูก็ไม่ชอบค่ะ”ต้นแบบกล่าวแบบเด็กไร้เดียงสา

“งั้นก็ไปจากนี่กันดีกว่ามั้ง” อโลนเสนอพลางมองไปรอบๆตัว “เธอชื่ออะไร” อโลนถามเด็กสาว

“พีที 0666 เจสสิก้าค่ะ”

“เธอเดินไหวมั้ย” เจมส์ถาม

“ไม่ค่ะ ขาหนูล้าไปหมดแล้ว เท้าก็เจ็บด้วย” อโลนนั่งคุกเขาลงทันทีที่เธอพูดจบ

“ขึ้นหลังฉันแล้วกัน” เขาพูดพลางหันหลังให้เธอ เธอกระโจนขึ้นมาบนหลังของเหาเหมือนเด็กกระโดดขึ้นหลังพ่อย่างไรอย่างนั้น “เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว”เขาพูดและออกเดินไปตามทางที่พวกเขาแหวกผ่านป่าเข้ามา ตลอดทาง เจสสิก้าพูดไม่หยุด เธอเอาแต่ถามเรื่องโลกภายนอกที่เธอเคยเห็นแต่เพียงในทีวี บางครั้งเธอก็ถามเรื่องการมีอยู่ของเหล่าฮีโร่ในการ์ตูนเรื่องต่างๆ เธอทำสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยที่ได้คำตอบจากอโลนว่ามันไม่มีจริง จากนั้นเธอก็ถามเรื่องมนุษย์ต่างดาว เธอดูดีอกดีใจเล็กน้อยที่ได้รู้ว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นอาจจะมีจริง

“ชื่อเต็มของเธอคือ พีที ศูนย์หกหกหก เจสสิก้าใช้มั้ย”

“ค่ะ”เธอตอบ

“งั้น ฉันจะเรียกเธอว่าพีเจแล้วกัน ตกลงนะ”เขาถามในระหว่างที่ทั้งหมดกำลังเดินผ่านเขตอยู่อาศัยที่ว่างเปล่า

“เธอเป็นอาวุธแบบไหนกันหรอ” เจมส์เอยขึ้น ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งสิ่งที่เขาสงสัยพอดิบพอดี

“ค่ะ หนูเป็นทหารพลังจิตค่ะ”

“แบบที่ว่าใช้พลังจิตในการฆ่าคนหรอ” อโลนถามต่อหลังจากเดินผ่านโรงนอนของกองร้อยเอ “เหมือนสาวน้อยพลังจิตในเกมเฟียร์(F.E.A.R.)น่ะหรอ”

“เปล่าค่ะ”เธอตอบพลางฟุบลงบนหลังของอโลน “แม่หนูบอกว่า หนูถูกสร้างมาเพื่อบังคับจิตใจไม่ให้ศัตรูต่อสู้ ไม่ก็หนีไปค่ะ”

“แก้ปัญหาด้วยสันติวิธีสินะ”เจมส์พูดเสริม

“บางอย่าง12นาฬิกา”อโลนพูดพลางคุกเข่าให้เจสสิก้าลง ก่อนที่จะประทับปืนเล็งไปยังเงาบางอย่าที่ดูคล้ายมนุษย์ “เจมส์คุมเชิงไว้ เดี๋ยวผมไปดูเอง” เจมส์ตอบสนองคำสั่งทันทีโดยการพาเจสสิก้าไปหลบหลังบังเกอร์สำหรับเวรยาม เมื่ออโลนเห็นแล้วว่าสองสาวปล่อดภัยเขาก็คืบคลานไปข้างหน้าโดยการก้มตัวต่ำและใช้ความมืดเป็นเครื่องอำพราง เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะพิสูจน์ว่าเงานั้น เป็นของบุคคลที่เป็นศัตรูหรือไม่ และในที่สุดเขาก็คิดออก “ดวงจันทร์” เขาเอ่ยขึ้นดังพอที่จะให้เข้าของเงานั้นได้ยิน สิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไปนั้นคือรหัสยืนยันฝ่าย ถ้าหากว่าตอบกลับมาได้ถูกต้องหมายความว่าคนที่อยู่หน้าเขาตรงนี้เป็นฝ่านเดียวกับเขา

“อาทิตย์ตก” เขาตอบรหัสกลับมาได้อย่างถูกต้อง “นายคงเป็นหัวหน้าหมวดสามบีสินะ”

“ใช่แล้วคุณล่ะ”

“เรืออากาศตรีโซนี่ ไซเดอร์สัน ผมมารับคุณไปกอง บ.ก.” เขาพูดพลางเดินเข้ามาหาอโลน หลังจากที่เรืออากาศหนุ่มสอบถามถึงสถาณการณ์ต่างๆจนแล้วเสร็จเขาก็นำอโลนและคนอื่นๆขึ้นรถฮัมวีเพื่อพาไปยังกองอพำนวยการ ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงเขตอำนวนการ ตึกจำนวนหนึ่งตั้งกระจายกันออกไป ตึกเหล่านั้นประกอบไปด้วยตึกเรียน ตึกอำนวยการ โรงนอนครูฝึก และ คลังอาวุธขนาดเล็ก สนามหญ้าขนาดใหญ่บัดนี้เต็มไปด้วยทหารที่ยืนเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่องรถฮัมวีเคลื่อนเข้าไปใกล้อโลนกลับต้อตะลึงเมื่อทหารเหล่านั้นยืนเข้าแถวอย่างเหม่อลอย อ้าบากค้าง ดวงตาไร้ความรู้สึก แต่ละคนมองไปยังที่ต่างๆเหมือนไร้จุดหมาย

“ผู้หมวดครับนี่มัน”อโลนกำลังจะเอ่ยถามแต่โซนี่เหมือนจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร โซนี่พยักหน้าเบาๆก่อนจะหันมาสบตากับอโลน

“เธอน่ากลัวใช่รึเปล่า”เขาพูด “อาวุธที่ทำให้ข้าศึกแพ้ได้โดยไม่ต้องรบ” ทันทีที่โซนี่พูดจบอโลนก็ยิ้มที่มุมปากพลางขำในลำคอ

“ไม่หรอกครับ”อโลนพูดก่อนหันไปดูต้นแบบอาวุธที่บัดนี้หลับไหลไม่ได้สติไปแล้ว ส่วนเจมส์ก็มันตะลึงกับภาพตรงหน้าโดยที่ไม่สนใจเลยทั้งสองคนคุยอะไรกัน “เธอน่ะ ยังไงก็เป็นแค่เด็กอยู่ดี” รถจอดหน้าตึกอำนวยการ ทหารในเครื่องแบบสีดำหลายนายพร้อมอาวุธครบมือเดินเผ้าระวังอยู่ทั่วทั้งตึก ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า รอบตัวตึก ตามชั้นต่างๆ ไปจนถึงดาดฟ้า ทหารสองนายซึ่งยืนอยู่บริเวณบันไดขึ้นตึกเดินตรงมาหาพวกเขา ไรเฟิลในมือประทำเล็งเข้ามาในตัวรถ แสงเลเซอร์ช่วยเล็งสาดส่องไล่ไปตามตัวของอโลนและโซนี่ จนมันมาหยุดที่หัวของพวกเขา ไม่กี่อึดใจจากนั้นแสงเลเซอร์ชี้เป้าอีกมากก็ถูกส่องมายังตัวของทั้งสองคนเครื่องแบบของพวกเขาถูกย้อมด้วยสีแดง “ดวงจันทร์”หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น

“อาทิตย์ตก”อโลนและโซนี่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ลงจากรถช้าๆ” ชายคนนั้นตะโกนพร้อมเดินเข้ามาหาพวกเขา เข็มกลัดรูปเพชรที่ปกเสื้อสะท้อนแสงจากไฟสนามสีแดง เข็มกลัดนั้นทำให้อโลนรู้ได้โดยทันทีว่าคนเหล่านี้คือทหารพรีเดเตอร์ พรีเดเตอร์เป็นหน่วยทหารขนาดกองพันประกอบด้วยสองกองร้อยคือ กองร้อยโลหิตแห่งพระเจ้า และกองร้อยทหารม้าศักดิ์สิทย์ พวกเขาเป็นหน่วยรบพิเศษที่ถูกฝึกมาอย่างดีเหมือนหน่วยรบพิเศษของประเทศต่างๆ โด่งดังจากภารกิจต่างๆนับตั้งแต่สงครามประกาศอิสระภาพของอเมริกา “เธออยู่ไหน” ชายอีกคนถาม

“ในรถ”โซนี่ตอบ “เราจะกลับกันได้รึยัง” เขาถามต่อ

“ครับผู้หมวด ทีมอัลฟ่าจะเป็นคนคุ้มกันคุณ หัวหน้าหมวดอโลน มีคำสั่งจากพันเอกอดัมให้คุณไปกับพวกเราด้วย” ทหารพรีเดเตอร์เอยพลางลดปืนลง เสียงใบพัดตีกับอากาศดังใกล้เข้ามา เครืองบินปีกหมุนจู่โจมสามลำปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าพร้อมกับพระอาทิตย์ เอ็มไอ-24 สามลำบินวนรอบสนามที่เบื่องล่างเต็มไปด้วยทหารที่ถูกเจสสิก้าสะกดจิต ฮ.ทั้งสามลำติดตั้งอาวุธเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็นปืนกลอากาศหลายลำกล้องขนาด20มม. ปืนกลอากาศขนาด30มม. แบบลำกล้องคู่ ไปจนถึงเครื่องยิงจรวดที่เห็นแล้วอโลนเดาได้เลยว่าคงจะบรรจุจรวดไว้เต็มที่ หลังจากที่เครื่องปีกหมุนทั้งสามบินวนอยู่อย่างนั้นสองสามรอบก่อนที่มีลำหนึ่งลงจอดไม่ห่างจากรถฮัมวีมากนัก อโลนเปิดประตูรถและอุ้มเจสสิก้าที่ยังคงหลับไหลไม่รู้สึกรู้สาขึ้น และเดินไปยังเครื่องบินปีกหมุน

หลังจากเอ็มไอ-24บินจากไปไม่นานทหารส่วนใหญ่ก็ได้สติคืนมาเว้นแต่ทหารบางส่วนซึ่งโดนค่อนข้างหนัก หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางนายทหารสั่งให้ทุกคนกลับไปที่โรงนอนและรอคำสั่งต่อไป จนในที่สุดช่วงบ่ายสถาณการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปรกติอีกครั้ง แทนที่ครูฝึกจะกดดันพวกเขาให้น้อยลงในวันเวลาที่ผ่านอะไรมามากมายเช่นนี้ แต่พวกเขากลับเพิ่มความโหดร้ายมากขึ้น หมวดสามถูกสั้งให้ทำความสะอาดอาวุธสามครั้งในสองชั่วโมง และมักจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเชกเช่นจ่ามูดดี้ที่เหมือนจะมาเยี่ยมพวกเขาทุกๆสิบนาที พวกเขาทานอาหารค่ำซึ่งยังคงเป็น บีอาร์เอ็มจากนั้นก็เข้านอน วันที่แสนวุ่นวายก็จบลง

เจมส์ลืมตาตื่นขึ้นมาในวันแรกของการฝึกช่วงที่สองหรือ ยิงเป็ด แต่วันนี้มีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปจากทุกวัน เสียงแตรปลุกที่เคยดังเป็นประจำในเวลาตีสี่กลับไม่ดัง เจมส์คว้านาฬิกามาดู ตัวเลขบนหน้าปัดบอกเธอว่าเวลาล่วงไปถึงหกโมงแล้ว เธอวางนาฬิกาลง ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ทหารบางส่วนของหมวดตื่นขึ้นมาแล้ว เจมส์มองไปทางเตียงของอโลนซึ่งผ้าห่มและผ้าปูทีนอนเก็บพับอย่างเป็นระเบียบเหมือนที่เธอพับไว้เมื่อคืน “เฮ้ เกิดอะไรขึ้น” เธอถามทหารคนหนึ่งที่กำลังติดเข็มกลัด “ทหารเป็ด” บนเครื่องแบบเต็มยศของเขา

“วันนี้เราต้องเข้าเรียนที่ห้องหมายเลข321ครับ” เขาพูด “อ้อ จ่ามูดดี้มาบอกว่าให้ไปที่โรงอาหารของกองร้อยเวลาหกสามศูนย์ครับ จากนั้น เจ็ดสามศูนย์จึงจะเข้าเรียน”

“ขอบใจเพื่อน” เธอบิดขี้เกียจพลางคิดเรื่องของโรงอาหารทำไมถึงให้ไปโรงอาหารทั้งๆที่ยังมีบีอาร์เอ็มอยู่ เธอเดินไปยังกล่องบีอาร์เอ็มเพื่อหาอะไรกินรองท้องก่อนจะอาบน้ำแต่งตัว เธอเปิดดูภายในกล่องแต่พบว่าในกล่องนั้นมีกระดาษแผ่นเล็กๆที่ถูกพับครึ่งไว้วางอยู่ที่ก้นกล่อง เธอหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาคลีกางออกด้วยมือข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นกำลังขยี่หัวของตน ลายมือหวัดๆอ่านไม่ค่อยออกทำใหเธอได้รู้ทันทีว่าเป็นลายมือของ อโลน

“อาหารสดมื้อแรก สปาเก็ตตี้ โรงอาหาร ไม่อยู่หนึ่งวัน ดูแลคนอื่นด้วย อโลน” เธออ่านสองประโยคแรกซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ใจเต้นรัว รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว “ตื่นโว้ย ไอ้พวกขี้เกียจ”เธอตะโกนลั่น “อาหารปรุงสดๆใหม่ๆ จะเสิร์ฟนะครึ่งชั่วโมง” เธอกระโจนลงจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัว และวิ่งเข้าห้องอาบน้ำก่อนที่ทหารคนอื่นๆจะรู้ตัวและรีบแห่มาอาบน้ำ เธอถอดเสื้อผ้าแบบไม่สนใจชายหญิงคนอื่นที่อยู่ในห้องอาบน้ำ ในช่วงวันแรกๆของการใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่รู้จัก อโลนแบ่งช่วงอาบน้ำเป็น2คาบคือชายและหญิง แต่สุดท้ายทุกคนก็รู้ว่ามันไม่ทันเวลา ในที่สุดทุกคนในกองพัน ก็ทำใจกับการอาบน้ำรวมได้ในช่วงอาทิตย์ที่สอง หลังจากเปลื้องผ้าของตนเองเรียบร้อยเธอก็นำเสื้อผ้านั้นพาดไว้ที่ฝักบัว เธอเปิดวาล์วน้ำ น้ำเย็นๆไหลออกจากฝักบัวและสัมผัวใบหน้าเธอ เธอรูปไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าของร้างกาย เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าร่างกายทุกส่วนของเธอเปียกชุ่มแล้วเธอก็มองหาสบู่ แต่ทว่า เธอลืมนำสบู่เข้ามาด้วย เธอหันขวาตามสัญชาติญาณ แต่ก็พบเพียงฝักบัวที่ไม่มีใครใช้บริการ มันเป็นจุดที่อโลนต้องมาอาบน้ำเป็นประจำข้างๆเธอ และเธอมักจะขอยืมสบูเขาอยู่บ่อยๆ “เฮ้ ขอสบู่ที” เธอตะโกนพร้อมหันหลังกลับไปดูเหล่าฝูงชนที่รอเข้าคิวอาบน้ำ “ตรงนี้ว่วงอยู่ ท่านหัวหน้าหมวดติดภารกิจ ไม่อยู่หนึ่งวัน” ทหารหนุ่มคนหนึ่งเดินมายังฝักบัวของอโลน “มีสบูรึเปล่า”

“ครับผม”เขาตอบพลางส่งสบู่ให้เธอ “หัวหน้าหมวดไปไหนรึครับ” เขาถามด้วยความสงสัย หนุ่มร่างท้วมตัวเล็กผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเด็กเนิร์ดคอมพิวเตอร์ เจมส์ เฟ็ดเดอร์สัน เด็กแว่นจากลอสแองเจอร์ลิส อเมริกา เขาเป็นคนหนึ่งที่ใช่ชีวิตในโลกไอทีเป็นเวลานาน เป็นแฮ็กเกอร์ใจดีผู้รักสงบ เป็นทีปรึกษาด้านเทคโนโลยีของทั้งกองร้อย และผู้ชายทุกคนในหมวดพร้อมใจโหวดให้เขาเป็น ผู้ชายที่มีนกเขา เล็กที่สุดในหมวดสามกองร้อยบี

“ไม่รู้สิทิ้งโน๊ทไว้ในกล่องบีอาร์มเอ็ม”เจมส์ตอบพลางถูสบู่จนเกิดฟองเต็มมือของเธอ “แล้วนายเป็นไงมั่ง”

“ครับ รู้สึกดี” เขาพูดพลางลูบไลให้น้ำกระจายไปทั่วทั้งตัว ก่อนที่จะขำขึ้นมาเบาๆ

“ขำอะไร” เจมส์ถามพร้อมยิ้ม

“คิดถึงวิธีการอาบน้ำของหัวหน้าหมวดนะครับ”

“โอ้ ใช่เลย” แน่นอน วิธีการอาบน้ำของอโลนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งกองพันทหารเป็ด จากปากสู่ปาก เขามักจะเข้ามาใน้ห้องอาบน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัว และแปลงขนแข็งสำหรับทำความสะอาดไรเฟิล เขาจะอาบน้ำชำละร่างกายก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นจะทำการขัด “ปืน”ของเขาด้วยแปรงขนแข็ง คนทั้งหมวดประทับใจวิธีการของเขามากจนมีการบอกต่อไปอย่างรวดเร็ว หลังจากสามวันที่เรื่องแพร่งพรายออกไปก็ถึงหูจ่ามูดดี้ จ่าครูผึกจอมเก๋าคนนี้เลยเรียกเขาว่า “ไอ้ปืนเหล็ก”

หลังจากที่ชำระร่างกายจนเสร็จเธอก็เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวออกจาห้องน้ำ สวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ติดเข็มกลัดทหารเป็ดและเข็มกลัดแม่เป็ด ก่อนที่จะเดินไปยังโรงอาหารของกองร้อย ซึ่งทอดยาวอยู่ด้านหลังของโรงนอนทั้งสาม เธอสาวเท้าเข้าไปและพบว่าทหารแต่ละคนนั่งตามโต๊ะยาวต่างๆ พลางทานอาหารปรุงสดมื้อแรกในรอบหลายสัปดาห์ จ่ามากหน้าหลายตาเดินไปตามโต๊ะต่างๆเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเหล่าทหาร ถึงแม้จะเป็นอาหารสดมื้อแรก แต่ทหารทุกคนยังคงทานอย่างเรียบร้อย ไม่มูมมาม เพราะถ้าหากทำอะไรผิด จ่าจอมเก๋าทั้งหลายเล่นพวกเขาแน่ๆ หลังจากทีทั้งกองร้อยทานอาหารเสร็จ เหล่านายทหารก็ทำการแจกหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งให้ทหารทุกคน ปกของมันไม่ได้มีสีสันสวยงามนัก เป็นเพียงแค่ปกซีเทาซีดๆ และมีรูปภูเขาอยู่ที่กลางหน้าปกตัวหนังสือที่ดูแข็งทื่อเขียนว่า จาฟานิสถาน ถูกพิมพ์ไว้เหนือรูป
การเรียนทฤษฏีเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ร้อยเอกที่เป็นวิทยากรในวั้นนี้พูดแต่เรื่องของจาฟานิสถาน ตั้งแต่สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประชากร ทั้งช่วงเช้า เสียงโกรนดังระงมไปทั่วห้องเรียน ทหารกว่าครึ้งห้องหลับเป็นตายโดยที่จ่ามูดดี้ไม่ได้ลงโทษอะไรพวกเขาแม้แต่น้อย เจมส์สั้งเกตุเห็นท่าทางของมูดดี้ ที่ดูจะชอบให้นักเรียนทหารหลับในห้องเรียนมากกว่า อาหารเที่ยงของวันนี้เป็นสตูลเนื้อวัวที่มีรสชาติดีที่สุดเท่าที่เคยกินมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะเครื่องปรุงที่แสนจะสด เพราะจ่ามูดดี้ทำการเชือดวัวด้วยปืนกลหนักบาวริ่ง .50 คาลิเบอร์ที่หน้าโรงนอนหมวด 1 ทำเอาหัวของวัวโชคร้ายหลุดกระเด็น ไปห่างจากตัวราวๆ 3-4 เมตรเหล่าหทารหมวดสามคนหนึ่งซึ่งมาจากทางใต้ของอเมริการทำการถลกหนัง แล่เนื้อ และชำแหละส่วนหัวจนเหลือแต่กระดูก จากนั้นเขาก็นำไปแขวนไว้หน้าโรงนอนของหมวด อาหารมือเที่ยงวันนี้ดูจะอร่อยกว่าปรกติสำหรับทหารหนุ่มๆ เนื่องจากแม่ครัวและสาวตักอาหารคือเหล่าลูกสาวของครูฝึก ซึ่งหากบอกว่าพวกเธอแต่ละมีหน้าตาเหมือนนางฟ้าก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะลูกสาวคนสุดท้องของจ่ามูดดี้ที่แม้แต่เหล่าทหารสาวๆยังออกปากชมว่าเธอสวยกันไม่หยุดหย่อน

และก็เพราะลูกสาวของจ่ามูดดี้อีกนั่นแหละ ที่ทำให้ทหารหนุ่มแปดคนเกือบโดนเชือด เนื่องจากว่าเธอกำลังเดินดูว่าสตูลที่แจกจ่ายให้ทหารนั้นพอเพียงหรือไม่ แต่ระหว่างที่เธอเดินมายังโต๊ะของเจมส์ ทหารหนุ่มชาวไวกิ้งพลั้งปากแซวเธอโดยที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกของจ่ามูดดี้ พันจ่ารุดมาที่โต๊ะของเธอและผองเพื่อนอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รอจนลูดสาวของเขาเดินออกไปจากสายตา เขาก้มหน้าลงมาก่อนจะข่มขู่ว่าจะเอาท่อนเอ็นของวัวมายัดปากทหารหนุ่มชาวไวกิ้ง แล้วให้แก้ผ้าวิ่งรอบกรุงมอสโคว์ ด้วยความที่มีเลือดไวกิ้งอยู่ในตัวของทหารผู้นี่ค่อนข้างมาก เขาเพียงแต่ขำในลำคอเบาๆขณะที่จ่าจอมโหดเดินจากไปโดยที่สีหน้าของเขานั้นไม่มีแววของความกลัวเลยแม้แต่น้อย ในช่วงบ่ายวิทยากรเสียงดุดันอย่างพันโท เกอร์ริ่ง อลองเกอร์ ทำให้ทหารใหม่ขี่เซาสนใจฟังขึ้นบ้าง ผนวกกับจ่ามูดดี้ที่ดูจะตื่นจากการหลับไหล ไล่ตะคอกใส่หูของเหล่าทหารที่หลับ หัวข้อในช่วงบ่ายคือกลยุธและสรรมพาวุธของทหารจาฟาสดูจะเป็นที่น่าสนใจกว่าช่วงเช้ามาก พันโทร่างใหญ่กำชับเป้นล่ำเป็นสันว่าให้พวกเขาจำรายละเอียดทุกอย่างของทหารจาฟาสไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นเหมือนทหารอิรักที่พยายามบุกเข้าจาฟานิสถานในปี 1990 ซึ่งสงครามครั้งนั้นกินเวลาหนึ่งเดือน ทหารอิรักเสียชีวิตไปร่วมๆสามหมืนนาย เพราะไม่ศึกษากลยุธของทหารจาฟาส อีกทั้งไม่ชำนาญพื้นที่ เขาพูดไล่เรียงเหตุการณ์ทุกอย่างนับตั้งแต่ทหารอิรักบุกเข้าสู่จาฟานิสถานในวันที่ 2 สิงหาคม จนถึงจบสงคราม กองทหารอิรักถูกถล่มย้อยยับ โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า ทางด่วนแห่งความตาย (Highway of the death)

หลังจากที่ฟังพันโทเกอร์ริ่งพลามจนเกือบหกโมงเย็น ก่อนที่จะจบลงด้วยการเทศนาผู้ที่หลับในห้องเรียนทฤษฐี ทั้งหมดถูกปล่อยหลังจากทำการแทงปลาไหล เจมส์รีบกลับไปยังโรงนอนอย่างรวดเร็ว สิ่งที่รอเธออยู่ไม่ทำให้เธอผิดหวังเลย อโลนในเรื่องแบบสนามสะอาดสะอ้าน นอนทอดกายอ่านหนังสือบนเตียง เขาเหลือบมามองเจมส์เล็กน้อยก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบๆ “วันนี้เป็นไงบ้าง”

“ก็ คิดถึงคุณนะสิ” เธอพูดกับตัวเองด้วยเสียงกระซิบพลางฉีกยิ้ม “บทเรียนน่าสนใจดีค่ะ” เธอตอบสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะตรงไปยังเตียงของเธอ

“โดยเฉพาะของพี่เกอร์ริ่งใช่รึเปล่า”

“ใช่ค่ะ ทำเอาหลับไม่ลงเลยล่ะ” เธอตอบเสียงเรียบๆพลางปลดเข็มกลัดต่างๆ

“คนอื่นๆไปไหนกันหมด” อโลนถามขึ้นในขณะที่กำลังพลีกหน้าหนังสือ

“ไม่ทราบสิคะ”เธอพูดในขณะที่ปลดกระดุมเสื้อเชิร์ตสีเขียวขี้ม้า “คงกำลังเดินมาล่ะมั้ง”

“แล้วทำไมคุณถึงรีบนักล่ะ” อโลนถามพลางละสายตาจากหน้าหนังสือมามองยังเจมส์ซึ่งเธอกำลังถอดกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อนอก ใต้กางเกงนั้น เป็นที่ซ่อนของขาอันเรียวยาว และแลดูดีจนผู้ชายส่วยใหญ่ไม่อาจละสายตาได้ แต่สำหรับอโลนและหนุ่มๆชาวหมวดสามกองร้อยบีที่เห็นเธอทะลุปรุโปรงแล้วนั้น แค่นี้ถือเป็นสิ่งที่ได้เห็นในชีวิตประจำวัน วันไหนไม่ได้ก็อาจนอนไม่หลับ

“ฉันรีบมาอาบน้ำค่ะ”นั่นเป็นคำโกหก เธอรู้ดีว่าที่เธอรีบมาที่นี่เพราะอยากพบกับอโลน ตลอดทั้งวัน ใจของเธอพร่ำเรียกหาแต่เขา ใจจริงเธออยากจะกระโดดกอดอโลนเสียด้วยซ้ำแต่ในสถาณะความสัมพันธ์เวลานี้ เธอคงทำได้เพียงหวังลึกๆในใจให้อโลนหันมาสนใจเธอบ้าง “ขอตัวนะ”เธอพูดเสียงเรียบๆ คว้าผ้าเช็ดตัว และตรงไปยังห้องน้ำ

“อย่าลืมสบู” อโลนร้องขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินข้างธรณีประตู เธอหยุดทันทีที่อโลนพูด เธอตรงเข้ามาหาอโลนที่กำลังหยิบเอาสบู่ให้เธอ เจมส์รับสบูพลางก้มตัวเข้าหาอโลน เวลานี้ เธอไม่สามารถหักห้ามความต้องการภายในใจของเธอได้อีกแล้ว ริมฝีปากของเธอสัมผัสแก้มอันหยาบกร้านของอโลน เธอพลาดไปแล้ว อโลนหันมองดูหน้าเธอด้วยความฉงนใจ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ สายตาแสดงถึงความตกใจและสับสน เธอคิดไม่ออกแล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เธอปล่อยสบู่ของอโลนตกลงบนเตียง หันหลังกลับและวิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

สัปดาห์แรกของการยิงเป็ดผ่านพ้นไปด้วยดี ทุกคนถูกฝึกให้ใช้อาวุธประจำกายจนคล่อง ฝึกท่ายิงต่างๆจนสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ทุกครั้งที่มีทหารทำท่ายิงต่างๆผิด ครูฝึกจะตรงเข้าหาพวกเขา ดัดท่าทางจนกว่าจะเข้าที และทำซ้ำๆอย่างนั้นจนทุกคนทำท่ายิงต่างๆได้เป็นที่พอใจของครูฝึก เจมส์ไม่ฉียดเข้าไกล้อโลนเลยในช่วงสัปดาห์นี้ ช่วงกลางสัปดาห์ ครูฝึกสอดแทรกการฝึกใช้มีดปลายปืนเข้ามา การฝึกใช้อาวุธประจำกายกินเวลาทั้งหมดสองสัปดาห์ และช่วงเวลาที่สนุกที่สุดก็มาถึง “กระหน่ำเป็ด” สองสัปดาห์นี่ครูฝึกจะงัดอาวุธทุกชนิดออกมาให้พวกเขาได้ยิงกัน ตั้งแต่ปืนพกไปจนถึงเครื่องยิงจรวด ในที่สุดช่วงกระหน่ำเป็ดก็จบลง และเข้าสู่ช่วงที่สามของการฝึก การฝึกภาคสนาม ก่อนที่ทุกคนจะต้องแยกย้ายไปฝึกขั้นสูง นี่เป็นเดือนสุดท้ายที่ทุกคนจะได้อยู่ด้วยกัน เดือนที่พวกเขาต้องฟันฝ่าการฝึกสุดโหดในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “เขตฝึกซ้อม”

จบบทที่2

pone123
2nd October 2011, 09:58
มาแล้ว เย้:o

Jomzababin
3rd October 2011, 19:41
อ๊าก ร้อยตรี(เอก รึ โท แล้วหว่า) จอห์น หายไปเลย แงๆ ไม่รู้ว่าข้อมูลยังมีอยุ่ป่าวตัวละครผม....TT

LoveSeeker
3rd October 2011, 20:43
อ๊าก ร้อยตรี(เอก รึ โท แล้วหว่า) จอห์น หายไปเลย แงๆ ไม่รู้ว่าข้อมูลยังมีอยุ่ป่าวตัวละครผม....TT
อยู่ครบครับ

Jomzababin
4th October 2011, 22:58
โอ้ว ชื่นใจ ครับผม...ผมจะติดตามต่อเน้อ..(แต่2ตอนนี้ผมอ่านหมดละนี่...)จะรอตอนใหม่ที่ต่อจากตอนเก่าน่ะครับ...

LoveSeeker
5th October 2011, 07:22
โอ้ว ชื่นใจ ครับผม...ผมจะติดตามต่อเน้อ..(แต่2ตอนนี้ผมอ่านหมดละนี่...)จะรอตอนใหม่ที่ต่อจากตอนเก่าน่ะครับ...

ประมาณตอนที่ 5 ช่วงหลังๆ จะมีเนื้อเรื่องใหม่นิดหน่อยครับ

Jomzababin
13th October 2011, 11:39
เมื่อไหร่ตอนใหม่จะมาหนอ....

LoveSeeker
19th October 2011, 07:10
คลื้นลูกใหม่มา นิยายผมโดนถบตกไปหน้า 2 :sweat

Jomzababin
19th October 2011, 12:19
ผมจะมาดันให้ แต่ก็กลัวจะโดนจับ ฮ่าๆ....

LoveSeeker
20th October 2011, 11:58
บทที่3: นักล่าจอมเวทย์ และ การฝึกอันทารุณ
ชายคนหนึ่งวิ่งอย่างรวดเร็วไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้ ตั้นไม้สูงใหญ่ขึ้นรายรอบ ดาบในมือกวัดแกว่งตามจังหวะการวิ่ง เสื้อเกราะหนังกระเพื่อมตามจังหวะการหายใจ หมวกเหล็กติดพู่สีแดงสดพลิวหลุดออกจากศรีษะ กางเกงขายาวหลวมๆดูแล้วลุ่มล่ามเป็นอย่างยิ่ง ชายสามคนในชุดแบบเดียวกันวิ่งตามเขามาติดๆ ใบหน้าของทั้งสี่นั้นแทบไม่แตกต่างกันเลย แววตาแสดงออกถึงความกลัวอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดเผือก ลูกไฟหลายลูกลอยข้ามหัวพวกเขาไป ลูกไฟกลมๆลูกหนึ่งโดนเข้ากับตั้นไม้อย่างจัง มันกระจากในอากาศเล็กน้อยก่อนหายไปดูไร้พิษสง แต่ทว่าจุดที่ลูกไฟโดนเข้าไปนั้นได้หายไปเหลือเพียงแต่ฝุ่นผงเท่าถ่านสีดำสนิด ต้นไม้หักโค้นลงทันทีที่ไฟได้หายไป ลูกไฟระรอกที่สองบินเข้าหาพวกเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่พลาดเป้า ลูกโดนเข้าที่แผ่นหลังของทหารสามคน ครั้งนี้มันไม่ได้กระจายหายไปในอากาศเหมือนดั่งเมื่อปะทะกับต้นไม้แต่กลับแตกออกเป็นวงกลมและขยายเข้าห่อหุ้มร่างของทหารผู้โชคร้ายซึ่งกำลังส่งเสียงหวีดร้องอย่างทรมารเมื่อเปลวไฟได้กลายเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ทั้งตัว ทั้งสามทรุดลง เปลวไฟหายไป ร่างที่เคยมีเนื้อหนังกลับเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ เนื้อหนังได้ถูกเผาจนกลายเป็นฝุ่นผงเถ้าถ่านสีดำสนิด หญิงสาวเจ้าของลูกไฟยิ้มแสยะด้วยความทรนงพลางเดินเข้าหาคนที่เหลือ ชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มลากไปตามพื้น แหวกใบไม้ออกเป็นทางยาว ทหารหนุมยังคงตั้งหน้าวิ่งต่อไป ทว่า เขาพลาดเสียแล้ว เขาวิ่งโดยไม่มองเลยว่าพื้นเบื่องหน้านั้นมีรากไม้โผล่ขั้นมาเหนือดิน เขาสะดุดมันเข้าอย่างจัง เนื่องด้วยความเร็วของเขา มันไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียหลัก มันทำให้เขาล้มคมำ กลิ้งเกลือกไปกลับใบไม้หลายตลบก่อนจะนอนแผ่หลาพร้อมความรู้สึกเจ็บปวดที่ข้อเท้าอย่างรุนแรง หลังจากใช้เวลาไม่กี่เสี้ยววินาทีเพื่อรวบรวมสติก่อนจะพยายามลุกขึ้นแต่นั่นก็ช้าไปแล้ว จอมเวทย์สาวประทับรองเท้าที่ทำจากหนังสัตว์ลงบนอกของทหารหนุ่มด้วยแรงที่มากมายผิดมนุษย์ ก่อนที่เธอจะนำปลายไม้เท้ามาจ่อที่อก “ลาก่อน” ปลายไม้เท้าเปลี่ยนสภาพเป็นโลหะเรียวแหลม จอมเวทย์สาวแทงปลายไม้เท้าลงไปกลางอกของทหารโชคร้ายจนทะลุไปอีกฝั่งหนึ่ง เธอดึงไม้เท้าออกจากร่างไร้วิญญาณ เลือดไหลทะลักออกจากปากแผล ซึมไปตามใบไม้ ใบไม้สีน้ำตาลถูกย้อมเป็นสีแดงอย่างช้าๆ ปลายไม้เท่าเปลี่ยนสภาพกลับเป็นไม้อย่างเดิม เธอหันหลัง สะบัดปลายเสื้อคลุมเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันเปื้อนเลือดที่พื้น เธอออกเดินไปยังทางเกวียนที่อยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก

“ฆ่าทหารของกษัตริย์” เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น “แล้วจะหนีไปได้ง่ายๆงั้นหรอ” เสียงนั้นทำให้จอมเวทย์สาวสวยถึงกับหยุดเดินและหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง ชายในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิดแปดคนเดินกระจายออกเป็นวงกลมเพื่อล้อมเธอ ในมือข้างหนึ่งของพวกเขาถือโล่สีดำ หมวกเหล็กถูกย้อมด้วยสีดำไม่ต่างกับโล่และชุดมากนัก คงมีเพียงดาบที่ถูกเก็บไว้ในฝักกระมังที่ไม่ได้มีสีดำ

“นึกว่าใคร” เธอพูดขึ้นพลางเดินเข้าไปหาเจ้าของเสียงที่กำลังยิ้มให้เธอ “ท่านเซอร์ ไมเคิล อลองเกอร์นี่เอง” เธอหยุดเดินตรงกลางวงล้อมของชายเสื้อคลุมดำก่อนจะโค้งคำนับให้ไมเคิล “คนเหล่านี้คงเป็นพวกฮูทดำใช่หรือไม่” ไม่มีคำตอบจากไม่เคิล เขาเพียงแต่พยักหน้าเบาๆ “นักล่าจอมเวทย์ที่กษัตริย์สก๊อตเป็นผู้ว่าจ่างมาให้จัดการกับจอมเวทย์ทุกคนในดินแดนแห่งนี้ ไม่คาดฝันว่าจะพบตัวจริง”

“เช่นกันท่านจอมเวทย์ซาราห์ ผู้เก่งกาจในเวทย์แห่งไฟและเปลี่ยนสภาพสสาร” ไม่เคิลพูด “เสียดายที่เราพบกันไม่นานก็ต้องจากกันเสียแล้ว”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เธอพูดพลางควงไม้เท้า “ท่านฆ่าพ่อของข้า”

“ชักเหมือนหนังจีนเข้าไปทุกทีแล้วนะครับท่านนายพล” ชายร่างใหญ่ซึ่งยืนอยู่ข้างกายไม่เคิลกระซิบ

“แน่นอนผู้กอง แตกต่างกันที่ตอนจบ” ไมเคิลกระซิปกลับ ร้อยอวกาศเอก มอริส เฟนเดอร์สัน พี่มืดร่างสูงใหญ่รายนี้ขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องความใจร้อน มุทะลุ และโหดร้ายทารุณ แต่ก็มีประสปการณ์สูงพอๆกับอัตราความสำเร็จของภารกิจ อีกทั้งยังเป็นนักบินเครื่องเอฟ-314 ที่เก่งกาจขึ้นชั้นครู

“ตายยย!”เธอร้องพลางวาดไม้เท้าบนอากาศและชี้ไปทางไมเคิล ลูกไฟพุ่งออกจาปลายไม้เท้า ไมเคิลและมอริสฉีกยิ้มกว้าง ไมเคิลเอี่ยวตัวหลบลูกไฟในขณะที่คนอื่นๆชักดาบออกจากฝักและพุ่งเข้าหาจอมเวทย์สาว ทังจอมเวทย์และนักรบชุดดำต่างก็ปัดป้องอาวุธของอีกฝ่ายพร้อมๆกันกับที่หาทางโจมตีไปด้วยในตัวแต่ทว่าจอมเวทย์สาวมีชั้นเชิงเหนือกว่าอย่างมาก เธอใช้พลังของเธอระเปิดออกมารอบตัวจนชายชุดดำกระเด็นกระดอนไปคนละทิศทาง เธอวาดไม้เท้าบนอากาศอีกครั้ง ก่อนชี้มาทางไมเคิล ลูกไฟสามลูกพุ่งเข้าหาเขาไมเคิลหลบทั้งสามลูกได้อย่างสบายๆแต่ว่านั้นเป็นเพียงนกต่อ ลูกไฟอีกลูกพุ่งเขาหาเขา มันเข้าใกล้เข้ามาจนไม่อาจหลบได้ทันเสียแล้ว ไมเคิลยกโล่ขึ้นมาบังลูกไฟนั่นไว้ได้ทันการก่อนที่มันจะถูกตัวของเขา โล่สีดำกลายเป็นสีส้มแดงอย่างรวดเร็ว เขาชักดาบออกพลางตรงไปยังจอมเวทย์สาวซึ่งกำลังอึ้งกับผลของไฟที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่มันก็ทำให้เธอชะงักได้ไม่นาน ไม้เท้าเริ่มแปรสภาพ มันแบนลงและกลายเป็นดาบ เธอวาดมันบนอากาศเพื่อเสกลูกไฟอีกครั้ง ลูกไฟสามลูกพุ่งออกจากปลายดาบ ไมเคิลใช้โลห์รับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดายก่อนจะวิ่งเข้าชาร์จจอมเวทย์ ทั้งสองประดาบกัน ต่างฝ่ายต่างผลัดกันโจมตี และปัดป้องอาวุธของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันคนอื่นๆก็ถอยไปรวมกันอยู่ข้างหลัง พวกเขาเปลียนโล่จากรูปทรงห้าเหลี่ยมธรรมดาเป็นทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าและตั้งเป็นกำแพง ระหว่างนั้นมอริสชักดาบออกมาและเข้าพันตูกับจอมเวทย์ ถึงแม้จะมีชายสองคนต่อจอมเวทย์สาวหนึ่งคน จอมเวทย์สาวก็ยังคงความเหนือกว่า เธอกระโดนถีบเข้าที่โล่ของมอริสก่อนจะใช้แรงจากการถีบมอริสพุ่งเข้าฟาดฟันไมเคิล มอริสถอยไปหลายก้าวจากแรงถีบเหนือมนุษย์ของจอมเวทย์ ดาบที่แปรสภาพมาจากไม้เท้าฟาดลงกับโล่ของไมเคิลอย่างจังจนวัสดุสีดำนั้นร้าว ผลึกบางชิ้นแตกออกและร่วงหล่นสู่พื้น เผยให้เห็นโลหะสีเงินอยู่ภายใน

“แย่ล่ะสิ”ไมเคิลพูด พร้อมม้วนตัวหลบลูกไฟ และวิ่งไปหลบหลังกำแพงโล่ซึ่งมอริสก็ได้มาหลบอยู่ก่อนแล้ว จอมเวทย์สาวหัวเราะร่า ดาบสีวาววัปกลับเป็นไม้เท้าอีกครั้ง

“นี่หรอ นักล่าจอมเวทย์น่ะ วิ่งหนีหางจุกตูดเลย” เธอพูดพร้อมยิงลูกไฟจำนวนหนึ่งใส่โล่สีดำ ก่อนจะเพิ่งจำนวนมากขึ้นตามจังหวะการหัวเราะของเธอ “ออกมาสิ จะมุดหัวอยู่ในนั้นหรือไง” เธอพูดเย้ยหยันก่อนจะหัวเราะต่อ

“เฮ้ สาวน้อย”ไมเคิลพูด “ถึงเราจะเริ่มกันได้ไม่ดีนัก แต่ยังไงของพูดอะไรก่อนตายไปรึเปล่า”

“ได้สิ” เธอตอบพร้อมหยุดเสกลูกไฟ ชายที่ทำหน้าที่ถือโล่เป็นกำแพงหมอบลงระนาบกับพื้นพร้อมกับโล่ ไมเคิลและมอริสยิ้มที่มุมปากพลางเล็งปืนกลเบาเอ็ม-249จากระดับเอว นักเวทย์สาวมองดูทั่งคู่ด้วยความฉงนว่าสิ่งที่อยู่ในมือของทั้งสองนั้นคืออะไรกันแน่

“มันคงจะเหมือนนรก เวลานี่ละมั้ง” มอริสพูดพลางดูดซิการ์ในปาก และพ้นควันออกมา “ฝันดี” มอริสและไมคิลพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งสองเหนี่ยวไกปืนกลในมือ กลไกภายในเริ่มต้นทำงานของมัน เข็มแทงฉนวนกระแทกกับก้นปลอกกระสุนขนาด 5.56*45 มม. ดินขับภายในถูกจุดระเบิด หัวกระสุนวิ่งไปตามลำกล้องและหมุนควงไปตามเกลียวที่ถูกเซาะไว้ กระสุนทะยานออกจากปากกระบอกปืนพร้อมแก๊สร้อน มันควงผ่านอากาศและทะลุเข้าสู้ตัวของจอมเวทย์สาวสวยผ่านอวัยวะภายใน ควานเอากล้ามเนื้อก่อนทะลุออกไปทางด้านหลัง กระสุนอีกมายมายทะยานตามมา จอมเวทย์สาวถอยไปตามแรงที่เกิดจากพลังงานของกระสุน นัยน์ตาของเธอเปิกกว้า เนื้อและเลือดทะลุออกไปด้านหลัง สายเข็มขัดกระสุนถูกป้อนเข้าสู่ปืนกลในมือของสองทหารอย่างไม่ลดละ ปลอกกระสุนถูกคัดออกมาจากช่องคัดปลอก ลอยอยู่บนอากาศก่อนตกลงสู้พื้นใบไม้ 14วินาทีแห่งการกระหน่ำยิงจบลงหลังจากที่กล่องกระสุนของทั้งคู่ว่างเปล่า แก๊สร้อนที่หลงเหลืออยู่ลอยเป็นไอออกมาจากปากระบอกปืน ทั้งสองลดปืนลง ปลดกล่องกระสุน ใสกล่องกระสุนกล่องใหม่เข้าที่ บรรจุสายเข็มขัดกระสุนเข้าสู้ปืน

“บอกแล้วว่าแผนสองดีว่าเยอะ” มอริสพูดพลางเก็บพานท้ายปืนกลเบาและสอดเข้าไปใต้เสื้อคลุมของเขาซึ่งไมเคิลก็ทำเช่นเดียวกัน

“เก็บหลักฐาน” ไมเคิลพูดก่อนจะเดินไปยังร่างไร้วิญญาณของจอมเวทย์สาว เขาล้วงเอาวิทยุสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม นำมันจ่อที่ปากพลางกดปุ่มพูด “นี่ไมเคิล เรียกเฮลฟอกซ์ ทราบแล้วเปลี่ยน”

“เฮลฟอกซ์ทราบแล้ว ว่ามาเลยท่านนายพล” เสียงของหญิงคนหนึ่งตอบมาจากวิทยุ

“เตรียมการบีมตัวอย่างทดลองหมายเลขสองหกเก้า” ไมเคิลพูดพลางนำกระดาษโน๊ตเตือนความจำแปะบนหน้าฝากของจอมเวทย์ ตามด้วยการเขียนตัวเลข 269 และรูปหัวใจลงบนกระดาษแผ่นนั้น

“ล๊อกการบีมพร้อม” เสียงจากวิทยุพูดต่อไป “เริ่มการบีม” ร่างของนักเวทย์สาวถูกแรงบางอย่างดึงขึ้นสูงจากพื้นก่อนที่เนื้อหนังของเธอจะกลายเป็นอณูเรืองแสงเล็กๆและลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า ไม่นานนักร่างทั้งร่างก็หายไป มอริสและชายคนอื่นๆเก็บปลอกกระสุนอย่างขมักเขม่น เสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นดินดังเป็นจังหวะดังใกล้เข้ามา

“มากันแล้ว”ไมเคิลพูดพลางเดินสาวเท้าไปยังทางเกวียน “ท่านเซอร์วอร์ฟิล ทางนี้ขอรับ” เขาร้องตะโกนไปทางต้นเสียงของเกือกม้า ซึ่งฟังดูแล้วเสียงนั้นเพิ่มความถี่ขึ้นมาอีกเล็กน้อยและกำลังตรงมาทางไมเคิล

“ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วรึ” เสียงห้าวๆเสียงหนึ่งตะโกนถามแข่งกับเสียงม้า

“ครับท่าน” ชายสิบคนปรากฏขึ้นที่ปลายทางเกวียน พวกเขาทั้งหมดขี่ม้าขนสวยสง่า ชุดเกราะของพวกเขาเงาวัปสะท้อนกับแสงแดดยามบ่าย พวกเขาตรงเข้าหาไมเคิล ก่อนที่จะหยุดห่างจากเขาราวสามถึงสีเมตร ชายคนหนึ่งก้าวลงจากหลังม้า และเตินมาทางเขา ในหน้าของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย หนวดเคราถูกตัดแต่งอย่างดี ผมถูกตัดให้สันอย่างเป็นระเบียบ “กระผมจัดการหล่อนเรียบร้อยแล้วครับ” เขาพูดในขณะที่กลุ่มขวันกำลังลอยขึ้นมาจากร่างของใครคนหนึ่งซึ่งยานเฮลฟอกซ์ส่งลงมาแทนจอมเวทย์สาว ไฟจาการเผาใหม้ของฟอสฟอรัสเกาะกินร่างนั้นอย่างรวดเร็ว เปลวไฟส่องสว่างจ้าจนทุกคนต้องเบือนหน้าหนี

“ยอดเยี่ยมมาก ท่านเซอร์ไมเคิล”



แสงตะวันสาดส่องไปตามพื้น เหล่าทหารในกองพันทหารเป็ดนั่งๆนอนๆเอกเขนกกัยตามลานจอดเฮลิคอปเตอร์ บ้างก็กำลังบรรจุกระสุนลงใส่แม็กกาซีน บ้างก็กำลังเช็คสัมภาระในกระเป๋าของตนเอง อโลนเดินไปตามช่องระหว่างแถว เขาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เจามองหาอะไรบางอย่างหรือใครบางคนอยู่ เขาเดินผ่านทหารหมู่แล้วหมู่เล่า จนพบคนที่เขาตามหา มิโกะ เธอยืนอยู่เหนือเสื้อคลุมฝนลายพรางซึ่งมีอุปกรณ์ต่างๆวางเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น กระสุนปืนสำรอง ระเบิดมือ ระเบิดควัน รวมไปถึงชุดปฐมพยาบาล เธอมองดูอุปกรณ์เหล่านั่นพลางลูบหน้าผากไปด้วย “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า” อโลนทักก่อนจะเดินไปยืนข้างๆเธอ

“ดีเลยว่าที่ร้อยตรี” เธอพูดพลางก้มลงหยิบระเบิดมือและระเบิดควันใส่กล่องเหล็กสำหรับบรรจุระเบิดพลางส่งให้อโลน“ฝากไว้หน่อยแล้วกันนะคะ”เธอพูดพลางฉีกยิ้มกว้างจนตาของเธอหายไป

“ยิ้มจนตาไม่มีแล้วน่ะ”อโลนพูดกัดเธอเล็กน้อยพลางรับกล่องระเบิด “ฝากไว้นี่เอาไปใช้ได้รึเปล่า”

“ห้ามใช้ย่ะ”เธอตอบทันควันพลางเริ่มยัดแม็กกาซีนสำรองของปืนกลมือใบซอน ตามด้วยชุดปฐมพยาบาลและเสื้อคลุมฝน “เก็บไว้ดีๆละ”เธอพูดพลางชี้หน้าของอโลน “เอาไปใช้มีงอน” เธอพูดน้ำเสียงทีจริงทีเล่น และใช้นิ้วชี้จิ้มที่ปลายจมูกของอโลนเบาๆ

“จร้าๆ”อโลนตอบเสียงเรียบๆพร้อมรอยยิ้มเจือๆบนใบหน้า “ค่าฝากขอจูบทีนึงแล้วกัน”

“จูบกับร้องเท้าฉันก่อนแล้วกัน” มิโกะพูด หน้าเธอแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะด้วยความฉุนหรือด้วยความอาย แต่อโลนก็รู้ตัวดีแล้วว่าสมควรจะถอนกำลังก่อนที่จะได้จูบรองเท้าของมิโกะ เขาเดินต่อไปในมือถือกล่องระเบิดทั้งสอง เขาวางมันลงข้างกองสัมภาระของตน

“อะไรน่ะ” อเล็กซ์เอ่ยถามพลางใสอุปกรณ์ช่วยบรรจุกระสุนกับแม็กกาซีนปืนเอ็ม4 เอ1 ของตน “เยอะแยะเชียว”

“ระเบิดน่ะ ที่รักฉันฝากไว้”

“ฉันไปเป็นที่รักนายตอนไหนวะ” เสียงมิโกะดังแหวงฝ่านเหล่าทหารต่างๆมาจนทหารจากกองร้อยอื่นๆต้องหันไปมอง แต่สำหรับกองร้อยบีแล้ว มันเป็นอะไรที่ธรรมดามากๆ เนื่องจากว่ามิโกะบังเอิญเป็นแพทย์สนามประจำหมวดสาม/บี เธอและอโลนจึงมีเวลาได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในช่วงการฝึกอาวุธ เธอมักจะมาที่โรงนอนและโวยวายใส่อโลนเรื่องจดหมายรักที่เขาส่งไปให้เธอ ซึ่งเธอก็เข้ามาบ่นได้แบบวันเว้นวันแข่งกับจ่ามูดดี้ จนทหารทั้งกองร้อยชินชาเสียแล้ว

“เฮ้ นี่” เอล็กซ์เอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเสียบตับกระสุนใส่เครื่องช่วยบรรจุ “นายคิดว่าการฝึกจะหนักรึเปล่า”

“การฝึกก็คือการฝึก ยังไงก็ไม่ใช่ของจริง” อโลนตอบพลางนำเครื่องช่วยบรรจุมาติดกับแม็กกาซีนของตนบ้าง “การฝึกเป็นการเตรียมเราให้พร้อมก่อนจะได้ไปลงสนามแบบเบา ตามด้วยแบบหนัก การฝึกคครั้งนี้จะทำให้เรามีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น ไม่มากก็น้อย” อโลนนำตับกระสุนติดกับเครื่องช่วยบรรจุและกดกระสุนทั้งสิบนัดเข้าไปในแม็กกาซีน

“สุภาพบุรุษและสตรี”เสียงจ่ามูดดี้ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งในจุดรวมพลของกองร้อยบี และเท่าทีอโลนจำได้ นั่งเป็นครั้งแรกที่มูดดี้เรียกพวกเขาว่าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี “ฉันเคยฝัน” เขาพูดต่อในขณะที่ทหารในกองร้อบบีเดินไปรวมรอบๆเขา “ฝันว่าสักวันจะมีทหารหนุ่มไฟแรง ผู้มีพรสวรรค์ในด้านต่างๆ มาเป็นนักเรียน”เขามองไปรอบๆ มองดูใบหน้าของเหล่านักเรียนที่รายล้อมเขา “ตลอดสี่สิบสองปีในการเป็นทหาร ยี่สิบห้าปีในการเป็นครูฝึก ฉันก็ยังหาพวกเขาไม่พบ”เขาพักหายใจครู่หนึ่ง “แต่ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่ฉันจะเกษียณ ปีที่ฉันไม่เหลือความหวังในการตามหานักเรียนที่ทั้งเก่ง ฉลาด มีความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบเท่าที่ฉันหวัง” เขามองลงมาที่อโลน น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจเอ่อล้นในเบ้าตาของจ่าครูฝึก “พวกนาย”เขาเอ่ยด้วยเสียงที่ทรงพลังในแบบของเขา “พวกนายทุกคน ทำให้ฉันมีความหวัง และฉันใช้พลังจากความหวังเหล่านั้นในการขัดเกลาพวกนายให้เป็นเพชรเม็ดงาม ตลอดเวลา ฉันไม่กล่าพูดเลยว่านักเรียนรุ่นไหนเป็นรุ่นที่ดีที่สุด” เขาพูดช่วยสุดท้ายด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา แต่ทหารทุกคนในกองร้อยก็ได้ยินเขาอย่างชัดเจน “แต่พวกนาย” เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเบาๆแบบเดิม “ทำให้ฉันกล้าพูด ว่าพวกนายทุกคน เป็นนักเรียนรุนที่ดีที่สุดของฉัน”

เขาเดินก้าวอาดๆขึ้นไปยังลังใส่กระสุนของหมวดหนึ่ง “นับแต่วันนี้ พวกนายต้องสู้กับอุปสรรค์ต่างๆด้วยตัวเอง โดยไม่มีฉันคอยแนะนำ ไม่ใช่เพราะฉันกำลังจะเกษียณ”เขาพูดเสียงดัง “แต่เพราะว่าฉันสอนนายหมดแล้วทุกอย่าง ฉันให้นายไปหมดแล้ว นั้บแต่วันนี้ จงบอกโลกให้รู้”เครื่องบินเจ็ทสามลำทะยานมาจากท้องฟ้าเบื่อหลังของจ่ามูดดี้ มันทะยานผ่านลานจอดเฮลิคอปเตอร์ไป เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังรับกับเสียงของมูดดี้ “ว่าพวกเรา คือทหารของกองกำลังทหารรับจ่าง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” สิ้นเสียงของจ่าอันเป็นที่รัก น้ำตาแห่งความประทำใจแปดเปื้อนใบหน้าของใครหลายๆคนรวมทั้งอโลนด้วย ทุกคนในกองร้อยบีโห่ร้องกึกก้องลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ต่างก็ร้องให้เหมือนเด็กๆโดยไม่สนใจว่ากองร้อยอื่นๆจะมองเขาอย่างไร ทหารที่อยู่แถวหน้าสุดโผเข้าหาจ่ามูดดี้ หลังจากที่มูดดี้ทำให้กองร้อยเอเสียน้ำตา อโลนและอเล็กซ์ก็กลับมายังกองสัมภาระของตนและทำการบรรจุกระสุนต่อไป ดวงตะวันคล้อยขึ้นสูงนี้ก็เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ถูกปลุกเมื่อเวลาสามนาฬิกา อโลนทำการจัดสัมภาระรวมทั้งกล่องระเบิดของมิโกะเสร็จสินแล้วแต่ยังไร้วี่แววของผบ.ร้อยหรือเครื่องบินปีกหมุน อโลนทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นข้างเครื่องหลังที่ถูกจัดไว้แล้วของเขา สายตาสอดส่องมองไปยังกองร้อยอื่นๆที่ก็ทำการจัดสัมภาระเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน เวลานี้ก็เพียงแค่รอเครื่องปีกหมุนและผบ.ร้อยมาสรุปภารกิจให้พวกเขาฟัง เสียงรถฮัมวีคำรามดังมาแต่ไกล ฮัมวีสามคันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านลานบิน ทั้งหมดจอดสนิดมื่อถึงบริเวณจุดรวมพลของกองพัน ผบ.ร้อยของกองร้อยต่างๆในกองพันเป็ดที่1ลงจากรถและวิ่งจ้ำอ้าวไปยังที่ตั้งกองร้อยของตน อโลนยืนขึ้นในคณะที่ผบ.ร้อยวิ่งเข้ามาหา “หัวหน้าหมวดมาทางนี้” เขาพูดพลางหยุดอยู่หน้าอโลน อเล็กซ์และผบ.หมวดหนึ่งวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย พวกคุณได้รับการเลื่อนยศแล้ว”เขาพูดพร้อมติดเครื่องหมายยศให้ผบ.หมวดทั้งสามอย่างเร่งรีบ “นี่ของลูกหมวดพวกคุณ”เขาพูดพลางยัดซองสีน้ำตาลพองๆใส่มือของทุกคน ก่อนจะล้วงเอาแผนที่ที่ถูกพับซุกไว้ในกระเป๋าออกมา “พวกเราได้รับหน้าทีให้เป็นปีกขวาของกองพันและมีกองร้อยซีอยู่ทางปีกซ้าย กองร้อยดีถึงเอฟจะโจมตีจากอีกด้าน อีกสามกองร้อยจะโจมตีที่มั่นข้าศึกบริเวณชายป่า ตัดการส่งกำลังบำรุงของขาศึกไม่ให้ไปถึงเมือง เวเดฟ นั่นเป็นเป้าหมายของเราที่เราต้องทำการยึด ภารกิจของวันนี้ พวกเราต้องยึดหมู่บ้านสามหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่ระหว่างทางและใช้ที่นั่นเป็นฐานที่มันบริเวณนี้” เขาพูดพร้อมชี้ตำแหน่งของหมู่บ้านสามหมู่บ้าน พรุ้งนี้เช้าเราจะโจมตีหมู่บ้านที่สี่เวลาแปดนาฬิกาตรง ใช่ช่องการสื่อสารที่สาม ออกเดินทางมนสิบห้า มีคำถามรึเปล่า”

“ไม่ครับ”ผบ.หมวดหนุ่มทั้งสามตอบเป็นเสียงเดียว เสียงใบพัดเครื่องบินปีกหมุนตีกับอากาศดังเข้ามาใกล้ “เอาล่ะ ไปได้” เขาสั่งก่อนวิ่งกลับไปยังฮัมวี เครื่องบินเอ็มไอ-8และเอ็มไอ-26หลายลำจอดที่ลานบินไม่ห่างจากอโลนมากนัก อากาศที่ถูกใบพัดตีกระทบใบหน้าของเขาตามด้วยฝุ่นจำนวนมหาศาลจนอโลนต้องเบืนหน้าหนีไปหาลูกหมวดของตน

“เอาล่ะทุกคน เก็บของ ย้ายก้นในสิบห้า” อโลนตะโกนแข่งกับเสียงของเครื่องเฮลิคอปเตอร์ หมวดสามของอโลนตั้งแถว สะพายเครื่องหลังและไรเฟิลประจำกาย อโลนเดินแจกเครื่องหมายยศจนครบทุกคน และเดินนำพวกเขาไปยังเครื่องเอ็มไอ-8สองลำที่นักบินกวักมือเรียกพวกเขา “ไปเร็ว” อโลนเร่งให้ทหารใต้อาณัติขึ้นเครื่องให้เร็วยิ่งขึ้น “เจอกันที่จุดนัดพบ”อโลนตะโกนบอกทหารหมวดของเขาที่ขึ้นไปบนเครื่องลำอื่น อโลนขยับเข้ามาในเครื่องในระหว่างที่นักบินผู้ช่วยกำลังปิดประตู

“นี่คือร้อยโทเวเดอราส ผมคือบราโว่ 6 จิมมี่ อเล็กซ์ อโลน ผมต้องการ ซิท-เรบ(Sit-rep=situation report รายงานสถาณการ)” เสียงจากวิทยุดังขึ้น “นี่จิมมี่ เราขึ้นเครื่องแล้ว กำลังออกจาลานบิน” เสียงดังขึ้นจากวิทยุของอโลนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเสียงของจิมมี่ ผบ.หมวด1/บี “นี่อเล็กซ์ เรากำลังขึ้นเครื่อง หน่วยแพทย์มีปัญหาเล็กน้อย จะออกเดินทางในหนึ่งนาที” สิ้นเสียงของอเล็กซ์ อโลนกดปุ่มพูดบนวิทยุและพวดด้วยน้ำเสียงเรียบๆสบายๆ “นี่อโลน เราอยู่บนอากาศแล้ว”เครื่องของเขาทะยานออกมาเร็วกว่าของหมวดอื่นๆ อาจเป็นเพราะความเป็นระเบียบและสัมภาระของแพทย์สนามที่เบาของหมวดอื่น การเดินทางเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปมีเพียงเสียงวิทยุของนักบินดังเป็นระยะ ทหารคนอื่นๆก็พูดคุยกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่นอนพักเอาแรงเพื่อเตรียมตัวพบกับการฝึกที่รออยู่ข้างหน้า “หนึ่งนาที”นักบินตะโกน อโลนลุกขึ้นยืนทางกลางเครื่องที่กำลังโคลงเคลง

“บรรจุกระสุน”อโลนสั่งพลางล้วงเอาแม็กกาซีนออกมาใส่ในช่องสอดแม็กกาซีน ตามด้วยการกระชากลูกเลือนปืน เสียงของการกระชากลูกเลื่อนปืนดังขึ้งเกื่อบพร้อมๆกัน “เปิดหูเปิดตา เล็งให้ดีแล้วยิงให้แม่น ที่สำคัญ อย่าลืมว่าในปืนพวกนายเป็นกรสุนจริง จงยิงอย่างระมัดระวัง ทุกคนทราบ”

“ทราบ” เครื่องปีกหมุนลงจอดบนพื้นดินแข็งๆใกล้ป่าสนแห่งหนึ่ง อโลนและลูกหมวดกระโจนลงจากเครื่อง อโลนพาลูกหมวดเคลื่อนเข้าไปยังป่าสนอย่างรวดเร็ว เครื่องเฮลิคอปเตอร์ทะยานขึ้น ต้นสนไหวเอนตามแรงลม ใบไม้จำนวนมากร่วงหล่น และปลิวไสวสวยงาม อโลนกดปุ่มพูดบนวิทยุ “บราโว่ 6 นี่อโลน เรามาถึงแอลซี(LZ-Landing Zone)แล้ว”

“ทราบแล้วอโลน ส่งโอเวอร์ลอร์ดผ่านช่องทางสื่อสารของคุณ”

“หมวดสามบี นี่โอเวอร์ลอร์ด จากนี้รหัสเรียกขานของคุณคือบราโว่ 3 ภารกิจของคุณคือโจมตีและยึดหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ขึ้นไปทางเหนือจากตำแหน่งของคุณ ผมส่งข้อมูลไปทางเอฟซี(FC=Field Computer) รายงานกลับมายังบราโว่ 6 หลังจากที่คุณสำเร็จภารกิจแล้ว โอเวอร์ลอร์ด เลิกการติดต่อ”

“เอาล่ะ”อโลนพูดพลางปลดเครื่องหลัง เปิดกระเป๋าเป้ หยิบเอาเครื่องคอมพิวเตอร์สนามออกมา มันมีลักษณะคล้ายไอแพ็ท แต่ทว่ามีขนาดหนากว่าใหญ่กว่าและเทอะทะกว่ามากอีกทั้งจอสัมผัสยังทำจากกระจกกันกระสุน สามารถต่ออิเทอร์เน็ทผ่านดาวเทียมได้ทันที อโลนทิ่งตัวลงข้างสัมภาระ กดเลือกตัวเลือกต่างๆผ่านทางหน้าจอ เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการแล้วเขาจึงทางการเข้าโหมดประหยัดพลังงาน ล๊อกหน้าจอ ใสมันไว้ในกระเป๋าที่อยู่ด้านหลังแผ่นเกราะดราก้อนสกินของเขา “ท่านทั้งหลาย เดินทาง เหนือ ไปได้”เขาตะโกนสั้ง ยกเครื่องกลังขึ้นสะพายและออกเดินนำหน้าหมวดของเขา พวกเขาเดินผ่านป่าสน ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านฟาร์มปคุสัตว์แห่งหนึ่งที่มีวัวเดินเล่นอยู่เต็มทุ่ง พวกเขาผ่านถนนใหญ่ที่ว่างเปล่า ก่อนจะพบกับทางคอนกรีตสายเล็กๆที่ขนาบข้างด้วยป่าสน เหล่าทหารหมวดสามเดินไปตามทางเส้นนั้นพวกเขาเดินทางร่วมสี่ชั่วโมงจนมาถึงหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายของการโจมตี ทหารทุกคนรู้ขั้นตอนดี อโลนโยนเครื่องหลังลงพื้น นำเอากล้องส่องทางไกลออกมาและสอดส่องไปยังหมู่บ้าน โชคดีของพวกเขาที่บริเวณนี้มีป่าอยู่โดยรอบ จึงทำให้พวกเขาสามารถพรางตัวได้ อโลนมองดูหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ และดูจะใหญ่เกิดกว่าคำว่าหมู่บ้าน เวลานี้เขาตระหนักแล้วว่าทางกองบันชาการส่งเขามาถูกเชือดชัดๆ เขาไม่มีทางที่จะใช้ทหารหมวดเดียวจัดการกับเมืองทั้งเมืองได้อีกแล้ว อโลนสอดสายกล้องไปยังสิ่งก่อสร้างบางอย่างทางตะวันออก มันเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กองวัสดุบางอย่างกองอยู่ข้างๆอาคารห่างไปไม่มากบ้านหลังหนึ่งสร้างขึ้นจากไม่เหมือนอาคารไม้นั้น บ้านไม้เป็นบ้านสองชั้น ไม้ที่นำมาสร้างอาคารทั้งสองดูจะไม่ได้ลงสีหรือวัสดุถนอมไม้ไดๆ เหมือนกับว่าเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เหล่าคนงานจำนวนมากกำลังตัดต้นไม้ตามแนวชายป่าและบรรทุกไปยังโรงเลื่อยไม้ อโลนสายกล้องกลับมายังศูนย์กลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลาง ตลาดและโบสถ์ โบสถ์นั่นมีหอระฆังที่สูงมาก มากจนอโลนกลัวว่าจะมีใครไปนั่งรอให้พวกเขาออกจากที่ซ่อน และยิงเก็บพวกเขาทีละคน เวลานี้ อโลนได้ลืมไปเสียสนิดใจแล้วว่านี่คือการฝึก ประชาชนในเมืองใช้ชีวิตของพวกเขาตามปรกติ บ้างจับจ่ายซื้อของที่ตลาดกลางเมือง บ้างก็กำลังตากผ้าที่สวนหลังบ้าน บางส่วนก็กำลังนั่งกินบาร์บีคิวที่ส่วนหลังบ้านอย่างสบายใจ “ไม่มีสัญญาณของแทงโก้เลยนะคะ” เสียงหนึ่งที่เขาไม่ได้ยินมาสักพักแล้วดังขึนจากข้างกาย สายตาของอโลนละจากกล้องและมองไปยังเจ้าของเสียง สิบเอกเจมส์ มองดูหมู่บ้านด้วยสีหน้าสบายๆ “ผู้หมวดคิดว่าเราจำเป็นต้องจู่โจมทีนี่จริงๆหรอ”

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” อโลนพูดและส่งกล่องส่องทางไกลให้เจมส์ “เดี๋ยวฉันขอถามบก.ก่อนแล้วกัน” อโลนกดปุ่มพูดบนวิทยุและพูดด้วยเสียงเรียบๆ “นี่บราโว่ 3 ขออนุญาตอ้อมผ่านเมืองเพื่อหลีกเลียงการปะทะ เราตรวจพบเพียงประชาชน ย้ำ ตรวจพบเพียงประชาชน โปรดแนะนำ เปลี่ยน”

“บราโว่ 3 นี่บารโว่ 6 ส่งโอเวอร์ลอร์ดผ่านช่องทางการสื่อสารของคุณ”

“นี่โอเวอร์ลอร์ด พวกเราตรวจพบการซ่องสุมอาวุธในบริเวณศาลากลางเมือง คุณต้องทำการยึดที่นั่น จากนั้นไปทางตะวันออก นอกหมู่บ้านจะพบกับโรงเลื่อย หน่วยข่าวกรองรายงานมาว่ามีเอกสารสำคัญของทหารข้าศึกอยู่ในบ้านพักบริเวณโรงเลื่อย ยึดที่นั่นและนำเอกสารมาให้ได้ มีคำถามหรือไม่”

“ไม่ครับ”อโลนพูด “เป็นคำแนะนำ ยกระดับสถานที่จากหมู่บ้านเป็นเมือง เปลี่ยน”

“ทราบแล้ว บราโว่ 3 เรียกการยิงสนับสนุนได้หากจำเป็นต้องใช้ โอเวอร์ลอร์ด เลิกการติดต่อ”

“เอาล่ะรวม” อโลนเรียกลูกหมวดและเดินเข้าไปกลางวงของพวกเขา ที่ก็ต่างขยับเข้ามาใกล้ๆอโลน “เรามีภารกิจสองภารกิจที่นี่”เขาพูดและล้วงเอาคอมพิวเตอร์สนามออกมาจากในเสื้อเกราะ ปลดล๊อกหน้าจอ และขยายภาพบริเวณเมือง “ภารกิจแรก เราจะโจมตีศาลากลาง เพื่อค้นหาอาวุธที่ถูกซุกซ่อนไว้ หมู่หนึ่งและสองจะรับหน้าที่นั้น โดยมีทีมแพทย์ไปกับพวกนาย หาอาวุธ และหาทางนำออกมาที่โรงเลื่อย ระวังหอระฆังเอาไว้ ฉันมีลางสังหรไม่ค่อยจะดีเท่าไหร หมู่สามจะไปกับฉันโดยพวกเราจะนำสัมภาระทั้งหมดไปกับหมู่ที่สาม”สิ้นเสียงของเขาหมู่ที่สามก็โห่ออกมาเบาๆ “หมู่สามจะโจมตีโรงเลื่อยไม้หาเอกสารของข้าศึก จากนั้นจัดตั้นแนวป้องกัน สิบเอกเจมส์จะนำหมู่หนึ่งและสอง โจมตีเมื่อผมให้สัญญาณ ทีนี้ไปทำงานกันได้แล้ว”

“รับทราบ” ทุกคนรับพลางกระจายกันออกไป โดยที่หมู่สามเดินไปหยิบสัมภาระของทุกคนและเดินเลียบไปตามชายป่าอย่างรู้หน้าที่ อโลนหยิบสัมภาระและเดินตามพวกเขาไป เจมส์และหมู่อื่นๆกำลังล้อมวงกันเพื่อวางแผนการเข้าตีเมือง อโลนมองดูพวกเขาเล็กน้อยก่อนเดินไปตามชายป่าเพื่อทำการเข้าตีตามแผนการหลัก พวกเขาแบกเครื่องหลังอันหนักอึ้ง ผ่านป่าสนและไม้ยูคา เดินก้าวย่างไปบนพื้นดินแข็งๆ เหงือผุดออกมาจนท่วมเครื่องแบบของแต่ละคนจนชุ่ม อโลนวิ่งรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนไปถึงหน้าขบวน ทำสัญญาณมือให้ทุกคนหยุด เขาปลดสัมภาระลงวางไว้ที่พื้น ทหารคนอื่นๆในหมู่ก็ทำเช่นเดียวกัน อโลนก้มตัวต่ำพลางย่องไปตามแนวพุ่มไม้ คนงานประจำโรงเลื่อยกลุ่มหนึ่งกำลังตรงมายังพวกเขาพร้อมเลื่อยไฟฟ้า “นี่บราโว่ 3 ขอปืนใหญ่สนับสนุน ควัน พิกัดแผนที่268 -316” อโลนพูดกับวิทยุ และรอ เสียงกระสุนแหวกผ่านอากาศและตกลงบริเวณชายป่าที่ทหารที่เหลือของหมวดซุ่มนรอสัณญาณจากเขา

“เจมส์ ไป”อโลนสั่งทางวิทยุในขณะที่ควันกำลังกระจายไปรอบๆพื้นที่เปิดโล่งก่อนถึงตัวเมือง เหล่าคนงานดูเหมือนจะฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อโลนรีบฉวยมันไว้ทันที เขาออกจากที่กำบัง ประทับปืนไปทางเหล่าคนงานที่ห่างออกไป50เมตร “นี่บีเอพีเอ็มซี หยุดอยู่กับทีและหมอบลงกับพื้น” อโลนตะโกนพร้อมกับเดินไปข้างหน้าช้าๆ สายตายังคงเล็งผ่านศูนย์เล็งเหล็กของปืนเอเคของตน คนงานตอบสนองต่อคำสั่งของเขาอย่างว่านอนสอนง่าย “ทีมชาลี จับกุมพวกเขา ทีเหลือตามผมมา” เขาสั่งพร้อมออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ทหารเก้านายวิ่งตามเขามาในขณะที่อีกสี่คนกำลังเข้าจับกุมคนงานโรงเลื่อยไม้ ทั้งสิบวิ่งผ่านหมู่แมกไม้ต่างๆ ผ่านตั้นไม่ที่ถูกโค้น ฝ่านทางเกวียนสำหรับลากจูงท่อนซุง และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงโรงเลื่อยไม้ คนงานเกือบโหลกำลังทำงานกันอย่างขมักเขม่นโดยไม่สนจิตสนใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทางทิศใต้ของเมือง อโลนหมอบลงหลังพุ่มไม้ คนอื่นๆทำตามโดยทันที อโลนหันกลับมากวักมือเรียกนายหมู่ “นาย นำทีมแอลฟ่าเข้าโจมตีบ้านหลังนั้น” เขาพูดพลางชี้ไปทางบ้านพักคนงาน ผมจะนำบราโว่ไปเจาะตรงกลาง ไปได้” ทีมเอและหัวหน้าหมู่เปลียนอิริยาบทจากท่าหมอบเป็นท่าก้มตัวต่ำพลางค่อยๆคืบไปตามแนวต้นไม้ “บราโว่ ลุย”อโลนสั่งพร้อมคลานต่ำไปข้างหน้า เหล่าคนงานยังคงไม่รู้ตัวว่าอะไรกำลังคืบคลานเข้าไปหาพวกเขา รถหกล้อขนซุงคันใหญ่จอดเทียบกับตัวโรงเลื่อย คนงานหกคนกำลังทำการขนย้ายไม้ลงจากรถไปยังแทนวางไม้ขนาดใหญ่ คนงานอีกสามคนกำลังลำเลียงไม้เข้าทำการเลื่อยให้เป็นแผ่น โชคเข้าข้างอโลนอีกครั้งที่เสียงเครื่องเลื่อยไม้นั้นดังจนไม่มีคนงานคนใดได้ยินเสียงของลูกปืนใหญ่หรือเสียงของตะโกนของอโลน และแล้ว พวกเขาทั้งห้าคนก็เข้าถึงจุดที่เหมาะสมสำหรับการซุ่มโจมตี ไม่ว่าจะมีที่กำบังจากต้นไม่ที่ล้มลง หรือเป็นความต่างระดับของพื้นที่ที่อโลนอยู่สูงกว่า อีกทั้งเวลานี้ ทีมเอก็ได้เข้าใกล้ประตูหลังของบ้านพักคนงาน

“ลุย”อโลนพูดเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นนั่งประทับปืนเล็งไปยังคนงาน “นี่บีเอพีเอ็มซี นำมือวางไว้บนหัว และหมอบลงกับพื้น”เสียงของทีมเอพังประตูหลังของบ้านพักดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตะโกนของอโลน เครื่องยนต์หยุดทันทีที่ร่างของอโลนปรากฏ คนงานสองคนหันไปทางรถกระบะคันหนึ่งที่จอดเปิดกระดานท้ายไว้ ด้วยล้อที่ใหญ่และโครงรถที่ยกสูง อโลนรู้ได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่สำคัญ ปืนวินเชสเตอร์แบบคานเหวี่ยงสองกระบอกนอนทอดร่างบนกระดานท้าย แต่คนงานทั้งสองนั้นช้าเกินกว่าอโลนจะปล่อยให้ไปถึงรถได้ กระสุนปืนเล็กยาวสี่นัดติดๆพุ่งออกจาปากกระบอกปืนเอเอ็น-94ของอโลน กระสุนทั้งสี่กระทบพื้นดินแข็งๆพลางขุดเอาเศษหินดินทรายลอยขึ้นมาในอากาศ คนงานทั้งสองชะงักทันทีและยกมือท้งสองขึ้นเหนือศรีษะด้วยความกลัวตาย “หมอบ หมอบ หมอบ” หัวหน้าทีมเอตะโกนลั่นขณะที่ออกมาจากประตูหน้าของบ้านพักคนงาน คนงานโรงเลื่อยหมอบลงกับพื้นและเอามือวางไว้บนหัว อโลนและทีมบีออกจากที่กำบัง เดินลงไปตาเนินดิน จนถึงพื้นที่ลานจอดรถซึ่งทีมเอกำลังทำการใช้กุญแจมือพลาสติกพันธนาการเหล่าคนงาน “บราโว่เอารถกระบะไปรับชาลี และนำตัวพีโอดับบิวมาที่นี่”

“รับทราบครับ” หัวหน้าทีมรับและวิ่งไปยังรถ

“จัดการกับวินเชสเตอร์ด้วย” ทีมบีกระโจนขึ้นขึ้นบนรถกระบะโดยที่ทหารสามคนอยู่บนกระบะ และหนึ่งคนเป็นคนขับรถเคลื่อนตัวออกไปตามทางเกวียนอย่างรวดเร็วมในขณะที่ทหารบนกระบะกำลังเหวียงคานของปืนให้กระสุนที่ค้างอยู่ภายในนั้นออกมาจนหมด อโลนเดินตรงไปยังบ้านพัก “นี่บราโว่-6 ถึงทุกบราโว่ ผมต้องการรายงาน” เขาก้าวผ่านประตูในพร้อมกับเสียงวิทยุ “นี่บราโว่-1 เรายังไม่พบหมู่บ้านเป้าหมายเปลี่ยน” อโลนเดินไปตามห้องต่างๆในขณะที่บราโว่-6กำลังแนะนำบราโว่-1 อโลนเปิดดูลิ้นชัก ตู้ล๊อกเกอร์ แต่ก็ยังไม่พบอะไร เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสองในขณะที่อเล็กซ์กำลังรายงานสถาณการณ์การเข้ายึดหมู่บ้านอีกแห่ง ซึ่งอโลนก็คาดว่าอาจะเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอๆกับเมืองที่กำลังทำการยึดอยู่นี้ อโลนขึ้นไปบนชั้นสองในขณะที่บราโว่-6กำลังกล่าวชมอเล็กซ์ด้วยถ้อยคำที่ฟังดูประชดประชันหมวดหนึ่งซึ่งอโลนคิดว่าน่าจะกำลังหลงทาง อโลนสำรวจห้องต่างๆจนเกือบครบในขณะที่เหลืออยู่เพียงห้องเดียว อโลนเดินเข้าไปในห้องที่มืดสลัว เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอะไรแปลกๆในห้องนี้

เขาเปิดไฟฉายและสาดส่องไปรอบๆห้อง โต๊ะไม้ฝุ่นเครอะตัวหนึ่งตั้งอยู่ที่ในสุดของห้อง ซองเอกสารสีน้ำตาลวางอยู่บนนั้น อโลนเห็นได้ถึงความผิดปรกติ แม้บนโต๊ะจะมีฝุ่นอยู่มากมายแต่ว่าบนซองเอกสารนั้นกลับแทบไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย อโลนยิ้มอย่างผู้มีชัยเขามั่นใจว่านั่นคือเอกสารสำคัญที่เขาต้องทำการค้นหา อโลนก้าวไปข้างหน้าแต่บางอย่างทำให้เขารู้สึกแปลก บางอย่างบริเวณหางตาของเขา เขากระโดดม้วนตัวไปข้างหน้าเขาหันกลับมาและเล็งปืนไปยังวัตถุนั้น เอ็นใสๆเส่นหนึ่งโยงจากผนังห้องอีกฝั่งไปยังระเบิดมือมาร์ค ทู ไพน์แอปเปิลสนิมเครอะ อโลนลุกขึ้น และเดินไปยังระเบิดมือที่ถูดดัดแปลงเป็นกับระเบิดเพื่อตัดสายเอ็น พลางคิดเล่นๆว่าหากเขาโดนสะเก็ดมันเข้าแล้วเขาไม่ตายทันที ก็คงตายเพราบาดทะยัคเป็นแน่แท้ หลังจากเสร็จกิจกับระเบิดอโลนก็ตรงไปยังโต๊ะในขณะที่เสียงการขอความช่วยเหลือของบราโว่-1ดังจากวิทยุแบบไม่เปิดช่องว่างให้เขารายงานสถาณการณ์เลยแม้แต่น้อย อโลนหยิบซองเอกสารขึ้นจากโต๊ะ ปัดฝุ่นมันเล็กน้อยกอ่นที่จะเปิดดูข้างใน ‘ขอแสดงความยินดีด้วย คุณพบกับเอกสารสำคัญของศัตรู คือแผนการการลอบโจมตีกองกำลังที่กำลังเดินทางไปสู่เวเดฟและแผนการป้องกัน ส่งต่อให้โอเวอร์ลอร์ด’ อโลนอ่านตัวอักษรบนกระดาษในขณะที่เดินออกจากห้อง เสียงของบราโว่-6ด่าทอบราโว่-1ดังมากจนเขารำคาร เขาเดินออกจากบ้านพัก “จัดแนวป้องกัน”อโลนสั่งหมู่หนึ่งในขณะที่ทีมบีและซีเพิ่งขนของลงจากรถบรรทุกเสร็จ

“ท่านครับ” ผบ.หมู่รบพูดขณะเดินมาหาเขา “สิบเอกเจมส์รายงานว่าสามารถยึดศาลากลางเมืองและพบอาวุธทั้งหมดแล้วครับ”

“ดีมาก” อโลนพูด “ปล่อยคนงาน บอกพวกเขานำไม้ลงจากรถบรรทุกแล้วก็ไปพักได้ โรงเลื่อยหยุดงานหนึ่งวัน” เขาพูดในขณะที่ยัดเอกสารใส่ซองและกดปุ่มพูดบนวิทยุ “นี่บราโว่-3 ภารกิจทั้งหมดเสร็จสิ้น”

“หา อะไรนะ” เสียงจากวิทยุตอบมาฟังดูตกอกตกใจไม่ใช่น้อย

“เราสำเร็จภารกิจทั้งหมดแล้ว เปลี่ยน”

“อ่า... ส่งโวเวอร์ลอร์ด ผ่านอุปกรณ์สื่อสารของคุณ”

“นี่โอเวอร์ลอร์ด ยินดีด้วย คุณเป็นหมวดที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดในวันนี้เปลี่ยน”

“รับทราบ ขออนุญาตถอนกำลังออกจากเมืองพร้อมอาวุธข้าศึก และตั้งมั่นที่โรงเลื่อยเปลี่ยน”

“อนุญาต เลิกการติดต่อ” ช่วงที่เหลือของวันคนทังหมวดทำงานอย่างหนักเพื่อสร่างแนวป้องกันจากสิ่งที่หาได้ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นท่อนซุง ไปจนถึงการขุดหลุมบุคคลเพื่อทำการตั้งรับในค่ำคืนที่แสนยาวนาน

บทที่3: นักล่าจอมเวทย์ และ การฝึกอันทารุณ จบ

Jomzababin
23rd November 2011, 22:26
หายเลยอ่ะ...รออยู่น่ะค่าบ...สงสัยจะเลิกแต่งไปแล้ว...TT

LoveSeeker
25th November 2011, 16:30
ยังไม่ตาย แค่อยู่ในโหมด "ลงรูอ่านหนังสือสอบ"

Rex
25th November 2011, 17:06
สอบเข้า มหาลัย ปะครับ น้องผมก็พึ่ง เฮ กันไปสอบติด มศว :cool:

LoveSeeker
25th November 2011, 17:35
ครับ แต่ผมคิดว่าผมน่าจะไม่ติด สถานะปัจจุบัน: ล่องลอย

LoveSeeker
29th November 2011, 08:02
บทที่4: พ่อ

เจมส์เดินไปตามแนวหลุมบุคคลที่เพิ่งถูกขุดขึ้นโดยทหารหมู่1และ2 ขณะที่แสงตะวันกำลังคล้อยลงต่ำ เธอนั่งคุกเขาลงข้างหลุม สอบถามคำถามต่างๆและนำคำตอบมาประเมินสภาพจิตใจ ก่อนจะไปยังหลุมถัดไป และทำเช่นเดิม งานการประเมินจิตใจเป็นงานที่กองทหารรับจ้างให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเหล่าผู้นำระดับสูงต้องการมั่นใจว่าทหารทุกนายพร้อมรบ อันที่จริงแล้วงานนี้เป็นของหัวหน้าหมวดอย่างอโลน แต่ทว่าเจมส์รู้สึกได้ว่าวั้นนี้เขาทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งแนวป้องกัน การพูดคุยกับตำรวจและพนักงานปกครองประจำเมือง ไปจนถึงการพาหมู่สามไปลาดตระเวณในตัวเมือง วันนี้ทั้งวันหมู่สามและอโลนทำงานกันหนักมาก เจมส์และทหารในหมวดจึงลงความเห็นกันว่าพวกเขาสมควรได้พัก

“เป็นไงบ้างสหายเรวานอฟ”เธอเอ่ยถามผบ.หมู่สองอย่างสนิดสนมและนั่งบนขอบหลุมบุคคล

“ดี” เขาตอบสั้นๆ “จะดีกว่าถ้ามีอะไรให้ยิง” เขาละมือจาการขุดหลุมบุคคล โยนพลั่วของเขาลงบนพื้นหลุม และตะเกียดตะกายขึ้นมานั่งข้างเจมส์ เขาเช็ดมือที่เปื้อนดินกับเสื้อของตนก่อนจะล้วงเข้าไปหยิบกล่องบุหรี่ในกระเป๋าแจ็คเก็ตของเขา “ทำใจได้แล้วหรอ” เขาถามพลางส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้เจมส์ และส่งอีกมวนให้ทหารร่วมหลุม

“ยัง”เธอตอบก่อนที่จะคาบบุหรี่และจุดไฟจากไฟแช็กของเรวานอฟ “ยังฝังใจเหมือนเดิม” เธอดูดมันเข้าไปเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพ่นออกมาช้าๆ

“ให้ฉันเอาท้ายปืนทุบหัวมั้ย เผื่อแกจะลืม” เรวานอฟพูดทีจริงทีเล่น แต่คำตอบของเจมส์กลับเป็นการพ่นควันบุหรี่กลุ่มใหญ่ใส่หน้าเขา “ไม่ต้องตอบแบบนี้ก็ได้” เขาพูดพร้อมยิ้ม

“นี่ฉันมาประเมินแก รึว่าฉันถูกแกประเมินแน่วะเนี่ย” เจมส์พูด ทำเอาเรวานอฟขำกับมุขตลกร้ายของเธอ

“ฉันปรกติดี ไม่ต้องประเมินฉันหรอก”

“ก็ได้” เจมส์ตัดบทพลางลุกขึ้น “ขอตัวนะ” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มเจือๆและเดินหันหลังกลับเพื่อตรงไปยังบ้านพักคนงานที่อโลนและหมวดสามพักผ่อนอยู่

“ไหนบอกขอตัวไง เอาหัวไว้นี่สิ”เรวานอฟยิงมุขกวนๆก่อนจะกระโดนลงไปในหลุม

“คืนนี้แกอย่าหลับนะโว้ย แกหลับเมื่อไหรฉันจะฝังแกไว้ในหลุมเลย” เจมส์ตะโกนกลับไปพร้อมเดินจ้ำอ้าวไปยังบ้านพัก เธอเปิดประตูบ้านพร้อมเขาไปภายใน ทหารหมวดสามนั่งๆนอนทอดกายไปตามทางเดิน บ้างก็หลับ บ้างก็กำลังคุยกันสนุกสนาน ทหารสองคนนั่งบนทางเดิน ทั้งสองกำลังพยายามจุดบุหรี่จากไฟแช็กที่จุดไฟเท่าไหรก็ไม่ติด เจมส์ตรงไปที่ทั้งสอง เธอนั่งคุกเข่าลง ทั้งสองนำปลายบุหรี่ของพวกเขาเข้ามาจี้กับของเจมส์ เจมส์ดูดบุหรี่ของเธอเล็กน้อยจนไฟติดที่ปลายบุ่หรี่ของทั้งสอง

“ขอบคุณครับจ่า” คนหนึ่งพูด

“ไม่เป็นไร” เธอตอบ “เจมส์ นายรู้ไหม ผู้หมวดอยู่ไหน” เธอถามสิบโท อเล็กซ์ เจมส์ คาวาโย สิบโทร่างผอมบางส่วนสูงปานกลาง ผู้มีจิตใจเร่าร้อนดั่งไฟนรก สิบโทผู้นี้เป็นทหารที่เก่งในการเข้าตี เนื่อด้วยความใจร้อนมุทะลุของเขา อีกทั้งยังมีความสามารถสูงในเรื่องของการต่อสู้ระยะประชิดที่แม้จ่าครูฝึกหลายคนยังยอมสยบ มีเพียงจ่ามูดดี้เท่านั้นที่ยังคงสามารถจัดการกับเขาได้

“รู้สิเจมส์” เขาตอบเจมส์ “อยู่ในห้องกับ”เขาเว้นช่วงเล็กน้อย “มิโกะ” เสียงร้องของมิโกะดังลั่นขึ้นมาทันทีเมื่อสิ้นเสียงของเจมส์

“เบาๆสิยะ” มิโกะพูดเสียงดัง

“ทำยังกับไม่เคยโดนงั้นแหละ” เสียงของอโลนดังออกมาจากประตูห้อง ซึ่งทหารทุกนายที่อยู่ตามทางเดินได้แต่จินตนาการว่าทั้งสองกำลังทำอะไรกันในห้องนั้น

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่หว่า”

“ฝากนี่ให้เขาด้วย” เจมส์ ทิฟฟานนี่พูดพร้อมยัดแผ่นคลิปบอร์ดใส่มือของสิบโทหนุ่ม เธอลุกขึ้นและเดินออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว สองสหายมองตามหลังของเจมส์ไป ก่อนที่เสียงร้องครวณครางระรอกสองจะออกมาจากห้อง

“นายว่าผู้หมวดกับพยาบาลสาวทำอะไรกัน” เจมส์หันไปถามสหายร่วมทีมของเขา

“ฉันไม่รู้สิ” เพื่อนร่างเล็กตอบพลางดูดเอาควันบุหรี่เข้าไปเต็มปอด และพ่นออกมาอย่างช้าๆพอๆกับตอนที่เขาดูดมันเข้าไป

“ฉันว่าทั้งสองคนกำลังผลิตทายาทกันแน่เลยว่ะ” เขาพูดในขณะที่เสียงของมิโกะยังตังออกมาอย่างต่อเนื่อง “พนันร้อยเอาแค่สิบ เล่นปะ”

“รูเบิลรึดอลลาร์” เขาหันมาถามด้วยสีหน้าเหนื่อยๆ

“ดอลลาร์” เจมส์พูดและดูดบุหรี่ของตนเองบ้าง

“ฉันพนันว่าพวกเขาไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากัน ยี่สิบเหรียญ ถ้าฉันชนะ นายให้ฉันสองร้อย”

“ตกลง” เขาพูดพลางจับมือกัน

“เรียบร้อย ออกมาแล้ว”เสียงของอโลนดังออกมาจากในห้อง

“นายพร้อมจ่ายรึยังเพื่อน” เจมส์พูดอย่างมั่นใจ เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกำลังตรงมาที่ประตู อโลนเปิดประตูออกมา เขายืนที่ระเบียง และตกเป็นเป้าสายตาของทหารทุกคนโดยทันที อโลนดึงผ้าสีน้ำตาลออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนนำมาเช็ดมือที่เปรอะไปด้วยเมือกบางอย่าง “นายเสียตังค์แล้ว” เจมส์พูดอย่างมีชัย

“อย่ารีบร้อน” เขาพูดต่อด้วยเสียงเรียบๆ มิโกะเดินออกมาจากห้องช้าๆ มือข้างหนึ่งจับทีแก้มของตน “ฉันบอกว่าให้เบาๆมือไง” เธอพูดพลางตบแขนอโลนอย่างแรงจนร่างของอโลนส่ายไปตามแรง “นี่ฟันน้ำนมซี่สุดท้ายของฉันนะ” เธอพูดและเดินไปตามทางเดิน ก่อนจะแตะทหารโชคร้ายคนหนึ่งที่ขาอย่างแรง “ขวางทางโว้ย” เธอตะโกน ทหารคนนั้นชักดินชักงอด้วยความเจ็บปวดก่อนจะบ่นอะไรบางอย่างออกมา

“โชคร้ายนะทหาร”อโลนพูดก่อนจะใช้ผ้าสีน้ำตาลห่อฟันของมิโกะและเดินมายังพวกของเจมส์

“เมื่อตะกี้ ผู้หมวดถอนฟันให้มิโกะรึครับ” เจมส์ถามเสียงอ่อยในขณะที่อโลนกำลังเดินผ่านหน้าเขา “แน่นอน” เขาตอบมาทำเอาเจมส์กระแทกท้ายทอยตัวเองกับผนัง อโลนเดินออกจากบ้านไปโดยไม่สนใจอะไร

“สองร้อย” สหายของเจมส์พูดอย่างมีชัยเมื่อมั่นใจว่าอโลนไปพ้นจากสายตาแล้ว เจมส์ล้วงเอาแบงค์ร้อยออกจากกระเป๋า ส่งสองแบงค์ให้เพื่อนของเขา และเก็บอีกแบงค์ที่เหลือไว้ที่เดิม “เหมือนช่วงนี้นายต้องรัดเข็มขัดแล้วมั้ง” สหายพูดก่อนลุกขึ้นและเดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้เจมส์นั่งอารมณ์เสียที่เงินสองร้อยเหรียญอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา เขาก้มลงมองพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อนแต่ทว่าบางอย่างบนพื้นนั้นทำให้เขาหายเหนื่องเป็นปลิดทิ้ง แผ่นคลิปบอร์ดที่ผบ.หมู่1ฝากไปให้อโลน เขาฉวยมันขึ้นจากพื้น และตะเกียดตะกายไปยังประตู เขาเสียการทรงตัวเล็กน้อยในระหว่าที่กำลังพยายามเหยียดตัวยืนและวิ่งไปพร้อมกัน แต่ในที่สุดเขาก็สามรถทรงตัวได้และวิ่งไปภายนอกเพื่อหาตัวอโลน

เจมส์เดินไปตามชายป่าด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เสียงของมิโกะยังคงก้องอยู่ในหัว และย้ำเตือนว่าเธอเป็นผู้แพ้ในศึกชิงพระครั้งนี้ หรือเธออาจไม่มีโอกาศได้สู้เลยด้วยซ้ำ เธอทิ้งตัวลงใกล้กับต้นไม่ต้นหนึ่ง กระแทกแผ่นหลังของเธอกับต้นไม่ต้นนั้นเพื่อระบายความโศกเศร้า เธอปลดสายรัดคางของหมวกกันกระสุนออก และเขวี่ยงมันลงสู่พื้นโดยไม่สนใจว่าหมวกของเธอนั้นจะไปโดนอะไรหรือใครเข้า เธอปลดยางรัดผมของเธอ เส้นผมร่วงหล่นตามแรงดึงดูด ในเวลานี้เธอรู้สึกหมดหวัง ปวดร้าว และเดียวดาย เธอกอดปืนไรเฟิล จี36ของเธอแน่น โดยหวังว่ามันอาจจะช่วงให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ไม่เลย ปืนแข็งทื่อไร้ความรู้สึก มันจะเข้าใจสิ่งที่เจ้าของมันต้องการได้อย่างไรกัน น้ำตารินไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันไกลลงอาบแก้มของเธอช้าๆ ก่อนจะร่วงลงสู้พื้นดิน เธอรู้สึกบางอย่าง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้รู้สึกจากภายใน แต่เป็นภายนอก จากบนหัวของเธอ หมวกกันกระสุนถูกกดลงบนหัวของเธอ แต่มันไม่ได้รุนแรงอะไร เหมือนกับว่าใครก็ตามที่กดมันลงมามีจุดประสงค์เพียงเพื่อจะหยอกล้อเธอเท่านั้นเอง เธอหันขึ้นไปมองดูคนที่แกล้งเธอได้ในเวลาเช่นนี้ ความโกรธอึดอยู่ภายในกำลังพร้อมที่จะระเบิดออกมา แต่อารมณ์เธอก็เย็นลงเมื่อเห็นใบหน้าของเรวานอฟ ที่ส่งยิ้มเจือๆมาให้เธอ

“เวลาแบบนี้ไม่เหมาะนะที่จะอยู่คนเดียว” เขาพูดและนั่งลงข้างเจมส์ ในมือของเขาถือกีตาร์ที่ดูเก่าๆตัวหนึ่ง เขาวางมันพาดบนตักในขณะที่เจมส์กำลังเช็ดน้ำตาของเธอ “อยากฟังเพลงอะไรล่ะ”

“ตามใจนาย”เธอพูดเสียงเครือๆ แขนทั้งสองยังคงกอดไรเฟิลไว้แน่น เรวานอฟยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะกรีดสายกีตาร์ และดีดมันเป็นทำนอง ก่อนที่เขาจะร้องออกมาเป็นเพลง แต่ทว่าเจมส์ใช้มือทาบสายกีตาร์อย่างรวดเร็วตั้งแต่เพลงท่อนแรกยังไม่จบ ไม่ใชเป็นเพราะเขาร้องเพลงไม่เพราะ แต่เป็นเพราะภาษาของเพลงนั้นเป็นภาษารัสเซีย

“ขอเป็นภาษาอังกฤษได้รึเปล่า” เธอพูด น้ำเสียงของเธอฟังดูจะดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้พอสมควร “ฉันอยากฟัง”เธอเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดชื่อเพลง “Tomorrow”

“เล่นได้ แต่เธอร้อง” เรวานอฟพูดพลางชี้ไปทางเจมส์

“นี่อโลน ถึงทุกบราโว่-3 ตำรวจท้องที่รายงานว่ามีรถขนยาเสพย์ติด กำลังออกจากเมือง โดยใช้ถนนด้านทิศใต้ ห้ามจู่โจมย้ำ ห้ามจู่โจม” เสียงประกาศสองคำสุดท้ายทำเอาถึงกับสงสัย ว่าทำไมถึงห้ามจู่โจม ทั้งๆที่พวกเธอน่าจะโจมตีพวกนั้นได้

“กฏการโจมตีสินะ”เรวานอฟพูดพลางลุกขึ้นยืน และมองไปยังถนนทางใต้ ซึ่งหากจากพวกเขาเพียงแค่ครึ่งกิโลเมตร รถกระบะคันหนึ่งขับด้วยความเร็วสูง และถูกไล่ตามด้วยรถตำรวจสองคัน เสียงปืนดังขึ้นมาเป็นชุดๆ จนในที่สุดรถกระบะคั้นนั้นก็ถูกยิงที่ยางเข้าอย่างจัง รถปัดเล็กน้อยก่อนที่จะจอดแน่นิ่งขวางถนน ชายสี่คนกระโจนลงจากรถ วิ่งเข้าหาทีกำบังก่อนจะกราดกระสุนปืนไปยังเหล่ารถตำรวจ เหล่าตำรวจทั้งสี่นายจอดรถและลงมาหาทีกำบัง บ้างก็ใช้รถของตนเป็นที่กำบัง บ้างก็ใช้ทางระบายน้ำ พวกค้ายาทั้งสี่คนงัดเอาวาวุธหนักตั้งแต่ปืนกลมือไปจนถึงปืนไรเฟิลออกมากระหน่ำใส่ตำรวจ

“ผู้หมวด นี่เจมส์ ขออณุญาตโจมตีผู้ค้ายาเสพย์ติด เปลี่ยน”เธอพูดกับวิทยุ และหมอบราบลงกับพื้น เล็งปืนไปยังจุดปะทะ เรวานอฟที่ไม่ได้นำไรเฟิลมาก็ล้วงเอากล้องส่องทางไกลออกมา และหมอบลงข้างๆเธอ

“คุณถูกโจมตีรึเปล่า” อโลนถามกลับมา แต่เสียงที่ถามกับไม่ใช่เสียงจากวิทยุ เจมส์และเรวานอฟหันไปมองต้นเสียง อโลนพร้อมปืนประจำกายวิ่งด้วยท่าทางเร่งรีบมาทางพวกเขาทั้งสอง “ปืนนายไปไหนวะรอฟ” อโลนถามเรวานอฟซึ่งเกาก็ได้รับคำตอบเป็นการยักไหล

“ไม่ค่ะ”เจมส์ตอบ

“งั้นเรายิงไม่ได้” อโลนพูดพลางใช้กล่องส่องทางไกลที่เรวานอฟส่งให้มองไปยังจุดปะทะ ตำรวจถูกยิงกดดันจนโงหัวไม่ขึ้น

“ท่านค่ะ เราปล่อยให้พวกนั้นตายไม่ได้เหมือนกัน”เธอพูดก่อนจะกลับไปง่วนกับการเล็งของเธอ

“ยิงกระต่าย” เรวานอฟพูดพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ

“ใช่ยิงกระต่าย” อโลนพูดและหมอบลงข้างเรวานอฟ ส่งกล้องสิ่งทางไกลให้เขา และเล็งปืนไปยังจุดประทะ “นี่บราโว่-3 ถึง บราโว่-6 เราพบกระต่ายตัวใหญ่จำนวนหนึ่ง ขออณุญาตล่า”

“ทราบแล้วบราโว่-3 ยิงเมื่อพร้อม” ทันทีที่ได้ยินการตอบกลับ อโลนและเรวานอฟหัวเราะแห้งๆออกมาเกือบจะพร้อมกัน อโลนปรดห้ามไกและเปลี่ยนเป็นระบบยิงชุด “ระยะประมาณ ห้าร้อยเมตร นายว่านายจะยิงโดนรึไง” รอฟพูดในขณะที่อโลนกำลังปรับกล้องช่วยเล็งแบบสะท้อนภาพของเขา

“ทุกท่าน ยิงเมื่อพร้อม” เจมส์เหนี่ยวไกทันทีที่ได้ยิน กระสุนพุ่งออกจากลำกล้องและตกห่างจากเป้าที่เธอเล็งเอาไว้ประมาณเมตร “หนึ่งเมตร”เรวานอฟพูด “เล็งสูงหน่อยสาวน้อย” อโลนเหนี่ยวไกปืนของตนบ้าง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเจมส์ กระสุนสองนัดเข้าเป้าบริเวณอกและศรีษะของโจรคนหนึ่งอย่างแม่นยำราวจับวาง “โดน” เรวานอฟพูด อโลนเหนี่ยวไกอีกครั้ง กระสุนหนึ่งในสองนัดพุ่งพลาดเป้าเฉียดหัวของเป้าหมายไปเล็กน้อย แต่กระสุนอีกนัดยังคงเข้าไปที่กลางอก “โดน” อโลนเลียริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะเหนี่ยวไกครั้งที่สาม ครั้งนี้คล้ายกันกับครั้งที่สอง คือมีกระสุนนัดหนึ่งพลาดเป้าแต่อีกนัดยังคงเข้าเป้าหมาย “โดน” เรวานอฟพูด “เป็นไปไม่ได้”

“สิ่งที่นายเคยรู้น่ะ อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้หรอกนะ” อโลนพูดและเหนี่ยวไกอีกครั้ง มาตรฐานการยิงปืนของเขานั้นไม่เปลี่ยนแปลง กระสุนหนึ่งในสองนัดยังคงเข้าที่กลางอกโจรโชคร้าย ถึงแม้พลังานในกระสุนอาจไม่พอที่จะจัดการเป้าหมายให้ตายคาทีได้ แต่ทุกคนที่ถูกอโลนยิงแน่นิ่งจนไม่อาจต่อสู้ขัดขืนได้ “เรียบร้อย”อโลนพูดและลุกขึ้นยืน

“นายทำได้ไงวะ” เรวานอฟถามพร้อมมองหน้าอโลนที่กำลังยิ้มแบบสบายๆ “ฉันรู้นะว่านายยิงแม่น แต่นี่มัน” เขาพูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็น แน่นอน กระสุนขนาด5.45*39 มีแรงมากกว่า5.56*45 แต่ระยะนี้ ไม่น่าใช่ระยะที่ปืนใดๆจะยิงได้แม่นยำขนาดนั้น อีกทั้งพลังงานที่ส่งไปอาจไม่พอจัดการเป้าหมายเสียด้วยซ้ำ อโลนไม่ตอบอะไรเขาเพียงแต่ใช้เท้าเคาะบริเวณที่ปลอกกระสุนทั้งแปดนัดตกอยู่ เมื่อเรวานอฟเห็นปลอกกระสุนเหล่านั้นก็เข้าใจได้โดยทันที มันไม่ใช่ปลอกของ 5.45 ถึงแม้จะคล้ายกับ5.56มากแต่มันก็ไม่ใช่ มันคือปลอกกระสุนของ 6.8*43มม. “นายมันบ้า” เรวานอฟพูด เขารู้แล้วว่าทำไมตลอดเวลากระสุนปืนของอโลนจึงมีแรงจัดการกับเป้าหมายมากกว่ากระสุนปืนกระบอกอื่นๆ “นายดัดแปลงปืนหรอ”

“ของขวัญวันเกิดจากพี่อดัม” อโลนตอบข้อสงสัย “เปลี่ยนลำกล้อง ทำแม็กกาซีน ปรับอะไรบางอย่างในปืน”อโลนอธิบายและห้ามไกปืน “ลำกล้องยังถอยหลังได้ แล้วก็ยิงชุดสองนัดได้เหมือนเดิม เป็นปืนที่สุดยอดเลยใช่รึเปล่า”

“ใช่เลย” เรวานอฟตอบ “นายมันบ้า” อโลนยืนมือให้เรวานอฟเพื่อฉุดตัวเองขึ้นมายืน “เป็นเพื่อนกับคนบ้าต้องทำใจ”อโลนพูดพร้อมล้วงเข้าไปข้างในเสื้อกันกระสุนของเรวานอฟ และหยิบเอาขวดบางอย่างออกมา “ขอเอาไปเป็นสินบนนะ” อโลนพูดและเก็บขวดนั้นใสในเสื้อเกราะของตน

“ตามสบาย” รอฟพูดสีหน้าหมดอาลัยเล็กน้อยหลังจากที่ถูกอโลนยึดวอดก้าขวดกั๊กไปทั้งขวด “ฉันมีอีกเยอะ” อโลนยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินจากไป “อย่าเอาไปมอมใครเข้าล่ะ”เรวานอฟตะโกนไล่หลัง

“ไม่รับปากว่ะ”

ช่วงที่เหลือขอองวันอโลนหมดเวลาไปกับการขุดหลุมของตน โดยมีเหล่าลูกหมวดมาหน้าหลายตามาช่วยขุดจนกระทั้งหลุ่มของเขานั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะนอนกันได้ถึงสี่คน และลึกขนาดที่ว่าขณะเรวานอฟซึ่งสูงที่สุดในหมวดยืนตัวตรง ก็ยังเห็นเพียงแค่หน้าผาก ตะวันคล้อยต่ำลงช้าๆ หมู่1และหมู่2เข้าประจำหลุมของตนในขณะที่หมู่3ประจำที่บ้านพักคนงาน อโลนนอนทอดกายในหลุมของตน มือกำลังสัมผัสกับจอของคอมพิวเตอร์สนาม เพื่อทำการกำหนดเส่นทางเดิน หมวกกันกระสุนวางอยู่ข้างกาย หัวของเขาหนุนอยู่บนเครื่องหลัง ถึงแม้มันจะไม่ได้อ่อนนุ่มเหมือนหมอน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้หนุน กองไฟกองเล็กๆกองหนึ่งถูกก่อขึ้นในหลุมใกล้ๆกับเขา นอกจากมันจะให้ความอบอุ่นในคืนที่มืดมิดเช่นนี้แล้ว มันยังช่วงเขาประกอบอาหารได้อีกด้วย กล่องใส่อาหารโลหะถูกแขวนไว้เหนือไฟ สิ่งที่อยู่ภายในกำลังเดือดพล่านและส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลลอยไปกับลม เวลาผ่านไป อโลนทำงานของเขาภายใต้ความเงียบสงัดและกลิ่นหอมของของหวานที่เขาปรุงขึ้น คืนนี้ยังไม่มีใครแวะเวียนมาหาเขาเลย อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้า หรือเป็นเพราะต้องอยู่ประจำหลุมก็ไม่อาจรู้ได้ “หวัดดี” เสียงใสๆเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ปากหลุม แน่นอนไม่ต้องหันไปมองอโลนก็รู้ว่านั่นคือเสียงของมิโกะ เธอปล่อยผมให้ยาวสยายไปตามตัว อีกทั้งยังห่อตัวเองด้วยผ้าห่มผืนบางๆที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน “ทำอะไรอยู่”

“วางแผนการเดินทาง” อโลนตอนในขณะที่มิโกะกระโดดลงมาในหลุม “แล้วทำไมไม่หลับไม่นอน” เขาถามพร้อมกดหัวข้อ ‘ส่ง’ บนหน้าจอ

“นายทำอะไรกินล่ะเนี่ย” เธอถามโดยไม่สนใจเลยว่าอโลนเพิ่งยิงคำถามใส่เธอ เธอนั่งคุกเข่าและก้มลงสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด “หอมจัง” อโลนลุกขึ้นนั่งวางคอมพิวเตอร์สนามลงและขยับเข้ามาใกล้มิโกะ เขาหยิบฝากล่องใส่อาหารขึ้นมาและเทของเหลวข้นๆจากในกล่องใส่บนนั้น

“ฉันจำไม่ได้ว่ามันเรียกอะไร แต่มันเอา ผัก เนื้อ เครื่องเทศมาต้มจนเละ” อโลนพูดและส่งให้มิโกะ “ของโปรดพี่เกอร์ริ่ง” เขาล้วงเอาช้อนจากกระเป๋าเล็กๆบนเครื่องหลังออกมาให้เธอ อโลนสะดุดตากับบางอย่างที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าของมิโกะ บางอย่างไม่เหมือนทุกวัน “เธอใส่แว่นหรอ” เขาถามในขณะที่มิโกะกำลังเขี่ยอาหารที่เธอเพิ่งเคยรู้จัก

“ใช่”เธอตอบและตักอาหารนิรนามขึ้นมาคำเล็กๆ “ฉันลืมคอนแทรกเลนส์ แต่มันกินได้แน่หรอ” อโลนไม่ตอบคำถามหากแต่อ้าปากเหมือนกับจะท้าให้ลองป้อนเขา มิโกะจัดการสนองเขาทันที อโลนงับช้อนและยิ้ม มิโกะดึงช้อนออกจากปากเขาและเริ่มตักใส่ปากของตนเองบ้าง “ก็อร่อยดีนะ” เธอพูด “พี่ๆนายชอบกินหรอ”

“อื้ม”

“นี่โอเวอร์ลอร์ด”เสียงจากวิทยุดังขึ้น “ถึงบราโว่ 3 ใช้ช่องสัญญาณที่ 13”สิ้งเสียงวิทยุ อโลนหมุนปรับช่องสัญญาณอย่างรวดเร็วและกดปุ่มพูด

“นี่บราโว่ 3 ว่ามาเลย โอเวอร์ลอร์ด”

“บราโว่ 3 คุณถูกยกระดับเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ให้ปฏิบัติการตามแผนที่ผมกำลังส่งไป”เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์สนาม “คุณติดต่อกับเราได้โดยตรงผ่านช่องสัญญาณนี้ รายงานกลับมาทุกวันในเวลาพันแปดร้อยนาฬิกา เลิกการติดต่อ” อโลนหยิบเอาคอมพิวเตอร์สนามขึ้นมาและเปิดดูแผนที่ใหม่ซึ่งเพิ่งถูกส่งเข้ามา

“แผนอะไรหรอก” มิโกะถามพร้อมขยับเข้าใกล้เขา

“เดี๋ยวบอกพรุ้งนี้เช้า” เขาพูดและวางมันลงบนเครื่องหลัง “แล้วเอาผ้ามาห่มนี่หนาวนักหรอ”

“อื้อ”เธอคราง และขยับเข้าหากองไฟ อโลนขยับเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว “อะไรเนี่ย”เธอพูดในขณะที่บ่าของทั้งคู่สัมผัสกันและกัน “แค่ไฟก็พอแล้ว”

“ไม่หรอก” อโลนโอบไหลของเธอช้าๆ “อย่าตีศอกนะ” เขาพูดและลูบแขนเธอเบาๆ

“งั้น วันนี้ให้วันนึงแล้วกัน”เธอพูดและซบลงบนแขนของอโลนก่อนที่ทั้งคู่จะทิ้งน้ำหนักลงบนผนังหลุม “ฉันกลัวอะ” เธอพูดเบาๆ เหมือนพูดอยู่ในลำคอ แต่อโลนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน “กลัวว่าวันหนึ่งฉันต้องหันปืนเข้าหาคนอื่น”น้ำตาเธอเริ่มคลอ “แล้วกลัวว่าต้องฆ่าคน” น้ำตารินไหลออกมา “กลัวว่าต้องฆ่าคนที่ฉันไม่รู้จัก ไม่เคยเคียดแค้นอะไรกัน ฉันกลัว” เธอปล่อยโหออกมาในขณะที่อโลนกอดมิโกะแน่นขึ้น

“ไม่ต้องกลัว”อโลนพูดเสียงเรียบๆ สบายๆ “มีฉันอยู่ทั้งคน ฉันรักเธอนะ” อโลนจูบลงบนกระหมอมของมิโกะเบาๆ

“ขอบใจนะ”เธอพูดและไหลลงไปนอนหนุนตักอโลน "แต่ฉันก็ยังกลัวอยู่ดี กลัวว่ามันจะเปลียนฉันไปตลอดการ” เธอกอดขาของอโลนแน่น อโลนยิ้มออกมาพร้อมกับลูบผมของเธออย่างเบามือ

“นั่นไม่สำคัญว่าเราฝึกมาแค่ไหน แข็งแกร่งแค่ไหน ครั้งแรกที่เราก้าวเข้าสู่สงคราม มันจะเปลียนเราตลอดไป” อโลนพูด “หลับซะ คืนนี้ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว”

“อื้ม” เธอครางตอบ ขยับหัวให้อยู่ในมุมที่เหมาะสมก่อนจะข่มตาหลับ ดวงจันทร์คล้อยผ่านฟากฟ้า และเมี่อราตรีที่แสนสงบได้ผ่านพ้นไป แสงสว่างยามเช้าก็เข้าแทนที่ความมืดมิด ทหารต่างๆตื่นกันโดยความเคยชิน กลบหลุมที่พวกเขาขุดกันขึ้นและเก็บหลักฐานต่างๆจนเรียบร้อย อโลนตื่นมาก็ไม่พบมิโกะอยู่กับเขาแล้ว เธอคงไปตั้งแต่หมู่หนึ่งและสองเริ่มทำงาน เขาล้างหน้าล้างตาและกำลังจะกลบหลุมของตน แต่แล้วสหายหมวดสามก็มากลบหลุมให้เขาเสียงอย่างนั้น หลังจากที่พระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือพื้นได้ไม่นาน อโลนก็เรียกรวมหมวด ทหารทุกนายพร้อมสัมภาระก็มาอยู่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะทุกท่าน”อโลนพูดและมองไปรอบๆ “วันนี้เราจะไม่ไปที่เลเลฟ”เสียงฮือฉาดังขึ้นเล็กน้อย “เราจะเก็บของ มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไปยัง โอวาเลนอฟ มีรายงานว่าที่นั่นเป็นที่ตั้งของกองบก. ข้าศึก เราจะลอบเข้าโจมตีที่นั่น และจบการฝึกก่อนสัปดาห์ที่2”

“เราจะเป็นหมวดที่ทำสถิติใหม่ใช่รึเปล่าครับ” คนหนึ่งถามขึ้น

“ใช่แล้วทหาร” อโลนชูนิ้วชี้ขึ้น “แต่ว่านั่นไม่ใช่ประโยชน์ที่เราจะได้ นอกจากชื่อเสียงของเรา และความภูมิใจที่จ่ามูดดีจะมีให้เรา มันยังทำให้ฉันออกจากนรกนี่ทันไปส่องน้องสาวของพี่สไภ้ในงานแต่งานพี่อดัมช่วงสัปดาห์หน้าอีกด้วย” เสี่ยงโห่ทีจริงทีเล่นดังขึ้นระงมพร้อมกับเศษดินที่บินเข้าหาอโลน “โอเคๆ”เขาพูดและป้องปัดเศษดินต่างๆ “อันที่จริง” เขาพูดในขณะที่เหล่าทหารเลิกโยนเศษดินเศษหินใส่เขาแต่ทว่านี่เป็นจังหวะที่ใครคนหนึ่งรออยู่นานแล้ว ก้อนดินขนาดพอๆกับลูกมะนาวทะยานออกจากมือของแพทย์สนามสาว มันลอยคว้างข้ามหัวของทหารหมู่หนึ่ง เศษฝุ่นหลุดออกจาดินก้อนนั้นเป็นทางยาวดูแล้วคล้านดาวหาง อโลนเห็นดินก้อนนั้นแต่มันช้าไปแล้วที่จะป้องกันตัว เขาเอี้ยวหน้าหลบ มันลอยเฉียดหูของเขาไปเพียงไม่กี่มิลลิเมตรความเร็วของก้อนดินนั้นลดลงและกำลังตกลงตามแรงดึงดูด แน่นอนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนแต่ละคนไม่ทันระวัง ผู้โชคร้ายที่ต้องรับกรรมแทนอโลนไม่ใช่ใคร อเล็กซ์ เจมส์ ก้อนดินโดนเข้ากับใบหน้าของเขาอย่างแม่นยำ ก้อนดินก้อนนั้นแตกกระจายออกเป็นเสียงๆด้วนแรงปะทะ “เฮด ชอท ยืนยัน”อโลนพูด เสียงหัวเราดังขึ้นทั่วทั้งหมวด มีเพียงแต่มิโกะเท่านั้นที่ยืนงอลแก้มป่องอยู่เบื่อหลัง อโลนมองดูเธอเล้กน้อยก่อนที่เธอจะเดินสะบัดบั้นท้ายจากไปด้วยท่าทางที่น่าเอ็นดู เสียงหัวเราร่าดังขึ้นพร้อมกัยเสียงแดกดันต่างๆนาๆ จนอโลนต้องทำสัญญาณให้หยุด “เอาล่ะเสือหนุ่มทั้งหลาย”เขาพูดเสียงจริงจัง “ถึงแม่ว่าเราจะไม่ได้ไปหิ้วสาวที่เลเลฟ แต่ถ้าหากเราสามารถสำเร็จภารกิจนี้ได้ เราจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ในการเข้าสังกัดกรมศึกษาและสอดแนม”ทหารทุกคนขนลุกทันทีที่อโลนพูดจบ กรมกลุ่มศึกษาและสอดแนม หรือ Studies and Observe Group Regiment อันที่จริงแล้วไม่ได้มีหน้าทีสอดแนมหรืออะไรทำนองนั้น เพราะชื่อของกรมนี่นั้นเป็นชื่อพรางชื่อจริงคือ กรมกลุ่มปฏิบัตการพิเศษ หรือ Special operation Group Regiment ซึ่งเป็นการรวมตัวของทหารระดับสุดยอด ที่เรียกกันว่าระดับ นักฆ่า (Killer class) เป็นกรมที่ทหารทุกๆคนฝันอยากจะเป็น แต่ทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจากทางผู้นำระดับสูง จะมาคัดตัวทหารเอง และในหนึ่งมีจะทหารที่ได้เข้าประจำการในกรมเพียงร้อยคนเท่านั้น

“เก็บของ เดินทางในสิบ”อโลนพูดและกดปุ่มจับเวลาในนาฬิกา วันนี้เป็นวันที่ผิดปรกติมากสำหรับทุกคน แรงกายและแรงใจมากมายผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่อาจทราบได้ หรืออาจเป็นเพราะสิทธิ์พิเศษได้กระตุ้นต่อมคึกให้พวกเขาก็เป็นได้ เพียงหกเก้าชั่วโมงของการเดิน พวกเขาก็มาถึงที่หมายที่โอเวอร์ลอร์ดต้องการ นั่นหมายความว่าพวกเขามีเวลามากมายที่จะพักผ่อน ปลายทางในวันนี้ไม่ใช่ที่ใดนอกจากโบสถ์แห่งหนึ่งนี่เป็นสุสานของนักรบบีเอพีเอ็มซีมานานนับร้อยๆปี หมวดสามเดินไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยหลุมศพของนักรบนันพัน โบสถ์ตั้งอยู่ตรงกลางของหลุมศพเหล่านั้น กำแพงหินอ่อนสูงเกือบๆสามเมตรปิดกั้นที่นี่จากภายนอก หญ้าถูกปูลงในทุกๆตารางนิ้ว ดอกไม้ต่างๆถูกจัดอย่างสวยงาม ดูแล้วที่นี่ช่างเหมือนสวรรค์เหลือเกิน พวกเขาถูกบาทหลวงจัดให้อยู่ในที่ๆกำลังจะกลายเป็นหลุมศพในเร็ววัน หลุมว่างเปล่าที่ถูกขุดทิ้งไว้อยู่ห่างจากพวกเขาไม่มาก กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนร้องห่มร้องให้อยู่หน้าหลุมศพที่ยังไม่ถูกถม อโลนวางสัมภารของตนก่อนจะเดินไปหากลุ่มคนเหล่านั้น

“ผู้หมวด” เสียงเจมส์เรียก อโลนหันกลับและเดินไปหาเจมส์ซึ่งอยู่หน้าหลุมศพแห่งหนึ่ง “ทางนี้คะ”

“มีอะไรเจที” อโลนถามเสียงเรียบๆ

“นามสกุลคุณ”เจมส์พูดพร้อมชี้ไปทางหลุมที่สลักชื่อไว้ว่า ‘ไมเคิล อลองเกอร์’ “เขาเป็นใครคะ”

“พ่อฉันเอง” อโลนตอบและหันกลับไปเด็ดดอกไม้ใกล้ๆมาสองสามดอก “เขาตายปีนึงหลังจากฉันเกิด”เขาพูดเสียงอ่อย “เขาเป็นทหารพรีเดเตอร์ ตายเพราะหน่วยข่าวกรองทำงานผิดพลาด”อโลนวางดอกไม้ส่วนหนึ่งลงบนหลุมกละเดินไปยังหลุมข้างๆ “ส่วนนี่เป็นน้องสาวฉัน” อโลนพูดและมองดูป้ายหลุมศพที่เล็กกว่าป้ายอื่นๆ อีกทั้งหลุมยังกินพื้นที่น้อยกว่ามาก หลุมนั้นอยู่ชิดกับหลุมของไมเคิลจนเกือบจะติดกัน ‘ศิริขวัญ อลองเกอร์’ “ตายพร้อมกับแม่ของเธอ แม่ของเธอไม่ค่อยแข็งแรงนัก ทั่งสองคนตายวันที่คลอด” อโลนพูดน้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย เขาวางดอกไม้ลงบนหลุมของเธอ

“เสียใจด้วยนะคะ”เจมส์พูดเบาๆ

“อื้ม”เขาคุกเข่าลงหน้าหลุมศพของน้องสาวและลูบมันเบาๆเหมือนลูบศรีษะของน้องสาวของตน “ฉันเคยคิดนนะ ว่าถ้าเธอไม่เป็นไร ถ้าเธอยังอยู่ เธอจะน่ารักแค่ไหน” อโลนลุดขึ้นทันทีที่พูดจบ ซ่อนใบหน้าและสายตาอันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าจากเจมส์ และมุ่งหน้าไปยังกลุ่มคนที่ร่ำให้ให้กับหลุมศพหลุมใหม่

“เสียใจด้วยนะครับ”เขาพูดกับหญิงวัยทองคนหนึ่งที่กำลังจมอยู่ในความโศกเศร้า อโลนมองดูชื่อที่จารึกบนป้ายโดยที่ในใจหวังให้เป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ‘พลเอก ธนกร และ พลโท ธัญญา เนตรรัศมี พักอย่างสงบที่นี่’ แน่นอน หีบศพสองหีบถูกวางไว้คู่กัน ดอกไม้ถูกโดนลงไปเพื่อเป็นเกียรติแด่ทหารผู้กล้า “พวกเขาตายยังไงครับ” อโลนพลั้งปากถามออกไปโดยไม่ทันระวังตัว

เจ็ดชั่วโมงก่อนหน้านี้ ณ จุดใดจุดหนึ่งในอ่าวเปอร์เซียร์
เสียงร้องโอกอ้ากอาเจียนของใครบางคนดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ของเรือดำน้ำยังกับจะเอาชนะกันอย่างไรอย่างนั้น อดัมมองดูประตูห้องน้ำด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “เมื่อไหรแกจะหายเมาเรือวะ”เขาพูดและกระแทกประตูด้วยกำปั้นก่อนจะเดินไปตามทางเดินแคบๆ เขาผ่านลูกเรือสองสามคนก่อนจะมาถึงห้องพักลูกเรือห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ทหารนายหนึ่งในชุดประดาน้ำบรรจุกระสุนเข้าสู่แม็กกาซีน ปืนเอ็ม21ก็นอนทอดกายบนเตียงไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมามองดูอดัมเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาบรรจุกะสุนต่อ ทหารชายหญิงคู่หนึ่งนั่งจู๋จี๋บนเตียงชั้นที่สอง โชคดีมากที่เตียงเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักได้มาก มิเช่นนั้นเตียงนี้อาจะพังลงแล้วก็ได้ อดัมนั่งลงที่เตียงฝั่งตรงข้ามและตรวจเช็คปืนเอชเค-416ของตนบ้าง แน่นอน ปืนของเขาอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ถูกบำรุงรักษาอย่างดี

“พี่น่าจะส่งสองคนนี้ไปกินเนสต์บุ๊คนะ”เกอร์ริ่งร่างยักษ์โผล่เข้ามาในห้องพร้อมพูดน้ำเสียงประชดประชัน “ว่าเป็นคู่แรกที่มีสัมพันธ์กันใต้น้ำ” เกอร์ริ่งพูดก่อนส่งสายตาไปยังต้ำและแก้มแหม่มที่นั่งจับมือจับไม้กันโดยไม่สนใจเกอร์ริ่ง

“ช่างเขาเถอะ”อดัมพูดเสียเรียบๆ “เร็กซ์ นายเล่นบทพลแม่นปืน” อดัมพูดพร้อมสะพายปืน “ตั้ม เล่นของหนัก อยู่ใกล้ๆเกอร์ริ่งไว้ แหม่ม ดูหลังของทั้งสองคน” เขาพูดและเดินออกไปจากห้อง คนอื่นๆหยิบฉวยสัมภาระและเดินไปตามเขาไป ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงห้องห้องหนึ่ง ตอปิโดจำนวนมากถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบพร้อมที่จะส่งเข้าท่อยิงที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ทหรารเรืองสองนายในเครื่องแบบสีฟ้าเข้ม กำลังง่วงอยู่กับการตรวจสอบตอปิโดเหล่านั้น “นานแค่ไหน” อดัมถามขึ้นและวางอุปกรณ์ดำน้ำลงกับพื้น

“1นาทีครับ เข้าไปในช่องส่งพิเศษได้เลย” อดัมพยักหน้ารับ ทุกคนเริ่มจัดการกับอุปกรณ์ดำน้ำ พวกเขาสะพายถังอากาศและตรวจเช็คสายส่งอากาศ อดัมเหลือบไปเห็นตั้มและแก้มแหม่มแอบจูบกันเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเรียบร้อยพวกเขาก็ปีนขึ้นไปบนท่อท่อหนึ่งที่ดูจะมีไว้สำหรับยิงตอปิโดขนาดใหญ่พิเศษ

“พร้อมนะครับ” ทหารเรือคนหนึ่งถาม ทุกคนพยักหน้ารับก่อนที่ทหารนายนั้นจะทำการปิดประตูท่อ น้ำเริ่มไหลเข้ามาจากท่อเล็กๆที่พื้น “หวังว่าคงไม่มีใครว่ายน้ำไม่เป็นนะ”อดัมถามพลางโยนปืนลงไปในแคปซูลกันแรงดันพร้อมกันปืนของทุกๆคนและทำการปิดผนึกแคปซูล

“จะได้ออกไปจากเรือดำน้ำบ้านี่สักที” เกอร์ริ่งพูดและอมตัวควบคุมแรงดัน ไม่นานนักน้ำก็เข้ามาอยู่จนเต็มท่อส่งพิเศษ ทุกคนเปิดไฟที่ติดอยู่กับหน้ากากกันน้ำโดยไม่ได้นัดหมาย ประตูอีกที่ออกไปสู่ทะเลเปิดออก เผยให้เห็นผืนน้ำอันมืดมิด อดัมมองดูตำแหน่งที่เครื่องจีพีเอสซึ่งติดกับข้อมือของเขาก่อนจะพุ่งตัวออกไปภายนอก พวกเขาเคลื่อนที่โดยการเกาะกับแคปซูลกันแรงดันและติดใบพัดที่ท้ายแคปซูล ทั้งหาเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกันในขณะที่สายตายังคงสอดส่องไปรอบกาย เผื่อว่าจะมีใครมาลอบทำร้ายพวกเขา พวกเขาเคลื่อนที่เรียบตามพื้นทรายสีขาวและโขดหินปักการังสวยงาม ฝูงปลาแหวกว่ายอยู่โดยรอบ แสงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ขึ้นมาจากเส่นขอบฟ้าทำให้ใต้ผืนน้ำที่พวกเขากำลังเคลื่อนผ่านไปนั้นสว่างขึ้นเล็กน้อย อดัมปิดไฟบนหน้ากาก สี่คนที่เหลือก็ทำตามโดยที่อดัมไม่ต้องส่งสัญญาณ เรือสองสามลำแล่นผ่านหัวพวกเขาไป แต่โชคยังดีที่พวกเขายังไม่ถูกตรวจพบ ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดที่นัดพบกับทีมข่าวกรอง แก้มแหม่มปล่อยมือจากแคปซูลและเดินขึ้นบก ทิ้งให้ชายทั้งสี่ลากแคปซูลหนักอึ้งขึ้นไปบนหาดทรายสีขาว “เฮ้ ไม่ช่วยกันหน่อยรึไง” เกอร์ริ่งพูด “หนักนะโว้ย”

“จะบ่นหาง้าวรึไง”อดัมพูดเสียงเรียบเฉย ใบหน้าของเขาแฝงด้วยความดีใจอย่างเปี่ยมล้น ร้อยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แม้มองดูจากภายนอกก็รู้ว่าเขาดูมีความสุขแค่ไหน ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงตะวันของวันใหม่ อดัมปล่อยมือจากแคปซูลโดยไม่บอกกล่าวกับใคร โชคดีที่เกอร์ริ่งขว้าหูหิวของอดัมไว้ได้ทันและสบดคำสาบแช่งต่างๆนาๆออกมาเป็นภาษาเยอรมัน อดัมเดินผ่านแก้มแหม่มที่หันมามองดูชายหนุ่มทั้งสามที่ประคับประคองแคปซูลให้ลงสู้พื้นอย่างนิ่มนวน “สตาร์ไลท์” อดัมพูดและล้วงเข้าในกระเป๋ากันน้ำของชุด

“เท็กซัส”สาวปริษนาตอบแล้วโผเข้ากอดอดัม “ขอต้อนรับสู่จาฟานิสถาน”เธอกระซิบ อดัมไปรอช้าเขาบรรจงจูบเธอทันที ลิ้นของทั้งสองรบรากันนวนเนียภายในช่องปาก ก่อนที่ทั้งสองจะพละออกจากกัน “พอแล้วมั้ง เดี๋ยวเด็กๆอิฉฉา” เธอพูดและหันมองดูเหล่าทีมจู่โจพิเศษ แต่ก็ต้องขำออกมาเมื่อเห็นตั้มและแก้มแหม่มกระโดดจูบกันเหมือนจะแข่งกับเธอ “ไว้ไฟกันจัง”

“ช่าย พวกเขาเพิ่งแต่งกันน่ะ” อดัมพูดพร้อมคล้ายออมกอดของเขา “อย่าที่ผมบอกคุณ ผมรักคุณ” เขากุมมือเธอเบาๆ “ควีน”

เกอร์ริ่งใช้สอกกระทุ้งแก้มแหม่มเบาๆเพื่อให้หยุดการแลกเปลี่ยนของเหลวกับตั้ม “เธอไม่อยากพลาดช๊อตเด็ดใช่รึเปล่า” เขาพูดเบาๆ ขณะที่เร็กซ์นั่งบนแคปซูลและมองไปยังท้องทะเล แก้มแหม่มและตั้มผละออกจากกันก่อนที่จะมองไปยังอดัมที่นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าควีน เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้งหลังจากที่ครั้งแรกถูกขัดขวางจากการกระโดดกอดของควีน กล่องทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆถูกขวักออกมาจากภายใน เขาเปิดกล่องออก แหวนสีทองวงหนึ่งอยู่ภายใน แต่แหวนวงนี้กลับไม่สะท้อแสงจากพระอาทิตย์ราวกับว่ามันไม่ใช่โลหะอย่างไรอย่างนั้น “แต่งงานกับผมนะ”อดัมพูดและยิ้มอย่างมั้นใจ
ควีนยิ้มด้วยความเขินอายและมองดูอดัมด้วยแววตาที่มีความสุขอย่างเปี่ยมล้น

“ตกลง” อดัมนำแหวนจากในกล่อง สวมใส่ในนิ้วมืออันเรียวยาวของสาวผู้นี้

“บราโว่” เกอร์ริ่งร้องและถีบเร็กซ์ตกจากแคปซูล “ไปกันได้แล้ว” เขาแบกมันขึ้นบ่าและเดินจ้ำอ้าวไปยังถนน “พี่ควีนรถอยู่ไหนล่ะ” เร็กซ์มองตามหลังเกอร์ริ่งไปด้วยความงงงวยและคิดในใจว่า ‘ถีบตรูหาอะไรเนี่ย’ ส่วนสองสามีภรรยาหนุ่มสาวก็มองดูเร็กซ์และขกออกมาด้วยท่าทางที่ดูจะอดกลั้นหารหัวเราอย่างเต็มที่ ควีนชี้ทางให้เกอร์ริ่งก่อนจะเดินมายังชายหญิงทั้งสามที่กำลังงงงวยว่าจะทำอะไรต่อไป เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้ฟังสรุปภารกิจใดๆเลย

“ท่านทั้งหลาย” เธอพูดและยื่นมืออกมาข้างหน้า “ฉัน ทามาร่า ควีน อีลิแกน หน่วยข่าวกรองพิเศษ สังกัดกรมศึกษาและสอดแนมยินดีที่ได้รู้จัก” ทั้งสามผลัดกันเข้าจับมือของควีนทีละคนก่อนที่ทั้งหมดจะโดนเกอร์ริ่งเร่งให้ย้ยก้นขึ้นไปบนรถขับเคลื่อนสี่ล้อเปิดประทุนคันใหญ่สีแดงสดของควีน “จะให้ไปทั้งชุดดำน้ำเนื่ยนะ” เร็กซ์พูดออกมา

“ช่ายยย” ควีนตอบลากเสียงยาว “ไม่มีใครมาตั้งด่านตรวจเช้าๆแบบนี้หรอกน่า”เธอพูดและขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับและติดเครื่องรถ “ขึ้นมาได้แล้ว”เธอหันไปเรียกเกอร์ริ่งที่กำลังซิกการ์มวนโตออกจากซองกันน้ำ “รึว่านายอยากเกาะล้อไป” เกอร์ริ่งคาบซิกการ์มวนหนึ่ง พับซองเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า และเดินอาดๆพร้อมจุดซิกการ์ไปด้วย หลังจากที่อดัมลงไปลากเกอร์ริ่งขึ้นมาบนรถได้ ควันก็ออกรถและขับไปตามถนนด้วยความเร็วสูง ซึ่งมันเร็วจนแทบทุกคนเว้นแต่เกอร์ริ่งดูกลัวจนเห็นได้ชัด “จะรีบไปไหนเนี่ย” แก้มแหม่มร้องตะโกนและเหลือบไปดูหน้าปัดชี้ความเร็วที่วิ่งไปราวๆร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง “ถ้ามีคนตามมา เราจะรู้” อดัมตอบในขณะที่ร่างของเขาเอนไปตามแรงเฉื่อยที่เกิดจากการที่ควีนหักพวงมาลัยหลบรถบรรทุกซึ่งวิ่งสวนมาบนทางโค้งอันตราย รถปัดเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทรงตัวได้ตามปรกติ ประสปการณ์เฉียดตายในครั้งนี้ทำให้ทุกคนตัสซีดเผือกเว้นแต่ควีนและเกอร์ริ่ง

“เวรไรวะเนี่ย” ตั้มพลั้งปากสบดออกมาและช่วยลูบหลังของแก้มแหม่มที่กำลังเอาข้าวเย็นของเมื่อวานก่อนออกจากกระเพาะอาหาร แม่จะมีเสียงทัดทานจากรอบข้าง ควีนก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไปโดยไม่สนใจใคร “ขอต้อนรัวสู่จาฟานิสถานทัวร์”เกอร์ริ่งร้องขึ้น “ถุงอวกอยู่ข้างหลัง และใต้เก้าอี้ด้านหน้าท่านนะขอรับ”เขาพูดติดตลก แต่ไม่มีใครนอกจากควีนขำไปกับเขา สิบนาทียาวนานเหมือนเป็นวันๆสำหรับหลายคนบนรถ ควีนลดความเร็วลงในขณะที่รถเคลื่อนเข้าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านก่อจากดินหลายหลังตั้งเกาะกลุ่มกัน บ้างก็มีสองชั้น บ่างก็มีชั้นเดียว ถัดไปจาหมู่บ้านนี้ยังมีหมู่บ้านลักษณะคล้ายกันอีกหลายหมู่บ้านอยู่เรียงราย เธอหักเลี่ยวเข้าหมู่บ้านไปตามถนนที่ว่างเปล่าก่อนจะหยุดที่หน้าอาคารหลังหนึ่ง “ถึงแล้ว” เธอพูดและลงจากรถ ก่อนจะตรงไปเปิดประตูบ้านที่ก่อด้วยดินเหนียว “ขอต้อนรับสู่รูหนู” อดัมพูดและเดินตามควีนเข้าไป ตั้มและเร็กซ์ช่วยกันหิ้วปีกแก้มแหม่มที่เหมือนจะเป็นลมจาการขับรถอันมหาโหดของควีน พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านโดยมีเกอร์ริ่งที่แบกแคปซูลไว้บนบ่ารั้งท้ายพวกเขาทุกคน ควีนเปิดประตูบานหนึ่งซึ่งนำพวกเขาไปสูงห้องขนาดใหญ่ หน้าตางสองบานเปิดรับแสงอาทิตย์อย่างเต็มที โซฟาตัวหนึ่งวางทอดติดผนังใต้หน้าต่างในขณะที่อีกตัวอยู่ลึกเข้าไปภายใน จอมอร์นิเตอร์หลายตัวกำลังแสดงภาพของหัวมุมต่างๆของหมู่บ้านแห่งนี้ในแบบตามเวลาจริง เก้าอี้นั่งทำงานหนังบุนวมอย่างดีตั้งอยู่ตรงกลาง เก้าอี้หมุนมาหาพวกเขาช้าๆ “ขอต้อนรับกลับบ้าน” ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอ่ยขึ้น

เข้าเป็นคนตัวเตี้ยผิวออกจะขาวซีดไปหน่อยสำหรับทหาร แว่นสายตาทรงสี่เหลียมผืนผ้าดูเข้ากับรูปหน้าได้พอเหมาะ “นี่วิลเลี่ยม เฮกเตอร์” อดัมแนะนำขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง “เก่งคอมพิวเตอร์ เทพวิชาเคมี เสียอย่างเดียว ตาขาวไปหน่อย”

“ความกลัวทำให้ไม่ประมาทครับผู้พัน” เฮกเตอร์ตอบก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับจออีกครั้ง ลังกระดาษใบใหญ่ลังหนึ่งวางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มันเต็มไปด้วยหลอดยาสีฟันที่ยีงไม่ถูกเปิดใช้มากมาย มากจนเกอร์ริ่งสงสัยว่าทำไมต้องเอายาสีฟันมากักตุนไว้มากมายเช่นนี้

“เกอร์ริ่งกับเร็กซ์ดูหน้าต่างไว้ ร่อฉัน ตั้ม และแก้มแหม่มเปลี่ยนเสื้อผ้า”อดัมสั่งและเปิดแคปซูลเขานำอาวุธปืนออกมาโยนให้เกอร์ริ่งและเร็กซ์ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าออกมา ทั้งสามเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วโดยทีแก้มแหม่มยังตงต้องให้ตั้มช่วยเปลี่ยนให้ อดัมและตั้มเข้าประจำตำแหน่งแทนที่เกอร์รริ่งและเร็กว์หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โดยที่แก้มแหม่มยังคงต้องไปนอนทอดกายที่โซฟาตามเดิม

“ผมมี้กล้องติดอยู่ทุกมุมถนนนะครับท่าน ไม่ต้องเผ้าขนาดนั้นหรอกครับ” เฮ็กเตอร์พูดและกดจอยของเครื่องเกมเพลย์สเตชั่น3ในมือ กล้องตัวหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวไปตามจังหวะการโยกแกนแอนาล็อก

“ความกลัวทำให้ไม่ประมาท” อดัมพูดและสอดสายสายตาไปตามถนนในหมู่บ้าน “มันเงียบแบบนี้ทุกวันเลยรึไง”

“เปล่าครับ”เฮกเตอร์ตอบ ควีนขึ้นมากจากชั้นล่างพร้อมเสื้อกันกระสุน วิทยุสือสาร และขวดน้ำสีฟ้าขุ่นๆ

“วันนี้มันผิดปรกติ” ควีนเดินตรงไปหาแก้มแหม่มและยื่นขวดน้ำสีฟ้าให้เธอ “ผมเป็นระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวแล้วครับ แต่ยังไม่มีอะไรผิดปรกติ”

“หน่วยข่าวกรองของจาฟานิสถานมีประสิทธิภาพสูง” เร็กซ์พูดขณะที่ออกมาจากห้องน้ำ ตามมาด้วยเกอร์ริ่ง ถึงแม้พวกเขาจะมาปฏิบัติภารกิจเสียงเป็นเสียงตาย แต่ไม่รู้เพราะอะไรดลใจพวกเขา ทุกคนไม่เว้นแม้แต่เกอร์ริ่ง ไม่ใส่เครื่องแบบกันเลยสักคน ไม่ว่าจะเป็นอดัมในชุดเสื้อกล้ามกางเกงยันส์สีซีดๆและสวมทับด้วยเสื้อเชิร์ทเปิดอก ตั้มและแก้มแหม่มนั้นใส่เสื้อเชิร์ตสีขาวสะอาดและกางเกงยีนส์สีน้ำเงินใหม่เอี่ยม ส่วนทางเร็กซ์นั้น ใส่ยีนส์สีดำและเสื้อเชิร์ตสีแดงอ่อน เหมือนจะจงใจใส่มาเพื่อล่อกระสุนให้เพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะ ส่วนทางเกอร์ริ่งนั้นดูแปลกไปหน่อย เขาใส่เสื้อยืดสีเขียวและกางเกงขายาวสีเขียวขี้ม้า ต่างจากคนอื่นที่ใส่ยีนส์ ทางเด็กหนุ่มอย่างเฮกเตอร์นั้นแต่งตัวแนว โดยใส่กางเกงขาสามส่วนเขียวและเสื้อยืเคอกลมสีแดง สามทับด้วยเสื้อคลุมกันหนาวตัวหนาสีขาว ส่วนทางควีนนั้นร้ายที่สุด เธอแต่งตัวสบายๆเหมือนมาเที่ยว เธอใส่เสื้อยืดรัดรูปสีฟ้าทำให้เห็นทรวดทรงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นโชว์เรียวขาอันสวยงาม

“มาพักร้อนกันรึไงวะ”เกอร์ริ่งถามและใส่เสื้อเกราะหนังมังกร

“เอาน่า หล่อไว้ก่อน เผื่อ ซีเอ็นเอ็นจะมาทำข่าวไง” เร็กซ์ตอบพลางยัดซองกระสุนใส่กระเป๋าบนเสื้อกันกระสุน “แล้วภารกิจคืออะไร” อดัมกำลังจะหันมาตอบแต่หว่าเสียงไซเรนดังขึ้นจากลำโพงหน้าเฮกเตอร์

“ทำลายเรดาร์” ควีนตอบและผละจากแหม่มไปหาเฮกเตอร์ “มีอะไร”

“การเคลื่อนไหว” เขาพูดและรัวแป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว “รถบรรทุก สี่คันกำลังมาทางนี้ ผ่านทางถนนเส่นทิศเหนือ แล้วก็ ผมมีข่าวดี เรามียานยนต์หุ้มเกราะเบาสามคันกำลังจะมาเคาะประตูเรา”

“เอาล่ะทุกคน ลงไปที่ถนนทางทิศเหนือ เกอร์ริ่งกับฉันจะอยู่ที่บ้านทางตะวันออก แก้มแหม่มและตั้ม นายดูทางทิศตะวันตก ซื้อเวลาให้สามคนนี้ไปถึงสนมบิน”

“เดี๋ยวๆ”ควีนเบรกพวกเขาขณะที่ตั้มกำลังไปหาแก้มแหม่มดูดูมีน้ำมีนวลขึ้นมากหลังจากได้เครื่องดื่มให้พลังงานจากควีน “นั่นไม่มีในแผนนิ”

“ไปแผนบี” อัดมพูดและปลดห้ามไกปืนในมือ “เกอร์ริ่งตามฉันมา เร็กซ์ นายไปกับควีน”

“ยานยนต์กำลังแยกไปทางทิศตะวันออก เหมือนจะกำลังไปคุ้มกันสนามบิน” เฮกเตอร์พูด สายตาจับจ้องอยู่ที่จอจอหนึ่งที่กำลังแสดงภาพจุดสีแดงและแผนที่ “ทหารจาฟาสหนึ่งหมวดกำลังเข้ามา อีกหนึ่งกองร้อยจะมาถึงในสิบ”

“เอาล่ะ ไป ไป ไป” อดัมตะโกน ทุกคนรีบฉวยอาวุธ เสื้อเกราะ และวิทยุ ก่อนจะออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ควีนที่ไปถึงคนแรกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เสียงปืนดังขึ้นจากภายในสองสามนัด ก่อนที่เธอจะตะโกรเรียกเร็กซ์ เธอเปิดประตูขนาดใหญ่ออกไปสู่ภายนอก ภายในห้องไม่มีอะไรมากนอกจากรถ เอทีวี (ATV=All-terrain vehicle) สองคันและกล่องใบใหญ่อีกหนึ่งกล่อง “ที่รัก มันอยู่นี่นะ”เธอพูดพร้อมกระโดนขึ้นเอทีวีคันหนึ่ง “มือปืน นายเอาไปคันหนึ่ง” เฮกเตอร์พร้อมกับหมวกที่ติดอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคบางอย่างที่ดูเหมือนแว่นตาแต่มันหนากว่าและเป็นวัสดุทึบวิ่งออกไปยังหัวมุมหนึ่งไม่ห่างออกไปนัก และเก็บหุ่นยนต์สอดแนขนาดเล็กๆตัวหนึ่งยัดเข้ากระเป๋าเป้ของเขาก่อนจพะกลับมาซ้อนรถของควีน อดัมลงมาจากชั้นบนพร้อมกล่องยาสีฟัน เขาวางมันลงและลากเอากล่องขนาดใหญ่ออกไปไว้กลางแจ้ง ในขณะเดียวกันควีนก็กำลังบิดรถเอทีวีของเธอออกไปยังสนามบินที่ห่างไปสองกิโลเมตรทางตะวันออก อดัมเปิดกล่องออกแต่ภายในนั้นไม่ใช่อะไรนอกจากสิ่งที่เหมือนกล่องอีกกล่อง แต่มีจอบางอย่างอยู่ที่ด้านหนึ่งอดัมกดปุ้มเปิดเครือง ฉวยกล่องยาสีฟันและวิ่งไปสมทบกับเกอร์ริ่ง

“เอาล่ะหนุ่มๆ ลุยมันกัน”ควีนพูดและบังคับเอทีวีเข้าหายานยนต์หุ้มเกราะทั้งสาม โดยทีเฮกเตอร์กำลังลังง่วนกับการกดจอยสติ๊คและมองบางอย่างที่อยู่ในอุปรกณ์อีกเล็คทรอนิคที่บัดนี้เขาได้ขยับมันเข้ามาปิดตาข้างซ้ายของเขาแล้วเรียบร้อย

“จะวิ่งไปเสยกับรถหุ้มเกราะรึไงเจ๊” เร็กซ์ถามผ่านทางวิทยุ

“ตามมาและจะดีเอง” เฮกเตอร์ตอบกลับมาทางวิทยุ รถหุ้มเกราะล่วงรู้ถึงการมาของพวกเขาและกำลังหันปืนหลักขนาด20มิลลิเมตรเข้าหาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ กระสุนบินออกจากปากกระบอกปืนหลักของยานเกราะคันหนึ่ง กระสุนเหล่านั้นพุ้งเฉียดผ่านควีนไปอย่างไรผล เร็กซ์หักเอทีวีออกจากแนวกระสุนเพราะขืนดาหน้าเข้าไปต่อก็มีแต่ตายกับตาย ยานยนต์หุ้มเกราะอีกคันพยายามเล็กงมายังเร็กซ์แต่ว่าป้องปืนของมันหมุนช้าเกิดกว่าจะเล็งให้โดนได้ เร็กซ์จึงรอดจากการกระหน่ำยิงจากคันที่สอง ส่วนคันที่สามนั้นหันปืนไปกระหน่ำใส่ควีน เร็กซ์จึงผ่านมันมาได้ด้วยดี ควีนขับนำเร็กซ์เข้าไปหยุดในหมู่บ้านเล็กๆที่กลายเป็นหมู่บ้านร้างไม่ต่างจากหมู่บ้านที่พวกเขาจากมา กระสุน20มม. ทะลุผ่านบ้านดินเหนียวไปอย่างงายดาย ทิ้งรูกระสุนขนาดใหญ่ไว้เบื่องหลัง เร็กซ์ลงจากเอทีวีและหมอบลงกับพื้นตรงจุดที่ควีนและเฮกเตอร์หมอบอยู่ก่อนแล้ว

“เป้าหมายถูกล๊อก” เฮกเตอร์พูดและกดปุ่มบนจอยของเขา “ยิง” เขาพูดและกดปุ่มอาร์หนึ่งและแอลหนึ่งพร้อมๆกัน ขีปนาวุธสามลูกมาจากไหนก็ไม่ทราบพุ่งเข้าใส่ยานยนต์หุ้มเกราะทั้งสามเข้าอย่างจัง ทั้งสามระเบิดขึ้นส่งเศษเหล็กและซากป้อมปืนไปรอบๆตัวถังรถ ไฟจากการระเบิดของแหล่งเชื้อเพลิงครุกรุ่นคลอกเศษเหล็กที่เคยเป็นยานเกราะ ควันสีดำลอยขโมงขึ้นไปบนฟ้า “แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า ส่งผลดีเยี่ยมกับเป้าหมาย”

“คิดว่างั้น”ควีนตอบและลุกขึ้นยืน “พลแม่นปืน ขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น แล้วยิงสนับสนุน เฮกเตอร์ ดูหลังให้เขาด้วย ฉันจะไประเบิดเรดาร์” เธอกระโจนขึ้นบนรถเอทีวีและขับมันออกไปอย่างรวดเร็ว เร็กซ์รีบวิ่งไปยังบ้านดินหลังหนึ่ง เขาขึ้นไปยังชั้นสองในขณะที่ชักเอาปืนกลมือพี-90ออกมาจากระเป๋าสะพายและนั่งลงหลังประตูบ้าน “เดี๋ยวดูหลังให้” เฮกเตอร์พูด พลางขึ้นลำปืน เร็กซ์ขึ้นไปบนชั้นสองและลากเอาโต๊ะตัวหนึ่งมาไว้กลางห้องก่อนจะเปิดหน้าต่างบานหนึ่ง เขากลับมาที่โต๊ะ ปีนขึ้นไปและนอนหมอบราบกับพื้น และเล็งปืนไรเฟิลซุ่มยิงของตนไปยังจุดปะทะระหว่างพวกของอดัมและทหารจาฟานิสถาน เขากดปุ่มพูดบนวิทยุ “นี่เร็กซ์ พร้อมสำหรับการสนับสนุน”

“รับทราบแล้ว”อดัมดอบกลับไปทางวิทยุและโผล่ออกจากที่กำบังบนหลังคาของบ้าน กระสุนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งออกจากปากกระบอกปืนของเขา มันพุ่งทะลุทลวงร่างของทหารจาฟานิสถานคนหนึ่งที่กำลังโผล่ออกจากที่กำบังเพื่อยิงใส่ตั้ม อดัมและเกอร์ริ่งผลัดกันโผล่ขึ้นการากระสุนอย่างเป็นระบบ โดยมีตั้มคอยยิงกดหัวทหารจาฟานิสภานให้พวกเขา และมีแก้มแหม่มคอยเก็บพวกที่จ้องจะโอบปีก แน่นอน พวกเขาทั้งสีทำงานประสานกันกลมเกลียวเป็นอย่างมาก ถึงแม้ทหารจาฟานิสภานที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็ยังไม่อาจต้านทานได้ ทหารจาฟานิสถานลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วถึงแม้จะถูกส่งมามากถึงสองหมู่เต็มๆ แต่เวลานี้กลับเหลือเพียงแปดนาย และทั้งแปดก็ยังโดนปืนกลเบาของตั้มกดหัวตรึงไว้กับที่อีกด้วย “เจ๋ง” เกอร์ริ่งพูดและกระโดดขึ้นไปเหนือราวระเบียงที่ทำจากดินเหนียว เขาประทับปืนและเล็งยิงอย่างบรรจงเข้าสู่ที่มั่นของทหารจาฟานิสถาน กระสุนนัดหนึ่งโดนขาของทหารนายหนึ่งเข้าอย่างจัง เขาล้มลงโดยร่างนั้น เอียงออกจากหินก้อนใหญ่ซึ่งเป็นที่กำบังของทหารจาฟานิสถาน เกอร์ริ่งเปลี่ยนโหมดการยิงเป็นโหมดการยิงแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ กระสุนหลายสิบนัดทั้งจากปืนของแก้มแหม่ม ตั้ม และเกอร์ริ่ง ทะลุร่างของชายคนนั้น เขาสิ่นใจก่อนที่ร่างจะตกถึงพื้นเสียด้วยซ้ำ “ฮู้เร่”เกอร์ริ่งร้องอย่างสบายอารมณ์ อดัมหยิบยาสีฟันขึ้นมาหลอกหนึ่ง เขาเปิดฟาหลอดยาสีฟัน ทนที่จะมียาสีฟันออกจากปากหลอด สิ่งที่ออกมากลับกลายเป็นประกายไฟสีส้มแดง อดัมโยนหลอดยาสีฟันขึ้นบนอากาศ มันลอยคว้างครู่หนึ่งก่อนจะตกลงหลังที่กำบังของทหารจาฟานิสถาน การระเบิดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง กลุ่มควัน ฝุ่นทราย เลือดและเศษเนื้อกระเด็นไปทุกทิศทาง เสียงระเบิดที่ดังสนั่นทำให้เกอร์ริ่งต้องโดนกลับลงมาข้างล่าง

“ยาสีฟัน” อดัมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนใบหน้า

“หมดเวลาเล่นแล้วพี่น้อง” เสียงของเฮกเตอร์ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสาร “ทหารขนาดกองร้อยกำลังตรงมายังต่ำแหน่งของคุณ”

“เจ๋ง”เกอร์ริ่งพูด “แล้วแผนว่าไงต่อ”

“คุ่มกันพื้นที่จนกว่าควีนจะทำลายเรดาร์ได้” อดัมตอบและบรรจุกระสุนเข้าสู่ปืนของเขา “วันนี้คงจะหนักน่าดู”กลุ่มฝุ่นที่เกิดจากยานพาหนะลอยคละคลุ้งอยู่บนถนนห่างออกไปราวๆสองสามกิโลเมตร อดัมกดปุ่มพูดบนวิทยุ “นี่ไอซ์แมน ขอกำลังสนับสนุนทางอากาศ”

“ปฏิเสฐ ไอซ์แมน ไม่มีการสนับสนุนใดๆจนกว่าคุณจะทำลายเรดาร์ได้”

“ได้ยินรึเปล่าเพื่อน”เกอร์ริ่งตะโกนลั่น “เรามาเปิดทางให้กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา แต่พวกเขาไม่ช่วยเหลืออะไรเราเลย”

“ก็แน่ล่ะ”อดัมพูดและนั่งลงพิงกับราวระเบียง “เรดาร์นั่นเชื่อต่อไปยังฐานยิงขีปนาวุธทั้งหมดในแถบนี้ มันก็เลยส่งทั้งกองร้อยมาเล่นเรา”

“แล้วมันจะสร้างจุดอ่อนแบบนั้นเพื่ออะไร”เกอร์ริ่งถาม

“ประหยัดงบประมาณและเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของฐานยิงทั้งหมด” เขาลุกขึ้นและมองดูขบวนรถ รถบรรทุกหลายคันจอดสนิดและปล่อยให้รถสี่ล้อเคลื่อตัวตรงมายังพวกเขา “เชื่อฉันสิว่าเราทำได้”

“ถ้าฉันไม่เชื่อพี่ฉันก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกน่า”เกอร์ริ่งพูดและตบบ่าพี่ชายของตน “ส่งพวกมันไปทัวร์โลกหน้ากันเถอะ” เกอร์ริ่งพูด

“ได้”

แม้เวลาจพะผ่านไปเพียงห้านาทีแต่สถาณการณ์เปลี่ยนไปมาก แทนที่พวกอดัมจะเป็นผ่ายยิ่งกดหัว แต่กลับถูกยิงกดหัวเสียเอง ทหารจาฟานิสถานกว่าเกือบร้อยนายดาหน้าเข้ามายังตำแหน่งของพวกเขาภายใต้กลุ่มควันที่เกิดจากกระสุนควันของปืนครก ม่านควันลอยสูงหน้าพวกเขา เหมือนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างขาและทหารจาฟานิสถาน “ถอยไปแนวรับที่สอง” อดัมตะโกนบอกตั้มและแก้มแหม่มในขณะที่เกอร์ริ่งกราดกระสุนปืนไรเฟิลของเขาเข้าไปในกลุมควันอย่างไม่มีจุดหมาย “จะบ้ารึไงพี่ ถ้าเราถอยเราก็แพ้นะ” อดัมกระชากคอเสื้อของน้องชายจากข้างหลังพร้อมก้มเลงไปกระซิบด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังพยายามเตือนเขา

“นายจะยิงคนที่นายมองไม่เห็นได้ไงวะ แล้วอีกอย่างเกอร์ มันยิงกระสุนควันมาตกหน้าเรา แสดงว่ามันรู้ระยะเราแล้ว อยากเป็นเป้ากระสุนปืนครกก็เชิญ” เขาปล่อยน้องชายของตนและวิ่งลงมายั้งชั้นล่าง โดยมีเกอร์ริ่งตามมาติดๆ เป็นอย่างที่อดัมคาดเอาไว้ กระสุนปืนครกตกลงบริเวณที่พวกเขาอยู่ การระเบิดแผดเสียงลั่นจนทำเอาใจของทั้งสี่เริ่มสั่น “โปรดระวัง มีเครื่องปีกหมุนกำลังเข้าไปยังตำแหน่งของผู้พัน จะถึงในห้านาที” เสียงเร็กซ์ดังขึ้นจากวิทยุ อดัมและเกอร์ริ่งออกมาจากบ้านลงไปสู่ถนนในขณะที่กระสุนปืนครกยังคงกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ห่ากระสุนจากปืนเล็กของทหารจาฟานิสถานก็กระหน่ำเข้ามาพร้อมๆกับม่านควันที่จางลง เกอร์ริ่งวิ่งสุดแรงเพื่อไปยังแนวป้องกันที่สอง ในขณะที่อดัมนั่งคุกเข่าและเล็งยิงทหารจาฟานิสถานอย่างบรรจง ตั้มและแก้มแหม่มออกมาจากบ้านที่กำลังถูกกระหน้ำด้วยกระสุนปืนครกและกระสุนปืนเล็ก ตั้มหยุดอยู่ที่ประตูและกระหน่ำกระสุนใส่ทหารจาฟานิสถาน แก้มแหม่มมร้องขึ้นเบาๆและเสียหลักเล็กน่อยก่อนจะวิ่งไปหาเกอร์ริ่งที่กำลังยิงคุ้มกันจากหลังซากรถเก่าๆ “ตั้มวิ่ง”อดัมสั่งและกระหน่ำกระสุนเป็นชุดๆใส่ทหารจาฟานิสถาน อดัมเปลี่ยนซองกระสุนและวิ่งไปยังตำแหน่งป้องกันที่สอง ตั้มทำการตั้งปืนกับกระโปรถสนิมเครอะและกระหน้ำกระสุนพร้อมกับตะโกนอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ อดัมนั่งลงข้างแก้มแหม่มที่หายใจหอบ หน้าตาซีดเผือกจนอดัมต้องมองดูว่าเธอเป็นอะไร เสื้อสีขาวเปลียนเป็นสีชมพูแดง เวลานี้อดัมรู้แล้วว่า เธอถูกยิง “แก้มแหม่มถูกยิง”อดัมตะโกนและฉีกเสื้อของเธอเพื่อดูปากแผล กระสุนดัดเข้าบริเวณใต้กระดูกใหปาร้าซ้ายปากแผลนั้นพอๆกับลูกมะนาวเลยทีเดียว ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามมีเพียงรูเล็กๆเท่านั้น อดัมล้วงเอาผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าเสื่อเกราะ

“เธอเป็นไงบ้าง” ตั้มถามและหันมามองเธอ

“เธอจะไม่เป็นไร”อดัมตอบและเริ่มพันผ้าพันแผลไปรอบๆ “ตั้มยิงต่อไป”

“ครับผม” ตั้มรับและหันกับไปยิงปืนกล

“ปีกหมุนถึงตำแหน่งคุณในสาม”เสียงของเร็กซ์พูดดังขึ้นจากวิทยุ “ออกมาจากที่นั่นได้แล้ว”

“ไปซะ”แก้มแหม่มพูดขึ้นในขณะที่อดัมกำลังพันผ้าพพันแผลผ่านใต้แขนของเธอ “เดี๋ยวฉันดูหลังให้เอง”

“ไม่” ตั้มตะโกนลั่นก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร “เรามาด้วยกันเราก็ต้องกลับด้วยกัน”

“ไปซะ”

“ไม่มีวัน” เขาพูดและล่ะจากการยิงปืนมานั่งลงข้างๆเธอ “เราจะไปด้วยกัน พี่รักแหม่ม แหม่มก็รู้ เราจะไปด้วยกัน เข้มแข็งไว้”

“ไปซะพี่” เธอพูด อดัมลุกขึ้นและยิงใส่ทหารจาฟานิสถานเพื่อถ่วงเวลาให้ทั้งคู่คุยกันก่อนที่จะหมดโอกาศไปตลอดการ

“ไม่แก้มแหม่ม พี่จะอยู่ไดไงถ้าไม่มีแหม่ม พี่จอยู่ดูแกแหม่มที่นี่นะ พี่จะไม่ไปไหน” ตัมพูด และหันไปหาอดัม “ผู้พันไปเถอะครับ ผมจะดูหลังให้เอง”

“ฝันไปเถอะ ใครจะยอมทิ้งลูกน้องไว้ข้างหลังกันล่ะ” อดัมพูดและกดปุ่มบนวิทยุ “ขอกำลังสนับสนุนทางอากาศด่วนมาก”

“ขอปฏิเสฐ ผู้พัน ผมเสียใจ”เสียจากวิทยุตอบกลับมาอย่างเศร้าๆ อดัมเดาว่าเขาคงดูเหตุการร์ทั้งหมดผ่านดาวเทียมอยู่ จึงรู้ว่าเกิดอะไรบ้างที่นี่

“ให้ตายสิ” เขาพูดออกมาเบาๆ “พาเธอไปที่รถ เราจะไปด้วยกัน”

“ไม่ครับ”ตั้มปฏิเสฐเสียงแข็ง “ผู้พันไป เดี๋ยวนี้ครับท่าน”สายตาที่แน่วแน่จ้องมองอดัม แน่นอน อดัมรู้ดีว่าเขาเปลียนใจตั้มไม่ได้เสียแล้ว

“เกอร์ริ่ง”เขาเรียกน้องชายของตน สายตาของเขายังคงมองตั้มและแก้มแหม่ม “ไปที่รถ” เกอร์ริ่งหยุดยิงและวิ่งไปยังรถขับเคลื่อนสี่ล้อของควีน

“เป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมรบกันท่าน” ตั้มพูดและหันกลับไปลูบหัวของแก้มแหม่มด้วยความเอ็นดู

“เกียรตินั่นสมควรเป็นของฉันมากกว่า” อดัมพูด “ฉันดีใจที่ได้เจอพวกนาย” เขาวิ่งขึ้นรถ เกอร์ริ่งขับรถทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีกระสนุนจำนวนมากตามมาติดๆ ตั้มทิ้งตัวลงนอนข้างแก้มแหม่ม กระสุนของเขาเวลานี้ได้หมดลงไปแล้ว เหลือแต่ปืนพก9มิลลิเมตรไม่กี่ซองกระสุนเท่านั้น ส่วนทางแก้มแหม่มอาการก็ยังคงทรงตัว “ทำไมเรามาไกลได้แค่นี้ล่ะ” ตั้มถามขึ้นลอยๆ “เราฝันว่ามันจะไปไกลกว่านี้ไม่ใช่หรอ” เขาลูบมือที่ซีดเผือกของแก้มแหม่มเบาๆ “พี่ทำให้แก้มแหม่มผิดหวังอีกแล้ว” แก้มแหม่มปิดปากตั้มโดยใช้นิ้วชี้ พร้อมทั้งส่ายหน้าเบาๆ รอยยิ้มจางๆของเธอเวลานี้เหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ตั้มไม่เหนี่ยวไกปืนใส่หัวตนเอง ทั้งความเศร้า เสียใจ ผิดหวัง และความสิ้นหวังกระหน่ำเข้ามายังจิตใจของทั้งคู่

“พี่ตั้ม”แก้มแหม่มพูดด้วยน้ำเสียงหวานเพื่อนที่จะซ่อนความรู้สึกสิ้นหวังภายใน “นั่นไม่สำคัญว่าเรามาไกลแค่ไหน ถึงจุดหมายรึไม่ หรือว่ามันจจะจบอย่างไร” เธอเลือนนิ้วมือไปตามร่างของชายหนุ่มจนหยุดที่มือของเขา เธอกุมมือของเขาแน่น “แต่ที่สำคัญคือเราผ่านอะไรมา สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางแต่คือสองข้างทางที่เราฝ่าฟันร่วมกันมา และที่สำคัญ”เธอหยุดเล็กน้อยและฉีกยิ้มกว้าง “ฉันดีใจที่ได้เกิดมารักพี่” ทันทีที่พูดจบเธอก้มลงจูบตั้ม เหมือนเวลารอบข้างทั้งสองจะหยุดนิ่ง ฝุ้นละออกต่างๆเคลื่อนที่รายล้อมทั้งสองเหมือนจะแสดงความอาลัยอาวร เสียงใบพัดเครื่องเฮลิคอปเตอร์จู่โจมดังเข้ามาไกล เหมือนจะเป็นเพลงที่ปลอบประโลมจิตใจของทั้งสองอย่างไรอย่างนั้น เสียงฝีเท้าของทหารจาฟานิสถานดังขึ้นราวห่าฝนที่เหน็บหนาวตกลงในใจที่ไร้พลังของทั้งสอง แต่สุดท้าย มันก็น่าดีใจ ที่ทั้งสอง ยังมีกันและกัน

จบบทที่4

“เมื่อเธอสิ้นหวัง จนมองบนท้องฟ้า แล้วเธอจะพบมัน”

Jomzababin
30th November 2011, 19:56
ผมก็สอบเข้ามหาลัย เหมือนกัน...แต่ช่วงนี้ซ้อมดนตรีซะมากกว่า...TT

LoveSeeker
11th December 2011, 13:38
อัพเดทอะไรนิดๆหน่อยๆครับ ใครที่อยากมีอารมณ์ร่วมกับเนื้อเรื่องมากขึ้น เชิญได้ที่แฟนเพจของAlone Alonger ครับ
https://www.facebook.com/pages/Alone-Alonger/262639003793244?sk=wall


อย่างเช่น ในระหว่างช่วงก่อนปล่อยตอนไหม อาจจะมีการอัพเดทว่า Alone ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ซึ่งบางครั้งอาจไม่มีในเนื้อเรื่องครับผม ใครเป็นแฟนของนิยายเรื่องนี้ก็เชิญได้เลยครับ

จบประกาศ

LoveSeeker
30th December 2011, 18:09
บทที่ 5: เพื่อน และความสัมพันธ์ที่ไม่อาจลืมเลือน
“พี่อยากฟังเพลงจัง ร้องให้ฟังหน่อยสิ” ตั้มพูดและลูบมือของแก้มแหม่มที่พาดอยู่บนอกของเขา เขานอนหนุ่นตักแฟนสาว มือข้างหนึ่งของเขากำปืนพกของตนเอาไว้แน่น นิ้วแตะไกปืนพร้อมยิง เตรียมตัวรอรับทหารจาฟานิสถานที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้

“งั้น เอาเพลง Goodbyeแล้วกัน”เธอพูด อากาของเธอดูดีขึ้นมาเล็กน้อย เวลานี้เลือดก็หยุดไหลแล้ว ปืนเอยูจี เอ3 ทอดกายอยู่ไม่ไกลตัว เหมือนว่าเธอเตรียมพร้อมกับสิ่งที่ต้องพบเจอ ความตาย กำลังคืบคลานเข้ามาพร้อมเสียงผีเท้าที่ดังก้อง เสียงเรียกกำลังเสริมที่ดังระงมใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ เหมือนว่าจะรอให้ทั้งสองล่ำรากันเสร็จ เสียงใสๆของแก้มแหม่มหำเป็นทำนองของเพลงๆหนึ่ง ก่อนที่เธอเปร่งเสียงร้องออกมาพร้อมน้ำตาที่รินไหลอาบแก้มซีดๆ เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์จู่โจมดังขึ้นเหมือนจะช่วยเป็นทำนองคลอไปกับเนื้อร้องของเพลง ทหารจาฟานิสถานซึ่งอยู่ในบ้านสองข้างทาง และเหมือนจะรอให้แก้มแหม่มร้องเพลงจบ อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของเธอทำให้พวกเขามีชีวิตรอดออกไปได้อีกเล็กน้อย

“ทีนี้ไงต่อ” แก้มแหม่มถาม

“สู้ตาย อย่าให้ผู้พันผิดหวัง” ตั้มพูดและกำปืนแน่น

“ขอปืนให้แหม่ม เอาปืนแหม่มไป เดี๋ยวแหม่มดูหลังให้พี่เอง”เธอพูดและยื่นจับมือข้างที่ตั้มจับปืนเอาไว้ ตั้มคลายมือช้าๆ แก้มแหม่มจับปืนออกมาจากมือของเขาและพยายามขยับให้มองเห็นข้างหลังของสามีได้ถนัด “เราไม่ได้เกิดด้วยกัน” แก้มแหม่มพูดในขณะที่ตั้มจับปืนเล็กยาวของเธอขั้นมาประทับ

“เราจะตายด้วยกัน”ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันก่อนที่ตั้มจะจูบแก้มแหม่มอยากดูดดื่ม ก่อนที่ผละออกจากเธอและไปบริเวณหน้ารถ เขาหันกลับมาพยักหน้าให้แก้มแหม่มเล็กน้อยก่อนที่จะโผล่ออกไปยิงใส่ทหารจาฟานิสถานที่มองออกมาจากประตูเพื่อสอดแนม กระสุนหลายนัดเกาะกลุ่มกันเข้าหาชายคนนั้น แม้เขาจะเห็นตั้ม แต่ก็ไม่อาจหลบกระสุนได้พ้น สามนัดจากกระบอกปืนของแก้มแหม่มเข้ากลางศรีษะของทหารนายนั้นก่อนที่กระสุนจากปืนของทหารจาฟานิสถานจะกระหน่ำเข้ากดดันตั้มจนต้องหลบลงหลังที่กำบัง ทหารจาฟานิสถานสี่นายโผลออกมาจากตรองเบื่อหลังซากรถที่ตั้มและแก้มแหม่มใช้เป็นที่กำบัง แต่พวกเขาก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของแก้มแหม่มได้ เธอกระหน่ำกนะสุนเร็วที่สุดเท่าที่ปลายนิ้วของเธอจะเหนี่ยวไกได้ ทั้งสี่ลงไปนอนโอดครวญที่พื้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ตั้มจะหันมายิงซ้ำเป็นรายคนคนนอนแผ่หลาทั้งสี่คน กระสุนปืนใหญ่อากาศจากเฮลิคอปเตอร์จู่โจมพุ่งลงใส่พื้นหาจากทั้งสองไปไม่มาก ตั้มทิ่งปืนลงและโผเข้ากอดแก้มแหม่มโดยทันทีที่กระสุนเริ่มตกลงรอบๆพวกเขา แก้มแหม่มร้องให้สะอื่นออกมาและซบลงบนอกของตั้ม ห่าฝนตะกั่วได้หยุดลงไปแล้ว เสียงการเรียกกำลังเสริมเข้ามาแทนที่ ทหารจาฟานิสถานก้าวออกจากที่กำบังและเดินเข้าหาตั้มและแก้มแหม่มจากทุกทิศทาง เวลานี้กระสุนของทั้งสองแทบไม่เหลือเลยคงมีกระสุนเหลืออยู่ในแม็กกาซีนปืนพกเพียงสองสามนัทเท่านั้น

“พี่ขอโทษ” ตั้มพูดและพิงซากรถขึ้นสนิมที่เต็มไปด้วยรูกระสุน “พี่ทำให้แหม่มผิดหวังอีกแล้ว” น้ำตาลูกผู้ชายของเราเริ่มรินไหล แฟนสาวใช้มือข้างที่ใช้ได้จับไหลของเขาและสายหน้าทั้งน้ำตาที่พรั่งรู้ออกมาอาลัยอาวรให้วาระสุดท้ายของชีวิต แก้มแหม่มและตั้มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมๆกันโดยไม่ได้นัดหมาย เฮลิคอปเตอร์จู่โจมพร้อมอาวุธบินวนเข้ามาหาพวกเขา ทั้งสองรับรู้ได้ถึงสายลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าพร้อมฝุ่นละออง มันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันเคลื่อนที่เข้ามาใกล้มันหยุดอยู่สูงเหนือพวกเขาไม่มากนัก และหันปืนกลอากาศขนาด12.7 มม. เข้าหาพวกเขา ทั้งสองหลับตาลงพร้อมกันและกุมมือกันไว้แน่น

“ลาก่อน”แก้มแหม่ม” แก่มแหม่มพูดเบาๆก่อนที่ทั้งสองจถูกเฮลิคอปเตอร์ยิงถล่มด้วยปืนกลอากาศ จนร่างแหลกเหลวไม่เหลือชินดี

สามวันต่อมา กลางดึกคืนหนึ่ง ทางตอนเหนือของรัสเซีย

“ที่นั่นสินะ กอง บ.ก. ข้าศึก” เรวานอฟพูดพร้อมสองกล้องมองดูหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่รายรอบด้วยแนวกระสอบทราย หอคอยสูง และรั้วลวดหนาม เป้าโลหะรูปร่างคล้ายคนถูกตั้งไว้หน้าเต็นท์ขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีรถถังที่สร้างจากไม้อีกหลายคันจอดอยู่ใกล้ๆกัน “มีรถถังด้วยแฮะ”

“ใช่ อีกไม่กี่วันคนถูกเข็ญออกมารับพวกเรา” อโลนพูดและมองดูหมู่บ้านที่ตั้งตระหง่าทามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ไฟจากบ้านหลังต่างๆทำให้อโลนพอจะเดาได้ว่านี่คือบททดสอบการโจมตีในเขตเมือง และการควบคุมฝูงชน “เตรียมลุยได้แล้วสหาย เราจะไปนอนใน บ.ก.ข้าศึก”

“รับทราบ”เรวานอฟพูดและยิ้มอย่างมีเลศนัย “ดีนะที่เราส่งข่างลวงให้โอเวอร์ลอร์ด พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเรามาอยู่นี่” เขาละสายตาจากกล้องส่องทางไกลและไสลด์ลงจากเนินดินมาหาเพื่อนร่วมหมวด อโลนมองดูหมู่บ้านเล็กน้อยก่อนจะลงมาตามเรวานอฟ

“ถ้าอยากจะหลอกข้าศึก ต้องหลอกฝ่ายตัวเองให้ได้ก่อน”เขากระซิบกับเรวานอฟก่อนจะหันไปมองลูกหมวดของตน “ท่านทั้งหลาย ผมต้องขอบคุณทุกท่านมากที่ลงแรงลงใจ พยายามมากันถึงที่นี่” อโลนนั่งลงบนดินที่ลาดชันขึ้นไปถึงเนินดินเบื่องบน “คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราอยู่ที่นี่ อีกสิบนาที เราจะลอบเข้ายึด บ.ก.ข้าศึก งานนี้เราได้ลาบก่อนโตแน่ เพราะผมบอกโอเวอร์ลอร์ดว่าเราอยู่ห่างจากนี่ห้าสิบไมล์ ทุกท่าน เตรียมตัวได้แล้ว พร้อมในห้า ไปในสิบ”สิบนาทีต่อมา อโลนก็เรียกรวมหมวด จัดแจงแผนการโดยจะให้หมู่หนึ่งและสองเข้ายึดหมู่บ้าน และหมู่สามทำการลอบเข้ายึด บ.ก.อโลนและหมู่สามนั่งหลังเนินดิน รอให้หมู่ที่หนึ่งและสองเริ่มทำการเข้ายึดหูม่บ้าน

“ทำไมถึงเป็นหมู่สามทุกที” สมาชิกหมู่คนหนึ่งถาม แต่อโลนก็ไม่ตอบหากแต่หันไปยิ้มแบบสบายๆให้เขา “ผู้หมวดครับ แค้นอะไรพวกผมรึเปล่า”ทหารคนเดิมถาบแบบทีจริงทีเล่นทำเอาทุกคนที่ได้ยินขำออกมาเบาๆ

“เปล่าๆ”อโลนพูดและมองดูมิโกะที่ยังคงงอลเขาอยู่เหมือนเดิม “เราหมวดสาม แล้วนายหมู่สาม บวกกันแล้วมันได้หก” อโลนพูดเสียงเรียบๆ ทำเอาหมู่สามทุกคนถึงกับแสดงอาการทึ่งกับคำตอบของเขา “ไปกันได้แล้ว” เขาพูด ดึงกล้องมองกลางคืนให้เข้ามาอยู่บริเวณตาและขึ้นลำปืนในมือ ทหารทั้งสิบสี่นายเดินผ่านแสงจันทร์ไปยังแนวกระสอบทราและเต็นท์ที่คาดว่าจะเป็นกองบัญชาการข้าศึก ซึ่งในขณะเดียวกันนี้ หมู่หนึ่งและสองก็กำลังทำการจู่โจมจากอีกฝั่ง อโลนและทหารหมวดสามก้มตั้วต่ำในขณะที่เข้าใกล้แนวลวดหนาม แนวกระสอบทรายเงียบมาก ไม่มีแม้แต่ทหารยาม อาจเป็นเพราะทหารช่างนั้นคิดว่าพวกเขาอยู่ห่างออกไปไกล จึงไม่ได้ทำการเตรียมรับมือหรือแม้แต่จัดเวรยาม

อโลนเดินผ่านเป้าโลหะไปอย่างช้าๆ และมุ่งไปยังหมู่รถถังจำลอง อโลนส่งสัญญาณมือให้ทีมชาลีทำการติดตั้งระเบิดบนรถเหล่านั้น ทีมชาลีแยกออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบและเข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อโลนและสองทีมที่เหลือก้มตัวต่ำและเคลื่อนต่อไปจนถึงหน้ากลุ่มเต็นท์ซึ่งมีเต็นท์ขนาดกลางตั้งอยู่สามหลัง เขาให้สัญญาณหยุดและรอจนทีมชาลีกลับมาร่วมกลุม จากนั้นอโลนจึงจัดแจงให้แต่ละทีมจัดการในแต่ละเต็นท์ โดยที่อโลนและหัวหน้าหมู่คอยดูหลังให้พวกเขา อโลนพยักหน้าให้ทุกทีม ทั้งสามทีมเปิดประตูเต็นท์ที่ทำจากสังกะสี ตามด้วยการโยนระเบิดแสงและระเบิดลูกยางเข้าไปในเต้นและละหลัง วินาทีต่อมา ระเบิดทั้งสองก็ระเบิดขึ้น ส่งทั้งเสียงทั้งแสง และทั้งลูกยางกลมๆไปทั่วทั้งเต็นท์ เสียงโอดครวญของทหารช่างดังขึ้นอย่างโหยหวน ทหารสิบสองนายเข้าผ่านประตูเต็นท์แต่ละหลัง พลางตะโกน “นี่บีเอพีเอ็มซี หมอบลงกับพื้น” เสียงตะโกนนั้นดังแข่งกับเสียงของทหารช่างที่ตะโกนว่า “น้ำเงินบนน้ำเงิน” (เป็นรหัส แปลว่ายิงพวกเดียวกันเอง และให้หยุดยิงทันที) ไม่นานนักความวุ่นวายก็จบลง เหลือเพียงเสียงสบดก่นด่าของทหารช่าง อโลนเข้าไปดูภายในเต็นท์แต่ละเต็นท์เพื่อนับจำนวนเชลยศึก จนต้องมาหยุดที่เตทน์หลังหนึ่ง

“ฉันเป็นพันตรีนะโว้ย พวกแกมาทำแบบนี้กับฉันได้ไงวะ พวกเปรต” ชายคนหนึ่งในชุดฝึกสภาพร่างกายของบีเอพีเอ็มซีพูดขึ้น เขานอนคว่ำหน้าบนพื้นที่ถูกปูด้วยผ้า โดยที่ร่างของเขาถูกหญิงสาวคนหนึ่งนั่งทับอยู่จนเขานั้นลุกไม่ขึ้น อโลนเข้ามาภายในเต็นท์และนั่งคุกเข่าลงหน้านายทหารคนนั้น

“คุณยศพันตรีหรือครับ” อโลนถามในขณะที่ทหารของเขาคนหนึ่งกำลังใส่กุญแจมือพลาสติกให้กับทหารช่างอีกคน

“เออสิวะ ไอ้ร้อยตรี (เซ็นเซอร์) ปล่อยกูไปเดี๋ยวนี่นะ” เขาพูดและดินอย่างรุนแรงเพื่อให้หลุดจากการพันธนาการและตะโกนว่า “ปล่อยกู”

“ใส่กุญแจมือมันซะ แล้วก็หาอะไรปิดปากไว้ด้วย”อโลนสั่งหัวหน้าทีมชาลี และเดินออกไปจากเต็นท์ “นี่บราโว่-3 เรียกโอเวอร์ลอร์ด”อโลนพูดกับวิทยุ

“โอเวอร์ลอร์ด ทราบแล้วเปลี่ยน”

“ภารกิจเสร็จสิ้น จับกุมนายทหารของข้าศึกได้หนึ่งคน ขอคำแนะนำด้วย เปลี่ยน”

“ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ผู้หมวด ตรึงพื้นที่ไว้ กองพันของเราจะไปสมทบในเวลารุ่งสาง เลิกการติดต่อ” อโลนทำการสั่งหมวดของตนให้จัดแนวป้องกัน พวกเขาทุกคนนอนไม่หลับกันทั้งคืนเนื่องด้วยความปิติยินดีที่มีอยู่เต็มหัวใจ เวลาเช้ามาถึงพร้อมกับกองร้อยยานเกราะที่เคลื่อนเข้ามา ตามด้วยทหารราบ โอเวอร์ลอร์ด หรือตัวจริงของเขาก็คอ นายพลเอกเฟร็ดเดอร์ริค วอร์ฟิล มาพบและแสดงความยิดีกับเขาด้วยตัวเองพร้อมๆกับพี่ชายทั้งสองของอโลน ทหารใหม่น้อยคนนักที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานเฉกเช่นเขา นายพลเฟร็ดเดอร์ริค ผ่านสงครามมานักต่อนัก จนนายพลวัย63ปีคนนี้ไม่มีโอกาศเกษียร เพราะว่าไม่มีใครเก่งพอที่จะแทนที่เขาได้เลย

นายทหารหมวด3กองร้อยบีได้สัมผัสมือกับผู้เป็นตำนาน และได้ร่วมถ่ายรูปหมู่กับเขา ดวงตะวันเริ่มคล้อยขึ้นสูง ทหารทุกนายเข้าแถวเตรียมรับเหรียญพิชิตการฝึก แต่อโลนและสมาชิกหมวดสามได้รับเหรียญโดยตรงจากพลจัตวาอดัม ที่ได้รับการแต่งตั่งเมื่อสามวันก่อน ซึ่งอโลนก็ยังเสียดายที่ไม่ได้ไปงานนี้ ทหารแต่ละคนแยกย้ายไปยังยานพาหนะของแต่ละหมวด ซึ่งมันจะนำพวกเขากลับไปยังสถาบัน ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งไปฝึกยังสถานที่ต่างๆทั่วโลก อโลนถูกแยกจากหมวดและถูกส่งไปยังเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของอดัม สามพี่น้องนั่งอยู่ในห้องโดยสารของเครื่องโดยพร้อมเพรียง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทั้งสามได้มาพบกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนว่าจะดูเชิงของผ่านตรงข้ามก่อนเสียอย่างนั้น สิบนาทีผ่านไป มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และใบพัดเท่านั้น จุนอดัมเริ่มเปิดประเด็น

“ไปหลุมศพพ่อมาเหรอ” อดัมพูดในขณะที่สายตาจับจ้องกับป่าสนเบื่องล่าง

“ครับ”อโลนตอบแบบนิ่งๆ เขามองดูป่าสนเบื่องล่างเหมือนดั่งที่อดัมทำ “ผมแค่อยากให้น้องรอด” อโลนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อดัมถอนหายใจก่อนจะหันมามองอโลน

“เอาน่า เราเปลียนอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่นา”อดัมพูดและดึงกระติกน้ำเข็งทรงสี่เหลียมออกมาจากใต้ที่นั่ง เขาเปิดฝากระติดและหยิบขวดเหล้าเย็นฉ่ำออกมาพร้อมแก้วพลาสติกสามใบ “อันที่จริงกะว่าจะเปิดบนเครื่องเจ็ทนะ แต่ว่า”เขาหยุดและแจกแก้วให้อโลนและเกอร์ริ่ง “เปิดตอนนี้เลยแล้วกัน” เขาเปิดขวดและรินเหล้า249ปีของตระกูลลงในแก้วของแต่ละคน “แด่อโลน อลองเกอร์”เกอร์ริ่งพูดและยกแก้วชูขึ้นเหนือหัว “ผู้ทำลายค่ายทหารช่าง” อดัมและอโลนขำออกมากับมุกตลกแดกดันของเกอร์ริ่ง ก่อนที่จะดื่มเหล่าดีกรีสูงเข้าไป

“พี่”อโลนพูดและยื่นแก้วเหล้าให้อดัมรินให้อีกครั้ง “ผมสงสัยหลุมศพทหารสองคน ไม่ยักยิงปืน21นัด”

“อ้อ สงใสจะลืม” เกอร์ริ่งตอบ “โดนกระสุนปืนใหญ่อากาศจนไม่เหลือศพให้เก็บ”

“เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการดาบอัคคี”อดัมตอบและรินเหล้าใส่แก้วของอโลน “พลาดไปหน่อย เสียดายที่ไม่มีใครยิงปืนสดุดี”

“พี่ก็รู้ว่าพี่โกหกไม่เนี่ยน” อโลนพูดและดื่มเหล้า ใบหน้าของเขาเริ่มแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด “บอกมาซะเถอะพี่”

“ก็ได้ พวกเขาถูกย้ายไปบลัดออฟก๊อดหมวดสี่”อดัมดอบพร้อมดื่มเหล้าในแก้วจนหมด

จาฟานิสถาน สามวันก่อน

เสียงบางอย่างดังขึ้น มันเสียงกระสุนแหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบกัน แต่ไม่ เสียงมันดังห่างจากพวกเขามาก ตั้มลืมตาขึ้นและพบว่าเครื่องปีกหมุนจู่โจมกำลํงถูกระดมยิงจากด้านข้างด้วยอะไรบางอย่าง กระสุนเจาะทัลุและฉีกเกราะของเฮลิคอปเตอร์จู่โจมอย่างง่ายดาย เลือดสาดกระเว็นไปทั่วห้องนักบิน กระจกถูกกระสุนเจาะทะลุอย่างง่ายดาย ควันครุกรุ่นออกมาจากเครื่องยนนต์ มันเสียแรงยก หมุนควง และตกลงมาใส่ทหารจาฟานิสถานโชคร้ายที่อยู่ในทางตกพอดิบพอดี แก้มแหม่มไม่ปลอกโอกาศให้หลุดลอยไป เธอยิงปืนพกในมืออย่างบรรจงไปยังทหารจาฟานิสถานสามนายที่กำลังสับสนและงงงวย กระสุนเข้ากลางศรีษะของทั้งสามอย่างแม่นยำและส่งพวกเขาไปนอนหมดสภาพ เครื่องบินใบพัดลำหนึ่งบินผ่านเหนือเมืองไป ถึงแม้เครื่องลำนั้นจะบินเร็วมาก แต่ตั้มก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านั้นคือเครื่อง พี-51 มัสแตง “ไฮแลนด์เดอร์เรียกไอซ์แมน คิดถึงฉันไหม เปลี่ยน”เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากวิทยุ
“****ได้ดีเปลี่ยน” เร็กซ์พูดผ่านวิทยุ (****ได้ดีหรือGood FUCK! คือศัพท์สแลงของทหารอากาศ บีเอพีเอ็มซี สือความหมายว่ายิงได้ดี เมื่อใช้ปืนกลอากาศยิงเครื่องบินข้างศึกร่วง) “ตรงเวลาแบบบัตซบเลยว่ะ” เสียงเกอร์ริ่งดังขึ้นมาเหมือนกับตะโกนมส่วิทยุด้วยความสะใจอย่างไรอย่างนั้น “หุบปากไว้พ่อคนเถื่อน ไอซ์แมน เราจะเครียหมู่บ้านและกองกำลังข้าศึกให้ คุณกลับไปทำภารกิจและไปยังจุดถอนกำลังได้เลย เปลี่ยน”

“ทราบแล้ว ระวังด้วย ในหมู้บ้านมีคนของเราสองคน หลบอยู่หลังรถบรรทุกสีขาว”

“ทราบแล้ว พวกนายยังอยู่ข้างล้างนั่นไหมเปลี่ยน”

“ยังอยู่เปลี่ยน ต้องการความช่วยเหลือด่วนมาก”

“ก้มหัวต่ำๆนะสหาย ตะกั่วร้อนๆกำลังจะไปหานาย”

“เรดาร์ถูกทำลายแล้ว เปลี่ยน”เสียควีนดังขึ้นจากวิทยุ “เตรียมการถอยได้”

“เยี่ยมมากพี่สาว ไฮแลนเดอร์เรียกทุกราเว่น ใช้ขบวนกำแพงตะกั่ว” เครื่องบินอีกหลายลำบินผ่านหัวตั้มและแก้มแหม่มไปรวมกันอยู่ใกล้กับชายหาด พวกเขาแปรขบวนเป็นแถวยายแบบปีกต่อปีก บินเข้ามาหาหมู่บ้านที่ตั้มและแก้มแหม่มอยู่ก่อนจะกดหัวลง และกระหน่ำสารพัดปืนใส่หมู่บ้าน กระสุนตกลงไม่ห่างจากพวกเจามากนัก เศษฝุ่นและดินกระเด็นกระดอนขึ้นสูง ร่างของทหารจาฟานิสถานถูกฉีกด้วยกระสุนจากปืนใหญ่อากาศจนไม่เหลือชินดี แม้จะหลบอยู่ใต้หลังคาดินของบ้านหลังต่างๆ กระสุนก็ยังสามารถเจาะทลวงเครื่องกำบังเหล่านั้นลงไปฆ่าทหารจาฟานิสถานอยู่ดี เลือดและเนื้อกระเด็ดเปรอะตามผนังและถนน ฝุ่นควันลอยตลบไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เว้นแต่เพียงถนนที่เข้าสู่หมู่บ้านจากทางทะเลเท่านั้นที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฮู้เร่”เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากวิทยุ เครื่องพี-38 ไลท์นิ่งแปดลำบินโฉบเหนือหมู่บ้านด้วยความเร็วสูงและตรงเข้าหาขบวนรถของทหารจาฟานิสถานที่อยู่นอกหมู่บ้าน

“จบแล้วสินะ” ตั้มพูดและมองดูซากศพที่ถูกฉีกด้วยกระสุนปืนกลอากาศ

“คงงั้น”แก้มแหม่มพูดและพยายามลุกขึ้นยืนโดยมีตั้มช่วยพยุง “ว้าว”เธอร้องออกมาเบาๆหลังจากที่เห็นซากศพของทหารจาฟานิสถานที่เพ่งมองอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ว่าร่างของใครเป็นของใคร เธอโอบเอวสามีและซบอกของเขา รอยยิ้มเจือๆผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่

สองวันต่อมานับจากอโลนผ่านการฝึก

ณ ชายหาดแห่งหนึ่ง อโลนในชุดเสื้อเชิร์ตสบายๆ กางเกงขาสามส่วน นั่งบนม้านั่งยาวทามกลางแสงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า ข้างๆเขาคือเกอร์ริ่งและพ่อแม่ของอดัม ส่วนม้านั่งทางฝั่งขวาของทางเดินหินสีขาวเป็นของพ่อแม่ญาติพี่น้องในตระกูลอีลิแกน ถัดไปเบื่องหลังคือเหล่าที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ เพื่อนๆของอดัมและควีน รั้วไม้ถูกสร้างขึ้นล้อมรอบบริเวณ ด้านหน้าตรงกลางของม้านั่งทั้งสองฝั่งคือแทนประกอบพิธีซึ่งทำจากไม้ ขัดแต่งและเคลือบผิวมาอย่างดี ชายในเสื้อเชิร์ตสบายๆ และกางเกงขายาวยืนอยู่หลังแท่นนั่น เขาคือนักบวชในศาสนาพรีเดเตอร์โลจี่ที่อดัมและควีนนับถือ ศาสนาพระเดเตอร์โลจี่ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับบีเอพีเอ็มซี หลักคำสอนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการปลูกฝั่งให้รักเพื่อน พวกพ้อง และสอนใหใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา ศาสนานี้ไม่เคร่ง ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ ไม่มีพิธีกรรมอะไรมากมาย เป็นเหมือนศาสตร์แขนงหนึ่งมากกว่า แต่สาวกทุกคนก็ทำตามคำสอนอย่างเคร่งครัด แม้ศาสดายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นใคร แต่ตำนานกล่าวไว้ว่า ศาสดาได้รับพรจากเทพผู้สร้างและทำลาย อันมีนามว่า พรีเดเตอร์ ให้เปลี่ยนร่างเป็มนุษย์ และสอนให้ชาวโลกรู้จักหยิบยื่นความรักให้แก่กัน

อดัมก็อยู่ในชุดที่ไม่ต่างจากนักบวชมากนัก เพียงแต่เขาใส่หมวกปีกสีทรายที่เข้ากับบรรยากาศเวลานี้ได้พอดี เสียงพูดคุยดังระงม เวลานี้เรื่องที่ทุกคนพูดกันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องเจ้าสาวของงาน สายลมพัดโชยพร้อมกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดหญิงสาวสองคนปรากษขึ้นเบื่องหลังของแขก ชุดกระโปรงสีแดงสดลายดอก ผมซอยสั้นสีน้ำตาล ดูเข้ากับมงกุฎดอกไม้สีเหลืองอร่าม สาวสวยอีกคนไม่ใช่ใครนอกจากน้องสาวของควีน เธอดูไม่ต่างจากพี่เลย หากแต่ตัวเล็กกว่า ผมยาวถึงและผมของเธอนั้นยาวสรวยถึงกลางหลัง ทั้งสองเดินไปตามทางเดิน จนควีนมายืนเคียงข้างกับอดัม น้องสาวของเธอก้มหัวให้นักบวชเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างกับพ่อแม่ของเธอ เสียงพูดคุยเงียบลงโดยพลัน

“เอาล่ะเหมือนจะพร้อมกันแล้ว” นักบวชพูดพร้อมยิ้ม “เจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมแล้วนะครับ”

“ครับ/ค่ะ”อดัมและควีนพูดเป็นเสียงเดียว

“งั้นขอเริ่มล่ะนัครับ” เขาพูดและกระแอม ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยเสียงอันทรงพลัง “ขอต้องรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่ายที่มาในอยู่ณที่นี่ วันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่หนุ่มสาวจะแสดงออกถึงความรัก ความซื่อสัตย์ ความไว้ใจ” เขาหยุดหายใจเล็กน้อง “คนเราเกิดมาพร้อมสองขา สองแขน สองตา และหลายๆอย่างในตัวของเราที่เกิดมาเป็นคู่ ยกแว้นสิ่งหนึ่ง”เขาหยุดและมองไปรอบๆ “หัวใจ” เขาเว้นช่วง “หัวใจเป็นสิ่งเดียวที่เกิดมาไม่มีคู่ เป็นสิ่งเดียวที่ต้องเดียวดาย แต่ไม่ ที่จริงแล้วหัวใจไม่ได้มีดวงเดียว” เขามองดูเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่บัดนี้กำลังกุมมือกัน มองดูและอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง “หัวใจคนเรามีอีกดวง อยู่ไกลแสนไกล หัวใจต่างก็เฝ้ารอให้หัวใจ มาเติมเต็มกันและกัน เหมือนดั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันนี้” ทุกคนในงานยิ้มอย่างมีความสุขไปกับคำพูดของนักบวช พิธีกรรมและการจดทะเบียนสมรสเสร็จสิ้นลง ก็ถึงเวลาของงานเลี้ยง งานเลี่ยงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อาหาร เครื่องดื่ม การเต้นรำ เจาบ่าวเจ้าสาวง่วนอยู่กับการเดินคุยกับแขกตามโต๊ะและขึ้นเวที ส่วนเกอร์ริ่งก็มัวแต่จีบน้องสาวของควีน งานรับแขกจึงตกเป็นของอโลนและหยก เพื่อนสนิดของเขาตั้งแต่สมันเรียนมัธยม หยกเป้นชายร่างใหญ่ ตัวท้วม ใจดีกับเด็กๆและผู้หญิง ส่วนผู้ชายน่ะหรอ มันไม่สน งานเลี้นงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเลยเข้าสองยาม เกอร์ริ่งหายไปตามอดัมอีกคน ส่วนอโลนทีเหนื่อยอ่อนจากงานรับส่งแขกก็นั่งพักที่บาร์เหล่าริมสระน้ำของโรงแรม “อลองเกอร์” อโลนเดินเข้าไปหลังบาร์เปิดตู้ต่างๆเพื่อหาเหล้าดื่ม แน่นอน นับตั้งแต่งานเริ่ม เขายังไม่ได้ดื่มอะไรสักแอะ ตู้แช่เย็นว่างแทบจะว่างเปล่า เหลือแต่เพียงน้ำเปล่าที่ถูกเปิดดื่มแล้ว อโลนฉวยขวดน้ำและเปิดดื่มหลายอึกก่อนจะเทน้ำที่เหลือราดใบหน้าเพื่อเรียกความสดชื่น เขามองดูฉลากก่อนจะโยนมันลงถังขยะที่เต็มไปด้วยขวนน้ำพลาสติก

“เหล้าก็ไม่มีให้ดริงค์ เฮ้อ”เขาพูดตัดพ้อก่อนจะถอนหายใจยาว และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บาร์ เขาฟุบกับเคาท์เตอร์และกำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงของบางอย่างวางลงบนเคาท์เตอร์ เขาพยายามชูคอขึ้นมอง ใบหน้าของหยกปรากฏขึ้นพร้อมกับถุงพลาสติกติดโลโก 7-11 “อะไรของแกวะ” อโลนถามแบบไม่สบอารมณ์

“ก็เห็นนายจะหลับเลยหาอะไรมาให้ดริงค์” หยกพูดพร้อมยิ้ม ซึ่งอโลนก็ได้ยิ้มตอบก่อนจะล้วงเข้าไปเอากระป๋องเบียร์ออกจากถุง หยกนั่งลงตรงข้ามกัยอโลนและเปิดกระป๋องน้ำอัดลม “เหนื่อยรึเปล่าวะชิบ”หยกเริ่มถามทั้งๆที่คำตอบก็อยู่ตรงหน้าแล้ว

“ไม่เหนื่อยกันจะน็อกแบบนี้หรอวะ” อโลนตอบและซดเบียร์ในกระป๋องอย่างเอร็ดอร่อย “พี่อดัมก็หนีไปทำการบ้านตั้งแต่สามทุ่ม พี่เกอร์รี่งก็หายหัวไปไหนไม่รู้”

“ทำการบ้านอีกคนล่ะมั้ง”หยกพูดและซดน้ำอัดลม อโลนยิ่มเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มถามไถ่ความเป็นอยู่และเรื่องของเพื่อนที่อโลนเคยเรียนด้วยเมื่อครั้งยังอยู่มัธยม ไปจนถึงเรื่องเก่าๆในอดีต เวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมงก่อนที่เกอร์ริ่งจะโผล่ออกมาพร้อมหญิงไทยคนหนึ่ง ทั้งสองเดินโอบกันออกมาจากโรงแรม ทั้งสองจูบลากันบริเวณประตูกระจก ก่อนที่เกอร์ริ่งจะตรงมาทางพวกเขา

“ไปไหนมา” อโลนถามทันทีที่เกอร์ริ่งนั่งลงบนเก้าอีบาร์

“ทำการบ้าน”เขาตอบและรับเบียร์ที่หยกโยนให้

“ฉันบอกนายแล้ว” หยกพูดและจิบน้ำอัดลม

“ใครจะไปรักษาความบรุสุทธิ์ไว้แบบนายล่ะว่ะ”เกอร์ริ่งสวนทันควันทำเอาหยกและอโลนสำลัก ทางอโลนนั้นขำออกมาดังมาก ส่วนหยกมองหน้าเกอร์ริ่งที่ยิ้มแฉ่งล้อเลี่ยนเขา “ใช้ไหม จร” เขาหันไปถามอโลนที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะ

“เออๆ ผมมันไม่ดี ไม่เหมือนพวกพี่กับจรนี่นา”หยกพูดตัดพ้อ เกอร์ริ่งหัวเราะร่าพร้อมตบหลังหยก

“เอาน่า ไอ้น้อง สักวันนายจะเจอคนที่ใช่”เกอร์ริ่งปลอบหยกและซดเบียร์ต่อ

“ผมว่ามันดึก ไม่สิ มันเช้ามากแล้วนะครับ ผมขอตัวก่อนดีกว่า” เขาพูดและมองดูนาฬิกาข้อมือ

“ฉันก็ว่างั้นนะ เดี๋ยวฉันไปส่งนายแล้วกัน” อโลนพูดและลุกขึ้นพร้อมๆกับหยก

“ขอบใจ” ทั้งสองล่ะจากบาร์แล้ะเดินไปตามทางที่โรยด้วยก้อนกรวดหลากสี ต้นลั่นทมสองข้างทางผลิบานและร่วงหล่นลงสู่พื้น ทั้งสองเดินไปในความเงียบจนถึงครึ่งทาง “เฮ้”ทั้งสองพูดและมองหน้ากัน แต่อโลนพยักหน้าให้หยกพูดก่อน หยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังเศร้าหมอง “ทำไมมีดอกลั่นทมทุกที่ที่ฉันไปเลยวะ” เขาพูดและเก็บดอกหนึ่งขึ้นมาจากพื้นเขาลูบไล้มันอย่างทนุถนอมเหมือนกับกำลังลูบไล้ใบหน้าของใครคนหนึ่งอยู่

“เพราะเธอคือพลัง ที่ขับเคลื่อนนายให้ก้าวไปข้างหน้ายังไงล่ะ”อโลนพูด “เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของนาย แต่เธออยู่ลึกในวิญญาณของนาย เป็นส่วนหนึ่งของนาย ถ้านายขาดเธอ นายคงอยู่ไม่ได้” เขาตบไหล่ของหยก ซึ่งหยกก็หันมามองหน้าเขาและพยักหน้าให้เขาถามเรื่องที่เขาอยากรู้ “จูนเป็นไงมั่ง”

“สบายดี”หยกตอบและก้าวเดิน “น้องแกยังไม่มีแฟนใหม่ เหมือนจะยังลืมนายไม่ได้ว่ะ” หยกโยนดอกลั่นทมไปข้างทางและล่วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ

“ฉันผิดรึเปล่าวะที่บอกเลิกไปแบบนั้นน่ะ” อโลนถามสีหน้าหมดความมั้นใจ “ฉันทำร้ายคนที่ฉันรักได้ไงวะ เฮ้อออ!”

“นายทำถูกแล้วเพื่อน” หยกปลอนในขณะกดโทรศัพท์หาเบอร์คนขับรถของเขา “ถ้านายไม่ทำ แล้วนายโดนยิงตาย เธอจะเสียใจมากกว่านี้” หยกพูดเสียงเข้ม อโลนพยักหน้าและกำหมัดออก หยกกำหมดและกระแทกมันเข้ากับหมัดของอโลนเบาๆ “ASOG friendship forever” ทั้งสองพูดพร้อมกัน หยกคุยกับคนขับรถผ่านทางโทรศัพท์และนัดแนะคนขับรถให้มารับ ทั้งสองยืนเคียงข้างกันในความเงียบ จนแสงไฟหน้ารถของรถกระบะสี่ประตูจะเคลื่อนเข้ามา “โชคดี” อโลนบอกหยก

“เช่นกัน”ทั้งสองโผเข้ากอดกันจนรถมาจอดเทียบ “แล้วเจอกัน” หยกผละจากอโลนและเปิดประตูรถ “อ้อ! เกือบลืมแนะ”หยกหยุดเมื่อก้าวข้าข้างหนึ่งขึ้นไปบนรถ หยกล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทและหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาให้อโลน “เพื่อนๆฝากมา” อโลนรับมันไว้ก่อนที่หยกจะขึ้นรถ เขารอจนรถหายลับไปจากสายตา จึงกลับเข้าไปในโรงแรม เขามาถึงสระน้ำหน้าโรแรมก็พบว่าอดัมและควีนมาพร้อมกันที่บาร์แล้ว อโลนขยับภาพถ่ายเข้าหาแสงไฟเพื่อที่จะได่มองได้ชัดๆ ในรูปนั้นมีอโลน หยก และเพื่อนๆกลุ่มแกงค์ASOG ไม่ว่าจะเป็นจัมพ์ ชายตัวผอมไม่ค่อยพูด ต่อ ชายร่างบางแต่มีความเป็นผู้นำสูง แชมป์ ไอ้อ้วนเอาแต่ใจ แต่ไม่เห็นแก่ตัว กระแต เด็กเรียนสุดบ๊อง เตย สาวผิวเข้มแฟนหยก และคนสุดท้าย จูน อดีตแฟนสาวของเขานั่นเอง ทุกคนต่างโพสต์ท่าต่างๆนาๆ สีหน้ามีความสุข จนทำให้อโลนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ลายมือหวัดๆเอียงๆ เขียนไว้ที่มุมหนึ่งของรูปว่า ‘ASOG friendship forever’ อโลนพลิกไปดูข้างหลังรูป ตราของASOG รูปฟันเฟืองและหัวกะโหลกอยู่ที่มุมหนึ่งของด้านหลังภาพ ส่วนที่เหลือคือคำพูดที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ที่ดูแล้วน้าจะเป็นลายมือของจูน ‘อย่ากลัวที่จะต้องแพ้ อย่ากลัวที่จะต้องหนี อย่าลัวที่จะต้องเสียอะไรบางอย่างไป เพราะสุดท้าย ยังดีกว่าไม่ได้ทำ คิดถึงและห่วงใยจูน’ เขาอ่านและยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อสำนึกถึงความผิดที่เขาได้กระทำลงไป เขารีบเก็บรูปใส่กระเป๋าเสื้อสูทและรีบเดน้ำตาพลางพูดกับตัวเองเบาๆ “ฉันนี่มันไม่เข้มแข็งเลย” เขาเช็ดน้ำตาและรอจนมั่นใจว่าไม่มีใครจับได้ว่าเขาร้องให้ จึงเข้าไปร่วมวงกับพวกของอดัม “จาฟานิสถานเป็นไงมั่ง”อโลนเอ่ยถามและรับเบียร์จากควีน

“หาดสวย สาวงาม น่าเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง”เกอร์ริ่งพูดน้ำเสียงประชดประชัน “นายน่าจะลองวิ่งหนีลูกปืนของทหารจาฟาสดูนะ พวกนี้ยิ่งแม่นโคตร”

“ใช่”อดัมเสริม “พวกนี้ไม่เหมือนทหารในประเทศที่ล้าหลังอื่นๆ พวกนี้เก่ง ดีมีวินัย ถ้าได้เทคโนโลยีใหม่ๆล่ะก็ ใครๆก็เอาไม่อยู่”

“แล้วลุกแซมจะไปหาเรื่องแลกหมัดกับเข้าทำไมล่ะ”อโลนยิงคำถามที่สอง

“อาวุธเคมีเอย ชีวภาพเอย สุดท้ายคงหนีไม่พ้นน้ำมันล่ะมั้ง”อดัมตอบ “ฉันว่านายระวังตัวหน่อยก็ดีนะ พวกนี้ไม่ธรรมดาเลย” อดัมกล่าวเตื่อนน้องชายก่อนจะดื่มเบียร์จดหมดกระป๋อง “แล้วก็ โชคดี อย่ากลับมาพร้อมธงประจำกองพันแล้วกัน” เขาพูดและหันไปยิ้มให้น้องชายคนเล็ก

อโลนเดินไปตามถนนแผ่นวัสดุบางอย่างของฐานปฏิบัติการส่วนหน้า ไวท์เฮาส์ ซึ่งเป็นฐานในการฝึกภาคสนามจริงของเขา เขาสะพายปืนไรเฟิลคู่กายไว้บนบ่า ในขณะที่ในมือหิ้วกระเป๋าผ้าที่เต็มไปด้วยของใช้ส่วนตัว ชุดพรางะเลทรายของเขานั้นเข้ากับสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายได้อย่างดี เขาสวมเสื้อเกราะทับเสือแจ็กเก็ท ซองแม็กกาซีนเต็มไปด้วยแม็กกาซีนของเอเอ็น-94 หมวกไฟเบอร์คลุมผ้าลายพรางทะเลทรายถูกหนีบไว้ไต้วงแขนข้างหนึ่ง เขาเดินผ่านไปตามแนวรถฮัมวีที่จอดรอการปฏิบัติการ ผ่านทหารประจำการที่กำลังวางถนนสำเร็จรูป ผ่านทหารใหม่ที่ขุดแนวหลุมเพาะรอบๆฐาน อโลนเดินไปจนหมู่เต็นท์กลุ่มหนึ่ง อโลนมองหาเต็นท์ของกองร้อยบี

กองพันที่2 กรมอำนวยการฝึกภาคสนามที่ 1 จนในที่สุด เขาก็มาอยู่หน้าเตนท์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ป้ายพลาสติกสีซีดๆถูกขีดเขียนด้วยสีดำว่า บี/2/1 อโลนเดินเข้าไปภายในและมองหาห้องของหมวดของเขา เต็นท์ของ บีเอพีเอ็มซี ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ นอกจากจะแข็งแรง ทนทาง ภายในของแต่ละเตนท์ยังถูกแบ่งเป็นสี่ห้อง ถึงแม้จะเปลืองงบประมาณในการผลิตและเปลืองพื้นที่ในการขนส่ง แต่ก็นับว่าเป็นเต็นท์ที่มีประโยชน์ใช้สอยสูงมาก อโลนเข้าไปในห้องของหมวดที่3 ภายในห้องไม่มีอะไรไปมากกว่าสัมภาระและเตียงผ้าใบของทหารแต่ละนาย ทหารแต่ละคนถอดเครื่องแบบออกเพื่อคลายร้อน พวกเขาแทบทุกคนอยู่ประจำเตียงของตน อ่านหนังสือบ้าง คุยกับเพื่อนบ้าง และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวเพื่อประหยัดพลังงาน เสียงเจอแจ้วหยุดลงแทบจะทันทีที่อโลนเข้าไปในห้อง สายตาแทบทุกคู่มองมาทางเขาโดยพร้อมเพรียง ทั้งสองฝ่ายจดจ้องกันอย่พักใหญ่ก่อนที่อโลนจะพูดออกมา

“เวลาเจอนายทหารแล้วจ้องหน้าเฉยๆรึไงวะ” ทหารทุกนายกระโจนลุกขึ้นยืนตรงและทำความเคารพแทบจะทันทีทันได้ที่อโลนพูดจบ อโลนทำความเคารพตอบก่อนจะพยักหน้าเชิงบอกว่าตามสบาย ทหารทุกคนลดมือลงและเปลี่ยนไปอยู่ในท่าตามระเบียบพักอย่างแข็งขัน “เตียงว่างอยู่ไหน” อโลนถามต่อ ทหารหันมามองหน้ากันเล็กน้อยเหมือนจะปรึกษากันด้วยโทรจิตอย่างไรอย่างนั้น ทหารคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าและเดินตรงมาหาอโลน

“ผมจ่าสิบตรี แฟรงคลิน เรด ดอร์สัน” เขาพูดพร้อมทำความเคารพ “จ่าประจำหมวด ห้องของผู้หมวดอยู่ข้างนอก เป็นบังเกอร์ใต้ดินครับ ผบ.ร้อยรออยู่ที่นั่นแล้ว” อโลนโยนกระเป๋าเข้ามือของจ่าประจำหมวด ตามด้วยเฮดเกียร์และปืนของเขา

“หาที่นอนให้ด้วย ฉันจะนอนในเต็นท์นี่” อโลนพูดก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้เรดและเหล่าทหารยื่นสับสนงงงวยกับสิ่งที่พวกเขาสมควรจะทำต่อไป

“เอาไงจ่า”คนหนึงถามขึ้น

“กางที่นอน”

อโลนเดินผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ เพื่อมองหาบังเกอร์ของนายทหาร จนในที่สุดเขาก็มถึงบังเกอร์นั้น มันเป็นบังเกอร์ใต้ดิน สร่างจากกระสอบทราย ไม้ มีทางลาดลงไปเบื่องล่าง สามในสี่ของมันอยู่ใต้ผืนทรายอันระอุ ส่วนที่เหลือนั้นโผล่พ้นขึ้นมา อโลนไม่รอช้า เขาลงไปในบังเกอร์นั้นโดยทันที เสียงเครื่องปรับอากาศและเรื่องปั่นไฟดังอื้ออึงอยู่ที่มุมหนึ่ง อุณหภูมิในห้องนี้ แม้จะยังคงร้อยอยู่ แต่ก็เย็นกว่าอากาศภายนอกมาก ในห้องโถงของบังเกอร์มีประตูแยกย่อยไปอีกหลายห้องดูแล้วคิดว่าจะเป็นห้องพักนายทหารย่างพวกเขา โต๊ะแผนที่จำลองตั้งอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยนายทหารคนต่างๆ จากกรมอำนวยการฝึกภาคสนาม เสียงวิทยุดังระงม ทหารฝ่ายสื่อสารต่างทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันไม่ว่าจะเป็นการรับข่าวสาร ขยับตัวหุ่นกองทหารบนแผนที่ อโลนเข้าร่วมวงในโต๊ะวางแผน วันทยาหัตถ์ และกล่าวรายงานตัว

“ผม ร้อยตรี อโลน อลองเกอร์ รายงานตัวพร้อมเข้าทำหน้าที่ครับ” อโลนพูด ทนายทหารคนอื่นๆ วันทยาหัตถ์ตอบเขา ก่อนที่คนหนึ่งในนั้นจะเริ่มพูด อโลนจำได้ดีว่านั้นคือพลจัตวา แม็ก เอส. วาเลนซ์ ผบ.กรมอำนวยการฝึกภาคสนาม

“คุณคงรู้ว่าผมเป็นใคร” เขาพูดและเงยหน้าขึ้นมองอโลน “นี่พันเอก เฟลท ผบ.กองพันที่2ของคุณ ส่วนนั่นก็ร้อยโท จอห์น อเล็กซ์ ผบ.ร้อยของคุณ” อโลนยื่นมือสัมผัสกับผบ.ร้อยของตน ทั้งสองสบตากัยครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือกัน “ส่วนคนที่เหลือ คุณจะรู้จักทีหลัง โชคดีที่คุณมาฟังแผนการพอดิบพอดี” เขาพูดและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ครับผม”

“งั้นผมขอเริ่มเลยนะ” เขาพูดและก้มลงมองแผนที่ “กองทัพภาคของเราได้รับหน้าที่ให้โจมตีทิศเหนือของจาฟานิสถานโดยที่กรม 19 จะโจมตีทางฝั่งตะวันออกและกรม 77 จะโจมตีฝั่งตะวันตก” เขาชี้แนวชายแดนทางตอนเหนือก่อนจะย้ายไปชี้ที่ทิศตะวันออก “ทหารอเมริกันจะบุกจากทิศตะวันออก ส่วนทหารนานาชาติและยูเอ็นจากอีกฝั่ง โชคดีที่จาฟาสไม่มีกองทัพเรือ” นายผลวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมามองอโลน “หน้าที่ของกองร้อยบีคือสนับสนุนการโจมตีของกองร้อยเค กองพันที่ 3 กรม 77 และส่งยุทธปัจจัย ไม่ว่าจะกระสุน น้ำ หรืออาหารให้กองร้อยเค” เขามอง ผบ.ร้อย อโลน และคนอื่นๆ ก่อนจะมองกลับลงไปที่แผนที่ “อ้อ! ร้อยตรีอโลน” เขาเงยหน้าขึ้นมามองอโลนและชี้จุดหนึ่งบนแผนที่ซึ่งมีโมเดลปืนใหญ่สนามตั้งอยู่ ข้างๆกันก็มีโมเดลของทหารราบ 2-3 ตัวอยู่เป็นกลุ่ม มีโมลเดลแบบนี้มากมายในแผนที่ มีทั้งเรือ เครื่องบิน ทหาร รถหุ้มเกราะ และปืนใหญ่ พวกนี้เป็นโมลเดลที่ทำการแสดงดำแหน่งทหารหน่วยต่างๆ เนื่องจากอุปกรร์อิเล็คทรอนิคต้องการการซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในทะเลทรายที่มีฝุ่นทรายมากมายเหมือนในจาฟานิสถาน ทางผู้นำระดับสูงจึงแนะนำให้ใช้โต๊ะวางแผนแบบคลาสสิคซึ่งมั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับโต๊ะวางแผนจอแอลซีดี หรือ โต๊ะฮาโลกราฟ หากแต่มันไม่สามารถอัพเดทข้อมูลแบบเวลาจริงได้เท่านั้นเอง “กองร้อยทหารปืนใหญ่ที่ 1 อยู่ด้านหลังที่ตั้งของคุณ ดูแลพวกเขาด้วย”

“ครับ”

“ตรงนี้มีหมูบ้านชื่อว่า อัลลาจาห์ ถึงกรม 77 จะตรวจค้นหมู่บ้านนี้ไปแล้วก็ตาม ผมก็ยังอยากจะให้คุณจัดทหารสักหมู่ไปดูแลพื้นที่ตรงนี้” เขาชี้โมเดลบ้านหลังหนึ่งบนแผนที่ “มันเป็นทางผ่านของขบวนส่งกำลังบำรุง ถ้าหากทหารจาฟาสยึดไปได้ล่ะก็ เส่นทางเสบียงระหว่างเรากับกรม 77 จะถูกตัดขาดลงไป อีกทั้งมันยังเปิดทางให้ทหารจาฟาสบุกตีโอบปีกของเราได้อีกด้วย”เขามองที่อโลน “ผมมอบหน้าที่นี้ให้คุณ ฝากด้วยนะ”

ทหารสิบสี่นายในเครื่องแบบพรางดิจิตัลสีโทนทะเลทรายกำลังจัดสัมพาระใส่กระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นกล้องมองกลางคืนแบบตาเดียว น้ำ ของใช้ส่วนตัว และกระสุนปืน “มาถึงแค่ 5 นาทีก็งานเข้าแล้วรึไงเนี่ย” อเล็ก เจมส์ คาวาโย บ่นอย่างหัวเสียขณะที่กำลังยัดแม็กมาซีนเข้าไปในซองแม็กกาซินบนเสื้อกั๊กกันกระสุน

“อย่าบนน่าสหาย เดี๋ยวนายก็ชินกับระบบเอง” เสียงสำเนียงรัสเซียพูดปลอบเขา ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาร่วมวงการจัดสัมภาระข้างๆเจมส์ “ไงเกย์” ผู้ชายทุกคนพูดเสียงเดียว ชายหนุ่มร่างเล็กมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พูดอะไร หากแต่ก้มหน้าก้มตาโหลดกระสุนใส่แม็กกาซีนต่อไป

“สิบตรีมาริโอ โลโปซ โกบาซ” เสียงที่คุ้นหูดังมาจากเบื่องหลัง เจมส์หันกลับไปมองต้นเสียงโดยทันที เป็นใครไปไม่ได้นอกจากอตีดหัวหน้าหมวดของเขานั่นเอง เจมส์ทำความเคารพเขาโดยทันใดซึ่งอโลนก็ได้พยกหน้าให้เขา

“สวัสดีเจมส์” เขาพูด ในมือของเขาถือปืนเล็กยาวเอ็ม4เอ1และแม็กกาซีนในอีกมือหนี่ง “คนไหนคือ สิบตรีมาริโอ โลโปซ โกบาซ” ชายร่างเล็กข้างๆเจมส์ยกมือขึ้นในระดับหัวและหันกลับมาหาอโลน

“มีอะไรให้รับใช้ครับ ผู้หมวด” เขาพูดเสียงเรียบๆ อโลนไม่พูดพร่ำทำเพลงเขายื่นปืนเล็กยาวให้เชมาโดยทันที “หมายความว่าอย่างไรครับ”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอย่างไรวถึงจะเอาปืนกลมือไปรบในพื้นที่โล่งกว้างแบบนี้ แต่ผมขอสั่งให้คุณนำปืนกระบอกนี้ติดตัวไปด้วย” เชมารับปืนและสะพายไว้บนหลังอย่างว่าง่ายก่อนจะรับซองกระสุนสำรอง

“หัวหน้าทุกท่าน ทางนี้” อโลนพูดและล้วงเอาภาพถ่ายทางอากาศออกมาจากช่องระหว่างเสื้อกันกระสุนกับเครื่องแบบของเขาก่อนเดินไปยังรถฮัมวีโดยมีชายห้าคนตามไปติดๆ

“เฮ้ สวัสดี” เจมส์ทักชายร่างเล็ก “ฉันเจมส์”

“ฉันเชมา” เขาพูดและยัดซองกระสุนปืนใส่กระเป๋าหลังที่ติดกับเสื้อกันกระสุน “นายรู้จักหมอนั่นรึเปล่า” เขามองไปทางอโลน

“รู้สิ หัวหน้าหมวดฉันเอง” เจมส์ตอบพลางนำลูกระเบิด 40 มม. ใส่กระเป๋าเก็บกระสุนระเบิด “เขาเป็นคนดี เชื่อฉัน” เจมส์พูดและยิ้มให้เชมา หมู่ 2 หมวด3 กองร้อยบี คือบ้านใหม่ของเจมส์หมู่ 2ประกอบด้วยทหาร 13นายรวมถึงเขาด้วยทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นทหารใหม่เหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าทหารรัสเซีย สาวชาวอังกฤษ หนุ่มท่าทางเป็นผู้ดีจากฝรั่งเศษ รถฮัมวีสามคันใช้เวลาชั่วโมงเต็มๆในการเดินทางจากฐานปฏิบัติการส่วนหน้าไปจนถึงบริเวณรอบนอกหมู่บ้านเป้าหมาย รถฮัมวีทั้งสามจอดลงห่างจากหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟราวๆครึ่งกิโล ชุดยิงทั่งสามลงจากรถของตนและ ย่อตัวเดินเข้าหาที่กำบังที่ใกล้ที่สุด “เอาล่ะทุกท่าน” เรดพูดในขณะที่ทั้งสิบสี่คนใช้ก้อนหินขนาดใหญ่เป็นที่กำบัง “หมู่บ้านข้างหน้าจะมีกลุ่มบ้านเล็กๆอยู่ทางเหนือและใต้” เขาวางภาพถ่ายทางอากาศลงบนพื้น “สามคอมพาวด์ทางเหนือ สองท่านใต้ สามทีมแยกกันไป เครียแล้วจะเข้าสู่เป้าหมายที่สอง แอลฟ่านายยึดศูนย์กลางหมู่บ้าน ชาลียึดโรงเรียน บราโว่ นายยึดบ้านที่อยู่ใต้สุด จากนั้นแอลฟ่าและชาลีจะไปยึดคอมพาวด์ทางใต้”

“เฮลล์เย้ห์”ทุกคนรับเบาๆ

“ไปได้ ฉันจะอยู่กับบราโว้”

“เบอร์เซิร์ค 3-2 นี่เบอร์เซิร์คแอทชวล” เสียงจากวิทยุตั้งขึ้นจากเฮดเซ็ทของเจมส์ “ขอให้เบอร์เซิร์ค 3-2 ถอนกำลังออกจากพื้นที่ปฏิบัติการทันที เลิกการติดต่อ”

“ถอยหาพ่อสิ เพิ่งมาถึงเองนะ”เรดพูดก่อนจะกดปุ่มบนวิทยุ “ทวนคำสั่งใหม่ด้วยเปลี่ยน” เขาพูดใส่ไมโครโฟนที่ติดอยู่กับชุดเฮดเซ็ท “เบอร์เซิร์ค 3-2 ส่งไอซ์แมนผ่านอุปกรณ์สื่อสารของคุณ”

“นี่ไอซ์แมน เบอร์เซิร์ค 3-2 คุณเป็นหน่วยที่อยู่หน้าสุดของแนวรบ มีรายงานจากพรีเดเตอร์ว่าทหารจาฟาสขนาดกองร้อยกำลังเคลื่อนตัวมาตามถนนฟาลาจิ ซึ่งจะผ่านหมู่บ้านใกล้ตำแหน่งของคุณ ผมอยากให้คุณยึดและตั้งรับจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ไอซ์แมน เลิกการติดต่อ”

“เจ๊ง” เจมส์ร้องออกมาเบาๆ “ให้เราถอย แล้วอยู่ดีๆเปลี่ยนใจให้เราฟัดกับทหารทั้งกองร้อยเสียอย่างนั้น”

“เอาน่าทหาร ได้เวลาเตะตูดแล้วก็สร้างชื่อกันแล้ว” เรดพูดและออกเดิน พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักในการเดินจากจุดที่จอดรถเข้าสู่กลุ่มบ้านเล็กๆ ทั้งสามทีมเขาเครียพื้นที่อย่างรวดเร็ว พวกเขาพบกันชาวบ้านสองสามคนที่ยังไม่ยอมย้ายออกไป แม้ว่าส่วนใหญ่จะหนีไปแล้วก็ตาม บราโว่เข้าเครียกลุ่มบ้านเสร็จพร้อมๆกับทีมอื่นๆ พวกเขาเคลื่อนตัวต่อไปยังหมู่บ้าน ทีมชาลีเลือกใช่วิธีอ้อมหมู่บ้านเพื่อเข้ายึดโรงเรียน ในขณะที่ทีมอื่นไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากเข้าไปเสี่ยงต่อการซุ่มโจมตีในเขตเมือง เจมส์มองทุกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ที่นี่เป็นเขตของทหารจาฟานิสถาน พวกเขาเป็นทหารที่เก่ง ฉลาด มีวินัย ขาดเพียงอุปกรณ์อันทันสมัย แต่สำหรับพื้นที่เมืองแบบนี้ และ ด้วยความแตกต่างของขนาดกองกำลังเช่นนี้ พวกเขาถูกบนขยี่ได้อย่างง่ายดาย


“แอลฟ่ายึดศูนย์กลาหมู่บ้านแล้ว ไม่มีการต่อต้าน” เสียงจากวิทยุดังขึ้นในเฮดเซ็ทของเจมส์ พวกเขาเดินอย่างระแวดระวังจนมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ปิดหน้าต่างและประตูไว้อย่างแน่นหนา บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ระหว่างลานกลางหมู่บ้านและโรงเรียน พวกเขาต้องหลบอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของบ้านหลังนี้ในระหว่างที่ชาลีกำลังยึดโรงเรียน เนื่องจากว่าถัดจากบ้านหลังนี้ไปจะเป็นพื้นที่โล่งยาวเกื่อบๆ 20 เมตร หากมีทหารจาฟาสอยู่ที่โรงเรียน พวกเขาจะเป็นเป้าซ้อมยิงโดยทันที เรดอยู่หน้าสุดของทีม ถัดมาคือเชมาพร้อมปืนกลมือคริส เอส วี หัวหน้าชุดยิงชาวฝรั่งเศษอยู่ด้านหลังเขา เจมส์ และพลปืนยิงเร็วจากแดนหมีขาวคอยคุมท้าย ทุกคนหลังชนผนังบ้าน หันปืนไปคนละทิศทาง

โชคดีที่กล้องมองกลางคืนแบบตาเดียวซึ่งติดอยู่กับหมวกเหนือตาที่ไม่ได้ใช้เล็งอาวุธ และ สโค๊ปแบบมองกลางคืนที่ติดอยู่กับปืนช่วยให้พวกเขามองเห็นได้แม้ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ “ชาลี เร็วหน่อยไอ้หนู” เรดพูดใส่ไมโครโฟน เจมส์ที่อยู่หลังสุดชะโงกหน้าออกไปมองดูโรงเรียน แผ่นพลาสติกเคลือบสารเคมีเรืองแสงอินฟาเรดอยู่บนหมวกของทีมชาลี พวกเขากำลังเคลื่อนเที่เข้าสู่โรงเรียนอย่างรวดเร็ว “จ่า ผมเห็นชาลีแล้ว” เจมส์พูดและเล็งผ่านสโค๊ปมองกลางคืนไปยังหน้าต่างชั้นสองของโรงเรียน ทีมชาลีเครียชั้นแรกและชั้นที่สองอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำทุกขั้นตอนเหมือนอย่างที่ถูกฝึกให้ทำ “เครีย” เรดสะกิดเชมาก่อนจะเดินก้มตัวต่ำออกไปจากทีกำบัง ทุกคนทำแบบเดียวกันคือสะกิดคนถัดไปและออกเดิน ทั้งห้าก้มตัวต่ำผ่านที่โล่ง บบ้านอีกสองสามหลัง ไปจนถึงหน้าประตูบ้านเป้าหมาย เจมส์และเชมาเข้าประจำประตูเตรียมจะบุกในขณะที่อีกสามคนกำลังอ้อมไปอีกฝั่ง

“บุก” เสียงเรดดังขึ้นจากเฮดเซ็ท เจมส์ผละออกจากผนังและถีบประตูไม้อย่างแรง ประตูเปิดออกพร้อมเชมาที่โผเข้าไปภายในตามด้วยเจมส์ เสียงตะโกน “หมอบลง”เป็นภาษาจาฟานิสถานดังระงม แต่ดังมาจากอีกฝั่งของบ้าน เหมือนกับว่าเรดและสมาชิกทีมที่เหลือจะเจอใครบางคนเข้าแล้ว เชมาและเจมส์สองดส่ายปากกระบอกปืนไปตามมุมต่างๆของห้อง พวกเขาเครียห้องทีล่ะห้องตามที่ถูกฝึกมาจนไปพบสมาชิกที่เหลือของทีม ปืนกลเบาอาร์พีดีส่ายไปมาบนหลังของพลปืนยิงเร็วในมือของเขามีปืนพกเอ็มพี 446 ขนาดเก้ามิลลิเมตร ซึ่งปากกระบอกปืนกำลังหันไปทางชายชาวจาฟาสคนหนึ่ง พลปืนยิงเร็วร่างใหญ่ใช้ขนาดและน้ำหนักตัวกดชายคนนั้นไว้โดยการนั้นทับในขณะที่หัวหน้าชุดยิงเล็งปืนไปยังครอบครัวของชายคนนี้ ซึ่งมีเพียง ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก เรดพูดอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาจาฟาสก่อนที่จะหันมาสั่งเจมส์และเชมาให้ขึ้นไปตรวจชั้นสอง พวกเขาเดินขึ้นบันใดดินเหนียวอย่างช้าๆโดยการนำของเชมา ชั้นสองไม่มีอะไรนอกจากดาดฟ้า ที่ล้อมด้วยกำแพงดินเหนียว กองฟืนแห้งๆ กองอยู่ที่มุมหนึ่ง “เครีย” เจมส์พูดเบาๆใส่ไมโครโฟน

“ตรึงไว้บราโว่ ปล่อยให้แอลฟ่าและชาลีจัดการที่เหลือ” เสียงของเรดดังขึ้นจากวิทยุ หลังจากนั้นไม่นานนัก ทีมแอลฟ่าและชาลีก็เข้ายึดกลุ่มบ้านสองกลุ่มทางใต้ได้สำเร็จ พลปืนกลเบาขึ้นมาสมทบกับพวกเจมส์หลังจากที่เรดสามารถกล่อมให้ครอบครัวชาวจาฟาสหนีไปทางใต้ได้สำเร็จ

“ข้างล่างเป็นไงบ้าง” เจมส์เอ่ยถามในขณะที่มองผ่านสโคปมองกลางคืนไปยังที่ตั้งของชาลี

“วุ่นวายใช่เล่น” พลปืนกลตอบด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียก่อนจะพาดปืนกลอาร์พีดีกับกำแพงดินเหนียว และสอดส่ายสายตามองดูพื้นที่โล่งเบื่องหน้า “คืนนี้ยังอีกยาวไกลสหาย”

“ฉันเจอบางอย่าง” เชมาพูดขณะเล็งผ่านสโคปที่ติดตั้งอยู่บนปืนคริสเอสวีของเขา “หกร้อยเมตร ทางใต้” พลปืนกลเบาหยิบเอากล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวออกมา เปิดโหมดจับความร้อนและส่องไปทางที่เชมาบอก

“พลปืนเล็กสี่นาย หนึ่งในนั้นมีวิทยุ” เขาพูด “จ่าเหมือนเราจะงานเข้าแล้วครับ”

“พวกสอดแนม” เรดพูดขณะเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงจนทำเอาเจมส์สะดุ้งโหยง “เดี๋ยวคงมีลูกปืนครกตามมา” เสียงของกระสุนปืนครกระเบิดดังขึ้นทันทีที่เรดพูดจบ กระสุนปืนครกหกนัดระเบิดขึ้นทางใต้ของแอลฟ่าและชาลีไปประมาณสองร้อยเมตร “ขอต้อนรับสู่สงคราม” กระสุนอีกชุดระเบิดขึ้น แต่ครั้งนี้มันห่างจากตำแหน่งของแอลฟ่าและชาลีเพียงห้าสิมเมตร

จบบทที่5

LoveSeeker
30th December 2011, 18:46
บทที่ 6 แนวป้องกันไร้พ่าย
ไมเคิลดันปรตูไม้ของร้านเหล้า ‘เมายันเช้า’ มันส่งเสียงเอียดอาดเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดออก เขาและมอริสเดินเข้ามาภายในร้านเหล้าเล็กๆ ร้านเหล้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในแหล่งเสื่อโทรมของเมือง ‘เวเลนเซีย’ บ้านซึ่งสร้างจากดินและฟางถูกสร้างขึ้นติดๆกันในย่านนี้ แทรกด้วยร้านเหล้าและแหล่งเริงรมณ์ เหล่าโจรคอยดักปล้นชิงทรัพย์อยู่แทบทุกตรอกซอกซอย หญิงชายขายบริการเลือกมุมมืดคอยหาลูกค้าทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนนี้ของเมืองถูกเรียกว่า ‘มุมมืด’ บ้าง เรียกว่า “เบื่องล่าง” บ้าง ไมเคิลเดินผ่านโต๊ะที่เต็มไปด้วยชายในเสื้อคลุมยาวและไม้ท้าว พวกเขามองมาที่ไม่เคิลและมอริสเป็นตาเดียว นั่นอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขามองดูทหารรับจ้างจากเมือง ‘เบื้องบน’ ลงมายัง ‘เบื้องล่าง’ เช่นนี้ นอกจากถูกว่าจ้างให้มาล่าจอมเวทแล้ว พวกเขายังต้องดูแลแหล่งเสือมโทรมแห่งนี้อีกด้วย ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทหารฮูดดำของไมเคิลได้จัการโจรไปเป็นจำนวนมาก แต่ปัญหาการว่างงานก็ยังคงทำให้เกิดอาชญกรรมอยู่ดี นอกจากนั้นเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้ไมเคิลรู้ว่า เหล่าจอมเวทเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งเสื่อมโทร ร้านเหล้า ร้านค้า หรือแม้แต่ซ่อง ก็มักจะมีจอมเวทอยู่อย่างน้อยร้านล่ะ 1 คน ซึ่งเหล่าจอมเวททั้งหลายก็พยายามหลบสายตาของเหล่าฮูดดำ แต่วันนี้ผิดปรกติ ร้าน ‘เมายันเช้า’ เป็นร้านประจำของไมเคิลและมอริส ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามามันจะมีเสียงพูดคุยจอแจและบาร์เทนเดอร์ก็มันจะตะโกนต้อนรับแขกที่มาเสมอ และที่แปลกที่สุด วันนี้ทุกคนในร้านล้วนเป็นจอมเวทย์ ซึ่งรับรู้ไม้ท้าวรูปทรงแปลกตา และรอยสักตามมือ หรือใบหน้า

“รับอะไรดีครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มหน้าใหม่ถามขึ้นในขระที่ไมเคิลและมอริสเดินมาถึงเคาท์เตอร์

“เหล้า” มอริสตอบห้วนๆ และหันหลังพิงเคาท์เตอร์ บาร์เทนเดอร์หายไปหลังเคาท์เตอร์ครู่หนึ่งก่อนจะโผล่มาพร้อมกับขวดเหล้าสองขวด ไมเคิลสังเกตุพิรุทมากมายได้บนใบหน้าของบาร์เทนเดอร์ เขาเลียริมฝีปากบ่อย ส่งรอยยิ้มที่มองออกได้ทันทีว่าเสแสรง เหงื่อเป็นเม็ดผุดขึ้นบนใบหน้า ผิวซีดเผือกเหมือนไม่มีเลือดอย่างไรอย่างนั้น ไม่เคิลละสายตาจากใบหน้ามามองที่ขวดเหล้า แต่สายตาของเขาก็หยุดลงที่มือของบาร์เทนเดอร์ รอยสักรูปดวงตา นั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนนี้เป็นนักเวท มอริสพลิกตัวกลับมาหันหน้าให้เคาท์เตอร์อีกครั้ง ก่อนจะเปิดขวดเหล้าทั้งสองใบ นั่นเป็นวิทีการส่งสัญญาณของมอริสให้ไมเคิลรับรู้ว่า ‘ผิดปรกติ’

“บุหรี่ไหม” ไมเคิลถามและล้วงเข้าไปในผ้าคลุม แต่สิ่งที่เขานำออกมาไม่ใช่บุหรี่แต่มีดขนาดยาวเกือบฟุตเขาใช้มือซ้ายรวบคอของนักเวทหนุ่มและแทงลงไปบริเวณซอกคอ ด้วยความยาวใบมีดขนาดเจ็ดนิว ใบมีดต้องตัดผ่านหลอดลมอย่างแน่นอน นัยน์ตาของจอมเวทหนุ่มเปิดกว้าง ริมฝีปากเปิดออกเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่มีเพียงเลือดเท่านั้นที่ไหลออกมาจากปาก ไมเคิลดึงใบมีดกลับออกมาจากร่างของชายหนุ่มก่อนจะแทงซ้ำเข้าไปที่กลางอก นักเวททั้งหลายที่นั่งอยู่ตามโต๊ะไม้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าแผนการลอบสังหารของพวกเขาผิดพลาด ต่างคนต่างฉวยไม่เท้าและเตียมตั้งท่าโจมตี้ทหารทั้งสอง แต่ไมเคิลและมอริสเร็วกว่ามาก พวกเขากระโดดข้ามไปหลบหลังเคาท์เตอร์ก่อนที่ลูกไฟ ผลึกน้ำแข็ง และใบมีดลมจะเข้าปะทะกับผนังของร้าน ผนังดินมีคาบเขม่าสองสามจุดจากการถูกลูกไฟ รอยบากเป็นทางยาวจากใบมีดลม ผลึกน้ำแข็งผลึกหนึ่งปักอยุ่บนพนังขณะที่ผลึกอื่นๆแตกกระจายเป็นผลึกน้ำแข็งเล็กๆ ไมเคิลล้วงเข้าไปเอากระป๋องบางอย่างออกมาจากกระเป๋าใสเสื้อคลุม การโจมตีระลอกที่สองปะทะเข้ากับเคาท์เตอร์และผนัง แรงปะทะขอใบมีดลมตัดเคาท์เตอร์ไม้ผุๆออกเป็นสองส่วน ลมพัดผ่านหลังของไมเคิลและมอริส ชายผ้าคลุมของทั้งโผกพริ้วไปตามแรงลม ใบมีดลมที่ความคมหายไปแล้วปะทะกับร่างไร้วิญญาณของจมเวทหนุ่มจนร่างขยับไปตามแรงลม

ไมเคิลเปิดกล่องทรงกระบอกและหยิบบางอย่างออกมา วัตถุทรงกระบอกสี่กรมทาก พร้อมกระเดื่องและสลัก เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากระเบิดแสง มอริสขยับปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่สพายซ่อนไว้ในผ้าคลุมออกมาอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะโผล่ขึ้นไปยิง ไมเคิลดึงสลักระเบิด ปล่อยกระเดื่อง และโยนข้ามเคาท์เตอร์ที่เหลือเพียงครึ่งเดียวออกไป มันระเบิดขึ้น แสงกว่าล้างแรงเทียนและเสียงที่ดังพอจะทำให้หูดับได้ เกิดขึ้นพร้อมกัน เหล่าจอมแวททุกคนหลับตาหยีพร้อมกันที่ยกมือขึ้นมาปิดหูตามสัญชาติญาณ มอริสไม่รอให้เวลานี้ผ่านไป เขาโผล่ขึ้นจากที่กำบัง กระสุนจากปืน เอ็ม4เอ1ออกจากลำกล้องและเข้าปะทะร่างของจอมเวททุกคนอย่างแม่นยำ บ้างที่กลางอก บ้างที่ศรีษะ แต่ทุกคนล้วงถูกยิงจนสิ้นใจในนัดเดียว หลังจากที่เหนียวไกเก้านัดติดกันมอริสก็หมอบลงไปหลังเคาท์เตอร์อีกครั้ง เสียงตะโกนและกรีดร้องดังมาจากภายนอกร้าน เสียงระเบิดและเสียงตะโกนดังคลอเค้ากันเหมือนจะยรรเลงบทเพลงแห่งความสับสน ทหารทังสองค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากที่กำบังและสอดส่ายสายตามองดูร่างของจอมเวท ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวนอกจากแมลงวันที่บินตอมอาหารบนโต๊ะ

“เคลีย” มอริสพูดเบาๆ ไมเคิลเหวี่ยงปืนที่สะพายหลังอยู่มาข้างหน้าและปรับสายสะพายให้เข้าที่เข้าทาง “วันนี้มันบ้าอะไรนักหนาครับเนี่ย เพิ่งเคยเจอพวกมันรวมตัวกันมากขนานี้เป็นครั้งแรก”

“วันนี้ยังอีกยาว” ไมเคิลพูดและประทับพาทท้ายกับร่องไหล่ในท่าพร้อมยิงและเดินไปยังประตู มอริสตามเขาไปติดๆ ไมเคิลพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตู มอริสพุ่งผ่านประตูออกไปทันทีที่ในถูกเปิด ปืนประทับในท่าพร้อมยิง สายตาสอดส่ายไปรอบๆ ร่างไร้วิญญาณนับสิบ นอนทอดร่างอยู่ในจัตุรัสกลางเมือง ‘เบื่องล่าง’ ร่างทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นทหารประจำเมืองทั้งสิ้น บางคนมีน้ำแข็งปักคาอก บางคนถูกไปคลอก บางคนก็ตัวขาดครึ่ง มีศพหนึ่งดูน่าสยดสยองมาก ร่างนั้นอยู่ใต้ต้นไม้ที่อาบไปด้วยเลือด กล้ามเนื้อถูกระเบิดออกไปคนละทิศทาง เหลือเพียงโครงกระดูกและเครื่องในเท่านั้น จัตุรัสถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด เศษเนื้อ คราบเขม่าควัน แผงขายของไฟลุกท่วม ดาบและโล่ของทหารประจำเมืองถูกฉีกเป็นชิ้นๆด้วยพลังเวทขั้นสูง ไมเคิลลดปืนลงและล้วงเอาวิทยุสือสารออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี่ไมเคิล รายงานด่วนด้วย”

“ท่านนายพล” เสียงหนึ่งตอบกลับมาจากวิทยุคลอด้วยเสียงปืนที่กระหน่ำรัวและเสียงระเบิด “จอมเวทก่อการปฏิวัติครับ ตอนนี้เรายังยันพวกเขาไว้ได้ที่สะพานอาเรียน่าต้องการกำลังสนับสนุนด่วนมากครับผม”

“รับทราบ” ไมเคิลตอบกลับและออกวิ่งโดยมีมอริสตามมาติดๆ พวกเขาวิ่งไปตามตรอกที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ศพของทหารประจำเมืองและเหล่าจอมเวทกระจายเกลื่อนกลาด ต่างก็ถูกศาตราวุธของอีกฝ่ายฟาดฟันจนสิ้นใจ ความเสียหายจากเวทมนต์ยังคงความสยดสยองได้อย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างของทหารยามที่ช่องว่างภายในร่างกายระเบิดออกมา กระดูกซี่โครงถูกแรงดันจนบิดเบี้ยวผิดรูป ตับใตใส้พุงกระจัดกระจาย เลือดย้อมตามพื้น กำแพง ผนังดินเหนียว และต้นไม้ แทบสองข้างทางถูกย้อมไปด้วยเลือด เสียงการสาดกระสุนปืนกลและเสียงระเบิดดังมาจากไกลๆ นั่นหมายความว่าเหล่านักเวทได้โหมบุกหนักจนฮูดดำต้องใช้อาวุธประเภทปืนเข้าสู้

“ดูท่าจะไม่ค่อยดีแล้วสิคครับ” มอริสพูดพลางสอดสายสายตาและปากกระบอกปืนไปรอบๆ

“มันไม่เคยดีเลยตางหาก” ไมเคิลพูดน้ำเสียงเรียบเฉย และก้าวเดินไปอย่างช้าๆ สายตาสอดส่องระแวดระวังการซุ่มโจมตีจากเหล่าจอมเวท “เราต้องไปที่อาเรียน่าก่อนที่แนวรบจะแตก” สะพานอาเรียน่า คือสะพานขนาดเท่าถนนสี่ช่องทางการจราจร เป็นจุดตรวจคนจากเมื่องเบื้องล่างที่จะไปยังเมืองเบื้องบน ไมเคิลและมอริสชลอฝีเท้าลงและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น จากการวิ่ง เป็นเดินเร็ว และจากการเดินเร็ว เป็นการเดิน จนเวลานี้ ทั้งคู่ก้มตัวต่ำและเคลื่อนไปอย่างช้าๆ สายตาและปากกระบอกปืนสอดส่ายไปตามหน้าต่าง ตรอก และทุกหัวมุมที่น่าจะเป็นจุดนักเวทสามารถโผล่ออกมาโจมตีพวกเขาได้ พวกเขาเริ่มเข้าไกล้สะพานมากขึ้น เสียงปืนและเสียงระเบิดดังมากขึ้น กลิ่นของควันและกำมะถันลอยเข้ามาแตะจมูกของทังสอง พวกเขายังคงคืบคลานต่อไปอย่างช้าๆ คอสะพานอยู่ห่างพวกเขาไปราวๆหนึ่งร้อยเมตร จอมเวทอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ทหารฮูดดำอยู่อีกฝั่งโดยมีแม่น้ำคั่นอยู่ตรงกลาง ทั้งสองฝ่ายต่างก็สาดอาวุธทุกประเภทเข้าใส่กันอย่างเต็มที ซากศพนับร้อยนอนเกลื่อนกลาดทั่วทั้งสะพาน ทั้งนักเวท ทหารประจำเมือง และฮูดดำ แม่น้ำเบื่องล่างถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง

แสงจากลูกไฟเวทมนต์สว่างขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง เสียงปืนนานาชนิดและเสียงระเบิดดังคลอกับเสียร้องตะโกน กระสุนส่องวิธีสองสามนัดลอยข้ามหัวของไมเคิลไป นักเวทจำนวนมากพรั่งพรูออกมาจากตรอกเล็กๆ และเข้าเสริมกำลังของแนวรบอย่างต่อเนื่อง ทหารทั้งสองเคลื่อนไปอย่างเงียบเชียบสู่แนวกำแพงเตี้ยๆซึ่งห่างจากคอสะพานไม่ถึงสี่สิบเมตร ไมเคิลและมอริสมองหน้ากันก่อนจะล้วงเอากระป๋องสีดำจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พวกเขาเปิดกระป๋องและหยิบเอาระเบิดทรงกลมสีเทาออกมา พวกเขากองระเบิดเพลิงครึ่งโหลไว้หลังกำแพงเตี้ยๆระดับเอวซึ่งเป็นที่กำบังของเขา “นายไล่มาจากทางขวา ฉันจะไล่จากทางซ้าย ลูกสุดท้ายปาไปที่ตรอก” ไมเคิลพูดและเปิดกระป๋องสุดท้าย ระเบิดในกระป๋องนี้ไม่เหมือนกระป๋องอื่น เพราะมันมีสีเขียว มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากระเบิดมือ “รอฉันนับสามนะ” ไมเคิลพูดพร้อมมองหน้ามอริส

“สาม” ทั้งสองแกะสลักระเบิดเพลงแทบจะพร้อมกัน พวกเขาโผล่จากที่กำบังและเควียงระเบิดออกไป ตามด้วยลูกที่ถัดไป และลูกถัดไป ประกายไฟเกิดขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ระเบิดจะระเบิดขึ้นและทำให้เกิดเพลิงมรณะ เผาทุกคนที่อยู่ในระยะทำลายล้าง นักเวทที่โดนเข้าไปลงไปดินทุรนทุรายกับพื้นทันที ไฟลามจากเสื้อคลุมไปติดเสื้อผ้าชันในอย่างรวดเร็ว และไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ลามไปติดผิวหนังของเหลานักเวท มอริสแกะสลักระเบิดมือและโยนไปยังตรอกที่จอมเวทกลุ่มหนึ่งกำลังออกมา สะเก็ดระเบิดพุ่งเข้าสู่ร่างของจอมเวท จนผิวหนังของพวกเขาฉีกขาด สะเก็ดระเบิดพุ่งทะลุผ่านผิวหนังและเข้าไปจนถึงเครื่องใน นักเวทสามในห้าสิ้นใจในทันที ในขณะที่อีกสองคนทรุดลงไปอยู่บนพื้น ไมเคิลและมอริสออกจากที่กำบังพร้อมไรเฟิลในมือ ส่งกระสุนใส่นักเวทที่ไม่ได้รับอันตรายจากระเบิด การยิงจากอีกฝั่งหยุดลงไปแล้ว คงเป็นเพราะนายทหารอีกฝั่งเห็นเขาจากภาพวิดิทัศน์มุมสูงที่ส่งตรงลงมาจากยานเฮลล์ฟอกซ์ “สถานการณ์”ไมเคิลถามและหลบหลังแนวกำแพงที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารฮูดดำ

“หมวดสองกองร้อยเอครับ เราเพิ่งเสียหมู่ที่สามไปครับผม เสียชีวิตสองนาย สาหัสเจ็ดนาย สามนายบาทเจ็บเล็กน้อยครับท่าน” ไมเคิลหันไปมองดูทหารฮูดดำที่นอนอยู่หลังป้อมของทหารประจำเมือง บ้างก็สั่น บ้างก็กำลังสวดมนต์ ถุงห่อศพห้าถุงถูกเรียนอย่างเป็นระเบียบที่อีกฟากของถนน ไมเคิลเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหา ผบ.หมวด

“ให้เฮลล์ฟอกซ์บีมพวกเขาขึ้นไป” เขาออกคำสั่ง

“มันมาอีกแล้ว” เสียงของทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงปืนที่ดังระงม คละเคล้าด้วยเสียงระเบิด ลูกไฟจำนวนหนึ่งลอยข้ามที่กำบังของพวกเขาไปปะทะกับบ้านที่อยู่อีกฟากของถนน ทหรฮูดดำโผล่จากที่กำบังและยิงใส่นักเวทอย่างแม่นยำ แต่บางคนก็ถูกลูกไฟไม่ก็นำแข็งยิงสวนเข้ามาจนล้มลงไปอยู่ที่พื้น ไมเคิลมองดูสถานการณ์รอบข้างก่อนจะล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา “นี่ไมเคิล ขอการยิงสนับสนุน ห้าสิมเมตรตะวันตกจากตำแหน่งของผม”

“รับทราบ ปืนโปรตรอนกำลังล็อกเป้าหมาย โปรดรอ” เสียงจากอุปกรร์สื่อส่ารตอบกลับมา “ยิงแล้ว ถึงเป้าหมายในห้าวินาที” ไม่กี่อึดใจต่อมาลำแสงสีฟ้าก็พุ่งลงมาจากเบื้องบน ทันทีที่มันแสงนั้สัมผัสกับพื้นก็เกิดเสียงดังกัมปนาท แผนดินสั่นไหว น้ำในแม่น้ำลอยขึ้นสูงตามแรงสั่นสะเทือน ฝุ่นผงและเศษเนื้อลอยขึ้นบนอากาศ ลำแสงที่สองตกลงมาในเวลาที่ใกล้เคียงกับครั้งแรก ผมของมันก็คล้ายๆกัน ร่างของจอมเวทมากมายลอยขึ้นจากพื้น บ้างก็ตกลงน้ำ บ้างก็ถูกยิงซ้ำโดยทหารฮูดดำ

“หมวด หนึ่งและสาม รายงานด้วย” ไมเคิลพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสาร

“หมวดหนึ่ง เราอยู่ที่ประตูเมืองครับ เรากับทหารประจำเมืองกำลังพยายามยันพวกมันไว้ แต่คงได้ไม่นาน เปลี่ยน”

“หมวดสาม กำลังยิงสนับสนุนหมวดหนึ่งอยู่บนประตูเมืองชั้นที่2เปลี่ยน”

“หมวดสามตรึงพื้นที่เอาไว้ ผมจะพาหมวดสองไปสมทบ” ไมเคิลพูดและเปลี่ยนช่องสัญญาณ “เรียกเฮลล์ฟอกซ์ ขอการยิง ทำลายล้าง เป้าหมาย สะพาน สามสิบเมตรตะวันตกจากตำแหน่งของผม”

“ทราบแล้วท่านนายพล กระสุนกำลังไป” กระสุนปืนโปรตรอนสองนัดพุ่งเข้ากลางสะพานอย่างแม่นยำจนหักเป็นสองท่อน น้ำและเศษวัสดุนานาชนิดลอยสูงขึ้นไปบนอากาศก่อนจะร่วงลงสู้ผืนน้ำ ไมเคิลและทหารคนอื่นๆยืนขึ้นเพื่อมองสภาพความเสียหายที่เกิดกับสะพานและฝั่งตรงข้าม ตัวสะพานข้างหนึ่งแหลกเป็นผุยผง เศษหินที่ใช่สร้างสะพานจมลงไปในก้นแม่น้ำที่เชี่ยวกราด รู้ขนาดใหญ่สองรูถุกขุดขึ้นจากพลังของปืนโปรตรอน เศษหินและดินกระจายไปทั่ว เลือดและเศษเนื้อเปรอะตามบ้าน ร่างไร้วิญญาณถูกฉีกด้วยพลังของปืนจนไม่ร็ว่าร่างไหนคือร่างไหน น้ำในแม่น้ำถูกย้อมเป็นสีแดง “บีมพวกเขาขึนยานได้แล้ว”
ไมเคิลสั่ง “เรายังมีงานต้องทำ”



“เก็บไอ้พวกสอดแนมซะ” เรดสั่งเสียงเรียบๆ พลปืนกลสนองคำสั่งอย่างรวดเร็วด้วยการกระหน่ำกระสุนกดหัวทหารสี่นายที่อยู่ห่างออกไป กระสุนวิ่งไปตามแนวยิงก่อนจะเข้าปะทะกับพื้นดินห่างจากทหารจาฟาสเพียงสิบเมตร ทหารจาฟาสหมอบลงกับพื้นโดยทันที เชมาเล็งปืนกลมือ และเหนี่ยวไก แน่นอน ระยะมันไกลเกินไปที่กระสุนจะสงผลต่อเป้าหมาย หรือแม้แต่บินไปให้ถึงก็ยังลำบาก กระสุนของเชมาร่วงลงตามแรงดึงดูดและกระทบพื้นก่อนที่จะไปได้ครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เชมาถอนหายใจด้วยท่าทีไม่พอใจก่อนจะนำปืนเล็กยาวที่สะพายอยู่ออกมาเล็งยิงไปยังทหารจาฟาส เจมส์เปลี่ยนจากระบบมองกลางคืนของสโคปบนปืนเป็นระบบจับความร้อน ตามด้วยการปรับระยะ ก่อนที่จะทาบจุดแดงลงบนเป้าหมายและเหนี่ยวไก กระสุนลอยออกจากระบอกปืน พุ่งขึ้นก่อนจะโค้งเข้าเป้าหมายเหมือนโค้งของสายรุ้ง “เก็บได้หนึ่ง” เขาตโกนแข่งกับเสียงของปืนกลเบา กระสุนนัดต่อมาก็แม่นยำไม่แตกต่างจากนัดก่อนหน้า เจมส์ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเหนี่ยวไกนัดที่สาม มันตรงไปยังเป้าหมายเหมือนเคยแต่ทว่า อาจเป็นเพราะความโชคดีของทหารจาฟาส หรือความโชคร้ายของเจมส์ ลมที่ไม่ทราบที่มาได้พัดเอากระสุนออกจาวิถีและปะทะกับวิทยุของทหารอีกนาย “เวร” เจมส์สบถออกมาเบาๆ

“ยิงได้ดี”เรดพูด “ฉลาดมากที่ยิงใส่วิทยุ”เรดพูดและลุกยืน “หยุดยิงได้แล้วพ่อหมีขาว มันชี้เป้าให้ปืนครกอีกไม่ได้แล้วล่ะ” เป็นอย่างที่เรดพูด หลังจากที่เจมส์จัดการวิทยุของทหารจาฟาสได้ไม่นานเสียงปืนครกก็เงียบลง

“ฮู้เร่” ชายชาติหมีขาวร้องออกมาเบาๆ

“ทำไมมันไม่เรียกปืนใหญ่ยิงถล่มเราซะเลยล่ะ” เชมาพูดออกมาลอยๆด้วยความสงสัย

“แถวนี้ประชาชนเยอะไป”เรดตอบข้อสงสัยของเชมาผ่านเครื่องส่งระยะสั่นที่ติดกับเฮดเกียร์ “ทหารจาฟาสไม่ทำร้ายประชาชน”

“โอ้ โล่มนุษย์”พลปืนกลพูด “แล้วเอาไงต่อครับจ่า”

“อีกหน่อยทั้งกองร้อยพวกมันคงจะมาถึง ฉันต้องเรียกกำลังเสริม” เรดกดปุ่มพูดบนวิทยุ “นี่เบอร์เซิร์ก 3-2 เบอร์เซืร์กแอทชวล ทราบแล้วเปลี่ยน”

“ทราบแล้ว ว่ามาเลยเปลี่ยน”

“เราพบทีบลาดตระเวณของทหารจาฟานิสถาน และคาดว่าอาจมีกองกำลังข้าศึกขนาดกองร้อยตั้งอยู่ไกลจากรามากนัก ต้องการคำแนะนำเปลี่ยน”

“รับทราบ โปรดรอ”เสียงจากวิทยุเริ่มแตกพร่าและขาดหายไปเป็ยช่วง “กำลัง” เสียงขาดหายไปและเสียงรบกวนบางอย่างเริ่มเข้าแทนที่ “เปลี่ยน”

“เบอร์เซิร์กแอทชวล เราไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายเปลี่ยน” ไม่มีเสียงไดตอบกลับมาจากวิทยุนอกจากเสียงดัง ‘ปิ๊ป’ เป็นจังหวะห่างๆ “เบอร์เซิร์กแอทชวล”

“เหมือนว่าเราจะเสียการติดต่อนะครับ”

“แอลฟ่า เช็ควิทยุ” เรดพูดผ่านวิทยุคลื่นสั้นที่ติดกับชุดเฮดกียร์

“ดังและชัดเปลี่ยน”

“ชาลี เช็ควิทยุ”

“ทุกอย่างชัดเจนเปลี่ยน” เรดมองดูทีมบราโว่รอบๆก่อนจะพูดกับไมโครโฟนที่ติดกับเฮดเกียร์ “ระวังตัวทุกท่าน เราต้องพึ่งตัวเองแล้ว” เจมส์ขำในลำคอและประทับปืนเล็งออกไปยังพื้นที่โล่ง

“ทหารหมู่เดียว จะหยุดทหารทั้งกองร้อยได้ยังไง” ทหารพลปืนกลเบาเอ่ยขึ้นในขณะเปลี่ยนแม็กกาซีนแบบตลับเป็นแบบสายกระสุน เขานั้นลงที่มุมกำแพงของดาดฟ้า ปืนกลอาร์พีดีวางพาดอยู่บนตัก สายกระสุนมากมายวางอย่างเป็นระเบียบรอบๆตัวเขา

“เราไม่ได้หยุดพวกนั้น” เรดพูดและโยนตลับกระสุนให้เชมา “เราแค่ซื้อเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” เขาโยนอีกตลับให้เจมส์ “เช็กอาวุธ พวกมันจะมาในอีกไม่กี่นาที”

“บางอย่าง สิบสองนาฬิกา” เสียงของหัวหน้าทีมแอลฟ่าดังขึ้นจากเฮทเซ็ทของทุกคน พลปืนกลชาวหมีขาวเปลียนอิริยาบทอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นย่อตัวต่ำ หันออกไปยังพื้นที่โล่ง พาดปืนบนแนวกำแพงและกระชากคันรั้งปืน “สองคลิก จำนวนหกสิบบวก” เจมส์และเชมาเข้าประจำตำแหน่งที่ตำแหน่งของคนเอง

“ใจเย็น” เรดพูดนิ่งๆพร้อมนำซองกระสุนสองซองมามัดติดกันด้วยเทบกาวสีดำ “อย่าตระหนกไป” เขาเดินไปยังแนวกำแพง วางซองกระสุนที่ถูกมันรวมกันไว้บนสันกำแพง “แอลฟ่าและชาลี ดูปีกซ้ายขวาไว้ด้วย ทหารพวกนี้ชำนาญพื้นที่มาก บราโว่ พื้นที่ตรงกลางเป็นของนาย ยิงให้ดี ยิงให้แม่น ประหยัดกระสุน พวกมันจะไม่กระหน่ำมาทีเดียว แต่จะโจมตีตลอดคืน ทหารจาฟาสจะเล่นสงครามประสาท โจมตีแล้วหายไป จากนั้นโจมตีใหม่”

“พวกเราจะไม่ได้พักผ่อน แล้วก็สติแตกไป” หัวหน้าทีมยิงพูดขณะขึ้นมาร่วมวงกับคนอื่นๆ

“โดยเฉพาะพวกทหารไร้ประสบการร์อย่างพวกเรา” เรดจบประโยค และใช้กล้องส่องทางไกลมองดูทหารจาฟานิสถานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่นาทีต่อมา กระสุนปืนครกก็ระเบิดขึ้นห่างจากพวกเขาไปไม่มาก กลุ่มควันหนาทึบกระจายไปในอากาศ ทหารจาฟานิสถานพยายามที่จะบดบังทัศนวิสัย แต่พวกเขาลืมไปเสียแล้วว่า ทหารของแบล๊กอคาเดมี คือทหารที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เงินซื้อได้ ทุกคนบนดาดฟ้ารู้หน้าทีโดยที่เรดไม่ต้องสั่ง พวกเขาเปลี่ยนโหมดการมองบนสโคปปืนเป็นโหมดจับความร้อน

“เยี่ยม” เจมส์ร้องออกมาเบาๆ น้ำเสียงประชดประชัน กล้องจับความร้อนของพวกเขาเป็นกล้องแบบขาวดำ ซึ่งจะแสดงความร้อนด้วยสีขาว และสิ่งที่เจมส์มองเห็นนั่นก็คือความร้อนจากม่านควัน บดบังการมองเห็นของกล้องทุกชนิด

“ได้เวลาที่เราต้องประเมินทหารจาฟานิสถานใหม่แล้วสินะ” เรดพูดเสียงเรียบๆและกระชากคันรั้งปืน วิทยุระยยะไกลยังคงส่งเสียง “ปิ๊ป” เป็นระยะ เหมือนกับว่า มีคลื่นบางอย่างถูกส่งเข้ามาแทนที่ช่องทางสื่อสารปรกติ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงหายใจของทหารแบล๊กอาร์มี่ ในที่สุด ความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงปืนเอเค แสงสว่างเกิดขึ้นตลอดแนว กระสุนส่องวิถีจำนวนมากลอยเข้าปะทะกับอาคารและบ้านหลังต่างๆ หมู่ของเรดตอบสนองโดยทันที พลปืนกลของแอลฟ่าและชาลี ทำการสาดกระสุนออกไปยังจุดที่คิดว่าเป็นทหารจาฟานิสถาน นั่นเป็นกระทำที่ผิด

“ปืนขัดลำกล้อง” พลปืนกลชาวหมีขาวตะโกนพร้อมกับเสียงเรดที่ตะคอกใส่วิทยุว่า “หยุดยิง ทุกคนหยุดยิง” มันช้าไปแล้วที่พลปืนกลจะหยุดยิง ทหารจาฟาสกระหน่ำอาวุธทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปืนเล็ก ปืนกล รวมทั้งเครื่องยิงลูกระเบิด ใส่ที่ตั้งของแอลฟ่าและชาลี จนทั้งสองทีมต้องรีบหลบลงหลังที่กำบัง

“เวร” เจมส์สบด “เอาไงต่อล่ะจ่า”

“แอลฟ่าและชาลี ถอยไปแนวรบที่สอง เดี๋ยวนี้”เรดออกคำสั่ง และเล็งยิงอย่างประณีตใส่ที่ตั้งปืนกลของทหารจาฟาส “บราโว่ ยิงคุ่มกัน” ทุกคนบนดาดฟ้าตอบสนองต่อคำสั่งในทันใด พวกเขาบรรจงยิงปืนเป็นชุดๆ ใส่ที่ตั้งของปืนกล เพื่อทำการกดไม่ใช่ปืนกลกระบอกนั้นๆยิงใส่ทีมที่กำลังถอนกำลังได้ แด่ด้วยความต่างของขนาดกองกำลัง จะยิงกดอย่างไรก็ไม่สามารถต้านทานทหารจาฟาสที่ยกกันมาทั้งหมวดได้ กระสุนปืนเปลี่ยนทิศทางจากตำแหน่งของแอลฟ่าและชาลี มาเป็นพวกเขา กระสุนของทหารจาฟาสปะทะกับกำแพงดิน บ้างก็ทะลุ บ้างก็ถูกกำแพงดินหยุดไว้ บ้างก็แฉลบเอาดินออกไปจากกำแพง เชมาเป็นคนแรกที่ลงมาหลบบรรจุกระสุนหลังแนวกำแพง ตามด้วยเจมส์ หัวหน้าทีม เหลือเพียงเรดและพลปืนกลที่ยังคงกระหน่ำยิงใส่ทหารจาฟาส เมื่อทหารจาฟาสเห็นว่าพลังการยิงของทีมลดลงไปก็ทำการรุกคืบขึ้นมา

“ทหารจาฟาส ยี่สิบ หนึ่งร้อยหาสิบเมตร” เรดร้องพร้อมดึงแม็กกาซีนออกจากปืน โยนมันให้ลอยหมุนเหนือมือ เพื่อเปลี่ยนเอาแม็กกาซีที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาด้านบน ก่อนจะใส่เข้าไปในปืน และดันตัวค้างโบว์ทเพื่อปล่อยโบว์ทให้เข้าที่และพร้อมยิง เรดและชาวรัสเซียคุมสติได้ตีมากในขณะที่คนอื่นๆ กำลังสติแตกและบรรจุกระสุนกันอย่างลนลาน ทั้งเชมาที่ทำแม็กกาซีนตก เจมส์ที่ใส่แม็กกาซีนผิดด้าน และหัวหน้าชุดที่กำลังนำแม็กกาซีนเปล่าจากถุงทิ้มแกกาซีนกลับมาใช้ใหม่ เรดเริ่มยิงเป็นชุดๆ ใส่หทารที่กำลังตรงเข้ามาหาพวกเขา ทำให้ทหารจาฟาสล้มลงไปหลายนาย ส่วนทางทหารชาวหมีขาวเอกก็ใช่จะไร้พิษสง เขาสาดกระสุนสามสิบนัดสุดท้ายใส่กลุ่มของทหารจาฟานิสถานดวงกุดที่ดันเดิมจับกลุ่มกัน ทำให้ทหารจาฟาสห้าคนถูกยิงลงไปนอนกองที่พื้น ทหารชาวหมีขาวปล่อยไกหลังจากที่กระสุนปืนหมด และกำลังย่อตัวลงหลบหลังที่กำบัง กระสุนของทหารจาฟาสนัดหนึ่งเฉือนลำคอของทหารรัสเซียผู้โชคร้าย เลือดพุ่งออกไปตามแรงของกระสุน เขาทรุดลงไปนอนพร้อมปืนกลคู่กาย นัยน์ตาเลือนล่อยด้วยอาการตกใจ เจมส์คลานเข้าหาเขา พร้อมดึงเอาชุดปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋าที่ติดเวส เขาฉีกซองและนำผ้าปิดแผลออกมารอบคอของทหารชาวรัสเซีย

“นายต้องไม่เป็นไร” เจมส์พูด พลปืนกลจับมือของเขาก่อนจะมองเข้าไปในตาของเจมส์


“ฉันไม่เป็นไร” เขาพูดและจัดการพันผ้าพันแผลรอบคอ เรดมองดูเขาเหมือนอยากจะถามว่าเป็นอะไรมากไหม แต่ว่าทหารล่ำบึกชาวหมีขาวผู้นี้เพียงแต่พยักหน้าตอบกลับไป ก่อนจะง่วนกับการบรรจุกระสุนปืน เมื่อตั้งสติได้ เจมส์บรรจุกระสุนจนเสร็จ และกลับไปประจำตำแหน่งของตน ตามด้วบเชมาและหัวหน้าชุด

“หยุดยิง” เรดสั่งหลังจากที่การกระหน่ำยิงของทหารจาฟานิสถานหยุดลง “ทุกทีมรายงาน”

“แอลฟ่า ไม่มีความเสียหาย” เสียงของหัวหน้าทีมแอลฟ่าดังมาจากวิทยุ

“ชาลี ถูกยิงบาทเจ็บหนึ่ง แต่เลือดหยุดไหลแล้วเปลี่ยน”

“ทุกทีม เปิดหูเปิดตาเอาไว้ ทหารจาฟาสอาจจะโผล่มาเหมื่อไหร่ก็ได้”เรดสั่งและทรุดตัวลงนั่ง “เช็คกระสุน”

ทุกสิงเงียบสนิดเหมือนไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆบนดาดฟ้าบ้าน ทหารหมีขาวร่างใหญ่ยืนมองดูที่โล่งตรงหน้าด้วยความเงียบ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของทหารทีมบราโว่ จนเจมส์ได้ทำลายความเงียบลง “นายชื่ออะไร” เขาถามทหารร่างใหญ่

“แอนโทนอฟ อามโบรวิช” เขาละสายตาจากที่โล่งมามองเจมส์ “เพื่อนๆเรียกฉัน ทอฟ”

“ทอฟ” เจมส์พูดและนั่งลงพิงกับกำแพง

“ใช่”

“นายจะทำอะไรถ้าสงครามจบ” แอนโทนอฟเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังที่โล่ง และตอบเจมส์ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“พ่อฉันมีฟาร์มม้า อยู่แถวๆ นอวอซิเบิร์ก”

“เยี่ยม” เจมส์พูดและยิ้มให้กับแอนโทนอฟ และนี่เป็นครั้งแรกที่ชายชาวหมีขาวยิ้มออกมาในใบหน้าที่มีความสุข “แล้วจ่าล่ะครับ จะทำอะไรถ้าสงครามจบ”

“ฉันว่าเราพอแค่นี้ก่อนดีกว่า” แอนโทนอฟขัดขึ้น “ยานยนต์หุ้มเกราะข้าศึก สามคันกำลังตรงมาหาเรา”

“เยี่ยม” เจมส์ลุกขึ้นและใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังลานกว้าง ยานยนต์หุ้มกราะรุ่น บีเอ็มพี-1 ของสหภาพโซเวียต กำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วต่ำ รอบๆยานยนต์ทั้งสามคันเต็มไปด้วยทหารราบราวๆ สามสิบนาย

“นายถามว่าถ้าสงครามจบฉันจะทำอะไรใช่รึเปล่า” เรดพูดพร้อมเดินมาหาเจมส์อย่างช้าๆ “สงครามไม่มีวันจบหรอก” เรดพูดและกระชากคันรั้งปืน “เตรียมตัวโดนของหนักได้”


จบ ปี1 ครึ่งแรก