MahouKenshi
6th December 2011, 14:01
ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่เล่นเกม RPG คงจะต้องอยากทราบเนื้อเรื่องและความเป็นมาของเกมว่าอะไรเป็นอะไรกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมขอใช้เวลาว่างที่มี เอาเนื้อเรื่องของสุดยอดเกม Action-RPG นี้มานำเสนอให้เพื่อนๆที่อาจจะยังไม่เข้าใจภาษาดีพอได้อ่านกันครับ
ข้อมูลทั้งหมดที่เอามานี้ จัดทำ เรียบเรียง และแปลขึ้นเองตามเวลาและความรู้ที่มีครับ โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงจากเนื้อหาในเกมและเว็บไซท์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่นี่ (http://www.uesp.net/wiki/Main_Page) ครับ สำหรับผู้ที่สนใจ หากเนื้อหาผิดถูกหรืออยากได้อะไรเพิ่มลองแจ้งได้นะ หากมีเวลาจะจัดหาข้อมูลมาให้ครับ
ประวัติคร่าวๆของซีรี่ย์ The Elder Scroll
The Elder Scroll เป็นเกม Action-RPG ในรูปแบบ Open-World (แนวเปิดกว้าง) ทั้งมุมมองบุคคลที่ 1 และบุคคลที่ 3 ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท Bethedas โดยเริ่มวางจำหน่ายภาคแรก The Elder Scroll: Arena เมื่อปี 1994 บนเครื่อง PC หลังจากนั้นจึงมีภาคต่อตามออกมาคือ The Elder Scroll II : Daggerfall ในปี 1996 ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกอย่างดีมากถึงระบบที่มีความลึกซึ้งและแปลกใหม่มากในยุคสมัยนั้น จนกระทั่งมาถึงปี 2002 The Elder Scroll III: Morrowind ได้คลอดออกวางจำหน่าย และถือเป็นภาคแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3D เข้ามาสนับสนุนตัวเกมอย่างดี ซึ่งภาคนี้ยังมีภาคเสริมต่อเนื่องตามออกมาอีก 2 ภาค ได้แก่ The Elder Scroll III: Tribunal ในช่วงปลายปี 2002 และ Elder Scroll III: Bloodmoon ในช่วงกลางปี 2003 สิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้แตกต่างจาก 2 ภาคก่อนมากก็คือการที่ภาคนี้มีการวางจำหน่ายตัวเกมพร้อมกับ Construction Set ซึ่งเป็นอุปกรณ์การสร้างเนื้อหาเพิ่มในเกม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์ Mod ต่างๆเข้าใส่เกมได้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกมนี้มีอายุยาวนานหลายปีหลังจากวางจำหน่ายมา
หลังจากนั้นในปี 2006 หลังจากภาค 3 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ภาค 4 ของซีรี่ย์นี้คือ The Elder Scroll IV: Oblivion ก็ได้ออกวางจำหน่ายพร้อมกับ Construction Set ซึ่งภายหลังทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่นักเล่นเกมแนว RPG เนื่องด้วยกราฟฟิคที่งดงาม ฉากอันกว้างใหญ่ และระบบการเล่นที่อิสระ ทำให้ได้รับรางวัล Game of the Year ไปครองอย่างงดงาม ไปจนถึงการที่มี Mod ชื่อดังมากมายถูกสร้างสรรค์มาจากนักสร้าง Mod ทั้งหลาย ทำให้เกมมีอายุยืนนานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง Bethedas เองก็ได้มีการจัดจำหน่ายเกมภาคเสริมของภาคนี้อีกด้วย คือ The Elder Scroll IV: Shivering Isle ในช่วงต้นปี 2007
หลังจากนั้นผ่านมาอีก 5 ปี ในปี 2011 ภาคต่อของมหากาฟย์อันยิ่งใหญ่ก็ได้ออกมาให้ทุกท่านได้ยลโฉมกัน นั่นก็คือ The Elder Scroll V: Skyrim นั่นเองครับ และสำหรับท่านที่สนใจอยากรู้ว่า mod มันเป็นยังไงกันแน่ เชิญได้ที่นี่ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=42494)ครับ
ประวัติศาสตร์คร่าวๆก่อนจะมาถึง The Elder Scroll V Skyrim
สรุปเนื้อเรื่องคร่าวๆสำหรับภาคนี้ โดยภาคนี้จะทิ้งช่วงห่างจากภาค 4 ยาวนานถึง 200 ปีกันเลยทีเดียว ภาคนี้จะนำเสนอถึงความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิ์ Tamriel ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เหตุการณ์ Oblivion Crisis เมื่อ 200 ปีที่แล้ว (เหตุการณ์ในภาค 4) ซึ่งตอนนี้จักรวรรดิ์ Tamriel ที่เคยยิ่งใหญ่อ่อนแอลงมาก จากเดิมในยุคของราชวงศ์ Septim ที่จักรวรรดิ์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมานาน อาณาเขตกว้างขวางไปทั่วทวีป ปกครองทุกดินแดน มาตอนนี้กลับอยู่ในสภาพแทบพังทลาย ถูกรุกรานจากข้าศึกใหม่ที่เข้มแข็งกว่าที่คิด แถมประเทศที่แต่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์ยังประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์อีก ทำให้จักรวรรดิ์ Tamriel ในยุคนี้อ่อนแอไม่เหมือนแต่ก่อน
ตรงนี้จะเป็นแผนที่ของจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Skyrim ที่เป็นฉากของภาคนี้จะอยู่ทางทิศเหนือของจักรวรรดิ์
http://images.uesp.net/c/c3/TamrielMap.jpg
เนื้อเรื่องในเกมนี้ ปัจจุบันจักรวรรดิ์ Tamriel อ่อนแอลงมาก เริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ Martin Septim ทายาทผู้สืบสายเลือด Dragonborn แห่งราชวงศ์ Septim คนสุดท้าย เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องโลกเอาไว้เมื่อ 200 ปีก่อน ซึ่งเหตุการณ์นี้ต่อมาถูกเรียกว่า Oblivion Crisis อันเป็นจุดสิ้นสุดของยุคที่ 3 และเป็นการเริ่มต้นยุคที่ 4 จักรวรรดิ์ก็เริ่มอ่อนแอลงเป็นต้นมา จักรวรรดิ์ที่ต้องปกครองตนเองโดยไม่มีจักรพรรดิ์เป็นผู้นำ ไม่สามารถรักษาเอกราชย์ของตัวเองได้ จนสุดท้ายเมื่อนายพล Titas Mede ได้ยกพลเข้าบุกยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ เขาได้สถาปณาตนเองเป็นจักรพรรดิ์องค์ใหม่ของ Tamriel และเป็นจักรพรรดิ์องค์แรกในยุคที่ 4 อีกด้วย แต่จักรวรรดิ์ก็ไม่ได้เข้มแข็งขึ้น กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่การที่ Black Marsh (ดินแดนของ Argonian) และ Elsweys (ดินแดนของ Khajiit) ประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ ไปจนถึงการที่ภูเขาไฟ Red Mountain ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีป ตั้งอยู่บนเกาะ Vvardenfell ใน Morrowind (ฉากของภาค 3 และเป็นดินแดนของ Dark Elf) เกิดระเบิดขึ้น ทำให้เกาะ Vvardenfell ทั้งเกาะถูกทำลายลงไปและส่วนอื่นๆที่เหลือของ Morrowind ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จักรวรรดิ์ต้องเสียกำลังคนในการบูรณะซ่อมแซม Morrowind และการพยายามเอาดินแดนที่เสียไปคืนมา แต่ซ้ำร้าย พวก High Elf จาก Summerset Isle (ดินแดนของ High Elf) ได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม Aldmeri Dominion อันเป็นกลุ่มอิทธิพลของ High Elf ซึ่งในยุคอดีตเคยถูกทำลายไปแล้วครั้งหนึ่งขึ้นมาใหม่ เผ่าเอลฟ์ฉวยโอกาสที่จักรวรรดิ์กำลังอ่อนแอประกาศเปลี่ยนชื่อ Summerset Isle เป็น Alinor จากนั้นก็ทำสัญญาเป็นมิตรกับ Valenwood (ดินแดนของ Woof Elf) สถาปณารัฐอิสระขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อของ Aldmeri Dominion พร้อมทั้งแยกตัวทั้ง 2 ดินแดนดังกล่าวออกจากจักรวรรดิ์ในที่สุด
จนเมื่อถึงปีที่ 171 ของยุคที่ 4 (30 ปีก่อนเนื้อเรื่องภาคนี้จะเริ่ม) กลุ่ม High Elf จาก Aldmeri Dominion ซึ่งมีกลุ่มผู้นำที่เรียกตัวเองว่า Thalmor ได้ยกพลเข้าบุกพื้นที่ Cyrodiil (ฉากของภาค 4 และดินแดนของ Imperial) กับ Hammerfell (ดินแดนของ Redguard) พร้อมกัน หมายที่จะล้มล้างจักรวรรดิ์ให้ได้เพื่อประกาศศักดาว่าเอลฟ์เหนือกว่ามนุษย์ สงครามครั้งนั้นถูกเรียกขานต่อมาว่า มหาสงคราม (Great Wars) ซึ่งจากการบุกของ Aldmeri Dominion ทำให้ Imperial City (ใครเล่นภาค 4 คงจำกันได้นะครับ) อันเป็นเหมือนหลวงของจักรวรรดิ์ถูกทำลายจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และจักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ต้องหนีตายโดยการตีฝ่าวงล้อมของทัพข้าศึกไปอยู่ทางเหนือ โชคดีที่ได้รับกำลังเสริมจาก Skyrim (ฉากในภาคนี้และเป็นดินแดนของ Nord) ทำให้สามารถยึดเอา Cyrodiil คืนมาจากพวกเอลฟ์ได้ในปีต่อมาและขับไล่ Aldmeri Dominion ออกไปจากดินแดนของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ
ปีที่ 175 ของยุคที่ 4 เป็นปีที่มหาสงครามสิ้นสุดลง แม้จักรวรรดิ์จะขับไล่ Aldmeri Dominion ออกไปจาก Cyrodiil ได้สำเร็จ แต่จักรวรรดิ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนจักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ต้องยอมตกลงทำสนธิสัญญา White-Gold กับฝ่าย Aldmeri Dominion อันมีเนื้อหาระบุว่าจักรวรรดิ์ต้องยอมให้พวก Thalmor สามารถเข้ามาตั้งสถานฑูตในจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระ เพื่อสังเกตุการณ์ความเคลื่อนไหวภายในดินแดนของจักรวรรดิ์ พร้อมกับสั่งห้ามการบูชา 1 ในเทพทั้ง 9 คือ Talos ที่พวก Aldmeri Dominion มองว่าไม่เหมาะสมเพราะ Talos ในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่นั่นก็คือการก่อตั้งจักรวรรดิ์ Tamrial ขึ้นมา จนเมื่อตายไปได้ขึ้นไปอยู่ร่วมกับเทพทั้ง 8 (ใครเล่นภาคก่อนๆมาคงคุ้นเคยกับคำว่า Nine Divines ดี) ซึ่งจักรวรรดิ์เองก็ไม่มีทางเลือก และต้องยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว ยกเว้นแต่ Hammerfell ที่ไม่ยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าวและประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ โดยในตอนหลัง Hammerfell ได้รบกับพวก Aldmeri Dominion ต่อเนื่องไปอีก 5 ปีจนถึงปีที่ 180 จึงได้มีการทำสนธิสัญญากับ Aldmeri Dominion อีกฉบับชื่อสนธิสัญญาแห่ง Stros M'kai อันมีผลทำให้ Aldmeri Dominion ถอนกำลังออกจาก Hammerfell ไปในที่สุด
จนกระทั่งมาถึงปีที่ 201 ของยุคที่ 4 ซึ่งครบรอบ 200 ปีจากเหตุการณ์ในภาค 4 พอดี แม้ว่าสันติสุข (ที่หลายๆคนมองว่าเป็นเหมือนคลื่นสงบก่อนมีพายุใหญ่เท่านั้น) ณ ดินแดน Skyrim ซึ่งยังคงอยู่ในเขตปกครองของจักรวรรดิ์ Tamriel อยู่ (ตอนนี้จักรวรรดิ์มีเขตปกครองเหลือแค่ 4 เขตจากเดิม 9 เขตเท่านั้นคือ Cyrodiil, Skyrim, High Rock (ดินแดนของ Breton) และ Morrowind) โดยชาว Nord ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของ Skyrim นำโดย Ulfric Stormcloak ได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิ์เพื่อจะแยกตัวเอา Skyrim ออกเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Ulfric Stormcloak ได้เริ่มก่อกบฎโดยการบุกไปท้าประลองและปลงพระชนม์กษัตริย์ของ Skyrim และปลุกระดมชาว Skyrim ให้ลุกขึ้นสู้เพื่อแยกเอา Skyrim ออกจากจักรวรรดิ์ที่กำลังอ่อนแอ โดยอ้างเรื่องที่จักรวรรดิ์ยอมรับข้อตกลงเรื่องการห้ามบูชา Talos มาเป็นสาเหตุในการปลุกระดม (Talos ในสมัยที่ยังเป็นคนมีชื่อว่า Tiber Septim หรือชื่อเรียกพื้นบ้านของชาว Nord ว่า Talos แห่ง Atmora เป็นทั้งผู้สถาปนาและจักรพรรดิ์องค์แรกของจักรวรรดิ์ Tamriel และยังเป็นชาว Nord อีกด้วย ทำให้ชาว Skyrim บูชา Talos เป็นทั้งเทพเจ้าและผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Skyrim ดังนั้นการที่จักรวรรดิ์ยอมรับเงื่อนไขของ Aldmeri Dominion ทำให้ชาว Nord รู้สึกโกรธแค้นและขุ่นเขืองมากกว่าอาณาจักรอื่นๆในจักรวรรดิ์) ฝ่ายจักรวรรดิ์จึงต้องให้กองทัพ Imperial Legion ภายใต้การนำของนายพล Tullius เพื่อปราบกบฎลงให้ได้
แต่ไม่ใช่แค่สงครามกลางเมืองอย่างเดียวที่กำลังคุกคาม Skyrim เรื่องที่เลวร้ายกว่ากลับเกิดขึ้นอีกเมื่อมังกร สิ่งมีชีวิตที่ทั้งมนุษย์และเอลฟ์ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกนานมากแล้วตั้งแต่ยุคโบราณ กลับมาปรากฎตัวขึ้นมาใน Skyrim ก่อให้เกิดความวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก ตัวเอกซึ่งก็คือตัวเราซึ่งตอนหลังพบว่าตัวเองนั้นเป็น Dragonborn นักรบในตำนานของชาว Nord และมีพลังในการสังหารมังกรและดูดพลังมังกรมาเป็นของตัวเอง เลยต้องลุกขึ้นสู้เพื่อหยุดยั้งมังกรในตำนาน Alduin จอมเขมือบโลกให้ได้ แล้วก็แน่นอนว่านอกจากการไล่ล่าหยุดยั้งพวกมังกรแล้ว Dragonborn ยังต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งใน Skyrim อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย
Dragonborn คืออะไร?
http://upic.me/i/h2/1717386-wmplayer_2011_02_24_11_30_06_56_screen_large.jpg
Dragonborn หรือในภาษามังกรจะถูกเรียกว่า Dovahkiin เป็นบุคคลธรรมดาที่เกิดมาพร้อมกับอำนาจพิเศษที่สามารถเรียกรู้และใช้พลังของภาษาแห่งมังกร หรือมักจะเรียกกันว่า Voice หรือในภาษามังกรว่า Thu'um เป็นพลังที่เปล่งเสียงออกมาให้เกิดอำนาจมหาศาล อันเป็นศาสตร์โบราณที่ว่ากันว่ามีแต่มังกรเท่านั้นที่ใช้ได้ Dragonborn จะมีพลังพิเศษที่สามารถเรียนรู้การใช้ทักษะดังกล่าวได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเนื่องจาก Dragonborn คือผู้ที่เกิดมาในร่างของคนแต่มีวิญญาณของมังกรแฝงในตัว นอกจากนั้นแล้ว Dragonborn ยังสามารถที่จะสังหารมังกรและซึมซับเอาวิญญาณของมังกรมาเป็นพลังของตัวเองได้อีกด้วย
Dragonborn คนแรกที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เกิดมาในยุคที่ 1 ชื่อของเธอคือ Saint Alessia จักรพรรดิณี องค์แรกของจักรวรรดิ์ Cyrodilic ที่ถูกปกครองโดยมนุษย์และไม่ใช่เอลฟ์ เธอทำพันธะสัญญากับ Akatosh อันนำไปสู่การสร้างกำแพงที่ช่วยปกป้อง Nirn จากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตจาก Oblivion อีกด้วย และเธอคือผู้ให้กำเนิดลัทธิบูชาทวยเทพทั้ง 8 (หรือ Eight Divines) ขึ้นเพื่อสร้างความปรองดองให้แค่ประชาชนในจักรวรรดิ์ของเธอ
Dragonborn อีกคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ์คงหนีไม่พ้น Tiber Septim จักรพรรดิ์องค์แรกของจักรวรรดิ์ Tamriel และเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถรวมเอาทวีป Tamriel เป็นหนึ่งได้สำเร็จ Tiber Septim เป็นชาว Nord และเป็นผู้ศึกษาวิถีแห่งเสียงหรือ The way of Voice และเป็นบุคคลที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ตลอดช่วงชีวิตจนสุดท้ายเมื่อสิ้นพระชนม์ได้ถูกรวมเข้าเป็นเทพองค์ที่ 9 และถูกบูชาในฐานะ Talos วีรบุรุษและเทพผู้สร้างจักรวรรดิ์ Tamriel
และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือ Dragonborn คนล่าสุดซึ่งก็คือตัวคุณนั่นเอง เนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร คุณจะกลายเป็นวีรบุรุษที่โลกจะต้องจดจำ เป็นทหารรับจ้างที่ทำทุกอย่างเพื่อสมบัติและเงินทอง เป็นอาชญากรที่ถูกสาปแช่งไปทั่ว เป็นคนโรคจิตที่ไล่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือแค่เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ไปโดยไม่มีใครสนใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้วครับ
มังกร
หากจะกล่าวถึง Dragonborn ผู้เกิดมาเพื่อเป็นนักล่ามังกรแล้ว ก็คงจะไม่กล่าวถึงอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่ปรากฎตัวในภาคนี้ไม่ได้ นั่นก็คือมังกรนั่นเอง
http://upic.me/i/h7/dragon.jpg
มังกรเป็นสิ่งมีชัวิตขนาดใหญ่ที่สามารถบินไปบนฟ้ากว้างได้อย่างอิสระ และมีอำนาจในการเปล่งเสียงเพื่อสร้างพลังอำนาจมหาศาลออกมาได้ หรือที่เรียกกันในภาษามังกรว่า Thu'um นั่นเอง โดยผู้คนชาว Tamriel มองว่ามังกรคือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลก ในสมัยโบราณหลายพันปีมาแล้วในโลกของ Nirn มังกรมีอำนาจมากภายใต้การนำของ Alduin มังกรที่ว่ากันว่าเป็นมังกรตัวแรกที่ถูกให้กำเนิดโดย Akatosh โดยว่ากันว่า Alduin นั้นมีพลังอำนาจมหาศาลพอที่จะทำลายโลกและสร้างโลกขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้น Alduin จึงถูกเรียกว่าจอมเขมือบโลก และถูกมองว่าเขาคือตัวแทนของวันสิ้นโลก สิ่งที่ทำให้ Alduin มีอำนาจน่าเกรงขามกว่ามังกรอื่นๆหลายเท่านักคือการที่เขาสามารถเดินทางระหว่างโลกนี้และโลกแห่งความตายได้ ทำให้เขาสามารถดูดกลืนเอาเหล่าวิญญาณของนักรบที่ตายไปมาเป็นพลังให้แก่ตนเองได้ ด้วยอำนาจมหาศาลขนาดนี้ทำให้แม้แต่เหล่ามังกรด้วยกันเองก็ยังต้องเกรงกลัวในตัวของ Alduin
ในอดีต Alduin ได้รวบรวมและปกครองเหล่ามังกรทั้งหมดภายในอำนาจของตน พร้อมทั้งคุมขังมนุษย์เอาไว้เป็นทาสรับใช้ของตน มนุษย์บางส่วนยอมศิโรราบต่อมังกร และเริ่มก่อนตั้งลัทธิบูชามังกรขึ้น อันนำไปสู่การมีอยู่ของนักบวชมังกร (Dragon Priest) ในเวลาต่อมา โดย Alduin นั้นจะตบรางวัลให้กับมนุษย์ที่ทำผลงานดี โดยการมอบหน้ากากที่ทรงพลังมหาศาลให้ ซึ่งหน้ากากเหล่านี้มีทั้งหมด 9 อันด้วยกัน และว่ากันว่าแต่ละอันมีพลังมหาศาลและจะทำให้ผู้ใส่มีชีวิตเหนือกาลเวลาได้
ยุคปกครองของ Alduin กินเวลายาวนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งวันหนึ่ง Paarthurnax ในฐานะนายกองคนสำคัญและมือขวาของ Alduin เริ่มไม่พอใจกับแนวทางการปกครองของ Alduin และมองว่า Alduin ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความต้องการของ Akatosh ผู้สร้างอีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจหันมาช่วยเหลือฝ่ายมนุษย์ให้ลุกขึ้นมาสู้กับมังกร โดยการถ่ายทอดวิถีแห่งเสียงให้นักรบ Nord ในสมัยโบราณ ทำให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้และในที่สุดก็สามารถขับไล่ Alduin ไปจากโลกได้สำเร็จด้วยอำนาจของ Elder Scroll
หลังจาก Alduin ถูกขับไล่ไป มังกรก็เริ่มถูกล่ามากขึ้น จากฝีมือของชาว Akaviri ผู้รุกรานจากทวีป Akavir ซึ่งภายหลังได้มีการก่อตั้งกลุ่ม Blade ขึ้นมา อันเป็นกลุ่มนักล่ามังกรที่มีบทบาทสำคัญมากในเวลาต่อมา มังกรได้ถูกล่าไปจนหมด และผู้คนเชื่อว่ามังกรสูญพันธุ์ไปจากโลกจนหมดแล้ว ส่วน Paarthurnax ผู้ที่ช่วยให้เหล่ามนุษย์สามารถลุกขึ้นมาต่อกรกับมังกรได้ก็หายสาปสูญไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน หลังจากมังกรหายไปจนหมด มนุษย์จึงสามารถเริ่มก่อตั้งอารยธรรมของตนเองบนโลกขึ้นได้อย่างแท้จริง
จนกระทั่งยุคที่ 4 ปี 201 มังกรกลับมาปรากฎตัวบนโลกนี้อีกครั้ง โดยการนำของ Alduin ซึ่งเคยถูกขับไล่ไปจากโลกเมื่อนับพันปีก่อน Alduin กลับมาพร้อมกับใช้อำนาจของเขาในการปลุกเอาเหล่ามังกรอื่นๆที่ตายไปตั้งแต่สมัยอดีตให้กลับมารับใช้เขาอีกครั้ง การกลับมาของ Alduin ครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไร คนที่สามารถค้นหาความจริงและหยุดยั้ง Alduin ได้มีแต่คุณเท่านั้นครับ
ความจริงของสงครามกลางเมืองใน Skyrim
สงครามกลางเมืองที่กำลังแผดเผา Skyrim อยู่นั้นมีสาเหตุมาจาก เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นที่เมือง Markarth เป็นเมืองโบราณที่ว่ากันว่าถูกสร้างโดยเผ่า Dwemer ที่หายสาปสูญไปนานตั้งแต่ยุคโบราณโดยไม่มีสาเหตุ (ถ้าใครเล่นภาค 3 จะพอรู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น) เมือง Markarth แต่ดั้งเดิมเคยมีชนเผ่าอาศัยอยู่ซึ่งเป็นพวก Breton ที่เป็นชนพื้นเมืองในแถบนี้ จนภายหลัง Nord ได้เข้ามายึดดินแดนแถบนี้ไปเป็นของ Skyrim ทำให้กลุ่มชนพื้นเมืองไม่ตายก็ต้องหนีไปอยู่ตามป่าตามเขา จนช่วงมหาสงคราม ฝ่ายจักรวรรดิ์ที่อ่อนแอลงเพราะสงครามหลายปี ทำให้กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแถบนี้พยายามจะแยกตัวออกจาก Skyrim และเป็นอาณาจักรปกครองตนเองอิสระ โดยกลุ่มนี้จะเรียกตัวเองว่า Forsworn ซึ่งพวกนี้สามารถยึดเอาดินแดนแถบนี้รวมถึงเมือง Markarth มาเป็นของตนเองได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนภายหลังฝ่ายจักรวรรดิ์เลยได้ส่งกองทัพเข้ามาปราบพวก Forsworn เพื่อยึดเอาเมือง Markarth คือ โดยมี Ulfric Stormcloak เป็นผู้นำในการบุกครั้งนี้ โดยจักรวรรดิ์ให้สัญญาว่าถ้าพวก Ulfric ยึดเมืองคืนได้สำเร็จ จะยอมให้ชาว Nord บูชา Talos ได้เหมือนเดิม หลังจาก Ulfric สามารถนำทัพยึดเมืองคืนให้กับจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของฝ่าย Thalmor ทำให้พวก Thalmor ไม่พอใจและสั่งให้จักรวรรดิ์ส่งมอบตัวทหารกลุ่มนี้มาเพื่อให้พวกตนลงโทษซะ ฝ่ายจักรวรรดิ์ที่กำลังอ่อนแอ ไม่อยากที่จะทำสงครามกับฝ่ายเอลฟ์อีกรอบในขณะที่ตนเองยังอ่อนแออยู่ เลยต้องยอมส่งมอบตัว Ulfric และทหารทั้งหมดไปให้ฝ่ายเอลฟ์ลงโทษแทน
หลังจากนั้นฝ่าย Thalmor จึงใช้สารพัดวิธีเพื่อทรมานและทำลายจิตใจของพวกทหารรวมทั้งตัวของ Ulfric และฝ่าย Thalmor เองก็มองเห็นว่า Ulfric นี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายจักรวรรดิ์ได้ เลยใช้วิธีการค่อยๆฝังรากความคิดให้กับ Ulfric เพื่อให้ Ulfric เกลียดชังจักรวรรดิ์ พอเห็นว่า Ulfric จะต้องตั้งตัวเป็นอริกับฝ่ายจักรวรรดิ์แน่ๆแล้ว พวก Thalmor จึงวางแผนปล่อยให้ Ulfric หนีออกไปจากคุกได้ ซึ่งพอ Ulfric กลับไปถึงเมือง Windhelm ที่เป็นเมืองของเขาเองแล้ว ก็พบว่าเจ้าเมืองคนก่อนพึ่งตายไป Ulfric เลยได้รับตำแหน่งสืบทอดมาทันที มีทั้งกำลังทหารและเสบียงพร้อม Ulfric จึงเริ่มประกาศสงครามกับฝ่ายจักรวรรดิ์ทันที นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่เป็นฉากสำคัญของภาคนี้นี่เอง
บันทึกเหตุการณ์สำคัญของยุคที่ 4
ศตวรรษที่ 1 ปี 1 ถึงปีที่ 99
4E 0 — วิกฤตประตูนรกสิ้นสุดลง
Mehrunes Dagon พร้อมด้วยกองทัพ Daedra ของเขาถูก Champion of Cyrodiil (ตัวเอกภาค 4) และ Martin Septim ขับไล่ให้กลับไปสู่ Oblivion ได้สำเร็จ โดยการเสียสละตัวเองของ Martin Septim พร้อมกับอัญมณีแห่งกษัตริย์ที่ถูกทำลายไป ทำให้ยุคที่ 3 อันเป็นยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิ์ภายใต้การนำของราชวงศ์ Septim สิ้นสุดลง และเป็นการเริ่มยุคที่ 4 ขึ้น โดยจักรวรรดิ์ยังไม่สามารถคัดเลือกจักรพรรดิ์องค์ใหม่ได้ ทำให้สภาสูงภายใต้การนำของท่านวุฒิสมาชิก Ocato ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกลุ่ม Blade ต้องพยายามรักษาจักรวรรดิ์เอาไว้ให้ได้ อย่างไรก็ดี จักรวรรดิ์ได้อ่อนแอลงไปมากทำให้หลายๆอาณาจักรพยายามใช้ประโยชน์จากจุดนี้
4E 1 — จุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิ์ Tamriel
Black Marsh ได้ประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิ์ ตามด้วย Elsweyr ในเวลาต่อมา
4E 10 — วุฒิสมาชิก Ocato ถูกลอบสังหารโดยนักฆ่าจากฝ่าย Thalmor อันนำไปสู่เหตุการณ์ความวุ่นวายและการแก่งแย่งอำนาจภายในของสภาสูง ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Stormcrown Interregnum
ความวุ่นวายดังกล่าวกินเวลาถึง 7 ปี ทำให้จักรวรรดิ์อ่อนแอลงไปยิ่งกว่าเดิม
4E 17 — นายพล Titus Mede นายพลแห่ง Colovian สามารถนำทัพเข้ายึดครองเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จและสถาปณาตนเองเป็นจักรพรรดิ์องค์ใหม่ของจักรวรรดิ์
4E 18 — เจ้าชาย Attrebus Mede ประสูตรในปีนี้
4E 22 — Thalmor เข้ายึดครอง Summerset Isle และเปลี่ยนชื่ออาณาจักรดังกล่าวเป็น Alinor
4E 29 — จักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ได้ถูกสถาปณาขึ้นใหม่ โดยการผนวกเอา Alinor และ Valenwood เข้าเป็นอาณาจักรเดียวและแยกตัวออกจากจักรวรรดิ์ Tamriel อย่างสมบูรณ์
โดยการแยกตัวครั้งนี้เกิดจากฝีมือของฝ่าย Thalmor ที่เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการปฎิวัติใน Valenwood ซึ่งทำให้กลุ่ม Wood Elf ที่สนับสนุนจักรวรรดิ์ทั้งหมดพ่ายแพ้โดยไม่ทันตั้งตัว
4E 40 — นครลอยฟ้า Umbriel ถูกพบเห็นตามแถบชายฝั่งของ Black Marsh และเคลื่อนที่ไปทางเหนือมุ่งสู่ Morrowind
4E 40 — ภูเขาไฟ Red Mountain เกิดปะทุขึ้น ทำให้เกาะ Vvardenfell ใน Morrowind (ฉากในภาค 3) ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
เรื่องนั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่ Vivec 1 ใน 3 เทพของ Morrowind หมดอำนาจและหายตัวไป (ผลจากเหตุการณ์ในภาค 3) ทำให้ Ministry of Truth อุกาบาตที่ลอยอยู่เหนือเมือง Vivec City เกิดไม่สมดุลขึ้น ซึ่งในช่วงแรก Vuhon ได้สร้างเครื่องมือชื่อ Ingenium ที่ได้พลังมาจากการสังเวยชีวิตของคนจำนวนมากเพื่อรักษาสมดุลของอุกาบาตดังกล่าว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นทำให้ Ingenium ถูกทำลายและอุกาบาตพุ่งลงกระแทกเมือง Vivec City อย่างแรง ส่งผลให้ภูเขาไฟ Red Mountain เกิดปะทุขึ้นและทำลายเกาะ Vvardenfell ทั้งหมดและสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ Morrowind
ฝ่าย Argonian ถือโอกาสที่ Morrowind อ่อนแอจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยกทัพบุกภาคใต้ของ Morrowind
4E 98 — ดวงจันทร์ 2 ดวงที่โคจรรอบดาวเคราะห์ Nirn (โลกในเกม) ชื่อ Masser กับ Secunda เกิดหายไปอย่างลึกลับ เหตุการณ์นี้ถูกเรียกต่อมาว่า Void Nights (คืนวันว่างเปล่า)
4E 98 — ฐานทัพลับของ Dark Brotherhood ในเมือง Cheydinhal ถูกทำลายโดยกองทัพจักรวรรดิ์ และ Listener ได้ถูกสังหารในเหตุการณ์ครั้งนี้
ศตวรรษที่ 2 ปี 100 ถึงปีที่ 199
4E 100 — Void Nights สิ้นสุดลงโดยมีฝ่าย Thalmor ได้รับคำชื่นชมในการนำดวงจันทร์ที่หายไปกลับมา
ชาว Khajiit พากันยกย่องฝ่าย Thalmor ในฐานะผู้กอบกู้ (ชาว Khajiit ค่อนข้างจะเป็นชนเผ่าที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มาก) และทำให้จักรวรรดิ์ยิ่งเสียอำนาจใน Elsweyr มากขึ้นไปอีก
4E 115 — ท้ายที่สุด สหภาพ Elsweyr ได้แยกตัวออกเป็นรัฐอิสระ ได้แก่ รัฐ Anequina และรัฐ Pelletine ซึ่งได้ถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ในฐานะหัวเมืองใหม่
4E 122 — ดินแดนเกือบทั้งหมดของเมือง Winterhold จมลงไปในทะเลอย่างลึกลับ ประชาชนชาวเมืองล้วนพากันกล่าวหาว่า College of Winterhold เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทางวิทยาลัยยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
4E 168 — จักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีนี้
จักรวรรดิ์ในตอนนี้เป็นเพียงแค่เงาของจักรวรรดิ์ในอดีตเท่านั้น Valenwood และ Elsweyr กลายเป็นดินแดนของ Thalmor ส่วน Black Marsh เองก็เป็นประเทศอิสระตั้งแต่เริ่มต้นยุคที่ 4 ส่วน Morrowind เองก็ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ปะทุของภูเขาไฟ Red Mountain และ Hammerfell เองก็ต้องพบกับสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่าย Crown กับฝ่าย Forbear เพื่อแย่งชิงอำนาจ มีเพียง High Rock, Cyrodiil และ Skyrim เท่านั้นที่ยังมีสันติอยู่
4E 171 — มหาสงครามเริ่มต้นขึ้นโดยกองทัพของ Aldmeri Dominion ยกพลเข้าบุก Hammerfell และ Cyrodiil พร้อมกัน
หลังจากจักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 ปฎิเสธคำขาดของฝ่าย Thalmor ที่ต้องการให้จักรพรรดิ์ยอมยกดินแดนจำนวนมากให้กับฝ่ายตน กองทัพ Aldmeri Dominion จึงได้เริ่มยกพลเข้าบุกจักรวรรดิ์ ภายใต้การนำของนายพล Naarifin ซึ่งบุกเข้าจากดินแดนตอนเหนือของ Elsweyr เข้าสู่ทางใต้ของ Cyrodiil และยังมีทัพอีกทัพรุมขนาบเข้ามาจากชายแดนของ Valenwood ไม่นานเมือง Leyawiin ก็พ่ายแพ้และตกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้รุกราน ตามด้วยเมือง Bravil ซึ่งถูกล้อมและถูกยึดในที่สุด ในขณะเดียวกัน กองทัพอีกกองทัพหนึ่งภายในการนำของท่านหญิง Arannelya ได้ยกพลข้ามชายแดนตะวันตกของ Cyrodiil ผ่านเมือง Anvil และเมือง Kvatch มุ่งหน้าเข้าสู่ Hammerfell สมทบโดยกองทัพเรือที่ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่ง Hammerfell ทำให้กองทัพของฝ่ายจักรวรรดิ์ต้องแตกพ่ายและถอยทัพขึ้นเหนือผ่าน ทะเลทราย Alik ไปในที่สุด
4E 174 — เมืองหลวงของจักรวรรดิ์ถูกยึดและปล้นสะดมโดยกองทัพ Aldmeri Dominion
จักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 ต้องทรงเสด็จนำทัพตีฝ่าวงล้อมของกองทัพ Aldmeri Dominion เพื่อหนีไปทางทิศเหนือของเมืองหลวง เพื่อไปสมทบกับกำลังเสริมจาก Skyrim ซึ่งกำลังมุ่งหน้าลงมาสมทบภายในการนำทัพของนายพล Jonna ทำให้ Imperial City เมืองหลวงของจักรวรรดิ์ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Aldmeri Dominion วังหลวงถูกเผาทำลาย หอคอย White-Gold ถูกปล้นสะดม และ Aldmeri Dominion ได้กระทำการอันโหดร้ายทารุณเกินบรรยายต่อชาวเมือง
4E 175 — การต่อสู้ที่วงแหวนสีแดงนำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายจักรวรรดิ์ ทำให้กองทัพของ Aldmeri Dominion ถูกทำลายและต้องถอยร่นออกจาก Cyrodiil นำชัยชนะมาสู่จักรวรรดิ์และเป็นจุดสิ้นสุดของมหาสงคราม
จักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 สามารถยึดเมืองหลวงคืนได้สำเร็จอันเนื่องมาจากการตัดสินพระทัยที่เด็ดขาดในการตีฝ่าวงล้อมข้าศึกออกไป แทนที่จะตั้งรับสู้จนถึงที่สุด แต่กระนั้นแล้วชัยชนะครั้งนี้ก็ทำให้จักรวรรดิ์อ่อนแอเกินกว่าจะรบต่อได้ จึงต้องตัดสินใสเปิดเจรจากับ Aldmeri Dominion เพื่อยุติสงครามลง
4E 175 — มหาสงครามสิ้นสุดลงผ่านสนธิสัญญา White-Gold
สนธิสัญญาใหม่ที่ร่างขึ้นระหว่างฝ่ายจักรวรรดิ์และฝ่าย Aldmeri Dominion เป็นการปิดฉากสงครามยาวนานกว่า 4 ปีลง โดยเงื่อนไขของสนธิสัญญาคือการสั่งห้ามไม่ให้มีการบูชา Talos ทั่วดินแดนของจักรวรรดิ์ การให้ Thalmor สามารถตั้งสถานฑูตในดินแดนของจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระและการส่งมอบดินแดนทางใต้ของ Hammerfell ให้กับ Aldmeri Dominion ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวคล้ายกับการยื่นคำขาดของฝ่าย Aldmeri Dominion ในตอนแรกมาก มีเพียงแค่บางข้อเท่านั้นที่ถูกขีดฆ่าออกไป แต่ถึงอย่างนั้นแล้วหลายฝ่ายมองว่าการทำสนธิสัญญาหลังสงครามกับการยอมรับคำขาดแต่แรกโดยไม่มีการรบเลยนั้น มีผลที่ต่างกันมากทีเดียว
4E 175 — Hammerfell ปฎิเสธสนธิสัญญา White-Gold และแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์
จักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 ทรงประกาศให้ Hammerfell หมดสถานะการเป็นดินแดนของจักรวรรดิ์หลังจาก Hammerfell ปฎิเสธที่จะส่งมอบดินแดนให้กับ Aldmeri Dominion ซึ่งชาว Redguard มองว่าจักรวรรดิ์ทรยศพวกเขา และจึงยินดีแยกตัวเป็นอิสระพร้อมกับดำเนินสงครามกับฝ่าย Aldmeri Dominion ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
4E 180 — ร่างสนธิสัญญา Stros M'Kai
สนธิสัญญาดังกล่าวนำไปสู่การสิ้นสุดสงครามและทำให้ฝ่าย Aldmeri Dominion ทั้งหมดถอนกำลังออกจาก Hammerfell.
ศตวรรษที่ 3 ปี 200 ถึงปีที่ 299
4E 201 — Torygg กษัตริย์แห่ง Skyrim สิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของ Ulfric Stormcloak ในเมือง Solitude
4E 201 — ชาว Nords แห่ง Skyrim เข้าสู่ช่วงสงครามกลางเมือง
กองทัพ Stormcloak ภายใต้การนำของ Ulfric Stormcloak เริ่มการต่อสู้กับ Imperial Legion ภายใต้การนำของนายพล Tullius
4E 201 — Alduin ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับบุกเข้าทำลายเมือง Helgen เป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาของมังกรเป็นครั้งแรกและเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลก
4E 201 — Dovahkiin ช่วยปกป้อง College of Winterhold และเมือง Winterhold เอาไว้ได้
สายลับของฝ่าย Thalmor นามว่า Ancano พยายามจะใช้พลังจากสมบัติโบราณนามว่า Eye of Magnus ซึ่งถูกพบโดยทางวิทยาลัยโดยบังเอิญที่จุดสำรวจโบราณสถาน Saarthal โดย Ancano ได้สังหารผู้นำของวิทยาลัยและเกือบจะทำลายเมือง Winterhold แต่ถูกหยุดเอาไว้ได้โดยฝีมือของ Dovahkiin โดยความช่วยเหลือของ Psijic Order ทำให้ Eye of Magnus ถูกหยุดเอาไว้ได้สำเร็จ
4E 201 — Alduin ถูกสังหาร
Dovahkiin ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าผู้กล้าในยุคโบราณ สามารถกำจัด Alduin ใน Sovngarde เหล่ามังกรที่เหลืออยู่เมื่อไร้ผู้นำก็ได้เริ่มแตกกระจายและเดินทางไปยังดินแดนอื่นๆ
4E 201 — จักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์โดยมือสังหารของ Dark Brotherhood ในระหว่างเสด็จเยือน Skyrim
รายละเอียดคร่าวๆของกลุ่มองค์กรที่น่าสนใจในภาคนี้
Imperial Legion เป็นกองทัพของจักรวรรดิ์ Tamriel มีหน้าที่ในการรักษาสันติตามดินแดนต่างๆ โดยทั่วไปแล้วจะเกณฑ์กำลังไพร่พลจากประชาชนในพื้นที่เข้ามารับการฝึกฝนเพื่อรับใช้จักรวรรดิ์ Imperial Legion ในตอนนี้นำทัพโดยนายพล Tullius และมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะล้มล้างกองทัพกบฎ Stormcloak ลงให้ได้ และพร้อมที่จะอ้าแขนรับผู้กล้าทุกคนที่มีใจรักภักดีต่อจักรวรรดิ์ Tamriel เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ โดยในขณะที่กองทัพที่ฐานที่มั่นมากมายทั่ว Skyrim ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่นคร Solitude เมืองหลวงของ Skyrim
Stormcloaks เป็นกลุ่มกบฎที่ก่อตั้งโดย Ulfric Stormcloak จ้าวผู้ครองนคร Windhelm โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะขับไล่จักรวรรดิ์ออกไปจาก Skyrim และแยกตัว Skyrim ออกเป็นประเทศอิสระ กองทัพ Stormcloak เองแม้จะเป็นกองทัพสำหรับชาว Nord แต่ก็พร้อมจะรับทุกคนที่มีใจคิดจะต่อสู้เพื่อ Skyrim และขับไล่จักรวรรดิ์เข้าร่วมกองทัพ โดยในขณะที่กองทัพที่ฐานที่มั่นมากมายทั่ว Skyrim ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่นคร Windhelm อันถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของ Skyrim
Companions เป็นกลุ่มทหารรับจ้างอิสระที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากของ Skyrim มีฐานที่มั่นอยู่ที่นคร Whiterun กลุ่ม Companions ไม่มีการระบุตัวหัวหน้าตายตัว และทุกคนจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อสนับสนุนสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มและเพื่อฝึกฝนฝีมือ สร้างชื่อเสียง และคอยช่วยเหลือพี่น้องให้ในกลุ่ม โดย Companions จะมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Fighter Guild ของจักรวรรดิ์ในภาคก่อนๆ แต่เนื่องจาก Fighter Guild ไม่มีฐานที่มั่นใน Skyrim เหล่านักรบที่ต้องการทำงานทหารรับจ้างจึงต้องเข้าร่วมกับกลุ่ม Companions แทน แม้กลุ่มนี้จะไม่มีการวางตัวหัวหน้ากลุ่มอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้วสมาชิกรุ่นอาวุโสมักจะคอยดูแลควบคุมการทำงานของกลุ่มแทน
College of Winterhold เป็นวิทยาลัยการศึกษาเวทมนต์อาคมต่างๆ มีฐานที่ตั้งอยู่ที่นคร Winterhold โดยวิทยาลัยนี้เป็นกลุ่มอิสระที่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Mage Guild ของจักรวรรดิ์ เพราะอย่างนี้ตอนที่ Mage Guild ล่มสลายไปและแยกเป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่มออกมาหลังเหตุการณ์ในภาค 4 (ล่มเพราะอะไร คนที่เล่นคงพอเดาออกนะครับ) ทางวิทยาลัยจึงไม่ได้รับผลกระทบและยังคงดำเนินการสอนและการวิจัยตามปกติ โดยวิทยาลัยนี้จะถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเวทมนต์อาคมกับสมาชิกทุกคนในวิทยาลัยอย่างเต็มที่ แต่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลภายนอกหากเป็นไปได้
Thieves Guild เป็นเครือข่ายการก่ออาชญากรรมผิดกฎหมายที่มีอิทธิพลมากในแทบจะทุกอาณาเขตของจักรวรรดิ์ โดยกลุ่มกิลโจรใน Skyrim นั้นมีฐานที่มั่นอยู่ในนคร Rifton และมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างโด่งดังไปทั่ว ไม่เพียงแค่การปล้นสิ่งของ ยังมีการใส่ร้าย การหักหลังและกิจกรรมผิดกฎหมายต่างๆอีกมาก ปัจจุบันกิลโจรในตอนนี้อ่อนแอลงไปมาก ชื่อเสียงและความน่าหวั่นเกรงต่างๆลดลงไปจากแต่ก่อน จนคนส่วนมากเริ่มไม่กลัวและเริ่มแข็งข้อกับกิลมากขึ้น ถึงยังงั้นทางกิลก็ยังมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูอิทธิพลของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และเหล่าโจรหนุ่มสาวที่มั่นใจในฝีมือ สามารถไปทดสอบฝีมือได้ทุกเมื่อ
Dark Brotherhood เป็นสมาคมนักฆ่าที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากที่สุดในจักรวรรดิ์ ในอดีตเคยมีอิทธิพลแผ่ไปทั่วเกือบทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ์และถูกมองว่าเป็นองค์กรที่น่ากลัวที่สุด ในปัจจุบัน Dark Brotherhood อ่อนกำลังลงมากเนื่องจากมหาสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้ฐานทัพลับของ Dark Brotherhood ใน Cyrodiil ถูกทำลาย และสมาชิกจำนวนมากถูกฆ่า ปัจจุบัน Dark Brotherhood มีฐานที่มั่นสุดท้ายเหลือเพียงแห่งเดียวใน Skyrim เท่านั้น ถึงแม้ Dark Brotherhood จะอ่อนแอลงไปมากแต่ก็ไม่วายที่จะยังมีเหล่าผู้คนมากมายที่ต้องการใช้บริการของ Dark Brotherhood อยู่ดี
Thalmor เป็นกลุ่มชนชั้นปกครองของกองทัพ Aldmeri Dominion ซึ่งเป็นผู้ชนะมหาสงครามกับฝ่ายจักรวรรดิ์ ได้รับสิทธิให้เข้ามาตั้งสถานฑูตใน Skyrim และดินแดนอื่นๆของจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระ มักจะคอยสอดส่องหาจุดอ่อนของจักรวรรดิ์และพยายามสร้างความร้าวฉานภายในจักรวรรดิ์ ไม่มีใครรู้เลยว่า สงครามกลางเมืองของ Skyrim ที่เกิดขึ้นนั้นความจริงแล้วเป็นแผนการของ Thalmor ที่คิดจะบ่อนทำลายจักรวรรดิ์นั่นเอง
พูดถึงโลกของเกม The Elder Scroll
โลกของเกม The Elder Scroll จะถูกเรียกว่า Nirn โดยฉากหลังของเกมทุกๆภาคที่ผ่านมาจะอยู่ในทวีป Tamriel อันเป็นที่ตั้งของจักรวรรดิ์นั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าในโลกของ Nirn จะมีแค่ Tamriel อยู่ที่เดียวเท่านั้นนะครับ ในโลก Nirn ยังมีดินแดนอื่นๆที่อยู่ข้ามฝั่งทะเลไปอีกด้วย ซึ่งหากจะกล่าวกันตามจริงแล้ว Tamriel ก็เป็นแค่ทวีปๆหนึ่งเท่านั้น ทางทิศตะวันออกยังมีดินแดนแห่งมังกร Akavir ที่มีประวัติในการทำสงครามกับ Tamriel มายาวนานตั้งแต่ยุคอดีต ทางทิศเหนือยังมี Atmora บ้านเกิดที่แท้จริงของชาว Nord ไปจนถึง Aldmeris ดินแดนลี้ลับที่พวก High Elf จากมาก่อนจะมาตั้งรกรากแห่งแรกในทวีปนี้ที่ Summerset Isle และ Yokuda ดินแดนบ้านเกิดดั้งเดิมของ Redguard ที่จมหายไปในทะเล และยังมีดินแดนอื่นๆที่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลอีก อย่างเช่น Cathnoquey, Esroniet, Pyandonea, Roscrea, Thras และ Yneslea ด้วย
นอกจากโลก Nirn แล้วใน The Elder Scroll ยังมีโลกอื่นอีกซึ่งถูกเรียกว่า Oblivion เป็นโลกอื่นๆที่มีตัวตนในมิติอื่นที่แตกต่างกันไปจาก Nirn ยกตัวอย่างเช่น Shivering Isle ซึ่งเป็นโลกของ Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง Sheogorath ซึ่งถ้าใครเล่นภาคเสริมในภาคนี้จะมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนแห่งนี้ หรือแม้แต่โลกของ Mehrunes Dagon ซึ่งเป็น Daedric Prince แห่งการทำลายล้าง ภัยพิบัตและความเปลี่ยนแปลง ถ้าใครเล่นภาค 4 คงจะมีโอกาสได้ไปเยือนที่นี่มาแล้วแน่ๆครับ (ทุกครั้งที่คุณก้าวผ่านประตู Oblivion เข้าไป คุณได้เข้าสู่โลกของ Mehrunes Dagon ครับ)
แผนที่ข้างล่างคือตัวอย่างของตำแหน่งของ Yokuda ครับ ส่วนดินแดนอื่นๆหาแผนที่ไม่ได้จริงๆ :sweat
http://images.uesp.net/thumb/f/f9/Tam-Maps-West_Tamriel.jpg/800px-Tam-Maps-West_Tamriel.jpg
รูป Art และแผนที่ Credit ให้กับเว็บ Unofficial Elder Scrolls Pages ครับ
บันทึกการอัพเดท
6/12/2011 ข้อมูลประวัติศาสตร์ ข้อมูลกิล ข้อมูลเผ่า ข้อมูลเทพ
7/12/2011 อัพเดทข้อมูล Blade กับ Thalmor
12/12/2011 อัพเดทข้อมูลและแก้ไขเนื้อหาที่ผิดพลาดบางส่วน
13/12/2011 อัพเดทข้อมูลกิลอื่นๆ
14/12/2011 อัพเดทเพิ่มเติมข้อมูลของมังกร
19/12/2011 อัพเดทข้อมูลเหตุการณ์สำคัญในช่วงยุคที่ 4 (เริ่มจากหลังสิ้นสุดเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว) และอัพเดทข้อมูลอื่นๆอีกเล็กน้อย
22/12/2011 อัพเดทข้อมูลเผ่า Dwemer
ข้อมูลทั้งหมดที่เอามานี้ จัดทำ เรียบเรียง และแปลขึ้นเองตามเวลาและความรู้ที่มีครับ โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงจากเนื้อหาในเกมและเว็บไซท์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่นี่ (http://www.uesp.net/wiki/Main_Page) ครับ สำหรับผู้ที่สนใจ หากเนื้อหาผิดถูกหรืออยากได้อะไรเพิ่มลองแจ้งได้นะ หากมีเวลาจะจัดหาข้อมูลมาให้ครับ
ประวัติคร่าวๆของซีรี่ย์ The Elder Scroll
The Elder Scroll เป็นเกม Action-RPG ในรูปแบบ Open-World (แนวเปิดกว้าง) ทั้งมุมมองบุคคลที่ 1 และบุคคลที่ 3 ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท Bethedas โดยเริ่มวางจำหน่ายภาคแรก The Elder Scroll: Arena เมื่อปี 1994 บนเครื่อง PC หลังจากนั้นจึงมีภาคต่อตามออกมาคือ The Elder Scroll II : Daggerfall ในปี 1996 ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกอย่างดีมากถึงระบบที่มีความลึกซึ้งและแปลกใหม่มากในยุคสมัยนั้น จนกระทั่งมาถึงปี 2002 The Elder Scroll III: Morrowind ได้คลอดออกวางจำหน่าย และถือเป็นภาคแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3D เข้ามาสนับสนุนตัวเกมอย่างดี ซึ่งภาคนี้ยังมีภาคเสริมต่อเนื่องตามออกมาอีก 2 ภาค ได้แก่ The Elder Scroll III: Tribunal ในช่วงปลายปี 2002 และ Elder Scroll III: Bloodmoon ในช่วงกลางปี 2003 สิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้แตกต่างจาก 2 ภาคก่อนมากก็คือการที่ภาคนี้มีการวางจำหน่ายตัวเกมพร้อมกับ Construction Set ซึ่งเป็นอุปกรณ์การสร้างเนื้อหาเพิ่มในเกม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์ Mod ต่างๆเข้าใส่เกมได้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกมนี้มีอายุยาวนานหลายปีหลังจากวางจำหน่ายมา
หลังจากนั้นในปี 2006 หลังจากภาค 3 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ภาค 4 ของซีรี่ย์นี้คือ The Elder Scroll IV: Oblivion ก็ได้ออกวางจำหน่ายพร้อมกับ Construction Set ซึ่งภายหลังทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่นักเล่นเกมแนว RPG เนื่องด้วยกราฟฟิคที่งดงาม ฉากอันกว้างใหญ่ และระบบการเล่นที่อิสระ ทำให้ได้รับรางวัล Game of the Year ไปครองอย่างงดงาม ไปจนถึงการที่มี Mod ชื่อดังมากมายถูกสร้างสรรค์มาจากนักสร้าง Mod ทั้งหลาย ทำให้เกมมีอายุยืนนานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง Bethedas เองก็ได้มีการจัดจำหน่ายเกมภาคเสริมของภาคนี้อีกด้วย คือ The Elder Scroll IV: Shivering Isle ในช่วงต้นปี 2007
หลังจากนั้นผ่านมาอีก 5 ปี ในปี 2011 ภาคต่อของมหากาฟย์อันยิ่งใหญ่ก็ได้ออกมาให้ทุกท่านได้ยลโฉมกัน นั่นก็คือ The Elder Scroll V: Skyrim นั่นเองครับ และสำหรับท่านที่สนใจอยากรู้ว่า mod มันเป็นยังไงกันแน่ เชิญได้ที่นี่ (http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=42494)ครับ
ประวัติศาสตร์คร่าวๆก่อนจะมาถึง The Elder Scroll V Skyrim
สรุปเนื้อเรื่องคร่าวๆสำหรับภาคนี้ โดยภาคนี้จะทิ้งช่วงห่างจากภาค 4 ยาวนานถึง 200 ปีกันเลยทีเดียว ภาคนี้จะนำเสนอถึงความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิ์ Tamriel ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เหตุการณ์ Oblivion Crisis เมื่อ 200 ปีที่แล้ว (เหตุการณ์ในภาค 4) ซึ่งตอนนี้จักรวรรดิ์ Tamriel ที่เคยยิ่งใหญ่อ่อนแอลงมาก จากเดิมในยุคของราชวงศ์ Septim ที่จักรวรรดิ์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมานาน อาณาเขตกว้างขวางไปทั่วทวีป ปกครองทุกดินแดน มาตอนนี้กลับอยู่ในสภาพแทบพังทลาย ถูกรุกรานจากข้าศึกใหม่ที่เข้มแข็งกว่าที่คิด แถมประเทศที่แต่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์ยังประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์อีก ทำให้จักรวรรดิ์ Tamriel ในยุคนี้อ่อนแอไม่เหมือนแต่ก่อน
ตรงนี้จะเป็นแผนที่ของจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Skyrim ที่เป็นฉากของภาคนี้จะอยู่ทางทิศเหนือของจักรวรรดิ์
http://images.uesp.net/c/c3/TamrielMap.jpg
เนื้อเรื่องในเกมนี้ ปัจจุบันจักรวรรดิ์ Tamriel อ่อนแอลงมาก เริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ Martin Septim ทายาทผู้สืบสายเลือด Dragonborn แห่งราชวงศ์ Septim คนสุดท้าย เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องโลกเอาไว้เมื่อ 200 ปีก่อน ซึ่งเหตุการณ์นี้ต่อมาถูกเรียกว่า Oblivion Crisis อันเป็นจุดสิ้นสุดของยุคที่ 3 และเป็นการเริ่มต้นยุคที่ 4 จักรวรรดิ์ก็เริ่มอ่อนแอลงเป็นต้นมา จักรวรรดิ์ที่ต้องปกครองตนเองโดยไม่มีจักรพรรดิ์เป็นผู้นำ ไม่สามารถรักษาเอกราชย์ของตัวเองได้ จนสุดท้ายเมื่อนายพล Titas Mede ได้ยกพลเข้าบุกยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ เขาได้สถาปณาตนเองเป็นจักรพรรดิ์องค์ใหม่ของ Tamriel และเป็นจักรพรรดิ์องค์แรกในยุคที่ 4 อีกด้วย แต่จักรวรรดิ์ก็ไม่ได้เข้มแข็งขึ้น กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่การที่ Black Marsh (ดินแดนของ Argonian) และ Elsweys (ดินแดนของ Khajiit) ประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ ไปจนถึงการที่ภูเขาไฟ Red Mountain ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีป ตั้งอยู่บนเกาะ Vvardenfell ใน Morrowind (ฉากของภาค 3 และเป็นดินแดนของ Dark Elf) เกิดระเบิดขึ้น ทำให้เกาะ Vvardenfell ทั้งเกาะถูกทำลายลงไปและส่วนอื่นๆที่เหลือของ Morrowind ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จักรวรรดิ์ต้องเสียกำลังคนในการบูรณะซ่อมแซม Morrowind และการพยายามเอาดินแดนที่เสียไปคืนมา แต่ซ้ำร้าย พวก High Elf จาก Summerset Isle (ดินแดนของ High Elf) ได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม Aldmeri Dominion อันเป็นกลุ่มอิทธิพลของ High Elf ซึ่งในยุคอดีตเคยถูกทำลายไปแล้วครั้งหนึ่งขึ้นมาใหม่ เผ่าเอลฟ์ฉวยโอกาสที่จักรวรรดิ์กำลังอ่อนแอประกาศเปลี่ยนชื่อ Summerset Isle เป็น Alinor จากนั้นก็ทำสัญญาเป็นมิตรกับ Valenwood (ดินแดนของ Woof Elf) สถาปณารัฐอิสระขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อของ Aldmeri Dominion พร้อมทั้งแยกตัวทั้ง 2 ดินแดนดังกล่าวออกจากจักรวรรดิ์ในที่สุด
จนเมื่อถึงปีที่ 171 ของยุคที่ 4 (30 ปีก่อนเนื้อเรื่องภาคนี้จะเริ่ม) กลุ่ม High Elf จาก Aldmeri Dominion ซึ่งมีกลุ่มผู้นำที่เรียกตัวเองว่า Thalmor ได้ยกพลเข้าบุกพื้นที่ Cyrodiil (ฉากของภาค 4 และดินแดนของ Imperial) กับ Hammerfell (ดินแดนของ Redguard) พร้อมกัน หมายที่จะล้มล้างจักรวรรดิ์ให้ได้เพื่อประกาศศักดาว่าเอลฟ์เหนือกว่ามนุษย์ สงครามครั้งนั้นถูกเรียกขานต่อมาว่า มหาสงคราม (Great Wars) ซึ่งจากการบุกของ Aldmeri Dominion ทำให้ Imperial City (ใครเล่นภาค 4 คงจำกันได้นะครับ) อันเป็นเหมือนหลวงของจักรวรรดิ์ถูกทำลายจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และจักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ต้องหนีตายโดยการตีฝ่าวงล้อมของทัพข้าศึกไปอยู่ทางเหนือ โชคดีที่ได้รับกำลังเสริมจาก Skyrim (ฉากในภาคนี้และเป็นดินแดนของ Nord) ทำให้สามารถยึดเอา Cyrodiil คืนมาจากพวกเอลฟ์ได้ในปีต่อมาและขับไล่ Aldmeri Dominion ออกไปจากดินแดนของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ
ปีที่ 175 ของยุคที่ 4 เป็นปีที่มหาสงครามสิ้นสุดลง แม้จักรวรรดิ์จะขับไล่ Aldmeri Dominion ออกไปจาก Cyrodiil ได้สำเร็จ แต่จักรวรรดิ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนจักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ต้องยอมตกลงทำสนธิสัญญา White-Gold กับฝ่าย Aldmeri Dominion อันมีเนื้อหาระบุว่าจักรวรรดิ์ต้องยอมให้พวก Thalmor สามารถเข้ามาตั้งสถานฑูตในจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระ เพื่อสังเกตุการณ์ความเคลื่อนไหวภายในดินแดนของจักรวรรดิ์ พร้อมกับสั่งห้ามการบูชา 1 ในเทพทั้ง 9 คือ Talos ที่พวก Aldmeri Dominion มองว่าไม่เหมาะสมเพราะ Talos ในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่นั่นก็คือการก่อตั้งจักรวรรดิ์ Tamrial ขึ้นมา จนเมื่อตายไปได้ขึ้นไปอยู่ร่วมกับเทพทั้ง 8 (ใครเล่นภาคก่อนๆมาคงคุ้นเคยกับคำว่า Nine Divines ดี) ซึ่งจักรวรรดิ์เองก็ไม่มีทางเลือก และต้องยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว ยกเว้นแต่ Hammerfell ที่ไม่ยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าวและประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ โดยในตอนหลัง Hammerfell ได้รบกับพวก Aldmeri Dominion ต่อเนื่องไปอีก 5 ปีจนถึงปีที่ 180 จึงได้มีการทำสนธิสัญญากับ Aldmeri Dominion อีกฉบับชื่อสนธิสัญญาแห่ง Stros M'kai อันมีผลทำให้ Aldmeri Dominion ถอนกำลังออกจาก Hammerfell ไปในที่สุด
จนกระทั่งมาถึงปีที่ 201 ของยุคที่ 4 ซึ่งครบรอบ 200 ปีจากเหตุการณ์ในภาค 4 พอดี แม้ว่าสันติสุข (ที่หลายๆคนมองว่าเป็นเหมือนคลื่นสงบก่อนมีพายุใหญ่เท่านั้น) ณ ดินแดน Skyrim ซึ่งยังคงอยู่ในเขตปกครองของจักรวรรดิ์ Tamriel อยู่ (ตอนนี้จักรวรรดิ์มีเขตปกครองเหลือแค่ 4 เขตจากเดิม 9 เขตเท่านั้นคือ Cyrodiil, Skyrim, High Rock (ดินแดนของ Breton) และ Morrowind) โดยชาว Nord ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของ Skyrim นำโดย Ulfric Stormcloak ได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิ์เพื่อจะแยกตัวเอา Skyrim ออกเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Ulfric Stormcloak ได้เริ่มก่อกบฎโดยการบุกไปท้าประลองและปลงพระชนม์กษัตริย์ของ Skyrim และปลุกระดมชาว Skyrim ให้ลุกขึ้นสู้เพื่อแยกเอา Skyrim ออกจากจักรวรรดิ์ที่กำลังอ่อนแอ โดยอ้างเรื่องที่จักรวรรดิ์ยอมรับข้อตกลงเรื่องการห้ามบูชา Talos มาเป็นสาเหตุในการปลุกระดม (Talos ในสมัยที่ยังเป็นคนมีชื่อว่า Tiber Septim หรือชื่อเรียกพื้นบ้านของชาว Nord ว่า Talos แห่ง Atmora เป็นทั้งผู้สถาปนาและจักรพรรดิ์องค์แรกของจักรวรรดิ์ Tamriel และยังเป็นชาว Nord อีกด้วย ทำให้ชาว Skyrim บูชา Talos เป็นทั้งเทพเจ้าและผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Skyrim ดังนั้นการที่จักรวรรดิ์ยอมรับเงื่อนไขของ Aldmeri Dominion ทำให้ชาว Nord รู้สึกโกรธแค้นและขุ่นเขืองมากกว่าอาณาจักรอื่นๆในจักรวรรดิ์) ฝ่ายจักรวรรดิ์จึงต้องให้กองทัพ Imperial Legion ภายใต้การนำของนายพล Tullius เพื่อปราบกบฎลงให้ได้
แต่ไม่ใช่แค่สงครามกลางเมืองอย่างเดียวที่กำลังคุกคาม Skyrim เรื่องที่เลวร้ายกว่ากลับเกิดขึ้นอีกเมื่อมังกร สิ่งมีชีวิตที่ทั้งมนุษย์และเอลฟ์ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกนานมากแล้วตั้งแต่ยุคโบราณ กลับมาปรากฎตัวขึ้นมาใน Skyrim ก่อให้เกิดความวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก ตัวเอกซึ่งก็คือตัวเราซึ่งตอนหลังพบว่าตัวเองนั้นเป็น Dragonborn นักรบในตำนานของชาว Nord และมีพลังในการสังหารมังกรและดูดพลังมังกรมาเป็นของตัวเอง เลยต้องลุกขึ้นสู้เพื่อหยุดยั้งมังกรในตำนาน Alduin จอมเขมือบโลกให้ได้ แล้วก็แน่นอนว่านอกจากการไล่ล่าหยุดยั้งพวกมังกรแล้ว Dragonborn ยังต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งใน Skyrim อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย
Dragonborn คืออะไร?
http://upic.me/i/h2/1717386-wmplayer_2011_02_24_11_30_06_56_screen_large.jpg
Dragonborn หรือในภาษามังกรจะถูกเรียกว่า Dovahkiin เป็นบุคคลธรรมดาที่เกิดมาพร้อมกับอำนาจพิเศษที่สามารถเรียกรู้และใช้พลังของภาษาแห่งมังกร หรือมักจะเรียกกันว่า Voice หรือในภาษามังกรว่า Thu'um เป็นพลังที่เปล่งเสียงออกมาให้เกิดอำนาจมหาศาล อันเป็นศาสตร์โบราณที่ว่ากันว่ามีแต่มังกรเท่านั้นที่ใช้ได้ Dragonborn จะมีพลังพิเศษที่สามารถเรียนรู้การใช้ทักษะดังกล่าวได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเนื่องจาก Dragonborn คือผู้ที่เกิดมาในร่างของคนแต่มีวิญญาณของมังกรแฝงในตัว นอกจากนั้นแล้ว Dragonborn ยังสามารถที่จะสังหารมังกรและซึมซับเอาวิญญาณของมังกรมาเป็นพลังของตัวเองได้อีกด้วย
Dragonborn คนแรกที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เกิดมาในยุคที่ 1 ชื่อของเธอคือ Saint Alessia จักรพรรดิณี องค์แรกของจักรวรรดิ์ Cyrodilic ที่ถูกปกครองโดยมนุษย์และไม่ใช่เอลฟ์ เธอทำพันธะสัญญากับ Akatosh อันนำไปสู่การสร้างกำแพงที่ช่วยปกป้อง Nirn จากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตจาก Oblivion อีกด้วย และเธอคือผู้ให้กำเนิดลัทธิบูชาทวยเทพทั้ง 8 (หรือ Eight Divines) ขึ้นเพื่อสร้างความปรองดองให้แค่ประชาชนในจักรวรรดิ์ของเธอ
Dragonborn อีกคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ์คงหนีไม่พ้น Tiber Septim จักรพรรดิ์องค์แรกของจักรวรรดิ์ Tamriel และเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถรวมเอาทวีป Tamriel เป็นหนึ่งได้สำเร็จ Tiber Septim เป็นชาว Nord และเป็นผู้ศึกษาวิถีแห่งเสียงหรือ The way of Voice และเป็นบุคคลที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ตลอดช่วงชีวิตจนสุดท้ายเมื่อสิ้นพระชนม์ได้ถูกรวมเข้าเป็นเทพองค์ที่ 9 และถูกบูชาในฐานะ Talos วีรบุรุษและเทพผู้สร้างจักรวรรดิ์ Tamriel
และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือ Dragonborn คนล่าสุดซึ่งก็คือตัวคุณนั่นเอง เนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร คุณจะกลายเป็นวีรบุรุษที่โลกจะต้องจดจำ เป็นทหารรับจ้างที่ทำทุกอย่างเพื่อสมบัติและเงินทอง เป็นอาชญากรที่ถูกสาปแช่งไปทั่ว เป็นคนโรคจิตที่ไล่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือแค่เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ไปโดยไม่มีใครสนใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้วครับ
มังกร
หากจะกล่าวถึง Dragonborn ผู้เกิดมาเพื่อเป็นนักล่ามังกรแล้ว ก็คงจะไม่กล่าวถึงอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่ปรากฎตัวในภาคนี้ไม่ได้ นั่นก็คือมังกรนั่นเอง
http://upic.me/i/h7/dragon.jpg
มังกรเป็นสิ่งมีชัวิตขนาดใหญ่ที่สามารถบินไปบนฟ้ากว้างได้อย่างอิสระ และมีอำนาจในการเปล่งเสียงเพื่อสร้างพลังอำนาจมหาศาลออกมาได้ หรือที่เรียกกันในภาษามังกรว่า Thu'um นั่นเอง โดยผู้คนชาว Tamriel มองว่ามังกรคือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลก ในสมัยโบราณหลายพันปีมาแล้วในโลกของ Nirn มังกรมีอำนาจมากภายใต้การนำของ Alduin มังกรที่ว่ากันว่าเป็นมังกรตัวแรกที่ถูกให้กำเนิดโดย Akatosh โดยว่ากันว่า Alduin นั้นมีพลังอำนาจมหาศาลพอที่จะทำลายโลกและสร้างโลกขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้น Alduin จึงถูกเรียกว่าจอมเขมือบโลก และถูกมองว่าเขาคือตัวแทนของวันสิ้นโลก สิ่งที่ทำให้ Alduin มีอำนาจน่าเกรงขามกว่ามังกรอื่นๆหลายเท่านักคือการที่เขาสามารถเดินทางระหว่างโลกนี้และโลกแห่งความตายได้ ทำให้เขาสามารถดูดกลืนเอาเหล่าวิญญาณของนักรบที่ตายไปมาเป็นพลังให้แก่ตนเองได้ ด้วยอำนาจมหาศาลขนาดนี้ทำให้แม้แต่เหล่ามังกรด้วยกันเองก็ยังต้องเกรงกลัวในตัวของ Alduin
ในอดีต Alduin ได้รวบรวมและปกครองเหล่ามังกรทั้งหมดภายในอำนาจของตน พร้อมทั้งคุมขังมนุษย์เอาไว้เป็นทาสรับใช้ของตน มนุษย์บางส่วนยอมศิโรราบต่อมังกร และเริ่มก่อนตั้งลัทธิบูชามังกรขึ้น อันนำไปสู่การมีอยู่ของนักบวชมังกร (Dragon Priest) ในเวลาต่อมา โดย Alduin นั้นจะตบรางวัลให้กับมนุษย์ที่ทำผลงานดี โดยการมอบหน้ากากที่ทรงพลังมหาศาลให้ ซึ่งหน้ากากเหล่านี้มีทั้งหมด 9 อันด้วยกัน และว่ากันว่าแต่ละอันมีพลังมหาศาลและจะทำให้ผู้ใส่มีชีวิตเหนือกาลเวลาได้
ยุคปกครองของ Alduin กินเวลายาวนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งวันหนึ่ง Paarthurnax ในฐานะนายกองคนสำคัญและมือขวาของ Alduin เริ่มไม่พอใจกับแนวทางการปกครองของ Alduin และมองว่า Alduin ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความต้องการของ Akatosh ผู้สร้างอีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจหันมาช่วยเหลือฝ่ายมนุษย์ให้ลุกขึ้นมาสู้กับมังกร โดยการถ่ายทอดวิถีแห่งเสียงให้นักรบ Nord ในสมัยโบราณ ทำให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้และในที่สุดก็สามารถขับไล่ Alduin ไปจากโลกได้สำเร็จด้วยอำนาจของ Elder Scroll
หลังจาก Alduin ถูกขับไล่ไป มังกรก็เริ่มถูกล่ามากขึ้น จากฝีมือของชาว Akaviri ผู้รุกรานจากทวีป Akavir ซึ่งภายหลังได้มีการก่อตั้งกลุ่ม Blade ขึ้นมา อันเป็นกลุ่มนักล่ามังกรที่มีบทบาทสำคัญมากในเวลาต่อมา มังกรได้ถูกล่าไปจนหมด และผู้คนเชื่อว่ามังกรสูญพันธุ์ไปจากโลกจนหมดแล้ว ส่วน Paarthurnax ผู้ที่ช่วยให้เหล่ามนุษย์สามารถลุกขึ้นมาต่อกรกับมังกรได้ก็หายสาปสูญไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน หลังจากมังกรหายไปจนหมด มนุษย์จึงสามารถเริ่มก่อตั้งอารยธรรมของตนเองบนโลกขึ้นได้อย่างแท้จริง
จนกระทั่งยุคที่ 4 ปี 201 มังกรกลับมาปรากฎตัวบนโลกนี้อีกครั้ง โดยการนำของ Alduin ซึ่งเคยถูกขับไล่ไปจากโลกเมื่อนับพันปีก่อน Alduin กลับมาพร้อมกับใช้อำนาจของเขาในการปลุกเอาเหล่ามังกรอื่นๆที่ตายไปตั้งแต่สมัยอดีตให้กลับมารับใช้เขาอีกครั้ง การกลับมาของ Alduin ครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไร คนที่สามารถค้นหาความจริงและหยุดยั้ง Alduin ได้มีแต่คุณเท่านั้นครับ
ความจริงของสงครามกลางเมืองใน Skyrim
สงครามกลางเมืองที่กำลังแผดเผา Skyrim อยู่นั้นมีสาเหตุมาจาก เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นที่เมือง Markarth เป็นเมืองโบราณที่ว่ากันว่าถูกสร้างโดยเผ่า Dwemer ที่หายสาปสูญไปนานตั้งแต่ยุคโบราณโดยไม่มีสาเหตุ (ถ้าใครเล่นภาค 3 จะพอรู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น) เมือง Markarth แต่ดั้งเดิมเคยมีชนเผ่าอาศัยอยู่ซึ่งเป็นพวก Breton ที่เป็นชนพื้นเมืองในแถบนี้ จนภายหลัง Nord ได้เข้ามายึดดินแดนแถบนี้ไปเป็นของ Skyrim ทำให้กลุ่มชนพื้นเมืองไม่ตายก็ต้องหนีไปอยู่ตามป่าตามเขา จนช่วงมหาสงคราม ฝ่ายจักรวรรดิ์ที่อ่อนแอลงเพราะสงครามหลายปี ทำให้กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแถบนี้พยายามจะแยกตัวออกจาก Skyrim และเป็นอาณาจักรปกครองตนเองอิสระ โดยกลุ่มนี้จะเรียกตัวเองว่า Forsworn ซึ่งพวกนี้สามารถยึดเอาดินแดนแถบนี้รวมถึงเมือง Markarth มาเป็นของตนเองได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนภายหลังฝ่ายจักรวรรดิ์เลยได้ส่งกองทัพเข้ามาปราบพวก Forsworn เพื่อยึดเอาเมือง Markarth คือ โดยมี Ulfric Stormcloak เป็นผู้นำในการบุกครั้งนี้ โดยจักรวรรดิ์ให้สัญญาว่าถ้าพวก Ulfric ยึดเมืองคืนได้สำเร็จ จะยอมให้ชาว Nord บูชา Talos ได้เหมือนเดิม หลังจาก Ulfric สามารถนำทัพยึดเมืองคืนให้กับจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของฝ่าย Thalmor ทำให้พวก Thalmor ไม่พอใจและสั่งให้จักรวรรดิ์ส่งมอบตัวทหารกลุ่มนี้มาเพื่อให้พวกตนลงโทษซะ ฝ่ายจักรวรรดิ์ที่กำลังอ่อนแอ ไม่อยากที่จะทำสงครามกับฝ่ายเอลฟ์อีกรอบในขณะที่ตนเองยังอ่อนแออยู่ เลยต้องยอมส่งมอบตัว Ulfric และทหารทั้งหมดไปให้ฝ่ายเอลฟ์ลงโทษแทน
หลังจากนั้นฝ่าย Thalmor จึงใช้สารพัดวิธีเพื่อทรมานและทำลายจิตใจของพวกทหารรวมทั้งตัวของ Ulfric และฝ่าย Thalmor เองก็มองเห็นว่า Ulfric นี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายจักรวรรดิ์ได้ เลยใช้วิธีการค่อยๆฝังรากความคิดให้กับ Ulfric เพื่อให้ Ulfric เกลียดชังจักรวรรดิ์ พอเห็นว่า Ulfric จะต้องตั้งตัวเป็นอริกับฝ่ายจักรวรรดิ์แน่ๆแล้ว พวก Thalmor จึงวางแผนปล่อยให้ Ulfric หนีออกไปจากคุกได้ ซึ่งพอ Ulfric กลับไปถึงเมือง Windhelm ที่เป็นเมืองของเขาเองแล้ว ก็พบว่าเจ้าเมืองคนก่อนพึ่งตายไป Ulfric เลยได้รับตำแหน่งสืบทอดมาทันที มีทั้งกำลังทหารและเสบียงพร้อม Ulfric จึงเริ่มประกาศสงครามกับฝ่ายจักรวรรดิ์ทันที นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่เป็นฉากสำคัญของภาคนี้นี่เอง
บันทึกเหตุการณ์สำคัญของยุคที่ 4
ศตวรรษที่ 1 ปี 1 ถึงปีที่ 99
4E 0 — วิกฤตประตูนรกสิ้นสุดลง
Mehrunes Dagon พร้อมด้วยกองทัพ Daedra ของเขาถูก Champion of Cyrodiil (ตัวเอกภาค 4) และ Martin Septim ขับไล่ให้กลับไปสู่ Oblivion ได้สำเร็จ โดยการเสียสละตัวเองของ Martin Septim พร้อมกับอัญมณีแห่งกษัตริย์ที่ถูกทำลายไป ทำให้ยุคที่ 3 อันเป็นยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิ์ภายใต้การนำของราชวงศ์ Septim สิ้นสุดลง และเป็นการเริ่มยุคที่ 4 ขึ้น โดยจักรวรรดิ์ยังไม่สามารถคัดเลือกจักรพรรดิ์องค์ใหม่ได้ ทำให้สภาสูงภายใต้การนำของท่านวุฒิสมาชิก Ocato ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกลุ่ม Blade ต้องพยายามรักษาจักรวรรดิ์เอาไว้ให้ได้ อย่างไรก็ดี จักรวรรดิ์ได้อ่อนแอลงไปมากทำให้หลายๆอาณาจักรพยายามใช้ประโยชน์จากจุดนี้
4E 1 — จุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิ์ Tamriel
Black Marsh ได้ประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิ์ ตามด้วย Elsweyr ในเวลาต่อมา
4E 10 — วุฒิสมาชิก Ocato ถูกลอบสังหารโดยนักฆ่าจากฝ่าย Thalmor อันนำไปสู่เหตุการณ์ความวุ่นวายและการแก่งแย่งอำนาจภายในของสภาสูง ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Stormcrown Interregnum
ความวุ่นวายดังกล่าวกินเวลาถึง 7 ปี ทำให้จักรวรรดิ์อ่อนแอลงไปยิ่งกว่าเดิม
4E 17 — นายพล Titus Mede นายพลแห่ง Colovian สามารถนำทัพเข้ายึดครองเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จและสถาปณาตนเองเป็นจักรพรรดิ์องค์ใหม่ของจักรวรรดิ์
4E 18 — เจ้าชาย Attrebus Mede ประสูตรในปีนี้
4E 22 — Thalmor เข้ายึดครอง Summerset Isle และเปลี่ยนชื่ออาณาจักรดังกล่าวเป็น Alinor
4E 29 — จักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ได้ถูกสถาปณาขึ้นใหม่ โดยการผนวกเอา Alinor และ Valenwood เข้าเป็นอาณาจักรเดียวและแยกตัวออกจากจักรวรรดิ์ Tamriel อย่างสมบูรณ์
โดยการแยกตัวครั้งนี้เกิดจากฝีมือของฝ่าย Thalmor ที่เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการปฎิวัติใน Valenwood ซึ่งทำให้กลุ่ม Wood Elf ที่สนับสนุนจักรวรรดิ์ทั้งหมดพ่ายแพ้โดยไม่ทันตั้งตัว
4E 40 — นครลอยฟ้า Umbriel ถูกพบเห็นตามแถบชายฝั่งของ Black Marsh และเคลื่อนที่ไปทางเหนือมุ่งสู่ Morrowind
4E 40 — ภูเขาไฟ Red Mountain เกิดปะทุขึ้น ทำให้เกาะ Vvardenfell ใน Morrowind (ฉากในภาค 3) ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
เรื่องนั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่ Vivec 1 ใน 3 เทพของ Morrowind หมดอำนาจและหายตัวไป (ผลจากเหตุการณ์ในภาค 3) ทำให้ Ministry of Truth อุกาบาตที่ลอยอยู่เหนือเมือง Vivec City เกิดไม่สมดุลขึ้น ซึ่งในช่วงแรก Vuhon ได้สร้างเครื่องมือชื่อ Ingenium ที่ได้พลังมาจากการสังเวยชีวิตของคนจำนวนมากเพื่อรักษาสมดุลของอุกาบาตดังกล่าว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นทำให้ Ingenium ถูกทำลายและอุกาบาตพุ่งลงกระแทกเมือง Vivec City อย่างแรง ส่งผลให้ภูเขาไฟ Red Mountain เกิดปะทุขึ้นและทำลายเกาะ Vvardenfell ทั้งหมดและสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ Morrowind
ฝ่าย Argonian ถือโอกาสที่ Morrowind อ่อนแอจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยกทัพบุกภาคใต้ของ Morrowind
4E 98 — ดวงจันทร์ 2 ดวงที่โคจรรอบดาวเคราะห์ Nirn (โลกในเกม) ชื่อ Masser กับ Secunda เกิดหายไปอย่างลึกลับ เหตุการณ์นี้ถูกเรียกต่อมาว่า Void Nights (คืนวันว่างเปล่า)
4E 98 — ฐานทัพลับของ Dark Brotherhood ในเมือง Cheydinhal ถูกทำลายโดยกองทัพจักรวรรดิ์ และ Listener ได้ถูกสังหารในเหตุการณ์ครั้งนี้
ศตวรรษที่ 2 ปี 100 ถึงปีที่ 199
4E 100 — Void Nights สิ้นสุดลงโดยมีฝ่าย Thalmor ได้รับคำชื่นชมในการนำดวงจันทร์ที่หายไปกลับมา
ชาว Khajiit พากันยกย่องฝ่าย Thalmor ในฐานะผู้กอบกู้ (ชาว Khajiit ค่อนข้างจะเป็นชนเผ่าที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มาก) และทำให้จักรวรรดิ์ยิ่งเสียอำนาจใน Elsweyr มากขึ้นไปอีก
4E 115 — ท้ายที่สุด สหภาพ Elsweyr ได้แยกตัวออกเป็นรัฐอิสระ ได้แก่ รัฐ Anequina และรัฐ Pelletine ซึ่งได้ถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ในฐานะหัวเมืองใหม่
4E 122 — ดินแดนเกือบทั้งหมดของเมือง Winterhold จมลงไปในทะเลอย่างลึกลับ ประชาชนชาวเมืองล้วนพากันกล่าวหาว่า College of Winterhold เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทางวิทยาลัยยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
4E 168 — จักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีนี้
จักรวรรดิ์ในตอนนี้เป็นเพียงแค่เงาของจักรวรรดิ์ในอดีตเท่านั้น Valenwood และ Elsweyr กลายเป็นดินแดนของ Thalmor ส่วน Black Marsh เองก็เป็นประเทศอิสระตั้งแต่เริ่มต้นยุคที่ 4 ส่วน Morrowind เองก็ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ปะทุของภูเขาไฟ Red Mountain และ Hammerfell เองก็ต้องพบกับสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่าย Crown กับฝ่าย Forbear เพื่อแย่งชิงอำนาจ มีเพียง High Rock, Cyrodiil และ Skyrim เท่านั้นที่ยังมีสันติอยู่
4E 171 — มหาสงครามเริ่มต้นขึ้นโดยกองทัพของ Aldmeri Dominion ยกพลเข้าบุก Hammerfell และ Cyrodiil พร้อมกัน
หลังจากจักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 ปฎิเสธคำขาดของฝ่าย Thalmor ที่ต้องการให้จักรพรรดิ์ยอมยกดินแดนจำนวนมากให้กับฝ่ายตน กองทัพ Aldmeri Dominion จึงได้เริ่มยกพลเข้าบุกจักรวรรดิ์ ภายใต้การนำของนายพล Naarifin ซึ่งบุกเข้าจากดินแดนตอนเหนือของ Elsweyr เข้าสู่ทางใต้ของ Cyrodiil และยังมีทัพอีกทัพรุมขนาบเข้ามาจากชายแดนของ Valenwood ไม่นานเมือง Leyawiin ก็พ่ายแพ้และตกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้รุกราน ตามด้วยเมือง Bravil ซึ่งถูกล้อมและถูกยึดในที่สุด ในขณะเดียวกัน กองทัพอีกกองทัพหนึ่งภายในการนำของท่านหญิง Arannelya ได้ยกพลข้ามชายแดนตะวันตกของ Cyrodiil ผ่านเมือง Anvil และเมือง Kvatch มุ่งหน้าเข้าสู่ Hammerfell สมทบโดยกองทัพเรือที่ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่ง Hammerfell ทำให้กองทัพของฝ่ายจักรวรรดิ์ต้องแตกพ่ายและถอยทัพขึ้นเหนือผ่าน ทะเลทราย Alik ไปในที่สุด
4E 174 — เมืองหลวงของจักรวรรดิ์ถูกยึดและปล้นสะดมโดยกองทัพ Aldmeri Dominion
จักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 ต้องทรงเสด็จนำทัพตีฝ่าวงล้อมของกองทัพ Aldmeri Dominion เพื่อหนีไปทางทิศเหนือของเมืองหลวง เพื่อไปสมทบกับกำลังเสริมจาก Skyrim ซึ่งกำลังมุ่งหน้าลงมาสมทบภายในการนำทัพของนายพล Jonna ทำให้ Imperial City เมืองหลวงของจักรวรรดิ์ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Aldmeri Dominion วังหลวงถูกเผาทำลาย หอคอย White-Gold ถูกปล้นสะดม และ Aldmeri Dominion ได้กระทำการอันโหดร้ายทารุณเกินบรรยายต่อชาวเมือง
4E 175 — การต่อสู้ที่วงแหวนสีแดงนำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายจักรวรรดิ์ ทำให้กองทัพของ Aldmeri Dominion ถูกทำลายและต้องถอยร่นออกจาก Cyrodiil นำชัยชนะมาสู่จักรวรรดิ์และเป็นจุดสิ้นสุดของมหาสงคราม
จักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 สามารถยึดเมืองหลวงคืนได้สำเร็จอันเนื่องมาจากการตัดสินพระทัยที่เด็ดขาดในการตีฝ่าวงล้อมข้าศึกออกไป แทนที่จะตั้งรับสู้จนถึงที่สุด แต่กระนั้นแล้วชัยชนะครั้งนี้ก็ทำให้จักรวรรดิ์อ่อนแอเกินกว่าจะรบต่อได้ จึงต้องตัดสินใสเปิดเจรจากับ Aldmeri Dominion เพื่อยุติสงครามลง
4E 175 — มหาสงครามสิ้นสุดลงผ่านสนธิสัญญา White-Gold
สนธิสัญญาใหม่ที่ร่างขึ้นระหว่างฝ่ายจักรวรรดิ์และฝ่าย Aldmeri Dominion เป็นการปิดฉากสงครามยาวนานกว่า 4 ปีลง โดยเงื่อนไขของสนธิสัญญาคือการสั่งห้ามไม่ให้มีการบูชา Talos ทั่วดินแดนของจักรวรรดิ์ การให้ Thalmor สามารถตั้งสถานฑูตในดินแดนของจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระและการส่งมอบดินแดนทางใต้ของ Hammerfell ให้กับ Aldmeri Dominion ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวคล้ายกับการยื่นคำขาดของฝ่าย Aldmeri Dominion ในตอนแรกมาก มีเพียงแค่บางข้อเท่านั้นที่ถูกขีดฆ่าออกไป แต่ถึงอย่างนั้นแล้วหลายฝ่ายมองว่าการทำสนธิสัญญาหลังสงครามกับการยอมรับคำขาดแต่แรกโดยไม่มีการรบเลยนั้น มีผลที่ต่างกันมากทีเดียว
4E 175 — Hammerfell ปฎิเสธสนธิสัญญา White-Gold และแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์
จักรพรรดิ์ Titus ที่ 2 ทรงประกาศให้ Hammerfell หมดสถานะการเป็นดินแดนของจักรวรรดิ์หลังจาก Hammerfell ปฎิเสธที่จะส่งมอบดินแดนให้กับ Aldmeri Dominion ซึ่งชาว Redguard มองว่าจักรวรรดิ์ทรยศพวกเขา และจึงยินดีแยกตัวเป็นอิสระพร้อมกับดำเนินสงครามกับฝ่าย Aldmeri Dominion ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
4E 180 — ร่างสนธิสัญญา Stros M'Kai
สนธิสัญญาดังกล่าวนำไปสู่การสิ้นสุดสงครามและทำให้ฝ่าย Aldmeri Dominion ทั้งหมดถอนกำลังออกจาก Hammerfell.
ศตวรรษที่ 3 ปี 200 ถึงปีที่ 299
4E 201 — Torygg กษัตริย์แห่ง Skyrim สิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของ Ulfric Stormcloak ในเมือง Solitude
4E 201 — ชาว Nords แห่ง Skyrim เข้าสู่ช่วงสงครามกลางเมือง
กองทัพ Stormcloak ภายใต้การนำของ Ulfric Stormcloak เริ่มการต่อสู้กับ Imperial Legion ภายใต้การนำของนายพล Tullius
4E 201 — Alduin ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับบุกเข้าทำลายเมือง Helgen เป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาของมังกรเป็นครั้งแรกและเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลก
4E 201 — Dovahkiin ช่วยปกป้อง College of Winterhold และเมือง Winterhold เอาไว้ได้
สายลับของฝ่าย Thalmor นามว่า Ancano พยายามจะใช้พลังจากสมบัติโบราณนามว่า Eye of Magnus ซึ่งถูกพบโดยทางวิทยาลัยโดยบังเอิญที่จุดสำรวจโบราณสถาน Saarthal โดย Ancano ได้สังหารผู้นำของวิทยาลัยและเกือบจะทำลายเมือง Winterhold แต่ถูกหยุดเอาไว้ได้โดยฝีมือของ Dovahkiin โดยความช่วยเหลือของ Psijic Order ทำให้ Eye of Magnus ถูกหยุดเอาไว้ได้สำเร็จ
4E 201 — Alduin ถูกสังหาร
Dovahkiin ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าผู้กล้าในยุคโบราณ สามารถกำจัด Alduin ใน Sovngarde เหล่ามังกรที่เหลืออยู่เมื่อไร้ผู้นำก็ได้เริ่มแตกกระจายและเดินทางไปยังดินแดนอื่นๆ
4E 201 — จักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์โดยมือสังหารของ Dark Brotherhood ในระหว่างเสด็จเยือน Skyrim
รายละเอียดคร่าวๆของกลุ่มองค์กรที่น่าสนใจในภาคนี้
Imperial Legion เป็นกองทัพของจักรวรรดิ์ Tamriel มีหน้าที่ในการรักษาสันติตามดินแดนต่างๆ โดยทั่วไปแล้วจะเกณฑ์กำลังไพร่พลจากประชาชนในพื้นที่เข้ามารับการฝึกฝนเพื่อรับใช้จักรวรรดิ์ Imperial Legion ในตอนนี้นำทัพโดยนายพล Tullius และมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะล้มล้างกองทัพกบฎ Stormcloak ลงให้ได้ และพร้อมที่จะอ้าแขนรับผู้กล้าทุกคนที่มีใจรักภักดีต่อจักรวรรดิ์ Tamriel เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ โดยในขณะที่กองทัพที่ฐานที่มั่นมากมายทั่ว Skyrim ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่นคร Solitude เมืองหลวงของ Skyrim
Stormcloaks เป็นกลุ่มกบฎที่ก่อตั้งโดย Ulfric Stormcloak จ้าวผู้ครองนคร Windhelm โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะขับไล่จักรวรรดิ์ออกไปจาก Skyrim และแยกตัว Skyrim ออกเป็นประเทศอิสระ กองทัพ Stormcloak เองแม้จะเป็นกองทัพสำหรับชาว Nord แต่ก็พร้อมจะรับทุกคนที่มีใจคิดจะต่อสู้เพื่อ Skyrim และขับไล่จักรวรรดิ์เข้าร่วมกองทัพ โดยในขณะที่กองทัพที่ฐานที่มั่นมากมายทั่ว Skyrim ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่นคร Windhelm อันถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของ Skyrim
Companions เป็นกลุ่มทหารรับจ้างอิสระที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากของ Skyrim มีฐานที่มั่นอยู่ที่นคร Whiterun กลุ่ม Companions ไม่มีการระบุตัวหัวหน้าตายตัว และทุกคนจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อสนับสนุนสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มและเพื่อฝึกฝนฝีมือ สร้างชื่อเสียง และคอยช่วยเหลือพี่น้องให้ในกลุ่ม โดย Companions จะมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Fighter Guild ของจักรวรรดิ์ในภาคก่อนๆ แต่เนื่องจาก Fighter Guild ไม่มีฐานที่มั่นใน Skyrim เหล่านักรบที่ต้องการทำงานทหารรับจ้างจึงต้องเข้าร่วมกับกลุ่ม Companions แทน แม้กลุ่มนี้จะไม่มีการวางตัวหัวหน้ากลุ่มอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้วสมาชิกรุ่นอาวุโสมักจะคอยดูแลควบคุมการทำงานของกลุ่มแทน
College of Winterhold เป็นวิทยาลัยการศึกษาเวทมนต์อาคมต่างๆ มีฐานที่ตั้งอยู่ที่นคร Winterhold โดยวิทยาลัยนี้เป็นกลุ่มอิสระที่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Mage Guild ของจักรวรรดิ์ เพราะอย่างนี้ตอนที่ Mage Guild ล่มสลายไปและแยกเป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่มออกมาหลังเหตุการณ์ในภาค 4 (ล่มเพราะอะไร คนที่เล่นคงพอเดาออกนะครับ) ทางวิทยาลัยจึงไม่ได้รับผลกระทบและยังคงดำเนินการสอนและการวิจัยตามปกติ โดยวิทยาลัยนี้จะถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเวทมนต์อาคมกับสมาชิกทุกคนในวิทยาลัยอย่างเต็มที่ แต่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลภายนอกหากเป็นไปได้
Thieves Guild เป็นเครือข่ายการก่ออาชญากรรมผิดกฎหมายที่มีอิทธิพลมากในแทบจะทุกอาณาเขตของจักรวรรดิ์ โดยกลุ่มกิลโจรใน Skyrim นั้นมีฐานที่มั่นอยู่ในนคร Rifton และมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างโด่งดังไปทั่ว ไม่เพียงแค่การปล้นสิ่งของ ยังมีการใส่ร้าย การหักหลังและกิจกรรมผิดกฎหมายต่างๆอีกมาก ปัจจุบันกิลโจรในตอนนี้อ่อนแอลงไปมาก ชื่อเสียงและความน่าหวั่นเกรงต่างๆลดลงไปจากแต่ก่อน จนคนส่วนมากเริ่มไม่กลัวและเริ่มแข็งข้อกับกิลมากขึ้น ถึงยังงั้นทางกิลก็ยังมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูอิทธิพลของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และเหล่าโจรหนุ่มสาวที่มั่นใจในฝีมือ สามารถไปทดสอบฝีมือได้ทุกเมื่อ
Dark Brotherhood เป็นสมาคมนักฆ่าที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากที่สุดในจักรวรรดิ์ ในอดีตเคยมีอิทธิพลแผ่ไปทั่วเกือบทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ์และถูกมองว่าเป็นองค์กรที่น่ากลัวที่สุด ในปัจจุบัน Dark Brotherhood อ่อนกำลังลงมากเนื่องจากมหาสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้ฐานทัพลับของ Dark Brotherhood ใน Cyrodiil ถูกทำลาย และสมาชิกจำนวนมากถูกฆ่า ปัจจุบัน Dark Brotherhood มีฐานที่มั่นสุดท้ายเหลือเพียงแห่งเดียวใน Skyrim เท่านั้น ถึงแม้ Dark Brotherhood จะอ่อนแอลงไปมากแต่ก็ไม่วายที่จะยังมีเหล่าผู้คนมากมายที่ต้องการใช้บริการของ Dark Brotherhood อยู่ดี
Thalmor เป็นกลุ่มชนชั้นปกครองของกองทัพ Aldmeri Dominion ซึ่งเป็นผู้ชนะมหาสงครามกับฝ่ายจักรวรรดิ์ ได้รับสิทธิให้เข้ามาตั้งสถานฑูตใน Skyrim และดินแดนอื่นๆของจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระ มักจะคอยสอดส่องหาจุดอ่อนของจักรวรรดิ์และพยายามสร้างความร้าวฉานภายในจักรวรรดิ์ ไม่มีใครรู้เลยว่า สงครามกลางเมืองของ Skyrim ที่เกิดขึ้นนั้นความจริงแล้วเป็นแผนการของ Thalmor ที่คิดจะบ่อนทำลายจักรวรรดิ์นั่นเอง
พูดถึงโลกของเกม The Elder Scroll
โลกของเกม The Elder Scroll จะถูกเรียกว่า Nirn โดยฉากหลังของเกมทุกๆภาคที่ผ่านมาจะอยู่ในทวีป Tamriel อันเป็นที่ตั้งของจักรวรรดิ์นั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าในโลกของ Nirn จะมีแค่ Tamriel อยู่ที่เดียวเท่านั้นนะครับ ในโลก Nirn ยังมีดินแดนอื่นๆที่อยู่ข้ามฝั่งทะเลไปอีกด้วย ซึ่งหากจะกล่าวกันตามจริงแล้ว Tamriel ก็เป็นแค่ทวีปๆหนึ่งเท่านั้น ทางทิศตะวันออกยังมีดินแดนแห่งมังกร Akavir ที่มีประวัติในการทำสงครามกับ Tamriel มายาวนานตั้งแต่ยุคอดีต ทางทิศเหนือยังมี Atmora บ้านเกิดที่แท้จริงของชาว Nord ไปจนถึง Aldmeris ดินแดนลี้ลับที่พวก High Elf จากมาก่อนจะมาตั้งรกรากแห่งแรกในทวีปนี้ที่ Summerset Isle และ Yokuda ดินแดนบ้านเกิดดั้งเดิมของ Redguard ที่จมหายไปในทะเล และยังมีดินแดนอื่นๆที่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลอีก อย่างเช่น Cathnoquey, Esroniet, Pyandonea, Roscrea, Thras และ Yneslea ด้วย
นอกจากโลก Nirn แล้วใน The Elder Scroll ยังมีโลกอื่นอีกซึ่งถูกเรียกว่า Oblivion เป็นโลกอื่นๆที่มีตัวตนในมิติอื่นที่แตกต่างกันไปจาก Nirn ยกตัวอย่างเช่น Shivering Isle ซึ่งเป็นโลกของ Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง Sheogorath ซึ่งถ้าใครเล่นภาคเสริมในภาคนี้จะมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนแห่งนี้ หรือแม้แต่โลกของ Mehrunes Dagon ซึ่งเป็น Daedric Prince แห่งการทำลายล้าง ภัยพิบัตและความเปลี่ยนแปลง ถ้าใครเล่นภาค 4 คงจะมีโอกาสได้ไปเยือนที่นี่มาแล้วแน่ๆครับ (ทุกครั้งที่คุณก้าวผ่านประตู Oblivion เข้าไป คุณได้เข้าสู่โลกของ Mehrunes Dagon ครับ)
แผนที่ข้างล่างคือตัวอย่างของตำแหน่งของ Yokuda ครับ ส่วนดินแดนอื่นๆหาแผนที่ไม่ได้จริงๆ :sweat
http://images.uesp.net/thumb/f/f9/Tam-Maps-West_Tamriel.jpg/800px-Tam-Maps-West_Tamriel.jpg
รูป Art และแผนที่ Credit ให้กับเว็บ Unofficial Elder Scrolls Pages ครับ
บันทึกการอัพเดท
6/12/2011 ข้อมูลประวัติศาสตร์ ข้อมูลกิล ข้อมูลเผ่า ข้อมูลเทพ
7/12/2011 อัพเดทข้อมูล Blade กับ Thalmor
12/12/2011 อัพเดทข้อมูลและแก้ไขเนื้อหาที่ผิดพลาดบางส่วน
13/12/2011 อัพเดทข้อมูลกิลอื่นๆ
14/12/2011 อัพเดทเพิ่มเติมข้อมูลของมังกร
19/12/2011 อัพเดทข้อมูลเหตุการณ์สำคัญในช่วงยุคที่ 4 (เริ่มจากหลังสิ้นสุดเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว) และอัพเดทข้อมูลอื่นๆอีกเล็กน้อย
22/12/2011 อัพเดทข้อมูลเผ่า Dwemer