Stormwind
20th July 2011, 00:02
คราวนี้เป็นตาของผมบ้างล่ะครับ หลังจากที่ได้พักจากการแข่งบอลเนื่องจากอาการบาดเจ็บ
ผมจะขอลงนิยายที่เกียวกับฟุตบอลของผมบ้างล่ะครับ
เนื้อหารับรอง ได้ใจชาวฮาร์ดคอร์แน่นอนครับ ส่วนเรื่องคำพูดส่วนมากจะเป็นคำหยาบคาย
ช่วงแรกๆจะแต่งมาจากชีวิตจริงของผมนะครับ
บทนำ
“หนูน้อย อยากเล่นตำแหน่งอะไรล่ะ?” ชายวัยกลางคนที่ยืนตรงข้ามเด็กชายตัวเล็กได้จดอะไรบางอย่างยิกๆใส่ในสมุดเล่มใหญ่ของเขา
“กองหน้าครับผม” เด็กคนนั้นตอบด้วยความมั่นใจก่อนจะดูรูปใบเล็กๆที่เป็นรูปนักฟุตบอลขวัญใจตลอดกาลของเขา ‘ฟาน เดอะ แมน’
หรือ รุด ฟาน นิสเตลรอย นั่นเอง
“อืม.......” ชายคนนั้นส่งยิ้มมาให้แล้วพูดต่อ “พรุ่งนี้มาซ้อมได้เลย”
“ครับผม” หัวใจของเด็กชายพองโตก่อนจะรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วทันที
สองเดือนผ่านไป
“กองหน้าพ่อ***เหรอวะ หลุดเดี่ยวแล้วยิงไม่เข้า” เสียงของโค้ชคนเดิมนั่นเองที่ตะโกนมาจากข้างสนาม
เพราะว่าตอนนี้ทีมเรากำลังตามหลังแล้วเขาดันทะลึ่งทำ ‘หมูหก’ น่ะสิ
กองหน้าตัวเป้าพยายามสะบัดหน้าเพื่อขับไล่ความสับสนปนฟุ้งซ่านในหัวออกไปก่อนจะวิ่งไล่บอลที่กองหลังของทีมตรงข้ามทั้งสองคนกำลังจ่ายให้กันไปมา
เมื่อบอลหยุดที่กองหลังคนหนึ่ง เขาเหยียบบอลไว้เหมือนจะพยายามท้าทายให้เข้าหา
เด็กคนนั้นเลยค่อยๆเดินเข้าไปหา ย่อตัวช้าๆ สายตาจดจ้องไปที่บอลเหมือนที่โค้ชเคยสอนกองหลัง
“เฮ้ย พี่ ดูเด็กนั่นมองบอลดิ หยั่งกะกองหลังเลยว่ะ” ผู้ชายที่ยืนข้างๆโค้ชได้สะกิดโค้ชเมื่อเห็นแววตาของเด็กน้อย
“เออ ว่ะ” โค้ชเองก็พยักหน้าราวกับเห็นด้วย
“น้องเค้าชื่ออะไรนะ ?” ชายผู้เอ่ยถามได้ถามต่อ
“ตั้ม” โค้ชตอบ ในสมองผุดแล่นไอเดียบางอย่างขึ้นมา
“เฮ้ๆๆ ตั้ม ถอยลงไปเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ แล้วให้ นัท ลงไปเล่นหน้าเป้าแทน เอายุทธออกมาเลย”
“ครับ !” เด็กน้อยที่ชื่อตั้มพยักหน้าก่อนจะวิ่งลงไปในตำแหน่งที่เขาลำบากใจที่สุด นั่นก็คือ.....
มิดฟิลด์ตัวรับ !!!!!!
ตอนที่1 ลำบาก
“ไอ่เชี่ยเอ้ย มิดฟิลด์ตัวรับเค้าเลี้ยงเดี่ยวกันเหรอวะ?” โค้ชสบถด่าตั้มที่กำลังนั่งรวมกับนักบอลเด็กคนอื่นๆอยู่บนพื้นหญ้าในช่วงพักครึ่ง
“ผมเล่นตำแหน่งนี้ไม่เป็นครับ” เด็กน้อยก้มหน้าจ๋อยลงกับพื้น
“เอ็งต้องสกัดบอลจากที่มันจะต่อจากแดนกลางไปข้างหน้า ทำยังไงก็ได้ไม่ให้บอลมันไปถึงหลัง”
“นี่มันแค่บอลชุมชน โค้ชจะเครียดไปทำไมครับ?” ตั้มถามอย่างสงสัย
คำถามนี้ทำเอาโค้ชถึงกับอึ้ง แต่ก็ยังวางฟอร์มต่อไปแบบเดิม
“ต้องจริงจังตั้งแต่ตอนนี้ ใส่ให้เต็มแรง ถ้าเราแพ้ เรายังภูมิใจว่าเราสู้สุดฝีมือ” ชายวัยกลางคนพยายามเปลี่ยนเรื่อง
การเปลี่ยนประเด็นครั้งนี้มีประโยชน์มากทีเดียว
แววตาของตั้มลุกโชติช่วงขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินโค้ชพูด
“ใช่แล้ว เราต้องทุ่มเทให้เต็มที่”
จากนั้นไม่นาน ผู้เล่นวัยเด็กทั้ง 11 คน ก็เดินเข้าไปรอในสนามหญ้าเปล่าๆ ที่ไม่มีคนดูเลย
“พี่ครับ สกัดบอลทำยังไงครับ” ตั้มถามนักบอลรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาทั้งสองคน
“ตามองลูกบอล เราต้องดักทางให้ออกว่าจะไปทางไหน”
“ครับ” เด้กน้อยพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมทำท่าจะไปประจำตำแหน่งแตถูกรุ่นพี่อีกคนร้องขัดเสียก่อน
“ที่สำคัญ มีสมาธิ อย่าวอกแวก ไปได้แล้วน้อง” พี่ชายทั้งสองลูบหัวตั้มเบาๆอย่างเอ็นดู
เมื่อเกมส์การแข่งขันเริ่มต้น ฝั่งตรงข้ามเป็นฝ่ายเขี่ยบอล บอลได้ถูกเคาะไปมาในแดนของทีมตรงข้าม ราวกับไม่รีบร้อน
แต่ไม่นานจากที่ต่อบอลเพื่อรักษาการครองบอล ก็เริ่มมีการบุกไปทางริมเส้น ตั้มทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วยหลายต่อหลายครั้ง
แต่ก็ถูกเซ็นเตอร์แบ๊กรุ่นพี่ตะโกนสั่งมาก่อน
“รักษาตำแหน่งไว้” ฟังจบตั้มก็หันไปมองในแดนกลาง มิดฟิลด์3ตัวเริ่มขึ้นบุกมาในเขตแดนของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“มันเล่นแผน 4-5-1 ตั้มไหวมั้ย?” พี่คนเดิมร้องถาม
“ไม่ต้องตะโกน เอิร์ธ เก็บเสียงไว้สั่งกองหลังดีกว่า” เสียงของโค้ชตะโกนแทรกมา
แต่แล้ว เขาก็ต้องสอนตั้มอยู่ดี
“ตั้มประกบคนที่ยืนต่ำกว่ากองหน้าไว้” เสียงของพี่เอิร์ธรีบสั่งอย่างร้อนรน
เด็กน้อยไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าแล้ววิ่งตามชายผู้ยืนตำแหน่ง ‘หน้าต่ำ’ ทันที
แต่การประกบเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะ ‘หน้าต่ำ’ คนนั้นยืนไม่เป็นที่
ตั้มที่เข้าใจว่าการประกบ นั่นคือการประกบติดไปเลย ได้ตามติดมิดฟิลด์ตัวรุกจนเสียตำแหน่งของตัวเองไป
และเหตุการณ์ก็ได้เลวร้ายลงไปอีกเพราะการที่เขาตามติดมิดฟิลด์ตัวรุกนั้น ได้ทำให้เกิดช่องว่างในแดนกลางขึ้น
บรรดามิดฟิลด์ที่เหลือทั้งสองของฝั่งตรงข้ามนั้นเริ่มดันขึ้นสูงจนสามารถหาโอกาส ‘ส่อง’ จากแถวสองได้
การครองบอลของฝ่ายตรงข้ามเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะขาดมิดฟิลด์ตัวรับนั่นเอง
และในที่สุดทุกคนก็รู้จุดอ่อนของบทีมในตอนนี้ นั่นก็คือมิดฟิลด์ตัวรับร่างจิ๋วที่ตามประกบจนเสียตำแหน่งนั่นเอง
“เฮ้ยตั้ม อย่าตามแบบนั้น รักษาตำแหน่งเอาไว้” โค้ชเห็นท่าไม่ดีจึงรีบป้องปากตะโกนบอกตั้มที่กำลังวิ่งประกบจนเว้นรูโหว่เบ้อเริ่มตรงกลางสนามเอาไว้
“ครับๆ” หลังจากที่ตั้มพยักหน้าก็ละการประกบแล้วไปยืนประจำตำแหน่งที่แท้จริง
แต่ฝั่งตรงข้ามก็เล่นต่อบอลกันแทบจะไม่หายใจหายคอ บุกมาทางซ้าย....ทางขวา
ส่วนตรงกลางนั้นเมื่อมิดฟิลด์ทั้งสองได้บอลก็จะเป็นหน้าที่ของตั้มที่วิ่งเข้าฉกบอลด้วยความรวดเร็ว
แต่ไม่นานทั้งสองก็เปลี่ยนแผนเป็นจ่ายบอลเร็ว ทำให้ตั้มทำอะไรไมได้มากนัก
“ไล่บอลตั้ม ไล่บอล !” เสียงของโค้ชยังคงตะโกนว่าตั้มอยู่ข้างสนาม
คนโดนด่าก็พยักหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาไล่บอลต่อทันที
“สกัด” สิ้นเสียงที่ได้ยิน ตั้มพยายามยืดขาเพื่อตัดบอล แต่มิดฟิลด์คนนั้นก็ดูเหมือนจะรู้ทัน จึงแตะบอลลอด ดาก(หว่างขา) แล้วซัดเต็มข้อ
แต่โชคดีที่บอลเหินข้ามคานไป
“สกัดบอลส้นตีนอะไรวะ ***เป็นคุณชายเหรอ?” เสียงใหญ่ๆของนายทวาร(โกล) ตะโกนด่าตั้มด้วยความฉุนเฉียว
แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของตั้มให้ตื่นขึ้น
หลังจากที่โกลวิ่งไปเก็บบอลแล้วมาตั้งเตะ เขาตั้งใจเปิดบอลสุดแรง
แต่มิดฟิลด์ทีมตรงข้ามก็ยังโหม่งบอลข้ามหัวตั้มทะลุไปหากองหน้าที่ตอนนี้กำลังฉีกกับดักล้ำหน้า
“******แล้ว !” เซ็นเตอร์แบ๊กทั้งสองต่างทำอะไรไม่ถูกจนปล่อยให้กองหน้าร่างใหญ่นั้นหลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตู
ขณะที่ร่างใหญ่นั้นจะเลือกยิง ก็มีเงาเล็กๆวิ่งแซงหน้าแล้วโถมตัวสกัดบอลก่อน
การเข้าหนักของตั้มในครั้งนี้ก็ทำให้ล้มกลิ้งกันทั้งคนทั้งบอล
ผู้ตัดสินทำมือให้เล่นต่อเพราะว่ามิดฟลิด์ตัวรับนั้นไม่ได้มีเจตนาเข้าบอลแรง
“เออ ดี ! เข้าบอลแบบนั้น” โค้ชตะโกนแข่งกับเสียงนกหวีดที่เป่าหมดเวลา
“ตั้มเดินออกมาจากสนามด้วยสีหน้าที่อิดโรยระคนกับอ่อนล้า เพราะเขาไม่เคยต้องวิ่งไล่บอลที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้
“ดีมาก ตั้มดีมาก!” เสียงโค้ชเดินมาตบไหล่ตั้มก่อนจะทำสัญญาณให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน
“เป็นไงบ้าง กับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ?” โค้ชพูดกับมิดฟิลด์ตัวรับซึ่งบัดนี้กำลังนอนแผ่หลาอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น
“เยี่ยมเลยครับ” เจ้าตัวตอบอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
เหตุการณ์ วันนี้เองที่จะก่อกำเนิดมิดฟิลด์เลือดเดือดอีกคนในวงการฟุตบอล.....
ตอนที่ 2 ตัดสินใจ
“ส้นตีนดิวะ ไอ่เชี่ย !” เสียงทุ้มๆของเด็กร่างอวบคนหนึ่งร้องตะโกนบนตะอาหาร
“***คิดดีแล้วเหรอ?” เด็กท้วมยังคงถามก่อนจะมองหน้าเด็กทีอยู่ตรงข้าม
“เออ” เด็กคนนั้นพยักหน้าราวกับมั่นใจในความคิดของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
“ไอ่โง่ ***ก็รู้ว่าเล่นมิดฟิลด์ตัวรับน่ะ มีแต่ตายกับตาย” เด็กอวบมองอีกครั้งอย่างไม่เชื่อรูหู
“ยังไงวะภูมิ?” คนฝั่งตรงข้ามถามเพื่อนที่ชื่อภูมิด้วยอาการนิ่งสงบ
“ตายแบบไม่ได้เกิดด้วย ไอ่***” ภูมิพูดก่อนจะตบหัวตั้มที่ยังทำหน้ามึน1ทีแล้วพูดต่อ
“***เอ้ย ***ไม่รู้เหรอวะ ว่ามิดฟิลด์ตัวรับน่ะมีพี่ ไผ่ อยู่นะเว้ย”
“อ่อ กูก็หวังซึมซับประสบการณ์จากพี่เค้าไงวะ” เด็กฝั่งตรงข้ามยังคงพูดอย่างใจเย็น
“*** กูว่า***โดนอัดเละก่อนแน่” ภูมิรีบสวนกลับทันที แล้วพูดต่อหลังจากที่ตั้มเงียบไป
“โหดหยั่งกะอะไรดี กองหลังอย่างกูมันยังไม่เว้นเลย”
“กูเล่นหลังคู่***ก็ได้” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ย่อท้อ
แต่ภูมิส่ายหน้าอย่างหมดหวังก่อนจะนึกไปถึงรุ่นพี่อีกคน
“ถุยดิวะ ไอ่ตั้ม หลังยังมีพี่ พี อยู่นะเว้ยเฮ้ย”
“ไม่รู้ล่ะ กูตัดสินใจแล้ว ***ไปส่งกูลงชื่อเป็นนักบอลเลย” ตั้มลุกขึ้นพร้อมดึงภูมิไปด้วย
เมื่อมาถึงห้องพละก็เห็นหนุ่มรุ่นพี่สองคนกำลังคุยกับโค้ชประจำโรงเรียนอยู่
ภูมิรีบกระชากเสื้อตั้มเบาๆเพื่อลากไปกระซิบ
“นี่แหละ*** พี่ พี กับ พี่ ไผ่” ความเย็นของเครื่องปรับอากาศไมได้ทำให้หัวใจของภูมิเย็นเหมือนอุณภูมิห้องเลย
หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองคนหันมองภูมิกับตั้ม คนที่ตัดผมทรงสกรีนเฮดและไว้เคราแบบบีย่าได้ชิงพูดก่อน
“อ้าว ไอ่ตุ้ย(อ้วน)ภูมิมาทำอะไรวะ?”
“เอ่อ.......” ก่อนที่ภูมิจะพูดตั้มก็รีบเอ่ยแนะนำตัวก่อนทันที
“ ผมมาสมัครเป็นนักบอลครับ”
รุ่นพี่ทั้งสองรวมทั้งโค้ชต่างก็มองเด็กหน้าใหม่ด้วยความแปลกใจก่อนที่ตั้มจะโดนภูมิดึงคอเสื้อไปกระซิบอีก
“นี่แหละ*** พี่ ไผ่ ล่ะ”
“เล่นตำแหน่งอะไรวะ ?” เสียงห้าวๆของรุ่นพี่ที่สวมหมวกได้เอ่ยถามมาแบบหยันๆ
“มิดฟิลด์ตัวรับครับ” เด็กน้อยตอบอย่างไม่เกรงกลัวต่อมิดฟิลด์ตัวรับตัวจริงเสียงจริงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“โยโฮ่ !!” หนุ่มรุ่นพี่ที่ถามได้ขยับหมวกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงใบหน้าขาวนวลที่ดูไม่เหมือนผู้ชายเอาซะเลย
“คุยกันก็รังจะเสียเวลา มาๆ มาลงชื่อก่อนเลย” โค้ชรีบพูดตัดบทรุ่นพี่ทั้งสองพร้อมเปิดสมุดเล่มเล็ก
เด็กหน้าใหม่เดินเนิบๆไปเขียนชื่อ-สกุล ห้อง เลขที่ และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ จนเสร็จ
“อยู่ชั้นอะไรนะเรา” พี่ พี นั่งบนโต๊ะของครูก่อนจะเอ่ยถามมาต่อ
“ม.1ครับ” ตั้มตอบอย่างฉะฉาน
“อืม.....เกิดยากหน่อยนะ มิดฟิลด์ตัวรับเนี่ย” พี่หน้าสวยยังคงแขวะต่อจนพี่ไผ่ทนไม่ไหว
“พอเถอะ เชี่ยพี น้องครับ พรุ่งนี้เอาสตั๊ดมาซ้อมได้เลยนะ” พี่ไผ่โบกหัวของพี่พีก่อนจะรีบตัดบท
“ครับ” ตั้มยกมือไหว้ทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องไปหาภูมิที่ตอนนี้ถอยไปอยู่ข้างนอกห้องรอ
หลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว โค้ชก็เริ่มพูดก่อน
“เห็นไอ่นี่แล้วคิดถึง***เมื่อก่อนเลยว่ะ” คำพูดนี้ทำเอาไผ่ทำหน้าสงสัย
ส่วนพีที่ยิ้มแบบซ่อนเงื่อนก่อนจะถอดหมวกออกช้าๆแล้วพูดให้ไผ่ฟัง
“ดูเหมือนไม่กลัวใครเลย เหมือน***ชัดๆ”
ไผ่ส่ายหน้าไปมาเพื่อลบล้างความรู้สึกในอดีตที่กำลังย้อนเข้ามา ในใจลึกๆเขาก็ยอมรับว่าไอ่น้องคนนี้ ‘เหมือน’ จริงๆ
“เออ ช่างเหอะ รอดูพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ ***” ไผ่ประกาศกร้าวเพราะข่มความคิดของตนไว้ได้หมดแล้ว
“เหอะๆ” พีหัวเราะเบาๆในลำคอราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างที่ยากจะเข้าใจออกมา
จบ.
ผมจะขอลงนิยายที่เกียวกับฟุตบอลของผมบ้างล่ะครับ
เนื้อหารับรอง ได้ใจชาวฮาร์ดคอร์แน่นอนครับ ส่วนเรื่องคำพูดส่วนมากจะเป็นคำหยาบคาย
ช่วงแรกๆจะแต่งมาจากชีวิตจริงของผมนะครับ
บทนำ
“หนูน้อย อยากเล่นตำแหน่งอะไรล่ะ?” ชายวัยกลางคนที่ยืนตรงข้ามเด็กชายตัวเล็กได้จดอะไรบางอย่างยิกๆใส่ในสมุดเล่มใหญ่ของเขา
“กองหน้าครับผม” เด็กคนนั้นตอบด้วยความมั่นใจก่อนจะดูรูปใบเล็กๆที่เป็นรูปนักฟุตบอลขวัญใจตลอดกาลของเขา ‘ฟาน เดอะ แมน’
หรือ รุด ฟาน นิสเตลรอย นั่นเอง
“อืม.......” ชายคนนั้นส่งยิ้มมาให้แล้วพูดต่อ “พรุ่งนี้มาซ้อมได้เลย”
“ครับผม” หัวใจของเด็กชายพองโตก่อนจะรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วทันที
สองเดือนผ่านไป
“กองหน้าพ่อ***เหรอวะ หลุดเดี่ยวแล้วยิงไม่เข้า” เสียงของโค้ชคนเดิมนั่นเองที่ตะโกนมาจากข้างสนาม
เพราะว่าตอนนี้ทีมเรากำลังตามหลังแล้วเขาดันทะลึ่งทำ ‘หมูหก’ น่ะสิ
กองหน้าตัวเป้าพยายามสะบัดหน้าเพื่อขับไล่ความสับสนปนฟุ้งซ่านในหัวออกไปก่อนจะวิ่งไล่บอลที่กองหลังของทีมตรงข้ามทั้งสองคนกำลังจ่ายให้กันไปมา
เมื่อบอลหยุดที่กองหลังคนหนึ่ง เขาเหยียบบอลไว้เหมือนจะพยายามท้าทายให้เข้าหา
เด็กคนนั้นเลยค่อยๆเดินเข้าไปหา ย่อตัวช้าๆ สายตาจดจ้องไปที่บอลเหมือนที่โค้ชเคยสอนกองหลัง
“เฮ้ย พี่ ดูเด็กนั่นมองบอลดิ หยั่งกะกองหลังเลยว่ะ” ผู้ชายที่ยืนข้างๆโค้ชได้สะกิดโค้ชเมื่อเห็นแววตาของเด็กน้อย
“เออ ว่ะ” โค้ชเองก็พยักหน้าราวกับเห็นด้วย
“น้องเค้าชื่ออะไรนะ ?” ชายผู้เอ่ยถามได้ถามต่อ
“ตั้ม” โค้ชตอบ ในสมองผุดแล่นไอเดียบางอย่างขึ้นมา
“เฮ้ๆๆ ตั้ม ถอยลงไปเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ แล้วให้ นัท ลงไปเล่นหน้าเป้าแทน เอายุทธออกมาเลย”
“ครับ !” เด็กน้อยที่ชื่อตั้มพยักหน้าก่อนจะวิ่งลงไปในตำแหน่งที่เขาลำบากใจที่สุด นั่นก็คือ.....
มิดฟิลด์ตัวรับ !!!!!!
ตอนที่1 ลำบาก
“ไอ่เชี่ยเอ้ย มิดฟิลด์ตัวรับเค้าเลี้ยงเดี่ยวกันเหรอวะ?” โค้ชสบถด่าตั้มที่กำลังนั่งรวมกับนักบอลเด็กคนอื่นๆอยู่บนพื้นหญ้าในช่วงพักครึ่ง
“ผมเล่นตำแหน่งนี้ไม่เป็นครับ” เด็กน้อยก้มหน้าจ๋อยลงกับพื้น
“เอ็งต้องสกัดบอลจากที่มันจะต่อจากแดนกลางไปข้างหน้า ทำยังไงก็ได้ไม่ให้บอลมันไปถึงหลัง”
“นี่มันแค่บอลชุมชน โค้ชจะเครียดไปทำไมครับ?” ตั้มถามอย่างสงสัย
คำถามนี้ทำเอาโค้ชถึงกับอึ้ง แต่ก็ยังวางฟอร์มต่อไปแบบเดิม
“ต้องจริงจังตั้งแต่ตอนนี้ ใส่ให้เต็มแรง ถ้าเราแพ้ เรายังภูมิใจว่าเราสู้สุดฝีมือ” ชายวัยกลางคนพยายามเปลี่ยนเรื่อง
การเปลี่ยนประเด็นครั้งนี้มีประโยชน์มากทีเดียว
แววตาของตั้มลุกโชติช่วงขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินโค้ชพูด
“ใช่แล้ว เราต้องทุ่มเทให้เต็มที่”
จากนั้นไม่นาน ผู้เล่นวัยเด็กทั้ง 11 คน ก็เดินเข้าไปรอในสนามหญ้าเปล่าๆ ที่ไม่มีคนดูเลย
“พี่ครับ สกัดบอลทำยังไงครับ” ตั้มถามนักบอลรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาทั้งสองคน
“ตามองลูกบอล เราต้องดักทางให้ออกว่าจะไปทางไหน”
“ครับ” เด้กน้อยพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมทำท่าจะไปประจำตำแหน่งแตถูกรุ่นพี่อีกคนร้องขัดเสียก่อน
“ที่สำคัญ มีสมาธิ อย่าวอกแวก ไปได้แล้วน้อง” พี่ชายทั้งสองลูบหัวตั้มเบาๆอย่างเอ็นดู
เมื่อเกมส์การแข่งขันเริ่มต้น ฝั่งตรงข้ามเป็นฝ่ายเขี่ยบอล บอลได้ถูกเคาะไปมาในแดนของทีมตรงข้าม ราวกับไม่รีบร้อน
แต่ไม่นานจากที่ต่อบอลเพื่อรักษาการครองบอล ก็เริ่มมีการบุกไปทางริมเส้น ตั้มทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วยหลายต่อหลายครั้ง
แต่ก็ถูกเซ็นเตอร์แบ๊กรุ่นพี่ตะโกนสั่งมาก่อน
“รักษาตำแหน่งไว้” ฟังจบตั้มก็หันไปมองในแดนกลาง มิดฟิลด์3ตัวเริ่มขึ้นบุกมาในเขตแดนของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“มันเล่นแผน 4-5-1 ตั้มไหวมั้ย?” พี่คนเดิมร้องถาม
“ไม่ต้องตะโกน เอิร์ธ เก็บเสียงไว้สั่งกองหลังดีกว่า” เสียงของโค้ชตะโกนแทรกมา
แต่แล้ว เขาก็ต้องสอนตั้มอยู่ดี
“ตั้มประกบคนที่ยืนต่ำกว่ากองหน้าไว้” เสียงของพี่เอิร์ธรีบสั่งอย่างร้อนรน
เด็กน้อยไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าแล้ววิ่งตามชายผู้ยืนตำแหน่ง ‘หน้าต่ำ’ ทันที
แต่การประกบเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะ ‘หน้าต่ำ’ คนนั้นยืนไม่เป็นที่
ตั้มที่เข้าใจว่าการประกบ นั่นคือการประกบติดไปเลย ได้ตามติดมิดฟิลด์ตัวรุกจนเสียตำแหน่งของตัวเองไป
และเหตุการณ์ก็ได้เลวร้ายลงไปอีกเพราะการที่เขาตามติดมิดฟิลด์ตัวรุกนั้น ได้ทำให้เกิดช่องว่างในแดนกลางขึ้น
บรรดามิดฟิลด์ที่เหลือทั้งสองของฝั่งตรงข้ามนั้นเริ่มดันขึ้นสูงจนสามารถหาโอกาส ‘ส่อง’ จากแถวสองได้
การครองบอลของฝ่ายตรงข้ามเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะขาดมิดฟิลด์ตัวรับนั่นเอง
และในที่สุดทุกคนก็รู้จุดอ่อนของบทีมในตอนนี้ นั่นก็คือมิดฟิลด์ตัวรับร่างจิ๋วที่ตามประกบจนเสียตำแหน่งนั่นเอง
“เฮ้ยตั้ม อย่าตามแบบนั้น รักษาตำแหน่งเอาไว้” โค้ชเห็นท่าไม่ดีจึงรีบป้องปากตะโกนบอกตั้มที่กำลังวิ่งประกบจนเว้นรูโหว่เบ้อเริ่มตรงกลางสนามเอาไว้
“ครับๆ” หลังจากที่ตั้มพยักหน้าก็ละการประกบแล้วไปยืนประจำตำแหน่งที่แท้จริง
แต่ฝั่งตรงข้ามก็เล่นต่อบอลกันแทบจะไม่หายใจหายคอ บุกมาทางซ้าย....ทางขวา
ส่วนตรงกลางนั้นเมื่อมิดฟิลด์ทั้งสองได้บอลก็จะเป็นหน้าที่ของตั้มที่วิ่งเข้าฉกบอลด้วยความรวดเร็ว
แต่ไม่นานทั้งสองก็เปลี่ยนแผนเป็นจ่ายบอลเร็ว ทำให้ตั้มทำอะไรไมได้มากนัก
“ไล่บอลตั้ม ไล่บอล !” เสียงของโค้ชยังคงตะโกนว่าตั้มอยู่ข้างสนาม
คนโดนด่าก็พยักหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาไล่บอลต่อทันที
“สกัด” สิ้นเสียงที่ได้ยิน ตั้มพยายามยืดขาเพื่อตัดบอล แต่มิดฟิลด์คนนั้นก็ดูเหมือนจะรู้ทัน จึงแตะบอลลอด ดาก(หว่างขา) แล้วซัดเต็มข้อ
แต่โชคดีที่บอลเหินข้ามคานไป
“สกัดบอลส้นตีนอะไรวะ ***เป็นคุณชายเหรอ?” เสียงใหญ่ๆของนายทวาร(โกล) ตะโกนด่าตั้มด้วยความฉุนเฉียว
แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของตั้มให้ตื่นขึ้น
หลังจากที่โกลวิ่งไปเก็บบอลแล้วมาตั้งเตะ เขาตั้งใจเปิดบอลสุดแรง
แต่มิดฟิลด์ทีมตรงข้ามก็ยังโหม่งบอลข้ามหัวตั้มทะลุไปหากองหน้าที่ตอนนี้กำลังฉีกกับดักล้ำหน้า
“******แล้ว !” เซ็นเตอร์แบ๊กทั้งสองต่างทำอะไรไม่ถูกจนปล่อยให้กองหน้าร่างใหญ่นั้นหลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตู
ขณะที่ร่างใหญ่นั้นจะเลือกยิง ก็มีเงาเล็กๆวิ่งแซงหน้าแล้วโถมตัวสกัดบอลก่อน
การเข้าหนักของตั้มในครั้งนี้ก็ทำให้ล้มกลิ้งกันทั้งคนทั้งบอล
ผู้ตัดสินทำมือให้เล่นต่อเพราะว่ามิดฟลิด์ตัวรับนั้นไม่ได้มีเจตนาเข้าบอลแรง
“เออ ดี ! เข้าบอลแบบนั้น” โค้ชตะโกนแข่งกับเสียงนกหวีดที่เป่าหมดเวลา
“ตั้มเดินออกมาจากสนามด้วยสีหน้าที่อิดโรยระคนกับอ่อนล้า เพราะเขาไม่เคยต้องวิ่งไล่บอลที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้
“ดีมาก ตั้มดีมาก!” เสียงโค้ชเดินมาตบไหล่ตั้มก่อนจะทำสัญญาณให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน
“เป็นไงบ้าง กับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ?” โค้ชพูดกับมิดฟิลด์ตัวรับซึ่งบัดนี้กำลังนอนแผ่หลาอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น
“เยี่ยมเลยครับ” เจ้าตัวตอบอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
เหตุการณ์ วันนี้เองที่จะก่อกำเนิดมิดฟิลด์เลือดเดือดอีกคนในวงการฟุตบอล.....
ตอนที่ 2 ตัดสินใจ
“ส้นตีนดิวะ ไอ่เชี่ย !” เสียงทุ้มๆของเด็กร่างอวบคนหนึ่งร้องตะโกนบนตะอาหาร
“***คิดดีแล้วเหรอ?” เด็กท้วมยังคงถามก่อนจะมองหน้าเด็กทีอยู่ตรงข้าม
“เออ” เด็กคนนั้นพยักหน้าราวกับมั่นใจในความคิดของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
“ไอ่โง่ ***ก็รู้ว่าเล่นมิดฟิลด์ตัวรับน่ะ มีแต่ตายกับตาย” เด็กอวบมองอีกครั้งอย่างไม่เชื่อรูหู
“ยังไงวะภูมิ?” คนฝั่งตรงข้ามถามเพื่อนที่ชื่อภูมิด้วยอาการนิ่งสงบ
“ตายแบบไม่ได้เกิดด้วย ไอ่***” ภูมิพูดก่อนจะตบหัวตั้มที่ยังทำหน้ามึน1ทีแล้วพูดต่อ
“***เอ้ย ***ไม่รู้เหรอวะ ว่ามิดฟิลด์ตัวรับน่ะมีพี่ ไผ่ อยู่นะเว้ย”
“อ่อ กูก็หวังซึมซับประสบการณ์จากพี่เค้าไงวะ” เด็กฝั่งตรงข้ามยังคงพูดอย่างใจเย็น
“*** กูว่า***โดนอัดเละก่อนแน่” ภูมิรีบสวนกลับทันที แล้วพูดต่อหลังจากที่ตั้มเงียบไป
“โหดหยั่งกะอะไรดี กองหลังอย่างกูมันยังไม่เว้นเลย”
“กูเล่นหลังคู่***ก็ได้” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ย่อท้อ
แต่ภูมิส่ายหน้าอย่างหมดหวังก่อนจะนึกไปถึงรุ่นพี่อีกคน
“ถุยดิวะ ไอ่ตั้ม หลังยังมีพี่ พี อยู่นะเว้ยเฮ้ย”
“ไม่รู้ล่ะ กูตัดสินใจแล้ว ***ไปส่งกูลงชื่อเป็นนักบอลเลย” ตั้มลุกขึ้นพร้อมดึงภูมิไปด้วย
เมื่อมาถึงห้องพละก็เห็นหนุ่มรุ่นพี่สองคนกำลังคุยกับโค้ชประจำโรงเรียนอยู่
ภูมิรีบกระชากเสื้อตั้มเบาๆเพื่อลากไปกระซิบ
“นี่แหละ*** พี่ พี กับ พี่ ไผ่” ความเย็นของเครื่องปรับอากาศไมได้ทำให้หัวใจของภูมิเย็นเหมือนอุณภูมิห้องเลย
หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองคนหันมองภูมิกับตั้ม คนที่ตัดผมทรงสกรีนเฮดและไว้เคราแบบบีย่าได้ชิงพูดก่อน
“อ้าว ไอ่ตุ้ย(อ้วน)ภูมิมาทำอะไรวะ?”
“เอ่อ.......” ก่อนที่ภูมิจะพูดตั้มก็รีบเอ่ยแนะนำตัวก่อนทันที
“ ผมมาสมัครเป็นนักบอลครับ”
รุ่นพี่ทั้งสองรวมทั้งโค้ชต่างก็มองเด็กหน้าใหม่ด้วยความแปลกใจก่อนที่ตั้มจะโดนภูมิดึงคอเสื้อไปกระซิบอีก
“นี่แหละ*** พี่ ไผ่ ล่ะ”
“เล่นตำแหน่งอะไรวะ ?” เสียงห้าวๆของรุ่นพี่ที่สวมหมวกได้เอ่ยถามมาแบบหยันๆ
“มิดฟิลด์ตัวรับครับ” เด็กน้อยตอบอย่างไม่เกรงกลัวต่อมิดฟิลด์ตัวรับตัวจริงเสียงจริงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“โยโฮ่ !!” หนุ่มรุ่นพี่ที่ถามได้ขยับหมวกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงใบหน้าขาวนวลที่ดูไม่เหมือนผู้ชายเอาซะเลย
“คุยกันก็รังจะเสียเวลา มาๆ มาลงชื่อก่อนเลย” โค้ชรีบพูดตัดบทรุ่นพี่ทั้งสองพร้อมเปิดสมุดเล่มเล็ก
เด็กหน้าใหม่เดินเนิบๆไปเขียนชื่อ-สกุล ห้อง เลขที่ และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ จนเสร็จ
“อยู่ชั้นอะไรนะเรา” พี่ พี นั่งบนโต๊ะของครูก่อนจะเอ่ยถามมาต่อ
“ม.1ครับ” ตั้มตอบอย่างฉะฉาน
“อืม.....เกิดยากหน่อยนะ มิดฟิลด์ตัวรับเนี่ย” พี่หน้าสวยยังคงแขวะต่อจนพี่ไผ่ทนไม่ไหว
“พอเถอะ เชี่ยพี น้องครับ พรุ่งนี้เอาสตั๊ดมาซ้อมได้เลยนะ” พี่ไผ่โบกหัวของพี่พีก่อนจะรีบตัดบท
“ครับ” ตั้มยกมือไหว้ทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องไปหาภูมิที่ตอนนี้ถอยไปอยู่ข้างนอกห้องรอ
หลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว โค้ชก็เริ่มพูดก่อน
“เห็นไอ่นี่แล้วคิดถึง***เมื่อก่อนเลยว่ะ” คำพูดนี้ทำเอาไผ่ทำหน้าสงสัย
ส่วนพีที่ยิ้มแบบซ่อนเงื่อนก่อนจะถอดหมวกออกช้าๆแล้วพูดให้ไผ่ฟัง
“ดูเหมือนไม่กลัวใครเลย เหมือน***ชัดๆ”
ไผ่ส่ายหน้าไปมาเพื่อลบล้างความรู้สึกในอดีตที่กำลังย้อนเข้ามา ในใจลึกๆเขาก็ยอมรับว่าไอ่น้องคนนี้ ‘เหมือน’ จริงๆ
“เออ ช่างเหอะ รอดูพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ ***” ไผ่ประกาศกร้าวเพราะข่มความคิดของตนไว้ได้หมดแล้ว
“เหอะๆ” พีหัวเราะเบาๆในลำคอราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างที่ยากจะเข้าใจออกมา
จบ.