PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ตายแล้ววิญญาณไปไหน



dantezeedza
18th December 2011, 20:24
ปัจจุบันคติความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ก็ยังมีคนลังเลสงสัย ปัญหาหนึ่งที่คนมักจะชอบถามมากที่สุดคือคนตายแล้ววิญญาณไปไหน พระภิกษุแต่ละรูปก็ตอบไปตามความรู้ความเข้าใจเท่าที่ได้ศึกษามาจากตำรา บางรูปพาลโกรธคนถามเสียอีก บางรูปไม่สนใจตอบเดินหนีไปดื้อๆก็มี ตราบใดที่ยังมีพระพุทธศาสนาปัญหานี้ก็ต้องถูกถามอยู่ร่ำไป

พระพุทธศาสนาแสดงเรื่องโลกนี้โลกหน้าไว้มาก มีพระสูตรๆหนึ่งในทีฆนิกายมหาวรรคคือปายาสิราชัญญสูตร(10/301-330/234-260) เป็นการตอบคำถามเกี่ยวกับโลกหน้า นรกสวรรค์ หรือแม้แต่คนตายแล้วไปไหนได้ชัดเจนที่สุด พระเจ้าปายาสิสงสัยในเรื่องเหล่านี้มานาน จนกระทั่งมาพบกับพระกุมารกัสสปะลองฟังคำสนทนาของทั้สองดูอย่างย่อๆ
พระเจ้าปายาสิตรัสถามตอนหนึ่งว่า “มีมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของข้าพเจ้าที่ประพฤติชั่วมีประการต่างๆ เมื่อบุคคลเหล่านั้นเจ็บไข้ ซึ่งเห็นว่าจะไม่หายแน่ ก็เข้าไปหาและได้สั่งว่า ถ้าไปตกนรก เพราะประพฤติชั่วตามคำของสมณพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก พวกเหล่านั้นรับคำแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลย ข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อว่ามีโลกอื่น"
พระกุมารกัสสปะตอบว่า “เปรียบเหมือนโจรที่ทำผิดราชบุรุษจับได้ ก็นำตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิต โจรเหล่านั้นจะขอผัดผ่อนให้ไปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรือไม่"
พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า "ไม่ได้สิ เดี๋ยวก็หลบหนีไม่กลับมารับโทษเท่านั้น"
พระเถระจึงกล่าวว่า “พวกที่ทำชั่วก็เช่นกัน ถ้าไปตกนรกก็คงไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาล(ยมบาล)ให้มาบอกพวกญาติๆหรอก มหาบพิตรเลยไม่ได้เห็นใครกลับมาบอก"

http://www.cybervanaram.net/images/stories/news/sawan03.jpg

พระเจ้าปายาสิตรัสเล่าต่อไปว่า “ข้าพเจ้าเคยสั่งคนที่ทำความดีว่า ถ้าตายไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะประพฤติดีตามคำของพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก พวกนั้นรับคำแล้วก็ไม่เคยมีใครมาบอกเลย ข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมีอยู่ มีแต่โลกนี้เท่านั้น คนตายแล้วก็สูญ"
พระเถระทูลว่า “เปรียบเหมือนคนตกลงไปในหลุมอุจจาระมิดศีรษะ พระองค์สั่งให้ราชบุรุษช่วยยกขึ้นจากหลุมนั้น ให้นำอุจจาระออกจากร่างกาย ทำความสะอาดหมดจดแล้ว นำพวงมาลัยเครื่องลูบไล้และผ้ามีราคาแพงมาให้นุ่งห่ม พาขึ้นสู่ปราสาท บำเรอด้วยกามคุณทั้งห้าประการ บุรุษนั้นจะอยากลงไปอยู่ในหลุมอุจจาระอีกหรือไม่"
พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า “ใครจะอยากลงไปอีกเล่า”
พระกุมารกัสสปะถามว่ “เพราะเหตุไร จึงไม่อยากลงไปในหลุมอุจจาระอีกเล่า มหาบพิตร"
พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า "เพราะหลุมอุจจาระไม่สอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล สกปรกนะสิพระคุณเจ้า"
พระเถระทูลว่า “มนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล สกปรกสำหรับเทวดาทั้งหลายเหมือนกัน พวกทำความดีที่ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ จึงไม่กลับมาบอก เพราะกำลังเสวยสุขในสวรรค์ อีกอย่างหนึ่งเวลาในโลกมนุษย์กับสวรรค์ต่างกันมาก ร้อยปีในเมืองมนุษย์เท่ากับวันหนึ่งคืนหนึ่งในเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกาเท่านั้น พอเทวดาคิดได้จะกลับมาบอกพวกญาติก็ตายหมดแล้ว”

http://www.cybervanaram.net/images/stories/news/sawan00.jpg

คำสนทนาเรื่องโลกหน้า ตายแล้วไปไหนระหว่างพระเจ้าปายาสิกับพระกุมารกัสสปะ ยังมีอีกมาก แต่ยกมาพอเป็นตัวอย่าง ผู้สนใจกรุณาหาอ่านได้จากปายาสิราชัญญสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 จากข้อ 301 เป็นต้นไป
พระเถระที่ตอบปัญหาเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมอีกรูปหนึ่งคือหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เมื่อมีคนถามว่า “ชาติหน้ามีจริงหรือไม่” หลวงพ่อจะย้อนถามว่า “ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหมละ” เมื่อคนถามตอบว่า “เชื่อครับ” หลวงพ่อก็จะตอบกลับไปว่า “ถ้าเชื่อโยมก็โง่”
อ่านแล้วงงไหม หลวงพ่อขยายความให้กระจ่างว่า “เรื่องแบบนี้ไม่มีหลักฐานจะนำมาพิสูจน์ให้เห็นได้ คนส่วนใหญ่จึงต้องเชื่อตามเขาว่า ไม่ได้รู้ชัดด้วยปัญญาของตนเอง โยมก็โง่อยู่ร่ำไป”

http://www.cybervanaram.net/images/stories/news/sawan02.jpg

ครั้งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษคำถามอย่าเดียวกันก็ย้อนกลับมาหาหลวงพ่ออีก โยมสตรีชาวอังกฤษเข้ามาถามหลวงพ่อว่า “คนตายแล้วไปไหน” หลวงมองหน้านิดหนึ่งแล้วก้มลงเป่าเทียนที่กำลังสว่างไสวอยู่ตรงหน้า เปลวไฟดับทันทีเหลือแต่ควันที่กำลังลอยอ้อยอิ่ง พลันหลวงพ่อยิ้มที่มุมปากเอ่ยถามแหม่มคนนั้นว่า “เทียนดับแล้วไปไหน” แหม่มงุนงงหาคำตอบไม่ทันจึงได้แต่นั่งนิ่ง
หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “พอใจคำตอบหรือยัง” แหม่มจึงได้สติตอบอย่างเสียงกระด้างว่า “ไม่พอใจ” หลวงพ่อปิดการสนทนาด้วยประโยคที่คนฟังต้องหนาวสะท้านถึงขั้วหัวใจว่า “เราก็ไม่พอใจคำถามของเธอเหมือนกัน” ต่อมาที่ประเทศอังกฤษก็ได้มีวัดไทยเกิดขึ้น นัยว่าเป็นวัดไทยในยุคแรกที่เกิดขึ้นยุโรป ทั้งๆที่ตอนนั้นหลวงพ่อชา สุภัทโท พูดภาษาอังกฤษได้เพียงสามคำ



พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
24/02/53

credit : http://cybervanaram.net/index.php?option=com_content&view=article&id=41:2010-02-23-09-36-22&catid=5:2009-12-17-14-44-06&Itemid=21

ใครที่ดูไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็นหลักสอนธรรมนะครับตอนลึกซึ้งถึงจะเข้าใจ :eek:

ขอบคุณความรู้อีกหนึ่งทางจากท่าน TunDevil


เอาตามความคิดผมนะ ออกแนวคริสสากล

ร่างกายที่ประกอบไปด้วยสสารเลือดเนื้อเมื่อตายแล้วย่อมสลายไปกับธุรี

ความตายมันก็แค่เหมือนเราหลับ(ลึก ไม่ฝันไม่ตื่น) มันไม่มีชาตินี้หรือชาติหน้าไหนหรอกนะ

ก็เพียงว่าคุณก็แค่หายไปจากโลกแค่นั้นเอง



แต่ถ้าตามหลักพุทธศาสนา

วิญญาณก็คือก้อนพลังงาน หากตาย วิญญาณยังคงผูกพันธ์กับโลกจึงทำให้มีคนเห็นผีอย่างทุกวันนี้

หรือบางที ก็ตายแบบไม่รู้ตัวและนึกว่าตัวเองยังไม่ตาย จึงเรียกว่า สัมพเวศี

ไม่รู้ผมอธิบายถูกหรือเปล่านะ แต่หลายๆคนอาจไม่กลัวตาย แต่ส่วนมากจะกลัวว่าตายไปไหนแค่นั้นเอง



http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif




ปล.ถ้าอยากรู้ก็ลองตายดูสิ http://www.thekop.in.th/modules/Forums/images/smiles/icon_twisted.gif

Z€l2oN€
19th December 2011, 03:41
ตายแล้วไปที่ชอบที่ชอบครับ ถ้าไปที่ไม่ชอบก็คงกลับกันมาระนาวแล้วละครับ :pleasantry

thanakom03
19th December 2011, 07:17
คนเรากลัวสิ่งตัวเองทำผิด แล้วมีผลต่อการกระทำของเรา
ตายแล้วไปไหน นรก สิ ผมเชื่อ

miniboss
19th December 2011, 17:41
สรุปตายแล้วไปไหน:sweat

duchyzaza
19th December 2011, 17:46
สรุปตายแล้วไปไหน:sweat

อื้ม ใช่ตายเเล้วไปไหน ?

zalnw445
19th December 2011, 17:48
สรุปตายแล้วไปไหน:sweat

สรุปตายแล้ว ไปเผาครับ

แต่ไม่่รู้ว่าวิญญาณไปไหน :pleasantry

HelloGhost
19th December 2011, 17:52
อื้ม ใช่ตายเเล้วไปไหน ?

อยากไปไหนก็ไปคับ:declare

Tundevil
19th December 2011, 17:58
เอาตามความคิดผมนะ ออกแนวคริสสากล

ร่างกายที่ประกอบไปด้วยสสารเลือดเนื้อเมื่อตายแล้วย่อมสลายไปกับธุรี

ความตายมันก็แค่เหมือนเราหลับ(ลึก ไม่ฝันไม่ตื่น) มันไม่มีชาตินี้หรือชาติหน้าไหนหรอกนะ

ก็เพียงว่าคุณก็แค่หายไปจากโลกแค่นั้นเอง



แต่ถ้าตามหลักพุทธศาสนา

วิญญาณก็คือก้อนพลังงาน หากตาย วิญญาณยังคงผูกพันธ์กับโลกจึงทำให้มีคนเห็นผีอย่างทุกวันนี้

หรือบางที ก็ตายแบบไม่รู้ตัวและนึกว่าตัวเองยังไม่ตาย จึงเรียกว่า สัมพเวศี

ไม่รู้ผมอธิบายถูกหรือเปล่านะ แต่หลายๆคนอาจไม่กลัวตาย แต่ส่วนมากจะกลัวว่าตายไปไหนแค่นั้นเอง



http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif




ปล.ถ้าอยากรู้ก็ลองตายดูสิ http://www.thekop.in.th/modules/Forums/images/smiles/icon_twisted.gif

Innes
19th December 2011, 18:24
อ่านแล้วก็งง แต่ก็ชอบนะ

mindska1993
19th December 2011, 18:54
เอาตามความคิดผมนะ ออกแนวคริสสากล

ร่างกายที่ประกอบไปด้วยสสารเลือดเนื้อเมื่อตายแล้วย่อมสลายไปกับธุรี

ความตายมันก็แค่เหมือนเราหลับ(ลึก ไม่ฝันไม่ตื่น) มันไม่มีชาตินี้หรือชาติหน้าไหนหรอกนะ

ก็เพียงว่าคุณก็แค่หายไปจากโลกแค่นั้นเอง



แต่ถ้าตามหลักพุทธศาสนา

วิญญาณก็คือก้อนพลังงาน หากตาย วิญญาณยังคงผูกพันธ์กับโลกจึงทำให้มีคนเห็นผีอย่างทุกวันนี้

หรือบางที ก็ตายแบบไม่รู้ตัวและนึกว่าตัวเองยังไม่ตาย จึงเรียกว่า สัมพเวศี

ไม่รู้ผมอธิบายถูกหรือเปล่านะ แต่หลายๆคนอาจไม่กลัวตาย แต่ส่วนมากจะกลัวว่าตายไปไหนแค่นั้นเอง



http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif http://www.deeja.net/images/emoticon/onion-head/onion-head-emoticon-60.gif




ปล.ถ้าอยากรู้ก็ลองตายดูสิ http://www.thekop.in.th/modules/Forums/images/smiles/icon_twisted.gif

คิดแบบแรกอ่า

แต่ถ้าตามศาสนาจริงๆนะ

ศาสนาคริสตายแล้วก็ไม่ตกนรกอ่ะดิ(ไปเฝ้าพระเจ้า)

Type-7442
19th December 2011, 18:54
ไม่มีอะไรมาก เมื่อ รูปขันธ์ดับสลายไปด้วยปัจจัยที่เป็นข้าศึก

วิญญาณก็ไม่มีที่อยู่อาศัย เมื่อวิญญาณดับไป เวทนา สัญญา สังขาร ก็จะไม่มีวิญญาณเข้าไปเป็นตัวรู้

แต่ผมไม่ค่อยสนหรอก

หลวงปู่ดูลย์เคยบอกประมาณว่าว่า เรื่องพวกนี้รู้ไปก็ไม่ใช่เหตุแห่งสิ้นทุกข์ ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงไม่ต้องสงสัยในโลกหน้า ควรอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด
ผมคิดว่าสิ่งที่เราควรรู้และปฏิบัติคือ โภชชงค์ 7 , มรรค 8 , สติปัฏฐาน 4 มากกว่านะ

kaslnosa
19th December 2011, 19:35
เค้า ก็ คง ไป สบาย แล้ว ละ ถ้า ไม่ สบาย เค้า ก็ คง กลับ มา กัน หมด แล้ว 555+ :rofl

natchakrit0
19th December 2011, 19:43
อยากรู้แค่ตายเมื่อไหร่