PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ตำนานลี้ลับและเรื่องที่น่าสนใจของโลก



siamzone
20th July 2011, 17:24
แวมไพร์

ตำนานแวมไพร์มีมานานนับเป็นพันๆ ปี เรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ก็คงจะได้ แวมไพร์มิ ได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติต่างๆ ทั่วโลกต่างก็มีแวมไพร์ในแบบฉบับของ ตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย แบบ ที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกัน ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลาย พันธุ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก อิทธิพลของหนังสือและภาพยนตร์ ซึ่งร้อยทั้ง ร้อย ล้วนมาจากยุโรปและอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของตำนานแวมไพร์มาจากตะวันออกไกลครับ มัน กระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน - ธิเบต - อินเดีย - ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่าทางสายไหมเข้าสู่แถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตำนานนี้กระจายไปทั่วประเทศแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอลข่าน รวมไปถึงฮังการี และดินแดนที่เราคุ้นเคยกัน …ทรานซิลวาเนีย
ปัจจุบัน แวมไพร์ในความนึกคิดของเรามักจะเป็นไปในแนวของ ปีศาจดูดเลือด, ผู้ที่ฟื้นคืนชีพจาก ความตาย, ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้… คุณสมบัติพวกนี้เป็นแวม ไพร์ของยุโรป และในหนังผีครับ จริงๆ แล้วแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละ พื้นที่ เรามาดูกันดีกว่าว่า แวมไพร์ของแต่ละชนชาตินั้นเป็นอย่างไร

SLAVIC VAMPIRES
ชาวสลาฟเป็นชาติที่ร่ำรวยเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนนี้กิน พื้นที่ตั้งแต่ รัสเซีย บุลแกเรีย เซอร์เบียร์ จนกระทั่งถึงโปแลนด์ ความเชื่อพวกนี้ฝังรกรากมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 8 แน่ะครับ แหล่งชุมนุมแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ เมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดน ต่อกันระหว่างประเทศฮังการีกับโรมาเนีย คำว่าแวมไพร์ก็มาจากภาษาของพวกเขานี่แหละครับ แวมไพร์ พวกนี้จะมีเล็บมือและผมที่ทั้งยาวทั้งสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธี การปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟก็คือจับทำบาร์บีคิวครับ เผาทั้งเป็นเลย หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้มา จากโบสถ์ใส่พวกมันก็ได้

ROMANIA
เนื่องจากโรมาเนียถูกแวดล้อมไปด้วยประเทศของชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวม ไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางแวมไพร์เชื้อสายสลาฟนิดๆ ภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้น เรียก แวมไพร์ว่า Strigoi ครับ อาจจะหมายถึง นกฮูกแก่ๆ หรือปีศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วย กัน Strigoi ส่วนมากคือพวกผู้ใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า Strigoi พวกนี้จะถอด วิญญาณออกจากร่างไปเพื่อชุมนุมกันในคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ออกตระเวนดูดเลือด ซึ่งส่วน ใหญ่จะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านใกล้เคียง คนที่เกิดมาโดยมีสัญญลักษณ์ของปีศาจ (มีหาง เขี้ยวงอก ขนดกรุงรัง) หรือคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีรับศีล พวก นี้มีสิทธิจะเป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั่นแหละครับ แวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถวนั้นเวลาท้องพวกเธอต้องกินเกลือครับ เพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิเป็นแวมไพร์ชัวร์ๆ คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่ เกี่ยวพันกับเรื่องของแวมไพร์อย่างใกล้ชิดครับ คิดว่าเราๆ ท่านๆ ก็คงคุ้นเคยกัน นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์ หมาป่านั่นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดี จะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวง อาทิตย์ จนสามารถกลายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้แต่หมูได้ สิ่งกลายพันธุ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเค้า เรียก Lycanthropy ครับ ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆ กับแวมไพร์เลยทีเดียว ว่ากันว่าแวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมาบนพื้นโลกเมื่อถึงเวลาอันควร มันมีใบหน้าที่ซีดเซียว ลม หายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่ สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่าศพยังอยู่ หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้ครับ ถ้าเป็นเด็กก็สามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีถึงจะเปิดสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆ กันทุกที่เลยครับ กล่าวคือ เมื่อ ชาวโรมาเนียพบหรือสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ จะโดนจับเอากระเทียมยัดจนเต็มปากแล้วเอามาเผาไฟ หลุมศพใดที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งพำนักกายของแวมไพร์ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้า ถูกแจ็คพอทเจอแวมไพร์ โลงนั้นจะมีไฟลุกพรึ่บดูสวยงามทีเดียวเชียวครับ

GYPSIES AND VAMPIRES
สำหรับคอหนังแล้ว ยิปซีดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังผีดูดเลือดเลยจริงๆ เรียกได้ว่าเป็น ดารารับเชิญมันทุกเรื่องไป ในตำนานก็เช่นกันครับ ยิปซีมีบทบาทกับแวมไพร์อย่างใกล้ชิด วรรณกรรม ชื่อดังของ บราม สโตเกอร์ ที่ชื่อ"แดร็คคิวล่า"นั้น ก็ได้กล่าวถึงสาวยิปซีที่คอยดูแลโลงของแดร็คคิวล่า อย่างจงรัก ในความเป็นจริง ชาวยิปซีมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียทางตอนเหนือ และอพยพย้ายถิ่นฐาน เรื่อยมาจนเข้ามาถึงยุโรปราวๆ ศตวรรษที่ 14 ไล่เลี่ยกันกับการถือกำเนิดของจอมทรราชย์ วลาด แดร็คคิว ล่าครับ ความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรมอันเร้นลับของชาวยิปซีมีอิทธิพลกับยุโรปในตอนนั้นไม่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย ไม่นานนัก ตำนานต่างๆ ที่เล่าขานกันมาในหมู่ ยิปซีก็ถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าของยุโรปแถบโรมาเนียและตุรกี แน่นอน เรื่องเหล่านี้รวม เรื่องแวมไพร์เข้าไปด้วย บ้านเดิมของเหล่ายิปซี อินเดีย แหล่งรวมแห่งปรัชญาตะวันออก ที่นี่มีเรื่องเล่า ลือและตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายแวมไพร์อยู่มากมาย เป็นต้นว่าภูต(Bhuta) วิญญาณของคนที่ตายแบบ ผิดปกติชนิดวิญญาณยังสิงสู่อยู่ในร่าง ภูตเหล่านี้จะเดินท่อมๆ ไปตามถนนสายเปลี่ยวในยามค่ำคืน คอย ทำร้ายและดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียเห็นจะได้แก่ Kali หรือ เจ้าแม่กาลีนั่นเอง นางนับเป็นภาคหนึ่งของพระแม่ทุรคา กาลีมีรูปร่างที่ดุร้าย สวมสายสังวาลย์ที่ทำจาก หัวกะโหลก เจ้าแม่กาลีนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวของยิปซีแวมไพร์ เพราะความเชื่อและศรัทธาใน ตัวพระนางยังติดอยู่กับชาวยิปซีแม้ว่าพวกเขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลย้ายรกรากมานับร้อยๆ ปีแล้วก็ตาม นามของกาลีจะเปลี่ยนไปตามการเรียกของยิปซีแต่ละสาย แวมไพร์ของชาวยิปซีมีอยู่ตัวหนึ่งชื่อมุลโล ครับ มีพฤติกรรมที่น่าสนใจเอามากๆ อันว่าเจ้ามุลโลนี้ส่วนมากจะเป็นประเภทผีล้างแค้น กลับมาจาก ความตายเพื่อทวงหนี้จากศัตรูคู่แค้นด้วยการสูบเลือดเป็นอาหาร แวมไพร์ที่เป็นผู้หญิงยิ่งน่ากลัวใหญ่ เลยครับ แวมไพร์พวกนี้สามารถมีชีวิตอย่างคนธรรมดาและดำรงชีพด้วยการกินเรี่ยวแรงสามีจนทำให้ พวกเขากระปลกกระเปลี้ย แวมไพร์ของยิปซีนั้นไม่ได้มีแค่คนตายเท่านั้น สัตว์เลี้ยงหรือผักผลไม้ก็เป็น แวมไพร์ได้ทั้งนั้น ฟักทองและแตงกวาที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านนานๆ โดยไม่มีใครกินนี่ก็ด้วย วันดีคืนดีมันจะ เคลื่อนไหวได้เอง ส่งเสียงอึกทึกและมีเลือดหยดไหลออกมาเป็นทางดูน่าสยดสยองมาก

ค้างคาว
หลายครั้งหลายคราวที่มีการพาดพิงถึงแวมไพร์ สมาชิกกิตติมศักดิ์ที่มักจะโดนลากเข้ามามีเอี่ยว ด้วยก็คือค้างคาว ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ได้ว่าแวมไพร์กับค้างคาวเกี่ยวข้องกันยังไง แต่ กระนั้นตำนานของแวมไพร์และค้างคาวก็ยังมีคู่กันแบบแยกไม่ออกเหมือนกาแฟกับคอฟฟี่เมทนั่นเชียว ตำนานของค้างคาวมีมากมายกระจัดกระจายไปทุกซีกโลก ในแอฟริกาใต้ มีเรื่องเล่าของคามาโซตซ์ เจ้าแห่งค้างคาวที่อาศัยในถ้ำยักษ์ใต้พิภพ ในยุโรปเองค้างคาวและนกเค้าแมวมักจะถูกโยงใยเข้ากับ เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยๆ นั่นคงเป็น เพราะเสียงของมัน ฟังดูน่ากลัว และ พบเห็นได้เฉพาะ ตอนกลางคืน มนุษย์เรากลัวความมืดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่ครับ เลยจับเอานกเค้าแมวและค้างคาวเหมา รวมเข้าไปกับผู้ที่ชอบหลบเร้นในความมืด(ก็ผะ-อี๋ น่ะแหละ)ซะเลย อีกสาเหตุหนึ่งที่ค้างคาวเข้ามายุ่ง เกี่ยวกับตำนานแวมไพร์น่าจะมาจากพฤติกรรมของมัน มีค้างคาวอยู่สามสปีชี่ส์ที่ดูดเลือดของสัตว์อื่นกิน เป็นอาหาร ถิ่นฐานของพวกมันอยู่ในทวีปแอฟริกาครับ เจ้าค้างคาวพวกนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับ ทหารสเปนในยุคล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงยุโรป ตำนานของค้างคาวดูดเลือดยิ่งถูก เติมสีใส่ไข่ให้น่าฟังโดยเหล่ากลาสี ค้างคาวเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์ไปด้วยประการฉะนี้ แถมนับว่าความเชื่อนี้ก็มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งนักเขียนใหญ่อย่าง แบรม สโตเกอร์ กับ มัล คอม ไรห์เมอร์ก็ยังเอากับเขาด้วยเลยนี่ครับ

โรคตื่นแวมไพร์ในศตวรรษที่ 18
ตำนานแวมไพร์เป็นที่คุ้นเคยกับซีกโลกต่างๆ มานมนาน แต่เชื่อมั้ยครับว่าอังกฤษเพิ่งรู้จักแวม ไพร์เอาเมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ช่วงนั้นโรคกลัวแวมไพร์ระบาดหนักในยุโรปตะวันออกลามมาถึงอังกฤษ ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันมาก ขนาดเดินไปไหนมาไหนยังต้องมีพวงกระเทียมแขวนคอไปด้วย มีการโต้ เถียงกันระหว่างกลุ่มผู้นำว่าเรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ และควรใช้นโยบายใดทำให้บ้านเมืองสงบลง สมัยนั้นการสื่อสารยังไม่เจริญนัก แต่ก็น่าแปลกที่ข่าวลือกระจายข้ามประเทศอย่างรวดเร็ว บางเรื่องก็เป็น ตลกร้ายที่เหลือเชื่อเอามากๆ เช่นกองทัพแวมไพร์บุกเข้าพระราชวังในฮังการีเล่นงานจนทหารและคน ในวังเป็นแวมไพร์กันหมด แม้แต่ข่าวที่ว่าพระราชวังเครมลินเต็มไปด้วยแวมไพร์ก็ยังมีออกมา ของแถม ที่มากับข่าวลือก็คือการออกล่าแวมไพร์ มีคนถูกย่างสดไม่เว้นแต่ละวันในข้อหาเป็นแวมไพร์ หลายราย ถูกทรมานอย่างทารุณก่อนเอาลิ่มตอกอก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวแวมไพร์ของชาวยุโรปได้ เป็นอย่างดี ไม่ว่าแวมไพร์จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ตำนานของแวมไพร์ก็ถูกจารึกในประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย
ที่มา : ตำนานแวมไพร์

สามเหลี่ยมเมอร์มิวด้า

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) ดินแดนต้องคำสาปที่ชาวโลกต่างยกให้เป็น
ที่หนึ่งในเรื่องความเร้นลับและอาถรรพ์ พื้นที่ตั้งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม
ในทะเลซึ่งมีเนื้อที่ 1.5 ล้านตารางไมล์ ซึ่งอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปถึงตอนใต้ของฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออก ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้งผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโกจากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวด้าทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและเป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เร้นลับขึ้น

ปรากฏการณ์ลึกลับและเหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึง
ปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ได้กลืนกินเครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรอีกจำ
นวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้นล้วนหายไปในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอยหรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นเลยและมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อไปโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ชนชาติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างพยายามดำเนินการค้นคว้าหาสาเหตุแห่ง
ปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ มันคือสิ่งท้าทายความสามารถของมนุษย์ที่สุด ในการที่จะแก้ปมปริศนา นักวิชาการต่างเสนอทฤษฎีต่างๆ บ้างก็ว่าเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ

และอีกทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเพราะสามารถอธิบายสาเหตุของการสูญหายของเรือและเครื่องบินได้อย่างค่อนข้างครอบคลุม นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่าบริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแก็สมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates) ซึ่งในบางครั้งแรงดันของแหล่งแก็สเหล่านี้จะมีมากจนดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกขึ้นมา มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน จึงไม่แปลกหากปรากฏการณ์นี้จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆ กันได้ในพริบตา

มีเธนไฮเดรทนี้สามารถรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ทำให้วิทยุสื่อสารตลอดจนเรดาร์หมด
ประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนกลุ่มควันความร้อนที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา เพราะเคยมีการจำลองปรากฏการณ์นี้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกามาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่พอใจกับคำตอบนี้แต่ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่ยังรอให้เราพิสูจน์ อย่างเช่น มีคนพบเห็นสัตว์ยักษ์ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจำนวนมาก มีตั้งแต่ปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต ไปจนถึงตัวอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนมังกรทะเล บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ มีนักเดินเรือหรือนักบิน มักพบเห็นUFO บ่อยเป็นพิเศษ บางครั้งสถานีเรด้าชายฝั่งก็จับสัณญาณวัตถุลึกลับได้
ส่วนประเด็นสุดท้ายก็คือ มิติที่ 4 การที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่า
เครื่องบินเหล่านั้นได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น การเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติคือการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้งมันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบันและผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางกลับสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย

ทุกวันนี้สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ายังคงเป็นดินแดนมรณะที่มีปริศนามากมายที่มนุษย์ยังหาคำตอบแท้จริงไม่ได้ ส่วนทฤษฎีต่างๆ ที่กล่าวมา ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการและวิทยาศาสตร์เท่านั้น เมื่อใดที่เราได้ล่วงล้ำเข้าอาณาเขตแห่งนี้ เราคงพบคำตอบที่จริงแท้หรือไม่ก็หายไปจากโลกใบนี้ตลอดกาล

แอตแลนติส ดินแดนที่สาบสูญ



"แอตแลนติส" นครที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นเรื่องที่เล่ากัน มานานหลายพันปีมาแล้วว่า ครั้งนั้นแอตแลนติสเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยและมีวัฒนธรรมสูง ส่ง แต่จู่ๆ มหาสมุทร ก็กลืนแอตแลนติสลงไป และมีผู้พยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติสหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ มหานครแห่งนี้จึงยังคงความลึกลับอยู่ต่อไป
รูปภาพ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กูเกิ้ลเปิดตัว "กูเกิ้ลโอเชี่ยน" ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความหวังว่า อาจใช้ "กูเกิ้ลโอเชี่ยน" นี้ค้นหาแอตแลนติสได้ โดยพื้นที่สงสัยนั้นอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศโมร็อกโก ทวีปแอฟริกา ราว 600 ไมล์และอยู่ลึกใต้ระดับน้ำทะเลไม่ต่ำกว่า 3 ไมล์ พื้นที่นี้เรียกว่า "แอ่งคานารี่"
รูปภาพ
จากภาพที่เห็นพบว่า มีลายเส้นเป็นรูปเหมือนกับถนนหนทาง กินอาณาบริเวณเท่ากับแคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ แต่ที่จริงแล้ว ลาย เส้นเป็นลายเส้นเทียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำแผนที่ โดยแผนที่นี้ได้มาจากการตรวจวัดด้วยเครื่องโซนาร์ของพื้นทะเลและบันทึกโดยเรือ ลายเส้นนี้จึงเป็นทางเดินเรือที่รวบรวมข้อมูลมาให้

ดร.ชาร์ลส์ ออร์เซอร์ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสเตต สหรัฐอเมริกา มีความเห็นว่า "มีความเป็นไปได้สูงที่พื้นที่แห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส และแม้ว่าจะไม่ใช่แอตแลนติส เป็นเพียงแค่สภาพภูมิศาสตร์ แต่เราก็ควรไปสำรวจอยู่ดี



แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโตนักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก

กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีปๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจ และสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศ ด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา คำว่า แอตแลนติส มาจากแอตลาสบุตรของโพไซดอน แอตแลนติสอาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักประดาน้ำบางคนพบขุมทองบริเวณนั้นนั่นเอง

เพลโตนักปราชญ์ชาวกรีกเขียนไว้เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งยุคของเพลโต ห่างจากยุคของแอตแลนติสราว 9,000 ปี เพลโตเขียนถึงแอตแลนติสในหนังสือที่ชื่อว่า ทิเมอุส และ ครีทีแอซ โดยอ้างว่า โซลอน รัฐบุรุษคนหนึ่งของกรีกราวยุค 600 ปีก่อนคริสตกาล เป็นผู้นำมาเผยแพร่หลังจากรับทราบเรื่องราวของแอตแลนติสจากนักบวชชาวอียิปต์ท่านหนึ่ง

มีการกล่าวว่า อารยธรรมโบราณหลายๆ แห่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ รวมถึงบรรดาวัฒนธรรมเมโสโปเตเมียทั้งหลาย ไปจนถึงวัฒนธรรมโบราณของชนเผ่าอินคามายา และแอซแต็กในแถบอเมริกากลาง รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่มหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นสโตนเฮ้นจ์ หรือปิรามิดในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ต่างก็เป็นมรดกจากชาวแอตแลนติสทั้งสิ้น

[แก้] ทฤษฎีแอนตาร์กติกาคือแอตแลนติส

ในหนังสือ แอตแลนติส ดินแดนที่สาบสูญ ได้ระบุไว้ว่า ทวีปแอนตาร์กติกา มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นดินแดนที่ตั้งของนครแอตแลนติส เนื่องจากมีการกล่าวไว้ว่า แอตแลนติส เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร และผืนแผ่นดิน ซึ่งเมื่อ 12,000 กว่าปีก่อน บริเวณช่องแคบแบริ่ง เคยเกิดทางเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปอเมริกาเหนือทวีปแอฟริกาและเอเชียเคยเชื่อมต่อกันมาก่อนที่จะขุดคลองสุเอซขึ้น และก่อนที่จะมีการสำรวจทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ทวีปทั้งสองเคยเชื่อมต่อกัน ก่อนที่ชาวสเปนจะทำการขุดคลองปานามา ทำให้ทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็น "เกาะสีขาวกลางมหาสมุทร" อันเป็นแอตแลนติสนั่นเอง[1]

ช่วงเวลาที่แอตแลนติสล่มสลาย คือประมาณ 12,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย ซึ่งในช่วงนั้น แกนโลกเอียงไปมาก ทำให้แอนตาร์กติกาเล็ก (ดินแดนขนาดใหญ่ที่ถูกกั้นจากแอนตาร์กติกาใหญ่ด้วยเทือกเขาทรานส์แอนตาร์กติกา) ตอนนั้นยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุม ด้านตรงข้าม บริเวณมหาสมุทรอาร์คติก ก็ยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุม แต่บริเวณตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และแอนตาร์กติกาใหญ่นั้น กลับมีน้ำแข็งปกคลุม จึงเชื่อว่า แอนตาร์กติกาเล็กคือที่ตั้งของแอตแลนติส

คำบอกเล่าของนักบวชอียิปต์ ได้กล่าวถึงร่องรอยของแอตแลนติส ไว้ 16 ประการ แต่ย่อได้ 5 ประการ ดังนี้

ตั้งอยู่ในที่ราบใหญ่
อยู่ใกล้มหาสมุทร
อยู่กึ่งกลางระหว่างระยะทางที่ไกลที่สุดระหว่างทวีป
มุ่งตรงไปยังเกาะ
ล้อมรอบด้วยภูเขา

ซึ่งบริเวณแอนตาร์กติกาเล็ก เมื่อ 12,000 ปีก่อน มีที่ราบถ้าลากจากกึ่งกลางทวีป ไปยังเกาะ จะเป็นเส้นที่ยาวที่สุด มีภูเขาอยู่อีกด้านของแอนตาร์กติกาเล็ก ดังนั้น แอตแลนติสจะต้องอยู่ระหว่างแอนตาร์กติกาเล็กกับเกาะๆ นั้น ซึ่งอยู่ระหว่างแหลมกู๊ดโฮกับแหลมแอนตาร์กติก











ทองคำ

ทองคำนับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่มีความพิเศษ มีพลัง ทรงอำนาจอยู่ในตัวเอง เป็นแร่ธาตุที่เป็นสากล เป็นยอดปรารถนาสำหรับทุกผู้คน เสริมอำนาจ วาสนา บารมีให้แก่ผู้ที่มีและครอบครอง เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง และบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ สามารถช่วยชีวิตให้รอดในยามขัดสนลำบาก สามารถพลิกฐานะทางคมได้ในคราวที่เศรษฐกิจผันผวน ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น แต่อาจจะเป็นภัยสำหรับผู้ที่ครอบครองมันได้เช่นกัน เช่นบางประเทศล่มสลายเพราะถูกล่าเป็นอาณานิยมเนื่องด้วยอุดมไปด้วยทองคำ หรือบางคนถูกฆ่าปล้นชิงทอง ทุกอย่างล้วนมีสองด้านเสมอ

คุณสมบัติของทองคำ

มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด

การเกิดของแร่ทองคำ

สรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้

แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ

ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ

งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตาม
หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์(31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน

มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร

ทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี (Chemicalinactive) ได้ง่าย จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ (Oxidide) แต่มีปฏิกิริยากับคลอรีนฟลูออรีน น้ำประสานทอง






เพชร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



เพชร

เพชรดิบ

เพชร เป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน จัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้า เป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ (Moh's scale) มีค่าความแข็งเท่ากับ 10

เพชรมีหลายสี สีที่นิยมที่สุดคือสีขาวบริสุทธิ์ สีที่หายากคือสีแดง ฟ้า เขียว ส้ม ชมพู เรียก "แฟนซีไดมอนด์" มีราคาสูงมาก การเจียระไนเป็น 52 เหลี่ยมนับว่าสวยที่สุด เพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความแข็งแกร่ง แหล่งของเพชรมีอยู่ทั่วโลก ส่วนมากพบที่บราซิลและแอฟริกาใต้ แต่แหล่งเจียระไนเพชรพลอยเก่าแก่ที่สุดคือประเทศอินเดีย


ที่มาของชื่อ

คำว่า เพชร ในภาษาไทย มาจาก वज्र (วชฺร) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง สายฟ้า หรืออัญมณีชนิดนี้ก็ได้ ส่วนในภาษาอังกฤษ "diamond" มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ αδάμας (adamas) ซึ่งมีความหมายว่า ไม่มีใครชนะได้ ภายหลังได้แผลงเป็น adamant, diamaunt, diamant และ diamond ในที่สุด

หลักสากล 4Cs

การจำแนกระดับต่างๆของเพชรให้ดูถึงความบริสุทธิ์ที่เพชรมี ในหลักสากล สามารถแบ่งออกเป็น 4Cs ใหญ่ๆ ด้วยกันคือ Clarity (ความบริสุทธิ์) , Carat (น้ำหนักเพชรเทียบเป็นกะรัต) , Color (สีของเพชร) และสุดท้าย Cut (รูปแบบและทรงการเจียระไน)

ระดับความบริสุทธิ์ (Clarity)

การจำแนกความบริสุทธิ์ของเพชร สามารถจำแนกได้ตามหลักสากล ดังนี้

1.Flawless (FL) - เป็นเพชรชั้นยอดน้ำงามที่สุด ไม่มีตำหนิหรือมลทินใดๆในทั้งเนื้อเพชรและผิวของเพชร เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า (10X)

2.Internal Flawless (IF) - เป็นเพชรชั้นยอดที่ไม่มีตำหนิภายในเนื้อเพชรเลย เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า (10X)

3.Very Very Small Inclusion (VVS1 / VVS2) - เป็นระดับของเพชรที่มีมลทินในเนื้อเพชรให้เห็นได้น้อยมากๆ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า ส่องจึงเห็น และจะต้องใช้เวลาในการค้นหาค่อนข้างนาน แล้วแต่ความชำนาญของผู้ตรวจสอบ จำแนกออกเป็นระดับ 1 และ 2 ตามลำดับ หากตำหนิน้อยมากจะใช้ VVS1 หากตำหนิที่สามารถเห็นได้ชัดมากขึ้นจะใช้ VVS2

4.Very Small Inclusion (VS1 / VS2) - เป็นระดับของเพชรที่มีมลทินในเนื้อเพชรในระดับที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า ส่องจึงเห็น และจะต้องใช้เวลาในการค้นหาสักพัก แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าเพชรความสะอาดระดับ VVS ตำหนิและมลทินสามารถเห็นได้ชัดเจนมากกว่าระดับ VVS และอาจมีสีต่างๆในเนื้อของมลทินที่สามารถมองเห็นได้

5.Small Inclusion (SI1 / SI2) - เป็นระดับของมลทินที่สามารถมองเห็นได้ทันทีภายใต้กล้องกำลังขยาย 10 เท่าและบางกรณีสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะมีขนาดที่เล็กอาจจะต้องสังเกต หรือใช้กระดาษขาวทาบและมองกับแสงไฟจึงเห็นชัดขึ้น ในระดับสายตาของผู้ยังไม่ชำนาญการ จะต้องใช้เวลานานในการสังเกต

6.Inclusion (I1 / I2 / I3) - เป็นระดับมลทินที่สามารถสังเกตด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะมีเยอะมาก จนทำให้สังเกตได้เยอะ

กะรัต (Carat)

น้ำหนักซึ่งเป็นมาตรฐานในการวัดน้ำหนักของอัญมณี ซึ่งเทียบกับมาตราเมตริกได้ 0.2 กรัม ทั้งนี้ มาตรน้ำหนักกะรัตนี้ สามารถวัดระดับความบริสุทธิ์ของทองคำได้อีกด้วย ซึ่งทองคำ 24 กะรัตมีค่าความบริสุทธิ์ 100%

ที่มาของคำว่ากะรัต มาจากเมล็ดของผล การัต ซึ่งเมล็ดของผลชนิดนี้จะมีน้ำหนักเท่ากันทุกเมล็ด ซึ่งในสมัยโบราณนิยมใช้กันมาก เพราะไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนในการวัด จึงนำเอาเมล็ดจากผลการัต มาเป็นหน่วยในการวัดน้ำหนักของอัญมณี

สี (Color)

การจำแนกเฉดสีของเพชร สามารถเรียงจาก D ไปจนถึง Z ซึ่งหากแทนด้วยอักษร D จะหมายถึง มีความขาวใส มากที่สุด ซึ่งบางครั้งคนไทยจะเรียกว่า "น้ำ" เพชรน้ำยิ่งสูงก็จะยิ่งขาวและไม่มีสีเหลืองเจือปน เพชรระดับไร้สี (Coloress) ได้แก่ เพชรน้ำ 100, 99, 98 หรือ เพชรสี D,E,F จะหายากและมีราคาสูงสุด ส่วนเฉดสีอื่นๆ จะไล่ไปเรื่อยๆเช่น สีนวลอ่อน อาจจะแทนด้วยอักษร G สีเหลืองแชมเปญ จะไล่ลงไปเป็น L เหลืองเข้ม จะใช้แทนด้วย P จนกระทั่งไปถึงตัวอักษร Z ที่จะเป็นสีเหลืองสด และถูกแยกออกเป็นเฉดสีเพชรแฟนซี

การจำแนกสีของเพชร จะแยกเฉพาะโทนสี ขาว และเหลืองเท่านั้น หากแยกออกไปจากนี้จะเป็นรูปแบบเพชรแฟนซี ซึ่งจะมีสีสันสดใสและแปลกตาออกไป

เหตุที่แยกโทนสีเฉพาะสีเหลืองเพราะว่า คาร์บอนในตัวของเพชร เมื่อได้รับความร้อนหรือสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ จะทำให้เพชรมีสีแตกต่างออกไป เช่นเพชรสีเหลืองมีธาตุในโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย สีน้ำเงิน อาจมีไทเทเนียมและเหล็กเจือปน หรือสีแดงอาจจะเป็นโครเมียมเจือปน ส่วนเพชรชมพูนั้นเกิดจากโครงสร้างของตัวเพชรเอง ส่วนสีเขียวนั้นเป็นเพชรที่ได้รับรังสี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นเพชรแฟนซี ที่มีสีสันแตกต่างออกไป และราคาแพงมากกว่าสีขาว เนื่องจากหายาก แต่อย่างไรก็ตาม เพชรสีขาวใสสะอาด เป็นที่นิยมมากกว่าเพชรแฟนซี แต่ในปัจจุบันได้มีผู้ผลิต หลายราย นำเพชรสีขาวมาปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้เกิดเป็นเพชรสีแฟนซี ต่างๆ ขึ้น เช่น ทำการอบ การเผา หรือการฉายรังสี ทำให้เกิดสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีเหลือง และสีฟ้า เป็นต้น

ปัจจุบันแม้เพชรเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ ระบุรายละเอียดได้ชัดเจน มีใบรับรองอย่างเป็นมาตรฐาน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เรื่องนี้ และสามารถระบุมูลค่าที่แน่นอนของเพชรได้ มักจะหาค่าที่แน่นอนไม่ได้อยู่ดี ผู้ที่ได้เปรียบคือนักอัญมณี เจ้าของร้านเพชร หรือผู้ที่ศึกษามาพอสมควรเท่านั้นที่พอจะประเมินตามความเป็นจริงได้ ผู้ที่สนใจจะเป็นเจ้าของนอกจากต้องมีความพร้อมด้านกำลังทรัพย์แล้ว ควรศึกษาหรือปรึกษาผู้รู้ให้ช่วยก่อนที่จะตัดสินใจเล่นอัญมณีชนิดนี้ สิ่งใดก็ตามที่เราเข้าไปอย่างขาดความรู้โอกาสที่เราจะเป็นแค่เหยื่อ จะมีอยู่มาก

และคุณรู้หรือเปล่าว่าที่เพชรเปลี่ยนสถานะจากพลอย หรือหินสีขาวเม็ดเล็กๆ มีความเป็นมาอย่างไร สุดท้ายก็เป็นข้อห้ามที่ไม่ควรเปิดเผยอยู่ดี ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล เป็นการยกย่องเชิดชูในสังคมโลก ซึ่งเราก็ให้ค่ากับทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ก็ควรพอประมาณอย่ายึดติดอะไรมากมายนัก หากจะปรึกษาหรือขอข้อมูลก่อนเล่นก่อนซื้อเพชร บ้านสุทธิรัก ไพ่ยิปซี ยินดีให้คำแนะนำ รวมถึงให้คำปรึกษาในการเลือกอัญมณีและเครื่องประดับ ให้เหมาะกับดวงรวมถึงได้ในราคาที่สมเหตุสมผลด้วย

คำสาปฟาโรห์ การ์ตูนอมตะแฝงความเร้นลับและประวัติศาสตร์

Faro

คำสาปฟาโรห์ (「王家の紋章」, Ouke no Monshou, 王家の紋章) หรือ Daughter of the Nile แปลมาจาก การ์ตูนญี่ปุ่น ของ จิเอโกะ โฮโซคาวะ

คำสาปฟาโรห์ เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้หลายคนชอบเรียนประวัติศาสตร์ หรือใฝ่ฝันจะไปอียิปห์ ด้วยหวังว่า สักวันคงได้หลงเข้าไปเจอกับ เมมฟิส สุดหล่อเหมือนอย่างแครอลบ้าง...

คำสาปฟาโรห์ เป็นการ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ โดยใช้ แครอล เป็นตัวถ่ายทอด เธอได้หลงไปในห้วงอดีต 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช จากความโกรธแค้นของไอซิส ผู้ซึ่งบิดาของแครอลไปรบกวน โดยการไปขุดค้นหลุมศพฟาโรห์ (ไอซิส เป็นพี่สาวฟาโรห์ ซึ่งมีอำนาจปกครองอียิปห์ครึ่งหนึ่ง-ถ้าจำไม่ผิดเป็น อียิปเหนือ / ส่วนฟาโรห์ ปกครองอียิปห์ใต้)

แต่ไอซิส ก็ไม่รู้ว่าผลจากการกระทำ ด้วยความโกรธแค้นของหล่อน จะทำให้ แครอล ได้พบกับ เมมฟิส ฟาโรห์หนุ่ม (สุดหล่อ) แห่งอียิปต์ในยุคนั้น และที่สำคัญ เมมฟิสผู้นี้ เป็นน้องชายผู้ที่ไอซิสหลงรักอยู่ด้วย (เป็นงัยล่ะ ความโกรธไม่เคยนำพาความเจริญมาสู่ชีวิต)

ด้วย แครอล เป็น นักศึกษาสาวชาวอเมริกัน ผมทอง ผิวขาว นัยน์ตาสีฟ้า แน่นอนหล่ะ เมื่อพลัดหลงมาในยุคอียิปต์โบราณ ผู้คนที่พบเห็นย่อมแตกตื่น เนื่องจากความงามที่แตกต่างของเธอ ซึ่งก็รวมถึงฟาโรห์เมมฟิสของเราด้วย

และเนื่องจากเธอมาจากอนาคต จึงมีความรู้ด้านวิทยาการต่างๆ ที่ก้าวหน้ากว่าคนในยุคนั้น ทำให้ทุกคนต่างทึ่งในความสามารถ และยกย่องให้เธอเป็น "ธิดาแห่งไนล์" (นอกจากนี้ตอนที่เธอพลัดหลงสู่อดีต เธอถูกค้นพบ ในสภาพที่สลบอยู่ที่กอต้นปาปิรุส ริมฝั่งแม่น้ำไนล์)

ด้วยความงาม และความสามารถ ทำให้นามของ "ธิดาแห่งไนล์" เลื่องลือไปทั่ว ทำให้เมมฟิส สุดหล่อของเรามีคู่แข่ง แต่ที่สูสีและดูดีพอๆ กัน ก็เห็นจะเป็น เจ้าชายอิสมิล เมื่อการแบ่งสรรไม่ลงตัว ก็เกิดการรบราแย่งชิงตัว แครอล

ชิงกันไปแย่งกันมา จนล่าสุดจากที่ได้ยินข่าวคราว ของหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ ก็ปาเข้าไป 5 ภาคแล้ว ประมาณครึ่งร้อยเล่มเห็นจะได้ แต่ก็มีข่าวว่า ผู้แต่งเรื่องนี้ ได้เสียชีวิต ไปตั้งแต่ภาคที่ 3 แต่เรื่องราวที่เขียนต่อๆ มา เป็นฝีมือของลูกศิษย์ โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องเดิม ที่ถูกวางไว้แล้ว

สำหรับตอนจบนั้น ว่ากันว่า ในที่สุดพอแครอลก็ได้กลับมาสู่ปัจจุบัน และได้พบกับเมมฟิส ที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เค้าคือ ไรอัน ลินตัน พี่ชายคนโตของแครอล ผู้ที่รักและเป็นห่วงแครอลมากๆ โดยแม่ได้สารภาพกับแครอลว่า "ลูกเอ๋ย ความจริงแล้ว ลูกไม่ใช่ลูกที่แ้ท้จริงของแม่ดอกนะ แม่เก็บเจ้าได้จากริมฝั่งแม่น้ำไนล์"

ตอบจบนี้ ขอสารภาพว่าได้มาจากแหล่งข่าว ยังไม่ได้พิสูจน์อ่านด้วยตาตนเอง หากใครสามารถยืนยันได้ กรุณาแจ้งด่วน

ตัวละครเด่นในเรื่อง

Carol Lido

แครอล ลินตัน (Carol Lido : Rido Karō)
ตัวเอกของเรื่อง เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันจากยุคศตวรรษที่ 22 ผมสีทอง ตาสีฟ้า ผิวขาว เมื่อไปในอดีต ถูกเรียกว่า "ธิดาแห่งไนล์"
(ตัวเดินเรื่อง ที่ไม่รู้จะสวยไปถึงไหน)
Memphis เมมฟิส (Memphis : Menfuisu)
ฟาโรห์หนุ่มรูปงามแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ เมื่อ 3,000 ปีก่อน ผมยาวตรง สีดำ นิสัยใจร้อน ขี้โมโห *****มโหด กล้าหาญ น่าเกรงขาม
(หล่อ คม เข้ม และวัยรุ่นสุดๆ)
Isis ไอซิส (Isis : Aishisu)
เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ พี่สาวของเมมฟิส รูปร่าง หน้าตางดงาม รักเมมฟิสน้องชายแท้ๆของตนเอง เป็นคนพาแครอลไปในอดีต เธอต้องการที่จะฆ่าแครอล เพื่อที่จะเป็นราชินีแห่งอียิปต์
(พาเค้ามาเอง แล้วก็มาโกรธเค้า)
Ishmin อิสมิล (Ishmin : Izumin)
เจ้าชายหนุ่มแห่งอาณาจักรฮิปไทน์โบราณ ผู้เดินทางไปยังเมืองต่างๆ เพื่อศึกษาและสำรวจ เขาตกหลุมรักแครอลตั้งแต่แรกพบ
(ผู้หนึ่งที่มีส่วนทำให้เรื่องยืดยาว)
Ryan ไรอัน ลินตัน (Ryan Lido : Rido Raian)
พี่ชายคนโตของแครอล สุภาพบุรุษที่สุดในโลก หน้าตาเหมือนเมมฟิส จึงทำให้มีคนกล่าวว่าอาจจะเป็นเมมฟิสมาเกิดใหม่
(อาจเป็นอะไรที่ไขปริศนาในตอนจบของเรื่อง)

ผู้แต่ง จิเอโกะ โฮโซคาวะ ที่วางโครงเรื่องไว้น่าติดตามและแยบยล ผูกเรื่องราวระหว่าง โลกประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และจินตนาการ ได้อย่างลงตัว

ขอบคุณ :
wikipedia.org, www.siamcomic.com

เรียบเรียง :
สาวกการ์ตูนตาหวาน



โรม

โรม เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมากมายจากทุกมุมโลก ต่างเดินทางไปกรุงโรม เพื่อชื่นชมกับศิลปะ สถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่ โรมเป็นมหานครที่มีสีสันเฉพาะตัว คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว เมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ ทุกหัวมุมถนน คุณจะต้องทึ่งกับ โบสถ์ต่างๆ สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โต และรูปปั้นโบราณ มากมาย






The Pantheon (แพนธีออน)

Pantheon, แพนธีออน

สร้างขึ้นเมื่อ 27 ปีก่อนคริสตกาลโดย Marcus Agrippa สำหรับ The Pantheon ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในปัจจุบันนั้น ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 2 นอกจากสภาพที่ยังคงไม่ผุพังไปตามกาลเวลาแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ การออกแบบอาคารให้มีความกว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุตเช่นกัน ประตูทางเข้าโลหะสีทองบรอนซ์ที่มีน้ำหนักถึง 20 ตัน และจุดเด่นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การออกแบบโดมด้านบนของอาคารทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งไมเคิลแองเจลโล่เอง ก็ยังทำการศึกษาสถาปัตยกรรมของโดมแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะออกแบบหลังคาโดมของโบสท์ St. Peter's แห่งนครวาติกัน





The Vatican City (นครวาติกัน)
วาติกันได้รับการยอมรับให้เป็นรัฐประเทศ เมื่อปี 1920 โดยมีพระสันตปาปาเป็นประมุขของประเทศ โดยนครวาติกันตั้งอยู่ในใจกลางกรุงโรม รัฐคาธอลิกนี้ได้ชื่อว่าเป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก นอกจากนี้ หากนับกันต่อตารางฟุตแล้ว วาติกันได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกด้วย โดยประชากรก็มีทั้งหมดเพียง 750 คนเท่านั้นเอง
นครวาติกันเป็นที่เก็บรักษาทรัพย์สมบัติอันประเมินค่าไม่ได้มากมาย รวมถึงโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ออกแบบโดยไมเคิลแองเจลโล (Michelangelo) The Sistine Chapel สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาในพระราชวัง รวมถึงภาพวาดประดับผนังที่เป็นผลงานของจิตรกรเอกมากมาย อาทิ Michelangelo, Botticelli และ Perugino เพดานใน The Sistin chapel เอง ก็มีภาพวาดสวยงามหลายภาพ แต่ภาพที่มีได้รับการกล่าวถึงที่สุด มีชื่อว่า The Last Judgement ที่ถูกสร้างสรรขึ้นมาโดย Michelangelo ในปี 1508 และ 1512





The Mouth of Truth (Bocca Della Verita)
Mouth of Truth นี้เป็นแผ่นหินอ่อน ที่มีรูปร่างลักษณะละม้ายคล้ายหน้าคน แขวนไว้อยู่บริเวณทางเข้าของโบสท์ซานตา มาเรีย หินสลัก Mouth of Truth นี้ เคยถูกใช้ให้เป็นเครื่องตัดสินว่าใครพูดโกหกหรือไม่ สมัยนั้นผู้คนเชื่อกันว่า คนพูดปดหรือโกหกปลิ้นปล้น หากวางมือลงที่ปากของ Bocca Della Verita (ปากของหินสลัก) แล้ว มือจะขาดทันที หากคุณกับแฟนไปเที่ยวด้วยกันแล้วหล่ะก็ ว่ากันว่า The Mouth of Truth นี้ เป็นที่พิสูจน์ความรักระหว่างคุณได้อีกแห่งหนึ่งครับ โรแมนติกไหมหล่ะ?

The Trevi Fountain (Fontana dei Trevi - น้ำพุเทรวี่)
น้ำพุเทรวี่แห่งนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง "Three Coins in the Fountain" Trevi Fountain - น้ำพุเทรวี่ที่แห่งนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอันขาด เนื่องจากมีความสวยงาม ทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก แต่กว่าจะออกมาสวยแบบนี้ มีการสร้างขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งลงตัวที่แบบดีไซน์ของ สถาปนิกชื่อ Francesco Salvi ในช่วงศตวรรษที่ 17 นี้เอง น้ำพุเทรวี่นี้ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างความประทับให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียว
ส่วนกลางของน้ำพุนั้น มีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร
ตามธรรมเนียมแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำพุเทรวี่แห่งนี้ ควรจะโยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในสระ โดยมีความเชื่อกันว่า หากโยนเหรียญลงไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งนึง



ศาลาแก้วกู่ ( ชาวบ้านเรียก วัดแขก)
จ.หนองคาย อุทยานเทวาลัย




การเดินทาง ออกจากตัวเมืองหนองคาย เลี้ยวซ้าย ตรงไปประมาณ 3 กม. ศาลาแก้วกู่ จะอยู่ทางขวามือ ...เมื่อไปถึง จะพบความอลังการยิ่งใหญ่ สังเกตในภาพ คนจะขนาดนิดเดียว เมื่อเทียบกับเทวาลัยทั้งหลาย (...ค่าเข้าชมเทวาลัย เด็ก 5 บาท ผู้ใหญ่ 10 บาท) ...ความอลังการทั้งหลาย เกิดด้วยความศรัทธาในศาสนา ก่อสร้างเทวาลัย ตามประวัติพุทธศาสนา ด้วยศรัทธา ให้ศาสนาคงอยู่ และเป็นเครื่องเตือนจิตใจ สอนให้คนทำดีอยู่ ตลอดไป

*** ศาลาแก้วกู่ สร้างโดยปรารถนาให้ที่แห่งนี้เป็น เมืองอมตะแก้วกู่มหานิพพาน หรือดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เชื่อว่า ทุกศาสนาผสมผสานกันได้ ...ตั้งอยู่ ชุมชนสามัคคี อ.เมือง จ.หนองคาย ในพื้นที่ 42 ไร่ รูปปั้น ทั้งเล็กใหญ่แล้วว่ากันว่ามีไม่น้อยกว่าหลักพัน
*** ศาลาแก้วกู่สร้างขึ้นโดย “ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” หรือ “ปู่เหลือ” ( พ.ศ. 2476 – 2539 ) ซึ่งมีประวัติชีวิตและผลงานอัศจรรย์ โดยย่อ ดังนี้ นางคำปลิว สุรีรัตน์ (พี่สาวคนโตของปู่เหลือ) ชาวหนองคาย แต่งงานได้ระยะหนึ่ง ฝันว่ามีชีปะขาวนำ นาคมรกตมามอบให้ แต่บอกว่าอีก 7 เดือนค่อยไปรับมาเป็นของตน ต่อมาแม่ตั้งท้องลูกคนที่เจ็ด ในวัยสูงอายุและหมดประจำเดือนแล้ว และคลอดเมื่ออายุครรภ์ได้ 7 เดือน ทุกคนจึงเชื่อว่าเป็นไปตามนิมิตในฝัน นางคำปลิวและสามี จึงรับน้องชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่แรกเกิด

....ด.ช.บุญเหลือชอบเข้าวัดมาแต่เด็ก พออายุได้หกขวบนางคำปลิวเสียชีวิตลง สามีนางคำปลิวมีภรรยาใหม่ ด.ช.บุญเหลือจึงกลับไปอยู่กับ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่มักขัดขวางห้ามปรามผู้ใหญ่ในทางบาปต่างๆ จึงไม่เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง ครั้นอายุ 12 ปี ทนความกดดัน รอบข้างไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านรอนแรม ไปจนพบสำนักอาศรมแก้วกู่ในเขตแดนลาว และได้ฝากตัวศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมอยู่กับ พระมุนีที่นั่น จนอายุครบ 20 ปี พระมุนีจึงให้ออกจากสำนัก ไปจาริกแสวงบุญโปรดญาติโยมทั้งใกล้และไกล เมื่ออายุ 30 ปี จึงได้กลับมาปรนนิบัติตอบแทนคุณในวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อแม่ ก่อนแม่สิ้นบุญในปี 2507 ได้มอบที่ดิน 8 ไร่ ณ บ้านเชียงควาน เมืองท่าเดื่อ เวียงจันท์ ไว้เป็นมรดก

...ปี พ.ศ. 2513 ปู่เหลือได้พัฒนาที่ดินดังกล่าวสร้างเป็น “ปูชนียสถานเทวาลัยอย่างมหึมา” พุทธศาสนิกชนทั้งในภาคพื้นยุโรป และเอเชียเลื่อมใสมาก แต่เมื่อเกิดเหตุวิกฤตในราชอาณาจักรลาวเมื่อปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่จึงพาลูกศิษย์ข้ามโขงมา และรวมกันจัดตั้งเป็น “พุทธมามกสมาคมจังหวัดหนองคาย” โดยกรมการศาสนารับรองให้ในปี พ.ศ. 2519

... ปี พ.ศ. 2521 สานุศิษย์ได้จัดซื้อที่ดินราว 41 ไร่ ในเขตบ้านสามัคคี ต.หาดคำ ถวายให้เป็นที่ตั้งสำนักจวบจนปัจจุบัน ต้นปี พ.ศ.2527 ปู่เหลือถูกใส่ความ และมีผู้ไปแจ้งตำรวจตั้งข้อหาฉกรรจ์ (ซึ่งทางสำนักขอสงวนไว้) ต้องอยู่ในเรือนจำจนถึง ปลายปี 2529 เมื่อออกมาแล้วก็สร้างเทวรูป อีกมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ และทั้งขนาดที่สูงถึง 33 เมตร เมื่อสร้างทั้งพุทธรูปและเทวรูปถึง 209 ปางแล้ว ก็สร้างศาลาแก้วกู่หลังใหม่ โดยรื้อหลังเก่า (พ.ศ.2523 – 2538) ที่ทรุดโทรมลง ขณะก่อสร้างศาลาหลังใหม่ ปู่เหลือก็ล้มป่วย และต่อมาได้เสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม 2539 สานุศิษย์ได้นำผอบ (ผะ-อบ) แก้วใส่ร่างของท่านไว้ ตามความประสงค์ก่อนสิ้นชีวิต”







รวมสัตว์ในเทพนิยายและตำนาน (Creatures of Myth and Legend)

เขียนโดย Andrew P. Miller และ Daniel Clark

เรียบเรียงโดย Worale

รายชื่อสัตว์ในเทพนิยายและตำนาน

Jersey Devil (เจอร์ซี เดวิล): เจอร์ซีเดวิล (หรือ ปีศาจเจอร์ซี) มีหัวเหมือนกับม้าหรือแกะ มีปีกคล้ายกับค้างคาวแต่ใหญ่กว่า ส่วนลำตัวนั้นยาวและเหมือนกับงู ในปี 1909 มีพยานหลายคนได้ยินเสียงน่าขนลุกจากแม่น้ำ Delaware และเห็นสัตว์ประหลาดเรืองแสงบินอยู่บนท้องฟ้า นอกจากนั้นยังพบรอยเท้าแปลกประหลาดบนหลังคาบ้านหรือบริเวณใกล้กับเล้าไก่อีกด้วย

ตำนานเกี่ยวกับเจอร์ซีเดวิลมีหลายตำนาน หนึ่งในนั้นกล่าวว่าเจอร์ซีเดวิลเกิดในปี 1850 จากคำสาปของยิปซีในตัวหญิงสาวคนหนึ่ง และเจ้าปีศาจได้หนีเข้าไปในป่าทันทีที่เกิด ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในป่าจนบัดนี้

Kappa (กัปปะ): ตามตำนานของญี่ปุ่น กัปปะเป็นปีศาจน้ำที่ชอบทำให้มนุษย์จมน้ำ มันผอมแห้งเนื้อติดกระดูก และมีศีรษะกลมที่เต็มไปด้วยน้ำ นอกจากนั้นมันยังมีกระดองเต่าอยู่บนหลังและมีกลิ่นเหม็นเหมือนปลาเน่า เหยื่อที่ถูกมันดึงลงน้ำก็จะถูกกิน อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สัตว์ที่ฉลาด หลายครั้งที่มันแสดงความโง่ออกมาให้เห็น คนที่เผชิญหน้ากับกัปปะเพียงโค้งให้มันอย่างสุภาพ กัปปะก็จะโค้งตอบ และทำให้น้ำบนศีรษะของมันหกลงมา เมื่อน้ำลดลงกัปปะจะมีแรงดึงให้เหยื่อของมันจมน้ำได้น้อยลง ซึ่งเปิดโอกาสให้เหยื่อหนีไปได้

อีกวิธีหนึ่งที่จะเลี่ยงจากกัปปะได้ คือ ให้แตงกวาแก่มัน แตงกวานั้นต้องมีชื่อและอายุของผู้ให้อยู่ เมื่อคนโยนแตงกวานั้นให้ กัปปะก็จะจำไว้และไม่ทำร้ายคน ๆ นั้น

Kelpies (เคลพี): เคลพี หมายถึง ม้าน้ำ (Water Horse) เป็นวิญญาณแห่งน้ำตามความเชื่อของชาวสก๊อตแลนด์ ซึ่งอาจทำอันตรายหรือทำให้มนุษย์ถึงตายได้ เคลพีมีหลายรูปร่าง หนึ่งในนั้นคือชายขนดกกับม้าสวยงาม ขณะที่อยู่ในร่างม้า มันจะเชื้อเชิญให้ผู้ชายขี่มัน จากนั้นผู้ขี่ก็จะพบว่าเขาไม่สามารถลงจากมันได้ และมันก็พาเขาไปที่บ้านใต้น้ำของมัน เหยื่อของเคลพีบางส่วนจะแค่จมน้ำตายไป หรือถ้าโชคร้ายก็จะกลายเป็นอาหารของมันด้วย เคลพีในแม่น้ำส่วนใหญ่มักจะทำให้คนจมน้ำเท่านั้น

ขณะที่มันอยู่ในร่างของม้า สามารถแยกแยะจากม้าทั่วไปได้โดยดูที่รอยเท้าด้านหลังของมัน เคลพีสามารถถูกบังคับด้วยบังเหียนได้ แต่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในการควบคุมเคลพีหลังจากที่มันมีพลังอำนาจพอจะร่ายคำสาปใส่ผู้อื่น

นอกจากร่างของม้าแล้ว เคลพียังแปลงเป็นชายรูปหล่อเพื่อล่อลวงหญิงสาวเข้าไปในถิ่นพำนักของมันได้ ในร่างนี้เราสามารถแยกแยะได้โดยการดูกจากกระดองและสาหร่ายในเส้นผมของมัน

Kraken (คราเคน): คราเคนเป็นสัตว์ประหลาดในทะเลที่ตัวใหญ่มาก ตามตำนานนั้นมันใหญ่เสียจนคนเข้าใจผิดว่าเป็นเกาะ มันมีหนวดเหมือนหมวดปลาหมึก แต่ส่วนอื่น ๆ นั้นแตกต่างกันไปตามตำนาน กะลาสีเรือสามารถถูกกวาดตกเรือได้ด้วยหนวดของมัน และเรือก็สามารถถูกบดขยี้ด้วยฝีมือของมันได้เช่นกัน ในน้ำทะเลอันเงียบสงบ กะลาสีเรือจะมองหาฟองอากาศและจุดน้ำเดือดบนทะเล ซึ่งบอกให้รู้ว่าคราเคนอยู่ใต้น้ำ

Lamia (ลาเมีย): ลาเมียเคยเป็นผู้หญิงธรรมดามาก่อน และได้พบรักกับเทพซูสอีกด้วย เธอถูกสาปให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดด้วยฝีมือของฮีรา ภรรยาของซูสผู้อิจฉาริษยา ลาเมียในร่างสัตว์ประหลาดนั้นมีศีรษะเป็นผู้หญิง ร่างกายเป็นงู มีกีบเท้าแยกออก และหางเป็นสิงโต นอกจากฮีราจะสาปลาเมียแล้ว ยังฆ่าลูก ๆ ของลาเมียด้วย ลาเมียจึงออกฆ่าเด็กเป็นการล้างแค้น

Manticore (มันติคอร์): มันติคอร์เป็นสัตว์ประหลาดที่เกี่ยวข้องกับชาวอินเดีย มันติคอร์มีศีรษะเป็นชาย ร่างกายเป็นสิงห์ และหางเหมือนแมงป่อง (บางตำนานบอกว่าหางเหมือนกับลูกบอลหนาม) มันมีฟันสามแถว และสามารถยิงหนามจากหางของมันดั่งเป็นศรธนู มันติคอร์เป็นสัตว์ที่โหดร้ายและตะกละไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนั้นยังชอบล่ามนุษย์ด้วย

Minotaur (มิโนทอร์): มิโนทอร์เป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งกระทิง ตามตำนานแล้วมันเกิดขึ้นจากราชินีนามว่า Pasiphae กับวัวกระทิง ซึ่งหลังจากที่มิโนทอร์เกิดมา พระราชา Minos ได้สร้างเขาวงกตขึ้นเพื่อขังมันเอาไว้ และหัวเมืองใหญ่ของเอเธนส์ต้องส่งเครื่องบรรณาการเป็นหญิงรับใช้เจ็ดคนกับเด็กเจ็ดคนมาให้ เพื่อนำไปให้มิโนทอร์ ท้ายที่สุดเจ้าชายของกรีกนาม Thesus เป็นผู้ฆ่ามิโนทอร์ระหว่างที่มันหลับอยู่

Monstrous Wolves (สุนัขป่ายักษ์): สุนัขป่าร่างยักษ์พบได้ในตำนานและนิทานพื้นบ้านหลายเรื่อง จากตำนานของชาวนอร์ส Fenris หรือ Fenrir (เฟนริล หรือ เฟนริร์) ผู้เป็นลูกชายของเทพโลกิกับยักษ์ตัวเมีย ได้ถือกำเนิดมาและมีกำลังมากผิดปกติ เหล่าทวยเทพกลัวเขาและพยายามล่ามโซ่แต่เขาก็กระชากโซ่ทุกเส้นจนขาดสะบั้น สุดท้ายเหล่าเทพจึงให้คนแคระหลอมโซ่เวทมนตร์เรียกว่า Gleipnir ที่บางแต่แข็งแกร่ง เฟนริลยอมถูกล่ามด้วยโซ่เวทนั้นหากมีเทพสักองค์ยอมวางมือไว้ในปากของมัน เทพแห่งสงครามนาม Tyr ยอมรับคำท้านั้น เฟนริลพยายามกระชากโซ่แต่ไม่สามารถอะไรโซ่เวทมนตร์ได้ จึงโกรธและกัดมือของ Tyr ขาด ในช่วงสงครามแร็กนาร็อคเฟนริลทำลายโซ่เวทมนตร์ลงจนได้ และออกมาฆ่าเทพโอดินกับ Vidar บุตรแห่งโอดิน

อีกเรื่องหนึ่งก็มาจากตำนานชาวนอร์สอีกเช่นกัน ว่ากันว่าสุนัขป่าตัวใหญ่สองตัวได้ไล่ตามพระอาทิตย์และพระจันทร์ผ่านสรวงสวรรค์ เมื่อมันไล่จับได้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์สุริยคราสหรือจันทรคราส โอดินเรียกสุนัขทั้งสองตัวว่า Geri จอมตะกละ กับ Freki ผู้ละโมบ (Geri the Ravenous & Freki the Greedy)

Naga (นากา - นาค): ตำนานของนาคริเริ่มจากที่อินเดีย และสามารถพบได้ทั่วไปในตำนานของประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ มันเป็นสัตว์กึ่งเทพและสัตว์กึ่งมนุษย์ที่อยู่ในรูปแบบของงูซึ่งมีกำลังมหาศาล นาคอาศัยอยู่ใต้ดินหรือในแม่น้ำและทะเลสาบ มันเป็นสัตว์ต่ำชั้นกว่ามนุษย์เพราะไม่มีวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับความรู้ได้ นาคมีเจ็ดศีรษะ มีหงอนเหมือนงูเห่า และรูปร่างคล้ายกับไฮดรา มันมักจะปรากฏในเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าซึ่งถูกวาดภาพเป็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่และได้รับการปกป้องจากนาค

Nymphs (นิมฟ์): นิมฟ์เป็นจิตวิญญาณหรือตัวตนแห่งสิ่งของในธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ แม่น้ำ ไอหมอก และภูเขา พวกเธอจะอยู่ในรูปของหญิงบริสุทธิ์ผู้งดงาม ในตำนานของกรีก Dryad (ดรายแอด) และ Hamadryad (ฮามาดรายแอด) เป็นจิตวิญญาณแห่งต้นไม้ ดรายแอดอาศัยอยู่ในป่าและฮามาดรายแอดจะมีพันธะกับต้นไม้บางต้นเท่านั้น ชีวิตของพวกเธอจะยืนยาวตราบที่ต้นไม้ที่เธอสิงสู่ยังมีชีวิตอยู่

สำหรับนิมฟ์ของสิ่งอื่น ๆ ก็มี Oread นิมฟ์แห่งภูเขา Naiad นิมฟ์แห่งน้ำ ผู้อาศัยอยู่ในแม่น้ำหรือไอหมอก และ Nereid นิมฟ์แห่งทะเลซึ่งเป็นบุตรสาวของเทพแห่งทะเลนาม Nereus

Phoenix (ฟีนิกซ์): ฟีนิกซ์มีความเกี่ยวข้องกับตำนานของพระอาทิตย์และเป็นสัญลักษณ์แห่งความอมตะ การเกิดใหม่ และพลังอำนาจ ตามตำนานนั้นฟีนิกซ์อาศัยอยู่ในแดนสุขาวดีทางทิศตะวันออกซึ่งไม่มีความหิวและไม่มีกลางคืน ร่างของมันใหญ่และสง่างามยิ่งกว่านกอินทรี ศีรษะ ทรวงอก และหลังของมันนั้นมีสีแดงสด ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าทะเล เท้าของมันมีสีม่วงและปีกของมันนั้นมีหลากหลายสี นกฟีนิกซ์ไม่ได้กินหญ้าหรือล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร มันกินเพียงอากาศเท่านั้น

ฟีนิกซ์มีอายุขัยหนึ่งพันปีพอดิบพอดี ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมันจะออกจากแดนสุขาวดีและบินไปยังแหลมอาราเบีย ที่นั่นมันจะรวบรวมเครื่องหอมกับเครื่องเทศเพื่อนำไปที่รังของมันซึ่งสร้างอยู่บนต้นปาล์มที่สูงที่สุดในชายฝั่งของ Phoenicia จากนั้นมันจะร้องบทเพลงแห่งความตาย (Death Song) บทเพลงนั้นดีเลิศจนแม้แต่เทพแห่งพระอาทิตย์ยังต้องหยุดเกวียนของเขาเพื่อฟัง หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับไป รังของฟีนิกซ์จะลุกไหม้ไปพร้อม ๆ กับเจ้าของรัง หลงเหลือไว้เพียงขี้เถ้าให้นกฟีนิกซ์ตัวใหม่ได้เติบโตขึ้น

ฟีนิกซ์ตัวใหม่จะนำขี้เถ้าจากรังเก่าไปที่ Heliopolis เมืองแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งตั้งอยู่ในอียิปต์ และวางขี้เถ้าลงบนแท่นบูชาของวิหารแห่งดวงอาทิตย์ จากนั้นมันก็จะบินไปทางทิศตะวันออก และเข้าร่วมกับนกตัวอื่นในโลก ไม่ว่าจะเป็นนกผู้ล่าหรือผู้ถูกล่าก็จะตามฟีนิกซ์ไปอย่างสงบสู่แดนสุขาวดี

ตำนานแต่ละตำนานบอกอายุขัยของฟีนิกซ์แตกต่างกันปี ตั้งแต่ 350 ปี 500 ปี บางตำนานก็บอกว่ามีอายุขัยถึง 1460 ปีหรือ 7006 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้คนให้ความสนใจกับการให้ความหมายของนกฟีนิกซ์มากกว่า ศาสนาคริสต์ใช้ฟีนิกซ์แทนพระเยซูคริสต์และการฟื้นคืนชีพ ชาวโรมันใช้ฟีนิกซ์ในศตวรรษที่สี่เพื่อแทนคำมั่นสัญญาของการเกิดใหม่ของอาณาจักรโรมัน นอกจากนั้นฟีนิกซ์ยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) หลังจากที่เธอเสียชีวิต สำหรับตำนานของประเทศอื่นเกี่ยวกับฟีนิกซ์ก็มี Feng Huang ของจีน (ดังที่อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้ว) และนก Ho-ho ของญี่ปุ่น ซึ่งมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์

Ruhk (รุค): อีกชื่อหนึ่งของเจ้าตัวนี้คือ Roc รุคเป็นนกยักษ์มาจากตำนานของอาหรับ และเล่ากันว่ามันตัวใหญ่เสียจนบังพระอาทิตย์มิดเมื่อมันบิน ขาของมันขาหนึ่งใหญ่เท่ากับขาไก่ 148 ขา มันจะออกล่าช้างมาให้ลูกของมันกินทุกวัน ทุกครั้งที่มันออกบินปีกของมันจะสะบัดอย่างรุนแรงทำให้เกิดพายุและฟ้าแลบ ในตำนานบางเรื่องของอาหรับบอกว่ารุคจะไม่มีวันหยุดยืนบนพื้นโลกเว้นเสียจากบนภูเขา Qaf สำหรับอีกตำนานหนึ่งบอกว่ารุคอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดีย และมันมักจะบินไปที่อินเดีย คาบสมุทรอาระเบีย หรือแอฟริกาเพื่อหาอาหาร

Sea Lion (ซี ไลออน): ซี ไลออนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สิงโตทะเล นั้นจัดอยู่ในสัตว์กลุ่มเดียวกับคิเมร่าหรือมันติคอร์ มันมีส่วนด้านหน้าเหมือนกับสิงโต มีเล็บและศีรษะซึ่งมีแผงคอ ส่วนด้านหลังนั้นคล้ายกับปลาสีเงินตัวใหญ่ สิงโตทะเลอาศัยอยู่บริเวณโขดหินใกล้กับชายทะเล มันมีเขี้ยวและเล็บอันทรงพลังที่อันตรายมากเมื่อมันโกรธ นอกจากนั้นยังมีหางอันแข็งแกร่งกับขาหน้าที่เป็นพังผืดช่วยให้เคลื่อนที่ได้เร็วมากในน้ำ เสียงคำรามของมันสามารถได้ยินแม้อยู่ใต้ทะเล กล่าวกันว่าชาวเรือจะได้ยินเสียงร้องของสิงโตทะเลอย่างหิวกระหายเมื่อเรือของพวกเขาเข้าใกล้โขดหินหรือฝั่งทะเลที่อันตราย

Shark Man (ชาร์คแมน): ชาร์คแมนหรือ มนุษย์ฉลาม นั้นคล้ายคลึงกับมนุษย์หมาป่า ชาร์คแมนบริเวณเกาะฮาวายสามารถเปลี่ยนร่างไปมาระหว่างมนุษย์กับฉลามได้ ขณะที่เป็นฉลาม เขาจะมีสัญชาตญาณสัตว์เต็มรูปแบบและมักจะลงมือล่าเหยื่อโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเพื่อนบ้านของร่างมนุษย์ของเขาหรือไม่ ชาร์คแมนที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ Nanaue บุตรของหญิงใกล้ตายกับพระเจ้าแห่งฉลาม (Shark God) Nanaue มีปากฉลามบนหลังของเขา เมื่อเขาลงน้ำจะกลายร่างเป็นปลาฉลาม และเขาจะบาดเจ็บได้ง่ายถ้าไม่ลงน้ำ เมื่อเขารู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ฉลามก็รีบย้ายไปหมู่บ้านอื่นทันที ในที่สุดเขาได้ติดกับดักของชาวประมงขณะที่ยังเป็นปลาฉลาม และถูกฆ่าโดยตัดเป็นเนื้อเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปเผา



หมายเหตุ: *บทความนี้ เรียบเรียงจากหนังสือ The Writers Complete Fantasy Reference บทที่ 7 เขียนโดย Andrew P. Miller และ Daniel Clark ตีพิมพ์โดย Writers Digest Books

*บทความนี้ เรียบเรียงขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ ไม่อนุญาตให้ใช้ในเชิงพาณิชย์ ผู้อ่านสามารถติชมบทความได้ที่ http://woratana.exteen.com/ หากต้องการนำบทความนี้ไปเผยแพร่ กรุณาลงหมายเหตุทั้งสองข้อไว้ท้ายบทความด้วย



เรือผีสยองโลก



Flying Dutchman

คงไม่มีเรือผีที่ไหนแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า “เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน” ที่ออกหลอกหลอนแก่คนในน่านน้ำทั่วโลกและได้เป็นแรงบันดาลใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด นิยายสยองขวัญ ภาพยนตร์ รวมทั้งเป็นชื่อเรือโจรสลัดลำหนึ่งในภาพยนตร์ชุด ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน และแม้กระทั้งโอเปร่าโดยเรือลำนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกปลายปี 1700 ในหนังสือ "Voyage" และได้รับความนิยมในยุคนั้นและจากนั้นเป็นต้นมาตำนานนี้ก็แพร่หลายไปทั่วโลก โดยตำนานมีอยู่ว่ากัปตันชาวดัตช์คนหนึ่งชื่อ แวน แดร์ เดคเคน (Van Der Decken) ได้นำเรือไปพบสภาพอากาศที่เลวร้ายในแหลมกู๊ด โฮป ประเทศแอฟริกาใต้ เขาพยายามนำเรือผ่าพายุนี้แต่ไม่เป็นผลจนเรือใกล้อัปปาง ซึ่งเขาโกรธมากเขาเลยสาบานแก่ฟ้าว่า "ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ตราบฟ้าดินสลาย" และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาและเรือได้กลายเป็นปีศาจที่ต้องคำสาปให้เดินทางในมหาสมุทรชั่วกัลปาวสาน ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ตราบโลกนี้สิ้นสลาย
ฟลายอิ้ง ดัตช์แมนได้รับการบันทึกเป็นเอกสารมาตั้งแต่คริสต์สตวรรษที่ 17 และมีรายงานการพบเห็นเป็นครั้งคราวมาจนถึงคริสต์สตวรรษที่ 20 เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนมักปรากฏตัวในคืนที่มีหมอกหนาทึบ บางครั้งพบเห็นเป็นแสงประหลาดในเวลากลางคืน ในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา และกัปตันผู้ซึ่งยังแต่งกายในแบบศตวรรษเก่าใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว กรีดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งชวนขนลุก หลายคนเริ่มมีความเชื่อว่าหายนะมักจะตามมาหากใครที่ได้เห็นเรือลำนี้ เช่น ในปี ค.ศ.1881 คนประจำเรือของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เห็นเรือลำใหญ่ลึกลับปรากฏขึ้นทางด้านหัวเรือเมื่อเวลา 4.00น. และหลังจากนั้นไม่กี่วัน คนประจำเรือคนนั้นก็พลัดตกเสากระโดงเรือตายคาที่ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยด สยองอยู่ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้คำอธิบายปรากฏการณ์ฟลายอิงดัตช์แมน ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นมิราจหรือฟาตา มอร์กานา ที่เกิดจากการหักเห และการสะท้อน ที่พบเห็นในทะเล

kothkeo178
20th July 2011, 18:05
อ่านเพลินเลยครับสนุกดี ขอบคุณมากๆเลยครับ ^ ^

==ToR==
20th July 2011, 18:06
เก็บไว้อ่าน

DarkZone
20th July 2011, 18:36
เยอะ โคตร!!!

babymaster
20th July 2011, 19:28
ผิดหมวดนะครับ