PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Einherjar's Story มหากาพย์นักรบเทวะ



tstcwqt1
5th July 2011, 16:51
Prologue



ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา





ยามบ่ายอันแสนสบายสำหรับหลาย ๆ คน เมฆน้อย ลมแผ่ว ช่างเป็นเวลาเหมาะที่จะนอนกลางวันจริง ๆ ว่ามั้ย ?


แน่นอน นี่ก็เป็นเวลานอนกลางวันสำหรับเขาเช่นกัน


ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ห่างจากตัวเมืองอันแสนวุ่น วายออกไปไกลพอสมควร ที่นี่เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง และมีจุดเดียว ที่คนน่าจะไปนอนพักได้อย่างสบายอารมณ์ คือที่นี่....


เนินดินขนาดใหญ่ ต้นสนสูงตระหง่านที่แลเห็นได้แต่ไกล.......


และเขา....


“คร่อกกกก”เสียงกรนดังลั่นที่แม้จะอยู่ไกลยังได้ยินชัด บริเวณรอบข้างในระยะหลายเมจตรไม่มีใครอื่น แต่จะพูดให้ถูกจริง ๆ ก็มีแต่เขาที่อยู่แค่บริเวณนี้ล่ะนะ....


เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างเพรียว สวมเสื้อกล้ามสีขาวสะอาดตาและกางเกงขายาวสีดำสนิท มีเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินแต่ใช้มันปูนอนต่างเสื่อเสียอย่างนั้น บัดนี้เขากำลังเอนหลังนอนบนพื้นหญ้าภายใต้ร่มเงาต้นไ ม้อย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าระบายยิ้มทั้ง ๆ ที่กำลังอยู่ในภวังค์หลับลึก ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังฝันดี เรือนผมเทาอ่อนที่ชี้ฟูกำลังปลิวสไวเล็กน้อยตามแรงลมแผ่วที่พัดมา


แต่ก็..............


มีมารผจญมาขวางขณะนอนฝันดี


เสียงฝีเท้าปริศนาค่อย ๆ ย่างก้าวแหวกหญ้ามาเรื่อย ๆ


จนกระทั่ง..........


“เฮ้อาช!! ตื่นได้แล้วเฟ้ย!!”เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นข้างตัวเขา จนทำเอาผู้ที่อยู่ก่อนหน้าถึงกับลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์หลับลึกอันแสนสบายอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ใจจริงก็อยากจะนอนต่อให้มันผ่าน ๆ ไป แต่เขารู้ดีว่าถ้าเกิดเขานอนต่อล่ะก็.........


เรื่องไม่สวยแน่


“นี่แกจะไม่ตื่นจริง ๆ รึไงฟระ...”ผู้มาใหม่ยืนค้ำหัวเขาและก้มลงมาจนเกิดเงาขนาดยักษ์พาดผ่านเขา


เขาเป็นชายร่างใหญ่ล่ำบึ้กเจ้าของใบหน้าคร้ามแลดูน่ากลัว เรือนผมสีเขียวชี้ฟูยาวเลยหนังหัวมาเพียงนิดหน่อย สวมชุดเช่นเดียวกับอาชที่บัดนี้กำลังยืนค้ำหัวเขาและก้มตัวลงมา ดวงตาสีเงินประกายกำลังมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่องและคาดคั้นเป็นนัย ๆ ว่าหากไม่ยอมตื่นโดยดีล่ะก็ได้มีเรื่องกันเป็นแน่


“ยุ่งน่า..............แง่ม.........”แต่อาชกลับเลือกที่จะไม่สนใจ เขาพลิกตัวไปด้านข้างเพื่อที่จะหลับต่อและหลีกหนีจากไอ้บ้าที่มาปลุกเขา


“หึหึ..............กล้ามากนะแก”ผู้มาใหม่แค่นฟันกรอดด้วยความหมั่นไส้ในความขี้เซาแก้ยากของเพื่อนซี้จอมขี้เซา ก่อนที่เท้าขวาอันสวมบูทยาวส้นหนาจะง้างขึ้นด้านบน


และ.................


พลั่ก!!


“อั่ก!!”เสียงอันเจ็บปวดของพระเอกแล่นไปไกลโขเพราะส้นรองเท้าที่หนาแถมยังแข็งกระแทกเข้าหน้าท้องแบนราบเต็มรัก เหล่านกมากมายที่เกาะอยู่บนกิ่งสนต่างบินกระเจิงไปตัวละทิศละทางด้วยความตกใจ


“ทีนี้...........จะตื่นได้รึยัง ?”ผู้มาใหม่ถามย้ำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหากแต่แฝงรังสีอมหิตมหาศาล ดวงตาสีเงินประกายถูกเปลือกตาปิดด้วยนิสัยยิ้มตามิดไ ม่ว่าจะสถานการณ์ไหนของชายร่างล่ำผู้นี้ รองเท้าข้างเดิมถูกง้างขึ้นอีกครั้ง เตรียมเหยียบลงไปอีกรอบถ้าหากอาชยังไม่ยอมตื่น


“เออ ๆ ตื่นให้ก็ได้ เบาให้ไม่ได้เลยนะ จำไว้เลยเจ้าแมดบ้า”


“ประธานอย่างแก กล้าเสนอหน้าโดดงานปัจฉิมนิเทศน์มานอนเล่นแบบนี้ ชั้นสมควรเบาให้ได้เรอะ ?”เจ้าของนามแมดเอ่ยถามด้วยสีหน้าพูดบึ้ง ก่อนจะชักเท้าออก และยื่นแขนกำยำล่ำสั่นไปคว้าตัวอาชที่กำลังค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งให้ลุกขึ้นยืน จนอาชเกือบจะล้มแต่ทรงตัวไว้ได้ในเวลาแทบจะทันทีและปัดฝุ่นตามตัวออก ก่อนจะก้มลงไปคว้าเอาเสื้อนอกสีน้ำเงินที่ใช้ปูนอนก่อนหน้ามาคลุมไหล่ไว้หลวม ๆ


“แสดงว่ายัยแอนนี่ให้มาตามอีกแล้วงั้นสิ ?”อาชว่าพลางสวมเสื้อนอกให้เข้าที่


“คงงั้นแหละ”แมดตอบหน้าตาย


“งั้นไปเหอะ ถ้าโดนแม่นั่นถีบเข้า ชั้นขอโดนแกถีบต่อดีกว่า” ว่าแล้วอาชก็เดินไปที่ตัวเมือง แมดเอง ก็ค่อย ๆ เดินตามหลังเขาไป



โดยที่เขาเองก็ไม่รับรู้ว่า


หลังจากนี้ไป


ชีวิตของเขา


จะไม่เหมือนเดิมตลอดกาล


-------------
หายช่างมัน ฉันมีแบ็คอัพ วะฮ่าๆๆ

=MwM=
5th July 2011, 17:10
return แล้วสินะ !
เป็นกำลังใจให้ครับ จะรอติดตาม **

LoveSeeker
5th July 2011, 20:00
เรื่องแรกปรากฏแล้ว

tstcwqt1
5th July 2011, 21:16
ตอนที่ 1 จุดประกายเรื่องแสนยุ่งเหยิงไม่มีที่สิ้นสุด


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสีทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา

ทั้งอาชและแมดค่อย ๆ เดินไปที่ตัวเมือง สภาพรอบข้างของพวกเขาเปลี่ยนจากพื้นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง แปรเปลี่ยนเป็นตัวเมืองที่มีผู้คนอันแสนพลุกพล่าน อาชเลือกที่จะไม่สนใจคนรอบข้างที่ตะโกนเรียกเขาตามทางเป็นระยะ ๆ และไขว้มือทั้งสองเข้าที่ท้ายทอยเดินผ่านคนเหล่านั้นอย่างไม่ยี่หระใด ๆ ส่วนแมดเอง ก็มีการโบกมือทักทายบ้าง รวมถึงหยุดพูดนิดหน่อย แต่พออาชเดินไปไกล ๆ แมดเอง ก็ต้องลากับคนที่เขาหยุดคุยด้วย และรีบกุลีกุจอวิ่งตามอาชไป


จนกระทั่งเขาทั้งสองมาหยุดยืนที่หน้ารั้วแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นรั้วเหล็กสีขาวสะอาดตาดัดเป็นรูปวงเวทย์หกแฉกขนาดใหญ่สูงตระหง่าน ภายใต้ป้ายที่ทำจากเหล็กดัดขนาดใหญ่เป็นตัวอักษรว่า


“โรงเรียนมหาเวทย์ มาริโดน่า”


ตึ่ก........


อาชย่อเข่าลงนิดหนึ่ง


“ชั้นล่วงหน้าไปก่อนนะแมด” อาชหันมาพูดกับแมด แมดพยักหน้ารับ


อาชกระโดดข้ามประตูหน้าของสถานที่นี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวแต่กลับสูงอย่างเหลือเชื่อผิดกับขาของเขาที่ดูไม่น่าจะมีแรงเยอะขนาดนั้น ก่อนจะค่อย ๆ ลงที่อีกฝั่งของประตูอย่างนิ่มนวล และเดินต่อโดยที่ไม่เป็นอะไรเลยราวกับว่าเหตุการณ์ที่เขากระโดดก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด


“ให้ตาย เสียเวลาบอกยามนิดหน่อยก็ไม่ได้”แมดถอยหายใจเบา ๆ ด้วยความระอาจิต ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปที่ประตูเหล็กดัด ฝ่ามือแตะที่ประตูเหล็กดัดสีขาวสะอาด ก่อนจะค่อย ๆ เบิกตากว้างขึ้น และเกร็งกล้ามเนื้อช่วงข้อมือราวกับกำลังทำอะไรบางอย่างกับประตู


ฉับพลัน ออร่าสีขาวก็ค่อย ๆ ไหลจากช่วงหัวไหล่ของแมด รวมถึงไหลไปตามลำแขน และจรดที่มือ ค่อย ๆ ไหลไปตามเหล็กดัดเหล่านั้น ก่อนมันจะค่อย ๆ ผสานตัวเองเป็นวงเวทย์ดาวหกแฉกขนาดใหญ่


เสียงราวกับกลอนอะไรสักอย่างถูกปลดออกดังลั่นสนั่นก้อง แมดละฝ่ามือออกจากประตูเหล็กดัดสีขาวสะอาดที่บัดนี้มันกำลังเปลี่ยนสีตัวเองให้เป็นสีเงินประกายสะท้อนแสงแดดยามบ่ายแสบตา


“เอาล่ะ รีบตามไปดีกว่า” แมดบ่นพึมพำ ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวข้ามผ่านธรณีประตู


เสียงประตูสีเงินสว่างปิดดังลั่นชนิดแสบหูไล่หลังตามมา เพียงพริบตาเดียว มันก็แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาดตาเช่นเดิม แต่แมดกลับไม่สนใจ และก้าวเดินต่อไป....


ด้านอาชเอง ที่เดินทิ้งแมดมาไกลโข ตอนนี้เขากำลังเดินไปเรื่อย ๆ ตามระเบียงทางเดินที่ปูด้วยไม้กระดานสีน้ำตาลแก่ลงแว็กส์อย่างดีอันทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ขาเรียวยาวก้าวไปเรื่อย ๆ ราวกับไร้จุดหมาย แต่อันที่จริง จุดหมายที่ว่าของเขานั้นมันช่างไกลเหลือเชื่อ


กว่าจะเดินมาถึงที่นี่ ก็กินเวลาไปนานโข ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเขาถึงไม่ค่อยชอบมาที่นี่ ทั้งเสียเวลา ทั้งเสียแรงกาย ไหนจะวิธีการเปิดประตูอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของห้องนี้อีก


วิธีเปิดประตู เป็นแบบไหนงั้นเหรอ ?


งั้น..........เราไปดูกัน


อาชหยุดยืนที่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลแก่สลักลวดลายขนาดใหญ่ที่ดูแล้วเก่าแก่เอามาก ๆ เจ้าตัวตัดสินใจค่อย ๆ ยื่นมือไปจับลูกบิดประตูสีเงินช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ฝืนกลืนน้ำลายอย่างหนืดคอด้วยความยากเย็น


เอาเถอะ จะเปิดไม่เปิด ค่ามันก็เท่ากัน


อาชไว้เอาลัยตัวเองในใจ ก่อนจะตัดสินใจ กระชากประตูอย่างแรง


แต่ก็มีสิ่งหนึ่ง ที่ไวกว่าที่อาชจะคิดทัน


เสียงกึกก้องกัมปนาตดังลั่นตูมใหญ่ ประตูไม้สลักลายเก่าแก่ถูกถีบกระเด็นออกอย่างแรง อาชที่ยืนอยู่ด้านหลังบานประตูแน่นอนว่าถูกกวาดรวมไปกับประตูไปกองกับผนังด้านหลังเรียบร้อย


ที่โผล่พ้นจุดที่บานประตูเคยอยู่เป็นเพียงเท้าเรียว ๆ ที่สวมรองเท้าส้นตึกสีแดงสดเท่านั้น ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าเจ้าของเรียวขาอันแสนบอบบางนี้ได้เรี่ยวแรงมหาศาลมาจากไหน แต่เท่าที่ดูแล้ว คงไม่มีใครกล้ามาถามเจ้าหล่อนเป็นแน่แท้


“กล้ามากนะยะ ที่กล้าโดดงานปัจฉิมนิเทศเนี่ย ?”ผู้ปรากฏตัวทีหลังเอ่ยถามเสียงเย็นและเน้นหนักทีละคำ อาชที่อยู่ภายใต้กองซากประตูค่อย ๆ ดันเศษซากของประตูออก


“ยัยแรงควายเอ๊ย!! เปิดประตูเบา ๆ ได้มั้ย ? ประตูพังไปไม่รู้กี่บานต่อกี่บานแล้วนะยัยช้างสาร!!”อาชลุกขึ้นมากึ่งนอนกึ่งนั่งท่ามกลางเศษซากประตูที่บัดนี้จำเค้าเดิมไม่ได้ เบื้องหน้าของเขาเป็นหญิงสาวที่ดูแล้ว อายุก็ไม่ได้ห่างจากเขาเท่าไหร่ เธอเป็นหญิงสาวร่างเพรียวสวย สวมชุดรัดรูปเกาะอกสีแดงสด เรือนผมสีขาวสว่างขาวปรกหลังเป็นลอนดูสวยงาม ดวงตาสีชมพูประกายสวยแต่บัดนี้เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดับมอดง่าย ๆ


“ฉันจะเปิดแบบนี้ ไม่พอใจรึไง?”เจ้าหล่อนกระแทกเสียงถามด้วยความไม่พอใจกับการมาสายของตาขี้เซาที่บัดนี้กำลังค่อย ๆ ยันขึ้นยืนพร้อมกับปัดฝุ่นตามตัวออก


“ไม่พอใจอย่างแรงเลยไง จบมั้ย?“อาชสวนกลับทันควัน ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันอย่างเอาชนะ


“แล้วมีอะไร แอนนี่?” อาชถามเสียงห้วนสั้นเปิดเรื่อง เกรงว่าจากเกมจ้องตามันจะกลายเป็นอย่างอื่นที่เขาเสียเปรียบไปซะก่อน


“รอนี่ละกัน” ว่าแล้วแอนนี่ก็เดินหายไปในห้องที่เธอเพิ่งเดินออกมา ค้น ๆ ที่โต๊ะทำงานขนาดยักษ์ และคว้าเอาเอกสารปึกหนึ่งออกมา


“รับ!!”แอนนี่ตะโกนห้วนสั้น พร้อมขว้างกระดาษเอกสารปึกหนาให้อาชที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างแรง


อาชคว้าได้อย่างแม่นยำเพราะมันปามาเส้นตรง เสียงดังมากเมื่อมันกระทบมือของเขา แน่นอนว่าหากเขาไม่รับ เป้าหมายของเอกสารปึกนี้คงไม่พ้นดั้งจมูกเขาซักเท่าไหร่นักหรอก


“...........”อาชค่อย ๆ เปิดกระดาษออกทีละแผ่น ๆ อย่างใจเย็น ก่อนที่ดวงตาสีดำสนิทของเขาจะค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น และค่อย ๆ พลิกหน้าเอกสารเร็วขึ้นเรื่อย ๆ


“นี่แอนนี่!! รายชื่อพวกนี้มันอะไรกันฟระ!!”อาชตะโกนลั่น เอกสารปึกหนาในมือเขาตอนนี้ถูกปาลงพื้นอย่างแรง แต่แอนนี่กลับไม่สะดุ้งหรือยี่หระอันใด กลับเฉยชาและนิ่งสงบเสียด้วยซ้ำจนดูน่าขนลุก


“นายมีสิทธิ์เลือกตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”แอนนี่ถามเสียงเย็น


“อึ่ก!!”อาชสะอึกทันควัน


“งานอะไรทั้งหลายแหล่ก็ไม่ยอมทำ ปล่อยให้ฉันสะสางอยู่คนเดียว....”แอนนี่ค่อย ๆ สาวเท้าเข้ามาไกล้ ในขณะที่อาชเองก็ค่อย ๆ ถอยออกห่างเรื่อย ๆ เช่นกัน


“ทั้ง ๆ ที่นายเป็นถึงประธานนักเรียน ชั้นเองก็เป็นถึงผู้อำนวยการ........”แอนนี่ยังคงเอ่ยเสียงเย็น ใบหน้าค่อย ๆ นิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และก้าวขาเข้าไกล้อาชมากขึ้นเรื่อย ๆ


“เข้าใจมั้ยว่าวัน ๆ ชั้นเหนื่อยแค่ไหน ขนาดงานสำคัญอย่างงานปัจฉิมนิเทศแกยังไม่ยอมมา”แอนนี่หยุดยืนหน้าอาชที่บัดนี้ถอยหนีไม่ได้อีกแล้ว อาชกลืนน้ำลายหนืดคอ เมื่อมองใบหน้าของแอนนี่ที่กำลังนิ่งสงบเสียจนน่าขนลุก


“.............อะ........แอนนี่.........หวังว่าเธอคงไม่........”อาชพูดตะกุกตะกักเสียงขาดช่วง ใบหน้าเริ่มซีดเผือดทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไปสะกิดต่อมโมโหของแอนนี่เข้าเสียแล้ว


“แน่นอน.............ฉันทำแน่”แอนนี่เงยหน้าขึ้นและยิ้มตามิดให้กับอาชที่เหงื่อแตกราวน้ำพุ กำปั้นขวาของแอนนี่ยกขึ้นและกำแน่น ออร่าสีดำทมิฬก่อตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเคลือบทั้งกำปั้นเสียดำสนิท


“ไอ้ประธานเฮงซวย!!”


เสียงระเบิดกัมปนาตดังลั่นทั่วโรงเรียน แมดที่เดินมากำลังจะเข้าอาคารเงยหน้าขึ้น มองผนังของโรงเรียนชั้นบนที่ถูกระเบิดออกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ และร่างของอาชที่ลอยละลิ่วปลิวละล่องออกมาด้วย


“หาเรื่องให้ชั้นจนได้สินะเจ้าบ้า”แมดบ่นเบา ๆ และวิ่งไปรับซาก(?)ของอาชที่ปลิวจนตกลงมาด้านล่างได้ทันท่วงที


“อาจารย์แอนนี่ครับ จะลงโทษเจ้านี่ ไม่เห็นต้องรุนแรงเลยนี่ ?”แมดเงยหน้าขึ้นพูดกับแอนนี่ที่มองดูจากรูโหว่ขนาดใหญ่ที่ผนังของตึกเรียนด้านบน


“น้อยไปด้วยซ้ำย่ะ”แอนนี่ตอบหน้าตาย


“อ้อ แมดเนส ไหน ๆ เธอก็มาแล้ว พาเจ้าอาชไปบ้านของหมอนั่นซะ ชั้นบอกให้สมาชิกทีมของพวกเธอไปรอที่นั่นแล้ว”แอนนี่สั่งแมดเนส และโยนซองกระดาษซองหนึ่งให้


“นี่เป็นคำสั่งแรกของกลุ่มเธอ รับไปซะ”แอนนี่โยนให้จากชั้นบน แมดวางอาชลงบนพื้น และคว้าเอาซองกระดาษนั้นไว้


“ครับ”


แมดค่อย ๆ เดินออกจากโรงเรียนไปอย่างช้า ๆ และอาชเอง ก็ถูกแมดลากคอเสื้อให้ไหลไปตามพื้น หมดสภาพประธานอันแสนภาคภูมิ



ด้ายแต่ละเส้นค่อย ๆ ถูกโยงเข้าหากันอย่างแช่มช้า


ปลายด้ายจะบรรจบที่ใดกัน ?

---------------------------------
อัพเรื่อย ๆ ละกันนะ =_=)v

Piussun
5th July 2011, 21:54
อีกเรื่องจะตามมาวันไหนงิ =w=

tstcwqt1
6th July 2011, 07:35
ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


ตอนที่ 2 การประชุมและเป้าหมาย


“ให้ตาย!! ยัยแอนนี่แรงควายชะมัด ถ้าตอนนั้นกางเกราะเวทย์ไม่ทันนี่ ต่อให้เป็นฉันมีหวังลาโลกแหง”อาชเดินบ่นอุบ มือทั้งสองข้างประสานท้ายทอยบ่นไปเรื่อย


“แกไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขามั้งอาช ? ผิดที่แกทั้งหมดเลยนะเจ้าบ้า”แมดที่เดินข้าง ๆ เอ่ยเสียงเรียบ


“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องยัดกำปั้นเสริมเวทย์เลยนี่หว่า!! ฉันไม่ได้ทนทายาดแบบแกนะ!!”อาชแหวลั่น


“เหรอ ?”แมดถามเสียงเย็น แต่เส้นเลือดที่ปูดโปนช่วงหน้าผากทำให้อาชรู้ดีว่าอารมณ์ของแมดตอนนี้ไม่ได้เย็นตามเสียงไปด้วยนี่น่ะสิ


“เออ ๆ ยอมแพ้ก็ได้”อาชหน้าจ๋อย ขาของทั้งคู่ยังคงก้าวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง....


“อ้าว ? เดินคุยเพลินจนถึงบ้านแกแล้วเรอะเนี่ย ?”แมดยิงคำถาม ดูท่าว่าพวกเขาจะเดินเพลินไปหน่อย เผลอแค่แป๊บเดียวก็มาถึงบ้านอาชซะแล้ว


ที่นี่เป็นบ้านไม้ผสมอิฐสองชั้นสีเทาอ่อนดูอบอุ่นไม่น้อย รั้วไม้สีน้ำตาลแก่หน้าบ้านที่ดูแล้วไม่สูงเท่าไหร่นัก และดูเหมือนจะมีไว้กั้นอาณาเขตบ้านแค่นั้นเองกระมัง เลยทำให้มองทะลุเห็นพืชพรรณไม้หอมนานาถูกปลูกไว้เต็มหน้าบ้านและได้กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล


“เอาเถอะ เห็นยัยแอนนี่บอกคนอื่นจะมารอที่บ้านชั้นใช่มั้ยล่ะ ?”อาชเดินบ่นเรื่อยเปื่อยไปพลางเปิดรั้วหน้าบ้านไปพลาง ปากก็ยังบ่นถึงเรื่องแอนนี่ไม่หยุด แมดได้แต่เดินยิ้มแห้ง ๆ ตามหลัง เพราะคนที่กล้าเรียกอาจารย์ใหญ่ผู้สุดแสนจะน่าเกรงขามของโรงเรียนมหาเวทย์ว่ายัยได้ เห็นจะมีเจ้านี่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละนะ


“ใครจะมาอยู่ทีมเรามั่งน้อ.......”อาชบ่นพึมพำไปพลางเปิดประตูไปพลาง และไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูดอันใด สิ่งหนึ่งก็พุ่งทะยานใส่หน้าเขาทันที


“แง้วววววววว”มันคือแมวตัวขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของเขาเพียงหน่อยเดียวเท่านั้น ขนทั่วทั้งตัวของมันขาวสะอาดหมดราวหิมะแรกของฤดูหนาว แต่ปัญหาตอนนี้คือมันกำลังเกาะหน้าของเขาและระดมข่วนเสียจนหน้าของเขาระบมไปหมด เขาเองก็พยายามปัดป้องพัลวันแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ก่อนจะพยายามคว้าหนังคอของมันได้สำเร็จและหิ้วออกจากใบหน้าของเขาโดยไว เพื่อไม่ให้ใบหน้าของเขามีรอยข่วนเพิ่มมากกว่านี้ซึ่งเขาไม่ได้พิศวาสอะไรเท่าไหร่นัก


“ไอ้เจ้าปอนมาที่นี่ได้ ก็หมายความว่า.....”อาชเอ่ยอย่างไม่แน่ใจกับความคิดของเขา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดหรือพูดมากกว่านั้น คำตอบก็วิ่งมาหาเขาทันที


“อ๊ะ!! ปอนจัง มาอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย”เธอเป็นหญิงสาวร่างโปร่ง เรือนร่างเรียวบางน่าทนุถนอมในชุดเดรสยาวคลุมเข่าสีฟ้าใสราวผืนทะเลยามกลางวันที่ดูแล้วไร้พิษภัย ใบหน้าเรียวรีสวยได้รูป เรือนผมสีเหลืองของเธอสะบัดไปมาตามแรงเคลื่อนไหว อาชแปลกใจเหลือเกินว่าโบว์สีแดงขนาดใหญ่ที่กลางกระหม่อมของเธอนั้นไม่ได้ช่วยรวบผมของเธอเลยรึยังไง ผมสีเหลืองสว่างของเธอถึงได้สยายสะบัดไปมาตลอดเวลาขนาดนั้น ดวงตาสีทองประกายของเธอส่อแววตระหนกนิด ๆ เมื่อเห็นแมวสุดรักของเธอถูกอาชหิ้วหนังคออยู่ มันยังพยายามใช้กรงเล็บข่วนอากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้าหมายมาดอาฆาตอาชที่หิ้วมันอยู่แต่กลับข่วนไม่ถูกเลย เพราะระยะห่างของตัวมันและอาชที่มากโขอยู่ อีกทั้งอาชเองก็ไม่ยอมให้มันข่วนได้ตลอดหรอกน่า


“มิร่า เธอจริง ๆ สินะ อีกหนึ่งในทีมชั้น ?”อาชเอ่ยถามยืนยันความคิดตัวเอง และยื่นเจ้าปอน แมวตัวแสบกลับคืนให้เจ้าของมัน มันไต่ขึ้นไหล่เธออย่างรวดเร็วและยังคงพองขนขู่ฟ่อใส่เขาแต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจมัน


“ค่ะ......”เธอก้มหน้างุดและตอบเสียงเบาในทันที อาชงงนิดหน่อยกับท่าทีของเธอที่มักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่เขาเองก็ไม่อยากจะซักถามมากเท่าไหร่นัก เพราะว่ามีคนอีกคนกำลังเดินมาหามิร่า และเป็นอีกคนที่อาชค่อนข้างจะคุ้นตาดีซะด้วย


“มิร่า..........มาอยู่นี่เองเหรอ ?”เธอเป็นหญิงสาวที่มีส่วนสูงไม่ต่างไปจากมิร่าเท่าไหร่ เรือนผมสีฟ้าสว่างของเธอยาวถึงกลางหลัง และรวบไว้ด้วยด้ายสีแดงสดเพื่อไม่ให้มันเกะกะมากนักกำลังแกว่งไปมาเล็กน้อยเพราะการเคลื่อนไหว ดวงตาสีเช่นเดียวกับสีผมของเธอมองตรงมายังมิร่า แต่กลับแลดูน่ากลัวเพราะดวงตาของเธอนั้นไม่มีแววหรือประกายใด ๆ จนดูราวกับว่าเธอเป็นตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต เธอสวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่แขนยาวเอามาก ๆ จนพ้นช่วงมือของเธอทับเสื้อซับในสีดำของเธอเอาไว้ แถมเสื้อโค้ทของเธอยังยาวเลยกางเกงยีนส์สีฟ้าซีดที่เธอใส่อยู่จนดูราวกับว่าเธอใส่เสื้อโค้ทตัวใหญ่เพียงตัวเดียวเท่านั้น


“อะ.......จ้ะ อามิน่า”เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกเรียกจากด้านหลังด้วยเสียงอันแสนคุ้นหู ปัญหาคือไม่ว่าเธอจะได้ยินเสียงนี้ในที่เงียบ ๆ กี่ครั้งก็ชวนตกใจได้ทุกครั้ง


“ไปที่ประชุมเถอะ คนอื่นเขาไปรอกันก่อนแล้ว”อามิน่าเอ่ยเรียบ ๆ และหันหลังเดินไปทันทีโดยที่เธอไม่คิดจะรอฟังคำตอบจากอาช แมดและมิร่าเลยแม้แต่นิด


“...........”ทั้งอาชและแมดไม่พูดอะไร นอกจากมองหน้ากันนิ่ง ๆ และเดินตามอามิน่าไป มิร่าเองก็รีบกุลีกุจอเดินตามอาชและแมดไปเช่นกัน


ทั้งสี่คนเดินอย่างเงียบ ๆ ไม่ปริปากใด ๆ จนกระทั่งมาถึงประตูบ้านหนึ่ง เป็นประตูไม้สีน้ำตาลแก่เรียบ ๆ อามิน่าเปิดประตูเดินเข้าไป และพวกอาชก็เดินตามทันที


ห้องนี้เป็นห้องที่ดูโล่งเอาการเพราะมีเพียงโต๊ะไม้สีน้ำตาลแก่ยาวเหยียด และเก้าอี้ว่างเรียงรายนับสิบตัว ภายในห้องมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้อยู่ซึ่งต้นกลิ่นนั้นมาจากแจกันดอกไม้สีฟ้าสดที่อยู่บนชั้นใกล้ ๆ กับจุดที่พวกเขายืนอยู่ และทั้งหมดก็พบว่ามีคนรออยู่ก่อนแล้วสองคน


หนึ่งเป็นชายร่างเล็กที่ดูแล้วน่าจะอ่อนกว่าเขาปีสองปี เรือนผมของเขาเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อสะท้อนแสงไฟ หากไม่สะท้อนก็คงเป็นสีดำสนิทราวกับท้องทะเลลึกที่ทั้งมืดและหนาวเหน็บ ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าขุ่นดูรับกับใบหน้าของเขาที่ดูเลิ่กลั่กแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนไม่มีปิดบัง เขาสวมชุดที่ดูมิดชิดเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแขนยาวสีฟ้าซีด กางเกงขายาวสีกรมท่า หรือแม้กระทั่งถุงมือสีขาวของเขา จนดูเป็นคนที่ค่อนข้างจะเด่นไปเลย แต่เท่าที่ดูเจ้าตัวคงไม่อยากจะเด่นเท่าไหร่ล่ะมั้ง


อีกหนึ่งเป็นชายร่างโปร่ง เรือนผมที่ยาวจนถึงช่วงเอวของเขาเป็นสีดำสนิทและรวบหางม้าเอาไว้ด้วยด้ายสีแดงสดแน่นหนาราวกับว่าแม้อาบน้ำเจ้าตัวก็จะไม่แก้มันออก ชุดเป็นสีโทนมืดทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหนังแขนยาวขลิบขอบแดง กางเกงหนังขายาว หรือแม้กระทั่งเสื้อซับใน อาชอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมไม่ร้อนบ้างหรือยังไงแต่ก็ได้แต่เก็บคำถามไว้ในใจเพราะเท่าที่ดูแล้ว ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบกลับมาแน่ ๆ ชายผู้นั้นนั่งในท่าไขว่ห้าง และกอดอกก้มหน้านิ่ง ดวงตาของเขาปิดสนิททำให้ไม่รู้ว่าตาของเขาเป็นสีอะไร แต่อาชไม่สนใจที่จะสำรวจมากกว่านั้นซักเท่าไหร่นัก


ทั้งสองคนนั่งในตำแหน่งข้าง ๆ กันและกัน แต่เหมือนว่าฝ่ายชายร่างโปร่งจะก่อกำแพงที่มองไม่เห็นเอาไว้ เพราะชายร่างเล็กด้านข้างพยายามชำเลืองมองเขาตลอด รวมถึงพยายามจะพูด แต่ก็ไม่ทำทั้งสองอย่างราวกับว่ากลัวเขาจะทำร้ายเอายังไงยังงั้น แถมอีกฝ่าย ก็ทำท่าเหมือนกับไม่รับรู้เขาเลย ทั้ง ๆ ที่ในระยะขนาดนั้น การขยับตัวสั่น ๆ รวมถึงท่าทางแบบนั้น เขาน่าจะรู้ได้สบายมาก


“เอาเถอะ เลือกที่นั่งตามใจชอบละกันนะ ยังไงที่นั่งก็เหลือเยอะแยะ”อาชเอ่ยทำลายความเงียบในห้อง ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป แต่ยังไงก็นั่งจับคู่กันอยู่ดี อามิน่าและมิร่านั่งใกล้ ๆ กันที่บริเวณกลางโต๊ะด้านซ้ายมือของอาช ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็นั่งอยู่ตรงข้ามกับคู่ของอามิน่า อาชเลือกที่จะนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และแมดก็นั่งลงทางด้านขวามือของเขา


“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการสินะ งั้น เริ่มกันเลยมั้ย ?”อาชกระแอมเปิดประเด็น และเอ่ยชวนนิดหน่อย ก่อนจะหันไปมองแมด และหลาย ๆ คน ก็พบว่ามีการพยักหน้ารับ อาชจึงสูดลมหายใจลึก


“คมดาบสี่ประสาน อาช มัลโค(Ash Mulco) ”อาชแนะนำตัว และมองไปทางแมด


“ปีกแห่งผู้ทรยศ แมดเนส อิมบรูเลีย (Madness Imbrurier)”


“ด้ายแห่งโชคชะตาเยือกแข็ง มิร่า แอนนิต้า(Mira Anita)ค่ะ”มิร่าเอ่ยแนะนำตัวเสียงกล้า ๆ กลัว และหันไปมองสหายด้านข้าง


“เนตรมารไร้เสียง อามิน่า แอชริน (Amina Ashrin)”เธอเอ่ยแค่นั้น และมองไปทางชายผู้ที่มีโทนสีผมเข้มกว่าเธอเป็นสัญญาณส่งต่อ


“ผม.....ผืนนภาแห่งการหยั่งรู้ เบลนโน ทริกส์(Blenno Trixz)ครับ”เขาเอ่ยด้วยเสียงสั่นนิด ๆ และหันไปมองชายข้างตัว แต่เขาไม่อยู่ในอิริยาบถเดิมอีกต่อไป เขาค่อย ๆ คลายมือที่กอดอกออก และลืมตาขึ้นทำให้เห็นดวงตาสีแดงดุจเลือดของเขา


“เปลวอสุนีบาตสีชาด ทิออส เทเรส (Tioz Terez)”เขาพูดแค่นั้น แล้วก็กลับอิริยาบถเดิม อาชดูเหมือนไม่พอใจกับท่าทีหยิ่ง ๆ ของเขาเท่าไหร่นัก ส่วนทางเบลนโนที่นั่งด้านข้างทำท่าเหมือนจะพยายามสื่ออะไรกับทิออสซักอย่างด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ และดูเหมือนจะส่งไม่ถึง ทิออสจึงนั่งกอดอกหลับตานิ่งต่อไป


“เอาล่ะ ไหน ๆ ก็มารวมกลุ่มกันแล้ว สนิทกันไว้หน่อยละกันนะ”แมดเอ่ยเสียงแกน ๆ ทำลายความเงียบที่เริ่มโรยตัวลงมาอีกครั้ง


“อืมนะ เอาเถอะ มาว่าภารกิจเลยละกัน”อาชพยักหน้า ก่อนที่จะหันไปรับซองกระดาษจากแมดที่ได้รับมาจากแอนนี่อีกต่อ


“นี่คือเอกสารที่เราต้องไปส่งที่อาณาจักรอาชิฮาร่าตะวันออก ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นอะไร แต่พวกเรามีหน้าที่ต้องปกป้องเจ้านี่สุดชีวิต”อาชชูมันขึ้น และโยนขึ้นด้านบน ฉับพลัน อากาศบริเวณรอบ ๆ ซองกระดาษก็แตกออกราวกระจกที่ถูกทุบด้วยของแข็งอย่างแรง และกลืนมันเข้าไปในหลุมอากาศนั้น หลายคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซองกระดาษและลุกขึ้นยกเว้นเพียงคู่ของอาช แต่อาชยกมือปางห้ามญาติเป็นความนัยบอกให้ทุกคนนั่งลง


“ไม่ต้องห่วง นั่นเป็นตู้เซฟของแมดเอง สร้างขึ้นจากเวทมนตร์มิติ เราสามารถเรียกมันออกมาได้ตลอดเวลาถ้าแมดต้องการ” อาชสะบัดนิ้วเป็นวงกลม ซองกระดาษปรากฏขึ้นบนมือเขาอีกครั้ง แต่เขาก็โยนมันขึ้นไปอีกรอบ รอยแตกของอากาศกลืนมันเข้าไปอีกครั้ง


“เรามีกำหนดเวลาทั้งหมดสองอาทิตย์ในการเดินทาง มีใครเสนออะไรมั้ย ?”อาชเอ่ยต่อ และขึ้นเสียงสูงเพื่อถามหลายคนที่อยู่ที่โต๊ะประชุม อามิน่ายกมือขึ้น และอาชก็พยักหน้ารับเป็นเชิงอนุญาต


“เดินทางพรุ่งนี้ สถานที่นัดเจอหน้าประตูเมืองตอนแปดโมงเช้า”อามิน่าเอ่ยเสียงเรียบ และลงไปนั่งเหมือนเดิม


“ก็ดี งั้นแยกย้ายเถอะ หมดประเด็นแล้ว”อาชเอ่ยปิดการประชุมพอเป็นพิธี และลุกขึ้นเดินออกไปที่ประตู คนอื่น ๆ ก็เดินออกไปแล้ว เนื่องจากหัวโต๊ะอยู่ด้านในสุดของห้องจึงไม่แปลกอะไรที่เขาต้องออกเป็นคนสุดท้าย


“พี่สาว จะมาอีกมั้ยครับ ?”เมื่อออกไปที่หน้าห้อง ก็พบกับเด็กน้อยที่เป็นน้องของเขายืนอยู่กับมิร่าและอามิน่า เขาเป็นเด็กชายที่อายุไม่น่าจะถึงเลขสองหลักด้วยซ้ำ ผมของเขาเป็นสีทองสลวยแม้จะไม่ยาวนัก สวมเสื้อผ้าอยู่บ้านสบาย ๆ ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น ในอ้อมกอดของเด็กน้อยมีเจ้าปอนถูกอุ้มอยู่ แต่เจ้าแมวตัวน้อยก็ดิ้นไปมาให้เด็กน้อยต้องปล่อยมันออก มิร่าอุ้มมันขึ้นวางบนไหล่อีกครั้ง เด็กน้อยตรงหน้าได้แต่มองเจ้าแมวตัวเล็กอย่างเสียดาย


“มาแน่นอนจ้ะ พี่สัญญา”มิร่าลูบหัวเด็กน้อยเป็นการปลอบใจ ก่อนจะค่อย ๆ เดินจากไป


“ครับ!!”เด็กน้อยยิ้มและตะโกนรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนที่พวกมิร่าจะเดินจากไปโดยมีเด็กน้อยคอยโบกมือคล้อยหลัง


“อาเทน มีอะไรถึงได้มาล่ะหืม ?”อาชเดินตรงเข้าไปลูบหัวอาเทนแรง ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว


“ก็ แม่ให้มาบอกว่าข้าวเย็นเสร็จแล้วนะครับ วันนี้เวรพี่ซาลามันดร้าทำอาหาร คงจะเผ็ดน่าดูเลย”


“แน่ล่ะ หมอนั่นไม่เคยแตะอะไรนอกจากไฟแล้วก็ของเผ็ดทั้งชีวิตแหละ”


“เฮ้อ เอาเถอะ เตรียมน้ำเยอะนิดนึงละกัน นายจะอยู่กินมั้ย แมด”อาชหันไปถาม แต่แมดส่ายหัวพรืด ๆ เป็นคำตอบ


“พอดีว่าชั้นไม่ค่อยถูกกับของเผ็ดอะนะ ขอตัวละกัน”แมดเอ่ยเสียงแกน ๆ และเดินหนีไปทันที


อาเทนหันมามองอาชอย่างต้องการคำตอบท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวลงมารอบตัวพี่น้อง อาชได้แต่ยักไหล่ แล้วทั้งสองก็เดินไปกินข้าวเย็น



วันต่อมา.....


“คร่อก................”นี่เป็นเวลาที่ตะวันละจากขอบฟ้าได้พักใหญ่แล้ว มันแผดแสงสีเหลืองนวลทั่วทุกสถานที่แทนที่จะเป็นสีส้มเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เป็นสัญญาณอันดีในการปลุกใครหลาย ๆ คนให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ของนิทรา


เว้นก็แต่หมอนี่แหละนะ


บนหน้าต่างห้องชั้นสองของบ้านอาช หากมองเข้าไปก็จะเห็นว่าเขากำลังหลับลึกบนเตียงนุ่มหนา ใบหน้ายามหลับของเขาทำให้รู้สึกอยากจะหยิกแก้มแรง ๆ ด้วยความหมั่นไส้ซักครั้ง


“คร่อกกกกกกก”อาชยังคงนอนกรนต่อไปในชุดนอนสีดอกเลาทั้งเสื้อและกางเกง เขาเกาแก้มของตัวเองแกรก ๆ ก่อนจะพลิกตัวเพื่อปรับท่วงท่าให้นอนสบายแม้นี่จะเป็นเวลาตื่นแล้วก็ตามที แสงแดดเริ่มส่องเข้ามาทางหน้าต่างข้างเตียง แต่อาชดูเหมือนจะไม่ใส่ใจหรือแม้กระทั่งสนใจมันด้วยซ้ำ เขายังคงจมอยู่ในภวังค์หลับลึกต่อไป


“พี่ครับ.....อีกเดี๋ยวก็ได้เวลานัดแล้วไม่ใช่เหรอครับพี่ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ ?.....”อาเทนเปิดประตูเข้ามาในชุดนอนสีฟ้าลายทาง เจ้าตัวเล็กค่อย ๆ ขยี้ตาด้วยความง่วงงุน และเดินมาเขย่าตัวพี่ชายที่กำลังอยู่ในภวังค์หลับลึก


“งืม.......”แต่อาชตอบกลับเพียงการปัดมือของผู้เป็นน้องและพลิกตัวไปนอนด้านข้างเท่านั้น เด็กตัวน้อยถึงกับพองลมในแก้มด้วยความโมโห รอบตัวของอาเทนปรากฏหนังสือเล่มหนาขนาดใหญ่สี่เล่มสี่สีลอยวนล้อมรอบเขาราวไรน้ำหนักและเหมือนเป็นความนัยว่าจะปกป้องเจ้านายของมันไปในตัว ก่อนที่อาเทนจะกางมือออก หนังสือเล่มสีฟ้ากลางอากาศก็ลอยเข้ามือเขาอย่างแม่นยำและไม่ต้องออกคำสั่งใด ๆ


“อควอมาเกีย!! (เวทย์น้ำ) กระแสคลื่นไร้แหล่ง!!”อาเทนเอ่ยลั่น รอบตัวเขาส่งเสียงครืนระงม วงเวทย์ดาวหกแฉกสีฟ้าค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าอาเทน ก่อนที่คลื่นน้ำมากมายจะพุ่งออกซัดสาดอาชลงสู่พื้นสวนเบื้องล่าง สายรุ้งที่เกิดจากละอองน้ำช่างสวยสด ผิดแต่มีสิ่งแปลกปลอม(?)นิดหน่อยนั่นคือซากร่างของอาชที่ลอยละลิ่วปลิวละล่องออกมาตามแรงกระแสน้ำมหาศาลนี่ด้วย


“อาเทนนนนนนนน!!!” อาชที่ตื่นแล้วตวาดลั่นจากสวนหน้าบ้านด้านล่าง ดอกไม้ติดอยู่บนหัวเขาดูน่าขบขัน ตามตัวของเขายังคงเปื้อนดินและโคลนมากมายเพราะลงไปกลิ้งเกลือกหลายตลบพอควร


“อะไรเหรอครับพี่ ?”อาเทนเอ่ยตอบยิ้ม ๆ และมองลงมาด้านล่างผ่านหน้าต่างของอาช ใบหน้าไม่แสดงแววทุกข์ร้อนใด ๆ


“แกทำอะไรห๊า!!”อาชตะโกนถามลั่นด้วยความเดือดดาลกับวิธีปลุกแสนพิศดารของน้องชายบังเกิดเกล้า


“รดน้ำต้นไม้ตอนเช้าครับ”อาเทนตอบหน้าชื่นตาบาน


“แล้วทำไมต้องมาทำที่ห้องชั้นด้วยห๊ะ!!”อาชยังตะโกนไม่ลดราวาศอกด้วยความโกรธจัด แต่เขาก็ต้องชะงักและไม่พูดมากกว่านั้นเมื่อในมืออาเทนถือหนังสือปกแข็งเล่มสีฟ้าอีกครั้ง


“อควอมาเกีย ลูกบอลมหาวารี”อาเทนเอ่ยลั่น บอลน้ำขนาดยักษ์บังเกิดเหนือหัวของอาช และตกตูมลงมา เหล่าพืชพรรณหน้าบ้านถูกรดน้ำเสร็จสรรพ แต่อาชกลับเปียกโชกยิ่งกว่าเดิม ดีกว่าเดิมหน่อยตรงที่อย่างน้อยดอกไม้ที่ติดหัวเขา และโคลนก็หลุดออกไปหมดแล้ว


“อาช ได้เวลาข้าวเช้าแล้วจ้ะ อาบน้ำซะด้วยเลยนะ....แต่คิดอีกที แม่ว่าลูกแค่เช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดก็โอเคแหละลูก”เสียงหญิงสาวดังมาจากในบ้าน อาชได้แต่มองอาเทนอย่างฉุน ๆ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเดินกระทืบเท้าเข้าบ้านไป ส่วนอาเทนก็เดินออกจากตรงนั้นเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเช่นกัน



ในเวลาต่อมา


“อาเทน ไอ้วิธีปลุกแบบนั้น พี่ขอเหอะ อย่าใช้เลย”อาชเริ่มโต๊ะอาหารตอนเช้าด้วยการบ่นน้องชาย เบื้องหน้าเขาและน้องชายคือจานของขนมปังสามสี่แผ่นที่ถูกทาเนยไว้เรียบร้อย ด้านข้างของอาชเป็นหญิงสาวสวยเลยวัยแม้อายุจะร่วงโรยไปบ้าง เรือนผมของเธอสีเขียวสว่างและสยายสวยงาม ดวงตาของเธอกลมโตและเป็นสีดำสนิทแฝงไปด้วยความอ่อนโยนตลอดเวลา ชุดเดรสสีขาวสะอาดของเธอช่างดูเข้ากับเธออย่างแปลกประหลาด


“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมปลุกพี่ดี ๆ แล้ว พี่ไม่ตื่นเองนี่นา”อาเทนว่าพลางคว้าขนมปังแผ่นตรงหน้ากัดง่ำเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ หลังจากนั้นอาชก็เอาบ้าง


“นี่อาช แม่ว่ารีบหน่อยก็ดีนะลูก”ว่าแล้วผู้เป็นแม่ก็สะกิดลูกชาย และชี้ไปที่นาฬิกาตั้งพื้นขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะกินข้าวเท่าไหร่นัก เข็มสั้นชี้ที่เลขโรมัน VIII เป็นสัญญาณว่าเขาต้องรีบไปซะแล้ว


“....”อาชนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนที่สมองของเขาจะค่อย ๆ ประมวลผลตามลำดับความทรงจำ


หน้าประตูเมืองตอนแปดโมง


“ว้ากกก!!!”เพียงแค่นั้น อาชร้องลั่นบ้านในทันใดและกุลีกุจอรีบวิ่งขึ้นห้องไปเปลี่ยนชุดทันที


ไม่กี่นาทีถัดมาอาชก็เดินลงมาอย่างเร่งรีบในชุดเสื้อกั๊กสีน้ำตาลสวมทับเสื้อแขนยาวสีขาวสะอาดตา กางเกงขายาวของเขาก็เป็นสีน้ำตาลเช่นกัน ที่อกขวาของเสื้อกั๊กปักตราดาวหกแฉกเอาไว้ ช่วงเอวของเขาเหน็บดาบเอาไว้ถึงสี่เล่ม เขารีบวิ่งมาที่หน้าบ้านทันที แต่ก็ต้องหยุดเพราะถูกแม่ตนรั้งเอาไว้


“นี่อาช เอานี่ไปด้วยสิลูก”ว่าแล้วผู้เป็นแม่ก็ค่อย ๆ ปลดสร้อยคอของตนออกมา และสวมให้อาชที่ก้มรอรับเพราะส่วนสูงของทั้งสองคนค่อนข้างจะต่างกัน อาชไม่เคยสังเกตเลย ว่าแม่ของเขาสวมสร้อยด้วย เพราะปกติเขาก็มั่นใจว่าแม่สวยเกินพอที่จะใส่เครื่องประดับใด ๆ


“อะไรเหรอครับแม่”หลังจากที่แม่สวมให้เขาเสร็จ เขาก็หยิบสร้อยนั้นขึ้นมาพิจารณาสิ่งที่ห้อยอยู่ มันเป็นสายฟ้าก็ไม่เชิง ดาบก็ไม่ใช่ ถ้าจะให้ถูกน่าจะเรียกว่าดาบสีเหลืองที่บิด ๆ เบี้ยว ๆ เป็นสายฟ้าซะมากกว่า


“พี่ครับ......”อาเทนว่าพลางคาบขนมปังในปาก


“หืม ?”


“สายแล้วนะครับพี่....”


“..........”


“สายแล้วววววววววววว”ว่าแล้วอาชก็รีบวิ่งกุลีกุจอไปในทันที


“จะไหวมั้ยนะลูกคนนี้”ผู้เป็นแม่พูดพลางพรูลมหายใจอย่างหน่ายจิตกับลูกชายคนโต เธอเท้าเอวอย่างครุ่นคิด แต่ก็ดูเหมือนนึกออกในเวลาชั่ววูบ ก่อนจะหันมาหาอาเทนที่ได้แต่มองผู้เป็นแม่อย่างสงสัยแกมงง


“อาเทน แม่มีอะไรให้ทำจ้ะ”



หน้าประตูเมือง


หลายคนมายืนรออยู่ก่อนแล้ว แต่ถ้าจะให้ถูกจริง ๆ คือมีแต่อาชที่ยังไม่มามากกว่า แมดหยิบเอานาฬิกาพกออกมาดูเวลา ซึ่งก็ผ่านไปได้ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว ประธานกลุ่มจอมสายยังไม่มีแววจะโผล่มาเลย


ทุกคนใส่ชุดโทนสีน้ำตาลด้วยกันทั้งนั้น และที่หน้าอกขวาของแต่ละคนก็มีรูปวงเวทย์ดาวหกแฉกปักเอาไว้


แมดอยู่ในชุดแขนยาวสีน้ำตาลและกางเกงขายาวสสีน้ำตาลเช่นกัน ส่วนอามิน่าเป็นเสื้อที่แขนยาวเอามาก ๆ และกระโปรงสั้นซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่ชอบเท่าไหร่ มิร่าอยู่ในชุดกระโปรงยาวและเสื้อแขนยาวดูมิดชิด ส่วนทิออสและเบลนโนนั้นก็อยู่ในชุดเดียวกับแมดนั่นคือเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว แน่นอนว่าชุดของทุกคนเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด


“มาแล้ววว” อาชตะโกนลั่นพลางวิ่งโบกไม้โบกมือมาแต่ไกล แมดปิดฝานาฬิกาพกดังปั่บและโยนขึ้นไปในอากาศ นาฬิกาพกถูกดูดไปในช่องว่างของอากาศที่แตกออกเช่นเดียวกับคราวที่ซองเอกสารหายไป


“นี่แก!! ยังมีหน้ามาโบกไม้โบกมืออย่างเริงร่าอีกรึไงห๊า!!”แมดตะคอกลั่นทันทีที่อาชวิ่งมาถึง ทำเอาอาชต้องอุดหูด้วยเสียงอันไม่ใช่น้อย ๆ ของแมดที่ตะคอกเขา


“นิดหน่อยเองน่า”อาชตอบเสียงเบา


“นิดหน่อยของแกน่ะครึ่งชั่วโมงนะเฟ้ย!! แกไม่คิดรึไงว่าชาวบ้านเขารอนานขนาดไหนน่ะห๊า!!”แมดยังคงตะคอกลั่น และอาชก็ยังอุดหูต่อไป


“น่า ๆ คุณแมด คุณอาชเขาก็สำนึกผิดแล้ว พอเถอะนะคะ”มิร่าปราม แมดจึงยอมรามือแต่โดยดี


“เอาเถอะ ไปที่อาณาจักรอาชิฮาร่ากัน!!”ว่าแล้ว หลังจากที่แมดรามือจากการตะคอกอาช เขาจึงเริ่มเดินหน้านำทีมทันที โดยที่แมดได้แต่เดินกุมขมับตามหลังกับความไม่เอาไหนของสหายตน



ณ สถานที่หนึ่งที่ห่างไกลออกไปมากจากจุดที่พวกอาชอยู่


ที่นี่เป็นห้องที่แทบจะเรียกได้เลยว่ามืดสนิท เพราะทั้งห้องนั้น เปิดไฟเอาไว้สลัวมาก ๆ เหมือนจะให้แค่มองทางเห็น โต๊ะยาวสีดำสนิทและเก้าอี้ทั้ง 8 ต่างก็มีคนนั่งอยู่ แต่ถ้าจะบอกว่าคนก็ไม่ถูกเท่าไหร่นัก เพราะว่า”คน”ที่นั่งอยู่นั้นต่างก็วูบแวบเดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัดราวกับภาพลวงตา


“ผู้เสาะหา เคลื่อนไหวแล้ว”


“การช่วงชิง เริ่มได้”

----------------------------

อัพเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก แบ็คอัพไว้แล้ว ยังไงก็ชิล ๆ =w=)~

tstcwqt1
7th July 2011, 00:46
ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


ตอนที่ 3 ผู้ร่วมเดินทางคนที่ 7 และการพบเจอที่ไม่คาดฝัน


กลุ่มของอาชเริ่มเดินทางออกจากเมืองมาได้ซักพักแล้ว ทั้งกลุ่มไม่ค่อยพูดอะไรกันมากเท่าไหร่นักเนื่องจากไม่มีประเด็นจะพูดคุย รอบตัวพวกเขาตอนนี้ไม่มีพื้นปูด้วยอิฐบล็อคแล้ว ป่าเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อย ๆ แมกไม้นานาพันธุ์เริ่มมีเยอะขึ้นเป็นสัญญาณว่ากลุ่มของพวกเขาห่างไกลตัวเมืองมาพอสมควรแล้ว


เสียงของ”อะไรบางอย่าง”เคลื่อนไหวในเงาไม้ แต่ดูเหมือนจะรีบเกินไปไม่มากก็น้อยหรืออย่างไรก็ม่ทราบเลยเกิดเสียงขึ้นมา แน่นอนว่าการที่จู่ ๆ เดินมาเงียบ ๆ แล้วเกิดมีเสียงแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ ทันทีที่อาชได้ยิน เขาจึงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดเดิน


“อามิน่า ฝากที”


“อืม...”อามิน่าพยักหน้ารับคำ ก่อนจะตวัดแขนเสื้อไปยังทิศที่ได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมา มีดสีเงินวาววับพุ่งไปในเงาไม้แถบนั้นทันที


“หวะ....หวา~~”


หืม??


“อูย~~ เจ็บๆๆๆๆ”อาเทนนั่นเอง เด็กน้อยนั่งกุมหัวตัวเองเพราะเขาเกาะกิ่งไม้อยู่ดี ๆ แล้วจู่ ๆ ก็มีมีดพุ่งใส่เขา เลยตกใจเผลอปล่อยมือจากกิ่งไม้จนร่วงโครมลงมา แถมหัวยังลงก่อนอีกต่างหาก เลยได้มะนาวลูกย่อมๆทากาวแปะติดบนหัวแถมดึงไม่ออกอีกต่้างหาก


เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีน้ำเงินและเสื้อกั๊กสีเดียวกัน กางเกงขาสั้นสีเทาเข้ม และผ้าคลุมสีเนื้อชายขาดวิ่นเล็กน้อย และแบกกระเป๋าสะพายสีดำด้านหลัง


“ว้ายตายแล้ว!? อาเทน เจ็บมากมั้ยจ๊ะ!?”มิร่ารีบวิ่งไปดูอาการทันที แต่อาชกลับผายมือห้ามไว้เป็นความนัยว่าไม่จำเป็น


“รักษาตัวเองก็ได้นี่อาเทน ไม่ต้องมาโอดครวญหรอกน่า”อาชเอ่ยเสียงเย็น คนในทีมแปลกใจกับท่าทีของอาชที่มีต่อน้องชาย แต่อาเทนดูเหมือนจะไม่แปลกใจอะไรเท่าไหร่


“คร้าบ ๆ น้องชายเป็นแบบนี้แต่ไม่คิดจะห่วงกันเลยนะ”อาเทนหน้ามุ่ย หนังสือปกแข็งสี่สีลอยล้อมรอบตัวเขา


“เพราะไม่มีความจำเป็นต้องห่วงไง”อาชตอบหน้าตาย


“เทร่ามาเกีย(เวทย์ดิน) เสียงอวยพรแห่งผืนปฐพี”อาเทนถือหนังสือปกสีเหลืองและพูดเสียงดัง พลังจากจบประโยค แสงสีเหลืองก็สว่างวาบรอบตัวเขา แผลขีดข่วนรวมถึงหัวที่ปูดโปนเพราะแรงกระแทกก็หายไปในพริบตาราวเป็นเรื่องโกหก


“หึ!! รักษาตัวเองก็ได้ จะโอดครวญทำไมล่ะ?”อาชแค่นเสียง


“ตามมาทำไม?”อาชถามเสียงเย็น คนในทีมทำหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนพยายามจะเข้าไปห้าม แต่สถานการณ์ตรงหน้ากลับกดดันจนพวกเขาไม่กล้าขยับ


“แม่ให้ตามมาน่ะครับ”อาเทนลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นตามตัว


“อีกอย่าง เท่าที่ผมรู้มา ผมเอง ก็มีชื่ออยู่ในรายชื่อกลุ่มของพี่ไม่ใช่เหรอครับ ?”อาเทนถามกลับเสียงนิ่งไม่แพ้พี่ชาย ทั้งสองปะทะสายตากันราวกับจะฆ่าฟันอีกฝ่ายให้ตายไปข้างจนคนในทีมถึงกับแปลกใจว่าเด็กแบบนี้ไปเรียนรู้รังสีฆ่าฟันมหาศาลขนาดนี้มาจากไหน แต่พวกเขาก็ร้องอ้อในใจทันใดเมื่อรู้ว่าคนที่สอนให้เด็กคนนี้ก็น่าจะอยู่ตรงหน้าพวกเขานี่แหละ


“ภารกิจนี้แค่ส่งเอกสาร นายไม่มีความจำเป็นต้องมา กลับไปซะ”อาชยังคงพูดเสียงนิ่ง แต่มือทั้งสองของเขากลับกำแน่นจนขึ้นข้อขาวราวกับเขากำลังโกหกตัวเอง


“แล้วถ้าเป็นเจ้านี่ล่ะครับ ?”อาเทนว่าพลางควักเอาซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่งที่ถูกปิดผนึกด้วยตราครั่งเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าสะพายใบสีน้ำเงินด้านหลัง ก่อนจะร่อนมันใส่อาชซึ่งเจ้าตัวก็รับมันเอาไว้ และเปิดตราครั่งออก ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบออกมาจากซอง เป็นรูปเสมือนของผู้เป็นแม่ก็ค่อย ๆ เด่นชัดจากในลำแสงนั้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปรากฏเป็นตัวตนให้เห็นตรงหน้า ผิดแต่ว่าดูวูบแวบสั่นไหวราวกับภาพลวงตา


“อาช ถ้าลูกเปิดจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าจับอาเทนได้แล้วงั้นสินะ ? แม่เป็นคนบอกให้เขาตามมาเองแหละ”ผู้เป็นแม่เอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าของเธอยังคงรอยยิ้มละไมเช่นทุกครั้ง


“อีกอย่าง ในใบรายชื่อของลูก ก็มีชื่ออาเทนนี่จ๊ะ การที่เราไม่ให้น้องไปด้วย มันผิดกฎของโรงเรียน เดี๋ยวก็ได้เจอลงโทษหรอก”


“เอาเป็นว่า ตอนนี้ ห้าม ให้ อาเทน กลับมา เด็ดขาด ไม่งั้น.....แม่คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?”ผู้เป็นแม่เน้นหนักทีละคำ ก่อนจะขู่ทิ้งท้าย ภาพเสมือนของเธอค่อย ๆ หายไป พร้อม ๆ กับอาชที่หน้าซีดเผือด


“ทีนี้ จะให้ผมเข้าทีมพี่ได้รึยังครับ ?”อาเทนถามเสียงยียวน ก่อยจะค่อย ๆ เดินเข้ามาไกล้ ซึ่งอาชเองก็ทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้


“เอาเถอะ ช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่าพี่ให้ร่วมทีมละกัน แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าเจออะไรไม่ดี อย่าได้คิดจะวิ่งหนีเชียว เพราะต่อให้อยากหนี ก็หนีไม่ได้หรอกนะ”อาชขู่ปิดท้าย แต่อาเทนกลับยิ้มตอบกลับ


“ไม่ต้องห่วงหรอกครับพี่”อาเทนเอ่ยยิ้ม ๆ


“ดะ..........เดี๋ยวสิครับคุณอาช!? พวกเรางงไปหมดแล้วนะครับ!? เด็กแค่สิบขวบอย่างอาเทนทำไมถึงมาร่วมกลุ่มพวกเราได้ล่ะครับ ไหนจะเรื่องมีชื่อในใบรายชื่ออีก หมายความว่าไงครับ!?”เบลนโนเอ่ยละล่ำละลักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คำถามผุดขึ้นมาในหัวเขาราวดอกเห็ดและตีกันจนแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูก


“นี่พวกนายไม่รู้จักอาเทนหรอกเหรอ ? เจ้านี่ออกจะดังแท้ ๆ ”อาชเอ่ยอย่างงง ๆ แต่ท่าทีของทุกคนกลับเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าไม่รู้เลย


“เฮ้อ”อาชตอบด้วยการพรูลมหายใจอย่างหน่าย ๆ


“พวกนาย คงไม่มีใครไม่รู้จัก”บุตรเทพอักษรสุริยัน”สินะ ?”อาชเอ่ยคำถาม และดูเหมือนฉายานี้จะเป็นที่รู้จักดีซะด้วย ทุกคนยกเว้นแมดและอาชแทบจะเบิกตากว้างในทันที


“หรือว่า.......หนูอาเทนคือ......?”มิร่านิ่งค้าง ปลายนิ้วเรียวที่กำลังสั่นเทาชี้ไปที่อาเทนช้า ๆ ราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง


“เด็กที่เรียนจบด้วยอายุเพียง 8 ปี”อามิน่าพูดเสียงเย็น แม้เธอจะดูไม่ตระหนกเลย แต่ดวงตาที่เบิกกว้างของเธอเองก็บอกได้ว่าเธอก็ตะลึงไม่แพ้กัน


“ใช้มนต์ชั้นสูงได้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แถมยังเป็นคนแรกและคนเดียวที่จบโรงเรียนมหาเวทย์ได้ด้วยอายุที่น้อยที่สุด”เบลนโนต่อประโยคด้วยความแปลกใจเป็นล้นพ้น เมื่อสิ่งที่เขาเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมากลับมายืนอยู่ต่อหน้าเขาเอง


“ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับพี่ ๆ”


“บุตรเทพอักษรสุริยัน อาเทน มัลโค (Aten Mulco) ครับผม”อาเทนเอ่ยยิ้ม ๆ แต่ทุกคนกลับยังคงปฏิกิริยานิ่งค้างไม่หาย เจ้าตัวเล็กเลยได้แต่พรูลมหายใจอย่างหน่าย ๆ


“ผมไม่ทำอะไรพวกพี่หรอกครับ วางใจได้”อาเทนพูดขำ ๆ ก่อนที่เขาจะสะบัดนิ้วเป็นวงกลม เหล่าหนังสือสี่สีที่ลอยล้อมรอบค่อย ๆ แปรขบวนเป็นเส้นตรงและบรรจงลอยเข้ากระเป๋าของเทนที่เปิดรอไว้ก่อนแล้วทีละเล่ม ๆ จนหมด


“เอาเถอะ พักเรื่องน่าตกใจไว้แค่นี้แล้วไปต่อได้แล้ว มิร่าคอยดูแลอาเทนละกัน”อาชว่าต่อ ก่อนที่เขาจะเดินนำหน้าไปอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ส่วนอาเทนก็เดินอย่างลิงโลดไปเลียบข้าง ๆ มิร่าและจับมือแกว่งไปมาอย่างมีความสุข แถมยังฮัมเพลงในลำคออีกต่างหาก


แต่พอเดินไปซักพัก แมดกลับชะงักฝีเท้า และเดินลัดเลาะเข้าป่าแถวนั้นไป


“อ้าวเฮ้!! แมด นายจะไปไหนน่ะ!!”อาชตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งเข้าป่าตามแมดไป ทั้งทีมยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง ต่างคนต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างต้องการคำตอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดขึ้นมา ทุกคนจึงได้แต่เดินตามแมดและอาชไป


แมดยังคงเดินเข้าป่าไปโดยไม่พูดไม่จา ตามทางที่รกไปด้วยกิ่งไม้รวมถึงหญ้าที่ขึ้นมาสูงถึงเข่านั้นไม่ได้ทำให้แมดลดความเร็วลงเลย แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือมันไม่ได้เข้าถึงตัวแมดเลยต่างหาก เพราะทันทีที่แมดย่างก้าวผ่าน เหล่าต้นหญ้ารวมถึงกิ่งไม้ต่าง ๆ ก็พากันแห้งและแหลกเป็นผงไปราวกับว่ามันถูกดูดพลังชีวิตไป ด้านหลังแมดจึงเป็นทางเดินโล่ง ๆ ไปเลย ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ก็ตามที


“เจ้าบ้าแมด!! ได้ยินมั้ย!!”อาชตะโกนลั่น แมดหยุดกึกราวหลุดจากภวังค์ความฝันและหันมามองอาชอย่างงง ๆ


“มีอะไรเหรออาช ? ”แมดหันมาถามหน้าซื่อ


“อ๊ะ อย่าเพิ่งเข้ามาไกล้นะ ยังไม่ได้เอาออกเลย”ว่าแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ และยกมือห้ามอาชที่จะวิ่งเข้ามาไกล้เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เอามือวาดผ่านช่วงหน้าอกตัวเอง ในทันใดต้นไม้รอบตัวเขาก็หยุดกลายเป็นฝุ่นผงราวกับอะไรบางอย่างที่หุ้มรอบตัวแมดหายไป ผิดแต่ว่า “อะไรบางอย่าง” นั้น ไม่ใช่สิ่งที่อาชมองเห็นเลย


“นี่นาย เดินมาทางนี้ทำไมเนี่ย ? ”อาชหอบแฮ่กทันทีที่ตามทัน ดีหน่อยที่ทางที่แมดเดินผ่านนั้นไม่มีอะไรกีดขวางเขาจึงวิ่งเข้าหาแมดได้เร็วมากขึ้น ไม่งั้นป่านนี้เขาเองก็ยังคงตามไม่ทันหรอก


“ก็...ไม่รู้สิ จู่ ๆ ก็อยากเดินมาทางนี้น่ะ”แมดตอบแบบหน้าตาย จนอาชแทบอยากจะชกเขาซักหมัดถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน


“อีกอย่าง ฉันว่าเราเจอของดีแหละนะ...”ว่าแล้วแมดก็ชี้ไปทางป้ายไม้เล็ก ๆ เก่า ๆ ที่อยู่ห่างไปไม่เท่าไหร่


“โอย คุณอาชกับคุณแมดเร็วจังเลย”พวกของเบลนโนเพิ่งเดินมาถึงบ่นระงม แต่แล้วสายตาของเบลนโนก็ไปสะดุดกับป้ายไม้แทบจะทันที


“คุณอาช ป้ายนั่น ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอสำรวจได้มั้ยครับ ? ”เบลนโนไม่รอคำตอบหลังจากที่ถาม เจ้าตัวรีบเดินไปที่ป้ายนั่นทันที มันเป็นป้ายเก่า ๆ ที่เขียนด้วยลายมือไม่สวยนักว่า “ออกไปซะ เผ่า.......ไม่ต้อนรับพวกเจ้า”


“เผ่า.........”เบลนโนพยายามจ้องไปที่ป้ายไม้มากขึ้น ก่อนจะบิดมันไปซ้ายทีขวาทีเผื่อจะมองเห็น


แต่กรรมของเวร.......


ป้ายหัก....


“หยา.......”เบลนโนเหงื่อตกนิดหน่อย ก่อนจะค่อย ๆ ล่าถอยออกมา


“ใครกันเนี่ย มาซะเช้าเลย ฮ้าววว”


!?


“ใครน่ะ!!”อาชตะโกนลั่น แต่ที่ตอบกลับเขามีเพียงความเงียบเท่านั้น


เสียงฝีเท้าแหวกหญ้าค่อย ๆ ใกล้เข้ามา และแทบจะทันที พวกอาชแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อได้มองผู้มาเยือนชัด ๆ


สิ่งแรกที่พวกเขารู้ได้ทันทีก็คือ.......... ”เธอ” ไม่ใช่ “มนุษย์”


ทำไมน่ะเหรอ ?


เรือนร่างของเธอเหมือนมนุษย์ทั่วไป “แทบจะ” ทุกอย่าง ผิดแต่ว่าเธอมีปีกเรียบลื่นสีดำสนิทดุจปีกค้างคาว และหูที่อยู่ผิดตำแหน่งไปไม่หน่อย


เรือนผมกระเซิงของเธอเป็นสีน้ำเงิน และบนหัวของเธอมีหูแหลมสองหูสีดำสนิท ดวงตาของเธอแดงจนดูน่ากลัว เธอปรากฏตัวในชุดเสื้อกั๊กคลุมตัวสีน้ำเงินเข้ม และเสื้อซับในสีดำสนิท กระโปรงชายขาดวิ่นของเธอเองก็ไม่พ้นสีน้ำเงิน และกางเกงซับในสีดำเช่นเดียวกัน


“พวกเจ้านั่นแหละเป็นใครกัน ? ป้ายกั้นเขตแดนก็ตั้งหราอยู่นี่นา.....”


“เอ่อ.........ป้ายกั้นเขตแดนที่ว่า.......ใช่นี่รึเปล่าครับ ?”เบลนโนชี้ไปที่ซาก (?) ป้ายที่หักคาอยู่บนพื้น สตรีปริศนารีบหันตามและเบิกตากว้างทันใด


“หวา~~~~~~~~ ป้ายของข้า~~~~~~~~~”ว่าแล้วเธอก็ถลาเข้าไปหาป้ายในทันใด ก่อนจะยกมันขึ้นมาลูบไล้ราวหวงแหนยิ่งชีพ


“ใคร!!”หล่อนตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาลถึงขีดสุด ดวงตาสีเลือดของเธอตวัดมองทุกคน ซึ่งชี้ไปที่เป้าเดียว


อาช


“หะ............หา!?”


“แก!!!!!”


อาชไม่ทันที่จะได้ตกใจอะไร ก็ต้องรีบชักดาบที่เป็นหนึ่งในสี่เล่มที่เอวเขาออกมารับคมเคียวด้ามโตสีน้ำเงินของเจ้าหล่อน ดาบสีเหลืองของเขาต้านไว้ได้ก็จริง แต่กลับสั่นระริกราวกับกำลังสู้แรงกันอยู่


ดาบของอาชเป็นดาบสองคมเรียวยาวราวสองศอก แม้จะดูบางแต่ก็ทนทานและมีสีสันแสบตา แม้จะดูไม่มีพิษภัย แต่ยามที่มันทอประกายแสงกลับดูมีพลังอย่างแปลกประหลาดเคลือบแฝงไว้จนคนมองใบดาบอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาจึงมีดาบสีสันแสบตาเช่นนี้


นานมากแล้วที่แมดไม่ได้เห็นอาชชักดาบออกจากฝักของเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ได้ใช้อะไรหรอกนะ แต่อาชบอกเขาไว้ว่า อาณุภาพของมันมีมากเกินไป และจะไม่ใช้เด็ดขาดหากไม่จำเป็น แต่ถ้าอาชถึงกับต้องควักมาใช้นี่ หมายความว่าอีกฝ่ายต้องร้ายกาจแน่ ๆ


“แรงเยอะชะมัดเลย”อาชสบถในใจ ก่อนจะปัดคมเคียวอันแสนร้ายกาจออกไป และชักดาบสีแดงออกมาอีกเล่ม


“ป้ายของข้า~~~~~~~”สตรีปริศนายังคงบุกเข้ามารุกต่อทันทีด้วยความบ้าคลั่ง


แม้อาวุธของเธอจะใหญ่ แต่ความรวดเร็วนี่ถือว่าเธอมีสูงมากทีเดียว อาชที่ถือดาบคู่ทำได้เพียงตั้งรับก็เต็มกลืนแล้วแท้ ๆ เคียวของเจ้าหล่อนฟาดมาแต่ละครั้งแทบจะเรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ให้สวนกลับ อีกทั้งตอนนี้เจ้าหล่อนยังบันดาลโทสะถึงขีดสุด พูดอะไรไปคงไม่เข้าหูแหง


เสียงปะทะของโลหะยังคงดังเคร้งคร้างต่อเนื่อง อาชปัดป้องจนกระทั่งหาช่องโหว่ได้ เจ้าตัวรีบกระโดดแผลวไปเหยียบก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ดาบทั้งสองสีของเขาเปล่งแสงวูบหนึ่งก่อนจะดับลง


“ดิน ไฟ ก่อเกิดหิน ปูพรมหอกศิลา!!”อาชตะโกนลั่น ก่อนที่จะใช้ดาบทั้งสองเล่มแทงเข้าที่หินก้อนนั้น เกิดเสียงครืนเล็กน้อยรอบตัวเขา สตรีปริศนายังไม่ลดละความพยายาม เธอพุ่งเข้าหาอาชทันทีที่เห็นว่าเขาหยุดการเคลื่อนไหว แต่เธอก็ต้องรับรู้ได้ในเวลาถัดมาเพียงชั่ววูบว่าเธอคิดผิดเสียแล้ว


หอกศิลาจำนวนมากบังเกิดขึ้นจากพื้นดินจำนวนมากไปด้านหน้าของอาช ต้นไม้ที่อยู่แถวนั้นถึงกับล้มระเนระนาดเป็นทางยาวด้วยอำนาจดาบของเขา


“ชิ!!”หล่อนสบถเสียงดัง ปีกเรียบลื่นด้านหลังสะบัดวูบทันทีเพื่อพาร่างเธอลอยขึ้นสู่เบื้องบน


แต่อาชกลับรออยู่ก่อนแล้ว............


เสียงโลหะปะทะหนักหน่วงดังขึ้นกลางอากาศ ดาบทั้งสองของอาชและเคียวของเธอปะทะและต้านกันอยู่นานอย่างไม่มีใครยอมใคร


“ฝีมือร้ายกาจใช่ย่อยนี่นาเจ้าหนู.........”เธอเอ่ยชม ก่อนจะปัดดาบทั้งคู่ของอาชที่ยันอาวุธเธอไว้ออก และฟาดคมเคียวใส่เขาในแนวนอน หวังจะให้คอของอาชได้ลิ้มรสความคมของเคียวเล่มนี้


แต่อาชเองก็ใช่จะยอม เขารู้ดีว่าเธอจะมาทางไหน เขาจึงรีบก้มตัว และฟาดดาบสีแดงขึ้นในแนวตั้ง ทำเอาเจ้าของเคียวยักษ์ถึงกับต้องถลากลางอากาศ


“เสร็จล่ะ!! กระสุนระเบิดเพลิง!!”อาชตะโกนอย่างได้ใจ และตวัดดาบสีแดงไปด้านหน้า บอลเพลิงสามลูกพุ่งเข้าใส่เธอทันที


“อย่ามาดูถูกกันนะเจ้าหนู!!”เธอตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาลที่ยังไม่หายไป เคียวของเธอส่องประกายสีฟ้าสว่างวาบ


“ฟรีซ รีป!! (Freeze Reap)”เธอตวัดเคียวออกแนวนอน คลื่นสีฟ้าสว่างวาบไปด้านหน้า ปรากฏเป็นคลื่นน้ำแข็งวงกว้างราวเคียวน้ำแข็งขนาดยักษ์กลางอากาศ อาชถึงกับต้องรีบร่อนตัวลงพื้นเพื่อหลบท่าอันมีอาณาเขตมหาศาลของเธอ กระสุนเพลิงเมื่อกี้แทบจะเป็นของเล่นไปในทันที


“อย่าคิดว่าจะจบนะ!!”เจ้าหล่อนรีบบินลงมาหาอาชในทันทีที่เขาถึงพื้น คมเคียวของเธอง้างไปด้านหลังเตรียมเผด็จศึก


“หนอยแน่ะ!! มูน ไซค์!! (Moon Scythe)”อาชแค่นเสียงอย่างเจ็บใจ ก่อนจะเก็บดาบสีเหลืองและรีบชักดาบสีเขียวออกมาตวัดวูบ คลื่นอัดอากาศสีเขียวเข้มพุ่งเข้าหาเธอในทันที แต่เธอกลับแสยะยิ้มชวนขนลุก


“เจ้าไม่ได้ใช้เคียวได้คนเดียวจะเจ้าหนู!!”เธอตะโกนอย่างผู้มีชัย เคียวของเธอเปล่งแสงสีน้ำเงินเข้ม


“แอปโซลูต ไซค์(Absolute Scythe)”ก่อนที่จะฟาดออกเต็มแรงใส่คลื่นอัดอากาศของอาชที่ตวัดใส่


เกิดการระเบิดเป็นวงกว้างด้วยแรงปะทะมหาศาล ต่างฝ่ายต่างกระเด็นไปด้านหลังไกลโข คนอื่นที่อยู่นอกวงถูกอาเทนใช้หนังสือสีเหลืองตั้งกำแพงดินบังหน้าไว้จึงไม่ได้รับผลกระทบกันเท่าไหร่นัก


“หึหึ..............”เจ้าหล่อนที่ไถลไปกองกับซากต้นไม้หัวเราะเสียงเย็นชวนขนลุกอีกครั้งเคียวของเจ้าหล่อนเปล่งแสงแปลก ๆ สีดำจาง ๆ และค่อย ๆ เข้มขึ้น อาชที่กองอยู่ไม่ไกล้ไม่ไกลถึงกับเบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็น


“มาแบบนี้ ไม่เอาจริง คงเสียมารยาทงั้นสินะ..........”อาชแค่นเสียง ดาบของเขาค่อย ๆ เปล่งแสงสีแดงและสีเขียวเจิดจ้า เขาค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นเช่นเดียวกับสตรีปริศนา ต่างฝ่ายต่างก็มองหน้ากันอย่างไม่ละสายตา


ก่อนที่เท้าของทั้งคู่จะยันพื้นด้านหลัง และพุ่งเข้าหากัน อาวุธของทั้งคู่จะปะทะกันอีกครั้ง!!

--------------------

อัพเรื่อย ๆ =w=)~

tstcwqt1
10th July 2011, 16:43
ตอนที่ 4 ดีไวน์เนอร์


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก



นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย



ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง



จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


เพียงชั่ววูบที่ทั้งสองคนเข้าปะทะกันสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น


เพียงพริบตา แสงสีเหลืองทองสาดส่องสว่างจ้าทั่วบริเวณ ทำเอาทั้งอาชและสตรีปริศนาถึงกับต้องชะงักการโจมตีของตนและมองหาต้นแสง แต่ก็ต้องแปลกใจเป็นทวีคูณ เมื่อต้นแสงนั้นไม่ใช่อื่นไกล แต่กลับมาจากสร้อยคอของอาชเอง แต่เพียงวูบเดียวแสงก็ดับลงพร้อมกับทุกอย่างที่ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง


“ดีไวน์เนอร์ ?”สตรีปริศนาพูดด้วยน้ำเสียงปนสงสัย เจ้าหล่อนหยุดการกระทำของตนทันทีและลดเคียวลง ออร่าสีดำสนิทที่ก่อตัวก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้นราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


“หือ ?”อาชหรี่ตาลงเมื่อได้ยินศัพท์ไม่คุ้นหู เขาเองก็ลดดาบลงเช่นกันเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายคิดจะสู้ เดิมทีเขาไม่ได้อยากสู้กับเจ้าหล่อนอยู่แล้ว เพียงแค่สู้เพื่อหยุดเจ้าหล่อนพร้อม ๆ กับป้องกันตัวเองเท่านั้น หากอีกฝ่ายไม่คิดสู้เขาเองก็ไม่คิดจะรุกไล่ต่อ


“เจ้าหนู.....แกเป็นใครกันแน่ ?”สตรีปริศนาเอ่ยถาม ตอนนี้เคียวเจ้าหล่อนหายไปแล้วซึ่งอาขไม่รู้ว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือตอนไหน แต่เขาไม่คิดจะถามเท่าไหร่นัก


“..............”อาชไม่ตอบ เขาทำเพียงเก็บดาบทั้งสองเข้าฝักของมันเท่านั้น แต่ก็ยังมีการจับด้ามดาบเอาไว้เพราะความระแวงที่ยังไม่หายไป


“เจ้าน่ะ ชื่ออาชสินะเจ้าหนู”สตรีปริศนาเห็นอาชนิ่งเงียบจึงไม่คิดจะถามคำถามเดิม แต่กลับยิงคำถามใหม่แทน จนอาชที่ยืนจับด้ามดาบอย่างระแวงถึงกับหายใจผิดจังหวะเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้ชื่อตน


“ถ้าใช่...........แล้วจะทำไม”อาชสวนกลับเสียงนิ่ง เขาพยายามรักษาลมหายใจให้คงจังหวะไว้ แต่สตรีตรงหน้ากลับกระหยิ่มยิ้มอย่างผู้มีชัยราวกับว่าอ่านอาชได้ทะลุปรุโปร่ง อาชไม่แน่ใจกับท่าทีของเจ้าหล่อนจึงทำได้เพียงจับด้ามดาบให้แน่นขึ้นเพื่อเตรียมบุกอีกครั้ง


“แม่ของเจ้าชื่อฟิอาสินะ ส่วนน้องชายก็ชื่ออาเทน อายุแค่สิบขวบ แถมผมทองด้วย”เธอยังคงพูดในสิ่งที่อาชคิดว่าเธอไม่รู้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาชไม่แน่ใจว่าเธอเป็นอะไรกับเขากันแน่ถึงได้รู้เรื่องของเขาได้ละเอียดขนาดนี้


“นี่คุณ..........”


“เนอะ....... เจ้าหัวขี้เถ้า”


“หือ!?”อาชเบิกตาโพลงทันทีกับคำเรียกหลังสุด เพราะเท่าที่เขาจำความได้ คนที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ


“ป้าซีรีน!!”อาชตะโกนลั่นพลางชี้หน้าบุคคลตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ความระแวงของเขาหายไปจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงความประหลาดใจเป็นล้นพ้นเท่านั้น


“กว่าจะจำได้นะเจ้าสมองบื้อเอ๊ย!!”


ผัวะ!!


ซีรีนตรงเข้าตบกบาลอาชลั่นจนถึงกับเซถลาไปข้างหนึ่ง แต่อาชก็ตั้งตัวได้และสวนซีรีนกลับด้วยใบหน้ามุ่ย ๆ ชวนทะเลาะ


“แกจะสู้ป้าเหรออาช สมัยก่อนแกไม่เคยชนะป้าเลยนะ”เธอเอ่ยยิ้ม ๆ กับท่าทีของหลานชายกวนโอ๊ยตรงหน้าซึ้งตอนนี้เขากำลังมองเธอค้อน ๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับว่าเธอแฉอะไรเขาซักอย่างซึ่งแน่นอนว่ายิ่งซีรีนเห็นแบบนี้ยิ่งอยากแกล้งซะเหลือเกิน


“พอซักทีได้มั้ยครับป้า!!”อาชตะโกนลั่นด้วยความอายหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่เขาไมได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ใบหน้าเขากำลังแดงก่ำเพราะเลือดสูบฉีดเสียจนไม่ต่างกับผลสตรอเบอร์รี่สุก


“จ้า ๆ”ซีรีนตอบหน่าย ๆ เพราะหลานชายเล่นตะโกนลั่นซะจนเธอหมดอารมณ์อยากแหย่ต่อ


“ว่าแต่เจ้าอาเทนล่ะ เห็นฟิอาบอกมาว่าตามมาด้วยนี่ ?”ซีรีนเปลี่ยนประเด็น อาชไม่ตอบ แต่ทำเพียงเบี่ยงตัวออกเพื่อให้เห็นตัวอาเทนที่ยืนทำมุมฉากกับเขา


“ครับ ?”อาเทนขานรับเบา ๆ และค่อย ๆ เดินมาด้านหน้า หนังสือทั้งสี่ของเขายังไม่ถูกเก็บเข้ากระเป๋าเนื่องจากความระแวง แต่อาชก็วางมือลงบนหัวอาเทนเบา ๆ เป็นความนัยว่าไม่มีอะไร อาเทนจึงสะบัดนิ้วเป็นวงกลมให้เหล่าหนังสือทั้งหลายลอยเข้ากระเป๋า


“นี่ไงป้าซีรีน แม่เขาก็เคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ลืมแล้วรึไง ?”


“ผมอายุไม่ถึง 10 นะครับพี่ อีกอย่าง ผมรู้จักป้าซีรีนแค่ชื่อด้วย”


“ก็......”อาชอ้าปากพูด แต่ไม่ทันจบประโยค.......


“นี่อาช แกคิดจะลืมพวกเราจริง ๆ รึไง ?”


อาชไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กำแพงดินก็ถูกกระแทกด้วยกำปั้นของแมดจนพังทลายลงมา ปรากฏว่าแมดกำลังทำหน้าเบื่อเต็มที่เนื่องจากตัวเองถูกลืมสนิท


จะไม่ให้เบื่อได้ไง ในเมื่อพวกเขาเองต้องมายืนดูการต่อสู้แบบนี้ พอสู้เสร็จก็ดันลืมกันได้หน้าตาเฉย


“เอิ่ม..........โทษทีนะ”อาชหน้าซีดกะทันหัน ไม่ใช่แกล้งลืมหรอก แต่เขาลืมสนิทจริง ๆ เลยต่างหาก ก็เหตุการณ์รอบข้างมันเร็วเองนี่นา คงไม่ใช่ความผิดเขาใช่มั้ย ?


“เออช่างเถอะ ว่าแต่แกช่วยแนะนำหน่อยจะได้มั้ย รู้จักกันแค่สองคนชาวบ้านเขางงนะเฟ้ย”


“เอ่อ.........อืม ๆชพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนออกเพื่อเตรียมตัวนิดหน่อย


“ทุกคน นี่คือป้าซีรีน ซี้แม่ฉันเองแหละนะ สมัยก่อนเคยมาเล่นด้วยกันบ่อย ๆ อีกอย่างเธอคนนี้เป็นปิศาจเผ่าเซร่าที่ปิดตัวออกจากโลกภายนอก นาน ๆ ทีถึงจะออกมาจากหมู่บ้านของตนเองเพื่อส่งสารหรือสำรวจพื้นที่ หรือทำภารกิจบางอย่าง เลยเห็นตัวได้ยากน่ะ”


“สมัยก่อนป้าซีรีนออกมาทำภารกิจของหมู่บ้านแล้วดันมาเจอพ่อเข้า เลยหลงรักพ่อหัวปักหัวปำ แต่พ่อก็ดันไปชอบแม่มากกว่า ป้าซีรีนก็เลยต้องแพ้ไปอะนะ ฮ่ะๆๆๆๆๆ”อาชแนะนำพลางหัวเราะร่วนเพียงคนเดียวไม่ดูรอบข้าง ด้วยฝีปากปีจอแบบที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัว เพราะตอนนี้ มันไปสะกิดต่อมอะไรซักอย่างของซีรีนเข้าซะแล้ว


“ทุกคนครับ หลบหลังผมนะครับ”อาเทนเดินทิ้งอาชไปหาพวกแมดก่อนจะกางหนังสือเล่มสีเหลือง


“เทร่ามาเกีย ปราการกระจกแปดทิศ”ว่าแล้วอาเทนก็ร่ายเวทย์ตั้งกำแพงใสขึ้นรอบทิศป้องกันพวกอาเทนไว้ทุกคน


ยกเว้นแค่อาช..........


“เอ๋ ?.........”อาชนิ่งไป เดี๋ยวสิ นี่มันมีอะไรพลาดไปงั้นเหรอ ?


“อาช.............”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเขา เป็นเสียงที่เยือกเย็นชนขนลุกที่สุดเท่าที่อาชเคยได้ยินมา อาชค่อย ๆ เหลียวไปมองช้า ๆ แต่ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากซีรีน แต่เท่าที่ดูคงไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก เคียวของเจ้าหล่อนที่ตอนแรกอาชคิดว่าเธอเก็บมันไปแล้วตอนนี้กลับมาประจำมือของเธออีกครั้ง หนำซ้ำตัวเคียวยังแผ่ไอเย็นเสียจนอาชขนลุกวูบในทันตา


“ไปตายซะไป!!”


“อร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”


และแล้ว Einherjar’s Story ก็ต้องจบลงอย่างกะทันหัน เนื่องจากพระเอกไม่อาจแสดงต่อได้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดนะครับ








ไม่ใช่เฟ้ย!!


เสียงร้องอย่างโหยหวนของอาชดังลั่นไปไกล เหล่านกมากมายบินออกจากแมกไม้อย่างแตกตื่นเพราะเสียงอันไม่พึงจะอยากฟังเท่าไหร่นัก



เวลาไกล้ ๆ กัน ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปมากจากจุดที่อาชอยู่


ที่นี่เป็นหมู่บ้านไม่ใหญ่นักเพราะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน อีกทั้งยังไม่มีชื่อและไม่ปรากฏในแผนที่อีกด้วย


ผู้คนที่นี่มีไม่เยอะมากนัก เพราะส่วนมากก็อพยพมาจากหมู่บ้านริมทะเลที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะ พวกเขาจึงรวมตัวกันสร้างหมู่บ้านขึ้นใหม่ที่ผืนดินแถบอาณาจักรอาชิฮาร่าซึ่งก็”ด้รับการต้อนรับจากกษัตริย์เป็นอย่างดีและก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นได้ในเวลาไม่นานนัก


“หวะ.........ไหวมั้ยครับป้า ?”ชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามที่จะช่วยหญิงชราคนหนึ่งถือของขึ้นสะพานข้ามคลอง ซึ่งของที่หญิงชราแบกมานั้นก็ไม่ใช่น้อย แต่ชายหนุ่มกลับเก้ ๆ กัง ๆ ที่จะเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่เข้าไปช่วย


เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่และล่ำสัน เรือนผมของเขาเป็นสีฟ้าครามราวผืนฟ้าที่สดใส ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าสุกสกาวดูสวยงามแต่บัดนี้มันกำลังสั่นระริกเพราะเจ้าตัวเลิก ๆ ลั่ ก ๆ กับการจะเข้าไปช่วยหญิงชราตรงหน้า แต่ก็น่าแปลกเพราะตอนนี้แดดกำลังส่องแรงเนื่องจากเป็นยามบ่ายแต่เขาคนนี้กลับสวมเพียงเสื้อกั๊กและกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อนปิดทับผิวสีขาวนวลของเขาเท่านั้น และดูท่าทางของเขาแล้วเขากลับไม่มีทีท่าร้อนเลยทั้ง ๆ ที่แดดยามบ่ายของที่นี่นั้นช่างร้อนระอุ


“จ้า ๆ ไม่เป็นไรหรอกพ่อหลานชาย ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า”หญิงชรายิ้มละไมตอบกลับ เธอค่อย ๆ ก้าวขึ้นขั้นบันไดข้ามคลองอย่างมั่นคงทีละก้าว ๆ


แต่สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง


หญิงชราก้าวพลาดเพียงนิดเดียวเท่านั้น เธอพยายามรั้งตัวให้ยืนตรงแต่กลับทำไม่ได้เนื่องจากน้ำหนักของสิ่งที่เธอแบกขึ้นหลังนั้นมีมากเกินไป และในไม่ช้าหากเธอยังประคองตัวไม่ได้ก็คงไม่แคล้วต้องตกลงไปในคลองลึก


“เน็ต!! (Net)”ชายหนุ่มตะโกนลั่นและปาโซ่เส้นหนึ่งไปหาหญิงชราที่กำลังร่วงลงมาจากขั้นบันได ในพริบตาเดียว โซ่นั้นค่อย ๆ ถักทอตัวเองอย่างรวดเร็วกลางอากาศจนเป็นตาข่ายขนายักษ์รับร่างของหญิงชราเอาไว้รวมถึงสัมภาระมากมายนั้นเอาไว้อย่างง่ายดาย


“ฟู่ว”เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะค่อย ๆ ชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามของสะพานเพื่อให้โซ่นั้นพาร่างของหญิงชราไปอีกฝั่งของคลอง


“ขอบใจนะจ๊ะพ่อหนุ่ม”หญิงชราหลังจากก้าวลงจากตาข่ายโซ่ได้ก็หันมาค้อมหัวให้เขาแต่ยิ้มให้อีกครั้ง เขาเองก็ยิ้มตอบกลับเช่นกัน


“ถ้าไม่รังเกียจอะไร ขอให้ป้าได้ทราบชื่อหนูได้มั้ยจ๊ะ”


“รีเซลครับ รีเซล ทริกส์ (Rezel Trixz)”รีเซลแนะนำตัวพลางค้อมหัวให้หญิงชรา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเธอก็เดินจากไปเสียแล้ว


“เอาล่ะ................”รีเซลพูดเสียงนิ่ง ไม่ใช่น้ำเสียงสดใสเช่นก่อนหน้า แต่คราวนี้มันกลับเป็นน้ำเสียงที่เย็นเยียบชวนขนลุก


“จะออกมาได้รึยัง ?”รีเซลหันไปหาต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่แถวนั้น โซ่ของเขาถักทอตัวเองเป็นเปลือกไข่และหมุนรอบตัวรีเซลช้า ๆ ราวกับว่าจะปกป้องเจ้านายของมัน


“ถ้ายังไม่ออกแล้วชั้นบังคับให้ออกล่ะก็ เจ็บหนักนะ เอลมาน่า อิมาน่า”รีเซลตาขวางในทันที


“จ้า ๆ”จู่ ๆ ก็มีเสียงสตรีเล็ดรอดออกมาจากเงาไม้ พร้อมกับเจ้าของเสียงที่ค่อย ๆ เดินออกมา


เจ้าหล่อนเป็นหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาสะสวยเอาการ ใบหน้าเรียวรีได้รูป อีกทั้งดวงตาของเจ้าหล่อนยังเป็นสีเหลืองสุกสกาวสดใส เรือนผมสีเหลืองยาวถึงกลางหลังถูกคาดด้วยที่คาดผมสีแดงสดตัดกันอย่างสิ้นเชิงนั้นไม่ได้ถูกรวบหรืออะไรแต่ก็ดูเป็นระเบียบ เรือนร่างของเธอถูกปกปิดด้วยชุดรัดรูปเกาะอกสีแดงสดเช่นเดียวกับที่คาดผมของเธอ และรองเท้าส้นสูงที่ไม่พ้นสีแดงเช่นกัน


“นายนี่ ถ้าเรื่องความไวในการตรวจจับ แม่นที่สุดในบรรดาเซเว่นเดย์(7 Days)ของเรานี่ ท่าจะจริงซะล่ะมั้งเนี่ย ?”อีกหนึ่งเสียงดังขึ้น ปรากฏร่างหญิงสาวที่มีการแต่งกายเหมือนกับคนก่อนหน้า อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของเธอยังเหมือนกันราวภาพสะท้อนในกระจกไม่มีผิดเพี้ยน


“มีอะไรก็ว่ามา”รีเซลไม่เปลี่ยนสีหน้า โซ่ของเขายังคงล้อมตัวเขาไว้เช่นเดิม หนึ่งในสองสตรีผู้มาใหม่หัวเราะคิกคักในลำคอราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกก่อนจะเอ่ยปากพูด


“พอดีว่าเราบังเอิญไปรู้มาน่ะนะ.......”


“ว่าหนึ่งในผู้เสาะหาน่ะ”


“มีคนที่ชื่อเบลนโน”


“แล้วก็ทิออสอยู่ด้วยน่ะ”


ทั้งสองคนผลัดกันพูดคนละประโชคชวนงงงวย แต่รีเซลไม่งงงวยเท่าไหร่นัก อาจเพราะเขาคุยกับเจ้าหล่อนทั้งสองจนชินแล้วกระมัง


“เบลนโน ? ทิออส ?”รีเซลทวนคำอย่างประหลาดใจ ดวงตาสีฟ้าใสของเขาเบิกขึ้นนิดหนึ่งก่อนจะหรี่ลงตามเดิม มุมปากของเขาค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นช้า ๆ ดูน่าขนลุก


“ขอบใจ”รีเซลเอ่ยสั้น ๆ เขากวักมือเป็นสัญญาณให้เหล่าโซ่ค่อย ๆ คลายตัวเองออกและมุดตัวมันเองเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาเอง และทันทีที่โซ่ทั้งหมดหายไปในกระเป๋า รีเซลก็หายตัวไปราวหมอกควันเพียงชั่วพริบตา


“คิกคิก............”สตรีทั้งสองหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนที่จะหายตัวไปเช่นกัน

-----------------

=w=)

tstcwqt1
15th July 2011, 00:44
ตอนที่ 5 เดินทางอีกครั้ง



ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก



นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย



ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง



จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


"พี่ครับ ยังไหวมะ.......?"อาเทนย่อเข่าลงจิ้ม ๆ ซาก(?)ของอาชที่หมดสภาพบนผืนป่าหลังจากคลายเวทย์กำแพงลง


"ไม่ไหว แต่ก็ไม่ตาย............."อาชตอบเสียงร่อแร่ และปัดมืออาเทนที่กำลังจิ้มตัวเองออก


"เฮ้อ.............. อาเมนอสมาเกีย(เวทย์ลม) สายลมกลิ่นบุปผา"อาเทนถอนหายใจและกางหนังสือเล่มสีเขียวออก สายลมค่อย ๆ พัดมาให้เย็นสบาย ละอองสีเขียวค่อย ๆ ปลิวออกมาจากตัวหนังสือและห่อหุ้มร่างของอาชไว้ทีละนิด ๆ บาดแผลของเขาค่อย ๆ หายไปช้า ๆ อีกทั้งละอองนั้นยังส่งกลิ่นหอมกำจายทั่วบริเวณ


"จะเอายังไงล่ะทีนี้ เจ้าอาชก็หมดสภาพไปแล้วด้วย เส้นทาง หมอนั่นก็รู้อยู่คนเดียว"แมดกอดอกพึมพำ คนที่พึ่งได้คนเดียวตอนนี้ก็กลายเป็นซากไปแล้ว จะไปต่อยังไงล่ะเนี่ย ?


"เอางี้ พวกเธอไปหมู่บ้านของป้ามั้ย ? ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว"ซีรีนเสนอแนวคิด แต่กลับไม่มีใครตอบ


"คือว่าพวกเราอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจของโรงเรียนน่ะค่ะคุณซีรีน เราต้องไปที่ราชอาณาจักรอาชิฮาร่า แถมเวลาเดินทางก็แค่สองอาทิตย์ พักไม่ได้หรอกค่ะ"มิร่าชี้แจง คนอื่นพยักหน้าตามหงึกหงักเป็นเชิงเห็นด้วย


"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกจ้า"ซีรีนสะบัดมือไปมาราวกับมันเป็นเรื่องเล็กและหัวเราะร่า


"หมู่บ้านป้าน่ะ มีเกทพอร์ทอยู่ ไปไหนมาไหน ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวก็เกินพอแล้วจ้ะ"


"จริงเหรอครับ ?"แมดถามอย่างสงสัย


"โกหกไปป้าก็ไม่ได้เงินหรอกจ้ะ"ซีรีนอมยิ้มขำ


เมื่อสอบถามเบ็ดเสร็จ รวมถึงอาชที่คืนสภาพจากซากมาเป็นคนแล้ว ทุกคนจึงตกลงใจไปที่หมู่บ้านของซีรีนกันอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ



ผ่านไปพักใหญ่.......


ขณะนี้พวกอาชเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ ตามที่ซีรีนนำทาง ผ่านสิ่งอัศจรรย์ตระการตาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ขนาดหลายสิบคนโอบ หรือแม้แต่น้ำตกที่สูงชัน หมู่มวลสัตว์ป่านานาชนิดที่ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป


แม้จะเป็นแบบนั้น แต่ปัญหาน่ะมันก็มี..............


ก็เล่นพาเดินซะขาลากนี่สิ.......


“คุณซีรีนคะ พักหน่อยดีมั้ยคะ?”มิร่าถามเสียงอ่อย เธอค่อย ๆ เดินเข้าหารากไม้ขนาดใหญ่ที่โผล่พ้นผืนดินขึ้นและนั่งพักลงไปอย่างเหนื่อยอ่อนและล้าขา ทุกคนเองก็เริ่มนั่งพักเหมือนกันจนซีรีนได้แต่เท้าเอวพรูลมหายใจอย่างหน่ายจิตและไม่ได้ดั่งใจนึก


“เฮ้อ..........หนุ่ม ๆ สาว ๆ สมัยนี้นี่ไม่ไหวเลยแฮะ อ่อนแอกันจังแฮะ”


“ใครจะไปกร้านโลกแบบป้าล่ะครับ......”อาชอุบอิบทันทีที่ซีรีนจบประโยคจนผู้ถูกพาดพิงหันขวับ


“อะไรนะอาช ?”ซีรีนถามสวนทันควัน


“ไม่มีอะไรครับ”อาชเบี่ยงประเด็นดื้อ ๆ ซีรีนหรี่ตามองแวบนึงด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก ปีกเรียบลื่นด้านหลังเธอกระพือพาร่างหล่อนขึ้นนั่งบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งด้านบน


“เฮ้อ.......”ซีรีนถอนหายใจแช่มช้าและยาวนานราวปลงตก เธอเหม่อมองผืนฟ้าราวกับมองหาอะไรซักอย่างผ่านมวลก้อนเมฆเหล่านั้น อาชได้แต่มองท่าทีของป้าตนเองอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะเขาพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าในสมัยที่เขายังเด็ก ซีรีนมักจะชอบเหม่อมองท้องฟ้าแบบนี้เสมอ ๆ ทุกครั้งที่เธออยู่คนเดียว และทุกครั้งที่อาชเรียกเธอ เธอมักจะมีน้ำใส ๆ รื้นที่หางตาทุกครั้ง


“ทุกคน ลุกไหวแล้วสินะ ไปต่อเหอะ..........”อาชหันไปพูดกับคนในกลุ่ม ทุกคนลุกขึ้นในเวลาไล่ ๆ กัน อาเทนอิดออดนิดหน่อยเพราะไม่หายเหนื่อยแต่โดนอาชมองด้วยสายตาแปลก ๆ จึงยอมลุกตามอีกคนอย่างเสียไม่ได้


“ป้าครับ ไปต่อเถอะครับป้า”


“อืม”



ครึ่งชั่วโมงต่อมา..........


“เอ.............”ซีรีนเดินไปพลางแหวกกิ่งไม้ไปพลาง เจ้าตัวแตะริมฝีปากตัวเองและมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยว่าทำไมเส้นทางไม่คุ้นตาเอาเสียเลย


“ก็น่าจะทางนี้นี่นา..................”ซีรีนพึมพำ และเหลือบไปมองพวกอาชที่กำลังเดินตามมาช้า ๆ ราวกับว่ากลัวพวกอาชจะได้ยิน


“ใกล้ถึงแล้วเหรอครับป้า?”ขณะเดียวกันที่พวกอาชเดินมาถึง อาชยิงคำถามทันทีเพราะเห็นซีรีนหยุดยืนทั้ง ๆ ที่ปกติยังเดินนำลิ่ว สงสัยคงใกล้ถึงแล้วล่ะมั้ง.........


“อะ........อื้ม!!”ซีรีนตอบทันควัน อันที่จริงก็ยังไม่ถึงหรอก แต่จะให้คนนำทางมาหลงทางเสียเองแบบนี้ก็เสียฟอร์มแย่สิ ตอบ ๆ ไปก่อนละกัน สงสัยคงอ้อมทางมาแหละน่า


“ไปต่อเถอะ ทางยังอีกไกลนะอาช” ซีรีนเดินนำลิ่วอีกครั้งโดยไม่สนหนทางข้างหน้า อาชเอียงคองงนิดหน่อยกับท่าทีรีบ ๆ รน ๆ แต่เขากลับไม่ใส่ใจและเดินต่อ คนอื่นพอจะจับสังเกตได้บ้าง แต่พอเห็นซีรีนเดินนำลิ่ว และอาชที่เดินตามไปติด ๆ จึงได้แต่เดินตามไปเพราะสถานการณ์บังคับ ทั้ง ๆ ที่พิรุธนี้แม้แต่อาเทนเองก็ยังเห็น


จะไหวมั้ยน้อ..........................?


“เอาวะ.........เป็นไงเป็นกัน”ซีรีนเลียริมฝีปากตัวเองแผลบ และมุ่งหน้าไปตามสัญชาติญาณ ไม่ไปมันล่ะหมู่บ้าน เจอที่ไหนค่อยว่ากันอีกที


หวังว่าคงไม่ใช่ที่นั่นหรอกนะ.....................



ขณะเดียวกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง


บนทางเดินในปราสาทอันแสนมืดมิด นอกหน้าต่างมองออกไปก็พบเมฆหมอกสีดำทมึนที่มีประกายไฟฟ้าแปลบปลาบพร้อมจะฟาดสายฟ้าได้ตลอดเวลา แสงที่เกิดจากประกายไฟฟ้าเหล่านั้นที่เล็ดรอดผ่านหน้าต่างริมทางเดินทำหน้าที่ไม่ต่างจากตะเกียงส่องทาง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทางเดินของที่นี่จึงไม่มีโคมไฟติดโดยรอบในเมื่อแสงสว่างด้านนอกก็ทำให้พอจะมองเห็นทางแม้จะไม่มากก็ตามที อีกทั้งสายลมพี่พัดผ่านเข้ามาทำให้เกิดเสียงอื้ออึงราวเสียงโหยหวนของปิศาจ ทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องรู้ได้ทันทีว่าต่อให้มีคบเพลิงก็คงดับในเวลาเพียงชั่วอึดใจเป็นแน่


ตึ่ก..........ตึ่ก.........ตึ่ก...........


เสียงก้าวย่างของรีเซลดังอย่างสม่ำเสมอบนทางเดินที่มืดมิด ใบหน้าของเขาไม่มีแววร่าเริงเช่นคราวก่อน แต่กลับเป็นใบหน้าที่นิ่งสงบไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใด ๆ จนดูน่าขนลุก


ฉับพลัน ด้านหน้ารีเซลปรากฏเส้นแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่งและชั่วพริบตาถัดมา มันกลับกลายสภาพเป็นร่างของบุคคลหนึ่งที่สูงเท่า ๆ กับเขา แต่เท่าที่ดูส่วนสูงจริง ๆ เท่าไหร่รีเซลเองก็คงไม่ทราบเพราะชายผู้นี้สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มตลอดเวลา อีกทั้งยังมีฮู้ดทรงสูงสองแฉกนั่นอีก


“รีเซล”เขาเอ่ยปากเพียงเล็กน้อย เสียงเล็ดรอดออกมานั่นไม่ใช่เสียงที่ดังนักแต่น่าแปลกที่ได้ยินมันเต็มสองรูหูทั้ง ๆ ที่ด้านนอกก็มีฟ้าผ่าเป็นระยะ ๆ ไหนจะเสียงลมที่อื้ออึงนี่อีก


“มีอะไรครับ ท่านวิคเตอร์ ?”รีเซลเอ่ยตอบ เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรเช่นเคย เขาจำใจพูดน้ำเสียงของเขาให้ดังนิดหนึ่งเพราะเสียงฟ้าผ่าและลมด้านนอกกวนโสตประสาทได้ยอดเยี่ยมดีจริง ๆ


“ผู้เสาะหา.............เข้าใกล้ดีไวน์เนอร์แล้ว”


“ครับ”


“ข้าขอออกคำสั่ง เจ้า..............จงไปนำมันมา”


วิคเตอร์พูดเพียงเท่านั้น เสี้ยววินาทีถัดมา เขาก็หายไปพร้อมกับเส้นลำแสงสีน้ำเงิน


“สั่งมานี่ คงไม่คิดเลยมั้งว่าเราจะทำหรือไม่ทำ แต่ก็ช่างเถอะ.............”


รีเซลบ่นอุบ ขณะเดียวกันโซ่เส้นเล็กจำนวนนึงเลื้อยออกจากกระเป๋าและพันที่ข้อมือขวาของเขา


“จะได้จัดการให้จบ ๆ ไปซักที..........” รีเซลเอ่ยกับตัวเองอีกครั้ง ร่างของเขาค่อย ๆ เลือนจางลง และหายไปในที่สุด



กลุ่มของอาชในขณะเดียวกัน


“เอ๋อ.............ที่นี่”ซีรีนชะงักเท้ากึกเมื่อตนเองเดินพ้นแนวป่ามาเจอสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเท่าที่ดูไม่ใช่สถานที่ที่เธอปรารถนาแน่ ๆ


“เอ่อ............ป้าครับ ผมมีคำถาม”อาชถามซีรีนเสียงนิ่ง เมื่อซีรีนนำทางเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งดูยังไง ก็ไม่ใช่หมู่บ้านของซีรีนแน่ ๆ แม้ว่าอาชจะไม่เคยเห็นมันก็ตาม


ทำไมน่ะเหรอ?


ปราสาทขนาดใหญ่ที่เก่าแก่และผุพังลงมาบางส่วนตามกาลเวลา พื้นทางเดินด้านหน้าที่ปูด้วยบล็อคหินผุกร่อนไปมากมาย อีกทั้งสะพานข้ามเหวไปยังตัวปราสาทที่มีรูปปั้นปิศาจตั้งริมทางตลอดสองฝั่งนั้น ในสมัยก่อนมันอาจดูสวยงามยิ่งใหญ่ตระการตา แต่บัดนี้มันกลับแลดูน่ากลัวเนื่องจากบล็อคหินที่ใช้ในการปูพื้นแหว่งไปบางส่วนจนเห็นเหวเบื้องล่าง


แถมยังบรรยากาศอึมครึมรอบทิศนี่อีก ถ้ามีใครมาตั้งหมู่บ้านที่นี่ได้ ก็ต้องนับถือกับความอดทนในบรรยากาศแบบนี้ล่ะนะ


“แน่ใจนะคะว่าที่นี่ ?”มิร่าถามซ้ำ


“เออน่า ที่นี่มีทางลัดต่างหากเล่า!!”ซีรีนบอกปัดอีกครั้ง และออกเดินนำไป ทุกคนไม่รู้ว่าจะทำไง เดินเองก็ไม่รู้ทาง เอาเถอะ ให้ซีรีนนำต่อละกัน


“หวาว~~~~~~~”ทุกคนเดินกันอย่างเงียบ ๆ ไม่ปริปาก มีแต่อาเทนนี่แหละ แต่กระดี๊กระด๊ามากที่สุดในกลุ่ม ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศรอบข้างนั้นไม่ได้น่าทำแบบนั้นเลยแม้แต่นิด


“.........”อาชได้แต่เหลือบตามองน้องชายตัวเองด้วยความแปลกใจ มุมมองของเด็กนี่ยังไงกันนะ


“พี่ครับ ๆ รูปปั้นนี่สุดยอดเลยล่ะ”อาเทนหลังจากวิ่งวนไปรอบ ๆ ขบวนกลุ่มก็มาเดินข้าง ๆ อาชและกระตุกแขนเสื้อพร้อมชี้ไปที่รูปปั้นตัวหนึ่งด้วยใบหน้าร่าเริง ดวงตาส่อประกายของความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดจนอาชลอบถอนลมหายใจ


“นั่นการ์กอยล์นะอาเทน มันน่าดูน่าดูน่าชมนักรึไงเล่า...........”อาชตอบแบบขอไปทีพร้อมกระแทกลมหายใจเบา ๆ ด้วยความเซ็ง บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ทำไมอาเทนยังยิ้มร่าได้อีกนะ


“นี่ไงครับ ตรงเนี้ย ๆ”ไม่ว่าเปล่า อาเทนตรงเข้าไปที่รูปปั้นทันที และตบเข้าที่ช่วงท้องของรูปปั้นเบา ๆ สองสามที


เพียงเท่านั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นภายในรูปปั้น ราวกับมีกลไกสักอย่างกำลังทำงาน และด้วยสัญชาตญาณ สิ่งนั้นไ่ม่ดีแน่ ๆ


“อาเทน หมอบลง!!"


"เหวอ!!"อาเทนหมอบลงด้วยความตกใจ เพียงเสี้ยววินาทีถัดมาปากของรูปปั้นก็เปิดออก และศรหินขนาดยักษ์ก็พุ่งผ่านอาเทนไปอย่างรวดเร็ว


ศรหินขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากปากของรูปปั้นผ่านอาเทนที่หมอบลงอย่างรวดเร็วไปหาทิออสที่อยู่ในวิถีลูกศรพอดี แต่ทิออสก็สะบัดมือในเวลาชั่ววูบ ศรยักษ์แหลกไปในพริบตา ไม่มีใครมองทันด้วยซ้ำว่าทิออสทำอะไร


“ทะ........ทิออส เป็นไรมั้ย?”เบลนโนรีบวิ่งเข้ามาทันทีด้วยความเป็นห่วง เขายื่นมือไปหวังจะแตะ แต่ทิออสก็ปัดมือออก


“ไม่ถึงตายหรอกน่า”ทิออสเอ่ยเสียงนิ่ง


“อะ........อืม ขอโทษนะ”เบลนโนก้มหน้าจ๋อย เขาเดินออกห่างไปอีกครั้ง ถ้าอาชตาไม่ฝาด เขาเหมือนจะเห็นทิออสทำหน้าสำนึกผิดแวบหนึ่ง แต่คงคิดไปเองเสียมากกว่า


“เอาเถอะ ๆ ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีละน่า ไปกันต่อเถอะ”ซีรีนหันมาบอกทุกคนเมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว และออกเดินอีกครั้ง


พวกเขาไม่ได้รับรู้เลยว่า


1 ใน “อัครดารา”จะได้รับการปลดผนึก ที่นี่.............

----------------

อัพต่อไปเรื่อย ๆ =w=)~

tstcwqt1
19th July 2011, 08:41
ตอนที่ 6 หยุดพักเอาแรง


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก



นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย



ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง



จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


เมื่อมาถึงตัวปราสาท ทุกคนชะงักเท้าทันทีอย่างพร้อมเพรียงแบบไม่ต้องให้สัญญาณ เพราะบรรยากาศอึมครึม รวมถึงซีรีนที่เดินนำจู่ ๆ ก็หยุดเดินเสียดื้อ ๆ ทำเอาทุกคนสงสัยงงงวยไปตาม ๆ กัน


“ถึงแล้วเหรอคะคุณซีรีน?”มีร่าเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นซีรีนหยุดเดิน เสียดื้อ ๆ แต่ผู้ถูกถามกลับไม่ตอบ เหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของซีรีนเม็ดแล้วเม็ดเล่าทั้งที่บรรยากาศ รอบข้างไม่ได้ร้อนอะไร ออกจะเย็นยะเยือกเสียด้วยซ้ำ


“อีหรอบนี้........หลงทางแหง.......”อาชประสานมือเข้าท้ายทอยและบ่นอุบแบบจง ใจให้ซีรีนได้ยินจนผู้ถูกพาดพิงต้องสะดุ้งโหยง สายตาทุกคนในกลุ่มบัดนี้จับจ้องไปซีรีนเพียงผู้เดียวจนทำเอาซีรีนทำอะไรไม่ ถูก


“ข้าว่า.....พักกันซักหน่อยดีมั้ย?”ซีรีนเสนอความเห็น แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกเวลาเท่าไหร่เมื่อมองดูใบหน้าของทุกคนที่ทำหน้าราว กับว่าเธอทำอะไรผิดมาขนานหนัก


“จะพักในที่แบบนี้เหรอครับ?”อาชเอ่ยถาม ดวงตาของเขาหรี่ลงกว่าเดิม


“น่า ๆ เดินทางกันมาทั้งวัน หยุดพักนิดหน่อยไม่เสียหายอะไรนี่นา”ซีรีนบอกปัด


“ผมว่า...........ที่นี่...........คุ้นตาเอามาก ๆ เลยนะครับเนี่ย..........”เบลนโนเอ่ยด้วยความไม่คุ้นชินสถานที่ แม้จะเป็นเสียงเบา ๆ แต่กลับทำให้ซีรีนสะดุ้งโหยงได้ เธอค่อย ๆ หันมาช้า ๆ และมองเขาด้วยสายตาวิงวอนอะไรซักอย่าง


แต่ดูเหมือนผู้ที่ถูกมองด้วยสายตาวิงวอนที่ว่ากลับไม่ได้สนใจเธอเลย อีกทั้งยังหันไปค้นกุกกักในกระเป๋าเดินทางของตนเองและหยิบหนังสือเล่มหนา เล่มหนึ่งติดมือขึ้นมา เจ้าตัวตบหน้าปกสองสามทีและเป่าไล่ฝุ่นออก


เมื่อได้เห็นชัด ๆ มันเป็นหนังสือที่เล่มหนาและใหญ่เอาการ ปกของมันเป็นสีน้ำเงินเข้ม และมีตราตัวอักษรที่บุสีทองเอาไว้ก็แหว่ง ๆ เว้า ๆ จนอ่านไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร


“เอ...........หน้าไหนนะ...............”เบลนโนพลิกหนังสือไปทีละหน้าอย่าง รวดเร็ว หน้ากระดาษเก่า ๆ สีเหลืองกรอบที่ดูเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อพลิกไปหน้าแล้วหน้าเล่า


ทุกคนมองไปที่เบลนโนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดและดูเหมือนเบลนโนจะไม่ใส่ใจ กับสายตานั้น เจ้าตัวยังคงตั้งหน้าตั้งตาพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนไม่ได้อ่าน หน้าเหล่านั้นเลย


เสียงพึ่บพั่บของหน้ากระดาษที่ถูกพลิกเปลี่ยนหน้าไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ซีรีนลนลานหนัก เธอหวังว่านั่นคงจะไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดเอาไว้


“อ้อนี่ไง เหมือนเลยแฮะ”เบลนโนหยุดที่หน้าหนังสือหน้าหนึ่ง เจ้าตัวตรวจสอบหน้าหนังสืออย่างถี่ถ้วนและเงยหน้าขึ้นมองปราสาทด้านหน้าและ ก้มลงไปมองหน้าหนังสืออีกครั้ง


“หืม ?”อาชและแมดชะโงกหน้ามาดูหน้าหนังสือที่เบลนถืออยู่ ภายในมีตัวหนังสือมากมายเสียจนน่าปวดหัวและภาพ ๆ หนึ่ง เป็นปราสาทที่เหมือนกับที่อยู่ต่อหน้าเขา แม้หน้าของหนังสือจะกรอบจนเหลืองและดูบิดเบี้ยวไปบ้างเพราะเป็นภาพวาดของคน สมัยก่อน แต่เมื่อลองเทียบดูดี ๆ พบว่ามันคล้ายกันมากเลยทีเดียว


“ที่นี่.......เหมือนจริง ๆ ซะด้วยแฮะ”อาชลูบคางพึมพำ


“ว่าแต่มีอะไรเหรอเบลน ที่นี่ถึงได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้น่ะ”อาชถามต่อ ถึงเขาจะทึ่ม ๆ เรื่องหนังสือหรือการเรียนไปบ้าง แต่ถ้าสถานที่นี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเก่าคร่ำครึใกล้ลงกรุแบบนี้ต้องเป็น สถานที่สำคัญแน่นอนล่ะ


“ที่นี่........เป็นสถานที่.........”มือที่อยู่ภายใต้ถุงมือของเบลนไล่นิ้ว ไปตามตัวหนังสืออย่างบรรจง สายตาไล่กวาดไปตามหน้ากระดาษทีละประโยคช้า ๆ


“ผนึก.....ดี.........”เบลนเพ่งสายตามากขึ้น เขาอ่านตัวอักษรจาง ๆ บนแผ่นกระดาษขาด ๆ หาย ๆ อย่างยากลำบาก เพราะหน้ากระดาษที่เหลืองกรอบทำให้อ่านยากเสียเหลือเกิน


“ใช่ดีไวน์เนอร์.........รึเปล่าครับพี่เบลนโน?”อาเทนถามด้วยความไม่แน่ใจ ยิ่งทำให้ซีรีนสะดุ้งเป็นคำรบสอง


“ดีไวน์เนอร์?”อาชทวนคำอย่างคุ้นหู


“ครับ ดีไวน์เนอร์ ตามที่ผมอ่านเล่น ๆ จนเจอมันเป็นสุดยอดอาวุธที่ว่ากันว่าครอบครองโดยแม่ทัพทั้งเจ็ดแห่งแอ สการ์ด(Asgard) รูปร่างและพลังความสามารถล้วนต่างกันไปตามแต่ผู้ใช้ของมันจะบัญชา ถ้าหากหนังสือของพี่เบลนโนว่าไว้แบบนั้น ที่นี่คงเป็นหนึ่งในสถานที่ผนึกมันแหละครับ”อาเทนว่าพลางกระดิกนิ้วให้หนังสือเล่มสีฟ้าลอยออกมาจากกระเป๋าหลัง เจ้าตัวสะบัดมือเป็นวงกลมแล้วหนังสือก็เปิดพลิกหน้าอย่างรวดเร็วกลางอากาศ ในเวลาถัดมาก็มีเส้นแสงพวยพุ่งขึ้นมาจากหนังสือและถักทอตัวเองเป็นตัว หนังสือจำนวนมาก พร้อมกับรูปปราสาทที่เหมือนกับรูปในหนังสือที่เบลนโนถือไม่ผิดเพี้ยน


“โฮ่..........น่าสนดีแฮะ”อาชลูบคางและมองไปที่ปราสาทด้วยสายตาแฝงความ ตื่นเต้น ตอนนี้คำว่าภารกิจไม่ได้อยู่ในหัวเขาแล้วด้วยซ้ำ แมดกุมขมับทันทีเมื่อรู้ว่าต่อไปอาชจะเอ่ยคำไหนออกมาโดยที่เขาแทบจะไม่เสีย เวลาเดาให้มากความ


“ไปสำรวจที่นี่กันเหอะ!!”


“เอาเข้าจนได้..........”แมดนวดขมับตนเองในขณะที่อาชเดินตรงเข้าหาปราสาทอย่างเริงร่า


พลั่ก!!


แต่อาชล้มหน้าคะมำแทบจะทันทีเพราะถูกซีรีนขัดขา เจ้าตัวยันกายขึ้นมองป้าตัวเองด้วยความงงปนโมโห


“จะทำอะไรป้าก็ไม่ว่านะ เพราะพวกแกก็โต ๆ กันแล้ว แต่เวลาป่านนี้แกจะไปสำรวจสถานที่เนี่ยนะ?”


“หา?”อาชขานอย่างงง ๆ เจ้าตัวล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อในและหยิบเอานาฬิกาพกสีเงินมาด้วย ฝาพับของมันตราด้วยอักขระที่แม้แต่อาชที่เป็นเจ้าของยังมองไม่ออก เจ้าตัวกดสวิชเปิดฝาเพื่อตรวจดูเวลาปัจจุบัน


XX.III VII


“ทีนี้เข้าใจรึยัง?”ซีรีนกอดอกถาม อาชเลยพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เพราะบรรยากาศรอบข้างที่มืดทึมตลอดเวลาเลยทำให้อาชไม่รับรู้เวลาจริง ๆ เลย


“งั้นก็พักกันแถวนี้แหละพวกผู้ชายไปหาเสบียงมาซะ เดี๋ยวป้ากับสาว ๆ ก่อกองไฟเองจ้ะ”ซีรีนชี้นิ้วสั่งเรียงคน


“งั้นฝากด้วยละกันนะ“แต่ซีรีนพูดไม่ทันจบประโยค อาชก็ล้มตัวลงนอนโคนต้นไม้เสียแล้ว แถมยังหลับลึกอีกต่างหาก แมดลอบถอนหายใจกับนิสัยขี้เกียจที่แก้ไม่หายของเพื่อนตัวเอง แต่ก็ได้แต่ปลงตก อาเทนที่เข้าใจเดินไปคว้ามือแมดและลากเดินหายเข้าไปในป่าข้างปราสาท


ส่วนทางเบลนโนนั้นก็รีบเก็บหนังสือตนเองเข้ากระเป๋าและรีบเดิมตามทิออสที่เดินหายเข้าป่าไปอีกทางเช่นกัน



“หวาว!! พี่แมดครับ ปลาเพียบเลยล่ะ!!”อาเทนกับแมดที่แยกตัวออกมา ทั้งคู่เดินลึกเข้ามาในป่านิดหน่อยและใช้เวทย์ไฟของอาเทนไม่ต่างตะเกียงใน ที่มืดส่องทางก็มาถึงลำธารใสไหลเย็น และหมู่มวลปลาที่ว่ายทวนน้ำบางตัวก็ดูอ้วนน่ากินเสียเหลือเกิน


“เออ ๆ”แมดไม่พูดให้มากความเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าจะถูกไหว้วานอะไรต่อไป เขาค่อย ๆ เลิกแขนเสื้อขึ้นให้ถนัดในการเคลื่อนไหว และก้าวลงไปในน้ำ หลังจากนั้นก็เริ่มการจับปลาด้วยมือเปล่า



“อึ๊บ~~~~~~~”ทางด้านเบลนโนที่เดินมากับทิออส เบลนโนพยายามเหลือเกินที่จะหยิบผลแอปเปิ้ลที่อยู่สูงกว่าตนให้ได้ เจ้าตัวเขย่งแล้วเขย่งอีกแต่ดูเหมือนส่วนสูงของเขาจะไม่เอื้ออำนวยเอาเสีย เลย


“เฮ้อ.....”ทิออสที่มองอยู่ห่าง ๆ ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างปลง ๆ เขาสาวเท้าเข้ามาและคว้าเอาผลแอปเปิ้ลที่เบลนโนหมายจะหยิบได้อย่างง่ายดาย ด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน และส่งให้เบลนโนที่รอรับ


“ให้ตาย แอปเปิ้ลลูกเดียวจะอะไรกันนักกันหนานะ”ทิออสบ่นอุบ


“นายชอบกินแอปเปิ้ลนี่นาทิออส แค่เก็บแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”เบลนโนพูดขึ้นทันทีที่ทิออสจบประโยค ดูเหมือนที่ทิออสบ่นไปจะไม่สามารถรอดพ้นประสาทการได้ยินของเบลนโนไปได้เลย


“ระ..........รู้แล้วน่า!!”ทิออสพูดตะกุกตะกักทันควัน เจ้าตัวรีบสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าทันทีโดยไม่มองหนทางข้างหน้า ซึ่งเดิมทีมันก็มืดอยู่แล้ว แถมคนที่ใช้กระดาษผนึกเวทย์แสงก็ดันเป็นเบลนโน การเดินห่างจากแสงสว่างในป่ามืด ๆ แบบนี้จึงไม่ต่างอะไรเลยกับการกระทำโง่ ๆ


“อ๊ะ!! เดี๋ยว!! ทิออส ทางนั้นมัน.........”


“อะไรเล่า!!”


โป๊ก!!


“อุ๊ก!!”


ไม่ทันขาดคำ เบลนโนเรียกหมายจะให้ทิออสหยุดแต่ทิออสที่รีบสาวเท้าเดินก็ไปชนเข้ากับ ต้นไม้ตรงหน้าเต็มที่ แถมยังเป็นการชนแบบแสกหน้าเต็ม ๆ อีกต่างหาก


ผลแอปเปิ้ลมากมายร่วมใส่ทิออสราวห่าฝน ทำให้ภาพตรงหน้าดูขบขันไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งสำหรับเบลนโนที่นาน ๆ จะได้เห็นฉากแบบนี้แล้วเขายิ่งอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เลยกับฉากที่หายากเช่นนี้


“............”ทิออสที่ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เท่าที่ดูเขาก็เป็นคนพลาดเอง จะไปโทษเบลนโนก็ใช่ที่ เจ้าตัวจึงรีบเก็บแอปเปิ้ลใส่ตะกร้าที่ได้รับมาจากซีรีนและตรงลิ่วกลับจุด พักทันที



“ฮ้าว~~~ พี่แมดคร้าบบบบ ยังจับไม่ได้อีกเหรอ”


“ว้อย!! หนวกหูน่า!! ไอ้ปลาพวกนี้ก็อยู่นิ่ง ๆ ซักหน่อยจะได้มั้ย!!”


ตัดกลับมาทางด้านของอาเทนที่นั่งหาวหวอดดูแมดพยายามจะจับปลาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยมือเปล่า

ตอนนี้อาเทนเองก็เบื่อเต็มที่แล้ว แถมแมดเองก็จับไม่ได้ซักที


“เปลี่ยนตัวกับผมมั้ยครับพี่แมด?”


“ไม่ต้อง!! เรื่องแบบนี้เดี๋ยวชั้นจัดการเองได้ นั่งดูต่อไปเลยไป๊!!” แมดตะคอกลั่น แต่หาได้รู้ไม่ว่าไปสะกิดสิ่งต้องห้ามของอาเทนเข้าเสียแล้ว เจ้าตัวที่ไม่รู้เรื่องก็ยังคงก้มหน้าก้มตาจับปลาด้วยมือเปล่าต่อไป ในขณะที่อาเทนสะบัดมือเรียกหนังสือเล่มสีเชียวให้ลอยเข้ามือ และพลิกหน้าของมันจนหยุดลงที่หน้าของมนตร์บทหนึ่ง


“อาเทนอสมาเกีย กระสุนสายฟ้า”


เปรี๊ยะ!!


“จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”


เสียงร้องของแมดดังลั่นป่า หมู่นกที่หลับพักผ่อนถึงกับบินหนีด้วยเสียงดังมหาศาล



“อ้าวอาเทน กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ? ว้ายปลาเต็มเลย ดีจัง”มิร่าที่ก่อกองไฟอยู่หันมาถามอาเทนที่เดินมาอย่างอารมณ์ดี ด้านหลังคือแมดที่แบกตาข่ายบรรจุปลาจำนวนมาก ผมสีเขียวชี้ฟูของแมดที่เดิมก็แทบจะไม่เป็นทรงอยู่แล้วคราวนี้ยิ่งฟูหนัก เข้าไปอีกจนเกือบจะเป็นทรงแอฟโฟรกลาย ๆ


“ไอ้เด็กบ้า......”แมดบ่นรอดไรฟัน


“แล้วพวกพี่เบลนโนล่ะครับ”


“อีกเดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้งจ๊ะ”มิร่าตอบพลางนำปลาที่ได้มาเสียบไม้ย่างไฟ


“ไอ้หมอนี่ก็หลับได้หลับดีจริง ๆ แฮะ..........”แมดที่นั่งพักเรียบร้อยและหวีผมตนเองเข้าที่แล้วหันมามองอา ชที่นอนหนุนขอนไม้หลับสนิทไม่รับรู้โลกภายนอก ไม่รู้เขาจะสงสารหรืออิจฉาหมอนี่ดีที่มีความสามารถพิเศษแบบนี้ แต่เท่าที่ดูคงน่าสงสารเสียมากกว่าล่ะมั้งเนี่ย


“เอาเถอะครับ ให้พี่เค้าพักผ่อนเอาแรงมาก ๆ เข้าไว้ ยังไงซะในกลุ่มเราพี่เค้าก็เหนื่อยสุด”อาเทนเอ่ยพลางหันไปมองพวกเบลนโนที่ เริ่มเดินมาสมทบอีกกลุ่ม ร่วมถึงซีรีนที่บินมาจากอีกด้านของป่าพร้อมกับฟืนหนึ่งหอบ ส่วนอามิน่าเองก็ได้แอปเปิ้ลมาเหมือนกับพวกของทิออสแต่ก็น้อยกว่าหน่อย อาเทนแอบแปลกใจเพราะเท่าที่ดูแล้วอามิน่าไม่ได้ใช้เวทย์ในการให้แสงสว่างเลย แต่กลับเดินตะลุยฝ่าความมืดไปได้


แต่อาเทนก็เลิกสนใจและหันไปจ้องปลาที่ถูกย่างไฟแทนว่าจะสุกเมื่อไหร่เพราะท้องของเขาเรื่มเรียกหาอาหารซะแล้ว

Season
19th July 2011, 16:55
ท่าทางขยันเขียนแบบสุดตัวเลยนะครับ

เป็นกำลังใจให่ครับ บวก 1 เลยครับ

tstcwqt1
19th July 2011, 23:41
ตอนที่ 7 หายใจหายคอก่อนเดินทางจริง


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา

“เอาล่ะ ของดีอยู่ตรงหน้า พวกเราลุย!!”


“หนวกหูว้อย!!”


“อุ๊บ!!”


แมดตะโกนดังลั่นด้วยด้วยความเดือดดาล ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงเมื่อเจ้าตัวดีตะโกนดังลั่น ส้นรองเท้าทั้งหนาทั้งแข็งเลยประเคนกระแทกเข้าหน้าท้องของอาชเต็มรักชนิดไม่ต้องลดแลกแจกแถมจนเจ้าตัวดีต้องกระเด้งตัวขึ้นนั่งเร็วเสียยิ่งกว่าติดสปริง


“ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย.......เบาแรงหน่อยมันจะตายรึไงฟระ?”อาชบ่นอุบพลางลูบท้องตัวเองป้อย ๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและจุกที่ยากจะลืมลง


แหงล่ะ ของพรรค์นี้ใครจะไปลืมลงกัน


แค่ละเมอนิด ๆ หน่อย ๆ นี่ถีบจังเลย


คนนะเฟ้ยไม่ใช่กระสอบทราย


แต่คำเหล่านี้อาชก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันลูบท้องตัวเองต่อไปหวังคลายความเจ็บได้บ้างแม้มันจะช่วยอะไรไม่ได้เลยก็ตาม


ฝั่งแมดที่ถีบคนละเมอเสร็จแล้วก็หันไปนั่งที่ขอนไม้ข้างกองไฟที่เดิมและหยิบปลามาเคี้ยวตุ้ย ๆ ดับอารมณ์โมโหที่เพิ่มขึ้นซึ่งมักจะเป็นอยู่ประจำ อาเทนได้แต่มองพี่ชายของตัวเองอย่างละเหี่ยใจและกัดแอปเปิ้ลที่มิร่ายื่นให้คำโต


ส่วนเบลนโนก็มองอย่างหวาด ๆ แต่ว่าช่วยอะไรไม่ได้เลยได้แต่นั่งมองทิออสที่กำลังง่วนอยู่กับการปอกแอปเปิ้ลด้วยมีดเล็กอย่างงุ่มง่ามไม่ได้ความเพราะปอกออกมาแต่เปลือกติดเนื้อ กว่าจะได้กินก็คงอีกซักพัก เขาจึงถือวิสาสะฉวยมาจากมือซะแล้วปอกให้อย่างรวดเร็วและส่งให้อีกครั้งซึ่งผู้โดนแย่งรับมาอย่างไม่เต็มใจนักแต่แววตาก็แสดงถึงคำขอบคุณและกัดมันเต็มคำ


“ให้ตาย ไอ้นิสัยนอนละเมอนี่ยังไม่หายอีกรึยังไง?”ซีรีนถามผู้เป็นหลานนอกไส้ด้วยความหน่ายปนระอา เรื่องแบบนี้เธอเจอมาตั้งแต่หลานของเธอตัวกะเปี๊ยกเดียว จนป่านนี้ก็ยังคงแก้ไม่หายสักที


“ของแบบนี้มันแก้ได้ที่ไหนล่ะป้า พูดง่ายจริงนะ”อาชสวนทันควันจนผู้เป็นป้าแอบหงุดหงิดและเงียบไปก่อนจะเผลอซัดเข้าอีกตูมจนตายไปซะก่อน แต่มันก็จริงอย่างที่ว่ามาล่ะนะ ของแบบนี้มันแก้ไม่ได้ง่าย ๆ


จะไปโทษใครก็ไม่ได้ ต้นเรื่องก็เธอนี่แหละที่นำทางจนเผลอหลงทางมาโผล่ที่แบบนี้ซะเอง


ที่สำคัญ.....ที่นี่ยังเป็นสถานที่เก็บดีไวน์เนอร์ที่เผ่าของเธออาสาดูแลอยู่อีก…


ขืนหัวหน้ารู้มีหวังโดนเฉ่งยาวเป็นกิโลแหง


แค่คิดก็พาลให้จิตตก เลยทำให้นึกอะไรไม่ออกจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ คิดได้ดังนั้นก็งับแอปเปิ้ลเข้าไปเต็มคำ เคี้ยวกร้วม ๆ อย่างไม่สบอารมณ์และวางแผนถึงวันพรุ่งนี้ที่จะต้องหาทางเดินทางไปที่หมู่บ้านของเธอให้ได้โดยไม่หลงทางไปไหนอีก


“อ๊ะ....นี่ทิออส ถึงเวลาของวันนี้แล้วนะ”เบลนโนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบที่โรยตัวลงมาจนคนถูกพาดพิงหันมามอง ว่าแล้วก็ควักเอากล่องไม้เล็ก ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนชวนผ่อนคลายออกมา แต่ทิออสกลับมองมันด้วยสายตาพรั่นพรึงแม้ใบหน้าจะสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ก็ตาม เพียงวูบเดียวแววแห่งความนิ่งสงบและเย็นชาก็กลับเข้ามาในดวงตาสีแดงเลือดสดนั้นอีกครั้ง


“อะ.........อืม”ทิออสนิ่งไปชั่วครู่และตอบแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก


เบลนโนลุกขึ้นและหยิบม้วนกระดาษบันทึกเวทย์แสงสว่างออกมาคลี่มันออก ดวงแสงปรากฏขึ้นต่างตะเกียงส่องทางและเดินหายเข้าไปในป่า ไม่ช้าไม่นานทิออสก็เดินตามแสงนั้นไปเช่นกัน


“ทั้งสองคนนั่นเค้าทำอะไรกันเหรอคะ?”มิร่าแอบถามด้วยความสงสัย มือก็ป้อนปลาย่างเจ้าปอน แมวตัวน้อยของเธอไปด้วย


สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้ตำแหน่งของทั้งเบลนโนและทิออสมีเพียงแสงสว่างเรืองรองจากตะเกียงลูกบอลแสงเท่านั้นที่พอจะทำให้รู้ว่าอยู่ในตำแหน่งไหนแต่ก็ไกลออกไปพอสมควรเนื่องจากขนาดดวงแสงนั้นเล็กมากแถมยังมีแมกไม้บังแสงไปบางส่วนอีก


“ไม่รู้หรอก ไม่เคยถาม”แมดตอบไปพลางเคี้ยวปลาไปพลาง อาเทนส่ายหัวแบบไม่รู้คำตอบ อามิน่าสั่นหัวนิดหน่อย มีเพียงอาชที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ลูบท้องอยู่


“เคยเห็นอยู่หรอกตอนโดดไปห้องพยาบาล แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรกัน เจ้าทิออสชอบส่งเสียงแปลก ๆ ประจำเลย”


เพียงแค่คำพูดประโยคหลังก็เล่นเอามิร่าใจเต้นไม่เป็นส่ำ ส่งเสียงแปลก ๆ นี่มันอะไรกัน?


ยิ่งคิดยิ่งพาลให้สงสัย ความรู้สึกอยากรู้มันเพิ่มพูนทวีคูณจนทนไม่ไหว


สัญชาตญาณผู้หญิง อยากรู้มันต้องพิสูจน์สิ!!


“งะ....งั้นชั้นขอตัวไปดูหน่อยนะคะ”มิร่าออกปากถาม หลายคนมองอย่างง ๆ กับท่าทีของมิร่า ทว่าไม่ใส่ใจและพยักหน้าเป็นนัยอนุญาต


ทันทีที่เห็นสัญญาณอนุญาตจากทุกคน มิร่าออกเดินเข้าไปในป่าตามตำแหน่งของตะเกียงแสงนำทางนั่นทันที


ทุกคนมองหน้ากันแบบไม่เข้าใจ แต่ก็ทำกิจกรรมส่วนของตัวเองต่อไป


อาชหันไปมองอาเทนแบบขอความช่วยเหลือจนอาเทนได้แต่ถอนหายใจแบบหน่ายปนระอาจนต้องร่ายมนตร์รักษาให้อีกบทหนึ่ง


ส่วนแมดหันไปมองอามิน่าที่กำลังปอกแอปเปิ้ล และแบมือขอบ้าง แต่ทันทีที่ทำแบบนั้น มีดสั้นสีเงินคมกริบก็บินผ่านหน้าเขาเพียงนิดเดียวเท่านั้นจนแมดไม่กล้าขอแอปเปิ้ลจากอามิน่าอีกเลย


ด้วยความรกชัฏของผืนป่า และเหล่าไม้พุ่มเตี้ยตามพื้นทำให้มิร่าลำบากพอควรในการเดินลดระยะทางระหว่างเธอและคู่ของเบลนโน แต่ในเวลาไม่นานนักเธอก็มาถึงจุดที่จะดูจนได้ เนื่องจากถ้าเข้าใกล้มากกว่านี้ทั้งสองคนคงรู้ตัว อีกอย่าง ถ้าใช้มนต์สร้างแสงสว่างคงเข้าหาได้ง่ายกว่านี้ แต่ทั้งสองคนนั้นจะรู้ได้ทันทีว่าเธอตามมา


มีทางเดียวคือการเดินคลำทางมาจนถึงโดยไม่อาศัยแสงสว่างเท่านั้น อีกทั้งยังต้องพยายามทำให้เสียงเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนสงสัยอีก แน่นอนล่ะว่างานลำบากพอควร แต่ถ้ามันแลกมาด้วยผลตอบแทนที่ได้รู้สิ่งที่น่าสนใจมันก็คุ้มที่จะเสี่ยง


“อะ..........อึ้ก!!”


แว่วเสียงหนึ่งเข้าโสตประสาทให้มิร่าชะงักฝีเท้าในทันใดและยืนนิ่ง พยายามใช้เงาไม้และลำต้นบังตัวให้พ้นจากรัศมีของแสงสว่างที่เล็ดรอดผ่านเงาไม้มา จนต้องจำใจทำเพียงการเงี่ยหูฟังเท่านั้น


เสียงหอบเด่นดังท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดทำเอาใบหน้าของมิร่าขึ้นสีแดงก่ำด้วยสาเหตุที่เธอไม่ทราบแน่ชัด หากแต่รู้ดีในใจว่าจะไม่หันไปมองทางเบลนโนและทิออสเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง


“เบลน....โน....บะ.....เบา ๆ หน่อย”


เสียงพูดสลับหายใจถี่รุนแรงทำให้มิร่าใจเต้นโครมครามไม่เป็นส่ำ ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อหากจะเทียบกับผลสตรอเบอรี่สุกคงไม่ผิดเท่าใดนัก


“ขะ....ขอโทษนะทิออส นี่เบาที่สุดแล้ว”


เสียงของเบลนโนที่แผ่วเบาและขาดช่วงไม่แพ้กันทำให้จินตนาการมิร่าเตลิดไกลกว่าเดิมชนิดกู่ไม่กลับ


“มะ....ไม่ไหวแล้ว....เบากว่านี้หน่อย”


คราวนี้เสียงทิออสราวทรมานเจียนขาดใจ ความอดทนมากมายของมิร่าเริ่มพังทลายลงราวทำนบแตกหากแต่ยังทรงตัวมันไว้ได้และเงี่ยหูฟังมากขึ้น


“ใช้มือยันต้นไม้เอาไว้สิ จะได้เจ็บน้อยหน่อย”


ครั้งนี้ความอดทนที่มีมากมายพังทลายลงมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งมันไว้ได้อีก จินตนาการของมิร่าตีกันในหัวต่าง ๆ นานา จนไม่เป็นรูปเป็นร่างอีกต่อไป สติเตลิดเปิดเปิงหนีไปไกลเสียจนฉุดไม่อยู่เลยได้แต่เดินหนีออกมาด้วยดวงหน้าที่แดงฉ่าพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อหากจับต้องเข้าโดยไม่ระวัง


ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันแม้แต่ตัวมิร่าเองที่ได้แต่แอบฟังและหนีกลับมานั่งที่กลุ่มโดยมีใบหน้าแดงฉ่าและไม่ว่าทุกคนจะถามไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบจากเธอราวถุงก้นรั่วที่เติมไม่เคยเต็ม


พวกเขาทำอะไรกัน?


เสียงหอบนั่นคืออะไร?


ทำไมต้องให้ยันต้นไม้ไว้?


คำถามต่าง ๆ นานาประดังประเดเข้ามาราวคลื่นทะเลสาดซัดไม่ขาดสาย แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่หัวของมิร่าจะพยายามประมวลผลเสียจนแทบระเบิด


ถ้ากลับมา ต้องถามให้รู้เรื่อง!!

------------------

ผู้แต่งขอออกตัวล้อฟรี ฟิคนี้ Not Yaoi นะจ๊ะ =w="

tstcwqt1
22nd July 2011, 01:38
ตอนที่ 8 พบเจออีกครา



ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


ในระหว่างที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมส่วนตัว แน่นอนว่ามิร่าเองก็กำลังง่วนอยู่กับความคิดของตัวเองที่ตีกันเตลิดเช่นกัน


เธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเบลนโนทำเลยแม้เพียงนิดเดียว!


“กลับมาแล้วครับ” เบลนโนเดินเข้ามาในวงล้อมรอบกองไฟ เล่นเอามิร่าสะดุ้งโหยงหวีดเสียงไม่เป็นภาษา นกหลายตัวต่างก็โผบินอย่างตกใจ แม้แต่แมดเนสที่เอนตัวเคล้งครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ต้องดีดกระเด้งตัวขึ้นมามองว่าเกิดอะไรขึ้น


“เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ? คุณมิร่า?”เบลนโนออกปากถามแทนทุกคนด้วยอารมณ์กึ่งฉงนกึ่งงง จู่ ๆ ก็ร้องซะเล่นเอาสะดุ้งยกวง


“มะ....ไม่มีอะไรค่ะ!! ไม่ได้คิดอะไรเกิดเลยจริง ๆ นะคะ”มิร่าส่ายหัวพัลวันพลางปัดมือไปมาดูน่าขันแต่ตอนนี้ทุกคนงงเสียมากกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น


“คิด?”เบลนโนทวนคำ เอียงคอเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัยกว่าเก่า


“เอ่อ........คือ”มิร่าหน้าแดงไปหมด มือไม้ดึงหญ้าเล่นแก้เก้อ น้ำเสียงสั่น ๆ ไปไหนไม่ถูกเล่นเอาทุกคนพาลให้สงสัยตาม


“ถ้ามีอะไร ถามผมก็ได้นะครับ”เบลนโนพยายามยิ้มสู้ ทิออสที่เดินเข้ามาในวงล้อมกองไฟเงียบ ๆ นั่งลงโดยไม่สนใจจะทำอะไรอย่างอื่น นอกจะจากก้มหน้าเพื่อซ่อนสีหน้าซีด ๆ ไว้ไม่ให้ใครเห็น เสียแต่หลุดรอดสายตาอันแสนไวของซีรีนไปไม่ได้


“หืม หืม หืม...........”ซีรีนพูดด้วยน้ำเสียงสองแง่สองง่าม ก่อนที่ปีกสีสนิทจะกระพือพาร่างอันอวบอัดของเจ้าหล่อนลงมาจากกิ่งไม้แล้วร่อนลงตรงหน้ามิร่า มือจับเอาคางของเจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาประสานกันแบบฝ่ายมิร่าดูเหมือนจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นักเลยพาลให้หลบสายตาเธอเป็นพัลวัน แต่ซีรีนดูเหมือนจะได้คำตอบที่พอใจก่อนจะวาดรอยยิ้มกริ่มแสนเพทุบายออกมาจนอาชผู้เป็นหลานยังนึกขนลุกว่าป้าตัวเองจะทำอะไรต่อไป


“หนุ่ม ๆ สาว ๆ นี่ดีจังน้า...”ว่าแล้วปีกของเธอก็สะบัดกระพืออีกรอบขึ้นไปที่กิ่งไม้ตำแหน่งเดิมก่อนจะนอนฮัมเพลงชมจันทร์สบายใจ


แต่ทว่าปฏิกิริยาแบบนี้ของซีรีนกลับไปกระตุ้นต่อมอยากรู้ของทุกคนเข้าเสียอย่างนั้น สายตาของทั้งกลุ่มยกเว้นมิร่าและทิออสเลยมองมาที่เจ้าของเรื่องตอนแรกสุดทันที


มิร่าได้แต่มองเลิกลั่กซ้ายขวาอย่างไร้ทางออก ไม่ว่ามองไปทางไหนดูเหมือนจะไม่ได้รับความช่วยเหลือแน่ ๆ เธอเลยได้แต่ก้มมองเบื้องล่างอีกครั้ง ต้นหญ้าแถวนั้นโกร๋นเป็นหย่อมเพราะมือเธอถอนมันขึ้นมาไม่หยุด


“มีอะไรไม่สบายใจ ก็บอกได้นะ มิร่า”อามิน่าเอ่ยเสียงเรียบ ๆ แต่มิร่ารู้ได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่คำปลอบใจ


นั่นแหละเป็นคำสั่ง “บอกมาเดี๋ยวนี้” ของอามิน่าต่างหาก มิร่ารู้ดีกว่าใครทั้งหมด


แต่จะทำไงได้ล่ะ?


ให้บอกหรือไง ว่าแอบสะกดรอยตามพวกเบลนโนไป?


มีหวังโดนโกรธแหง ๆ


สายตาสีทองของมิร่ามองหวาด ๆ ไปทางทิออสที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ ดูเหมือนตัวอันตรายสำหรับเธอจะไม่มีแรง พูดซะดีไหมนะ?


เอาก็เอา


หลังจากต่อสู้กับตัวเองในห้วงความคิดอยู่นาน ในที่สุด มิร่าก็รวบรวมความกล้าได้ เธอกัดริมฝีปากล่างนิดหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้น


“คุณเบลนโนคะ คุณกับคุณทิออส เข้าไปทำอะไรในป่าคะ?”


เบลนโนเบิกตาเล็กน้อย มิร่าพนันได้เลยว่าเขาแปลกใจเอามาก ๆ เพราะเบลนโนถึงกับตาเบิกโตแบบคนไม่คาดฝัน ซึ่งนั่นมิร่าก็ทำใจรับคำต่อว่าไว้อยู่แล้ว


“หมายถึงที่ผมทายาให้ทิออสน่ะเหรอครับ?”เพียงประโยคสั้น ๆ ทิออสที่นั่งก้มหน้าก็เงยหน้าพรึ่บพร้อมสายตากดดันอันส่งมาถึงมิร่าได้ในทันที แน่นอนว่าเธอถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัวเพราะแรงกดดันทางสายตา แต่ก็ใจดีสู้เสือจ้องหน้าเบลนโนต่อไปด้วยความอยากรู้คำตอบ


“ครับ ผมพูดไม่ผิดหรอก ผมทายาให้ทิออสจริง ๆ ”เบลนโนยืนยันคำพูดตัวเองอีกครั้งเมื่อมิร่ายังคงมองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อ


“แล้วเสียงขาด ๆ หาย ๆ นั่นอะไรล่ะคะ?”มิร่ายังซักไม่เลิกรา


“พอเถอะ...”ทิออสพยายามตัดบทด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง แต่มันไม่เป็นผลเพราะเบลนโนเดินมาหาเข้าแล้ว


“อย่านะ...”เสียงร้องท้วงอันอ่อนแรงของทิออสไม่เป็นผล เบลนโนจับเขาให้หันหลังทันที และเปิดด้านหลังให้ดูรอยกรงเล็บขนาดใหญ่ที่หลัง


มิร่ายกมือขึ้นปิดปากทันที ดวงตาเบิกโตด้วยความประหลาดใจ แม้จะอยากร้องแต่น้ำเสียงกลับถูกสูบหายไปไหนหมดก็ไม่อาจทราบ ที่แน่ ๆ ในตอนนี้ คือเธอรู้สึกสงสารทิออสเอามากกว่าจะตกใจกับรอยแผลนี้


มันเป็นรอยกรงเล็บขนาดใหญ่ยาวพาดหลัง ซ้ำยังดูเหมือนจะได้รับมันมาเมื่อไม่นานนี้เองเพราะรอยแผลยังสดใหม่อยู่เลย ผิวโดยรอบก็เป็นสีม่วงช้ำดูน่ากลัว แลดูแล้วแผลคงทำให้เขาทรมานไม่ใช่น้อย นี่หรือเป็นสาเหตุที่ทิออสตีสีหน้านิ่งมาตลอด เพื่อข่มความรู้สึกนี้งั้นเหรอ?


“แผลนี่......ทิออสได้มันมาเมื่อเกือบ ๆ สิบปีก่อนน่ะครับ” เบลนโนพูดออกไป คนทั้งกลุ่มยิ่งตกใจกันมากขึ้นอีก เวลาเป็นสิบปีทำไมรอยแผลกลับยังดูสดใหม่อยู่ล่ะ ประโยคนี้แทบจะผุดขึ้นในหัวของทุกคนทันที


“คำสาป..........สินะ?”ซีรีนพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองลงมาแต่ก็ถูกเผงเพราะเบลนโนเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าน้อย ๆ ยืนยันคำตอบ


“ครับ คำสาป......แต่จนบัดนี้ผมยังไม่รู้วิธีคลายมันเลย สารพัดเวทมนตร์ที่รู้จักก็ลองใช้มาหมดแล้ว แม้แต่บทรักษาขั้นสูงยังใช้ไม่ได้...”


“ก็ต้องย้อนศร ฆ่าคนที่ให้คำสาปนี้มาเท่านั้นแหละ”ซีรีนแนะ


“ครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คำสาปจะแก้ยังไง แต่ปัญหาก็คือ....”เบลนโนทิ้งช่วงไป


“คนที่ให้คำสาป คือวิคเตอร์ครับ...”


“หือ!!”เพียงเท่านั้นซีรีนดีดตัวขึ้นจากกิ่งไม้ทันที ปีกทั้งสองกระพือกลางอากาศพยุงตัวหล่อนเอาไว้


“มัน....ยังไม่ตายจริง ๆ สินะ...”เจ้าหล่อนพูดอย่างใช้ความคิด มือลูบคางหลุบตาต่ำเพราะภายในหัวกำลังประมวลผลข้อมูลอันแปลกประหลาดนี้อย่างหนัก


“เอาเถอะ ๆ พวกเธอทุกคนเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกันต่อนะ” ซีรีนตัดสินใจสั่งทุกคนให้เข้านอนแม้หลาย ๆ คนจะยังไม่เต็มใจอยากนอนเพราะความสงสัยในท่าทีของเธอก็ตาม
ที่สำคัญ ทุกคนรู้ได้ในทันทีว่า


วิคเตอร์ คือศัตรูที่ล้มไม่ได้ง่าย ๆ แน่ ๆ หากดูจากท่าทางของซีรีน



เช้าวันต่อมาแม้จะไม่สดใสเท่าไหร่นักแต่ก็เหมาะสำหรับการเดินทาง ทุกคนลุกขึ้นและบิดตัวเหยียดออกอย่างเมื่อยขบ อาชออกเดินนำไปด้านหน้าด้วยท่าทางอยากจะสำรวจสิ่งปลูกสร้างนี้อย่างใจจดใจจ่อ


ทว่าเสียงแหลมใสของโลหะกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งก็ทำให้เขาหันเหความสนใจไปหามัน


“โอ๊ะโอ...”


“หากจะผ่านตรงนี้ไป ต้องมีค่าผ่านทางนะ”


น้ำเสียงขี้เล่นของบุรุษดังขึ้นที่ซุ้มทางเข้าปราสาท เงาหนึ่งค่อย ๆ เดินเยื้องย่างออกมาอย่างแช้มช้าเผยให้เห็นบุรุษร่างสูงเจ้าของเรือนกายล่ำสันภายใต้เสื้อกั๊กและกางเกงผ้าเนื้อหน้าชายรุ่ย ๆ ขาด ๆ ที่ดูแล้วเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจดูแลเสื้อผ้าเท่าไหร่


แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้น คือเรือนผมสั้นกระเซิงสีฟ้าสด และดวงตาสีเดียวกันนั้น


มันคือสีเดียวกับคนในกลุ่มของอาช


เบลนโนยืนตะลึงอยู่นานด้วยความไม่เชื่อสายตา และก้าวขาสั่น ๆ ออกมาด้านหน้าช้า ๆ


“ท่าน......พี่.....?”

-------------

หายไปนานเพราะขี้เกียจ/ไม่ใช่

ล้อเล่นครับ งานหลาย ๆ อย่างมันเข้ามาน่ะนะ...

tstcwqt1
28th August 2011, 02:35
ตอนที่ 9 เมื่อพบกัน


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา

“ไง? ไม่ได้เจอกันนานนะเบลนโน”ผู้มาใหม่ยิ้มกว้างให้เขา จนเบลนโนเผลอขยับขาเดินเข้าไปหาก้าวหนึ่ง แต่ไม่ทันจะได้ขยับมากกว่านั้น ท่อนแขนของทิออสก็ขวางเขาเอาไว้ไม่ให้เดินต่อมากกว่านี้

“อย่าขยับมากกว่านี้จะดีกว่า.....” ทิออสเอ่ยเสียงนิ่งเย็นชวนขนลุกเป็นเรื่องปกติของเขา ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป ราวกับมีอะไรสักอย่างแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น มันถึงได้ฟังดูร้อนและอึดอัดชวนหยุดหายใจเสียเหลือเกินสำหรับหลาย ๆ คน

“ใจร้ายจังน้าทิออส นายเนี่ย ทางที่เมื่อก่อนพวกเราก็ออกจะสนิทกันมากแท้ ๆ เลยนะ”รีเซลพูดลากเสียงขี้เล่น แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นด้วย ใบหน้าของทิออสที่เคยข***เครียดอยู่แล้วยิ่งดูน่ากลัวมากกว่าเดิม

“โอ๊ะ? ตายจริง ๆ ทำไมชั้นมารยาทแย่แบบนี้กันนะ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยแฮะ”รีเซลวาดรอยยิ้มพร้อมไล้นิ้วไปตามริมฝีปากตัวเอง อาชแอบโมโหกับท่าทีขี้เล่นไม่เห็นคนอื่นในสายตาของหมอนี่ที่สุด แต่ดูจากท่าทางของทิออส หมอนี่ฝีมือไม่ได้เล่น ๆ ตามลักษณะภายนอกแน่ ๆ

“สวัสดี ผม รีเซล เดอ อาชิฮาร่า ทริกส ที่3 ยินดีที่ได้รู้จักนะ” โค้งให้นิดหนึ่งก็ยิ้มให้เสียจนตาปิด

“ตำแหน่ง ไฟรเดย์ แห่งเซเว่นเดย์ ยินดีที่ได้พบครับ เหล่า”ผู้เสาะหา””

“หยุดพูดนะ!”เพียงเท่านั้นซีรีนก็คำรามลั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นจนสะดุ้งกันทั้งกลุ่มเพียงแค่คำ ๆ เดียว

“ผู้เสาะหา?”อาชทวนคำอย่างฉงนใจ ดูเหมือนคำ ๆ นี้จะติดในหัวของเขามาได้สักพักแล้ว

“อะไรกัน ๆ พวกเขายังไม่รู้อีกเหรอครับ คุณซีรีน......”รีเซลยิ้มพรายประกายเล่ห์ มันดูมากเล่ห์และเต็มไปด้วยความน่าสงสัยเป็นที่สุด ผิดกับใบหน้าขี้เล่นนั้นโดยสิ้นเชิง

“ข้าบอกให้หยุด!”การตะโกนห้ามครั้งที่สองนี้ซีรีนถึงกับควักเคียวด้ามโตของเธอออกมาด้วย นั่นเป็นสัญญาณไม่ดีแน่ ๆ ในความคิดอาช เพราะนอกจากตอนที่ป้ายหักนั่นแหละ ป้าของเขาก็ไม่เคยอารมณ์รุนแรงได้ถึงขนาดนี้

“ทำไมถึงให้หยุดล่ะครับ? คุณอยากให้พวกเขาถูกปิดหูปิดตาทำเรื่องที่แม้แต่พวกเขายังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรเนี่ยนะ? ผมหวังดีหรอกนะถึงได้ยอมเสียเวลามาบอกน่ะ....”

“หนอยเจ้านี่!”

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำ ในช่วงวินาทีความเร็วเหลือเชื่อ คมเคียวของซีรีนก็ฟาดวูบเข้าคอของรีเซลหมายสะบั้นให้ขาดเพื่อเงียบวาทะอันไม่พึงประสงค์
แต่เหมือนอีกฝ่ายคงไม่เคี้ยวง่ายนัก เพราะในความเร็วพอ ๆ กันผู้เป็นเป้าหมายของคมเคียวก็ยกแขนที่ถูกพันด้วยโซ่ขึ้นกันคมเคียวจนเกิดเสียงเคร้งดังลั่นสนั่น ประกายไฟเกินขึ้นแวบหนึ่งด้วยแรงปะทะและคัดง้างอันมหาศาลของทั้งคู่

“ใจร้ายจัง....ผมยังพูดไม่จบเลยนะครับ”รีเซลวาดรอยยิ้มพรายอีกครั้ง เจ้าตัวปัดคมเคียวออก ซีรีนโดดถอยกรูดออกมาทันที ความระวังระไวดูเหมือนจะเพิ่มเป็นทวีคูณเพราะโซ่ของรีเซลไม่ได้มีเพียงเส้นเดียว

โซ่มากมายหลายเส้นอันจะนับคงมากกว่าสิบเลื้อยออกมาจากลำตัวของเขาและช่วงปลายแหลมของโซ่ลอยค้างอยู่กลางอากาศราวอสรพิษร้ายคอยปกป้องกายของเจ้านายแห่งมัน

“หึ.....”ซีรีนแค่นยิ้ม คมเคียวของโซ่เริ่มเปล่งแสงสีดำจาง ๆ อีกครั้ง คราวนี้กลุ่มของอาชทั้งกลุ่มถูกกั้นด้วยปราการกระจกทันทีด้วยฝีมืออาเทน

“อาเทน ถ้าไม่ไหวก็ปลดออกเลยนะ......พี่รับหน้าเอง....”อาชก้มลงไปพูดกับอาเทน

“เชื่อใจผมเหอะน่า..”อาเทนยิ้มรับหวาด ๆ


รีเซลผิวปากหวือทันทีที่เห็นท่าทีของซีรีน เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเขาเสียด้วยสิ แบบนี้ก็ต้องปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ตาย!”ซีรีนหมายมั่นอีกครั้ง คมเคียวเปี่ยมด้วยแสงสีดำฟาดเข้าหารีเซลเป็นเส้นตรงทันทีด้วยความเร็วสูง

เสียงระเบิดกัมปนาตดังขึ้น ฝุ่นควันกระจายไปทั่วพร้อมเศษเล็กเศษน้อยของพื้นอิฐที่แตกกระจายด้วยแรงระเบิด

ทว่าท่ามกวางฝุ่นควันที่จางลง ซีรีนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น...

พร้อมกับรีเซลที่ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่รอยขีดข่วน โซ่มากมายสานตัวเป็นกำแพงหนากันคมเคียวและแรงระเบิดได้เป็นอย่างดี ซีรีนแค่นฟันกรอดทันทีที่เห็นและโดดถอยออกมาตั้งหลักอีกครั้ง

“รีบร้อนจังเลยนะครับ คุณซีรีน คุณเองก็เป็นหนึ่งในผู้รอดจาก “แร็คนาร็อค” แท้ ๆ ทำไมถึงได้ใจร้อนแบบนี้ล่ะครับ ผิดกับความสามารถของคุณเลยนะ” รีเซลพูดพลางหัวเราะเบายั่วโทสะ และดูเหมือนมันจะได้ผลเป็นอย่างดีเพราะซีรีนกำเคียวแน่นจนมือสั่น

“หุบปากเน่า ๆ ของแกไปได้แล้วเจ้าหนู!”

“โอ๊ะ ๆ คราวนี้ผมไม่ยอมง่าย ๆ หรอกนะ”

รีเซลสะบัดมือไปด้านหน้า เหล่าปลายโซ่แหลมพุ่งเข้าใส่ซีรีนราวอสรพิษร้าย ซีรีนปัดออกทั้งหมดแล้วพุ่งเข้าใส่รีเซลทันที

“อย่ามองแต่ด้านหน้าสิครับ” รีเซลวาดยิ้มก่อนคมเคียวจะถึงตัวเพียงชั่ววูบเพราะซีรีนต้องกระโดดหลบโซ่ที่อ้อมมาจากด้านหลังขึ้นไปกลางอากาศ

“น้ำตกย้อนทิศ”รีเซลสะบัดมือขึ้นด้านบน เหล่าโซ่มากมายหลายสิบเส้นพุ่งเข้าหาซีรีนจากพื้นดินสู่ผืนฟ้า

“ชิ!”ซีรีนสบถขัดใจ เจ้าตัววาดคมเคียววูบสร้างเคียวน้ำแข็งแช่แข็งพวกมันไว้ได้ส่วนหนึ่ง อีกราวสิบเส้นยังพุ่งเข้าหาเธอต่อเนื่อง

“มากเกินไปแล้วไอ้หนู!!”ซีรีนคำรามเดือดดาล คึมเคียวฟาดออกจนเกิดรัศมีระเบิดวงกว้าง เหล่าโซ่แหลกสลายขาดหล่นไม่เหลือชิ้นดีแต่รีเซลยังคงวาดรอยยิ้มมากเล่ห์

ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง ฝ่ายหนึ่งคือเคียวอันหนักหน่วงและว่องไวผิดขนาดของมันซึ่งใหญ่กว่าตัวผู้ใช้แทบจะเท่าตัว ทว่าทางรีเซลมีเพียงโซ่ขนาดไม่ใหญ่นักหลายสิบเส้นพุ่งเข้ารับคมเคียวและปัดป้องไปมาได้อย่างสมบูรณ์แบบชนิดที่เข้าไม่ถึงตัว

สองแขนของรีเซลทั้งปัดและสะบัดราวถือดาบคู่เป็นศาสตราวุธ เหล่าโซ่พุ่งเข้าและสะบัดปัดออกตามมือเขาอย่างเชื่อฟังคำสั่ง

“น่ารำคาญจริง!!”ซีรีนแค่นเสียงอย่างเหลืออด ยิ่งฟันโซ่ทิ้งมากเท่าไหร่จำนวนโซ่ก็เหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุดสักที

“โอ๊ะ ๆ ระวังแต่ด้านหน้าจะดีเหรอครับ?”รีเซลยิ้มพราย โซ่หลายเส้นพุ่งเข้าหาซีรีนจากด้านหลังทันที

“แบบนี้จัดการแค่ต้นตอก็พอ!”ซีรีนประกาศลั่น คมเคียวเปล่งแสงสีฟ้าวูบสว่างจ้าวูบหนึ่ง ก่อนที่จะฟาดออกสุดวงแขน คลื่นน้ำแข็งมหาศาลทะลักใส่ราวคลื่นยักษ์ไร้แหล่งกำเนิด

“โห....เล่นเอาแย่เหมือนกันนะนี่”รีเซลเบิกตาโต เพียงพริบตาก่อนคลื่นยักษ์จะถึงตัวเขาก็ลอยตัวขึ้นไปด้านบนแล้ว

ด้านหน้าของซีรีนตอนนี้ไม่ต่างจากนรกอันหนาวเหน็บและเยือกแข็ง ทุก ๆ อย่างเป็นสีขาวโพลนราวกับเป็นเรื่องโกหก

แม้แต่พวกของอาชที่อยู่นอกวงยังถึงกับหายใจเป็นไอ อุณหภูมิในตอนนี้คงต่ำมากแน่ ๆ

รีเซลลอยค้างอยู่กลางอากาศมองซีรีนอย่างมากเล่ห์ อีกฝ่ายฝีมือร้ายกาจจริง ๆ สมคำร่ำลือที่เคยได้ยิน ดูเหมือนงานนี้จะเคี้ยวยากซะแล้ว

โซ่ปลายแหลมหลายสิบเส้นลอยค้างกลางอากาศรอบตัวเขาราวรัศมีแสงแรงกล้า ทว่ามันกลับดูมืดหม่นและอันตรายเป็นที่สุด

“คงได้เวลาจบสักทีล่ะนะ เบื่อจะเล่นแล้ว”รีเซลวาดยิ้มอีกครั้ง ครานี้เขาสะบัดมือทั้งสองข้างพร้อมกันจากด้านบนลงล่างเป็นแนวดิ่ง

“ฟอลล์ดาวน์ (Fall Down)”

เกิดเสียงกัมปนาตดังสนั่นเลื่อนลั่นเสียจนพื้นสะเทือนเมื่อเหล่าโซ่มากมายสานตัวเองเป็นลูกตุ้มขนาดยักษ์และพุ่งลงกระแทกจุดที่ซีรีนเคยยืนอยู่

แต่ซีรีนเองก็ใช้ความเร็วให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองมีหลบออกมาจนได้

แม้จะหลบทันแต่ก็อดใจหายไม่ได้ หากโดนเข้าไปแม้ซากคงเดายากว่าเป็นใคร

ซีรีนคิดไม่ตก ถ้ามาอีกครั้งหรือสองครั้งคงหลบไม่พ้นแน่

“ไวใช้ได้นี่ครับ งั้นนี่ล่ะ?”

ครั้งนี้มือของเขายกขึ้นเล็กน้อย ลูกตุ้มโซ่สานค่อย ๆ ยกตัวมันเองขึ้นตามมือของรีเซลและลอยค้างกลางอากาศสูงลิบ

“ซิลเวอร์เรน(Silver Rain)”

รีเซลกำมือแน่นเป็นสัญญาณ ลูกตุ้มแตกออกเป็นปลายโซ่ลูกตุ้มเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนแตกออกทั่วทิศ

เกิดเสียงตูมตามดังสนั่นถี่รัวเนื่องจากแรงกระแทก ซีรีนพยายามใช้ความไวของเธอให้มากเท่าที่จะมากได้เพื่อหลบมัน

ทว่ากลับไม่พ้น

“อั้ก!!”ปลายลูกตุ้มโซ่เส้นหนึ่งกระแทกเข้ากลางหลังเธอเต็มที่ โลหิตสีดำคำโตกระอักพรวดออกจากปาก ซีรีนนอนคว่ำหน้าลงบนพื้นทันที

“ป้าซีรีน!”อาชรีบวิ่งฝ่ากำแพงกระจกออกมาทันที สองแขนประคองซีรีนที่หมดสติไว้ในอ้อมอกแล้วตวัดสายตาใส่รีเซลที่ยิ้มกึ่งเย้ากึ่งยั่วโทสะใส่เขา

“อาเทน....ฝากด้วย”อาชอุ้มซีรีนไปหากลุ่มของพวกอาเทนทันที เหมือนเขาจะไม่สนใจรอยยิ้มของรีเซลอันมากเล่ห์นั้นเลย

“หันหลังให้ศัตรูแบบนี้จะถึงตายเอานา ไม่มีใครสั่งสอนรึไง?”รีเซลพูดกลั้วหัวเราะ โซ่สองเส้นพุ่งเข้าใส่อาชทันทีที่วางตัวของซีรีนลงพื้น

เพียงพริบตาเท่านั้น

ระเบิดเพลิงขนาดใหญ่ปะทุขึ้นทันทีที่อาชฟาดดาบออก สายตาของเขาดูดุดันผิดกับมาดขี้เล่นที่ผ่าน ๆ มาโดยสิ้นเชิง

“แกศพไม่สวยแน่ไอ้หัวกระเซิง”อาชชูนิ้วเป็นสัญลักษ์ที่หยาบที่สุดใส่รีเซลที่ยังคงยืนยิ้มรับ

“ตาย!”อาชตะโกนสั้น ๆ แล้วพุ่งเข้าฟาดดาบสีเพลิงใส่รีเซลทันที

แทบจะไม่ต้องมีสัญญาณเหล่าโซ่ก็พุ่งเข้ามารับดาบนั้นจนเสียงเคร้งดังเปรื่องก้องสะท้าน

“ช่องว่างยังมีนะเฟ้ย...”อาชแค่นยิ้ม มืออีกข้างชักดาบสีเหลืองออกจากฝักดาบฟาดเข้าใส่รีเซลทันทีในระยะประชิดจนผู้เป็นเป้าหมายเบิกตาโตนิดหนึ่งแล้วรีบใช้โซ่พันแขนไว้เพื่อรับคมดาบนั้น

เสียงเคร้งคำรบที่สองดังขึ้นคราวนี้ทั้งหนักทั้งแน่น รีเซลถลาลงมาถอยครูดไปตามพื้นที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แขนขวาที่รับดาบชาหนึบไปในทันทีด้วยแรงปะทะมหาศาลทั้ง ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะทำได้แท้ ๆ ด้วยท่อนแขนแค่นั้น

ความลับคงอยู่ที่ตัวดาบ รีเซลคิดได้แค่แบบนี้เท่านั้น ซึ่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะพอใจที่อาวุธเข้าเป้าเสียด้วย

“จบล่ะนะ!”อาชประกาศชัย ดาบสองเล่มพุ่งเข้าใส่รีเซลหมายเผด็จศึกทันที

“วู่วามมาก ๆ น่ะหมายถึงความตายนะ”รีเซลยิ้มแล้วจิกปลายขากับพื้นแล้วหมุนตัวด้วยความเร็ว

“ทอร์เนด เชน”

เพียงเท่านั้นโซ่ก็พุ่งออกมาจากตัวรีเซลรอบทิศ

“อึ่ก...........”อาชชะงักค้างกลางอากาศทันที

เกิดเสียงตุบเบา ๆ เมื่อแขนขวาของอาชร่วงลงกระแทกพื้นพร้อมกับหยดเลือดแดงฉาน และอีกมากมายจากปลายโซ่ที่ทะลุร่างของเขาไป

“พี่!”อาเทนร้องอย่างตกใจ หนังสือสีเขียวกางออกทันทีที่รีเซลชักโซ่กลับให้ร่างของอาชร่วงลงมา

“อาเมนอสมาเกีย! ลมหายใจเทพวายุ!”อาเทนตะโกนเสียงดัง เกิดลมหอบใหญ่พยุงร่างของอาชเอาไว้ก่อนเขาจะถึงพื้น ก่อนที่แมดเนสจะวิ่งไปคว้าเอาไว้พร้อมกับเก็บแขนที่ขาดมาด้วย

“ครั้งนี้.....ผมไปเอง”อาเทนออกเดินไปด้านหน้า ครั้งนี้ท่อนแขนของทิออสขวางเขาเอาไว้

“ชั้นเอง.....”

“ทำไมล่ะ!! หมอนั่นตัดแขนพี่ผมนะ!!”อาเทนตวาดลั่น

“หุบปากได้แล้วเจ้าเด็กบ้า!”คราวนี้ทิออสตวาดกลับทำเอาอาเทนสะดุ้งแล้วเงียบไป น้ำใส ๆ คลอหน่วยที่ดวงตาก่อนจะปริ่มออกมาเล็กน้อย

“หุบปากเงียบไปซะ เรื่องนี้.....ชั้นเป็นคนก่อมันขึ้นมา ชั้นจะจบมันเอง....”ทิออสเอ่ยนิ่ง ๆ แล้วเดินออกไป ท่อนผ้ายาวถูกสะบัดผ้าออก

มันคือหอกที่มีสีเหลืองสดทั้งด้ามตั้งแต่โคนจรดปลายแม้แต่คมหอก ช่วงข้อต่อหอกสลักลวดลายที่เหมือนจะเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่อาเทนอ่านไม่ออก

“อะไรกัน ๆ เจ้าหนูนั่นยังพอว่า นี่นายถึงกับหันคมหอกใส่เจ้านายตัวเองเชียวเหรอ? ทิออส?”รีเซลยิ้มแล้วยิงคำถาม ทว่าทิออสยังคงตีสีหน้าเครียด

“ท่านไม่ใช่เจ้านายของผมอีกต่อไปแล้ว....นายน้อย.... ไม่สิ...รีเซล...”ทิออสสะบัดคมหอกชี้เป้าไปที่รีเซลทันที

“เห..............? งั้นหรอกเหรอ?”รีเซลยิ้มยั่วโทสะ

“ขอโทษนะขอรับคุณหนู.....”ทิออสหันมาหาเบลนโนที่ทำสีหน้าหวาดๆ

“เรื่องนี้.....ข้าพเจ้าเป็นผู้ก่อขึ้น แต่ไม่ต้องห่วงขอรับ.....” ทิออสหันหน้ากลับไป สายตาสีแดงฉานมุ่งมั่นด้วยเปลวเพลิงที่ยากจะดับ

“ข้าพเจ้าจะจบมันเอง”

tstcwqt1
23rd December 2011, 03:04
ตอนที่ 10 คมหอกแห่งข้ารับใช้


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย


ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง


จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา


“โอ๊ะโอ... ชั้นไม่เคยสอนให้นายหันคมหอกหาเจ้านายเลยนะทิออส” รีเซลแย้มยิ้มขี้เล่น เขาไม่ได้สนใจปลายของหอกสามง่ามสีเหลืองสดที่ชี้จ่อตนแต่อย่างใด แต่กลับวางใจด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ว่าทิออสไม่ใช่คนบุ่มบ่ามบุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนคนอื่น ๆ

“ท่านไม่ใช่นายของผมอีกต่อไปแล้วคุณหนู ไม่สิ... รีเซล เดอ อาชิฮาร่า ทริกส์ ที่สาม องค์ชายแห่งนภาสีมืด”ทิออสกล่าวเสียงเย็น ทว่ามันกลับฟังดูแปลกไป แม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูนิ่งและเรียบเฉย ทว่ามันกลับแฝงไปด้วยความร้อนรนและวิตกกังวล ราวกับเมฆฝนสีทมิฬที่กลืนไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่แม้จะมองไม่ออกแต่รู้สึกได้

“แหม ๆ เรียกชื่อกันซะเต็มยศเลยนะ มันเป็นการเสียมารยาทไม่ใช่รึทิออส? ชั้นเคยสอนนายไปแล้วนี่นา” รีเซลยังคงไม่หุบยิ้ม ขาของเขาขยับเดินไปด้านข้างช้า ๆ ในขณะที่ทิออสขยับเดินไปในทิศทางตรงข้ามกัน ทั้งสองฝ่ายค่อย ๆ ก้าวเดินช้า ๆ เป็นวงกลมเพื่อหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน รีเซลขยับปากพูดอ้อมไปต่าง ๆ นานาดูไม่น่าจะพร้อมต่อสู้ แต่ทิออสรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงท่าทางเปลือกนอกเท่านั้น เพราะโซ่ปลายแหลมทั้งหลายของรีเซลกำลังชี้ปลายมาที่เขาหลายเส้น ราวกับอสรพิษที่หมายตาเหยื่อและพร้อมที่จะเข้าจู่โจมได้ในทันที

“กับศัตรูไม่จำเป็นต้องมีมารยาทให้” ทิออสตัดบทไร้น้ำใจ เมื่อสิ้นคำพูด ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดเดิน ฝีเท้าทั้งคู่นิ่งเงียบสงบอยู่กับที่ไม่ขยับใด ๆ

เสียงเคร้งคร้างดังสนั่นถี่รัวและดูเหมือนจะไม่หยุดง่าย ๆ ประกายไฟปะทุขึ้นเป็นระยะ ๆ เมื่ออาวุธทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน แม้มันจะดูสวยงามเพียงใด แต่นั่นก็บ่งบอกได้ถึงความรุนแรงของทั้งคู่ที่เข้าห้ำหั่นเช่นกัน ทิออสไม่คิดจะยั้งมือให้แม้เพียงน้อยนิด เขารู้ดีว่าหากยั้งมือหรือลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาทีนั่นหมายถึงความตายเป็นแน่

ทั้งสองต่างเข้าโรมรันอาวุธใส่กันด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ทิออสทั้งฟาด ปัด สะบัด และแทงคมหอกเข้าใส่รีเซลไม่ยั้ง ทว่ารีเซลกลับป้องกันด้วยการสะบัดมือเป็นท่วงท่าต่าง ๆ เพื่อให้เหล่าโซ่พุ่งเข้าปัดป้องและโจมตีออกไป ราวกับวาทยากรแห่งวงดนตรีที่มีสมาชิกเป็นโซ่สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วน

ดูราวศิลปะที่ไม่ได้ตั้งใจสรรค์สร้างอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งที่คมหอกเข้าจู่โจม ปลายโซ่แหลมคมจะเข้าปะทะกับมัน และเบี่ยงทิศทางของมันออกเล็กน้อย ทิออสรู้ดีที่จุดนี้ เขาบิดปลายหอกเป็นเกลียวและฟาดออกทันที รีเซลขยับปลายนิ้วราวเชิดหุ่น โซ่อีกชุดเข้าปัดป้องการโจมตีอีกครั้งและสวนกลับไปด้วยโซ่ปลายแหลมสองเส้น ต่างฝ่ายต่างเอี้ยวตัวหลบอาวุธของกันและกัน ทิออสกระโดดถอยออกมาเล็กน้อยและพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันรีเซลใช้ช่องว่างนั้นให้เป็นประโยชน์ เขาวาดมือออกวงกว้างสร้างรัศมีโซ่ปลายแหลมและพุ่งเข้าใส่ทิออสจากหลายทิศทางราวฝูงอสรพิษร้ายที่หมายตาเหยื่อเพียงหนึ่งเดียว

พริบตาที่ทิออสเห็นเช่นนั้น เขาใช้มือขวาที่ว่างก่อพลังงานขึ้น ประจุไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบที่ฝ่ามือและขว้างมันออกไปด้านบนจนเกิดระเบิดขึ้นขนาดย่อม ปลายโซ่แหลมหลายเส้นถูกทำลายในทันทีด้วยแรงระเบิด

ทิออสไม่ยอมเสียโอกาส เขาใช้แรงระเบิดนั้นผลักตัวเองเข้าไปหารีเซลให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม คมหอกของเขาแทงออกไปเป็นเส้นตรงทันที

แต่ในขณะเดียวกัน รีเซลก็วาดมือออกอีกครั้ง ปลายโซ่แหลมเข้าปะทะอีกครั้งอย่างไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย

ชั่วขณะที่โซ่ทั้งหลายหยุดชะงักไปวูบหนึ่งเมื่อรีเซลเปลี่ยนท่วงท่า ทิออสซัดก้อนพลังงานสีเหลืองที่มือขวาออกไปทันทีเมื่อเห็นช่องว่าง แม้มันจะเล็กเพียงใด แต่ช่องว่างเพียงรูเข็มก็มากเกินพอแล้วสำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้

รีเซลรีบประกบมือเข้าหากันทันที โซ่หลายเส้นเข้าสานตัวกันเป็นรูปร่างโล่ขนาดใหญ่ป้องกันอันตราย แต่นี่คือจังหวะที่ทิออสต้องการ เขาไม่หวังให้ก้อนพลังงานนั้นเข้าเป้า แต่ที่เขาเล็งจริง ๆ คือการทำให้รีเซลสนใจสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เขา แม้เพียงครู่เดียวก็ยังดี

เขาค้ำหอกกับพื้นและแตะมือตัวเองเข้าที่ข้อเท้าแผ่วเขา เกิดเสียงเปรี๊ยะเบา ๆ เมื่อไฟฟ้าแตะที่ข้อเท้า พริบตานั้นเขาใช้หอกค้ำยันตัวเองกับพื้นและกระโดดสูงขึ้นไปราวนักกีฬาค้ำถ่อ จังหวะที่เขาขึ้นสูงสุด ปลายนิ้วของเขาชี้ขึ้นฟ้า ประกายไฟฟ้าและแปลบปลาบทั่วร่าง หมู่มวลเมฆสีดำก่อตัวขึ้นฉับพลันทันที และในชั่วพริบตาเดียวที่ทุกอย่างดูช้าไปหมด

“ธอร์ จัดจ์เมนท์(Thor Judgemant)”ทิออสฟาดนิ้วที่ชี้ขึ้นฟ้าลงพื้นทันที สายฟ้าฟาดลงมาราวเชื่อฟังคำสั่ง

แต่รีเซลยิ้ม เขาสะบัดมือออกด้านข้างทันที

“บทเพลงสีเงินท่อนสอง ปราการเหล็กกล้าไร้พ่าย”

ในจังหวะความเร็วเหลือเชื่อ โซ่สานตัวพันกันแน่นหนาเป็นโดมเหล็กขนาดยักษ์บดบังตัวรีเซลจากสายตาของทิออสไป

เสียงกึกก้องกัมปนาตดังขึ้นเมื่อสายฟ้าเข้าปะทะ เกิดแรงระเบิดขึ้นจนฝุ่นควันกระจายคละคลุ้ง

ทิออสลงแตะพื้นอย่างนิ่มนวลที่สุด ทว่าเขาเริ่มหายใจหอบแล้ว การโจมตีเมื่อครู่ใช้พลังไปมากเหลือเกิน แม้ร่างกายของเขาจะมีคุณสมบัติพิเศษเกี่ยวกับไฟฟ้า ทว่าการเรียกฟ้าผ่านั้นยังไงก็ใช้พลังมากอยู่ดี ยิ่งการเล็งมันให้เข้าเป้านั่นยิ่งใช้พลังกายไปเป็นทวีคูณ

“รุนแรงกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะเลยนะเนี่ยทิออส”เสียงปรบมือเปาะแปะดังขึ้นท่ามกลางฝุ่นควันที่คละคลุ้งเพราะแรงระเบิด เมื่อสายลมพัดเข้ามาพาให้ฝุ่นควันจางลง ทิออสแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลยว่าคู่ต่อสู้ของตนนั้นไร้บาดแผลโดยสิ้นเชิง

“ถ้าไม่ใช่ชั้นนี่คงตายไปแล้วล่ะ”รีเซลยังคงประดับใบหน้าด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านสิ่งใด โซ่ของเขาหลายเส้นดำเป็นตอตะโก บางก็ด้วนกุดหรือขาดกลางรุ่งริ่ง แต่เพียงการสะบัดมือครั้งเดียวของผู้เป็นเจ้าของ โซ่เหล่านั้นก็กลับคืนชีวิตของมันอีกครั้งหนึ่งราวกับการโจมตีเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“นายเวลาเอาจริงคงยิ่งกว่านี้ ถ้าฝั่งนี้ไม่เอาจริงบ้าง...คงเสียมารยาทน่าดูชม”รีเซลแสยะยิ้มชั่ววูบหนึ่งและชูแขนข้างหนึ่งขึ้นฟ้า โซ่ที่รัดพันแขนพุ่งขึ้นฟ้าและแตกตัวออกมากมาย มันค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

เงาสีดำแผ่ตัวออกและบดบังทิออสจนมิด มันคืออสุรกายที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ทว่ามีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่านัก ทั่วทั้งร่างของมันก่อขึ้นด้วยโซ่มากมายที่สานตัวกันราวกับเป็นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น รีเซลที่ยืนอยู่บนไหล่ขวาสูงเพียงหัวของมันเท่านั้น ทำให้ทิออสดูราวกับมดตัวน้อยที่พยายามจะต่อกรกับมนุษย์คนหนึ่ง

“บทเพลงสีเงินท่อนกลาง อสุรกายสีเงิน เอาล่ะนะ!” รีเซลสะบัดแขนขวาออก อสุรกายร่างยักษ์ง้างหมัดไปด้านหลังทันทีและชกออกเต็มแรง

ทิออสใช้ความเร็วที่เขาฝึกมาให้เป็นประโยชน์ เขากระโดดหลบหมัดยักษ์นั้นได้ทันท่วงที พื้นสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อกำปั้นเหล็กกล้ากระทบเข้ากับพื้นหินบล็อคที้ใช้ปูพื้น เศษหินมากมายกระเด็นกระดอนออกหลายทิศทาง อาเทนเห็นแบบนั้นจึงรีบกางหนังสือสีเหลืองออกทั้ง ๆ ที่หนังสือสีฟ้ายังกางคาอยู่ที่มือขวา กำแพงหินปรากฏขึ้นกั้นพวกของเขากับคู่ของทิออสเอาไว้ เศษหินมากมายที่กระเด็นมาถูกกำแพงหินกันไว้ได้หมด

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคยังดีที่อาเทนสามารถร่ายเวทกันไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงมีคนโดนลูกหลงบ้างไม่มากก็น้อย ทุกคนต่างคิดแบบนั้น

อาเทนปาดเหงื่อที่ซึมชื้นหน้าผาก เขาพับหนังสือสีเหลืองและปล่อยให้มันลอยวนรอบตัวเหมือนเดิม หนังสือสีฟ้าอีกเล่มที่กางคามือไว้เขายังเก็บมันไม่ได้ รัศมีสีฟ้าอ่อนเรืองรองที่แผ่คลุมรอบตัวซีรีนและปกคลุมหนังสือเล่มนี้ทำให้มองก็รู้ทันทีว่าอาเทนกำลังใช้มันรักษาซีรีนอยู่ แต่การใช้หนังสือสองเล่มยังหนักหนาเกินไปสำหรับเขาในตอนนี้

ฝั่งทิออส ทันทีที่ขาแตะพื้น เขาวิ่งไปตามท่อนแขนเหล็กกล้านั้นทันที หอกสามง่ามสีเหลืองสดง้างไปด้านหลังและปาออกด้วยความเร็วสูงและไฟฟ้าที่แล่นแปลบปลาบทำให้มันดูราวกับสายฟ้าที่ยิงใส่รีเซลเป็นเส้นตรง

“ง่ายไปนะ”รีเซลยิ้มและสะบัดมือซ้ายทันที ฝ่ามือเหล็กกล้าข้างซ้ายของอสุรกายร่างยักษ์เข้าบังมันได้ทันท่วงที หอกกระดอนออกไปเมื่อมันไม่ถูกเป้า แต่ทิออสสะบัดมือและเรียกมันกลับมาประจำมือ ปลายหอกค้ำยันกับต้นแขนของมันและดีดตัวขึ้นสูงอีกครั้ง

“คราวนี้ลูกไม้เดิมใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ!”รีเซลประกาศชัย เขากำมือข้างขวาและสะบัดขึ้นด้านบน หมัดขวาของอสุรกายแตกออกเป็นโซ่ปลายแหลมหลายสิบเส้นพุ่งเข้าหาทิออสทันที

นี่แหละสิ่งที่ทิออสกำลังรอ เขารอจังหวะนี้มาตลอด เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้นที่รีเซลจะทำแบบนี้ เพียงวูบเดียวที่ทั้งสองฝ่ายจะมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน

ฝ่ามือของทิออสเปล่งแสงสีเหลืองสว่างจ้า และจับมั่นเข้าที่ด้ามหอก เพียงเท่านั้นรัศมีแสงสีเหลืองก็แผดจ้าออกราวดวงอาทิตย์ที่สอง ทิออสยังคงจับด้ามหอกไว้แน่น เพียงชั่ววูบเดียวรัศมีแสงก็หดเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงรอบ ๆ คมหอกสามง่ามเท่านั้น

เมื่อฝ่ากับโซ่ทั้งหลายออกมาได้แล้ว ร่างกายของทิออสถูกคมปลายของโซ่บาดหลายสิบแห่ง แต่เขาไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือระยะห่างของทิออสและรีเซลเหลือเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น นี่เป็นจังหวะการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ผลที่สุด

รีเซลเบิกตาโตทันทีกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน เขาไม่นึกว่าทิออสจะกล้าเอาตัวเข้าแลกขนาดนี้ ความโชคดีเพียงหนึ่งเดียวคือสัญชาตญาณของรีเซลนั้นไวกว่าร่างกาย แขนซ้ายของเขาสะบัดออกทันที โซ่หลายสิบเส้นพุ่งเข้าโจมตีทิออสในระยะประชิดเช่นกับกับคมหอกที่เข้าปะทะ

ทิออสไม่ได้กลัวตายแต่อย่างใดแม้ความตายจะอยู่ตรงหน้าเพียงคว้าถึง เขานั้นตายไปนานแล้ว หากไม่ได้รับชีวิตใหม่...

จากคนผู้นี้...

ผู้ที่มอบชื่อให้...

ผู้ที่มอบชีวิตใหม่ให้....

ผู้ที่ทำให้เขามีเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง...

หากจะต้องตายที่นี่เพื่อหยุด “เขา” ทิออสไม่เสียดายชีวิตเลย...

“คมหอกเสียงคำรามแห่งอสุนีบาต!”ทิออสคำรามก้องสุดเสียง คมหอกฟาดออกเต็มแรงเหวี่ยงแขน

เกิดการระเบิดของสายฟ้าที่ทรงอาณุภาพมากที่สุดเท่าที่ทุกคนเคยเห็น อาณุภาพของมันมากพอที่จะทำให้กำแพงหินของอาเทนพังทลาย รัศมีสีเหลืองจ้าแผดไปทั่วบริเวณจนทุกคนต้องยกท่อนแขนขึ้นป้องกันอันตรายจากสายตาเพราะแสงที่แผดจ้าไปถึงท้องฟ้าเบื้องบน

อาเทนรีบกางหนังสือสีเหลืองออกอีกครั้ง กำแพงหินปรากฏขึ้นสองชั้นเพื่อให้เขาแน่ใจว่ามันจะไม่ถูกทำลายอีกครั้ง ทุกคนถอนหายใจโล่งอกทันทีและลดแขนลงเมื่อแสงสีเหลืองดับลง

เบื้องหน้าของทุกคนคือหลุมระเบิดกว้างลึก ต้นไม้หลายต้นหักโค่น บ้างติดไฟลุกท่วม บ้างถูกเผาดำเป็นตอตะโกไม่เหลือเค้าให้จำได้

“ส.......สำเร็จมั้ย?”แมดเนสเอ่ยปากถามด้วยความไม่แน่ใจ เขาอึ้งไปเหมือนกันกับอาณุภาพการระเบิดที่ไม่น่าเชื่อนี้ หากไม่ได้กำแพงหินของอาเทนล่ะก็ทุกคนคงโดนรัศมีระเบิดกันหมดแน่ แมดเนสคิดเช่นนั้นและเหลือบมองอาเทนที่หายใจหอบพร้อมกับถือหนังสือไว้สองเล่มด้วยมือทั้งสองข้าง

อาเทนคงถึงขีดจำกัดแล้ว มากกว่านี้คงไม่ไหวเหมือนกัน หากมีอะไรทำนองนี้อีก เขาคงต้องออกไปรับหน้า

แมดเนสหรี่ตาอย่างใช้ความคิด

ท่ามกลางควันสีดำและม่านฝุ่นที่คละคลุ้งเพราะแรงระเบิดนั้น มีเงาดำร่างหนึ่งเดินโซเซฝ่าออกมา ขาทั้งสองที่อ่อนเปลี้ยก้าวอย่างลำบากเหลือเกินในแต่ละก้าว ราวกับการยกขาแต่ละครั้งสูบพลังจากเขาไปจนหมด

“ทิออส!”เบลนโนพุ่งเข้าไปทันทีด้วยความดีใจ

แต่...

“หนีไป...ครับ...คุณหนู...”เสียงของทิออสขาดหาย ทันทีที่เขาก้าวขาผ่านม่านฝุ่นออกมา นั่นเป็นภาพที่ทำให้มิร่าถึงกับปิดปากเพื่อป้องกันเสียงกรีดร้อง และอามิน่าที่รักษามาดนิ่งเงียบเบิกตาโตได้

ร่างกายของทิออสถูกโซ่เสียบคาหลายแห่ง บางแห่งถูกเสียบจนทะลุและเลือดไหลไม่หยุด เขายังคงพยายามก้าวขาเข้ามาหาเบลนโนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

“อาเทน ร่ายเวทอีกครั้งไหวไหม?”แมดเนสเอ่ยปากถาม อาเทนพยักหน้า หนังสือสีเหลืองเปล่งรัศมีสีเหลืองนวลออกมาบางเบา

“เทร่ามาเกีย พื้นที่แรงโน้มถ่วงศูนย์”อาเทนเอ่ยปาก ร่างกายของทิออสค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นมาหาแมดเนสช้า ๆ โดยที่แมดเนสรอรับอยู่แล้ว

แมดเนสวางร่างของทิออสลงพื้นอย่างเบาที่สุด “เจ็บหน่อยนะ” เขากระซิบข้างหูของทิออส และลงมือดึงโซ่ที่ยังเสียบคาร่างของเขาออกมาหลายเส้น และโยนมันทิ้งส่ง ๆ ไปด้านหลัง

“อึ๊ก!”ทิออสกันฟันและแอ่นตัวเมื่อความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั้งตัว แต่เขาอดทนมันเอาไว้ ดวงตาของเขาไร้แววและเลื่อนลอย

“ทิออส!”เบลนโนวิ่งเข้ามาหาทันที แต่เขากลับถูกแมดเนสยกมือห้ามเอาไว้

“อย่าจะดีกว่า ฉันจะพยาบาลหมอนี่เอง...”

ฝ่ามือของแมดเนสแปลงรัศมีสีขาวจาง ๆ เขาประกบฝ่ามือเข้าหากันและผายออกวงกว้างจนมันครอบคลุมทิออสทั้งตัว

“รูคิสมาเกีย อาภรณ์เทพแห่งแสง”

“คงต้องใช้เวลารักษาพักใหญ่ ทั้งชั้นและหมอนี่คงขยับไม่ได้สักพัก ฝากดูแลที่เหลือด้วย” แมดเนสหน้าดำคร่ำเคร่ง

“ค....ครับ”เบลนโนรับคำ

“ไม่เลว ไม่เลว...”

เพียงแค่คำนี้ ทั้งกลุ่มของอาชสะดุ้งเฮือก

ม....ไม่จริง

หมอนี่....

เป็นอมตะหรือไงกัน?

“ทำให้ชั้นถึงกับต้องใช้เกราะสีเงินได้ คงต้องมองใหม่ซะแล้วล่ะ....ทิออส...”

รีเซลเดินออกมาจากเงาไม้ ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยโซ่หลายชั้นราวเกราะชั้นเลิศ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เกราะเหล่านั้นก็ถูกกะเทาะจนบางเหลือเกิน อาณุภาพระเบิดของทิออสเองก็ทำให้รีเซลเริ่มหายใจหอบแล้ว

เป็นการโจมตีที่รุนแรงจริง ๆ นั่นแหละ รีเซลคิด

หากไม่ใช้เจ้านี่ ต่อให้เป็นเขาคงไม่เหลือซาก

“เอาล่ะ... ต่อไปใครเอ่ย?” รีเซลยังคงลากเสียงขี้เล่น เท่าที่ดูคนในกลุ่มตอนนี้ คงมีสภาพพร้อมสู้ไม่กี่คน

เสียงปึ้ดของเชือกที่ขาดเรียกความสนใจจากทุกคนในกลุ่มทันที ถุงมือสีขาวสะอาดของเบลนโนถูกวางลงบนพื้นทั้งสองข้าง เขาเดินไปหยิบหอกของทิออสขึ้นพาดบ่า ซ้ำยังเดินไปหยิบดาบของอาชสองในสี่เล่มมาเหน็บเอวอีกด้วย

“ขอยืมหน่อยนะครับ”เบลนโนแตะแก้มของอาช อาเทน และทิออสเบา ๆ คนละครั้ง

“ยืม? หมายความว่ายังไง?”แมดเนสเอียงคอฉงนใจ แต่ทิออสที่สติเลือนรางเบิกตาโตด้วยความพรั่นพรึงทันที

“ค...คุณหนู...อย่าใช้มัน...ครับ”

ทิออสพูดเพียงเท่านั้น โลกของเขาก็มืดลง เขาสลบไปแล้ว

“เรื่องทั้งหมด มาจากผม ถ้าผมไม่จบมันด้วยมือของผมทั้งสองข้าง ผมคงตายตาไม่หลับ”

“คู่ต่อสู้คนต่อไปของท่านพี่ คือผมเองครับ” เบลนโนชี้หอกหารีเซล

--------------------------------

หากสำนวนแปร่ง ๆ ต้องขออภัยครับ ทำหายไปรอบนึงแล้วพิมพ์ใหม่น่ะ "orz

tstcwqt1
23rd December 2011, 17:12
Character Profile


http://upic.me/i/ci/7p0f2.png

Credit - ก็หน้าเดิมอะ /โดนคิวตบ Piussun จ้ะ.....

ชื่อ - รีเซล เดอ อาชิฮาร่า ทริกส์ ที่สาม (Rezeel De Ashihara Trixz 3rd)

อายุ - 20 ปี

ฉายา - องค์ชายแห่งนภาสีมืด (Prince of the dark sky)

สีผม - ฟ้า

สีตา - ฟ้า

ส่วนสูง/น้ำหนัก - 189/78

นิสัย - ยิ้มง่าย ร่าเริงและเยือกเย็นในเวลาที่ถูกที่ควร ฉลาดหลักแหลมและสุขุมเยือกเย็น โดยรวมแล้วเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากคนหนึ่ง เนื่องจากเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งเขาจึงถูกฝึกฝนมาต่าง ๆ นานา แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่เก่งรอบด้านมาก ๆ คนหนึ่ง รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้าเขา นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่รักน้องมาก ชนิดไปไหนน้องต้องไปด้วย แต่สาเหตุที่เขามาเป็นศัตรูกับพวกของเบลนโนยังไม่มีใครทราบ

อาวุธ - โซ่แห่งโลกิ (Loki's Chain)

สายเวทมนตร์ที่ใช้ - ไม่อาจระบุได้ แต่รีเซลสามารถใช้พลังจิตได้ในระดับที่ค่อนข้างสูง และสามารถอ่านใจ/อ่านอดีต/ความทรงจำของคนที่แตะตัวโดยตรงได้ ซึ่งเขา่สามารถเลียนแบบความสามารถของคนที่เขาแตะตัวได้ด้วย

สไตล์การต่อสู้ - ใช้โซ่มากมายเข้าจู่โจมศัตรูจากหลายทิศทาง เขาสามารถควบคุมโซ่ได้ด้วยมือทั้งสองข้าง โซ่สามารถขยับได้ในตัวเองในระดับหนึ่งโดยที่รีเซลไม่ต้องสั่งการ เมื่อถูกทำให้ขาดหรือเสียหาย จะงอกปลายออกใหม่ด้วยจำนวนทวีคูณ

tstcwqt1
13th January 2012, 14:50
ตอนที่ 11 ก้อนหินและเพชร


ยามเหล่าดวงดาราทั้งเจ็ดถูกผนึก


นับวันกาลรั้งแต่จะเสื่อมถอย

ดาราดวงใหม่ปรากฏอย่างแช่มช้าภายใต้เงาแห่งดวงดาราสี ทอง

จักรวมดาราเหล่านั้น ให้เป็นหนึ่งอีกครา



“แม้แต่นายเองก็หันอาวุธเข้าหาพี่เหรอเบลนโน สงสัยพี่จะเป็นพี่ที่แย่มากสินะเนี่ย เฮ้อ....” รีเซลยังคงแสร้งลากเสียงขี้เล่นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ฝ่ามือยกขึ้นลูบใบหน้าเหลือเพียงดวงตาที่มองลอดง่ามนิ้วมาหาเบลนโนที่ยืนจับหอกด้วยมือทั้งสองและชี้ปลายหอกเข้าหาเขา

“จุดยืนของท่านพี่ตอนนี้ต่างกับผมแล้วครับ ท่านพี่สอนผมเองนี่ครับว่าหากจุดยืนต่างกันต่อให้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเราก็ต้องไม่ลังเลที่จะปลิดชีวิต”เบลนโนกล่าวตัดบทไร้เยื่อใย

“ไม่เลว... ไม่เลว...”รีเซลปรบมือเปาะแปะเป็นนัยชมเชย ดวงตาสีฟ้าของเขาแม้จะยิ้มจนตาหยีเพียงใด แต่เบลนโนรู้สึกได้ถึงแววเศร้าสร้อยอันน้อยนิดที่แฝงมาในนั้น

”ไม่นึกว่าก้อนหินอย่างนาย จะมีวันนี้จริง ๆ นะ” รีเซลยิ้มละไม

“แต่...ถ้าก้อนหินคิดจะหาเรื่องกับเพชรล่ะก็ นายก็น่าจะรู้นี่นา ว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายแตก ถ้าเอามันทั้งสองมากระแทกกัน”

เบลนโนหรี่ตากับคำพูดประโยคนั้น ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

เขายอมรับ ว่านี่คือการสั่นเทิ้มแห่งความหวาดกลัวและกังวล

หวาดกลัวว่าจะตาย...

หวาดกลัวว่าจะต้องฆ่าใครไปสักคน...

หวาดกลัว...การต่อสู้

แต่... ถ้าก้อนหินอย่างเขาไม่เจียระไนตนเองแล้วล่ะก็....เขาคงไม่มีทางเป็นเพชรได้โดยเด็ดขาด รีเซลเคยสอนเขาแบบนั้นเอง

แม้เขาจะไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่ารีเซลจะจำคำสอนนั้นได้ก็ตาม

ความเงียบโรยตัวลงมาเนิ่นนาน ทั้งสองฝ่ายไม่ขยับใด ๆ ราวกับรอจังหวะบางอย่างเพื่อพุ่งเข้าปะทะซึ่งกันและกัน แมดเนสและคนอื่น ๆ รู้สึกได้ถึงรังสีสังหารอันรุนแรงเหลือเชื่อที่แผ่ออกมาจากตัวของเบลนโน แม้เขาจะรู้มาตลอดก็ตามว่าเด็กตรงหน้าเป็นเพียงเด็กชายขี้แหยที่ทำอะไรแทบจะไม่เป็นก็ตาม แต่ครั้งนี้แปลกไป เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวของเบลนโนราวรัศมีความร้อน

ในชั่วพริบตาที่สายลมพัดมา ทั้งฝีเท้าของเบลนโนและรีเซลทะยานออกจากจุดที่เคยยืน คมหอกสีเหลืองสดเข้าปะทะกับปลายแหลมของโซ่ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

เบลนโนพุ่งเข้าจู่โจมรวดเร็วเหลือเชื่อ มันเกินกว่าที่ร่างกายปวกเปียกภายนอกของเขาสิ้นเชิง ชั้นเชิงหอกของเขาทั้งล้ำลึกและเฉียบคมยิ่งกว่าชั้นเชิงของทิออสเสียด้วยซ้ำ รีเซลเองก็ไม่แพ้กัน เขาดูระวังระไวว่าครั้งก่อนเป็นเท่าตัว เขาเริ่มสะบัดแขนและออกท่วงท่ามากขึ้นเมื่อเข้าปะทะในแต่ละครั้งนั่นหมายความว่ามันกินแรงเขาไปมากทีเดียว

หอกในมือเบลนโนแทงเข้าหารีเซลเป็นเส้นตรง ในจังหวะเดียวกันรีเซลใช้โซ่สองเส้นปัดมันออกไป แต่ทันทีที่เขาจะสวนกลับด้วยโซ่ปลายแหลมสามเส้น เบลนโนก็พลิกตัวและใช้ด้ามหอกตบพวกมันลงไป พร้อมฟาดคมหอกใส่เขาจากด้านบน รีเซลเอี้ยวตัวหลบในทันที ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เบลนโนกำลังรอ เขาใช้ปลายหอกที่ติดกับพื้นให้เป็นประโยชน์ และค้ำยันตัวเองเพื่อทรงตัวฟาดขาเตะใส่รีเซลทันที
เกิดเสียงผัวะเบา ๆ เมื่อขาของเขาเตะโดนแขนของรีเซลที่ยกขึ้นกันได้ทันท่วงที ทั้งสองฝ่ายดีดตัวออกจากกันเพื่อจะเข้าปะทะกันใหม่อีกครั้ง

แต่เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้นที่รีเซลกำลังจะปัดป้องการโจมตีที่เขาหวังว่ามันจะเข้ามา เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทวูบหนึ่ง

“อาเมนอสมาเกีย” เบลนโนเอ่ยขึ้นในช่วงจังหวะที่เข้าปะทะกัน รีเซลเบิกตาโตทันที สิ่งที่เขากลัวมาแล้ว

“เคลื่อนย้ายข้ามมิติ”

เกิดเสียงลมพัดวูบหนึ่ง เบลนโนหายตัวไปจากตรงนั้นแล้ว รีเซลยืนหันรีหันขวางหาตัวของเป้าหมายทันที

ทางซ้ายไม่มี ทางขวาไม่มี...

ด้านบน...ด้านหน้า..

“ชิ! ข้างหลังเรอะ!”รีเซลสบถหัวเสีย แขนขวาของเขาถูกโซ่รัดพันจนเป็นเกราะและฟาดแขนออกไปในห้วงอากาศว่างเปล่าด้านหลังตัวเอง

เกิดเสียงเคร้งดังลั่นเมื่อคมหอกของเบลนโนโผล่ออกมาจากห้วงอากาศว่างเปล่าพุ่งเข้าปะทะกับเกราะแขนของรีเซล ทั้งสองฝ่ายถอยออกมาด้วยแรงปะทะคัดง้างมหาศาล ร่างกายของเบลนโนโผล่ออกมาจากห้วงอากาศที่ว่างเปล่าเช่นเดียวกับหอกในมือของเขา

“ขโมยมาถึงสามคนแบบนี้ เห็นทีจะลำบากแฮะ...”รีเซลแค่นเสียง เขาสะบัดมือพร้อมกันทั้งสองข้าง โซ่ปลายแหลมระเบิดออกทุกทิศราวกับหอยเม่นทะเล เบลนโนเบิกตานิดหนึ่ง ก่อนจะควงหอกด้วยความเร็วสูง

“อาเมนอสมาเกีย คลื่นระเบิดอัสนี!”เบลนโนฟาดหอกออกอีกครั้ง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นอาณาบริเวณพร้อมกับรัศมีสีเหลืองทอง แต่ผิดกับของทิออสที่ระเบิดออกรอบทิศ มันยิงออกเป็นเส้นตรงและมีเป้าหมายคืออาณาเขตด้านหน้าวงกว้างกินองศาเกือบจะทั้งหมดของระยะสายตาเบลนโนเลยทีเดียว

แต่ทุกสิ่งไม่เป็นตามคาด ทันทีที่รัศมีจางลง เบลนโนรู้ได้ทันทีว่าการโจมตีของเขาไม่ถูกเป้าหมาย เพราะเสียงกรุ๋งกริ๋งของโซ่กลางอากาศนั่นเรียกให้เขากลับมาระวังตัวอีกครั้ง

“ซิลเวอร์เรน”รีเซลที่ยืนอยู่กลางอากาศสะบัดมือลงทันที ห่าฝนสีเงินของโซ่จำนวนมากทิ้งตัวลงมาเกิดเสียงระเบิดตูมตามถี่รัวจนเบลนโนต้องอาศัยความไวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อหลบมัน

“หนอย!!”ครั้งนี้เบลนโนเป็นฝ่ายสบถ แม้โซ่แต่ละเส้นจะไม่มีความคม แต่แรงกระแทกของมันก็มากพอจะป่นหินทั้งก้อนได้สบาย ๆ ทุกย่างก้าวของเขาต้องระวังเป็นทวีคูณเพราะเขาจะเงยหน้ามองฟ้าไม่ได้อย่างเดียว หากก้าวไม่ระวังแม้เพียงก้าวเดียวเขาต้องจบแน่..

“ใช่.. จบแล้วล่ะ...”

“!”

“อั้ก!”

ช้าเกินไปแล้วที่เบลนโนจะตอบโต้ เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของฝ่ามือรีเซลที่จับข้อมือของที่ถือหอกของเขาไว้ และแรงเตะของรีเซลนั้นมีมากพอที่จะทำให้เขากระเด็นไปไกลจากจุดที่เขายืน

หอกในมือของเขาถูกชิงไปแล้ว ซ้ำเขายังถูกเตะกระเด็นออกมาไกล

เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น สถานการณ์กลับพลิกผันราวหน้าไพ่กลับด้าน

เบลนโนยันกายขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ดาบทั้งสองเล่มที่เขาหยิบมันมาจากอาชถูกชักออกจากฝัก หนึ่งเล่มเป็นสีฟ้าใส ในขณะที่อีกเล่มเป็นสีเหลืองหม่น

“ใช้ได้เลยนี่นา... ขโมยมาตั้งสามคน แถมใช้ได้ทุกคนเชียวนะ เก่งขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หืมเจ้าก้อนหิน?”รีเซลยิ้มกวนอารมณ์ในขณะที่เบลนโนยืนกุมท้องมอง หยดเลือดย้อยลงมาจากมุมปากของเขานั่นแสดงได้ถึงแรงเตะของรีเซลที่มีไม่ใช่น้อย ทั้งร่างกายของเขาเดิมทีก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรอยู่แล้วด้วย เพียงแค่การโจมตีธรรมดาก็ทำให้เขาบาดเจ็บหนักได้อยู่แล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่เบลนโนอยากจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด

หากจะนึกย้อนกลับไป ฉาก ๆ นี้เขาเคยเห็นมันมาก่อนแล้ว...


...

..

.

“ลุกขึ้นมาเจ้าก้อนหิน... อย่าบอกนะว่ามีน้ำยาแค่นี้”

เขาและรีเซลในสมัยเด็กกำลังฝึกอยู่ที่โรงฝึกของพระราชวัง เบลนโนกำลังยืนหอบพร้อมดาบไม้เล่มจ้อยในมือในขณะที่รีเซลยืนพาดดาบบนบ่าสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเสียด้วยซ้ำ

“ท่านพี่ขี้โกงนี่นา ก็ท่านพี่เก่งกว่าผมตั้งเยอะ!”เบลนโนโวยวายตามประสาเด็ก แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือกำปั้นเขกกะโหลกดังโป๊กลั่น ทิออสที่ดูอยู่นอกวงอยากจะช่วยแต่ก็ทำไม่ได้ด้วยสายตาคมกริบของรีเซลที่ตวัดใส่เป็นนัยว่าห้ามยุ่งเด็ดขาด

“ถ้าไม่ฝึกฝนตนเองจะเก่งได้ยังไงกันเจ้าปวกเปียก! อย่ามาทำตัวออดอ้อนให้น่าสงสารที่นี่เลยนะ!”รีเซลประกาศกร้าวพร้อมกอดอกพ่นลมหายใจดังฮึ่ม

“แต่ผมฝึกยังไงก็ไม่เก่งเท่าท่านพี่ซักทีนี่นา... ผมมันก็แค่ก้อนหิน...”เบลนโนลอบบ่นอย่างน้อยใจ แต่ดูเหมือนจะไม่พ้นหูรีเซล เลยได้กำปั้นอีกหนึ่งโป๊กลงที่กลางหัว

“จะเพชรจะก้อนหิน ยังไงมันก็เริ่มต้นจากหินก้อนหนึ่งที่ถูกเจียระไนทั้งนั้น! ถ้าตัวเองไม่เจียระไนตัวเองแล้วใครจะทำ!”

“ก็....ผม...” เบลนโนอ้ำอึ้ง

“ฝึกต่อได้แล้ว!!”

...

..

.

“เอาล่ะ! ทีนี้ยังจะเหลือลูกเล่นอะไรอีก!” รีเซลพุ่งเข้าโจมตีเบลนโนด้วยหอกของทิออสที่เขาชิงมันมาจากมือผู้ที่มันอยู่ก่อน เบลนโนรีบปัดป้องด้วยดาบสีฟ้าทันที และพริบตาเดียวกันก็ฟาดดาบสีเหลืองออกไป

แต่รีเซลสะบัดด้ามหอกกันมันเอาไว้ ศอกขวากระทุ้งเข้าที่ท้องของเบลนโน ก่อนที่เขาจะฟาดหอกออกแนวนอน เบลนโนจุกไปวูบหนึ่ง ในทันทีที่เขารับรู้ถึงอันตราย ใบดาบสีเหลืองก็ตวัดเข้าปะทะทันทีอย่างฉิวเฉียด

เสียงเคร้งหนักทึบดังขึ้นเมื่อใบดาบเข้าปะทะคมหอก ทั้งสองฝ่ายต่างถอยครูดออกจากกันราวแม่เหล็กขั้วเดียวกัน

อีกแล้ว... รีเซลคิดแล้วหรี่ตามองดาบสีเหลืองในมือของเบลนโน

เหมือนตอนนั้น ที่เขารับการโจมตีของดาบนั้น มันทั้งหนักและแน่นราวกับปะทะกับภูเขาทั้งลูกอย่างไรอย่างนั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่แขนของเบลนโนไม่ได้มีแรงมากมายแต่เสียงปะทะกลับหนักทึบเหลือเชื่อ

ต้องระวัง...

รีเซลเตือนตัวเอง หอกสีเหลืองพุ่งเข้าปะทะอีกครั้ง

ในคราวนี้เป็นการปะทะกันระหว่างหอกและดาบคู่ รีเซลพุ่งเข้าปัด ฟาด สะบัด แทงหอกใส่เบลนโนด้วยชั้นเชิงเดียวกับทิออสแต่เหนือกว่ามากนัก ฝ่ายเบลนโนเองก็ปัดป้องไปถอยหลังไปเรื่อย ๆ ทีละก้าวเพราะเขาบาดเจ็บ เขากำลังถูกไล่ต้อน ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างต้องแพ้แน่

ต้องสู้สิ!

เบลนโนให้กำลังใจตัวเอง ดาบสีเหลืองในมือเขาเหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่างที่แม้แต่เขาและรีเซลก็ไม่รู้ เพราะรีเซลเลี่ยงการปะทะกับดาบเล่มนี้ตลอดเวลราวกับหวาดกลัวมัน

เบลนโนสลับดาบสีเหลืองไปที่มือขวาที่เขาถือถนัดกว่า ทันทีที่คมหอกของรีเซลพุ่งเข้ามา เขาเบี่ยงมันด้วยกระบังดาบสีฟ้าสดในมือซ้าย อาศัยความปราดเปรียวของร่างกายพุ่งสวนทางฟาดฟาดดาบสีเหลืองเข้าหารีเซลทันที

“ชิ!”รีเซลแค่นเสียง เขาไม่มีทางเลือกอื่นมากนักนอกจากการใช้ด้ามหอกเบี่ยงกระบังดาบเลี่ยงวิถีของมัน ปลายดาบเฉี่ยวแก้มของเขาจนเลือดอาบแก้มซีกซ้าย ความเจ็บและแสบที่แผลปะทะลมเริ่มทำให้เขาโมโหขึ้นมาทีละน้อย

“จะมากไปแล้วเฟ้ย!”รีเซลสบถเหลืออด เขากระโดดถอยออกมาตั้งหลัก ปลายหอกทิ่มลงพื้น มือทั้งสองข้างของเขาสะบัดอีกครั้งเรียกเหล่าโซ่ออกมาจากกระเป๋าของเขา มันสานตัวเข้าหากันรวดเร็วอีกครั้ง

"บทโหมโรง! คลื่นสีเงิน!"รีเซลตะโกนเดือดดาลด้วยแรงโทสะ คลื่นโลหะสีเงินขนาดยักษ์พุ่งเข้าหาเบลนโนทันทีที่เขาประกาศจบ

เบลนโนสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมสติ เขาเก็บดาบสีเหลืองเข้าฝัก ปลายนิ้วจรดกระบังดาบสีฟ้าสดและหลับตาลง วาดมันเป็นวงกลมช้า ๆ และปักมันลงพื้นทันทีอย่างรุนแรง

“คลื่นวารีพิชิต!”

เกิดเสียงครืนดังขึ้นรอบทิศ วงเวทหกแฉกสีฟ้าสดปรากฏด้านหลังของเบลนโนนับหลายสิบ สายน้ำพัดกระหน่ำออกจากวงเวทเหล่านั้นและเข้าปะทะคลื่นโซ่สีเงินของรีเซล คลื่นทั้งสองเข้าปะทะกันและคัดง้างกันราวน้ำและน้ำมัน

เมื่อกระแสน้ำจางลง โซ่ของรีเซลค่อย ๆ ทิ้งตัวลงพื้นทีละเส้น ๆ ราวอ่อนแรงลงเสียดื้อ ๆ รีเซลเห็นดังนั้นจึงรีบสะบัดมือเพื่อหวังจะเรียกมันกลับเข้ามา

แต่ไร้ผล โซ่ของเขาไม่ขยับ...

“นี่มันอะไรกัน!”เขาขยับมือครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าเปล่าประโยชน์ เหล่าโซ่ไม่ขยับอะไรเลยแม้เพียงนิดเดียว

“เปล่าประโยชน์ครับท่านพี่ โซ่ของท่านพี่ใช้งานอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ...”เบลนโนชักดาบขึ้นจากพื้น

“คลื่นวารีพิชิต มันไม่ได้ใช้สำหรับโจมตีครับ แท้จริงแล้วมันมีเอาไว้เพื่อตัดการควบคุม และแทรกคำสั่งของผมลงไปเท่านั้นแหละครับ”เบลนโนอธิบายอย่างใจเย็น เขาตัดกำลังหลักของรีเซลลงไปได้แล้ว รีเซลไม่มีทางเลือกนอกจากหอกที่ปักพื้นอยู่ข้างตัวเท่านั้น สถานการณ์ในตอนนี้กลับมาพลิกผันอีกครั้ง

“แล้วไงเล่า!”รีเซลตะโกนเดือดดาล เขาดึงหอกของทิออสที่ปักพื้นข้างลำตัวขึ้นประจำมืออีกครั้ง และพุ่งเข้าหาเบลนโนทันที

โจมตีระยะไกลไม่ได้ เข้าไปประชิดซะก็จบ!

ในขณะเดียวกันนั้นเอง เบลนโนตั้งท่าเตรียมสู้เช่นกัน ดาบทั้งสองถูกชักออกจากฝักขึ้นประจำมือมั่น และพุ่งทะยานออกไปเช่นเดียวกัน

แต่เพียงพริบตา...

ที่ทั้งสองจะเข้าปะทะกัน...

-------------------------------------
ค้างมั้ยครับ? ผมก็ค้าง....

antis193
24th August 2012, 10:54
รออยู่เหมือนกันครับ ^^"