PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : มนุษย์จากอนาคต



dekhere
28th January 2012, 16:21
หลายสิบปีที่ผ่านมา มีข่าวลือมากมายถึงเรื่องมนุษย์จากอนาคต ปรากฏกายขึ้นในโลกปัจจุบันหรือช่วง เวลาที่เป็นอดีตกาลของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจอห์น ไตเตอร์ นายทหารจากโลกอนาคตเดินทางย้อนเวลาตามหาเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM รุ่นแรก แอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน ผู้ใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์สร้างผลกำไรมหาศาลจากตลาดหุ้นและการลงทุน หรืออีลอย โคล เดินทางมายับยั้งการทดลองการสร้างหลุมดำจำลองที่นำไปสู่หายนะของโลกในอนาคต

เรื่องเล่าของคนเหล่านั้นเป็นที่กังขาของคนส่วนใหญ่เพราะขาดวัตถุหลักฐาน ยืนยัน จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีคนสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติในภาพ ถ่ายอายุ 70 ปีของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศแคนาดา เป็นภาพคนแต่งกายทันสมัยถือกล้องถ่ายภาพขนิดพกพายืนอยู่ท่ามกลุ่มคนและภาพ นี้ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบ แต่งแต่อย่างใด


http://upic.me/i/w8/hoil1.jpg (http://upic.me/show/26524899)

คอมพิวเตอร์กู้โลก

จอห์น ไตเตอร์ (John Titor) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในห้องพูดคุยสาธารณะแห่งหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2000 โดยครั้งแรกเขาได้ลงทะเบียนชื่อว่า “Timetravel_0” และได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “John Titor” ในภายหลัง

แน่นอนว่าชื่อ John Titor เป็นนามแฝง John เป็นชื่อสามัญเหมือนกับชื่อ สมชาย ของคนไทย ส่วน Titor เป็นคำย่อของคำว่า Time Travelor โดยเล่นคำสะกดพยางค์สุดท้าย Travelor ด้วย or แทนที่จะเป็น Traveler สะกดด้วย er

http://upic.me/i/fa/tllx2.jpg (http://upic.me/show/26524908)

เขาออกตัวว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคตเมื่อปี 2036 ด้วยเครื่องย้อนกาลเวลาที่ผลิตขึ้นในปี 2034 โดยบริษัท GE (General Electronic) เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง จอห์นได้โพสต์ภาพถ่ายเครื่องย้อนกาลเวลา (Time Machine) และคู่มือการใช้งานเครื่องให้ทุกคนได้เห็น

http://upic.me/i/d7/1_display2.jpg (http://upic.me/show/28152841)

แน่ นอนว่าผู้คนที่เข้าร่วม วงสนทนาไม่เชื่อน้ำมนต์ของนายจอห์น ไตเตอร์ หลายคนพยายามยิงคำถามต่างๆนานาเพื่อจับผิดเขา แต่ดูเหมือนจอห์นจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แถมยังสอนมวยกลับมายังคนลองภูมิอีกด้วย

หลายๆคำถามที่จอห์น ไตเตอร์ ยิงกลับมายังผู้ร่วมสนทนา ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร แต่เมื่อไปค้นคว้าดูในภายหลังพบว่ามันล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์ชั้น สูงทั้งสิ้น อีกทั้งคำเตือนเรื่องจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคสมองฝ่อ (Mad Cow Disease) ได้เกิดขึ้นจริงในปี 2001 ทำให้หลายคนชักจะลังเล


ร่ำรวยด้วยความรู้ประวัติศาสตร์


เดือน มกราคม 2003 หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์ (Weekly World News) ตีพิมพ์ข่าวเจ้าหน้าที่ FBI บุกจับกุมตัวแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน (Andrew Carlssin) วัย 44 ปี ในข้อหานำข้อมูลลับภายในไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์

http://upic.me/i/fl/v9ma1.jpg (http://upic.me/show/19093433)

สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Security and Exchange Commission) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายแอนดรูว์ โดยสงสัยว่าเขานำข้อมูลลับของบริษัทมหาชนต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ไปแสวงหาผล ประโยชน์ให้กับตนเอง เพราะแอนดรูว์สร้างความร่ำรวยในเวลาเพียงชั่วพริบ
ตาด้วยการลงทุนเพียง 800 ดอลลาร์ซื้อหุ้นต่างๆแล้วขายออกไป นำเงินที่ได้กลับมาซื้อหุ้นตัวใหม่แล้วทำชอร์ตเซลขายออกไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเงินทุนเริ่มต้น 800 ดอลลาร์เพิ่มพูนขึ้นเป็น 350 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

แอนดรูว์รับสารภาพโดย ให้การว่าเขามีข้อมูลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะเขามาจากโลกอนาคตในปี 2556 เขาเพียงศึกษาประวัติศาสตร์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ นำความรู้ที่ได้ติดตัวเดินทางย้อนอดีตมาในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อช้อนซื้อหุ้น เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะลงทุนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ให้เป็นที่ผิด
สังเกต หากแต่ความโลภทำให้เขาหักห้ามใจไม่อยู่ เทเงินที่หามาได้ในช่วงแรกๆลงทุนซื้อหุ้นที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีราคา สูงขึ้น จนกระทั่งไปสะดุดตาเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ล.ต.


หายตัวอย่างลึกลับ

แอนดรูว์หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างที่ตำรวจควบ คุมตัวขึ้นศาลพร้อมกับข่าวคราวการจับกุมตัวเขา ไม่มีสื่อใดๆเสนอข่าวนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และ FBI เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนปฏิเสธตรงกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน มาก่อน


http://upic.me/i/si/m6nf2.jpg (http://upic.me/show/19093434)

ปี 2006 แอนดรูว์โผล่ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์อีกครั้ง เขาไม่ยอมเปิดเผยว่าสามารถเล็ดลอดจากการควบคุมตัวมาได้อย่างไร โดยบอกแต่เพียงว่าตอนนี้เขาทำงานบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งใน แคนาดา

เช่นเคย เขาใช้ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ในยุคสมัยเขาล่วงรู้ว่า “ทรายน้ำมัน” (Tar Sands) เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่จะมาทดแทนบ่อน้ำมันตามที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา (Alberta Tar Sands) ของประเทศแคนาดาเพียงแห่งเดียว สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึง 3 แสนล้าน

บาร์เรล


http://upic.me/i/lv/x0ie3.jpg (http://upic.me/show/19093435)

การ รีดน้ำมันออกมาจากทรายนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการขุดเจาะน้ำมันทั่วๆไป เขาต้องสร้างเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “คาร์ลส์ซินนิซิตี้” (Carlssinicity) เพื่อใช้ในการแยกน้ำมันดิบออกจากทราย โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ดอลลาร์ต่อ 1 บาร์เรลเท่านั้น

เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงหนังสือ พิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์เท่านั้นที่ลงเรื่องราวของแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน และหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนังสือพิมพ์ประเภทลงข่าวโคมลอย เพื่อความบันเทิง (Entertainment Tabloid) อย่างไรก็ตาม มันเป็นความบังเอิญอย่างน่าประหลาดที่ต่อมาในปี 2008 สำนัก

งานพลังงานหลายแห่งทั่วโลกยอมรับว่าสามารถแยกน้ำมันดิบออกจากทราย น้ำมันได้จริง ซึ่งมันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต และ ทรายน้ำมันอัลเบอร์ตาเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง


http://upic.me/i/o8/1_display6.jpg (http://upic.me/show/28152853)

หยุดยั้งโครงการหลุมดำ

หน่วยรักษาความปลอดภัยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปสามารถจับ กุมตัวอีลอย โคล (Eloi Cole) ระหว่างพยายามก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hardon Collider) ของห้องทดลองเซิร์น (European Organization for Nuclear Research; CERN) ซึ่งกำลังทำการทดลองสร้างหลุมดำจำลอง (Black Hole)

อีลอยให้การว่าเขาลอบเข้ามาในห้องทดลองเพื่อหาแหล่งพลังงานให้กับเครื่องเดิน ทางข้ามเวลาของเขา และเตือนว่าการทดลองสร้างหลุมดำจำลองนี้นำไปสู่การสร้างแหล่งพลังงานที่มี อย่างไม่จำกัดในอนาคตอันเป็นการนำไปสู่หายนะของโลกในที่สุด

อีลอยยัง บอกอีกด้วยว่าเขาเองเป็นคนที่ก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ทำให้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดอันตราย ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหยุดการเดินเครื่องชั่วคราว

เหตุการณ์ในครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นเหตุคือเศษขนมปังชิ้นเล็กๆหลุด เข้าไป เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ โดยเข้าใจว่ามีนกคาบเศษขนมปังบินผ่านเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่แล้วทำเศษขนม ปังหล่นลงมา

ระหว่างที่อีลอยถูกควบคุมตัวในห้องขังเพื่อรอการส่งตัวไป ยังสถานบำบัดโรคทางจิต เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับบนสถานีตำรวจกลางกรุงเจนีวานั่นเอง


http://upic.me/i/4j/an6x1.jpg (http://upic.me/show/24902070)

หลักฐานชิ้นสำคัญ

เดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่าย เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่าย โดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดูเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941


http://upic.me/i/2x/1_display8.jpg (http://upic.me/show/28152868)

ท่าม กลางฝูงชนในภาพ มีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเขามีทรงผมล้ำสมัย สวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อน แต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพาที่ยังไม่ผลิตออก จำหน่ายในสมัยนั้น

ภาพ ถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่ายทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพ ถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่ง มันจึงถูกกล่าวขานว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์

ว่ามีคนจากอนาคตเดินทาง ย้อนเวลามาสู่อดีตจริง

ภาพ ถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ใน สังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใคร มาจากไหน ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหัก ล้าง ซึ่งผลการดีเบตระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็น

อย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป


หญิงปริศนาเดินคุยมือถือเมื่อ82 ปีที่แล้ว

ฮือฮา!! หญิงปริศนา ย้อนเวลา เดินคุยโทรศัพท์มือถือ ในหนัง ชาร์ลี แชปลิน



http://www.youtube.com/watch?v=Y6a4T2tJaSU&feature=player_embedded

บางครั้งการย้อนเวลาสู่อดีตอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ หลังจากมีผู้พบเห็นภาพผิดยุคผิดสมัย ในภาพยนต์อมตะอย่าง ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) ที่ผลิตขึ้นในปี 1928 หรือเมื่อ 82 ปีที่ผ่านมา โดยภาพดังกล่าวปรากฎมีหญิงรายหนึ่ง เดินคุยโทรศัพท์มือถือ ทำเอาคนที่เห็นงงไปตามๆกัน

ฉาก นี้ปรากฎขึ้น เป็นฉากสวนสัตว์แห่งหนึ่งของฮอลลีวูด มีผู้หญิงสวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวก เดินถือโทรศัพท์มือถือ ขณะเดินผ่านฉากไป ความผิดยุคสมัยนี้ ไม่มีใครสังเกตมาก่อน ซึ่งนายจอร์จ คลาร์ก (George Clark) ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์ก็รู้สึกงงๆกับคลิปดังกล่าว ซึ่งเขานำไปให้หลายๆคนดู ก็ยังไม่

สามารถอธิบายได้ว่า ผู้ที่อยู่ในฉากคือใครกันแน่

ผู้ ชมที่เห็นคลิปดังกล่าวสันนิษฐานว่า อาจเป็นไปได้ว่า เธอกำลังฟังวิทยุพกพาแนบกับหูของเธอ แต่ก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าเธอพูดอยู่คนเดียวหรืออย่างไร บางคนบอกว่า เธอกำลังใช้วัตถุบางอย่างบังใบหน้าไว้ เพื่อซ่อนตัวเธอจากการถ่ายทำภาพยนตร์


http://upic.me/i/wi/article-1324132-0bc9ad02000.jpg (http://upic.me/show/17743915)

ลักษณะท่าทางของหญิงดังกล่าว เหมือนกับผู้ใช้โทรศัพท์ในยุคปัจจุบัน

ทั้ง นี้ เมื่อนำมือถือเครื่องแรกที่ผลิตขึ้นอย่างของโมโตโรล่า รุ่นวอลคกี้ ทอล์คกี้ ‘Walkie-Talkie ซึ่งผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1940 แต่กระนั้น ขนาดของมันก็ใหญ่ราวกับแขนมนุษย์เลยทีเดียว อีกทั้งยังผลิตขึ้นหลังจากที่ผลิตภาพยนตร์ดังกล่าวออกฉายกว่าสิบปี

นายคลาร์ก ยังคงต้องการคำตอบว่า ภาพดังกล่าวเกิดจากอะไร หรือหญิงปริศนาคนดังกล่าวจะเป็นผู้ที่อยู่ในอนาคตแล้วย้อนเวลาไปยังยุคนั้นได้


บางส่วนจากบทสนทนากับ John Titor

What are your memories of 2036?
I remember 2036 very clearly. It is difficult to describe 2036 in detail without spending a great deal of time explaining why things are so different.

In 2036, I live in central Florida with my family and I'm currently stationed at an Army base in Tampa. A world war in 2015 killed nearly three billion people. The people that survived grew closer together. Life is centered on the family and then the community. I cannot imagine living even a few hundred miles away from my parents.

จอห์น กล่าวว่า ในปี 2015 จะสงครามโลกครั้งที่ 3 และคนจะตายเกือบ 3,000 ล้านคน
คนที่เหลือรอดอยู่จะอยู่กระจัดกระจายกันไปเป็นกลุ่มชนรุ่นใหม่

Does anything happen in the year 2012? I've heard stories about the world ending.
In my 2012, I was 14 years old spending most of my time living, running and hiding in the woods and rivers of central Florida. The civil war was in its 7th year and the world war was three years away. Yes, there are unusual events in 2012 but they do not cause the world to end. Unfortunately, I have decided not to discuss events that you or I can do anything about. It is important that they be a surprise. Perhaps you are familiar with the story of the Red Sea and the Egyptians?

ถามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในปี 2012 ทีว่ากันว่าจะเป็นปีสิ้นโลกหรือไม่ จอห์นตอบว่า ในปี 2012 เขามีอายุ 14 ปี ใช้ชีวิตดูเเหมือนปกติทั่วไป จะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอนแต่ไม่ทำให้สิ้นโลก แต่เขาไม่บอกว่าจะเกิดอะไร อยากให้รอดูเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ บอกให้นึกถึงเหตุการณ์ทะเลแดงที่เกิดกับชาวอียิปต์ในยุคโบราณ (ตามเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล) สรุปคือ 2012 โลกไม่แตก


ยังไงก็อ่านเพื่อความบันเทิงแล้วกันนะครับไอเรื่องพวกนี้มันก็พิสูจน์ยากว่าจริงไม่จริง



CREDIT : www.clipmass.com

papangkron
28th January 2012, 16:30
คนในรูปถ่ายนี้แต่งตัวล้ำหน้าในยุคนั้นจริงๆแหละคับ ตอนแรกคิดว่าคนเหล็กนะนั่น^^

newvisions
28th January 2012, 16:33
คนที่ย้อนมามีแต่ฝรั่ง สงสัยอนาคตคนไทยสูญพันธุ์

ic157303
28th January 2012, 17:10
เมื่อก่อน ไอสไตน์ ก็เคยคิดเกี่ยวกับเครื่องย้อนเวลาเหมือนกันตอนนั้นไอสไตน์พยายามคิดอย่างหนัก(เขาได้สัญญากับตัวเองไว้ว่าถ้าคิดไม่สำเร็จเขาจะไม่ยอมตายเด็ดขาด)จนร่างกายอ่อนแอและเข้าโรงพยาบาลไป ตอนที่ไอสไตน์อยู่ในโรงพยาบาลวันนึงอาการเขาก็แย่ลงมากแล้วอยู่ดีๆเมื่อมีพยาบาลเข้ามาดูอาการเขา เขาก็ได้ขอกระดาษจากพยาบาลแผ่นนึงพร้อมกับปากกา ไอสไตน์นั่งเขียนอะไรอยู่บนกระดาษอยู่ซักพัก เมื่อไอสไตน์เขียนเสร็จเขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดอะไรกับตัวเองเป็นภาษายิวแล้วก็ตายไป แต่พยาบาลที่อยู่ในเหตุการณ์หยิบกระดาษขึ้นมาดูเห็นตัวเลขเยอะไปหมดอ่านไม่รู้เรื่องเลยทิ้งไป ในความคิดผม ผมคิดว่ากระดาษแผ่นนั้นอาจจะเป็นสมการเกี่ยวกับเครื่องย้อนเวลา และถ้าไอสไตน์คิดได้เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาทำไมคนในอนาคตจะคิดไม่ได้

bonusz
28th January 2012, 17:12
โลกไม่แตกจริงๆด้วย แต่ที่น่ากลัวก็คือสงครามโลกครั้งที่3 ที่มีคนตาย3000ล้านคน

clubzaxxx
28th January 2012, 17:32
Time Traveler ย่อเป็น ไทเลอร์ /เทลเลอร์ ต่าหากเล่า...


อ้างอิงจากอีกเว็ปนึง

anakinjedi
28th January 2012, 17:33
น่าสนใจจริงๆครับ ที่ค้นพบภาพที่ผิดปกติจากที่ควรจะเป็นในอดีตทั้งการแต่งตัวทรงผมกับเทคโนโลยี

RAZORWIN
29th January 2012, 00:14
ผู้หญิงคนนั้นในหนัง ชาลี แชปลิ้น น่าสงสัย

gosol
29th January 2012, 08:25
เคยอ่านแล้วน่าสนใจมาก ผมก็อยากเป็น Time Traveler นะ กระโดดข้ามเวลาไปตับๆสาวในปีต่างๆแล้วก็ย้ายเวลาหนี :dance

exsoticag
29th January 2012, 12:01
ต้นตระกูลจั๊มเปอร์ หรือเปล่า

Homies
29th January 2012, 12:56
เดินทางในการเวลานี่ลึกลับดี

M40A3
29th January 2012, 13:12
ผู้หญิงเขาใช้สกิล windwall ใน dota
เราเลยไม่เห็นโทรศัพท์เขาได้ชัด
ผมว่าเกิดขึ้นจริง สงครามโลกครั้งที่ 3 ใน

T-TECH
29th January 2012, 16:30
ไม่อยากจะเชื่อ

kentazenobu
29th January 2012, 16:57
ตอนนี้เขามีคนกำลังจะสร้างเครื่องย้อนเวลาอยู่ ลองหาดูดิ

PEEIII
29th January 2012, 20:21
ผม เชื่อนะ เรื่องนี้

takba555
30th January 2012, 13:41
มันเกิดคำถามว่า แล้วคนๆนั้นเค้ากำลังคุยโทศัพท์กับใคร แล้วเค้าใช้เครือข่ายอะไร แล้วใช้โปรโมชั่นไหน
XD

Lightenning
31st January 2012, 21:40
จากเรปบน คงจะไม่มีโทรศัพท์โทรข้ามกาลเวลาหรอกนะ -*- ยุค 70 คุยกับ ปัจจุบัน -0-

speciallah
31st January 2012, 21:56
สงสัยก็ตรงที่ ถ้ามาจากยุคอนาคตแล้ว ทำไมเสื้อผ้ายังดูเป็นปัจจุบันอยู่เลย มันน่าจะดูทันสมัยไม่ก็ไฮเทคกว่านั้นสิ

RlucksN
31st January 2012, 21:57
น่าสนใจดีแฮะ เรื่องผู้หญิงคุยโทรศัพท์ผมไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่รูปนี่เล่นเอางงไปเลย

ว่าแต่กล้องสมัยก่อนมันชัดขนาดนั้นเลยเหรอ

mamamiyaok
31st January 2012, 22:26
มันก็น่าคิดอยู่นะครับ

T-TECH
31st January 2012, 22:29
ถ้าไม่ได้ติดต่อ จริง เเว่น มัน ล้ำเกินยุค ไปเเล้ว

onalovejung
31st January 2012, 22:41
สงสัยก็ตรงที่ ถ้ามาจากยุคอนาคตแล้ว ทำไมเสื้อผ้ายังดูเป็นปัจจุบันอยู่เลย มันน่าจะดูทันสมัยไม่ก็ไฮเทคกว่านั้นสิ

เค้าอาจจะแต่ตัวให้เหมาะกับยุคก็ได้:) (มั่ว)

ballmanufc
31st January 2012, 22:45
mw3 โอ้วๆๆๆ 5555+

theaop001
1st February 2012, 08:41
ถ้ามันจริงอีก 24ปี บนโลกเราจะมีเครื่องย้อนเวลาใช้ :p:rofl

redfoottttt
1st February 2012, 11:00
เป็นไปไม่ได้หรอกเดินคุยโทรศัพท์ได้ไงเมื่อก่อนยังไม่มีเสาส่งสัญญาณเลย..น่าจะเป็นคุยด้วยวอทางไกลมากกว่า

หรือถ้าเป็นไปได้อีกนั้ยนึงก็คือมีคนจากอนาคตอีกคนคุยกับเธอซึ่งคุยกันโดยไม่ใช้เสาส่งสัญญาณ หรือใช้สัญญาณแบบส่งกันเครื่องต่อเครื่อง

ส่วนเรื่องรูปภาพผู้ชายใส่เสื้อผ้าล้ำยุคนั้น ก็จริงส่วนหนึ่ง..เพราะดูจากเสื้อผ้าที่เขาใส่แล้ว..

เสื้อชั้นในก็เป็นเสื้อยืดธรรมดาที่สามารถหาใส่ได้ในยุคนั้นแล้วเสื้อคลุมก็เป็นเสื้อแจีคเก็ต(อาจจะเป็นหนังแกะ)ซึ่งหาใส่ได้ในยุคนั้นเช่นกัน..

แต่เรื่องแว่นตากับกล้องนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะมันก็ดูทันสมัยเกินไปจริงๆ..หรือเป็นเพราะว่าก่อนเขามาที่นี่เขาอาจเปลี่ยนชุดเพื่อให้ดูเข้ากับยุคก็เป็นได้


ปล.ทั้งนี้ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว..

dekhere
1st February 2012, 16:16
เป็นไปไม่ได้หรอกเดินคุยโทรศัพท์ได้ไงเมื่อก่อนยังไม่มีเสาส่งสัญญาณเลย..น่าจะเป็นคุยด้วยวอทางไกลมากกว่า

หรือถ้าเป็นไปได้อีกนั้ยนึงก็คือมีคนจากอนาคตอีกคนคุยกับเธอซึ่งคุยกันโดยไม่ใช้เสาส่งสัญญาณ หรือใช้สัญญาณแบบส่งกันเครื่องต่อเครื่อง

ส่วนเรื่องรูปภาพผู้ชายใส่เสื้อผ้าล้ำยุคนั้น ก็จริงส่วนหนึ่ง..เพราะดูจากเสื้อผ้าที่เขาใส่แล้ว..

เสื้อชั้นในก็เป็นเสื้อยืดธรรมดาที่สามารถหาใส่ได้ในยุคนั้นแล้วเสื้อคลุมก็เป็นเสื้อแจีคเก็ต(อาจจะเป็นหนังแกะ)ซึ่งหาใส่ได้ในยุคนั้นเช่นกัน..

แต่เรื่องแว่นตากับกล้องนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะมันก็ดูทันสมัยเกินไปจริงๆ..หรือเป็นเพราะว่าก่อนเขามาที่นี่เขาอาจเปลี่ยนชุดเพื่อให้ดูเข้ากับยุคก็เป็นได้


ปล.ทั้งนี้ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว..

อาจเป็นไปได้ครับ

nutcung0202
1st February 2012, 20:33
ในรูปนั้น คนที่แต่งตัวผิดแบบนอื่นในปี 1941 ใส่แว่นตาดำ ถือกล้องที่ไม่มีใครเคยเห็น เป็นคุณ คุณจะละสายตาจากเขาไหม....ทำไมในรูปไม่มีใครมองเขาเลย

คห.ส่วนตัว

chocowan
2nd February 2012, 03:48
ผมคิดว่า เรื่องจริง ครับ ในอนาคต คงจะมีทัวร์ที่จัดให้ คนมีเงิน ได้เดินทางย้อน เวลาไปในช่วงเวลาต่างๆ เขาคงจะให้ใส่เสื้อ ผ้า และอะไร ต่างๆให้กลมกลืนกับ ยุคนั้นมากที่สุด ผู้หญิงคงจะคุยกับใครซักคน ว่า ตอนนี้ฉันมาถึงยุคนี้แล้ว เพราะดูสีหน้าแล้ว เธอยิ้มดีใจมาก มือถึอในยุคอนาคต คงมีอะไรที่เรายังไม่รู้ เพราะปกติมือถือ มันก็เปลี่ยนใหม่กันปีต่อปีกันแล้ว ส่วนผู้ชายในรูปผมคิดว่า เขาคงมาเก็บภาพเหตุการ ต่างๆในยุคนั้น ส่วนรูปภาพในอนาคต คงจะไม่มีผู้ชายอยู่ แต่พอเขาย้อนไปในอดีต ภาพที่ไม่เคยมีเขาอยู่ มันก็มีเขาขึ้นมา และเขาคงคิดว่ารูปภาพในสมัยนั้น คงจะมีน้อยมากที่จะมาถึงสมัยนี้ จากภาพมีคนถือกล้องสมัยนั้นหลายคน แต่ภาพจากกล้องเหล่านั้นก็ไม่ได้มาให้เราเห็นทั้งหมดจริงไหม มันก็หายไปตามกาลเวลา ในอนาคต เราคงจะมาทัวร์อดีต กันละ ราคาจะเท่าไรนะ เหมือนทัวร์ อวกาศ หรือป่าว