PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ปรัมปราตำนานเทพเจ้า [ ไวกิ้ง ] ปฐมกาลแห่งเทพเจ้า



Elizabeth
8th February 2012, 01:04
ปรัมปราตำนานเทพเจ้า [ ไวกิ้ง ] ปฐมกาลแห่งเทพเจ้า


คำว่า ไวกิ้ง เป็นคำที่คุ้นหูหลายต่อหลายคนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมาจากเรือไวกิ้งในสวนสนุก จากเกมส์ออนไลน์ชื่อดังอย่างแร็คนาร็อค หรือแม้แต่ตำนานต่างๆที่เล่าสืบขานกันมา และหลายต่อหลายครั้งที่เราได้ยินคำคำนี้ควบคู่ไปกับคำว่า นอร์ส จนบางคนเอาไปรวมกันเป็นชื่อเดียวคือ..นอร์ส-ไวกิ้ง และให้ความหมายเชิงเดียวกับคำว่า กรีก – โรมัน ซึ่งในความจริงแล้วนั้นไม่ใช้ คำว่า นอร์ส แปลความหมายถึงดินแดนหรือกลุ่มประเทศในสมัยยุคกลางที่ทุกวันนี้เราเรียกขานกันว่า สแกนดิเนเวีย ( คือ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก สวีเดน และฟินแลนด์ ) ในขณะที่คำว่าไวกิ้ง เพี้ยนมาจากคำว่า วีคิง ซึ่งเป็นคำที่กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในนอร์สใช้เรียกตัวเอง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไวกิ้งคือคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนอร์สนั่นเอง




ภาพของชาวไวกิ้งที่ติดตาทุกคนนั้นก็คงไม่พ้นบรรดานักรบไว้เคราที่มีขนแขนรุงรัง สวมหมวกเหล็กที่มีเขาแหลมสองข้าง รักการสู้รบและรุกรานชนชาติอื่น เป็นเจ้าทางทะเลที่อาศัยเรือที่มีหัวเรือท้ายเรือโค้งเป็นก้นหอย และนับถือเทพเจ้าแห่งดินแดนน้ำแข็งของตนในฐานะของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งทั้งหมดก็ไม่นับว่าผิดนัก และด้วยความที่รักการรบพุ่งและความเชี่ยวชาญในการเดินเรือนี้เองที่ทำให้คำว่า “ ไปวีคิง” กลายเป็นคำติดปากที่หมายถึง การไปผจญภัย

http://upic.me/i/jb/106937912.jpeg

เรือของชาวไวกิ้งนั้นท่องเที่ยวไปได้ไกลไม่แพ้ม้าของเจงกิสข่าน เพราะพวกเขารักการท่องเที่ยวและเดินเรือชนิดฝังอยู่ในสายเลือด ดังนั้นไม่ว่าไปที่ใดก็จะแวะตั้งรกรากไว้บ้าง สร้างครอบครัวไว้บ้าง หรือไม่ก็ทิ้งทายาทไว้ในท้องของหญิงท้องถิ่นบ้าง ทำให้เราสามารถพบเชื้อสายของชาวไวกิ้งได้หลายแห่งในยุโรป ทั้งอังกฤษ ไอร์แลนด์ เยอรมันนี รวมไปถึงรัสเซียและดินแดนแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งมรดกอย่างหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ ผมสีทอง ตาสีฟ้า และภาษาที่ฝั่งดูเท่เปล่งหู เพราะแม้แต่ชาวสแกนดิเนเวียเองหากต้องไปคุยกับชาวไวกิ้งบรรบุรุษในอดีต ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเนื่องจากวิวัฒนาการทางภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปมากถึงมากที่สุด




ตำนานของชาวไวกิ้งนั้นถูกบันทึกไว้ในบทกวีเอ็ดดา ซึ่งกล่าวไว้ว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้นทุกสรรพสิ่งในห้วงจักรวาลล้วนหมุนคว้างมีเพียงความสับสนวุ่นวาย ( คล้ายของกรีกเหมือนกันเนอะ) แล้ววันหนึ่งห้วงจักรวาลนั้นก็เกิดแยกออกจากกันกลายเป็นหลุมลึกที่มีแต่ความว่างเปล่า ซึ่งเรียกว่า กินนันกากับ( Ginnungagap ) และเมื่อเกิดห้วงนี้ขึ้น ดินแดนจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือแดนเหนือและแดนใต้ ทางแดนเหนือนั้นเรียกว่า นิฟล์เฮม ( Niflheim ) ดินแดนแห่งความมืดมัว อากาศหนาวเย็นยะเยือก พื้นดินและภูเขาทั้งหมดล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ขณะที่ดินแดนทางใต้ เรียกว่า มัสเปลส์เฮม ( Musplesheim ) ดินแดนแห่งไฟอันร้อนระอุ และมีเปลวไฟลุกโชนไปทั่ว




พอเปลวไฟจากแดนใต้เกิดพวยพุ่งแฉลบไปโลมเลียภูเขาน้ำแข็งทางแดนเหนือ ความร้อนที่แทรกเข้ามานั้นทำให้น้ำแข็งที่จับตัวกันแน่นละลายเป็นไอ แล้วกลั่นตัวตกลงสู่กินนันกากับและรวมตัวกันวันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งเกิดเป็นเป็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิตสองสิ่ง ร่างแรกคือร่างของยักษ์อีเมอร์ ( Ymir ) และแม่วัวออดฮูมล่าร์ ( Audhumla )



ยักษ์อีเมอร์นั้นประทังชีวิตตนเองด้วยน้ำนมของแม่วัว ขณะที่แม่วัวเองหันซ้ายหันขวาก็พบเพียงแต่ก้อนน้ำแข็งเท่านั้น ออดฮูมล่าร์จึงใช้ลิ้นเลียก้อนน้ำแข็งนั้นกินไปพลางๆ พอลิ้นอุ่นๆสัมผัสเข้ากับน้ำแข็ง น้ำแข็งก็ละลายอีกจนค่อยๆกลายเป็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่คือ เทพ บูรี ( Buri ) ซึ่งนับเป็นปฐมแห่งเทพและเป็นบรรพบุรุษของเทพเกือบทั้งหมดทีเดียว




ฝ่ายยักษ์อีเมอร์ ที่อยู่ใกล้แดนใต้มากกว่าจึงได้รับความร้อนมากกว่า ทำให้มีเหงื่อออกมาตามร่างกาย และเหงื่อนี้เองที่ได้รวมตัวกันและกลายเป็นยักษ์อีกตนที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ชื่อว่า ธรุดเกลเมอร์ ( Thruddelmir ) ซึ่งนับเป็นบรรพบุรุษของยักษ์เกือบทั้งหมดอีกเช่นกัน นอกจากนี้อีเมอร์ยังได้ให้กำเนิดยักษ์อีกหลายตน จากรักแร้บ้าง จากฝ่าเท้าบ้าง





แม้ว่าฝ่ายเทพและฝ่ายยักษ์นั้นจะถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมๆกัน แต่ทั้งสองก็เรียกได้เป็นศัตรูตลอดกาลของกันและกันด้วยเช่นกัน คำว่ายักษ์ของชาวไวกิ้งนั้นไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่กล้ามโตดังเช่นของชนชาติอื่นๆ แต่ยักษ์ของชาวไวกิ้งนั้นมีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากมนุษย์หรือเทพแต่อย่างใด หนำซ้ำยังมียักษีหลายต่อหลายตนที่งดงามยิ่งกว่าเทพเสียอีก




วันหนึ่งบุตรชายองค์หนึ่งของเทพบูรีผู้มีนามว่า บอร์ ได้สมรสกับยักษีเบสล่า ผู้เป็นธิดาของอีเมอร์ และได้ให้กำเนิดทายาทที่สำคัญที่สุดสามองค์ คือ โอดิน ( Odin ) วีลี่( Vili ) และวี( Ve ) แม้ว่าโอดินจะเป็นลูกครึ่งเทพ – อสูร แต่ชาวไวกิ้งจะถือว่าเทพโอดินเป็นเทพตามบิดาและเป็นเทพต้นราชวงค์อีเซอร์ ( Aesir ) อีกด้วย

http://upic.me/i/jp/106937913.jpeg

เทพโอดิน



เมื่อลูกหลานของยักษ์อีเมอร์เห็นว่าทายาทที่เกิดมาใหม่นี้มีคุณสมบัติบางอย่างที่ฝ่ายยักษ์ไม่มี เช่น ความแข็งแรง แข็งแกร่ง และอำนาจในการสมานแผลด้วยตนเองของร่างกาย ( แผลจะหายเร็วมากเหมือนในหนังที่เลือดยังไม่ทันไหลแผลก็ปิดสนิทแล้ว ) ฝ่ายยักษ์จึงได้เกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมากและรวบรวมกำลังฝ่ายยักษ์ของตนเองเข้าโรมรันกับบุตรของบอร์ หรือก็คือเทพโอดินและน้องๆทั้งสอง สงครามครั้งนั้นกินเวลานับพันๆปี แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดชนะขาดหรือเพลี่ยงพล้ำก่อน ในที่สุดฝ่ายเทพจึงได้คิดที่ให้อีเมอร์หยุดให้กำเนิดทายาท โดยการฆ่าอีเมอร์เสีย ( อีเมอร์คือยักษ์ตนแรกที่เกิดมาพร้อมแม่วัว ) หลังจากที่เทพโอดินทรงสังหารอีเมอร์สำเร็จ โลหิตของยักษ์บิดรไหลทะลักออกมามหาศาลจนกลายเป็นทะเลเลือดท่วมไปทั่วบริเวณ บรรดายักษ์ที่เป็นลูกหลานของอาเมอร์เองก็จมน้ำทะเลเลือดนี้ตายจนหมด เหลือเพียงเบอร์เกลเมอร์และภรรยาเท่านั้นที่หนีรอดไปอยู่ในดินแดนใต้อันร้อนระอุได้ ซึ่งทายาทของทั้งคู่จะถูกปลูกฝังให้เคียดแค้นเทพทั้งมวล




ฝ่ายเทพเมื่อปราศจากศัตรูแล้วจึงคิดที่จะสรรค์สร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่โดยใช้ร่างอันใหญ่โตของอีเมอร์ให้เป็นประโยชน์ เลือดของอีเมอร์ได้กลายมาเป็นมหาสมุทร กระดูกกลายมาเป็นภูเขา และฟันที่หลุดร่วงออกมาได้กลายเป็นหน้าผา ผมกลายเป็นต้นไม้หลากสายพันธ์ ส่วนกะโหลกที่ทั้งใหญ่และแข็งแรงนั้น ฝ่ายเทพได้นำไปทำเป็นโค้งสวรรค์ ส่วนสมองก็กลายเป็นก้อนเมฆ และเนื้อของอีเมอร์ก็ถูกทมจนเต็มกินนันกากับ และกลายเป็นผืนแผ่นดินที่มั่นคงที่เรียกกันว่า มิดการ์ดหรือแผ่นดินกึ่งกลางที่อยู่ระหว่างดินแดนแห่งน้ำแข็งและดินแดนแห่งไฟ หรือก็คือ แอสการ์ดเป็นดินแดนที่ตั้งไว้เพื่อขั้นกลางแอสการ์ด ดินแดนแห่งเทพ และโจตันโฮล์ม ดินแดนแห่งยักษ์





หลายๆท่านคงได้ไปคุ้นหูกับชื่อเสียงของ ธอร์...เทพเจ้าแห่งสายฟ้า กันมาบ้างแล้วจากภาพยนต์แนวแฟนตาซีที่เข้ามาฉายใหม่ ใช่ค่ะ เข้ามาฉายใหม่ เพราะเรื่องนี้เคยถูกทำเป็นทั้งการ์ตูนแนวซุปเปอร์ฮีโร่รวมทั้งในรูปแบบภาพยนตร์มาแล้วครั้งหนึ่งในชื่อ “ธอร์ เทพเจ้าค้อนสายฟ้า” แต่ด้วยพระเอกที่ไม่หล่อเท่า เอฟเฟ็กที่ล้าสมัยกว่า ก็เลยทำให้ไม่โด่งดังเท่ากับเวอร์ชั่นนี้

http://upic.me/i/s7/107540823.jpeg

อีกประการก็คงเพราะ ธอร์ เป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเท่าใดนัก ไม่เหมือนกับโพไซดอน ฮาเดส หรือเอเธน่าที่หากินมาแล้วในหลายต่อหลายเรื่อง ดังนั้นตอนที่ได้ยินชื่อนี้แรกๆ คงมีคำนามสั้นๆปรากฏขึ้นในหัวว่า....กรีก – โรมัน .... แต่ตอนนี้ท่านที่เข้าไปดูในโรง ( หรือโหลดมาจากบิท ) มาแล้วก็คงถึงบางอ้อว่า ธอร์ ไม่ใช่เทพเจ้าของกรีกหรือโรมัน แต่เป็นเทพเจ้าแห่งสายฟ้าของชาวไวกิ้ง ( แม้ซูสจะใช้สายฟ้าเหมือนกันก็ตาม )



ต้องยอมรับจริงๆว่า เรื่องราวของธอร์นั้น ปรากฏตามหน้าเว็บน้อยมาก ไรต์เตอร์เคยเข้าไปลองถามอากู๊กูเกิลหรือแม้แต่พี่ใหญ่วิกกี้ (วิกิพีเดีย) มาแล้ว แต่ปรากฏว่าข้อมูลที่ได้อยู่ที่ราวๆสองถึงสามบรรทัดเท่านั้น ดังนั้นหากจะพูดถึงประวัติของ ธอร์ ไรต์เตอร์ของต้องขอยกธงขาวยอมแพ้เหมือนกันค่ะ หาแทบไม่เจอจริงๆ แม้ว่าจะได้ยินชื่อนี้มานานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย เพราะตอนนี้ไรต์เตอร์หิ้วเรื่องเล่าของธอร์ในอีกรูปแบบหนึ่งมาฝากกันค่ะ....



ธอร์หรือโธร์ เป็นบุตรชายของเทพโอดิน ( พบเทพบิดรองค์นี้ได้ในตอนหน้า ^^) ที่รักการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ (อันนี้ก็เหมือนเทพไวกิ้งทั่วไป) และยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพที่ใจร้อนที่สุดและมีพละกำลังมากที่สุดในบรรเทพทั้งมวล ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาและไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งสำหรับเทพที่มีความสามารถอันหน้ากลัวแล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดเท่าใดนัก เว้นเสียแต่บางครั้งความไม่ชอบใช้ปัญญาของธอร์ก็ก่อเรื่องให้เหล่าเทพองค์อื่นปั่นป่วนเล่นเป็นบางครั้งบางครา



แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ธอร์เป็นเทพเจ้าที่เหล่าศัตรูหวาดเกรงไม่ใช่แค่พละกำลังของเขา แต่ยังรวมไปถึงค้อนสายฟ้าอันมหึมาที่ทรงพลัง ชื่อว่า..มจอลล์นีร์ ที่ขว้างแล้วไม่เคยพลาดเป้า และจะวนกลับมาเข้าสู้มือของธอร์เสมอ ( นึกถึงบูมเบอแรง) ทุกครั้งที่ค้อนถูกขว้างออกไปจะก่อให้เกิดฟ้าผ่าขึ้น ทำให้มจอลล์นีร์ กลายเป็นหนึ่งในสี่อาวุธที่ทรงฤทธาที่สุดของเทพเจ้านอร์ส (ค้อนของธอร์ ดาบของเฟร หอกของโอดิน และธนูของเวาฬี )

http://upic.me/i/9n/107540821.jpeg

มีเช้าวันหนึ่งที่ธอร์ต้องตกอยู่ในความร้อนรุ่มเพราะพบว่าค้อนคู่ใจได้หายไป ในตอนแรกเขานึกว่าเป็นฝีมือของลอฆีจึงรีบรุดไปหาแต่ก็พบว่าลอฆีเองก็ดูจะแปลกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ใดลอดพ้นตาทิพย์หูทิพย์ของเทพเหมดาร ( คล้ายเทพประตู เฝ้าแดนสวรรค์) ไปได้ และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ลอฆีจึงอาสาไปสืบหาข่าวจากดินแดนอสูรมาให้โดยแปลงร่างเป็นเหยี่ยวและได้แวะไปทักทายอสูรธริมผู้เป็นใหญ่ในแดนอสูรหรืออีกนัยก็เพื่อถามไถ่หาค้อนฟ้าฟาด



และข้อมูลที่ได้ก็คุ้มกับการที่ต้องหยุดบิน เพราะขโมยที่กล้าลูบคมเทพธอร์ ก็คืออสูรธริมที่สารภาพมันด้วยตนเอง



“ ข้าขโมยมาเองแหละ....”



“ แล้วท่านรอดพ้นสายตาของเหมดาลมาได้อย่างไร แล้วทำไมตอนนี้เหมดาลถึงยังมองไม่เห็นค้อนฟ้าฟาด ”





“ ฮะฮะฮะ ข้าขโมยมาตอนที่ทุกคนหลับอยู่ รวมถึงเหมดาล และฝังมันไว้ใต้ดินลึกเก้าโยชน์ ซึ่งแม้แต่เหมดาลก็ไม่อาจมองลงลึกใต้ดินได้...” คำตอบที่โอหังของธริม ทำให้ลอฆีถามหาสาเหตุที่ขโมยค้อนมา และพบว่าสิ่งเดียวที่จะใช้ต่อรองขอค้อนฟ้าฟาดคืนได้ก็คือ ... เทพีเฟรญา เทพีแห่งความงามของแดนสวรรค์ ... แม้ว่านางจะมีสวามีแล้วก็ตาม ( หื่น!!! )



เมื่อธอร์ได้ฟังลอฆีเล่าทั้งหมด ธอร์ก็ลุกพรวดไปหาเฟรญ่าทันทีด้วยความใจร้อนและไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง โชคดีที่ลอฆีตามไปทันและเตือนสติว่าเฟรญ่ามีสวามีแล้วทำให้ธอร์ฉุกคิดขึ้นได้ ทั้งคู่จึงนำความไปบอกแก่เฟรญ่ารวมถึงเทพโอดิน ที่เครียดหนักจนถึงขั้นต้องเรียกประชุมเทพทั้งสวรรค์



“ ค้อนฟ้าฟาดเป็นความรับผิดชอบของท่าน ท่านควรจะนำมันคืนมาด้วยตนเอง ” เหมดาลเอ่ยอย่างเรียบสงบ ทำให้ธอร์โกรธเป็นฟืนไฟ เพราะแน่นอนว่าหากไม่มีค้อนฟ้าฟาดอยู่ข้างกาย ความสามารถของธอร์ก็ลดลงไปกว่าครึ่ง เหมดาลเห็นดังนั้นจึงบอกให้ธอร์สวมชุดเจ้าสาวเข้าพิธีแทนเฟรญ่า และเมื่อได้ค้อนคืนก็ให้จัดการอสูรตามที่เห็นสมควร



เมื่อฟังแผนจบธอร์ก็กระทืบเท้าอย่างแรงจนพื้นสวรรค์สั่นสะเทือน!!!!



“ เห็นข้าเป็นตัวตลกให้ทั้งเทพทั้งอสูรหัวเราะเยาะหรืออย่างไร ”



“ เมื่อท่านได้ค้อนคืน....อสูรธริมคงหัวเราไม่ออกหรอก ” เหมดาลเอ่ยอย่างสงบนิ่ง แต่ธอร์ก็ยังคงไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้นแม้ว่าบรรดาเทพเทพีทั้งหลายจะชักแม่น้ำทั้งเก้ามาหว่านล้อม จนกระทั่ง



“ หรือท่านจะยอมให้สวรรค์ตกอยู่ในความครอบครองของพวกอสูร....พวกมันรู้ดีว่าหากปราศจากซึ่งค้อนฟ้าฟาด ก็ไม่มีทางที่เทพจะปกป้องแดนสวรรค์ไว้ได้ ” ลอฆีงัดไม้ตายอย่างชาญฉลาด ทำให้ธอร์ชะงัก...เริ่มคิดได้



ธอร์หัวเสียเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะต้องสวมชุดเจ้าสาวให้เสียเชิงชายแล้ว ยังต้องโกนหนวดเคราที่แสนน่าเสียดายออกอีกด้วย เทพีเฟรญ่ารู้สึกเป็นบุญคุณอย่างมากที่ธอร์ช่วยให้เธอไม่ต้องถูกส่งไปเป็นเจ้าสาวของอสูร ถึงขั้นถอดทัดทรวง (สร้อยคอ) เส้นงามที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเฟรญ่าออกสวมให้ธอร์เลยทีเดียว



รถเจ้าสาวเทียมแพะคู่พาธอร์และลอฆีในบทเพื่อนเจ้าสาวเร่งรุดสู่แดนอสูร และทันทีที่ธริมเห็นรถเทียมแพะคู่พร้อมกับแสงวิบวับจากทัดทรวงเส้นงาม ก็ดีใจจนเนื้องเต้น...แน่นอนทัดทรวงเส้นนั้นจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากเทพีเฟรญ่าที่ตนหมายปอง ดังนั้นจึงสั่งนางกำนัลให้เตรียมจัดงานอย่างสมเกียรติ ส่วนตนเองก็เข้าไปขัดสีฉวีวรรณเพื่อรอรับเจ้าสาว ??



เจ้าสาวร่างหนาสวมผ้าคลุมทั้งหน้าและทั้งร่าง ยื่นมือให้อสูรธริมรับอย่างว่าง่าย แม้ใจจริงจะหัวเสียก็ตาม ฝ่ายเจ้าอสูรก็อดนึกไม่ได้ว่า...เออหนอ มือนางทั้งใหญ่ทั้งอวบอูมดีแท้ รูปร่างก็ช่างอวบอัด สูงใหญ่ แข็งแรง แหม! ช่างเหมาะสมกับข้าเสียเหลือเกิน...



อสูรรับใช้ต่างก็กุลีกุจอนำอาหาร สุราเมรัยมาตั้งโต๊ะ ธอร์นั้นขึ้นชื่อลือชาเรื่องกินจุดื่มจัด ดังนั้น ไม่ทันที่อสูรธริมจะเอ่ยปากเชิญ เนื้อวัวย่างทั้งตัวก็หมดลงด้วยฝีมือเจ้าสาวเพียงคนเดียว แถมด้วยอาหารอื่นๆและเหล้าอีกสามถัง ... สร้างความประหลาดใจให้อสูรเป็นอย่างมาก ลอฆีสังเกตเห็นจึงกระซิบว่า นางตื่นเต้นที่จะได้แต่งงานกับท่านจนไม่ได้กินอะไรมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว เพียงเท่านั้นอสูรก็อิ่มอกอิ่มใจจนไม่คิดอะไรอีก



“ เออ...จริงสิ ข้ามัวแต่ตื่นเต้นจนลืมของขวัญพิเศษสุดสำหรับเจ้าสาว ข้าอยากมอบให้นาง ณ บัดนี้ ” อสูรธริมเอ่ย พลางหันหน้าไปทางอสูรรับใช้ และสิ่งที่เอ่ยออกตามมาก็ทำให้ธอร์เผลอขยับตัวจนบัลลังสั่นไหว



“ ไปเอาค้อนฟ้าฟาดมา!!! ”



ทันทีที่ค้อนทรงฤทธากลับคืนสู่มือหนาของเจ้าของ ธอร์ก็ดีใจเป็นอย่างมาก กระชากเสื้อคลุมเจ้าสาวทิ้งทันทีและก่อนที่ใครจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ธอร์ก็เงื้อค้อนขึ้นแล้วทุบอสูรเจ้าบ่าวล้มลงขาดใจทันที เหล่าอสูรตนอื่นต่างก็วิ่งหนีโกลาหลแต่ก็ไม่มีใครสามารถหนีพ้นค้อนฟ้าฟาดไปได้



ด้วยเหตุนี้ ธอร์จึงได้ค้อนฟ้าฟาดกลับสู่มืออีกครั้ง ได้ฆ่าอสูรไปหลายตน มิเสียทีที่กล้ำกลืนฝืนใจแต่งตัวเป็นเจ้าสาว ปวงเทพเทพีในแดนสวรรค์จึงได้อยู่อย่างปลอดภัยไปอีกนาน




ธอร์นับได้ว่าเป็นเทพที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งของแดนนอร์ส และชื่อของเขา (Thor ) ก็ได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อวันพฤหัสบดี ( Thursday ) อีกด้วย ซึ่งวีรกรรมที่สำคัญอีกอย่างของธอร์ก็คือ บทบาทของธอร์ในสงครามวันสิ้นโลก หรือ แร็กนาร๊อคที่เรารู้จัก เพราะเขาคือบุคคลสำคัญผู้สังหารมังกรยักษ์โยมุต (บางตำนานกล่าวว่าเป็นอสรพิษขนาดยักษ์) ที่ใหญ่ขนาดสามารถพันรอบโลกได้ แม้ว่าธอร์เองจะต้องจบชีวิตไปพร้อมกับมังกรยักษ์ตัวนั้นก็ตาม....

http://upic.me/i/i3/107540822.jpeg




มหาสงครามแร็คน่าร็อก


http://www.timelessmyths.com/norse/gallery/wildhunt.jpg

สแกนดิเนเวียนในยุคของพวกนอร์ส(คนเถื่อน ไวกิ้ง) มีตำนานเกี่ยวกบเทพปกรณัมอันมีเอกลักษ์และแง่มุมที่น่าสนใจไม่แพ้ชนชาติใดๆในโลก
ชาวนอร์สเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาอาซาทรู(Asatru) นับถือเทพเจ้าหลายองค์แต่ที่สำคัญที่สุดมี3องค์คือ
โอดิน(Odin) เทพแห่งสติปัญญา เฟรยา(Freya) เทพีแห่งความรัก ธอร์(Thor) เทพแห่งพละกำลังและสายฟ้า

ศาสนาอาซาทรูมีความเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกล้วนไม่จีรัง ไม่ว่าจะเป็นจักรวาล เทพเจ้า มนุษย์ ยักษ์
ล้วนต้องแตกดับในวันมหาสงครามสิ้นโลกแร๊คน่าร็อก ด้วยความเชื่อนี้ทำให้ชาวนอร์สเป็นพวกที่ยึดถือศักดิ์ศรีอย่างมาก
หากจะตายก็ต้องตายในสนามรบเท่านั้น ถ้าตายโดยความชราหรือป่วยตายนี่จะเรียกว่าตายแบบป๊อดๆ
เชื่อกันว่าหลังจากการตายในสนามรบจะมีเทพธิดาแห่งสงครามวัลคีรี่(Valkyrie)นำดวงวิญญ ณไปสู่วัลเฮลลา(valhala)
สวรรค์ของพวกไวกิ้งเพื่อรอที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเ ล่าเทพเจ้าในวันมหาสงคราม

ชาวนอร์สเชื่อว่าในสมัยปฐมกาลทุกหนแห่งล้วนว่างเปล่า เรียกสถานที่นี้ว่าทุ่งกินนุงกากัป(Ginnunggagap)
ภายหลังเกิดเป็นทุ่งน้ำแข็งและหิมะกว้างใหญ่แบบไม่มีที่มาที่ไปมาไงก็ไม่รู้ ขนาบด้วยดินแดน2แห่งตามแนวเหนือใต้
ทางตอนเหนือเรียกว่านิเฟลเฮีล์ยม(Nifelheim)มีแต่หมอกและหนาวเย็นไข่แข็ง****ทั้งปีทั้งชาติ
ส่วนทางใต้เรียกว่ามูสเพล์เฮีล์ยม(Muspellheim)ซึ่งตรงข้ามกับทางเหนือเต็มข้อ คือร้อนและมีไฟเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปมีเปลวไฟจากมูสเพล์เฮีล์ยมตกลงกลางทุ่งน้ำแข็งและกลายเป็นแม่วัว(ได้ไงวะ!!?)ชื่อว่าโอดุมลา(Audhumla)
ถือ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแรกสุดแต่ดันมีใครตั้งชื่อให้ก็ไม่รู้ แม่วัวโอดุมลาหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะทำอะไรเลยเลียน้ำแข็งที่อยู่รอบๆตัว เล่นๆ
แต่แม่จ้าว!! เลียอีท่าไหนก็ไม่รู้น้ำแข็งกลายเป็นยักษ์ชื่ออีเมียร์(Ymir)มันซะยังงั้น
ยักษ์อีเมียร์อาศัยนมจากแม่วัวโอดุมลาเลี้ยงชีวิตผ่านไปนานเข้าเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะรอบๆตัวอีเมียร์ก็แตกออก
เป็นยักษ์รุ่นจูเนียร์ทั้งชายหญิงเรียกกันว่า รีเม(Rime) ถือกันว่าเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกยักษ์
ต่อมาแม่วัวโอดุมลาเลียน้ำแข็งอีกก้อนนึง ปรากฏว่าคราวนี้กลายเป็นเทพเจ้าองค์แรกอุบัติขึ้นชื่อว่า บูรี(Buri) แหมเลียได้เทพจริงๆ
บูรีมีรูปร่างงดงามและแข็งแรงซึ่งต่างจากพวกยักษ์รีเมที่มีร่างกายใหญ่โตน่าเกรงขาม

ต่อมาเทพบูรีมีโอรสชื่อว่าบอร์(Bore)พอแตกเนื้อหนุ่มได้ไม่ทันไร บอร์ก็ไปคว้านางยักษ์สาวแสนสวยชื่อเบสลา(Bestla)มาขึ้นครูจนมีก่อกำเนิด เป็นพฤกษาโลกภิภพมีชื่อว่าอิกก์ดราซิล(Yggdrasil)ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ยึดโลก ต่างๆทั้งโลกเทพแอสการ์ด โลกมนุษย์มิดการ์ด โลกยักษ์อุตการ์ดและโลกต่างๆรวมแล้ว9โลกไว้ด้วยกัน เทพบอร์และนางยักษ์เบสลามีพระโอรส3พระองค์ ได้แก่
โอดิน(Odin) โฮเนียร์(Honir) และโลเทอร์(Lother)



พฤกษาโลกอิกก์ดราซิล(Yggdrasil)

ต่อมาภายหลังได้เกิดสงครามระหว่างเทพกับยักษ์อีเมียร์ขึ้น สงครามครั้งนี้ทำให้ดินแดนทั้งมวลสะเทืิอนเลื่นลั่น
จนเกิดเป็นภูเขาน้ำแข็งน้อยใหญ่ทั่วดินแดนของชาวนอร์ส ในสงครามครั้งแรกนี้ฝ่ายเทพเป็นผู้ชนะแบบแบเบอร์โดยไม่ต้องรอมติ กกต
แต่ทว่าหลังสงครามครั้งนี้โอดินได้ไว้ชีวิตยักษ์บางตนเพราะถือว่ามารดาของตนก็เป็นยักษ์
หลังสงครามเทพโอดินและพระอนุชาได้ใช้ศพของยักษ์อีเมียร์สร้างโลก มนุษย์ขึ้น เนื้อหนังเป็นผืนดิน กระดูกเป็นภูเขา เลือดเป็นทะเลและแม่น้ำ
เส้นผมเป็นต้นไม้ ขนคิ้วเป็นทุ่งหญ้า กะโหลกวางครอบไว้กับเสา4ต้นเป็นท้องฟ้า
เสาทั้ง4มีการ์ดคอยดูแลได้แก่ นอร์ททรี โอสทรี ซูทรี และเวสทรีและเรียกโลกนี้ว่ามิดการ์ด(Midgard)

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/7/74/Odin-thor.jpg

Odin


จากนั้นโอดินและอนุชาทั้ง2เดินทางไปมูสเพลล์เฮีล์ยมดินแดนแห่งไฟนำสะเก็ดไฟดวงใหญ่มาเสกเป็นพระอาทิตย์และสร้างสุริยเทวีชื่อ โซล(Sol)คอยขับราชรถสุริยัน
และหยิบสะเก็ดไฟสีขาวสุกปลั่งเสกเป็นดวงจันทร์ และสร้างจันทรเทพชื่อ มานี(Mani)คอยขับราชรถจันทรา
สร้างมนุษย์ชายคนแรกจากไม้แอช ให้ชื่อว่าอัสก์(ASk) สร้างมนุษย์หญิงคนแรกจากต้นเอล์มให้ชื่อว่า เอมบลา(Embla)
โอดินให้จิตวิญญานกับทั้งคู่ โฮเนียร์ให้ความรู้สึก โลเทอร์ให้การมองเห็น การพูดและสัมผัสต่างๆ

ขณะเดียวกันนั้นยักษ์ที่สืบสายมาจากแบร์แกลเมียร์ก็ทวีมากขึ้น แบร์แกลเมียร์เป็นหนึ่งในยักษ์ที่โอดินไว้ชีวิตหลังสงครามจบลงเพราะโอดินเห็นว่าเป็นยักษ์ที่ฉลาด(โอดินชอบคนฉลาดๆ) โดยหารู้ไม่ว่านับจากนี้แบร์แกลเมียร์จะกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ไอ้แม่ยิ้ม เพราะยักษ์เหล่านี้รอคอยการแก้แค้นอย่างใจจดใจ่อกันเลยทีเดียว

โอดินเห็นท่าไม่ดี ชะๆมาซิลอน เลยเอากระดูกของยักษ์อีเมียร์ที่ยังเหลือกั๊กไว้มาสร้างเป็นภูเขากั้นเป็นกำแพงให้พวกยักษ์อยู่มันซะอีกฟาก แถมด้วยการตั้งชื่อให้ซะกิ๊บเก๋เท่ห์ระเบิดบกว่า โจตันเฮีล์ยม(Jotunheim) หรืออุตการ์ด(Utgard)นั่นเอง
แต่ถึงจะกั้นไว้ยังไงก็ไม่ครณามือยักสายพันธุ์เจมส์บอนด์ได้ แอบเล็ดรอดเข้ามาสมสู่กับมุษย์แบบไม่ได้โฟนอินมาเตือนล่วงหน้า ทำให้เกิดมุษย์ที่มีจิตใจชั่วร้ายขึ้นมาบนมิดการ์ด อืมมันมีเงี่ยนงำอย่างนี้นี่เอง
โอดินรู้เข้าถึงกับนอนเอาตีนก่ายหน้าผาก แล้วพลันก็นึกขึ้นได้ว่างั้นกุก็สร้างที่อยู่สำหรับเทพโดยเฉพาะ****ซะเลย ว่าแล้วโอดินและอนุชาจึงช่วยกันสร้างแอสการ์ด(Asgard)ที่อยู่ของทวยเทพขึ้นมาแบบห้าห่วงทนหายห่วง มีมหาปราสาทกลัดเฮีล์ยม(Gladsheim)อยู่สูงสุด โอดินจะลงมาประทับที่บัลลังค์ที่กลัดเฮีล์ยมนี้ทุกวันเพื่อคอยสอดส่องดูแลมนุษย์ในมิดการ์ด ประมาณว่าอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แอสการ์ดมีสะพานมิตรภาพเป็นสายรุ้งที่ทอดยาวเชื่อมกับมิดการ์ดชื่อว่าสะพานบีฟรอส(Bifrost)

http://www.berel-am-ries.de/seiten/Chronik/Forschungen-bis-808-nChr/Bilder/Walhall-360.jpg

ภายในปราสาทกลัดเฮีล์ยม(Gladsheim)ในจินตนาการ



ต่อมาภายหลังโอดินรับเทพยักษ์ตนหนึ่งนามว่า โลกิ(Loki)เข้ามาอยู่ในแอสการ์ด ด้วยความที่โอดินชื่นชอบคนที่มีความเฉลียวฉลาดนั่นเอง
และโลกิคนนี้ก็ฉลาดเป็นกรด เป็นที่ถูกอกถูกใจขนาดที่เรียกได้ว่าโอดินรักโลกิเหมือนลูกคนนึงเลยที่เดียว โดยหารู้ไม่ว่าภายหน้าพี่โลกิหัวแหลมคนนี้จะนำภัยพิบัติมาสู่แอสการ์ด

http://i145.photobucket.com/albums/r217/cooldrive/Loki.jpg

Loki


โลกิมีชายาเป็นนางยักษ์ชื่อว่าอังเกอร์โบดา(Angrboda) มีไอ้ตัวเล็กแสนน่ารักออกมาเป็นเทพอสูรค้วยกัน3ตน ได้แก่
พญางูยักษ์โยมุนกันด์(Jormungand)ในตำนานว่ากันว่ามีลำตัวใหญ่ยักษ์สามารถพันรอบโลกได้หลอยรอบ โอ้ววว ทั้งยาวทั้งใหญ่ พญาอสุรี เฮล(Hel)และพญาหมาป่า เฟนรีล(Fenrir) มันไปเอากันอิท่าไหนถึงได้ออกมาเป็นอิ3ตัวนี้เนี่ย

http://dreamworlds.ru/uploads/posts/2009-06/1245393789_alextornberg_jormungand.jpg

พญางูโยมุนกันด์(Jormungand)


http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/df/Hel_by_Karl_Ehrenberg_page_233.jpg/300px-Hel_by_Karl_Ehrenberg_page_233.jpg

พญาอสุรี เฮล(Hel)


http://www.freewebs.com/brofenrir/nc_fenrir.jpg

พญาหมาป่า เฟนรีล(Fenrir)


ทั้ง3ตนที่กล่าวมานี้เป็นทั้งชนวนและมีบทบาทสุดแสบในมหาสงครามแร๊คน่าร็อกที่จะอุบัติขึ้นในอนาคต โอดินส่งเฮลให้ไปเป็นผู้ปกครองนรก ส่งโยมุนกันด์ลงสู่ท้องทะเลในมิดการ์ด ส่วนเฟนรีลนั้นโอดินทรงเลี้ยงไว้ในแอสการ์ด จนเมื่อเติบใหญ่เฟนรีลกลับมีนิสัยดุร้ายโหด*****มและมีกำลังมหาศาลสร้างความเดือดร้อนให้แอสการ์ดอยู่เนืองๆไม่ต่างกับโลกิผู้เป็นบิดา(โลกิหาเรื่องให้
อดินและเทพแอสการ์ดปวดหัวตึ้บตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในแอสการ์ด โดยเฉพาะกับโอรสองค์โปรดของโอดิน ธอร์และบาลเดอร์)

เมื่อสัตว์หน้าขนอย่างเฟนรีลเลี้ยงไม่เชื่องอีกต่อไปแล้วร้อนไปถึงเทพแห่งกฏหมาย เทียร์(Tyr) และสมัครพลพรรคมหาเทพต้องช่วยกันใช้อุบายหลอกจับเฟนรีลไปทิ้งวัด เอ้ย!! ไปทิ้งไว้ในที่รกร้างกันดาร โปรเจคสุดหินนี้เล่นเอาเทพเทียร์เสียแขนเซ่นคมเขี้ยวให้เฟนรีลไปซะ1ข้างฟรีๆไม่มีประกัันจ่ายดั่วะ ซวยเช็ดจริงๆ

http://thearchnemesis.com/images/tyr.jpg

เทพแห่งกฏหมายและความยุติธรรม เทียร์(Tyr)


http://www.mirabilis-yearofwonders.com/images/TyrFenris_Bauer.sized.jpg

เทพเทียร์ใช้แขนข้างหนึ่งเป็นเหยื่อล่อเฟนรีล อ้ำ~ รสหวานรับทานง่าย



งานนี้พอโลกิรู้เข้าถึงกับเต้นผาง โมโหลมออกหู เหม่ๆ ไอ้พวกนี้ทำกับลูกกูเหมือนหมูเหมือนหมา(เอ่อ....ก็หมานี่หว่า)
โลกิจึงคิดแผนชั่วไว้แก้แค้นโอดินกับเหล่าเทพแอสการ์ด โดยคนที่ตกเป็นเป้าในการล้างแค้นครั้งนี้คือเทพแห่งความดีงาม บาลเดอร์(Balder)โอรสของโอดินนันเอง
บาลเดอร์ เป็นเทพที่ได้รับพรจาก(เกือบ)ทุกสรรพสิ่งบนโลกว่าจะไม่ทำร้ายพระองค์ เทพบาลเดอร์เลยชอบเล่นอะไรแบบเสียวๆพิเรนทร์ๆ เช่น
เป็นเป้าซ้อมธนูของเหล่าเทพ เดินลุยไฟ โดดผาสูง เอ๊กตรีมบอยจริงๆอิตานี่ แต่มีสิ่งนึงที่ไม่ได้ให้สัญญากับเทพบาลเดอร์ไว้คือต้นมิสเติลโทล
แน่นอนว่าความลับนี้ปิดโลกิไม่มิด โลกิจึงเสี้ยมกิ่งต้นมิสเติลโทลเป็นลูกธนูแล้วหลอกใช้เทพโฮเดอร์(Hodur)ซึ่งมีพระเนตรบอดให้เป็นคนลงมือยิงเทพบาลเดอร์ โฮเดอร์หลงเชื่อโลกิจึงแผลงธนูเข้าใส่เทพบาลเดอร์เพราะนึกว่ายิงยังไงก็ไม่ถูกเพราะเทพบาลเดอร์ไม่เคยได้รับอันตรายจากสิ่งใดๆเลย

แต่แม่เจ้า!! คราวนี้ลูกธนูพุ่งปักอกบาลเดอร์ดังฉึก ตายหอง งานเข้า ลูกธนูกิ่งต้นมิสเติลโทลปักกลางอก เทพบาลเดอร์ล้มลงสิ้นพระชนม์ทันที

http://www.daumenschraube.ch/wp-content/uploads/2008/09/hodur.jpg

โลกิหลอกโฮเดอร์ให้แผลงธนูกิ่งต้นมิสเติลโทลใส่บาลเดอร์



ทั้งแอสการ์ดโศกเศร้ากับการจากไปของเทพบาลเดอร์ แต่ทว่ายังพอมีหวัง เมื่อนางพญาอสุรี เฮลผู้คุมนรกบอกว่า จะคืนวิญญาญบาลเดอร์ให้ก็ดะ แต่ทว่าต้องเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกร้องให้ให้กับบาลเดอร์เท่านั้นนะตะเอง เมื่อลูกสาวว่ามาอย่างงี้โลกิผู้พ่อเลยปลอมตัวเป็นหญิงชราและปฏิเสธที่จะร้องไห้ให้กับบาลเดอร์ งานนี้บาลเดอร์เลยแห้วแดกต้องลงนรกไปตามระเบียบ(ไม่รู้เจอรึเปล่านะอิระเบียบเนี่ย ถุ๊ยย!!)

แต่ความลับไม่มีในโลก แผนชั่วของโลกิถูกจับได้ โลกิถูกลงโทษโดยการมัดร่างติดกับก้อนหินในถ้ำ เหนือหัวขึ้นไปมีงูพิษตัวใหญ่ ทุกครั้งที่พิษจากปากงูหยดลงบนใบหน้าของโลกิ โลกิจะดิ้นพราดๆอย่างทุรนทุราย ทำให้เกิดแผ่นดินไหวในโลกมนุษย์นั่นเอง ไซจิน(Sigyn)ชายาอีกคนนึงของโลกิคอยช่วยเหลือสามีของนางโดยการใช้ถ้วยรองพิษงูไม่ให้หยดลงหน้าสามีสุดรัก โถๆ แม่คุณใจงามนัก แต่เมื่อใดที่พิษงูใกล้เต็มถ้วยนางจะเอาไปทิ้งข้างนอกถ้ำ เวลานั้นแหล่ะที่พิษของงูจะหยดลงบนหน้าของโลกิ จนต้องดิ้นพราดๆพาลให้เกิดแผ่นดินไหวกันอีก แต่ก็เอาวะ ถ้าไม่มีไซจินเอาถ้วยมารองพิษงูไว้ ****คงได้แผ่นดินไหวกันทั้งปีทั้งชาติ

http://www.thorshof.org/lokisig.jpg

ไซจิน(Sigyn)เอาถ้วยรองพิษงูช่วยโลกิผู้เป็นสามี



หลังจากที่สูญเสียเทพบาลเดอร์ทั้งแอสการ์ดและมิดการ์ดตกอยู่ในฤดูหนาวถึง3ปี ไม่มีแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เพราะหมาป่าสกอลล์แลฮาติซึ่งนางยักษ์อังเกอร์โบดาเลี้ยงไว้งาบราชรถสุริยะและจันทราไว้ ทำให้เกิดสุริยะคราสและจันทรคราส ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก พอพ้นฤดูหนาวไปมนุษย์ก็ไร้ศีลธรรมโดยสิ้นเชิง และในท่ามกลางความมืดนั้นเองพันธณาการของโลกิก็ถูกคลายออก และโซ่ตรวนของเฟนรีลก็หลุดออกเช่นกัน

เอ๊าๆ งานเข้าแล้วโว้ย!!

ครานั้นพญามังกรนิดฮูกก์(Nidhogg)เจะเข้ากัดกินรากแก้วของพฤกษาโลกอิกก์ดราซิลจนสะเทือนไปถึงยอด ก่กัลลิงคัมบี(Gallingkambi)ส่งเสียงขันดังกึกก้องไปทั้งวัลเฮลลา เทพเฮล์มเดล(Heimdel)ได้ยินดังนั้นถึงกับตาเหลือกเป่าแตรสัญญาณกรีออล์ รวมพลพรรคเทพและวิญญาณนักรบทั่วทั้งวัลเฮลลาเพื่อเข้าสู่มหาสงครามแร๊คน่าร็อก แล้วจึงเคลื่อนทัพเทพสู่สมรภูมิทุ่งสะพานผ่านฟ้า เอ้ย!! ทุ่งวีกริดด์(Vigrid)

http://www.asatru.ru/visions/Ragnarok.jpg

เปิดศึกมหาสงครามแร๊คน่าร็อก(Ragnarok)



เฟนรีลออกไล่ล่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในมิดการ์ด ส่วยโยมุนกันด์ก็มันส์ในอารมณ์บิดตัวเป็นจังหวะสกาอยู่ในมหาสมุทร ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูงใหญ่เท่าภูเขาขึ้นทั่วโลก
กลืนกินชีวิตไปมากมาย พอทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากันที่สมรภูมิทุ่งวีกริดด์ เฮลกลัวพี่น้องทั้ง2ของตนจะเสียเปรียบเลยเปิดนรกส่งวิญญาณร้ายและ
แกรม(Garm)สุนัขแห่งนรกขึ้นมาบนพื้นโลก ต๊ายย หล่อน รักพี่น้องดีจริงๆ


มหาเทพธอร์(Thor)กับค้อนมจอร์เนียร์(mjollnir)

ทั้ง2ฝ่ายเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดถึงพริกถึงขิงถึงข่าถึงตะไคร้ใบมะกรูด บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
มวยคู่เอกในศึกครั้งนี้คงต้องยกให้โอดินกับเฟนรีล หลังจากโรมรันพันตูกันอยู่เป็นนาน อนิจจาคุณพระไม่ช่วย โอดินเพลี่ยงพล้ำโดนเฟนรีลงาบเข้าให้(ดู๊ดู~ กับเจ้านายเก่ามันก็ไม่เว้น) เทพวีดาร์(Vidar)โอรสอีกคนของโอดินเห็นดังนั้นเลยเลือดขึ้นหน้าระเบิดพลังซุปเปอร์ไซย่า วิ่งเข้ามาเตะปากหมาเฟนรีลจนหน้าหงาย แล้วลงมือเชือดพญาหมาป่าเฟนรีลแก้แค้นให้โอดินเป็นผลสำเร็จ

http://aerith21.unblog.fr/files/2006/11/fenrir2.jpg

มหาเทพโอดินต่อสู้กับหมาป่าเฟนรีล



อีกคู่ที่เด็ดไม่แพ้กันคือเทพสายฟ้า ธอร์กับพญางูโยมุนกันด์ ธอร์ใช้อาวุธคู่ใจค้อนมจอร์เนียร์สังหารโยมุนกันด์ลงได้ แต่ว่าหลังจากโยมุนกันด์สิ้นชีพง่อยกระรอกหมอบกะแตแต้แว้ดไปแล้ว เทพธอร์เองก็ดำเนินเดินไปได้เพียง9ก้าวก็ล้มลงสิ้นพระชนม์เพราะพิษของโยมุนกันด์

http://www.alarie.de/gallery/data/1/media/Thor%20vs%20Jormungandr_s.jpg

ธอร์ต่อสู้กับพญางูโยมุนกันด์



ครานั้นพญายักษ์เซิร์ตเห็นท่าไม่ดีจึงแกว่งดาบอัคคีเกิดเป็นไฟขึ้นหมายจะเผาผลาญโลกทั้งเก้าเสียให้สิ้น พื้นดินทั้งสิ้นจมลงสู่มหาสมุทร(คล้องกับตำนานน้ำท่วมโลก) เทพวาลี(Vali) เทพโมดี(Modi) เทพแมกนี(Magni)ผู้คว้าเอาค้อนมจอร์เนียร์ของมหาเทพธอร์หวดบ้องหูพญายักษ์เซิร์ตทีเดียวร่วง ช่วยโลกไว้ได้ก่อนที่ไฟบัลลัยกัลป์จะเผาผลาญโลก

หลังมหาสงครามสิ้นสุดลง แผ่นดินก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ก็กลับมาอีกครั้ง พฤกษาโลกแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่วนำความสมบูรญ์ชุ่มชื่นกลับสู่ผืนดืน เทพบางองค์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเทพแห่งความดีงามบาลเดอร์ด้วย

สรุปแล้วหลังศึกแร๊คน่าร็อกแอสการ์ดเหลือเทพสูงสุดอยู่7องค์ เทพบาลเดอร์ขึ้นรับตำแหน่งสูงสุดแทนที่โอดิน ส่วนมนุษย์เหลือรอดชีวิตเพียง2คน คือ ลิฟต์(Lift) และ ลิฟต์เทรเซีย(Liftrasir) ซึ่งทั้งคู่ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในโพรงไม้ของพฤกษาโลก อิกก์ดราซิล ทั้งสองคนนี้คือบรรพบุรุษผู้สร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ขึ้นมาใหม่ภายหลังมหาสงครามแร๊คน่าร็อก