PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Stone of Immortal ศึกมหากาฬ ศิลาอมตะ



Instinger_Zone
12th February 2012, 00:58
Stone of Immortal ศึกมหากาฬ ศิลาอมตะ

นิยายมั่วๆซั่วๆ เกี่ยวกับ หินสามก้อนที่(อาจจะ)ทำให้คนเป็นอมตะได้ นิยายเรื่องนี้จะเป็นแนวแฟนตาซีจ้ะ เน้นการต่อสู้เพื่อแย่งชิง/ทำลาย หินอมตะ ก็จะพยายามไม่ละทิ้งแบบเรื่องที่แล้วๆมา ยังไงถ้าชอบหรือไม่ก็ติชมกันได้นะจ๊ะ อย่ามัวแต่กด ขอบคุณ อย่างเดียว เดี๋ยวผลงานลุงมันจะไม่พัฒนาเอานะจ๊ะ

เดี๋ยวก็จะการรับสมัครตัวละครด้วยจ๊ะ ยังไงก็อดใจรอกันนิดนึงนะจ๊ะ ส่วนใครอ่านแล้วถูกใจ อยากจะวาดรูปประกอบให้ก็ได้นะจ๊ะ จะยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยจ๊ะ(อยากได้รูปประกอบอ่ะ)



บทนำ


“ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคนหนึ่ง เขาอยู่กับครอบครัว ซึ่งมี พ่อ แม่ พี่ชาย และตัวเขาเอง
วันหนึ่งเขาออกไปหาอาหารกินในป่า พอกลับมาที่บ้านพบว่า ครอบครัวของเขาทุกคนกลายเป็นซากศพ
แล้วกลางบ้านของเขาก็มีสัญลักษณ์ไสยดำ ตอนนั้นเขาสติแตก เขาวิ่งออกไปนอกบ้าน
ตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน เขาได้มาขอพรจากดวงจันทร์ เขาอยากได้ครอบครัวเขากลับคืนมา
ดวงจันทร์สงสารเด็กน้อย เลยเสกให้ครอบครัวเขากลับคืนมา แต่เนื่องจากการฝืนธรรมชาติด้วยการคืนชีพคนตาย ทำให้ข้อจำกัดทางอายุขัยของครอบครัวนี้ถูกยกเลิก หรือพูดง่ายๆคือ เป็นอมตะ
เด็กน้อยคนนั้น เมื่อโตขึ้นจนแก่เฒ่า เขามองดูครอบครัวของทุกวัน ทั้งพ่อ แม่ และพี่ชาย ของเขาที่ยังดูหนุ่มสาวเหมือนตอนเขายังเด็ก และที่สำคัญทั้งสามกลายเป็นคนเลว เพราะไม่มีอะไรที่จะหยุดพวกเขาได้ แม้แต่ความตาย
เขาจึงไปขอพรดวงจันทร์อีกครั้ง คราวนี้เขาขอให้ดวงจันทร์ช่วยทำให้ครอบครัวของเขา ตาย ไปให้พ้นๆสักที ดวงจันทร์ไม่อยากให้เกิดการฝืนธรรมชาติอีก จึงทำได้เพียงสะกดวิญญาณของทั้งสามไว้ในหินสามก้อน และซ่อนมันไว้ในที่ลึกลับอันไกลโพ้น
หลังจากชายแก่ขอพรสำเร็จแล้ว เขาคุกเข่า มือทั้งสองจับไม้เท้าที่ตั้งตรงกับพื้น พยายามพยุงตัวเขาไว้ และลงมือเขียนบันทึกโดยย่อของเขา ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจ ”


-ซี๊ก อิมโทเทม


“ ประกาศถึงการค้นพบ บันทึกแห่งซี๊ก อิมโทเทม บันทึกเขียนไว้ถึงหินสามก้อนที่เกิดมาจากความผิดพลาดของพ่อ แม่ และพี่ชายของซี๊ก อิมโทเทม ใช่แล้ว ซี๊ก อิมโทเทม เขียนเองกับมือ หินสามก้อนนั้นเคยมีนักเดินทางไกลโพ้นไปพบเห็นเข้า แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย บางคนก็เชื่อกันว่าหินสามก้อนสามารถทำให้คนเป็นอมตะได้ ฉะนั้นหากกข้อสงสัยดังกล่าวเป็นจริงพบเห็นหินทั้งสามก้อนนั้นแล้ว จงหาทางทำลายทิ้งเสีย เพื่อป้องกันภัยร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง โดยหินทั้งสามก้อนจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนหินทั่วไป และบนหินก็จะมีสัญลักษณ์ไสยดำติดอยู่ด้วย ”


-คอนแรท ดอนดอน นาเวียร์, ประชาสัมพันธ์แห่งราชาเคียวโตะ


ตอนที่ 1 พิธีจบการศึกษา


“เหนื่อยจังเลยนะวันนี้ สอบวันสุดท้ายแล้วสิ” นัท นักเรียนมัธยมปลายผู้ที่ชอบเพ้อฝัน กำลังพูดคุยอยู่กับ จ๋า แฟนสาวของเขา ผู้ยึดติดกับความจริง “อืม...แล้วนี่มีที่เรียนต่อรึยังล่ะ นัท?” เมื่อได้ยินจ๋าถาม นัทก็พยักหน้าพร้อมพูดตอบไป “ก็ใกล้ๆบ้านนี่แหละ คงรู้นะว่าที่ไหน?” จ๋าพยักหน้าตอบ

“นี่! ทั้งสองคนน่ะ เค้าขึ้นไปบนหอประชุมกันหมดแล้วนะ มานั่งกันอยู่ตรงนี้อยู่นั่นแหละ ป่ะๆๆ” จ๊อด เพื่อนตัวกวนที่คอยขัดจังหวะหวานของนัทกับจ๋าตลอด กำลังเดินมาพร้อมบอกให้ทั้งคู่รีบขึ้นไปบนหอประชุม ทั้งหมดไม่รอช้าและรีบรุดไปที่หอประชุมทันที

“ในวันนี้ครูก็อยากจะบอกว่า นักเรียนทุกคนนั้น เมื่อจบไปแล้ว ก็อย่าลืมเสียว่าความสำเร็จที่ได้นั้น เกิดขึ้นได้เพราะใคร...ครูขอฝากไว้เท่านี้” สิ้นเสียง ผอ. เท่านั้น ประธานนักเรียนก็กล่าวนำนักเรียนทุกคน “นักเรียนเคารพ” และตามด้วยนักเรียนทั้งหมดยืนขึ้นและไหว้ทำความเคารพ เสียงนักเรียนชาย-หญิงดังขึ้นมากมาย “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณค่ะ” จากนั้นทุกคนก็ยืนนิ่งรอ ผอ. เดินออกไปจากหอประชุมหลังให้โอวาทแก่นักเรียน ม.6 ทุกคน

“นี่สินะที่ท่านต้องการให้มันเป็น” มีเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ห่างจากนัทมากนัก นัทถึงกับตกใจเพราะนึกว่าเป็นเสียงคุณครูบางท่านกำลังคุยกับผอ.อยู่ใกล้ๆเขา เขาพยายามหันไป-มาเพื่อมองหาต้นเสียง แต่แล้วก็พบว่าไม่มีคุณครูคนหนึ่งอยู่ใก้ลตัวเขาเลย “นี่ จ๋า เมื่อกี้ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันแถวนี้ป่ะ” นัทลองถามคนใกล้ตัวดูเพราะบางทีเสียงที่เขาได้ยินอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด “จ๋าไม่ได้ยินนะ ก็เราเงียบกันหมดทุกคนเลยนี่ มีก็แต่เราสองคนนี่แหละที่กำลังพูดกันอยู่” เมื่อได้ยินดังนั้น นัทเริ่มไม่แน่ใจถึงเสียงที่เขาได้ยิน มันคืออะไรกันแน่

“งั้นหรือท่าน เอาล่ะ ลองส่งสมุนข้าออกไปก่อกวนเล่นดูสักหน่อยก็แล้วกัน” นัทได้ยินเสียงนี้อีกแล้ว เขาคิดว่าต้องมีคนคุยกันอยู่ใกล้ๆตัวเขาแน่ๆ แต่ทำไมต้องเป็นภาษาโบราณขนาดนี้ด้วยล่ะ

ตู้ม! ไม่ทันที่นัทจะได้คิดอะไรมากมาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นบนเวทีหน้าหอประชุม ทุกคนตั้งหน้าตั้งตามองเวทีกันใหญ่ คอยดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้น เพราะในตอนนี้มีเพียงกลุ่มควันหนาๆบดบังทัศนียภาพของทุกคนอยู่ “ว่าไงล่ะท่าน ความหายนะกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ ท่านจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังนัท คราวนี้นัทแน่ใจแล้ว นัทจึงรีบหันไปดู ปรากฏว่านัทเจอกับแนวอ้วนตัวหนึ่งกำลังยืนดูท่าเหมือนคนอยู่ แถมมันยังพูดได้อีกด้วย “ท่านลองออกไปดูข้างนอกก่อนสิ” นัทอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปนานมาก จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็โพล่งคำ คำหนึ่งออกมา

“แมวพูดได้!” ธรรมดาแล้ว เมื่อทุกคนได้ยินคำนี้แล้วก็มักจะพากันตกใจ แต่หากตอนนี้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่างดึงความสนใจของทุกคนไปจากนัทเสียหมด ทุกคนต่างพากันวิ่งหนีลงไปจากหอประชุม เพราะหลังจากที่กลุ่มควันหนาที่ลอยมาจากเวทีจางหายไปก็ปรากฏให้เห็นร่างของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งซึ่งดูแล้วไม่มีท่าทีเป็นมิตรเอาเสียเลย เมื่อเห็นดังนั้น นัทจึงคิดถึง จ๋า แฟนสาวของเขาทันที “จ๋า จ๋าอยู่ไหนอ่ะจ๋า?” นัทเรียกเพื่อให้จ๋ามาอยู่ข้างกายเขา เพื่อที่เขาจะได้ปกป้องจ๋าได้ แต่ตอนนี้จ๋าได้หายไปท่ามกลางฝูงชนที่วิ่งผ่านตัวนัทเพื่อออกไปจากหอประชุม “เวลาจะไม่มีแล้วนะท่าน ท่านคารอสเจ้านายข้าน่ะ ให้ข้ามาหาท่าน เพื่อที่ท่านจะหยุดยั้งหายนะครั้งนี้นะ” นัทไม่ได้สนใจคำพูดของแมวพูดได้ตัวนั้น และพยายามวิ่งออกจากหอประชุม เพื่อที่จะไปตามหาจ๋า

เมื่ออกมาจากหอประชุมก็พบว่าโรงเรียนของเขาถูกทำลายจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกแล้ว “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!” เขาอุทานออกมาเพราะสิ่งที่เขาเห็นมันช่างเหมือนภาพวาดประกอบนิยายแฟนตาซีที่เขาเคยอ่านมาซะเหลือเกิน มีทั้งยักษ์ตาเดียว มังกรไฟ เหล่าจอมเวทย์ที่ดูเหมือนจะมีสองฝ่ายที่พยายามสู่กันอยู่ เขาอึ้งไปนานมาก แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าขืนอยู่ตรงบันไดทางลงนี้ต่อไป เขาคงพบจุดจบในไม่ช้าแน่ เขาจึงได้รีบวิ่งลงมายังลานหน้าหอประชุม ต่างคนต่างวิ่งหนีกันอย่างชุลมุน ทุกคนก็รู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ฉะนั้นทุกคนจึงต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ นัทพยายามมองหาจ๋า แต่ก็ไม่เจอ จึงได้ตะโกนเรียกจ๋าอีกครั้ง “จ๋า จ๋าอยู่ไหน?” ไร้เสียงตอบรับใดๆ นัทพยายามที่จะตะโกนใหม่อีกรอบหนึ่ง แต่เจ้าแมวพูดได้ก็มาขวางไว้ซะก่อน “เดี๋ยวก่อนท่าน!” เจ้าแมวพูดได้มาขวางนัทไว้ข้างหน้าพร้อมกับสิ่งต่างๆที่หยุดอยู่กับที่ ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ยังไงอย่างงั้น “ตอนนี้ท่านมีทางเลือกเดียวคือต้องไปกับข้า ข้าไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ขืนปล่อยไว้มากกว่านี้ โลกของท่านคงถึงกาลปาวสานแน่นอน ท่านไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ขอเพียงท่านไปกับข้า ตอนนี้ ท่านอาจจะช่วยโลกของท่านได้” นัทเริ่มคิด คิดแล้วคิดอีก ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใช่แล้ว มันหาสาเหตุไม่ได้ ใจจริงแล้วเขาไม่ได้อยากไปกับเจ้าแมวพูดได้ตัวนี้แล้วสักนิด แต่จากที่ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว “เป็นไงเป็นกันวะ! ชั้นจะไปกับแก” สิ้นเสียงนัทพูดแล้วแมวน้อยก็รีบดึงนัทให้วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “อ๊าก!!” หลังจากที่นัทอุทานจบ ทั้งนัทและเจ้าแมวก็พลันหายไป

แว๊บ! แสงขาวสว่างจ้าส่องมายังนัท หลังจากที่นัทรู้สึกตัวว่ากำลังวิ่งไปที่ไหนสักแห่ง “ท่านกำลังวิ่งข้ามมิติและเวลาอยู่ ตอนท่านถึงมิติของข้าแล้วท่านจะได้รับผลกระทบข้างเคียงจากการวิ่งข้ามมิติและเวลา แต่มันจะไม่เป็นไรหรอก ขอแค่ท่านพักสักหน่อยก็จะดีเอง” นัทได้ยินดังนั้น แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก นัทตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป

ฟู่ว! ลมปะทะเข้ากับหน้าของนัทอย่างจัง นัทค่อยลืมตาขึ้น ปรากฏว่านัทมองเห็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ลมพัดต้นหญ้าปลิวไสว บรรยากาศเหมือนดินแดนในนิยายแฟนตาซีที่เขาเคยอ่านมาเลย “อู้วว!” เขาค่อยๆชะลอความเร็วลงหลังจากเข้าสู่มิติใหม่ “เอาล่ะท่าน นี่แหละมิติของข้า...” ฟุ่บ! ไม่ทันที่เจ้าแมวน้อยจะได้พูดต่อ นัทก็ล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม “ท...ท...ท่าน...อ่ะ...สงสัยคงเกินกำลังของข้า...ไปหน่อย...” ว่าแล้วเจ้าแมวน้อยก็สลบลงไปนอนบนทุ่งหญ้าตามๆกัน ทั้งคู่นอนสลบอยู่ใกล้ๆกัน ลมก็พัดมา ต้นหญ้าก็ปลิวไสวไปเป็นแนวเดียวกัน แสงแดดอ่อนๆส่องมายังทั้งคู่ บัดนี้นัทได้เข้ามาสู่มิติใหม่แล้ว!

taone1414
13th February 2012, 16:31
น่าสนุกดีนะครับ

ดันครับๆ

อยากอ่านต่อ

Instinger_Zone
13th February 2012, 22:34
ตอนที่ 2 นิมิต ลิขิต ชะตา


“หากเราดำเนินการแบบนี้ต่อไป...นี่แหละ....เป้าหมายของเรา” ชายแก่ผู้หนึ่งที่ดูท่าว่าจะอาวุโสที่สุดในหมู่ชายทั้งหมดที่กำลังประชุมกันอยู่นี้กำลังพูดถึงอะไรบางอย่างที่ดูท่าว่าจะสำคัญมากทีเดียว “แล้วยังไงต่อล่ะท่าน หลังจากพบเป้าหมายแล้วน่ะ จะรอให้เป้าหมายรอตัวก่อนงั้นรึ?” ชายที่ดูท่าว่าจะมีอายุน้อยกว่ากำลังพยายามแนะนำท่านผู้อาวุโส “ก็นะ เราต้องดูสถานการณ์ตอนนั้น...” ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสจะได้พูดจบก็มีชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น “ท่านครับ! ข้าขอตัว พอดีข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปสะสาง” ชายหนุ่มผู้นั้นยืนขึ้นและพูดอย่างจริงจัง “เจ้าไปเถอะ รีบๆเข้าล่ะ” ท่านผู้อาวุโสสั่งการชายคนนั้น แว๊บ! แล้วร่างชายคนนั้นก็พลันหายไป

“โอ้ย! อะไรวะเนี่ย?!” เสียงของนัทดังขึ้น “ทำไมเราขยับตัวไม่ได้เลย อื๊บบบ...” นัทพยายามขยับตัวทั้งๆที่นอนคว่ำหน้าอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ผล ร่างกายของเขาไม่ขยับเลย แว๊บ! ทันใดนั้นนัทก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังตรงมาหาเขา “เฮ้ย! ใคร...ใครอ่ะ...อย่าทำอะไรผมเลยนะค้าบ!” แล้วคนคนนั้นก็เดินเข้ามาใครทุกที แล้วค่อยๆเอามือแตะที่ไหล่ขวาของนัท “อ๊ากกก!” “โอ้ย! นี่เจ้าน่ะ จะกลัวไปถึงไหน ข้าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนะ...ไหนขอดูหน้าหน่อย...” ชายคนนั้นพลิกร่างของนัทกลับขึ้นมาดู พบว่านัททำหน้าเหยเกอยู่ “อืม...นี่น่ะหรือ ผู้กล้าของเจ้าน่ะ โรบิน” พูดจบ ชายคนนั้นก็มองไปทางแมวน้อยที่กำลังสลบอยู่ “เอ๊า! หมดฤทธิ์ไวขนาดนี้เลย ไอ้แมวน้อยเอ้ย!” พูดจบเขาก็ชี้นิ้วไปที่เจ้าแมวพร้อมกับร่ายเวทย์มนต์บางอย่างใส่เจ้าแมวตัวนั้น “ลุงจะทำอะไรน่ะ!?” นัทโพล่งขึ้นมา “เฮ้ย! ไอ้หนู ข้ามิได้อาวุโสขนาดเรียกว่า ‘ลุง’ ได้นะ” พูดจบแมวน้อยก็พลันหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย “ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าล่ะ...” จากนั้นนักเวทย์คนนั้นก็ชี้นิ้วมาที่นัท “เฮ้ย!” นัทอุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนที่หายตัวไปที่ไหนสักแห่ง “เอาล่ะ ข้าก็คงต้องตามไปแล้ว” ว่าแล้วนักเวทย์ผู้นั้นก็สะบัดผ้าคลุมพร้อมหายตัวไป แว๊บ!

“อูย...เราอยู่ที่ไหนเนี่ย” นัทเอามือกุมหัวก็ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว แว๊บ! นักเวทย์คนนั้นโผล่มาแบบที่นัทไม่ทันตั้งตัว “เหวย!” นัทอุทานขึ้น เขาอุทานบ่อยมากจนนักเวทย์เริ่มรำคาญแล้ว “โอ้ย! นี่เจ้าเป็นอะไรเนี่ย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องนู่นร้องนี่อยู่นั่นแหละ ถามจริงเถอะ นี่เจ้าใช่ผู้กล้าที่จะมาช่วยดินแดนนี้ให้พ้นภัยพิบัติจริงๆรึไม่ล่ะเนี่ย!?” นักเวทย์ถามนัทเพราะในตอนนี้นัทดูไม่เหมือนในแบบที่เขาคาดหวังไว้ “ผมใช่ผู้ก่งผู้กล้าอะไรที่ไหนล่ะ นี่ก็โดนบังคับมานะ อะไรก็ไม่รู้ กำลังจะจบพิธีปัจฉิมล่ะ ดันมีตัวอะไรก็ไม่รู้มาเพ่นพ่านกันเต็มเลย อย่างกับหนังเดอะลอร์ดฯแน่ะ แล้วไอ้แมวพูดได้เนี่ยก็โผล่มาแล้วก็ขอให้มาที่นี่กับมันน่ะ” นัทอธิบายให้นักเวทย์ฟัง ซึ่งนักเวทย์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ “แล้วมันไม่ได้อธิบายอะไรเลยรึ เจ้าโรบินน่ะ?” จากนั้นนัทก็พูดต่อไป “ก็มันบอกว่าไม่มีเวลาคุย ให้รีบมากับมัน ไม่งั้นโลกจะแตก อะไรทำนองเนี๊ยะ” นักเวทย์เบิกตาโพลงเพราะคำพูดของนัท “นี่...เจ้ามาจากอีกมิติหนึ่งที่กำลังจะถูกทำลายเลยรึ” นักเวทย์พูดแล้วก็กลับมาคิดต่อ “คงจะประมาณนั้น...ว่าแต่ ลุงใช่ คารอส ที่ไอ้...โรบิน เออใช่ โรบิน ที่โรบินมันบอกว่าเป็นเจ้านายมันอ่ะ ใช่ป่ะๆ” ถึงตอนนี้นักเวทย์ก็ขออธิบายยาวๆแก่นัทสักที

“ใช่แล้วๆ ข้าคือ คารอส เวียส มุนดัส เป็นจอมเวทย์ เจ้านายของเจ้าโรบิน จริงๆแล้วน่ะ แต่เดิม เจ้าโรบินมันเป็นแมวธรรมดานี่แหละ แต่โดนแม่ข้าเสกมนต์ให้ มันเลยพูดได้ แม่ข้าน่ะเป็นนักพยากรณ์ ท่านพยากรณ์ไว้ว่าโลกนี้จะต้องถึงกาลปาวสานเพราะหินสามก้อน พระราชาเคียวโตะแห่งเมืองโรมดัน เมืองนี้ที่ข้าอยู่นี่ พระราชาได้ยินดังนั้นจึงโกรธมาก หาว่าแม่ข้าพูดบอกโชคร้ายให้แก่โลกนี้ แม่หาเลยโดนจับไปขังอยู่ในคุกใต้ดินของเมืองเมืองนี้ ท่านได้สั่งไว้ก่อนที่จะโดนขังว่าให้นำโรบินไปพาผู้กล้าจากอีกมิติหนึ่งมา ซึ่งโรบินมันรู้ดีว่าเป็นใคร....แต่ทำไมต้องเป็นเจ้าด้วยเนี่ย” สิ้นเสียงพูดของคารอส ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“คารอสฟวน เมนตาฮีลา(ท่านคารอสอยู่รึไม่)” คารอสมองไปที่ประตูหลังได้ยินเสียงนั้น แล้วเขาก็หันกลับมาหานัทพร้อมพูดกับนัทด้วยเสียงอันเบาบาง “เจ้าไปหลบในตู้นั้นก่อนนะ” ว่าแล้วคารอสก็ชี้ไปยังตู้ที่ดูคล้ายๆตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงมุมห้อง “หลบในนั้นแล้วห้ามส่งเสียงนะ” นัทพยายามจะพูดกับคารอส แต่คารอสก็ปิดปากนัทไว้พร้อมนำนิ้วชี้แตะที่ปากเป็นสัญญาณว่าห้ามพูด “คารอสฟวน เบรียนนันฟา เมไจเซียมเท(ท่านคารอส ถ้าท่านไม่เปิดประตูให้ข้า ข้าจะใช้เวทย์มนต์เปิดประตูเข้าไปเองล่ะนะ)” คารอสเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบไปเปิดประตูทันที แอ๊ดด! เสียงประตูลั่นดังสนั่น “ฟวน เบรียนนันอาซาชี อาโทอามีรา ฟวนโฮมดาซาจี เทกโว(ท่านมาเปิดประตูช้ากว่าปกตินะ วันนี้ข้ากับกำลังพลของข้าจะมาตรวจที่พักของท่านหน่อย คงไม่ว่าอะไรนะ)” นี่คือเสียงจากชายคนหนึ่งที่ดูแล้วเหมือนพวกขุนนางในวังเพราะทั้งท่าทางการยืน การพูด และเสื้อผ้าก็ทำให้รู้ได้เลยว่าคนคนนี้ต้องไม่ธรรมดา “อา...บัส...(เอ่อ...แต่ว่า...)” “เลดโตเรียนเต อามีรา!(เข้าไปเลยท่านทั้งหลาย!)” ยังไม่ทันที่คารอสจะพูดจบ ขุนนางคนนั้นก็สั่งให้เหล่าทหารเข้ามาในบ้านของคารอสทันที คารอสพยายามรั้งทหารไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้ตู้ที่นัทซ่อนอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดทหารพวกนี้ได้

กึก! “หือ!?” ทหารนายหนึ่งรู้สึกว่าตู้ที่นัทซ่อนอยู่ขยับได้ เขาพยายามค่อยๆเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น และ... แอ๊ด! ตุบ! ร่างของนัทร่วงลงมาจากตู้เสื้อผ้า “แหะๆ” นัทส่งยิ้มให้ทหารเป็นเชิงขอร้องว่า ‘อย่าทำอะไรผมเลย’ แต่เมื่อทหารเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบแจ้งให้ผู้นำของพวกเขาทราบทันที “เมลฟวน ตาฮีส...(ท่านเมลครับ ผมจ...)” เปรี้ยง! สายฟ้าพุ่งออกจากมือของคารอส เปรี้ยง! สายฟ้าอีกสายพุ่งออกมาจากมืออีกข้างของคารอส ในตอนนี้ เขาพยายามที่จะเสกสายฟ้าช็อตทหารทั้งหมด และขุนนางเมลเป็นคงสุดท้าย เปรี้ยงๆๆๆๆๆ และแล้วทหารทั้งหมดก็ล้มลงไปกองกับพื้น “เฮ้ย! ทีวาอิ...(เฮ้ย! นี่มันอะไรก...)” เปรี้ยง! สายฟ้าอีกสายพุ่งไปหาขุนนางเมล “อ๊ากก!!” เมลร้องลั่นเพราะฤทธิ์ของสายฟ้า “ค...ค...คารอส” แล้วเมลก็สลบไป

คารอสพยายามพยุงนัทขึ้นมาและหยิบโหลแก้วขนาดใหญ่ที่บรรจุเจ้าโรบินที่นอนซมไว้ในนั้น “หนีจากที่นี่กันเถอะ! ก่อนที่ทหารจะแห่กันมามากกว่านี้” ทั้งคารอสและนัทต่างก็พากันวิ่งหนีภัยครั้งนี้ “ว่าแต่ เมื่อกี้ ลุงพูดอะไรกับพวกนั้นน่ะ” นัทและคารอสวิ่งไปพูดกันไป “อ๋อ ภาษาของมิตินี้น่ะ เอาไว้เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเองนะ” เมื่อวิ่งมาได้สักพัก คารอสก็พยายามช้เวทยมนต์หายตัวไปโผล่อีกที่หนึ่ง แต่ก็ใช้ไม่ได้ “สงสัยพวกในวังเริ่มรู้ตัวแล้ว คงต้องหนีไปทางใต้ดินของเมืองแล้วล่ะ” คารอสลากนัทให้วิ่งไปทางใต้ดินของเมือง ขณะนี้ทั้งคู่ต่างก็วิ่งหนีอะไรบางอย่างที่คารอสเรียกว่า ‘พวกในวัง’ บัดนี้แล้ว อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้วล่ะ!