PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : นิทานธรรมมะ(พระถังซ่ำจัง)



saphira
19th February 2012, 00:14
พระถังซำจั๋ง

ผู้อัญเชิญพระไตรปิฏกจากอินเดีย

ทุกคนคงจะชื่นชมเรื่อง“ไซอิ๋ว”เทพแห่งนิยายชาวบ้านอันลือลั่นของชาวจีนที่กล่าวถึงการผจญภัยของภิกษุจีนรูปหนึ่งพร้อมด้วยศิษย์อีก๓คนผู้ร่วมเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีปผ่านดินแดนอันตรายเต็มไปด้วยภูตผีปิศาจแต่ละด่านผ่านไปด้วยความสามารถของเห้งเจียเทพวานรผู้รู้มากไปด้วยอิทธิฤทธิ์ร่วมด้วยช่วยกันคือตือโป้ยก่ายปิศาจหน้าสุกรที่กลับใจและซัวเจ๋งอสูรอัปลักษณ์ที่คอยคุ้มครองปกป้องพระอาจารย์เพียงคนเดียวคือ“พระถังซำจั๋ง”

พระถังซำจังรูปนี้ไม่ได้เป็นเพียงแต่ตัวละครในนิทานเท่านั้นหากเเต่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้ด้วยพระถังซำจั๋งมีฉายาทางพระว่า“เฮียนจาง”เป็นพระภิกษุจีนรูปหนึ่งในสมัยราชวงศ์ของฮ้องเต้ถังไท่จงคำว่า“ซำจั๋ง”แปลว่าพระไตรปิฎกถ้าเรียกให้ถูกต้องควรเป็น“ถังซำจั๋งฮวบซือ”ซึ่งฮวบซือนี้แปลว่าธรรมาจารย์รวมแปลได้ว่า“พระธรรมาจารย์ผู้แปลพระไตรปิฎกในราชวงศ์ถัง”

เดิมพระถังซำจั๋งชื่ออี๋กำเนิดในสกุลตั้นแต่เยาว์ท่านมีความเฉลียวฉลาดและคุณสมบัติที่ประเสริฐผิดกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคือเมื่ออายุได้๘ปีโยมบิดาได้นั่งสอน“คัมภีร์กตัญญู”ถึงตอนที่ลูกศิษย์ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์ท่านก็ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพทันที ยังความสงสัยให้กับโยมบิดายิ่งนักถึงถามว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น ท่านก็ตอบว่าเมื่อศิษย์ต้องลุกขึ้นเคารพครูผู้เป็นบุตรก็ต้องยืนเคารพบิดามีมารดาปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก

พออายุได้ ๑๐ ขวบ พี่ชายคนที่ ๒ ของท่านที่บวชเป็นพระที่วัดจิ้งสือเห็นว่าท่านมีบุคลิกใฝ่ธรรมะและปัญญาดี พอที่จะบวชเป็นพระได้ จึงชวนพาไปพักอยู่ในวัดด้วยกัน เด็กน้อยได้รับฟังธรรมเทศนาอันศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอจนซึมซาบเข้าไปในดวงใจอันบริสุทธิ์อย่างแนบแน่น เจ้าหนูอี๋ชอบศึกษาพุทธธรรมยินดีรับฟังธรรมะจากพระชั้นผู้ใหญ่เรื่อยมา ท่านไม่นิยมคบค้ากับเด็กรุ่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าพวกเด็กเหล่านั้น ชอบวิ่งเล่นเที่ยวตามย่านตลาดซึ่งท่านให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นมารยาทที่นักปราชญ์โบราณไม่ทำกัน

พออายุได้ ๑๐ ขวบ พี่ชายคนที่ ๒ ของท่านที่บวชเป็นพระที่วัดจิ้งสือเห็นว่าท่านมีบุคลิกใฝ่ธรรมะและปัญญาดี พอที่จะบวชเป็นพระได้ จึงชวนพาไปพักอยู่ในวัดด้วยกัน เด็กน้อยได้รับฟังธรรมเทศนาอันศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอจนซึมซาบเข้าไปในดวงใจอันบริสุทธิ์อย่างแนบแน่น เจ้าหนูอี๋ชอบศึกษาพุทธธรรมยินดีรับฟังธรรมะจากพระชั้นผู้ใหญ่เรื่อยมา ท่านไม่นิยมคบค้ากับเด็กรุ่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าพวกเด็กเหล่านั้น ชอบวิ่งเล่นเที่ยวตามย่านตลาด ซึ่งท่านให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นมารยาทที่นักปราชญ์โบราณไม่ทำกัน
http://upic.me/i/fy/deity02.jpg[/B]
ในขณะที่ท่านมีอายุเพียง ๑๓ ปีนั้น พอดีมีเจ้าพนักงานของราชวงศ์ถังมาคัดเลือกภิกษุสามเณร ๒๗ รูป เพื่อทำการสอบ (ยุคราชวงศ์ถัง การบวชเป็นพระภิกษุจะต้องมีพระราชโองการอนุญาตให้บวช และผู้บวชจะต้องสอบได้จึงจะได้บวช) แต่ท่านมีอายุน้อยอยู่สมัครสอบไม่ได้ ได้แต่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่ยอมจากไป ครั้นหัวหน้าคุมสอบเห็นเข้าจึงเดินเข้าไปสอบถาม ก็ได้ความว่าท่านตั้งใจจะบวช แต่อายุยังไม่ครบสมัครสอบไม่ได้ เมื่อถามว่าจะบวชไปทำไม เด็กน้อยตอบไปด้วยความมั่นใจคงว่า บวชเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาเผยแพร่พระธรรมให้เจริญรุ่งเรือง หัวหน้าคุมการสอบจึงอนุญาตให้ท่านบวชเป็นกรณีพิเศษ เมื่ออายุได้ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ได้อุปสมบทที่เมืองเสฉวน และมีฉายาว่า “เฮียนจาง”

เป็นเวลาเกือบสิบปี ที่พระเฮียนจางได้ศึกษาและสนทนาธรรมกับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ หลายคน ก็พบว่าพระเหล่านั้นต่างก็ยึดมั่นความถูกต้องในลัทธิของตน หลัวงจากตรวจสอบกับคัมภีร์แล้วก็ปรากฏว่ามีความแตกต่างกันอีก จนไม่อาจทราบว่าฝ่ายใดถูกกันแน่ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางไปศึกษายังถิ่นกำเนิดพุทธศาสนาในอินเดีย พร้อมทั้งอัญเชิญคัมภีร์สัปตทศภูมิศาสตร์มาเป็นหลักฐาน

พระเฮียนจางจึงได้ชักชวนพระภิกษุทำเรื่องขอพระบรมราชานุญาตจากฮ้องเต้ถังไท่จงเพื่อเดินทางไปอินเดีย แต่มีรับสั่งไม่อนุญาต

ขณะนั้นเป็นต้นราชวงศ์ถังชนเผ่าทูเจี๋ยรุกรานชายแดนอยู่เสมอราชสำนักจึงห้ามประชาชนออกนอกประเทศเป็นการส่วนตัวแต่ในปี พ.ศ.๑๑๗๐ เดือนที่๘ ท่านตัดสินใจเด็ดขาดที่จะออกเดินทางไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตและตั้งจิตอธิษฐานขอนิมิตในการเดินทางในคืนนั้นก็ฝันว่ามีเขาพระสุเมรุที่งดงามอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ปั่นป่วนใจคิดที่จะไปให้ถึงยอดเขาก้าวเท้าเดิน

ทันใดนั้นก็มีดอกบัวหินโผล่ขึ้นมารองรับทุกย่างเท้า เมื่อถึงเชิงเขาก็มีลมพัดมาหอบเอาตัวลอยขึ้นไปถึงยอดเขา แล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น ท่านจึงแน่ใจว่าในการไปครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่นอน จึงเริ่มออกเดินทางเมื่ออายุ ๒๖ ปี

หลี่ไต่เหลี่ยงเจ้าเมืองเหลี่ยงโจวพอทราบว่าหลวงจีนเฮียนจางจะเดินทางไปอินดีย ก็ส่งคนขัดขวางและบังคับให้กลับเมืองฉางอาน พระฮุ่ยอุยที่อยู่ในเมืองนั้นทราบเรื่องว่าท่านจะไปอินเดียเพื่ออาราธนาธรรม

จึงลอบจัดให้ศิษย์ของตนลอบพาพระเฮียนจางไปส่งถึงเมืองกายจิวในเวลากลางคืน เจ้าเมืองกายจิวนับถือพุทธศาสนา รู้สึกเลื่อมใสในปณิธานอันแรงกล้าของท่านจึงช่วยเหลือทันที พร้อมทั้งทำลายหมายจับตัวท่านอีกด้วย และบอกให้พระหนุ่มผู้นี้รีบออกเดินทางทันที

ในระหว่างทาง พระเฮียนจางได้พบกับชาวฮู้ ชื่อว่าผานถัว มีความศรัทธาในตัวท่านมาก รับอาสาจะพาไปส่งที่อินเดีย แต่อนิจจา! ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทั้ง ๒ คนประสบกับความทุรกันดาร ทนความลำบากไม่ไหว อีกทั้งกลัวทางการจะจับได้ จึงได้เปลี่ยนใจกลับบ้านกะทันหัน พร้อมทั้งกำซับว่าถ้าท่านอาจารย์ถูกจับได้อย่าบอกว่าเขาเป็นผู้นำทางมา ซึ่งท่านก็รับปาก

และแล้วพระเฮียนจางก็เดินทางไปชมพูทวีปเพียงคนเดียว รอนแรมผ่านทะเลทรายไปตามลำพัง ไม่มีหญ้าน้ำ ไม่มีทางเดิน อาศัยกองกระดูกและมูลม้าเป็นแนวซึ่งแสดงว่าเป็นทางเดินที่เคยมีคนสัญจร ท่านอยู่มนทะเลทรายตลอด ๔ คืน ๕ วัน โดยไม่มีน้ำฉันสักหยดเดียว จนเป็นลมสลบไปหลายครั้ง ในที่สุดก็เดินทางถึงแคว้นอีอู๊

เจ้าเมืองซีเหวินไท่แคว้นเกาเชียงที่อยู่ใกล้กับแคว้นอีอู๊ทราบข่าวจึงส่งทูตมารับพระเฮียนจางไปพำนักยังแคว้นตน พร้อมนิมนต์ให้อยู่ที่นั้นตลอดไปแต่ท่านไม่ยอม เจ้าแคว้นเกาเชียงจึงรับสั่งว่าจะอยู่ที่เกาเชียงหรือจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน ท่านประท้วงด้วยการอดอาหารอยู่ถึง ๔ วัน เพื่อแสดงถึงความตั้งใจเดิม จนเจ้าซีเหวินไปกราบขอโทษและยอมให้ท่านเดินทางต่อ….

แหล้งที่มา http://www.wechampion.com/

--151--
19th February 2012, 15:39
พระถังซำจั๋ง

ผู้อัญเชิญพระไตรปิฏกจากอินเดีย

ทุกคนคงจะชื่นชมเรื่อง“ไซอิ๋ว”เทพแห่งนิยายชาวบ้านอันลือลั่นของชาวจีนที่กล่าวถึงการผจญภัยของภิกษุจีนรูปหนึ่งพร้อมด้วยศิษย์อีก๓คนผู้ร่วมเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีปผ่านดินแดนอันตรายเต็มไปด้วยภูตผีปิศาจแต่ละด่านผ่านไปด้วยความสามารถของเห้งเจียเทพวานรผู้รู้มากไปด้วยอิทธิฤทธิ์ร่วมด้วยช่วยกันคือตือโป้ยก่ายปิศาจหน้าสุกรที่กลับใจและซัวเจ๋งอสูรอัปลักษณ์ที่คอยคุ้มครองปกป้องพระอาจารย์เพียงคนเดียวคือ“พระถังซำจั๋ง”

พระถังซำจังรูปนี้ไม่ได้เป็นเพียงแต่ตัวละครในนิทานเท่านั้นหากเเต่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้ด้วยพระถังซำจั๋งมีฉายาทางพระว่า“เฮียนจาง”เป็นพระภิกษุจีนรูปหนึ่งในสมัยราชวงศ์ของฮ้องเต้ถังไท่จงคำว่า“ซำจั๋ง”แปลว่าพระไตรปิฎกถ้าเรียกให้ถูกต้องควรเป็น“ถังซำจั๋งฮวบซือ”ซึ่งฮวบซือนี้แปลว่าธรรมาจารย์รวมแปลได้ว่า“พระธรรมาจารย์ผู้แปลพระไตรปิฎกในราชวงศ์ถัง”

เดิมพระถังซำจั๋งชื่ออี๋กำเนิดในสกุลตั้นแต่เยาว์ท่านมีความเฉลียวฉลาดและคุณสมบัติที่ประเสริฐผิดกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคือเมื่ออายุได้๘ปีโยมบิดาได้นั่งสอน“คัมภีร์กตัญญู”ถึงตอนที่ลูกศิษย์ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์ท่านก็ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพทันที ยังความสงสัยให้กับโยมบิดายิ่งนักถึงถามว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น ท่านก็ตอบว่าเมื่อศิษย์ต้องลุกขึ้นเคารพครูผู้เป็นบุตรก็ต้องยืนเคารพบิดามีมารดาปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก

พออายุได้ ๑๐ ขวบ พี่ชายคนที่ ๒ ของท่านที่บวชเป็นพระที่วัดจิ้งสือเห็นว่าท่านมีบุคลิกใฝ่ธรรมะและปัญญาดี พอที่จะบวชเป็นพระได้ จึงชวนพาไปพักอยู่ในวัดด้วยกัน เด็กน้อยได้รับฟังธรรมเทศนาอันศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอจนซึมซาบเข้าไปในดวงใจอันบริสุทธิ์อย่างแนบแน่น เจ้าหนูอี๋ชอบศึกษาพุทธธรรมยินดีรับฟังธรรมะจากพระชั้นผู้ใหญ่เรื่อยมา ท่านไม่นิยมคบค้ากับเด็กรุ่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าพวกเด็กเหล่านั้น ชอบวิ่งเล่นเที่ยวตามย่านตลาดซึ่งท่านให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นมารยาทที่นักปราชญ์โบราณไม่ทำกัน

พออายุได้ ๑๐ ขวบ พี่ชายคนที่ ๒ ของท่านที่บวชเป็นพระที่วัดจิ้งสือเห็นว่าท่านมีบุคลิกใฝ่ธรรมะและปัญญาดี พอที่จะบวชเป็นพระได้ จึงชวนพาไปพักอยู่ในวัดด้วยกัน เด็กน้อยได้รับฟังธรรมเทศนาอันศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอจนซึมซาบเข้าไปในดวงใจอันบริสุทธิ์อย่างแนบแน่น เจ้าหนูอี๋ชอบศึกษาพุทธธรรมยินดีรับฟังธรรมะจากพระชั้นผู้ใหญ่เรื่อยมา ท่านไม่นิยมคบค้ากับเด็กรุ่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าพวกเด็กเหล่านั้น ชอบวิ่งเล่นเที่ยวตามย่านตลาด ซึ่งท่านให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นมารยาทที่นักปราชญ์โบราณไม่ทำกัน
http://upic.me/i/fy/deity02.jpg[/B]
ในขณะที่ท่านมีอายุเพียง ๑๓ ปีนั้น พอดีมีเจ้าพนักงานของราชวงศ์ถังมาคัดเลือกภิกษุสามเณร ๒๗ รูป เพื่อทำการสอบ (ยุคราชวงศ์ถัง การบวชเป็นพระภิกษุจะต้องมีพระราชโองการอนุญาตให้บวช และผู้บวชจะต้องสอบได้จึงจะได้บวช) แต่ท่านมีอายุน้อยอยู่สมัครสอบไม่ได้ ได้แต่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่ยอมจากไป ครั้นหัวหน้าคุมสอบเห็นเข้าจึงเดินเข้าไปสอบถาม ก็ได้ความว่าท่านตั้งใจจะบวช แต่อายุยังไม่ครบสมัครสอบไม่ได้ เมื่อถามว่าจะบวชไปทำไม เด็กน้อยตอบไปด้วยความมั่นใจคงว่า บวชเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาเผยแพร่พระธรรมให้เจริญรุ่งเรือง หัวหน้าคุมการสอบจึงอนุญาตให้ท่านบวชเป็นกรณีพิเศษ เมื่ออายุได้ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ได้อุปสมบทที่เมืองเสฉวน และมีฉายาว่า “เฮียนจาง”

เป็นเวลาเกือบสิบปี ที่พระเฮียนจางได้ศึกษาและสนทนาธรรมกับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ หลายคน ก็พบว่าพระเหล่านั้นต่างก็ยึดมั่นความถูกต้องในลัทธิของตน หลัวงจากตรวจสอบกับคัมภีร์แล้วก็ปรากฏว่ามีความแตกต่างกันอีก จนไม่อาจทราบว่าฝ่ายใดถูกกันแน่ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางไปศึกษายังถิ่นกำเนิดพุทธศาสนาในอินเดีย พร้อมทั้งอัญเชิญคัมภีร์สัปตทศภูมิศาสตร์มาเป็นหลักฐาน

พระเฮียนจางจึงได้ชักชวนพระภิกษุทำเรื่องขอพระบรมราชานุญาตจากฮ้องเต้ถังไท่จงเพื่อเดินทางไปอินเดีย แต่มีรับสั่งไม่อนุญาต

ขณะนั้นเป็นต้นราชวงศ์ถังชนเผ่าทูเจี๋ยรุกรานชายแดนอยู่เสมอราชสำนักจึงห้ามประชาชนออกนอกประเทศเป็นการส่วนตัวแต่ในปี พ.ศ.๑๑๗๐ เดือนที่๘ ท่านตัดสินใจเด็ดขาดที่จะออกเดินทางไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตและตั้งจิตอธิษฐานขอนิมิตในการเดินทางในคืนนั้นก็ฝันว่ามีเขาพระสุเมรุที่งดงามอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ปั่นป่วนใจคิดที่จะไปให้ถึงยอดเขาก้าวเท้าเดิน

ทันใดนั้นก็มีดอกบัวหินโผล่ขึ้นมารองรับทุกย่างเท้า เมื่อถึงเชิงเขาก็มีลมพัดมาหอบเอาตัวลอยขึ้นไปถึงยอดเขา แล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น ท่านจึงแน่ใจว่าในการไปครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่นอน จึงเริ่มออกเดินทางเมื่ออายุ ๒๖ ปี

หลี่ไต่เหลี่ยงเจ้าเมืองเหลี่ยงโจวพอทราบว่าหลวงจีนเฮียนจางจะเดินทางไปอินดีย ก็ส่งคนขัดขวางและบังคับให้กลับเมืองฉางอาน พระฮุ่ยอุยที่อยู่ในเมืองนั้นทราบเรื่องว่าท่านจะไปอินเดียเพื่ออาราธนาธรรม

จึงลอบจัดให้ศิษย์ของตนลอบพาพระเฮียนจางไปส่งถึงเมืองกายจิวในเวลากลางคืน เจ้าเมืองกายจิวนับถือพุทธศาสนา รู้สึกเลื่อมใสในปณิธานอันแรงกล้าของท่านจึงช่วยเหลือทันที พร้อมทั้งทำลายหมายจับตัวท่านอีกด้วย และบอกให้พระหนุ่มผู้นี้รีบออกเดินทางทันที

ในระหว่างทาง พระเฮียนจางได้พบกับชาวฮู้ ชื่อว่าผานถัว มีความศรัทธาในตัวท่านมาก รับอาสาจะพาไปส่งที่อินเดีย แต่อนิจจา! ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทั้ง ๒ คนประสบกับความทุรกันดาร ทนความลำบากไม่ไหว อีกทั้งกลัวทางการจะจับได้ จึงได้เปลี่ยนใจกลับบ้านกะทันหัน พร้อมทั้งกำซับว่าถ้าท่านอาจารย์ถูกจับได้อย่าบอกว่าเขาเป็นผู้นำทางมา ซึ่งท่านก็รับปาก

และแล้วพระเฮียนจางก็เดินทางไปชมพูทวีปเพียงคนเดียว รอนแรมผ่านทะเลทรายไปตามลำพัง ไม่มีหญ้าน้ำ ไม่มีทางเดิน อาศัยกองกระดูกและมูลม้าเป็นแนวซึ่งแสดงว่าเป็นทางเดินที่เคยมีคนสัญจร ท่านอยู่มนทะเลทรายตลอด ๔ คืน ๕ วัน โดยไม่มีน้ำฉันสักหยดเดียว จนเป็นลมสลบไปหลายครั้ง ในที่สุดก็เดินทางถึงแคว้นอีอู๊

เจ้าเมืองซีเหวินไท่แคว้นเกาเชียงที่อยู่ใกล้กับแคว้นอีอู๊ทราบข่าวจึงส่งทูตมารับพระเฮียนจางไปพำนักยังแคว้นตน พร้อมนิมนต์ให้อยู่ที่นั้นตลอดไปแต่ท่านไม่ยอม เจ้าแคว้นเกาเชียงจึงรับสั่งว่าจะอยู่ที่เกาเชียงหรือจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน ท่านประท้วงด้วยการอดอาหารอยู่ถึง ๔ วัน เพื่อแสดงถึงความตั้งใจเดิม จนเจ้าซีเหวินไปกราบขอโทษและยอมให้ท่านเดินทางต่อ….

แหล้งที่มา http://www.wechampion.com/



สู้เรื่องพระถังทำหยังไม่ได้หลอกคับ 5 5 5 5 (อ่านปุ๊บคิดถึงเลย)

saphira
19th February 2012, 16:38
สู้เรื่องพระถังทำหยังไม่ได้หลอกคับ 5 5 5 5 (อ่านปุ๊บคิดถึงเลย)

ของเรามันสาระควารู้นะครับ ไม่ใช่ เรืองโคตาระไร้สาระที่คุญบอกมาครับ

saimtogo
19th February 2012, 16:45
ก่อเหตุดราม่า ทุกหน่วยมาเสพด่วน:pleasantry

--151--
19th February 2012, 19:33
แหม่ยอกกะไม่ได้ใจร้ายจิง

tepjaza
23rd February 2012, 21:09
เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ดันจำผิดเพี้ยนเป็นชื่อ "*****นจัน" ที่ไหนได้ "เฮียงจาง" หรอกหรอ 555+