PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : รวมประวัติรถสปอร์ต (ทีใครหลายๆ คนยังไม่เคยรู้)



PKbiw
29th February 2012, 01:09
ประวัติ Lamborghini


ใครจะทราบบ้างว่าแท้จริงแล้ว หนึ่งรถสปอร์ตที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถระดับซุปเป อร์คาร์อย่าง "แลมเบอร์กินี" นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจเล็กๆ ของใครคนหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาจนกลายมาเป็นรถสปอร์ ตชื่อก้องโลกในปัจจุบัน ซึ่งใครคนนั้น มีนามว่า "เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี"

เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี คือชื่อของผู้สร้างตำนานบทใหม่ของรถสปอร์ตระดับซุปเป อร์คาร์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2459 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางเหนือของอิตาลี เฟอรุชชิโอให้ความสนใจ ในเรื่องเครื่องยนต์กลไกเป็นอย่างมากตั้งแต่ในวัยเด็ ก เมื่อโตขึ้นได้เข้าเรียนในวิทยาลัย อุตสาหกรรม ที่เมืองโบโลญญ่าหลังจากที่ได้ศึกษาเป็นเวลาหลายปีก็ สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ทางด้านอุตสาหกรรม

เฟอรุชชิโอ เริ่มทำงานในอู่ซ่อมเครื่องยนต์ เมื่อช่วงต้นอายุยี่สิบของเขานั้น สงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้น และเขาได้เข้าร่วมรับใช้ชาติด้วยการทำงานที่ฐานทัพอา กาศอิตาลีที่เมือง Rhodes โดยทำหน้าที่ซ่อมแซมยวดยาน หลังจากที่ สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาถูกบังคับให้ทำงานดังกล่าวด้วยการซ่อมยวดยานของฝ่ ายสัมพันธมิตรต่อไปอีกจนถึงปี พ.ศ. 2489 ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้าน และได้เริ่มต้นซ่อมแซมรถแทรกเตอร์ของอิตาลี ที่ยังคงใช้อะไหล่จากยวดยานของทหาร และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นในการตั้งโรงงานแทรกเตอร์ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในฐานะ นักธุรกิจ
https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088269330/prawati-lamborghini/ferruccio_lamborghini_and_jarama.jpg
เฟอร์รุซซิโอ แลมเบอร์กินี่


เฟอรุชชิโอเป็นคนที่เข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเป็นเพราะว่าเขาให้ความสนใจในเรื่องยานยนต์โดยเฉพ าะประเภทที่มีความเร็วสูง เขาจึงซื้อ เฟอร์รารีหลายคัน

ในช่วงเวลานั้น การสร้างรถเฟอร์รารี สำหรับถนนปกตินั้นทำการผลิตกันแบบขอไปที เจ้าของรถเฟอร์รารีหลายคนไม่พอใจในรถของ ตนเอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะร้องเรียน เพราะกลัวว่าตนเองอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อรถได้อ ีก และจากสาเหตุของการให้บริการหลังการขาย ที่ย่ำแย่ เนื่องจาก เอนโซ เฟอร์รารี นั้นได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจทั้งหมดของเขาไปที่รายการแข่งรถ ส่วนรถที่ใช้สำหรับขับขี่บนถนนถูกผลิตขึ้นเพื่อนำเงิ นที่ได้ไปพัฒนารถแข่งของเขาเท่านั้น

ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 60 เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ถอย เฟอร์รารี 250 GT ถึงกระนั้นเขาก็ต้องส่งรถคันดังกล่าวเข้า ซ่อมหลายครั้งและดูเหมือนว่ามันไม่เคยได้รับการซ่อมแ ซมได้อย่างถูกต้องเลย และนี่คือปฐมเหตุในการเริ่มต้น ตำนานของ แลมเบอร์กินี

ครั้งหนึ่ง เมื่อเฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ได้รับรถเฟอร์รารีของเขากลับมาจากโรงงาน หลังจากส่งไปซ่อมคลัชท์ แต่ดูเหมือนว่า โรงงานนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น เฟอรุชชิโอ จึงไปเยี่ยมเยียน เอนโซ เฟอร์รารี ด้วยตัวของเขาเอง ณ โรงงานของเฟอร์รารี และบอกแก่ เอนโซ เฟอร์รารี ในเรื่องที่เขารู้สึกเกี่ยวกับตัวของเอนโซและรถอันแส นย่ำแย่

https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088317179/prawati-lamborghini/lamborghini_logo.jpg

โลโก้ "กระทิงเปลี่ยว"

เอนโซ ได้ตอกกลับเฟอรุชชิโอว่า เป็นเพียงแค่คนบ้านนอกที่ไม่มีความรู้อะไรเลยในเรื่อ งที่เกี่ยวกับรถสปอร์ต ต่างกับเขาที่มีอยู่เต็ม ในสายเลือด

หลังจากการโต้เถียงครั้งนั้น เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องโต้ตอบเอนโซ ให้เจ็บแสบที่สุดด้วยการสร้างรถของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงได้ว่าจ้างบุคลากรที่ดีที่สุดที่สามารถ หาได้ และเริ่มต้นการผจญภัยของเขาด้วยการสร้าง GT รถที่ สมบูรณ์แบบ และไม่ใช่แค่เขาสร้างมันได้ดีกว่าและเร็วกว่า แต่เขายังต้องการที่จะรับฟังลูกค้าพร้อมกับยินดีช่วย เหลือลูกค้าของเขาหากเกิดปัญหาจากรถที่สร้างขึ้น

เฟอรุชชิโอ ได้เริ่มต้นด้วยการสร้างโรงงานใหม่ และตั้งบริษัท “แลมเบอร์กินี ออโตโมบิลี” ซึ่งห่างจากโรงงานของเฟอร์รารีเพียง 15 กม. เท่านั้น

https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088299205/prawati-lamborghini/Lamborghini-350_GTV_1963_800x600_wallpaper_01.jpg
แลมเบอร์กินี่ 350จีที


ในมุมหนึ่งของโรงงานแทรกเตอร์ รถแลมเบอร์กินีถูกสร้างขึ้น ก่อนที่โรงงานสร้างรถยนต์แห่งใหม่จะ พร้อมเสร็จ เขาใช้เวลาทุกนาทีในการพัฒนารถของเขาด้วยตนเอง เฟอรุชชิโอ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกจ้าง เพราะว่า เขาต้องการมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้าน กับการพัฒนารถคันนี้ และบ่อยครั้งที่อยู่เป็น คนสุดท้ายเพื่อคอยปิดสวิชท์ไฟในโรงงานปลายเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2506 แลมเบอร์กินี 350 GTV คันแรกก็เสร็จสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม รถดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงรถต้นแบบ และ ผลิตภัณฑ์คันแรกนั้นยังมาไม่ถึงจนกระทั่งเดือนมีนาคม 2507 ด้วย 350 GT ที่ได้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกว่าเฟอร์รารีนั้นสามารถที่ จะถูกปราบลงได้เช่นกัน และนี้คือเรื่องราวทั้งหมดในการเริ่มต้นจ้าวแห่ง ตำนานของกระทิงเปลี่ยว


ข้อมูลจาก บ.นิชคาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ แลมเบอร์กินี อย่างเป็นทางการในเมืองไทย
cradit http://www.hydrocarbon101.com/forums/showthread.php?t=1324


ลัมโบร์กินี LAMBORGHINE
ลัมโปร์กินี เป็นชื่อของรถสปอร์ทที่ปรากฎตัวออกสู่สายตาโลกเมื่อประมาณสามทศวรรษที่ผ่าน มานี้เอง แต่ชื่อเสียงและกิตติคุณของรถสปอร์ทพันธ์อิตาลียี่ห้อนี้ กลับโด่งดังไม่แพ้รถสปอร์ทเก่าแก่อย่าง อัลฟา-โรเมโอ เฟร์รารี หรือ มาเซราตีนั่นเลย สัญลักษณ์ของ ลัมโบร์กินี เป็นรูปวัวกระทิง บรรจุอยู่ในโล่ โดยมีแถบชื่อ LAMBORGHINI พาดทับอยู่ด้านบน การที่ลัมโบร์กินีใช้รูปวัวกระทิงเป็นสัญสักษณ์ก็เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เป็น สัญลักษณ์ปีเกิดของผู้ก่อตั้งกิจการนั่นเอง เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINE) ชาวอิตาลีผู้ก่อร่างสร้างตัวจากเงินในกระเป๋าไม่กี่หมื่นลีร์ จนกลายเป็นนักธุรกิจระดับ “มัลติมิลเลียนแนร์” ผู้มีกิจการใหญ่โตในวงการอุต-สาหกรรมรถแทรคเตอร์และเครื่องปรับอากาศของ เมืองมะกะโลนี ได้ควักเงินทุนก้อนหนึ่งก่อตั้งบริษัท ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี เอศพีเอ (AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.) ขึ้นเมื่อปี 1962 โดยที่จุดมุ่งหมายของบริษัทเกิดใหม่นี้ก็คือ ผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดออกขายแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่างเฟร์รารี ที่เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินีเคยเป็นลูกค้ามาก่อน เล่าขานสืบต่อกันมาว่า มูลเหตุที่ทำให้ มร.ลัมโบร์กินี คิดจะผลิตรถขึ้นเองก็เพราะไม่พอใจในบริการที่ได้รับจากเฟร์ารรีนั่นเอง และข้อได้เปรียบของลัมโบร์กินีก็คือ ก่อนที่จะหันมาเอาดีกับการผลิตรถสปอร์ทระดับ”ซูเพอร์คาร์” ลัมโบร์กินีมีโรงงานผลิตรถแทรคเตอร์อยู่แล้ว

ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ อาจต้องใช้เวลาแรมปีในการสร้างสมเกียรติยศชื่อเสียง แต่สำหรับลัมโบร์กินีที่เริ่มต้นกิจการด้วยคำขวัญ “มาหาลัมโบร์กินี ถ้าต้องการรถที่ดีที่สุดในโลก” ความสำเร็จเกิดขึ้นในเวลาชั่วคืน รถสปอร์ทแทบทุกรุ่นที่ลัมโบร์กินีผลิตออกสู่ตลาด ได้รับความนิยมจากนักเลงรถสปอร์ท “รายได้สูง รสนิยมสูง” จนผลิตขายแทบไม่ทัน โดยเฉพาะรถ ลัมโบร์กินี มีอูรา (LAMBORGHINI MIURA) ซึ่งปรากฎตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมรถยนต์ตูรินเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1965 และออกจำหน่ายสองปีหลังจากนั้น นับเป็นรถที่สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้แก่ผู้ผลิตรถสปอร์ทรายนี้ยิ่งกว่ารถรุ่นอื่น ๆ ลัมโบร์กินีใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับเจ้ายุทธจักรรถสปอร์ท อย่างเฟร์รารีได้สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน 1981 ลัมโบร์กินีเปลี่ยนชื่อกิจการเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ นูโอวา ออโตโมบิสี เฟร์รุขขิโอ ลัมโบร์กินี เอสพีเอ (NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.)

ปัญหาด้านการเงินบีบบังคับให้ผู้ผลิตรถสปอร์รายนี้ต้องเปลี่ยนมือเจ้าของ กิจการหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคื่อในปี 1987 ลัมโบร์กินีก็มีสภาพเป็นปลาเล็กที่ถูกกลืนกินโดยปาใหญ่ โดยยอมขายกิจการทั้งหมดให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา คือ ไครสเลอร์ คอร์พอเรชัน ในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมาลัมโบร์กินีผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้ง สิ้น 13 รุ่น รุ่นที่ผลิตมากที่สุด คือ ลัมโบร์กินี คูนทาช (LAMBORGHINI COUNTACH) รถสปอร์ทระดับ “ซูเปอร์คาร์” ที่นักเลงรถทั่วโลกรู้จักกันดี ปัจจุบัน ลัมโบร์กินีมีกำลังผลิตประมาณ 400 คันต่อปี รถที่ผลิตจำหน่ายในขณะนี้มีอยุ่เพียงรุ่นเดียว คือ ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINI BIABLO) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดารถตลาดที่เร็วที่สุดในปัจจุบันเพราะสามารถวิ่งได้เร็ว กว่า 325 กม./ชม.นั้นเทียว

ชื่อบริษัท: นูโอวา ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี
NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1962
สำนักงานใหญ่: VIA MODENA 12, 40019 SANT’ AGATA
BOLOGNESE, BOLOGNA, ITALY
เว็บไซต์: www.lamborghini.com

รถรุ่นสำคัญ:
ลัมโบร์กินี 350 จีที (1963)
ลัมโบร์กินี 400 จีที (1966)
ลัมโบร์กินี มิอูรา (1967)
ลัมโบร์กินี เอสปาดา (1968)
ลัมโบร์กินี ไอส์เบโร (1968)
ลัมโบร์กินี ฮารามา (1970)
ลัมโบร์กินี อีร์ราโก (1971)
ลัมโบร์กินี คูนทาช (1974)
ลัมโบร์กินี คูนทาช เอส (1978)
ลัมโบร์กินี จัลปา (1982)
ลัมโบร์กินี คูนทาช 500 ควาตโดรวาลโวเล (1985)
ลัมโบร์กินี คูนทาช ทเวนติ-ฟิฟธ์
แอนนีเวอร์ซารี (1988)
ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (1990)
ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINE DIABLO)

แถมให้อีกนิดละกันครับ

Lamborghini 350 GT
https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088304067/prawati-lamborghini/Lamborghini-350_GTV_1963_800x600_wallpaper_02.jpg
https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088316133/prawati-lamborghini/Lamborghini-350_GTV_1963_800x600_wallpaper_06.jpg
https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088287564/prawati-lamborghini/Lamborghini-350_GTV_1963_800x600_wallpaper_0a.jpg
https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/_/rsrc/1248088293427/prawati-lamborghini/Lamborghini-350_GTV_1963_800x600_wallpaper_0b.jpg

ขอขอบคุณ https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/prawati-lamborghini ด้วยครับ


มีหน้า2 ต่อน้อออ

PKbiw
29th February 2012, 01:13
เอาดี AUDI
http://www.headlightmag.com/main/images/stories/worldsnews/Audi_Newlogo/2009_08_28_Audi_Logo1.jpg
สัญลักษณ์เดิมของเอาดีเป็นรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันแต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอาดีได้เปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรูปวงรีสีแดงภายในบรรจุตัวอักษร AUDI สีขาว อย่างไรก็ตามรถเอาดีทุกคันที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน บนแผงกระจังหน้ายังคงติดสัญลักษณ์วงแหวนสี่วงเช่นเดิม ประวัติความเป็นมาของเอาดีสามารถย้อนหลังไปได้จนถึงปี 1902 อันเป็นปีที่นาย ออกัสท์ ฮอร์ค AUGUST HORCH วิศวกรชาวเยอรมันได้เปิดกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นในเยอรมันโดยใช้ชื่อสกุลของเขาเป็นยี่ห้อรถ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฝีมือในการบริหารเงินทุนของนายฮอร์คไม่ได้ปราดเปรื่องเหมือนความรู้ทางวิศวกรรมที่เขามีอยู่ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นนายฮอร์คก็ต้องขายกิจการดังกล่าวให้แก่ผู้อี่น ไปเพราะมีทีท่าว่าถ้าขืนทู่ซี้ต่อไปกิจการก็อาจจะล้มละลาย แต่นายฮอร์คไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ในปี 1909 เขาก็ก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่จะใช้ชื่อเดิมก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย บังเอิญไปได้ความรู้จากบุตรชายที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยว่า ชื่อ HORCH มีความหมายเหมือนคำ ว่า AUDI ในภาษาละติน (แปลว่า “ฟัง”) นายฮอร์คจึงตัดสินใจใช้ชื่อ AUDI เป็นยี่ห้อของรถที่ผลิตนับแต่นั้น

เอาดีประกอบกิจการผลิตรถยนต์เป็นเอกเทศจนถึงปี 1932 ก็ถูกสภาวะเศรษฐกิจบีบบังคับให้ต้องรวมกิจการเข้ากับผู้ผลิตรถยนต์อีกสามราย คือ ฮอร์ค (HORCH) วอนเดอเรอร์ (WANDERER) และดีเคดับลิว (DKW) กลายเป็นบริษัทใหม่มีชื่อว่า ออโต้ ยูเนียน (AUTO UNION) และมีรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันเป็นสัญลักษณ์ หลังสงครามโลกครั้งที่สองเยอรมันถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศโรงงานของเอาโท ยูเนียน ซึ่งอยู่ในเยอรมนีตะวันออกถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐ และเปลี่ยนชื่อรถที่ผลิตเป็น ทราบันท์ (TRABANT) ส่วนในเยอรมนีตะวันตกก็มีการก่อตั้งออโต้ ยูเนียน ขึ้นใหม่ในปี 1949 แต่คราวนี้ผลิตรถออกจำหน่ายเพียงยี่ห้อเดียวคือ ดีเคดับลิว ชื่อ เอาดี ฮอร์ค และวอนเดอเรอร์ จึงตายไปจากอาณาจักรรถยนต์ 15 ปีหลังจากนั้น โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมันเข้าครองกิจการของออโต้ ยูเนียน และหนึ่งปีหลังจากนั้น ชื่อ เอาดี ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโฟล์คสวาเกนใช้ชื่อ เอาดี 80 เป็นชื่อรุ่นของรถแบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากตัวถึงและโครงฐานของรถดีเคดับลิวเอฟ 102 และติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.7 ลิตร

ปรากฎว่ารถแบบดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีชื่อเอาดีจึงฮิทติดตลาดและรถ เอาดี 90 กับ เอาดี100 ก็ตามมา ปัจจุบัน เอาดี มีฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มโฟล์คสวาเกน-เอาดี-เซอาท (VOLKSWAGIN-AUDI-SEAT) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทีมียอดขายสูงสุดในยุโรปตะวันตก ปี 1990 ทำยอดขายได้ถึง 2.0 ล้านคัน รถยนต์นั่งที่เอาดีผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน มีตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่าง เอาดี 80 ไปจนถึงรถยนต์นั่งระดับหรูสำหรับนักบริหารอย่าง เอาดี วี 8

ชื่อบริษัท: เอาดี อาเก
AUDI AG
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1969
สำนักงานใหญ่: POSTFACH 220,8070 INGOLSTADT,
GERMANY
เว็บไซต์: www.audi.com

รถรุ่นสำคัญ: เอาดี 100 (1969)
เอาดี 100 คูเป เอส (1970)
เอาดี 80 (1972)
เอาดี 100 (1976)
เอาดี 80 (1978)
เอาดี 200 5 ที (1980)
เอาดี 100 (1982)
เอาดี 200 เทอร์โบ (1983)
เอาดี ควาตโคร สปอร์ท (1984)
เอาดี วี 8 (1988)
เอาดี 100 (1990)
เอาดี 80 (1991)
เอาดี 80 (AUDI 80)
เอาดี คูเป (AUDI COUPE)
เอาดี คาบริโอเลต์ (AUDI CABRIOLET)
เอาดี 100 (AUDI 100)
เอาดี 100 อาวันท์ (AUDI 100 AVANT)
เอาดี วี 8 (AUDI V8)

Gallary:AUDI Autopictures


อาจจะมีข้อมูลน้อยเกินไปต้องขออภัยด้วยครับ

ที่มา.http://www.chuansin.com/doctorcar/auto-history-audi.html




ประวัติ

BMW (BMW ย่อจาก ภาษาเยอรมัน: Bayerische Motoren Werke (บาเยริสเชโมโทเรน เวร์เค); อังกฤษ: Bavarian Motor Works) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของเยอรมนี ตั้งอยู่ที่เมือง Munich ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) และเป็นบริษัทแม่ของมินิ ซึ่ง BMW ซื้อมาจากโรเวอร์

http://uc.exteenblog.com/interbrands-bmw/images/logo-bmw.jpg

สัญลักษณ์ของ BMW

ลักษณะสัญลักษณ์
ป็นวงแหวนสีดำพร้อมตัวอักษร BMW -สีขาว ล้อมรอบพื้นที่วงกลมซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเป็นสีขาวสองส่วนและสีฟ้าสองส่วน

ที่มาของสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้คือ

ลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ BMW เคยเป็นผู้ผลิตเครื่องบินมาก่อน ส่วนสีฟ้าและสีขาวที่ใช้ ก็เป็นสีประจำแคว้น Bavaria อันเป็นที่ตั้งของบริษัทนั่นเอง


http://uc.exteenblog.com/interbrands-bmw/images/max_friz.jpg
Max Friz

http://uc.exteenblog.com/interbrands-bmw/images/225px-Portrait_of_Karl_Rapp_1911.jpg
Karl Rapp

เริ่มต้นในปี 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลขาวเยอรมันสองคนคือ คาร์ล -แรพพ์ (CARL RAPP) และ แมกซ์ฟริซ (MAX FRIZ) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินขึ้นในเยอรมนี โดยตั้งชื่อบริษัทว่า BAYERISCHE FLUGZKUGWERKEAG อย่างไรก็ตาม เพียงสองปีหลังจากนั้นคือในปี 1918 บริษัทดังกล่าวก็เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น BAYERISCHE MOTOREN WERKEAG อันเป็นชื่อที่ใช้ตราบจนปัจจุบัน และเป็นที่มาของชื่อย่อ BMW นั่นเอง

สำนักงานใหญ่: PETUELRING 130, 8000 MUNCHEN 40, GERMANY.
รถรุ่นแรกของ BMW
http://www.autoevolution.com/images/gallery/medium/BMW3-15PS-medium-1615_1.jpg
ในปี 1928 วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย เมื่อBMW หันเหกิจการ โดยเริ่มการผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในตลาด รถยนต์นั่งแบบ

เเรกของ BMW มีชื่อว่า ดีซี (DIXI) หรือ BMW 3/15 เป็นรถแบบสองประตูหลังคาเปิดประทุน ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 15 แรงม้า และนั้นคือจุดเริ่มต้นของกิจการผลิตรถยนต์ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในช่วงหกทศวรรษต่อมา ปัจจุบัน BMW เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในรอบปี 1990 BMW ผลิตรถออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 520,000 คัน และมียอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 450,000 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่ผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน มีอยู่เพียง 4 อนุกรม คือ อนุกรม 3-อนุกรม 5-อนุกรม 7- และ อนุกรม 8 ในปี 1990 รถที่ผลิตมากที่สุด คือ รถอนุกรม 3 (255,156 คัน) รองลงไปคือรถอนุกรม 5 (210,209 คัน)

รถรุ่นสำคัญอื่นๆ

รุ่นรถสำคัญ: บีเอ็มดับบลิว 3/15 (1928)
บีเอ็มดับบลิว 328 (1936)
บีเอ็มดับบลิว 501 (1951)
บีเอ็มดับบลิว 2000 (1966)
บีเอ็มดับบลิว 2002 (1968)
บีเอ็มดับบลิว 520 ไอ (1972)
บีเอ็มดับบลิว 320 (1975)
บีเอ็มดับบลิว 635 ซีเอสไอ (1978)
บีเอ็มดับบลิว เอม 1 (1979)
บีเอ็มดับบลิว เอม 5 (1985)
บีเอ็มดับบลิว 750 ไอแอล (1987)
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คูเป
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คาบริโอเลต์
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ทัวริง
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 7 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 8 คูเป


w.bmw.co.th/
ประวัติ
posted on 06 Aug 2008 03:40 by interbrands-bmw
ประวัติ

BMW (BMW ย่อจาก ภาษาเยอรมัน: Bayerische Motoren Werke (บาเยริสเชโมโทเรน เวร์เค); อังกฤษ: Bavarian Motor Works) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของเยอรมนี ตั้งอยู่ที่เมือง Munich ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) และเป็นบริษัทแม่ของมินิ ซึ่ง BMW ซื้อมาจากโรเวอร์







สัญลักษณ์ของ BMW

ลักษณะสัญลักษณ์

เป็นวงแหวนสีดำพร้อมตัวอักษร BMW -สีขาว ล้อมรอบพื้นที่วงกลมซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเป็นสีขาวสองส่วนและสีฟ้าสองส่วน

ที่มาของสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้คือ

ลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ BMW เคยเป็นผู้ผลิตเครื่องบินมาก่อน ส่วนสีฟ้าและสีขาวที่ใช้ ก็เป็นสีประจำแคว้น Bavaria อันเป็นที่ตั้งของบริษัทนั่นเอง

ประวัติศาสตร์ของ BMW


Max Friz

Karl Rapp
เริ่มต้นในปี 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลขาวเยอรมันสองคนคือ คาร์ล -แรพพ์ (CARL RAPP) และ แมกซ์ฟริซ (MAX FRIZ) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินขึ้นในเยอรมนี โดยตั้งชื่อบริษัทว่า BAYERISCHE FLUGZKUGWERKEAG อย่างไรก็ตาม เพียงสองปีหลังจากนั้นคือในปี 1918 บริษัทดังกล่าวก็เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น BAYERISCHE MOTOREN WERKEAG อันเป็นชื่อที่ใช้ตราบจนปัจจุบัน และเป็นที่มาของชื่อย่อ BMW นั่นเอง

สำนักงานใหญ่: PETUELRING 130, 8000 MUNCHEN 40, GERMANY.

รถรุ่นแรกของ BMW

BMW ดีซี (DIXI) หรือ BMW 3/15

ในปี 1928 วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย เมื่อBMW หันเหกิจการ โดยเริ่มการผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในตลาด รถยนต์นั่งแบบ

เเรกของ BMW มีชื่อว่า ดีซี (DIXI) หรือ BMW 3/15 เป็นรถแบบสองประตูหลังคาเปิดประทุน ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 15 แรงม้า และนั้นคือจุดเริ่มต้นของกิจการผลิตรถยนต์ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในช่วงหกทศวรรษต่อมา ปัจจุบัน BMW เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในรอบปี 1990 BMW ผลิตรถออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 520,000 คัน และมียอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 450,000 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่ผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน มีอยู่เพียง 4 อนุกรม คือ อนุกรม 3-อนุกรม 5-อนุกรม 7- และ อนุกรม 8 ในปี 1990 รถที่ผลิตมากที่สุด คือ รถอนุกรม 3 (255,156 คัน) รองลงไปคือรถอนุกรม 5 (210,209 คัน)


รถรุ่นสำคัญอื่นๆ

รุ่นรถสำคัญ: บีเอ็มดับบลิว 3/15 (1928)
บีเอ็มดับบลิว 328 (1936)
บีเอ็มดับบลิว 501 (1951)
บีเอ็มดับบลิว 2000 (1966)
บีเอ็มดับบลิว 2002 (1968)
บีเอ็มดับบลิว 520 ไอ (1972)
บีเอ็มดับบลิว 320 (1975)
บีเอ็มดับบลิว 635 ซีเอสไอ (1978)
บีเอ็มดับบลิว เอม 1 (1979)
บีเอ็มดับบลิว เอม 5 (1985)
บีเอ็มดับบลิว 750 ไอแอล (1987)
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คูเป
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คาบริโอเลต์
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ทัวริง
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 7 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 8 คูเป



บริษัท BMW ในประเทศไทย

BMW เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2504 ที่ยนตรกิจยุคบุกเบิก ภายใต้การนำของอรรถพร และอรรถพงษ์ ลีนุตพงษ์ ได้เริ่มเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์BMWในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยการสั่งจากบริษัทผู้นำเข้า ที่สิงคโปร์

หลังจากนั้น ในปี 2506 ยนตรกิจ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากBMW เอจี ประเทศเยอรมนี ให้เป็นผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์BMWอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยนำรถBMW รุ่น 700 เข้ามาขายเป็นรุ่นแรก

ตลอดเวลากว่า 30 ปี ก่อน ที่จะแยกจากกันในปี 2541 ยนตรกิจได้เน้นยอดขายจากรถยนต์BMWเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนสูงถึงกว่า 60% ของยอดขายรวมของรถยนต์ทุกยี่ห้อ

หากนับรวมจาก ที่เริ่มเป็นตัวแทนจำหน่ายครั้งแรกในปี 2506 จนกระทั่งสิ้นสุดการเป็นตัวแทนจำหน่ายในปี 2541 ยนตรกิจได้ขายรถยนต์BMWไปแล้วเป็นจำนวนถึง 50,000 คัน
BMW ประเทศไทย

BMW Group Thailand นั้นเป็นบริษัทลูก ที่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายบริษัทขายในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก ของบริษัท BMW AG ในประเทศเยอรมัน ธุรกิจของ BMW Groupนั้นรวมไปถึงการ ขายผลิตภัณฑ์ของ BMW and Mini ที่นอกเหนือไปจาก องค์กร BMWกรุ๊ปในประเทศไทยแล้ว BMW AG ในเยอรมัน ยังตั้งหน่วยการผลิตในประเทศไทยภายใต้ชื่อ “BMW Manufacturing ประเทศไทย” หรือ “โรงงานระยอง” ขั้นที่จังหวัดระยอง อันเป็น โรงงานแห่งเดียวในเอเชียที่ BMW group AGนั้นเป็นเจ้าของทั้งหมด โดยโรงงานแห่งนี้เริ่มต้นผลิตรถยนต์ซีรี่ส์ สาม และเมื่อพัฒนาผ่านไปราวหกปี ณ เวลานี้ โรงงานแห่งนี่คือหนึ่งในสองโรงงานของBMWทั่วโลก ที่ผลิตรถยนต์รุ่นหลักของBMWครบทั้ง 3 รุ่นได้แก่ ซีรี่ส์ 3, 5, 7 และยังมี รถยนต์ X3 เพิ่มเติมอีกหนึ่งรุ่น นับแต่เริ่มต้นธุรกิจมานั้น BMW Group Thailandได้ ขยายกิจการของตนเองโดยต่อเนื่อง รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์มินิ และ มอเตอร์ไซค์ของBMWเข้ามาสู่ประเทศไทย และการร่วมกันกับผู้ลงทุนในประเทศ พัฒนาเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างมาตรฐาน BMWในตลาดแห่งนี้

ในแง่ของโรงงานระยองแล้วนั้น BMW AGก็ได้ขยายพื้นฐานทางการผลิต พร้อมด้วยการเพิ่มเงินลงทุน จากเริ่มต้นที่ 25 ล้านยูโร มาเป็น50 ล้านยูโรและจากเดิมที่ มีไลน์การประกอบหนึ่งไลน์ มาเป็นไลน์การประกอบสองไลน์ และโรงประกอบตัวถังเพิ่มเติมขึ้น เพื่อรองรับการประกอบรถทั้งสี่รุ่นหลัก การที่โรงงานแห่งนี้ได้รับการวางตัวให้เป็น “Munich แห่งเอเชีย” หรือศูนย์กลางการประกอบรถยนต์ในภูมิภาค อาเซียน ทำให้ โรงงานระยองมีกิจกรรมการส่งออก ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2546 และต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน โดย สถิติของรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดที่ผลิตจากประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศนั้นคือรถยนต์ 730Li ที่ผลิต ณ. โรงงานแห่งนี้

ไทยศูนย์กลางBMW ในอาเซียน

ศูนย์การผลิตรถ BMW ในแถบประเทศอาเซียน BMW Group Thailand ก่อตั้งและดำเนินการในไทยตั้งแต่ปี 2541 และในปี 2543 เกิดโรงงานที่ระยองชื่อบริษัท BMW Manufacturing เป็นศูนย์กลางผลิตรถ BMW ระดับพรีเมียม เพื่อส่งออกในกลุ่มอาเซียนภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี AFTA และในปี 2544 ตั้งบริษัท BMW Leasing (Thailand) ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ชื่อบริษัท BMW Manufacturing เป็นศูนย์กลางผลิตรถ BMW ระดับพรีเมียม เพื่อส่งออกในกลุ่มอาเซียนภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี AFTA และในปี 2544 ตั้งบริษัท BMW Leasing (Thailand) ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์

BMW Manufacturing

ชิ้นส่วนที่มีมากกว่า 20,000 ชิ้นที่เดินทางผ่านมาถึงพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญและเอาใจใส่กับการทำงานโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในกระบวนการผลิต ทำให้คุณภาพของรถยนต์ BMW ทุกคันมีมาตรฐานสูงระดับพรีเมี่ยม การผลิตของBMW Group Thailandโดดเด่นอย่างผู้นำในเทคโนโลยีด้านต่างๆพร้อมกับพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง


ขอบคุณเว็บดีๆ อย่าง http://interbrands-bmw.exteen.com/20080806/entry น่ะครับ

PKbiw
29th February 2012, 01:20
เฟร์รารี FERRARI

http://1.bp.blogspot.com/_tF_DyjQ-CPA/TIroz2E1pfI/AAAAAAAADw0/2FsVnB9_EB8/s1600/ferrari-logo1.jpg

ในบรรดารถสปอร์ทพันธุ์อิตาลีที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ คงไม่มีรถสปอร์ทยี่ห้อไหนอีกแล้ว ที่จะโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ยิ่งไปกว่ารถ เฟร์รารี เจ้าของสมญานาม “ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล” (THE PRANCING HORSE FROM MARANELLO) สัญลักษณ์ของเฟร์รารี แยกออกได้เป็นสามส่วนและแต่ละส่วนมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือพื้นสีเหลืองเป็นสีประจำเมืองโมเดนา (MODENA) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานเฟร์รารี รูปม้ากำลังเผ่นโผนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ฟรานเชสโค บารัคคา (FRANCESCO BARACCA) เสืออากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนแถบสีเขียว-ขาว-แดง ที่พาดอยู่ตอนบนคือสีธงชาติอิตาลี ประวัติความเป็นมาของเฟร์รารีแยกไม่ออกจากประวัติความเป็นมาของ เอนโซ เฟร์รารี (ENZO FERRARI) “ปูชนียบุคคลของวงการรถสปอร์ท และกีฬารถแข่ง” ผู้ก่อตั้งกิจการและนำเฟร์รารีไปสู่ความรุ่งโรจน์ ก่อนก่อตั้งกิจการของตนเอง เอนโซ เฟร์รารี เคยเป็นนักขับรถแข่งให้แก่ อัลฟา โรเมโอ มาก่อนในปี 1940 ขณะที่มีอายุ 42 ปี เขาลาออกและก่อตั้งกิจการขึ้นเอง มีชื่อว่า SOCIETA AUTO AVIO CONSTRUZIONI RERRARI กิจการที่ทำคือ ออกแบบและผลิตรถแข่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ทและทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงอยู่ยงคงกระพันมากว่า 4 ทศวรรษ

กล่าวได้ว่า แทบไม่มีการแข่งรถรายการใดในยุโรปที่เฟร์รารีไม่เคยชนะ เฟร์รารีคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้ผลิตมาแล้วรวม 14 ครั้ง คว้าแชมป์การแข่งเลอมังส์ 24 ชั่วโมง 9 ครั้ง ชนะเลิศการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลกรวม 103 ครั้ง ครองตำแหน่งแชมป์โลกผู้สร้างรถ 6 สมัย และครองตำแหน่งแชมป์โลกนักขับรวม 8 สมัย ในวงการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลก เฟร์รารีคือทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดควบคู่กับการแข่งรถคือการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดเพื่อจำหน่ายให้แก่นักเลงรถยนต์ผู้มีรสนิยม โดยที่ส่วนใหญ่เฟร์รารีจะออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ขึ้นเอง และว่าจ้างผู้ชำนาญการด้านตัวถัง เช่น ปินินฟารินา ฯลฯ เป็นผู้ออกแบบตัวถัง ในช่วง 46 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปัจจุบัน เฟร์รารีผลิตเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 160 แบบ และผลิตรถสปอร์ทแบบต่างๆ ออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คัน รถที่ผลิตมากที่สุด คือ เฟร์รารี 328 จีทีเอส (4,979 คัน) รองลงไปคือ เฟร์รารี เตสตาโรสซา และเฟร์รารี จีทีเอส ควาตโตร วาลโวเล ปัจจุบัน เฟร์รารีมีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในกลุ่มของเฟียตเช่นเดียวกับลันชิอา และ อัลฟา โรเมโอ กิจการของเฟร์รารีแยกออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนการผลิตรถตลาด และส่วนทีมแข่งรถ ทั้งสองส่วนนี้มีการบริหารแยกเป็นอิสระจากกัน ปัจจุบันเฟร์รารีผลิตรถออกจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่นแต่ทุกรุ่นก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถสปร์ทชั้นยอด สำหรับกิจกรรมการแข่งรถ เฟร์รารีกำลังอยู่ในช่วงที่ตกต่ำสุดขีดเพราะไม่เคยชนะอีกเลยนับแต่ชนะครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 1990

ชื่อบริษัท: เฟร์รารี เอส.พี.เอ.
เอเซร์ชิซิโอ แฟบบริเค ออโตโมบิลี เอ คอร์เซ
FERRARI S.p.A.
ESERCIZIO FABBRICHE AUTOMOBILI E CORSE
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1940
สำนักงานใหญ่: VIALE TRENTO TRIESTE 31,
41100 MODENA, ITALY
เว็บไซต์: www.ferrari.com

รถรุ่นสำคัญ: เฟร์รารี 125 (1947)
เฟร์รารี 340 อเมริกา (1952)
เฟร์รารี 250 จีที (1961)
เฟร์รารี 250 จีทีโอ (1962)
เฟร์รารี ดิโน 206 จีที เบร์ลิเนตตา (1967)
เฟร์รารี ดิโน 308 จีที (1973)
เฟร์รารี 308 จีทีบี (1975)
เฟร์รารี 512 บีบี (1976)
เฟร์รารี 308 จีทีบี ไอ (1981)
เฟร์รารี จีทีโอ (1984)
เฟร์รารี 412 (1985)
เฟร์รารี 328 จีทีบี/ 328 จีทีเอส (1985)
เฟร์รารี เอฟ-40 (1987)
เฟร์รารี 348 ทีบี/ 348 ทีเอส (1989)
เฟร์รารี 348 ทีบี (348 tb)
เฟร์รารี 348 ทีเอส (348 ts)
เฟร์รารี มนดิอัล ที (MONDIAL t)
เฟร์รารี มนดิอัล ที คาบริโอเลต์ (MONDIAL t CABRIOLET)
เฟร์รารี 512 ทีอาร์ (512 TR)
เฟร์รารี เอฟ-40 (F-40)
Gallary:Ferrari Autopictures


ข้อมูลมาจาก http://www.chuansin.com/doctorcar/auto-history-ferrari.html

physicxza
29th February 2012, 01:21
ขอบคุณสำหรับข้อความ

PKbiw
29th February 2012, 01:30
Porsche

http://www.mh.ac.th/DataNew54/Studentwork/St_Web53/PORSCHEweb/button/Porsche_Logo.jpg

เมื่อเอ่ยถึงรถสปอร์ทพันธุ์เยอรมันนักเลงรถสปอร์ทร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงชื่อ ปอร์เช่ เป็นชื่อเเรก เพราะรถสปอร์ทยี่ห้อนี้ครองใจผู้ใช้รถทั่วโลกมาแล้วกว่าสี่ทศวรรษ สัญลักษณ์ของปอร์เช่ เป็นตราประจำเมืองชตุทท์การ์ท( STUTTGART) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถปอร์เช่นั่นเอง ประวัติความเป็นมาของปอร์เช่ก็คือประวัติของ ดร.เฟร์ดินันด์ ปอร์เช่ ( DR.FEREINAND PORSCHE) “ อัจฉริยบุคคลแห่งโลกรถยนต์ ” ที่วงการรถสปอร์ททั่วโลกรู้จักกันดี ก่อนก่อตั้งบริษัท DR.ING.H.V. PORSCHE AG และผลิตรถยนต์สปร์ทออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 1948 เฟร์ดินัน ปอร์เช่ เคยทำงานให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเยอรมนีมาแล้วหลายราย เช่น เมร์เซเดส-เบนซ์ โฟล์คสวาเกน วอนเดเร์ ฯลฯ ผลงานที่เฟร์ดินันท์ ปอร์เช่ สร้างขึ้นและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์มีมากมายสุดจะจาระไน นอกจากชื่อเสียงในการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอด ในวงการแข่งรถชื่อเสียงของปอร์เช่ก็ไม่น้อยหน้าใคร ปอร์เช่ชนะมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าการแข่งความเร็วระยะสั้น การแข่งรถทางไกล หรือการแข่งเเรลลี ประจักษ์พยานยืนยันคือ ตำแหน่งเเชมป็การแข่งเลอมองส์ 24 ชั่วโมง อันมีชื่อเสียง แชมป์ผู้สร้างรถฟอร์มูลา 2 แชมป์โลกแรลลีสามสมัยซ้อน (1968-1970) แชมป์โลกผู้สร้างรถฟอร์มูลา 1 สองสมัยซ้อน ( 1984-1985) ฯลฯ มักเข้าใจกันอย่างผิดๆ ว่าปอร์เช่เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีโฟล์คสวาเกนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แท้จริงแล้วปอร์เช่ยังคงมีลักษณะเป็น ” กิจการในครอบครัว ” คือมีผู้ถือหุ้นเพียง 10 คน โดยที่หัวเรือใหญ่ คือ เฟอร์รี ปอร์เช่อภิชาต บุตรของเฟร์ดินันด์ ปอร์เช่ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 1915 ปัจจุบันปอร์เช่มีโรงงานผลิตรถยนต์อยู่เพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ที่เมืองชตุทท์การ์ท เยอรมนีตะวันตก ในปี 1990 ปอร์เช่ผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 32,162 คัน รถที่ผลิตมากที่สุดคือ โพร์เช 911 รองลงไปคือ โพร์เช 944 และโพร์เช 928 ปัจจุบันปอร์เช่ผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 12 โมเดล

PORSCHE 911
http://porsche-mania.com/wp-content/uploads/2011/02/1964_porsche-911.jpg
-- รถสปอร์ตปอร์เช่ที่ทำโดยตั้งแต่ปี 1963, 911 ด้านหลังของเครื่องยนต์ที่มีชื่อเสียงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
PORSCHE Boxster
http://photos.autoexpress.co.uk/images/front_picture_library_UK/dir_420/car_photo_210064_7.jpg
-- Roadster กลางเครื่องยนต์ที่สร้างขึ้นโดยปอร์เช่ตั้งแต่ปี 1996
Porsche Cayenne
เป็นห้าที่นั่งขนาดกลางยานพาหนะสาธารณูปโภคกีฬาที่ผลิตโดยปอร์เช่ตั้งแต่ปี 2002

คุณทราบไหม?

ที่แสดงรถยนต์ปารีสในปี 1974 ระหว่างความสูงของวิกฤตราคาน้ำมันที่ปอร์เช่ที่นำเสนอ 911Turbo -- การผลิตรถยนต์แห่งแรกของโลกกีฬาที่มีเทอร์โบไอเสียและควบคุมความดัน

ในปี 1996 ที่หนึ่งในล้านปอร์เช่รีดออกของ บริษัท สายการประกอบ Zuffenhausen เพียงนอกตุตการ์ที่ 15 กรกฎาคม

หลานชายของผู้ก่อตั้ง Porsche ปอร์เช่ของเฟอร์ดินานด์, เฟอร์ดินานด์ Pi CH เป็นประธานและซีอีโอของกลุ่มโฟล์คสวาเก้น 1993 - 2002 กับครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมดของเขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นแต่ละ บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดของรถยนต์ปอร์เช่

ของปอร์เช่ 2002 การแนะนำของกาแยนนอกจากนี้ยังมีการทำเครื่องหมายการเปิดตัวโรงงานผลิตใหม่ในไลพ์ซิก, ซักโซนีซึ่งวันนี้บัญชีสำหรับเกือบครึ่งหนึ่งของผลผลิตประจำปีของปอร์เช่



ขอขอบคุณ http://th.hicow.com/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%8A/%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%A5-%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%99/porsche-boxster-120115.html

กับ google

ต่อมาด้วยกันกับ ฮอนด้า

ชีวประวัติบุคคลยานยนต์โลก : โซอิชิโร ฮอนด้า
< Biography of HONDA founder : Soichiro Honda >
บุคคลซึ่งเป็น ตำนานฮอนด้า และสร้าง ประวัติฮอนด้า ให้ทั่วโลกได้รู้จักจนถึงทุกวันนี้
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-4.jpghttp://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-3.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-11.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-21.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-12.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-13.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-22.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-23.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro%20honda-31.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro%20honda-32.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro%20honda-33.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro%20honda-34.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-6.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/soichiro-5.jpg
จักรยานติดเครื่องยนต์ " บาตะ บาตะ ( putt putt ) "
นวัตกรรมที่ มิสเตอร์ โซอิชิโร ฮอนด้า ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1946 หรือ พ.ศ.2489
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ฮอนด้าคอลเลคชั่น ฮอลล์ ( Honda Collection Hall ) ประเทศญี่ปุ่น
เพื่อระลึกถึงความภาคภูมิใจและจุดเริ่มของพลังแห่งความฝันที่เป็นจริงของฮอนด้า
HONDA The Power of Dreams


เจริญมอเตอร์ jrmotor.com นี่แหล่ะ ตำนานฮอนด้า ครอบครัวเรา

http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-46th.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1967-c70-c90s.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1969-c70.jpg
ปี คศ. 1970 Honda CB125
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/1970_Honda_CB125.jpg
ปี คศ. 1971 Honda CB100
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/1971_Honda_CB100.jpg
ปี คศ. 1976 Honda XL125
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/1976_Honda_XL125.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1977-jx110.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1978-GL100.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1979-c90.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1982-TG125.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1983-HX135.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1983-LEAD.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/1983_Honda_MTX125R.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1984-MTX125.jpg
ปี คศ. 1995 HONDA LS125R
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/1995_HONDA_LS125R.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1986-C100.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1989-NSR150.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/honda-1991-LS110.jpg
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/1998_Honda_CG125.jpg
ปี คศ. 2004 Honda CBR150R
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/2004_Honda_CBR150R.jpg
Honda NSR150R
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/Honda_NSR150R.jpg
Honda NSR150SP
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/Honda_NSR150SP.jpg
Honda Dream 100
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/dream100_1.jpg
Honda Dream 100
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/dream100_2.jpg
Honda Nova-s
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/nova-s_1.jpg
Honda Nova-RS
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/nova-rs_1.jpg
HONDA Bigbike 1996-2008
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1996
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213436969.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213436988.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437007.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437034.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437063.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437081.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437099.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437118.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436939/1213437138.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1997
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437208.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437230.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437251.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437271.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437291.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437321.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437339.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437357.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437389.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437435.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437177/1213437452.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1998
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437539.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437584.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437604.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437633.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437699.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437699.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437781.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437496/1213437851.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 1999
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213442036.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213442016.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213441975.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213441897.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213441873.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213441852.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213441784.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213437952/1213441612.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2000
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213507184.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213507116.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213507051.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213506980.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213506790.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213507294.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438025/1213507274.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2001
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213505979.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213503473.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213503360.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213503292.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213503207.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213503169.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438052/1213503112.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2002
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502358.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502295.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502250.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502231.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502156.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502135.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213502084.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501965.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501898.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501881.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501786.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501716.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501679.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501602.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438072/1213501548.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2003
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213500172.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213500113.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213500049.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213500013.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213499994.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213499935.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213499869.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213499802.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438092/1213499731.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2004
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498659.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498964.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498919.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498859.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498803.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498735.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498714.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438111/1213498677.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2005
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497812.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497757.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497654.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497636.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497618.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497565.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497540.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497507.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497441.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497372.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497343.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438133/1213497265.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2006
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438155/1213496011.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438155/1213495837.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438155/1213495794.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438155/1213495773.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438155/1213495750.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438155/1213495693.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2007
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493256.jpg
.http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493256.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493923.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493891.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493601.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493545.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493478.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493454.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493378.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213438176/1213493329.jpg
รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ HONDA BIGBIKE 2008
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436635.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436615.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436567.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436528.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436376.jpg
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436259.jpg



ที่มา.http://www.jrmotor.com/history-honda.html รวมรูปรวมอะไรอยู่ในนี้หมด


ปล.2 โคตรๆ เหนื่อย ขอแค่ คำขอบคุณ+คอมเม้น

ขอบคุณทีเข้ามาชมครับ ผม

thanet
29th February 2012, 01:39
ข้อมูลจาก บ.นิชคาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ แลมเบอร์กินี อย่างเป็นทางการในเมืองไทย
cradit http://www.hydrocarbon101.com/forums...ead.php?t=1324 :no_photo เข้าไม่ได้อ่ะครับ

PKbiw
29th February 2012, 16:07
ข้อมูลจาก บ.นิชคาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ แลมเบอร์กินี อย่างเป็นทางการในเมืองไทย
cradit http://www.hydrocarbon101.com/forums...ead.php?t=1324 :no_photo เข้าไม่ได้อ่ะครับ

ตอนแรกผมก็เข้าไม่ได้ ผมเลยลองโฟสดูเพื่อคนอื่นจะเข้าได้ เข้าไม่ได้ ขออภัยด้วยนะครับ

11rd
29th February 2012, 17:48
Lamborghini ที่ 1 ในใจ แต่ขอ honda ได้ไหม เพราะพอมีปัญญา ซื้อ...

starscream
1st March 2012, 09:53
กระทู้นี้ดีครับ สนับสนุน

PKbiw
1st March 2012, 15:19
สุดยอด มี ประวัติของ มอเตอร์ไซด์ ไหม

ได้ครับ เดะจะลองค้นหาให้ แต่ผมไม่รู้เรื่องมอเตอร์ไซด์มากนะ อาจจะมีมั้วบ้างไร บ้าง ขอโทษด้วย 55

nakiann123
1st March 2012, 15:36
ผมขอ FORD ที lol !!

PKbiw
1st March 2012, 16:17
กระทู้นี้ดีครับ สนับสนุน

ขอบคุณมากครับ

kimnaja
1st March 2012, 16:21
http://www.jrmotor.com/images/photo_1213436194/1213436567.jpg
โครตงามอ่ะ

PKbiw
1st March 2012, 20:51
สุดยอด มี ประวัติของ มอเตอร์ไซด์ ไหม

หามาให้ได้แล้ว นะครับ

earthcici
1st March 2012, 21:23
โอ้วๆอัดแน่นๆ ผมอ่านตั้งแต่ต้นยันจบที่เฟอร์รารี่เลยนอกนั้นตาลายอ่านไหว แหะๆ
แต่ผมอยากได้ประวัติของค่ายมอไซค์เขียว Kawasaki อ่ะเผื่อมีคนอยากอ่านด้วย:cool:

PhraoBWS
1st March 2012, 21:31
ขอบคุณสาระดีๆ ดีที่สุดเลย
ชอบเรื่องรถมากๆ :eek:

BL!TZ
1st March 2012, 21:35
ความรู้ทั้งนั้น +++

jokabobo147
1st March 2012, 21:37
http://www.jrmotor.com/images/1192181943/dream100_2.jpg
คันนี้ยังใช้อยู่เลย 55+

PKbiw
2nd March 2012, 19:18
โอ้วๆอัดแน่นๆ ผมอ่านตั้งแต่ต้นยันจบที่เฟอร์รารี่เลยนอกนั้นตาลายอ่านไหว แหะๆ
แต่ผมอยากได้ประวัติของค่ายมอไซค์เขียว Kawasaki อ่ะเผื่อมีคนอยากอ่านด้วย:cool:

ได้ครับๆ เดะจัดให้

propinter
2nd March 2012, 20:41
อยากได้ประวัติ Ducati อ่ะครับ

PKbiw
4th March 2012, 00:59
kawasaki


Shozo Kawasaki ผู้ก่อตั้งทำการเปิดอู่ต่อเรือ Kawasaki Tsukiji ที่ทำการต่อเรือเดินสมุทรเหล็กกล้าแบบตะวันตก
ในกรุงโตเกียวในปี 1886 ขอบเขตของกิจการได้ขยายจนก่อตั้งเป็นบริษัทอู่ต่อเรื อ Kawasaki ในเมืองโกเบ

บริษัทอู่ต่อเรือ Kawasaki จำกัดอยู่ในรูปของบริษัท โดยมี Kojiro Matsukata ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคนแรก ของบริษัทใหม่นี้

โรงงาน Hyogo แห่งใหม่ได้เริ่มประดิษฐ์หัวรถจักร, รถบรรทุกผู้โดยสารและสินค้า และคานสะพาน ซึ่งก็เป็นปีที่
Kawasaki เริ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องจักรไอน้ำแบบใช้ในเรือที ่อู่ด้วย


แผนกอากาศยานที่โรงงาน Hyogo, 15 ปีเล็กน้อยหลังจากที่เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของพี่น้ องตระกูลไรท ์ เมื่อเครื่อง บินยังคงต่อจากไม้และผ้าทอ และยังสามารถเดินทางได้ในระยะทางสั้น ในปี 1922 บริษัทได้เริ่มผลิตอากาศยานและต่ออากาศยานแบบใหม่ Kawasaki ได้ทำการผลิตอากาศยานโลหะลำแรกของญี่ปุ่นซึ่งเป็นต้น แบบของการคิดค้นเทคโนโลยีสำหรับปัจจุบัน
1919แผนกเรือบรรทุกได้ขยายตัวกลายเป็นรูปบริษัท Kawasaki Kisen Kaisya จำกัด (K-line) 1928โรงงาน Hyogo ขยายตัวกลายเป็นรูปบริษัท Kawasaki ผลิตรถไฟบรรทุกสินค้าจำกัด 1937แผนกอากาศยานขยายตัวกลายเป็นบริษัท Kawasaki อากาศยานจำกัด 1950

แผนกผลิตเหล็กกล้าได้ขยายตัวแล้วรวมตัวเป็นบริษัท Kawasaki เหล็กกล้า เมื่อบริษัทได้ขยายตัวขึ้น แผนกรถไฟ
บรรทุก สินค้า, อากาศยานและผลิตเหล็กกล้าก็กระจายตัว เพื่อปูทางสำหรับการเจริญเติบโตที่มั่นคงในแต่ ละ ด้าน งาน
การต่อเรือ, รถไฟบรรทุกสินค้า, อากาศยาน, เครื่องจักรก่อสร้างและอุตสาหการ และธุรกิจสิ่งก่อ สร้าง เหล็กกล้า ได้มี
บทบาทสำคัญใน การฟื้นตัวและการขยายเศรษฐกิจช่วงหลังสงคราม ซึ่งบริษัทประสบความ สำเร็จอย่าง มหาศาล จนกระ
ทั่ง ประเทศญี่ปุ่นได ้จับตามมองว่าบริษัทจะกลายมาเป็น บริษัทผู้นำของโลกด้าน อุตสาหกรรม 1966
ควบรวมกับบริษัท Yokoyama Kogyo จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตหม้อน้ำ, คาน และ สายพาน

Kawasaki และบริษัทอากาศยาน Kawasaki ควบรวมเป็น
บริษัท อุตสาหกรรมหนัก Kawasaki จำกัด ด้วยสมรรถภาพในการจัดการโครงการทั้งบนบก, ในทะเล และบนอากาศ
Kawasaki ได้เพิ่มความแข็งแกร่งของฐานการผลิตให้เป็นบริษัทวิศ วกรรมที่มีระบบที่ครอบคลุม
1972

ควบรวมกับบริษัท Kisha Seizo จำกัด แล้วกลายมาเป็นผู้นำของญี่ปุ่นในด้านอุตสาหกรรมรถไฟบ รรทุกสินค้า
การดำเนินการได้ขยายในงานด้านการกำจัดขยะของเทศบาล ในศตวรรษที่ 20 เป็นผู้นำเข้าความก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยีอย่างไม่น่าเชื่อ Kawasaki ยังร่วงรู้ถึงความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และความเชี่ยว
ชาญด้านวิศวกรรมเพื่อเพิ่มโครงการไปทั่วโลก

ริ่มการผลิตจักรยายนต์ในสหรัฐฯ โดยนำหน้าผู้ผลิตยาพาหนะยนต์อื่นๆของญี่ปุ่น บริษัทได้ขยายการผลิตในสหรัฐฯ
เป็นรถไฟบรรทุกสินค้าในปี 1986 และเครื่องจักรก่อสร้างในปี 1988
1989
ได้รับงานก่อสร้างสะพาน Akashi Kaikyo ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งเปิดในปี 1998 งานของ
Kawasaki ยังได้ก่อสร้างหนึ่งในสองตึกหลักของสะพาน
1991
เครื่องขุดเจาะอุโมงค์ของ Kawasaki 2 เครื่องได้เสร็จก่อนกำหนด 8 เดือน ซึ่งช่วยในงานขุดเจาะอุโมงค์
ช่องแคบเชื่อมต่อสหราชอาณาจักรกับประเทศฝรั่งเศส

2002
บริษัทต่อเรือ Kawasaki และ เครื่องจักรแบบประณีต Kawasaki จำกัด ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในลักษณะบริษัท สาขาที่บริษัทแม่ถือครองโดยทั้งหมด
2005
บริษัทระบบโรงงาน Kawasaki จำกัด(K Plant) ถูกก่อตั้งขึ้นในลักษณะบริษัทสาขาที่บริษัทแม่ถือครอ ง โดยทั้งหมด
2006
บริษัทวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม Kawasaki จำกัด (KEE) ถูกก่อตั้งขึ้นในลักษณะบริษัทสาขาที่บริษัทแม่ถือครอ งโดยทั้งหมด
2007วันที่ 1 เดือนเมษายน K Plant และ KEE ควบรวมเป็น K Plant ใหม่

ap10308280
4th March 2012, 01:05
Lamborghini แรงที่สุด

unname1906
4th March 2012, 01:12
สาระทั้งนั้น

PKbiw
4th March 2012, 01:14
อยากได้ประวัติ Ducati อ่ะครับ

ประวัติความเป็นมา DUCATI MONSTER
ประวัติของสายพันธุ์เริ่ีมต้นจาก Ducati Monster 900 ที่เปิดตัวครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์เมืองโคลจญ์ ประเทศเยอรมันนีปี 1992 ในช่วงเวลาที่กระแสความนิยมยังคงอยู่ที่รถสปอร์ตสไตล์รถแข่งสนาม สำหรับ Ducati Monster ทีมออกแบบได้คิดนอกกรอบสวนทางกับความนิยมในช่วงนั้น เน้นการออกแบบที่ดูไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย ขับขี่ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะการขับขี่สูงมากนัก

ด้วยวิธีคิดด้านดีไซน์แนวใหม่นี้ทำให้มีผู้ผลิตของตกแต่งสำหรับ Ducati Monster ออกมาร่วมสร้างสรรค์ชิ้นส่วนของตกแต่งอย่างหลากหลาย และทำให้เป็นรถรุ่นแรกๆของยุโรปที่แต่ละคันจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองจนแทบจะไม่เห็น Ducati Monster 900 เหมือนกันเลยสักคันเดียว ซึ่งเป็นเครืองพิสูจน์ว่าการดีไซน์ที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่แฝงด้วยเทคโนโลยี่ระดับสูงอยู่ภายในโดนใจผู้ใช้รถ โดยเฉพาะการใช้สเปสเฟรม (Space Frame) กับเครื่องยนต์แบบ L-twin อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ducati ได้ส่งอิทธิพลต่อรถรุ่นถัดๆมาอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าแง่ผู้ผลิตอย่าง Ducati แล้วการถูกเลียนแบบของรถค่ายอื่นๆ หลังจากนั้นเป็นการให้คำชมที่ดีที่สุด


MONSTER 696 "Less-is-More"
การกลับมาอีกครั้งของ Monster สำหรับโมเดล 2009 ยังคงอยู่บนพื้นฐานของรถที่ดูเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี่ล่าสุด ภายใต้วลี Less is More การปรับปรุงใหม่ของสายพันธุ์ Monster ครั้งนี้นอกจากเรื่องดีไซน์ภายนอกที่สะดุดตายิ่งกว่าเดิมแล้วในแง่การใช้งาน M696 ใหม่เป็นรถที่ขับขี่ได้ง่ายด้วยเบาะนั่งที่สูงเพียง 770 มม. ตัวรถใต้เบาะนั่งแคบเหมาะกับการใช้งานในเมืองหรือชีวิตประจำวัน และด้วยองศาของชุดกันสะเทือนหน้าแค่ 24 องศา ทำให้มันเป็นรถรถที่พลิกพลิ้วในโค้งได้ง่ายไม่ต่างจากรถสปอร์ตยามเมื่อต้องเจอโค้งบนเขา โดยยังคงความสะดวกสบายจากระดับแฮนด์ที่กว้างและสูงกว่ารถสปอร์ตปกติ การควบคุมรถจึงง่ายและเบาแรงเหมาะกับนักขี่ทุกระดับ



เครื่องยนต์ L-Twin 696 ซีซี. ระบบวาล์ว Desmodromic
เครื่องยนต์ของ M696 นั้นได้พัฒนาการต่อยอดมาจากเครื่องของ 695 โดยปรับปรุงเพิ่มแรงม้ามากว่ารุ่นก่อน 9% เป็น 80แรงม้า HP และเพิ่มแรงบิดขึ้นจากรุ่นก่อน 11% เป็น 7 กิโลกรัม-เมตร การวางเครื่องยังคงเป็นแบบ 2 สูบ L-twin ขับเคลื่อนวาล์วไอดีไอเสีย (2 วาล์ว-สูบ) ด้วยเทคโนโลยี Desmodromic ( ลิขสิทธิเฉพาะสำหรับมอเตอร์ไซค์ Ducati เท่านั้น) ช่วยให้อัตราเร่งไม่มีการ lag เหมือนรถที่ใช้สปริงวาล์วทั่วไป


ปลอดภัยด้วย****ต์ Ducati APTC
ระบบ****ต์ Ducati APTC ( Adler Power Torque Plate Clutch ) ออกแบบมาเพื่อรองรับแรงบิดสูงๆ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของชุด****ต์ ขณะเดียวกันก็ป้องการการเกิด Back Torque หรือแรง Engine brake ที่มากเกินไปจากการลดเกียร์อย่างรวดเร็วซึ่งเป็นอันตรายต่อการขับขี่อย่างมาก โดยการทำงานแล้ว ชุดกลไกของ****ต์จะตัดจากการเกิด Back torque ให้เหลือแค่ 40 % โดยอัตรโนมัติเมื่อมีแรงดึงกลับของเครื่องยนต์ถึงจุดที่กำหนด ระบบ APTC นี้ถูกคิดค้นโดยทีมวิศวกรของ DUCATI และเริ่มนำมาใช้กับรถโปรดักชั่นทั่วไปตั้งแต่ Monster 620 ตั้งแต่ปี 2004


ระบบหัวฉีดอิเลคทรอนิกส์ ขนาดท่อไอดี 45 มม.
นอกจากระบบวาล์วแบบ Desmodromic แล้วหัวใจหลักของกำลังเครื่องยนต์คือระบบส่งไอดีของ M696 คือชุดหัวฉีดอิเลคทรอนิกส์ ที่ควบคุมด้วย ECU ของ Siemens พร้อมกับท่อทางเดินไอดีที่กว้างขวางถึง 45มม. ทำให้กำลังที่ได้มากมายถึง 80 แรงม้า


หม้อกรองอากาศขนาด 10 ลิตร
การเพิ่มพลังของเครื่องยนต์นั้นส่วนหนึ่งได้จากปรับปรุงชุดหม้อกรอกอากาสที่มีความจุถึง 10 ลิตร ช่วยดึงอากาศเย็นที่มีความหนาแน่นสูงกว่าเข้าได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอ ทำให้อัตราเร่งต่อเนื่องและลดแรงต้านการเคลื่อนตัวของลูกสูบในจังหวะดูดไอดี

ระบบระบายความร้อนเป็นแบบ Air Cool
ที่ออกแบบครีบระบายความร้อนได้รวดเร็ว แต่ช่วยตัดปัญหาเรื่องการดูแลระบบหล่อเย็นอันเป็นภาระประการหนึ่งของนักขี่ที่ต้องใช้งานในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น


โครงสร้างหลัก ( เฟรม ) แบบ Hybrid-Trellis
เฟรมหลักของ M696 เป็นการต่อยอดจากโครงสร้างแบบ Space Frame ใช้การคำนวณและออกแบบโครงสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ ตัววัสดุเป็นโครโมลี่คุณภาพสูง และเป็นโครงสร้างแบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง Ducati ใน MotoGP ซึ่งมีความแข็งแรงทางโครงสร้างสูง มีน้ำหนักเบา และช่วยเพิ่มพื้นที่การไหลเวียนอากาศบริเวณฝาสูบและเรือนเครื่องยนต์ได้อย่างดี ส่วนชุดซับแฟรมท้ายเป็นอลูมิเนี่ยมหล่อขึ้นรูปน้ำหนักเบา ซึ่งความแข็งแรงทางโครงของทั้งเฟรมหลักและซัปเฟรมนี่เองส่งผลให้ M696 ลดน้ำหนักรวมสุทธิลดลงเหลือเพียง 161 กก.เท่านั้น



ระบบกันสะเทือนหน้า USD 45 มม /หลังช๊อกเดี่ยว Sachs
ระบบกันสะเทือนของ M696 ใช้ของ Showa แบบเทเลสโกปิคหัวกลับ (USD) ขนาด 45 มม. มีระยะยุบตัวที่ 120 มม. ทำงานร่วมกับชุดแผงคอปิกนก และใช้จุดยึดกับแกนช๊อกอัพแบบ Double Clamp ช่วยลดแรงสะเทือนจากล้อหน้าได้อย่างดี ส่วนด้านหลังเป็นโมโนช๊อก ของ Sachs ทำงานร่วมสวิงอาร์มแบบอลูมิเนี่ยมทรงปีกนก สามารถปรับสปริง Pre-load ได้อิสระด้วยเกลียวสปริง



อำนวยความสะดวกด้วยเรือนไมล์ดิจตอล
ชุดเรือนไมล์ของ MONSTER 696 มิใช่เพียงแค่อุปกรณ์บอกความเร็วหรือวัดรอบ แต่โรงงาน Ducati ได้เพิ่มเติมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่การขับขี่เข้าไปมากมายเช่นระบบ DDA (Ducati Data Analyser) จากเทคโนโลยีล่าสุดของรถแข่ง Ducati ใน MotoGP ช่วยเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกดูข้อมูลเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องละมือออกจากการควบคุมรถ ผู้ขับขี่ใช้เพียงมือซ้ายในการควบคุมการแสดงข้อมูล้เช่น เตือนเรื่องระยะเวลาการเข้ารับการตรวจเช็คหรือซ่อมบำรุง ความร้อน-น้ำมันเครื่อง ระยะเวลาต่อรอบ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อรวมกับอุปกรณ์มาตราฐานสัญญานมาตราฐานเช่น เตือนระดับน้ำมันเครื่อง, อุณหภูมิเครื่องยนต์ ฯลฯ ทำให้เรือนไมล์ของ Ducati Monster เป็นเหมือนหน้าต่างที่คุณสามารถพูดคุยกับรถของคุณได้ตลอดเวลา




หยุดสั่งได้ด้วยระบบเบรกจาก Brembo ทั้งหน้า-หลัง
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมอเตอร์ไซค์จาก Ducati ทุกคันก็คือระบบเบรกที่ยอดเยี่ยมจาก Brembo ช่วยในการหยุดรถหรือชลอรถอย่างมั่นใจได้ Monster 696 ได้ติดตั้งระบบเบรกหน้าแบบทวินดิสก์ขนาด 320 มม.และแม่ปั๊มเบรกขนาด 4 ลูกสูบ(ต่อข้าง) โดยใช้แท่นติดตั้งแม่ปั๊บล่างแบบ Redial - Mount เช่นเดียวกับรถสปอร์ตแรงสูงอย่าง 1098 หรือ Desmosedici RR ส่วนเบรกหลักใช้แบบซิงเกิ้ลดีสก์ขนาด 245 มม. แม่ปั๊มเบรกหลังขนาด 2 ลูกสูบ



ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ ด้วยกุญแจ Immobilizer
M 696 ได้ติดตั้งชุดกุญแจเข้ารหัส Immobillizer ตามมาตราฐาน EURO ซึ่งเป็นข้อกำหนดเรื่องการป้องกันภัยจากการโจรกรรม อันเป็นมาตรมาฐานยุโรปอย่างครบถ้วน กุญแจของ M 696 เป็นแบบเข้ารหัสเฉพาะคันตัดปัญหาเรื่องการใช้กุญแจผีที่ใช้ในการโจรกรรมได้อย่างดี


DUCATI Monster 696 เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปรวมถึงการท่องเที่ยว ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ DUCATI เครื่องยนต์ที่ควบคุมง่าย น้ำหนักเบา คนที่มีความสูงเพียง 165 cm ก็สามารถขับขี่ได้โดยไม่ยากนักโดยเฉพาะ ท่านที่พึ่งหันมาสนใจการขับขี่มอเตอร์ไซค์ M696 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดรุ่นหนึ่ง และคุณสามารถเยี่ยมชมตัวเป็นๆ ของ M696 ได้แล้่ววันนี้ที่โชว์รูมของ DUCATISTI


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/011.jpg?1330797737781
ภาพล่างในขั้นตอนการ Design ก่อนจะออกปรากฏร่างจริง สำหรับ M696 ด้วยวิธีคิด LESS IS MORE

http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/001.jpg?1330797737781
Ducati Monster 696 ( M696 ) ปี 2009 ) มาให้ทุกท่านได้ชมตัวเป็นๆ แล้วที่โชว์รูม DUCATI Thailand


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/009.jpg?1330797737781
เครื่องยนต์ L-twin 80 แรงม้า ขุมกำลังม้าจากชุดหัวฉีด และระบบวาล์ว แบบ Desmodromic

http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/010.jpg?1330797737781
ช่อง Air Duct ด้านข้างถังน้ำมันช่วยอัดอากาเย็นเข้าสู่หม้อกรองขนาด 10 ลิตรอย่างจุใจ

http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/006.jpg?1330797737781
เฟรมหลักทำจากโครโมลี่ ดีไซน์โครงแบบ Hybrid-Trellis ด้วยคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะขึ้นรูปจริงเพื่อทำการทดสอบต่อไป


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/002.jpg?1330797737781
ชุดเรือนไมล์ Digital ที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน สามารถควบคุมการแสดงผลทางจอได้เพียงปลายนิ้วจากแฮนด์ข้างซ้าย


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/003.jpg?1330797737781
จานเบรกหน้าขนาด 320 mm พร้อมแม่ปั๊ม Brembo ขนาด 4 ลูกสูบต่อข้าง


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/004.jpg?1330797737781
ชุดกุญแจ Immobilizer ป้องกันการโจรกรรม


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/005.jpg?1330797737781
ไฟหน้าแบบแยกชิ้นตัวโคมแบบ Multi Refrector ไฟเลี้ยวหลบมุมป้องกันการเสียหายโดยไม่ตั้งใจ


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/007.jpg?1330797737781
ท่อไอเสียแบบคู่ทำจากอลูมิเนี่ยม มาตราฐานไอเสีย EURO3


http://ducatithailand.com/scoops/M696/images/thumb/008.jpg?1330797737781

M696 มีความคล่องตัวสูงจากองศาหักเลี้ยวด้านละ 32องศา น้ำหนัก 161 กก พร้อมกับถังน้ำมัน 15 ลิตร เหมาะที่จะเป็นรถใช้งานอเนกประสงค์ ตามไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์ของคุณเอง


ขอบคุณเว็บดีๆ อย่าง http://ducatithailand.com/scoops/M696/ ที่ให้ข้อมูล ขอบคุณมากครับ

กดขอบคุณกับคอมเม้นมากๆ น้อ

bionicle99
4th March 2012, 10:31
ถ้าแต่งกระทู้ให้สวยๆหน่อยนี่แจ่มเลยครับ แล้วรูปไม่ต้องใช้ขนาดเต็มก็ได้ครับ +1 กับความพยายาม ความรู้ใหม่ครับ

August
4th March 2012, 15:31
สวยๆทั้งนั้นเลยครับ

รถใหม่ก็สวย รถเก่าก้สวย อยากได้หมดเลย

รถใหม่ๆ ชอบ audi r8 bmw z4 มากๆๆ

อยากได้สักคัน