PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : เสียงกระซิบ Whispering [นิยาย หัดแต่งครับ ไม่ค่อยรู้หลักเท่าไร แนะนำด้วยนะครับ !!]



HapPyFridaY
2nd March 2012, 02:52
คือแบบว่า เกิดอารมณ์ศิลป์น่ะครับ เลยเอามาเขียน พอดีมันมือ เลยขอให้ช่วยติชมให้หน่อย



แสงสว่างนั้น จะคอยนำทาง แต่ว่า....ฉันได้บังเอิญสูญเสียมันไปแล้ว

บทที่ 1 บทของหญิงสาว ความมืดในดวงตาและจิตใจ
ดวงตาข้างซ้ายที่บอดสนิท ดวงตาข้างขวาที่รอการผ่าตัด กับโอกาสที่จะสำเร็จ ไม่ถึง 50% โลกอันมืดสนิทที่อาจไม่ใช่แค่การคิดไปเอง
ฉันเป็นลูกสาวของนักธุรกิจชื่อดัง มากมายชื่อเสียงเงินทอง ทว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม การงานก็ย่อมสำคัญกว่าลูกตัวเอง
ตอนนี้ ที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล ในห้องที่มีฉัน และพยาบาลดูแลส่วนตัว 1 คน ซึ่ง ก็ไม่ค่อยจะสนใจคนไข้เท่าไร เฮ้อ........
"เอ่อ คุณพยาบาลคะ วันผ่าตัดนี่วันที่เท่าไรคะ?"
"อีก 2 วันค่ะ"
คำตอบสั้นๆ และเข้าใจง่ายของนางพยาบาล ทำให้บรรยากาศเริ่มไร้รสชาติในทันที
อีก 2 วันสินะ ที่จะมาลุ้นกับดวงอันสั้นจู๋กับกำลังใจอันน้อยนิดจากตัวเอง นี่คือ 2 อย่างที่ฉันมีเพื่อก้าวสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน
ความรู้สึกที่แสนเบื่อหน่ายเริ่มแทรกเข้ามา หลังจากความเงียบมาเยือนห้องนี้ แต่ทว่า .. หลังจากที่เข้าโรงพยาบาลนี้มา
เสียงกระซิบแผ่วๆที่ดังเป็นระลอก ที่ดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง หรือเสียงแปลกๆที่ไม่เคยได้ยินก่อนหน้านี้ บางที
อาจจะคิดไปเองก็ได้ฉันอาจจะยังไม่ชินกับการมองไม่เห็น หรือกังวลกับคำตอบหลังผ่าตัด จนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
แปลกแฮะ ในตัวอาคารทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนอยากออกไปที่ไหนก็ได้ ไกลๆจากที่นี่ ทั้งเสียงที่กระซิบดังจากข้างห้อง
เสียงจากชั้นบน จากชั้นล่าง
"คุณพยาบาลคะ ชะ..ช่วยอ่านนิยายเล่มนี้ให้หน่อยสิคะ คือ ฉันอ่านใกล้จบแล้วน่ะค่ะ มันรู้สึกค้างคายังไงไม่รู้"
"ได้สิ หน้าไหนล่ะ"
"หน้าที่ 370 ค่ะ ย่อหน้าที่ 3 คิดว่าน่าจะเป็นตรงนั้นแหละค่ะ"
เป็นนิยายเล่มเดียวที่ฉันพกไปไหนมาไหนด้วยตลอด เวลาฉันอ่านนิยายแล้วมักจะรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิยาย มันช่าง..
เป็นอะไรที่สุดยอดจริง แต่ว่า พอได้ยินคุณพยาบาลอ่าน น้ำเสียงแบบเบื่อหน่าย แบบที่ว่า เซ็งว่ะ! ไหลออกมาจากน้ำเสียง
ทำให้นิยายที่เปรียบดั่งหนังมหากาพย์พันล้าน กลายเป็นเสียงพระสวดแบบส่งๆ ไปในบัดดล เวลาผ่านไปสักพัก
คุณนางพยาบาลก็หนีจากการสวด โดยการขอตัวไปพัก ฉันก็คิดในใจอยู่ว่า ให้เธอไปพักซะได้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากที่ฉันอยู่คนเดียวในห้องคนไข้ เสียงแปลกๆก็เริ่มกระซิบกันอีกครั้ง ทำให้รู้สึกรำคาญบ้าง แต่ว่า มันก็แปลกดีนะ
ที่มันทำให้ฉันรู้สึกไม่เหงา เหมือนมีเพื่อนๆอยู่เต็มไปหมด ความรู้สึกที่ไม่ดีแว่บนึงที่ผ่านเข้ามาในสมอง เหมือนกับบางอย่าง
ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไปแต่มันกลับจำได้อย่างไม่ลืมเลือน
"เสียงของวิญญาณ"
ทำไมกันนะ ความคิดนี้ทั้งๆที่อยากจะลืมมันไป แต่เหมือนกับว่า ยิ่งอยากลืม ตัวเองกลับตะโกนในจิตใจซ้ำๆซากๆ
มันทำให้รู้สึกคนลุกเหมือนกับว่า มันอยู่ข้างๆนั่นแหละ
"บะ...บ้าน่า วิญญาณจะมีจริงได้ยังไงล่ะ"
"มีสิ !!!"
เหมือนกับว่าเสียงกระซิบที่ได้ยินไม่รู้เรื่องตอนแรกนั้น มีคำที่แทรกออกมา ยิ่งทำให้ความรู้สึกอยากหนีออกไปจากที่นี่
แต่ว่าไอ้การมองไม่เห็นนี่มันเกะกะชะมัดเลยว๊อยยยยยย !!! สิ่งที่เหมือนจะทำใจกับการมองไม่เห็นได้พังทลายไปแล้ว ความคิดฟุ้งซ่าน
ได้ผุดขึ้นมาในหัวจำนวนมากมาย แต่ทำไม...เวลาคิดฟุ้งซ่าน แล้วเสียงกระซิบมันดังขึ้นทีละน้อย ... จนบางครั้งมันทำให้รู้สึกว่า
เหมือนมีคนจำนวนมากมาพูดคุยกันอยู่ในห้องนี้
เสียงประตูเปิดดังขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสียงกระแทกเท้าเวลาเดินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนางพยาบาลคนเดิมนั่นแหละ เสียงกระซิบ
ก็หายไป รู้สึกว่านางพยาบาลกลายเป็นนางฟ้ามาโปรดแว่บนึงทันที ถึงแม้จะแค่เดินเข้ามาในห้องก็เถอะ
ด้วยความรู้สึกที่ผ่านมาเมื่อตะกี้ทำให้อยากออกไปจากที่นี่ ออกไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ ถึงจะแค่เวลาสั้นๆ
"คุณพยาบาลคะ คือ พาออกไปเดินเล่นหน่อยได้ไหมคะ"
"ได้สิ ฉันก็เบื่อๆอยู่เหมือนกัน"
เป็นความรู้สึกครั้งแรกที่นางพยาบาลหัวใจเธอสวยมาก !!
หลังจากที่เธอพาเดินลงชั้นล่าง เสียงกระซิบก็เริ่มถี่ขึ้น แบบว่า มีทุกห้องที่ผ่าน มีห้องๆนึงที่เสียงมันจะดังมากกว่าปกติ เหมือนกับว่า
อยู่กันหลายคน ฉันเลยถามพยาบาลด้วยความสงสัย
"เมื่อกี๊ห้องอะไรคะ?"
"ห้องดับจิตค่ะ"
เป็นคำตอบที่รวดเร็วแบบไม่ได้ตั้งตัว เหมือนถูกยิงด้วยลูกซองเข้าที่กลางอก
ความรู้สึกที่อยู่ในห้องคนเดียวหวนกลับมาอีกครั้ง ทั้งๆที่บนทางเดินมีคนมากมายกลับรู้สึกหวาดกลัวแบบบอกไม่ถูก
ความรู้สึกที่ก้าวเข้ามาอยู่ในโลกที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ เหมือนกับว่าถูกจ้องอยู่ฝ่ายเดียว......
ไออุ่นที่กระทบผิวหนังบ่งบอกว่าออกมาข้างนอกตัวตึกแล้วเสียงกระซิบก็เงียบหายไป เหมือนกับว่ามันอยู่แค่ในตัวตึก
นางพยาบาลพามาจนถึงใต้ต้นไม่ต้นหนึ่ง บรรยากาศเย็นสบาย เสียงนกรอบๆบริเวณนั้นทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย
"นี่มันสวรรค์ชัดๆ"
ฉันอุทานออกมาพร้อมกับความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ฉัน.......................ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน.........
"เห้อ.....เบื่อชะมัด"
เสียงๆชายคนหนึ่งดังออกมาจากบริเวณใกล้ๆ
นางพยาบาลขอตัวไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เหมือนมีอะไรเร่งด่วนโดยปล่อยฉันไว้กับนิยายเล่มหนึ่ง แล้วก็ชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง
เธอคงเห็นว่าเขาไว้ใจได้ เลยปล่อยฉันไว้กับเขาเพียงลำพัง แล้วก็ไม่รู้จะทักอะไรไป...
"เอ่อ...."
"อะไรรึ"
การตอบกลับอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าจะพูดอะไร ทำให้ฉันชะงักไปหน่อยนึง
"คือ.. คุณเป็นใครเหรอคะ"
ฉันถามด้วยความรู้สึกปนความสงสั ว่าทำไมนางพยาบาลถึงปล่อยฉันไว้กับเขา
"ฉันก็อยู่แถวนี้แหละ เรียกว่า สิง อยู่ก็ได้มั้ง"
ฉันหัวเราะเบาๆ เขาคงอยู่ที่นี่บ่อยมากๆ จนถึงกับเรียกว่าสิงเลยทีเดียว
"ฉันจะเรียกคุณว่าอะไรดีล่ะคะ"
เหมือนกับว่าถามชื่อแบบติดตลก
"นั่นสินะ... ชื่อเนี่ยมันจำเป็นขนาดนั้นเชียวเหรอ"
"อ้าวถ้าไม่มีแล้วจะเรียกถูกได้ยังไงล่ะคะ !!"
ฉันตอบกลับแบบเซ็งๆ ด้วยอารมณ์ที่ว่า มันจะหวงชื่อไว้ทำไม เอาเป็นว่าฉันแนะนำตัวก่อนก็ได้ฟร่ะ
"ฉันชื่อ...."
"ไม่จำเป็นหรอก"
ชายหนุ่มตอบกลับอย่างรวดเร็ว เออ!! เอางั้นก็ได้ ชักจะรำคาญเต็มทนละ
"นั่งสิ ไม่เมื่อยเหรอ"
แต่ว่าเสียงที่เป็นมิตรแบบนี้ โกรธไม่ลงเลยแฮะ พื้นหญ้าก็นิ่ม ไม่เจ็บก้น ที่นี่ มันเป็นยังไงกันแน่นะ
"เธอ ขออ่านหนังสือนั่นหน่อยสิ"
"อ๊ะ ได้ค่ะ"
เอ๊ะ หมอนี่ชอบอ่านนิยายด้วยแฮะ อย่างน้อยๆก็มีเรื่องที่พอจะคุยกันได้หน่อยล่ะนะ
"เปิดหนังสือให้ด้วยสิ"
ห่ะ .................. หรือว่า หมอนี่เป็นเดชไอ้ด้วน แขนขาดสินะ ถึงว่า นางพยาบาลเลยกล้าปล่อยหมอนี่ไวกับเรา
"คือว่า..ช่วยอ่านออกเสียงให้หน่อยได้ไหมคะ คือ ฉันอยากฟังด้วยคน"
"ได้สิ"
น้ำเสียงของเขาช่างมี เสน่ ถึงแม้จะเคยอ่านมาตั้งตอนแรกก็เถอะ แต่ว่า มันสนุกกว่าที่อ่านเองมากเลย เขาคงจะเคยพวกพิธีกร
หรือพวกทอล์กโชว อะไรเทือกนั้นสินะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันไม่อยากให้วันนี้มันหมดลงไปเลย ความสุขจากการมีเพื่อนอ่านนิยาย มันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ
"วันนี้พอแค่นี้ละกันนะ"
"ดะ.....เดี๋ยวสิ"
หลังจากคำอำลาสั้นๆ แล้วก็หายไปเลย ทำให้ใจหายแว้บ นี่เราจะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้วหรือ ไม่นะ..ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว
ฉันไม่อยากเข้าไปในตึกบ้าๆนั่น มันจะรุมแดรกฉันตอนไหนก็ไม่รู้ นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่ฉันรู้สึกกังวลมากขนาดนี้ เหมือนกับตอนที่รู้ว่า
โอกาสมองไม่เห็นมันมีมากกว่าโอกาสที่จะมองเห็นนั่นแหละ
เสียงกระแทกเท้าดังมาแต่ไกล นางพยาบาลคนเดิมนั่นเอง
"ได้เวลาพักผ่อนแล้วค่ะ"
แล้วฉันก็ต้องจากที่นี่ไปโดยไม่มีทางเลือก มีคำถามนับล้านที่อยากจะถามชายแขนด้วนปริศนาคนนั้น อยากจะรู้ชื่อ อยากจะปรึกษา
แต่ดันตัดบทหนีกันหายจ้อยแบบนี้ มันน่าจะเอาหนังหน้ามันมาสัมผัสกับสันหนังสือนัก และแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำแบบนั้น ฉันต้อง
กลับไปสู่ตึกอันแสนจะน่ากลัว แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้นี่นะ เอาเป็นว่า ทำใจไว้รอเลยละกัน
หลังจากที่รูสึกว่าเขามาอยู่ในตัวตึก ก็ไม่ได้ยินเสียงกระซิบอะไรเลย เป็นความรู้สึกที่ปกติสุดๆ อาาาา............คืนนี้คงจะหลับฝันดี

จบบทแรก

บทที่ 2 บทของชายหนุ่ม จิตวิญญาณที่เร่ร่อน


วันเวลาที่ผ่านพ้นไป....ช่างน่าเบื่อหน่าย

บทที่ 2 บทของชายหนุ่ม จิตวิญญาณที่เร่ร่อน
ผมอยู่ที่นี่ ที่ต้นไม้ใหญ่แห่งนี้ ผมอยู่มากับมัน ตั้งแต่มันเกิดขึ้นมา อายุของมันรวมๆแล้วน่าจะได้ สักสองร้อยกว่าปีได้ล่ะมั้ง
ผู้คนเรียกต้นไม้นี้ว่าต้นก้ามปู ผมเองก็ไม่สนใจนักหรอกตอนแรกๆก็ดีใจเหมือนกัน ความรู้สึกที่อายุยืนนาน แต่ว่านะ การได้เห็นใครต่อใคร
จากไปมันก็น่าเศร้าใจเหมือนกัน ปัจจุบันการมีตัวตนของผมเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่าย แค่รอเวลาผ่านไปวันๆ หลังจากที่มีโรงพยาบาล
มาสร้างใกล้ๆ แล้วก็ตกแต่งบริเวณโดยรอบ อาาาาา ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของกระผมเลยทีเดียว แต่ก็นะ ที่นี่มันคือโรงพยาบาล
ชีวิตเริ่มต้นที่นี่ จากไปที่นี่ มีความสุขที่นี่ มีความทุกข์ที่นี่ หลายๆคนไม่อยากจะมาที่นี่ แล้วก็หลายๆคนอยากจะออกไปจากที่นี่ แต่ก็นะ
ถึงจะยังไงก็เถอะ ผมก็เฝ้ามองดู อยากให้พวกเขามีความสุขเหมือนกันนะ หลายๆคนที่หาที่พึ่งลำบาก ก็มาพึ่งต้นไม้เก่าๆต้นนี้ ผมก็
ช่วยได้เท่าที่จะช่วยละกัน ถึงจะเห็นผมเป็นแบบนี้นะ ผมก็ช่วยคนอื่นได้นะ วิธีการไหนน่ะเหรอ เอาเป็นว่า เอาไว้คุยหลังจากนี้ก็แล้วกัน
ผมเป็นใครน่ะหรือ แหมๆๆ ผมก็เขินเหมือนกันนะ พูดออกไปตรงๆแบบนี้ ผมคือ !! วิญญาณที่รักต้นไม้ต้นนี้ยังไงล่ะ
เรื่องของเรื่องคือว่า ผมกับต้นไม้ต้นนี้ผูกพันกันมานานมากๆ แต่ว่าอุบัติเหตุบางอย่างทำให้ผมต้องจบชีวิตลง ด้วยความผูกพัน ท่านยมทูต
แสนใจดี บอกว่า ถ้ารักกันมากนักก็อยู่ด้วยกันซะเลยสิ ตั้งแต่นั้นมา ผมก็โดนผูกติดกับต้นไม่ต้นนี้ ส่วนวันที่จะมารับก็คือวันที่ต้นไม้ต้นนี้
หมดซึ่งลมหายใจ ซึ่ง ดูจากปัจจุบันต้นไม้นี้ยังคงแข็งแรง คงทน เป็นที่ร่มเย็นไปอีกนานโขเลยล่ะ หลังจากที่หลายๆคนเริ่มมาพักผ่อน
ใต้ต้นไม้นี้ผมก็ไม่ค่อยเหงาเท่าไร ผู้คนผลัดเปลี่ยนแวะเวียนกันมาเรื่อยๆ มากหน้าหลายตา แต่ว่าผมก็ไม่อยู่เฉยๆนะ ผมก็ช่วยดูแลบริเวณโดยรอบ
ดูแลกระทั่งใบหญ้าทุกต้นเลย อย่างน้อยๆ ก็อยากให้เขามีความทรงจำดีๆจากที่นี่กลับไป อยากเห็นผู้คนมีความสุข ถึงจะเพียงเล็กน้อยก็เถอะ
อีกเรื่องหนึ่งที่หลังจากที่นี่เป็นโรงพยาบาลก็คือ แหล่งรวมของ ผู้ซึ่งมีเพียงจิตวิญญาณ พวกเขาเหล่านั้นต่างจากผมโดยสิ้นเชิง
คือ ต้องการเพียงตัวเองสมปรารถนา ซึ่งก็รู้ๆอยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ หลายคนก็มุ่งทางร้าย หลายคนก็ใฝ่ทางดี ซึ่งผมจะช่วยเพียงพวกทางดีเท่านั้น
เช่นการบอกลาผู้ที่ผูกพัน การแนะนำการอยู่อย่างพวกหลังความตาย ซึ่งก็มีมาก ที่ไม่รู้ว่าตัวเองสิ้นอายุไขแล้ว หน้าที่ปัจจุบันผม
ก็มีประมาณเท่านี้แหละ แค่ทำในสิ่งที่ทำได้

อยู่มาวันหนึ่งสาวน้อยผู้ไรซึ่งการสัมผัสแสงสว่าง ได้มาพักผ่านกับนางพยาบาล ซึ่งก็น่าจะเป็นเหมือนแบบเดิมๆนั่นแหละ
ที่มาขอพรตอนผ่าตัด รักษา หรืออะไรสักอย่าง เลยเผลอพูดออกไป
"เห้อ.....เบื่อชะมัด"
แต่ว่าเธอคนนั้นมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างชัดเจน แสดงว่า เธอรับรู้การมีตัวตนของผม !! และอย่างแรกที่ผมจะทำคือพยายาม
อ่านความคิดของเธอ ได้ยินเธอตอบกลับมาช้าๆ
"เอ่อ...."
"อะไรรึ"
ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เนื่องจากดีใจจนเกินไป จนอยากจะได้ยินคำพูดอื่นๆของเธออีกแต่ว่า
ดูเธอท่าทางไม่พอใจ ก็นะ มนุษย์นี่เข้าใจยากเสียจริงๆเลย นิดๆหน่อยๆก็ไม่ถูกใจ เอะอะโวยวาย
"คือ... คุณเป็นใครเหรอคะ"
แหมๆๆ ถามกันตรงๆแบบนี้เลยเหรอเนี่ย ไม่ทันตั้งตัวเลยแฮะ เอาเป็นว่าตอบแบบตรงๆไปเลยละกัน
"ฉันก็อยู่แถวนี้แหละ เรียกว่า สิง อยู่ก็ได้มั้ง"
เธอหัวเราะเบาๆ ด้วยแหละ แสดงว่าคงไม่เชื่อสินะ นี่แหละนะ เรื่องภูตผีใครมันจะไปเชื่อลงได้ล่ะ
"ฉันจะเรียกคุณว่าอะไรดีล่ะคะ"
เธอตอบกลับมาแบบที่ผมตอบกลับไปไม่ได้เลยแฮะ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะว่า ชื่อของผมน่ะ ผมลืมไปตั้งแต่ ห้าสิบปีแรกที่
อยู่กับต้นไม้ต้นนี้แล้ว ผมคงให้คำตอบกับเธอไม่ได้หรอกนะ
"นั่นสินะ... ชื่อเนี่ยมันจำเป็นขนาดนั้นเชียวเหรอ"
"อ้าวถ้าไม่มีแล้วจะเรียกถูกได้ยังไงล่ะคะ!!”
ดูเหมือนเธอจะไม่พอใจอีกแล้วสิเนี่ย เอ... ผมควรจะทำอย่างไรดี ก็นะ เพิ่งได้คุยกับคนเป็นๆนี่นา จะบอกว่าตื่นเต้นก็ไม่ได้
ผมมีแค่วิญญาณนี่เนาะ มีแค่ความคิด เท่านั้นแหละ
"ฉันชื่อ...."
"ไม่จำเป็นหรอก"
ผมรีบตัดบท ผมไม่อยากรู้จักเธอมากกว่านี้ เพราะกลัวว่าจะเห็นเธอต้องลาจากไปในกาลเวลาอันแสนยาวนานของผม
อย่างน้อยๆก็มีบางอย่างที่ผมทำให้เธอได้นี่นะ
"นั่งสิ ไม่เมื่อยเหรอ"
ผมรับประกันเลยว่า ใบหญ้าทุกใบใต้เงาไม้ใหญ่นี้นุ่มกว่าเตียงสปริงปูด้วยผ้านวมเสียอีก ผมเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เธอพกมาด้วย
เดาว่าน่าจะเป็นนิยายเล่มหนึ่ง ดูท่าทางเธอคงจะชอบมันมากๆด้วย ถ้าหากเธออารมณ์ดีขึ้นต้องทำอะไรสักอย่างนี่นะ
"เธอ ขออ่านหนังสือนั่นหน่อยสิ"
"อ๊ะ ได้ค่ะ"
ดูเหมือนเธอจะยินดีกับการที่ผมอยากอ่านหนังสือเล่มโปรดของเธอซะด้วยสิ แต่ว่านะ ดูเหมือนผมจะลืมสิ่งสำคัญอะไรบางอย่าง
ผมเป็นวิญญาณนี่นา ปะ..เปิดหนังสือไม่ได้ แย่ล่ะสิทีนี้ แล้วก็มีไอเดียโผล่พรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
"เปิดหนังสือให้ด้วยสิ"
ก็นะ ถ้าเปิดเองไม่ได้ก็ให้เขาช่วยเปิด ก็เท่านั้น
"คือว่า..ช่วยอ่านออกเสียงให้หน่อยได้ไหมคะ คือ ฉันอยากฟังด้วยคน"
"ได้สิ"
เธอคงจะชอบนิยายเรื่องนี้จริงๆนั่นแหละ อ่ะ เพื่อไมให้เป็นการผิดหวัง ผมรู้ว่าเธอชอบการอ่านแบบไหน ผมก็อ่านโดยแทรกความคิด
เข้าไปในจิตใจเธอด้วย ประมาณว่า แค่ให้ความรู้สึกลงไป ผสมกับคำพูดที่ไม่จำเป็นต้องวรรคหายใจบ่อยจนติดขัด ผมเลยเว้นช่วงอ่าน
แค่ตรงวรรคเท่านั้น แล้วก็ดูเหมือนเธอจะรู้สึกชอบที่ผมอ่านแบบนี้นะ
เวลาผ่านไปไม่นาน นางพยาบาลก็เข้ามารับตัวเธอไป เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย ผมจึงรีบตัดบท ทำท่าว่าจะหนีหายจ้อยไป
"วันนี้พอแค่นี้ละกันนะ"
"ดะ.....เดี๋ยวสิ"
ความจริงผมก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ รู้สึกผิดหน่อยๆแฮะ
ผมมีความรู้สึกว่าเธอยังไม่อยากจากช่วงเวลาตอนนี้ไป แต่จะทำยังไงได้ ผมไม่อยากให้คนอื่นรับรู้การมีตัวตนของผมด้วยกลัวว่า
จะเป็นที่ฮือฮากันไป เดี๋ยวจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ มีบางอย่างที่ผมรู้สึกคาใจอย่างมาก คือ ถ้าหากเธอได้ยินผม เธอก็คงได้ยินพวกวิญญาณ ที่อยู่
ในโรงพยาบาลด้วยสิ วิญญาณพวกนี้มันบ่นกันเป็นประจำอยู่แล้วครับ มันบ่นแต่เรื่องที่ยังไม่ได้ทำตอนตาย ร้อยทั้งร้อย พวกนี้ไม่ได้เตรียมใจ
ก่อนที่จะตาย ยมทูตก็ไม่ยอมเอาพวกนี้ไปเก็บเสียที เฮ้อ......
เอาล่ะ ผมต้องไปไล่พวกนั้นให้เธอหน่อยล่ะ ตอบแทนบุญคุณที่ได้อ่านนิยายแสนสนุกเรื่องนั้น อันเนื่องมาจาก ผมไม่ใช่แค่
ภูตผีธรรมดาถ้าเทียบกับคนผมก็คงเป็น ระดับคนมีอันจะกินล่ะนะ ส่วนพวกวิญญาณ แถวนี้ก็เหมือนขอทาน เพราะว่าหลักการใช้ชีวิตของ
เหล่าวิญญาณมันไม่เหมือนมนุษย์นี่นะ.. คืนนี้ผมนั่งเฝ้าเธอทั้งคืน นั่งอยู่กับเวลาอันน่าเบื่อ แต่กลับให้ความรู้สึกว่ามันมีค่าอยู่ ถึงแม้จะ
เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เธอหลับสบาย
หลังจากผ่านพ้นยามราตรี ก็กลับมาทักทายดวงตะวันในวันถัดมา แล้วเธอก็มาหาผมที่ต้นก้ามปูเหมือนที่คิดไว้ ผมก็ขอหนังสืออ่านต่อ
โดยให้เธอเป็นคนเปิดหนังสือให้ โดยแลกกับการอ่านออกเสียงของผม แต่ว่าเธอคงลืมเช็คล่ะมั้ง ว่าหนังสือมันกลับทางอยู่ แต่สำหรับผม
ไม่มีปัญหาหรอกครับ ห้อยหัวอ่านเอาก็ได้ นี่ล่ะมั้งข้อดีของการเป็นวิญญาณ
หลังจากอ่านไปได้สักพัก ความรู้สึกกังวลของเธอที่ถูกส่งผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เลยถามกลับไปแบบลอยๆ
"ดูเธอไม่ค่อยสดชื่นนะ"
"อ๋อ ค่ะ คือว่า พรุ่งนี้ต้องผ่าตัดแล้ว แต่โอกาสที่จะมองเห็นมันมีน้อยมากน่ะค่ะ"
ถึงว่าล่ะ กลุ้มจนผมรู้สึกได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องทำเหรีญบาทหายหรอกนะ ผมรู้สึกได้ว่า ดวงตาของเธอเสียหายมากกว่าที่คิด ทั้งกาย
และวิญญาณ ที่ผมรู้สึกได้ คือ วิญญาณของเธอก็เสียหายด้วย และสิ่งที่รักษาวิญญาณได้คือกำลังใจ นั่นสินะ จะว่าไป ไม่มีใครมาเฝ้าไข้เธอ
คนนี้เลย อืม... เอาก็เอาวะ ทำหน้าที่ของวิญญาณให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ละกัน
"ถ้าเธอมองเห็น เธอคงอ่านนิยายเองได้สินะ"
"ค่ะ"
ตอนนี้คงต้องหาแรงจูงใจที่เธอจำเป็นต้องมีชีวิตที่เข้าแข็งก่อน โดยมุ่งไปที่เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
"งั้น ถ้าหากว่า เธอหายดีแล้ว ช่วยหานิยายสนุกๆมาให้อ่านหน่อยนะ"
เธอยิ้มแบบมีความหวัง เธอคงจะรู้ว่าคำพูดของผมสื่อถึงอะไร
"ได้ค่ะ"
ผมคงทำได้แค่นี้แหละ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วแหละนะ
หลังจากที่เธอเดินออกไป ผมก็คงต้องไปคุ้มครองเธอด้วยอยู่ดี แต่ว่าค่ำนี้มีอะไรต่างออกไป เหล่าวิญญาณที่เพ่นพ่านมากมาย
กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกที่คุ้นเคยปะปนมาเป็นระยะ ถึงแม้มันจะเคยเจอมากับตัวเองแค่ครั้งเดียว
แต่กลับจำได้ขึ้นใจ
"ไง สบายดีไหม"
เสียงของหญิงสาวใส่ผ้าคลุม ยาว สีดำสนิท ขนาดที่ว่า แสงไม่สามารถเกาะติดผ้าคลุมนี้ได้
"หมดเวลาของผมแล้วรึ"
"ก็ยังหรอกนะ แต่ก็ไม่นานหรอก นายก็พยายาม ใช้ไอ้ที่มีอยู่ให้มันคุ้มค่าแล้วกันนะ"
แล้วเธอคนนั้นก็อันตรธานหายไปในเงา
จุดประสงค์ของเธอคงจะมาเก็บวิญญาณ ที่แสนน่ารำคาญแถวๆออกไป แล้วก็มาเตือนเรื่องเวลาของผม ซึ่งก็ดูจะไม่ใช่เรื่องตลก
แต่ว่านะ ผมยังมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย อย่างน้อยๆผมก็จะได้หมดห่วงกับสาวน้อยคนนี้เสียที

จบบทที่สอง

บทที่ 3 บทของจุดบรรจบ วิญญาณที่สอดประสาน



ความผูกพันอันแสนสั้น เวลาของใครกันแน่ที่จะหมดก่อนกัน

บทสุดท้าย บทของจุดบรรจบ วิญญาณที่สอดประสาน
"และแล้วก็ถึงวันที่จะต้องผ่าตัดดวงตา เฮ้อ...."
หญิงสาวผมสั้น สีดำสนิท ตาพันผ้า พูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย ดูเหมือนว่าการผ่าตัดครั้งนี้ วิญญาณหนุ่มน้อยเองก็เป็นกังวลอยู่
เช่นกัน เขายืนอยู่ไม่ห่างจากหญิงสาวนัก แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนของเขา
เวลาของวิญญาณหนุ่มใกล้จะหมดแล้ว เขาไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้มากนัก แต่ความรู้สึกที่บ่งบอกได้คือ เขาถลำลึกเข้าไปในหัวใจตัวเองเกินไป
อาจจะเป็นเพราะ หญิงสาวคนนี้ เป็นมนุษย์คนเดียวที่สามารถมานั่งคุยใต้ต้นก้ามปูได้โดยไม่สงสัยหรือรังเกียจแต่อย่างใด แต่หากว่ามันจะ
ปวดใจมากที่สุด ก็เพราะ เธอคือเพื่อนคนแรกและคนสุดท้าย แต่หากว่าจะปล่อยไว้เฉยๆก็ใช่ที่ ดังนั้นเขาต้องทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอ
กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
การผ่าตัดใช้เวลาไม่นานนัก และเป็นไปอย่างราบรื่น แพทย์เองก็ยังสงสัยว่า มันราบรื่นเกินไปหรือปล่าว ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น
แถมยังผ่าตัดรวดเร็วกว่าที่เคยเสียอีก
ที่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ สาวน้อยตาฟันผ้า และวิญญาณหนุ่ม ได้พบกันอีกครั้ง
"นี่ หมอบอกว่าฉันจะมองเห็นได้ภายใน สองอาทิตย์ล่ะ"
สาวน้อยท่าทางดีใจ ที่จะได้ทำสัญญาให้กับ ชายผู้ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักชื่อ แล้วเข้าใจว่าไม่มีแขน ซึ่งเคยสัญญากันไว้ก่อนหน้านี้
"งั้นเหรอ ดีใจด้วยนะ"
ถึงแม้จะเป็นคำยินดี แต่น้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยดีใจของวิญญานหนุ่มน้อย ดูขัดกันอย่างมาก
"เป็นอะไรไปเหรอ"
"ไม่มีอะไรหรอก"
วิญญาณหนุ่มบอกปัดไป เพราะว่าเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่มีทางเข้าใจแน่ๆ แล้วก็ไม่อยากให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาว และตัวเขาเอง
"นี่ๆ ตอนผ่าตัดฉันฝันเห็นเทวดาด้วยหละ"
หญิงสาวท่าทางดูมีความสุขใจอย่างมาก บ่งบอกทางหน้าตาอย่างเห็นได้ชัด
"งั้นเหรอหน้าตาเป็นยังไงล่ะ"
วิญญาณหนุ่มน้อยทำหน้าอมยิ้มขึ้นมาทันที เพราะว่า เทวดาคนนั้นคือตัวเขาเอง
"เอ่อยังไงดีล่ะ ผิวขาวซีด หน้าตาคล้ายผู้หญิง ผมยาวๆสีดำออกน้ำเงิน ตัวสูงผอมแต่กลับดูดี บางทีฉันคิดว่าเป็นซะอีกนะ อีกไม่นาน
แล้วสินะ ที่ฉันจะได้เห็นหน้านายซักที รู้ไหมฉันอยากเห็นหน้านายก่อนใครเลยล่ะ"
เธอเล่าสิ่งที่ได้พบในฝันอย่างสนุกสนาน สักพักก็กลับเข้าไปในตัวตึกเพื่อพักผ่อน วิญญาณหนุ่มมองอย่างไม่ละสายตา จนเธอเดินเข้าตึกไป
"จะดีเร้อ..ปล่อยไปแบบนี้น่ะ ทั้งนาย แล้วก็ผู้หญิงคนนั้นอาจจะต้องเสียใจทั้งคู่นะ"
ยมทูตสาวผ้าคลุมดำ เดินยิ้มออกมาจากด้านหลังต้นก้ามปู
"ดีแล้ว....นี่แหละ ดีแล้ว"
พูดเสร็จ วิญญาณหนุ่มหันมามองยมทูตด้วยดวงตาข้างขวาเพียงข้างเดียว ในตอนที่ผ่าตัดเขาเองก็รู้ดีว่าการผ่าตัดไม่สำเร็จแน่นอน
เขาจึงมอบดวงตาของเขาให้แก่หญิงสาว มันเกิดขึ้นได้หากว่ามีผู้ที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมอย่างยมทูตมาช่วย
"นายรู้ไหม อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ดวงวิญญาณต่างๆต้องตามหาตัวเธอแน่นอน ตาของนายที่ให้สาวน้อยนั่นไปน่ะ พวกภูตผีน่ะ
มักจะเห็นแก่ตัวไม่ใช่รึ นายนี่ช่างแปลกประหลาดโดยแท้"
"รู้สิ แต่ว่านะ ไหนๆผมก็ต้องไปอยู่แล้วนี่นา ดวงตานั่นน่ะ ผมว่ามันคงเหมาะกับเธอมากกว่า อย่างน้อยๆผมก็รู้ว่ามันน่าจะมีประโยชน์
มากกว่าที่มันอยู่กับผม แต่ก็ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยฟังคำขอร้องของผม"
พูดเสร็จ วิญญาณหนุ่ม ก็เอาผมปรกหน้าข้างซ้ายไว้
"หึๆฉันอยากเห็นอะไรสนุกๆมากกว่านะ"
ยมทูตสาวหัวเราะเบาๆแล้วก็จากไปแบบเงียบๆ

เวลาผ่านไปเหมือนเช่นเคย ...........
ต้นก้ามปูต้นนี้ก็ยังมี หนึ่งหญิง ทั้งสองดูท่าทางสนิทสนมกันมากขึ้น เนื่องจากว่าฝ่ายหญิงมีปัญญาทางครอบครัว แล้วฝ่ายชายที่ไม่เคยมีเพื่อนเลย
ได้มาพบกัน หรืออาจเป็นเพราะดวงตาที่วิญญาณหนุ่มมอบให้หญิงสาวไป ทำให้ความรู้สึกสื่อถึงกันง่ายขึ้น หญิงสาวได้ปรึกษาปัญหาชีวิตหลายๆเรื่อง
วิญญาณหนุ่มก็ช่วยปรึกษาได้ไม่ยากนัก เพราะว่าเคยช่วยเหลือพวกวิญญาณมาเยอะ เลยพอเข้าใจ ทั้งคู่เลยเปิดอกคุยกันได้ไม่ยากนัก ความสุข ความทุกข์
ความรู้สึกดีๆ กำลังถูกแบ่งปันให้กันที่ใต้ร่มไม้นี้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วซึ่งบางคนก็ไม่อยากให้มาถึง และบางคนอยากผ่านพ้นเวลาช่วงนี้ไปเร็วๆ ซึ่งเหลืออีกหนึ่งอาทิตย์ในการเปิดตา
แต่หากว่าวิญญาณหนุ่มน้อยผู้น่าสงสารเหลืออีกเพียงไม่ถึงสามวันวันก่อนที่จะหมดเวลา สิ่งที่ต้องทำคือการบอกลา แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
"นายน่ะ ถลำลึกลงไปในหัวใจตัวเองมากเกินไปนะ ทำแบบนี้น่ะ คนที่เสียใจที่่สุดคือผู้หญิงคนนั้นนะ"
ยมทูตเข้ามาเตือนด้วยความหวังดี โดยที่วิญญาณหนุ่มยังคงไม่เข้าใจในตัวเอง ทั้งๆที่รู้ตัวแต่ว่าความรู้สึกที่ไม่อยากตัดขาดมันยังอยู่ในใจ
เพื่อที่จะตัดขาดและเพื่อไม่ให้มีใครเสียใจมากกว่านี้ วิญญาณหนุ่มจึงคิดว่าควรจะถึงเวลาเสียที่ โดยการจากเสียตั้งแต่ตอนนี้ มันคงจะดีกว่าที่
จะปล่อยไว้แบบนี้ อย่างน้อยๆก็มีเวลาให้ตัวเขาได้ทำใจเพื่อลืมอะไรที่ผ่านมาบ้าง
ค่ำคืนนี้ วิญญาณหนุ่มน้อย ก็ยังมาคอยดูแลสาวน้อยจากภูตผีอยู่เรื่อยๆ เมื่อยมทูตจากไป บริเวณนี้ก็วุ่นวายเหมือนเดิม
"นี่ นายอยู่ตรงนั้นใช่ไหม"
หญิงสาวพูดออกมาไม่เหมือนกับคำพูดของคนละเมอเท่าไรนัก เป็นไปได้ว่าเธอรับรู้ถึงการมีตัวของวิญญาณหนุ่มต้นก้ามปู แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูด
อะไรตอบโต้ไป ในห้องนี้จึงกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
"ฉันอาจจะเป็นบ้าอยู่คนเดียวก็ได้นะ ที่พูดคนเดียวได้ ถึงแม้นายอาจไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ช่างเถอะ"
ดูเหมือนว่าดวงตาที่ส่งมอบให้สาวน้อยคนนั้นจะสามารถสื่อถึงกันได้ แต่วิญญาณหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร
"ฉันมีความรู้สึกว่านายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่ เพราะว่าตั้งแต่ผ่าตัดมามันก็มีความรู้สึกแปลกๆแทรกเข้ามาเรื่อยๆ แต่ว่านะ ฉันไม่สนใจ
หรอกนะว่ามันจะเป็นยังไง แค่ตอนนี้ฉันก็มีความสุขมากแล้วล่ะ ไว้ฉันหายดีแล้วจะกลับมาเยี่ยมใหม่นะ"
ถึงวิญญาณจะน้ำตาไหลไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่สมเพชตัวเองมันเอ่อล้นออกมาเรื่อยๆ เพราะว่ายังไงคำสัญญานั้นก็ไม่อาจเป็นจริงได้ วิญญาณหนุ่ม
พูดอะไรไม่ออกแต่ว่าก็ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม รอเวลาจนกว่าสาวน้อยจะหลับไป จนกว่าจะรุ่งเช้า ทั้งๆที่เคยคิดว่าต้องเสียใจกับเรื่องที่อายุของมนุษย์สั้นกว่าของตนเอง
มาตลอด
รุ่งเช้า การพบกันครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ก็มาถึง
"นี่ พรุ่งนี้ผมจะย้ายโรงพยาบาลล่ะ"
วิญญาณหนุ่มเริ่มบทสนธนาที่จะดูเหมือนรีบตัดบท
"อย่างงั้นเหรอ แล้วจะย้ายไปที่ไหนเหรอ"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันสิ เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้นะ"
นี่อาจจะเป็นคำอำลาที่สั้นที่สุดก็เป็นได้ ทั้งคู่นิ่งเงียบกันอยู่พักนึง แต่บรรยากาศโดยรอบกลับดูมีชีวิตชีวา เสียงนกที่เริ่มร้อง เสียงลมที่พัดมา
สิ่งต่างๆรอบๆดูเหมือนกำลังจะทำการอำลาอย่างยิ่งใหญ่ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งไปพักใหญ่ๆ
"งั้นหวังว่า สักวัน เราจะได้พบกันอีกนะ"
หญิงสาวกล่าวอย่างมีหวัง แต่ชายหนุ่มเองก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงได้
"นั่นสินะ สักวันหนึ่ง แต่ว่านะคุณจะจำผมได้เหรอ"
"......."
ในช่วงเวลาที่แสนอึดอัด ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างพยายามบีบให้สาวน้อยทำอะไรสักอย่าง
"อย่างน้อยๆน่ะฉันก็อยากจะเห็นหน้านายสักครั้งนะ!!!"
ตะโกนเสร็จหญิงสาวก็ได้กระชากผ้าพันตาออก ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลา แต่ดวงตาที่ไม่ธรรมดาดวงนี้ก็ทำให้มองเห็นชายหนุ่มและสภาพแวดล้อม
อย่างชัดเจน แสงสว่างกลับมาหาเธออีกครั้ง ดวงตาสีแดงเข้มเป็นประกายจ้องมองอยู่ที่วิญญาณดวงหนึ่ง เวลาแห่งความอึดอัดดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง
"นะ..นี่นาย ไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม"
หญิงสาวตอบกถึงแม้จะดูเหมือนกัน แต่ดวงตาดวงนี้ก็ให้ความรู้สึกที่แยกแยะได้อย่างชัดเจน วิญญาณหนุ่มผมยาวในชุดสีขาวสะอาดเรืองแสง
นั่งอยู่ตรงหน้า
"ใช่"
วิญญาณหนุ่มไม่สามารถปฏิเสธได้ เนื่องจากหลักฐานที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน
"แต่ว่าฉันไม่สนใจหรอกนะว่านายจะเป็นอะไร แต่ว่านายสำคัญกับฉันมากนะ"
"ขอบคุณนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างเลย แต่ว่านะผมฝืนชะตาตัวเองไม่ได้หรอก ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ ถ้าเป็นไปได้
ผมก็อยากจะอยู่ให้นานกว่านี้นะ"
หญิงสาวเข้ามาสวมกอดวิญญาณหนุ่มอย่างแนบแน่น
"ทะ..ทำไมเธอถึงสัมผัสผมได้ !!"
"ฉันไม่สน นายจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นายน่ะมันเอาแต่ใจ นายมันขี้โกง!!"
หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา แต่ว่าวิญญาณหนุ่มดูท่าทางจะขอบคุณเสียมากกว่า ที่มีความรู้สึกดีๆให้กันถึงแม้ว่าเขาจะเป็นวิญญาณตนหนึ่งที่อาจจะช่วย
อะไรไม่ได้มากมายนัก แต่ก็พยายามทำเท่าที่ทำได้ สิ่งสุดท้ายที่เหลือไว้ให้คงมีเพียงความทรงจำดีๆร่วมกัน ความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างที่แบ่งปันให้กัน
"ขอบคุณนะ"
เขาพูดพร้อมกับลูบหัวสาวน้อย สามครั้ง ..... ตอนนี้ใต้ต้นก้ามปูใหญ่เหลือเพียงหญิงสาวน้ำตาคลอเพียงคนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างดูว่างเปล่า
"ฉันชื่อ เฟียส จำเอาไว้ให้ดี!! เราต้องเจอกันอีกแน่แล้วฉันจะรอ"
เฟียส ตะโกนสุดเสียง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันไม่มีทางจะเป็นจริงได้หรือเปล่าเหมือนกับว่าแค่ปลอบใจตัวเองแค่นั้น

วันต่อมาต้นก้ามปูใหญ่ก็ถูกโค่นลงเพื่อทำเป็นที่จอดรถให้โรงพยาบาล ชีวิตของสาวน้อยยังคงดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้คือ ความทรงจำดีๆ
ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้อีกเป็นครั้งที่สองและดวงตาที่มองเห็นวิญญาณได้ มันอาจจะมีประโยชน์ หรือโทษในภายภาคหน้าก็เป็นได้ แต่ว่านี่คือของขวัญจาก
เพื่อนคนพิเศษ ซึ่งไม่สามารถมีใครทดแทนได้.......

จบบทสุดท้าย

การลาจากที่แสนขมขื่น



ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ หากสนุกก็ขออภัยด้วยครับ เพราะผมเขียนเรื่องยาวไม่เป็น เลยมีแค่ 3 ตอน หวังว่าคงจะไม่โกรธไม่แค้นกันนะครับ
ขอบคุณที่เสียสละเวลาอันสุดแสนจะมีคุณค่ามานั่งอ่านนะครับ ขอบคุณจริงๆครับ

นักเขียนอยากบ่น : ช่วยกันติชมกันหน่อยนะครับ เผื่อว่าจะได้เขียนเป็นภาคใหม่ ให้ติชมกัน

pza00007
2nd March 2012, 18:02
สนุกมากครับ อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจังเลย ^ ^

นี่ขนาดหัดแต่งนะเนี่ย แต่งได้ดีในระดับนึงเลยครับ เนื้อหาน่าติดตาม ^ ^

โดยรวมแล้วก็คือ สนุกมากๆนั่นเอง รอตอนต่อไปอยู่นะครับ สู้ๆ ^ ^

HapPyFridaY
3rd March 2012, 10:34
อัพเดทแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ

lukpar
3rd March 2012, 12:01
สนุกมากๆเลย อยากอ่านตอนที่สามต่อเร็วๆ >[]<!

Blitz
3rd March 2012, 13:41
รอตอนต่อไปนะครับผม -w-

@ถึงเรปบน ท็อปปิคช่าง...

HapPyFridaY
6th March 2012, 04:13
อัพเดทบทสุดท้ายครับ คงจบแค่นี้แหละครับ 3 ตอน =w= โดยส่วนตัวคิดว่าจบไม่สวยเท่าไร ขอบคุณที่ติดตามกันมานะครับ


หุหุ ตัวหนังสืออ่านอยาก(เฉพาะในเครื่องผมรึเปล่า?) แต่ก็อ่านไปซะเยอะ ติดตามอยู่ครับ ^^
อยากให้อ่านง่ายกด ctrl ค้างไว้แล้วกด + ครับ มันจะขยาย page
พออ่านเสร็จก็กด ctrl ค้างไว้แล้วกด - ครับ จะได้ปรับให้เท่าเดิม

GIGABom
6th March 2012, 09:33
หุหุ ตัวหนังสืออ่านอยาก(เฉพาะในเครื่องผมรึเปล่า?) แต่ก็อ่านไปซะเยอะ ติดตามอยู่ครับ ^^

@TaNgTaI@
21st March 2012, 16:37
สนุกมากๆเลย ผมชอบนิยายแนวนี้มาก ^^ ถึงโดยส่วนตัวจะแต่งนิยายสยองขวัญก็เถอะ = =

=MwM=
12th April 2012, 15:57
สนุกนะ แต่เสียดายจริงๆที่มีแค่ 3 ตอน ถ้ามีมากกว่านี้ผมอาจร้องไห้ก็ได้นะ 555