Ratiio
6th April 2012, 22:24
ถ้าใครเคยดู Pirates of Silicon Valley หรือเป็นนักเล่นคอมเก๋าๆ หน่อย คงจำกันได้ว่า Apple ก็เป็นหนึ่งในผู้นำการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ (แม้จะขโมย UI มาจาก Xerox มาก็ตาม ฮา) เสมอ และเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมมากมาย เช่น ฟังก์ชั่นตั้งค่าของกล้องดิจิตอลในยุุคแรกเริ่ม, ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ ไปจนกระทั่งของเล็กๆ ดูไม่สำคัญ แต่ก็เป็นระดับสิทธิบัตรไปแล้วอย่าง iPod Shuffle ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไม Apple ถึงหาเรื่องฟ้องค่ายอื่นได้ตลอดเวลา (ฮา) เพราะสิทธิบัตรสมัยป๋า Jobs ครอบคลุมแทบจะทุกหย่อมหญ้าในแวดวงอุปกรณ์ไอทีนันเอง
หนึ่งในนวัตกรรมทันสมัยที่ Apple จัดการจดสิทธิบัตรการคิดค้นเป็นของตัวเองเรียบร้อย ก็คือ วิธีการ Sync ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์มัลติมีเดียกับคอมพิวเตอร์ผ่านระบบไร้สาย อาจจะอ่านแล้วงงๆ ว่ามันเป็นสิทธิบัตรได้ยังไง และทำไม ใช่มั้ยครับ? มันก็คือหนึ่งในการวางรากฐานแนวคิด ดีไซน์ และการตลาดแบบหาคนกล้าลอกไม่ได้ (ยกเว้นพี่จีน) ระบบนี้ทำให้คุณสามารถซิงค์ข้อมูลกันได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าอุปกรณ์จะไปโยนไว้มุมใดของชีวิตคุณนั่นเอง มาดูกันว่า Apple วางกลยุทธ์อะไรกันไว้บ้าง
http://upic.me/i/n0/apple_bags_wireless_sync_patent__and_16_others_01.jpeg (http://upic.me/show/34462258)
อย่างแรกเลย Apple เคลมว่า วิธีการส่งผ่านข้อมูลนั้น พัฒนา มาอย่างเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเตรียมข้อมูล การส่งและการรับข้อมูลของอุปกรณ์ต้นทางและปลายทาง และชี้สิทธิบัตรดังกล่าวให้ครอบคลุมถึง ขั้นตอนวิธีการส่งข้อมูล อย่างชัดเจน ชนิดว่าใครคิดจะทำตาม อ่านหาช่องว่างที่ตนเองจะไปผลิตได้ ยากราวกับเป็นทนายจำเลยหาช่องโหว่กฎหมายกันเลยทีเดียวล่ะ
อย่างที่สอง ข้อมูลมัลติมีเดียที่ส่งนั้น Apple เขียนครอบคลุมไปตั้งแต่ ไฟล์ภาพ เสียง วีดิโอ ถ้ามีคนอยากออกแบบบ้าง นอกจากวิธี เรียก-ส่ง-รับ ที่ทำให้เหมือนก็ไม่ได้ หรือไม่ก็จ่ายอานแล้ว ก็ต้องมานั่งออกแบบไฟล์ฟอร์แมตแบบใหม่ๆ กันเลย ไม่เช่นนั้นพี่ Apple ก็มีสิทธิ์ไม่ไว้หน้า ฟ้องกันได้อีก
ซึ่งเฉพาะการซิงค์ข้อมูลแบบไร้สาย ปัจจุบันก็เป็นที่ยอมรับกันว่า มีอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Handheld, Tablet หรือพวกอุปกรณ์เล่นเกม-ฟังเพลงที่เกลื่อนตลาด และยังมีโน้ตบุ๊คอีก นี่ก็น่าจะราวๆ 80% ของอุปกรณ์ไร้สายทั่วโลกแล้วถ้าไม่รวมโทรศัพท์มือถือ (ที่ Apple ก็แชร์ส่วนแบ่งตลาดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหรอีก เรียกว่าหันซ้ายก็ขายไป หันขวาก็จดสิทธิบัตรขวางผู้ค้ารายอื่นไปเลยก็ยังได้) ตัวอย่าง CNET ที่แนะนำระบบซิงค์คอนเทนต์ใน Spotify เข้าไปยังอุปกรณ์ที่ใช้ OS Android ก็ร้อนๆ หนาวๆ จะโดน Sue (ฟ้อง) วันไหนก็ไม่รู้ นี่ถือเป็นความฉลาดหรือแกมโกงของ Apple หรือการปกป้องตนเองในตลาดกันล่ะนี่?
ล่าสุดก็เพิ่งมีการจดสิทธิบัตร การที่โลโก้แอปเปิ้ล(แหว่ง)สว่างขึ้นเมื่อเปิดเครื่อง MacBookPro เอาง่ายๆ แค่ MSI Ivy Bridge ตัวที่เรากำลังจะทดสอบ เรื่องนี้ก็โดนฟ้องได้แล้ว จริงมั้ยครับ
เนื่องด้วยกฎหมายสิทธิบัตรเป็นอะไรที่ พิทักษ์ผลประโยชน์ และว่ากันตามตรง มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน ตัดวงจรคู่แข่งถึงตาย ทำให้บริษัทนวัตกรรมโดยเฉพาะใน Silicon Valley ตื่นตัวกันขนานใหญ่ ยกตัวอย่างล่าสุด Pendrell ลงทุนจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาร่วม 1,300 ชิ้น ครอบคลุมอุปกรณ์ตั้งแต่ Wireless 4G ไปจนถึงระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำกำไรให้บริษัทมหาศาลในอนาคต อีกหน่อยผู้ผลิตรายย่อยที่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ คงไม่ได้ตายเพราะเทคโนโลยีสู้ไม่ได้ แต่ตายเพราะจดสิทธิบัตรหรือจ่ายค่าสิทธิบัตรไม่ไหวแทนเป็นแน่แท้
คงได้ไอเดียกันบ้างจากประเทศที่ฟ้องได้ยันกรณีโค้กหกใส่แล้วบอกว่าไม่มีวิธีจับแก้วอย่างปลอดภัยเขียนไว้ ถึงเราจะไม่ได้เป็นผู้ประกอบการโดยตรง แต่การรู้ทันกลยุทธ์หรือเล่ห์ทางธุรกิจ ก็จะทำให้เราไม่ตกยุคข้อมูลข่าวสารครับ อย่างน้อยเราคิดทำอะไรขึ้นมา ถ้าคิดจะขายกันยาวๆ เอาไปจดสิทธิบัตรเถอะ เผื่อสักวันผมจะได้เห็นคนไทยเป็นเศรษฐีจากการขายสิทธิบัตรกันบ้าง )
หนึ่งในนวัตกรรมทันสมัยที่ Apple จัดการจดสิทธิบัตรการคิดค้นเป็นของตัวเองเรียบร้อย ก็คือ วิธีการ Sync ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์มัลติมีเดียกับคอมพิวเตอร์ผ่านระบบไร้สาย อาจจะอ่านแล้วงงๆ ว่ามันเป็นสิทธิบัตรได้ยังไง และทำไม ใช่มั้ยครับ? มันก็คือหนึ่งในการวางรากฐานแนวคิด ดีไซน์ และการตลาดแบบหาคนกล้าลอกไม่ได้ (ยกเว้นพี่จีน) ระบบนี้ทำให้คุณสามารถซิงค์ข้อมูลกันได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าอุปกรณ์จะไปโยนไว้มุมใดของชีวิตคุณนั่นเอง มาดูกันว่า Apple วางกลยุทธ์อะไรกันไว้บ้าง
http://upic.me/i/n0/apple_bags_wireless_sync_patent__and_16_others_01.jpeg (http://upic.me/show/34462258)
อย่างแรกเลย Apple เคลมว่า วิธีการส่งผ่านข้อมูลนั้น พัฒนา มาอย่างเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเตรียมข้อมูล การส่งและการรับข้อมูลของอุปกรณ์ต้นทางและปลายทาง และชี้สิทธิบัตรดังกล่าวให้ครอบคลุมถึง ขั้นตอนวิธีการส่งข้อมูล อย่างชัดเจน ชนิดว่าใครคิดจะทำตาม อ่านหาช่องว่างที่ตนเองจะไปผลิตได้ ยากราวกับเป็นทนายจำเลยหาช่องโหว่กฎหมายกันเลยทีเดียวล่ะ
อย่างที่สอง ข้อมูลมัลติมีเดียที่ส่งนั้น Apple เขียนครอบคลุมไปตั้งแต่ ไฟล์ภาพ เสียง วีดิโอ ถ้ามีคนอยากออกแบบบ้าง นอกจากวิธี เรียก-ส่ง-รับ ที่ทำให้เหมือนก็ไม่ได้ หรือไม่ก็จ่ายอานแล้ว ก็ต้องมานั่งออกแบบไฟล์ฟอร์แมตแบบใหม่ๆ กันเลย ไม่เช่นนั้นพี่ Apple ก็มีสิทธิ์ไม่ไว้หน้า ฟ้องกันได้อีก
ซึ่งเฉพาะการซิงค์ข้อมูลแบบไร้สาย ปัจจุบันก็เป็นที่ยอมรับกันว่า มีอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Handheld, Tablet หรือพวกอุปกรณ์เล่นเกม-ฟังเพลงที่เกลื่อนตลาด และยังมีโน้ตบุ๊คอีก นี่ก็น่าจะราวๆ 80% ของอุปกรณ์ไร้สายทั่วโลกแล้วถ้าไม่รวมโทรศัพท์มือถือ (ที่ Apple ก็แชร์ส่วนแบ่งตลาดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหรอีก เรียกว่าหันซ้ายก็ขายไป หันขวาก็จดสิทธิบัตรขวางผู้ค้ารายอื่นไปเลยก็ยังได้) ตัวอย่าง CNET ที่แนะนำระบบซิงค์คอนเทนต์ใน Spotify เข้าไปยังอุปกรณ์ที่ใช้ OS Android ก็ร้อนๆ หนาวๆ จะโดน Sue (ฟ้อง) วันไหนก็ไม่รู้ นี่ถือเป็นความฉลาดหรือแกมโกงของ Apple หรือการปกป้องตนเองในตลาดกันล่ะนี่?
ล่าสุดก็เพิ่งมีการจดสิทธิบัตร การที่โลโก้แอปเปิ้ล(แหว่ง)สว่างขึ้นเมื่อเปิดเครื่อง MacBookPro เอาง่ายๆ แค่ MSI Ivy Bridge ตัวที่เรากำลังจะทดสอบ เรื่องนี้ก็โดนฟ้องได้แล้ว จริงมั้ยครับ
เนื่องด้วยกฎหมายสิทธิบัตรเป็นอะไรที่ พิทักษ์ผลประโยชน์ และว่ากันตามตรง มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน ตัดวงจรคู่แข่งถึงตาย ทำให้บริษัทนวัตกรรมโดยเฉพาะใน Silicon Valley ตื่นตัวกันขนานใหญ่ ยกตัวอย่างล่าสุด Pendrell ลงทุนจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาร่วม 1,300 ชิ้น ครอบคลุมอุปกรณ์ตั้งแต่ Wireless 4G ไปจนถึงระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำกำไรให้บริษัทมหาศาลในอนาคต อีกหน่อยผู้ผลิตรายย่อยที่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ คงไม่ได้ตายเพราะเทคโนโลยีสู้ไม่ได้ แต่ตายเพราะจดสิทธิบัตรหรือจ่ายค่าสิทธิบัตรไม่ไหวแทนเป็นแน่แท้
คงได้ไอเดียกันบ้างจากประเทศที่ฟ้องได้ยันกรณีโค้กหกใส่แล้วบอกว่าไม่มีวิธีจับแก้วอย่างปลอดภัยเขียนไว้ ถึงเราจะไม่ได้เป็นผู้ประกอบการโดยตรง แต่การรู้ทันกลยุทธ์หรือเล่ห์ทางธุรกิจ ก็จะทำให้เราไม่ตกยุคข้อมูลข่าวสารครับ อย่างน้อยเราคิดทำอะไรขึ้นมา ถ้าคิดจะขายกันยาวๆ เอาไปจดสิทธิบัตรเถอะ เผื่อสักวันผมจะได้เห็นคนไทยเป็นเศรษฐีจากการขายสิทธิบัตรกันบ้าง )