PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : The madness world



pug1
23rd April 2012, 00:12
เนื้อเรื่องเกริ่นนำนะครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศที่ชื่อว่า เซอเบรีส โดยเมื่อพระราชาที่ก่อตั้งประเทศนี้ขึ้นมาได้สิ้นพระชนไปโดยไร้ผู้สืบทอด พวกบรรดาขุนนางทั้งหก ได้ แก่ 1.มอร์เรียส 2.เกลดอร์ 3.กอกส์ม่า 4.เอวาร์ 5.เซอร์เฟียสและ6.เอร์ทรอน ได้ปรึกษากันว่าใครสมควรที่จะเป็นพระราชาและปกครองประเทศต่อไป ซึ่งต่อมา เรื่องนี้กลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขุนนางทั้งหก เกิดความไม่พอใจกัน และทะเลาะกันในที่สุด ส่วนด้านประชาชน ก็ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันตามความเชื่อมั่นในตัวขุนนางแต่ละคน ซึ่งตอนแรกมอร์เรียสซึ่งมีเสียงค่อนข้างมากทำท่าว่าจะเป็นผู้ชนะ แต่วันหนึ่งมอร์เรียส ได้ถูกลอบสังหารโดยบุคคลที่ไม่ทราบชื่อ ซึ่งต่างก็มีคนโยนความผิดนี้ให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง และในวันเผาศพของมอร์เรียสนั่นเอง ได้มีกลุ่มคนใส่เสื้อสีดำเข้ามาป่วนในงานศพ โดยการระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างในงานให้กลายเป็นจุน เหตุการนี้ทำให้คนที่ไปร่วมงานเสียชีวิตไปประมาณ 30% ของประเทศ โดยเหตุการครั้งนี้ ทำให้เกิดความสับสนกันในประเทษเป้นอย่างมาก และต่างคนต่างหล่าวหากัน และในที่สุด ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น โดยหลังจากที่สงครามนั้นสงบลง คนในประเทศนี้ ก็ได้แตกออกเป็น หกกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มได้ย้ายถิ่นฐานตั้งเมืองของตัวเองขึ้นมา โดยใช้ชื่อตามขุนนางที่ตนเองนับถือ โดยกลุ่มมอร์เรียส อาศัยอยู่ทางใต้ของประเทศ กลุ่ม เกลดอร์อาศัยอยุ่ทางตะวันออก กลุ่ม กอกส์มาร์อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ กลุ่มเซอร์เฟียสได้อาศัยอยุ่ทางตะวันตกของประเทศ ส่วนกลุ่มเอวาร์ และกลุ่มเอทร์ทรอนนั้น ภายหลังได้รวมกลุ่มกันและตั้งเมืองหลวงขึ้นมาอยู่ ณ ใจกลางของประเทศ ชื่อว่า วาร์ทรอน โดยทั้ง 5 เมืองนี้ มีเป้าหมายเดียวกันคือ การยึดครองประเทศนี้ไว้นั่นเอง



เป็นนิยายแนวสงคราม+แฟนตาซีนิดๆ นะครับ

nakiann123
23rd April 2012, 00:19
นั่งมาหลายมู้ นอนเลยละกัน ยิ่งปวดหลังอยู่

(เล่นคอมหนักเกิน 555)

pug1
23rd April 2012, 00:31
เด๋วไว้ว่างๆจะมาอัพนะครับ

The Hidden Shadow
23rd April 2012, 00:42
น่าสนใจดีครับ

pug1
23rd April 2012, 03:17
Chapter 1 จุดเริ่มต้น
"นี่ท่าน" เสียงแหบพร่าของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา "ข้าว่า อย่างน้อยในตอนนี้ เราก็น่าจะเริ่มลงมือทำอะไรได้บ้างหละนะ ดีกว่ามานั่งเฉยๆรอไอ้คนโหลยโท่ยพรรนั่นหนะ" เสียงนั้นพูดต่อ "ใจเย็นก่อน เทอร์รัค เราจำเป็นต้องรอเค้า เท่านั้น สงบสติอารมณ์แล้วรอไปเถิด" เสียงอีกเสียงที่นุ่มลึกกว่าพูดออกมา สิ้นเสียงพูดนั้นประตูบานหนึ่งที่หน้าห้องก็เปิดออก พร้อมกับมีร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามา " เฮ่อะ กว่าจะมาได้นะเจ้า รู้ไหม เจ้าทำพวกเราเสียเวลาไปมากเท่าไหร่ คราเซียส เดลฟรานเซีย" เทอร์รัคพูดออกมา "เอาหน้า เทอร์รัค อย่างน้อยเค้าก็มา จนได้" เสียงที่นุ่มลึกนั้นพูดต่อ คราเซียสจึงพูดไปว่า"สวัสดี มอเดรียส ที่เจ้ารบกวนเวลานอนของข้าโดยการเรียกตัวข้ามานั้นมีอะไรรึ" แวบหนึ่งหางตาของเขาเหลือบไปเห็น เทอร์รัค สบทเบาๆ หลังจากนั้นมอเดรียสพูดขึ้นมาว่า "เอาหละ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มสนทนากันเลยดีกว่า เจ้า! คราเซียส เดลฟรานเซีย ข้ามีงานชิ้นใหญ่ให้เจ้าทำชิ้นหนึ่ง " "งานอะไรรึท่าน??" คราเซียสถาม มอเดรียส บอกไปว่า"ข้าอยากจะให้เจ้าไปสืบค้นอะไรนิดหน่อยที่เมือง วาร์ทรอน หนะ " "เฮ่อะ นี่มันงานใหญ่เลยนะท่าน แล้วข้าจะได้อะไรเป็นการตอบแทนจากการทำงานชิ้นนี้กันเล่า ถ้าเป็นทองคำแค่ สองสามพันเกลเปรียญข้าไม่เอาด้วยนะ" " นี่เจ้า! กล้าต่อรองกับท่านผู้นี้งั้นรึ" เทอร์รัคพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว "เอาหน้าเทอร์รัค เราต่างรู้นิสัยของเขาดี ข้าคงจะไม่ส่งเจ้าไปที่นั่น หากใช้แค่ทองคำ สองสามพันเกลเปรียญแน่ เอาละหละ ทหาร เอาของที่ข้าเตรียมไว้มาให้เค้าทีซิ" หลังจากที่มอเดรียสสั่ง ก็ได้มีทหารจำนวน 4-5 นาย ยกหีบใบหนึ่งขนาดประมาณครึ่งฟุตมาวางไว้ตรงหน้าเขา "ห๊ะ!!!ท่าน ยะ อย่าบอกนะว่านี่คือ..."เทอร์รัคพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ "ใช่แล้วเทอร์รัค นี่คือ แหวนแห่ง เมอร์ทินด้า สิ่งนี้จะทำให้เจ้า เปรียบเสมือน เจ้าเมืองคนที่สอง โดยเจ้าสามารถมีอำนาจในการสั่งการคนที่อยู่เมืองนี้ ได้เหมือนข้า"มอเดรียสยังคงพูดด้วยเสียงนุ่มลึกต่อไป "นี่ท่าน! ท่านคิดดีแล้วหรือให้ของอย่างนี้กับคนแบบหมอนี่ไป"เทอร์รัคพูดขึ้นมาอารมฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม "ฮ่าๆๆ นี่ค่อยเหมาะสมหน่อย แต่ว่า ข้าขออะไรอีกอย่างได้ไหมหละท่าน?"คราเซียสพูดต่อไป "นี่เจ้ายังต้องการอะไรอีกงั้นหรือ??" มอเดรียสถาม "อย่างน้อยนะท่าน จะให้ข้าไปคนเดียวมันก็กะไรอยู่ ข้าขอคนไปด้วยสักคนสองคนได้ไหม???" "ได้สิ! ท่านต้องการใครหละ" มอเดรียสถามพร้อมยิ้มเล็กน้อยโดยที่คราเซียสไม่ทันสังเกตเห็น "ข้าอยากให้ ทรีโอ้ และ เมอร์โทส สหายของข้าไปด้วยหนะท่าน" คราเซียสบอกกับมอร์เรียส "ไม่มีปัญหา คราเซียส เจ้าต้องการอะไรอีกไหม " มอเดรียสถามต่อ "ต้องการสิ ข้าต้องการเสบียง และทรัพย์สินเล้กๆน้อยๆ ในระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้ด้วย" "ได้เลยคาร์เซียส เจ้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้วใช่ไหม???" " ใช่ขอรับ ข้าว่า แค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้วหละ"
สิ้นเสียงปิดประตู ทั้งห้องก็เหลือแค่ มอร์เดรียส และเทอร์รัค "นี่ท่าน ท่านได้เตรียมการอะไรบางอย่างไว้แล้วใช่ไหม "เทอร์รัคถาม "ฮ่าๆๆ ท่าน นี่หลักแหลมดีหนิ แต่ใจเย็นก่อน เทอร์รัค เมื่อถึงเวลานั้น แล้วเจ้าจะรู้เอง หึหึหึ"

~RIP~
23rd April 2012, 10:39
^
^
ใหญ่เกินไปละ - -

pug1
23rd April 2012, 14:42
Chapter 2 การเดินทาง และ ไซรัปส์
ณ กระท่อมหลังหนึ่ง เมอร์โทส ได้จัดการเตรียมของที่จำเป็น ใส่ไว้ในเกวียนที่มัดไว้กับม้า เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีเส้นผมสีน้ำตาลแดงสั้น และมีนัยตาสีน้ำตาลขุ่นซึ่งวันนี้เขาใส่เกราะหนังสีน้ำตาลซึ่งเข้ากับเสื้อค ลุมด้านในซึ่งเป็นสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับผมของเขา

หลังจากที่เขาจัดของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งรออยู่ตรงหน้าบ้าน ประมาณ 5 นาที ชายผู้มีผมและนัยตาสีทองที่อยุ่ในชุดคลุมสีเขียวอ่อนก็เดินมาหา "ว่าไง ทรีโอ้สบายดีไหมหละเจ้า " เมอร์โทสร้องทักเขา "เฮอะ ก็ดี แล้ว เจ้านั่นหละ ยังไม่มาอีกหรือ"ทรีโอ้ถามกลับ "ฮะฮะ นี่ เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าเจ้านั่นมันเคยมาตรงเวลาซะที่ไหนหละ ไหนๆเจ้าก็มาก่อนแล้ว เข้ามาดื่มน้ำรอในบ้านข้าก่อนก็แล้วกัน"

หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันเรื่อยเปื่อยไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากประตูบ้านของเขา เมื่อเมอร์โทสเปิดประตู เขาก็ได้พบกับ ชายร้างสูงคนหนึ่ง ที่มีผมและนัยตาสีดำ ซึ่งแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้ม "ว่าไง คราเซียส กว่าจะมาได้จะเจ้า " เมอร์โทสกล่าวทักทายเขา หลังจากนั้น ทั้งสามก็ออกเดินทางโดยที่เมอร์โทสนั้นเป็นคนบังคับม้า ส่วนเพื่อนเขาอีกสองคนนั้นนั่งอยู่บนเกวียนที่เขาผูกไว้ สู่ป่าแห่งการหลับไหล ป่าที่มีแต่คนที่ชำนาญทางอย่างเมอร์โทสที่จะสามารถฝ่าไปได้
ซึ่งถ้านับเวลาจากที่ทั้งสามเริ่มเดินทางมาจนถึงขณะนี้ ก็น่าจะร่วม 4 ชั่วโมงได้แล้ว "เฮ้ ข้าว่า ม้าของข้ามันต้องการพักบ้างนะ "เมอร์โทสร้องบอกคนในเกวียน "เอาสิ เรายังมีเวลาอีกตั้งมากมายนี่ อีกอย่าง ที่นี่เองก็เริ่มมืดลงแล้วด้วย " คราเซียสร้องตอบกลับไป แต่ทรีโอ้กลับค้านขึ้นมาว่า "เฮ้ แต่... คิดดีแล้วรึ ที่จะพักในป่านี้หนะ ยิ่งเป็นตอนมืดแบบนี้ด้วย" "เฮ่อะ ไม่เอาน่าทรีโอ้ อย่ากลัวอะไรเป็นเด็กไปได้สิ ยังไงเจ้าม้านี่ก็ไปต่อไม่ได้อยู่แล้ว รึเจ้าอยากจะเดินไปกับข้าแบบไร้สะเบียงเล่า??"คราเซียสพูดออกมา " เอ่อๆ ก็ได้ งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี้ก็แล้วกัน" ทรีโอ้พูดเสียงห้วนๆ

หลังจากที่ทั้งสางจัดข้าวของและก่อไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมอร์โทส ก็ได้นำเนื้อสดที่เขาเตรียมมา มาย่างบนกองไฟทันที เมือเวลาผ่านไป เนื้อนั้น ได้ส่งกลิ่นหอม ลอยอบอวนไปทั่วบริเวณนั้น เมื่อเนื้อนั้นสุกได้ทีแล้ว เมอร์โทสก็ยกเนื้อนั้นออกมาจากกองไฟและแบ่งให้เป็นคนละเท่าเทียมกัน ซึ่งขณะที่ทั้งสามจะลงมือกินนั้น บรรยากาศในป่า ก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นเย็นยะเยือก และกองไปที่พวกเค้าก่อก็ถูกลมเย็นประหลาดพัดดับไปสิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้มีเพียงความมืดมิดและ อาการเย็นยะเยือกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น เมอร์โทส ค่อยๆขยับมือของเขาไปจับดาบที่คาดอยู่ที่เข็มขัดของเขา ทรีโอ้ ค่อยขยับตัวเข้าไกล้คราเซียส และเกาะแขนเขาไว้ ทั้นไดนั้นเอง เกิดมีกลิ่นเหม็นเน่าอย่างแรงเข้ามาประทะที่จมูกของทั้งสาม และตามด้วยบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งเข้ามาหาทั้งสามอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงกรีดร้องของทรีโอ้ กับเสียงดังตุบ!! ทันใดนั้น เมอร์โทสได้ชักดาบของเขา และฟันเข้าไปตรงที่เสียงนั้นทันที หลังจากนั้น ก็มีเสียงคำราม พร้อมกับของเหลวที่กระเซ็นไปทั่ว เมอร์โทส ป้ายของเหลวที่ถูกตัวของเขาแล้วเอามาดมดู "นี่ ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่ไม่น่าจะใช่เลือดเจ้านะ ทรีโอ้" หลังจากนั้น ทั้งสามลุกยืนขึ้นมา แล้วจ้องมองไปยังความมืดมิด ที่ดาบถูกตรึงติดไว้ ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือ หมาป่าไร้ขนตัวหนึงที่ทีขนาดใหญ่โตกว่าหมาป่าปกติประมาณหนึ่งเท่า ที่มีผิวหนังเป็นประกายสีดำ นอนแน่นิ่งอยู่พร้อมกับดาบที่ฝังอยู่ในสีข้างของมันไปประมาณครึ่งด้าม "นะ นั่นมัน พวกไซรัปส์รึเปล่า???" ทรีโอ้ถามเสียงสั่น "ใช่ มันคงได้กลิ่นอาหารของพวกเราหละ" เมอร์โทสตอบ

ก่อนที่ทั้งสามจะรู้สึกตัว ไซรัปส์อีกตัวก็ได้พุ่งเข้ามาทางด้านหลัง คราเซียส แต่หลังจากนั้น ประมาณ 1 วินาทีก็มีเสียงครางหงิงและร่างของไซรัปส์ตัวนั้นก็หล่นลงมาตรงหน้าคราเซียส พร้อมกับมีดสีดำเล่มหนึ่งที่ปักอยู่กลางหน้าผากของมัน ทันใดนั้น ทั้งสามก็เห็นดวงตาสีแดง ประมาณ 7 คู่ จ้องมองพวกเค้าอยู่รอบๆตัว คราวนี้เมอร์โทสเป็นฝ่ายวิ่งเข้าใส่ โดบถือดาบ ที่ยาวประมาณ สองฟุต ใบหนาและกว้าง วิ่งเข้าใส่พวกไซรัปส์ทันที หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงครางและเสียงกรีดร้องของพวกไซรัปส์ดังระงมไปทั้วทั้งป่า เมอร์โทสจัดการไซรัปส์ไปทีเดียว 5 ตัว ส่วนอีกสองตัวนั้น คราเซียสได้สังหารมันโดยการขว้างมีดใส่กลางกระบาลของมันก่อน ที่เมอร์โทสจะวิ่งเข้าใส่ไปแล้ว และทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงหอนและคำรามของไซรัปส์ตัวหนึ่ง ขณะที่มันวิ่งกระโจนใส่ทรีโอ้ ซึ่งไซรัปส์ตัวนี้มีขนาดตัวที่โตกว่าไซรัปส์ทั่วไปถึงสองเท่า ทรีโอ้ ได้พึมพำออกมาคำหนึ่งว่า "เทอร์โมรัส" หลังจากนั้นก็ปรากฏแสงสีขาวสว่างวาบ พุ่งเข้าใส่เข้าไซรัปส์จนหงายท้องไป และก่อนที่เจ้าไซรัปส์ตัวนั้นจะลุกขึ้นมาได้ เมอร์โทส ก็ใช้ดาบของตัวเอง แทงกดเข้าไปที่คอของเจ้าไซรัปส์ตัวนั้น จนมันแน่นิ่งไป

ทรีโอ้พึมพำคำบางคำออกมาทำให้กองไฟติดขึ้นเหมือนเดิม พร้อมกับเผยให้เห็น ไซรัปส์ นับสิบตัวที่ นอนเกลื่อนกล่านอยู่รอบๆตัวพวกเขาทันใดนั้นทรีโอ้ก็พูดออกมาว่า "ไงหละ พวกเจ้า จะให้ม้าพักที่นี่งั้น เรอะ เฮ่อะ เราได้เกือบตายกันหมดแล้วไหมหละ " "เอาเหอะ ทรีดโอ้ แต่พวกเรายังไม่ตายเสียหน่อยนี่ มา ข้าว่าพวกนั้นคงจะไม่มารบกวนเราอีกแล้วหละ คืนนี้ ข้ากับคราเซียสจะผลัดกันเฝ้าเวรยามเอง "เมอร์โทสพูดออกมาเสียงเรียบๆ "หวังว่า เมื่อข้าตื่นมา ข้าจะไม่ได้เห็นตัวเองกำลังโดนกลืนเข้าไปในท้องของอสูรตนใดอีกนะ" ทรีโอ้พูด

Anonymou$PopRock
23rd April 2012, 16:59
ลายตามากเลยท่าน จัดๆบ้างก็ได้ อ่านลำบากครับ

pug1
23rd April 2012, 17:53
ลายตามากเลยท่าน จัดๆบ้างก็ได้ อ่านลำบากครับ

ครับ จะพยายามในครั้งต่อๆไปครับ

pug1
24th April 2012, 03:41
Chapter 3 จากป่า สู่มหานคร
"ทรีโอ้! ทรีโอ้! ทรีโอ้!!!! ตื่นได้แล้วเจ้าคนขี้เทรา เจ้าหนะนอนมากกว่าใครเพื่อนเลยนะ" เมอร์โทสร้องปลุกทรีโอ้ให้ตื่น
"โอ้ย ข้ารู้แล้วหน่า อ่าวแล้วเจ้าหมอนั่นหายไปไหนซะหละ "ทรีโอ้ถามเมื่อไม่เห็นคราเซียสอยู่ด้วย
"เห็นว่ามันจะไปหาแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆนี้หนะ เพราะถ้าเราเดินทางไปตามแม่น้ำ มันจะตรงเข้าสู่กำแพงด้านหลังของเมืองพอดีหนะ"เมอร์โทสบอกกับทรีโอ้
ผ่านไปประมาณ 2-3 นาทีหลังจากที่ทั้งสองเก็บข้าวของเสร็จแล้ว คราเซียส ก็ได้เดินออกมาจากป่าที่มีหมอกหนาทึบ
"เฮ้ พวกเจ้า เก็บของเสร็จกันรึยังหละ ข้าเจอทางแล้วนะ" คราเซียสร้องทักเพื่อนทั้งสองของเขา
"ใช่ ข้าเก็บของเสร็จแล้ว " เมอร์โทสตอบกลับ "โอเค ของข้าก็เสร็จแล้ว" ทรีโอ้พูด
หลังจากนั้น ทั้งสามก็เดินทางไปตามทางที่คาเซียสบอก ซึ่งในขณะนี้ป่ามีหมอกหนาทึบมาก
ซึ่งในเวลาต่อมา ทั้งสามก็ได้มาหยุดอยู่ตรงแม่น้ำสายใหญ่ สายหนึ่งซึ่งความหนาของหมอกทำให้ไม่สามารถ กะระยะความกว้างของแม่น้ำได้
" นี่หละ ถึงแล้ว ทีนี้ ก็มุ่งขึ้นเหนือไปตามแม่น้ำเลย" คราเซียสบอกแก่เมอร์โทสซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า
ทั้งสามใช้เวลาในการเดินทางไปตามแม่น้ำอีก 3 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งตอนนี้ หมอกเริ่มเบาบางจนสามารถเห็นทาง และเริ่มจะเห็นได้ถึงความกว้างใหญ่ของแม่น้ำได้แล้ว
"เฮ้ พวก นั่นมันตัวอะไรหนะ!!!!" ทรีโอ้ร้องถามขณะที่สายตาของเขาเหลือบไปเป็นครีบสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่โผล่ขึ้นและหายลับลงไปในน้ำที่ปกคลุมด้วยหมอกบางๆ
"ไม่รู้สิ และข้าก็ไม่อยากจะรู้ด้วย" คราเซียสตอบทรีโอ้
ทั้งสามใช้เวลาเดินทางต่ออีก 2ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี และหมอกก็จางหายไปหมดแล้ว แต่ป่ายังมีความมืดมิดจากร่มเงาของเหล่าต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกคลุมอยู่
เว้นก็แต่ส่วนที่เป็นแม่น้ำ ซึ่งสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เกิดเป็นประกายแสงสีทอง ซึ่งทำให้เห็นความกว้างของแม่น้ำ ที่กว้างประมาณ 50 เมตร

ในที่สุด ทั้งสามก็เดินทางมาถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง
"เอาหละ เราหยุดพักในถ้ำกันก่อนดีกว่า" คราเซียสบอกแก่เมอร์โทส
"หยุดอีกแล้วรึ ทำไมหละ นี่กะลังเที่ยงอยู่เลยนะ" ทรีโอ้ถาม
"ก็เมื่อพ้นจากถ้ำนี่ไปเมื่อไหร่ จะถึงเขตเมืองเลยอย่างไรเล่า"คราเซียสอธิบาย
"แล้วยังไงหละ??"ทรีโอ้ถามต่อ
"แล้วเราก็ต้องรอจนกว่าจะถึงตอนกลางคืนอีกหนะสิ รึเจ้าอยากให้ทหารในเมืองแห่กันมาหาเราเล่า??" คราเซียสตอบกลับไป

หลังจากนั้น ทั้งสามจึงหยุดพักกันในถ้ำ ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างป่ากับเมือง
ระยะห่างระหว่างปากถ้ำนั้น ยาวประมาณ 25 เมตร ซึ่งทั้งสามหยุดพักกันบริเวณปากถ้ำที่จะเป็นทางออก แต่ใช้พนังถ้ำกำบังพวกเค้าไว้จากสายตาคนภายนอก
ตลอดทั้งบ่ายนั้น ทั้งสาม ได้นั่งคุยกันตามประสาเพื่อน หรือไม่ก็นอนหลับพักผ่อนบ้าง
"เอาละหละ ถึงเวลาแล้วสินะ" คราเซียสพูดขึ้นหลังจากที่ได้ยินเสียงแตรปิดประตูเมือง และท้องฝ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
พอท้องฝ้ามืดสนิทแล้ว ทั้งสามจึงย่องออกจากปากถ้ำโดยอาศัยความืดและต้นไม้ในการซ่อนเร้นตัวเองจากทหารยามที่อยู่บริเวณกำแพงเมืองที่สูงใหญ่นั้น
"แล้วไงต่อหละ จะปีนเข้าไปรึ??"ทรีโอ้ถามด้วยเสียงที่เบาจนเกือบกลายเป็นเสียงกระซิบ
"ปีนเข้าไปเหรอ เหอะ นั่นเป็นวิธีที่คนโง่ที่สุดเลือกจะทำ ตอนนี้ เราต้องเดินไปทางด้านซ้ายมือของเรา อีกประมาณ 20 เมต
ร จะเจอประตูเล็กๆ สำหรับใช้เปลี่ยนเวรยามของทหารอยู่หนะ เราจะให้ประตูตรงนั้นแหละ" คราเซียสตอบด้วยเสียงที่เบาพอๆกัน

หลังจากที่ทั้งสาม เดินมาจนถึงประตูที่ว่านั้นแล้ว ทั้งสามจึงสังเกตเห็นทหารยาม 4 นายยืนถือหอกเฝ้าประตูนั้นอยู่
"ทีนี้เอาไงต่อดีหละ จะให้ฆ่าไปจัดการมันเลยใหม??" คราวนี้เมอร์โทสเป็นคนถามกลับบ้าง
"ไม่ เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจัดการเอง " คราเซียสตอบกลับไป
หลังจากที่คราเซียสพูดเสร็จ เขาได้ล้วงไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง และหยิบก้อนบางอย่างที่มีลักษณะกลมมนขนาดเท่าหัวแม่มือออกมา พร้อมกับขว้างไปหาทหารยามเหล่านั้น
ซึ่งเมื่อก้อนนี้ตกกระทบพื้น ก็ได้เกิด กลุ่มควันประหลาดเข้าปกคลุมตัวทหารยามทั้งสี่นาย หลังจากที่ควันนั้นหายก็ปรากฏร่างของทหารยามทั้งสี่ที่อยู่ในสภาพนอนแน่นิ่ง
"เหอะ สุดท้ายก็ต้องใช้ยาสลบ"ทรีโอ้บ่นเบาๆ
"ใครบอกยาสลบกันเล่า นั่นหนะ ถึงตายเชียวนะ" คราเซียสตอบกลับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ออกมาจากพุ่มไม้และเดินตรงเข้าไปหาทหารยามที่นอนอยู่ พร้อมกับใช่ชุดของทหารเหล่านั้นทับลงไปบนร่างกายของตัวเอง
และนำศพของทหารสามคนนั้น ไปทิ้งไว้ในพุ่มไม้ที่เขาจากมา พร้อมกับนำทหารอีกคนมาจัดให้อยู่ในท่าที่เหมือนกับนั่งหลับยามอยู่

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ได้มีเสียงกระดิ่งเปลี่ยนเวรยามของทหารดังขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีทหาร อีกสี่คน เปิดประตูออกมา
หนึ่งในทหารสี่คนนั้นพูดว่า "เอาหละ ถึงเวลาของพวกข้าแล้ว อ่าว แล้วนั่นอะไรหละหนะ" เขาพูดพลางชี้มือไปที่ทหารที่ถูกจัดท่าว่าทำเป็นเหมือนนอนหลับอยู่
"อ๋อ เจ้าหมอนี้บอกว่าเมื่อคืนรวมถึงตอนกลางวันนี้เค้าแทบไมได้นอนเลย เลยง่วงหนะ " คราเซียสบอก พลางหลบสายตาของทหารคนนั้น ซึ่งเพื่อนของเขาก็ทำตัวเช่นเดียวกัน
"งั้นเหรอ ไว้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ละกันนะ "หลังจากนั้น ทหารยามทั้งสี่จึงมาเปลี่ยนเวรยามแทน โดยที่ เมอร์โทสเป็นคนแบกศพทหารคนนั้นไป
และเอาไปไปโยนไว้ตรงกองขยะ แถวๆหลังเมือง โดยเอาเศษขยะมาปิดไว้


ซึ่งตอนนี้ทั้งสามได้เข้ามาอยู่ในเมืองนี้แล้ว

pug1
26th April 2012, 03:09
Chapter 4 เรเบล

นับเป็นเวลาร่วมสามวัน ที่ทั้งสามเข้ามาอยู่ในเขตเมืองหลวงวาร์ทรอน ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเที่ยง ซึ่งทั้งสามได้ออกมาเดินสำรวจเมืองและหาอะไรกินไปด้วย
เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่มีผู้คนคึกคัก และจะมากเป็นพิเศษตรงบริเวณตลาด ซึ่งทั้งสามเห็นพ้องกันว่าควรไปหาอะไรดูในนั้นหน่อย ตลาดในเมืองนี้ เป็นเหมือนกับตรอกซึ่งแคบและยาว และมีผู้คนเดินกันเบียดเสียด
มีครั้งหนึ่งที่มีคนเดินมาชน เมอร์โทส และเกือบล้มทับกัน แต่ก็มีการขอโทษกันอย่างสุภาพ ทั้งสามเลยไม่ได้ติดใจอะไร
เมื่อทั้งสามเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เจอกับร้านอาหาร ซึ่งตั้งอยู่ตรงริมซ้ายในตรอก พวกเขาเห็นพ้องกันว่าจะเข้าไปกินอาหารเที่ยงในร้านนี้
" อาห์ ไหนดูสิ งบเรามีเท่าไหร่" เมอร์โทสพูดพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเขา แต่ข้างในนั้นกลับมีแต่ความว่างเปล่า เขาจึงเปลี่ยนที่และความหาใหม่ และต่อมา เขาก็เริ่มควานหาทั้งตัว
" เป็นอะไรรึ เมอร์โทส" คราเซียสถามเมื่อเห็นเขามีอาการแปลกๆ
"เอ่อ คือ ข้า ข้า..." เมอร์โทสตอบตะกุกตะกัก หลังจากนั้นก็ตอบด้วยเสียงอ่อยๆว่า "ข้าหาถุงใส่เงินไมเจอ"
"ห๊ะ นี่เจ้าจะบอกว่าเจ้าทำเงินหายงั้นหรือ ???" ทรีโอ้โผลงออกมา "โท่เอ๋ย ข้าไม่น่าฝากของสำคัญเยี่ยงนี้ไว้กับเจ้าเลย เจ้าโง่เมอร์โทส" ทรีโอ้ยังคงบ่นไม่หยุด
" พอได้แล้วน่าทรีโอ้ " คราเซียสพูดเสียงเรียบๆ เมื่อเห็นทรีโอ้ท่าทีสงบลงแล้วเขาจึงพูดต่อว่า "ข้าคิดว่า เมอร์โทส ไม่น่าจะทำของแบบนั้นหล่นหายได้แน่ เอ้า ไหน ลองค้นดูอีกทีซิ เดี๋ยวพวกข้าช่วยค้น"
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ช่วยทรีโอ้ค้นหาเงินกันอีก สิบนาทีเต็ม และเมื่อเห็นว่าไม่มีแน่แล้ว คราเซียสจึงพูดอะไรบางอย่างออกมา
" เฮ้ เจ้า เจ้าจำคนที่เดินชนเมอร์โทสนั่นได้ไหม " คราเซียสถามพร้อมกับมองหน้าเพื่อนของเขา
" เจ้าสงสัยเจ้าหมอนั่นงั้นรึ??" เมอร์โทสถาม
"ข้าแค่คิดว่า มันน่าจะความเป็นไปได้แค่นั้นเองหนะ " คราเซียสตอบ
" ข้าว่ามันก็น่าจะเป็นไปได้นะ แต่ ถ้าใคร ก็ตามที่จะขโมยตังค์ข้า ข้าก็น่าจะรู้ตัวมิใช่หรือ???" เมอร์โทส พูดพร้อมกับทำหน้าฉงน
"แต่ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง คราเซียส เราะไปตามหาเขาได้ที่ไหนกันหละ คนในเมืองนี้ เยอะอย่างกับมด" ทรีโอ้ถามออกมา
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ได้ตกลงกันว่าจะเดินย้อมกลับเพื่อหาถุงใส่เงินนั้นอีกรอบ เมื่อทั้งสามเดินมาได้สักระยะ ก็สังเกตเห็นป้ายประกาศ พร้อมกับมีประกาศต่างๆติดอยู่ ทีแรก พวกเขาก็ไมได้สนใจอะไร จนกรทั่งเมอร์โทสถามพูดขึ้นมาว่า
"เฮ้ พวกเจ้า มาดูนี่สิ ข้าว่าหมอนี่หน้าตาคล้ายๆคนที่เดินชนข้านะ" เขาพูดพลางชี้ไปที่ในป้ายประกาศนั้น
ป้ายประกาศนั้น มีรูปของคน คนหนึ่ง ซึ่งมีผ้าผกคลุมใบหน้า และแต่ตัวด้วยชุดคลถมสีน้ำตาลซึ่งคล้ายคลึงกับคนที่เดินชนเมอร์โทสก่อนหน้านี้มี เพียงแต่เขารางวัลนำจับสูงถึง 2000 เกลเปรียญ พร้อมกับชื่อติดข้างบนว่า "เรเบล"
" เรเบลงั้นรึ ??? ใครกันหนะ?" ทรีโอ้ถาม
"ไม่รู้สิ แต่ข้าว่า ค่าหัวสูงขนาดนี้ ชาวบ้านแถวนี้จะต้องรู้จักเขาดีแน่" ทั้นทีที่คราเซียสพูดจบ เขาก็เดินไป ถามหญิงวัยทองคนหนึ่ง ซึ่งพอหลังจากกลับมา เขาก็อธิบายได้ว่า
" เรเบล เป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านการโจรกรรม และการกบฏ ถูกต้องแล้ว เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก และยังพูดกันอีกว่า หลังจากที่เขาขโมยเงินได้แล้ว เขาก็จะแบ่งปันกันใช้ในหมู่ของพวกเขา
ซึ่งคนที่ข้าเข้าไปคุยด้วยนั้นยังบอกอีกว่าเขาอาศัยอยู่แถวๆ ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของผู้คนที่ยากจน และแทบไม่มีจะกิน ซึ่งแถวนั้น ใครๆก็เรียกว่า เขตโจร! "
หลังจากนั้น สองชั่วโมงต่อมา พวกเขาได้ เดินทางมายังจุดที่ชาวบ้านเรียกว่าเขตโจร เขต ที่พระราชาเมืองนี้ มองเป็นเพียงแค่ที่อยู่ของคนยากจนเท่านั้น
เขตโจรนั้น เทียบได้กับด้านมือของเมืองหลวง เพราะที่นี้ ทั้งสกปรก มีกลิ่นเหม็นสาบ และดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองร้าง
แต่แล้ว คราเซียสได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งแอบมองพวกเขาอยู่ และเมื่อชายคนนั้นรู้ถึงการมองเห็นของพวกเขา ก็วิ่งหลบเข้าไปในซอกตึก
ทั้งสามตามเข้าไปในนั้น และได้วิ่งไล่ตามชายคนนี้ไป เป็นระยะทางที่ยาวไกล
จนกระทั่งในที่สุด เขาไล่ชายคนนี้มาถึงบริเวณ ที่เหมือนกับ จัตตุรัสกลางเมือง ซึ่งตอนแรก เขาคิดว่าชายคนนั้นจะหนีอีก แต่แล้ว ชายคนนั้นกลับยืนตัวตรงและ จ้องหน้าพวกเขาพร้อมกับแสยะยิ้ม
ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว ก้ได้มีชายคนหนึ่งย่องเข้ามาจากด้านหลัง และล็อคคอทั้งสามเอาไว้พร้อมกับเอามีดจี้
"นี่ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเจ้าโง่ หรือพวกเจ้า บ้ากันแน่ ที่เข้ามาถึงในเขตอย่างนี้หนะ ห๊ะ" ชายคนทียืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา พูดขึ้นมา
"เรเบล เราต้องการ พบกับ เรเบล" คราเซียสตอบเขาไป
"ข้าอยากจะบอกพวกท่านว่า ข้าเสียใจจริงๆ ที่อณุญาติให้พวกเจ้ามาได้แค่นี้หนะ แต่พวกเจ้า ก็จะต้องอยู่ที่นี่ ไปอีกตลอดการ" สิ้นเสียงพูดนั้น ชายคนนี้ ก็ล้มลงไปน้ำลายฟูมปาก พร้อมกับคนที่เอามีดจี้คอคราเซียส
พวกโจรอีกสองคนดูตระหนก และในจังหวะนั้นเอง ที่เมอร์โทส เอาข้อสอก กระทุ้งเขาไปที่ท้อง ของคนที่จี้ขอเขาอย่างเต็มแรง ทำให้มันล้นลงไปนอน โอดครวญอยู่ที่พื้น
และทรีโอ้ ก็สบทคำคำหนึ่งออกมาว่า " เอลเมรุส" หลังจากสิ้นคำสบทนั้น ชายคนที่จี้คอของเขา ก็กระเด็นลองไปไกลกว่า 10เมตร และกระแทกเข้ากับพนังของบ้านเรื่อนที่อยู่ใกล้ๆนั้น
"ทีนี้... จะพาข้าไปหาเรเบลได้รึยังหละ??" คราเซียสถามพร้อมกับเอามีดมาจ่อทีหน้าของโจรคนที่นอนพังอยู่กับกำแพงบ้าน

pug1
1st May 2012, 00:11
Chapter 5 poorman shine
ณ บ้านหลังหนึ่งที่อดีตเคยถล่มลงมาทำให้เกิดเป็น ซากปรักหักพังที่มีรูปทรงแปลกตา ซึ่งที่นั่นเอง ได้มีคน 4 คน กำลังยืนห้อมร้อม ข้าวของเครื่องใช้และเงินทอง ที่กองอยู่
" เอาหละ ไหน มาดูกันซิว่าเราเอามาได้มากน้อยเพียงใด " เสียงที่ค่อนข้างห้าว แต่นุ่มนวลเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา พร้อมกับเจ้าของเสียงนั้นได้เอื้อมมือไปหยิบถุงใบหนึ่ง และคลี่ออกมา ปรากฏให้เห็นถึงเงิน 200 เกลเปรียญที่อยู่ในนั้น
"อาฮ้า โอกาสแบบนี้หาไมได้ง่ายๆนะเนี้ย นานๆที ถึงจะได้ของแบบนี้มาบ้าง" เสียงที่นุ่มนวลนั้นยังคงพูดต่อไป แต่เขาต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียง เสียงหนึ่งดังเข้ามาจากที่ใกลๆ
" นายท่าน มีคนต้องการพบขอรับ นายท่าน" เสียงนั้นพูด
"ต้องการพบข้าเหรอ?? ได้ ให้เค้ารออยู่ข้างนอกนั่นแหละ แล้วเดี๋ยวข้าจะออกไปหาเอง" หลังจากที่พูดจบ เขาก็สั่งอะไรบางอย่างกับคนที่อยู่กับเขาอีกสามคน และว่างถุงเงินนั้นลง หลังจากนั้น ก็เดินไปตามทางซึ่งเกิดจากการทำขึ้นมาในซากปรักหักพังเหล่านั้น
"เมื่อเดินออกมาพ้นจากซากนั้นแล้ว เขาก็สังเกตเห็น ชายสามคน โดยที่คนหนึ่งนั้นเอามีดจี้คอลูกน้องของเขาอยู่
"เฮ้ นั่น พวกเจ้าจะทำอะไรหนะ??"เขาร้องถามไปเสียงดัง
"เจ้าสินะคือเรเบล" คนที่กำลังถือมีดอยู่ร้องถาม
" ใช่ ข้านี่แหละ เรเบล พวกเจ้าต้องการอะไรถึงทำกับคนของข้าแบบนี้" เรเบลถามต่อไป
" สวัสดี เรเบล ข้ามีนามว่าคราเซียส ส่วนนี้ สหายของข้าเอง คนที่ถือดาบอยู่นั่นคือเมอร์โทส ส่วนคนที่มีผมสีทองนี่ ชื่อ ทรีโอ้" คราเซียสกล่าวแนะนำตัวพร้อมกลับลดมีดลงจากคอของโจรที่เขาจับได้พร้อมกับปล่อยให้โจรคนนั้น วิ่งหนีไปหลบหลังเรเบล
"ท่านสามารถบุกเข้ามาที่นี้ และยังมีชีวิตอยู่ และยังจับตัวลุกน้องของข้าได้อีกด้วย ข้าว่าท่านคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ใช่ไหม" เรเบลพูดสีหน้าดุดัน
"แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครงั้นหรือ??สาวน้อย" คราเซียสถามเสียงเรียบ
"นี่เจ้า!! บังอาจนัก!!! " เรเบลตะโกน พร้อมกับขว้างบางสิ่งที่เธอแอบซ่อนไว้ในมือเข้าใส่คราเซียส
แวบแรก เรเบลคิดว่าเธอคงจะได้เห็นคราเซียสล้มลมไปในสภาพที่มีมีดคาอยู่ที่ศรีษะ
"ฮ่าๆๆ ใจเย็นสิสาวน้อย เจ้านี่ ทำตัวไม่สมกับเป็นสตรีเพศเลยนะ" คราเซียสพูดพร้อมกับหัวเราะ ในขณะที่เรเบลยืนตะลึงงัน ที่คราเซียสใช้มือจับตรงด้ามมีดขณะที่ตอนนี้ ปลายของมีดได้อยู่ห่างจากหน้าผากเขา ไปเพียง 1นิ้ว
"เจ้าต้องการอะไร คาเซียส!" เรเบล ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่โมโหสุดขีด
"เอาหละ ก่อนที่ข้าจะตอบอะไร ข้าว่า เจ้าหนะ ใจเย็นแล้วฟังข้าก่อน" คราเซียสยังคงบอบไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบและนุ่มนวล
"คือแบบนี้นะ เรเบล คือเมื่อเช้าหนะ ตอนที่พวกเราเดินอยู่ที่ตลาด เพื่อนของข้า ได้ถูกคนที่หน้าตาคล้ายๆกับเจ้า ขโมยเงินไปหนะ ซึ่งจำนวณเงินในนั้นก็มีไม่มากเท่าไหร่หรอก แค่ 200 เกลเรียญเอง"คราเซียสยังคงพูดต่อไป
"แล้วเจ้าสงสัยข้างั้นหรือ???"เรเบลถาม
"ก็ เจ้าจะให้ข้าคิดว่าไงหละ ในเมื่อคน คนนั้น บังเอิญลักษณะเหมือนเจ้า และที่สำคัญ เขาก็ยังขี้ขโมยแบบเจ้าด้วยหนะสาวน้อย" คราเซียสยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเดิม
"หยุดเรียกข้าว่าสาวน้อยได้แล้ว เจ้าคนต่างถิ่น!" เรเบลพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงฉุนกึก
" หืมม เจ้านี่ก็ไม่เบานี่สาวน้อย ที่ดูออกว่าข้าคือคนต่างถิ่นหนะ" คราเซียสพูด
"ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นคราเซียส ประเด็นคือ เจ้า! มาทำอะไรที่นี่ ถ้าเจ้ามาถามหาของละก็ บอกได้เลยว่าข้าไม่มีแล้ว" เรเบลยังคงพูดเสียงดัง
"ถ้าเรื่องเงินนั่นหนะ ข้าถือซะว่าเป็นเรื่องรองละกัน เรื่องหลักๆที่ข้าอยากมาพบเจ้าหนะ เพราะข้าได้ยินมาว่า เจ้าอยู่คนละฝ่ายกับผู้ปกครองเมืองนี้หรือสาวน้อย???"คาเซียสถาม
"ถ้าเจ้ามาเพราะเรื่องนี้หละก็ เข้ามาข้างในก่อนสิ" คราวนี้เรเบลพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบ พร้อมกับก้มหน้าและเดินนำทั้งสามคนเข้าไปยังซากปรักหักพังนั้น
" เจ้าหนะ คงไม่ได้เป็นพวกทหารที่พระราชาส่งมาจับตัวข้าใช่ไหม??" แรเบลถามพร้อมกับหยุดตรงสุดทางเดิน
"ถ้าข้าตอบว่าใช่หละ?" คราเซียสถามกลับ
"ถ้าเจ้าตอบว่าใช่ ข้าคง ตะต้องฆ่าเข้าเสียตรงนี้แล้ว " เรเบลพูด ซึ่งขณะนั้น ได้มี คนนับหลายสิบ ซึ่งหลบอยู่ตามมุมต่างๆของซากปรักหักพังนั้น และล้อมรอบพวกคราเซียสเอาไว้
"แหม ช่างน่ากลัวเสียนี่กะไร ข้าหนะ ไม่ใช่พวกทหารหรือพระราชานั่นหรอก และก็ถูกต้อง ว่าข้า หนะ มาจากต่างเมือง ข้ามาจากเมืองมอเรียส ข้ามา เพื่อนรวมแผ่นดินนี้ให้กลายเป็นแผ่นเดียวกัน" คราเซียสพูด ด้วยน้ำเสียงหักแน่นแต่ยังคงความนุ่มนวลไว้อยู่
"อย่างงี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย แล้วเจ้าหนะ มาหาข้าเพราะอะไรหละ หรือว่าท่านต้องการแนวร่วม?? " เรเบลถาม
"คืองี้นะ เรเบล จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะลำพังแค่ตัวข้าหนะ คงทำอะไรไม่ได้หรอก และที่นี่ก็ถือว่าเป็นเมืองหลวง เมืองที่ถือได้ว่า เป็นเมืองหลักที่จะทำให้เรารวบรวมประเทศนี้ไว้ด้วยกัน
และเจ้า เจ้าอยู่ในเมืองนี้สาวน้อย และยังตั้งตัวเองในฐานะกบฏอีกด้วย ข้าแค่อยากทราบเหตุผลว่า ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนี้หนะ"
"เหตุผล ที่ข้าแบบนี้หนะหรือ คงต้องย้อนกลับไปเมื่องสมัยที่เมืองนี้ตั้งใหม่ๆแล้วหละ สมัยนั้น ประชาชนในเมืองนี้ได้แบ่งการปกครองเป็นสองฝ่าย โดนฝ่านแรกคือฝ่ายของกษัตริย์เอลทรอน และฝ่ายที่สองคือฝ่ายของราชินีเอลว่าซึ่งทั้งสิงฝ่ายต่างมีความสุขดี จนกระทั่ง ราชินีเอลวาสิ้นพระชนไปนั่นแหละ กษัตริย์แห่นเอลทรอนจึงได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมด และรวมถึงเขตปกครองทั้งหมดไปด้วย ทีนี้ เมื่อได้เขตปกครองทั้งหมดไปนั้น พระองเองกลับปกครองได้ไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงขึ้นในบางพื้นที่
โดยที่ตอนแรก ประชาชนเหล่านั้นได้ออกมาประท้วง แต่กษัตริย์กลับไม่นพระทัยแม้แต่น้อย ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ที่นี้ ผลจากสงคราม ก็อย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ ชาวบ้านที่พ่ายแพ้ต่างอพยพกันมาอู่ ณ ที่แห่งนี้
และพวกเรา ก็ตั้งตัวเองเป็นกบฏ ภายใต้กลุ่มที่ชื่อว่า เพอร์แมนไชน์ ยังไงหละ ส่วนเรื่องอื่น ที่ว่า ทำไมข้าถึงมาเป็นผู้นำพวกเขาได้อะไรทำนองนั้นหนะ ข้าขอไม่บอกเจ้าละกัน" เรเบลพูดซึ่งขณะนี้ใจเย็นลงแล้ว
"ยังงั้นรึ อืมมม น่าสนใจดีนี่หน่า แล้ว ถ้าข้าจะเข้าร่วมด้วยจะได้ไหมหละ??" คราเซียสถาม
"ถ้าเจ้ามีความคิดอย่างนั้นจริงๆข้าก็จะอณุญาติให้เจ้าเข้าร่วมด้วยได้ แต่ เจ้าจะต้องทำพิธีบางอย่างเพื่อนสาบานว่าจะไม่ทรยศพวกเราก่อนนะ" เรเบลบอก