PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : มหาสงครามชิงพิภพ



phathanbo
24th April 2012, 22:25
มหาสงครามชิงพิภพ
ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของสงคราม
บทที่ ๑ ชนวนศึก
ปฐมบท

นอดีตกาลนานโพ้นก่อนยุคองค์พระอิศวร ได้มีสมเด็จมหาเทวาธิเทพมหาเทพนาม “จ้าวโลกาธิบดีศรีอมฤต (ฮอลอาคุแฟนท่อม)” ปกครองไตรปรมภพ อันได้แก่ ๑.พิภพมนุษย์ ๒.พิภพสวรรค์ ๓.พิภพนรก โดยในแต่ละภพยังแบ่งอำนาจการปกครองไปสู่ผู้ครองตำแหน่ง คือ พิภพมนุษย์ ปกครองโดย จ้าวจักรราศี พิภพสวรรค์ ปกครองโดย จ้าวสวรรค์ พิภพนรก ปกครองโดย จ้าวมัจจุราช ซึ่งในปัจจุบัน จ้าวจักรราศี มีพระนาม “ราชาเก้าพันปี” บุตรแห่ง ราชันต์สวรรค์ กับ ธิดาสวรรค์ นัดดาแห่ง จ้าวอหังการ์ ราชาเก้าพันปีปกครองนครนาม “นพเก้าประกายแสง สำแดงเดชเทพารักษ์ บริรักษ์เทวดา มหานครพระประสิทธิ์ พิทธาวรานุสรณ์ อมรมณีรัตน์ ธิปัตติมงคล ดลธรรมจักราศี ปฐพีเตศวรบุรี” ซึ่งนพเก้านครก็เป็น๑ใน ๙ มหานคร อันได้แก่ ๑.มหานครนพเก้านคร ๒.สราญรมย์นคร ๓.นครอัศวินมังกรขาว ๔.นครทิพยมณีรัตนเจดีย์ ๕.นครราชมหาอัคคี ๖.มหานครภูผาคีรีบุรี ๗.นครมหานครอวตารจำแลง ๘.นครทองคำเพชรอำไพ ๙.มหานครกรรลนรรัตน์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดย “มหาเทวีราชันกษัตรีสายรุ้ง {เรนโบว์} (บุตรีแห่งจ้าวโลกาธิบดีศรีอมฤต)” ดำรงตำแหน่งยอดปราการแห่งฝ่ายธรรมะ นพเก้านครมีพันมิตรสองนครคือ สราญรมย์นครซึ่งปกครองโดย เซียนสราญรมย์ และ มหาเทวานครซึ่งปกครองโดย มารราชันต์ม่วง
ชนวนศึก
วันหนึ่ง ขณะที่แสงแดดกำลังส่องแสงอ่อน ณ ป่าแห่งหนึ่ง ห่างจากนพเก้านครไปไม่กี่เส้น{๑ เส้น = ๔๐ เมตร}
ได้มีเสียงวิ่งเหยาะๆจากอาชาสีขาวสังข์ โดยมีบุรุษนั่งอยู่บนหลังม้าคอยบังคับบังเหียน เขาผู้นี้ถือธนูคันขนาด ๒ศอกครึ่งมีสีทองคำ กำลังเล็งเป้าไปสู่หมูป่า ๒ ตัวเขาปล่อยลูกธนู ฟิ้ว!ฉึก ฉึก ลูกธนูปักกลางดวงใจของหมูป่าทั้งสอง เขายิ้มกระหยิ่มใจ ด้วยว่าภูมิใจในฝีมือของตนเอง เวลาผ่านไปสักพัก ขณะที่เขาขี่ม้าเข้าไปในป่าลึก เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง “ว้าย!” เขาตกใจ จึงรีบควบม้าไปทันที พอเขาไปถึงเขาก็เห็นว่ามีเสือโคร่งลายพาดกลอนกำลังจะกระโจนใส่หญิงสาว “เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายกธนูใส่มันและไม่รอช้าเขารีบยิงใส่เจ้าเสือตัวนั้นทันที ฉึก! เสือตัวนั้นได้ขาดใจตายลงทันที
“ขอบคุณนะคะที่มาช่วยฉัน ไม่ทราบว่าคุณมีนามว่าอะไรเหรอ”
หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เขามองหน้าแล้วยิ้มตอบรับ
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เพราะถึงรู้ไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้”
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เธอหัวเราะ
“คุณคงไม่รู้สิว่าฉันเป็นใคร”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่! ผมไม่รู้” เธอยิ้มกระหยิ่มใจแล้วจึงตอบออกไปว่า
“ฉันเป็นบุตรีคนที่ ๒ ของราชันต์ดาบสวรรค์ แห่งมหานครภูผาคีรีบุรี ชื่อของฉันก็คือ เทวีหงส์ฟ้าทอง {อลิซเบส}”
“เฮอะ! คุณหญิงรองนี่เอง แหม! ขออภัยที่หม่อมฉันล่วงเกิน เออ! แล้วองค์หญิงรู้ไหมพ่ะย่ะค่ะว่าหม่อมฉันเป็น ใคร? ”
ชายหนุ่มสวนกลับบ้าง อลิซเบสส่ายหน้า เขาจึงยิ้มแล้วตอบไปว่า
“ข้ามีนามว่าพญามหาราช {ไวร์มาร์ค} เป็นพระราชอนุชาของราชาเก้าพันปี {ไฟร์} แห่งนพเก้านคร ยินดีที่ได้รู้จัก หงส์ฟ้าทอง”
อลิซเบสถึงกับอึ้งเพราะนางได้ทำการลบหลู่เบื้องสูงเข้าให้แล้วนางรีบคุกเข่าลงคำนับทันที
“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท ที่หม่อมฉันล่วงเกิน หวังว่าพระองค์จะไม่ถือโทษโกรธเคืองหม่อมฉัน.....นะเพคะ”
“ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ได้โกรธเจ้าหรอกลุกขึ้นเถิดข้าไม่ได้ถือยศถือศักดิ์อะไรหรอกว่าแต่ว่า เจ้ามาทำอะไรคนเดียวในไพรสัณฑ์จัณฑลลักษณ์ เจ้ารู้ไหมว่ามันอันตราย”
ไวร์มาร์ค ลงจากหลังม้าไปพยุงอลิซเบสขึ้นมาแล้วก็ตั้งคำถาม อลิซเบสปัดตัวอยู่เล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า
“หม่อมฉันมาหาพระเชษฐาของพระองค์น่ะเพคะ”
“เออ! ตอนนี้ท่านพี่คงจะว่างอยู่ นู่น ! ตรงโค้งตรงนั้นมีทางลัดอยู่ ถ้าใช้ทางนั้นเจ้าจะถึงไวกว่าประมาณ ๓ ชั่วโมง เออ ! ว่าแต่ ทำไมไม่มีใครตามเจ้ามาเลยล่ะ มาคนเดียวหรือ”
ไวร์มาร์คถามดู แล้วมองไปรอบๆ เห็นไม่มีใครเดินตามมา
“อ๋อ! คือพวกเขารุดหน้าไปทางโน้น อีกสักพักคงกลับมา”
อลิซเบสยิ้มตอบ ไวร์มาร์คผงึกหน้าทำว่าเข้าใจ สักพักก็มีคนประมาณ ๓ – ๕ คน ใส่เครื่องปิดกายแบบนักเดินทาง ใส่เสื้อสีน้ำตาลไหม้ กางเกงขายาวคลุมข้อเท้า ใส่หมวกแบบบังหน้า พอเห็นไวร์มาร์คก็รีบวิ่งมาล้อมทันที
“มันเป็นใครหรือองค์หญิง มีประสงค์ร้ายหรือไม่ แล้วองค์หญิงปลอดภัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
วานรไพร{สเกล์ลา} ซึ่งเป็นหนึ่งในคนอารักษ์ขาอลิซเบส ถามอย่างเป็นห่วง อลิซเบสยิ้มแล้วพูดออกไปว่า
“ไม่ใช่หรอกสเกล์ลาเขาคือ พญามหาราช ไวร์มาร์ค พระอนุชาขององค์ราชาเก้าพันปี”
สเกล์ลารีบคำนับด้วยท่าทางร้อนรน หน่วยอารักษ์ขาที่เหลือต่างก็คำนับตาม
“หม่อมฉันขอประทานอภัยพระพุทธเจ้าค่ะ ฝ่าบาท”
สเกล์ลาพูด ไวร์มาร์คยิ้มรับ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า
“ไม่เป็นไร เอ้า! รีบไปเถอะ ประเดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน ระวังตัวด้วยล่ะ อลิซเบส”
อลิซเบสยิ้มตอบ สเกล์ลารีบเดินนำไปตามทางที่ไวร์มาร์คบอก พอพวกอลิซเบสลับตา ไวร์มาร์คก็ขี่ไปต่อ
พอได้สักระยะเขาก็เห็นกองทัพขนาดย่อมๆ มีกำลังพลประมาณ ๑-๔ หมื่นคน ไวร์มาร์คเพ่งเล็งอยู่สักพัก เขาก็ยิ้มที่มุมปากแล้วก็พูดกับตัวเองว่า
“กล้าบุกมาขนาดนี้แสดงว่ามีอะไรดีแน่ๆ ฮึ! ข้าจะทำให้หัวหมุนเลยเชียว ”
ไวร์มาร์คขี่ม้าไปยืนบนริมหน้าผา เขายิ้มอยู่สักพักแล้วก็ส่งเสียงคำราม ก๊าซ ก๊าซ ทันใดนั้นเองฝูงสัตว์ก็ห่อตะบึงวิ่งกรูกันออกมาจากแนวป่า มุ่งหน้าไปทางกองทัพขนาดย่อมๆตรงหน้า ทหารในกองทัพต่างวิ่งหนีตายกันไม่เป็นขบวน ไวร์มาร์คยืนยิ้มอย่างได้ใจ พอกองทัพนั้นคุมสถานการณ์นั้นได้ ไวร์มาร์คก็ควบม้าจากไปด้วยความไว พอสัก ๑ชั่วโมงไวร์มาร์คก็มาหยุด ณ กำแพงนครซึ่งสูงราว ๓ วา ไวร์มาร์คโบกมือเป็นสัญญาณให้ทหารคุมป้อม ประตูเปิดทำให้เห็นทัศนียภาพภายใน หน้าประตูปราสาทรายล้อมไปด้วยเหล่าทหารเสนาเฝ้าประตูต่างถืออาวุธครบมือ ยืนเฝ้าฝั่งละ ๙ นาย สวมชุดกะทัดรัด พอไวร์มาร์คเดินผ่านต่างก็ก้มหัวคำนับอย่างพร้อมเพรียงและสวยงาม ไวร์มาร์คพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในท้องพระโรงกลาง ระหว่างทางมีเหล่าเสนาอำมาตย์ ต่างให้ความเคารพไวร์มาร์คเดินเข้ามา พบกับรัฐบุรุษผู้สง่าคนหนึ่งของพิภพ นั่งเอากำปั้นเท้าคาง ศอกต่อกับพนักพิงยิ้มกระหยิ่ม ข้างๆมีเสนาธิการน้อยใหญ่รายล้อม เขาคือ ไฟร์ ไวร์มาร์คคำนับสักครู่ แล้วถามไปว่า
“เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ ยิ้มเสียแก้มปริ สงสัยจะได้อะไรดีๆมาแน่ๆเลย”
“สงสัยว่าจะมีแขกสาวๆสวยๆมาเยี่ยมเยียนละมั้ง ข้าถึงได้ยิ้มซะขนาดนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ไฟร์ ตอบไปอย่างตลกขบขัน ไวร์มาร์คอ้าปากส่งเสียง อ้อ อ้อ
“อ้อ! คงจะเป็นอลิซเบสใช่ใหมพ่ะย่ะค่ะ ไม่งั้นท่านพี่คงไม่ยิ้มขนาดนี้”
“เจ้านี่เดาเก่งจริงๆ ว่าแต่เจ้าไปเจอนางตอนไหน”
ไฟร์ หัวเราะ แล้วถามอย่างสงสัย ไวร์มาร์คตอบอย่างช้าๆ
“คือ.....หม่อมฉันไปเจอนางตอนที่นางถูกเสือลอบทำร้ายน่ะพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะถึงนครเราไม่เท่าไร”
“เหรอ! ไม่ใช่ว่าเจ้าดักไปเจอนางหรือ”
ไฟร์พูดทำนองว่าไม่เชื่อ แต่ไวร์มาร์คยังผงกหน้ายืนยัน แล้วอลิซเบสก็เดินเข้ามา
“หม่อมฉันตัวก่อนนะเพคะ.... เสด็จพ่อห้ามมิให้หม่อมฉันกลับค่ำมืด พระองค์กลัวจะเป็นอันตรายต่อหม่อมฉันน่ะเพคะ”
“อือ! เราเข้าใจแล้ว เออ แล้วหากเสด็จลุงมีอะไรกับเราอีก ก็ให้ส่งพิราบสื่อสารมาก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราจะไปรับมาเอง”
ไฟร์กล่าวอย่างมีไมตรี อลิซเบสพยักหน้าเข้าใจ แล้วก้มคำนับแล้วก็เดินออกไป
“เสด็จพี่ทรงนึกอะไรอยู่ฤาพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเห็นมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้ว”
ไวร์มาร์คถาม ด้วยเห็นว่าไฟร์มีอาการมาแต่เมื่อครู่
“ไม่มีอะไรหรอกไวร์ ว่าแต่ว่างานที่พี่ให้เจ้าไปทำน่ะสำเร็จหรือไม่ ไหนลองบอกมาสิ ฮึ!”
ไฟร์เปลี่ยนเรื่องคุย ไวร์มาร์คทำตาลุกโตด้วยความตกใจ แล้วตอบไปว่า
“หม่อมฉันลืมสนิทเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัย เดี๋ยวหม่อมฉันจะหาท่านเซียนสราญรมย์ให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ไฟร์ถอนหายใจแล้วตอบกลับอย่างเบื่อหน่าย
“ฮึ ไม่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวฝากเทพเงาสวรรค์ {ไร} ไปส่งข่าวดีกว่า แหม! แค่นำสาน์สไปขอช่างตีอัญมณีแค่นี้ทำเป็นยากขนาดพาไปตาย เจ้านิมันสุดแสนจะไร้ความจำจริงๆ จะให้ข้าอบรมเจ้าอย่างไรดี ฮึ”
ไฟร์สาธยายอย่างยาวยืด พอสิ้นเสียงของไฟร์ ก็มีเสียงหนึ่ง ซึ่งเป็นเสียงของสตรีที่มีความไพเราะในสำนวนและการใช้เสียงในการพูดเจรจา นางคือทูตที่ดีที่สุดในสากลพิภพ และนางก็เป็นกนิษฐาของไฟร์ และเป็นเชษฐภคินีของไวร์มาร์ค นางคือ ‘นางพญาหงส์’ {ฮาโมนิก้า}
“เสด็จพี่จะไปเอาอะไรกับคนเช่นไวร์มาร์คเพคะ พระองค์ก็รู้ว่าคนอย่างไวร์มาร์คทำอะไรไม่มีสำเร็จก่อนพลาด”
“แหม! ทำอย่างกับว่าเสด็จพี่จะไม่เคยพลาดอย่างนั้นเหละ อย่างน้อยก็เรื่องความรักละว้า”
ไวร์มาร์คพูดเสียดสีฮาโมนิก้า นางทำหน้าโมโหแต่ไฟร์ได้พูดตัดบทว่า
“เอาเหอะน่า! เรื่องมันแล้วก็ให้มันแล้วไปไม่ต้องมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ เจ้าก็ไม่น่าไปว่าน้องมันอย่างนั้น”
“อือ! เสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันได้ข่าวมาว่ากองกำลังขนาดเล็กกำลังมุ่งหน้ามาทางนครเราน่ะเพคะ ไม่ทราบว่าจะให้น้องจัดการเช่นไร จะให้ส่งกำลังไปสกัดไว้ไหมเพคะ”
ฮาโมนิก้าถอนหายใจก่อนจะถาม ไวร์มาร์คยิ้มแล้วตอบไปว่า
“มิต้องทรงห่วงเรื่องนั้นท่านพี่ฮาโม หม่อมฉันได้จัดการแล้ว”
“เหรอ! แต่พี่เพิ่งจะเห็นแม่ทัพของเขาเดินเข้ามานะ นู่น ข้างหลังเจ้านู่น”
ไฟร์บอกพร้อมผงกหน้าไปข้างหน้าตัวเอง ไวร์มาร์คหันไปก็ทำตางงงวย แต่ฮาโมนิก้ามองไปก็รีบหันกลับมาทำตาไม่ถูกชะตากับผู้ที่เดินมาทันที ผู้ที่เดินเข้ามานั้น เท่าที่ได้เห็นก็สวมเสื้อสีออกน้ำตาลดำถักด้วยใยไหมแท้ผสมกับผงสุวรรณนิลกาฬ(ทองคำสีดำ)ซึ่งต้องทอด้วยเข็มที่ชุบไปด้วยเงินบริสุทธิ์จึงจะถักทอผ้าชนิดนี้ขึ้นมาได้ สวมกางเกงสีดำสนิทสวมถุงมือสีดำน้ำตาลทองใส่มงกุฎลายกนกสามตายอดสูงเป็นช่อชฎา มี ผ้าคุมสีดำม่วงคอปกสูง ๒ คืบเดินสวมรองเท้ากษัตริย์ปลายโค้งงอนสีทองคำสนิท ทรวดทรงองอาจ ใบหน้าดูดีทีภูมิฐาน กำลังกล่าวคำทำความเคารพอย่างมีสกุล
“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะฝ่าพระบาท หม่อมฉันนำความอันมีประโยชน์แก่นพเก้านครมากล่าวกับพระองค์ หวังว่าพระองค์จะทรงกรุณารับฟังนะพระเจ้าค่ะ”
“มิมีปัญหาเชิญเจ้ากล่าวมาได้เลย ฮาโม ไวร์มาร์คไปนั่งที่สิ เชิญพูดมาอควอโล”
ไฟร์พูดตอบรับบุรุษผู้นั้นซึ่งมีนามว่า ราชันต์มาร{อควอโล} แล้วสั่งให้ฮาโมนิก้า ไวร์มาร์คนั่งลง อควอโลจึงกล่าวต่อพร้อมกับนั่งลงในที่ของอาคันตุกะและเหล่าทุตานุทูต ซึ่งอยู่ใกล้กับที่นั่งของฮาโมนิก้า
“พระองค์ผู้ทรงเป็นกษัตราธิราชอันทรงเปี่ยมด้วยทศพิศราชธรรม และ จักรพรรดิวัตร พระองค์ทรงเรืองรองด้วยอำนาจแห่งปัญญา หม่อมฉันมีความเห็นว่าในขณะที่บ้านเมืองไร้ซึ่งภยันตรายต่างๆ เราทั้งสองอันเป็นสองเผ่าพงศ์ ก็ควรจะผูกมิตรเจริญสัมพันธไมตรีอันดีต่อกันด้วยการผสานสองครอบครัวเข้าด้วยกัน พระองค์มีความเห็นอย่างไร ก็ทรงเล่าแจ้งแถลงไขมาเถิดพระเจ้าค่ะ”
ไฟร์นั่งนิ่งไปสักพัก ด้วยว่าเคลิ้มในคารมของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นมารที่องอาจที่สุด สุดท้ายไฟร์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ท่านราชันต์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสง่า พระองค์จะพูดเช่นไร ตัวเราก็ไม่อาจจะตัดสินใจแทนน้องสาวของเราผู้นี้ได้หรอก ขอท่านอย่าได้อ้อมค้อม จงเร่งบอกนางเองเถิด”
“หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันก็ขออนุญาตถามองค์หญิงหน่อยเถิด ว่าองค์หญิงคิดเห็นเป็นเช่นไร”
อควอโลหันมาถามฮาโมนิก้า ซึ่งตอนนี้นางกำลังนั่งคิดอะไรสักอย่าง นางสะดุ้งเล็กน้อย ถอนหายใจแล้ว
ตอบอควอโลไปว่า
“ท่านราชันต์ผู้เกรียงไกร อันตัวหม่อมฉันเป็นเพียงองค์หญิงของนครเล็กๆ เกรงว่าจะไม่คู่ควรกับพระองค์ผู้ซึ่งเป็นถึงราชาของนครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเหล่านครของเหล่ามารด้วยกัน แลอีกอย่าง หม่อมฉันชิงชัยชายหลายใจเป็นที่สุด ซึ่งพระองค์ก่ออะไรไว้ พระองค์ก็น่าจะรู้ดีอยู่ จริงไหมเพคะ”
อควอโลอึ้งไปชั่วครู่ ฮาโมนิก้าก็กำลังอยากจะรู้ว่าเขาจะแก้ตัวเช่นไร อควอโลพูดขึ้นหลังจากอึ้งไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอ
“ฮึ ฮาโมนิก้า เจ้ากำลังเข้าใจผิด เรื่องในวันนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่ข้ามิได้คาดคิด ข้าเพียงแต่เห็นนางไม่ค่อยจะดี จึงไปอยู่ดูแลนาง เจ้าก็รู้ ว่านางเป็นเพียงแค่น้องสาวของข้า”
“โอ้ แก้ตัวได้ดีนี่เพคะ หม่อมฉันพึ่งรู้นะเพคะ ว่าพี่กับน้องเนี่ย เค้าดูแลกันทุกเรื่องเลยนะเพคะ ไม่เว้นแม้แต่.....”
ฮาโมนิก้ากำลังจะพูดต่อ แต่ไฟร์ยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดไปว่า
“พอได้แล้ว เอาล่ะอควอโล เจ้าก็ได้ยินที่นางพูดแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าก็คงช่วยอะไรเจ้ามิได้ เชิญเจ้าบอกมาได้เลย ว่าหากเรามิยอมรับข้อเสนอ เจ้าจะทำเช่นไร”
“หม่อมฉันจะประกาศสงครามกับพระองค์และเหล่าเสนาราชองครักษ์ทุกคนของพระองค์ หม่อมฉันจะมิยอมหยุด จนกว่าหม่อมฉันจะได้ฮาโมนิก้าเป็นคู่ครอง”
อควอโลตอบเกือบจะทันควัน ไฟร์เห็นว่ามิมีโอกาสจะเจรจา จึงทำสีหน้าเคร่งขรึมเข้าใส่แล้วพูดตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มหูว่า
“งั้นเราทั้งสองตระกูลก็คงจะได้เห็นดีกัน แล้วอย่าลืมเสียล่ะ ว่าความพินาศย่อยยับทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตกาล ล้วนมาจากความไม่รู้กาลเทศะของท่านนะ อควอโล”
“อย่ามาใช้คำพูดเช่นนั้นกับข้า ไฟร์ ท่านต่างหากที่ต้องห้ามลืม ว่าท่านได้เข้าข่าย น้ำผึ้งหยดเดียว เข้าซะแล้ว วันนี้ท่านหยิ่งพยอง สักวันท่านจะต้องเสียใจ ที่ท่านดำเนินวิธี ‘ได้หนึ่งเสียร้อย’ จำคำข้าไว้ อ้อ ไวร์มาร์ค อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ว่าที่กองทัพข้าเสียหายเมื่อสักครู่นี้ เป็นฝีมือของเจ้า เอาไว้ข้าจะไปคิดบัญชีในสนามรบ ข้าขอลาก่อน เจอกันในสนามรบนะ ไฟร์”
อควอโลเดินจากไปอย่างมิสนใจใยดี ฮาโมนิก้า ไฟร์และไวร์มาร์คต่างมีสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างยิ่ง ฮาโมนิก้าพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
“เสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันเห็นว่าเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวังวนการสงครามนี่นะเพคะ เราไม่จำเป็นจะต้องไปชิงดีชิงเด่นกับคนอย่างมัน”
“พี่รู้ว่าเราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับสงครามนี้เหมือนกัน แต่ไม่รู้สิ พี่ว่าถ้าเราเอาแต่นั่งเฉย สงครามมันก็ไม่มีวันที่จะหยุดหรอกนะ แต่พี่ก็ไม่รู้นะว่าสงครามนี้จะยาวนานเพียงใด จะว่าไปเราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าสงครามนี้มันจะยิ่งใหญ่เพียงใด เฮ้อ!”
ไฟร์พูดอย่างรู้สึกเบื่อหน่ายกับสงครามเต็มที แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวนว่า
“แต่ป้าว่า สงครามนี้ ยิ่งใหญ่หาใดปานแน่ๆ”
ทั้งสามหันมามองเจ้าของเสียง ซึ่งเมื่อหันมาก็พบกับสตรีนางหนึ่ง นางมีรูปร่างที่สวยงามมาก ริมฝีปากของนางแดงระเรื่อ ผมสยายมาจนถึงเอว ดวงตายาดเยิ้ม สวมอาภรณ์ที่มิค่อยจะบดบังเรือนร่างเท่าใด นางคือ เชษฐภคินีของแม่ของทั้งสามคน นางมีนามว่า เทพีพยัคฆี {เซลาเดียส}
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จป้า หม่อมฉันทั้งสามคิดถึงเสด็จป้านานแล้ว มิทราบว่าเสด็จป้ามาคราวนี้มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไฟร์ตอบอย่างมีมารยาทพร้อมทำความเคารพ ฮาโมนิก้าและไวร์มาร์คต่างหลบไปด้านข้าง ปล่อยให้ไฟร์ออกหน้า เซลาเดียสตอบไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ ป้าแค่จะมาหาไลล่าเค้าหน่อย ว่าจะมาปรึกษาหารืออะไรบางอย่างซะหน่อยน่ะ”
“งั้นหม่อมฉันจะไปบอกท่านแม่มาให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ไวร์มาร์ครีบออกตัวทันที แล้ววิ่งเยาะๆไปอย่างไม่หันหลังกลับมา ฮาโมนิก้าอยากจะขอไปด้วยแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว นางจำต้องอยู่กับไฟร์เพื่อพูดคุยกับเซลาเดียส ซึ่งตลอดเวลาที่นางคุยกับไฟร์ นางจะถามถึงแต่เรื่องของราชันต์สวรรค์{เมก้า} ซึ่งเป็นบิดาของไฟร์ และเป็นสวามีของธิดาสวรรค์ {ไลล่า} หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือเซลาเดียสถามแต่เรื่องของน้องเขยแทนที่จะถามสารทุกข์สุขดิบของน้องสาวตัวเอง หรือพูดง่ายๆคือนางไม่ได้สนใจน้องตัวเองเลยแม้แต่น้อย สักครู่หนึ่ง ไวร์มาร์คก็เดินมาพร้อมกับ สตรีนางหนึ่ง นางเป็นสตรีที่มีดวงตากลมโตสีน้ำตาล สีผมสีดำสนิท สูงสง่ามีภูมิฐาน สวมอาภรณ์สีเหลืองบุษราคัม สวมมงกุฎยอดปากน้ำเต้ายอดสูง รองเท้าสีดำอมน้ำตาล เดินย่างกายมาเฉกเช่นเดินจงกลม นางคือพระราชชนนีของ ๓ พี่น้อง และเป็นน้องสาวของเซลาเดียสนางคือ ไลล่า
“ถวายบังคมเพคะ เสด็จพี่ เสด็จพี่มาหาหม่อมฉันด้วยเหตุผลอันใดหรือเพคะ”
ไลล่า ถามเซลาเดียส เซลาเดียสยิ้มให้เห็นแป๊บนึ่ง แล้วตอบว่า
“น้องก็ถามพี่แปลกๆ ข้ามาในวันนี้จะมีเรื่องอันใดได้ นอกจากเรื่องที่เจ้าก็รู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น จริงไหมละ”
“เรื่องอันใดเพคะ น้องมิเข้าใจ เออ! ไฟร์ พาน้องๆออกไปสิจ๊ะ”
ไลล่าทำสีหน้างงๆ แล้วหันมาบอกต่อไฟร์ตอนเห็นว่าเซลาเดียสชำเลืองหางตามาทาง ๓ พี่น้อง ไฟร์ผงกศีรษะรับ แล้วพาไวร์มาร์คกับฮาโมนิก้าออกไป ไลล่าจึงหันมาถามเซลาเดียส
“เอ้า! ไหนลองบอกมาสิเพคะ ว่าท่านพี่มาด้วยสาเหตูอันใด น้องจำไม่ได้”
“ฮึ! ก็เรื่องตำแหน่งพระพันปีหลวงของเจ้าน่ะสิ ทำเป็นจำไม่ได้ ก็ไหนเจ้าสัญญากับข้าแล้วไง ว่าหากว่าไฟร์ครองราชย์ ได้ครบ๑๓๐ปี เจ้า จะมอบตำแหน่งที่เจ้ารั้งมาให้กับข้า ส่วนดินแดนในอารักษ์ของข้าจะต้องแต่งตั้งเป็นเมืองเอก”
เซลาเดียสมาทวงสัญญาที่นางและน้องสาวทำกันอย่างลับๆ แต่ดูท่าว่าไลล่าจะไม่ยอมง่ายๆนางจึงโต้ตอบไปว่า
“งั้นเหรอเพคะ หม่อมฉันลืมไปเสียสนิท เอ! หม่อมฉันตกลงกับท่านพี่เรื่องอะไรเพคะ”
“ออ! จะให้ข้าบอกงั้นเหรอ ได้! ข้าตกลงกับเจ้าเรื่องที่ว่าหากข้ายอมปล่อยเมก้า{ราชันสวรรค์} ไปจากข้า เจ้าจะยอมมอบตำแหน่งที่เจ้าดำรงอยู่ตอนที่ลูกชายคนโตของเจ้าครองราชย์ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว ต้องให้ข้าเตือนความจำเจ้าไหมละ ว่าเจ้าได้ทำการอันน่ารังเกียจอันใดไว้บ้าง”
ไลล่าถึงกับอึ้งไปชั่วครู่เมื่อเจอเข้ากับคำๆนี้ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะตอบเซลาเดียสไปว่า
“งั้นท่านพี่คงต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับไฟร์เอาแล้วกัน ข้าคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถอดถอนตำแหน่งใครได้หรอก”
“ตกลง! งั้นข้าคงต้องขอตัวไปก่อนละนะ ข้ามีธุระต้องไปทำอีกเพียบ คงไม่มีเวลามานั่งดื่มน้ำชากันนะน้องพี่ ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”
เซลาเดียสกล่าวก่อนจะเดินออกไป ไลล่ากล่าวส่งไปว่า
“คงจะไม่มีโอกาสซะละมั้งเพคะ”
เซลาเดียสเดินออกไปจากท้องพระโรง ไฟร์ ฮาโมนิก้า และไวร์มาร์คเดินเข้ามาถามไลล่าถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ไลล่าทำส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง ไวร์มาร์คเดินออกมาแล้วตรงไปที่คอกม้า เขาขึ้นควบอาชาคู่ใจไปทางสราญรมย์นคร
๓๐๐ เส้น จากนพเก้านครเป็นอาณาเขตบริเวณการปกครองของเซียนสราญรมย์ ซึ่งหากว่ากันตามศักดิ์แล้วไวร์มาร์คก็ต้องมีศักดิ์เป็นนัดดา(หลาน)และเซียนสราญรมย์ ก็เป็นพระปิตุลา(ลุง) กำแพงสูงราว๓.๒วา มีความกว้างของกำแพงเท่ากับ๘๐นิ้ว ด้านหน้าประตูมี ๒ องครักษ์พิทักษ์ทวาร ด้านขวาอารักขาโดย เทพสุริยัน{เฮลิฮอล} และด้านซ้ายอารักขาโดย จ้าวจันทรา {ฮาเท็ม} ทั้งสองยื่นอาวุธคู่กายอันได้แก่ ทวนจ้าวนาคากับดาบยาว (ง้าว) มังกรคู่ แล้วถามว่า
“มิทราบว่าพระองค์มีกิจกรณีอันใดกับองค์สราญรมย์หรือพ่ะย่ะค่ะ ไห้หม่อมฉันนำไปบอกให้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฮลิฮอลกล่าวถาม ไวร์มาร์คตอบไปว่า
“อ้อ! ไม่มีอันใดหรอก เราอยากจะมาดื่มน้ำชาสักหน่อยน่ะ”
“งั้นก็เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
เฮลิฮอลกล่าวพร้อมยกอาวุธออก ไวร์มาร์คเดินเข้าไป ทางยาวประมาณ ๒๙ วา ตามสองข้างทางประดับด้วยดอกศรีสวรรค์(ราชพฤกษ์) สีบุษราคัมงามสง่าทางเป็นดินที่แข็งตัวจากภูเขาไฟ ลาดเป็นสีแดง สุดปลายทางเป็นห้องขนาดกลาง ภายในห้องเป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจของยอดนักปราชญ์ผู้ทรงเป็นที่หวั่นเกรงของมารทั่วไป เขาสวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม เขาคือ๑ใน ๙ ยอดเซียน นามว่า เซียนสราญรมย์ {เอ็กโซเดียร์}
“ว่าไงหลานลุง มิเจอกันเสียนานเป็นไรบ้าง”
เซียนสราญรมย์ ทักไวร์มาร์ค ซึ่งบัดนี้ได้เดินเข้ามานั่งตรงหน้าเซียนสราญรมย์ เขายิ้มให้แล้วบอกไปว่า
“หม่อมฉันนำข่าวสารจากพี่ไฟร์มาบอกน่ะพ่ะย่ะค่ะ ว่าในอีกไม่นานคงจะมีสงครามมารบกวนเราเป็นแน่แท้”
“สงคราม สงครามอะไรหรือ”
เซียนสราญรมย์ถาม ไวร์มาร์คตอบกลับไปว่า
“คือว่าอควอโลเขามาหาเรื่องเราอีกแล้วน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ”
แล้วไวร์มาร์คก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เซียนสราญรมย์ฟัง หลังเล่าจบเซียนสราญรมย์ก็กล่าวว่า
“อือ ! งั้นรึ ฮึ ข้าว่าเรื่องมันไม่จบง่ายๆแน่ตราบใดที่ฮาโมนิก้ายังมิมีคู่ครอง”
เซียนสราญรมย์กล่าว ไวร์มาร์คนึกอะไรได้บางอย่าง
“งั้นหม่อมฉันว่า เรามาหาคู่ครองให้พี่ฮาโมดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เซียนสราญรมย์ทำหน้าแหยๆ แล้วตอบกลับไปว่า
“ฮือ ข้าว่าเราไม่ควรจะไปเลือกคู่คุมถุงชนใครเขานะ ว่าแต่เจ้านะแหละมีใครถูกใจบ้างหรือยังหือ ไหนลองบอกลุงมาสิ”
“เออ หม่อมฉันว่า ยังไม่เจอใครที่ถูกใจเลยนะพ่ะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันว่าลูกสาวคนรองของท่านราชันต์ดาบสวรรค์ เธอดูน่าสนใจดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไวร์มาร์คยิ้ม แล้วตอบแบว่าอมยิ้มแก้มปริ่มในใจ เซียนสราญรมย์นึกอยู่สักครู่ก็ร้องอ้อออกมา
“อ้อ หงส์ฟ้าทอง น้องสาวของคุณชายดาบสวรรค์ พี่สาวของหงส์ฟ้าเงินนั่นหรือ แหม คิดไม่เกรงใจบิดาของนางเลยนะ ว่าแต่ในสราญรมย์นครเนี่ยไม่มีใครที่ถูกใจเจ้าเลยหรือ แหม สาวๆเมืองข้าน้อยใจหมด ที่พญามหาราชไม่ค่อยสนใจพวกนางเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“แหม ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ อือ หม่อมฉันว่าหม่อมฉันไม่เห็นลูกสาวคนเดียวของเทพสุริยันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ นางไปไหนหรือ ธรรมดาเห็นมาป้วนเปี้ยนแถวนี้บ่อยๆ”
ไวร์มาร์คตอบกลับแล้วถามต่อ เซียนสราญรมย์ส่ายหัวเล็กน้อย แต่ทั้งสองก็ได้คำตอบ
“แหม นินทาหม่อมฉันลับหลังนี่ ไม่ค่อยจะหมิ่นเกียรติหม่อมฉันเลยนะเพคะ”
ไวร์มาร์คสะดุ้งแล้วหันมามอง สตรีนางที่ไวร์มาร์คมองเป็นหญิงที่เพียบพร้อมด้วยเบญจกัลยานี เสียงอ่อนหวาน ตาคมกลมโต สรีระร่างกายล้วนสมบูรณ์ไปเสียทุกสัดส่วน สมเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งทุ่งสราญรมย์อันมีชื่อเสียงกระฉ่อนถึง ๗ โยชน์รอบอัฐทิศ อันนับได้ว่าสวยงามกว่าใครๆในรัศมีนี้ แต่ก็เป็นที่หวงแหนของเทพสุริยันยิ่งนัก อีกทั้งอำนาจของเซียนสราญรมย์ที่คุ้มเทพสุริยันอยู่ ทำให้ไม่มีใครเคยถึงตัวนางมากกว่าไวร์มาร์คอีกแล้ว นามของนางคือ ดรีม {เทพีกชกร}
“แหม คุณหญิง ข้าก็แค่พูดกล่าววาจาเล่นๆน่า ขอคุณหญิงอย่าได้โมโหโกรธา ข้าเลยน่า ว่าแต่คุณหญิงไปไหนมาหรือ ถึงได้มาเอาป่านนี้”
“ข้าไปหาแม่ฟ้าพญาหงส์มาน่ะค่ะ อือเราว่าท่านมิต้องเรียกเราว่าคุณหญิงหรอกเราเขิน เรียกเราว่า ดรีม
หรือปรางก็พอ เราไม่ได้สูงศักดิ์อันใดขนาดนั้น แหม ท่านเป็นถึงอุปราชนพเก้านคร มาเรียกเราว่าคุณหญิง เห็นจะไม่เหมาะ เรียกเราว่าดรีมก็พอ เข้าใจไหม”
ดรีมพูดเชิงสั่งห้ามไม่ให้ไวร์มาร์คเรียกตนว่าคุณหญิง ไวร์มาร์คผงึกหน้าเชิงตอบรับ เซียนสราญรมย์ถามต่อไปว่า
“เออ หลาน แม่ฟ้าพญาหงส์นี่ใครกัน ลุงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แล้วไปหาเขาทำไม”
“อือ หลานก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่เท่าที่ท่านพ่อบอก แม่ฟ้ามีพื้นเพเดิมอยู่ในสำนักอัครนุพรหมแห่งลำน้ำเก้าลำนำ นางเป็นใครไม่ทราบแน่ แต่มีคนบอกว่านางมาจากสรวงสวรรค์นะคะ”
ดรีมตอบ ซึ่งคำตอบของนางทำให้ทั้งสองงงยิ่งนัก ไวร์มาร์คถามไปว่า
“มาจากสวรรค์ เทพมาจากสรวงสวรรค์เพื่อสั่งสอนคนงั้นเหรอ เออ ไวร์ว่ามันไม่น่าเป็นไปได้เพราะส่วนใหญ่เทพจะเสด็จจากสวรรค์ก็เพื่อปราบมารหรือไม่ก็มาเพื่อเตือนใครเป็นรายคนไป ไม่เคยเห็นมาทำอย่างนี้สักที หรือว่าโลกมนุษย์เราใกล้เข้ากลียุคแล้ว ท่านเห็นเช่นไรหรือท่านลุง”
“คงเป็นเช่นเจ้าว่า เออว่าแต่หลานไปทำอะไรกับนางละ นางสอนวิชาใดหรือ แล้วนางเป็นคนเช่นไร”
เซียนสราญรมย์ถาม นางยิ้ม แล้วตอบกลับไปว่า
“แหม ถามที่ไม่ให้หลานหยุดเลยนะคะท่านลุง เอ่อ นางสอนวิชาหงส์อมตะน่ะคะ ตามที่หลานเห็น นางก็เป็นคนที่ดูดีมีชาติตระกูล ภูมิฐานน่าเลื่อมใส พูดจาอยู่ในขั้นกึ่งแบบแผน แต่นางก็ดุใช่เล่นเลยนะคะ หลานเห็นนางจ้องแล้วรู้สึกเกรงๆอยู่เนืองๆ”
ดรีมตอบเกือบจะทุกคำถาม เซียนสราญรมย์รีบสวนมาทันที
“หา อะไรนะ วิชาหงส์อมตะ นี่เจ้าไม่ได้บอกเทพสุริยันหรือว่าเจ้าไปเรียนวิชานี้น่ะ”
“บอกค่ะ ท่านพ่อก็ไม่เห็นว่ากระไร ทำไมหรือคะ”
ดรีมตอบแบบทำหน้างงๆ เซียนสราญรมย์มองหน้ากับไวร์มาร์ค ไวร์มาร์คบอกนางไปว่า
“ดรีมไม่รู้หรือ ว่าวิชานี้มันมีทั้งหมดกี่ขั้น”
“รู้สิ มันมี ๑๕ ขั้น แต่สตรีธรรมดาฝึกแค่ขั้น ๑๒ ก็พอ เพราะขั้น ๑๓จะผ่านไปไม่ได้หากไม่ได้เสพสุขเกษมสันต์กับบุรุษ ทำไม ห่วงดรีมเหรอ”
ดรีมตอบอย่างละเอียด ไวร์มาร์คตอบกลับอย่างลืมตัว
“ก็เป็นห่วงน่ะสิ”
พอไวร์มาร์คตอบอย่างนั้น ดรีมถึงกับผงะหน้าออกเล็กน้อย เซียนสราญรมย์แอบยิ้มนิดๆ ไวร์มาร์คได้แต่หน้าแดง แต่ช่วงเวลานั้นเทพสุริยันก็เข้ามา พอถึงหน้าห้องก็ก้มลงถวายบังคม
“ขอเดชะท่านเซียนสราญรมย์ อ้าว ดรีม เจ้ากลับมาแต่เมื่อใด ใยพ่อไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ออ หม่อมฉันเดินทางเข้ามาทางด้านใต้น่ะค่ะ เลยไม่ได้เจอท่านพ่อ พอดีเห็นท่านลุงคุยกับไวร์มาร์คอยู่ก็เลยเข้ามาทักทายทั้งสอง นี่ก็ว่าจะไปหาท่านพ่ออยู่พอดี อือ ว่าแต่ท่านพ่อมีกิจอันใดต่อท่านลุงหรือคะ”
ดรีมตอบเทพสุริยัน เขาทำท่านึกขึ้นได้แล้วหันมาบอกเซียนสราญรมย์ต่อว่า
“ขอเดชะท่านเซียน ขณะนี้ทางอควอโลได้เดินทางมาที่สราญรมย์นครเพื่อเจริญสันถวไมตรีต่อพระองค์ พระองค์จะให้หม่อมฉันเชิญเขาเข้ามาพบเลยหรือปล่าวพ่ะย่ะค่ะ”
เซียนสราญรมย์ตอบกลับไปว่า
“เมื่อเขาต้องการเป็นพันธมิตรกับเราก็อย่าได้ขัดขวางเขา ไป ไปเรียกเขาเข้ามา เออ ไวร์มาร์คเจ้าพาดรีมไปข้างนอกก่อน ไป เออ ไม่ทันแล้ว งั้นพานางไปหลบหลังตู้นู่นที เดี๋ยวอควอโลเห็นหลานดรีมแล้วเกิดอยากได้นางขึ้นมาอีกคน ไป”
ไวร์มาร์ครีบพาดรีมไปหลบหลังตู้ทันที แม้เทพสุริยันจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเซียนสราญรมย์ พอทั้งสองเข้าไปหลบเสร็จ อควอโลก็เดินเข้ามาพอดี เขาก้มให้เซียนสราญรมย์แล้วกล่าวว่า
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ท่านลุงสราญรมย์ หม่อมฉันมาหาพระองค์เพื่อจะติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ออ งั้นหรือหลานอควอโล มีเรื่องอันใดจำเป็นถึงขนาดเดินทางมาด้วยตนเอง ถ้าเป็นเรื่องต่อต้านนพเก้านครน่ะ ลุงขอปฏิเสธนะ”
เซียนสราญรมย์พูดดักทางอควอโล ด้วยเห็นว่าเขาเพิ่งจะกลับจากนพเก้านคร อควอโลยิ้มส่ายหน้า แล้วตอบกลับไปว่า
“หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพียงแต่หม่อมฉันได้ยินกิตติศักดิ์ความวิจิตรงดงามของบุตรีท่านเทพสุริยัน หม่อมฉันก็เลยอยากจะมาทำเรื่องหมั้นน้องดรีมน่ะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่า...”
ไม่ทันที่อควอโลจะพูดจบเทพสุริยันก็สวนกลับทันที
“หยุด ข้าไม่มีทางให้ลูกสาวของข้าไปแต่งงานกับมารชั่วเช่นเจ้าเด็ดขาด ข้าไม่ยินยอม ได้ยินใหม อควอโล”
“นี่เทพสุริยันหยุดเถอะ เอ่อ เจ้าก็ได้ยินแล้วนะ ว่าเราได้คำตอบแล้ว เชิญเจ้ากลับไปเสียแต่โดยดีเถิด เราไม่อยากให้สองนครต้องมาตัดสัมพันธ์กันด้วยเรื่องเช่นนี้ เจ้าก็รู้นะว่าข้าไม่ชอบพูดซ่ำแซะ”
เซียนสราญรมย์บอกตัดบททันทีที่เห็นอควอโลเริ่มมีกิริยาที่คัดค้าน อควอโลมองหน้าเทพสุริยันด้วยแววตาขุ่นเคือง เทพสุริยันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อควอโลเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จาอันใดต่อ พอเห็นว่าอควอโลเดินไปไกลตาแล้ว เทพสุริยันก็รีบพาดรีมออกมาจากที่ซ่อนทันที ไวร์มาร์คออกมาตาม เทพสุริยันออกปากไปว่า
“เจ้ากล้าถือดีอย่างไร มานั่งใกล้ชิดลูกสาวข้า เจ้านี่คิดอะไรกับลูกสาวข้าหรือปล่าว ฮึ”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันคิดกับคุณหญิงดรีมแค่น้องสาวเท่านั้น”
ไวร์มาร์คตอบไปอย่างที่ไม่ตรงกับใจเลยสักนิด เทพสุริยันไม่ใช่คนโง่ เขาจึงก้มหันให้เซียนสราญรมย์แล้วลากดรีมไปทันที ไวร์มาร์คยิ้มให้ดรีมแล้วก็กระพริบตาให้ดรีมผงึกหน้าแล้วก็เดินจากไป เซียนสราญรมย์มองอมยิ้มใส่สองคน ไวร์มาร์คเห็นพอดีจึงถามไปว่า
“มีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ จ้องหม่อมฉันเช่นนั้น”
“ฮึ เทพสุริยันไม่ใช่คนโง่ที่เจ้าจะหลอกเขาได้ง่ายๆ เขาโกรธเจ้าแล้วละ ข้าว่าทางที่ดี เจ้าไปบอกกับเขาตรงๆเลยดีกว่า บางทีเขาอาจจะยอมรับเจ้าก็ได้ ลองดูสิข้าจะช่วยอีกทาง”
เซียนสราญรมย์บอกหนทางให้ไวร์มาร์ค ซึ่งก็ทำให้ไวร์มาร์ครีบวิ่งตามเทพสุริยันกับดรีมไปทันที เซียนสราญรมย์ยิ้มเมื่อมองไวร์มาร์ควิ่งไปอย่างตั้งใจ ไวร์มาร์ควิ่งมาจนทันเทพสุริยัน เขาหยุดตรงหน้าเทพสุริยันแล้วจ้องมองดรีมชั่วครู่จากนั้นก็พูดกับเทพสุริยันว่า
“ท่านเทพสุริยัน หม่อมฉันขอคบหาดูใจกับดรีมพ่ะย่ะค่ะ แฮ่กๆ”
“หา เจ้าว่าอะ...ไรนะ”
เทพสุริยันตกใจเล็กน้อย ไวร์มาร์คตอบกลับไปว่า
“หม่อมฉันขอคบหาดูใจกับดรีมพ่ะย่ะค่ะ ท่านเทพสุริยันเห็นว่าอย่างไร...”
“ข้าก็เห็นว่าตกลงน่ะสิ จะเป็นอันใดไปได้”
เทพสุริยันตอบห้วนๆ ไวร์มาร์คกับดรีมมองหน้ากัน เทพสุริยัน ไวร์มาร์คหันไปถามเทพสุริยันว่า
“ท่านลุงไม่ทรงคัดค้านหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะไปคัดค้านทำไม ข้าน่ะรู้แล้ว ว่าเจ้าทั้งสองชอบพอรักใคร่กัน ข้าแค่อยากจะลองดู ว่าเจ้าจะกล้าบอกตรงๆหรือปล่าว ถ้าหากไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าจะดูแลลูกสาวข้าได้ แต่ข้าว่าคงไม่ต้องแล้วล่ะ แต่เจ้าทั้งสองน่ะจะทำอะไรก็รู้จักให้อภัยกันนะ ไวร์มาร์ค ข้ามีดรีมแค่คนเดียวที่เหลืออยู่ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะไวร์มาร์ค”
เทพสุริยันบอกกล่าวเหตุผล ไวร์มาร์คผงกหน้าเป็นอันตกลงแล้วกล่าวไปว่า
“หากตราบใดที่เราทั้งสองยังไม่มีใครจากไป หม่อมฉันให้สัญญาว่าหม่อมฉันจะไม่มีทางทิ้งดรีมเด็ดขาด ข้าให้สัญญา”
“ดี แล้วต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเรียกชื่อข้า ให้เรียกข้าว่าท่านพ่อก็ได้ เข้าใจใหม”
เทพสุริยันถาม ไวร์มาร์คตอบกลับไปว่า
“ได้ครับ ท่านพ่อ”
เทพสุริยัน ไวร์มาร์คและดรีมต่างหัวเราะยิ้มกันสนุกสนาน เซียนสราญรมย์ยืนมองทั้งสามอย่างพอใจ ในตอนนั้นก็ได้มีสตรีนางหนึ่ง ซึ่งไม่ได้สวมใส่อาภรณ์ที่เหมาะสมกับสตรีเท่าใด เพราะอาภรณ์นางเป็นอาภรณ์ของบุรุษใช้รบทัพจับศึก แต่รูปร่างหน้าตาของนางก็นับได้ว่างดงามใช่น้อยเช่นกัน นางคือกนิษฐาของเซียนสราญรมย์ นามของนางคือ เฮอร์ไมโอนี่ {เจ้านางพญาหงส์ฟ้า} นางเข้ามาคุยกับเซียนสราญรมย์ว่า
“ถวายบังคมเพคะท่านพี่ มองอันอยู่หรือ ออ มีไรคะ สามคนนั้นเป็นอะไรกันหรือ”
นางทำคอยื่นมาดู เซียนสราญรมย์มองหน้านางแบบเอื่อมระอาในตัวน้องสาวคนนี้แล้วกล่าวไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอกแม่น้องสาวตัวดี ฮึ วันๆไม่เคยติดนครเลยนะเรา ไปใหนมาล่ะ”
“แฮ่ หม่อมฉันก็ไปเทียวมาน่ะสิเพคะจะอะไรได้อีก แต่หม่อมฉันไปเที่ยวที่ใกล้ๆเพคะ”
เซียนสราญรมย์ทำหน้าหน่ายใจ แล้วถามกลับไปว่า
“และไอ้ที่ว่าใกล้ๆน่ะ มันที่ไหน เห็นไปเสียหลายวัน”
“อ้าว ดรีมเขาไม่ได้บอกท่านพี่หรือเพคะ หม่อมฉันก็ไปฝึกที่เดียวกับดรีมมา กับแม่ฟ้าพญาหงส์น่ะเพคะ”
เซียนสราญรมย์มองหน้าเฮอร์ไมโอนี่แล้วถามกลับไปอีกว่า
“เอ แม่ฟ้าพญาหงส์อะไรของเจ้าเนี่ย เขาเปิดสำนักสอนที่ไหนละ”
“เออ ที่ราชสรรค์วิทาไพรีน่ะเพคะ ห่างจากนครเราไป ๓๙๐ เส้นน่ะเพคะ”
เฮอร์ไมโอนี่กล่าวตอบ เซียนสราญรมย์ผงึกหน้า แล้วเทพสุริยัน ไวร์มาร์คและดรีมก็เดินเข้ามา เทพสุริยันกับดรีมก้มหัวให้เฮอร์ไมโอนี่เล็กน้อย แต่ไวร์มาร์คไม่ยอมก้มหัวด้วยว่าศักดิ์สูงกว่า แต่ก็กล่าวถวายบังคมในฐานะสูงกว่าด้านวัยวุฒิ เฮอร์ไมโอนี่ก็คำนับตอบทั้งสาม เทพสุริยันกล่าวขึ้นว่า
“หม่อมฉันขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ดรีมอย่ากลับตำหนักดึกล่ะลูก ”
“เพคะ เดี๋ยวดรีมก็ตามไปแล้วล่ะค่ะ”
ดรีมกล่าวตอบ เทพสุริยันโต้งตัวแล้วเดินไป เฮอร์ไมโอนี่ก็หันมาคุยกับไวร์มาร์ค
“ เป็นไงบ้างล่ะไวร์มาร์ค ไม่เจอกันนานเลย สบายดีมะ ”
“ ก็ถ้าไม่สบาย แล้วพี่จะเห็นไวร์ใหมล่ะ ”
ไวร์มาร์คพูดตอบแบบกวนอารมณ์ เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มแหยๆแล้วกล่าวกลับไปว่า
“ ออ เล่นตอบอย่างงี้เหรอ เดี๋ยวไม่ได้แก่ตายหรอก”
“ กลัวรึ แน่จริงก็จับข้าให้ได้สิ ”
ไวร์มาร์คท้าทายเฮอร์ไมโอนี่ เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าเตรียมเข้าไปจับไวร์มาร์ค แต่เซียนสราญรมย์ห้ามปรามไว้เสียก่อน ด้วยว่าเห็นเป็นการเล่นแบบเด็กๆ เกินไป
“ เจ้าจะบ้ากันหรือไร เล่นไรไม่เข้าท่า”
“ หม่อมฉันล้อเล่นน่ะพ่ะย่ะค่ะ แล้วว่าแต่แม่ฟ้าพญาหงส์อะไรเนี่ย เค้าพอจะมีอำนาจพอจะกำราบพี่สาวของน้องได้ไหมเล่าพี่เฮอร์ไม”
ไวร์มาร์คสอบถามเฮอร์ไมโอนี่

kodomoke
24th April 2012, 22:28
สายตาสั้นกันพอดี - -"

bigspy77
24th April 2012, 22:32
สุดยอดมากครับ ผมจะเอาไปปริ้นแล้วเอามานั่งอ่านยามว่าง

5day-ago
24th April 2012, 22:38
ปูเสื่อรออ่านครับผม อยากให้เว้นบรรทัดสักหน่อย คนแก่เยอะ ตาลาย... =="

LoveSeeker
25th April 2012, 09:28
โอ้ว หลานเอ้ย ลุงตาลายแล้ว เว้นบรรทัดให้ลุงหน่อย

nakiann123
25th April 2012, 14:32
โอ้ว หลานเอ้ย ลุงตาลายแล้ว เว้นบรรทัดให้ลุงหน่อย

นั่งจ้องกันเลยทีเดียว เงิบ ~

GUBOSS
25th April 2012, 14:36
อ่านไปได้8บรรทัดแล้วมามันลายหลงว่าอ่านไปถึงไหนละเลิกอ่านเลย

NOOBBRINGER
25th April 2012, 14:38
ขอภาพพักสายตาหน่อยครับ ปวดตา