PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : ขุมกำลังแห่งกองทัพ นาซี-เยอรมัน



Rockerman
26th April 2012, 00:00
สวัสดีครับ วันนี้ผมก็ได้ตั้งกระทู้ ทางทหารเกี่ยวกับกองทัพนาซี-เยอรมัน ซึ่งผมคลั่งไคล้มาก ซึ่งกระทู้ที่ผมได้ตั้งก็มาจากการรวบรวมข้อมูลจากท่านอื่นมา เรียบเรียง เสริมเติมแต่งเข้าไปบ้างตาม ข้อมูลที่ผมมีครับ

Wehrmacht(หมายถึง กองทัพเยอรมัน)
http://images3.wikia.nocookie.net/__cb20100923195126/assassinscreed/images/c/c5/Nazi_flag_375.jpg
กองทัพเยอรมันนั้น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เรียกได้ว่าเป็นกองทัพที่มีแสนยาณุภาพมากที่สุดในโลก วิทยาการที่ก้าวล้ำ ทหารที่แข็งแกร่ง มีระเบียบวินัย
นายพลที่แสนจะปราดเปรื่อง ถึงแม้ว่าเยอรมันจะพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่งสาเหตุมาจากการที่ ฝ่ายพัธมิตรมีทหารที่มากกว่าเกือบ2 เท่า และมีอำนาจ
การผลิตที่รวมกันสูงกว่าฝ่ายเยอรมันมาก การที่เยอรมันสามาร๔ต่อสู้ได้ขนาดนี้ก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

กองทัพเยอรมัน ก็จะแบ่งออกเป็น3 เหล่าทัพ คือ
-Heer คือ กองทัพบก(น่าจะรวมหน่วย ss ด้วยนะครับ)
-Kriegsmarine คือ กองทัพเรือ
-luftwaffe คือ กองทัพอากาศ(อันทรงแสนยาณุภาพมาที่สุดในโลก)

Heer
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1f/Balkenkreuz.svg/200px-Balkenkreuz.svg.png
หากจะกล่าวถึง กองทัพบกแห่งWehrmacht คงพลาดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงกองกำลังยานเกราะ เพราะถือว่ามีประสิธิภาพมาก โดยที่จะกล่าวหลักๆก็มีดังนี้ ครับ

Pzkw(Panzerkampfwagen)I (แพนเซอร์ มาร์ค 1)
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/pzkpfw_ib_01.jpg?t=1196325668
รถถังเบาสำหรับสนับสนุนทหารราบของกองทัพนาซีเยอรมัน ที่ได้สร้างหลังจากการถูกจับเซนต์สนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมันได้ออกแบบในช่วงทศวรรษที่1930 และได้ทำการผลิตแบบจำนวนมากเมื่อปี1934 และเยอรมันยังได้ส่งแพนเซอร์ 1 ไปรบเพื่อเป็นการทดสอบประสิทธิภาพในสงครามกลางเมืองสเปน และ จีน ยังได้ซื้อไปใช้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นด้วย
หลังการประเมินผลในการรบในสเปน แพนเซอร์ 1 รบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อสงครามโลกระเบิดขึ้น จึงได้เข้าร่วมสมรภูมิหลายแห่ง แต่ช่วงกลางสงคราม รถถังรุ่นใหม่ๆของกองเยอรมันมีอานุภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ แพนเซอร์ 1 จึงลดบทบาทลง และมีการนำตัวถังรถ มาติดตั้งปืนขนาด75มม. เพื่อเป็นปืนใหญ่อัตตาจรและรถพิฆาติรถถังด้วย

Pzkw II (แพนเซอร์ 2)
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/pzkpfw_ii_03.jpg?t=1196325704
รถถังรุ่น2ของกองทัพเยอรมันเพื่อทดแทนรถถังแพนเซอร์ 1 มีความแข็งแกร่งกว่าแพนเซอร์ 1 ทำการผลิตในปี1934 โดยศึกษาจากการทดลองใช้แพนเซอร์ 1 รุ่นติดปืน20มม.ในสงครามกลางเมืองสเปน แพนเซอร์2 จึงติดตั้งปืนต่อสู้รถถัง20มม. เพื่อใช้ในการต่อต้านยานยนต์ของข้าศึก แพนเซอร์ 2 เป็นกำลังหลักของเยอรมันในการรบที่โปแลนด์ในปี1939 และเป็นกำลังสำคัญในการรุกสู่ฝรั่งเศสในปี1940
สายการผลิตของแพนเซอร์2 ปิดลงในปี1942 เมื่อเยอรมันรุกสุ่ตะวันออก อีกทั้งการปรากฏตัวของรถถังรุ่นใหม่ของเยอรมัน และประสิทธิภาพอันน่ากลัวของรถถังโซเวียต แพนเซอร์ 2 จึงไม่ได้ใช้ในการรบแนวหน้า แต่มีการเอาตัวถังรถถมาติดปืนใหญ่75มม. เพื่อเป็นรถพิฆาติรถถัง และติดปืนใหญ่สนาม105มม. เพื่อใช้เป็นปืนใหญ่อัตตาจร ในชื่อ เวปส์(Weps)

Pzkw III (แพนเซอร์ 3 )
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/pzkpfw_iii_10.jpg?t=1196325732
รถถังแบบ3ของกองทัพเยอรมัน ออกแบบในทศวรรษที่1930 และเป็นกำลังหลักของเยอรมันแทบในทุกสมรภูมิ มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานในการต่อต้านรถถัง ซึ่งต่างจาก แพนเซอร์ 1 และ แพนเซอร์ 2 ที่เน้นการใช้งานในด้านสนับสนุนทหารราบ ด้วยอาวุธทรงอานุภาพขึ้น คือ ปืนต่อสู้รถถัง37มม. และต่อมาติดปืน50มม. จึงทรงอานุภาพมากในการต่อสู้กับรถถังข้าศึก
ปี1934 นายพลไฮนซ์ กูเดเรียน แห่งกองทัพบกเยอรมัน ต้องการรถถังที่น้ำหนักไม่เกิน24ตัน ความเร็ว35กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อเป็นรถถังหลักของหน่วยแพนเซอร์ แพนเซอร์ 3 จึงผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น และแพนเซอร์ 3 ยังมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ มีการใช้ระบบแหนบรองรับน้ำหนักตัวรถแบบ ทอร์ชั่น บาร์ หรือแหนบรูปปีกนก ซึ่งเป็นระบบใหม่ล่าสุดของโลกในยุคนั้น และเป็นรถถังรุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบนี้ด้วย
แพนเซอร์ 3 เป็นกำลังหลักของเยอรมัน ใช้ในการรบตั้งแต่โปล์แลนด์ นอร์เวย์ ฝรั่งเศส แอฟริกาเหนือ และแนวรบด้านรัสเซีย ซึ่งในด้านรัสเซียนี่เอง แพนเซอร์ 3 ต้องเผชิญหน้ากับ T-34 รถถังกลางของโซเวียต ซึ่งมีอานุภาพสูงกว่า เยอรมันจึงต้องนำ แพนเซอร์ 3 ไปติดตั้งปืนต่อสู้รถถังขนาด75มม. เพื่อต้านทานรถถังโซเวียตร่วมกับรถถังรุ่นใหม่ๆที่มีจำนวนน้อยของเยอรมันในช่วงนั้น โดยได้สร้างเป็นรถถังแบบไม่มีป้อม ติดปืน75มม. ใช้ชื่อว่า Stug III
ถึงแม้ในช่วงกลางถึงปลายสงคราม จะมีรถถังรุ่นใหม่ๆมาช่วงชิงสมรรถนะของแพนเซอร์3 แต่รถรุ่นนี้ก็ได้ถูกใช้งานต่อไปจนจบสงคราม

Pzkw IV (แพนเซอร์ 4)
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/pzkpfw_iv_09.jpg?t=1196325768
เป็นรถถังที่เป็นกระดูกสันหลังแห่งกองทัพรถถังของเยอรมันอย่างแท้จริง มีความคล่องตัวสูง มีอานุภาพทำลายสูง
รถรุ่นนี้เริ่มออกแบบในปี1934 เมื่อนายพลเอก ไฮนซ์ กูเดเรียน เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกเยอรมัน ต้องการรถถังหลักที่มีน้ำหนักไม่เกิน24ตัน ความเร็วไม่ต่ำกว่า35กม./ชม. เพื่อใช้ในภารกิจต่อต้านทหารราบและยานยนต์ และติดตั้งปืนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งผลที่ได้ขั้นแรกคือ แพนเซอร์ 3 และแพนเซอร์ 4 ก็ปรากฏตัวออกมาในปี1937 ในรุ่นผลติจำนวนแรกๆ37คัน และก็มีการผลิตเป็นจำนวนมากตั้งแต่ปี1939
นอกจากจะใช้ระบบแหนบรองรับตัวถังแบบทอร์ชั่น บาร์ แบบแพนเซอร์ 3 แล้ว แพนเซอร์4 นั้น ได้ติดตั้งปืนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยช่วงแรกได้ติดปืนใหญ่ลำกล้องสั้นขนาด75มม. L24ซึ่งได้ใช้เป็นหัวหอกในการบุกฝรั่งเศสในปี1940 โดยแพนเซอร์ 4 มีอานุภาพสูงกว่ารถถังแบบเรอโนลและโซมัวของฝรั่งเศส และยังมีอำนาจการยิงที่สูงกว่ารถถังแบบ ชาร์ล BI ของฝรั่งเศสและรถถังแบบมาทิลด้าของอังกฤษด้วย แพนเซอร์ 4 รุ่นนี้ก็ยังได้ปฏิบัติการในแอฟริกาเหนือด้วย
ตั้งแต่ปี1941 แพนเซอร์ 4 ได้ติดตั้งปืนใหญ่75มม. L40 ที่มีลำกล้องยาวกว่าเดิมเพื่อเพิ่มระยะยิงและอำนาจการทำลาย แต่หลังจากการบุกรัสเซียในปี1941 เยอรมันได้เผชิญหน้ากับรถถังหนักแบบ เควี-1ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกราะหนากว่าแพนเซอร์4 และรถถังกลางแบบ ที-34 ของโซเวียต ซึ่งมีอานุภาพสูงจนน่าตกใจ ฝ่ายเยอรมันจึงได้พัฒนาปืนใหญ่ลำกล้องยาว 75มม. L48 มาใช้งานในแพนเซอร์ 4 ซึ่งมีอานุภาพสูงกว่าปืนของรถถังโซเวียต จนกระทั่งเวลาต่อมาเยอรมันได้ผลิตรถถังแบบ แพนเธอร์ มาทดแทนแพนเซอร์4
แพนเซอร์ 4 ถือว่าเป็นรถถังกำลังหลักของเยอรมันอย่างแท้จริง เพราะมีอานุภาพสูง ใช้งานง่าย เครื่องยนต์คงทน ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรถถังหลักของอเมริกาแบบ M-4 เชอร์แมน และรถถัง ที-34 ของรัสเซีย และถูกผลิตออกมาเรื่อยๆจนจบสงครามเป็นจำนวนกว่า9,000คัน และกองทัพบกซีเรีย ยังได้ใช้รถถังรุ่นนี้ในช่วงหลังสงครามต่อมาด้วย

Pzkw V Panther (แพนเซอร์ 5 แพนเธอร์)
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/pzkpfw_v_08.jpg?t=1196325794
หนึ่งในตำนานรถถังของนาซีเยอรมัน โดยการออกแบบเริ่มในปี1941 มีคุณสมบัติเหมือนที-34 แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือ ขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย เกราะที่หนากว่า และติดตั้งปืนใหญ่75มม. L70 ลำกล้องยาว ซึ่งมีอานุภาพการทำลายล้างที่เหนือจินตนาการอย่างมาก สามารถยิงเจาะเกราะได้ลึกมาก และยิงต่อต้านรถถังได้ไกลกว่า2,000เมตรอย่างแม่นยำ ในแนวรบด้านตะวันตก แพนเธอร์ กลับมีประสิทธิภาพสูงมาก โดยรถถังหลักของพันธมิตรไม่อาจต้านทานได้เลย แต่เนื่องจากรถถังเป็นรถถังที่ออกแบบดีมาก ทำให้ต้องการช่างเทคนิคที่มีความชำนาญสูง ทำให้ผลิตรถถังแพนเธอร์ได้ไม่มากนัก

Pzkw VI Tiger (แพนเซอร์ 6 ไทเกอร์)ยาวหน่อยนะครับ
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/pzkpfw_vi_e_12.jpg?t=1196325830
สุดยอดแห่งตำนานรถถังของนาซีเยอรมันและของโลก ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นรถถังที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ถ้าเทียบเรื่องจำนวนในการสังหารรถถังด้วยกัน
คำสั่งการออกแบบไทเกอร์ เริ่มในวันที่26พฤษภาคา ปี1941 1เดือนก่อนบุกรัสเซีย โดยมีบริษัทเอกชนสองบริษัทคือ ปอร์เช่ และเฮนเซล เข้าร่วมการแข่งขันออกแบบรถถังไทเกอร์ แต่ว่าป้อมปืนนั้น ถูกแยกไปผลิตและพัฒนาโดยบริษัทกรุ๊ปป์ การออกแบบไทเกอร์นั้น ช่วงล่างและตัวถังผลิตจากเหล็กกล้าแผ่นเรียบขนาดใหญ่ นำมาเชื่อมประสานด้วยไฟฟ้า และยังมีระบบสลักคล้องเหล็กแต่ละชิ้นทำให้มีความคงทนกว่าเดิม และเหล็กชิ้นใหญ่ ทำให้ไทเกอร์ทนต่อการยิงของปืนแทบทุกชนิด
ไทเกอร์ ได้ออกรบในสมรภูมิสำคัญทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตก แอฟริกาเหนือ และอิตาลี โดยในแอฟริกาเหนือ กองทัพน้อยแอฟริกา ครอล์ฟ ของนายพลรอมเมล ได้ใช้รถถังไทเกอร์จำนวนน้อย เข้าต่อสู้กับกองทัพรถถังจำนวนมหาศาลของกองทัพพันธมิตรอังกฤษ-อเมริกา และทำลายรถถังพันธมิตรได้เป็นจำนวนมาก ในแนวรบด้านตะวันออก ไทเกอร์ก็ได้แสดงพลังฝังรถถังโซเวียตจมดินเป็นจำนวนมาก โดยที่รถถังหนักของโซเวียตแบบKV-1 และ KV-2 ไม่อาจต้านทานได้ แม้ช่วงปี1944 โซเวียตจะผลิตรถถังหนักรุ่นใหม่แบบ โจเซฟ สตาลิน-2 (JS-2) ติดปืนขนาด122มม. ซึ่งใหญ่กว่าไทเกอร์ได้ก็ตาม แต่ก็หาต้านทานไทเกอร์ได้ไม่ โดยข้อมูลการรบในวันที่2มกราคม 1945 กองพันรถถังหนักที่507ของเยอรมันที่มีรถถังไทเกอร์เป็นกำลังหลัก ได้ปะทะกับกองพลยานเกราะของโซเวียตที่มี JS-2 จำนวนมาก ผลคือ รถถังไทเกอร์1 คัน สามารถทำลายรถถังJS-2ได้ถึง22คัน ด้วยปืน88มม. ที่ยิงได้ไกล แม่นยำ และรวดเร็วกว่าโดยที่รถถังของโซเวียตไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่รถถังไทเกอร์ได้เลย ทำให้กำลังพลโซเวียตต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่
จุดอ่อนอันน่ากลัว ของไทเกอร์คือ เครื่องยนต์ที่มีปัญหา(เป็นความผิดพลาดในการออกแบบรถต้นแบบของเฮนเซล) ความเชื่องช้า เพราะน้ำหนักที่มาก

88mm.Antiaircraft Gun (ปืนต่อสู้อากาศยาน 88มม. ฉายาราชินีแห่งทะเลทราย)อันนี้แนะนำ ในเกมส์company of heroครับ
https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcRbzxAulLEE1dV3OKB4vYX-51UaXRLMBxwOvra0N5CwhLkOxROn
มันคืดปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพที่สุดรุ่นหนึ่งของเยอรมัน มันสามารถยิงได้ ทั้งต่อสู้อากาศยาน และยิงต่อสู้รถถัง โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไหล่ปืน แค่เปลี่ยนกระสุนเท่านั้น
โดยปืนใหญ่นี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในสงคราม สามารถทำลายรถถังได้ดีที่สุด เพราะวิถีกระสุนที่ตรงและความเร็วปากลำกล้องที่มาก

สำหรับกองทัพบกนั้นยังมีอาวุธ อีกมากมายก่ายกองคิดว่าถ้าจะให้กล่าวทั้งหมดกระทู้คงจะยาวมากงั้นผมขออณุญาติตัดมาที่ Kriegsmarine เลยนะครับ

Kriegsmarine(ขอโทษนะครับเรื่องนี้ผมมีข้อมูลน้อยจริงๆหากท่ายใดจะเสริม ก็จะขอบคุณมากครับ)
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/8c/War_Ensign_of_Germany_1938-1945.svg/200px-War_Ensign_of_Germany_1938-1945.svg.png

Graf Zeppelin class aircraft carrier
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/99/Graf-Zeppelin-2.jpg/300px-Graf-Zeppelin-2.jpg
เธอ คือเรือบรรทุกเครื่องบินเพียงลำเดียวของเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่โคลงการนี้ถูกคิดค้น เพื่อที่จะมีอำนาจคลองอากาศ ในทะเลบอลติก และทะเลหนือ
โดย ได้เปิดตัวในวันที่ 8 ธันวาคม 1938 แต่ตัวเรือยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และไม่เคยได้ออกปฎิบัติการเลย

ีU-Boat(อู-โบท) class submarine
http://tk.files.storage.msn.com/x1pM0jCSUoiRhABOECl6nXZgUi9achyz6u4FdtpoFFGqCJhhOI3EN_wHJuQolot0-D2hPOovi5PTuqrxRBi-dQ0DWP8igthcg98cD52LxekTmTEpWRCq7T9_Kv_xrMexpEDgW5t0ZnQtlU
ลำเล็กไทพ์-2-คลาสใช้ลาดตระเวนชายฝั่งและวางทุ่นระเบิด
http://tk.files.storage.msn.com/x1pM0jCSUoiRhABOECl6nXZgbT098-qR0K8bVRv3UUJw1PBFVueZ_aoKmb5GHGGxWlzmG5E3Osv5c-zkEQtQcbxVwVWE4Rq68ueyWy3ZWpmTrVnHjHKncWGCQ_frSiRyz9sSVYuK7wHg90
ไทพ์-7 ใช้ในปฏิบัติการระดับกลาง
http://tk.files.storage.msn.com/x1pM0jCSUoiRhABOECl6nXZga0p9uf-DEOql9LRY5GXKyNnMH_B8G79WTGYT0UAQdPeS37YzM5KgrsZ6AcfN7SBoXlzeIVZqRmGs2q4kOFtB1-b6cNZqa8BKoIJw9PfhYV5QLYLGmNnaCk
และขนาดใหญ่ไทพ์-9 สำหรับการรบในมหาสมุทร
http://tk.files.storage.msn.com/x1pM0jCSUoiRhABOECl6nXZgd4hP4xRJJzTYV10dwX-Fhnl-NjEpoFJTenFapvwQYDjt5bTd7xEG-VwxshkD-vMtIxI3_y34T6ejM30GJx8fAj5H9FOlPsl-YO8T2JRrkvyZjyfnESI-JA
เรือบิสมาก และ u-556

Bismarck class Battleship(เรือที่ วินตัส เชอชิล ถึงกับกล่าวว่า"อังกฤษจะเสียเท่าไรก็ต้องจม บิสมาร์คใ ห้ได้")
https://encrypted-tbn3.google.com/images?q=tbn:ANd9GcRc6cpJ1_hKoQr-5m4n6X7dQeLS52y94h04MqPcu95v5KguHBb3_g
บิสมาร์ค เป็นเรือประจัญบานของเยอรมนี และหนึ่งในเรือรบที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง บิสมาร์คเป็นเรือลำแรกในเรือประจัญบานชั้นบิสมาร์ค ซึ่งตั้งตามชื่อนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ออตโต ฟอน บิสมาร์ค บิสมาร์คมีระวางขับน้ำเต็มที่ถึง 50,000 ตัน และเป็นเรือประจัญบานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เข้าประจำการในสมัยนั้น
บิสมาร์คได้ปฏิบัติการเพียงครั้งเดียวตลอดอายุการใช้งานอันสั้นของมัน โดยจมลงในตอนเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ระหว่างปฏิบัติการไรนือบุง ซึ่งบิสมาร์คและเรือลาดตระเวนหนักอีกลำหนึ่งพยายามที่จะขัดขวางและทำลายขบวนเรือซึ่งแล่นระหว่างอเมริกาเหนือและสหราชอาณาจักร ขณะที่บิสมาร์คและเรือรบเยอรมันอีกลำหนึ่งกำลังพยายามที่จะแล่นออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก เรือรบทั้งสองถูกค้นพบโดยกองทัพเรืออังกฤษ และถูกดึงเข้าสู่ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก ระหว่างการรบเวลาสั้น ๆ เรือลาดตระเวนประจัญบานฮู้ด เรือธงของกองเรือหลวงและความภาคภูมิใจของกองทัพเรืออังกฤษ ถูกจมลงหลังจากถูกยิงเพียงไม่กี่นาที นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิลล์ ออกคำสั่ง "อังกฤษจะเสียเท่าไรก็ต้องจม บิสมาร์ค ให้ได้" ซึ่งกระตุ้นให้กองทัพเรืออังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ
สองวันถัดมา เมื่อบิสมาร์คเกือบจะไปถึงน่านน้ำที่ปลอดภัยแล้ว เครื่องบินปีกสองชั้นของกองทัพเรืออังกฤษได้ยิงตอร์ปิโดถล่มเรือและทำให้หางเสือเรือขัดของ ทำให้เรือรบหนักของอังกฤษสามารถตามทันบิสมาร์คได้ ในการรบที่เกิดขึ้นตามมาในช่วงเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 บิสมาร์คถูกโจมตีอย่างหนักเป็นเวลานานเกือบสองชั่วโมงก่อนที่จะจมลงสู่ก้นทะเล การจมของบิสมาร์คได้รับการรายงานบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์หลายฉบับทั่วโลก

luftwaffe
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0e/Roundel_of_the_German_Air_Force_border.svg/300px-Roundel_of_the_German_Air_Force_border.svg.png

Junkers (JU) 87 Stuka
https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcS4ReQInhyZ3cjpmKaeMEK3BjHp6BT2p3rlDOO03iEdjoC8d3yl
ชตูก้า ย่อมาจาก ชตูล์ซคามพ์ฟลูซอยก์ (Sturzkampfflugzeug) ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Drive Bomber หรือเครื่องบินดำทิ้งระเบิด มันคือเครื่องบินรบที่มีบทบาทสำคัญในการรบสายฟ้าแลบของเยอรมันตั้งแต่ปี1936ถึง1944 มีชตูก้าถูกผลิตออกมามากว่า6,000เครื่อง ถึงแม้ว่าช่วงกลางสงครามเยอรมัน จะสามารถสร้างเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด ซึ่งใช้งานได้หลากหลายและประสิทธิภาพสูงกว่าชตูก้ามาใช้งานได้ แต่เยอรมัน ก็ได้ใช้งานชตูก้าในภารกิจโจมตีภาคพื้นดิน จนจบสงคราม

Messerschmitt Bf 109
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/800px-Messerschmitt_Bf_109G-21.jpg?t=1194508470
ครื่องบินขับไล่ที่เป็นตำนานการสู้รบแห่งท้องฟ้าของกองทัพอากาศเยอรมัน มันเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นผลิตจำนวนมากของกองทัพอากาศเยอรมัน มีความเร็วและคล่องตัวสูง ติดอาวุธได้หลากหลาย และใช้งานตั้งแต่ต้นสงครามจนจบสงคราม บีเอฟ 109 ได้มีการพัฒนาต่อยอดมากมายหลายรุ่น ทั้งรุ่นโจมตีทิ้งระเบิด รุ่นโจมตีเรือรบ รุ่นปฏิบัติการทางทะเล รุ่นประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน(แต่เรือบรรทุกเครื่องบินซึ่งคืต่อไม่เสร็จจากที่กล่าวไปก่อนหน้านี้นะครับ จึงยกเลิกการสร้าง) และยังติดอาวุธได้หลากหลาย

Heinkel He 111
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/98/Heinkel_HE111K.jpg
เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลางที่โด่งดังที่สุดรุ่นหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันได้ใช้ในการรบทางอากาศครั้งสำคัญๆมากมาย ไฮน์เกล 111 ได้เข้ารบในหลายสมรภูมิ ตั้งแต่การบุกโปแลนด์ การบุกฝรั่งเศส และการบุกเกาะอังกฤษ ซึ่งในการรบเหนือเกาะอังกฤษนี่เองอัตราการสูญเสียของไฮน์เกล 111 มีมากขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะการขาดเครื่องบินขับไล่คุ้มกัน ในการรบเหนือเกาะอังกฤษ เยอรมันได้พัฒนาเครื่องบินทิ้งระเบิด ยุงเกอร์ส์ 88 ที่บรรทุกได้มากกว่าและมีความเร็วสูงกว่าได้ แต่ก็มีจำนวนน้อย จึงต้องใช้ไฮนเกล 111 ที่ปรับให้บรรทุกระเบิดได้5,000ปอนด์ปฏิบัติการไปก่อน

Junkers Ju-88
http://i222.photobucket.com/albums/dd319/Arlucardhellsing/Junkers_88_1.jpg?t=1194510510
นี่เป็นเครื่องบินที่เรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพอากาศเยอรมันเลยทีเดียว เพราะมันเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ใช้งานได้มากมาย ทั้งทิ้งระเบิด ตรวจการณ์ ขับไล่ทั้งกลางวันและกลางคืน โจมตีภาคพื้นดิน ลำเลียงพล ลาดตระเวณและเป็นเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโดด้วย ในการรบเหนือเกาะอังกฤษ เจยู88 เป็นหนึ่งในเครื่องบินทิ้งระเบิดที่เข้าโจมตีอังกฤษและสามารถทำลายเมืองในอังกฤษได้มากมาย แต่อัตราการสูญเสียก็มากเช่นเดียวกันเพราะขาดเครื่องบินขับไล่คุ้มกัน(อีกเช่นเคย)

Focker-Wolf FW-190
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6b/Focke-Wulf_Fw_190_050602-F-1234P-005.jpg/300px-Focke-Wulf_Fw_190_050602-F-1234P-005.jpg
เครื่อง บินขับไล่รุ่นใหม่ของกองทัพอากาศเยอรมันที่มาแทนที่BF-109 นับเป็นเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแบบหนึ่งของโลกในยุคนั้น มีความเร็วและความคล่องตัวสูง ติดตั้งอาวุธจำนวนมากและอำนาจทำลายสูง สมรรถนะทัดเทียมและ/หรือเหนือกว่าเครื่องบินของชาติพันธมิตรในคลาสเดียวกัน และเป็นเครื่องบินที่สามารถคงไว้ซึ่งสมรรถนะอันสูงส่งไปจนจบสงครามได้

Messerschmitt Me 262
https://encrypted-tbn1.google.com/images?q=tbn:ANd9GcRjEltlAIMypHw1u8AeGvp_H9a9-l6YLh2uI3350rK9OBxfT13P
เครื่องรุ่นนี้นั้นนาซีมีความต้องการที่จะใช้อากาศยานที่บินเร็ว กว่าข้าศึก มีสมรรถนะเหนือกว่า จึงได้เกิดการพัฒนาเครื่องยนต์ Jet
ซึ่งได้นำไปติดตั้งกับ Me 262 ของเยอรมัน ถือว่าเป็นเครื่องบินเจ็ทลำแรกของโลกในการสงคราม Me262 สามารถทำความเร็วได้ถึง 600 กม./ชม. เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย
คือกินน้ำมันในปริมาณที่มากมายมหาศาล และเนื่องด้วยความเร็วที่มากมายนักบินจึงไม่คุ้นเคย ยากต่อการควบคุม

แถมๆ Weapon Vergeltungswaffen(เวอ-เกล-ทุน-วาฟ-เฟิล)series

V-1 flying bomb
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1e/V1-20040830.jpg/267px-V1-20040830.jpg

V-2 rocket
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6d/Fus%C3%A9e_V2.jpg/300px-Fus%C3%A9e_V2.jpg

V-3 Supergun
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/87/Bundesarchiv_Bild_146-1981-147-30A%2C_Hochdruckpumpe_V-3.jpg/200px-Bundesarchiv_Bild_146-1981-147-30A%2C_Hochdruckpumpe_V-3.jpg
ปืนใหญ่ที่ยิ่งได้ไกลมากๆ โดยเยอรมันยิงจากเมืองมิโมเยค ฝรั่งเศษไปยังใจกลางกรุงลอนดอนกว่า 600 นัด


http://youtu.be/q_V-WLPbSuc

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:http://th.m.wikipedia.org,ท่าน Yuri Alexandrovish Orlov จากhttp://hun-yuri.exteen.com และhttp://www.thaigaming.com


อยากรู้ เรื่อง กองกำลัง ของพี่ จีน 555+
ได้เลยครับ ขอเวลารอบรวมข้อมูลหน่อยนะครับ

sattawat1979
26th April 2012, 00:14
ถือว่าเป็นกองทัพฝ่ายอักษะที่แข็งแกร่งที่สุดละ แถมยังถูกเอามาเป็นตัวโกงในหลายๆเกมอีกด้วย

ผมชอบเกมที่ยิงต่อสู้กับพวกนาซีมากเลย พวกนาซีมันดูน่ากลัวดี

gsuhplyf
26th April 2012, 00:21
ยังอ่านไม่จบนะครับ เดี๋ญวพรุ่งนี้มาอ่านต่อ อ่านถึง pz3 ละ
อ่อออ ผมรู้ละว่า สูตร panzer ใน GTA มันมาอย่างนี้นี่เอง 555+

อ้อเคยดูหนังเรื่องหนึ่งครับ รู้สึกว่าจะบิ๊กซีนีม่า หลายปีมาแล้วแหละเกี่ยวกับเครื่องบินในยุคสงครามโลกครั้งที่2 เกี่ยวกับเครื่องบินรบนี่แหละครับ
ผมไม่แน่ใจว่าสร้างจากเรื่องจริงด้วยเปล่าน่ะ แต่ประมาณว่าเกี่ยวกับฝูงบินล้วนๆ ตั้งแต่รับทหารเข้าไปฝึก แต่ละคนฝึกได้ไม่นานก็ต้องออกรบจริงๆ
แล้วพวกนักบินเก่งๆจะสร้างสัญลักษณ์ให้กับเครื่องบินของตัวเอง โดยการเอาสีมาแต้มหรือวาดเป็นรูปประจำตัว

และก็จะมีหัวหน้าหน่วยบินหรือคนที่เก่งที่สุดในฝูงบินของแต่ละฝ่าย (ดำเนินเรื่องให้ฝ่ายพันธมิตรเป็นพระเอก) ที่จะคอยสั่งการ
และคอยบอกว่าเมื่อเห็นเครื่องบินที่มีสัญลักษณ์ไหนยังไงให้รับมือยังไง เรื่องนี็้สนุกดีนะครับ แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้

hackedsugus
26th April 2012, 00:25
ชอบฝ่ายอักษะ มากว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร อะ

หนุ่มหน้าหวาน
26th April 2012, 00:31
V-2 rocket
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6d/Fus%C3%A9e_V2.jpg/300px-Fus%C3%A9e_V2.jpg

จรวดนี้ ไฮเทคมากๆเลย

nakiann123
26th April 2012, 00:42
ลองหาข้อมูลใน en.wiki สิครับ en.wiki ข้อมูลจะเยอะกว่าของ th.wiki ครับผม

Rockerman
26th April 2012, 00:57
ยังอ่านไม่จบนะครับ เดี๋ญวพรุ่งนี้มาอ่านต่อ อ่านถึง pz3 ละ
อ่อออ ผมรู้ละว่า สูตร panzer ใน GTA มันมาอย่างนี้นี่เอง 555+

อ้อเคยดูหนังเรื่องหนึ่งครับ รู้สึกว่าจะบิ๊กซีนีม่า หลายปีมาแล้วแหละเกี่ยวกับเครื่องบินในยุคสงครามโลกครั้งที่2 เกี่ยวกับเครื่องบินรบนี่แหละครับ
ผมไม่แน่ใจว่าสร้างจากเรื่องจริงด้วยเปล่าน่ะ แต่ประมาณว่าเกี่ยวกับฝูงบินล้วนๆ ตั้งแต่รับทหารเข้าไปฝึก แต่ละคนฝึกได้ไม่นานก็ต้องออกรบจริงๆ
แล้วพวกนักบินเก่งๆจะสร้างสัญลักษณ์ให้กับเครื่องบินของตัวเอง โดยการเอาสีมาแต้มหรือวาดเป็นรูปประจำตัว

และก็จะมีหัวหน้าหน่วยบินหรือคนที่เก่งที่สุดในฝูงบินของแต่ละฝ่าย (ดำเนินเรื่องให้ฝ่ายพันธมิตรเป็นพระเอก) ที่จะคอยสั่งการ
และคอยบอกว่าเมื่อเห็นเครื่องบินที่มีสัญลักษณ์ไหนยังไงให้รับมือยังไง เรื่องนี็้สนุกดีนะครับ แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้
Fly boy หรือป่าวครับ

Yoddy's
26th April 2012, 01:12
"รถถังไทเกอร์ 1 คัน สามารถทำลายรถถังJS-2ได้ถึง22คัน" สุดยอดมากเลยนะเนี่ย:sweat

KKK-123
26th April 2012, 01:24
ผมว่า ถ้าเยอรมัน ไม่มีผู้นำบ้าอำนาจอย่างฮิตเลอร์ คงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว อเมริกาก็ตามไม่ทันผมคิดว่างั้น



ถ้าอเมริกา กับโซเวียตไม่ได้เทคโนโลยี ของเยอรมันสมัยนั้น คงไม่ได้อย่างวันนี้แน่นอน

ขอบ่นอีกหน่อย ถ้าท่านผู้นำ ฟังคำทัดทานของนายพลทั้งหลายว่าอย่าเปิดศึกกับโซเวียต ผลของสงครามอาจจะเปลี่ยนก็ได้
แต่ท่านผู้นำดันเปิดศึก2ด้าน โดนรุมโทรม เลย 5555

SemIFaIL
26th April 2012, 01:33
Messerschmitt ชื่อนี้กะรันตีความสำเร็จ ชอบมากเลย มีชื่อไม่ต่างกับ Tiger เลย

Belkan-War
26th April 2012, 01:37
เสริม จขกท.นิดหน่อยนะครับ

- ระเบิดร่อน V1 ถือว่าเป็นภัยคุกคามที่ค่อนข้างน่ากลัวอย่างนึงของอังกฤษในตอนนั้น ใช้เครื่องยนต์แรมป์เจ๊ทในการขับเคลื่อน การปล่อยแค่ปล่อยให้ตรงทิศเป้าหมาย (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นในลอนดอน) เมื่อปล่อยแล้วตัวจรวดจะบินไปจนกว่าจะเชื้อเพลิงหมด แล้วก็จะตก เป็นอาวุธที่ไม่มีเป้าหมายแน่นอน เพราะส่วนใหญ่กะระยะให้ตกในเขตลอนดอน เยอรมันปล่อยไปกว่า 7 พันลูก ส่วนนึงก็โดนเรดาห์ตรวจจับและสกัดกั้น แต่โดยรวมเป็นอาวุธที่มีผลด้านจิตวิทยาซะมากกว่า (คล้ายๆ กับ จรวดร่อน Tomahawk ในปัจจุบัน แต่ไม่นำวิถี)

-เรือประจัญบานชั้น Bismarck มีฝาแฝดคือ เรือ Tirpitz ซึ่งหลังจากจมเรือ Bismarck ได้แล้ว เรือ Tirpitz ก็โดนอังกฤษล่าต่อ และเรือก็ถูกจมขณะจอดอยู่ในอ่าว เนื่องจากเรือถูกทหารเรืออังกฤษลอบวางระเบิดจนเสียหาย เลยต้องจอดซ่อม

- หลักการของปืนใหญ่ V3 คือ ใช้หลักการจุดระเบิดแบบต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความเร็วและระยะของกระสุน ส่งผลให้สามารถยิงได้ไกลขึ้นกว่าปืนใหญ่ธรรมดา

18&Life
26th April 2012, 02:57
นาซีไม่ได้แพ้เพราะกำลังทหารครับ แต่แพ้เพราะฮิตเลอร์ กับการยกพลขึ้นบกของฝ่ายพัธมิตรที่นอร์มังดี กับ ฤดูหนาวที่รัสเซีย

ที่นาซีแข็งแกร่งขึ้นมาก็เพราะฮิตเลอร์ แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้นาซีแพ้ก็เพราะฮิตเลอร์เช่นกัน

เนื่องจากฮิตเลอร์สั่งการกองทัพนาซีด้วยตัวเองทั้งหมดโดยไม่ยอมฟังคำแนะนำจากนายทหารระดับสูงในหลายๆเรื่อง

ทำให้นาซีแพ้สงครามอย่างไม่ต้องสงสัย

communism
26th April 2012, 08:33
ผมจำไม่ได้ ว่า นักบินและรุ่นอะไร ของเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบิน 5 ลำ ของเยอรมัน จัดการเครื่องบิน2000กว่าๆ ทำให้ผู้บัญชาการทัพอากาศ ได้เป็นที่มีหน้ามีตา แต่จำนักบินไม่ได้จริงๆ

(ก่อนที่กองทัพเรือจะผลิตเรือดำน้ำ เรือUสำเร็จ)

และอีกอย่างผมชอบกองทัพอากาศเยอรมันมากที่สุดละ ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด แต่เสียดาย ที่พวกนายทหารชั้นสูงแทนที่จะทำหน้าที่ตนเองถึงที่สุด แต่กลับมาฆ่ากันเองเพราะกลัวแพ้

Nonthapon
26th April 2012, 09:07
ขอเสริมจาก จขกท นะครับ ^^

http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344023/images/1_display.jpg Panzerkampfwagen Tiger II รถถัง TIGER II นี้เกิดขึ้นจากการคาดการณ์ของฝ่ายเยอรมันว่า รัสเซียกำลังผลิตรถถังที่ทรงประสิทธิภาพออกมาต่อกรกับฝ่ายตน ทำให้กองทัพนาซีเยอรมันทำการพัฒนารถถังที่มีอานุภาพสูงในปี 1942-1943 โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้เป็นรถถังที่ทรงอานุภาพมากกว่ารถถัง TIGER ที่ทรงอานุภาพอยู่แล้ว เครื่องยนต์ของ TIGER II เหมือน TIGER รวมทั้งยังมีป้อมปืนที่หล่อจากโลหะชิ้นเดียวกันเหมือนกับ PANTHER แม้ว่ารถถังรุ่นนี้จะมีเครื่องยนต์ที่ไม่น่าไว้วางใจได้มากนัก เพราะมีเวลาในการออกแบบน้อย และเร่งรีบ เนื่องจากเยอรมันเริ่มเป็นฝ่ายถูกรุกในแทบทุกแนวรบ แต่ก็เป็นเครื่องยนต์ที่ทรงอานุภาพมากที่สุด จุดอ่อนของรถถังรุ่นนี้ก็คือการบริโภคน้ำมันอย่างมหาศาล เนื่องจากน้ำหนักเกราะที่หนาและหนักมาก ทำให้รถถังมีน้ำหนักมากถึง 68.6 ตัน การปรากฏตัวของรถถัง TIGER II ครั้งแรกที่ป่า ARDENNES ในการรุกตอบโต้ฝ่านสัมพันธมิตร ในปี 1944 สร้างความตกตะลึงให้กับฝ่ายอเมริกันเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่า ปืนต่อสู้รถถังทุกชนิดของตน ไม่สามารถหยุดรถถัง TIGER II ได้ แต่เนื่องจากเยอรมันขาดแคลนน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของรถถังรุ่นนี้ จึงทำให้เยอรมันต้องพ่ายแพ้ในการรบที่ป่า ARDENNES ในที่สุด
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344025/images/1_display.jpg Marder II ตั้งแต่ปี 1920 มีความคิดที่จะนำปืนใหญ่ ที่สามารถเคลื่อนที่ติดตามให้การยิงสนับสนุนทหารราบได้ตลอดเวลา แนวความคิดนี้มาเป็นความจริงครั้งแรก ในช่วงทศวรรษที่ 1940 โดยกองทัพเยอรมันนำมาใช้เป็นครั้งแรก โดยการดัดแปลงรถถังที่สามารถติดตั้งปืนใหญ่ และให้การสนับสนุนทหารราบ ทหารยานเกราะไปได้พร้อมๆกัน ด้วยการเรียกรถถังขนาดเล็กแบบ Panzer II กลับจากแนวหน้า เพื่อนำมาดัดแปลงโดยใช้เพียงฐานล่างหรือแชสซีของเดิม ซึ่งในขณะนั้น Panzer II เองก็เริ่มล้าสมัย และป้อมปืนของมันก็ไม่สามารถรองรับปืนใหญ่ที่ใหญ่กว่า 20 มม. ได้ จึงมีการถอดป้อมปืนเดิมออก ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มม.เข้าไป เปิดด้านบนและด้านหลังของป้อมออก ด้วยวิธีการนี้ Marder II จึงถือกำเนิดขึ้น พร้อมๆกับอานุภาพที่รุนแรงและแม่นยำของปืนขนาด 75 มม. Marder II จึงมิใช่ผู้ก่อกเนิดรถปืนใหญ่อัตตาจรที่เคลื่อนที่ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่มันยังเป็นจุดกำเนิดของรถถังล่ารถถัง หรือที่เรียกว่า Panzerjager ในภาษาเยอรมัน - tank hunter ในภาษาอังกฤษ อีกด้วย Marder II เข้าสูสายการผลิตและถูกส่งออกแนวหน้าถึง 575 คัน สร้างชื่อเสียงให้กับตัวมันเองอย่างมาก แม้จะไม่สามารถเข้าต่อสู้กับรถถังฝ่ายตรงข้ามได้ตรงๆ เพราะมีเกราะที่ไม่หนาเพียงพอ แต่ก็สามารถดักซุ่ม หรือใช้การยิงตรงจากระยะทางไกลๆ ทำลายรถถังข้าศึกได้ จนกระทั่งในปี 1943 ก็เกิดแนวความคิดที่จะปรับปรุงขนาดปืนใหญ่ประจำรถ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 105 มม. สามารถยิงตรงและยิงวิถีโค้งได้ สายการผลิตของ Marder II จึงยุติลงและหันไปติดตั้งปืนใหญ่เฮาวิทเซอร์ขนาด 105 มม.แทน พร้อมๆกับชื่อของ Marder II ก็เปลี่ยนไปเป็น Wespe ในที่สุด
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344026/images/1_display.jpg Wespe ตั้งแต่ปี 1920 มีความคิดที่จะนำปืนใหญ่ ที่สามารถเคลื่อนที่ติดตามให้การยิงสนับสนุนทหารราบได้ตลอดเวลา แนวความคิดนี้มาเป็นความจริงครั้งแรก ในช่วงทศวรรษที่ 1940 โดยกองทัพเยอรมันนำมาใช้เป็นครั้งแรก โดยการดัดแปลงรถถังที่สามารถติดตั้งปืนใหญ่ และให้การสนับสนุนทหารราบ ทหารยานเกราะไปได้พร้อมๆกัน ด้วยการเรียกรถถังขนาดเล็กแบบ Panzer II กลับจากแนวหน้า เพื่อนำมาดัดแปลงโดยใช้เพียงฐานล่างหรือแชสซีของเดิม ซึ่งในขณะนั้น Panzer II เองก็เริ่มล้าสมัย และป้อมปืนของมันก็ไม่สามารถรองรับปืนใหญ่ที่ใหญ่กว่า 20 มม. ได้ จึงมีการถอดป้อมปืนเดิมออก ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มม.เข้าไป เปิดด้านบนและด้านหลังของป้อมออก ด้วยวิธีการนี้ Marder II จึงถือกำเนิดขึ้น พร้อมๆกับอานุภาพที่รุนแรงและแม่นยำของปืนขนาด 75 มม. Marder II จึงมิใช่ผู้ก่อกเนิดรถปืนใหญ่อัตตาจรที่เคลื่อนที่ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่มันยังเป็นจุดกำเนิดของรถถังล่ารถถัง หรือที่เรียกว่า Panzerjager ในภาษาเยอรมัน - tank hunter ในภาษาอังกฤษ อีกด้วย Marder II เข้าสูสายการผลิตและถูกส่งออกแนวหน้าถึง 575 คัน สร้างชื่อเสียงให้กับตัวมันเองอย่างมาก แนวความคิดในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Marder II จึงเกิดขึ้น โดยการเปลี่ยนปืนใหญ่ขนาด 75 มม. มาเป็น 105 มม. ในปี 1943 สายการผลิตของ Marder II จึงยุติลงและหันไปติดตั้งปืนใหญ่สนามเฮาวิทเซอร์ขนาด 105 มม.แทน พร้อมๆกับชื่อของ Marder II ก็เปลี่ยนไปเป็น Wespe หลังคาป้อมปืนเปิดกว้าง แต่ก็มีเกราะเพียงพอที่จะป้องกันพลประจำรถ รวมทั้งมีพื้นที่ที่จะบรรทุกกระสุนขนาด 105 มม. ได้ 32 นัด พร้อมปืนกลประจำรถ Wespe จำนวน 675 คันถูกผลิตออกมาก่อนที่สายการผลิตจะยุติลงในปี 1943 หือในปีที่เริ่มผลิตนั่นเอง เพื่อหันไปผลิตรถถังต่อสู้รถถังรุ่นใหม่ๅ ที่มีเกราะหนากว่าอย่าง Jadgpanther และ Jadgtiger อย่างไรก็ตาม Wespe ก็ยังคงรับใช้กองทัพนาซีในการเป็นปืนใหญ่สนับสนุนทหารราบ และหน่วยรรถังในแนวหน้า จนสิ้นสุดสงคราม
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344027/images/1_display.jpg ฮัมเมล (Hummel) ฮัมเมล หรืออีกชื่อหนึ่งว่า บัมเบิล บี (Bumble Bee) เป็นรถถังที่ใช้ฐานของรถถังรุ่น Panzer III หรือ Panzer IV มาติดตั้งปืนใหญ่เฮาวิตเซอร์ (Howitzer) ขนาดความกว้างปากลำกล้อง 155 มม. แนวความคิดของฮัมเมลเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1942 เมื่อเริ่มเข้าสู่สายการผลิต ฮัมเบิลกว่า 500 คันก็ออกสู่แนวหน้า ในขณะเดียวกัน แนวความคิดที่จะผลิตรถถังล่ารถถัง หรือรถถังทำลายรถถังรุ่นใหม่ (tank destroyer - tank hunter) ก็ยังไม่คืบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ Jagdpanzer IV ที่ใช้รถถัง Panzer IV มาติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 88 มม.อันลือชื่อ ที่ยังไม่ออกสู่สมรภูมิ เพื่อการสกัดกั้นกระแสกองทัพรถถังรัสเซียที่ไหลบ่า มาจากทางตะวันออกอย่างที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ทำให้ฮัมเมลเป็นความต้องการที่จำเป็นที่จะใช้ขัดตาทัพรถถังล่ารถถังไปก่อน ฮัมเมลมีลักษณะที่เปิดกว้าง ระบบฐานล่างของ Panzer IV ที่นำมาดัดแปลงจำเป็นต้องเคลื่อนเอาเครื่องยนต์ที่อยู่ตอนท้าย ให้ขึ้นมาอยู่บริเวณกลางรถ เพื่อความสะดวกของพลประจำรถ และเพื่อเป็นที่เก็บกระสุนสำรอง อย่างไรก็ตาม ฮัมเมลก็ยังมีเนื้อที่ไม่เพียงที่จะเก็บกระสุนขนาด 155 มม.อันใหญ่โต มันสามารถบรรทุกกระสุนได้เพียง 18 นัด ซึ่งไม่เพียงพอในการรบที่ประชิดติดพัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรถบรรทุกกระสุนเคลื่อนที่ติดตามไปตลอดเวลา ในขณะเมื่อรถเคลื่อนที่ มีเพียงพลขับและพลวิทยุเท่านั้นที่มีกำบัง พลประจำรถคนอื่นๆ จะไม่มีกำบัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนตกลงมา พลประจำรถจะต้องใช้ผ้าใบคลุมป้องกันการเปียกจากน้ำฝน ฮัมเมลออกสู่สมรภูมิครั้งแรก ในปี 1943 ในสมรภูมิ Kursk ซึ่งในขณะนั้น กองพลแพนเซอร์ทุกกองพล มีแผนที่จะบรรจุฮ้มเมลไว้หนึ่งกองพัน เพื่อทำหน้าที่เป็นปืนใหญ่สนับสนุนการรบของกองพล
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344028/images/1_display.jpg StuG III StuG III หรือ Sturmgeschutz เป็นรถถังที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้อำนาจการยิงสนับสนุนทหารราบ ในขณะที่ทหารราบรุกไปข้างหน้า รถถถังนี้ จะช่วยยิงทำลายป้อมค่าย หรือรังปืนกล ตลอดจนปืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า มันจะทำหน้าที่สนับสนุนทหารราบในการรุกไปพร้อมๆกัน StuG III ได้รับการเสนอความต้องการจากกองทัพบกเยอรมันในปี 1936 หรือก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองประมาณ 4 ปี มีการออกแบบให้ใช้ฐานล่างของรถถัง Panzer III (มีล้อกดสายพาน 6 ล้อ) รถถังรุ่นนี้ถูกนำเข้าใช้งานในปี 1940 หรือในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง บทบาทของรถถังรุ่นนี้เพิ่มมากขึ้น เมื่อสายการผลิตรถถังของเยอรมัน ประสบปัญหาความล่าช้า ทำให้ไม่สามารถผลิตรถถังได้ทันตามความต้องการ ประกอบกับเยอรมันต้องสูญเสียรถถังหลักในการรบเป็นจำนวนมาก สายการผลิตรถถังทั่วไปที่มีป้อมปืน ต้องใช้เวลาและมีความซับซ้อน ทำให้ผลิตได้ช้า จึงเกิดแนวความคิดที่จะผลิตรถถัง StuG III นี้เป็นรถถังทดแทน โดยใช้แนวความคิดการเป็นรถถังล่ารถถัง (tank hunter) ไม่ต้องมีป้อมปืน ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้น ส่วนฐานล่างก็ทำโดยการนำเอารถถัง Panzer III ที่เริ่มล้าสมัยและติดปืนได้เพียงขนาด 50 มม. ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำลายรถถังข้าศึกที่มีเกราะหนาอย่าง T 34 ของรัสเซียได้ มาทำการถอดป้อมปืนออก และติดปืนใหญ่ขนาด 75 มม. แทน สิ่งที่ได้ตามมาก็คือ รูปร่างที่เตี้ย ทำให้ยากต่อการสังเกตุเห็น สามารถพรางตัวเองได้ดีในภูมิประเทศ อย่างไรก็ตาม บทบาทของ StuG III ในการเป็นรถถังสนับสนุนทหารราบด้วยปืนใหญ่ขนาด 75 มม. ดูจะโดดเด่นมากกว่า การเป็นรถถังล่ารถถัง เพราะขนาดเกราะที่บาง การปรับปืนที่กระทำด้วยการเคลื่อนรถทั้งคัน ไม่ใช่การหมุนของป้อมปืน ทำให้ความคล่องตัวในการต่อสู้กับรถถังด้วยกันลดน้อยลงไป แต่ในช่วงหลังของสงคราม ในขณะที่เยอรมันตกเป็นฝ่ายตั้งรับ StuG III ก็ได้พิสูจน์ให้ศัตรูได้เห็นศักยภาพในการเป็นรถถังล่ารถถังเป็นอย่างดี เพราะสามารถซ่อนพรางได้ดี มีปืนใหญ่ที่สามารถหยุดยั้งข้าศึกได้อย่างรุนแรง และแม่นยำ โดยเฉพาะทหารสัมพันธมิตร ล้วนต่างต้องจดจำ StuG III ในฐานะผู้ล่ารถถังไปอีกนานเท่านาน นอกจากนี้ยังได้มีการปรับปรุง StuG III ให้สามารถติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 105 มม. เพื่อเป็นปืนใหญ่อัตตาจร และเรียกชื่อใหม่ว่า STUG 42 รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนให้สามารถติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ในชื่อ StuG 33 ซึ่งรุ่นนี้ต้องทำการเปิดส่วนบนของรถถังออก และลดขนาดของเกราะลง จึงใช้ในภารกิจสนับสนุนทหารราบเท่านั้น
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344029/images/1_display.jpg Jagdpanther รถถัง Jagdpanther เป็นรถถังที่ทรงอานุภาพในการทำลายรถถังของข้าศึกเทียบเท่ากับรถถัง panther เลยทีเดียว และถ้า panther เป็นรถถังที่น่าเกรงขามแล้ว Jagdpanther ก็จะเป็นรถถังล่ารถถังที่น่าเกรงกลัวยิ่งกว่า เพราะมันมีความเร็วสูง มีสายพานที่กว้าง สามารถจะวิ่งไปได้ในที่ที่ขรุขระ ทุรกันดารและลาดชัน มีเกราะที่หนา ยากที่จะทำลาย รถถังรุ่นนี้ ใช้ฐานล่างของรถถัง panther ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ panther จะเห็นว่า ฃ่วงล่างนั้นเหมือนกันทุกอย่าง จากนั้นก็ติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 88 มม. ที่ลือชื่อในเรื่องความรุนแรงและแม่นยำ มันสามารถทำลายรถถังของข้าศึกในระยะกว่า 1000 เมตร หรือกว่า 1 กิโลเมตรได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในขณะนั้นระยะ 1000 เมตรนั้น เป็นระยะที่รถถังฝ่ายสัมพันธมิตร ตลอดจนปืนใหญ่ต่อสู้รถถังไม่สามารถยิงถึงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภายในรถยังมีอุปกรณ์อินเตอร์คอม ติดต่อกันระหว่างพลประจำรถภายในรถคันเดียวกัน ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์สมัยใหม่ในรถถังในสมัยนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการรบอย่างสูงสุด Jagdpanther คันแรกออกสู่สมรภูมิเมื่อเดือน มิ.ย. 1944 ในการต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรที่กำลังยกพลขึ้นบกในวัน ดี เดย์ที่หาดนอร์มังดี ในช่วงสุดท้ายของสงคราม มันถูกผลิตออกมาเพียง 400 คัน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนผลของสงครามได้ แม้ว่าเยอรมันต้องการจะผลิตรถถังรุ่นนี้ให้ได้ถึง 150 คันต่อเดือน แต่มันก็ไม่เคยเป็นจริง นอกจากนี้ ด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของมัน ทำให้กองพัน Panzer บางกองพันได้รับมอบ Jagdpanther แทนรถถังแบบที่มีป้อมปืนทั่วไป Jagdpanther ประสบความสำเร็จอย่างมากในแทบทุกแนวรบ มันถูกใช้เป็นหัวหอกในการรุกที่ป่าอาร์เดนซ์ (Ardennes) ในเบลเยี่ยมในช่วงปลายสงคราม ในปลายปี 1944 กล่าวกันว่า ความพยายามที่จะนำมันไปใช้แทนรถถัง เป็นแนวความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะรถถังรุ่นนี้ไม่มีป้อมปืน การจะเปลี่ยนมุมยิงต้องทำด้วยการเคลื่อนรถถังทั้งคัน ทำให้มันเ้สียเปรียบเมื่อต้องต่อสู้กับรถถังแบบที่มีป้อมปืน อย่างไรก็ตาม Jagdpanther ก็ได้พิสูจน์ให้โลกได้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพของนาซีในขณะนั้น และ มันได้กลายเป็นต้นแบบของรถถังในอนาคตต่อมา
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344030/images/1_display.jpg Jagdpanzer 38 - Hetzer ถึงแม้ว่า รถถัง Jagdpanzer 38 หรือ Hetzer จะมีขนาดเล็ก และติดอาวุธไม่หนักมาก คือ ปืนใหญ่ขนาด 75 มม. แต่รถถังรุ่นนี้ก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นสุดยอดรถถังล่ารถถังของนาซีเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่สอง (the best of the German tank-hunter) เพื่อตังถังเตี้ยสังเกตุเห็นได้ยาก วิ่งเร็วคล่องตัว และติดปืนที่มีประสิทธิภาพ (Low, fast, hard-hitting) สายการผลิต เริ่มขึ้นต้นปี 1944 ซึ่งถือเป็นช่วงปลายของสงคราม ที่เยอรมันต้องถอยร่น ในทุกแนวรบ การผลิตก็เหมือนกับการผลิตรถถังล่ารถถังทั่วไปของเยอรมัน คือ นำเอาฐาน ของรถถังที่ล้าสมัยแล้ว มาถอดป้อมปืนออก แล้วติดปืนขนาดใหญ่เข้าไป Hetzer ใช้ช่วงล่างของรถถัง Panzer 38 แล้วเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงเข้าไป เพื่อให้มีความเร็ว และมีความคล่องตัว มันถูกออกแบบให้มีความสูงน้อย หรือมีความแบน เพื่อให้ซ่อนพรางได้ดี มีความลาดเอียงของตัวถังสูง ติดตั้งปืนใหญต่อสู้รถถังขนาด 75 มม. ที่มีข้อจำกัดในการหันลำกล้อง หากจะเปลี่ยนมุมยิงมากๆ ก็จำเป็นต้องเคลื่อนตัวรถทั้งคัน แต่ถ้าเปลี่ยนมุมยิงไม่มากนัก ลำกล้องก็สามารถเลื่อนปรับได้ ด้านบนของป้อมติดปืนกล ซึ่งสามารถควบคุมการยิงจากภายในได้ โดยที่พลยิงไม่ต้องออกมายิงข้างนอก Hetzer ถูกผลิตออกมากว่า 2,500 คัน ความได้เปรียบของมันในการซ่อนพราง ที่ยากจะสังเกตุเห็น นับเป็นข้อได้เปรียบสำหรับการรบแบบตั้งรับ ซึ่งในปี 1944-1945 เยอรมันกำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ มันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของรถถังฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ Hetzer ก็เหมือนรถถังที่ทรงประสิทธิภาพอื่นๆของเยอรมัน คือออกมาช้าเกินไป ที่จะเปลี่ยนทิศทางของสงคราม Hetzer ถูกสร้างออกมาในหลายรูปแบบ ทั้งรถถังพ่นไฟ และรถของชุดซ่อมในสนาม ซึ่งคอยให้ความช่วยเหลือรถถังที่เสียหาย เพื่อนำกลับมาซ่อมแซมใหม่ นอกจากมันยังถูกวางแผนให้เป็นรถถังติดตั้งปืนใหญ่ขนาดหนัก เพื่อเป็นรถปืนใหญ่อัตตาจร แต่สงครามก็สิ้นสุดลงเสียก่อน อย่างไรก็ตามแม้สงครามโลกครั้งที่สอง จะสิ้นสุดลง แต่ Hetzer ก็ยังใช้งานต่อในกองทัพเชคโกสโลวะเกีย และกองทัพสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งแนวความคิดในการผลิตรถถังทำลายรถถัง (tank destroyer) ของนาซีเยอรมัน ที่มีความคล่องตัวสูง เล็กกระทัดรัด แต่มีอำนาจที่ทรงอานุภาพ แทนรถถังขนาดใหญ่ เทอะทะ ก็ได้กลายเป็นแผนแบบที่โลกของการผลิตรถถังสมัยใหม่ ได้ยึดถือเป็นแนวทางมาจนถึงปัจจุบัน
http://statics.atcloud.com/files/comments/34/344031/images/1_display.jpg Ferdinand - Elefant ในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น บริษัทผลิตรถถังที่ขึ้นชื่อของเยอรมัน ที่แข่งขันกันผลิตรถถังไทเกอร์ มีสองบริษัทคือ บริษัทเฮนเชล (Henschel) และบริษัทคู่แข่งอีกบริษัทหนึ่งก็คือ ปอร์ช (Porche) รถถังไทเกอร์ของบริษัทปอร์ช ไม่ได้รับการคัดเลือก เพราะมีระบบเครื่องยนต์ ที่สลับซับซ้อน อย่างไรก็ตามรถถังต้นแบบของปอร์ชที่ไม่ได้รับการคัดเลือก ก็ยังคงมีอยู่ เมื่อฮิตเลอร์ต้องการรถถังที่ติดตั้งปืนใหญ่ 88 มม. สำหรับแนวรบด้านรัสเซีย ปอร์ชก็ดัดแปลงรถถังต้นแบบเดิม ด้วการติดตั้งปืนขนาด 88 มม. เข้าไป ในชื่อที่หลากหลายว่า Elefant บ้าง Ferdinand บ้าง ในเดือนเมษายน และพฤษภาคม ปี 1943 มันถูกผลิตอย่างรีบเร่ง และส่งออกแนวหน้าในรัสเซีย ในการยุทธ์ที่ เคริซ (Kursk) ในเดือนกรกฎาคม 1943 ในวันแรกที่ Elefant เข้าสู่สมรภูมิ เป็นวันแห่งหายนะอย่างแท้จริง เมื่อรถถังรุ่นนี้ไม่ได้ติดปืนกลสำหรับการป้องกันตัวเองในระยะใกล้ จากทหารราบรัสเซียที่มีระเบิดมือสำหรับต่อสู้รถถัง (anti-tank grenade) หรือทุ่นระเบิดรถถัง ปืนใหญ่ของมันปรับมุมได้อย่างเชื่องช้า ไม่ทันการ จนทำให้มันประสบกับความสูญเสียจำนวนมาก รถถัง Elefant บางคัน พลประจำรถพยายามยิงทหารราบรัสเซียที่วิ่งอยู่รอบรถด้วยปืนใหญ่ของมัน เมื่อถูกทหารราบรัสเซียเข้าประชิด รถถังที่เหลือรอดจาก Kursk กลับเข้าโรงงานเพื่อติดตั้งปืนกลประจำรถ เพื่อการรบระยะประชิดกับทหารราบ เครื่องยนต์ปรับปรุงใหม่ แล้วส่งออกแนวรบด้านอิตาลี คราวนี้ Elefant หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ferdinand ก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองว่า เป็นรถถังที่มีอานุภาพสูง ในการทำลายล้าง แต่เนื่องจากมีน้ำหนักมาก ถนนหนทาง ตลอดจนภูมิประเทศในอิตาลี ดูจะไม่สามารถรองรับการเคลื่อนที่ของมันได้ เพราะน้ำหนักอันมหาศาล ในที่สุดมันก็ถูกทำลายโดยพลประจำรถของมันก่อนที่ล่าถอยออกจากอิตาลี
เครดิต http://atcloud.com/stories/29416 ครับ (มีอะไรเพิ่มเติมจะเอามาฝากนะครับ ><)

maxonline17
26th April 2012, 09:30
ผมชอบเยอรมันนะ ถ้าไม่นับเรื่องฆ่ายิว...

10519898
26th April 2012, 10:30
http://upic.me/i/r0/tigerst00027.gifhttp://upic.me/i/yu/tigerst00011.gifhttp://upic.me/i/yu/tigerst00011.gifหากเยอรมันชนะสงครามโลกครั้งที่2 วิทยาการเทคโนโลยีคงก้าวหน้ากว่าที่เป็นในปัจจุบัน เพราะเยอรมันเป็นผู้คิดค้นน้ำมันเบนซินเป็นประเทศเเรกในช่วงสงครามโลก(ฝ่ายพันธมิตรเพิ่งค้นพบสูตรน้ำมันเบนซินได้ไม่กี่ปีหลังฮิตเลอร์เสียชีวิต) ทั้งยังผลิตเฮลิคอปเตอร์ใช้ส่งเสบียงในสมรภูมิรบซึ่งเป็นต้นเเบบของเฮลิคอปเตอร์ปัจจุบับครับ

fournarak
26th April 2012, 10:48
ผมว่า มันน่าจะเอาทรัพยากร พวกนี้มาทำให้เกิดประโยชน์ มากกว่ามาฆ่าคนนะ เปลืองน้ำมัน เปลืองพลังงาน แร่ อีก เกิดมาก้อฆ่ากันเอง พวกนี้รุกรานไม่รู้จบ บ้าอำนาจ ไม่รู้จักพอ.. ตั้งแต่สมัยไหนละ ไทยเราเนี่ยดีแท้ ไทยนี้รักสงบ...

lankinpark
26th April 2012, 10:55
ขอบคุณมากๆเลยครับ สำหรับสาระดีๆที่หามาให้

NeverLand
26th April 2012, 11:10
เยอรมันแพ้เพราะเจอศึก2ด้านครับคือตะวันตก
กับตะวันออก
ซึ่งถ้าไม่ฉีกสนธิสัญญากับรัสเซีย(ซึ่งอยู่ทางตะวันออก)ก็คงชนะใสๆ

BosRs_Korat123
26th April 2012, 11:13
นาซี สุดยอดเเล้วครับ ถ้าไม่อำนาจป่านนี้ คง*3*

manadee901f
26th April 2012, 12:55
แต่ต้องคิดด้วยว่า เยอรมันฆ่าชาวยิวกว่า ล้านคน (ผทก้อชอบเยอรมันนะ ทีมชาติเยอรมัน) สมมุติว่า นาซี ชนะสงครามโลก ชานชาติอื่นๆที่ไม่ใช้ผิวขาวคงโดนฆ่าหมด เพราะตัวฮิตเลอร์เองคิดว่า
ผิวสีอื่นๆ เป้นชานชาติที่สกปรก มีเพียงคนผิวขาวเท่านั้นที่มีเลือดสะอาด (ฮิตเลอร์ ก้อเกลียดคนผิวเหลืองด้วยนะคับ (คนเอเชีย))

sin14101@hotmail.com
26th April 2012, 13:00
ของเยรมันนีเทพหมดล่ะคับแต่ขาดคนว่างกำลังและวางแผนเลยแพ้ไงล่ะคับ

Mustas
26th April 2012, 13:09
ผมว่า ถ้าเยอรมัน ไม่มีผู้นำบ้าอำนาจอย่างฮิตเลอร์ คงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว อเมริกาก็ตามไม่ทันผมคิดว่างั้น



ถ้าอเมริกา กับโซเวียตไม่ได้เทคโนโลยี ของเยอรมันสมัยนั้น คงไม่ได้อย่างวันนี้แน่นอน

ขอบ่นอีกหน่อย ถ้าท่านผู้นำ ฟังคำทัดทานของนายพลทั้งหลายว่าอย่าเปิดศึกกับโซเวียต ผลของสงครามอาจจะเปลี่ยนก็ได้
แต่ท่านผู้นำดันเปิดศึก2ด้าน โดนรุมโทรม เลย 5555
กลับกัน ครับ ถ้าไม่มีฮิตเลอร์ ก็ไม่มี กองกำลังฝ่าย อักษะ ที่ยิ่งใหญ่...

[P]oky_alM0n
26th April 2012, 13:11
แต่ต้องคิดด้วยว่า เยอรมันฆ่าชาวยิวกว่า ล้านคน (ผทก้อชอบเยอรมันนะ ทีมชาติเยอรมัน) สมมุติว่า นาซี ชนะสงครามโลก ชานชาติอื่นๆที่ไม่ใช้ผิวขาวคงโดนฆ่าหมด เพราะตัวฮิตเลอร์เองคิดว่า
ผิวสีอื่นๆ เป้นชานชาติที่สกปรก มีเพียงคนผิวขาวเท่านั้นที่มีเลือดสะอาด (ฮิตเลอร์ ก้อเกลียดคนผิวเหลืองด้วยนะคับ (คนเอเชีย))
ผมว่าเขาคงเกีลยดแค่พวกยิวเท่านั้นแหละ ที่เคยไปแข่งกิจการอะไรกับพ่อของฮิตเลอนี่แหละ จำไม่ได้ คนเอเชียไม่เคยไปทำอะไรให้ฮิตเลอร์เดือดร้อน ..... ผมจำได้เคยมีรูปๆ นึงที่เป็น รัชกาลที่7 ไปจับมือกับฮิตเลอร์ด้วย ท่านเป็นคนๆเดียวที่ฮิตเลอยอมก้มหัวให้ เคยมีคนมาโพสใน jkg นี่แหละนานมาละ

KKK-123
26th April 2012, 13:32
อยากรู้ เรื่อง กองกำลัง ของพี่ จีน 555+

poonpetch
26th April 2012, 14:32
oky_alM0n;1038102']ผมว่าเขาคงเกีลยดแค่พวกยิวเท่านั้นแหละ ที่เคยไปแข่งกิจการอะไรกับพ่อของฮิตเลอนี่แหละ จำไม่ได้ คนเอเชียไม่เคยไปทำอะไรให้ฮิตเลอร์เดือดร้อน ..... ผมจำได้เคยมีรูปๆ นึงที่เป็น รัชกาลที่7 ไปจับมือกับฮิตเลอร์ด้วย ท่านเป็นคนๆเดียวที่ฮิตเลอยอมก้มหัวให้ เคยมีคนมาโพสใน jkg นี่แหละนานมาละ


ใช่ครับผมก็เคยดูอยู่สมมุติถ้านาซีชนะสงครามโลกนั้นได้เผื่ิอประเทศไทยเราอาจจะเป็นพวกเดียวกับมูเลอร์เอ๊ยฮิตเลอร์(แหมๆเมื่อคืนมันติด55)ด้วยปะเนี่ย:o:o

poonpetch
26th April 2012, 14:34
http://image.ohozaa.com/i/bf3/eCKF99.jpg (http://image.ohozaa.com/view2/w2lDb0hLNvNDwc12)

อ่ะแถมๆๆๆเผื่อคนไม่เคยเห็น

asiazasd
30th April 2012, 20:16
ฮิตเลอร์ถึงคุณโหดร้ายเยี่ยงใด แต่รูปข้างบนทำให้ผมมองคุณในแง่ดียิ่งขึ้น

NotOFAlone
30th April 2012, 20:23
ชอบฝ่ายอักษะ มากว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร อะ

ผมว่าถ้าพวก อักษะครองโลกคุณคงไม่ได้มาพิมบน Internet แบบนี้หรอกนะผมว่าในความคิดตัวเอง

BenzdezzS
30th April 2012, 21:54
http://image.ohozaa.com/i/bf3/eCKF99.jpg (http://image.ohozaa.com/view2/w2lDb0hLNvNDwc12)

อ่ะแถมๆๆๆเผื่อคนไม่เคยเห็นเคยเห็นแล้วนะ ผมชอบนาซีมากกว่าสหรัฐ นะครับยอมรับเลยโดยส่วนตัว
แล้วก็ ยิ่งดูรูปนี้กี่ทีๆ ก็รู้สึกภูมิใจและคิดกับฮิตเลอร์ในแง่ดีหลายๆด้านเลย

bostion
30th April 2012, 22:08
พูดตรงๆน่ะ ถึงคุณมี รถถัง โคตรเทพยังไงโม้ว่า ผลิตไม่ทัน ถ้าทันก็ชนะ หรือ ยุทโธปกรณ์ อื่นๆ

แต่ประเทศเขาแพ้ครับ ผู้ชนะเท่านั้น มีสิทธิเขียนประวัติศาสตร์ แพ้ก็คือแพ้ครับ ไม่มีสิทธิพูด:rtfm:rtfm

[P]oky_alM0n
30th April 2012, 22:09
ฮิตเลอร์ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เลวร้ายไปหมดหรอก เขาเป็นถึงผู้นำของประเทศชาติ ก็ต้องมีความเด็ดขาด ไม่งั้นก็ปกครองประเทศไม่ได้ อีกอย่าง นาซี แพ้สงคราม
ฉะนั้นผู้ชนะสงครามย่อมได้เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์อยู่แล้ว

beesboy141
1st May 2012, 06:06
ความรู้ล้วนๆๆๆๆ

LoiiZiiy
1st May 2012, 06:14
พูดตรงๆน่ะ ถึงคุณมี รถถัง โคตรเทพยังไงโม้ว่า ผลิตไม่ทัน ถ้าทันก็ชนะ หรือ ยุทโธปกรณ์ อื่นๆ

แต่ประเทศเขาแพ้ครับ ผู้ชนะเท่านั้น มีสิทธิเขียนประวัติศาสตร์ แพ้ก็คือแพ้ครับ ไม่มีสิทธิพูด:rtfm:rtfm

Like เลยครับ

gog_2944
1st May 2012, 06:16
สมัยนาซีตอนที่เยอรมันปฏิวัตร ตอนนั้น ญี่ปุ่นมีส่วนร่วมด้วยนิครับ

Mercury
1st May 2012, 09:11
ขอเสริมต่ออีกหน่อย

http://upic.me/i/6r/800px-metro-maus12.jpg (http://upic.me/show/35183173)

http://upic.me/i/kt/ctq27.jpg (http://upic.me/show/27961900)

Panzerkampfwagen VIII Maus เป็นสุดยอดรถถังที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเยอรมันและรถถังต้นแบบได้สร้างมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรถถังรุ่นนี้ออกแบบมาเหมือนรถถังรุ่น VK7001/Porsche Type 205 ที่ออกแบบโดย เฟอร์ดินานด์ ปอร์เซ่ ( Ferdinand Porsche ) วิศวกรนักออกแบบ รถโฟล์คสวาเก้น ( Volkswagen ) และรถปอร์เซ่ ( Porsche ) ให้แก่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ในเดือนมิถุนายน 1942 และรถถัง Panzerkampfwagen VIII Maus คันต้นแบบคันแรกได้ก่อสร้างเสร็จเมื่อ 1943 ในช่วงแรกมันได้รับชื่อว่า Mammut ( แปลว่า ช้างแมมมอธ ) และมีการเปลี่ยนชื่อ เป็น Mauschen (แปลว่า หนูน้อย Little Mouse) ในเดือนธันวาคม 1942 และใช้ชื่อสุดท้ายว่า Maus ( แปลว่า หนู Mouse ) ในเดือนกุมภาพันธ์ 1943

คุณลักษณะของ รถถัง Panzerkampfwagen VIII Maus

- ตัวรถถังยาว 10.1 เมตร
- ตัวรถถังกว้าง 3.67 เมตร
- ตัวรถถังสูง 3.66 เมตร
- รถถัง หนัก 192 ตัน
- ปืนใหญ่หลัก ขนาด 128 มิลลิเมตร รุ่น KwK44L/55
- ปืนที่สอง ขนาด 75 มิลลิเมตร รุ่น Co-axial 75 mm KwK44L/36.5
- เครื่องยนต์ ดีเซล รุ่น MB517 ขนาด 1200 แรงม้า
- เกราะหนา 60 - 240 มิลลิเมตร
- ใช้ทหรารประจำการ 6 นาย
- ความเร็ว 13 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แต่รถถัง Panzerkampfwagen VIII Maus มีปัญหาในการนำมาใช้งานในสนามรบ เนื่องจากเครื่องยนต์มีกำลังไม่เพียงพอในการขับเคลื่อนรถถัง ซึ่งในการออกแบบรถถังควรจะสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกปัญหาสำคัญ ของรถถังรุ่นนี้คือเนื่องจาก น้ำหนักอันมากมายมหาศาล ทำให้มีสะพานไม่มากนักที่จะสามารถให้มันเคลื่อนที่ผ่านได้โดยไม่พังทลายและเนื่องจากปัญหาต่างๆนี้ ทำให้มันเป็นเพียงรถถังต้นแบบที่มีการผลิตมามาเพียง 2 คันเท่านั้น

เครดิต www.wowboom.blogspot.com