PDA

ดูเวอร์ชั่นเต็ม : Devil May Cry: Deadly Fortune 1



Devil-Dante
29th April 2012, 23:05
สวัสดีชาวJokerทุกคน เราเป็นสมาชิกใหม่ ฝากตัวด้วยน่อ
นิยายเรื่องนี้เราแปลเองเป็นเรื่องแรก เราชอบมากและ...ซื้อมาเก็บไว้เรียบร้อย
ถ้าสนใจก็อย่าลืมกันเข้ามาอ่านน่อ ขอบคุณจ้า

Now Loading............. Stage 6 (40%)




http://devils-lair.org/random/pictures/dmc4novel_cover.jpg





Stage 1 บทนำ


…Dante Side…

แสงจันทร์ลอยเด่นกลางฟากฟ้าราวกับม่านแสงบางๆที่กำลังห่อหุ้มอาณาจักรฟอร์ทูนน่ายามกลางคืนเช่นนี้ เป็นเรื่องยากที่จะพบผู้คนออกจากบ้าน เพราะเวลานี้ปีศาจมักปรากฏตัวบ่อยครั้ง ยิ่งคืนที่มีพระจันทร์แดงแห่งลางมรณะแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับสาวงามผมสีทองที่กำลังเดินอยู่บนถนนในขณะนี้แล้ว เรื่องงมงายนี้เลยกลายเป็นเรื่องโจ๊กไป ชุดหนังและกางเกงรัดรูปสีดำนั้น สำหรับผู้ที่มีใจศรัทธาในทางศาสนาของฟอร์ทูนน่าแล้ว ถือว่าเป็นชุดที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นมากและกำลังหยุดยืนอยู่ใต้ร่มไม้ริมถนนสายนั้นเอง

“ไม่คิดจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศหน่อยรึ” ทริชเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับการปรากฎตัวของชายอีกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ การแต่งกายด้วยชุดหนังสีแดงของชายคนนั้นก็ไม่เหมือนกับผู้คนที่อยู่ในฟอร์ทูนน่าเลยเช่นกัน

“ช่วยไม่ได้นิ ฉันเพิ่งจะมาถึงนะ เลยไม่ค่อยคุ้นกับอะไรมากนัก” ทริชถอนหายใจกับคำตอบ

“ช่างมันเถอะ นี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันนินะ ก่อนอื่น...เรามาสรุปเรื่องกันคร่าวๆก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ ชายคนนั้นมีชื่อว่า “ดันเต้” เดินทางมาจากสถานที่ห่างไกลจากฟอร์ทูนน่า เขาคือนักล่าปีศาจ

“ยังไงก็ขอแบบสั้น ง่าย ได้ใจความได้ไหม ฉันเหนื่อยกับการเดินทางไกลนะ” ดันเต้หันไปขอร้องทริช แต่คำพูดของเขากับท่าทางนั้นกลับตรงข้ามไม่ได้ดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลเลย แต่ทริชก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าดันเต้นั้นสมาธิสั้นกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป

“กลุ่มศาสนานี้มีการอัญเชิญปีศาจและนำเซลล์ปีศาจเหล่านั้นมาปลูกถ่ายกับมนุษย์ ผู้บงการเบื้องหลังคือ องค์ประมุขแห่งศาสนา”

“แล้วยังไงต่อ”

“เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือ การครอบครองโลก พวกเขาเพียงแค่เอาศาสนามาบังหน้าเท่านั้น ถ้าพูดกันตรงๆก็คือ เป็นกลุ่มคนชั่วกลุ่มหนึ่งดีๆนี้เอง แต่ดูเหมือนว่าทั้งตัวองค์ประมุขและผู้ติดตามทั้งหลายเชื่อว่า การกระทำของตนเองนั้นถูกต้อง โดยเอาเหตุผลที่ต้องการปกป้องโลกมาอ้างเท่านั้น”

“พวกเดิมๆอีกแล้ว เจ้าพวกนี้มีมาเรื่อยๆแหะ เมื่อไหร่จะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้สักที” ดันเต้ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

“ถ้านายไม่มีกระจิตกระใจจะทำ ให้ฉันจัดการเองก็ได้นะ” ทริชล้อดันเต้เล่นแล้วยิ้มหวาน ถึงดันเต้จะบ่นออกมาแบบนั้น แต่ทริชรู้ดีว่า ดันเต้ไม่มีทางทิ้งงานปราบปีศาจนี้ได้หรอก

“ฉันต้องทำอยู่แล้วน่ะ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำนี้” ดันเต้พูดถึงแผนการที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ทริชชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านทางด้านขวาของตนเอง “พรุ่งนี้ จะมีพิธีสรรเสริญสปาด้า ผู้ติดตามระดับสูงของศาสนาจะเข้าร่วมพิธี แน่นอนว่าองค์ประมุขด้วยเช่นกัน”

ดันเต้มองโรงละครโอเปร่าเบื้องหน้า แล้วจินตนาการถึงบรรยากาศภายในอาการได้ว่า คงมีบรรยากาศแบบโบราณที่เป็นเอกลักษณะของเมืองนี้แน่นอน เมืองนี้เป็นเมืองที่เลื่อมใส ศรัทธาในกลุ่มภาคีแห่งดาบ “สปาด้า”ด้วย ดังนั้นสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าคงมีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว

“แล้วไอ้งานสรรเสริญที่ว่าเนี้ย เขาทำอะไรกันล่ะ ถ้ามีการออกร้านขายของด้วยคงจะน่าสนุกไม่เบา” ดันเต้ถาม ทริชเอียงคอเล็กน้อย “รู้สึกจะไม่ใช่งานรื่นเริงแบบนั้นนะ งานเริ่มจากการร้องเพลงสรรเสริญสปาด้าของเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงก่อน จากนั้นองค์ประมุขก็ขึ้นมากล่าวถึงคำสอนต่างๆ จากนั้นทุกคนก็ร่วมกันขอพรจากสปาด้า แค่นี้เป็นอันจบพิธี”

“เฮ้อ แล้วไอ้งานแบบนี้มันสนุกตรงไหนล่ะเนี้ย” ดันเต้ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า

“พิธีนี้มีความสำคัญมากนะ ยิ่งใหญ่พอๆกับพิธีมิซาเลยที่เดียว”

“หืม....”ดูเหมือนว่าเรื่องปัญหากับข้อข้องใจเกี่ยวกับศาสนาจะไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าไหร่สำหรับดันเต้ เพราะเขาแค่รับคำเฉยๆ

“ประเด็นสำคัญคือ พรุ่งนี้ องค์ประมุขที่ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น จะออกมากล่าวคำสอนเองน่ะ”

“เป้าหมายคือองค์ประมุขซินะ”ดันเต้พูดพรางล้วงเอาปืนจากซองปืนเอนโวนี่ในเสื้อออกมาแล้วยิง เสียงกระสุนนั้นเหมือนเป็นเสียงเปียโนโหมโรงภารกิจใหม่ ปลอกกระสุนปืนกลิ้งตกลงมาตามพื้น ดันเต้หรี่ตามอง “แล้วองค์ประมุขอะไรนั้นน่ะ แน่ใจนะว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้วน่ะ” ทริชพยักหน้าให้กับคำถามนั้น จากนั้นเสียงเห่าหอนของหมาป่าภายใต้พระจันทร์แดงก็ดังขึ้นจากสถานที่อันไกลโผน


++++++++++++++++++++++++++++++


แจ้งอัพStage 2 กับสปอยเล็กน้อย...

“จะทำให้หลับลืมตื่นเลยพวกแก”

“ออกมาให้หมดแต่แรกเซ่ ฉันไม่ว่างมาเล่นซ่อนหากับพวกแกหรอกนะ”

“เรื่องประตูนรกนั้นไปถึงไหนแล้วละ”

น้ำจิ้มสำหรับตอนหน้านะจ้ะ กำหนดอัพ 5 พฤษภาคมน่อ
แจ้งอีกนิด อัพเดือนละครั้งน่อ เพราะแปลสด ต้องใช้เวลา(แอบไปแต่งนิยายด้วย ฮ่าๆๆ)

สุดท้าย....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะจ้ะ ขอบคุณทุกท่านเลยจ้ะ

kadajjang7
30th April 2012, 12:41
ว้าว มาแล้วๆ กำลังรออยู่เลยขอบคุณมากนะจ้า
เป็นกำลังใจให้ต่อไป สู้ๆ :)

atomza07
2nd May 2012, 13:24
โอ้วว ท่านชอบคุณมาก ผมอยากอ่านมากเลย เคยหาอ่านแต่ไม่เจอซักที ขอบคุณ ขอบคุณมากๆครับ

Devil-Dante
5th May 2012, 18:39
Devil May Cry: Deadly Fortune 1



Stage 02


…Nero side…

เมื่อตื่นขึ้น ก็พบว่ามือขวานั้น ยังคงเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่ที่มันเปลี่ยนไปเมื่อ1 เดือนก่อน แม้ว่าจะภาวนาให้มันเป็นความฝันสักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถหนีความจริงข้อนี้ไปไม่ได้ เมื่อแกะผ้าพันแผลออกก็จะเห็นผิวหนังที่มีเกล็ดแข็งและมีสีผิวที่ไม่มีเหมือนกับหนังมนุษย์หุ้มอยู่ มองแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า...นี้เป็นแขนตัวเองจริงๆรึ... มันขยับได้ดั่งใจนึก มีความรู้สึก แต่นี้...ใช่แขนของฉันจริงๆน่ะรึ... นี้เป็นคำถามที่ฉันต้องถามตัวเองทุกเช้าไปเสียแล้ว


พอคิดเช่นนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฉันรีบพันผ้าพันแผลปกปิดแขนขวาทันที ...จะให้ใครเห็นแขนนี้ไม่ได้ ถ้าเห็นเข้าล่ะก็...ตัวฉันก็คงไม่พ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นปีศาจเป็นแน่...


ปีศาจ...ใช่แล้ว...ปีศาจ แขนขวาของฉันตอนนี้ มองยังไงมันก็เป็นแขนของปีศาจไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น...

ฉันลงจากเตียงไปเปิดประตู พบว่าคีร์รี่ยืนรออยู่ ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น...เธอก็มาเยี่ยมฉันบ่อยๆ การมาเยี่ยมเยือนคนเจ็บก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ ความจริงแล้ววันนั้นเรื่องที่แขนขวาฉันบาดเจ็บมันเป็นเรื่องจริง แต่มันก็เป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องรักษาตัวกันเป็นเดือนๆเหมือนที่แกล้งเป็นอยู่นี้หรอก ตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่า ที่แขนเป็นแบบนี้อาจเป็นเพราะพิษของปีศาจหรืออาจเป็นเพราะความจริงแล้วตัวฉันเป็นปีศาจซะเองกันแน่


...รู้แต่เพียงว่า ยังไงซะ ฉันก็ไม่ยอมให้คีร์รี่เห็นแขนบ้าๆนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเธอต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ...

“อรุณสวัสดิ์ เนโร่” คีร์รี่ทักทายแล้วมองมาที่หัวของฉันจากนั้นก็ยิ้มและเอ่ยทัก “ผมกระดกแน่ะ”

“เพิ่งตื่นนินา”

“ต้องหวีให้เรียบร้อย วันนี้เป็นวันสำคัญไม่ใช่เหรอ” คีร์รี่พูดพรางลูบจัดทรงผมให้

“รู้แล้วน่ะ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันหวีของฉันเองได้”คีร์รี่ลดมือลง คงเป็นเพราะเธออายุมากกว่าผม 1 ปี เธอเลยมองผมเหมือนเด็กเสมอ

“ก็ได้ๆ แล้ว...แผลที่แขนขวาดีขึ้นบ้างรึยัง”เอถามแล้วมองมาที่แขนของผม ผมพยักหน้ารับ “ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่ใช่แผลสาหัสอะไรมากมายหรอก”

“แต่ว่า...ทำไมมันหายช้าจังล่ะ” เสียงบ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใยของคีร์รี่ทำให้ผมใจหายวูบ แต่ยังไงก็ตาม...ผมจะให้เธอเห็นแขนแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเห็นเข้าล่ะก็...เธอต้องเป็นห่วงมากกว่าเก่าแน่ๆ

“จะว่าไป...วันนี้เธอต้องขึ้นเวทีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปเตรียมตัวก่อนล่ะ” ผมถาม คีร์รี่ก้มหน้าลง “คือ...ฉันตื่นเต้นน่ะ”

วันนี้เป็นวันสรรเสริญอัศวินปีศาจสปาด้า จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง จัดแค่ครั้งเดียวก็ดีเหมือนกัน ถึงจะพูดว่าเป็นวันสรรเสริญเหมืองงานเทศกาล แต่ในงานก็แค่ฟังบทเพลงศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงแล้วฟังเทศนาจากองค์ประมุขแค่นั้น ปีนี้คีร์รี่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง ดันนั้น...ไปเป็นแค่ผู้ชมธรรมดาคงจะไม่ได้แล้วล่ะนะ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ แค่ร้องเหมือนที่ร้องทุกครั้งในโบสถ์ก็พอ”ผมปลอบใจ คีร์รี่เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแห้งๆ “มันไม่เหมือนกันนะ ครั้งนี้มีผู้ชมเป็นชาวเมืองทั้งเมืองนะ” คีร์รี่ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย ฉันต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ แต่...ไม่รู้จะพูดยังไงดีเนี้ยซิ...

“...แต่ว่า...การได้มาคุยกับเนโร่...ก็ทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ขอบคุณนะ” คีร์รี่คงรู้ว่าฉันพูดไม่เก่งเลยพูดแบบนี้ออกมา รู้สึกผิดยังไงไม่รู้ซิที่คีร์รี่ยังอุตส่าห์ขอบคุณแบบนี้

“ปีนี้เข้าร่วมงานนี้ด้วยใช่ไหม”

“รู้แล้วนา ต้องไปอยู่แล้ว”

พิธีสรรเสริญอัศวินปีศาจสปาด้าถือเป็นพิธีที่สำคัญมาก แต่ไม่ได้มีการบังคับให้ทุกคนต้องเข้าร่วมแต่อย่างใด ดังนั้นทุกๆปีฉันเลยไม่เคยเข้าร่วมสักหน ถ้าจะให้พูดกันตรงๆคือ ตัวฉันไม่ได้เลื่อมใสอะไรในศาสนาสักนิด ตรงกันข้าม...ฉันไม่สนใจในคำสอนอะไรนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกไปต่อหน้าคีร์รี่ที่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้าขนาดนั้น

“แล้วก็...พี่บอกว่า ในฐานะที่เป็นอัศวินของภาคีแห่งดาบ เธอควรจะไปปรากฏตัวสักครั้งหนึ่งนะ แล้วก็...พี่เค้าเรียกเธอด้วยน่ะ”

“เออ รู้แล้ว” ฉันพยักหน้ารับ จากนั้นคีร์รี่ก็เดินจากไป พอแน่ใจว่าเธอไปแน่แล้วฉันรีบปิดประตูทันที เพื่อรักษาความลับของแขนข้างนี้ วันนี้ต้องจัดการกับแขนข้างนี้ให้เรียบร้อย ถึงจะโล่งอกกับการแก้ปัญหาข้างต้นไปได้ แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี...แขนนี้จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไหมนะ...

ฉันแกะผ้าพันแผลออกอีกครั้ง แล้วพิจารณามัน แขนสีฟ้าขาวที่ดูเหมือนกับว่ามันมีชีวิตนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายฉันไปเสียแล้ว คงเป็นผลจากบาดแผลในตอนนั้นซินะ ตอนนั้น...เมื่อหนึ่งเดือนก่อน


-Nero Part Side-

เรื่องทั้งหมดเริ่มที่ป่านอกเมืองซึ่งเป็นบริเวณที่พบปีศาจออกอาละวาดบ่อยครั้ง การพบเห็นปีศาจที่นี้ไม่ได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์หรือแปลกประหลาดแต่อย่างใด คงเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับสปาด้าหรืออาจด้วยเหตุผลอื่นก็ได้ แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว เมืองฟอร์ทูนน่าแห่งนี้เป็นเมืองที่พบปีศาจได้บ่อยครั้งอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดตั้งกลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบขึ้นมาเพื่อรับมือปีศาจเหล่านั้นนั้นเอง

ประวัติการก่อตั้งกลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบเพื่อปกป้องประชาชนนั้นมีมานานแล้ว ปัจจุบันกลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบได้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มศาสนาระดับสูง มีลักษณะเด่นคือ พกดาบและสวมเครื่องแบบลักษณะเดียวกัน ซึ่งหากเทียบกับยุคปัจจุบันแล้วค่อนข้างจะขัดกันเล็กน้อย คงเพราะความยึดมั่นในประเพณีแบบแผนดั้งเดิมของที่นี้ล่ะนะ อีกทั้งการคงอยู่ของกลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบนั้น สามารถลดความหวาดกลัวของประชาชนต่อปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นภายในเมืองนั้นลดน้อยลง เพียงแจ้งไปยังกลุ่ม อัศวินก็จะออกปฏิบัติการกำจัดปีศาจเหล่านั้นทันที

เมื่อ 1 เดือนก่อนก็เหมือนกัน หลังจากเสร็จงานเล็กๆน้อยๆแล้ว เรื่องที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆจำนวนปีศาจออกอาละวาดนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ แม้ที่ผ่านมาจะมีให้พบเห็นหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ 1-2 ตัว ดังนั้น...ในวันนั้นอัศวินที่ต้องไปคุมกันในโบสถ์จึงมีถึง 3 คนด้วยกัน

ตอนนั้นฉันอยู่ในสำนักงานเล็กๆนอกเมือง ถึงฉันจะได้เป็นอัศวินในภาคีแห่งดาบแล้ว แต่เรื่องที่ให้ฉันเป็นคนรับผิดชอบก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนัก คนในกลุ่มภาคีด้วยกันเองก็ไม่ได้สนใจกันเองด้วย ยิ่งเป็นพวกที่ไม่ชอบระเบียบประเพณี แถมไม่ยอมใส่เครื่องแบบอย่างฉันแล้ว ทุกคนยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ อีกทั้งสำหรับชาวเมืองแล้ว ภาพพจน์ของภาคีแห่งดาบเปรียบเหมือนวีรบุรุษในสายตาพวกเขา ฉันเลยยิ่งห่างไกลความเป็นวีรบุรุษที่ทุกคนวาดไว้เข้าไปใหญ่

ด้วยเหตุนี้ภารกิจที่ฉันมักได้รับคืองานเดี่ยวที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น ยิ่งพวกภาคีดาบก็ไม่ค่อยแสดงตัวให้ใครเห็นแล้ว ยิ่งทำให้มีข่าวลือว่า แท้จริงแล้วคนที่ปราบปีศาจได้ก็คือชาวบ้านธรรมดานี้ล่ะ การออกอาละวาดของปีศาจนั้นมีอยู่บ่อยครั้ง แต่บางครั้งปีศาจเหล่านั้นก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์เช่นกัน เพื่อไม่ให้ชาวเมืองรับรู้ถึงความจริงข้อนี้ ทางภาคีแห่งดาบจึงต้องปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ

หากพูดถึงชาวเมืองฟอร์ทูนน่าแล้ว การออกอาละวาดของปีศาจนั้นไม่ได้สร้างความหวาดกลัวมากนัก เพราะพวกเขาเชื่อว่าความศรัทธาในตัวอัศวินปีศาจสปาด้านั้น จะทำให้บารมีของสปาด้าปกป้องคุ้มครองเขาจากปีศาจเหล่านั้น แต่หากคำอธิฐานของพวกเขาไม่เป็นผล จำนวนของปีศาจที่ปรากฏตัวออกมายังมีมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ศรัทธาของพวกเขาเสื่อมลง พวกเราเหล่าภาคีดาบเองก็ลำบากน่ะซิ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องปฏิบัติการแบบลับๆเพื่อให้ดูเหมือนกับคำอธิฐานเหล่านั้น ส่งผลให้ปีศาจไม่สามารถมาทำอันตรายพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้...เพื่อหลบลี้ผู้คนฉันเลยต้องปลีกตัวออกมาอยู่คนเดียวเงียบๆ

งานที่ฉันได้รับส่วนใหญ่จะเป็นงานลอบสังหาร ภาพพจน์ฉันเลยกลายเป็นเจ้าคนเล่นสกปรกไปเลย จริงอยู่ว่าการฆ่าคนเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัย แต่ปีศาจจำพวกที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ พอพลังหมดก็คืนร่างเนี้ย...ก็ไม่มีอยู่ในโลกนี้ซะด้วย มันเลยต้องฆ่าเพื่อความชัวร์ล่ะนะ และถ้าหากว่าจะต้องมีใครทำเรื่องแบบนี้ ฉันนี้ล่ะ ขออาสาทำเอง แต่ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว...คงเพราะไอ้งานอื่นนอกเหนือจากงานลักษณะนี้ เจ้าพวกหัวหน้าภาคีดาบก็ไม่ได้มอบหมายให้ฉันทำอยู่แล้วด้วยล่ะมั้ง เพราะงั้น...วันนั้นฉันเลยอยู่ที่ทำงานเพื่อรองานลอบสังหารไงล่ะ

ตอนนั้นฉันกำลังง่วนอยู่กับปืนที่ถือเป็นงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งของฉันอยู่พอดี จะว่าไปแล้วเพราะเจ้าปืนกระบอกนี้ล่ะที่ทำให้ทางหัวหน้าผู้บริหารของภาคีดาบเหม็นขี้หน้าฉัน ในนามของภาคีแห่งดาบ “ดาบ”ก็คือสัญลักษณ์ของศาสนานี้เอง เพราะตามตำนานกล่าวว่า สปาด้า เทพที่เรานับถือกันอยู่นั้น เพียงตวัดดาบก็สามารถทำลายปีศาจได้ทั้งกองทัพ จากอิทธิพลของตำนานนี้ทำให้ทางภาคีดาบมีแนวคิดที่ว่า “อาวุธประจำตัวของอัศวิน ควรเป็นดาบที่ใช้ในการทำลายล้างปีศาจ” นั้นเอง และมองว่าอาวุธสมัยใหม่อย่างปืนนั้น ถือเป็นเรื่องผิด เป็นอาวุธนอกรีต เพราะเรื่องนี้พวกรุ่นพี่ทั้งหลายในภาคีแห่งดาบถึงได้ประณามฉัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ถ้าฉันจะใช้ก็ไม่มีใครมาห้ามฉันได้หรอก...

พอปฎิเสธออกไปก็กลายเป็นว่า สาเหตุที่ฉันเอาชนะปีศาจไม่ได้เพราะใช้ปืนเป็นอาวุธนี้ล่ะ แต่ถ้าจะให้พูดตามตรงมันก็ถูกนะ ตรงที่ว่าปืนธรรมดาทำอะไรปีศาจไม่ได้หรอก ด้วยเหตุนี้ฉันเลยต้องปรับแต่งปืนใหม่อยู่ในสำนักงานนี้ไง ฟอร์ทูนน่าเองก็ไม่มีใครประกอบปืนเป็นด้วย ก็เลยต้องปรับแต่งกันเองล่ะนะ

ปืนที่ฉันใช้อยู่นั้น เดิมเป็นปืนรีวอลเวอร์ที่มีปากกระบอกกว้าง โดยฉันได้ปรับเปลี่ยนใหม่ให้ปากกระบอกมี2ลำกล้อง ซึ่งต้นแบบได้รับอิทธิพลจากปืนขนาด2บาเรนชนิดเดอร์ริงเจอร์ เพียงแต่ว่าปืนเดอร์ริงเจอร์ยิงปีศาจได้แค่ทีละนัด แต่ปืนของฉันนั้นยิงได้2 นัดในเวลาใกล้เคียงกัน และผลจากการได้ลองประกอบแบบลองผิดลองถูกมามาก เลยทำให้ได้ข้อสรุปว่าปืนที่ฉันดัดแปลงนี้เลยมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดอร์ริงค์เจอร์ธรรมดามาก เนื่องด้วยพลังทำลายของปืนกระบอกนี้มีมากกว่านั้นเอง การที่สามารถยิงได้2นัดในเวลาใกล้เคียงกันนั้น ถือเป็นข้อดีของปืนฉัน แม้ว่าการยิงออกไปแต่ละนัดมีระยะเวลาห่างกันเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที แต่พลังการโจมตีในแต่ละนัดนั้นต่างกัน

ในบรรดาปีศาจทั้งหลาย มีปีศาจจำพวกที่มีร่างกายเป็นลักษณะเปลือกแข็งหุ้มอยู่ด้วย ปืนประเภทอื่นอย่างช็อตกันที่ใช้ในการล่าสัตว์ มีประสิทธิภาพในการยิงศัตรูที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว หากยิงในระยะเผาขนอาจสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้มาก แต่ถ้าอยู่ในระยะไกลออกไปก็สามารถทำความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นนกเป็ดน้ำรึพวกกวางก็ว่าไปอย่างล่ะนะ ดังนั้นถ้าจะเอามาใช้ในสถานการณ์จริงคงต้องมีการปรับปรุงปืนใหม่ทั้งหมด แน่นอนว่าปืนไรเฟิลเองก็มีพลังโจมตีเป้าหมายสูง แม้ว่าเป้าหมายจะอยู่ในระยะไกลพลังการโจมตีก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่ว่า...เราไม่มีเวลามาเซ็ตปืนใหม่ทุกครั้งและต้องมาค่อยกำจัดไปทีละตัวๆ อีกทั้งไรเฟิลมีขนาดใหญ่ทำให้พกพาได้ไม่สะดวกด้วย เคยคิดที่จะใช้มิสไซร์รันเชอร์อยู่เหมือนกัน แต่มันอาจกลายเป็นการกระทำเกิดกว่าเหตุ(หรือที่เรียกง่ายๆว่า ไอ้บ้า)ก็ได้ ขืนทำแบบนั้นจริง ทางภาคีแห่งดาบคงตั้งข้อหาแถมด่าฉันยกใหญ่ในเรื่อง “กว่าจะปราบปีศาจได้ เมืองทั้งเมืองก็พินาศไปซะก่อน” แน่ๆ ไอ้ครั้นจะให้มายิงปีศาจทิ้งทีละตัวสองตัวมันก็กระไรอยู่ เลยตัดสินใจว่า ปืนควรจะเป็นปืนแบบแฮนด์กันดีกว่า

เป็นปืนที่พกพาง่าย สะดวกในการต่อสู้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามีปีศาจบางประเภทที่ยิงด้วยแฮนด์กันนี้ไม่เข้าอยู่เนี้ยซิ เลยต้องมาคำนึงถึงบาร์เรลกันอีกที ไทม์แลงค์ของกระสุนปืนขึ้นอยู่กับประเภทและลักษณะการใช้งาน อย่างประเภทแรกคือกระสุนชนิดที่สามารถสร้างความเสียหายกับศัตรูได้มาก กระสุนชนิดนี้เน้นการเจาะเกราะแข็งบนร่างกาย สร้างความเสียหายทางกายภาพได้ดีเท่านั้น(ถ้าเป็นพวกปีศาจระดับกระจอกก็คงถึงตายอยู่) ส่วนกระสุนประเภทที่สองเป็นกระสุนที่มีพลังทะลุทะลวงสูง กระสุนนี้จึงเป็นกระสุนนัดที่สองที่จะเข้าไปต่อยอดเพื่อสังหารศัตรู ไม่ว่าจะเป็นศัตรูแบบไหนถ้าโดนยิงซ้ำในจุดที่บาดเจ็บก็ต้องถึงแก่ชีวิตได้ล่ะนะ

แต่ในทางกลับกัน การควบคุมกระสุนที่มีอานุภาพขนาดนี้ให้ยิงเข้าเป้าในจุดเดียวกันถือเป็นจุดที่ค่อนข้างยากและท้าทาย แต่จากที่ได้ทดสอบกับสถานการณ์จริงมา ทำให้รู้แนวทางที่จะทำให้การยิงลักษณะนี้เป็นไปได้ ดังนั้นปืนที่ฉันดัดแปลงขึ้นมานี้จึงสามารถต่อกรกับปีศาจพวกนั้นได้แล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่ยากอีกส่วนหนึ่งคือ การเซตชิลเดอร์ให้สามารถยิงกระสุนได้สองนัด อีกทั้งการเซตระบบควิกโหลดเดอร์ให้ทำงานได้เร็วขึ้นอีก ถ้าใช้ระบบออร์โต แมชชีนอาจจะง่ายกว่า แต่ความสามารถของฉันยังไม่ถึงขั้นนั้นน่ะซิ ถึงจะฝีมือดีกว่าคนอื่นมันก็ไม่ถึงกับขั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญหรอกนะ

วันนั้น...ฉันก็กำลังง่วนอยู่กับเรื่องปืนนี้ล่ะ การปรับแต่งน่ะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือแค่สลักลวดลายลงไปเท่านั้น ถึงการสลักลายจะไม่ได้มีส่วนให้ปืนมีอานุภาพการทำลายสูงขึ้น แต่มันก็แสดงถึงความผูกพันระหว่างปืนกับเจ้าของล่ะนะ

ฉันตั้งชื่อปืนตัวเองว่า “Blue Rose” เพราะกุหลาบสีน้ำเงินนั้น ทางเชิงพันธุ์วิทยาไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้ ปืนของฉันเองก็เช่นกัน มันเป็นปืนที่สร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับปีศาจโดยเฉพาะและสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ดังนั้นฉันเลยคิดว่าชื่อนี้ล่ะ เหมาะสมที่สุดแล้ว ตอนนี้ก็เลยสลักรูปดอกกุหลาบสีน้ำเงินลงไปนี้ล่ะ เวลาสลักต้องออกแรงในการสลักไม่พอยังต้องระวังไม่ให้ปืนทะลุด้วย เกร็งจนมือขวาเหงื่อท้วมเลย


...ใช่แล้วล่ะ มือขวาของฉัน มือขวาของฉันในตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนเป็นแขนปีศาจแบบนี้...

หลังจากสลักปืนเสร็จ รู้ตัวอีกทีก็เย็นซะแล้ว ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเชสเตอร์ก็เปิดประตูสำนักงานเข้ามา เชสเตอร์เคยดูแลฉันตอนฉันอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า อายุของเธอไม่แน่ชัด เธอก็เป็นแบบนี้ของเธอมาตั้งแต่ผมเด็กๆ แถมเรื่องของเธอยังครุ่นเครืออีกด้วย ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในนักบุญผู้เคร่งครัดของภาคีแห่งดาบ เธอสวมชุดเดรสสบายๆเดินเข้ามาแล้วมองมาทางผม

“เนโร่!!!!!”

...จะเทศน์อะไรฉันอีกล่ะ... ฉันคิด เธอเอาแต่ดุด่าผมมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาแล้ว เธอก็ยังดุผมเหมือนเดิม นั้นก็คงเพราะชื่อเสียงไม่ค่อยดีของผมคงจะลอยเข้าหูเธอด้วยล่ะมั้ง ก็มีเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้วนินะ

“...เชสเตอร์ ถ้าจะเทศน์ล่ะก็เอาไว้ที่หลังเหอะนะ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นไม่ใช่เหรอ”ฉันถอดแว่นกันสะเก็ดไฟออก เชสเตอร์พยักหน้าและหอบหายใจ...ดูท่าจะไม่ได้มาเทศนาซะแล้วซะแล้วซิ...

“เกิดอะไรขึ้น” ฉันวางเครื่องสลักลงแล้วปราดเข้าไปหาเชสเตอร์ เธอแตะไหล่ “คีร์รี่...ในป่า...คีร์รี่...”

วันนั้นคีร์รี่บอกว่าจะพาพวกเด็กๆในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปเที่ยวในป่ามิทริส เธอเองก็ชวนฉันไปเหมือนกัน แต่ฉันไม่ค่อยจะถูกกับเด็กๆสักเท่าไหร่เลยไม่ได้ไปด้วย

“ในป่า...ในป่าทำไมรึ ก็ไปเดินเที่ยวตามปกติไม่ใช่เหรอ”เชสเตอร์ส่ายหัว “ในป่า...ในป่ามีปีศาจปรากฎตัวออกมา ถึงจะมีอัศวินไปด้วย แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะฉะนั้น...เนโร่ ฉันอยากให้เธอไปช่วยเขาอีกแรง”

เพราะอาการเหนื่อยหอบจึงทำให้เชสเตอร์ต้องอาศัยไหล่ผมเป็นที่ค้ำกายและกล่าวข้อร้องด้วยคำพูดที่ติดๆขัดๆแบบนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นอัศวินภาคีแห่งดาบ เมื่อถูกขอร้องมาก็ต้องเข้าช่วยเหรอ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคีร์รี่แบบนี้แล้วยิ่งไม่ต้องปฏิเสธ

“เข้าใจล่ะ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

“ขอบใจนะเนโร่...ฝากดูแลพวกเด็กๆด้วย ถ้าเด็กพวกนั้นเป็นอะไรไป...ฉันคง...” ฉันรู้ดีว่าสำหรับเธอแล้วเด็กๆเหล่านั้นมีความสำคัญและผูกพันกับเธอมากแค่ไหน

ฉันทิ้งเครื่องสลักไว้ตรงนั้นและเก็บปืนเข้าซองปืน จากนั้นก็เดินไปหยิบดาบ Red Queen ตรงมุมสำนักงาน ถึงดาบเล่มนี้จะเป็นดาบปราบปีศาจที่ได้รับจากภาคีแห่งดาบมา แต่ดาบนี้ก็ได้รับการปรับปรุงเป็นพิเศษเช่นเดียวกับ Blue Rose ประสิทธิภาพจึงสูงกว่าดาบทั่วไป

“ระวังตัวด้วยนะเนโร่...ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ”เชสเตอร์กล่าวพร้อมกับมองแผ่นหลังของฉันที่หายลับออกไป

...พระเจ้างั้นเหรอ ถ้าพระเจ้ามีจริง โลกนี้ก็คงไม่มีคนอย่างพวกฉันหรอก...ฉันคิดเช่นนั้นพร้อมกับรีบมุ่งหน้าไปยังป่ามิทรีส ดูเหมือนว่าปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองนี้จะมาจากป่าแห่งนี้ เนื่องจากพื้นที่ป่ากับตัวเมืองไม่ห่างกันมากนัก เราใช้ประสบการณ์ในการตัดสินเหตุผลนี้จากประสบการณ์ที่ว่าเวลาที่มีผู้คนพลุกพล่านก็ไม่เห็นจะปรากฏตัวของปีศาจ การเคลื่อนไหวก็ไม่แน่นอน ดูแล้วไม่น่าจะจู่ๆก็โผล่เข้ามาในเมืองได้ และเราก็มีมาตรการรับมือโดยการแจ้งให้ชาวบ้านเข้าไปหลบในบ้านของตนเองเมื่อมีปีศาจปรากฎตัวออกมาหรือหากคนใดอยู่ด้านนอกให้รีบเข้าไปหลบยังที่ปลอดภัยที่จัดเตรียมไว้ให้ โดยไม่จำเป็นต้องจูงกันวิ่งกลับบ้านหรือวิ่งหนีเอาเป็นเอาตายเพื่อกลับไปหลบที่บ้านตนเอง อีกทั้ง...ภายในเมืองยังมีหอสังเกตการณ์ตรวจดูความเคลื่อนไหวของปีศาจภายในเมือง แต่ด้วยระยะห่างจากหอสังเกตการณ์ไปถึงเป้าหมายก็ค่อนข้างไกล จะใช้อาวุธปืนเล็งยิงก็เสี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด จึงต้องไปยังที่เกิดเหตุเพื่อปราบปีศาจโดยทันที

สำหรับผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมือง อาจไม่คุ้นเคยกับเสียงการต่อสู้ของปีศาจกับอัศวินก็เป็นได้ เนื่องจากเรามีดาบพิเศษที่ใช้สังหารปีศาจ ลักษณะเหมือนRed Queen ของฉันแต่ชื่อจริงๆของมันคือ Exceed เป็นดาบที่สร้างขึ้นโดยนักประดิษฐ์และค้นคว้าของภาคีแห่งดาบ ด้ามดาบถูกดัดแปลงให้มีแอคเซตเหมือนมอเตอร์ไซค์ เมื่อบิดคันเร่งจะทำให้เกิดพลังงานความร้อนที่ตัวดาบ อีกทั้งยังมี****เรเบอร์ที่ใช้ในการเพิ่มแรงเหวี่ยงของดาบด้วย ด้วยเหตุนี้ดาบExceedจึงมีเสียงเหมือนเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซค์นั้นเอง และเสียงที่ผมได้ยินตอนนี้ ก็คงจะเป็นเสียงของExceed ไม่ผิดแน่

จากจุดที่ฉันอยู่ยังไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้เบื้องหน้าได้ แต่จากเสียงที่ได้ยินนี้ล่ะบ่งบอกได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุต้องอยู่ใกล้ๆนี้แน่นอน
...คีร์รี่ยังอยู่ในป่าหรืออยู่กับพวกอัศวินแล้วกันแน่นะ...

ถึงจะยังตรวจสอบหรือยืนยันอะไรไม่ได้ แต่ฉันก็ยังตรงไปจุดเกิดเหตุ มือขวาจับRed Queen ส่วนมือซ้ายถือBlue Roseเตรียมพร้อมไว้ เสียงของExceedและเสียงร้องไห้ของพวกเด็กๆดังขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้โล่งใจไปเปราะหนึ่งว่า ตอนนี้พวกคีร์รี่หนีออกมาจากป่าพร้อมกับกลุ่มอัศวินมาจนถึงเขตเมืองได้แล้ว แต่ยังไงซะ...ก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่แหะ

ฉันวิ่งมาจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ถนัดแล้ว ตรงนั้นมีอัศวินภาคีแห่งดาบ 3 คนกำลังคุ้มครองพวกคีร์รี่อยู่ ประเมินจากสายตาแล้วทุกคนดูปลอดภัยดี มีอัศวินคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บด้วยแหะ เพราะเสื้อที่เขาสวมอยู่มีรอยเลือดซึมออกมา แต่เขาสวมฮูดคลุมอยู่เลยไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เท่าที่ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว...น่าจะเป็นทีมของโจชู กลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบมีการสวมฮูดเพื่อปกปิดใบหน้า แต่ถ้าสังเกตจากจุดเล็กๆน้อยๆที่ปรากฏออกมาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นใคร ถึงได้สรุปได้ว่าทีมของนี้ต้องเป็นทีมของโจชูที่ประกอบไปด้วย โทเนโอ้,สกัล,โจชูแน่ๆ ซึ่งผมกับคนกลุ่มนี้เข้าเป็นอัศวินในภาคีแห่งดาบปีเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ถึงโดยส่วนตัวจะไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าไหร่แต่จะไม่เข้าไปช่วยก็คงไม่ดูไม่ดี

ศัตรูคือสเกลโคร์ว ปีศาจที่มีแมลงจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ในหุ่นถุงกระสอบ จากประสบการณ์แล้ว...ถ้ามีแค่ 2-3 ตัวก็คงไม่วุ่นวายกันขนาดนี้ ดังนั้นที่พวกโจชูสู้อยู่นั้น เท่าที่ประเมินจากสายตาน่าจะมีประมาณ 30 ตัวเห็นจะได้ ถ้าเทียบแล้วระดับของพวกนั้นกับโจชูมันคนละระดับกันเลย ฉันเองถึงจะเคยรู้และประสบอะไรมามาก แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีจำนวนปีศาจมากเท่าครั้งนี้มาก่อน

มีสเกลโคร์วตัวหนึ่งกำลังกระโดดจากด้านหลังเข้าโจมตีพวกโจชู ดูเหมือนสกัลกับโทเนโอ้เองก็มัวแต่สู้กับศัตรูตรงหน้าจนไม่ทันมอง แบบนี้พวกเด็กๆได้รับบาดเจ็บแน่...ไม่มีเวลาแล้ว...

“หมอบลงโจชู” ผมกระโดดลงไปพร้อมชักปืนขึ้นยิงสเกลโคร์วนั้น โจชูที่ได้ยินเสียงร้องเตือนก็หันมาแล้วหมอบลงทันที เพราะแรงยิงสูง มือซ้ายที่ใช้ยิงจึงสะบัดขึ้นตามแรงปืน กระสุนที่ยิงออกไปเกือบจะพร้อมกันทั้งสองนัดนั้น พุ่งเข้าใส่และตัวของมันก็ค่อยๆขยายใหญ่และแตกออก

“มาทำอะไรที่นี้ เนโร่” โทเนโอ้ที่เป็นหัวหน้าทีมซักปีศาจตรงหน้ากระเด็นออกไปแล้วหันมาตะโกนถาม ระหว่างนั้นสเกลโคร์วตัวอื่นก็เข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง

“นี้ใช่เวลาถามรึไง เอาเป็นว่าตรงนี้ฉันจะจัดการเอง ฝากพวกนายจัดการทางโน้นด้วยล่ะ” ฉันตะโกนบอกโทเนโอ้ที่คุ้มกันเด็กๆอยู่

“เนโร่!” คีร์รี่ตะโกนเรียก แต่นี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนทนาอะไรกันนินะ

“หมอบลง!! คีร์รี่ อยู่ตรงนั้นก่อนนะ อีกเดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว” ฉันตะโกนบอกพร้อมกับก้มตัวลงแล้วชัก Red Queen แล้วบิดคันเร่งเพื่อเพิ่มพลังการโจมตีให้กับดาบ แต่การที่จะสร้างประสิทธิภาพของดาบให้ทัดเทียมกับดาบที่สามารถทำลายศัตรูทั้งกองทัพได้ในครั้งเดียวนั้น จำเป็นต้องอาศัยการชาร์ตExceedสะสมไว้ให้ได้มากๆ ไม่ใช่การชาร์ตเพียงครั้งเดียว จุดนี้ล่ะที่ดาบExceedทั่วไปแตกต่างกับRed Queen เพราะ Red Queenของฉันมีขีดจำกัดในการชาร์ตสะสมพลังสูงกว่า กล่าวคือดาบของฉันสามารถชาร์ตได้หลายครั้ง ในขณะที่Exceedชาร์ตได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

แน่นอนว่าพลังโจมตีสูงยิ่งต้องควบคุมได้ยาก แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาของฉัน นอกจากพลังการโจมตีสูงแล้วเปอร์เซ็นต์ในการพ่ายแพ้จะมีน้อยแล้ว ในทางกลับกัน...พลังที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นก็ทำให้เกิดการรั่วไหลของไฟออกมาระหว่างการชาร์ตด้วย ถ้าเป็นคนธรรมดาใช้มันหรืออยู่ในระยะใกล้ละก็...อาจโดนไฟลวกมือเอาก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่สามารถใช้Red Queen ในสถานการ์ที่มีพวกคีร์รี่อยู่ใกล้ๆแบบนี้ได้ แต่จะให้ใช้ปืนกับศัตรูที่มีจำนวนมากขนาดนี้ก็คงไม่ไหว ถ้าจะให้เก็บกวาดได้เร็วขึ้น ต้องเปิดทางเพื่อเบี่ยงพื้นที่ไปในทิศทางอื่นก่อน ฉันซัดสเกลโคร์วให้กระเด็นออกไปแล้ววิ่งออกไปทางนั้นแล้วกลับตัวหันไปยิงสเกลโคร์วใกล้ๆนั้นอีกตัว

...ระยะยังห่างไม่พอ...เพื่อสร้างระยะห่างจากกลุ่มคีร์รี่ให้มากขึ้น ฉันบิดคันเร่งของExceedไปซัดสเกลโคร์วที่อยู่ตรงหน้าไป จนได้ระยะซึ่งตรงกับจังหวะที่สเกลโคร์วนับสิบก็กระโจนเข้าโจมตีพร้อมกัน

“อย่างงี้ก็สวยเซ่”

....แบบนี้ล่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องกังวลถึงพวกคีร์รี่... ฉันบีบ****ของExceedแล้วเหวี่ยงดาบออกไป ด้วยแรงเหวี่ยงที่เพิ่มขึ้นทำให้สเกลโคร์วทั้งหมดกระเด็นออกไปหมด

ถ้าเป็นExceedทั่วไปคงทำให้กระเด็นได้แค่ตัวสองตัว แต่ต่อหน้าRed Queen เล่มนี้ จะมาสัก10ตัว 20ตัว ก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว...

“จะทำให้หลับลืมตื่นเลยพวกแก” ฉันบิดคันเร่งExceed ไอร้อนสามารถสกัดสเกลโคร์วได้หลายตัว เมื่อเหวี่ยงออกไปทำให้สเกลโคร์วที่อยู่หน้าสุดโดนฟันจนร่างกายแตกออกเป็นหมอกสีดำ สีดำนั้นก็คือเลือดของมัน ดูแล้วเหมือนเลือดของพวกแมลงปีศาจสกปรกเลยแหะ

ส่วนคีร์รี่ที่อยู่กับพวกเด็กๆ เธอพยายามเอาตัวบังเด็กๆพวกนั้นไว้ เอเป็นคนที่ไม่เคยห่วงตัวเอง นึกถึงความปลอดภัยของคนอื่นก่อนเสมอ ซึ่งนั้นเป็นข้อดีของเธอ แต่มันก็ทำให้ฉันอดห่วงไม่ได้ว่า เธอจะได้รับบาดเจ็บรึเปล่า ฉันไล่ยิงสเกลโคร์วไปทีละตัวๆพรางถอยกลับไปหากลุ่มของคีร์รี่ ส่วนโจชูเองก็ดูเหมือนจะเก็บกวาดทางโน้นหมดแล้ว

“แค่นี้เองเหรอ” พอพูดแบบนี้ โทเนโอ้ก็ดึงฮูดออกแล้วหันมาทำตาดุใส่ “งั้นมั้ง...มันใช่เวลามาถามคำถามงี่เง่านี้รึไง ประเด็นคือนายมาอยู่นี้ได้ไงต่างหาก”

โทเนโอ้เป็นคนที่จริงจังที่สุดในหมู่อัศวิน เขาไม่ค่อยชอบหน้าฉันอยู่แล้วด้วย ดังนั้นฉันเลยไม่ค่อยอยากจะต่อปากต่อคำกับเขาเท่าไหร่ แต่แหม...พูดแบบนี้กับคนที่อุตส่าห์มาช่วยเนี้ย ไม่เกินไปหน่อยมั้ง...

“...มาเดินเล่น...” ฉันหยักไหล่ โทเนโอ้ทำตาดุอีกรอบ “รู้ไว้ซะด้วยว่า...ถึงแกไม่มาพวกฉันก็จัดการเองได้”

“งั้นมั้ง...แต่ว่า...ตรงนี้มีคีร์รี่กับพวกเด็กๆอยู่ จะให้เดินผ่านไปเฉยๆคงไม่ได้วะ” พอตอบไปแบบนั้น โทเนโอ้ก็เหมือนจะพูดอะไรกับฉัน แต่ก็เงียบไปซะอย่างนั้น ความจริงฉันก็ไม่ได้จะบอกว่าพวกโทเนโอ้เป็นตัวเกะกะรึอ่อนหัดหรอกนะ เพียงแค่ฉันอยากจะช่วยคีร์รี่เท่านั้นเอง ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า...ฉันมาแย่งผลงานไปจากพวกเขาซะงั้น...ฉันหยักไหล่ปลงๆ

ในกลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบ พวกที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อให้ตนเองได้กลายเป็นผู้กล้าถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์อย่างพวกโทเนโอ้ก็มีไม่ใช่น้อย พวกนั้นหวังว่าวีรกรรมของพวกเขาจะถูกกล่าวขานจนถึงคนรุ่นหลัง และถูกส่งต่อไปรุ่นต่อรุ่น ดังนั้น...การที่มีคนมาแย่งผลงานแบบนี้ จึงเป็นเรื่องที่พวกโทเนโอ้ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด

สำหรับฉันแล้ว ไอ้วีรกรรมของสปาด้าหรือตำนานงมงายอะไรนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องหน้าพิสมัยอะไรหรอกนะ แต่สำหรับพวกโทโนโอ้หรืออัศวินคนอื่นๆในภาคีเนี้ยซิ บอกได้เลยว่าพวกเขาเชื่อและถึงขั้นยกสปาด้าเป็นเทพเจ้าของพวกเขาเลยล่ะ พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาต้องต่อสู้กับปีศาจเพื่อปกป้องมนุษย์ให้ได้เหมือนกับสปาด้า แต่สำหรับผมแล้ว...ก่อนจะได้ชื่อเสียงเกียร์ติยศอะไรนั้น ฉันขอแค่ได้รับคำชมจากคีร์รี่สักคำสองคำก่อนก็แล้วกัน...

คิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆฉันและพวกโทเนโอ้ก็รู้สึกถึงไอปีศาจรุนแรง พวกคีร์รี่เองก็ดูแตกตื่นกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ฉันจึงหันไปบอกคีร์รี่ “ไปเร็ว”

คีร์รี่และพวกโทเนโอ้พยักหน้า พวกเขาพาเด็กๆล่วงหน้าไปก่อนโดยมีผมค่อยระวังหลังให้ ซึ่งฉันก็หันไปมองโจชูที่บาดเจ็บอยู่เป็นระยะๆ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” คีร์รี่ที่เห็นรอยเลือดซึมออกมาจากชุดของโจชูเช่นกันถาม จากนั้นเธอก็ดึงแขนเสื้อจนขาดเพื่อนำมันมาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้โจชู ฉันได้แต่ถอนหายใจให้กับการกระทำของเธอ

คีร์รี่มักจะห่วงคนอื่นมากกว่าตนเองเสมอ ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง คอยแต่จะเอาใจใส่คนอื่น และดูแลเป็นอย่างดี จนมีคนในกลุ่มอัศวินภาคีแห่งดาบพูดว่า “เธอคงจะเป็นเทพธิดามาโปรดซินะ”

ดูเหมือนว่าคีร์รี่ น้องสาวของหัวหน้าอัศวินภาคีดาบ เครโด้ จะเป็นที่รู้จักกว้างขวางในกลุ่มอัศวิน เพราะนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความใจดีแล้ว เธอมักจะไปเยี่ยมอัศวินที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้บ่อยๆด้วย

“ขอโทษนะ เพราะพวกฉันแท้ๆ คุณถึงได้รับบาดเจ็บแบบนี้” คีร์รี่กล่าวในขณะที่เธอกำลังทำแผลให้โจชู โจชูดูเหมือนจะเขินอายเลยหันหน้าหนีไปทางอื่น ขณะนั้นเองที่เท้าของคีร์รี่ก็เหมือนมีแสงสว่างออกมา นั้นก็คือ...วงเวทปีศาจ...

วงเวทปีศาจเป็นประตูที่นำปีศาจมายังโลกมนุษย์ แต่วงเวทนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ ต้องมีพลังปีศาจที่บิดเบือนมิติหรือไม่ก็ผู้อัญเชิญอยู่เบื้องหลัง...

เพราะมัวแต่คิดเช่นนี้ รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว สิ่งที่โผล่ออกมาจากวงเวทนั้น ไม่ใช่สเกลโคร์ว เป็นปีศาจที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะเหมือนกิ้งก่า แต่ยืนด้วยขาสองข้าง สวมสิ่งที่มีลักษณะเหมือนหมวกอยู่บนหัว ที่แขนมีโล่ป้องกันกลมๆติดอยู่ ซึ่งจากการสังเกตนี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า...ต้องเป็นปีศาจที่อยู่ในระดับสูงกว่าสเกลโคร์วอย่างแน่นอน

“หนีเร็ว คีร์รี่” สิ้นเสียงปีศาจที่มีลักษณะเหมือนกิ้งก่านั้นก็กระโจนขึ้นจากพื้นดิน และพุ่งเข้าโจมตีคีร์รี่ แต่ก็ถูกโจชูสกัดไว้ได้ทัน ทำให้คีร์รี่ไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่เพราะโจชูในสภาพที่บาดเจ็บจึงถูกกรงเล็บของปีศาจซัดจนกระเด็นกลับไป โจชูกระอักเลือดออกมา เลือดนั้นกระเด็นใส่หน้าของคีร์รี่ อีกทั้งบาดแผลที่คีร์รี่เพิ่งปฐมพยาบาลให้ยังฉีกอกเพราะแรงสะเทือนด้วย ตอนนั้นเองเจ้ากิ้งก่านั้นก็ฉวยโอกาสพุ่งโจมตีด้วยกรงเล็บนั้น

“คีร์รี่!!!” ระยะห่างระหว่างคีร์รี่กับปีศาจนั้นใกล้เกินไป ทำให้ใช้ปืนไม่ได้ เพราะเปอร์เซนต์ที่จะยิงถูกคีร์รี่มีสูง แต่จะให้กระโดดเข้าไปช่วยตอนนี้ก็คงไม่ทันเหมือนกัน...

ฉันตัดสินใจชักเรดควีนออกมาแล้วตัดสินใจที่จะใช้แรงส่งที่เกิดจากความร้อนของดาบพุ่งเข้าไปขวางไว้ ถึงจะไม่ค่อยอยากจะใช้แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วล่ะ

“คีร์รี่!!!” ฉันบีบ****เรเบอร์เร่งความร้อนสะสมไว้ที่ตัวดาบ ...จะมามัวคิดถึงเรื่องละเอียดยิบย่อยอย่างความเป็นไปได้รึไหมนั้นแล้ว...คิดแค่ว่าทำยังไงถึงจะเข้าไปขวางได้ทันเท่านั้น...

พอฉันพุ่งเข้าไปขวางการโจมตีได้สำเร็จ เจ้าปีศาจนั้นก็หันมาเล่นงานฉันแทน โดนการง้างกรงเล็บขึ้นเตรียมจะตะปบ จะตวัดดาบขึ้นป้องกันก็ไม่ทัน ฉันเลยยกแขนขวาขึ้นกันการโจมตีนั้น กรงเล็บนั้นฝังลงบนแขนจนเจ็บแปล๊บไปหมด

“เนโร่!!!” คีร์รี่ร้องออกมาด้วยความตกใจ จังหวะนั้นฉันโดนเจ้านั้นซัดจนกระเด็นขึ้นสูง

“ไม่ต้องสนใจฉัน รีบพาพวกเด็กหนีไปก่อนเร็วเข้า” ฉันตะโกนบอกแล้วชักปืนขึ้นยิงเจ้าปีศาจที่กระโดดตามผมขึ้นมา แต่กระสุนที่ยิงออกไปไม่เข้าเป้า ทำได้แค่สะกิดผิวจนเกิดประกายไฟขึ้นเท่านั้น

ฉันเลยบีบ****ของเรดควีนเร่งความร้อนของดาบ แต่ดูเหมือนว่ามันจะพังเสียแล้ว ไม่ว่าจะบีบ****และบิดคันเร่งเท่าไหร่ ความร้อนและเสียงของExceedก็ไม่ออกมาเลย

...ดาบก็ใช้ไม่ได้ แขนขวาก็บาดเจ็บอีก...สถานการณ์ที่เสียเปรียบแบบนี้ เจ้าปีศาจนั้นไม่สนใจสักนิด พอลงถึงพื้นปั๊บ มันจัดการปัดดาบที่อยู่ในมือผมทิ้งและยกกรงเล็บขึ้นขย้ำผมซ้ำ ฉันเลยกระโดดถอยหลังหลังเพื่อหลบการโจมตีนั้น เล็บของมันตะปบลงไปที่ต้นไม้เสียงดังโครมใหญ่

ฉันกะอาศัยจังหวะนี้วิ่งตามพวกโจชูที่คิดว่าพาคีร์รี่กับพวกเด็กๆหนีไปไกลแล้ว แต่พอหันไปก็พบว่า สกัลกับโทเนโอยังอยู่...

“สกัล พวกนายมัวทำอะไรอยู่ รีบตามพวกเด็กๆไปเซ่” ผมตะโกน แต่ทั้งสองแทนที่จะวิ่งนี้กลับวิ่งเข้ามาหาฉัน “อย่ามาสั่งฉันนะเนโร่ นี้เป็นภารกิจของทีมเรา นายไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือยุ่งวุ่นวานอะไรทั้งนั้น”

“จะบ้ารึไง นี้มันใช่เวลานี้ควรจะพูดเรื่องนี้รึไง แล้วถ้าเกิดทางที่พวกโจชูพาคีร์รี่กับพวกเด็กๆหนีไปมีปีศาจดักรออยู่ล่ะ แค่โจชูคนเดียวจะทำอะไรได้”

ตอนนั้นเองเสียงคำรามของปีศาจก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พวกเราตั้งท่ารับการโจมตีทันที แต่ปีศาจพวกนั้นไม่ได้เข้าโจมตีพวกผม แต่หันไปเล่นงานพวกคีร์รี่ที่วิ่งหนีไปแล้ว

“แย่ล่ะซิ” ฉันกับสกัลป์เข้าไปดักหน้าปีศาจพวกนั้น ส่วนโทเนโอรีบวิ่งตามพวกโจชูไปทันที ปีศาจนั้นใช้กรงเล็บของตนเองยิงออกไปเหมือนลูกกระสุน หมายจะโจมตีใส่พวกโจชู ฉันหยิบดาบขึ้นฟันสกัดกรงเล็บที่พุ่งมา แต่สกัดได้ไม่หมด หลุดรอดไปหนึ่งอัน สกัลบิดคันเร่งExceed หมายจะเข้าโจมตีปีศาจนั้น แต่ก็โดนปัดจนกระเด็นออกไป

“ระวัง!!! โจชู” โทเนโอที่วิ่งตามไปร้องเตือนกรงเล็บที่พุ่งเข้าใกล้พวกคีร์รี่ขึ้นเรื่อยๆ โจชูชักดาบหมายจะสกัดการกรงเล็บนั้น แต่เพราะบาดเจ็บอยู่ เลยทรุดลงไปแทน

ในขณะที่กำลังคิดว่า พวกเด็กๆจะได้รับอันตรายจากกรงเล็บนั้น คีร์รี่ก็เอาตัวเข้าปกป้องพวกเด็กๆไว้ทันที แต่...แทนที่คีร์รี่จะโดนกรงเล็บนั้นเสียบเข้าไปในร่างนั้น โจชูที่เร็วกว่าได้เอาตัวเข้ารับกรงเล็บนั้นแทน ร่างของโจชูนั้นโอนเอนและค่อยๆล้มลงในที่สุด

“โจชู!!!” โทเนโอนิ่งอึ้งและตะโกนชื่อของเพื่อนออกมา ขณะเดียวกันผมและสกัลก็จัดการกับปีศาจนั้นได้แล้ว ฉันยิงปีศาจนั้นซ้ำหลายนัดจนแน่ใจว่า มันตายแล้ว
...และนี้ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว...

ทางกลุ่มศาสนามีมติเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า ให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะหากเรื่องที่มีอัศวินที่ถูกส่งไปประจำการเสียชีวิตล่ะก็...ชาวเมืองก็จะเสื่อมศรัทธาหรือเกิดคลางแคลงใจในศาสนาได้ แต่เพราะในเหตุการณ์มีพวกเด็กๆอยู่ด้วย ถึงแม้จะพยายามปิดข่าวมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถปิดปากพวกเด็กๆไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ได้หรอก

เรื่องก็แค่...บังเอิญว่าผมไปช่วยพวกคีร์รี่และปราบเจ้าปีศาจนั้นได้ก็เท่านั้น เหตุการณ์นอกเหนือจากนั้นอย่างผมและคีร์รี่ได้รับบาดเจ็บ หรือเกือบเอาชีวิตไม่รอด หรือแม้แต่เรื่องของโจชูที่ตายไปนั้นก็ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ส่วนผลงานของโจชูก็กลายเป็นผลงานของพวกผมไปซะงั้น การที่มีคนๆหนึ่งที่จู่ๆก็ถูกลบชื่ออกไปเหมือนไม่มีตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจกับกลุ่มศาสนาเป็นอบ่างมาก

อีกทั้ง...ฉัน คีร์รี่ สกัลและโทเนโอเองก็ได้รับคำสั่งไม่ให้พูดเรื่องนี้เด็ดขาด และดูเหมือนทางฝ่ายโน้นจะสามารถเกลี้ยกล่อมไม่ให้พวกเด็กๆพูดเรื่องนี้ได้แล้วด้วย แต่มันก็ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทางกลุ่มศาสนาทำแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดี ที่ควรแล้วหรือ...

ยังไงซะ...การตายของโจชูและเรื่องที่คีร์รี่ได้รับบาดเจ็บนั้น ยังไงก็ไม่สามารถลบเลือนไปได้

ไม่ว่าจะสร้างเรื่องขึ้นมา รึพยายามโกหกทุกคนยังไง มันก็ยังไม่สามารถลบล้างเรื่องที่อัศวินทั้งสาม ไม่สามารถกำจัดปีศาจได้ ตัวฉันเองก็ไม่สามารถปกป้องคีร์รี่ได้ด้วย เพราะงั้น...ฉันจึงอยากจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ มีพลังมากกว่านี้ แน่นอนว่า โทเนโอและสกัลเองก็คงคิดแบบเดียวกัน

ตามปกติ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับงาน ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามไถ่หรือพูดถึงเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่หรอก แต่รู้สึกว่าหลังจากการตายของโจชู ก็ไม่ค่อยเจอทั้งสองคนนั้นเลย แต่วันสำคัญแบบนี้ เจ้าสองคนนั้นก็คงโผล่หน้ามาเอง ก็พวกนั้น...จริงจังเรื่องพิธีการทางศาสนาอะไรแบบนี้มากกว่าผมอีกนินะ

ฉันหยุดคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วสำรวจความเรียบร้อยของเฝือกและผ้าพันแผลที่มือขวา จากนั้นก็ออกจากห้องพัก...

เนโร่เดินไปตามเส้นทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กก่อน ซึ่งที่นี้ตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ได้เปลี่ยนมาใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของภาคีแห่งดาบ แต่พอสำนักงานใหม่สร้างเสร็จ ก็ใช้เป็นที่พักของเหล่าอัศวินในภาคีแทน

เมื่อผลักประตูใหม่เข้ามาก็พบกับบรรยากาศเงียบสงัด คิดว่าตอนนี้ อัศวินทุกคนคงจะไปงานสรรเสริญอะไรนั้นแล้วล่ะ...

เนโร่เดินขึ้นบันไดไม้เก่าๆส่งเสียงเอี้ยดอ๊าด เพื่อมุ่งหน้าไปหาเครโด้ พี่ชายของคีร์รี่ที่อยู่ๆก็เรียกเขามาอบรมแต่เช้า การขึ้นไปรายงานตัวกับเครโด้แต่ละครั้งต้องเสียแรงที่เดินขึ้นบันไดจนบางทีเขาก็เซงไปเลยเหมือนกัน...

ห้องพักของชั้นบนสุด...ห้องพักของหัวหน้าอัศวินภาดีแห่งดาบ “เครโด้” เนโร่เดินเข้าไป เครโด้ที่กำลังวุ่นวายกับเอกสารอยู่หันหน้ามา “นายสายนะ เนโร่”

“ตื่นสายนิดหน่อย...” เนโร่ตอบแบบกวนๆแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ เครโด้ลุกขึ้นไปปิดประตูที่เนโน่เปิดทิ้งไว้ ดูจากสถานการณ์แล้ว...เรื่องที่จะพูดคงเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ซินะ... ถ้าให้พูดตรงๆก็คือ คงเป็นงานประเภท งานเล่นลอบกัด ลอบฆ่าอะไรเทือกนั้นแน่ๆ...

“ดูเหมือน...ปีศาจจะยังปรากฏตัวออกมาจากในป่านั้นนะ”เครโด้เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตน เนโร่ขมวดคิ้ว "อีกแล้วเหรอ นี้มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ระยะนี้มันจะออกมามากเกินไปแล้วนะ ไปตรวจสอบกันมาบ้างรึเปล่าเนี้ย”

ตั้งแต่เมื่อ 1 เดือนก่อน ในวันที่เนโร่ได้รับบาดเจ็บ โจชูเสียชีวิตนั้น ก็ไม่มีรายงานเรื่องปีศาจปรากฏตัวออกมา แต่พอมาในระยะนี้การปรากฏตัวของพวกปีศาจจากป่านั้นก็เพิ่มขึ้นมาเฉยๆ

“ฉันก็ไม่ได้ละเลยหน้าที่นี้หรอกนะ แต่ว่า...ตอนนี้เราก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เข้าใจใช่ไหม เนโร่”

“กำจัดมันให้สิ้นซากใช่ไหม รู้แล้วน่ะ รู้แล้ว”

...ช่างเป็นคนที่ชอบจิกหัวใช้คนจริงนะ ขนาดคนเจ็บแบบนี้ ยังจะให้ไปปราบปีศาจอะไรนั้นอีก... แม้ว่าเครโด้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไร เนโร่ก็พอเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี เพราะวันนี้เป็นมีงานสรรเสริญนั้น เลยจำเป็นต้องให้อัศวินคนอื่นๆไปดูแลความเรียบร้อยภายในงาน ถ้าจำนวนอัศวินดูน้อยไป หรือ มีไม่มากพอก็อาจส่งผลให้ชาวเมืองไม่มั่นใจในตัวอัศวินและกลุ่มศาสนาก็เป็นได้

“ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มันรวดเร็วที่สุด และให้มันเงียบที่สุดด้วยซินะ” สรุปก็คือ...แม้แต่ในวันสำคัญแบบนี้ เนโร่ก็โดนว่ายวานให้ไปทำงานแย่ๆลักษณะแบบนี้ แถมวันนี้ยังมีนัดที่จะไปดูคีร์รี่ขึ้นร้องเพลงอีก ชักรู้สึกขึ้นมาตะหงิดๆแล้วว่า...อาจจะไปไม่ทันงานของคีร์รี่...

“แขนนั้น...ไม่เป็นไรใช่ไหม” เครโด้เหลือบมองแขนขวาของเนโร่

“ถึงมันจะยังไม่หายดี แต่ก็ไม่มีใครจัดการเรื่องนี้แทนอยู่ดี” เนโร่ประชด เครโด้หรี่ตา “ตอนนี้เรดควีนส่งซ่อมอยู่ ฉันเตรียมคาริเบอร์ไว้ให้แล้ว ถ้าจำเป็นก็ใช้ซะล่ะ”

เรดควีนที่ใช้สู้กับปีศาจไปเมื่อเดือนก่อน เห็นว่าระบบภายในไหม้จนเสียหายหนัก เลยส่งให้แผนกค้นคว้า วิจัยเทคโนโลยีเป็นคนซ่อมให้ แต่เนื่องจากดาบเรดควีนนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกับดาบอัศวินทั่วไป เลยต้องใช้วัสดุและอะไหล่พิเศษ เพราะงั้น...จนถึงตอนนี้ก็ยังซ่อมไม่เสร็จเลย...

“ไม่เอาล่ะ ดาบน่ะ หาเอาจากขาของสเกลโคร์วมาใช้ยังจะดีซะกว่า” พูดจบ เนโร่ก็ก้มลงมองดาบที่ว่าอยู่ใกล้กับเก้าอี้ของเครโด้ “แต่ถ้าจะให้ดีเนี้ย... คงต้องขอยืมดาบ “ดูรันดอล” นั้นหน่อยล่ะนะ”

เครโด้หันควับ ทำหน้าเหมือนกับจะพูดว่า...อย่าล้อเล่นน่ะ ไอ้หนู... ใส่เนโร่

ดูรันดอลเป็นดาบพิเศษที่มีแต่เครโด้ที่เป็นหัวหน้าอัศวินเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ อีกทั้งดาบตามคติของภาคีดาบนั้น ถูกยกให้มีความสำคัญเหมือนสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ จะให้ใครยืมไม่ได้ มีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่ใช้ได้ พอเครโด้ที่เป็นคนเคร่งครัดในศาสนาได้ยินแบบนี้ ก็ต้องรู้สึกรักและหวงดาบ “ดูรันดอล”เล่มนี้มากอยู่แล้ว ดังนั้นการพูดในลักษณะนี้ ถือเป็นตลกร้ายที่ไม่มีใครขำออกแน่นอน

“ล้อเล่นน่ะ ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้” เนโร่แก้ตัวแล้วเกาหัวแกรกๆ

“เนโร่...ฉันรู้ว่านายรู้อยู่แล้วนะ แต่ก็อยากจะเตือนอีกครั้ง “ห้ามใช้ปืน” เข้าใจไหม” เครโด้กล่าวเตือน

“รู้แล้วน่ะ ถ้าเกิดเสียงปืนดังขึ้นก็จะแตกตื่นกันล่ะซิ ฉันก็ไม่อยากให้เสียงปืนนี้ดังเป็นลูกคู่ประสานเสียงกับเพลงของคีร์รี่เหมือนกันล่ะนะ” เนโร่รู้ถึงเหตุผลข้อนี้ดี

“จะว่าไป...แขนขวาก็บาดเจ็บ ปืนก็ใช้ไม่ได้ แล้วให้ไปจัดการกับปีศาจเนี้ย มันก็น่าสนุกดีนิ” เนโร่พูดติดตลกตามปกติของเขา แต่ตลกครั้งนี้ ดูเหมือนเครโด้ที่จริงจังจะไม่ตลกด้วย

“...ขอโทษ...” พอได้ยินแบบนี้เนโร่เลยไม่พูดอะไรอีก บางที...อาจเป็นเพราะเครโด้ เรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อนถึงยังเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ การที่ทางภาคีดาบมีมติให้ปิดเรื่องอุบัติเหตุที่มีคนตายในครั้งนั้น เครโด้เองก็คงยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน พวกเขารู้จักกันมานาน เนโร่จึงเข้าใจดี ว่าเครโด้รู้สึกยังไง

“งั้น...ฉันไปล่ะ” เนโร่เดินออกจากที่แห่งนั้นไป ขณะที่พวกชาวบ้านคงจะไปรวมตัวกันอยู่ที่โรงละครโอเปร่าแล้ว แต่เส้นทางที่เนโร่กำลังมุ่งหน้าไปนั้น ตรงกันข้ามกับทางไปโรงละคร เนโร่มุ่งไปที่ร้านของเคราส์ก่อน เพราะเขาต้องไปเอาของสำคัญบางอย่างที่ร้านนั้นก่อนะจะไปจัดการกับปีศาจที่อยู่ในป่าพวกนั้น

ดูเหมือนเคราส์จะรออยู่เพราะว่ารู้เนโร่จะต้องแวะไป เขาเลยปิดประตูร้านไว้แค่ครึ่งเดียว พอเคราส์เห็นเค้ายืนอยู่หน้าร้าน เคราส์ถอนหายใจแรงๆหนึ่งหน

“ก็รู้อยู่หรอกว่าจะมาเอาของนั้น แต่ว่ารอตั้งนานแล้วก็ไม่มาสักที มาช้าแบบนี้ฉันว่าจะไปไม่ทันงานพิธีเอานะ”

...ก็สมควรอยู่หรอกนะ ที่เคราส์จะโมโห... เนโร่หันมองนาฬิกาก็พบว่า เวลาตอนนี้กับที่นัดคีรรี่ไว้ เหลืออีกไม่ถึง 1 ชั่วโมงแล้ว

“โทษที เอาเป็นว่าคราวหน้าจะระวังก็แล้วกัน” เนโร่ขอโทษ เคราส์ไม่สนใจท่าทีของเนโร่แล้วเอากล่องเล็กๆยัดใส่มือผม กล่องนั้นก็คือของที่สั่งซื้อไปนั้นเอง ส่วนเรื่องเงิน จ่ายไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

“จะไปช้าเพื่อเอาของขวัญอันแสนวิเศษนี้ให้เธอแบบนี้จะดีแน่เหรอ เดี๋ยวก็จะถึงเวลาที่คีร์รี่จะขึ้นร้องเพลงแล้วนะ”

“รู้แล้วล่ะนา ยังไงก็...ขอบใจนะ” เนโร่เอากล่องของขวัญนั้นใส่ในอกเสื้อและมุ่งหน้าไปทางป่ามิทริส เคราส์มองอย่างสงสัยเพราะทางไปสถานที่จัดงานกับทางไปป่ามิทริสนั้นคนละทางกัน ถึงจะสงสัยมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีเวลามาอธิบายถึงเรื่องภารกิจแล้วล่ะ

พอเข้ามาในป่าปุ๊บ แขนขวาก็รู้สึกปวดตุ๊บๆขึ้นมา แสดงว่ามีปีศาจอยู่ใกล้ๆนี้ เพราะถ้าหากมีปีศาจอยู่ใกล้ๆแขนขวาก็จะรู้สึกปวดขึ้นมาแบบนี้ทุกครั้ง มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร บางที...แขนขวานี้อาจะมีปีศาจสิงอยู่ก็เป็นได้

ตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะมานึกถึงเรื่องนี้แล้ว รีบๆจัดการให้เสร็จซะ ไปตอนนี้ก็ยังทันเวลาที่คีร์รี่ขึ้นร้องเพลงล่ะนะ

เนโร่ถอดปลอกเฝือกที่ใช้คลุมมือขวาออกแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท ต้นไม้เบื้องหน้าค่อยๆเคลื่อนไหวและมีเงาดำเคลื่อนออกมา พวกมันคือ สเกลโคล์ว สองตัว...สามตัว...ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่เท่าที่ประมาณการ น่าจะมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว

“ออกมาให้หมดแต่แรกเซ่ ฉันไม่ว่างมาเล่นซ่อนหากับพวกแกหรอกนะ” เตือนเสร็จ เนโร่ใช้มือขวาคว้าสเกลโคล์วที่อยู่ใกล้ที่สุดตัวหนึ่งมา แสงที่แขนขวาเรืองแสงออกมาลางๆก่อนที่จะขยายเป็นแสงสีฟ้าขาวรูปร่างเหมือนมือโผล่มาด้วย ซึ่งแขนนี้ก็คือ “เดวิลบริงเกอร์”

ตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน มือขวาที่ถูกปีศาจทำร้ายก็กลายเป็นมือปีศาจ แถมยังมีพลังแปลกๆแฝงเพิ่มเข้ามาอีก ตอนแรกๆก็ใช่ว่าจะควบคุมแขนขวากับพลังแปลกๆนี้ได้ง่ายๆ แต่เพราะได้คำสั่งเรื่อง “งานสกปรกลอบฆ่า” จากเครโด้เลยทำให้เนโร่ได้ฝึกใช้และควบคุมมือขวานี้ได้สะดวกขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ที่มือขวาเปลี่ยนไป มันมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไรอยู่ดี...

เดวิลบริงเกอร์คว้าเท้าของสเกลโคล์วแล้วเนโร่ก็จับเหวี่ยงไปรอบๆ ก่อนจะปาใส่สเกลโคล์วอีกตัว จากแรงกระแทกทำให้หมอกสีดำในตัวแตกออก ขณะนั้นเองสเกลโคล์วอีกตัวก็กระโดดขึ้นหมายจะโจมตีจากด้านหลัง เนโร่หันไปแล้วใช้เดวิลบริงเกอร์คว้าลำตัวสเกลโคล์วแล้วบีบแน่น เพื่อไม่ให้หลุดมือ

“Be Gone!” เนโร่ใช้เดวิลบริงเกอร์ทุ่มสเกลโคล์วลงกับพื้น ควันดำที่เป็นกลุ่มแมลงในร่างพุ่งออกมาก่อนที่ร่างนั้นก็แตกออก เนโร่สะบัดมือขวาไปมาแล้วหันไปมองทิศทางที่ศัตรูปรากฏตัว

...รู้สึกว่าไอปีศาจจะหายไปหมดแล้วแหะ ความรู้สึกที่แขนขวาก็หายไปแล้วด้วย...

“ไม่มันส์เลย” เนโร่พันผ้าที่แขนขวาให้มิดชิดก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในเมือง เพื่อให้ทันเวลาที่คีรีย์จะออกแสดงทันที



+++++++ภาคีแห่งดาบ++++++++

กลางอาณาจักรฟอร์ทูน่านั้น มีปราสาทสูงตระหง่านตั้งอยู่ มันถูกสร้างขึ้นท่ามกลางความหนาวเย็น ปราสาทนั้นถูกเรียกว่า ปราสาทฟอร์ทูน่า ในอดีตเชื่อว่าที่นี้เคยเป็นที่อยู่ของอัศวินปีศาจสปาด้าสมัยที่ยังอาศัยอยู่ในอาณาจักรฟอร์ทูน่า ภายในปราสาทนั้นยังคงสภาพและบรรยากาศสมัยเก่าเช่นเดิม ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลป์แทน ซึ่งชาวเมืองสามารถเข้าชมได้อย่างอิสระ แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่า ใต้ดินของปราสาทนั้น มีห้องลับอยู่ ซึ่งห้องลับนั้นต่างจากห้องลับทั่วไป ที่แห่งนั้นใช้สำหรับสร้างอุปกรณ์และตรวจสอบ เก็บข้อมูลต่างๆ เป็นสถานที่จัดหาด้านอุปกรณ์ความสะดวกต่างๆให้กับภาคีแห่งดาบ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า “ห้องวิจัย” ซึ่งจะทำการค้นคว้าและประดิษฐ์อาวุธที่ใช้สำหรับต่อสู้กับปีศาจด้วย

ห้องวิจัยนี้ มีบริเวณแค่ห้องทดลองเพียงห้องเดียวและมีชายที่ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าผู้วิจัยและประดิษฐ์ คอยจดบันทึกอะไรบางอย่างตลอดเวลาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งหัวหน้าผู้วิจัยนั้นก็คือ แอ็กนัส

แอ็กนัสเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจงานฉลองครั้งนี้และไม่คิดจะย่างกายออกจากสถานที่แห่งนี้ด้วย เค้าให้ความสนใจกับการทดลอง แต่เค้าก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ไร้ศรัทธาแต่อย่างใด แท้จริงแล้วเค้าก็เป็นผู้ที่เลื่อมใสและมีศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อศาสนามากกว่าใครอีกคนหนึ่ง เชื่อว่าเคียวโกองค์ปัจจุบัน “แซงทุส” เป็นผู้มีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วไป อีกทั้งยังเชื่อว่าขณะนี้พระองค์ก็กำลังประสบปัญหาใหญ่หนึ่งเรื่องที่เค้าจำเป็นต้องแก้ไขให้กับองค์เคียวโกให้เร็วที่สุดด้วย

“ไม่เข้าใจ...ตรงไหนกัน มันผิดพลาด ขาดหายตรงไหนกัน” เค้าสบถเบาๆพร้องกับมองไปที่หลอดทดลองที่ภายในบรรจุดาบญี่ปุ่นเอาไว้ ดาบนั้นคือสิ่งที่เค้ากำลังแก้ไขและหาคำตอบ ชื่อของมันคือ “ยามาโตะ” เชื่อว่าเป็นดาบอีกเล่มหนึ่งที่อัศวินปีศาจสปาด้าใช้และเป็นหนึ่งในดาบที่สปาด้ารัก

แอ็กนัสพบมันโดยบังเอิญในแถบชานเมืองฟอร์ทูน่าเมื่อหนึ่งปีก่อน จากการศึกษาตำราและบันทึกเก่าๆทำให้เค้าทราบชื่อของดาบเท่านั้น รายละเอียดอื่นๆนั้นยังเป็นปริศนา นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แอ็กนัสต้องค้นคว้าและวิจัยดาบเล่มนี้เพื่อหาคำตอบ

สปาด้าได้จากอาณาจักรฟอร์ทูน่าแห่งนี้ไปกว่า 2,000ปีแล้ว หลังจากนั้นสปาด้าและดาบปีศาจขอเค้าไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้างนั้น เรื่องราวในส่วนนี้ได้ขาดหายไป แต่การที่แอ็กนัสพบดาบยามาโตะนั้น นับว่าเป็นโชคดีของเค้าในการค้นคว้าอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง นั้นก็คือ ดาบยามาโตะหัก ซึ่งหากกล่าวถึงดาบปีศาจแล้ว ดาบนั้นมีหลายชนิด ดาบปีศาจที่มีรูปร่างเป็นปีศาจ มีชีวิตก็มี ดาบชนิดนี้เกิดจากปีศาจที่ยังไม่ตายแต่มีความเสียหายและบาดแผลมากมายจนต้องพักฟื้นพลังชั่วคราว อีกชนิดคือดาบปีศาจขนานแท้ สร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษสามารถรักษาความเสียหายและบาดแผลต่างๆได้จากผู้ใช้ แต่สำหรับยามาโตะนั้น ไม่เข้าข่ายดาบทั้งสองชนิดเลย

แอ็กนัสใช้เวลาในการทดลอง ทำทุกอย่างเพื่อฟื้นฟูตัวดาบยามาโตะที่หักนั้นถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่สามารถฟื้นฟูหรือทำให้ดาบที่หักนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เลย

“หรือว่าดาบนี้ จะเป็นดาบปีศาจที่เกิดจากร่างของปีศาจจริงๆ” แอ็กนัสพึมพำ ...ถ้าดาบยามาโตะเป็นดาบที่เกิดจากร่างปีศาจ สามารถกลายสภาพเป็นปีศาจได้ มันก็ไม่สามารถที่จะฟื้นฟู เหยียวยาได้เลยน่ะซิ แต่ว่าถ้าเป็นไปตามกรณีนี้ โอกาสที่ดาบปีศาจนี้จะแตกสลายหรือเป็นเศษซากก็มีน่ะซิ...แอ็กนัสกังวลในข้อนี้จึงทำให้เค้าคอยวิจับ ค้นคว้าแต่ในห้องนี้เพื่อหาความกระจ่างของดาบมาโดยตลอด

...ถ้าโชคร้ายกว่านั้น หลังจากการทดลอง ดาบยามาโตะเกิดแตกสลายกลายเป็นเศษซากดาบที่ใช้ไม่ได้ขึ้นมา โอกาสที่จะทำให้เกิดการแตกตัวของพลังปีศาจที่แข็งแกร่งนั้นก็มีอีก... แอ็กนัสสับสน คิดมากจนหัวแทบระเบิด

“อะไรกัน...ตรงไหน...ตะ...ตะ..ตะ...ตรงไหนที่ยังขาดไป” แอ็กนัสพูดติดขัด ต้องพยายามออกเสียงหลายครั้งมือที่มือสมุดโน็ตอยู่ก็ปล่อยให้สมุดนั้นร่วงลงอย่างไม่ใยดี จ้องมองแต่หลอดทดลองเบื้องหน้า

“น่าเจ็บใจเหลือเกิน...ถ้าโปรเจ็คนี้สามารถฟื้นฟู ดูแลได้สำเร็จก็ดีน่ะซิ”ประโยคนี้ทำให้แอ็กนัสรับหันไปหาต้นเสียง ที่เค้าเพิ่งจะจับเค้ารางได้ทันที คนที่เข้ามาในห้องและพูดจาไม่หวานหูนี้ก็คือผู้หญิงคนนั้น“กะ...กลอเรียหรอกเรอะ มีธุระอะไร”

ผู้หญิงที่ชื่อกลอเรียนั้นยิ้มน้อยๆ เธอหยิบเอาสมุดโน้ตที่ตกอยู่กับพื้นนั้นส่งให้กับแอ็กนัส แต่ดูเหมือนเค้ารับไปอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก

“ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ” กลอเรียทักพร้อมกับยิ้มให้ แอ็กนัสเกลียดผู้หญิงคนนี้ เดิมทีเค้าคิดว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เค้าไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว แถมผู้หญิงคนนี้ก็ชอบแต่งตัวโป๊เปลือยไม่แคร์สายตาใครแล้วด้วย เค้ายิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ สวมชุดผ่าหน้าและหลัง เผยให้เห็นหน้าอกและแผ่นหลัง ไม่พอยังโชว์ขาอ่อนกับสะโพกแทนที่จะสวมชุดเดรสยาว เห็นแบบนี้แทบไม่ต้องคิดเลยว่าใส่ชุดนี้มาเพื่ออะไร ยิ่งตอนที่เธอหยิบหรือเก็บอาวุธประจำตัวด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปใหญ่

“การทดลองไปถึงไหนแล้วล่ะ” กลอเรียมองไปทางดาบยามาโตะ

“กะ...กะ...ก็เห็นอยู่ไม่ใช่เรอะ อย่าเร่งน่ะ” แอ็กนัสตอบไปแบบนั้น สำหรับเค้ากลอเรียเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่และมองเธออย่างดูแคลน เธอเข้าร่วมภาคีแห่งดาบในสมาชิกคนใหม่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน แถมตำแหน่งของเธอก็สูงกว่าแอ็กนัสอีก จะว่าไปนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้แอ็กนัสไม่ชอบเธอ

เมื่อหนึ่งเดือนก่อนอยู่ๆกลอเรียก็ปรากฏตัวที่อาณาจักรฟอร์ทูน่าแห่งนี้ ในสมัยก่อนนั้นการที่มีคนนอกเข้ามาในอาณาจักร มักจะถูกกีดกันและไล่กลับออกไปเสมอ ซึ่งภาคีแห่งดาบก็เช่นกัน ภาคีจะรับเฉพาะผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่เกิดและอาศัยในอาณาจักรฟอร์ทูน่าเท่านั้น ดังนั้นการที่คนนอกอย่างกลอเรียสามารถเข้ามาเป็นสมาชิกในภาคีแห่งดาบนี้ได้ ถือว่าเธอแน่มากทีเดียว แท้จริงแล้วเธออาจจะเป็นที่ถูกตาต้องใจขององค์ประมุขเคียวโกแทนที่จะมีความสามารถเสียมากกว่า แต่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่กลอเรียนำมด้วยอีกนั้นล่ะที่ทำให้เธอสามารถเข้าร่วมภาคีได้ นั้นก็คือ “ดาบแห่งสปาด้า” ดาบประจำตัวที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสปาด้า

ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปได้มันมาจากไหน แต่ดูท่าว่าเธอจะเคยทำงานเป็นนักล่าสมบัติและบังเอิญได้ดาบแห่งสปาด้านี้มา ต่อมาเธอก็ได้ข่าวเกี่ยวกับภาคีดาบและรู้ว่าองค์ประมุขเคียวโกคงอยากได้ดาบเล่มนี้ เธอจึงนำมาเสนอ

สำหรับกลุ่มภาคีที่นับถืออัศวินสปาด้าเป็นพระเจ้าแล้ว ดาบแห่งสปาด้านั้นถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังส่งผลถึงการเสริมสร้างความศรัทธา แสนยานุภาพของภาคี ทำให้ภาคีบรรลุเป้าหมาย แผนการได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย

“เรื่องที่ไหว้วานมานั้น ทั้งฉันและองค์ประมุขเคียวโกต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ หวังว่าความปรารถนาของท่านเคียวโกที่จะทำตามอุดมคติเพื่อโลกของท่านจะใกล้เข้ามาแล้วนะ” กลอเรียมองไปรอบๆแล้วกล่าวเช่นนั้น เพราะตอนนี้เธอได้ตำแหน่งระดับสูงในภาคีแถมยังค่อนข้างจะทำอะไรเกินหน้าเกินตาคนอื่นในภาคี ทำให้บางครั้งพวกอัศวินวัยรุ่นกลุ่มอื่นๆก็มักจะมองเธอด้วยสายตาแปลกๆละมีอคติบางอย่างด้วย เช่น เธออาจเป็นคนรักขององค์ประมุข เป็นต้น เรื่องนี้สำหรับแอ็กนัสจะเป็นไงก็ช่าง แต่ที่รับไม่ได้เลยก็คือ เรื่องที่เธอได้ครอบครองดาบแห่งสปาด้า

ดาบแห่งสปาด้า ดาบของพระเจ้า ดาบปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทั้งที่สูงส่งเพียงนั้น ทำไมถึงตกไปอยู่ในมือของผู้หญิงสกปรกคนนั้นได้ ข้อนี้ละที่แอ็กนัสยอมไม่ได้ กลุ้มจนหัวแทบระเบิด

“เรื่องประตูนรกนั้นไปถึงไหนแล้วละ” กลอเรียหันมาถามอีกครั้ง แอ็กนัสสลัดความวุ่นนั้นออกไปแล้วหันมาตอบแบบตะกุกตะกัก “กะ...กะ...ก็เรียบร้อยดี มะ...มะ...ไม่มีปัญหาอะไรนิ”

“นั้นซินะ เรียบร้อยดี ที่เรียบร้อยเนี้ย คงจะเป็นแค่ประตูเล็กๆนั้นซินะ” กลอเรียเยาะเย้ยทันที เพราะประตูนรกที่แอ็กนัสทำได้ มันก็แค่เปิดช่องว่างต่างมิติที่บิดเบี้ยวเท่านั้น แล้วช่องว่างนั้นก็สามารถบิดเบือนมิติให้มิติของโลกมนุษย์และโลกปีศาจสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ชั่วโมงละครั้งเท่านั้น เพื่อให้ปีศาจสามารถผ่านเข้าออกได้ตลอดเวลาแล้ว แอ็กนัสจึงจำเป็นต้องสร้างประตูนรกขึ้นมา แต่ถึงจะมีการสร้างประตูนรกไว้มากมาย แต่ที่สามารถใช้การได้ในปัจจุบันก็มีแค่ 3 จุดเท่านั้น มีความเสถียรและใกล้เคียงกับประตูนรกต้นแบบมากด้วย แต่สำหรับกลอเรียแล้ว แค่นี้ยังไม่ทำให้เธอพอใจได้ ด้วยเหตุนี้แอ็กนัสถึงหงุดหงิด

กลอเรียนอกจากจะมีดาบแห่งสปาด้าแล้ว ยังมีอุปกรณ์ปีศาจด้วย และเจ้าอุปกรณ์นั้นก็ถือเป็นกุญแจสำคัญอีกอย่างที่จะทำให้ประตูนรกสามารถทำงานได้ด้วย ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สร้างความเสถียรของประตูนรกที่จะเปิดปิดนั้นให้ได้เสียก่อน

“พยายามเข้าล่ะ ยังไงก็ต้องซ่อมแซมดาบยามาโตะนี้ให้ได้นะ เพราะถ้าทำให้มันเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ประตูนรกก็จะไม่สามารถทำงานได้ หวังว่าคงจะเข้าใจนะ” กลอเรียทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะเดินตัวปลิวออกไป แอ็กนัสปาสมุดจดใส่หลอดทดลอง “ยัย...ยัยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะแก”

ประตูนรกที่เป็นต้นแบบนั้น เป็นประตูที่จะสามารถเชื่อต่อมิติของโลกมนุษย์และโลกปีศาจนั้น อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ สามารถเปิดเข้าออกเพื่อเดินทางเข้าออกได้อย่างอิสระมากกว่าประตูที่แอ็กนัสจำลองขึ้นอย่างเทียบไม่ติด เพื่อการนี้ การซ่อมแซมดาบยามาโตะที่เป็นกุญแจของประตูนรกบานต้นแบบให้เปิดเข้าออกได้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะดาบยามาโตะนี้ละคือสิ่งที่ใช้แบ่งแยกโลกมนุษย์และโลกปีศาจ แอ็กนัสจึงหันมาค้นคว้า แก้ไข หาทางซ่อมแซมยามาโตะต่อไป



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน่อ
อ่านแล้วรู้สึกแปลกก็ติดชมได้น่อ ไม่ด่าจ้า แนะได้นะ
สำหรับตอนต่อไป ตอนนี้กำลังแปลได้ 4 หน้า ฮ่าๆๆ ถ้าเดือนที่ทันก็จะมาลงให้น่อ
ขอบคุณทุกท่านมานะจ้า

kadajjang7
8th May 2012, 19:46
ว้าว ตอนที่ 2 มาแล้ว ขอบคุณมากนะจ้า...อยากรู้ในสิ่งที่ในเกมส์ไม่มีมานานแล้ว เป็นกำลังใจให้ต่อไปสู้ๆนะ ^^

Devil-Dante
15th May 2012, 21:18
แจ้งข่าว อัพเดือนหน้านะจ้ะ พอดีติดงาน
วันที่ 8 June เจอกันจ้า

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะจ้ะ

pooza555
15th May 2012, 21:36
หาซื้อได้ที่ไหนครับ

yogurtkun
15th May 2012, 22:39
รอตอนต่อไปอยู่ เน้ออ..กำลังมันส์เลย :rofl

เป็นกำลังใจให้เสมอนะ

Devil-Dante
8th June 2012, 22:30
Talk!!!
สวัสดีทุกท่าน ตามที่นัดกันน่อ มาลงให้
100%แล้วน่อ



http://www.toys2mail.com/shop/t/toys2mail/img-lib/spd_2010090690058_b.jpg



Stage 03 (100%)



…Nero Side…


ระหว่างทางจากป่าสู่เมืองฟอร์ทูนน่า มีสเกลโคล์วปรากาศตัวเป็นระยะๆ มันไม่เป็นปัญหาสำหรับเนโร่มากนัก แต่ยังมีปัญหาอีกเรื่องก็คือ ไม่สามารถใช้เดวิลบริงเกอร์ได้ เพราะในเขตเมืองนี้ อาจมีใครโผล่มาแล้วเห็นเข้าจนเกิดเรื่องก็เป็นได้ แม้ว่าวันนี้จะมีเทศกาลสรรเสริญเทพสปาด้าอะไรนั้น แต่ก็ไม่ควรประมาทอยู่ดี

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะดูท่ากว่าจะถึงสถานที่จัดงานลำบากไม่น้อย ดีที่คีรี่ย์ร้องเพลงสรรเสริญเป็นรายการสุดท้ายของงานพอดี ช่วงการร้องเพลงสรรเสริญนั้นถือว่าเป็นช่วงที่สำคัญและเป็นที่ผู้คนรอชมมากที่สุดเสียด้วย ถ้าไม่ได้ดูคงรู้สึกเสียดายแย่เลย ถึงจะกังวล แต่เนโร่ก็สุดท้ายเนโร่ก็มาทันช่วงที่คีรี่ย์เกือบจบร้องพอดี

ทุกครั้งที่คีรี่ย์ขึ้นร้องเพลง เนโร่จะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำที่สามารถมองเห็นคีรี่ย์ได้ชัดทุกครั้ง และเมื่อคีรี่ย์ร้องเพลงจบก็จะหันมาสบตาและยิ้มให้น้อยๆทุกครั้งด้วย ถ้าหากคีรี่ย์ไม่เห็นว่าเนโร่นั่งอยู่ล่ะก็...คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ

เมื่อคีรี่ย์ร้องจบแล้วทุกคนปรบมือและเธอก็โค้งขอบคุณก่อนจะเดินกลับเข้าไปหลังเวที เธอบอกว่าจะมานั่งข้างๆผมเพื่อรอพิธีการอื่นๆต่อไปจนกว่าพิธีทั้งหมดจะเสร็จสิ้น เรื่องที่นั่งนั้นถือว่าไม่มีปัญหา เพราะขอให้เคาส์นที่เป็นเจ้าของร้านขายของจองไว้ให้แล้ว ดีที่มาทัน ถ้าขืนไปสายกว่านี้ มีหวังโดนบ่นหูชาแน่ๆ(แค่นี้ก็เคืองนิดๆแล้ว)

รายการสุดท้ายของพิธีในครั้งนี้เป็นการกล่าวอวยพรและร่วมอธิฐานกับองค์ประมุขเคียวโก แต่สำหรับเนโร่แล้วจะยังไงก็ช่าง ไม่สนอยู่แล้ว เค้าหยิบเฮดโฟนขึ้นมาฟัง ที่มานี้ เพราะว่าเนโร่ต้องการแค่รักษาสัญญาที่จะมาดูคี่รี่ย์ร้องเพลงเท่านั้น ไม่ได้อยากจะมาฟังโอวาทศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอะไรนั้นหรอก อีกอย่าง...ถ้าปล่อยให้คีรี่ย์ไปนั่งกับผู้ชายคนอื่นแทน...แค่คิดเนโร่ก็เบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจแล้ว

จะว่าไป...พวกที่มาร่วมพิธีในครั้งนี้ก็มีแต่พวกเคร่งศาสนา ดังนั้นการที่องค์ประมุขเคียวโกออกมาให้โอวาทศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับได้ฟังคำสอนศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าและจะทำให้สามารถเดินทางไปยังโลกหน้าได้อย่างเป็นสุข แต่สำหรับเนโร่แล้ว...เรื่องดินแดนในภพหน้าอะไรนั้นของภาคี มันก็แค่เรื่องโกหก ทำใจให้เชื่อยังไงก็เชื่อไม่ลง ที่เข้าร่วมก็เพราะคีรี่ย์และเครโด้ที่โตมาด้วยหันในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นชักชวนเฉยๆ

พ่อแม่ของสองคนนั้นก็เป็นผู้ยึดมั่นในภาคี ตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กขึ้นมาก็เพื่อสนองต่อคำสอนของภาคีเช่นกัน ทั้งคีรี่ย์และเครโด้ก็ช่วยพ่อแม่ดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตลอด ดังนั้นไม่แปลกที่ทั้งสองคนจะรู้จักเนโร่ดี เนโร่เองก็ชอบพ่อแม่ของทั้งสองคนอยู่ไม่น้อย

จะว่าไปตัวเนโร่นั้นถือว่าแปลกแยกไปจากผู้คนในฟอร์ทูนน่ามาก เพราะสีผมที่เป็นสีเงินนั้นเอง จากเรื่องเล่าขานในอาณาจักรก็ดูเหมือนว่าอัศวินปีศาจสปาด้าเองก็มีผมสีเงินเช่นกัน ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเนโร่เป็นใครด้วยแล้ว เลยเกิดการสันนิฐานไปต่างๆนานาว่า เนโร่อาจเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมากจากสปาด้า แต่อัศวินสปาด้าที่หายสาบสูญไปเมื่อ2,000ปีก่อน จนถึงตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้นั้น อยู่ๆจะมีลูก มีหลานขึ้นมา ขนาดตัวเนโร่เองยังไม่เชื่อเลย แต่พ่อแม่เค้าดันเชื่อว่าเค้าเป็นจริงตามคำสันนิฐานนั้น แถมยังเคยชื่นชม สรรเสริญเค้าด้วย ...ก็เป็นพวกเคร่งศาสนานินะ... ถึงจะดูเพี้ยนๆไปนิด แต่ก็เป็นคนดีมากเลยล่ะ...เนโร่คิด

...แต่พวกเค้าก็ตายไปแล้ว ถูกปีศาจพวกนั้นฆ่าตาย...

ตอนนั้นเนโร่ยังไม่ได้เป็นอัศวินในภาคีดาบและไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เพราะงั้นรายละเอียดเชิงลึกอื่นๆก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าพวกเค้าเข้าไปตรวจสอบโบราณสถานในป่ามิทริสและถูกปีศาจฆ่าตาย เนโร่ในตอนนั้นคิดแค่ว่าพวกอัศวินมันก็แค่พวกไร้สาระที่ทำอะไรไม่ได้ ไร้สาระ คิดแค่ว่าทำไมถึงปล่อยให้พวกเค้าตาย โดยไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ทั้งที่พวกเค้าเชื่อและศรัทธาในเทพเจ้าอย่างแรงกล้า แต่ทำไมถึงถูกปีศาจพวกนั้นพวกนั้นฆ่า หรือว่าพระเจ้าเลือกคนที่จะช่วยเหลือและไม่ได้ใส่ใจคนอย่างพวกเราว่าที่ไม่ได้รับเลือกว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง

ถึงเนโร่จะคิดอย่างนั้น แต่สำหรับพวกเค้าแล้ว เค้ายังเชื่อว่าพระเจ้านั้นจะคุ้มครองเค้า เชื่อถือ ยึดมั่นมากกว่าใครด้วยว่าคนที่ศรัทธาอย่างแรงกล้าอย่างพวกเค้าจะได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า แต่สุดท้าย พวกเค้าก็ถูกฆ่าตาย นี้เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่เนโร่เชื่อถือนั้นไม่ใช่พระเจ้า ที่เค้าเชื่อถือมาตลอดมีแค่...พลังเท่านั้น...

เพราะถ้าไร้พลัง ก็ไม่สามารถปกป้องใครได้ คนที่ไม่เคยเชื่อถือในพระเจ้าอย่างเค้ามาเป็นอัศวินนั้น มีแค่เหตุผลเดียวคือ เพื่อปกป้องคีรี่ย์เท่านั้น ความทุกข์ ความเสียใจที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปประกอบกับความเชื่อในพระเจ้าที่ศรัทธาอย่างแรงกล้าของคีรี่ย์นั้นมันทำให้เนโร่คิดว่า เธออาจต้องจบชีวิตเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่เสียไป เพราะฉะนั้นเนโร่จึงจำเป็นต้องปกป้องคีรี่ย์ไว้ให้ได้ ซึ่งนี้ก็เป็นการตอบแทนความใจดีและบุญคุณของครอบครัวคีรี่ย์ที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเนโร่มาด้วย

พอนึกถึงตรงนี้แล้วเนโร่ก็หันไปมองทางด้านซ้าย ปรากฏว่าคีรี่ย์หยุดยืนอยู่ข้างๆตนแล้ว เธอก้มลงมองของขวัญที่วางไว้ตรงที่นั่งของเธอก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้ ถึงมันจะไม่ใช่ของสำคัญ หรูหรามากมาย แต่มันเป็นของที่เลือกมาเพื่อที่จะมอบให้กับเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเสียงเพลงอันไพเราะของเธอ

คีรี่ย์ก้มลงหยิบมันขึ้นมาก่อนจะนั่งลงข้างๆเนโร่และหันไปตั้งใจฟังโอวาทศักดิ์สิทธิ์จากองค์ประมุข เคียวโกต่อไป พูดอะไรไปบ้างก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่เท่าที่เนโร่พอจะจับใจความได้ก็คือ ผู้ที่ศรัทธาและอุทิศตัวเพื่อศาสนา พระผู้เป็นเจ้าจะนำพวกเจ้าไปสู่โลกหน้าอันสงบสุขอะไรสักอย่างนี้ล่ะ...

หลังจากที่เคียวโกกล่าวโอวาทอะไรนั้นเสร็จแล้วก็ประสานมือทำท่าอธิฐาน คีรี่ย์และคนอื่นๆในพิธีก็ร่วมอธิฐานพร้อมกัน ซึ่งช่วงเวลาแห่งการอธิฐานนี้เป็นช่วงที่เนโร่เบื่อที่สุด ขืนอยู่ที่นี้ต่อคงง่วงนอนแน่ๆ เนโร่ใส่เฮดโฟนแล้วลุกขึ้นทันที

“เนโร่...เป็นอะไรเหรอ” คีรี่ย์ที่สังเกตเห็นหันมาถาม เนโร่หันมายักไหล่ “จะกลับแล้ว” พรางตั้งท่าจะเดินออกไป จังหวะนี้ล่ะดีที่สุด เพราะเคียวโก ทุกคนหรือแม้แต่อัศวินองค์รักษ์ก็ตั้งใจอธิฐานอยู่ ถ้าไม่ออกตอนนี้คงเป็นจุดสนใจน่าดู...

“แต่ว่าพิธีอธิฐานยัง...” คีรี่ย์ยื้อแขนไว้ แต่ก็ห้ามเนโร่ไม่ได้ เพราะทำตามสัญญาแล้ว ของขวัญก็ให้แล้ว จะอยู่ทำไมอีกก็ไม่รู้

“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันง่วงแล้ว” เนโร่ว่าอย่างงั้นก็เดินออกไปพร้องคีรี่ย์ แต่อยู่ก็หยุดเดินซะเฉยๆ เพราะแขนขวารู้สึกร้อนขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังมาแถมยังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ด้วย

“ปีศาจ?” เนโร่พูดขึ้นมาเบาๆ ตอนนี้ปีศาจนั้นอยู่ใกล้ๆแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้สึกตัวเหมือนเนโร่ เพราะแม้แต่อัศวินอารักขาทั้งสิบที่อยู่ใกล้ชิดเคียวโกก็เหมือนจะยังไม่รู้ตัว อีกอย่าง...ปีศาจพวกนั้นจะแฝงตัวเข้ามาปะปนกับคนอื่นๆก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ด้วย ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่สำหรับเนโร่มันไม่ใช่เพราะสัมผัสจากมือขวาและกลิ่นอายของปีศาจนั้นเนโร่รับรู้ได้อย่างชัดเจน

ถ้าแถวนี้มีปีศาจอยู่จริง สัมผัสของเนโร่บอกได้เลยว่าเจ้าปีศาจนั้น ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่...บนเพดานอย่างแน่นอน แต่พวกอัศวินอารักขาก็ไม่ได้สังเกตหรือเงยหน้ามองด้านบนเลยนิ

เนโร่เลยเงยหน้าขึ้นมองเตรียมสู้ แต่จังหวะนั้นกระจกสีที่ประดับอยู่ตรงเพดานก็แตกออกพร้อมกับร่างของชายผมสีเงินในเสื้อโค็ทสีแดงพกดาบสีเล่มใหญ่คาดไว้ด้านหลัง ชายคนนั้นตกลงมาตรงหน้าเคียวโกพอดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงชายคนนั้นก็ชักปืนออกมาแล้วยิงใส่ เสียงปืนก่องกังวานไปทั้งอาคารพร้อมกับความเงียบของผู้คนในพีธี

ตอนนั้นเนโร่ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์มันรวดเร็วมาก ชายชุดแดงคนนั้นหน้าตาป็นยังไง มองจากตรงนี้เนโร่มองไม่ค่อยชัด เห็นแค่ร่างของเคียวโกค่อยๆล้มลงและเสียงสุดท้ายของเคียวเท่านั้น ชายคนนั้นลุกขึ้นก่อนจะค่อยๆหันหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดมามองหน้าคนอื่นๆ

“เคียวโก!!!” เครโด้ร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับใบหน้าและเสียงร้องด้วยความเศร้าโศกและตกตะลึงของเหล่าผู้ศรัทธาในที่ประชุม ก่อนจะเกิดการเบียดเสียดแย่งกันหนีออกทางประตูทางเข้าออก

...ลอบสังหาร... ต้องเป็นการลอบสังหาร เพราะชายชุดแดงนั้นจู่ๆก็ตกลงมาแล้วชักปืนยิงใส่เคียวโก มีวัตถุประสงค์อะไรไม่รู้หรอกนะ แต่ปัญหาคือ ใครส่งมานี้ล่ะ... แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิด เพราะมีเรื่องที่ต้องทำก่อน...เนโร่คิดเช่นนั้น... เป็นจังหวะเดียวกับที่เครโด้และองค์รักษ์คนอื่นๆชักดาบของตนออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ชายคนนั้น เนโร่เห็นดังนั้นจึงรีบจับมือคีรี่ย์หนีไปทางประตูทางเข้าออกนั้นทันที

แต่เธอทำของขวัญที่เนโร่ให้ตรงระหว่างทาง เธอพยายามสะบัดมือผมออกเพื่อวิ่งเข้าไปเก็บของขวัญนั้น แต่ของแบบนั้นจะไปเสียเวลาเก็บมันทำไมก็ไม่รู้ เพราะจะซื้อให้ใหม่เมื่อไหร่ก็ได้แท้ๆ

ด้านอัศวินองค์รักษ์ที่รับมือชายชุดแดงนั้นดูเหมือนจะไม่ไหวเหมือนกัน ชายคนนั้น...เก่งมาก... แม้จะเข้าไปรุมสักกี่สิบคนก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังใช้ดาบใหญ่ของตนเองรุกไล่อัศวินพวกนั้นจนแพ้และถูกฆ่าตายไป สถานที่แบบนี้จะให้ผู้หญิงมาเห็นมันก็ไม่ใช่เรื่อง ตอนนี้เนโร่คิดเพียงอย่างเดียว คือ ต้องการพาคีรี่ย์ไปยังที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ตอนที่คีรี่ย์ขืนตัวเพื่อไปเก็บของนั้น อัศวินคนหนึ่งก็กระเด็นมาโดนเธอจนเกือบล้ม

“คีรี่ย์ หนีเร็ว!!! มาที่นี้เร็วเข้า!!!” เนโร่ตะโกนเรียกสติ แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ผู้คนหนีตายกันชุลมุน ชายชุดแดงที่เป็นผู้สังหารเคียวโก เครโด้ที่มัวแต่สนใจสภาพเคียวโก และเสียงร้องด้วยความทุกข์ทรมานของอัศวินเหล่านั้น ถึงจะมีปฏิกิริยาที่ต้องหนีเอาตัวรอดออกจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้ยังไง แต่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงจะตะโกนอะไรไปก็คงไม่ทำเธอรู้สึกตัวได้ สิ่งรอบข้างทำให้เธอสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ทางเดียวที่จะช่วยได้คือ พาเธอออกไปจากตรงนี้ซะ

แต่ดูเหมือนเวลาจะไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้จำนวนอัศวินจากสิบกว่าคนเหลือแค่เครโด้กับใครไม่รู้อีกคนที่เหลืออยู่เท่านั้น อัศวินพวกนั้นเป็นอัศวินอารักษ์ อัศวินพิเศษที่คอยคุ้มครองเคียวโกแต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้ถูกฆ่าตายหมด

...เป็นไปไม่ได้... ถ้าพูดถึงปีศาจที่สามารถเปลี่ยนร่างหรืออยู่ในร่างมนุษย์นั้น พูดได้ว่ามีจำนวนน้อยมาก แต่ตัวอัศวินอารักษ์ก็มีความสามารถพอที่จะรับมือ ไม่น่าแพ้แบบนี้... เนโร่พูดได้เลยว่า หากสมัยนี้เป็นยุคที่ต้องใช้ดาบปะทะกันเพื่อตัดสินแพ้ชนะล่ะก็...เค้าเชื่อว่า ไม่มีใครเอาชนะอัศวินภาคีดาบที่คุ้มครองเคียวโกแน่นอน แต่นี้...กลับล้มอัศวินได้อย่างง่ายได้...มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ...เนโร่คิด

หลังจากที่เนโร่หายอึ้งแล้วก็กระชับมือของคีรี่ย์ให้แน่นขึ้นก่อนจะวิ่งไปทางประตูที่ผู้คนเบียดเสียดกันออก แต่ตอนนั้นเองที่ชายชุดแดงนั้นมุ่งไปหาเครโด้

“พี่ค่ะ!!!” คีรี่ย์สะบัดมือเนโร่ออกแล้ววิ่งไปหาพี่ชายตนเอง

“คีรี่ย์!!!” เนโร่ที่วิ่งไปทางประตูทางออกตะโกนลั่นเมื่อคีรี่ย์สะบัดมือเค้าจนหลุด พอหันไปมองบริเวณที่คีรี่ย์วิ่งไป จังหวะนั้นชายชุดแดงก็ฟันอัศวินองค์รักษ์ที่สู้ไม่ได้คนหนึ่งกระเด็นมาชนคีรี่ย์จนล้มลง ก่อนที่ชายชุดแดงนั้นจะเดินมาทางคีรี่ย์

“คีรี่ย์!!!” แบบนี้ไม่ดีแน่.. เนโร่เลยรีบวิ่งเข้าไปขวางไว้ก่อนที่ชายคนนั้นจะถึงตัวคีรี่ย์

“ย๊ากกกกก” เนโร่วิ่งเข้าไปก่อนจะกระโดดจนตัวลอยแล้วถีบหน้าชายชุดแดงด้วยขาคู่(โดดถีบขาคู่นั้นล่ะค่ะ/คนแปล)จนชานคนนั้นกระเด็นไปไกลพอสมควร แต่ดูจากคู่ต่อสู้แล้ว แค่นี้คงจะจัดการได้ไม่มากนัก เนโร่จึงชัดปืนบลูโรสออกมาแล้วยิงซ้ำ

ดูเหมือนว่าชายชุดแดงนั้นจะรู้ตัวจึงพลิกตัวขึ้นแล้วใช้ดาบปัดกระสุนทั้งสองของบลูโรสออก ...ทั้งที่ปกติมนุษย์ทั่วไปไม่น่าจะรู้สึกถึงอันตรายหรือรับรู้ถึงลูกปืนที่มีความเร็วแหวกอากาศขนาดนี้จนยกดาบขึ้นมากันได้ทันแท้ๆ ผู้ชายคนนี้กลับทำได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ...

แต่ด้วยความแรงของกระสุนทั้งสองของบลูโรสก็ทำให้ชายคนนั้นกระเด็นตามแรงกระสุนได้ กระสุนที่เบี่ยงออกไปนั้นก็พุ่งเข้าไปฝังติดกับรูปปั้นสปาด้าด้านหลังพร้อมกับร่างของชายคนนั้นลอยเข้าไปจะกระแทกกับรูปปั้น แต่เจ้าชายชุดแดงนั้นใช้ดาบปักลงไปที่รูปปั้นยันไม่ให้ร่างโดนกระแทกได้ทัน

ชายคนนั้นหันมามองแต่เนโรไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ชายคนนั้นดึงดาบออกมา เค้าพุ่งเข้าไปถีบดาบให้เสียบแน่นเข้าไปในเนื้อรูปปั้นนั้น ชายคนนั้นปล่อยมือจากดาบก่อนจะหมุนตัวออกมาหยุดยืนอยู่ตรงแขนอีกข้างหนึ่งของรูปปั้น เนโร่เองก็ดีดตัวออกมายืนอยู่บนแขนด้านตรงข้าม ต่างคนต่างชักปืนออกมาเล็งที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ

...จากที่ดู พละกำลังของชายคนนี้ท่าทางจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์แล้วก็เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้มากทีเดียว ถึงฉันจะมีแรง มีพละกำลังมากกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่พอมาเทียบกับชายคนนี้แล้ว...มันเยอะกว่าเค้าเยอะทีเดียว...เนโร่คิด

“เนโร่!!!” คีรี่ย์ตะโกนขึ้นมาจากด้านล่าง ถ้าอาศัยโอกาสนี้คีรี่ย์ก็จะหนีไปได้เพราะผู้ชายคนนั้นกำลังมุ่งความสนใจทั้งหมดมาที่เค้า เครโด้เป็นพวกไม่ยอมแพ้ง่ายๆซะด้วย...จะปล่อยให้คีรี่ย์หนีไปคนเดียวก็ไม่ได้ด้วย....

“คีรี่ย์ หนีไปกลับเครโด้ก่อน ทางนี้ฉันจะยื้อเวลาไว้เอง” เนโร่เบนสายตาไปที่คีรี่ย์แล้วตะโกนสั่ง เครโด้ลุกขึ้นแล้วรีบดึงคีรี่ย์ไปที่ทางออกทันทีพร้อมพูดทิ้งทายไว้ว่า “เนโร่ เดี๋ยวจะไปตามหน่วยเสริมมาให้ อย่าเพิ่งตายซะก่อนล่ะ”

พูดเสร็จเครโด้ก็พาคีรี่ย์ออกไปพร้อมอัศวินองค์รักษ์ที่ยังพอมีแรงอยู่ก็พาร่างของเคียวโกออกไป ถ้าไปกันเยอะแบบนี้...น่าจะหนีออกไปได้อย่าปลอดภัยแน่ๆ... เนโร่หันกลับมามองชายชุดแดงอีกครั้งโดยที่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ยอมลดปืนลง ชายคนนั้นยิ้มออกมาน้อยๆอย่างไม่มีความหมาย อาจไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าจะตามไปเก็บพวกนั้นที่หลัง แต่อาจเป็นเพราะตัวเกะกะอย่างพวกคีรี่ย์กับเครโด้ออกไปแล้วก็ได้ จะเป็นเพราะความเมตตากรุณาของฝ่ายนั้น...หรือจะด้วยเหตุผลอื่นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่อาจเป็นไม่ได้ชอบการฆ่าคนเป็นงานอดิเรกแน่ๆ

“กำลังเสริมงั้นเรอะ เหอะ...คงยื้อเวลาได้ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ” เนโร่เอียงคอเล็กน้อยก่อนจะหันลงไปมองข้างล่าง สำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วก็กระโดดลงไปตรงที่ว่างบนลานแสดงด้านล่าง

“สูงไปหน่อยนะว่าไหม ตรงนั้นน่ะ...แถมพื้นที่จำกัดอีก” เนโร่ชวนคุยแบบกวนๆ ชายคนนั้นแค่หยักไหล่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนเค้าจะสนใจปืนของเนโรเป็นพิเศษ ชายชุดแดงที่ดูยังไงก็อ่านความเคลื่อนไหวไม่ออกนั้นกระโดดลงมา เนโรอาศัยจังหวะนั้นกระโดดขึ้นไป จากนั้นการต่อสู้ตะลุมบอนกันกลางอากาศก็เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงปืนที่ต่างฝ่ายต่างยิงตอบโต้กัน
ถ้าอยู่ในระยะใกล้ ยิงไปแค่นัดสองนัดก็ต้องถูก แต่นี้มัน...เราคิดง่ายเกินไป...เนโร่คิด

ชายคนนั้นถีบเนโร่ออกกลางอากาศและดีดตัวออกไป จากนั้นก็กลับไปยืนอยู่บนหัวรูปปั้นด้วยใบหน้าสบายๆ(เอื่อยๆ)เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมไม่มีทีท่ารีบร้อนไปเอาดาบที่ปักติดอยู่บนหัวรูปปั้นนั้นเท่าไหร่ด้วย

...ถ้าหมอนั้นดึงดาบนั้นออกมาล่ะก็...เป็นเรื่องแน่... เนโร่คิด เนโร่เลยดึงดาบที่อยู่ใกล้ตัวเอาจากพื้นแล้วกระโดดขึ้นไปฟันสะกัดมือที่กำลังจะเอือมไปจับดาบบนหัวรูปปั้นพร้อมกับย้ำให้ดาบนั้นปัดเข้าไปในเนื้อรูปปั้นมากขึ้น เข้าถอยออกมาแล้วเข้าไปฉวยดาบแถมยังถีบเนโร่จนเสียหลักกลิ้งลงไปตามช่องแคบระหว่างแขนของรูปปั้น จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปดึงดาบออกจากหัวรูปปั้นนั้นออกมาจนได้

“ให้ตายซิ ไม่สำเร็จหรอกเหรอเนี้ย” เนโร่ลุกขึ้นพร้อมกับใช้ปืนยิงใส่ แต่ชายคนนั้นก็หลบได้อีกตามเคย แถมยังควงดาบกระโดดลงมาด้านล่างอีก

“หนอยแน๊ะ ทำหน้าชิวเชียวนะแก... ขออัดสักเปรี้ยงเหอะ!!!” เนโร่เงยหน้ามองกัดฟันกรอดๆ ...จะสปาด้าหรืออะไรก็ช่าง... ตอนนี้เนโร่ไม่มีอารมณ์มาคิดเรื่องหยุ่มหยิ่มแล้ว เค้าใช้เท้ายันส่วนดาบจนส่วนแขนของรูปปั้นที่ชายคนนั้นยืนแตกออกจากลำตัว แต่ชายคนนั้นก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังยืนทรงตัวนิ่งๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแถมเหน็บดาบไว้ที่หลัง ไม่คิดจะทำอะไรอีก เนโร่เลยเปลี่ยนแผนจากที่จะให้ตกลงมาพร้อมรูปปั้นจะได้โดนหินทับตายเป็นกระทืบให้เละแทน

เนโร่วิ่งขึ้นไปตามตัวดาบ พุ่งเข้าไปในระยะประชิด ...ถ้าเป็นระยะประชิดล่ะก็...ไม่พลาดแน่...

แต่ดูเหมือนชายคนนั้นจะรู้ทัน เค้าเอียงตัวหลบเนโร่ที่พุ่งเข้าใส่แล้วปัดวิถีปืนที่กะจะยิงระยะประชิดออกได้และกระโดดลงไปด้านล่างแทน เนโร่กระโดดตามลงไปพร้อมกับขึ้นCyrinderเทปลอกกระสุนเก่าออกและเปลี่ยนกระสุนใหม่ที่เตรียมไว้เข้าไปแทนทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เนโร่ลงถึงพื้น ส่วนชายคนนั้นก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ค่อยๆเปลี่ยนแมกกาซีนปืนช้าๆ

...เป็นคู่ต่อสู้ที่กวนประสาทที่สุดเลยให้ตายซิ... ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะเป็นพวกใจดีผิดวิสัย เห็นเนโร่ใส่เฝือกอยู่เลยไม่ค่อยลงไม้ลงมืออะไรมาก เหมือนพ่อ...มองลูกซินะ จะโจมตีหรือจะป้องกันก็กลายเป็นหยอกล้อเล่นระหว่างพ่อลูกซะงั้น

...จำได้ว่า ไม่เคยมีพ่อหน้าตาแบบหมอนี้แหะ ไม่สบอารมณ์ชะมัด ถ้าจะชนะ คงต้องใช้มือขวานี้ แต่ถ้าเกิดพวกเครโด้ย้อนกลับมาล่ะ ถ้าเป็นไปได้อยากให้มาเร็วกว่านี้อีกนิดนึง อย่างน้อยถ้ารวมอัศวินและเครโด้ก็จะทำให้มีจำนวนมากกว่า 10 คน สู้ด้วยมือเดียวก็ไม่มีปัญหาด้วย...

ระหว่างที่เนโร่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ชายคนนั้นก็คงรู้สึกว่าผิดปกติเลยหันมาเอียงคอมอง ดูเหมือนจะใช้เวลากว่าที่คิดกับการจัดการแค่นี้ เท่าที่เนโร่สังเกตดูคนๆนี้ก็ดูจะไม่ได้บ้าพลังชอบการต่อสู้สักเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ฉับพลันชายคนนั้นก็พุ่งเข้ามา มือถือปืนตรงเข้ามาพร้อมกับใช้อีกมือหนึ่งเอื้อมไปจับดาบใหญ่ที่พาดอยู่ข้างหลังแล้วใช้ดาบนั้นพุ่งใส่เนโร่ทันที

...เร็วมาก... เนโร่ที่ไม่รู้จะป้องกันอย่างไรเลยยกแขนขวาขึ้นมากัน ทันทีที่ดาบนั้นพุ่งเข้าใส่แขนขวานั้นพลังก็ต้านทานกัน แรงปะทะทำเอาสิ่งของรอบข้างปลิวว่อนไปทั่ว เล่นเอาเนโร่แทบกระเด็นเหมือนกัน แต่ชายคนนั้นเพียงแค่เอียงคอเล็กน้อย

“หืม ไม่เป็นไรเลยงั้นเรอะ...เป็นแขนที่สุดยอดไปเลยแหะ แอบฝังเหล็กไว้รึเปล่าเนี้ย” ดูเหมือนจะตกใจกับแขนที่ไม่มีแผลอะไรจากดาบนั้นเลยก็จริง แต่วิธีการพูดนี้...กวนประสาทไม่เหมือนคนตกใจเลย ไม่คิดว่าจะเป็นคำพูดแรกที่หลุดจากปากของชายคนนี้เลย...

"อ้าว พูดได้นิ...” เนโร่ว่า ชายคนนั้นหัวเราะหึแล้วตอบกลับ “ก็ได้ยินแล้วนิ ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าพูดไม่ได้”

...เป็นคำพูดที่ไม่เข้าหูเท่าไหร่... เนโร่คิดเช่นนั้นก่อนจะใช้แขนขวาที่รับดาบไว้นั้น มือก็จับใบดาบใหญ่นั้นแล้วดึงดาบนั้นเข้าหาตัว ชายคนนั้นถลาเข้ามา ดูเหมือนแรงจากแขนขวาจะเยอะกว่าชายคนนั้น ...ไม่แน่ ถ้าใช้แขนขวานี้ อาจชนะชายคนนี้ก็ได้...

“ดูเหมือนว่าจะติดใจอะไรบางอย่างซินะ แต่โทษทีนะ มันเป็นความลับทางธุรกิจน่ะ” เนโร่จับดาบนั้นแล้วพลิกก่อนจะจับเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศแล้วเนโร่ก็เดินไปที่ดาบใหญ่จากรูปปั้นที่เนโร่เพิ่งทำลายไปเมื่อกี้ขึ้นมา ใช้เดวิลบริงเกอร์หยิบมาขึ้นมาแล้วปาใส่ ชายคนนั้นแค่เอี้ยวตัวหลบเพียงเล็กน้อยก็หลบได้แล้ว

“นายก็เหมือนกันซินะ”

“หา?” เนโร่ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของชายคนนั้นเท่าไหร่ว่า

“เฮ้อ ไม่เก็ทเลยซินะ ฉันหมายความว่า นายน่ะ...ไม่มีกลิ่นฉุนๆแบบนั้นเลยไง”

“พูดอะไรไม่ค่อยเข้าใจเลยแหะ” เนโร่ปัดมือไปมา “เฮ้อ ฉันไม่มีเวลาว่างมาพูดกับนายซะด้วยซิ”ว่าแล้วเนโร่ก็กำมือแน่นก่อนจะคลายออกแล้วใช้เดวิลบริงเกอร์พุ่งเข้าไปคว้าชายคนนั้น เค้าดูตกใจไม่น้อย ชายคนนั้นกระโดดหลบ แต่เดวิลบริงเกอร์คว้าขาขวาของหมอนั้นได้ทัน จากนั้นก็ดึงกลับเข้าหาตัว ดาบกระเด็นหลุดมือปักติดพื้น

...เวลาก็เหลือน้อยลงแล้ว ต้องทำให้มันจบๆก่อนที่จะมีคนมา... พอชาคนนั้นถูกดึงเข้ามาใกล้แล้วเนโร่ก็ปล่อยขาแล้วใช้เดวิลบริงเกอร์อัดเข้าไปที่หน้าของหมอนั้นอย่างแรง พื้นที่ร่างของชายคนนั้นกระแทกลงไปหยุบตัวลงจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ เนโร่ต่อยลงไปที่หน้าแบบไม่ยั้งมือ แต่ถึงยังไงเนโร่ก็รู้สึกว่าไม่สามารถล้มชายคนนี้ได้เลย

...ถึงจะเคยฆ่าปีศาจที่มีรูปร่างเหมือนคน แต่ก็ไม่เคยฆ่าคนซะด้วยซิ แต่ฝ่ายตรงข้ามดันเก่งเกินคนซะด้วย คงต้องลงมือจัดการซะแล้ว ต้องอาศัยตอนที่หมอนั้นตกใจนี้ล่ะ จัดการให้เรียบร้อย... จู่ๆความคิดชั่วร้ายก็แว่บเข้ามาในสมองของเนโร่ ไม่รู้หรอกว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องลงมือถึงขั้นนี้ แต่ถึงจะทำอย่างที่คิดไปก็คง...ไม่โหดเกินไปหรอกมั้ง ก็เป็นศัตรูอยู่แล้ว จัดการแบบนี้มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดานั้นล่ะ...

เนโรคิดได้ดังนั้นก็ดึงร่างของชายเบื้องหน้าขึ้นแล้วเหวี่ยงไปติดรูปปั้นหินแล้วใช้ดาบที่ปักอยู่กับพื้นขึ้นแล้วปาส่งตายร่างชายคนนั้นไป ปักลงกลางอกพอดี ยึดร่างของชายคนนั้นติดกับรูปปั้นนิ่ง แสงที่มืจางลงพร้อมกับอาการหอบหายใจของเนโร่ ร่างของชายคนนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง เนโรเลยปัดมือก่อนจะเดินไปที่ทางออก เพื่อที่จะตามไปสมทบกับพวกเครโด้

...พลั้งมือฆ่าไปซะแล้ว... เนโร่ส่ายหัวกับการลงมือที่เกินกว่าเกินกว่าเหตุของตน แต่ว่า...

“...ไม่เลวนิ” เสียงชายคนนั้นดังขึ้นก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา “ฝีมือไม่เลว เก่งเหมือนกันนิเรา” เข้ายันตัวออกจากรูปปั้นที่ถูกตรึงทั้งที่ดาบยังปักคาอกของเค้าอยู่ เนโร่ตกตะลึงไม่น้อย เพราะโดนไปขนาดนั้นแล้วไม่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้ ถึงจะเป็นคนที่เก่งแค่ไหน ก็ไม่น่ารอด ถ้ายังงั้น...ชายคนนี้ก็คง...

“...อย่างงี้นี้เอง นายไม่ใช่มนุษย์ซินะ” เนโร่ว่า ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆก่อนจะค่อยๆดึงดาบที่ปักอยู่ตรงหน้าอกออกแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกันนั้นล่ะ...”

ขณะที่ดาบถูกดึงออกมานั้น มีทั้งเสียงน่ารังเกียจจากดาบและเนื้อที่เสียดสีกันและเลือดที่ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก เลือด..สีแดง บอกตามตรงว่า เนโร่ยังไม่เคยเห็นปีศาจที่มีเลือดเป็นสีแดงเช่นเดียวกับมนุษย์แบบนี้มาก่อน...

“เอาล่ะ ถ้าฉันไม่ใช่มนุษย์...แล้วนายล่ะเป็นตัวอะไร” ชายคนนั้นย้อนถาม สายตาจับจ้องที่แขนขวาที่เนโร่ซ่อนไว้ด้านหลัง แขนขวาที่เนโร่ไม่ยอมให้ใครเห็นเด็ดขาดนี้

“ฉัน...เป็นมนุษย์” เนโร่ตอบกลับไปเสียงเบา ปฏิกิริยาของชายคนนั้นแค่หยักไหล่ก่อนจะใช้ดาบในมือนั้นชี้ไปที่ทหารองค์รักษ์ของเคียวโกที่กองอยู่กับพื้น “แล้วเจ้าพวกนั้นล่ะ?”

พอเนโร่หันไปมองตามก็พบว่าศพองค์รักษ์นั้นพบว่า ชุดเป็นชุดของทหารองค์รักษ์ ภายนอกเหมือนคนทุกอย่าง แต่พอหมวกที่สวมอยู่หลุดออกก็พบว่าใบหน้านั้น เป็นใบหน้าของปีศาจ เนโร่หันกลับไปที่ชายคนนั้นอีกครั้งเหมือนมีคำถามจะถาม แต่ก็พบว่าชายคนนั้นหายไปแล้ว เนโร่หันซ้ายหันขวา แต่ก็ไม่พบ

“เอาเถอะ ยังไงนายกับเจ้าพวกนั้นมันก็ต่างกันอยู่แล้ว ต่างกันนิดนึงน่ะนะ” ต้นเสียงของชายคนนั้นดังขึ้นเหนือหัว เนโร่เงยหน้ามอง พบว่าชายคนนั้นอยู่บนหลังคา จุที่เค้ากระโดดลงมานั้นเอง

“หมายความว่ายังไง” เนโร่ถามกลับ

“นั้นซินะ นายไม่รู้หรอกเหรอว่ามันหมายความว่ายังไง” ชายคนนั้นหัวเราะก่อนจะลุกขึ้น “โทษทีนะ ต่อจากนี้ฉันมีธุระที่อื่นต่อน่ะ เพราะงั้น...ไม่มีเวลาเล่นสนุกเป็นคู่มือให้เจ้าหนูหรอกนะ”

“อย่าหนีนะ!!!” เนโร่ยิงใส่ชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็หลบได้ กระสุนเลยพุ่งขึ้นฟ้าไปแทน ท่ามกลางควันสีขาวจากกระบอกปืนที่ยิงออกไปนั้น ชายคนนั้นก็โผล่มาที่ช่องเพดานที่แตกเป็นรูนั้นอีกครั้ง

“ลาล่ะนะ เจ้าหนู!” บอกลาเสร็จชายคนนั้นก็หายไป

...เจ็บใจนัก เป็นชายที่กวนประสาทชะมัด กวนไปซะทุกเรื่อง มันน่าอัดให้เละจริงๆ... เนโร่คิด ก่อนจะเริ่มทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ...ถ้าหมอนั้นไม่ใช่มนุษย์แล้วเป็นตัวอะไรกันแน่ ปีศาจ? จะว่าไปก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าปีศาจระดับสูงจะมีรูปร่างหน้าตาแบบมนุษย์และสามารถเข้าใจ,พูดภาษามนุษย์ได้ แต่ก็เพิ่งเคยเจอตัวเป็นๆนี้ล่ะ แต่ก็ยังค่องใจอยู่ดี ว่าหมอนั้น...เป็นปีศาจจริงๆน่ะเหรอ... ถ้าหมอนั้นเป็นปีศาจจริงๆ แล้วตัวเค้าล่ะ?... เจอกันครั้งหน้า เราต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่...

...แขนขวานี้ มันก็ไม่ใช่แขนของมนุษย์ คำพูดของชายคนนั้นเปรียบเหมือนมีดที่เฉือนลงมากลางใจ คำที่ย้อนถามมา...ว่าเค้าเป็นมนุษย์รึเปล่า... ถ้าหมอนั้นเป็นปีศาจจริงๆ ฉันที่มีแขนแบบนี้...ก็คงไม่ได้ต่างจากหมอนั้นเลย ไหนจะเรื่องนั้นอีก ใช่..ศพของพวกทหารองค์รักษ์ ศพที่เหมือนปีศาจนี้... พอเนโร่คิดขึ้นได้ก็หันไปว่าจะตรวจสอบศพนั้นสักหน่อย แต่องค์รักษ์และอัศวินจำนวนหนึ่งเข้ามาเสียก่อน เนโร่จึงสอดมือขวาซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนจะเดินไปหาเครโด้ที่เดินเข้ามาพอดี

...อย่างน้อยก็ต้องไปรายงานซินะ หมอนั้นหนีไปได้ แถมยังเป็นปีศาจอีก... เนโร่รวบรวมความคิดใหม่ ก่อนจะหันไปมองศพอัศวินองค์รักษ์ ซึ่งศพเหล่านั้นตอนนี้กำลังถูกขนย้ายออกไป ท่ามกลางน้ำตาและความโศกเศร้าของอัศวินคนอื่นๆ ใบหน้าของศพไม่มีอะไรแปลกไป เป็นหน้าของมนุษย์ที่ถูกสวมฮู๊ดปิดหน้าปิดตาไว้เรียบร้อย หรือว่าที่เห็นเมื้อกี้เนโร่จะตาฝาดไปเอง เนโร่เลยไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี เลยได้แต่ก้มหน้า


“โทษที...ปล่อยให้หนีไปจนได้”


+++++++++++++50%++++++++++++++

ต่อเลยน่อ(ขอโทษที่สายจ้า)



…Dante Side…

ถ้าจะให้พูดถึงสาเหตุที่เค้าต้องมาถึงที่นี้ คงต้องเล่ากันยาว ถ้าเป็นแบบสั้นๆง่ายๆก็คงต้องโยงไปถึงอัศวินปีศาจสปาด้า เป็นตำนานที่เค้าเชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ซิ...จะว่าเชื่อก็ไม่ได้ มันก็แค่เรื่องที่ไม่เคยเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริงต่างหาก ทำไมถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ก็เพราะดันเต้เป็นลูกชายของสปาด้านั้นเอง

เมื่อ2,000ปีก่อน ปีศาจกดขี่ ข่มเหงฆ่าฟันมนุษย์ไปทั่ว เค้าจึงได้โค่นล้มราชาโลกปีศาจและเป็นปีศาจที่นำความสงบสุขมาสู่โลกมนุษย์ เป็นยอดนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกปีศาจ เป็นวีรบุรุษในตำนาน ซึ่งเรื่องนี้เป็นตำนานที่ดันเต้ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ

ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่สปาด้าก็ได้ผ่านการเดินทางที่แสนยากลำบากมาถึงโลกมนุษย์จนได้ และเค้าก็ได้พบกับมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ของดันเต้และตกหลุมรักเธอเหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นยังไง ดันเต้เองก็ไม่รู้รายละเอียดแล้ว เพราะตอนที่พ่อยังอยู่กับแม่นั้น เป็นช่วงเวลาที่เค้ายังเด็กมาก จนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่ดันเต้รู้ก็คือ พ่อของเค้าเป็นวีรบุรุษที่น่าภาคภูมิใจและแม่ของเค้าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก และตัวเค้าเองก็คือหนึ่งในฝาแฝดที่เกิดจากจิตวิญญาณที่สูงส่งเหล่านั้น นี้เป็นความเชื่อของดันเต้ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นดันเต้จึงลุกขึ้นยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่พยายามค้นหาอะไรเกี่ยวกับพ่อของเค้า

เรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานของสปาด้านั้น รายละเอียดมีมีเพียงแค่หน้าเดียวก็คือ เค้าได้โค่นล้มราชาปีศาจที่โลกปีศาจ แล้วหลังจากนั้นเรื่องเล่าอื่นๆในช่วง2,000ปีก่อน สปาด้าไปทำอะไรที่ไหนล่ะ จากที่ดันเต้ลองตรวจสอบพบว่า สปาด้าอาศัยอยูในเมืองๆหนึ่งขึ้นนั้นก็คือ เมืองฟอร์ทูนน่า แต่นี้ก็เป็นแค่เรื่องเล่าปากต่อปาก เค้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ มันก็แค่ตำนาน เทพนิยายอย่างหนึ่งสำหรับเค้า เพราะพวกข่าวโคมลอย เรื่องแต่งขึ้นเกี่ยวกับสปาด้ามันมีเยอะพอสมควร เค้าเลยคิดว่าเมืองฟอร์ทูนน่านี้ก็คงเป็นเรื่องแต่งขึ้นเหมือนกัน

แต่ว่า...ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอยู่จริง ดันเต้เพิ่งได้พิสูจน์ก็ครั้งนี้ล่ะ สำหรับเค้าแล้วสิ่งที่เค้าติดใจอีกเรื่องก็คือ เด็กหนุ่มคนนั้น ไม่รู้จักชื่อ ไม่เคยเห็นหน้า แต่ดันเต้รู้จัก...รู้จักคนที่มีแววตาเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้น ไม่เหมือนเค้าแต่ต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสปาด้าแน่นอน นี้เป็นอีกเรื่องที่เค้าต้องค้นหา...

ดันเต้เดินไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่ปราสาทฟอร์ทูนน่าไปพรางใช้ความคิดของตนเองไปพราง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆแล้วส่ายหัว

“เอาล่ะ จะทำยังไงต่อล่ะทีนี้” ดันเต้ว่าพรางเร่งฝีเท้าขึ้น มุ่งสู่จุดนัดหมายต่อไปนั้นก็คือปราสาทฟอร์ทูนน่า ถ้าไปไม่ทันเวลานัดคงแย่ เจ้าหล่อนยิ่งเป็นคนรักษาเวลาอยู่ หน้าตาของเธอเหมือนแม่ของดันเต้มากก็จริง แต่ถ้าใหเทียบกับนิสัยรายละเอียดอื่นๆนี้...ไม่เหมือนเลยสักนิด...


“แต่ว่า...เวลาโมโหเนี้ย เหมือนกันชิบเป๊งเลย” ดันเต้หัวเราเบาๆก็จะเร่งฝีเท้ากลับไปสนใจเส้นทางเบื้องหน้าอีกครั้ง



…Nero Side…


ระหว่างที่ฝ่ายอื่นๆกำลังทำความสะอาด เก็บกวาดสถานที่น่าสยดสยอง นองเลือดนี้ เนโร่ก็ได้แต่ยืนรอไม่ไปไหน ที่จริงเนโร่อยากจะกลับไปนอนพักที่หอพักสักแป๊บนึงก่อนแต่ติดอยู่ตรงที่เครโด้ไม่อนุญาต แต่สถานการณ์แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะห้ามหรอกนะ

เนโร่ต้องมีส่วนรับผิดชอบเรื่องที่ปล่อยให้ชายชุดแดงที่เป็นผู้สังหารเคียวโกหนีไปได้ แถมยังโหดร้าย ป่าเถื่อน(ฆ่าไปทั่ว)ขนาดนั้น ต้องป้องกันไม่ให้หมอนั้นไปฆ่าใครที่ไหนอีก ไม่ให้ใครต้องมาตายเพราะความโหด*****มของหมอนั้น อีกอย่างหมอนั้นยังเป็นมือสังหารที่เป็นผู้สังหารเคียวโกอีก ในฐานะของอัศวินภาคีแห่งดาบ เค้าจึงจำเป็นต้องตามล่าเพื่อเกียร์ติแห่งอัศวินภาคี และเพื่อรักษาชื่อเสียงนี้ เครโด้จึงหันมาทางเนโร่เพื่อมอบหมายภารกิจ

“เจ้านั้น มันมุ่งหน้าไปทางปราสาทฟอร์ทูนน่า...ตามหมอนั้นไปซะ” เครโด้สั่ง แต่จากที่เนโร่ลองต่อสู้ด้วยแล้วเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเค้าจะโค่นหมอนั้นลงได้รึเปล่า...

“งั้นก็เอาดาบนั้นมาให้ฉันยืมเซ่ บอกเลยนะว่าครั้งนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ จากที่สู้กันเมื่อกี้บอกได้เลยว่าคาริเบอร์ธรรมดาทำอะไรหมอนั้นไม่ได้” สำหรับคนที่รักเกียร์ติยศและหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก รู้อยู่หรอกว่าจะขอยืมดาบที่เปรียบเหมือนเกียร์ติยศของเครโด้ย่อมเป็นเรื่องยาก แต่จะให้ใช้แขนขวาพร่ำเพรื่อก็ไม่ได้ด้วย จะให้สู่มือเปล่าก็ยิ่งแย่ มันถึงจำเป็นต้องเอ่ยปากขอ แต่เครโด้ก็แค่หันมามองแล้วพูดตัดเยื้อใยทันที “...ไม่จำเป็น”

จะว่าไป...เนโร่ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่อยู่ๆประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงลากที่ก้องกังวานไปทั้งโรงละครโอเปร่าพอหันไปมองจึงรู้ว่าทำไมถึงไม่ให้ยืม เพราะตอนนี้คีรี่ย์กำลังลากอะไรบางอย่างเข้ามา ของที่ท่าทางจะหนักมาก น่าจะเป็นกล่องที่ใช้ใส่ดาบเรดควีน

“อุตส่าห์ไปเอามาให้ซินะ” เนโร่ว่า คีรี่ย์หันไปทางคีรี่ย์ “พี่ขอร้องมาน่ะ...เห็นว่ามันจำเป็น”

ความจริงคีรี่ย์ไม่จำเป็นต้องไปเอามาให้เองก็ได้ แต่เนื่องจากสภาพของอัศวินทั้งหลายที่กำลังตกอยู่ท่ามกลางสับสน ปั่นป่วนทางจิตใจ ไหนจะต้องแบ่งคนไปคอยสกัด ตามล่าเจ้าชายชุดแดงนั้นอีก ไม่มีใครมาสนใจที่จะส่งของให้หรอก เนโร่เดินไปหาคีรี่ย์ก่อนจะยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะดึงเคสนั้นมาแล้วเปิดขึ้นประกอบ

“ช่วยได้มากเลยล่ะ ถ้ามีไอ้นี้ล่ะก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ” แม้ดาบดูแรนดัลของเครโด้จะเป็นดาบชั้นยอดแค่ไหน แต่ดาบอะไรก็ไม่เท่าดาบของตนเอง เรดควีนนี้ล่ะ คุ้นมือที่สุดแล้ว... เนโร่เปิดเคสออกมาแล้วเริ่มประกอบดาบเรดควีนที่Modifierแล้ว ดาบไหมที่ฝ่ายการปรับปรุง ซ่อมแซมได้กลิ่นน้ำมันที่ใช้อาบล้างป้องกันสนิมชุนไปหมด จะว่าไป...เนโร่ก็ไม่ได้เกลียดกลิ่นน้ำมันนี้หรอกนะ

“แล้ว...เมื่อกี้บอกว่าปราสาทฟอร์ทูนน่าซินะ” เนโร่กลับเข้าไปยังหัวข้อสนทนาที่คุยกับเครโด้ค้างไว้พรางประกอบดาบเรดควีนไปพราง

“หลังจากที่หมอนั้นหนีไปแล้ว มีคนเห็นว่าหมอนั้นมุ่งไปทางนั้นน่ะ จุดประสงค์นี้ยังไม่รู้แน่ชัด” จากคำบอกเล่า อย่างน้อยก็ทำให้เนโร่สบายใจไปได้เปราะนึงที่หมอนั้นยังไม่หลบหนีออกจ
ากฟอร์ทูนน่า อาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรที่มีป้อมปราการรอบด้าน และมีป้อมปราการขนาดใหญ่ที่เป็นเส้นทางเข้าออกเพียงเส้นทางเดียว ถึงจะมีทางออกไปทางอื่นอย่างทางทะเล แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดินทางออกไป เพราะการนั่งเรือออกไปก็ต้องใช้เวลาอยู่กลางทะเลนั้นไม่ใช่น้อย เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง...แต่ที่แน่ๆคือ ทำไมหมอนั้นไม่หนี แถมยังมุ่งไปยังปราสาทฟอร์ทูนน่าอีก หมอนี้มันลึกลับจริงๆ พูดอะไรก็ไม่รู้ ไหนจะมีจุดประสงค์อะไรก็ไม่แน่ชัดอีก

“แหม รึว่าจะเป็นคนจากกรุ๊ปทัวร์ที่มาเที่ยวที่นี้ล่ะ คงหลงจากกรุ๊ปนั้นมาล่ะมั้ง...คาดว่านะ” เนโร่พูดเล่นตามประสาคนมาดกวน แต่ได้สายตากับท่าทางจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่รับมุขของเครโด้ตอบกลับมาแทน

“ไปจับหมอนั้นมาให้ได้ ต้องจับเป็นกลับมาให้ได้ เข้าใจนะ เนโร่!” เครโด้เป็นคนที่อยู่ในอารมณ์สงบได้ทุกเมื่อ แต่ครั้งนี้กลับพูดเหมือนคนโมโห คุมตนเองให้สุขุมไม่ได้ อาจเป็นเพราะเคียวโกถูกลอบสังหารก็เป็นได้ เนโร่ที่ประกอบดาบเรดควีนเสร็จหยิบมันขึ้นมาคาดไว้ด้านหลัง “ไม่ต้องย้ำหลายครั้งก็ได้ ยังก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มันเป็นงานที่ต้องทำอยู่แล้ว”

“แต่เนโร่........เพราะมัน...เป็นงานซินะ” คีรี่ย์ที่อยู่ข้างหลังทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี เนโร่เดินเข้าไปหาพร้อมบิดเรดควีนเบาๆ “มันไม่ใช่งานอย่างเดียวหรอกนะ เพราะฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้หมอนั้นหนีไปได้ด้วยน่ะ เลยต้องมีส่วนรับผิดชอบ”

“แต่ว่า...แผลมันยังไม่หายดีนินา...” คี่รี่ย์ทำหน้าเศร้า เธอเป็นคนแบบนี้เสมอ เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสมอ เนโร่ไม่อยากบอกความจริงเรื่องที่ว่าอาการบาดเจ็บจริงๆแล้วมันหายไปนานแล้ว ไม่อยากทำร้ายจิตใจดีงามของผู้หญิงคนนึงหรอกนะ แต่จะให้เห็นแขนขวาที่มีสภาพแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถึงไม่อยากให้เป็นห่วง แต่มันจำเป็น...จำเป็นต้องโกหก

“ไม่ต้องห่วง ถ้ามีเจ้าหนี สู้มือเดียวก็ยังไหว เชื่อชั้นเถอะ ฉันจัดการได้แน่” เนโร่จับด้ามดาบแน่น ถึงคีรี่ย์จะยังไม่คลายความเป็นห่วง แต่อย่างน้อยเธอก็ยิ้มบางส่งให้ เนโร่คลายใจก่อนจะสังเกตเห็นว่าตอนนี้ที่คอของเธอมีสร้อยที่เค้าสั่งซื้อพิเศษจากร้านขายของในเมืองนั้นห้อยอยู่ ระหว่างที่ชุลมุนมันตกหายไป คงหาเจอตอนที่มพร้อมเครโด้ ดูแล้ว...มันก็เหมาะกับเธอไม่น้อยเลย

เนโร่มองสร้อยเส้นนั้นสักพัก คีรี่ย์ก็รูสึกตัวก่อนจะยิ้มให้ เนโร่หัวเราะเบาๆออกมาทันที อาการแบบนั้นของคีรี่ย์ใครใจแข็งทนได้นี้...คงไม่มี....เป็นอันต้องตกหลุมรักหมดแน่

“...ฉันจะกลับรอที่สำนักงานใหญ่” เครโด้ว่าพรางก้าวไปที่ทางออก เนโร่เกลี้ยผมของคีรี่ย์เบาๆก่อนจะเดินนำไป “จะไปส่งถึงข้างนอกนะ”

จังหวะนั้นอยู่ๆพื้นก็สะเทือนขึ้นมา ทุกคนในบริเวณนั้นหันมองรอบด้านอย่างหวาดระแวง ไมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แน่ๆต้นเสียงมาจากด้านนอกโรงโอเปร่านี้ บรรยายกาศภายนอกก็เงียบผิดปกติ ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่มือขวาที่สอดไว้ในกระเป๋าโค๊ทนั้นอุ่นขึ้นมาน้อยๆ แสดงว่ามีปีศาจอยู่แถวนี้ แถมยัง...ระยะใกล้สะด้วย พอจับสัมผัสได้เนโร่รีบหันไปมองต้นทางทันที

“คะ...ใครก็ได้...ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!” ทางกลางความเงียบจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งที่มีสีหน้าท่าทางเจ็บปวดเดินโซเซออกมาจากด้านหลังของน้ำพุกลางลานกว้างตามลำพังในสภาพบาดเจ็บ แถมไม่มีชาวเมืองคนอื่นอีก เครโด้ชักดาบออกมา เนโร่เองก็ชักปืนออกมาโดยหันปากกระบอกไปที่ทิศทางนั้นเพื่อคุมเชิง คนอื่นๆหมายจะตรงเข้าไปช่วยประคองชายคนนั้น แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่แสนน่ากลัวจะดึงขึ้นพร้อมกับสเกลโคร์วตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากน้ำในน้ำพุ ก่อนจะใช้ดาบที่ติดอยู่กับตัวแทงลงไปกลางหลังชายคนนั้น แม้เนโร่จะเตรียมยิงไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยิงไม่ทัน...

หลังจากที่แทงชายคนนั้นแล้วมันก็ลากพาเข้าไปหลังน้ะพุก่อนที่ผู้คนจำนวนมากจะแตกตื่น วี๊ดร้องด้วยความกลัวและหนีตายกันอลหม่านออกมาจากพื้นที่ต่างๆ จากนั้นสเกลโคร์วอีกจำนวนหนึ่งก็ปรากฎตัวออกด้วย คาดว่าชาวเมืองคงหนีตายจากเจ้าพวกนี้มา

การที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้นใกล้กับตัวเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะระหว่างทางที่เนโร่ออกจากป่ามุ่งสู่ตัวเมืองเกิดเจอ แต่ครั้งนี้ปรากฎตัวขึ้นในเมือง แถมเป็นบริเวณใกล้กับโรงโอเปร่าที่อยู่ใจกลางเมืองอีก ขนาดปีศาจที่ปรากฏตัวนอกป่าใกล้เมืองยังหายากแล้ว หลายปีจะมีสักครั้งเท่านั้นที่จะปรากฎตัวขึ้นในเมือง

“หรือว่า...นี้จะเป็นฝีมือของหมอนั้นด้วย” เนโร่ถามเครโด้ หลังจากที่เคียวโกถูกฆ่า คนที่จะสั่งการหรือควบคุมงานต่างๆ มีแค่เครโด้เท่านั้นที่รู้เรื่อง เครโด้กระชับดาบในมือแน่น “ไม่รู้...เรื่องนั้นน่ะ...”

ชาวเมืองต่างวิ่งหนีไปทางที่อัศวินส่วนใหญ่กำลังจะมุ่งไป จุดมุ่งหมายก็คือ สำนักงานใหญ่ภาคีแห่งดาบ สถานการณ์หน้าโรงโอเปร่านั้น ตอนนี้โกลาหลไปหมดทั้งจำนวนคนที่หนีตายและจำนวนสเกลโคร์ว เนโร่ไม่สามารถใช้ปืนล็อกเป้ายิงได้เลย เพราะความเสี่ยงที่ชาวเมืองจะโดนลูกหลงค่อนข้างสูงทีเดียว ชาวเมืองถูกฆ่าไปทีละคน คีรี่ย์ที่หลบอยู่ด้านหลังก็มีท่าทีตื่นกลัว เนื้อตัวสั่น ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็...

“เครโด้” เครโด้หันมา เนโร่พยักเพยิด “ฝากคีรี่ย์กับเรื่องอพยพชาวเมืองด้วย ส่วนปีศาจพวกนี้ฉันจัดการเอง”

เนโร่จับที่ด้ามดาบของเรดควีนก่อนจะบิดคันเร่งเบาๆเร่งความร้อนของดสบ ก่อนอื่นต้องจัดการเจ้าพวกนั้นให้หมดทั้งลานกว้างนี้ และระวังให้ชาวเมืองเดือดร้อนและหนีไปอย่างปลอดภัย

“เนโร่! เรื่องอพยพชาวเมือง ฉันจะพาไปที่สำนักงานใหญ่ก่อน นายก็เหมือนกัน ถ้ามีอะไรก็กลับไปที่สำนักงานใหญ่ซะ ตกลงนะ” เครโด้ตะโกนบอก เนโร่ฟันสเกลโคร์วแล้วเตะกระเด็นกันจะหันไปหาเครโด้ “รับทราบ!”

สเกลโคร์วจะมีกี่ตัวก็ช่าง ถ้าในมือยังมี้รดควีนอยู่ ไม่ว่ายังไงเนโร่ก็สามารถจัดการๆได้ แต่ถ้าไม่มีใครอยู่แถวนี้ล่ะก็...เนโร่ก็จะใช้แขนขวาแทน เพื่อความสะดวกแก่การกำจัดเจ้าพวกนี้ ระหว่างที่จัดการสเกลโคร์วและอพยพคนให้หมดนั้น มีเด็กคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้อยู่ท่ามกลางศพผู้เสียชีวิต คาดว่าคงจะเสียใจที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายแน่ๆ คีรี่ย์ที่เห็นเด็กคนนั้นยืนอยู่รีบเข้าไปพาเด็กคนนั้นออกมา แต่จังหวะนั้นสเกลโคร์วตัวหนึ่งที่เล็งเด็กคนนั้นก็กระโดดเข้าหมายจะฆ่าทิ้งเช่นกัน พอเธอเห็นว่าปีศาจนั้นกระโดดเข้ามาและดูท่าว่าจะหลบไม่พ้นก็รีบใช้แผ่นหลังบังตัวเด็กคนนั้นไว้ ...จะปล่อยให้แผ่นหลังบางของคีรี่ย์รับดาบจากสเกลโคร์วได้ยังไง...

เนโร่รีบวิ่งเข้าไปช่วย กดให้คีรี่ย์ก้มลงก่อนจะใช้เรดควีนนั้นฟันเข้าไปที่สเกลโคร์วนั้นจนกระเด็นออกไป คีรี่ย์ลืมตาขึ้น “นะ...เนโร่”

“ช่างก่อนเถอะ ตอนนี้รีบหนีไปซะ เร็วเข้า!!” เนโร่ตะคอกใส่ก่อนจะชักปืนออกมายิงใส่สเกลโคร์วพวกนั้น คีรี่ย์ลุกขึ้นแล้วรีบพาเด็กคนนั้นตามอัศวินคนอื่นๆมุ่งหน้าไปยังสำนักงานภาคีทันที ..คีรี่ย์ เธอเป็นคนชอบช่วยเหลือคน การที่ต้องสละชีวิตเพื่อช่วยคนๆหนึ่งนั้น จะได้รับคำสรรเสริญจากคนทั้งหลายไหม อาจได้รับ แต่สำหรับคีรี่ย์แล้ว การได้ช่วยเหลือคนนั้นสำหรับเธอเป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ต้องการคำสรรเสริญ แค่ปกป้องใครคนหนึ่งได้ เธอก็ดีใจแล้ว ซึ่งนี้ก็คือจิตใจที่แสนดีงามของเธอนั้นเอง... และเพื่อจะปกป้องเธอที่มีจิตใจดีงามนั้น เนโร่จำเป็นต้องมีพลัง

พอเนโร่หันไปรอบๆพบว่าไม่มีใครอยู่และไม่รู้สึกถึงผู้คนในบริเวณนี้ เนโร่ก็ยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะชักมือขวาออกมาจากกระเป๋าโค๊ท

“เอาล่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนะ จากนี้ไปเป็นของจริงล่ะ” เนโร่ว่าพรางใช้เดวิลบริงเกอร์คว้าขาขวาสเกลโคร์วที่กระโจนเข้าใส่แล้วควงไปรอบๆ ...ถ้ามีทั้งเรดควีนและแขนขวานี้ จำนวนปีศาจเยอะขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ปัญหา ฆ่าล้างบางได้ไม่ยาก...

“เห...ยังจะขวางเต็มถนนอยู่อีกเหรอ” เนโร่ปาสเกลโคร์วในมือไปที่ซุ้มประตูโค้งเส้นทาง แรงกระแทกทำให้โค้งประตูถล่มลงปิดทางไปยังสำนักงานใหญ่ บางตัวที่โดนลูกหลงกระเด็นออกจากถนนไป จนตอนนี้ที่เหลืออยู่ตรงหน้าเนโร่เหลือแค่ สเกลโคร์วไม่ถึง10ตัว ที่เหลือนี้คงต้องลงมือจัดการเอง

เนโร่ใช้เดวิลบริงเกอร์คว้าก่อนจะจับทุ่มลงพื้นอย่างแรง อีกตัวหนึ่งใช้ปืนยิง จากนั้นก็มีสเกลโคร์วอีกสี่ตัวพุ่งเข้าใส่เนโร่พร้อมกัน เนโร่เลยใช้เรดควีนสกัดและบิดคันเร่งที่ดาบเพื่อต้านแรงปะทะ ซึ่งแรงของสเกลโคร์วสี่ตัวก็ไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว

“ฮะฮ่า” เนโร่บีบ****บิดคันเร่งเพิ่มให้เอ็กชีทส่วนความร้อนของตัวดาบจนความร้อนพุ่งขึ้นสูงสุดของเกจ

“ไปล่ะนะ...” เนโร่เปิดเอ๊กชีทเต็มที่แล้วออกแรงดันเรดควีน เปลวไฟจำนวนมากออกมาจากตัวดาบก่อนที่จะหมุนตัวเล็กน้อยแล้วฟันสเกลโคร์วทั้งหมดขาดกระเด็น จากนั้นควันสีดำจำนวนมากก็ทะลักออกมาพร้อมกับร่างที่สลายไป

จากนั้นก็มีสเกลโคร์วอีกตัวหนึ่งจากด้านหลัง เนโร่คว้าร่างของสเกลโคร์วนั้นขว้างลงพื้นและใช้ดาบเสียบลงไปที่ร่างของสเกลโคร์วนั้นแล้วเร่งคันเร่งของเอ๊กชีทเต็มที่ ใช้ร่างของสเกลโคร์วนั้นแทนขา

“จะตายน่ะมันยังเร็วไป...ความสนุกน่ะมันกำลังจะเริ่มขึ้นต่างหาก” ว่าแล้วเนโร่ก็ออกตัวสไลด์ไปรอบๆและใช้ปืนยิงใส่สเกลโคร์วไปทีละตัวๆ แล้วใช้เดวิลบริงเกอร์จัดการอีกที นี้ล่ะวิธีที่ดีและได้ผลที่ดีสุด จนตอนนี้สเกลโคร์วที่อยู่ตรงลานกลางถูกฆ่าตายหมด เหลือแต่ตัวที่เนโร่ใช้เมื่อสักครู่ที่ยังรอด

“ขอบใจมาก ช่วยได้เยอะเลยล่ะ” ว่าแล้วเนโร่ก็มองไปรอบๆพบว่า มีประตูที่พอจะไปได้อยู่หนึ่งแห่ง ประตูนั้นเป็นจุดที่สเกลโคร์วสี่ตัวพุ่งออกมานั้นเอง เนโร่ชะเง้อมองเข้าไปในประตูที่เปิดทิ้งไว้

“คง...ปลอดภัยแล้วมั้ง” เนโร่มองซ้ายมองขวาไม่พบอะไรจึงเดินเข้าไปข้างใน ภายในอยู่ในสภาพระเกะระกะ แถมต้องเดินอ้อมข้ามตึก ผ่านอาคารไปอีกหลายชั้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถือซะว่าเป็นการวอร์มก่อนปะทะกับชายชุดแดงนั้นอีกรอบก็แล้วกัน




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะจ้ะ
ตอนต่อไป เจอกันเดือนหน้า 12 July โดยประมาณน่อ
ขอบคุณอีกครั้งน่อ


ปล.สำหรับคนที่สนใจอยากซื้อฉบับญี่ปุ่น ถ้ามีISBNของหนังสือก็สั่งซื้อได้ที่Tokyo Domeน่อ
เพราะเราก็ไล่ซื้ออย่างอื่น เช่น Bleach,Final Fantasy ฉบับญี่ปุ่นจากที่นี้จ้า
สำหรับISBNของเล่มนี้ทั้งเล่มคือ ISBN978-4-04-419222-8C0193น่อ

Jerryboyz57
10th June 2012, 00:57
ขอบคุณมากครับดีใจจังมีคนแปลให้อ่าน วู้ฮู้ว เป็นกำลังใจนะครับ จะรอครับ

atomza07
10th June 2012, 13:32
"เพราะถ้าไร้พลัง ก็ไม่สามารถปกป้องใครได้" นี่มันคำพูด Vergil ชัดๆ กับคำว่า "...พลังเท่านั้น..." สมกับเป็นลูก Vergil 555

Jerryboyz57
18th June 2012, 18:26
อ้าก ในที่สุดก็มาแล้วโว้ย ฮ่าๆ

THE MIZ
23rd June 2012, 10:39
นึกว่าเอาเนื้อเรื่องจากเกมมา อิอิ ล้อเล่น

Devil-Dante
12th July 2012, 23:52
มาตามนัดแล้วน่อ...

Devil May Cry: Deadly Fortune 1


Stage 04



Part ภาคีแห่งดาบ


ชั้นบนสุดของอาคารที่ทำการสำนักงานใหญ่แห่งภาคีแห่งดาบที่ชั้นบนสุดนั้น มีห้องกว้างอยู่ห้องหนึ่ง ห้องนั้นคือ ห้องนอนของเคียวโกแซงค์ทุส เคียวโกแซงค์ทุสที่ถูกลอบสังหารอย่างฉับพลัน...ตอนนี้กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ตามปกติเวลาที่มีผู้เสียชีวิตในภาคี จะมีการนำผ้าขาวมาปกปิดใบหน้าไว้ แต่ร่างของเคียวโกที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้น กลับไม่มีผ้าขาวคลุมปิดใบหน้าไว้ อีกทั้งยังไม่มีรอยกระสุนที่ถูกยิงตรงบริเวณหน้าผากด้วย

เงียบๆ เหมือนกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่รอคอยการกลับมาของเจ้าขอ เครโด้ในขณะนี้ก็มีท่าทีเหมือนกับรอการฟื้นคืนของนายเหนือของเค้าเช่นกัน จนในที่สุดเวลานั้นก็มาถึง...เวลาการตื่นจากการหลับใหล...

ร่างของเคียวโกแซงทุสที่หลับตานิ่งนั้น จู่ๆก็กระตุกขึ้นอย่างแรง มีแสงแปลกประหลาดสว่างวาบขึ้น เครโด้ที่เห็นอาการแบบนั้น ไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ร่างของเคียวโกกระตุกสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้งก่อนที่อาการจะค่อยสงบลงและดวงตาก็ค่อยๆลืมขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาที่ไม่ใช่ของมนุษย์...นัยตาสีแดงเข้ม... แต่นัยน์ตานั้นส่องสว่างอยู่เพียงแวบเดียวก่อนที่เคียวโกจะหลับตาลงและลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ สีนัยน์ตาได้กลับคืนเป็นสีเดิมของมนุษย์แล้ว

“ตื่นแล้วหรือขอรับ” เครโด้เอ่ยทักเคียวโกแซงทุส แซงทุสหันไปทางเครโด้ “...เครโด้เองรึ”

“ขณะนี้ข้ากำลังส่งอัศวินในสังกัดตามแกะรอยดันเต้อยู่ขอรับ” เครโด้ทำท่าเคารพก่อนจะรายงานความคืบหน้า ซึ่งแซงทุสเองก็พยักหน้ารับ

“เจ้าหมอนั้น...” แซงทุสรู้อยู่แล้วว่าดันเต้หมายหัวเค้าอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะกล้าลงมือในงานเทศกาลของภาคีที่มีผู้คนเข้าร่วมเป็นจำนวนมากและมีการอารักษ์หนาแน่นขนาดนี้ ถือเป็นความอัปยศที่น่าแค้นใจที่สุดอย่างหนึ่งของเคียวโกเลยทีเดียว

“ถ้าไม่ใช้วิธี “อวตารกลับสู่สวรรค์” ล่ะก็...ป่านนี้ฉันคงตายไปแล้วแน่ๆ” แซงทุสใช้วิธีปลุกพลังปีศาจในกายขึ้นมาเพื่อรักษาชีวิตในร่างมนุษย์ไว้ ถึงเค้าจะไม่อยากให้พลังปีศาจที่อุตส่าห์เก็บสะสมมาต้องตื่นขึ้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซึ่งวิธีนี้เค้าคิดว่า...คงต้องใช้กับผู้นับถือ,อัศวินคนอื่นๆในภาคีเพิ่มเสียแล้ว...

ขณะที่กำลังคิดถึงแผนการต่างๆ จู่ๆชายอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเครโด้ สวมเครื่องแบบสีขาวคล้ายเครโด้ แต่จากกิริยาท่าทางแซงทุสจำได้ทันทีว่า เค้าคือหัวหน้าหน่วยวิจัยของภาคี แอ็กนัส

“ท่าน...เคียวโก! ฟื้นแล้วหรือขอรับ...” แอ็กนัสที่ชะเง้อมองจากด้านหลังเครโด้เอ่ยทักแซงทุส แอ็กนัสพยายามจะเข้าไปหา แต่จนแล้วจนรอดเครโด้ก็ขวางไว้ เลยได้แต่ทำท่าจะโวยวาย แต่ก็เกรงใจเคียวโกแซงทุสที่ยังนอนอยู่บนเตียง

แซงทุสที่นอนอยู่บนเตียงนั้น ด้วยอาการที่เพิ่งตื่น จึงได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆไปให้เท่านั้น แอ็กนัสเห็นเพียงเท่านั้นก็ถึงกับยิ้มออกมาและทำให้แอ็กนัสพยายามจะเข้าหาอีกครั้ง แต่เครโด้ก็ยังยืนขวางเหมือนไม่อนุญาตให้เข้าใกล้อยู่ดี

“เจ้าเด็กเวรที่ชื่อ เนโร่มันตามสะกดรอยดันเต้อยู่ใช่ไหม” แอ็กนัสว่า เครโด้เพียงหรี่แล้วเหล่มองเล็กน้อย “แล้ว...มีปัญหาอะไรรึไง”

สำหรับเครโด้นั้น คนที่มีความสามารถในภาคีแห่งดาบนั้นมีมากมาย มีฝีมือไม่น้อยกว่าเนโร่ก็มีแต่ที่เลือกเนโร่ให้ทำภารกิจนี้เพราะมันเป็นหน้าที่ที่เนโร่ต้องรับผิดชอบเท่านั้น

“ปะ...ปะ...ปัญหางั้นเหรอ ปัญหาน่ะมีแน่! ปัญหาใหญ่ด้วย!! ไอ้บ้างี่เง่าเอ๊ย!!!” แอ็กนัสตะคอกสืทันที ตอนแรกกะจะดาสยาวให้เจ็บแสบสักหน่อย แต่ต่อหน้าเคียวโกก็ต้องรักษากิริยา แอ็กนัสจึงนิ่งเงียบไปพักนึง แล้วเรียบเรียงคำพูดขึ้นใหม่

“ถะ..ถะ...ถ้ามันเห็นห้องวิจัยของฉันเข้า จะทำยังไงล่ะ! เจ้าเด็กนั้นมันยังไม่เคยผ่านการ “อวตารกลับสู่สวรรค์”ของพวกเรา ถะ...ถะ...แถมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาคีของเราสักนิด ใช้ผู้นับถือเช่นพวกเรารึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะ...ฉะ...ฉะ...”

“สิ่งสำคัญตอนนี้คือการจับตัวดันเต้มาให้ได้ก่อนไม่ใช่รึไง”ยังไม่ทันที่แอ็กนัสจะพูดจบ เครโด้ก็พูดแทรกขึ้นมา เค้ารู้ดีว่าเนโร่ไม่ใช่สมาชิกระดับสูงและไม่รู้เรื่องภายในของภาคีเลย เข้าใจดีว่ามันจะส่งผลเสียอะไรบ้าง แต่ถ้าพูดถึงความเหมาะสมที่จะเป็นคู่มือให้กับดันเต้นั้น มีแต่เนโร่เท่านั้นที่พอจะรับมือได้ ทั้งที่ยังไม่ผ่านการอวตารเหมือนคนอื่นๆในภาคี แต่เค้ากับมีพละกำลังมากกว่ามนุษย์ทั้วไป อีกทั้งเหตุการ์ลอบสังหารครั้งนี้ รวมถึงการปรากฏตัวของดันเต้เองก็เหนือความคาดหมายใดๆ ด้วยเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้จะอธิบายเกี่ยวกับห้องทดลองหรือเรื่องที่ปิดบังอยู่ รวมถึงรายละเอียดอื่นๆที่เป็นความลับอื่นๆก็ไม่ได้เกริ่นไว้ จะเถียงกับแอ็กนัสอ้างปัญหาร้อยแปดตอนนี้ก็ใช่ที่ เครโด้เลยได้แต่เงียบปล่อยให้แอ็กนัสมาด่าที่หลังนี้ล่ะ

“กะ...กะ...กะ...แก!” ...ฉันจะฆ่าแก... แอ็กนัสตั้งใจจะพูดเช่นนั้น แต่ด้วยความคับแค้นใจกับอารมณ์โมโหจนพูดออกมาไม่ได้ทั้งประโยคสักที ...แอ็กนัสเป็นพวกที่ทุ่มเทให้กับงานของตนเอง เค้าพยายามหลีกหนีผู้คนไปอยู่ในห้องวิจัยของตนเอง นี้ถือเป็นข้อเสียของเค้าอย่างนึง...

“เครโด้” แซงทุสที่เห็นว่าทั้งสองคนคงเถียงกันไม่เลิกแน่ๆจึงตัดสินใจเรียกเครโด้ ซึ่งเครโด้ก็หันมาค่อมศีรษะให้เค้าและรอฟังคำบัญชา

“ไปเรียกทุกคนมาให้ที เราต้องประชุมและแสดงให้เห็นว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”

“ทราบแล้วครับ” เครโด้รับคำแล้วทำความเคารพก่อนจะเดินออกไป แอ็กนัสได้แต่มองตามร่างของเครโด้ที่เดินออกไปอย่างเครียดแค้น

“แอ็กนัส” แซงทุสเรียกแอ็กนัส เค้ารีบหันไปและเข้าไปหาแซงทุสใกล้ๆทันที “ขะ...ขะ...ขอรับ มีอะไรรึขอรับ”

แซงทุสรู้ดีว่า แอ็กนัสกับเครโด้นั้นไม่ค่อยกินเส้นกัน เครโด้เป็นหนึ่งในผู้บริหารที่มีมารยาท สง่างามและได้รับความเคารพจากเหล่าอัศวินเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับแอ็กนัสที่เป็นผู้บริหารระดับสูงคนนึงที่วันๆเอาแต่ทำงาน ไม่เป็นมิตรกับใคร เลยกลายเป็นความเลื่อมล้ำด้านฐานะที่ดูเหมือนแอ็กนัสจะด้อยกว่า

“ฉันอยากให้เริ่มปรับปรุง “เทพเจ้า” ให้สามารถใช้การได้เสียที...พอจะทำได้รึเปล่า” แอ็กนัสทำหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งกับภารกิจของตน “ตะ...ตะ...ตามประสงค์ขององค์เคียวโกขอรับ”

“อย่างนั้นหรือ...ถ้าเช่นนั้นก็ฝากด้วยก็แล้วกัน เพราะนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้” แซงทุสฝากฝังภารกิจและไม่ลืมที่จะให้กำลังใจเค้า แอ็กนัสซาบซึ้งถึงขนาดน้ำตาคลอที่มีคนมองเห็นความสามารถของตนเอง

...เครโด้ เป็นบุคคลหน้าฉากที่คอยรวบรวมความไว้เนื้อเชื้อใจจากผู้คน สร้างสมบารมีให้แก่อัศวินภาคีแห่งดาบ ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่ให้เครโด้เป็นศูนย์รวมใจ ส่วนแอ็กนัสก็เป็นบุคคลสำคัญอีกคน เพราะมีงานที่ “มีแต่เค้าเท่านั้น” ที่ทำได้อยู่ ดังนั้นคนทั้งสองจึงจำเป็นและมีความสำคัญไม่ต่างกันเลยสำหรับแซงทุส เป็นมนุษย์ที่มีประโยชน์ ไว้ถ้าหมดประโยชน์เมื่อไหร่ค่อยกำจัดทีหลังก็ได้...คิดได้ดังนั้นแซงทุสก็ยิ้มบางออกมา เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่แอ็กนัสก็ยังไม่ทันสังเกต



Nero Part

ภายในเมืองขณะนี้เต็มไปด้วยปีศาจ ทั้งในคลังเก็บของ,หอศิลป์ แม้แต่ถนนหนทางในเมืองล้วนแต่มีปีศาจปรากฏตัวออกมาเต็มไปหมด มันเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่ เป็นคำถามที่เนโร่ถามกับตนเองไปตลอดทาง เค้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร และตลอดทางจนไปถึงปราสาทฟอร์ทูนน่าเค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องฆ่าปีศาจพวกนี้อีกกี่ตัว หลังจากนี้จะโผล่มาอีกกี่ตัวด้วย

ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ช่าง ที่แน่ๆสาเหตุน่าจะมาจาก “รู” นั้นคงจะเกิดขึ้นที่ไหนสักที่แน่ๆ ถ้าจะให้สันนิฐานก็มีแต่ทฤษฎีนี้เท่านั้น เพราะโลกปีศาจที่เจ้าพวกปีศาจนั้นถูกแบ่งแยกออกจากโลกมนุษย์มานานแล้ว ไม่มีทางที่จะเดินทางไปมาได้สะดวกได้ขนาดนี้ด้วย ดังนั้นต้องมีรูอะไรบางอย่างที่เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกปีศาจเกิดขึ้นแน่นอน ยิ่งอาณาจักรฟอร์ทูนน่าแห่งนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่เกิดรูเชื่อมต่อนั้นบ่อยครั้ง ยิ่งมีความเป็นไปได้สูง

นอกจากทฤษฎีเบื้องต้นนี้แล้ว ยังมีความเป็นไปได้อีกข้อก็คือ มีมนุษย์บางกลุ่มที่สามารถเปิดรูเชื่อมต่อนั้นได้เอง ถึงมันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติจริงก็เถอะ เพราะการที่จะเปิดรูเชื่อมต่อนั้นให้ได้จะต้องใช้สิ่งของที่มีพลังปีศาจที่แข็งแกร่งมากเพื่อให้โลกปีศาจกับโลกมนุษย์เชื่อมต่อกันให้ได้ แต่ในโลกมนุษย์เนี้ย มันจะมีของพันธุ์อยู่รึเปล่า เนโร่เองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก

แต่ถ้า...ถ้าเทียบกับชายที่ลอบสังหารเคียวโกล่ะก็...หมอนั้นอาจทำได้ เพราะดาบของหมอนั้น ดาบที่ใช้สู้กับเนโร่ ดาบนั้นมันสามารถสะท้อนพลังจากแขนขวาของเนโร่ได้ ถึงจะยังมีหลักฐานแน่ชัด แต่ดาบเล่มนั้นต้องมีพลังปีศาจแข็งแกร่งอัดแน่นอยู่อย่างแน่นอน เป็นพลังปีศาจที่ระดับสเกลโคล์วเทียบไม่ติดเลยทีเดียว...นี้เป็นเรื่องที่เนโร่คิดทบทวนเรื่องราวขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังปราสาทฟอร์ทูนน่านั้นเอง

ตอนนี้เนโร่เดินทางมาถึงเหมืองแร่เหล็กของอาณาจักร เป็นถ้ำที่เชื่อมต่อกับภูเขารามิน่า หากผ่านภูเขานี้ไปได้ก็จะถึงปราสาทฟอร์ทูนน่าทันที แต่การเดินทางไปสถานที่ที่ยิ่งใหญ่นั้น เนโร่คิดว่าน่าจะสร้างเส้นทางที่สะดวก ทันสมัย ง่ายแก่การเข้าถึงมากกว่านี้อีกนิด ติดปัญหาตรงที่ชาวเมืองในอาณาจักรไม่ต้องการความทันสมัยมากเกินไป ต้องการคงไว้ซึ่งความเก่าแก่ โบราณของอาณาจักรตนเองไว้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ...ต้องการรักษาสภาพอาณาจักรที่เคยเป็นสถานที่พำนักของสปาด้าเอาไว้นั้นเอง

สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือเลื่อมใสอะไรขนาดนั้นอย่างเนโร่ เค้าเห็นว่าความสะดวกสบายควรมาก่อนเป็นอันดับแรกมากกว่าสปาด้าอะไรนั้นอีก เนโร่คิดไปเรื่อยจนเดินพ้นจากอุโมงค์เหมืองแร่ แสงสว่างจากด้านนอกทำเอาตาเนโร่พร่าไปเล็กน้อย พอปรับสภาพได้แล้วเนโร่ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

ตรงนั้นมีอะไรแปลกๆตั้งอยู่ เป็นแท่นสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทำเอาเนโร่คิดว่าตนเองคิดอะไรเพลินจนเดินมาผิดทาง เพราะใจกลางเมืองเองก็มีของที่มีลักษณะเหมือนกันตั้งอยู่เช่นกัน เนโร่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอนุสาวรีย์หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเจ้าของที่หน้าตาคล้ายอนุสาวรีย์นี้หน้าจะตั้งอยู่บนเนินแน่นอน

เนโร่เดินที่ตีนเขาใกล้เนินนั้นและหรี่ตามอง ...ไม่ผิดแน่ มันตั้งอยู่ตรงนั้น... เนโร่สรุปก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีแสงแปลกๆออกมาจากผิวแท่นสีดำนั้น

“อะไรล่ะนั้น...” เนโร่จ้องมองแสงนั้นจนเห็นว่าควันนั้นค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างสเกลโคร์วจำนวนมาก

“อย่าบอกนะว่า...ไอ้นั้นเป็นทางผ่านของพวกปีศาจ?” ถึงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่พอมาเห็นด้วยตาแบบนี้ถึงจะไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ก่อนจะไปที่ปราสาทก็คงต้องทำอะไรสักอย่างกับเจ้าแท่นนั้นก่อนซะแล้ว... เนโร่คิดไปเรื่อยๆพร้อมเดินไปสำรวจใกล้ๆอย่างระมัดระวัง แต่จู่ๆสเกลโคร์วพวกนั้นก็ถูกไฟครอกพร้อมกับแขนขวาที่รู้สึกร้อนขึ้นมาด้วย พอหันไปมองที่แท่นสีดำนั้นอีกครั้งก็พบว่าที่แท่นมีแสงสว่างจ้าส่องออกมา อีกด้านหนึ่งของแสงนั้นต้องเป็นมิติอีกมิติหนึ่งแน่นอน

“ไอ้นั้นคือ...รูเชื่อมมิติจริงๆด้วยซินะ” เนโร่พิจารณาแท่นนั้นอยู่นั้น เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรงตามด้วยร่างของปีศาจขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากแท่นนั้น เป็นปีศาจขนาดใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นและปรากฏมาก่อนในอาณาจักรนี้ ครึ่งท่อนร่างลักษณะคล้ายม้า ท่องบนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ ส่วนหัวเหมือนวัวหรือตัวประหลาดอะไรสักอย่าง มือของมันถือดาบขนาดใหญ่ที่เมื่อเทียบกับดาบของเนโร่แล้วเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

ปีศาจตนนั้นคำรามลั่น เปลวไฟจากร่างพวยพุ่งออกมากระจายไปติดอาคารต่างๆที่อยู่ในบริเวณนั้น ไหม้ลามไปทั่วบริเวณ ถึงเปลวไฟที่ร่างจะถูกปลอดปล่อยออกไปแล้ว แต่ไฟที่ลุกทั่วร่างก็ยังคงลุกไหม้เช่นเดิม ปีศาจตนนั้นหันไปมองรอบๆอย่างสนใจเล็กน้อย

“โลกมนุษย์...งั้นเหรอ 2,000ปีแล้วซินะ...” ปีศาจตนนั้นพึมพำขึ้น ซึ่งคำพูดไม่ทำให้เนโร่แปลกใจหรือตกใจได้เลย ถ้ายกตัวอย่างปีศาจที่พูดได้ก็คงเป็นปีศาจชายชุดแดงที่พบเมื่อเช้า แต่จากกรณีศึกษาที่ผ่านมามันก็สามารถทำให้เนโร่รู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างคือ ในหมู่ปีศาจมีปีศาจที่พูดภาษามนุษย์ได้และเป็นพวกที่ชอบพูดมากซะด้วย...

ปีศาจร่างยักษ์นั้นค่อยๆก้าวเดินไปบนพื้นดินจากจุดที่ตนเองกระโดดลงมาทางเนโร่ ดูเหมือนปีศาจนั้นจะมองไม่เห็นเนโร่ ไม่ซิ...คงเห็นว่าเนโร่เป็นแมลงกระจอกที่ออกมาเดินเล่นบนทางเดินที่มันจะเดินผ่านมากกว่า... เล่นเอาเนโร่หัวเสียทันที เนโร่จึงเดินเข้าไปหามันบ้าง

...ร้อนชะมัด เหมือนอยู่ใจกลางพื้นพิภพที่เต็มไปด้วยไฟและความร้อน... สำหรับเนโร่ที่เกลียดความร้อนเป็นที่สุดเค้าบ่นในใจอย่างหัวเสียอีกครั้ง

ทั้งเนโร่และปีศาจร่างยักษ์นั้นค่อยๆเดินเข้าหากันทีละก้าวๆ ระยะห่างของทั้งสองเริ่มลดลง แต่ทั้งปีศาจนั้นและตัวเนโร่เองก็ไม่มีทีท่าเปลี่ยนแปลงหรือเตรียมรับมีอะไร จากท่าทางนี้ทำให้เนโร่มั่นใจว่า เจ้าปีศาจตัวโตนี้มันเห็นว่าเค้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาไม่ควรค่าที่จะเป็นคู่ต่อสู้ด้วย

...ถ้าอย่างงั้น ทางนี้คงต้องประกาศตัวสักหน่อยแล้วว่าฉันเองก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเช่นกัน... หลังจากที่เนโร่เดินสวนกับปีศาจนั้นแล้ว เค้าก็เอื้อมมือไปจับที่ด้ามred Queenจากนั้นบิดเอ๊กซ์ชีททั้งหมดที่มีจากนั้นหมุนตัวไปรอบๆเพิ่มแรงตวัดดาบให้ขยายวงกว้างขึ้น ด้วยวิธีนี้ทำให้แรงลมจากการตวัดดาบขยายไปรอบด้าน ดับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ทั้งหมดลง ปีศาจตัวนั้นชะงักก่อนจะหันกลับมา “โห... น่าสนใจดีนี้”

“พอดีไม่ค่อยถูกกับอากาศร้อนเท่าไหร่น่ะ” เนโร่ว่าแล้วก็เก็บดาบ คาดไว้ด้านหลังเหมือนเดิม ปีศาจร่างยักษ์นั้นหรี่ตามองและทำท่าเหมือนพยายามดมพิสูจต์กลิ่นบางอย่าง ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย “...ไม่ได้เจอมนุษย์ปากดีแบบนี้มากว่า 2,000ปีแล้วซินะ”

“เหรอ เป็นคุณปู่ที่อายุยืนจังเลยนะ แล้วอยากจะลองอีกสัก 2,000ปีไหม จะได้รู้ว่าหลังจากนี้จะมีแบบนี้อีกรึเปล่า” ปีศาจตนนั้นหัวเราะให้กับคำพูดของเนโร่ก่อนจะยกดาบขึ้น

“ปากดีนักนะแก!!!” ว่าแล้วก็ใช้ดาบใหญ่นั้นพุ่งเข้าใส่เนโร่ทันที


http://fc06.deviantart.net/fs70/f/2011/302/1/a/berial_vs_nero_by_naild-d4ebvnp.jpg

...ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่เนโร่จะเจอกับชายชุดแดง เนโร่คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ยังไง จะสู้ไหวไหม จะหยุดดาบนั้นยังไง คงสับสนไปหมด แต่นี้เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เจอกับชายชุดแดงนั้น เจ้าปีศาจที่อยู่ตรงหน้านี้เลยไม่สามารถข่มขวัญเค้าได้เลยแม้แต่น้อย ดาบนั้น...ทั้งความรวดเร็ว ความรุนแรงในการโจมตีเทียบกับหมอนั้นไม่ได้เลย...เนโร่ชักดาบเรดควีนของตนเองออกมา ...ไม่น่ามีปัญหา...

เนโร่ใช้ดาบเรดควีนแทงลงไปที่จุดกึ่งกลางของดาบยักษ์ที่พุ่งเข้าหาตัว ซึ่งเค้าสามารถสกัดการโจมตีของดาบนั้นได้ด้วยมือเดียวก่อนจะสะท้อนกับไป ทำเอาปีศาจร่างยักษ์นั้นถอยไปหลายก้าว มันมองย่าพอใจก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“อย่างงี้นี้เอง... พอมีพลังมากพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับข้าได้ซินะ” ปีศาจร่างยักษ์นั้นสะบัดดาบก่อนจะคำรามลั่นอีกครั้ง เปลวเพลิงจากร่างพวยพุ่งออกมาและลุกไหม้อย่างรุนแรง

“จงดูพลังของข้าไว้ให้ดี เจ้าเด็กเปรต!!! นามของข้าคือBerial ผู้ควบคุมอำนาจแห่งเปลวเพลิง!” ว่าแล้วBerial ก็ฟาดดาบไปที่เนโร่ เนโร่กระโดดถอยหลังหลบคมดาบนั้นพร้อมกับยิงสวนไปที่ร่างของBerial แต่เปลวเพลิงจากร่างของมันที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงก็เหมือนกับมีบาเรียชั้นดีป้องกัน เพราะมันช่วยละลายลูกกระสุนที่ยิงใส่จนหมด

“โห...อาวุธบินงั้นรึ...แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่ของเล่นธรรมดาเท่านั้นล่ะ” Berialใช้ดาบสะบัดดาบไปตามแนวนอน ใช้รัศมีพลังทำลายจากการสะบัดที่ผสมกับเปลวเพลิงจากร่าง จะใช้เรดควีนรีบมันเต็มก็คงไม่ไหว เพราะเค้ายังไม่อยากให้ดาบของเค้าเละ เนโร่จึงตัดสินใจกระโดดเข้าไปหลบในกระท่อมใกล้ๆพร้อมกับวางแผนและเตรียมชาร์จเอ็กซ์ชีทให้เต็ม
...สัตว์ประหลาดอะไรนั้น ยิ่งตัวใหญ่ๆแบบนี้ส่วนใหญ่จุดอ่อนจะอยู่ที่หัว...

เมื่อเนโร่คิดได้ดังนั้นก็คาดคะเนแผน จังหวะนั้นปีศาจนั้นก็ทำลายกระท่อมที่เนโร่ซ่อนตัวอยู่ เนโร่เลยกระโดดออกจากกระท่อมจังหวะนั้นและยกดาบขึ้นเหนือหัว

“เอาไปกินซะ!!!” เนโร่บีบ****เรเบอร์และเล็งไปที่ส่วนหัวของมัน

...ถ้าเป็นปีศาจธรรมดาล่ะก็ขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว แต่สมกับเป็นผู้ควบคุมเพลิงอะไรนั้น ...แข็งชะมัด... รอยแผลที่เกิดก็ดูเหมือนจะไม่สร้างอาการบาดเจ็บสาหัสอะไรมากด้วย แต่ทำเอาBerialเสไปเล็กน้อย เนโร่ที่ดีดตัวออกมาเหนือหัวBerialเลยใช้มือขวา “เดวิลบริงเกอร์” จับไปที่หัวของBerialและกดลงกับพื้น

“แก...” Berialตัวสั่นด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เนโร่กดหัวของเจ้านั้นลงได้ แต่ร่างของBerialเกิดไฟลุกขึ้นมาอย่างรุนแรงก่อน เนโร่จึงปล่อยมือออกจากหัวนั้น

“ชิ” สภาพที่เนโร่ยังอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ดีเท่าไหร่ Berialใช้โอกาสนั้นโจมตีใส่เนโร่ เนโร่ใช้มือขวานั้นรับการโจมตีจากดาบนั้น แต่แรงที่มีมากกว่าทำให้เนโร่กระเด็นออกมา เค้าหมุนตัวกลับลงพื้นได้พอดี

“ไฟของปีศาจกับไฟของโลกมนุษย์...ความรุนแรงต่างกันซินะ อืม...ความรู้ใหม่เลยนะเนี้ย” เนโร่ว่าแล้วก็ใช้ความคิด เพราะดูเหมือนปัญหาของเค้าตอนนี้คือ ไฟที่ร่างของเจ้านั้น เพราะถ้าจะโจมตีเจ้านั้นให้ได้ เค้าต้องมีพลังไฟในระดับเดียวกันเท่านั้น แต่ถ้าให้เทียบพลังที่พอจะสู้ได้แบบสูสีหรือมีรูปแบบเดียวกันคงมีแต่เดวิลบริงเกอร์เท่านั้น...พอคิดได้ดังนั้นเนโร่ก็ส่ายหัวเล็กน้อย

...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยแหะ ที่พลังของตนเองไปเหมือนกับพลังของปีศาจพวกนั้นซะได้ ถึงเค้าจะดูถูกตัวเองว่า มีแขนปีศาจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีพลังปีศาจหรือตัวเองเป็นปีศาจเลยสักนิด...

“แก...พลังนั้น...มันไม่ใช่ของมนุษย์นี้...” Berialพูดอย่างระมัดระวัง เนโร่หันไปมองก่อนจะหยักไหล่ “แค่มนุษย์ธรรมดาหรอกน่า”

“โกหก! มนุษย์ธรรมดาที่ไหนจะมีพลังขนาดนี้!แล้วก็...”

“หุบปาก!!!” เนโร่ไม่ขอบที่ถูกซักไซ้ไล่เรียงและไม่อยากถูกปีศาจพันธ์นี้มาเรียกตัวเค้าเองว่าปีศาจด้วย เนโร่กระโจนใส่Barialที่ยังมีท่าทีอ้ำอึ้งอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนท่าจับดาบ “ทีนี้ล่ะ...จะทำให้หลับลืมตื่นไปเลย!”

“1!” เนโร่ใช้ดาบฟันเสยขึ้นตรงจุดกลางลำตัวจากล่างขึ้นบน แต่ดูเหมือนแรงโจมตีจะยังไม่พอ

“2!” เนโร่ฟันซ้ำจุดเดิมโดยเร่งความร้อนของเอ็กซ์ชีทขึ้นและหมุนควงลงมาแทงซ้ำตรงจุดที่ฟันในดาบแรก

“3!” และเนโร่ก็ฟังควงขึ้นซ้ำอีกครั้ง พลังของเอ็กซ์ชีทที่รุนแรงอย่างน่าตกใจที่เนโร่ใช้โจมตีติดต่อกันสามครั้งทำให้เค้าขึ้นไปอยู่เหนือหัวปีศาจนั้นได้อีกครั้ง ครั้งนี้เนโร่เตรียมเร่งเรดควีนโดยเล็งที่กลางหัวBerial

“Die!” เนโร่แทงดาบที่เร่งเอ็กซ์ชีทจนสุดลงไปตั้งแต่ด้านบนลงด้านล่างอีกครั้ง ความแรงของดาบแทงลงไปกลางหัว แรงโจมตีของดาบฝ่ากึ่งกลางร่างของBerial ความรุนแรงทำให้Berialบาดเจ็บไม่น้อย Berialทรุดร่างลง เปลวไฟที่ลุกทั่วร่างของBerialอ่อนแรงลงจนเกือบดับ เนโร่เห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสนี้จัดการ

เนโร่ดึงดาบออกก่อนจะเดวิลบริงเกอร์กุมหัวBerial ซึ่งเดวิลบริงเกอร์ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกุมได้ทั้งหัว เนื่องจากไฟที่คุ้มครองร่างBerialอ่อนแรงลงจนสามารถทำความเสียหายได้มากขึ้น เนโร่ออกแรงยกร่างของBerialขึ้น

“If that’s all you got?” ถึงBerialจะพยายามหลบ แต่ด้วยพลังของเดวิลบริงเกอร์ตอนนี้ทำให้Berialไม่สามารถดิ้นหลุดจากการเกาะกุมได้

“Then down to hell you go!” เดวิลบริงเกอร์ที่ดึงร่างของBerialขึ้นเหนือพื้นดิน ก่อนจะกดร่างและหัวของBerialลงอย่างแรงจนเกิดเป็นหลุมลึก เนโร่ปล่อยมือจากหัวของBerialและลงสู่พื้น เค้าพยายามเพ่งมองเข้าไปกลุ่มหมอกควันที่ตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ปรากฏว่าBerialยังสามารถลุกขึ้นยืนได้อยู่ เพราะอย่างงี้ไง เนโร่ถึงคิดว่าปีศาจตัวใหญ่น่ะ มันตึงมือ น่ารำคาญเป็นที่สุด...

“จะต่ออีกยกรึไง? ครั้งต่อไปเจ็บตัวหนักกว่านี้อีกนะ” เนโร่ว่า แต่ดูเหมือนBerialจะไม่ได้สนใจเค้า แต่มองแขนขวาของBerialอย่าสนใจมากกว่า “ว่าแล้ว...ว่าแล้วเชียว นั้นเป็นของเจ้าปีศาจ...”

“ไม่ใช่ปีศาจเฟ้ย มนุษย์ต่างหาก อย่าเอาฉันไปเข้าพวกกับปีศาจอย่างพวกแกนา” เนโร่ตอกกลับไป Berialยิ้มฝืนๆ ...ดูเหมือนจะยังพอมีแรงอยู่แหะ...

“อย่างงั้นเหรอ...ไม่ใช่ทั้งปีศาจ...และไม่ใช่มนุษย์...อย่างงั้นเหรอ แกเองก็เหมือนกับเจ้านั้นซินะ...”

“เจ้านั้นเหรอ? แล้วหมอนั้นน่ะ...ใครกันล่ะ” เนโร่ถามกลับ แต่Berialไม่สนใจตอบ

“ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องกลับไปฟื้นพลังก่อนล่ะ!” Berialว่าแล้วก็เร่งพลังออกมาและกลายร่างเป็นเปลวเพลิง

“เฮ้ย! เดี๋ยว!!!” เนโร่ร้องเรียก แต่Berialที่กลายร่างเป็นวิญญาณเพลิงพุ่งเข้าไปในแท่นสีดำนั้นและหายไปในรูเชื่อมมิติทันที เหลือไว้แต่เพียงรอยไหม้เล็กๆน้อยๆ

“...อย่าพูดเองเออเองแล้วหนีไปเฉยๆได้ไหมเนี้ย” เนโร่บ่นพร้อมกับจ้องไปที่เนิน จุดที่แท่นสีดำนั้นตั้งอยู่


...ใช้ปืนยิงก็คงไม่สะกิดแท่นนั้นได้เลยมั้ง ลำพังพลังของเค้าตอนนี้คงจะยังทำลายมันไม่ได้ซะด้วย...

“...เอาเหอะ ยังไงซะตอนนี้ก็...ดูเหมือนมันจะหยุดทำงานแล้วซินะ” เนโร่ว่าแล้วก็นึกถึงหน้าที่ที่ต้องติดตามชายชุดแดงนั้นไป ...ยังไงภารกิจก็ต้องมาก่อนล่ะนะ...

เนโร่ออกเดินต่อไป ในหัวตอนนี้เค้าคิดแต่ “เจ้านั้น” ที่Berialพูดค้างไว้ “เจ้านั้น”ที่ว่าจะใช้ชายชุดแดงรึเปล่า หรือจะหมายถึงใคร ยังไง ตอนนี้ในหัวของเนโร่ เต็มไปด้วยคำถามนี้ซ้ำไปซ้ำมา...


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามน่อทุกท่าน
ไว้เจอกันเดือนหน้า 16 August กำหนดการนานหน่อย
Partต่อไปยาวน่อ ต้องใช้เวลา...

Jerryboyz57
14th July 2012, 00:57
เย้มาแล้ว จะอ่านละนะ

bigspy77
14th July 2012, 01:10
ขอบคุณมาก มากครับ ที่มาแปลให้พวกเราได้อ่านกัน

Devil-Dante
16th August 2012, 21:35
มาตามนัดเช่นเคยน่อ...

Devil May Cry: Deadly Fortune 1


Stage 05


Part Dante

ดันเต้ที่เพิ่งมาถึงปราสาทฟอร์ทูนน่า เค้ากำลังรีบเร่งเพื่อไปหาทริช คู่หูปราบปีศาจตามเวลานัดหมาย แต่ปัญหามีอยู่ว่า เธอนัดมาแค่เวลา แต่ไม่ได้นัดสถานที่ เล่นเอาดันเต้เซงกับการต้องเดินหาเธอให้วุ่นทั้งปราสาท ซึ่งภายมรปราสาทนี้ดูถ้าว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะแต่ละห้องมีแต่ของบาณอะไรหลายอย่างจัดแสดงอยู่ ทั้งดาบ ทั้งเกราะแถมยังรูปสลักที่ดูเหมือนจะสื่อถึงพวกเวทมนตร์,ของขลังอีก แต่ถึงยังไงก็ตาม ของพวกของมีค่าต่างๆที่เห็นก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจดันเต้ได้เลย นอกจาก...

“ใช่จริงๆซินะ...ที่นี้...ที่ๆพ่อเคยอาศัยอยู่” ถ้าที่นี้เป็นที่ๆสปาด้าเคยอยู่จริง ในปราสาทนี้ก็คงมีอุปกรณ์,อาวุธปีศาจ ดาบปีศาจอยู่เต็มไปหมดแน่ๆ แต่ที่น่าแปลกใจคือ...แทนที่จะมีของพวกนั้นให้พบเห็นได้ทั่วไปตามจุดต่างๆ กลับกลายเป็นว่า จะมองไปมุมไหนก็ไม่เห็นมีสักกะชิ้นเดียว มีแต่ของธรรมดาทั่วไป แถมในปราสาทนี้ก็เงียบผิดปกติด้วย

ระหว่างที่เค้าเดินสำรวจพร้อมกับตามหาคู่หูสาวก็เจอปีศาจโผล่ออกมาะอสมควร แต่เจ้าพวกนั้นน่ะ แทบไม่ต้องใช้ดาบใหญ่ “รีเบลเลี่ยม” ที่อยู่ด้านหลังเค้าเลย แค่ “Enbony” กับ “Ivory” ก็สามารถจัดการได้หมด

“เฮ้อ ที่นี้ก็ไม่มี ที่นั้นก็ไม่อยู่แหะ...” ดันเต้เดินบ่นไปเรื่อยๆก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง แล้วจู่ๆเค้าก็หยุดเดิน ห้องเป็นห้องสมุดโบราณ กลิ่นสาบและกลิ่นเหม็บอับจากหนังสือเล่นเอาดันเต้คัดจมูกไม่น้อย แต่...ดูเหมือนเธอจะอยู่ในคลังสมุดนี้ล่ะ... ในห้องนี้ไม่มีกลิ่นไอปีศาจ เค้าเดินสำรวจไปรอบๆก่อนจะหยิบหนังสือที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาและพลิกอ่าน แต่ข้างในมีแต่ภาษาที่ดันเต้ไม่เข้าใจทั้งนั้น

“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ น่าสนุกสักนิด...” ดันเต้โยนหนังสือพวกนั้นลงที่เดิมก่อนจะรู้สึกถึงกลิ่นอายประหลาดด้านหลัง ไม่ใช่ของมนุษย์ ไม่ใช่ของปีศาจที่จะเข้ามาทำร้ายดันเต้ด้วย เป็นไอปีศาจที่เค้ารู้จักดี...

“...อยากเล่นซ่อนหารึไง หรือว่า...ยังไม่ได้แต่งหน้า เลยไม่กล้าโผล่หน้ามาให้เห็น” ดันเต้หยอกเล่น จู่ๆเสียงหัวเราะฟังดูขี้เล่นก็ดังขึ้นเบาๆ “ตรงข้าม ฉันกำลังปลอมตัวอยู่ต่างหาก ถ้านายมาเห็นฉันตอนนี้คงตกใจน่าดูเลยล่ะ” เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของทริช เธอตอบกลับมาทั้งที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา

สถานที่นี้เป็นสถานที่เธอเลือกเป็นจุดนัดพบกับดันเต้ ดูเหมือนเธอพบมันโดยบังเอิญ แต่ดันเต้คิดว่าเธอแค่อยากลองใจ เล่นตลกกับเค้าแน่ๆ

“...แล้ว...เจ้านั้นล่ะ ตอนนี้อยู่ไหน” ดันเต้ถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง ฟังดูเหมือนดันเต้จะไม่ได้สนใจอะไรกับการปลอมตัวของทริช แต่เค้าสนใจตรงที่ทริชสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงของภาคีได้อย่างไรมากกว่า

“สถานที่เก็บ “สิ่งนั้น”น่ะ ฉันรู้แล้ว”

“...ที่ไหนล่ะ”

“ที่ปราสาทนี้ล่ะ ห้องวิจัย ชั้นใต้ดิน แต่ฉันคิดว่า...นายไปเอาคืน“สิ่งนั้น”หลังจากนี้จะดีกว่า”

ความจริงแล้ว...จุดประสงค์ที่ดันเต้เดินทางมาที่นี้ก็เพราะดาบปีศาจที่แตกหักของภาคีเล่มหนึ่ง ความจริงเค้าสามารถไปชิงดาบนั้นกลับมาได้ทันที แต่ครั้นจะให้เค้าซ่อมดาบเองนี้ก็ไม่สามารถขนาดนั้น ดังนั้นตอนนี้ก็คงต้องทำตามที่ทริชว่าไปก่อน แน่นอนว่าดาบที่ทั้งดันเต้และทริชกำลังพูดถึงก็คือ “ดาบยามาโตะ” ดาบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพ่อ “สปาด้า แต่ก่อนที่พ่อเค้าจะหายตัวไป สปาด้าได้มอบดาบเล่มนี้ไว้ให้กับพี่ชายของเค้า “เวอร์จิล” และหลังจากนั้นเค้าก็ไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับพี่ชายและดาบเล่มนี้อีกเลย ดังนั้นดาบเล่มนี้ สำหรับดันเต้แล้ว เป็นเหมือนกับของดูต่างหน้าของพ่อและพี่ชายเค้านั้นเอง

ไม่เพียงแค่นั้น ดาบยามาโตะ...เมื่อเทียบกับอาวุธปีศาจอื่นๆ ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่มีพลังปีศาจแฝงที่ยิ่งใหญ่อยู่ และตอนนี้มันก็ตกอยู่ในมือของภาคีดาบด้วย แถมเป้าหมายที่ภาคีที่จะใช้ดาบดาบยามาโตะก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เพื่อสะสมของเก่าโบราณเป็นงานอดิเรกซะด้วย

“หมายความว่าไง...หลังจากนี้...ยังไง” ดันเต้ที่ไม่เข้าใจคำพูดของทริชถามกลับ เพราะการที่ปล่อยใหภาคีซ่อมแซมดาบได้สำเร็จ อาจทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้


“ตอนนี้ดาบยามาโตะหักน่ะซิ ตอนนี้ฝ่ายเทคนิคของภาคีกำลังซ่อมแซมอยู่ แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากนะ เพราะฉะนั้นตอนนี้...ดาบก็ยังใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ไงล่ะ”

“อย่างงี้นี้เอง...” ดันเต้พยักหน้าเข้าจคำอธิบายขิงทริชก่อนจะหยักไหล่ “งั้นก็...เก็บกวาดต่อซินะ แล้วจะให้ไปไหนต่อล่ะทีนี้”

“จากด้านหลังปราสาทนี้เชื่อมต่อกับป่า ถ้าออกจากป่านั้นไปก็จะเจอที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ภาคีแห่งดาบ เป็นอาคารหลังใหญ่น่ะ เอาเป็นว่าถ้าเห็นแล้วก็คงรู้เอง ส่วนเรื่องเปิดทางไปยังป่าน่ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

“รับทราบ” ดันเต้รับคำก่อนจะถอนหายใจเบาๆและเดินออกจากห้องไป ก่อนที่เค้าจะนึกอะไรบ้างอย่างออก เค้าหันไปทางที่ทริชน่าจะซ่อนตัวอยู่ “โทษทีนะ ฉันขอเดินเล่นในนี้อีกสักพักได้ไหม พอดีอยากสำรวจปราสาทนี้นิดหน่อยน่ะ”

“ตามใจซิ แต่บอกไว้ก่อนนะ ที่นี้แทบไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับสปาด้าเหลืออยู่เลย” ทริชว่า ดันเต้เองก็ไม่ได้จะมาตามหาของอย่างอื่น เพียงแต่อยากดูให้แน่ใจเฉยๆว่าที่นี้เคยเป็นที่อยู่ของพ่อเค้าในสมัยก่อนจริงรึเปล่าเท่านั้น

“ก็...นะ ก็ไม่ใช่ว่า จะสำรวจหาของที่มีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้สึกและสัมผัสได้อะไรเทือกนั้นหรอก แค่จะเที่ยวชมภายในปราสาทเท่านั้นล่ะครับ คุณผู้หญิง” ดันเต้ว่าอย่างนั้น เล่นเอาทริชหลุดหัวเราะออกมาเลยทีเดียว



Nero Part

เมื่อผ่านอุโมงค์รอดผ่านหุบเขารามิน่ามาได้ เนโร่ก็เจอกับสภาพอากาศที่หนาวจัดและเต็มไปด้วยหิมะ ซึ่งมีลมพัดแรงจนทางเดินเต็มไปด้วยหิมะ เป็นเรื่อปกติที่เขาสูงย่อมมีหิมะปกคลุม แต่ฤดูนี้ ตามปกติแล้ว การที่หิมะตก แถมปกคลุมหนาขนาดนี้ ถือว่าเป็นผิดปกติอย่างยิ่ง

เนโร่เดินไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะอย่างระมัดระวัง เพราะไม่แน่ว่า อาจมีปีศาจที่สามารถควบคุมหิมะได้เหมือนBarialที่ควบคุมไฟได้อยู่แถวนี้ แต่ถึงจะระแวงเช่นนั้น เนโร่ก็ยังจับสัมผัสไอปีศาจแถวนี้ไม่ได้

หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ “รามิน่า” เป็นหุบเขาที่เป็นพื้นที่ราบแอ่งกระทะขนาดใหญ่ เป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สำคัญของอาณาจักร เชื่อว่าเคยเป็นที่อยู่ของอัศวินปีศาจสปาด้า “ปราสาทฟอร์ทูนน่า” ซึ่งตอนนี้ปราสาทแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานท่องเที่ยวที่สำคัญของอาณาจักรไปแล้ว ถึงแม้ว่าอาณาจักรนี้จะเดินทางมาค่อนข้างยากเพราะภูมิประเทศที่เป็นเกาะกลางทะเลที่เดินทางมาได้ยากลำบากและประกอบกับผู้คนที่นี้ไม่ค่อยต้อนรับผู้มาจาก “ภายนอก” แต่ก็จัดว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงและแฝงไปด้วยกลิ่นอายหลายๆอย่าง

เพื่อมุ่งหน้าไปยังปราสาทฟอร์ทูนน่าต้องเดินข้ามสะพานหินขนาดใหญ่ไปเท่านั้น ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นสะพานเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านมานาน ไม่เคยเสียหายพังทลายแม้แต่ครั้งเดียว ความจริงมันมีอีกทางเส้นทางที่เดินลงเขา อ้อมไปไกล เพื่อตัดความยากลำบากในการเดินทาง เนโร่จึงเลือกใช้สะพานหินเก่าแก่นี้แทน

เนโร่ค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ลื่นล้มหรือหิมะยุบตัวไปมากกว่านี้ไปตามสะพาน แต่จู่ๆเค้าก็ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายนกร้องที่ดูจะดุดันกว่านกทั่วไปดังขึ้นซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่จู่ๆสะพานก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ทั้งที่สะพานนี้ใช้มานานกว่า 2,000ปี ไม่เคยถล่มหรือเสียหายเลย เนโร่ไม่มีเวลามาหาสาเหตุแล้ว เค้ารีบออกวิ่งเพื่อข้ามไปให้พ้นก่อนที่มันจะถล่มลงมาก่อนทันที แต่ก็ไม่ทันการ...เมื่อสะพานทั้งหมดถล่มลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนโร่ที่ตกลงไปพร้อมเศษซากของสะพานรีบกระโดดไปเกาะที่ซากสะพานที่ใกล้ตัวที่สุดเป็นที่รองรับแรงกระแทก เนื่องจากหิมะด้านล่างหนา ทำให้ขณะที่ตกลงไป แรงกระแทกจึงไม่มากนัก

การตกจากที่สูงด้วยความสูงขนาดนี้ ทั้งที่ปกติหน้าจะได้รับบาดเจ็บ แต่เนโร่กลับไม่มีแผลเลยแม้แต่รอยขีดข่วน เค้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เพราะร่างกายแข็งแรง หรือเพราะโชคช่วย แต่ที่แน่ๆ...ต้องขอบคุณที่มันถล่มลงมา เค้าจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมผ่านเส้นทางเขา “ซินดร้า” ที่ต้องเสียเวลาไม่น้อยไป อีกอย่าง...ถ้าจะตามเจ้านั้นให้ทัน ถึงในไม่ถล่มลงมา เค้าก็คงกระโดดลงมาเหมือนท่สะพานนี้ถล่มอยู่ดี

ตอนนี้ปราสาทฟอร์ทูนน่าอยู่ตรงหน้าเค้าแล้ว เนโร่จึงเริ่มออกเดินต่อ แต่จู่ๆมือขวาของเค้าก็รู้สึกอุ่นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

“เฮ้อ ตามนั้นซินา” เนโร่มองซากสะพานที่ถล่มลงมาพร้อมกับบ่นเบาๆ ..ว่าแล้วว่าสะพานหินแข็งแรงขนาดนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นอะไรจู่ๆมันจะถล่มลงมาก็บังเอิญไปหน่อย ไหนจะพายุหิมะอีก ว่าแล้วว่าต้องเป็นฝีมือ “ใคร” หรือ “ตัวอะไร” สักอย่างแน่นอน...

พอเนโร่เงยหน้าและหันไปมองที่ปราสาท เค้าก็พบว่า ด้านบนของประตูมีปีศาจตนหนึ่งยืนอยู่ เป็นปีศาจที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน หน้าตาคล้ายๆเจ้าปีศาจจิ้งเหลนที่พบในป่าเมื่อคราวที่แล้ว แต่รูปร่างไม่เหมือนกัน ตรงที่มันเป็นน้ำแข็ง มันมีน้ำแข็งปกคลุมรูปร่างคล้ายชุดเกราะอยู่ มือด้านขวามีน้ำแข็งรูปร่างเหมือนFrostติดอยู่ เจ้าFrostนั้นส่งเสียงร้องเหมือนกับเสียงที่เนโร่ได้ยินตอนที่เค้ากำลังข้ามสะพานออกมา กลายร่างเป็นก้อนน้ำแข็งก่อนจะโผล่มาเบื้องหน้าเนโร่ เนโร่กระโดดถอยหลังไปพร้อมกับชักปืนบลูโรสออกมา

“เดี๋ยวจะอัดให้เละเหมือนเจ้าBarielซะเลย!!!” Frostที่คืนร่างแล้วยกแขนขึ้นกันกระสุนปืนของเนโร่ ดูเหมือนปีศาจตัวนี้จะมีภูมิปัญญาสูงกว่าสเกลโคล์วอยู่มากพอควร

หลังจาที่เนโร่ถอยออกมาตั้งหลักอีกครั้ง Frostก็เอามือลงก่อนจะใช้น้ำแข็งที่มีรูปร่างเหมือนกรงเล็บที่แขนเล็งมาที่เนโร่และยิงลิ่มน้ำแข็งเหล่านั้นใส่ ซึ่งจากความเร็วในการยิงนั้น เนโร่ที่ตั้งตัวไม่ทัน จึงใช้แขนขวาของเค้ารับการโจมตีแทน ความคมของกระสุนที่เหมือนใบมีด เล่นเอาเนโร่รู้สึกเจ็บและเย็นที่แขนไม่น้อย

“หนอยแน๊...” เนโร่ชักเรดควีนออกมาก่อนจะฟันไปกลางลำตัว แต่Frostหลบทัน เมื่อมันตั้งหลักได้ มันก็รีบยิ่งกระสุนลิ่มน้ำแข็งนั้นใส่เนโร่อีกครั้ง คราวนี้มันรักษาระยะห่างจากเนโร่พอสมควร

“น่ารำคาญชะมัด” เนโร่สบถเบาๆก่อนขยับมือขวาไปมา กรณีของปีศาจประเภทนี้ จะลุยเข้าไปฟันมันโดยตรงไม่ได้ และฝ่ายโน่นก็ฉลาดที่จะสังเกตพฤติกรรมศัตรู แถมมันยังเห็นแขนขวาที่เนโร่ยกขึ้นมาเป็นกำบังเมื่อกี้แล้วด้วย คิดว่ามันคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิมแน่นอน

เนโร่วางแผนเพื่อทดสอบอะไรบางอย่างก่อนจะชักปืนสกัดไปก่อน ฝ่ายFrostที่ค่อยๆเดินเค้ามาย่าระมัดระวังก็หยุดก่อนจะยกแขนข้างที่เป็นโล่น้ำแข็งขึ้นมากันกระสุน พอเห็นว่าเป็นจังหวะที่ตนเองรออยู่แล้วเนโร่ก็ใช้เดวิลบริงเกอร์ยืดไปคว้าตัวFrost

“โอ๊ะโอ!” เนโร่ปล่อยมือจากตัวก่อนจะคว้าเข้าที่หางยาวๆนั้น จับเหวี่ยงและฟาดลงกับพื้นหลายครั้งจนFrostร้องโหยหวนลั่น

“Get lost!” เนโร่ที่กระหน่ำฟาดFrostกับพื้นไปพอสมควรก็ขว้างFrostไปติดประตูทางเข้าปราสาท ร่างของFrostที่กระเด็นไปติดประตูนั้นค่อยๆมันค่อยๆลุกขึ้นก่อนที่ร่างของมันจะกลายเป็นน้ำแข็งและแตกสลายหายไป เนโร่ที่หมายจะวิ่งตามไปซ้ำให้ตายชะงักก่อนที่จะหันไปมองด้านบน ทั้งที่Frostหายไปแล้ว แต่ลมพายุหิมะยังไม่ทีท่าว่าจะหยุด เนโร่จึงสรุปได้อย่างเดียวว่า หิมะนี้คงเป็นฝีมือของปีศาจตัวอื่นแน่

“เอาเถอะ คงตามนั้นล่ะนะ” พอเนโร่สรุปได้ดังนั้นเค้าก็มานึกเปรียบเทียบ Frostเป็นปีศาจที่อยู่นะดับสูงกว่าเกลโคร์วทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับBarial ยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก และดูท่าว่าไม่น่าจะควบคุมสภาพอากาศเหมือนแขนซ้าย แขนขวาได้ขนาดนี้แน่นอน

“สรุปก็คือ...เจ้าตัวการหิมะนี้ ยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในนี้ซินะ” เนโร่สรุปพร้อมกับออกเดินไปยังทางเข้าปราสาททันที ทางเข้าปราสาทเป็นเส้นทางเดียวที่มีประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่สุดทางนั้น เท่านที่มองไปรอบๆ เค้าไม่เห็นว่ามีปีศาจตัวอื่นปรากฏตัว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้มากนัก เพราะเค้าสัมผัสได้ถึงไอปีศาจ และมันมาจากด้านบนในทิศทางที่เนโร่จะไป

เนโร่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งกิอนจะสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่าง กระโดลงมาจากกำแพงปราสาท พอเพ่งมองดีๆเค้าพบว่า มันคือ มนุษย์... มนุษย์ที่หนีบเอาสเกลโคร์วมาด้วยตัวนึง...(สาบานว่า ต้นฉบับมันแปลว่าหนีบจริงๆ)

ระหว่างที่เนโร่กำลังยืนตะลึงอยู่นั้น มนุษย์คนนั้นก็ร่วงลงมาโดยจับสเกลโคร์วที่หนีบมาด้วยนั้นหัวทิ่มลงกับพื้นทางเดินอย่างแรง ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืน เธอที่มีผิวสีเข้ม ผมตัดสั้นสีขาวจัด เธอไม่พูดอะไรแต่ยังมองไปรอบๆอย่างระวังตัว ...ผู้หญิงประหลาด...

...ไม่ซิ ต้องบอกว่าแต่งตัวประหลาดมากกว่า... ชุดเดรสสีขาวรัดรูปผ่าอกลุกขนเห็นร่องหน้าอกอวบอิ่ม ท่อนล่างไม่ได้ใส่กางเกงปกปิด ด้วยชุดเดรสที่ไม่ยาวมากทำให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แถมสะโพกก็แทบจะโผล่พ้อนออกมาจากกระโปร่งทรงแปลกๆที่แหวกจนเกือบจะปกปิดอะไรไม่ได้ แม้จะสวมบูชสูงก็ตาม

ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเป็นใคร แต่เทาที่ดูลักษณะข้างตน เธอต้องไม่ใช่ชาวเมืองฟอร์ทูนน่าแน่นอน เพราะผู้หญิงที่เกิดและโตในฟอร์ทูนน่าจะต้องสวมเสื้อคลุมยาว มิดชิดตามธรรมเนียมปฏิบัติ แล้ว...เธอเป็นใครล่ะ... ยังไม่ทันที่เนโร่จะถาม เธอเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างพร้อมกับสเกลโคร์วที่พุ่งเข้าโจมตีเธอ ด้วยระยะที่อยู่ห่างจากเนโร่มาก ทำให้เค้าไปช่วยไม่ทัน แต่เธอกลับสามารถโจมตีสเกลโคร์วตัวนั้นกลับได้ทันที เธอใช้ความปราดเปรียวและยืดหยุ่นของร่างกายในการหลบหลีกและโต้กลับพร้อมทั้งใช้มีดรูปร่างคล้ายใบดาบฟัดฟันต่อสู้กับสเกลโคล์วด้วย เนโร่ได้แต่มองการต่อสู้ของผู้หญิงปริศนาเบื้องหน้า ก่อนที่จะชักบลูโรสออกมาแล้วยิ่งสเกลโคล์วตัวหนึ่งที่พุ่งเค้าใส่เธอจากด้านหลัง เมื่อเธอเห็นว่าเนโร่ช่วยเธอไว้ เธอก็หัวเราะขึ้นเบาๆ

“หึหึ ขอบใจที่ช่วยนะจ้ะ” เธอกล่าวขอบคุณ ไม่แสดงท่าทีเป็นศัตรูแม้แต่น้อย แต่แขนขวารู้สึกร้อนขึ้นมา แถมสเกลโคล์วก็ถูกกำจัดหมดแล้วด้วย เป็นไปได้ความสัมผัสนี้อาจจะมาจากผู้หญิงคนที่กำลังคุยกับนี้ก็เป็นได้

“...ไม่คุ้นหน้าเลยแหะ ไม่ใช่คนแถมนี้ซินะ เธอ...คนจากภาคีเรอะ” เนโร่ไม่ได้คิดระวังตัวอะไรมากนักถามออกไป มือขวาก็สอดกระเป๋าเสื้อซ่อนไว้ เพราะถ้าเธอเป็นคนของภาคีจริง...งานนี้ยุ่งแน่...

“มาใหม่น่ะ ชื่อกรอเรีย จำชื่อฉันไว้หน่อยนะจ้ะ เพราะฉันจะดีใจมากเลยล่ะ” เธอว่าแล้วก็ยื่นมือขวาออกมาเหมือนจะจับมือทักทาย แต่เนโร่ไม่ชักมือขวาออกจากกระเป๋าแค่พยักหน้าก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นทักทายตอบกลับ เธอจึงหัวเราะที่ฟังดูหลอนๆออกมาเล็กน้อย

“เธอคือเนโร่ซินะ ฉันได้ยินเสียงเล่าลือเรื่องของเธอมาพอสมควรเลยล่ะ” คำพูดของเธอทำให้เนโร่คิดว่า เรื่องที่เธอเป็นคนของภาคีคงไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางรู้ชื่อเค้าแน่นอน ...งั้นเธอก็เป็นมนุษย์น่ะซิ เพราะงั้นแขนขวาที่รู้สึกอุ่นๆร้อนๆขึ้นมาอาจเป็นเพราะแถวนี้ยังไม่ปีศาจซ่อนตัวอยู่ หรือไม่ก็มาจากการต่อสู้เมื่อกี้แน่ๆ

“คงเป็นคำล้ำลือที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ซินะ” เนโร่หยักไหล่ กรอเรียหัวเราะเบาๆ “ก็นะ อย่างเช่น...เป็นคนที่เข้าใจยาก,เด็กเหลือขอ แก่แดด,พวกโชว์พาว ทำตัวเป็นหมาป่าเดียวดาย แล้วก็...”

“พอเหอะ ไม่ต้องพูดล่ะ ทางนี้ก็ดดนด่าจนจำได้แล้วเหมือนกัน” เนโร่เบรกการบรรยายสรรพคุณต่างๆเกี่ยวกับตนเองที่กรอเรียได้ยินมาทันที ยิ่งเห็นหน้าตาตอนที่กรอเรียเล่าไปด้วยยิ้มอย่างมีความสุขแล้วยิ่งจี๊ด ฝ่ายกรอเรียที่โดนขัดก็หยักไหล่เป็นเชิงไม่เล่าต่อแล้ว เนโร่มองไปรอบก่อนจะกลับมาพูดเป็นงานเป็นงานอีกครั้ง

“ว่าแต่...พอจะรู้ไหมว่าเจ้าปีศาจพวกนี้มันปรากฏตัวออกมาจากตรงไหน เมื่อกี้ที่ฉันผ่านมาทางเหมืองเจอแท่นอะไรก็ไม่รู้ตั้งอยู่ และเจ้าปีศาจนั้นมันก็ออกมาจากแท่นนั้นด้วย ...หรือว่า...ในปราสาทนี้จะมีแท่นที่เหมือนกันนั้นอยู่”

“นั้นซินะ... แต่เท่าที่ฉันผ่านมานี้ก็ไม่เห็นมีนะ”

“แล้วว่างรึเปล่าล่ะ ช่วยไปตรวจสอบเจ้าแท่นนั้นแถวเหมืองหน่อยซิ พอดีฉันติดภารกิจอื่นอยู่น่ะ เลยไม่ว่างจัดการ” เนโร่ว่าแล้วก็หันไปมองกรอเรียอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เธอกำลังเก็บมีดนั้นเข้าไปในบูทของเธอ แต่ท่าที่เธอย่อตัวลงไปเก็บ มันทำให้เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรเห็นและไม่อยากเห็น ...ชุดก็บางแนบเนื้อ แถมยังปิดอะไรแทบไม่มิดอีก... เนโร่เลยได้แต่หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย

“แย่จังนะ ฉันเองก็มีภารกิจที่ต้องไปทำเหมือนกัน....ต้องรีบไปเรียกกำลังสนับสนุนมาน่ะ แต่ข้อมูลที่พูดมาเมื่อกี้ เอาเป็นว่าฉันจะรับไว้ก็แล้วกัน ขอบใจนะ” เธอกล่างขอบคุณแต่การแสดงออกที่นิ่งและไม่ยินดียินร้าย เล่นเอาเนโร่คิดหนัก ...เป็นผู้หญิงที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจริงๆ... เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาคีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง และยิ่งทำให้เนโร่ทึ่งไปกว่านั้นก็คือ การที่เธอเป็น “คนต่างถิ่น” ที่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาคีได้นี้ล่ะ

“เอาล่ะ ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ ขอให้เพราะเจ้าคุ้มครองนะ...” กรอเรียพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป เนโร่มองตามแผ่นหลังนั้นไปก่อนจะเช็ดจมูก


“พระเจ้างั้นเหรอ... ถ้าพระเจ้ามีจริง เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก...”

...ผู้หญิงแบบนั้น ยังเชื่อในพระเจ้าอีกเหรอ ตลกสิ้นดี...

.....................................

.....................

...........

เนโร่ก้าวเดินเข้ามาในปราสาทฟอร์ทูนน่า รู้สึกว่าเค้าจะไม่ที่นี้นานพอดู จำไม่ได้แล้วว่าในปราสาทเป็นยังไงบ้าง ครั้งสุดท้ายที่มาคือ ตอนที่พาเด็กในสถานสงเคราะห์กับคีรี่ย์และตอนนั้นเนโร่ยังไม่ได้เค้าร่วมอัศวินภาคีแห่งดาบด้วยซ้ำ ซึ่งน่าจะประมาณเมื่อ3ปีที่แล้วนั้นเอง หากกล่าวถึงศาสนาและประวัติความเป็นมา ถ้าใครอยากรู้ข้อมูล ทุกคนต้องมาศึกษาจากที่นี้ แต่ที่นี้ก็ไม่ใช่สถานที่ๆจะมีคนเข้ามาบ่อยนัก เพราะเป็นอาคารเก่าแก่ที่มีความสำคัญแถมบรรยากาศก็วังเวงพิกลนี้ล่ะ

ภายในปราสาทตอนนี้ ไม่มีความรู้สึกเลยว่า...มีคนอยู่... เสียงบูทกระทบกับพื้นดังขึ้นตามจังหวะก้าวเดิน ระหว่างที่เดินไปรอบๆ เนโร่คิด ...ถ้าชายชุดแดงนั้นมาที่นี้จริง จุดประสงค์คืออะรล่ะ จ้องจะขโมยสมบัติ ภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์เรอะ เอาเถอะ...ไม่ใช่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นศูนย์นินะ แต่ว่า...ถ้าเป็นงั้นจริง ทำไมเจ้าตัวต้องผลุบๆโผล่ๆเป็นนินจา ไม่ให้ใครเห็นด้วยล่ะ ไหนจะที่ลงมือสังหารเคียวโกอีก ไม่จำเป็นต้องลงมือในจุดที่มีคนพลุกพล่านขนาดนั้น... ยิ่งคิดเนโร่ยิ่งไม่เข้าใจ


...เมื่อยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเค้า คงได้แต่ตรวจสอบและไล่ตามแบบนี้ไปเรื่อยๆล่ะนะ...

ระหว่างทางที่เนโร่เดินตามหาชายชุดแดง มีปีศาจออกมาโจมตีเค้าบ้าง ถึงแม้กรอเรียจะบอกว่าไม่มี แต่มันต้องมีอยู่แน่ๆ แท่นนั้น...ประตูที่เป็นทางผ่านของปีศาจพวกนั้น อยู่ที่ไหนซักแห่งในปราสาทนี้ ถ้าไม่มีล่ะก็...คงหาเหตุผลที่มีปีศาจโผล่ออกมาป้วนเปี้ยนในปราสาทไม่ได้ล่ะ

หรือว่า...ชายชุดแดงคนนั้นจะเป็นคนทำเจ้าแท่นอัญเชิญนั้น ความเป็นไปได้ก็ยังพอมีอยู่ เพราะทุกจุดที่ชายคนนั้นเดินผ่าน เส้นทางพวกนั้นก็มักจะมีปีศาจปรากฎตัวออกมา... เนโร่คิดไปเรื่อยๆพร้อมกำก้าวขาเดินสำรวจทุกห้องในปราสาท จนมาถึงคลังเก็บหนังสือ ซึ่งภายในห้องไม่เหมือนกับห้องอื่นๆ เพราะสภาพเหมือนมีใครเข้ามาในห้องเมื่อไม่นานมานี้เอง มีหนังสือเปิดไว้อยู่หนึ่งเล่ม สภาพเหมือนมีคนมาเปิดอ่านทิ้งไว้ ไหนจะกองหนังสืออื่นๆอีก ในเวลาแบบนี้คงจะมีแต่ชายชุดแดงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

เนโร่หยิบหนังสือขึ้นมาเล่มนึงก่อนจะเปิดดูรายละเอียดข้างใน แต่ข้างในมีแต่อักษรโบราณที่เนโร่อ่านไม่ออกสักตัว ไหนจะพวกวรรณยุกต์ การจด รูปแบบต่างๆ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า มันต้องเกี่ยวกับปีศาสตร์และศาสตร์มืดแน่นอน

“นักฆ่า....เรียนเรื่องปีศาจกับศาสตร์มืดเนี้ยนะ...” เนโร่ว่าพรางเปิดหน้าอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ และตอนนั้นเอง...ที่เค้ารู้สึกเหมือนมีอะรางอย่างอยู่ข้างหลัง เนโร่ละมือจากหนังสือนั้นทันทีก่อนจะชักปืนออกมา แต่เบื้องหน้าของเนโร่คือ อัศวินสวมเกราะสีขาว ถือหอกยาว(Race) ถึงจะไม่เคยเห็นกับตามาก่อน แต่จสัญลักษณ์ที่เกราะทำให้เนโร่รู้ได้ทันทีว่า เป็นคนจากภาคีแน่นอน เนโร่ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะรีบสอดมือขวาลงไปในกระเป๋าโค้ทและหัวเราะออกมาเบาๆ

“อย่าทำให้ตกใจเซ่ เกือบยิงแล้วรู้รึเปล่า” เนโร่ว่า แต่อัศวินนั้นไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนมองเนโร่เฉยๆ

“มาเก็บกวาดปีศาจรึไง หรือมาช่วยกันตามเจ้าชุดแดงนั้นเหมือนฉันล่ะ ...เอาเถอะ จะอะไรก็ช่าง อย่ามาขวางฉันล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างอยู่” ว่าแล้วเนโร่ก็หันกลับมาเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ เพราะถ้ารู้ว่าหมอนั้นหาอะไรอยู่ ก็จะสามารถรู้ถึงจุดประสงค์ของชายคนนั้นได้แน่นอน ฝ่ายอัศวินก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินเข้ามาเนโร่ โดยไม่สนใจคำพูดของเนโร่สักคำ คงอยากเข้ามาทักทายอะไรสักคำกับเนโร่

“พูดไม่เข้าใจรึไงกัน...น่าเกลียดจริงๆเลยน่า” เนโร่จงใจบ่นให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยิน แต่การตอบรับกลับเป็นอัศวินชุดเกราะนั้นใช้หอกพุ่งโจมตีใส่เนโร่แทน เนโร่ใช้หนังสือที่ถืออยู่หนีบปลายหอกหยุดการโจมตีได้ทัน

“ที่พูดไปนี้ ไม่รู้เรื่องเลยซินะ” เนโร่ปัดปลายหอกออกพร้อมกับถีบอัศวินชุดเกราะนั้น ถึงอัศวินนั้นจะกระโดดถอยหลัง แต่ก็ยังหลบไม่พ้น ทำให้เสียหลักถอยหลังไปหลายก้าวทีเดียว

“ก็ได้ ถ้าอยากลองของเดี๋ยวจัดให้” เนโร่ชัดเรดควีนที่กลางหลังออกมาเตรียมมีเรื่องได้ทันที ...ถึงจะไม่มีเวลาว่างจะมาหาเรื่องทะเลาะกับใคร แต่เจอแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...

ฝ่ายอัศวินก็บิดเร่งเอ็กชีทเสียงดังก่อนจะพุ่งเข้าใส่ เนโร่ใช้ดาบเรดควีนกันการโจมตีของหอกที่พุ่งใส่ เนโร่ยกดาบขึ้นกันก่อนจะโต่กลับโดยใช้เรดควีนฟันไปช่วงตัว แต่อัศวินนั้นใช้โล่ขนาดใหญ่ขึ้นมากันการโจมตีเสียก่อน

“ขี้โกงจริงนา...” เนโร่ถอยออกมาก่อนจะเอนตัวหลบการโจมตี ฝ่ายอัศวินนั้นหันกลับมาพุ่งโจมตีอีกครั้ง เนื่งจากรูปแบบการโจมตีเป็นแบบพุ่งโจมตีแนวเส้นตรง ทำให้เนโร่สามารถหลบหลีกได้ง่าย เนโร่อาศัยจังหวะตั้งหลักของฝ่ายนั้นโจมตีที่ตัวอีกครั้ง แต่ฝ่ายนั้นกลับใช้โล่ขนาดใหญ่นั้นขึ้นป้องกันอีกครั้ง

จากที่ดูหอกที่ฝ่ายนั้นใช้ดูไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ ปัญหาที่ต้องระวังน่าจะเป็นโล่อันใหญ่นั้นมากกว่า เพราะที่ผ่ามาไม่เคยมีอาวุธป้องกันใดที่สามารถทนความร้อนของเรดควีนได้เลย ...ท่าทางระหว่างที่เค้าไม่สนโลกอยู่ ทางภาคีคงแอบพัฒนาอาวุธใหม่ๆขึ้นมาอีกแล้วก็เป็นได้ และของใหม่เนี้ยคงจะซื้อมาเพื่อเสริมความั่นใจที่จะหาเรื่องทะเลาะกับเค้าล่ะมั้ง

ตอนนี้ปัญหาต่อมาของเนโร่คือ จะจัดการอะไรก่อน เล็งทำร้ายโล่ที่ไม่ธรรมดานั้นก่อนหรือเร่งที่ลำตัวโจมตีจากด้านหลังดี แต่ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจ อัศวินนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปตนเองต้องแพ้แน่... เนโร่ที่มีความรู้สึกเช่นนั้น นี้คงไม่ใช่การวิวาท ทะเลาะเบาะแวงธรรมดาซะแล้ว เพราะฝ่ายตรงข้ามกะชนะโดยการฆ่าให้ตาย อัดให้เละ

เนโร่ยกเรดควีนขึ้นกันการโจมตีจากหอก จากนั้นรวบรวมรงที่มีทั้งหมดปัดหอกนั้นออก จากนั้นกระหน่ำใช้เรดควีนฟาดฟันลงไปในโล่จนโล่ของอัศวินนั้นเริ่มเกิดรอยร้าว พอโล่แตกละเอียด อัศวินนั้นรีบกระโดดถอยหลังไปทันที แต่เนโร่รีบวิ่งตามไปซ้ำและโจมตีไปหนึ่งที ซึ่งเร่งไปที่ลำตัวของฝ่ายตรงข้าม

...รู้สึกแปลกๆแหะ เหมือนกับในชุดเกราะนั้นไม่มีอะไร กลวงๆยังไงไม่รู้... เนโร่คิด พออัศวินเบื้องหน้ามีทีท่าเดินโซซัดโซเซก่อนจะทรุดลงและล้มตึงลงไป ซึ่งตอนที่ล้มลงไป เกราะที่สวมก็หลุดออกเป็นชิ้นๆกระจายเต็มพื้น พอเข้าไปดูใกล้ๆ เนโร่ถึงแน่ใจว่าความรู้สึกเมื่อกี้ไม่ผิดแน่ ...เพราะข้างในไม่มีมนุษย์อยู่เลย เป็นแค่เกราะกลวงๆ เปล่าๆ...
“ปีศาจ...งั้นเหรอ”เนโร่ก้มลงหยิบเกราะชิ้นหนึ่งขึ้นมาสำรวจ จู่ๆเกราะนั้นก็เปล่งแสงเลืองๆสีเขียวขึ้นก่อนที่มันจะหายเข้าไปในแขนขวาของเค้า เหมือนโดนดูดเข้าไป ทั้งที่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลย

“ปีศาจพวกนั้นเข้าสิงเกราะนี้หรอกเหรอ” เนโร่คิดพิจารณาความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้อยู่ดีว่าเป็นจริงตามที่เค้าคิดหรือไม่

“เสียเวลาไปพอสมควรเลยนะเนี้ย กลับมาปฏิบัติภารกิจต่อดีกว่ามั้ง” เนโร่โยนเรื่องเกราะปีศาจนั้นทิ้งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนอื่นคงต้องตรวจดูทุกห้องในปราสาทนี้เพื่อหาตัวและร่องรอยต่างๆต่อ



พอเดินไปรอบๆก็พบว่าแทนที่จะมีปีศาจออกมาเพ่นพ่าน กลายเป็นว่าเค้าเจอแต่เจ้าอัศวินชุดเกราะพวกนั้นเพ่นพ่านแทน แถมยังโผล่มาโจมตีแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงอีก พอลองจัดการทำลาย แยกส่วนดูก็พบว่าข้างในยังว่างเปล่าเหมือนเดิม ไม่มีมนุษย์อยู่ภายใน พอรู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่มนุษย์แบบนี้เนโร่ก็สามารถใช้เดวิลบริงเกอร์จัดการได้ตามสบาย แถมยังจัดการสนุกกว่าเยอะ แต่เรื่องที่เกราะอัศวินของภาคีโดนปีศาจสิงเนี้ยซิ คิดยังไงก็คิดไม่ออก หาเหตุผลไม่ได้

...ถ้าเป็นอาวุธใหม่ของภาคีแห่งดาบ ทางสำนักงานใหญ่ต้องมีการเก็บรักษาเป็นอย่าดีซิ ไม่น่าจะออกมาให้โดนปีศาจสิงได้ง่ายแบบนี้ นอกเสียจาก...ทางสำนักงานใหญ่ภาคีจะโดนปีศาจยึดไปแล้ว...

“สังหรณ์ใจไม่ดีเลยแหะ” เนโร่พึมพำออกมาก่อนจะเดินสำรวจห้องต่อๆไป

...ที่สำนักงานใหญ่มีเครโด้ดูแลอยู่ อย่าว่าแต่ชายชุดแดวเลย ปีศาจธรรมดายังผ่านเข้าไปไม่ได้ง่ายๆเลย แต่ก่อนจะคิดเรื่องนี้ก่อนอื่น...เค้าต้องรีบเจ้าชายชุดแดงนั้นให้ได้และรีบกลับไปที่สำนักงานใหญ่ต่างหาก แต่มันก็ยังติดใจเรื่องเป้าหมายของเจ้าชายชุดแดงนั้นอยู่ดี ไม่รู้ว่าหมอนั้นเล็งอะไรอยู่กันแน่...

เนโร่คิดไปเรื่อยๆก่อนจะเดินมาถึงลานกว้างในปราสาท ซึ่งลานกว้างนั้นขณะนี้มีลมพายุหิมะพัดรุนแรงและน่าจะรุนแรงที่สุด มองหนทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ท่ามกลางพายุหิมะนั้นเนโร่เห็นร่างของผู้หญิงที่มีแสงเรืองสีน้ำเงินทำท่าเหมือนร่ายรำอยู่

จากที่สังเกตผู้หญิงพวกนั้นต้องไม่ใช่มนุษย์แน่นอน แต่ดูเหมือนจะไม่มีพิษสงอะไรเลยแหะ แต่พลังชั่วร้ายนั้นกลับแฝงมากับหิมะมากกว่า

“พายุหิมะพวกนี้เป็นฝีมือพวกมันหรอกเรอะ” เนโร่ว่าพรางเดินเข้าไปใกล้ๆสองตัวนั้น พอเธอสังเกตเห็น พวกเธอก็ยื่นมือออกมาเหมือนทำท่าชักชวนให้มาสนุกกับพวกเธอ แต่ด้านหลังของเนโร่ เค้าได้กลิ่นสาบแรงแปลกๆ เป็นสัญญาณเตือนอันตรายชัดเจน เค้าชะงักขาที่จะก้าวออกไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับพื้นบริเวณนั้นสั่นสะเทือนพร้อมกับอะไรบางอย่างกระโดดลงมาจากที่สูง พอเนโร่เงยหน้าขึ้นไปเค้าก็พบกับปากกว้างๆขนาดใหญ่ ...เป็นอะไรที่น่าขยะแขยง น่าเกลียดที่สุด... พอมันกระโดดลงมาพายุหิมะก็ค่อยๆสลายตัวไป เนโร่จึงเห็นร่างของมันได้ชัดเจนขึ้น

“อย่างงี้นี้เอง... นั้นคือร่างที่แท้จริงของแกซินะ” สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเนโร่ก็คือ กบ....กบตัวโคตรใหญ่(แปลตรงตัว) และบนหังของกบตัวนั้นก็มีหนวดยื่นออกมาสองเส้น ซึ่งก็คือผู้หญิงสีน้ำเงินเมื่อกี้นั้นเอง ดูท่าว่าหนวดรูปร่างผู้หญิงนั้น คงจะใช้เป็นเหยื่อล่อให้ผู้คนมาติดกับแน่ๆ ใครที่หลงเป็นเหยื่อก็จะถูกมันกลืนกิน บอกตามตรงว่าเนโร่ไม่เคยเห็นเจ้าตัวประหลาดลักษณะนี้มาก่อนเลย

“...แก!!! เจ้าแมลงอวดดี จะขยี้ให้เละเลย!!!” เจ้ากบนั้นว่า มันพร่ำพรรณนาอีกยาวเหยียด แต่ด้วยเสียงที่พูดออกมาค่อยชัด ฟังยาก เล่นเอาเนโร่งงไปกับการพูดของเจ้ากบนั้นไปพักหนึ่ง ส่วนมันก็พล่ามๆต่อไปจับใจความสักอย่าง แต่เท่าที่พิจารณาดู สรุปได้อย่างเดียวว่า...มันพูดมากกว่าเจ้าBerialซะอีก...


http://1.bp.blogspot.com/-sxcDz3CjEt0/TYzNKiKgLfI/AAAAAAAAAMQ/hK2RZwsm6Js/s1600/Bael_with_Rusalka_Feelers.png

“เฮ้อ ไม่ไหว กับกบนี้...ไม่ค่อยสันทัดเลยแหะ” เนโร่บ่นพึมพำ เจ้ากบนั้นพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะโวยลั่น “ใครเรียกข้าว่ากบ! ไอ้เด็กเวรนี้หรอกเรอะ” มันหันมาตวาดใส่เนโร่ น้ำหูน้ำลายกระเด็นออกจนเนโร่ขยะแขยง


...พูดภาษาคนได้ ความรู้พอตัว แต่มารยาทติดลบ... ปีศาจนี้มีหลายประเภทจริงๆ

“แกกล้าเล่นตลกกับท่านBaelคนนี้รึ อยากโดนกลืนเข้าท้องนักรึไง เจ้าเด็กเปรต!” มันตวาดลั่นอีกครั้ง จริงๆเนโร่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับเจ้ากบนี้เท่าไหร่ แต่จะให้เลี่ยงก็ไม่ได้ เพราะเค้ามีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ

ข้อแรกคือ มีห้องอยู่ห้องหนึ่งที่ต้องผ่านสวนนี้ไปเท่านั้นถึงจะไปยังห้องนั้นได้ เพื่อตามหาชายชุดแดงนั้นให้เจอ เค้าต้องไปตรวจสอบที่ห้องนั้นด้วย

อีกข้อคือ ด้านหลังเจ้ากบยักษ์นี้มีแท่นอันเชิญสีดำแบบเดียวกับที่เค้าเจอเมื่อกี้ตั้งตระหง่านอยู่ เพราะถ้าล้มเจ้ากบนี้ได้เค้าก็จะสามารถหยุดการทำงานของเจ้าแท่นอันเชิญนั้นได้ด้วย

“เอาล่ะ เรามาจัดการให้มันจบๆไปดีกว่านะ ฉันชักรู้สึกแปลกๆ เหมือนอยากอ้วกแล้ว” ว่าแล้วเจ้ากบBaelก็อ้าปากตวาดใส่เค้าอีก เล่นเอาเนโร่ต้องใช้มือสองข้างปิดหูทันที

“แกตายแน่! ไอ้เด็กนรก!!!” ขนาดเนโร่ยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างแล้วยังแทบแก้วหูแตก ...เป็นเสียงที่ไม่น่าอภิรมย์เลยจริงๆ เฮ้อ...

ร่างของBaelสะบัดไปมาก่อนที่น้ำแข็งบริเวณกลางหลังของมันจะพุ่งออกมาเหมือนกระสุน การโจมตีเหมือนฟรอส แต่ไม่ได้เล็งโจมตีจุดใดจุดหนึ่ง น้ำแข็งเหล่านั้นพุ่งขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็พุ่งลงมาใส่พื้นที่ที่เนโร่อยู่เป็นวงกว้าง ซึ่งการโจมตีวงกว้างแบบนี้ อันตรายกว่าเล็งโจมตีเนโร่โดยตรงอีก เพราะไม่รู้ว่าเจ้ากระสุนน้ำแข็งนั้นจะโจมตีลงมาในจุดไหนบ้างนั้นเอง เนโร่ใช้วิธีสังเกตเงาของลิ่มน้ำแข็งที่พุ่งตกลงมาหลบหลีก ระหว่างที่เนโร่กำลังหลบหลีกเจ้าBaelก็อ้าปากกว้างกระโดดใส่เนโร่หมายจะกลืนเค้าเข้าไป เนโร่กระโดดหลบทันที ถึงจะหลบพ้น แต่พอถึงพื้นที่เจ้ากบนั้นเคยยืนอยู่ เนโร่ก็เพิ่งสังเกตว่าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเมือกสีประหลาดกระจายเต็มไปหมด

“เหวอ!” เนโร่ลื่นล้มลงที่กองเมือกนั้น เล่นเอาเค้าหัวเสียเพราะเสื้อที่เปรอะเปื้อนไปหมดของตนเอง เหตุผลก็ไม่ใช่เหตุผลเลิศเรออะไร แต่เค้าต้องใส่ชุดนี้เพื่อตามหาเจ้าชุดแดงต่อ มื่อไหร่จะได้ถอดซักนี้ล่ะ....ปัญหา

“แก...” เนโร่ชักปืนยิงใส่ทันที แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนนุ่มกว่าBarial,Frost ทำให้ความรุนแรงจากกระสุนสร้างความเสียหายได้ไม่มากนัก แถมร่างกายที่ใหญ่เกินไปนั้นอีก กว่าผลก
ารโจมตีที่สามารถสร้างความบาดเจ็บให้มันได้จะแสดงออก คงกินเวลาไม่น้อย

“ล้มได้น่าเกลียดมากไอ้เด็กเปรต เอาล่ะ...ถ้าแน่จริงก็เข้ามาเลย ไม่งั้นทางนี้จะเข้าไปอัดแกให้เละเอง!” Baelว่าก่อนจะย่อตัวและกระโดดขึ้นไปด้านบน ซึ่งการกระโดดนั้นทำให้เนโร่สังเกตเห็นว่ากบนั้นขายาวมาก และด้วยขายาวๆนี้เองที่ทำให้สามารถกระโดดได้สูงหลายเมตร

“จริงเหรอเนี้ย!” ลานที่เต็มไปด้วยลิ่มน้ำแข็งแบบนี้ และจากความสูงขนาดนั้น มันกะจะกระโดดลงมาทับเนโร่จริงๆ เนโร่รีบวิ่งออกจากจุดนั้นทันที ...ไม่หนีก็แบนเป็นกระดาษน่ะซิ...

พอหลบพ้น Baelก็ร่วงลงมาร่างกระแทกพื้นอย่างแรง พื้นสะเทือนจนหิมะบนพื้นฟุ้งกระจาย เนโร่ยกมือกัน พอหนไปมองอีกที่ก็พบว่าลานกลายเป็นพายุหิมะอีกแล้ว เนโร่มองหากบนั้น แต่สิ่งที่เค้าพบก็คือ แสงสีฟ้าขาวที่ลอยไปลอยมา ....ต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นเหยื่อล่อที่หนวดมันแน่ๆ... จากการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่ดูเอื่อยๆ เชื่องช้า กลับเป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเข้าโจมตี จนเนโร่ต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นอีก

“...ใช้ให้สู้แบบนี้ก็ได้รึเนี้ย” เนโร่ใช้ทั้งดาบและปืนโต้กลับ แต่ด้วยการต่อสู้และเคลื่อนไหวแบบประสาน ทำให้เนโร่ต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย จนสักพักผู้หญิงพวกนั้นผละขึ้นไปด้านบนและหายตัวไป เค้าจะประมาทไม่ได้ เพราะมันอาจโจมตีตอนที่เค้าเผลอทั้งการกระโดดทับและปล่อยลิ่มน้ำแข็งนั้น ไม่แน่...มันอาจใช้วิธีกลืนเข้าลงไปในท้องมันแทนก็ได้

ตามที่เนโร่คาดไว้ เค้ารู้สึกถึงไอปีศาจจากด้านหลัง เค้ารีบกระโดดหลบออกจากระยะนั้นทันที และเจ้าBaelนั้นก็กระโจนออกมาจังหวะนั้นพอดี ปากมันอ้ากว่าเหมือนจะกลืนเนโร่ลงท้องมันจริงๆด้วย เนโร่ชักปืนออกมายิงลงไปที่ร่างมันจากด้านบน แต่น้ำแข็งบนหลังมันเหมือนเป็นเกราะกำบังชั้นดี ช่วยป้องกันกระสุนได้

“ตายซะ เจ้าเศษสวะ!” Baelใช้ลิ่มน้ำแข็งบนหลังของมันพุ่งโจมตีใส่เนโร่ ด้วยสภาพที่ยังอยู่กลางอากาศทำให้เค้าไม่สามารถหลบหลีกลิ่มนั้นได้ เนโร่จึงได้แต่เบี่ยงตัวหลบ

“อุ้บ” เนโร่ที่หลบลิ่มนั้นไม่พ้น ถูกลิ่มน้ำแข็งพุ่งใส่จนร่างกระเด็นไปกระแทกกับแท่นอัญเชิญขนาดใหญ่ในสวน ร่างของเนโร่ร่วงลงมาที่พื้น เค้ารีบลุกขึ้นตั้งท่าทันที แต่ตอนนั้นBaelเองก็สูดเอาลมเข้าไปจนร่างขยายใหญ่และพ่นพายุหิมะจำนวนมากออกมาจากปากของมันใส่เนโร่ทันที ทำให้รอบด้านกลายเป็นพายุหิมะที่มืดมิดอีกครั้ง

“จำไว้นะแก หนึ่งดอก...เอาคืนแน่” ถึงผลกระทบจากการโจมตีของลิ่มน้ำแข็งจะไม่มาก แต่ถ้าโดนอีกเรื่อยๆ ร่างกายเค้ารับไม่ไหวแน่

ร่างของBaelกลืนหายไปกับพายุหิมะ แต่ปรากฏเป็นผู้หญิงสองคนนั้นอีกครั้งแทน คราวนี้เนโร่เล็งไว้ที่ร่างของคนใดคนหนึ่งในนั้นแทน ...เค้าไม่อยากโดนโจมตีแบบเมื่อกี้อีกรอบหรอกนะ... พอเล็งได้แล้วว่าจะเอาใคร เนโร่ก็ใช้เดวิลบริงเกอร์คว้าที่ร่างของเธอทันที โดยที่จับแน่นไม่ให้หลุดมือไปได้

“เลิกเล่นซ่อนหาได้แล้ว ออกมาซะดีๆ!!!” เนโร่ตวาดก่อนจะออกแรงดึงหนวดนั้นอย่างแรง Baelที่ต้านแรงดึงไม่ไหวปลิวออกมาพร้องแรงดึงทันที

“แก....!” มันอ้าปากกว้าง เนโร่อาศัยจังหวะนั้นกระโดดเข้าไปในปากมัน ศัตรูแบบนี้ต้องรีบจัดการ ไม่งั้นจะยิ่งตึงมือ และดูท่าว่าวิธีที่เร็วที่สุดคือ จัดการทำลายระบบในร่างกายมันนั้นเอง

“ย๊ากกกก!” เนโร่ที่ชาร์ตเอ็กส์ชีทจนเต็มบิดมันจุดสุดและฟันเป็นวงกว้าง น้ำภายในร่างกายมันกระเซ้นไปทั่ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ

“Crash!” เนโร่ใช้เรดควีนฟันย้อนขึ้นจนทะลุออกมาจากร่างของมัน Baelที่ไม่มีแรงจะสู้กลิ้งอยู้กับพื้น ยังพอมีแรงพูดอยู่

“กะ...แก บังอาจ...บังอาจ!!!” มันพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู้อย่างนั้นด้วยความคับแค้นใจ จนข้อความต่อมาฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“ไม่ต้องบ่น ทางนี้ต่างหากล่ะที่ต้องบ่น แกทำเสื้อฉันเปื้อนหมดแล้วเห็นไหม” เนโร่ว่า ...ก็ไม่ได้หวังให้ปีศาจมาซักโค้ทตัวเก่งให้หรอก แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ...

“ฝากไว้ก่อนเถอะ เด็กผี! เมื่อแก...ทำกับข้าแบบนี้ เดี๋ยว...พี่น้องของข้า ก็จะจัดการ....” มันพล่ามต่อไปเรื่อยๆ เนโร่ก็ไม่ได้จนใจอะไรมาก เข้าใช้เดวิลบริงเกอร์อัดซ้ำเข้าไปจนร่างมันกระเด็นติดกำแพงก่อนจะร่วงลงมาและแน่นิ่งไป

“เฮ้อ ให้ตายซิ เวลาซักชุดก็ไม่มีซะด้วย...” เนโร่ก้าวเดินไปตามพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะในสภาพที่ทั้งชุดและผมเปื้อนไปด้วยเมือก เค้าอยากพักสักหน่อย แต่เวลาดูเหมือนจะไม่ค่อยมีแล้ว เค้าจึงเลือกที่จะเดินทางต่อ แต่เค้าสะกิดใจกับคำพูดบางอย่างของBaelจนต้องหยุดเดิน


“เดี๋ยวนะ พี่น้อง...เหรอ” เนโร่รีบหันไปมองที่แท่นอัญเชิญนั้นทันที ที่แท่นนั้นเหมือนมีควันและไฟลุกไหม้ เกิดเป็นรูที่เชื่อมต่อระหว่างโลกปีศาจขึ้น เค้าได้ยินเสียงประหลาดดังออกมาจากรูนั้น พอเค้าไปใกล้ๆเค้าถึงเห็นว่ามีปีศาจลักษณะคล้ายBaelจำนวนมากกำลังมา

“ล้อเล่นนา” เนโร่สบถก่อนจะใช้ดาบฟันทำลายแท่นนั้น แต่มันทำได้แค่สร้างรอยเล็กๆเท่านั้น ก่อนที่เนโร่จะคิดหาวิธีทำลายแท่นัญเชิญนั้นได้ เจ้ากบพวกนั้นมันก็โผล่ออกมาจากรูนั้นซะแล้ว

“กบน่ะ มีเยอะเกินไปแล้วนะ” เนโร่บ่นพร้อมกับหันซ้ายหันขวาหาตัวช่วย แต่พอไม่รู้จะทำยังไงเค้าก็ได้แต่สบถออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะสังเกตเห็นร่างBaelที่นอนตายอยู่ เค้าตัดสินใจวิ่งไปที่ร่างนั้นก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนร่างของBaelและอาศัยความอ่อนนุ่มของร่างนั้นกระโดดเข้าใส่พวกกบที่กำลังจะออกมาพ้นรูนั้น เนโร่พุ่งเข้าไปถีบอย่างแรงจนกบพี่น้องของBaelกระเด็นกลับเข้าไปทั้งหมด พอจัดการเสร็จเนโร่รีบวิ่งไปที่แท่นเล็กๆด้านข้างแท่นอัญเชิญทันที

“โทษทีนะ พอดีร้านเราปิดให้บริการแล้ว โอกาสหน้าเชิญใหม่นะพวก!” เนโร่วางเดวิลบริงเกอร์ลงบนแท่นเล็กๆนั้นพอวางปุ๊บ เหมือนแท่นอัญเชิญจะเสียสมดุลในการแยกมิติทำให้รูขนาดใหญ่นั้นปิดตัวลงได้ทันก่อนที่กบตัวหนึ่งจะกระโดดออกมา ดูเหมือนเค้าจะเพิ่งสังเกตว่าตรงที่เค้าเพิ่งวางมือลงไปเหมือนสวิตช์สั่งการทำงาน

“เฮ้อ จบซะที เป็นศัตรูที่ไม่อยากพบเจอด้วยเป็นครั้งที่ 2เลยแหะ...อืม....ในหลายๆความหมายล่ะนะ”เนโร่บ่นเบาๆก่อนจะหันไปมองร่างที่แน่นิ่งของBaelที่ค่อยๆสลายกลายเป็น
หิมะปลิวไปกับสายลม



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ทุกท่านเข้ามาอ่านน่อ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์น่อ อย่างน้อยเราก็รู้ว่ายังมีคนติดตาม
เจอกันเดือนหน้า 12 Sep
ตอนหน้ามีเฮแน่นอนน่อ :cool:

teepagon
25th August 2012, 15:13
สนุกมาครับ ว่าแต่มันมีกี่บทฮะเนี่ย??????

ดูๆแล้วมัน บอสตัวนึง บทนึง

.............ก็เยอะเหมือนนะฮะเนี่ย = ='

Devil-Dante
12th September 2012, 23:30
คลานเข้ามาในบอร์ด...เฮ้อ...
เราแปลไม่สนุกหรือเค้าไม่สนใจกันแล้วนะถึงไม่ค่อยมีใครอ่านเลย
เอาเถอะ...ใจรัก เพื่อดันเต้และเนโร่(นั่งมองลีอองภาค หก แก้ขัดก่อน พี่ท่านคล้ายดันเต้โคตรๆ)

ตอนนี้ขอลงแค่นิดนึงก่อน อันด้วยงานรัดตัวเหมือนโดนจับมัด
เลยกระดึ๊บได้แค่นี้


Stage 06 (40%)


Nero part

เนโร่ยังคงเดินลึกเข้าไปภายในปราสาทขึ้นเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอด เค้าก็ยังไม่พบเจ้าชายชุดแดงนั้นสักที ทำให้เนโร่คิดว่า เค้าคงต้องกลับไปที่สำนักงานใหญ่ภาคีเพื่อตั้งตัวก่อน เนโร่คิดไปเรื่อยพรางเดินตามเส้นทางที่เค้าเพิ่งเจอเมื่อกี้ ถึงเค้าจะมาเยื่ยมชมอะไรหลายๆอย่างในปราสาทแห่งนี้บ่อยครั้ง แต่ก็จำเส้นทางอะไรต่างๆนานาในปราสาทนี้ได้หมดหรอก แถมภายในห้องต่างๆของปราสาทก็มีลักษณะโครงสร้างแบบเดียวกัน มีบางห้องหรือบางอย่างเพิ่มมาด้วย ทำให้ยิ่งงงเส้นทางไปใหญ่ ...ก็กลัวหลงทางอยู่หรอก แต่ก็เดินไปตามทางนี้ก่อนก็แล้วกัน...

เส้นทางที่เนโร่กำลังเดินสำรวจอยู่นี้ เป็นเส้นทางเหมือนอุโมงค์หลบหนีอะไรสักอย่าง จากลักษณะที่สังเกต คาดว่ามันคงถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ไม่ดีแน่นอน แถมพอเนโร่ลองเปิดเข้าไปสำรวจในห้องต่างๆก็มีแต่ของรูปร่างหน้าตาแปลกๆเต็มไปหมด แบบนี้จะไม่ให้เนโร่ระแวงถึงกลิ่นตุๆพวกนี้ได้ยังไง ...ที่นี้ต้องมีไว้สร้างอะไรสักอย่างแน่นอน...

พอเนโร่เดินมาสุดทางเดิน เค้าก็พบกับกำแพงกระจกขนาดใหญ่ ซึ่งเบื้องหลังกระจกบานใหญ่นั้นเป็นเหมือนกับห้องๆหนึ่งที่มีโต๊ะ เก้าอี้วางอยู่ และยังมีหลอดทดลองขนาดใหญ่อยู่ด้วย ซึ่งในนั้น มีดาบที่แตกหักอยู่ เนโร่จ้องมองดาบนั้นก่อนจะรู้สึกอุ่นร้อนที่แขนขวาขึ้น ...สัมผัสได้ถึงความร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...

...ความรู้สึกนี้ เหมือนกับตอนที่เข้าเจอชายชุดแดงที่โรงโอเปร่า ที่ประกอบพิธีนั้น... ระหว่างที่เนโร่กำลังคิดอะไรไปต่างๆนานา จู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น

“ว่าแล้ว...ว่าแกต้องมาถึงนี้จนได้...” เสียงที่ไม่คุ้นหูเนโร่เอ่ยขึ้น

...เสียงนี้คงมาจากสปีกเกอร์ในห้องหลังกระจกบานนั้นแน่... เนโร่คิดก่อนจะสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังกระจกบานนั้น จากการแต่งตัว....น่าจะเป็นพวกผู้บริหารระดับสูงของภาคีแน่นอน แต่เนโร่รู้สึกไม่คุ้นหน้าเลย...

“นาย...เป็นใคร” เนโร่ถาม ฝ่ายนั้นก็ทำความเคารพเหมือนคนบ้าๆบอๆใส่ก่อนจะแนะนำตัว “ฉันเหรอ ฉันคือ แอ็กนัส” เค้าแนะนำตัวเองผ่านทางสปีกเกอร์

“งานของฉัน เป็นงานที่ไม่ค่อยได้พบปะผู้คน ไม่แปลดที่ จะ...จะ...จะ..ไม่เคยเห็นหน้าฉันมาก่อน แต่ชื่อของชั้น คิดว่าคงเคย...เคย...ได้ยินมาบ้างนะ” เนโร่ขมวดคิ้วก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกออก เพราะชื่อแอ็กนัส เค้าเคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ในส่วนของฝ่ายเทคนิคและพัฒนาของภาคี เป็นคนที่ออกแบบและคิดค้นระบบExceedในRed Queen และCarliberที่อัศวินภาคีทุกคนใช้อยู่

“อ้อ พ่อคนอัจฉริยะคนนั้นนี้เอง แล้วคุณอัจฉริยะมาทำอะไรในรูนรกนี้ล่ะ” เนโร่ถามแอ็กนัสเงยหน้าขึ้นทันทีก่อนจะใช้ปากกาที่อยู่ในมือชี้หน้าด่าเนโร่อย่าเดือดดาล “รูนรกงั้นเรอะ! นี้แก... ไอ้...ไอ้...ไอ้ปากสุนัข...” เนโร่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าแอ็กนัสโมโหอะไรเค้า เนโร่จึงได้แต่หยักไหล่ตอบกลับไป

“เด็กเปรตสมคำล่ำลือจริงๆ”

“เฮ้ย! ตกลงไอ้ห้องนี้มันห้องอะไรกันแน่ เป็นสถานที่ควบคุมพิเศษของภาคีรึไง” เนโร่ตะโกนถาม แอ็กนัสชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปแล้วหันกลับมา ใบหน้านั้นติดจะยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าอย่างงั้น...จะบอกให้ก็ได้”

“หวังว่าห้องนี้คงไม่ใช่ห้องแห่งความลับหรอกนะ จริงๆก็ไม่ได้อยากเล่นบทเป็นนักสืบอะไรหรอกนะ แต่ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าเจ้าคนที่มันสังหารเคียวโกน่ะ มันผ่านมาทางนี้บ้างรึเปล่า พอดีมันเป็นงานของฉันน่ะ” เนโร่ถามพรางสำรวจรอบๆห้อง นอกจากทางที่เค้าเข้ามา ก็ไม่มีทางเข้าออกอื่นในห้องนี้แล้ว ดังนั้นเปอร์เซนที่เจ้าชายชุดแดงจะอยู่ในห้องหลังกระจกนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่ยังไง ก็ต้องถามไว้ก่อนแล้วค่อยออกไปตามหาที่อื่นต่อ

“แกน่ะ จากนี้ไปหน้าที่ของแกจะ...จะ...จบแล้ว” แอ็กนัสกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย เนโร่เอียงคอ “หา...ว่าไงนะ”

“แค่แกมาเห็นที่นี้ แกก็มีแต่ตายสถานเดียวแล้วล่ะ” สิ้นเสียง เนโร่ก็ชักทั้งปืนและดาบออกมา แต่ฝ่ายตรงข้ามดูกลับไม่ดูทุกข์ร้อนอะไรเลย

“เมื่อเข้ามาในสถานที่ที่เป็นความลับแล้วก็จะไม่มีวันได้ออกไปงั้นเหรอ มันระบุอยู่ในกฎข้อไหนไม่ทราบ พอดีว่าฉันน่ะ จะ...จะ...จะ...จำไม่ได้วะ” เนโร่ตอกกลับไปโดยพูดล้อเลียนอาการติดอ่างของแอ็กนัส แอ็กนัสหุบยิ้มฉับก่อนจะกดลงที่สวิตช์สีขาวของอุปกรณ์ในกระเป๋าเสื้อ เมื่อกดแล้วจู้ๆก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างบินมาทางห้องที่เค้าอยู่

ตอนแรกเนโร่คิดว่ามันเป็นดาบที่พุ่งออกมาจากผนังธรรมดา แต่พอมันพ้นผนังออกมา ปรากฏว่ามันก็กลายร่างเป็นนก บินได้เหมือนมีชีวิตจริงๆ

“ปีศาจ...เหรอ” พอได้ยินดังนั้น แอ็กนัสก็หัวเราะออกมาเหมือนตนเองเป็นผู้ชนะ

“Gradius คือชื่อที่ฉันตั้งให้พวกมัน เป็นยังไง เจ๋งไหมล่ะ” แอ็กนัสอธิบาย Gradiusทั้งสามตัวก็บินวนไปวนมา อีกสองในสามตัวบินไปมา อีกตัวหนึ่งที่ยังอยู่ในรูปลักษณ์ของดาบพุ่งเข้ามา เฉียดแก้มเนโร่ไปเล็กน้อย แต่ก็เรียกเลือดได้เป็นทางยาว

“มันเกิดจากปีศาจจำพวกแมลงปีศาจกับดาบนี้มาหลอมรวมกัน ยะ...ยะ...ยังไม่ถึงขึ้นดีเยี่ยม แต่อย่างน้อย มันก็สามารถที่จะตัดร่างของมนุษย์ให้ขาดสองท่อนได้ล่ะนะ”

...อธิบายแบบอวดสรรพคุณพวกนักประดิษฐ์วิชาการ ไม่ใช่ว่าที่พูดมานี้ไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับเนโร่ บอกได้เลยว่าเค้าไม่ค่อยชอบพวกบ้าวิชาการแบบนี้อยู่แล้ว...

Gradiusตัวอื่นที่เตรียมพุ่งใส่เค้า เนโร่ใช้ปืนยิงจนจนมันกระเด็นและคืนร่างเป็นดาบ ปักลงพื้นห้อง ตอนแรกนึกว่าตายแล้ว แต่จู่ๆดาบนั้นพ็พุ่งขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกลายร่างเป็นนกและบินว่อนไปทั่วบริเวณอีกครั้ง ...ดูท่าจะเป็นปีศาจที่รับมือยาก แถมเป็นปีศาจที่สร้างจากเทคโนโลยี เทคนิคอะไรนั้นอีก คงจัดการไม่ได้ง่ายๆแน่...

“...แกสร้างของแบบนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร! สร้างขึ้นเพื่อใช้กำจัดพวกอัศวินรึไง” เนโร่โต้ตอบการโจมตีของGradiusไปพรางตะโกนถาม แอ็กนัสหัวเราะชั่วร้ายขึ้นมาทันที “เรื่องนั้น...แกเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ถ้าจะแค้น ก็จะแค้น...คะ...คะ...เครโด้ที่ส่งแกมาตายพะ...พะ...พะ...เพื่อมาตามดันเต้เถอะ”

“ดันเต้...เหรอ”

...เมื่อกี้เจ้าแอ็กนัสมันพูดว่า ...เครโด้ส่งเค้ามาตามดันเต้... ดันเต้...หมายถึง เจ้าชายชุดแดงที่สังหารเคียวโกซินะ แต่ทำไมเจ้าแอ็กนัสมันถึงรู้ว่าหมอนั้นชื่อดันเต้ล่ะ... เนโร่สงสัยในใจ เพราะมันไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่อยู่ในเหตุการณ์และไม่น่าจะรู้จัก “คนนอก” อย่างชายชุดแดง

“ทำไมนายถึงรู้จักชื่อของหมอนั้น” แอ็กนัสไม่ได้ตอบเนโร่ เพียงแค่หันมามองเล็กน้อยก่อนจะจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดบันทึกของตนเอง

“คงต้องทดลองใช้ของจริงแล้วซินะ....” แอ็กนัสจบการสนทนาโดยหันไปบ่นงึมงำอะไรบางอย่างแทน กลายเป็นว่าตอนนี้เค้าต้องหันมาสนใจเจ้าพวก Gradiusที่บินวนไปวนมานี้แทน เนโร่เลยใช้ปืนยิงใส่Gradiusตนหนึ่ง ลูกกระสุนทำให้มันคืนร่างกลับไปเป็นดาบ

“ทดลองจริงงั้นเหรอ ฉันล่ะเกลียดพวกที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่เห็นหัวใครชิบเป๊งเลยยย” เนโร่ใช้เดวิลบริงเกอร์ฉวยเอาGradiusที่พื้นขึ้นมาแล้วเล็งไปที่บริเวณที่แอ็กนัสกำลังจดบันทึอยู่
“Catch this!” เนโร่ปาดดาบในมือนั้นใส่กระจกตรงตำแหน่งที่แอ็กนัสยืนอยู่

“ว๊ากกก” แอ็กนัสดูตกใจไม่น้อยที่Gradiusพุ่งชนกระจกนั้น ถึงมันจะพุ่งใส่จนเกิดเสียงดังที่บ่งบอกถึงความแรงพอสมควร แต่แทนที่กระจกจะแตก กลับกลายเป็นว่าGradiusที่แหละละเอียด แถมกระจกก็ไม่มีแม้แต้รอยขีดข่วนอีกต่างหาก

“ฮ่าๆๆๆ ปะ...ปะ...เปล่าประโยชน์ กระจกนี้สร้างขึ้นจากพื้นฐานที่สามารถลองรับพลังการทำลายที่รุงแรงระดับปีศาจไซครอปโจมตีก็ไม่สะเทือน เพราะฉะนั้นแกมะ...มะ...มะ...ไม่มีทางทำลายมันได้หรอก” แอ็กนัสพูดออกมาอย่างไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย

“งั้นเหรอ ไม่แน่หรอกมั้ง” เนโร่ก็ใช้วิธีเดิมและปาGradiusใส่กระจกนั้นเช่นเดิม กระจกสะเทือนอย่างแรง แต่ไม่มีรอยแตกร้าวแม้แต่น้อย แอ็กนัสหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วจู่ๆแอ็กนัสก็หยุดหัวเราะ ดูท่าฝ่ายนั้นจะรู้สึกถึงแขนขวาของเนโร่แล้ว มือที่จดบันทึกตลอดเวลาก็หยุดไปเช่นกัน ก่อนจะพุ่งเข้ามาจนชิดกระจก เพ่งมองเนโร่แทน จนครั้งที่ 3 ที่เนโร่ใช้Gradiusปาใส่กระจก กระจกนั้นเริ่มมีรอยแตกเล็กน้อยแล้ว แต่แอ็กนัสที่มัวแต่สนใจแขนขวาของเนโร่จึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกตินี้


เนโร่กำหมัดแน่นก่อนจะวิ่งตรงไปที่กระจกเจ้าปัญหาและกระโดดขึ้น เค้าใช้แขนขวาที่ขยายใหญ่ขึ้น ใช้เดวิลบริงเกอร์ชกซ้ำลงไปที่รอยร้าวเล็กๆนั้นจนรอยร้าวนั้นขยายขึ้น
“เอ๊ะ” ทันทีที่แอ็กนัสอุทานอย่างตกใจ กระจกนั้นก็ทะลุ แตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที เนโร่เดินเข้ามามองแอ็กนัสที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น

“นะ...นะ...นะ...นั้นมันพลังปีศาจไม่ใช่เรอะ!!! ทะ...ทะ...ทะ...ทำไมแก่ถึงมีพลังนั้นได้ ทำไมแกถึงสร้างมันขึ้นมาเองได้!”

“ก็เหมือนกันนั้นล่ะ ตอบมาซะดีๆว่าทำไมพวกทีมวิจัยต้องสร้างปีศาจขึ้นมาด้วย” เนโร่ไม่ได้ตอบ เค้าย้อนถาม แต่แอ็กนัสไม่ได้สนใจตอบ หมอนั้นไม่กลัวแม้แต่ดาบของเนโร่ แถมรีบลุกขึ้นพุ่งเข้ามาดูแขนขวาของเนโร่ใกล้ๆอีก

“เยี่ยม...” แอ็กนัสอุท่านพร้อมกับพยายามเข้ามาจับแขนขวาของเนโร่ให้ได้ เค้าเบี่ยงหลบ

“นี้มันพลังอะไรกัน... มันประหนึ่ง...เทพพระเจ้า... ยอดเยี่ยมที่สุด...มันยอดเยี่ยม...” แอ็กนัสยังพยายามจะเข้ามาจับ เนโร่จึงใช้เรดควีนในมือจ่อไปที่แอ็กนัสแทน

“แกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!” เนโร่ใช้ดาบจ่อที่คอขิงแอ็กนัส แต่แอ็กนัสใช้มือทั้งสองข้างกดดาบให้ออกห่างจากคอของเค้า เนโร่ยื้อดาบออก แต่มือของแอ็กนัสจับดาบแน่นจนขยับแทบไม่ได้ ...พลังบ้าอะไรขนาดนี้...

“เอาเถอะน่า ถ้าแกให้พวกฉันได้ทอลอง ตรวจสอบแขนที่แสดวิเศษนี้ เดี๋ยวพวกฉันจะบอกหมดเลย จุดประสงค์ เป้าหมายหรือแม้แต่...ตำแหน่งระดับสูงของภาคี” แอ็กนัสยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แล้วปล่อยดาบเรดควีน เนโร่เซไปเล็กน้อย ระแวงว่าแค่ดาบคงรับมือไม่ไหว จึงเก็บดาบแล้วชักปืนออกมาแทน แต่แอ็กนัสก็ยังคงไม่สนใจของในมือเนโร่ พร้องกับพยายามจะจับแขนขวาเนโร่พรางพูดพึมพำคนเดียว จนฟังไม่รู้เรื่อง

“เมื่อหลายปีก่อน...ฉันเริ่มค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับปีศาจ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อให้เข้าใจรายละเอียดของปีศาจ แต่เพื่อให้มนุษย์สามารถครอบครองพลังปีศาจได้” แอ็กนัสพูดและทำท่าเหมือนกับตัวเองกำลังแสดงละคร แต่จู่ๆคำพูดของแอ็กนัสก็หยุดลงซะดื้อๆ

“จากนั้นก็คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะรับพลังปีศาจนั้น ส่วนพวกที่อ่อนแอ ทนรับพลังไม่ไหวสลายไป... ระหว่างค้นคว้าท่านเคียวโกก็เล็งเห็นถึงความสามารถของฉัน และสนับสนุนฉัน ฉันจึงทุ่มเทกับการค้นคว้าทั้งวันทั้งคืนอย่างงี้ไงล่ะ” แอ็กนัสยังไม่ขยับไปไหน

“และเหนือสิ่งอื่นใดคือ...ตอนนี้...ถึงจะลงมือสังหารเคียวโกไป มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” แอ็กนัสเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแปลกๆ “ไม่ต้องกังวล ด้วยชีวิตใหม่ ด้วยการจุติครั้งนี้ ทำให้ท่านกลายเป็นเทพ!”

“เทพ...”

“หมายถึงผู้ที่ได้รับเลือกให้สามารถครอบครองพลังปีศาจได้ยังไงล่ะ ผู้ที่ได้รับพลังมาอย่างชอบธรรม จะเรียกว่าปีศาจก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

“แต่เรียกว่าเทพเนี้ยนะ? สมองแกมีปัญหารึเปล่าเนี้ย” เนโร่ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องพันธุ์นี้ อยากจะอัดให้สลบแล้วปล่อยให้ลุกขึ้นมาทบทวนตัวเองใหม่ แต่ดันต้องรายงานเครโด้ด้วยว่าไปทำอะไรมา ...ยังไม่อยากโดนเครโด้ดู่ชาหรอกนะ...

“และแน่นอนว่า...ฉันเองก็เป็นหนึ่งในเทพเหล่านั้นด้วย” แอ็กนัสทำท่าเหมือนนึกออกก่อนจะส่งยิ้มสยองกว่าเดิมให้ เป็นจังหวะเดียวกับที่เนโร่รู้สึกถึงพลังรุนแรงบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างของแอ็กนัส

“อึก!?“ เนโร่ถอยออกมาโดยสัญชาติญาณทันที เค้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังบินลงมาจากเพดาน เคลื่อนที่เค้ามาใกล้อย่างรวดเร็วด้วย สิ่งนั้นคืออัศวินชุดเกราะแบบเดียวกับที่เจอในห้องสมุด อัศวินที่มีแต่เกราะเปล่าๆ กำลังพุ่งมาทางนี้สามตัว พวกมันพุ่งเข้ามาพร้อมหอกในมือ

“อ๊ากกกกก” หอกพุ่งเข้ามาตรึงแขนเนโร่ทั้งสองข้างกับกำแพง ส่วนอีกหนึ่งนั้นปักทะลุท้องเนโร่จนขยับไม่ได้

“อึก...อ๊อก แค่กๆ” เนโร่อะเป็นเลือดออกมา ส่วนพวกชุดเกราะก็บินไปอยู่ด้านหลังแอ็กนัสที่กำลังก้าวเป็นจังหวะเชื่องช้ามาหาเค้า

“และนี้ก็คือ...ผลจากการทดลองของฉันอีกชิ้นหนึ่ง ปะ...แนไงล่ะ งดงามไหม อัศวินเกราะขาวของฉัน...งดงาม” เรื่องอะไรเนโร่ไม่ค่อยจะรับรู้แล้ว เพราะอาการบาดเจ็บกำลังจะชักนำเนโร่ให้หมดสติ แอ็กนัสดึงหอกที่ท้องของเนโร่ออกทันทีที่เห็นว่าเนโร่จะหมดสติ

“อ๊ากกก”



++++++++++++++++++++ 40% ++++++++++++++++++++

คืนนี้แค่นี้ก่อน ไม่ไหวน่อ ง่วงแล้ว

สำหรับคำถามท่านteepagon เล่ม 1 มี 11บท เป็นเล่มที่เนโร่เป็นพระเอกล้วนๆน่อ
และสุดท้ายขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน

ติชมการใช้ภาษาและรูปแบบประโยคได้ เพราะบางอันก็มาจากญี่ปุ่นแบบตรงตัวทั้งดุ้นน่อ

pooza555
24th September 2012, 19:46
สุดยอดมาก
ไปหาซื้อมาจากไหนหรอครับ

Wimpy Kid
1st October 2012, 12:05
น่าสนุกดี เดี๋ยวมาอ่านครับผม

nongto2240
25th June 2015, 22:18
อยากให้ลงต่อจัง :clap

neungzaa999
26th October 2015, 20:30
สวัสดีชาวJokerทุกคน เราเป็นสมาชิกใหม่ ฝากตัวด้วยน่อ
นิยายเรื่องนี้เราแปลเองเป็นเรื่องแรก เราชอบมากและ...ซื้อมาเก็บไว้เรียบร้อย
ถ้าสนใจก็อย่าลืมกันเข้ามาอ่านน่อ ขอบคุณจ้า

Now Loading............. Stage 6 (40%)




http://devils-lair.org/random/pictures/dmc4novel_cover.jpg





Stage 1 บทนำ


…Dante Side…

แสงจันทร์ลอยเด่นกลางฟากฟ้าราวกับม่านแสงบางๆที่กำลังห่อหุ้มอาณาจักรฟอร์ทูนน่ายามกลางคืนเช่นนี้ เป็นเรื่องยากที่จะพบผู้คนออกจากบ้าน เพราะเวลานี้ปีศาจมักปรากฏตัวบ่อยครั้ง ยิ่งคืนที่มีพระจันทร์แดงแห่งลางมรณะแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับสาวงามผมสีทองที่กำลังเดินอยู่บนถนนในขณะนี้แล้ว เรื่องงมงายนี้เลยกลายเป็นเรื่องโจ๊กไป ชุดหนังและกางเกงรัดรูปสีดำนั้น สำหรับผู้ที่มีใจศรัทธาในทางศาสนาของฟอร์ทูนน่าแล้ว ถือว่าเป็นชุดที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นมากและกำลังหยุดยืนอยู่ใต้ร่มไม้ริมถนนสายนั้นเอง

“ไม่คิดจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศหน่อยรึ” ทริชเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับการปรากฎตัวของชายอีกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ การแต่งกายด้วยชุดหนังสีแดงของชายคนนั้นก็ไม่เหมือนกับผู้คนที่อยู่ในฟอร์ทูนน่าเลยเช่นกัน

“ช่วยไม่ได้นิ ฉันเพิ่งจะมาถึงนะ เลยไม่ค่อยคุ้นกับอะไรมากนัก” ทริชถอนหายใจกับคำตอบ

“ช่างมันเถอะ นี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันนินะ ก่อนอื่น...เรามาสรุปเรื่องกันคร่าวๆก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ ชายคนนั้นมีชื่อว่า “ดันเต้” เดินทางมาจากสถานที่ห่างไกลจากฟอร์ทูนน่า เขาคือนักล่าปีศาจ

“ยังไงก็ขอแบบสั้น ง่าย ได้ใจความได้ไหม ฉันเหนื่อยกับการเดินทางไกลนะ” ดันเต้หันไปขอร้องทริช แต่คำพูดของเขากับท่าทางนั้นกลับตรงข้ามไม่ได้ดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลเลย แต่ทริชก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าดันเต้นั้นสมาธิสั้นกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป

“กลุ่มศาสนานี้มีการอัญเชิญปีศาจและนำเซลล์ปีศาจเหล่านั้นมาปลูกถ่ายกับมนุษย์ ผู้บงการเบื้องหลังคือ องค์ประมุขแห่งศาสนา”

“แล้วยังไงต่อ”

“เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือ การครอบครองโลก พวกเขาเพียงแค่เอาศาสนามาบังหน้าเท่านั้น ถ้าพูดกันตรงๆก็คือ เป็นกลุ่มคนชั่วกลุ่มหนึ่งดีๆนี้เอง แต่ดูเหมือนว่าทั้งตัวองค์ประมุขและผู้ติดตามทั้งหลายเชื่อว่า การกระทำของตนเองนั้นถูกต้อง โดยเอาเหตุผลที่ต้องการปกป้องโลกมาอ้างเท่านั้น”

“พวกเดิมๆอีกแล้ว เจ้าพวกนี้มีมาเรื่อยๆแหะ เมื่อไหร่จะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้สักที” ดันเต้ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

“ถ้านายไม่มีกระจิตกระใจจะทำ ให้ฉันจัดการเองก็ได้นะ” ทริชล้อดันเต้เล่นแล้วยิ้มหวาน ถึงดันเต้จะบ่นออกมาแบบนั้น แต่ทริชรู้ดีว่า ดันเต้ไม่มีทางทิ้งงานปราบปีศาจนี้ได้หรอก

“ฉันต้องทำอยู่แล้วน่ะ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำนี้” ดันเต้พูดถึงแผนการที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ทริชชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านทางด้านขวาของตนเอง “พรุ่งนี้ จะมีพิธีสรรเสริญสปาด้า ผู้ติดตามระดับสูงของศาสนาจะเข้าร่วมพิธี แน่นอนว่าองค์ประมุขด้วยเช่นกัน”

ดันเต้มองโรงละครโอเปร่าเบื้องหน้า แล้วจินตนาการถึงบรรยากาศภายในอาการได้ว่า คงมีบรรยากาศแบบโบราณที่เป็นเอกลักษณะของเมืองนี้แน่นอน เมืองนี้เป็นเมืองที่เลื่อมใส ศรัทธาในกลุ่มภาคีแห่งดาบ “สปาด้า”ด้วย ดังนั้นสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าคงมีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว

“แล้วไอ้งานสรรเสริญที่ว่าเนี้ย เขาทำอะไรกันล่ะ ถ้ามีการออกร้านขายของด้วยคงจะน่าสนุกไม่เบา” ดันเต้ถาม ทริชเอียงคอเล็กน้อย “รู้สึกจะไม่ใช่งานรื่นเริงแบบนั้นนะ งานเริ่มจากการร้องเพลงสรรเสริญสปาด้าของเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงก่อน จากนั้นองค์ประมุขก็ขึ้นมากล่าวถึงคำสอนต่างๆ จากนั้นทุกคนก็ร่วมกันขอพรจากสปาด้า แค่นี้เป็นอันจบพิธี”

“เฮ้อ แล้วไอ้งานแบบนี้มันสนุกตรงไหนล่ะเนี้ย” ดันเต้ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า

“พิธีนี้มีความสำคัญมากนะ ยิ่งใหญ่พอๆกับพิธีมิซาเลยที่เดียว”

“หืม....”ดูเหมือนว่าเรื่องปัญหากับข้อข้องใจเกี่ยวกับศาสนาจะไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าไหร่สำหรับดันเต้ เพราะเขาแค่รับคำเฉยๆ

“ประเด็นสำคัญคือ พรุ่งนี้ องค์ประมุขที่ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น จะออกมากล่าวคำสอนเองน่ะ”

“เป้าหมายคือองค์ประมุขซินะ”ดันเต้พูดพรางล้วงเอาปืนจากซองปืนเอนโวนี่ในเสื้อออกมาแล้วยิง เสียงกระสุนนั้นเหมือนเป็นเสียงเปียโนโหมโรงภารกิจใหม่ ปลอกกระสุนปืนกลิ้งตกลงมาตามพื้น ดันเต้หรี่ตามอง “แล้วองค์ประมุขอะไรนั้นน่ะ แน่ใจนะว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้วน่ะ” ทริชพยักหน้าให้กับคำถามนั้น จากนั้นเสียงเห่าหอนของหมาป่าภายใต้พระจันทร์แดงก็ดังขึ้นจากสถานที่อันไกลโผน


++++++++++++++++++++++++++++++


แจ้งอัพStage 2 กับสปอยเล็กน้อย...

“จะทำให้หลับลืมตื่นเลยพวกแก”

“ออกมาให้หมดแต่แรกเซ่ ฉันไม่ว่างมาเล่นซ่อนหากับพวกแกหรอกนะ”

“เรื่องประตูนรกนั้นไปถึงไหนแล้วละ”

น้ำจิ้มสำหรับตอนหน้านะจ้ะ กำหนดอัพ 5 พฤษภาคมน่อ
แจ้งอีกนิด อัพเดือนละครั้งน่อ เพราะแปลสด ต้องใช้เวลา(แอบไปแต่งนิยายด้วย ฮ่าๆๆ)

สุดท้าย....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะจ้ะ ขอบคุณทุกท่านเลยจ้ะ

อ่านเพลินดีนะครับ