=MwM=
3rd May 2012, 03:04
อย่างที่ขึ้นไว้ตรงหัวกระทู้ นี่เป็นแค่การแปะบทนำที่ผมทดลองเขียนเอาไว้ หากเห็นว่ารกบอร์ดหรือเกะกะสายตาอย่างไรก็ลบได้เลย
สาเหตุที่ไม่นำเรื่องจริงๆมาลงเพราะยังเขียนไม่เสร็จ
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คคร่าวๆในหัวผมที่ดองไว้มานานเหลือเกิน - -
หลังจากปั่นบทนำเสร็จก็อยากจะมาลองให้อ่านๆกันดู มีความเห็นกันว่ายังไงก็ฝากกันไว้ได้ครับ
บทนำ
เป็นค่ำคืนที่แปลกประหลาดเสียจริง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีดำสนิท แสงทองจากจันทร์เสี้ยวที่ขึ้นตระหง่านอยู่บนฟ้าแทบจะไม่มีความหมายสำหรับคืนนี้
สิ่งที่ยังช่วยให้ผมมองเห็นพื้นถนนในตอนนี้มีเพียงแสงจากหลอดไฟบนเสาไฟที่ตั้งเรียงรายไว้ตลอดเส้นทาง
แต่ด้วยระยะห่างของเสาไฟที่ห่างออกไปบวกกับแสงสลัวๆนั่นทำให้การทัศนวิสัยของผมในตอนนี้จัดได้ว่าแย่มากๆ
แต่ยังดีที่แถวนี้เป็นย่านที่พักอาศัย จึงยังพอมีแสงไฟจากบ้านเรือนเล็ดลอดออกมาช่วยให้บรรยากาศไม่ชวนจิตตกจนเกินไป
เป็นค่ำคืนที่แปลกประหลาด ผมย้ำกับตัวเองอย่างนั้น
เดือนพฤษภาคม ทั้งที่เดือนนี้ควรจะเป็นหน้าฝนแล้วแท้ๆ แต่อากาศเจ้ากรรมดันพาประเทศไทยร้อนมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว
จนถึงตอนนี้อากาศมีแต่จะร้อนขึ้นร้อนขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าด้วยสภาพอากาศแบบนี้จึงส่งผลให้คืนนี้ร้อนตามไปด้วย ถึงจะไม่รู้สึกทรมานเหมือนตอนกลางวันแต่ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดีที่จะบ่นออกมา
ช่างเป็นความรู้สึกที่ปั่นป่วนเสียจริง เป็นค่ำคืนที่แสนอบอ้าว ไม่มีแม้แต่ลายลมแผ่วๆที่พัดมาช่วยใจเฉาๆของผมเลยซักนิด
แปลก...
เท้าของผมหยุดลงหลังจากที่ก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยมาตลอดเส้นทาง ผมหยุดแล้วจ้องมอง ไม่สิ ต้องบอกว่าหยุดเพื่อจ้องมองดีกว่า
ที่ใต้เสาไฟฟ้าด้านหน้าผมห่างออกไปหลายสิบก้าวปรากฏเป็นเงาของคนคนหนึ่ง แต่ด้วยหลอดไฟข้างบนที่กระพริบอย่างถี่เหมือนทำท่าจะดับแหล่มิดับแหล่อยู่นั่นทำให้ภาพที่ผมเห็นไม่ชัดเจนดีนัก
ผมหรี่ตาลงเพื่อเพ่งฝ่าความมืดไปยังเงาที่สันนิษฐานว่าเป็นคนนั่น
บางทีสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของผมชื้นขึ้นมาหน่อย ใต้เสาไฟต้นนั้นปรากฏเป็นร่างของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ถึงระยะห่างกับความมืดจะทำให้ผมมองเห็นได้ไม่ดีนัก
แต่ผมสามารถบอกได้จากจุดนี้เลยว่าเธอคนนั้นเป็นคนสวยคนนึง
เธอคนนั้นยืนหันข้างให้ผมทำให้ผมเห็นเพียงด้านซ้ายของเธอ ใบหน้าขาวผ่องเงยขึ้นสูงไปด้านบนราวกับกำลังจ้องมองไปยังอะไรบางอย่าง คงไม่ใช่ว่ากำลังมองหลอดไฟที่กระพริบนั่นอยู่หรอกมั้ง
ท่าทีของเธอในตอนนี้บ่งบอกให้เห็นได้ชัดว่าไม่รับรู้ถึงการมาของผม แถมเหมือนจะไม่ได้เอะใจเลยซักนิดว่ากำลังถูกชายแปลกหน้าจ้องมองอยู่ในความมืด
พูดตรงๆอย่างไม่เสแสร้งว่าผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์สวยน่ามองอย่างเธอนี้ก็เป็นอาหารตาที่ดีสำหรับผมในเวลานี้เลยทีเดียว แต่พูดก็พูดเถอะไอ้ท่าทีของเธอคนนั้นมันทำให้ชวนคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องไม่ดีไม่งามทำนองนั้นชะมัดเลยนะ
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเข้าใจผมผิดไป ผมไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นพวกโรคจิตหื่นวิปริตหรือพวกเด็กแก๊งค์ติดยาที่ไหนมาเจอแบบนี้เข้าจะเป็นไง? แค่คิดก็น่ากลัวแล้วไม่ใช่หรอ
กลับมาที่โลกความเป็นจริง ผมยังคงยืนนิ่งอยู่บนทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ส่วนเธอคนนั้นก็เช่นกัน
ไม่เข้าใจเลยแฮะว่าไอ้ใต้เสาไฟนั่นมันมีอะไรน่ามองนักหนาถึงได้ยืนนิ่งจ้องมันอยู่อย่างงั้น จะว่าไปก็ดูไม่มีเหตุผลซักนิดที่ผมจะต้องมาหยุดยืนวิจารณ์สาวสวยที่บังเอิญเจอแบบนี้
เพราะงั้นผมจึงเริ่มเดินต่ออีกครั้ง ในท้ายที่สุดแล้วการพบกันของผมกับเธอคนสวยคนนี้ก็ต้องผ่านไป เหมือนกับผู้คนที่เดินสวนกันตามท้องถนนทั่วไป ไม่มีอะไรแปลกไปกว่านั้น
ผมเดินต่อไป ผมใกล้เธอคนนั้นเข้าไปทุกทีๆ ผมเข้ามาอยู่ในระยะที่ว่าสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
เธอเป็นหญิงสาวที่มีผิวพรรณงดงาม แก้มขาวผ่องของเธอยังโดดเด่นแม้ในความมืด ผมสีดำสนิทยาวตรงถึงกลางหลัง ใบหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ของเธอยังแหงนมองสูงขึ้นไปเช่นเดิม
อย่างที่คิด เธอเหมือนไม่รับรู้ถึงผมเลยแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจว่าไม่รับรู้จริงๆหรือตั้งใจไม่รับรู้กันแน่ เพราะผมก็เดินมาเข้าใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว แถมบริเวณรอบๆนี้นอกจากเสียงของแมลงที่หวี่ร้องอยู่เบาๆก็ไม่มีเสียงใดมารบกวนแล้ว
หรือบางทีเสียงฝีเท้าของผมอาจจะเบามากเลยงั้นสินะ แต่จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า พอนึกแบบนี้ก็ชวนให้ใจของผมเริ่มเหงาขึ้นมาซะแล้วสิ
จนถึงตอนนี้ผมเพิ่งจะสังเกตุ ชุดที่เธอใส่อยู่คือชุดนักเรียนมัธยมปลายซึ่งมีเครื่องแบบคุ้นตาเอามากๆ ก็แหงล่ะ ไอ้ชุดนักเรียนหญิงแบบนี้ในละแวกนี้ก็มีแต่โรงเรียนผมโรงเรียนเดียวนี่นะ
และในเมื่อมาเจอนักเรียนโรงเรียนเดียวกันแบบนี้ยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่ ไอ้ความสงสัยที่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆนี่
ผมเดินจนเกือบจะผ่านเธอไปแล้ว เธอยืนหันหน้าเข้าเสาไฟทำให้ผมแค่เดินผ่านหลังของเธอไป และด้วยความสงสัยจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ผมจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดของเสาไฟนั่น
ผมมองขึ้นไปอย่างเงียบๆและเป็นธรรมชาติราวกับสัญชาติญาณที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะสนหรอกนะ รู้สึกเหมือนไปยุ่งเรื่องของเขายังไงก็ไม่รู้
แต่แทนที่ผมจะได้คลายข้อสงสัยที่มีอยู่กลับกลายเป็นว่าวความสงสัยนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
แปลก...ใช่แล้ว อย่างที่ผมได้กล่าวไป
บนยอดของเสาไฟนั่น จุดที่สาวนักเรียนม.ปลายคนนี้กำลังจ้องมองอยู่ ตรงนั้นมันว่างเปล่า นอกจากหลอดไฟที่กระพริบเหมือนบ่งบอกว่าอายุขัยของมันกำลังจะหมดลงก็ไม่มีอะไรแล้ว
นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่ความมืดที่ว่างเปล่า ไม่ได้พูดเกินจริงหรืออะไรเลย เพราะบนยอดเสาไฟนั้นนอกจากความว่างเปล่านั้นก็ไม่มีอะไรอื่นอยู่อีกแน่ๆ จากการมองเห็นของผม ผมมั่นใจเต็มร้อย
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันทำไมกันล่ะ? เพราะอะไรผู้หญิงคนนี้ถึงได้หยุดนิ่งและจ้องมองไปที่มัน มันมีอะไรน่ามองนักหนาครับ? คำถามนี้มันคาใจเป็นบ้า
ประหลาด...อึดอัดใจ
ผมรู้สึกอย่างนั้นทั้งที่ไม่เข้าใจ สิ่งนี้ทำให้ในหัวของผมมีแต่ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดบ้าๆทั้งหลายนั้นปรากฏขึ้นมาทั้งที่ไม่ตั้งใจ ผมบอกให้จิตใจของตัวเองสงบด้วยประโยคที่ว่า คิดมากไปแล้ว
ผมเดินจนกระทั่งผ่านเธอไป และผมควรจะเดินต่อโดยไม่ต้องหันไปสนใจเธอ ควรจะหยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวซะ
แต่แล้วผมก็ผมหยุดเดิน
ทำไมกันล่ะ ผมหยุดเดินทั้งที่ไม่ตั้งใจจะหยุด การกระทำแบบนั้นมันขัดต่อวิธีการของผมอย่างชัดเจน อารมณ์เหมือนกับตอนที่ถูกอาจารย์ถามกลับว่าเข้าใจบทเรียนมั้ยหลังจากที่สอนเรื่องยากๆจบ
ผมคนนึงล่ะที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้นเลย แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะยกมือขึ้นเพื่อตอบอาจารย์ ทั้งที่ใจจริงอยากจะให้อาจารย์ทบทวนใหม่จะตายห่า แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันต่างกัน เพราะในที่สุดผมก็ยอมแพ้ให้กับความอึดอัดในใจนี้
ผมหันหลังกลับไปยังหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
....
ผมคิดว่าผมจะถาม ในใจผมตอนนี้มีคำพูดที่จะพูดกับเธอแน่อยู่แล้ว แต่ผมยังเก็บมันไว้ ผมไม่ได้พูดมันออกไป แต่ไม่ใช่ว่าผมอายหรือไม่กล้าจะชวนสาวสวยคนนี้คุยหรอกนะ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักคือความสงสัยกับคำถามมากมายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ต่างหาก
ในที่สุด หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมานานจนผมแอบสงสัยว่าไม่เมื่อยบ้างรึไง
ทำไมล่ะ?
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เรียบเฉยเสียจนไม่เหมือนประโยคคำถาม
ใบหน้าของเธอค่อยๆก้มต่ำลงช้าๆ จุดสนใจของเธอดูเหมือนจะไม่ใช่ยอดเสาไฟแล้ว แต่เป็นผมแทน เธอหันมาจนสบตากับผมแต่ตัวยังคงยืนหันข้างให้อยู่
ถึงตอนนี้ผมสามารถเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจนเสียที และการที่ผมมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจนนี้ก็ทำให้ผมคลายข้อสงสัยเล็กๆไปได้เรื่องนึง ข้อสงสัยที่ว่านั่นไม่ใช่ว่า เธอสวยจริงรึเปล่า?
แต่ข้อสงสัยที่ว่านั่นคือคราบของเหลวสีแดงที่เลอะอยู่บนใบหน้าของเธอ
เลือด
ต่อให้ผมไม่ใช่หมอหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไหนก็สรุปได้ทันที สิ่งที่เปื้อนเลอะอยู่บนใบหน้าของเธอคือเลือด ของเหลวสีแดงที่อยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
ไม่ผิดแน่ และไม่ใช่แค่ที่ไปหน้าของเธอเท่านั้น คราบเลือดที่ว่ายังปรากฏเปื้อนอยู่ทั่วเสื้อนักเรียนสีขาวของเธอ และยิ่งไปกว่านั้น
ผมมองไปที่ของบางอย่างในมือขวาของเธอ สิ่งนั้น สิ่งที่ไม่น่าจะมาอยู่คู่กับสาวสวยอย่างเธอได้ ไม่น่าใช่อะไรที่สาวม.ปลายที่ไหนจะถือแกว่งไปมาในยามวิกาล
สิ่งนั้นสะท้อนเป็นเงาวาวท่ามกลางแสงไฟที่กระพริบส่องลงมา เป็นวัตถุสีเงินที่มีความยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือ ใช่แล้ว มันคือมีดอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งที่ใบมีดสีเงินนั่นยังมีคราบเลือดสีแดงสดเปื้อนอยู่ด้วย
จะด้วยอะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆคือเลือดพวกนั้นไม่ใช่ของเธอแน่ จะบอกว่ายัยคนนี้ใช้มีดในมือกระซวกไส้ตัวเองจนเลือดอาบแบบนี้น่ะรึ?
ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วเพราะดูจากภายนอกแล้วเนื้อตัวของเธอไม่มีบาดแผลอะไรให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆแล้วนั่นมันเลือดของใครกันล่ะ?
ไอ้คราบของเหลวสีแดงที่เลอะอยู่ทั่วร่างของเธอมันมาจากไหนกัน?
พอนึกย้อนกลับไปก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจอภาพที่ชวนใจสั่นแบบนี้ ในทีแรกผมแค่จะถามเรื่องที่คาใจก็เท่านั้น อย่างเช่นว่า มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ? ไม่ก็ บนยอดเสานั่นมันมีอะไรหรอครับ? อะไรเทือกนั้น
แต่ไอ้สถานการณ์แบบนี้มันยังไงกันแน่ ไอ้เหตุการณ์ที่เหมือนกับหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญนี่
ทำไมถึงไม่หนีล่ะ?
หญิงสาวที่ร่างกายเลอะไปด้วยเลือดสีแดงยังคงถามคำถามที่ผมไม่เข้าใจ เธอค่อยๆหันตัวจนมาเผชิญหน้ากับผมในที่สุด เธอมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ด้านชา
นัยน์ตาสีดำทมิฬที่บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ใดจ้องตรงอย่างแน่วแน่ไม่สั่นไหว แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ใบหน้าหรือดวงตาของเธอ แต่เป็นไอ้ของมีคมสีเงินในมือของเธอต่างหาก
.....
ปากของผมมันหนักจนเปิดไม่ขึ้น คำพูดและคำถามมากมายมันยังคงค้างอยู่ในคอ แน่นอนว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก ไม่เหมาะเอาซะเลย แต่จะเอาไงดีล่ะ ผมควรจะพูดดีมั้ย? หรือจะเดินหนีดี?
ว่าแต่ไอ้ที่ว่าทำไมไม่หนีมันหมายความว่าไงกันนะ นี่เธอกำลังบอกให้ผมหนีงั้นเรอะ? จะว่าไปนั่นเป็นสิ่งที่ผมควรทำตอนนี้รึเปล่านะ?
อ...เอ่อ...
ปากผมเริ่มขยับ จู่ๆความรู้สึกอึดอัดก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ถึงตอนนี้ไม่มั่นใจนักว่าควรจะพูดอะไรออกไปกันแน่ ประโยคมากมายที่กลั่นโดยสมองสุดเขลาของผมถูกส่งมาต่อขบวนอยู่ในลำคอจนแน่นเอี๊ยด
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสองจิตสองใจว่าควรจะพูดอะไรดีรึเปล่า แล้วจะพูดอะไรล่ะ? ลองคิดดูสิ ในคืนที่อากาศร้อนนรกอย่างี้คุณดันบังเอิญเดินมาเจอผู้หญิงถือมีดที่ร่างโชกไปด้วยเลือด เป็นคุณคุณจะทำยังไง?
บ้าจริง ผมล่ะหน่ายตัวเองชะมัด
...คืนนี้...อากาศ...ร้อนจังนะครับ
พูดอะไรของตรูไปวะเนี่ย!
ควับ
ควับ? เสียงของบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเบนความสนใจของผม สิ่งนั้นแหวกอากาศผ่านหน้าผมไปจนเกิดเสียงขึ้น ด้วยความตกใจและด้วยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างของผมเซถอยหลังไปราวๆสามก้าวได้ สิ่งนั้นที่พุ่งผ่านหน้าผมไปนิดเดียวทิ้งความเจ็บแสบเอาไว้ สิ่งนั้นคือมีดสีเงินอันคมกริบในมือของเธอ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพียงเสี้ยววิที่ปากผมเริ่มขยับเธอคนนี้ได้ตวัดมีดในมือขวาออกเป็นแนวตามขวางในระดับสายตาผม ด้วยความเร็วที่ตามองแทบไม่ทันกับอาการช็อคทำให้ผมนิ่งไป
แต่ความรู้สึกเจ็บแสบแปล๊บๆบนใบหน้ากลับทวีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมลองใช้มือขวาแตะๆไปที่แก้มขวาของตัวเอง เป็นไปตามที่คิด สิ่งที่ผมเห็นคือเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือของตัวเอง
ขาผมกำลังสั่น มือที่เปื้อนเลือดของผมกำลังสั่น ร่างกายของผมสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ จู่ๆการหายใจก็เริ่มติดขัด สมองผมสั่งการทันทีว่าผมกำลังตกอยู่ในความกลัว จากสายตาของผม
คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้ไม่ใช่สาวสายหน้าตาน่ารักที่ไหนแล้ว แต่เป็นฆาตกรใจโฉดที่พร้อมจะสับผมเป็นชิ้นๆอย่างเลือดเย็น
แปลก... ที่ผมย้ำมันไม่ผิดหรอก
ฉะนั้นผมขอหยุดเรื่องราวไว้แต่เพียงตรงนี้ซักครู่เพื่อเข้าสู่ฉากการรำลึกอดีต ก็นั่นสินะพอมาคิดๆดู ไอ้เรื่องบ้าบอราวกับหลุดเข้าไปในหนังสยองขวัญเกรด B พรรค์นี้มันเป็นไงมาไงกันนะ
ถ้าจะเล่าให้เคลียร์เห็นทีต้องเกริ่นตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ ใช่แล้ว ย้อนกลับไปถึงช่วงเช้าที่อากาศร้อนระอุนั่น และแน่นอน เป็นเช้าที่แปลกประหลาดอีกเช่นกัน
....
....
สาเหตุที่ไม่นำเรื่องจริงๆมาลงเพราะยังเขียนไม่เสร็จ
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คคร่าวๆในหัวผมที่ดองไว้มานานเหลือเกิน - -
หลังจากปั่นบทนำเสร็จก็อยากจะมาลองให้อ่านๆกันดู มีความเห็นกันว่ายังไงก็ฝากกันไว้ได้ครับ
บทนำ
เป็นค่ำคืนที่แปลกประหลาดเสียจริง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีดำสนิท แสงทองจากจันทร์เสี้ยวที่ขึ้นตระหง่านอยู่บนฟ้าแทบจะไม่มีความหมายสำหรับคืนนี้
สิ่งที่ยังช่วยให้ผมมองเห็นพื้นถนนในตอนนี้มีเพียงแสงจากหลอดไฟบนเสาไฟที่ตั้งเรียงรายไว้ตลอดเส้นทาง
แต่ด้วยระยะห่างของเสาไฟที่ห่างออกไปบวกกับแสงสลัวๆนั่นทำให้การทัศนวิสัยของผมในตอนนี้จัดได้ว่าแย่มากๆ
แต่ยังดีที่แถวนี้เป็นย่านที่พักอาศัย จึงยังพอมีแสงไฟจากบ้านเรือนเล็ดลอดออกมาช่วยให้บรรยากาศไม่ชวนจิตตกจนเกินไป
เป็นค่ำคืนที่แปลกประหลาด ผมย้ำกับตัวเองอย่างนั้น
เดือนพฤษภาคม ทั้งที่เดือนนี้ควรจะเป็นหน้าฝนแล้วแท้ๆ แต่อากาศเจ้ากรรมดันพาประเทศไทยร้อนมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว
จนถึงตอนนี้อากาศมีแต่จะร้อนขึ้นร้อนขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าด้วยสภาพอากาศแบบนี้จึงส่งผลให้คืนนี้ร้อนตามไปด้วย ถึงจะไม่รู้สึกทรมานเหมือนตอนกลางวันแต่ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดีที่จะบ่นออกมา
ช่างเป็นความรู้สึกที่ปั่นป่วนเสียจริง เป็นค่ำคืนที่แสนอบอ้าว ไม่มีแม้แต่ลายลมแผ่วๆที่พัดมาช่วยใจเฉาๆของผมเลยซักนิด
แปลก...
เท้าของผมหยุดลงหลังจากที่ก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยมาตลอดเส้นทาง ผมหยุดแล้วจ้องมอง ไม่สิ ต้องบอกว่าหยุดเพื่อจ้องมองดีกว่า
ที่ใต้เสาไฟฟ้าด้านหน้าผมห่างออกไปหลายสิบก้าวปรากฏเป็นเงาของคนคนหนึ่ง แต่ด้วยหลอดไฟข้างบนที่กระพริบอย่างถี่เหมือนทำท่าจะดับแหล่มิดับแหล่อยู่นั่นทำให้ภาพที่ผมเห็นไม่ชัดเจนดีนัก
ผมหรี่ตาลงเพื่อเพ่งฝ่าความมืดไปยังเงาที่สันนิษฐานว่าเป็นคนนั่น
บางทีสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของผมชื้นขึ้นมาหน่อย ใต้เสาไฟต้นนั้นปรากฏเป็นร่างของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ถึงระยะห่างกับความมืดจะทำให้ผมมองเห็นได้ไม่ดีนัก
แต่ผมสามารถบอกได้จากจุดนี้เลยว่าเธอคนนั้นเป็นคนสวยคนนึง
เธอคนนั้นยืนหันข้างให้ผมทำให้ผมเห็นเพียงด้านซ้ายของเธอ ใบหน้าขาวผ่องเงยขึ้นสูงไปด้านบนราวกับกำลังจ้องมองไปยังอะไรบางอย่าง คงไม่ใช่ว่ากำลังมองหลอดไฟที่กระพริบนั่นอยู่หรอกมั้ง
ท่าทีของเธอในตอนนี้บ่งบอกให้เห็นได้ชัดว่าไม่รับรู้ถึงการมาของผม แถมเหมือนจะไม่ได้เอะใจเลยซักนิดว่ากำลังถูกชายแปลกหน้าจ้องมองอยู่ในความมืด
พูดตรงๆอย่างไม่เสแสร้งว่าผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์สวยน่ามองอย่างเธอนี้ก็เป็นอาหารตาที่ดีสำหรับผมในเวลานี้เลยทีเดียว แต่พูดก็พูดเถอะไอ้ท่าทีของเธอคนนั้นมันทำให้ชวนคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องไม่ดีไม่งามทำนองนั้นชะมัดเลยนะ
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเข้าใจผมผิดไป ผมไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นพวกโรคจิตหื่นวิปริตหรือพวกเด็กแก๊งค์ติดยาที่ไหนมาเจอแบบนี้เข้าจะเป็นไง? แค่คิดก็น่ากลัวแล้วไม่ใช่หรอ
กลับมาที่โลกความเป็นจริง ผมยังคงยืนนิ่งอยู่บนทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ส่วนเธอคนนั้นก็เช่นกัน
ไม่เข้าใจเลยแฮะว่าไอ้ใต้เสาไฟนั่นมันมีอะไรน่ามองนักหนาถึงได้ยืนนิ่งจ้องมันอยู่อย่างงั้น จะว่าไปก็ดูไม่มีเหตุผลซักนิดที่ผมจะต้องมาหยุดยืนวิจารณ์สาวสวยที่บังเอิญเจอแบบนี้
เพราะงั้นผมจึงเริ่มเดินต่ออีกครั้ง ในท้ายที่สุดแล้วการพบกันของผมกับเธอคนสวยคนนี้ก็ต้องผ่านไป เหมือนกับผู้คนที่เดินสวนกันตามท้องถนนทั่วไป ไม่มีอะไรแปลกไปกว่านั้น
ผมเดินต่อไป ผมใกล้เธอคนนั้นเข้าไปทุกทีๆ ผมเข้ามาอยู่ในระยะที่ว่าสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
เธอเป็นหญิงสาวที่มีผิวพรรณงดงาม แก้มขาวผ่องของเธอยังโดดเด่นแม้ในความมืด ผมสีดำสนิทยาวตรงถึงกลางหลัง ใบหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ของเธอยังแหงนมองสูงขึ้นไปเช่นเดิม
อย่างที่คิด เธอเหมือนไม่รับรู้ถึงผมเลยแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจว่าไม่รับรู้จริงๆหรือตั้งใจไม่รับรู้กันแน่ เพราะผมก็เดินมาเข้าใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว แถมบริเวณรอบๆนี้นอกจากเสียงของแมลงที่หวี่ร้องอยู่เบาๆก็ไม่มีเสียงใดมารบกวนแล้ว
หรือบางทีเสียงฝีเท้าของผมอาจจะเบามากเลยงั้นสินะ แต่จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า พอนึกแบบนี้ก็ชวนให้ใจของผมเริ่มเหงาขึ้นมาซะแล้วสิ
จนถึงตอนนี้ผมเพิ่งจะสังเกตุ ชุดที่เธอใส่อยู่คือชุดนักเรียนมัธยมปลายซึ่งมีเครื่องแบบคุ้นตาเอามากๆ ก็แหงล่ะ ไอ้ชุดนักเรียนหญิงแบบนี้ในละแวกนี้ก็มีแต่โรงเรียนผมโรงเรียนเดียวนี่นะ
และในเมื่อมาเจอนักเรียนโรงเรียนเดียวกันแบบนี้ยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่ ไอ้ความสงสัยที่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆนี่
ผมเดินจนเกือบจะผ่านเธอไปแล้ว เธอยืนหันหน้าเข้าเสาไฟทำให้ผมแค่เดินผ่านหลังของเธอไป และด้วยความสงสัยจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ผมจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดของเสาไฟนั่น
ผมมองขึ้นไปอย่างเงียบๆและเป็นธรรมชาติราวกับสัญชาติญาณที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะสนหรอกนะ รู้สึกเหมือนไปยุ่งเรื่องของเขายังไงก็ไม่รู้
แต่แทนที่ผมจะได้คลายข้อสงสัยที่มีอยู่กลับกลายเป็นว่าวความสงสัยนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
แปลก...ใช่แล้ว อย่างที่ผมได้กล่าวไป
บนยอดของเสาไฟนั่น จุดที่สาวนักเรียนม.ปลายคนนี้กำลังจ้องมองอยู่ ตรงนั้นมันว่างเปล่า นอกจากหลอดไฟที่กระพริบเหมือนบ่งบอกว่าอายุขัยของมันกำลังจะหมดลงก็ไม่มีอะไรแล้ว
นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่ความมืดที่ว่างเปล่า ไม่ได้พูดเกินจริงหรืออะไรเลย เพราะบนยอดเสาไฟนั้นนอกจากความว่างเปล่านั้นก็ไม่มีอะไรอื่นอยู่อีกแน่ๆ จากการมองเห็นของผม ผมมั่นใจเต็มร้อย
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันทำไมกันล่ะ? เพราะอะไรผู้หญิงคนนี้ถึงได้หยุดนิ่งและจ้องมองไปที่มัน มันมีอะไรน่ามองนักหนาครับ? คำถามนี้มันคาใจเป็นบ้า
ประหลาด...อึดอัดใจ
ผมรู้สึกอย่างนั้นทั้งที่ไม่เข้าใจ สิ่งนี้ทำให้ในหัวของผมมีแต่ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดบ้าๆทั้งหลายนั้นปรากฏขึ้นมาทั้งที่ไม่ตั้งใจ ผมบอกให้จิตใจของตัวเองสงบด้วยประโยคที่ว่า คิดมากไปแล้ว
ผมเดินจนกระทั่งผ่านเธอไป และผมควรจะเดินต่อโดยไม่ต้องหันไปสนใจเธอ ควรจะหยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวซะ
แต่แล้วผมก็ผมหยุดเดิน
ทำไมกันล่ะ ผมหยุดเดินทั้งที่ไม่ตั้งใจจะหยุด การกระทำแบบนั้นมันขัดต่อวิธีการของผมอย่างชัดเจน อารมณ์เหมือนกับตอนที่ถูกอาจารย์ถามกลับว่าเข้าใจบทเรียนมั้ยหลังจากที่สอนเรื่องยากๆจบ
ผมคนนึงล่ะที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้นเลย แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะยกมือขึ้นเพื่อตอบอาจารย์ ทั้งที่ใจจริงอยากจะให้อาจารย์ทบทวนใหม่จะตายห่า แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันต่างกัน เพราะในที่สุดผมก็ยอมแพ้ให้กับความอึดอัดในใจนี้
ผมหันหลังกลับไปยังหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
....
ผมคิดว่าผมจะถาม ในใจผมตอนนี้มีคำพูดที่จะพูดกับเธอแน่อยู่แล้ว แต่ผมยังเก็บมันไว้ ผมไม่ได้พูดมันออกไป แต่ไม่ใช่ว่าผมอายหรือไม่กล้าจะชวนสาวสวยคนนี้คุยหรอกนะ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักคือความสงสัยกับคำถามมากมายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ต่างหาก
ในที่สุด หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมานานจนผมแอบสงสัยว่าไม่เมื่อยบ้างรึไง
ทำไมล่ะ?
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เรียบเฉยเสียจนไม่เหมือนประโยคคำถาม
ใบหน้าของเธอค่อยๆก้มต่ำลงช้าๆ จุดสนใจของเธอดูเหมือนจะไม่ใช่ยอดเสาไฟแล้ว แต่เป็นผมแทน เธอหันมาจนสบตากับผมแต่ตัวยังคงยืนหันข้างให้อยู่
ถึงตอนนี้ผมสามารถเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจนเสียที และการที่ผมมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจนนี้ก็ทำให้ผมคลายข้อสงสัยเล็กๆไปได้เรื่องนึง ข้อสงสัยที่ว่านั่นไม่ใช่ว่า เธอสวยจริงรึเปล่า?
แต่ข้อสงสัยที่ว่านั่นคือคราบของเหลวสีแดงที่เลอะอยู่บนใบหน้าของเธอ
เลือด
ต่อให้ผมไม่ใช่หมอหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไหนก็สรุปได้ทันที สิ่งที่เปื้อนเลอะอยู่บนใบหน้าของเธอคือเลือด ของเหลวสีแดงที่อยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
ไม่ผิดแน่ และไม่ใช่แค่ที่ไปหน้าของเธอเท่านั้น คราบเลือดที่ว่ายังปรากฏเปื้อนอยู่ทั่วเสื้อนักเรียนสีขาวของเธอ และยิ่งไปกว่านั้น
ผมมองไปที่ของบางอย่างในมือขวาของเธอ สิ่งนั้น สิ่งที่ไม่น่าจะมาอยู่คู่กับสาวสวยอย่างเธอได้ ไม่น่าใช่อะไรที่สาวม.ปลายที่ไหนจะถือแกว่งไปมาในยามวิกาล
สิ่งนั้นสะท้อนเป็นเงาวาวท่ามกลางแสงไฟที่กระพริบส่องลงมา เป็นวัตถุสีเงินที่มีความยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือ ใช่แล้ว มันคือมีดอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งที่ใบมีดสีเงินนั่นยังมีคราบเลือดสีแดงสดเปื้อนอยู่ด้วย
จะด้วยอะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆคือเลือดพวกนั้นไม่ใช่ของเธอแน่ จะบอกว่ายัยคนนี้ใช้มีดในมือกระซวกไส้ตัวเองจนเลือดอาบแบบนี้น่ะรึ?
ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วเพราะดูจากภายนอกแล้วเนื้อตัวของเธอไม่มีบาดแผลอะไรให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆแล้วนั่นมันเลือดของใครกันล่ะ?
ไอ้คราบของเหลวสีแดงที่เลอะอยู่ทั่วร่างของเธอมันมาจากไหนกัน?
พอนึกย้อนกลับไปก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจอภาพที่ชวนใจสั่นแบบนี้ ในทีแรกผมแค่จะถามเรื่องที่คาใจก็เท่านั้น อย่างเช่นว่า มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ? ไม่ก็ บนยอดเสานั่นมันมีอะไรหรอครับ? อะไรเทือกนั้น
แต่ไอ้สถานการณ์แบบนี้มันยังไงกันแน่ ไอ้เหตุการณ์ที่เหมือนกับหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญนี่
ทำไมถึงไม่หนีล่ะ?
หญิงสาวที่ร่างกายเลอะไปด้วยเลือดสีแดงยังคงถามคำถามที่ผมไม่เข้าใจ เธอค่อยๆหันตัวจนมาเผชิญหน้ากับผมในที่สุด เธอมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ด้านชา
นัยน์ตาสีดำทมิฬที่บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ใดจ้องตรงอย่างแน่วแน่ไม่สั่นไหว แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ใบหน้าหรือดวงตาของเธอ แต่เป็นไอ้ของมีคมสีเงินในมือของเธอต่างหาก
.....
ปากของผมมันหนักจนเปิดไม่ขึ้น คำพูดและคำถามมากมายมันยังคงค้างอยู่ในคอ แน่นอนว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก ไม่เหมาะเอาซะเลย แต่จะเอาไงดีล่ะ ผมควรจะพูดดีมั้ย? หรือจะเดินหนีดี?
ว่าแต่ไอ้ที่ว่าทำไมไม่หนีมันหมายความว่าไงกันนะ นี่เธอกำลังบอกให้ผมหนีงั้นเรอะ? จะว่าไปนั่นเป็นสิ่งที่ผมควรทำตอนนี้รึเปล่านะ?
อ...เอ่อ...
ปากผมเริ่มขยับ จู่ๆความรู้สึกอึดอัดก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ถึงตอนนี้ไม่มั่นใจนักว่าควรจะพูดอะไรออกไปกันแน่ ประโยคมากมายที่กลั่นโดยสมองสุดเขลาของผมถูกส่งมาต่อขบวนอยู่ในลำคอจนแน่นเอี๊ยด
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสองจิตสองใจว่าควรจะพูดอะไรดีรึเปล่า แล้วจะพูดอะไรล่ะ? ลองคิดดูสิ ในคืนที่อากาศร้อนนรกอย่างี้คุณดันบังเอิญเดินมาเจอผู้หญิงถือมีดที่ร่างโชกไปด้วยเลือด เป็นคุณคุณจะทำยังไง?
บ้าจริง ผมล่ะหน่ายตัวเองชะมัด
...คืนนี้...อากาศ...ร้อนจังนะครับ
พูดอะไรของตรูไปวะเนี่ย!
ควับ
ควับ? เสียงของบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเบนความสนใจของผม สิ่งนั้นแหวกอากาศผ่านหน้าผมไปจนเกิดเสียงขึ้น ด้วยความตกใจและด้วยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างของผมเซถอยหลังไปราวๆสามก้าวได้ สิ่งนั้นที่พุ่งผ่านหน้าผมไปนิดเดียวทิ้งความเจ็บแสบเอาไว้ สิ่งนั้นคือมีดสีเงินอันคมกริบในมือของเธอ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพียงเสี้ยววิที่ปากผมเริ่มขยับเธอคนนี้ได้ตวัดมีดในมือขวาออกเป็นแนวตามขวางในระดับสายตาผม ด้วยความเร็วที่ตามองแทบไม่ทันกับอาการช็อคทำให้ผมนิ่งไป
แต่ความรู้สึกเจ็บแสบแปล๊บๆบนใบหน้ากลับทวีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมลองใช้มือขวาแตะๆไปที่แก้มขวาของตัวเอง เป็นไปตามที่คิด สิ่งที่ผมเห็นคือเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือของตัวเอง
ขาผมกำลังสั่น มือที่เปื้อนเลือดของผมกำลังสั่น ร่างกายของผมสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ จู่ๆการหายใจก็เริ่มติดขัด สมองผมสั่งการทันทีว่าผมกำลังตกอยู่ในความกลัว จากสายตาของผม
คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้ไม่ใช่สาวสายหน้าตาน่ารักที่ไหนแล้ว แต่เป็นฆาตกรใจโฉดที่พร้อมจะสับผมเป็นชิ้นๆอย่างเลือดเย็น
แปลก... ที่ผมย้ำมันไม่ผิดหรอก
ฉะนั้นผมขอหยุดเรื่องราวไว้แต่เพียงตรงนี้ซักครู่เพื่อเข้าสู่ฉากการรำลึกอดีต ก็นั่นสินะพอมาคิดๆดู ไอ้เรื่องบ้าบอราวกับหลุดเข้าไปในหนังสยองขวัญเกรด B พรรค์นี้มันเป็นไงมาไงกันนะ
ถ้าจะเล่าให้เคลียร์เห็นทีต้องเกริ่นตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ ใช่แล้ว ย้อนกลับไปถึงช่วงเช้าที่อากาศร้อนระอุนั่น และแน่นอน เป็นเช้าที่แปลกประหลาดอีกเช่นกัน
....
....